พืชเศรษฐกิจและพืชท้องถิ่น ลุ่มแม่น ้ำโขง การสร้างฐานข้อมูลความหลากหลายทางทรัพยากรชีวภาพด้านเกษตรลุ่มน ้าโขง
พืชเศรษฐกิจและพืชท้องถิ่น ลุ่มแม่น ้ำโขง ที่ปรึกษำ ศ.ดร.ภาวิช ทองโรจน์ บรรณำธิกำร ผศ.ดร.รัชนี นามมาตย์ ผู้อ้านวยการแผนโครงการ ฯ วิชำกำร ผศ.ดร.รัชนี นามมาตย์ ผศ.ดร.เอกพล วังคะฮาต อภิเชษฐ์ โพธิ์เลิง กองบรรณำธิกำร ผศ.ดร.เอกพล วังคะฮาต อภิเชษฐ์ โพธิ์เลิง ภำพถ่ำย อ.ดร.สันติ สิงห์สุ ผู้ทรงคุณวุฒิ นายพัฒนา ภาสอน จัดพิมพ์โดย ..... พิมพ์ครั งที่ พิมพ์ครั งที่ 1 ISBN .....
หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่ศึกษาความหลากหลายทางทรัพยากรด้านเกษตรข้อมูลพืชท้องถิ่นและพืชเศรษฐกิจ ที ่นิยมน ามาใช้ประกอบอาหารและใช้เป็นพืชสมุนไพร ในพื้นที ่ 8 จังหวัดติดแม่น ้าโขง ได้แก่ จังหวัดเชียงราย เลย หนองคาย บึงกาฬ นครพนม มุกดาหาร อ านาจเจริญ และอุบลราชธานี โดยการส ารวจตลาด การค้นคว้ารวบรวมข้อมูล ทางวิทยาศาสตร์ที่ทันสมัยเกี่ยวกับพืชท้องถิ่นและพืชเศรษฐกิจ และยังสื่อถึงภูมิปัญญาทางพฤกษศาสตร์ด้านสมุนไพร อีกด้วย เพื่อประโยชน์ส าหรับผู้อ่านทั่วไป สาธารณชน นิสิต นักศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักวิจัยที่สามารถใช้เป็นข้อมูล เบื้องต้นเพื่อสร้างงานวิจัยใหม่ที่ไม่ซ ้าซ้อนกับองค์ความรู้ที่ได้รับการเผยแพร่แล้ว พืชแต่ละชนิดมีภาพประกอบและ ค าบรรยายใต้ภาพท าให้น่าสนใจและเข้าใจเนื้อหาได้ง่ายขึ้น ขอขอบคุณ ส านักงานการวิจัยแห่งชาติ ที่สนับสนุนการวิจัย เพื่อจัดท าหนังสือเล่มนี้ขึ้นมา คณะผู้จัดท าคาดหวัง เป็นอย่างยิ่งว่าหนังสือเล่มนี้จะมีข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ที่สนใจความหลากหลายทางทรัพยากรด้านเกษตรข้อมูลพืช ท้องถิ ่นและพืชเศรษฐกิจที ่นิยมน ามาใช้ประกอบอาหารและใช้เป็นพืชสมุนไพร ในพื้นที ่ 8 จังหวัดติดแม ่น ้าโขง และอาจมีผู้น าความรู้จากหนังสือเล่มนี้ไปประยุกต์ให้เกิดประโยชน์ยิ่งขึ้นต่อไป คณะผู้จัดท า มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
บทที่ 1 บทน้ำ บทที่ 2 ลักษณะวิสัยของพืช บทที่ 3 คุณค่ำทำงเศรษฐกิจของพืช บทที่ 4 ถอดรหัสสีสันของพืช บทที่ 5 บัญชีรำยชื่อพืชท้องถิ่นและพืชเศรษฐกิจ ชื่อภาษาไทย หน้า ชื่อภาษาไทย หน้า กระเจี๊ยบเขียว 1 ขึ้นฉ่าย 24 กระเจียว 2 แขนงกะหล ่าปลี 25 กระเฉดน้่า 3 แขนงคะน้า 26 กระชาย 4 แขยง 27 กระโดน 5 คะน้า 28 กระถิน 6 คะน้าฮ่องกง 29 กรุงเขมา 7 แครอท 30 กวางตุ้ง 8 จิงจูฉ่าย/โกฐจุฬาลัมพาขาว 31 กะโฉม 9 ชะอม 32 กะดอม 10 ชีฝรั ง 33 กะเทียม 11 ชีลาว 34 กะเพรา 12 เชียงดา 35 กะหล ่าดอก 13 ดอกแค 36 กะหล ่าปลี 14 ดอกแคแดง 37 กะหล ่าปลีหัวใจ 15 ดอกแคป่า 38 กะหล ่าม่วง 16 ดอกหอม 39 กาดแก้ว 17 ดางขม 40 กุ๊ยช่าย 18 ต้นหอม 41 ขมิ้น 19 ตะไคร้ 42 ข่า 20 ตั้งโอ๋ 43 ข้าวโพดอ่อน 21 ต่าลึง 44 ขิง 22 แตงร้าน 45 ขี้เหล็ก 23 เเตงกวาขาว 46
ชื่อภาษาไทย หน้า ชื่อภาษาไทย หน้า แตงกวาญี ปุ่น 47 ผักคราดหัวแหวน 76 ถั วงอก 48 ผักชี 77 ถั วแปบ 49 ผักชีไร่ 78 ถั วฝักยาว 50 ผักไชยา 79 ถั วพุ่มม่วง 51 ผักติ้ว 80 ถั วพู 52 ผักบุ้ง 81 ถั วแระ 53 ผักบุ้งบ้าน 82 ถั วลันเตา 54 ผักปัง 83 น้่าเต้า 55 ผักแพรว 84 บล็อกโคลี 56 ผักเม็ก 85 บวบ 57 ผักสควอช /ซูกินี 86 บวบงู 58 ผักสลัดน้่า 87 บวบเหลี ยม 59 ผักหนาม 88 บอน 60 ผักหวาน 89 บีทรูท 61 ผักเฮือด 90 ใบชะพลู 62 เผือก 91 ใบชะม่วง 63 พระพาย 92 ใบบัวบก 64 พริกแดง 93 ใบมะตูม 65 พริกไทย 94 ผลน้่านม 66 พริกหยวก 95 ผักเเส้ ว 67 พลูคาว 96 ผักกาดขาว 68 เพกา ลิ้นฟ้า 97 ผักกาดเขียว 69 ฟักเขียว 98 ผักกาดฮ่องเต้ 70 ฟักทอง 99 ผักกุ่ม 71 ฟักแม้ว 100 ผักกูด 72 มะกรูด 101 ผักขี้นาก 73 มะกอก 102 ผักขี้หูด 74 มะขามป้อม 103 ผักโขม 75 มะเขือ 104
ชื่อภาษาไทย หน้า ชื่อภาษาไทย หน้า มะเขื อขื น 105 สลัดใบเหยียด 133 มะเขือเทศ 106 สะเเล 134 มะเขือเทศเล่นแป๋ม 107 สะค้าน 135 มะเขือเปราะพันธุ์ขาวกรอบแม่โจ้ 108 สะเดา 136 มะเขือเปราะลายตอปิโด 109 สายบัว 137 มะเขือพวง 110 สาระแหน่ 138 มะเขือม่วง 111 สาระแหน่ขาว 139 มะเขือยาว 112 เสี้ยว 140 มะเดื อฝรั ง 113 หน่อไม้ไผ่เหลือง 141 มะนาว 114 หวาย 142 มะม่วงป่า 115 หัวไชเท้า 143 มะระขี้นก 116 หัวปลี 144 มะระจีน 117 โหระพา 145 มะรุม 118 มะละกอ 119 มะแว้ง 120 มะหลอด 121 มะอึก 122 มันเทศ 123 แมงลัก 124 ยอดฟักทอง 125 ย่านาง 126 ยี หร่า 127 เรดโอ๊ค 128 แรดิช 129 ลาเทียโต 130 ส้มป่อย 131 สลัด 132
บทที่ 1
แม่น ้าโขงเป็นหนึ่งแม่น ้าที่มีขนาดใหญ่และมีความส าคัญต่อการด ารงชีวิตทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม เนื่องจาก บริเวณริมแม่น ้าโขง มีพื้นที่น ้าท่วมถึงบริเวณกว้าง ท าให้มีทรัพยากรธรรมชาติที่หลากหลายและมีความอุดมสมบูรณ์ โดยเฉพาะดินตะกอนสะสมที่เกิดจากกระแสน ้าหลากในช่วงฤดูฝน ซึ่งตะกอนดินนี้จะมีความอุดมสมบูรณ์และมีแร่ธาตุ ที่ส าคัญ ซึ่งเหมาะแก่การเพาะปลูกพืชทางการเกษตร อีกทั้งยังรักษาความชุ่มชื่นและความร่วนซุยของดิน ท าให้ง่าย ต่อการเตรียมดินเพื่อเพาะปลูกพืชพื้นที่บริเวณริมฝั่งแม่น ้าโขง จึงเป็นแหล่งผลิตพืชท้องถิ่นและพืชเศรษฐกิจที่สร้างมูลค่า ให้ประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณริมฝั่งแม่น ้า เกษตรริมฝั่งแม่น ้าโขงมีกิจกรรมเพาะปลูกจากอดีตที่ไม่ปรากฏแน่ชัด ความรู้ ในการปลูกพืชริมฝั ่งแม ่น ้าโขงได้รับการถ ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษ โดยเริ ่มแรกชาวบ้านมีการเพาะปลูกบนริมฝั ่ง แม่น ้าโขงและมีการชักชวนกันมาตั้งถิ่นฐานบริเวณริมฝั่งแม่น ้าโขง เพราะเป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพและ มีทรัพยากรที่เอื้อต่อการด ารงชีวิต ดังนั้นการปลูกพืชริมฝั่งแม่น ้าจึงเป็นกิจกรรมหลัก ซึ่งการเกษตรลุ่มน ้าโขงเป็นแบบ ระยะสั้นตามฤดูกาล ปัจจุบันชาวบ้านมีการเปลี่ยนแปลงกระบวนการเพาะปลูก เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการพัฒนา โครงการต่าง ๆ ประกอบด้วย 1) การสร้างเขื่อนกั้นแม่น ้าโขงเพื่อเป็นแหล่งผลิตไฟฟ้า ปี 2539 2) การปรับปรุงแม่น ้าโขง เพื่อการเดินเรือเชิงพาณิชย์ด าเนินการตั้งแต่ปี 2544-2547 3) การก่อสร้างท่าเทียบเรือ และ 4) การพัฒนาพื้นที่ริมตลิ่ง เพื่อป้องกันตลิ่งทรุดตัว ทั้งหมดส่งผลกระทบต่อการเกษตรริมฝั่งแม่น ้าโขง เช่น ท าให้เกิดน ้าขึ้น-ลงผิดธรรมชาติ และ ชาวบ้านไม่สามารถคาดการณ์ปริมาณน ้าท าให้เกิดความเสียหายต่อพื้นที่เกษตรริมฝั่งและตลิ ่งถูกกระแสน ้ากัดเซาะ (อภิศักดิ์ ท าบุญ, 2562) ทรัพยากรชีวภาพด้านการเกษตรเป็นต้นทุนที ่ส าคัญของประเทศไทย ในอดีตประชาชนได้อาศัยพึ ่งพา ทรัพยากรชีวภาพในการด ารงชีวิตมาเป็นเวลายาวนาน อย ่างไรก็ตาม ในปัจจุบันได้ลดความส าคัญของการพึ ่งพา ทรัพยากรชีวภาพรวมถึงภูมิปัญญาท้องถิ่นดั้งเดิม ท าให้ทรัพยากรชีวภาพ ภูมิปัญญาดั้งเดิม การพึ่งพิงแหล่งทรัพยากร การใช้ประโยชน์จากความหลากหลายทางชีวภาพและภูมิปัญญาของชุมชนและท้องถิ ่นถูกท าลาย จากสถานการณ์ ดังกล ่าว การส ารวจและรวบรวมข้อมูลทรัพยากรชีวภาพด้านพืชเศรษฐกิจและพืชท้องถิ ่น จึงจ าเป็นอย ่างยิ ่งที ่ต้อง ด าเนินการอย ่างเร ่งด ่วน เพื ่อศึกษา วิเคราะห์และค้นหาทรัพยากรที ่มีศักยภาพที ่จะน าไปใช้ประโยชน์และพัฒนา เพื ่อสร้างมูลค่าและสร้างฐานทางเศรษฐกิจของชุมชนนั้น ๆ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ยังมีแหล ่งทรัพยากรทางธรรมชาติ นอกจากนี้ ผลการศึกษาและการวิเคราะห์ยังสามารถน าไปก าหนดแผนการใช้ประโยชน์ น าไปสู ่การอนุรักษ์ การใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน และเป็นการเพิ่มมูลค่าของพืชในท้องถิ่นอย่างเหมาะสมได้ต่อไปในอนาคต
เพื่อรวบรวมและจัดเก็บข้อมูลพื้นฐานของความหลากหลายของทรัพยากรเกษตรชีวภาพ ได้แก่ ทรัพยากรสัตว์น ้าและพันธุ์พืชต่าง ๆ ในเขตพื้นที่จังหวัดติดลุ่มแม่น ้าโขงให้เป็นปัจจุบัน โดยจัดท าใน รูปฐานข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ของทรัพยากรชีวภาพที ่หลากหลาย เข้าถึงง ่าย และเอื้อประโยชน์ต ่อ การศึกษาและวิจัยของผู้สนใจอื่น ๆ ต่อไปได้ เพื่อเสริมสร้างศักยภาพของชุมชนท้องถิ่นในการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายของ ทรัพยากรเกษตรชีวภาพทางด้านพืชท้องถิ่นและพืชเศรษฐกิจ โดยสอดคล้องกับวิถีชีวิตท้องถิ่นและ หลักการเศรษฐกิจพอเพียง (Traditional plants VS Economic plants) พืชท้องถิ่นเป็นพืชที่มีการใช้ประโยชน์ มีการระบุกลุ่มชาติพันธุ์ โดยที่ความรู้ในการใช้พันธุ์พืชต้องถ่ายทอดมาจาก บรรพบุรุษของชาติพันธุ์นั้นๆ ซึ ่งอาจจะมีการใช้เหมือนกันในหลาย ๆ ชนเผ่า ในขณะที่พืชเศรษฐกิจ เป็นพืชที ่มีการ ซื้อขายทั้งในระดับท้องถิ ่นและระดับกว้าง โดยไม ่ได้ค านึงถึงบุคคลที ่น าไปใช้ ทั้งนี้ พืชทั้งสองกลุ ่มนี้อาจจะเป็นพืช ชนิดเดียวกันก็เป็นได้ ข้อมูลทางพืชท้องถิ ่นและพืชเศรษฐกิจได้บ่งบอกถึงพันธุ์พืชที่มนุษย์น ามาใช้ประโยชน์ในวิถีชีวิตและสาระทาง ประโยชน์ที่ใช้ ซึ่งความรู้เหล่านั้นได้สืบทอดมาแต่บรรพบุรุษ รวมถึงวิธีการใช้ประโยชน์จากข้อมูลเหล่านี้สามารถน าไป วิจัยต่อยอดโดยไม่ต้องหาจากการสุ่มวิเคราะห์ เนื่องจากการใช้ประโยชน์นั้นๆ สามารถพบเห็นและสืบสวนได้อย่างชัดเจน ข้อมูลพืชท้องถิ ่นและพืชเศรษฐกิจลุ ่มน ้าโขงนั้น อาจจะถือได้ว ่ามีความส าคัญเป็นอย ่างยิ ่งในการน า มาประยุกต์ใช้ ประโยชน์ และเป้าหมายส าคัญประการของการส ารวจ คือ การศึกษาความหลากหลายทางชีวภาพ การค้นหาภูมิปัญญา เกี่ยวกับพืชที่ใช้เป็นยารักษาโรค มูลค่าการส่งออก ราคาขายในปัจจุบัน แหล่งรับซื้อ แหล่งที่ปลูก เป็นต้น
พืชแต่ละชนิดประกอบด้วยข้อมูล ดังนี้ 1. ชื่อภาษาไทย และชื่อวิทยาศาสตร์ (Scientific name) ของพืชชนิดนั้น 2. วงศ์ (Family) ที่พืชชนิดนั้นเป็นสมาชิก 3. ชื่อสามัญ (Common name) หมายถึง ชื่อทั่วไปที่ใช้ในการเรียกพืชชนิดนั้นในภาษาอังกฤษ (พืชบางชนิดอาจไม่มี) 4. ชื่อท้องถิ่น (Local name หรือ Vernacular name) คือ ชื่อที่เรียกพืชชนิดนั้นๆ ในประเทศไทย ที่เป็นภาษาใน ภาคต่างๆ รวมทั้งภาษาของชนเผ่าต่าง ๆ 5. ลักษณะวิสัย เป็นการบรรยายลักษณะพืชตามแบบของพฤกษอนุกรมวิธานอย่างง่าย 6. สถานที่พบหรือแหล่งส ารวจ เป็นการระบุแหล่งของพืชท้องถิ่นที่กระจายพันธุ์ในสภาพธรรมชาติอาจรวมถึงเส้นทาง การน าเข้าพันธุ์พืชนั้นมายังประเทศไทย 7. ประโยชน์และสรรพคุณ เป็นการบ่งบอกถึงคุณค่าทางโภชนานาการและสรรพคุณทางด้านยารักษาโรค 8. การใช้ประโยชน์ เป็นการเล่าเรื่องการใช้ในระดับของพืชท้องถิ่นของชุมชนหรือชนเผ่าต่างๆ ในประเทศไทย 9. ราคาขาย เป็นการบอกถึงราคาขายตามท้องตลาดนั้นๆ ในแต่ละพื้นที่ ซึ่งจะบ่งบอกความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ 10. ภาพประกอบ ท าให้รู้จักพืชพื้นบ้านเหล่านั้นอย่างชัดเจนขึ้น พฤกษศาสตร์ท้องถิ่น หรือ Ethnobotany สามารถจ าแนกหมวดหมู่ความรู้ของการใช้ประโยชน์จากพืช ซึ่งแปล มาจาก "Traditional Botanical Knowledge" ดังนั้น ในการท าบัญชีรายชื่อของพืชท้องถิ่นที่ส ารวจพบ ซึ่งมีการระบุการ ใช้ประโยชน์ จ าเป็นที่ต้องจ าแนกการใช้ประโยชน์ให้เป็นระบบ การจัดจ าแนกในที่นี้ขอเสนอแบบแผนหนึ่ง ดังนี้ 1. พืชอาหาร ได้แก่ พืชที่ใช้เป็นอาหารหลัก ที่ใช้ในการบริโภค โดยเฉพาะการเป็นแหล่งของคาร์โบไฮเดรต 2. พืชสมุนไพร พืชที่ส ารวจได้ในกลุ่มนี้มีความชัดเจนในตัวเอง การจ าแนกตามอาการของโรคต่าง ๆ 3. พืชใช้สร้างที ่อยู ่อาศัย โดยมากจะเป็นพืชขนาดใหญ ่ที ่น ามาใช้ในการก ่อสร้างที ่อยู ่อาศัยและอาจมีพืชขนาดเล็ก มาประกอบเป็นหลังคาบ้านหรือเป็นฝาบ้าน 4. พืชใช้ท าเครื่องนุ่งห่ม ในสมัยโบราณมีการใช้เส้นใยพืชต่างๆ มาเป็นเครื่องนุ่งห่ม 5. พืชใช้ท าอุปกรณ์และเครื่องใช้ พืชในกลุ่มนี้มีความหลากหลาย อาจรวมกลุ่มอุปกรณ์การเกษตร และของใช้ในบ้าน 6. พืชในวัฒนธรรมและความเชื่อ เป็นการใช้ประโยชน์จากพืชที่สะสมมาแต่โบราณ 7. พืชใช้เป็นแหล่งพลังงาน ได้แก่ ไม้ฟืน ซึ่งในชุมชนสามารถแบ่งแยกความแรงของไฟจากไม้ชนิดต่างๆ ได้ 8. พืชใช้ประโยชน์อื่นๆ การใช้ประโยชน์และความรู้นี้แสดงถึงภูมิความรู้ทางพฤกษศาสตร์ท้องถิ่นที่แท้จริงเช่นกัน ซึ่งอาจ จ าแนกเป็นกลุ่มๆ ได้แก่ พืชที่ใช้เป็นน ้าหอมและเครื่องหอม พืชที่ใช้ท าเครื่องส าอางและประทินผิว พืชที่ใช้เป็นสีย้อม พืชที่ใช้ท าเครื่องดนตรี พืชมีพิษและให้สารเสพติด เป็นต้น
ในแต่ละท้องที่ อาจมีการตั้งชื่อหรือเรียกชื่อสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกัน แตกต่างกันไปตามแต่ละภาษาหรืออาจมีชื่อ เดียวกัน แต่หมายถึงสิ่งมีชีวิตต่างชนิดกันก็เป็นได้ ชื่อนั้นเราเรียกว่า ชื่อท้องถิ่น (Local name) เพื่อความสะดวกในการ น าสิ่งมีชีวิตมาศึกษาและใช้ประโยชน์ได้อย่างถูกต้องตามต้องการ จึงมีความจ าเป็นอย่างยิ่งที่จะต้อง มีหลักเกณฑ์เพื่อ ป้องกันความสับสนเป็นสื่อกลาง สื่อความหมาย ให้เข้าใจได้ตรงกัน เมื่อกล่าวถึงสิ่งมีชีวิตชนิดใดชนิดหนึ่ง ซึ่งสิ่งนั้นคือ ชื่อวิทยาศาสตร์ อันเป็นการศึกษาในวิชาที่เรียกว่า อนุกรมวิธาน (Taxonomy) ในชีวิตประจ าวัน เรามักจะจัดของใน บ้านเป็นหมวดหมู่ เช่น น าเสื้อ กางเกง กระโปรง ไว้ด้วยกัน น าจาน ชาม ช้อน ส้อม ไว้ด้วยกัน วางกาแฟ ครีมเทียม และน ้าตาล ไว้ใกล้กัน ก็เพื่อสะดวกในการค้นหาและใช้ในชีวิตประจ าวัน ร้านขายของหรือห้างสรรพสินค้า จะจัดแยก ของที่ขาย ออกเป็นประเภทต่างๆ เพื่อความสะดวกต่อการเลือกซื้อ หนังสือที่อยู่ในห้องสมุด บรรณารักษ์ก็จะจัดแยกไว้ ตามประเภทหรือสาขาวิชานั้นๆ เพื่อความสะดวกต่อการค้นหาของผู้มาใช้บริการ และมนุษย์มีสื่อกลาง คือ ชื่อ ที่มนุษย์ เป็นผู้ก าหนดขึ้น เพื่อใช้เรียกสิ่งต่าง ๆ ที่มนุษย์ที่พูดภาษาเดียวกัน สามารถสื่อความหมายให้เข้าใจได้ตรงกัน ว่าหมายถึง อะไร สิ่งนี้ถือเป็นวิชาอนุกรมวิธาน ซึ ่งเป็นอนุกรมวิธานตามธรรมชาติของมนุษย์ ที่ได้จากการเรียนรู้จากธรรมชาติ จากประสบการณ์ และวัฒนธรรมที่สี่บต่อกันมา จะเห็นได้ว่า มนุษย์เราผูกพันกับวิซาอนุกรมวิธาน ได้ใช้ประโยชน์จาก วิชานี้อยู่ทุกวันโดยไม่รู้ตัว เป็นที ่ทราบดีว ่า สิ ่งมีชีวิตในโลกมีจ านวนมากนับล้านชนิด ในส ่วนของจ านวนชนิดพันธุ์พืชนักพฤกษศาสตร์ ได้ประเมินว ่า จ านวนพืชในโลกมีอยู ่ประมาณ 374,000 ชนิด (species) โดยแบ ่งออกเป็น พืชที ่ไม ่มีท ่อล าเลียง (non-vascular..plants) หรือที ่เรียกว ่า พืชชั้นต ่า ได้แก ่ สาหร่ายหลายเซลล์ (algae) มอสส์(mosses) ลิเวอร์เวิร์ต (liverworts) และฮอร์นเวิร์ต (hornworts) ประมาณ 65,925 ชนิด และพืชที่มีท่อล าเลียง (vascular plants) หรือ ที่เรียกว่า พืชชั้นสูง ได้แก่ เฟิร์นและกลุ่มใกล้เคียง (ferns and lycopods) พืชเมล็ดเปลือย (gymnosperms) และพืช ดอก (angiosperms หรือ flowering plants) ประมาณ 308,312 ชนิด (Christenhusz & Byng, 2016) ในการศึกษาพฤกษศาสตร์ท้องถิ่น พฤกษอนุกรมวิธานเป็นความรู้พื้นฐานที่ส าคัญยิ่ง เนื่องจากเป็นวิชาที ่ศึกษา เกี่ยวกับชื่อวิทยาศาสตร์ของพืช ซึ่งชื่อท้องถิ่นนั้น อาจเป็นพืชต่างชนิดกันหรือแค่ชื่อต่างกัน แต่อาจหมายถึงพืชชนิด เดียวกันก็เป็นได้ ชื ่อวิทยาศาสตร์นั้น ถือเป็นสื ่อกลางสากลในการสื ่อสาร สืบค้น ที ่เป็นระบบเหมือนกันทั ่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการน าพันธุ์พืชและภูมิปัญญาความรู้ในการใช้พืช มาใช้ประโยชน์หรือพัฒนาการใช้ประโยชน์ยิ่งขึ้น การระบุชื่อวิทยาศาสตร์ที่ถูกต้องเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้อง มีความส าคัญอย่างยิ่ง การระบุชื่อวิทยาศาสตร์ของพืชที่ศึกษา ไม ่ถูกต้องหรือผิดพลาดจะท าให้ได้รับข้อมูลที ่ผิดเพี้ยนไป และอาจเป็นเหตุให้การน าพืชมาพัฒนาใช้ป ระโยชน์ ไม่ได้ผลลัพธ์ดังต้องการ หรือไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร หรืออาจเกิดอันตรายต่อการน าไปใช้ประโยชน์ โดยเฉพาะ อย่างยิ่งการน าไปพัฒนาใช้เป็นยารักษาโรค (ปรัชญา ศรีสง่า, 2561)
คือ วิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับทางด้านการจัดจ าแนกพืชออกเป็นหมวดหมู่ (Classification) การระบุชื่อพืช (Identifcation) และการตั้งชื่อพืช (Nomenclature) ในต าราบางเล่ม อาจใช้ค าว่า Systematic Botany (Lawrence, 195 เดิมค าว่า Systematic..Botany ไม่รวมถึงกฎเกณฑ์การตั้งชื่อหรือบัญญัติชื่อพืช ปัจจุบัน มีการใช้ค า Plant Taxonomy และ Systematic..Botany ในความหมายเดียวกัน (ส านักงานราชบัณฑิตยสภา, 2560) พฤกษอนุกรมวิธาน ประกอบด้วย 3 เรื่องหลัก ดังนี้ 1. การจัดจ าแนกพืช (Plant Classification) หมายถึง การแบ่งพืชออกเป็นหมวดหมู่ โดยการน าพืชชนิดต่างๆ ที่มีความ คล้ายคลึงกันหรือมีลักษณะร่วมกันมาจัดรวมไว้ในกลุ่มเดียวกัน ระบบการจัดจ าแนกสรุปได้เป็น 3 ระบบใหญ่ๆ ดังนี้ 1. ระบบปัญญาประดิษฐ์ หรือระบบพื้นบ้าน (Artifical system หรือ folktaxonomy) เป็นระบบการจัดจ าแนกอย่าง ง่ายๆ โดยการพิจารณาจากลักษณะภายนอกว่าคล้ายกันหรือต่างกันอย่างไร ระบบนี้ใช้ตั้งแต่เริ่มแรกที่มีการจัดจ าแนก สิ่งมีชีวิต จนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 18 ตัวอย่างเช่น การจัดจ าแนกพืชโดยอาศัยลักษณะวิสัย (habit) ออกเป็น ไม้ยืนต้น ไม้พุ่ม หรือไม้ล้มลุก การจัดจ าแนกพืชโดยพิจารณาถึงการใช้ประโยชน์ ออกเป็น พืชอาหาร พืชที่ใช้เป็น ยารักษาโรค หรือพืชมีพิษ เป็นต้น 2. ระบบธรรมชาติ (Natural system) เป็นระบบการจัดจ าแนกที่พิจารณาจากลักษณะต่างๆ ทั้งลักษณะภายนอกและ ลักษณะภายในของพืชที่ปรากฏร่วมกันให้มากลักษณะที่สุดเท่าที่จะท าใต้แล้วน ามาจัดหมวดหมูให้สอดคล้องกันกับที่เป็น จริงในธรรมชาติ ระบบนี้เริ่มใช้ตั้งแต่ประมาณกลางคริสต์ศตวรรษที่ 18 3. ระบบสายสัมพันธ์ทางวิวัฒนาการ (Phylogenetic system) เป็นระบบการจัดจ าแนกที่น าเอาระบบธรรมชาติมาใช้ ร่วมกับการพิจารณาถึงความสัมพันธ์ทางวิวัฒนาการ ระบบนี้มีการจัดเรียงว่าสิ่งมีชีวิตชนิดไหนเกิดขึ้นก่อนหรือหลัง ซึ่ง ท าให้มองเห็นความเกี่ยวเนื่องของสิ่งมีชีวิตกลุ่มต่าง ๆ ได้ชัดเจน ปัจจุบัน นักพฤกษศาสตร์ และนักวิทยาศาสตร์ด้าน อนุกรมวิธาน ใช้ระบบนี้ในการจัดจ าแนกมีชีวิต ส าหรับพืชดอก (angiosperms หรือ flowering plants) 1. ลักษณะทางสัณฐานวิทยา (Morphology) และกายวิภาค (Anatomy) ทั้งที่เป็น Homologous structure และ Analogous structure 2. แบบแผนและลักษณะการเจริญเติบโตของตัวอ่อน (Embryology) 3. สายความสัมพันธ์ทางวิวัฒนาการ (Evolution) 4. ลักษณะและการถ่ายทอดทางพันธุกรรม (Genetic) 5. ขบวนการทางสรีรวิทยา การสืบพันธุ์ การด ารงชีพ การกระจายพันธุ์ และพฤติกรรม 6. สารเคมีที่สร้างขึ้น
การจัดจ าแนกสิ่งมีชีวิตออกเป็นหมวดหมู่ มีล าดับขั้นจากกลุ่มใหญ่ลงไปหากลุ่มเล็กจนถึงระดับสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิด แต่ละล าดับขั้นเรียกว่า Taxonomic..rank หรือ Taxonomic unit (Taxon, Taxa (พหูพจน์) ดังนี้ อาณาจักร (Kingdom) หมวด (Division / Phylum) ชั้น (Class) อันดับ (Order) วงศ์ (Family) เผ่า (Tribe) สกุล (Genus) หมู่ (Section) ชุด (Series) ชนิด (Species) พันธุ์ (Variety) แบบ (Form) ระหว ่างแต่ละ Taxonomic..rank..อาจแบ่งให้เป็นหน่วยย่อย โดยเติม 'sub’ ข้างหน้า หรือแบ่งให้เป็นหน่วยสูงขึ้น โดยเติม 'super' ข้างหน้า เช่น subclass, superorder, subfamily, subgenus, subspecies เป็นต้น
บทที่ 2
ชนิดของราก 1. รากแก้ว (Primary root หรือ Tap root) เป็นรากที่เจริญมาจาก Radicle ของเอ็มบริโอ แล้วพุ่งลงสู่ดิน โคนรากจะใหญ่แล้วค่อย ๆ เรียวไปจนถึงปลายราก พืชหลายชนิดมีรากแก้วเป็นรากส าคัญตลอดชีวิต 2. รากแขนง (Secondary root หรือ Lateral root) เป็นรากที่เจริญมาจากเพริไซเคิล ของรากแก้ว การเจริญเติบโตของรากชนิดนี้ จะขนานไปกับพื้นดินและสามารถแตกแขนงได้เรื่อยไป 3. รากฝอย (Fibrous root) เป็นรากที่งอกออกจากโคนล าต้น เพื่อแทนรากแก้วที่ฝ่อไป พบมากในพืชใบเลี้ยงเดี่ยว เช่น รากข้าว ข้าวโพด หญ้า หมาก มะพร้าว เป็นต้น 4. รากค ้าจุน (Prop root หรือ Buttress root) เป็นรากที่งอกจากโคนต้นหรือกิ่งบนดินแล้วหยั่งลงดินเพื่อพยุงล าต้น เช่น รากข้าวโพด ที่งอกออกจากโคนต้น รากเตย ล าเจียกไทรย้อย แสม โกงกาง 5. รากเกาะ (Climbing root) เป็นรากที่แตกออกจากข้อของล าต้นมาเกาะตามหลัก เพื่อชูล าต้นขึ้นสูง เช่น รากพลู พริกไทย กล้วยไม้ พลูด่าง เป็นต้น 6. รากหายใจ (Pneumatophore หรือ Aerating root) เป็นรากที่ยื่นขึ้นมาจากดินหรือน ้าเพื่อรับออกซิเจน เช่น รากล าพู แสม โกงกาง และรากส่วนที่อยู่ในนวมคล้ายฟองน ้าของผักกระเฉดก็เป็นรากหายใจโดยนวมจะเป็นที่เก็บอากาศและเป็นทุ่นลอยน ้าด้วย 7. รากปรสิต (Parasitic root) เป็นรากของพืชพวกปรสิตที่สร้าง Haustoria แทงเข้าไปในล าต้นของพืชที่เป็นโฮสต์ เพื่อแย่งน ้าและ อาหารจากโฮสต์ เช่น รากกาฝาก ฝอยทอง เป็นต้น 8. รากสังเคราะห์ด้วยแสง (Photosynthetic root) เป็นรากที่แตกจากข้อของล าต้นหรือกิ่ง และอยู่ในอากาศจะมีสีเขียวของ คลอโรฟิลล์จึงช่วยสังเคราะห์ด้วยแสงได้ เช่น รากกล้วยไม้ นอกจากนี้รากกล้วยไม้ยังมีนวม (Velamen) หุ้มตามขอบนอกของรากไว้เพื่อ ดูดความชื้นและเก็บน ้า 9. รากสะสมอาหาร (Food storage root) เป็นรากที่สะสมอาหารพวกแป้งโปรตีน หรือน ้าตาลไว้ จนรากเปลี่ยนแปลงรูปร่างมีขนาด ใหญ่ซึ่งมักจะเรียกกันว่า “หัว” เช่น หัวแครอท หัวผักกาด หรือหัวไชเท้า หัวผักกาดแดงหรือแรดิช (Radish) หัวบีท (Beet root) และ หัวมันแกว เป็นรากสะสมอาหารที่เปลี่ยนแปลงมาจากรากแก้ว ส่วนรากสะสมอาหารของมันเทศ รักเร่ กระชาย เปลี่ยนแปลงมาจาก รากแขนง 10. รากหนาม (Thorn Root) เป็นรากที่มีลักษณะเป็นหนามงอกมาจากบริเวณโคนต้น ตอนงอกใหม่ ๆ เป็นรากปกติแต่ต่อมาเกิด เปลือกแข็งท าให้มีลักษณะคล้ายหนามแข็ง ช่วยป้องกันโคนต้นได้ ปกติพบในพืชที่เจริญในที่น ้าท่วมถึง เช่น โกงกาง ส่วนในปาล์มบาง ชนิดจะปรากฏรากหนามกรณีที่มีรากลอยหรือรากค ้าจุน ชนิดของล าต้น ล าต้นแบ่งได้เป็น 2 ชนิด ตามต าแหน่งที่อยู่ คือ ล าต้นเหนือดิน (Aerial stem) และล าต้นใต้ดิน (Underground stem) ล าต้นเหนือดิน ( Aerial stem ) 1. creeping stem เป็นล าต้นที่ทอดหรือเลื้อย ขนานไปตามผิวดินหรือน ้าทั้งนี้เพราะล าต้นอ่อนไม่สามารถตั้งตรงอยู่ได้ตามข้อ มักมีรากงอกออกมาแล้วแทงลงไปในดินเพื่อช่วยยึดล าต้น ให้แน่นอยู่กับที่ได้ แขนงที่แยกไปตามพื้นดินหรือพื้นน ้าดังกล่าวนั้น เรียกว่า stolon หรือ Runner ได้แก่ ผักบุ้ง ผักกะเฉด ผักตบชวา แตงโมฟักทอง และสตอเบอรี่ 2. Climbing stem เป็นล าต้นที่เลื้อยหรือไต่ขึ้นที่สูง พืชพวกนี้มักมีล าต้นอ่อนเช่นเดียวกับพวกแรก แต่ถ้ามีหลักหรือต้นไม้ที่มีล าต้นตรง อยู่ใกล้ๆมันอาจจะไต่ขึ้น ที่สูงด้วยวิธีต่างๆ สามารถจ าแนกออกเป็นชนิดต่างๆตามลักษณะของการไต่ได้ดังนี้ 2.1 twining stem เป็นล าต้นที่ไต่ขึ้นที่สูงโดยใช้ล าต้นพันหลักเป็นเกลียวไปเช่นต้นถั่วต้นบอระเพ็ดและเถาวัลย์ต่างๆ 2.2 tendril stem เป็นล าต้นที่ดัดแปลงไปเป็นมือเกาะ(tendril) ส าหรับพันหลักเพื่อไต่ขึ้นที่สูง ส่วนของเทนดริลจะบิดเป็นเกลียว คล้ายลวดสปริงเพื่อให้ยืดหยุ่นเมื่อลมพัดยอด เอนไปมา เทนดริลก็จะยืดและหดได้ เช่น ต้นองุ่น บวบ น ้าเต้า ฟักทอง แตงกวา 2.3 root climbing เป็นล าต้นที่ไต่ขึ้นที่สูงโดยใช้รากที่งอกออกมาตามข้อยึดกับหลักหรือต้นไม้ เช่น พริกไทย ต้นพลู เป็นต้น 2.4 stem spine เป็นล าต้นที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นหนามรวมทั้งขอเกี่ยว(hook) ส าหรับไต่ขึ้นที่สูง และป้องกันอันตรายได้ด้วย เช่น เฟื่องฟ้า มะนาว มะกรูดพวกส้มต่างๆ ไผ่ และไมยราบ ต้นกระดังงา 3. Cladophyll เป็นล าต้นที่เปลี่ยนไปมีลักษณะคล้ายใบ ท าหน้าที่แทนใบโดยมีสีเขียวและสังเคราะห์แสงได้ เช่น สนทะเล พญาไร้ใบ กระบองเพชร
ล าต้นใต้ดิน (Underground stem) 1. เหง้า ( rhizome or root stock) เป็นล าต้นใต้ดินที่มักเจริญในแนวขนานกับผิวดิน อาจมีลักษณะกลมแตกติดต่อกันหรือกลมยาว มีข้อและปล้องสั้นๆ มีใบเกล็ดหุ้มตาไว้ ตาอาจแตกแขนงเป็นล าต้นใต้ดินหรือล าต้น และใบแทงขึ้นเหนือดินมีส่วนรากแทงลงดิน ได้แก่ ขมิ้น ขิง ข่า พุทธรักษา 2. Tuber เป็นล าต้นใต้ดินสั้นๆ ประกอบด้วยข้อและปล้อง 3-4 ปล้องไม่มีใบล าต้นมีอาหารสะสม ท าให้อวบกลม มีตาอยู่โดยรอบเกล็ด บริเวณปล้องมีตาซึ่งตามักจะบุ๋มลงไป ตาเหล่านี้สามารถงอกเป็นต้นใหม่ได้ ได้แก่ มันฝรั่ง มันหัวเสือ 3. Bulb เป็นล าต้นใต้ดินที่ตั้งตรงมีข้อปล้อง สั้นมากตามปล้องมีใบเกล็ด (Scale Leaf) ท าหน้าที่สะสมอาหารซ้อนห่อหุ้มล าต้นไว้ หลายชั้นจนเห็นเป็นหัวลักษณะกลมใบชั้นนอกสุดจะลีบแบนไม่สะสมอาหาร ส่วนล่างของล าต้นมีรากเป็นกระจุก เช่น หอม กระเทียม พลับพลึง ว่านสี่ทิศหัวกลม 4..Corm เป็นล าต้นใต้ดินที่มีล าต้นตั้งตรง ลักษณะกลมยาวหรือกลมแบนมีข้อปล้องเห็นชัดตามข้อมีใบเกล็ดบางๆ หุ้ม ล าต้นสะสม อาหารท าให้อวบกลมมีตาตามข้อสามารถงอกเป็นใบโผล่ขึ้นเหนือดินหรือ อาจแตกเป็นล าต้นใต้ดินต่อไปได้ด้านล่างของล าต้นมีรากฝอย เส้นเล็กจ านวนมาก ได้แก่ เผือก แห้ว บัวสวรรค์ ซ่อนกลิ่น รูปร่างใบ (Leaf Shape) รูปเข็ม (acicular, needle shaped) แผ่นใบคล้ายรูปเข็ม มีความยาวมากและแคบ รูปแถบ (linear) แผ่นใบยาวและแคบ ขอบของแผ่นใบทั้งสองข้างเกือบขนานกันตลอด รูปขอบขนาน (oblong) แผ่นใบที่มีขอบใบทั้งสองข้างขนานกัน ปลายทั้งสองด้านกลมหรือมน คล้ายรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า รูปรี (elliptic) แผ่นใบมีความกว้างมากที่สุดตรงกลางแผ่นแล้วค่อยๆเรียวไปทางปลายและฐานใบ รูปใบหอก (lanceolate) แผ่นใบมีฐานใบกว้างแล้วค่อยๆเรียวไปทางปลายใบ รูปใบหอกกลับ (oblanceolate) แผ่นใบคล้ายรูปใบหอกแต่กลับหัว รูปไข่ (ovate) แผ่นใบรูปคล้ายไข่ ซึ่งมีส่วนกว้างที่สุดของแผ่นใบค่อนมาทางฐานใบแล้วค่อยๆเรียวไปทางปลายใบ รูปไข่กลับ (obovate) แผ่นใบมีด้านป้านอยู่ทางด้านบนฐานใบ แคบและปลายใบกว้าง รูปหัวใจ (cordate) แผ่นใบมีส่วนกว้างใกล้ฐานใบแล้วค่อยเรียวแหลมไปทางปลายใบ ก้านใบติดตรงฐานใบที่เว้าเข้าไป รูปหัวใจกลับ (obcordate) แผ่นใบคล้ายรูปหัวใจแต่หัวกลับ รูปสามเหลี่ยม (deltoid) แผ่นใบคล้ายรูปสามเหลี่ยมด้านเท่า โดยด้านหนึ่งของสามเหลี่ยมเป็นด้านฐานใบ รูปคล้ายสามเหลี่ยม (obdeltoid) แผ่นใบคล้ายรูปสามเหลี่ยมแต่หัวกลับ รูปลิ่ม (cuneate) แผ่นใบมีฐานใบแหลมและกว้างออกตรงปลายใบ ก้านใบติดตรงปลายแหลม รูปไต (reniform) แผ่นใบรูปร่างคล้ายไต หรือเมล็ดถั่ว ก้านใบติดอยู่ที่ฐานของรอยเว้า รูปโล่ (peltate) แผ่นใบรูปกลมคล้ายโล่ ก้านใบติดตรงกลางด้านท้องใบ รูปวงกลม (orbicular) หรือเกือบกลม (rotund) แผ่นใบมีลักษณะกลมแบนก้านใบติดตรงกลางของฐานใบ รูปช้อน (spathulate, spatulate) แผ่นใบมีฐานของแผ่นใบเรียวยาว ปลายแผ่นใบมนและกว้างกว่าด้านฐานแผ่นใบ รูปเงี่ยงใบหอก (hastate, halberd-shaped) แผ่นใบคล้ายลูกศร ฐานใบสองข้างกางออกท ามุม 90 องศากับแกน รูปหัวลูกศร (sagittate) แผ่นใบคล้ายลูกศร ฐานใบเว้าเป็นพูและโค้งเข้าหาก้านใบ รูปจันทร์เสี้ยว (lunate) แผ่นใบคล้ายรูปพระจันทร์เสี้ยว รูปไวโอลิน (pandurate) แผ่นใบที่รูปร่างคล้ายไวโอลิน รูปพัด (flabellate) แผ่นใบที่รูปร่างคล้ายพัด เช่นใบแป๊ะก๋วย รูปพัด (fan-shaped) แผ่นใบคล้ายพัดแต่หยักลึก เช่น ใบปาล์ม รูปลิ่มแคบ (subulate) แผ่นใบคล้ายแผ่นใบรูปลิ่มแต่แคบกว่า รูปแฉกแบบนิ้วมือ (palmalifid) แผ่นใบที่หยักคล้ายนิ้วมือ โดยหยักลึกประมาณครึ่งหนึ่งของระยะจากขอบใบถึงเส้นกลางใบ รูปหยักแบบขนนก(pinnatifid) แผ่นใบหยักคล้ายขนนก โดยหยักลึกประมาณครึ่งหนึ่งของระยะจากขอบใบถึงเส้นกลางใบ รูปหยักลึกสุดแบบขนนก (pinnatisect) แผ่นใบหยักคล้ายขนนก โดยหยักลึกเกือบถึงเส้นกลางใบ รูปคล้ายสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด (rhomboid) แผ่นใบคล้ายรูปไข่แต่ไม่มน มีเหลี่ยมที่มุมสี่มุม
ชนิดของใบประกอบ ใบประกอบแบบนิ้วมือ (palmately compound leaf) ใบประกอบที่ใบย่อยแตกออกจากปลายของก้านใบมีลักษณะแบบนิ้วมือ ใบประกอบแบบขนนก (pinnately compound leaf) ใบประกอบที่ใบย่อยเรียงออกจากแกนกลาง (rachis) เป็นคู่ตรงข้ามหรือสลับ ใบประกอบแบบขนนกปลายใบคี่ (odd-pinnately compound leaf, imparipinnate) ใบประกอบแบบขนนกชั้นเดียวที่ปลายใบ ประกอบมีใบย่อยหนึ่งใบ ใบประกอบแบบขนนกปลายใบคู่ (even-pinnately compound leaf, paripinnate leaf) ใบประกอบแบบขนนกชั้นเดียวที่ปลายใบ ประกอบมีใบย่อยออกเป็นคู่ ใบประกอบแบบขนนกสองชั้น (bipinnately compound leaf) เช่น ใบนนทรี หางนกยูงไทย ใบประกอบแบบขนนกสามชั้น (tripinnately compound leaf) เช่น ใบมะรุม ปีบ ใบเปลี่ยนแปลงไปท าหน้าที่พิเศษ (Modified Leaf) ใบมือเกาะ (leaf tendrils) ใบ ใบย่อย หรือบางส่วนของใบที่เปลี่ยนแปลงไปท าหน้าที่ยึดเกาะ เช่น ใบพวงแสด ใบหวายลิง ใบหนาม (spinose leaf) ใบที่เปลี่ยนแปลงไปเพื่อท าหน้าที่ป้องกันอันตรายและลดการคายน ้า เช่น ใบกระบองเพชร ใบกินแมลง (insectivorous leaf) ใบที่เปลี่ยนแปลงไปท าหน้าที่จับแมลงหรือสัตว์เล็กๆ เพื่อน าสารอาหารที่ได้มาใช้ในการด ารงชีวิต เช่น ใบหม้อข้าวหม้อแกงลิง ใบสะสมอาหาร (storage leaf) ใบที่หนาและอวบ ท าหน้าที่เก็บสะสมอาหารหรือน ้า เช่น ใบกุหลาบหิน หอม กระเทียม ใบขยายพันธุ์ (reproductive leaf) ใบที่เปลี่ยนแปลงไปช่วยในการขยายพันธุ์ เช่น ใบคว ่าตายหงายเป็น ชนิดของดอก 1. จ าแนกตามโครงสร้างชั้นเกสรเพศในดอกไม้ แบ่งได้ 2 ชนิด คือ - ดอกสมบูรณ์เพศ (Perfect Flower) คือ ดอกไม้ที่มีเกสรเพศผู้และเกสรเพศเมียอยู่ในดอกเดียวกัน เช่น ชบา พู่ระหง พุทธรักษา เป็นต้น - ดอกไม่สมบูรณ์เพศ (Imperfect Flower) คือ ดอกที่มีเกสรเพียงเพศเดียว โดยที่ภายในดอกไม้หนึ่งดอกจะมีเพียงแค่เกสรเพศใดเพศหนึ่ง เท่านั้น ท าให้พืชเหล่านี้มีดอกไม้ที่แบ่งเป็นดอกเพศผู้ (Staminate Flower) และดอกเพศเมีย (Pistillate Flower) เช่น ต าลึง ข้าวโพด ฟักทอง และแตงกวา เป็นต้น 2. จ าแนกตามส่วนประกอบโครงสร้างของดอกไม้ แบ่งได้ 2 ชนิด คือ - ดอกสมบูรณ์ (Complete..Flower) คือ ดอกครบส่วน หรือดอกไม้ที่มีโครงสร้างทั้ง 4 ชั้นครบสมบูรณ์ในดอกเดียว ไม่ว่าจะเป็นชั้นกลีบ เลี้ยง (Calyx) ชั้นกลีบดอก (Corolla) ชั้นเกสรเพศผู้ (Androecium) และชั้นเกสรเพศเมีย (Gynaecium) เช ่นที่ปรากฏในดอกชบา กุหลาบ แค มะเขือ และพู่ระหง เป็นต้น - ดอกไม่สมบูรณ์ (Incomplete Flower) คือ ดอกไม่ครบส่วน หรือดอกไม้ที่มีส่วนประกอบทั้ง 4 ชั้นไม่ครบสมบูรณ์ในดอกเดียว โดยขาด ส่วนใดส่วนหนึ่งไป เช่น ดอกบานเย็นที่ขาดชั้นกลีบดอก ดอกหน้าวัวและดอกอุตพิดที่ขาดกลีบเลี้ยงและกลีบดอก เป็นต้น 3. จ าแนกตามจ านวนของดอกบนก้านดอก แบ่งได้ 2 ชนิด คือ - ดอกเดี่ยว (Solitary Flower) คือ การมีดอกไม้เพียงดอกเดียวปรากฏบนหนึ่งก้านดอก ซึ่งเป็นดอกที่พัฒนามาจากตาดอก 1 ตา เกิดเป็น ดอกไม้ 1 ดอกบนก้านดอก 1 ก้าน เช่น ฟักทอง จ าปี ชบา และบัว เป็นต้น - ดอกช่อ (Inflorescence Flower) คือ กลุ่มของดอกไม้หลายดอกที่ปรากฏอยู่บนก้านดอกเดียวกัน โดยแต่ละดอกจะมีดอกย่อย (Floret) และมีใบประดับ (Bract) บริเวณโคนก้านดอกย่อย (Pedicel) ที่ตั้งอยู่บนฐานของก้านช่อดอก 4. จ าแนกตามต าแหน่งของรังไข่ แบ่งได้ 3 ชนิด คือ - ดอกที่มีรังไข่อยู่เหนือฐานรองดอก (Hypogynous Flower) คือ ดอกที่มีฐานรองดอกนูนสูง เกสรเพศเมียจึงอยู่สูงกว่าส่วนของกลีบเลี้ยง และกลีบดอก เช่น ดอกมะเขือ จ าปี ยี่หุบ และบัว - ดอกที่มีรังไข่อยู่เสมอกับฐานรองดอก (Perigynous Flower) คือ ดอกที่มีส่วนของกลีบเลี้ยง กลีบดอกและเกสรเพศผู้อยู่ติดบนฐานรอง ดอกในระดับเดียวกับรังไข่ เพราะลักษณะที่โค้งคล้ายรูปถ้วยของฐานรองดอก เช่น กุหลาบ และพืชตระกูลถั่วบางสายพันธุ์ - ดอกที่มีรังไข่อยู่ใต้ฐานรองดอก (Epigynous flower) คือ ดอกที่ส่วนของกลีบเลี้ยง กลีบดอก และเกสรเพศผู้ติดบนฐานรองดอกที่อยู่ เหนือเกสรเพศเมีย เช่น แตงกวา บวบ ฟักทอง และชมพู่ เป็นต้น
ชนิดของผล จากการศึกษาโครงสร้างของดอกและรังไข่พบว่า พืชดอกแต่ละชนิดมีลักษณะโครงสร้างของดอก จ านวนและต าแหน่งของรังไข่ แตกต่างกันออกไป ถ้าหากจ าแนกผลตามกระบวนการเกิดผลเป็นเกณฑ์สามารถจ าแนกได้เป็น 3 ประเภท ดังนี้ 1. simple fruit 2. aggregate fruit และ 3. multiple fruit ผล หน้าที่ ผลเดี่ยว ผลกลุ่ม ผลรวม คือ ผลที่เกิดจากรังไข่ ของดอกแต่ละดอกของ ดอกช่อซึ่งเชื่อมรวมกันแน่น รังไข่เหล ่านี้จะกลายเป็นผล ย่อย ๆ เชื่อมรวมกันแน่นจนคล้ายเป็นผลเดี่ยวโดยลักษณะของดอกที่จะกลายเป็นผลรวมนั้น จะเป็นดอกช่อที่มี รังไข่ของดอกย่อย แต่ละดอกมาเชื่อมรวมกัน ได้แก่ ผลสับปะรด ขนุน สาเก ยอ หม่อน มะเดื่อ เป็นต้น คือ ผลที่เกิดจากรังไข่หลายรังไข่หรือกลุ่มของรังไข่ ในดอกเดียวกันของดอกเดี่ยว รังไข่แต่ละอัน ก็จะกลายเป็นผลย่อยหนึ่งผล เช่น ผลน้อยหน่า สตรอเบอรี เป็นต้น คือ ผลที่เกิดมาจากรังไข่อันเดียวในดอกเดียวกัน ดอกอาจเป็นดอกเดี่ยวหรือดอกช่อก็ได้ โดย ลักษณะของดอกเดี่ยวที่จะกลายเป็นผลเดี่ยวนั้น จะต้องเป็นดอก 1 ดอก และมีรังไข่ 1 อัน เช่น ส้ม มะเขือ ฟักทอง แอปเปิ้ล เป็นต้น ห่อหุ้มต้นอ่อนและเมล็ด เป็นผนังชั้นนอกสุดที่จะเจริญเป็นเปลือกของผล และมีหน้าที่ในการแพร่พันธุ์โดยวิธีการ ต่างๆ ตามลักษณะเมล็ดพืช
บทที่ 3
วิกฤติโควิด-19 ท าให้ทั ่วโลกต้องประสบกับปัญหาเศรษฐกิจตกต ่า เพราะระบบขนส่งมีปัญหา ส่งผลต่อธุรกิจ น าเข้าและส่งออก เป็นผลพวงให้รายได้จากผลผลิตทางการเกษตรลดลงตามไปด้วย ส่งผลให้ภาวะเศรษฐกิจของภาค การเกษตรเกิดการหดตัว หลังจากที่ต้นปีมานี้ทั่วโลกได้รับข่าวดีเกี่ยวกับวัคซีนโรคโควิดเหมือนเป็นปีแห่งความหวัง หลายๆ ฝ ่ายคาดการณ์ว ่าเศรษฐกิจการเกษตรน่าจะขยายตัวพลิกฟื้นขึ้นมาได้ แล้วพืชเศรษฐกิจชนิดไหนบ้างที ่มี แนวโน้มการเติบโต ได้แก่ 1.ยางพารา ยังเป็นพืชที่น่าจับตามองเพราะตลาดยังมีความต้องการ เพื ่อใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตถุงมือยาง ที่นอน หมอน แผ่นยาง และภาครัฐก็มีนโยบายส่งเสริมให้น าเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อต่อยอดและเพิ่มมูลค่ายาง ในอีกหลายๆ ผลิตภัณฑ์ ประเทศไทยสามารถปลูกต้นยางพาราได้ทั่วประเทศ ยางพาราเจริญเติบโตได้ดีในดินที่เป็นดิน ร่วนเหนียวถึงร่วนทราย บนพื้นดินที่มีความสูงจากระดับน ้าทะเลไม่เกิน 500 เมตร และต้องได้รับปริมาณน ้าที่เพียงพอ คือน ้าฝนต้องไม่น้อยกว่า 1,250 มิลลิเมตรต่อปี ส าหรับในพื้นที่ที่สภาพเนื้อดินไม่เหมาะสม เช่น มีเนื้อดินเหนียวแน่น เกินไป ก่อนปลูกต้องปรับสภาพดิน โดยการเติมอินทรียวัตถุ ได้แก่ ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก ช่วยให้ดินร่วนซุยขึ้นก่อน และ หลังจากปลูกให้ลดการสูญเสียน ้า โดยการใช้ฟางหรือหญ้าคลุมดินในช่วงยางมีอายุน้อยกว่า 2 ปี 2.ปาล์มน ้ามัน เป็นพืชที่มีความต้องการใช้ทั้งภายในและต่างประเทศ เนื่องจากต้องใช้เป็นวัตถุดิบด้านเชื้อเพลิง ปาล์มน ้ามันนั้นปลูกได้ดีในพื้นที่มีฝนตกชุกตลอดทั้งปี ชอบสภาพอากาศร้อน มีแสงแดด มีความชื้นสูง และชอบดินที่มี ธาตุอาหารสูง ลักษณะเนื้อดินเป็นดินร ่วนเหนียวถึงดินเหนียว ในประเทศไทยสภาพภูมิประเทศและภูมิอากาศ ที่เหมาะส าหรับการปลูกปาล์ม คือภาคใต้ของประเทศไทย แต่อย่างไรก็ดี แม้ภาคใต้จะมีพื้นที่ที่เหมาะสม แต่ก่อนปลูก จะต้องจัดการพื้นที ่ให้เหมาะสม ทั้งการยกร ่อง และท าทางระบายน ้า แม้ปาล์มจะชอบน ้าแต ่ก็ไม ่ชอบน ้า ท่วมขัง รวมถึงท าเส้นทางถนนเพื่อให้ง่ายในการขนส่ง และระหว่างเก็บเกี่ยวก็ต้องให้ปุ๋ยที่มีแร่ธาตุที่จ าเป็นอย่างเพียงพอด้วย 3.พริกจินดา เป็นอีกหนึ่งพืชเศรษฐกิจที่ก าลังมาแรง ทั้งความต้องการในและต่างประเทศ นอกจากน าผลสุกไป ปรุงอาหาร พริกยังถูกใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตพริกแห้ง พริกป่น ซอสพริกด้วย พริกเป็นพืชที่ทนแล้งได้พอสมควร ส าหรับพื้นที่ปลูกพริกในประเทศไทยนั้น จะนิยมปลูกในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือ ภาคตะวันออก เพราะมีช่วงหน้าแล้งที่ยาวกว ่า และมีสภาพดินที่เหมาะสมคือดินร่วนปนทราย ก่อนปลูกต้องมีการไถซุย หน้าดิน ท าร่องระบายน ้า และเตรียมพันธุ์ให้แข็งแรงก่อนน าปลูกในพื้นที่จริง ระยะห่างอย่างน้อย 50 เซนติเมตร ขึ้นอยู่กับ ขนาดพุ่มของสายพันธุ์ ดูแลโดยการ ให้น ้า ใส่ปุ๋ย ก าจัดวัชพืช และหมั่นเช็คดูแลป้องกันโรค 4.มะละกอ เป็นพืชเศรษฐกิจที่มีความต้องการภายในประเทศสูง ทั้งมะละกอที่ทานผลดิบ น ามาเป็นวัตถุดิบ ท าอาหาร โดยเฉพาะ “ส้มต า” เมนูที่คนไทยนิยมทานกันทั่วประเทศ มะละกอทานสุก จัดเป็นอีกหนึ่งผลไม้ที่คนไทย นิยมทาน เพราะให้สารอาหารที่มีประโยชน์สูง นอกจากนี้ มะละกอยังถือว่าเป็นพืชสมุนไพร ทั้ง ใบ ราก ยาง ผลดิบ และผลสุก สามารถน ามาท ายาได้หลายขนาน มะละกอเป็นพืชที่ชอบดินร่วนซุย และไม่ทนน ้าขัง นิยมปลูกในภาค ตะวันออกเฉียงเหนือ เพราะเป็นพื้นที่ที่มีฝนน้อย เตรียมดินโดยการไถพรวน ยกร่อง เตรียมเพาะต้นกล้าใ ห้แข็งแรง ก่อนลงปลูก ดูแลโดยการให้น ้า ใส่ปุ๋ยคอก ปุ๋ยเคมี ดูแลวัชพืช และคัดเลือกเพศ 5.ไผ่ เป็นพืชเศรษฐกิจที่คนเริ่มกลับมาให้ความสนใจ เพราะสามารถใช้ท าอาหาร และต้นก็ใช้ท าเฟอร์นิเจอร์ ท าที่ อยู่อาศัยได้ ต่อยอดไปเป็นสู่พลังงานได้ ไผ่มีหลากหลายสายพันธุ์ ส่วนใหญ่จะทนแล้งสูง บางพันธุ์ต้องการดินน ้าอุดม สมบูรณ์เพื่อให้ออกหน่อทั้งปี ไผ่ปลูกได้ทั่วประเทศไทย ส าหรับเกษตรกรที่ก าลังมองหาพืชเศรษฐกิจสักตัวมาปลูก ให้พิจารณาสภาพดิน สภาพอากาศดูว่าเหมาะสมกับพืชตัวไหน อย่างไรก็ดีอย่าลืมเตรียมแหล่งน ้า เพราะพืชทุกชนิด ต้องการน ้าเป็นพื้นฐาน จึงควรเลือกพื้นที่ ที่จะเพาะปลูกและเตรียมดินให้เหมาะสมกับพืชแต่ละชนิด (Noparut arayadamrongkul, 2021)
พืชเศรษฐกิจ หมายถึง พืชที่มีความส าคัญต่อการด ารงชีวิต สามารถน าไปใช้ในการอุปโภคบริโภค เป็นแหล่ง อาหารและพลังงานของมนุษย์และสัตว์มีลักษณะเด่นทางการค้าทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ สามารถปลูก เป็นอาชีพ สร้างรายได้ให้กับเกษตรกรและประเทศได้ ความหมายของเขตเหมาะสมส าหรับการปลูกพืชเศรษฐกิจ เขตเหมาะสมส าหรับการปลูกพืชเศรษฐกิจ หมายถึง พื้นที่เกษตรกรรมที่มีความเหมาะสมทางกายภาพปานกลางถึงสูงในการปลูกพืชเศรษฐกิจซึ่งปลูกอยู ่ในปัจจุบัน ส าหรับ พื้นที่อื่นที่มีความเหมาะสมเล็กน้อยและไม่เหมาะสม จะพิจารณาปรับเปลี่ยนในการปลูกพืชที่เหมาะสมกว่า และอยู่นอกเขตป่าไม้ตามกฎหมาย ความส าคัญของพืชเศรษฐกิจ สามารถแบ ่งออกได้ 2 ประเด็น 1) ความมั ่นคงทางอาหารของโลก คาดว ่า มีแนวโน้มจะเป็นปัญหาส าคัญด้านความต้องการพืชอาหารที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากการเพิ่มขึ้นของประชากรโลก แต ่การผลิตพืชอาหารในปัจจุบันต้องประสบปัญหาด้วยข้อจ ากัดด้านพื้นที ่ เทคโนโลยีที ่มีอยู ่ไม ่สามารถเพิ ่ม ประสิทธิภาพการผลิต และลดต้นทุนการผลิต บางครั้งผลิตเกินความต้องการของตลาด ท าให้ราคาสินค้าเกษ ตร ตกต ่า และ 2) ความมั่นคงด้านพลังงาน ประเทศไทยยังขาดความมั่นคงด้านพลังงานเนื่องจากมีการน าเข้าน ้า มัน เชื้อเพลิงปีละไม่ต ่ากว่า 1 ล้านล้านบาท ประเทศไทยต้องก าหนดนโยบายพลังงานทดแทนจากพืช เศรษฐกิจ โดยใช้ อ้อย (กากน ้าตาล) และมันส าปะหลัง ในการผลิตเอทานอล เพื่อน ามาผลิตน ้ามันแก๊สโซฮอล และปาล์มน ้ามันเพื่อ ผลิตไบโอดีเซล เป็นต้น (กิตตินันท์ วรอนุวัฒนกุล, 2559) การปลูกพืชเศรษฐกิจลุ่มน ้าโขง ในประเทศไทย ถือเป็นอาชีพส าคัญของเกษตรกรในแต่ละปีที่สามารถท ารายได้ ให้แก่ผู้ผลิตและประเทศเป็นจ านวนมาก ซึ่งแบ่งเป็น เกษตรริมฝั่ง เกษตรริมตลิ่ง พืชยืนต้น พืชล้มลุก พืชผล และ อื่นๆ เป็นต้น แต่การผลิตและการตลาดมีความไม่แน่นอน มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา นอกจากนี้ยังมีการแข่งขัน กันด้านการตลาดและมีประเทศคู่แข่ง จึงจ าเป็นต้องศึกษาด้านการผลิตและการตลาดในอดีตจนถึงปัจจุบัน รวมทั้ง การคาดการณ์ในอนาคต เพื่อให้ทราบข้อมูลที่เกิดขึ้นและวิเคราะห์ความเป็นไปได้ของการผลิต รวมทั้งแนวโน้มและ การคาดการณ์ด้านการผลิตและการตลาดทั้งตลาดภายในประเทศและตลาดต่างประเทศเพื่อใช้เป็นข้อมูลในการ พิจารณาประกอบการตัดสินใจในการปลูกพืชเศรษฐกิจ สินค้าเกษตร เนื้อที่เพาะปลูก (ไร่) เนื้อที่เก็บเกี่ยว (ไร่) ผลผลิต (ตัน) ผลผลิตต่อเนื้อที่ เพาะปลูก (กก./ไร่) ผลผลิตต่อเนื้อที่ เก็บเกี่ยว (กก./ไร่) มันส าปะหลัง 3,369,178 3,280,142 11,381,884 3,378 3,470 ข้าวนาปรัง 2,182,114 2,173,769 1,282,020 588 590 ล าไย 914,193 894,195 661,689 724 740 ลิ้นจี่ 92,038 89,929 46,151 501 513 เงาะ 34,874 28,684 16,564 475 577 ที่มา: ส านักงานเศรษฐกิจการเกษตร | พื้นที่แม่น ้าโขง ผลผลิตสินค้าทางการเกษตรพื้นที่ลุ่มแม่น ้าโขง รวมสูงสุด 5 อันดับแรก ปี พ.ศ. 2565
ตารางแสดงร้อยละและปริมาณผลผลิตพืชตัวอย่าง ได้แก่ กระเทียม หอมแดง ข้าวโพดหวาน และหน่อไม้ฝรั ง ระดับประเทศ และระดับภาค ปี 2563-2564 โดยจะมุ่งเน้นที ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ปี พ.ศ. ชนิดพืช รวมทั้งประเทศ/ภาค รายการ รวม ร้อยละ/ตัน 2563-2564 กระเทียม รวมทั้งประเทศ ร้อยละ 100.00 ปริมาณ 75,444 ภาคเหนือ ร้อยละ 100.00 ปริมาณ 74,533 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยละ 100.00 ปริมาณ 911 2563-2564 ข้าวโพดหวาน รวมทั้งประเทศ ร้อยละ 100.00 ปริมาณ 498,699 ภาคเหนือ ร้อยละ 100.00 ปริมาณ 297,261 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยละ 100.00 ปริมาณ 75,311 2563-2564 หอมแดง รวมทั้งประเทศ ร้อยละ 100.00 ปริมาณ 159,869 ภาคเหนือ ร้อยละ 100.00 ปริมาณ 61,433 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยละ 100.00 ปริมาณ 98,436 2563-2564 หน่อไม้ฝรั่ง รวมทั้งประเทศ ร้อยละ 100.00 ปริมาณ 11,325 ภาคเหนือ ร้อยละ 100.00 ปริมาณ 3,915 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยละ 100.00 ปริมาณ 1,243 ที่มาของข้อมูล: ข้อมูลการผลิตสินค้าเกษตร ส านักงานเศรษฐกิจการเกษตร ปี 2563-2564
บทที่ 4
สีแดง เกิดจากเม็ดสีในกลุ่มของไลโคพีน (lycopene) หรือแอนโทไซยานิน (anthocyanin) ไลโคพีนจะช่วยลด ความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก ส่วนแอนโทไซยานินนั้น ช่วยต้านอนุมูลอิสระและชะลอความเสื่อมของ เซลล์ในร่างกาย ช่วยลดอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและเส้นเลือดอุดตันในสมอง ตลอดจนชะลอความเสื่อมของ ดวงตา ผักที่มีสีแดง ได้แก่ มะเขือเทศ พริกแดง สีส้มหรือสีเหลือง เกิดจากเม็ดสีในกลุ่มของ แคโรทีนอยด์(carotenoid) เช่นเบต้า-แคโรทีน (β-carotenoid) แอลฟา-แคโรทีน (α-carotenoid) ฟลาโวนอยด์(flavonoid) วิตามินเอ และวิตามินซี เป็นต้น สารอาหารที่ส าคัญ เหล่านี้พบได้จ านวนมากในฟักทอง แครอท มะละกอ เป็นต้น มีคุณสมบัติช่วยรักษาสุขภาพของหัวใจและหลอดเลือด ช่วยบ ารุงสายตา ท าให้สามารถมองเห็นในที่มืดได้ดี ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต้อกระจก โรคมะเร็ง โรคหัวใจ และ ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายท างานได้ดี สีเขียว เกิดจากเม็ดสีที ่เรียกว ่า Chlorophyll และสารประกอบอื ่นๆ ได้แก ่ แคโรทีนอยด์สารในกลุ ่มลูทีน (lutein) และซีแซนทิน (zeaxanthine) อินโดล (indoles) ไธโอไซยาเนต (thiocyanate) และฟลาโวนอยด์ (flavonoids) เป็นต้น ลูทีน มักจะท างานร่วมกับสารเคมีชนิดอื่น เช่น ซีแซนทิน พบมากใน ผักคะน้า ผักบุ้ง ผักโขม ผักป๋วยเล้ง ผักกาดหอม แตงกวา ข้าวโพด พริกแดง ถั ่วแขก ถั ่วลันเตา มัสตาร์ด เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วย ป้องกันการเกิดโรคต้อกระจก และโรคศูนย์จอตาเสื ่อมในผู้สูงอายุ อินโดล พบมากใน บร็อคโคลี ่ กะหล ่าดอก กะหล ่าปลีและผักอื่นๆในตระกูลกะหล ่า ช่วยกระตุ้นการท างานของตับให้สร้างเอนไซม์ออกมาใช้ในการต้านมะเร็ง ป้องกัน ไม่ให้ DNA ถูกท าลายลุกลามจนกลายเป็นเนื้อร้าย และยังเป็นตัวเร่งการก าจัดฮอร์โมนเอสโตรเจนส่วนเกิน ออกจากร่างกาย ช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งที่มดลูกและที่เต้านม ที่มีสาเหตุมาจากฮอร์โมนดังกล่าว ในผักใบสีเขียว ต่างๆ เช่น ผักโขม ต าลึง ใบยอ ยังอุดมไปด้วยโฟเลท (folate) และวิตามินบี ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงของความพกพร่อง ตั้งแต่ก าเนิดและช่วยให้หัวใจมีสุขภาพดี นอกจากนี้ยังมีแร่ธาตุที่ส าคัญ เช่น แคลเซียม แมกนีเซียม และซีลีเนียม ซึ่งจะ ช่วยเพิ่มความสามารถในการท างานให้แก่ร่างกาย สีน ้าเงินหรือสีม่วง มาจากเม็ดสีที่เรียกว่า anthocyanins ท าหน้าที่ในการต้านอนุมูลอิสระ และป้องกันความ เสียหายที่จะเกิดขึ้นกับเซลล์ในร่างกาย ช่วยลดความเสี่ยง ของการเกิดโรคมะเร็ง ขยายเส้นเลือดลดความเสี่ยงในการ เกิดโรคหัวใจ และอัมพาต ช่วยปรับปรุงการท างานของระบบความจ าและท าให้มีสุขภาพดีในผู้สูงอายุ ผักที่มีสีน ้าเงิน หรือสีม่วง ได้แก่ มะเขือม่วง กะหล ่าปลีม่วง มันสีม่วง หอมแดง หอมหัวใหญ่สีม่วง เผือก ดอกอัญชัน เป็นต้น ถอดรหัสสีสันของผัก สารอาหารจ าพวกวิตามินและเกลือแร่ต่าง ๆ จ านวนมากที่พบในผักแต่ละชนิด เป็นสารอาหารที่จ าเป็นต่อร่างกาย มนุษย์ซึ่งสารอาหารเหล่านี้ท าให้ผักแต่ละชนิด มีความแตกต่างกันของสีสัน โดยทั่วไปแบ่งออกเป็น 5 กลุ่มหลัก ได้แก่ สีแดง สีส้มหรือสีเหลือง สีเขียว สีม่วง และสีขาวหรือสีน ้าตาลอ่อน ความแตกต่างของสีเกิดจากปริมาณเม็ดสีชนิด ต่างๆ และสารประกอบอื่นๆ ที่มีอยู่ในผักแต่ละชนิดโดยทั่วไปเม็ดสีและสารประกอบเหล่านี้จะมีคุณสม บัติในการ ต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) ที่เป็นสาเหตุส าคัญของการเกิดโรคต่างๆ จ านวนมาก เช่น โรคมะเร็ง และโรคหัวใจ เป็นต้น จึงมีการรณรงค์ให้ประชาชนรับประทานผัก 5 สีอย ่างสม ่าเสมอ เพื ่อการรักษาสุขภาพและป้องกันโรค ที่จะเกิดขึ้น คุณประโยชน์ของสีและสารอาหารต่างๆ ของผัก มีดังนี้
สีขาวหรือสีน ้าตาลอ่อน มาจากเม็ดสีที่เรียกว่า แอนโทแซนทินส์(anthoxanthins) ซึ่งมีสารเคมีที่ส่งเสริมสุขภาพ หลายชนิด เช่น อัลลิซิน (allicin) ช่วยลดคลอเรสเตอรอล ความดันโลหิต ช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็งกะเพาะอาหาร และโรคหัวใจ มีฤทธิ์ต่อต้านการเกิดเนื้องอก กลุ่มของผักสีขาว เช่น กระเทียม ต้นกระเทียม หัวหอม กุยช่าย ขึ้นฉ่าย เซเลอรี่ เห็ด และมันฝรั่ง เป็นต้น นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งแร่ธาตุที่ส าคัญ เช่น โพแทสเซียม สารในกลุ่ม ฟลาโวนอยด์ ที ่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ลดการแบ ่งตัวของเซลล์มะเร็ง และลดการต้านยา ในเซลล์มะเร็ง เช ่น สารแซนโท น (xanthone) สารตัวนี้มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ลดอาการปวดข้อเข ่า ต้านเชื้อโรคหลายชนิด เช ่น เชื้อวัณโรค ต้านเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาว ช่วยรักษาระดับน ้าตาลในเลือด และรักษาระบบภูมิคุ้มกันให้อยู่ในสภาพที่ดี ขิงและข่า สารอาหารส าคัญที่พบในขิงที่ คือ 6-จิงเจอรอล (6-gingerol) มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ลดปริมาณไขมัน ในเลือด ต้านการรวมตัวของเกล็ดเลือด ดังนั้นการกินขิงจึงเหมาะส าหรับการดูแลรักษาความดันเลือด และป้องกันโรค หลอดเลือดหัวใจอุดตัน ขณะที่เหง้าข่า มีสารกาลานอล เอ และ บี (galanal.A,B) ซึ่งมีฤทธิ์ฆ่าเซลล์มะเร็งเม็ดเลือด ขาว และมีสารต้านการหลั่งฮีสตามีน ซึ่งช่วยบรรเทาอาการโรคภูมิแพ้ได้ (http://www.ayp01.doae.go.th/version1/uploads/pdf/admin-20140303-1393835527.pdf) ถอดรหัสสีสันของผัก
บทที่ 5
การสร้างฐานข้อมูลความหลากหลายทางทรัพยากรชีวภาพด้านเกษตรลุ่มน้ำโขง OKRA, GUMBO, LADY’S FINGER, QUIMBAMTO มะเขือมื่น มะเขือทะงาย มะเขือพม่า กระเจี๊ยบมอญ Abelmoschus esculentus (L.) Moench. MALVACEAE จัดเป็นพืชล้มลุกที่มีอายุประมาณ 1 ปี มีความสูงประมาณ 0.5-2.4 เมตร ลำต้นและกิ่งก้าน มีสีเขียว แต่บางครั้งก็มีจุดประม่วง ตามลำต้นจะมีขนอ่อนหยาบ ๆ ขึ้นปกคลุม ใบเป็นใบเดี่ยวขนาดใหญ่ ลักษณะของใบคล้ายรูปฝ่ามือเรียงสลับกัน ใบมักเว้าเป็น 3 แฉก ปลายใบหยักแหลม โคนใบเว้าเป็นรูปหัวใจ ใบมีขนหยาบ ก้านใบยาว ดอกสีเหลืองอ่อน ที่โคนกลีบดอกด้านในจะมีสีม่วงออกแดงเข้ม รูปไข่กลับหรือ ค่อนข้างกลม ออกดอกตามง่ามใบ ผลหรือฝักมีลักษณะคล้ายกับนิ้วมือผู้หญิง ฝักมีสีเขียวทรงเรียวยาว มักโค้ง เล็กน้อย ปลายฝักแหลมเป็นจีบ ผิวฝักมีเหลี่ยมเป็นสัน ตามฝักจะมีขนอ่อน ๆ อยู่ทั่วฝัก ฝักอ่อนมีสีเขียว เมื่อแก่ จะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล ในฝักมีน้ำเมือกข้นเหนียวอยู่มาก และมีเมล็ดลักษณะกลมอยู่มาก ตลาดสดสินสมบูรณ์ อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย เป็นพืชที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง มีวิตามินและแร่ธาตุต่างๆ มากมาย สรรพคุณ ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยรักษาระดับการดูดซึมน้ำตาลจากลำไส้ใหญ่ เป็นยาบำรุงสมอง ช่วยรักษา โรคความดันโลหิต รักษาความดันให้เป็นปกติช่วยแก้อาการหวัด รักษาหวัด ช่วยป้องกันอาการหลอดเลือด ตีบตัน เป็นต้น รับประทานฝักสด แกง เป็นต้น 20-40 บาท https://medthai.com./กระเจี๊ยบเขียว. [23 มิ.ย. 2022]. 1 1
การสร้างฐานข้อมูลความหลากหลายทางทรัพยากรชีวภาพด้านเกษตรลุ่มน้ำโขง CURCUMA SESSILIS กระเจียว ปทุมมา บัวสวรรค์ อาวแดง กาเตียว จวด Curcuma sessilis Gage. ZINGIBERACEAE จัดเป็นพืชล้มลุกมีเหง้าใต้ดินอยู่ได้หลายปี อาจขึ้นเป็นต้นเดียวหรือหลายต้นรวมกันเป็นกอ ใบเป็นกาบห่อรวมตัวกันแน่นเป็นลำต้นเทียม ใบเดี่ยว เรียงสลับ รูปขอบขนาน ปลายใบแหลม แผ่นใบเรียบสี เขียว ก้านใบยาว ดอกออกเป็นช่อแน่นแบบช่อเชิงลด ดอกสีชมพู ผลรูปไข่ ผิวมีขนหนาแน่น เมล็ดมีรูปร่าง คล้ายหยดน้ำยาวประมาณ 0.5 เซนติเมตร ตลาดสดโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี และตลาดสดอำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม เป็นพืชที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง มีคาร์โบไฮเดรต โปรตีน วิตามินและแร่ธาตุ ต่าง ๆ มากมาย สรรพคุณ ดอกอ่อน ใช้เป็นยาขับลมในกระเพาะอาหาร ช่วยบรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ และลดกรดในกระเพาะอาหาร ดอก ช่วยแก้มดลูกอักเสบสำหรับสตรีหลังคลอด หน่ออ่อน ใช้เป็นยาสมานแผล เหง้า ใช้เป็นยาแก้ปวดเมื่อย ใบ ตำคั้นน้ำรักษาแผล ห้ามเลือด เป็นต้น นำมาประกอบอาหาร เช่น นึ่ง ลวก เป็นต้น 20-40 บาท https://medthai.com./กระเจียวแดง. [23 มิ.ย. 2022]. 1 2
การสร้างฐานข้อมูลความหลากหลายทางทรัพยากรชีวภาพด้านเกษตรลุ่มน้ำโขง WATER MIMOSA ผักหละหนอง (แม่ฮ่องสอน), ผักกระเสดน้ำ (ยโสธร, อุดรธานี, ภาคอีสาน), ผักกระเฉด ผักรู้นอน (ภาคกลาง), ผักหนอง (ภาคเหนือ), ผักฉีด (ภาคใต้) Neptunia oleracea Lour. FABACEAE กระเฉดน้ำเป็นพืชที่เกิดตามผิวน้ำ ลำต้นเป็นเถากลมเนื้อนิ่ม ใบประกอบคล้ายใบกระถิน ใบจะหุบลงในเวลากลางคืน จึงเรียกว่า"ผักรู้นอน" ระหว่างข้อมีปล้องเป็นฟองสีขาวหุ้มลำต้น ช่วยพยุงให้ กระเฉดลอยน้ำได้และช่วยดึงไนโตรเจนจากอากาศไปเลี้ยงยอด เรียกว่า "นมผักกระเฉด" มีรากงอกออกตามข้อ ดอกเป็นช่อเล็กๆ สีเหลือง ผลเป็นฝัก มีลักษณะแบน มีเมล็ด 4–10 เมล็ด ตลาดสดทั่วไปในลุ่มแม่น้ำโขง 8 จังหวัด เป็นพืชที่มีโปรตีน คาร์โบไฮเดรต แร่ธาตุ และวิตามินหลายชนิด สรรพคุณ ช่วยบำรุงร่างกายและดับพิษ ช่วยแก้อาการปวดศีรษะ กระเฉดน้ำมีฤทธิ์เป็นยาเย็น จึงช่วยดับพิษร้อนได้เป็น อย่างดีช่วยแก้พิษไข้ช่วยบรรเทาอาการปวดฟัน ช่วยขับเสมหะ ช่วยขับลมในกระเพาะ ช่วยรักษาโรคกามโรค ช่วยแก้อาการปวดแสบปวดร้อน ช่วยถอนพิษยาเบื่อยาเมา เป็นต้น นำมาประกอบอาหาร เช่น ผัด ยำ แกงส้ม เป็นต้น 5-10 บาท https://medthai.com. [25 เม.ย. 2022]. 1 3
การสร้างฐานข้อมูลความหลากหลายทางทรัพยากรชีวภาพด้านเกษตรลุ่มน้ำโขง FINGERROOT, CHINESE GINGER, CHINESE KEYS, GALINGALE กระชายขาว กระชายเหลือง กระชายดำ กะแอน ขิงทราย ละแอน ว่านพระอาทิตย์ Boesenbergia rotunda Linn. ZINGIBERACEAE ต้นกระชายจัดเป็นไม้ล้มลุก มีเหง้าสั้น แตกหน่อได้ มีรากอวบ เป็นรูปทรงกระบอกหรือรูปทรง ไข่ค่อนข้างยาว ปลายเรียว ออกเป็นกระจุก ผิวมีสีน้ำตาลอ่อน ส่วนเนื้อในมีสีเหลืองและมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว ใบกระชาย คือ ลักษณะของส่วนที่อยู่เหนือดิน มีประมาณ 2-7 ใบ ลักษณะของใบเป็นใบเดี่ยว เรียงสลับ ลักษณะเป็นรูปรี โคนใบมนหรือแหลม ส่วนปลายใบเรียวแหลม มีขอบเรียบ ดอกกระชาย ออกดอกเป็นช่อแบบ ช่อเชิงลด โดยจะออกที่ยอดระหว่างกาบใบคู่ในสุด แต่ละดอกจะมีใบประดับ 2 ใบ มีสีขาวหรือสีขาวอมชมพู อ่อน ๆ ผลกระชาย ผลแก่จะแตกเป็น 3 เสี่ยง มีเมล็ดค่อนข้างใหญ่ ตลาดสดทั่วไปในลุ่มแม่น้ำโขง 8 จังหวัด พบสารสำคัญหลายตัว เช่น Pinostrobin, Pinocembrin, Panduratin A และ Alpinetin ของกระชายซึ่งมีฤทธิ์ต้านแบคทีเรียได้หลายชนิด กระชายมีสรรพคุณช่วยบำรุงร่างกาย เป็นยา อายุวัฒนะ ช่วยบำรุงธาตุในร่างกาย ช่วยแก้ลมวิงเวียน แน่นหน้าอก ช่วยบำรุงกำลัง เสริมสมรรถภาพทางเพศ บำบัดโรคนกเขาไม่ขันหรือโรคอีดี (Erectile Dysfunctional หรือ ED) ช่วยบำรุงหัวใจ ช่วยบำรุงกระดูก ช่วยทำให้กระดูกไม่เปราะบาง ช่วยปรับสมดุลของฮอร์โมนต่าง ๆ ในร่างกาย ช่วยบำรุงกำหนัด แก้อาการกาม ตายด้าน ช่วยบำรุงสมอง เพราะช่วยทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองส่วนกลางได้ดีมากขึ้น และมีสรรพคุณอื่น ๆ อีกมากมาย นำมาประกอบอาหาร และใช้เป็นพืชสมุนไพร 5-10 บาท https://pharmacy.su.ac.th/herbmed/herb/text/herb_detail.php?herbID=4. [25 เม.ย. 2022]. 1 4
การสร้างฐานข้อมูลความหลากหลายทางทรัพยากรชีวภาพด้านเกษตรลุ่มน้ำโขง TUMMY WOOD กระโดนโคก กระโดนบก ปุย ปุยกระโดน ปุยขาว ผ้าฮาด หูกวาง ต้นจิก พุย ขุย กะนอน Careya sphaerica Roxb. LECYTHIDACEAE จัดเป็นไม้ต้นผลัดใบขนาดกลาง สูง 10-20 เมตร ใบเดี่ยว เรียงเวียน ใบรูปไข่กลับหัว ปลาย ใบมนหรือแหลม ฐานใบแหลมหรือสอบแคบ ขอบใบหยักมน มีขนอ่อน บนก้านใบเป็นสีแดงเรื่อ ใบแก่ก่อนร่วงสี ส้มแดง ดอกเป็นช่อแบบกระจะ ออกปลายกิ่ง กลีบดอก 2 ชั้น ชั้นนอกสีชมพูเรื่อ ชั้นในสีขาว ปลายกลีบแตก เป็นเส้น กลีบเลี้ยง 4 กลีบ เกสรเพศผู้จำนวนมาก โคนเชื่อมติดกัน ปลายแยกอิสระ รังไข่อยู่ใต้วงกลีบ มี 4 ช่อง ผลสดแบบเบอรี่กลม เมล็ดรูปรี มีหลายเมล็ด เปลือกนอกสีเทาน้ำตาล แตกเป็นร่องสี่เหลี่ยม เปลือกในสีน้ำตาล แดง ใบอ่อนสีน้ำตาลเรื่อมีรสฝาด ช่วงการออกดอกและติดผล: ระหว่างเดือนมีนาคม – เดือนกรกฎาคม ตลาดสดพรเพชร จังหวัดมุกดาหาร และตลาดสดเทศบาลเมืองเชียงคาน จังหวัดเลย เป็นพืชที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง มีวิตามินและแร่ธาตุต่างๆ มากมาย สรรพคุณ เปลือกต้น แก้น้ำกัดเท้า แก้โรคกระเพาะอาหาร สมานแผลภายใน แก้ปวดท้อง ท้องเสีย แก้พิษงู แก้อักเสบจาก งูกัด ใบ ใช้รักษาแผลสด ผล ช่วยย่อยอาหาร บำรุงหลังคลอด ดอก เป็นยาแก้หวัด แก้ไอ ทำให้ชุ่มคอ และเป็น ยาบำรุงสำหรับสตรีหลังคลอดบุตร เป็นต้น รับประทานใบสด 10-20 บาท http://www.phargarden.com.กระโดน [23 มิ.ย. 2022]. 1 5
การสร้างฐานข้อมูลความหลากหลายทางทรัพยากรชีวภาพด้านเกษตรลุ่มน้ำโขง WHITE POPINAC, WILD TAMARIND, LEADTREE กะเสดโคก กะเสดบก ตอเบา สะตอเทศ สะตอเบา ผักก้านถิน ผักหนองบก Leucaena leucocephala (Lamk.) de Wit LEGUMINOSAE เป็นพืชไม้พุ่มขนาดใหญ่ถึงไม้ต้นขนาดเล็ก สูงได้ถึง 10 เมตร ไม่ค่อยแตกกิ่งก้านสาขา ใบประกอบแบบขนนกสองชั้น เรียงสลับ ยาว 12.5-25 ซม. แกนกลางใบประกอบยาว 10-20 ซม. มีขนแยก แขนง 2-10 คู่ ยาว 5-10 ซม.ก้านแขนงสั้น มีขน ใบย่อย 5-20 คู่ เรียงตรงข้าม รูปแถบหรือรูปขอบขนาน แกมรูปแถบ กว้าง 2-5 มม. ยาว 0.6-2.1 ซม. ปลายแหลม โคนเบี้ยวขอบมีขน ดอกออกเป็นช่อ ช่อดอก ออกแบบช่อกระจุกแน่น ออกตามง่ามใบ 1-3 ช่อ เป็นฝอยนุ่มมีกลิ่นหอมเล็กน้อย ผลเป็นฝัก ฝักออกเป็นช่อ แบนยาวประมาณ 4-5 นิ้วฟุต เห็นเมล็ดเป็นจุด ๆ ในฝัก ตลอดฝัก ตลาดสดทั่วไปในลุ่มแม่น้ำโขง 8 จังหวัด มีคาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก วิตามินต่าง ๆ ไนอาซีน สรรพคุณ ดอก มีรสมัน ช่วยบำรุงตับ แก้เกล็ดกระดี่ขึ้นตา ราก มีรสเจื่อน ช่วยขับลม ขับระดูขาว เป็นยาอายุวัฒนะ และเมล็ด ใช้ถ่ายพยาธิตัวกลม (ascariasis) เป็นต้น นำมาประกอบอาหาร และใช้เป็นพืชสมุนไพร 5-10 บาท https://medthai.com, ภาพจาก https://arit.kpru.ac.th/ap2/local [25 เม.ย. 2022]. 1 6
การสร้างฐานข้อมูลความหลากหลายทางทรัพยากรชีวภาพด้านเกษตรลุ่มน้ำโขง ICEVINE, PAREIRA BARVA เปล้าเลือด หมอน้อย สีฟัน กรุงเขมา เครือหมาน้อย ก้นปิด ขงเขมา พระพาย Cissampelos pareira L. MENISPERMACEAE เป็นพรรณไม้เถาเลื้อยขนาดกลางเนื้อแข็ง ไม่มีมือเกาะ เลื้อยพาดพันตามต้นไม้อื่น ๆ มีราก สะสมอาหารใต้ดิน มีขนนุ่มสั้นขึ้นปกคลุมหนาแน่นตามเถา ใบเป็นใบเดี่ยว มีหลายลักษณะ เช่น รูปหัวใจ รูปไต รูปกลม หรือรูปไข่กว้าง ออกแบบสลับ ใบอ่อนจะมีขนอ่อนนุ่มขึ้นปกคลุมทั้งสองด้านและตามขอบใบ ดอกออกดอกเป็นช่อกระจุกสีขาว ดอกเป็นแบบแยกเพศและอยู่ต่างต้นกัน ช่อดอกเพศผู้จะออกตามง่ามใบ ส่วนช่อดอกเพศเมียนั้นจะเป็นช่อคล้ายช่อกระจุกแยกแขนง ออกดอกในช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนธันวาคมผล เป็นผลสด มีก้านอวบใหญ่ ผลมีลักษณะเป็นรูปทรงกลมรีอยู่ตอนปลาย ผลเป็นสีส้ม เมื่อสุกจะเปลี่ยนเป็นสีแดง หรือสีน้ำตาลแดง ภายในผลมีเมล็ดลักษณะโค้งงอรูปพระจันทร์ครึ่งซีกหรือรูปเกือกม้า ผิวเมล็ดขรุขระ ตลาดสดปากชม อำเภอปากชม จังหวัดเลย มีวิตามินและแร่ธาตุที่มีประโยชน์หลายชนิด สรรพคุณ ใช้เป็นยาอุ่น ใช้เป็นยา ฟอกเลือด กระจายเลือด แก้เลือดกำเดา เป็นยาแก้โลหิต เป็นยาบำรุงโลหิต เป็นยาบำรุงโลหิตสตรี เป็นยารักษา โรคโลหิตจาง ใช้เป็นยาอายุวัฒนะ เป็นยาบำรุง เป็นยาสงบประสาท ช่วยรักษาโรคความดันโลหิตสูง ช่วยลด ระดับน้ำตาลในเลือด เป็นยาแก้ไข้ เป็นยาลดไข้ แก้ไข้มาลาเรีย ไข้ออกตุ่ม และแก้อาการไอ เจ็บคอ เจ็บหน้าอก และเป็นยาขับเหงื่อ เป็นต้น นำมาประกอบอาหาร และใช้เป็นพืชสมุนไพร 5-10 บาท ภาพจาก https://www.komchadluek.net/news/245227. [27 เม.ย. 2022]. 1 7
การสร้างฐานข้อมูลความหลากหลายทางทรัพยากรชีวภาพด้านเกษตรลุ่มน้ำโขง CHINESE CABBAGE ผักกาดเขียวกวางตุ้ง ผักกาดฮ่องเต้ ผักกวางตุ้งฮ่องเต้ กวางตุ้งไต้หวัน ผักกาดสายซิม Brassica chinensis L. CRUCIFERAE เป็นพืชล้มลุกขนาดเล็ก มีอายุสั้นฤดูเดียว ลำต้นเป็นลำต้นเดี่ยว มีลักษณะทรงกลม จะมีก้าน ใบยาว ออกเรียงสลับโดยรอบๆ ปกคลุมที่ลำต้น มีก้านใบหนาและยาวอวบน้ำ มีสีเขียวอ่อน ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ มีลักษณะทรงกลมรี ใบกว้างใหญ่ ผิวใบบางเรียบ ใบมีสีเขียว มีก้านใบหนาและยาวอวบน้ำ มีสีเขียวอ่อน รากเป็นระบบรากแก้ว มีลักษณะกลมๆ แทงลงในดิน มีรากฝอยและรากแขนงเล็กๆ ออกรอบตาม แนวราบ มีสีน้ำตาล ดอกออกเป็นช่อ ก้านช่อดอกใหญ่ยาว มีแขนงก้านย่อยมาก มีดอกย่อยออกที่ปลายยอด ดอกมีลักษณะเล็กๆ กลีบดอกมีสีเหลืองสด ผลมีผลเป็นฝัก มีลักษณะทรงกลมเรียวยาว มีปลายจะงอยแหลม ฝักดิบมีสีเขียว ฝักแก่มีสีน้ำตาล เมื่อฝักแก่จัดผลจะแตกออก ข้างในมีเมล็ดเรียงอยู่ เมล็ดเมื่อฝักแก่จัดผลจะแตก ออก มีเมล็ดจำนวนมาก เรียงอยู่ในฝัก มีลักษณะทรงกลม มีขนาดเล็กๆ มีสีน้ำตาลเข้ม ตลาดสดทั่วไปในลุ่มแม่น้ำโขง 8 จังหวัด มีแคลเซียม เส้นใย วิตามินซี โพแทสเซียม วิตามินเอ ฟอสฟอรัส เหล็ก เบตา แคโรทีน คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน และแมกนีเซียม สรรพคุณช่วยป้องกันโรคมะเร็ง ช่วยป้องกันโรค กล้ามเนื้อเสื่อม ช่วยรักษาอาการปวดตามข้อ ช่วยป้องกันโรคเลือดหัวใจตีบ ช่วยระบบขับถ่าย แก้ท้องผูก ช่วยบำรุงกระดูก ช่วยบำรุงฟัน ช่วยบำรุงเลือด ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยบำรุงสายตา ช่วยบำรุง ผิวพรรณ และช่วยรักษาอาการตะคริว เป็นต้น นำมาประกอบอาหาร และแปรรูป 10 บาท https://medthai.com. [25 เม.ย. 2022] 1 8
การสร้างฐานข้อมูลความหลากหลายทางทรัพยากรชีวภาพด้านเกษตรลุ่มน้ำโขง MARSH WEED กะโฉม อ้มกบ ผักกะโสม จุ้ยห่วยเฮียง สุ่ยหุยเซียง ผักแมงดา โหระพาน้ำ Limnophila rugosa (roth) Merr. PLANTAGINACEAE จัดเป็นพืชพรรณไม้ล้มลุก มีอายุเพียงปีเดียว ลำต้นแตกแขนงออกไป ต้นที่ยังเล็กอยู่จะมีขน ขึ้นปกคลุม แต่เมื่อโตแล้วหรือแก่ขนจะหลุดร่วงไปเอง มีกลิ่นหอม ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเป็นคู่ ๆ ตรงข้ามกัน ลักษณะของใบเป็นรูปไข่ถึงรูปไข่แกมขอบขนาน ปลายใบมนหรือแหลม ขอบใบหนา แผ่นใบเป็นสีเขียวสด หลังใบมีขนปกคลุมและมีรอยย่น ก้านใบสั้น ดอกออกเป็นช่อกระจุกบริเวณส่วนยอดของลำต้นและตามซอกใบ ดอกเป็นสีน้ำเงินอมม่วง กลางดอกแต้มไปด้วยสีเหลือง ลักษณะของดอกเป็นรูปคล้ายปาก ไม่มีก้านดอก ผลเป็น ผลแห้งรูปไข่ แบน แตกได้ เมล็ดมีลักษณะกลมขนาดเล็ก และมีสีน้ำตาล ตลาดสดประตูชัย อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย เป็นพืชที่มีสรรพคุณสูง เช่น เป็นยาธาตุช่วยเจริญอาหาร ช่วยระงับความร้อน แก้ไอ ขับเสมหะ แก้อาการแน่นท้อง แน่นหน้าอก แก้ปวดท้องโรคกระเพาะอาหาร ขับปัสสาวะ ช่วยลดอาการ บวมน้ำ รักษาบาดแผล และรักษาแผลพุพอง เป็นต้น รับประทานสด 10-20 บาท หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “ผักกะโฉม”. หน้า 461-462. และภาพจาก https://www.samunpri.com [23 มิ.ย. 2022]. 1 9
การสร้างฐานข้อมูลความหลากหลายทางทรัพยากรชีวภาพด้านเกษตรลุ่มน้ำโขง - มะนอยต๊อบ ขี้กาดง ขี้กาน้อย ขี้กาลาย ขี้กาเหลี่ยม มะนอยจา มะนอยหก มะนอยหกฟ้าบ Gymnopetalum cochinchinense (Lour.) Kurz. CUCURBITACEAE จัดเป็นไม้เถาเลื้อยลำต้นและมีมือเกาะ มีขน และลำต้นมักเป็นห้าเหลี่ยม มักขึ้นทั่วไปตามที่ รกร้าง ใบเป็นใบเดี่ยวเรียงสลับ ลักษณะของใบมีรูปร่างแตกต่างกันออกไป ตั้งแต่รูปไต จนถึงรูปสามเหลี่ยม ห้าเหลี่ยม หรือรูปแฉก ใบเว้าเป็นฟันเลื่อย หน้าใบมีขนสากเล็กน้อย โคนใบเว้าลึกเป็นรูปหัวใจ ดอกเป็นแบบ แยกเพศอยู่บนต้นเดียวกัน ขอบใบเป็นจักแบบลึกแหลม ดอกเพศผู้ออกเป็นช่อ มีสีขาว โคนติดกันเล็กน้อย ผล มีลักษณะของผลคล้ายรูปกระสวยหรือรูปรี แหลมทั้งหัวและท้าย เนื้อในผลมีสีน้ำตาล ในผลมีเมล็ดลักษณะ เป็นรูปรีจำนวนมาก ลักษณะเป็นริ้ว ๆ มีสีน้ำตาลไหม้ และมีกลิ่นฉุน ผลเล็กจะมีสีเขียวและเมื่อแก่จะมีสีเหลือง และค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีส้มเมื่อแก่จัด จนกระทั่งเปลี่ยนเป็นสีแดงเมื่อสุก ผลอ่อนแห้งมีสีน้ำตาล ตลาดเทศบาลตำบลหล่ายง่าว อำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย สรรพคุณ เมล็ด รับประทานเป็นยาลดไข้ แก้พิษสำแลง เป็นยาถอนพิษ ขับน้ำลาย ช่วยย่อยอาหาร ขับน้ำดี บำรุงธาตุ รักษาโรคในการแท้งลูก ผล บำรุงน้ำดีผลอ่อน บำรุงน้ำดี แก้ดี แห้ง ดีฝ่อ ช่วยเจริญอาหาร แก้สะอึก ดับพิษโลหิต รักษามดลูกหลังการแท้ง หรือการคลอดบุตร แก้มดลูก อักเสบ ใบ แก้ตาอักเสบ แก้พิษบาดทะยัก ราก แก้ไข้ บำรุงธาตุ ช่วยย่อยอาหาร ดับพิษโลหิต เป็นต้น รับประทานผลสด ต้ม ลวก 10-20 บาท ฐานข้อมูลเครื่องยาสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.กระดอม.http://www.thaicrudedrug.com. [23 มิ.ย. 2022]. 1 10
การสร้างฐานข้อมูลความหลากหลายทางทรัพยากรชีวภาพด้านเกษตรลุ่มน้ำโขง GARLIC, COMMON GARLIC กะเทียมขาว หอมขาว กะเทียมจีน หัวเทียม Allium sativum L. ALLIACEAE เป็นไม้ล้มลุก ลำต้นสูงประมาณ 30 – 50 เซนติเมตร มีหัวอยู่ใต้ดิน แต่ละหัวประกอบด้วย กลีบหลายกลีบเรียงซ้อนกันเป็นชั้นๆ แต่ละกลีบจะมีเปลือกหรือกาบสีขาวหรือม่วงอมชมพูหุ้มอยู่ บางพันธุ์แต่ ละหัวมีเพียงกลีบเดียว เรียกว่า กะเทียมโทน ใบเป็นใบเดี่ยว ลักษณะใบรูปขอบขนาน แบนและแคบยาว ปลาย ใบแหลม โคนของใบแผ่เป็นแผ่นและเชื่อมติดกันหุ้มรอบใบอ่อนกว่าด้านใน ลักษณะคล้ายลำต้นเทียม ขอบใบ เรียบ ท้องใบมีรอยพับเป็นสันตลอดความยาว ใบมีสีเขียวแก่ ดอกออกดอกเป็นช่อ ก้านช่อดอกยาว เล็ก ติดกัน เป็นกระจุกที่ปลายก้านช่อ มีลักษณะกลม ประกอบด้วยดอกหลายดอก มีกาบหุ้มเป็นจะงอยยาว กลีบดอกมี 6 กลีบ รูปร่างยาวแหลม สีขาวแต้มสีม่วงหรือขาวอมชมพูผลขนาดเล็กเป็นกระเปาะสั้นๆ รูปไข่หรือค่อนข้างกลม มี 3 พูเมล็ดเมล็ดเล็ก สีดำ สามารถขยายพันธุ์ได้เช่นเดียวกับกลีบกระเทียม ซึ่งการปลูกกะเทียมในประเทศ ไม่ค่อยออกดอกหรือติดผลหรือเมล็ด ตลาดสดทั่วไปในลุ่มแม่น้ำโขง 8 จังหวัด หัว รสร้อนฉุน มีน้ำมันหอมระเหยใช้เป็นยาขับเหงื่อ ขับปัสสาวะและขับเสมหะ ทาแผลแก้กลากเกลื้อน ขับลมในลำไส้ แก้ท้องขึ้น แน่นท้องจุกเสียด ท้องเฟ้อ ขับพยาธิในลำไส้ แก้หืด อัมพาต โขลกสระผมป้องกันผมหงอก แก้อาการไขมันอุดตันในเส้นเลือด แก้ความดันโลหิตสูง ใช้พอกตรงที่ถูกแมลงต่อย เพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวด ใบ รสร้อนฉุน ทำให้เสมหะแห้ง กระจายโลหิต แก้ลมปวดมวนในท้อง เป็นต้น นำมาประกอบอาหาร ใช้เป็นสมุนไพร และแปรรูป 10-50 บาท https://medthai.com. [25 เม.ย. 2022]. 1 11
การสร้างฐานข้อมูลความหลากหลายทางทรัพยากรชีวภาพด้านเกษตรลุ่มน้ำโขง HOLY BASIL, SACRED BASIL กระเพราขาว กระเพราแดง กระเพราบ้าน กอมก้อ ก่ากอ กอมก้อดง ผักอีตู่ไทย Ocimum tenuiflorum L. LAMIACEAE เป็นไม้พุ่มเตี้ยความสูงประมาณ 1-3 ฟุต ลำต้นค่อนข้างแข็ง แตกกิ่งก้านสาขามาก ก้านเป็น ขน ใบก้านใบยาว รูปใบเรียว โคนใบรูดในลักษณะเรียวปลายมนรอบขอบใบเป็นหยัก พื้นใบด้านหน้าสีเขียว หรือแดงแก่กว่าด้านหลัง ซึ่งมีกระดูกใบนูนเห็นได้ชัด ดอกออกเป็นช่อตั้งขึ้นคล้ายฉัตร ออกบริเวณปลายยอด และปลายกิ่ง ดอกย่อยมีขนาดเล็ก รูปคล้ายระฆัง กลีบดอกมีทั้งชนิดสีขาวลายม่วงแดงและสีขาว เมล็ดอยู่ ภายในกลีบ กลีบเลี้ยงสีม่วง ผลแห้งแล้วจะแตกออกเมื่อเมล็ดแก่สีดำ เมื่อนำไปแช่น้ำเปลือกหุ้มเมล็ดพอง ออกเป็นเมือก ตลาดสดทั่วไปในลุ่มแม่น้ำโขง 8 จังหวัด ใบ ช่วยบำรุงธาตุไฟธาตุ ขับลมแก้ปวดท้องอุจจาระ แก้ลมตานซาง แก้จุกเสียด แก้คลื่นเหียนอาเจียน แก้โรคบิด และขับลม ราก ใช้รากที่แห้งแล้ว ชงหรือต้มกับน้ำร้อนดื่ม แก้โรคธาตุพิการ ยอดสด ช่วยขับลมแก้ปวดท้อง ท้องเสีย และคลื่นไส้อาเจียน เกิดจากน้ำมันหอมระเหย และสาร Eugenol ซึ่งมี ฤทธิ์ขับน้ำดี ช่วยย่อยไขมันและลดอาการจุกเสียด เป็นต้น นำมาประกอบอาหาร และใช้เป็นพืชสมุนไพร 5-10 บาท https://medthai.com. [25 เม.ย. 2022]. 1 12
การสร้างฐานข้อมูลความหลากหลายทางทรัพยากรชีวภาพด้านเกษตรลุ่มน้ำโขง CAULIFLOWER, HEADING BROCCOLI กะหล่ำดอก กะหล่ำต้น ผักกาดดอก Brassica oleracea var. botrytis BRASSICACEAE เป็นพืชล้มลุก อยู่ในตระกูลเดียวกับกะหล่ำปลี ลำต้นมีทรงพุ่ม ลำต้นตั้งตรง มีลักษณะกลม ๆ มีขนาดใหญ่อวบ จะมีใบหุ้มโดยรอบๆ จะมีสีเขียว มีนวล ใบเป็นใบเดี่ยว มีลักษณะรูปไข่ มีโคนใบกว้าง ใบยาว ปลายแหลม ใบจะหุ้มโดยรอบๆลำต้น มีใบหุ้มชั้นนอกหลายชั้น ผิวใบเรียบ ไม่มีก้านใบ มีสีเขียว รากมีระบบราก แก้วแทงลงในดิน มีลักษณะกลมเล็กๆ มีรากแขนงรากฝอยๆ มีสีน้ำตาล ดอกอยู่เป็นช่อ เป็นดอกเดี่ยว มีดอกขนาดเล็กๆ อยู่รวมกันเป็นช่ออัดตัวกันแน่น ในดอกเดียวกัน ดอกมีหลายช่อเกาะกลุ่มแน่นเป็นช่อ ๆ อยู่ เป็นกระจุกกลม สีขาว สีเหลือง สีม่วง ตามสายพันธุ์ มีกลีบเลี้ยงสีเขียว ก้านดอกสั้น อยู่ปลายของลำต้น เนื้อแน่นฉ่ำน้ำ รสชาติหวานกรอบ มีกลิ่นเฉพาะตัว เมล็ด มีลักษณะทรงกลม มีขนาดเล็ก ผิวเรียบลื่น มีสีน้ำตาล เข้มและสีดำ ตลาดสดทั่วไปในลุ่มแม่น้ำโขง 8 จังหวัด มีวิตามินต่างๆ โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก แคลเซียม แมกนีเซียม ไฟเบอร์ โปรตีน โฟเลต และคาร์โบไฮเดรต สรรพคุณช่วยรักษาโรคกระเพาะอาหาร ช่วยบำรุงสมอง ป้องกันโรคอัลไซเมอร์ ช่วยลดคอเลสเตอรอล ช่วยลดความดันโลหิต ช่วยลดน้ำตาลในเลือด ช่วยป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ ช่วย บำรุงกระดูก ช่วยบำรุงฟัน ช่วยลดเลือดอุดตัน ช่วยลดอาการอักเสบ มีภูมิคุ้มกัน ช่วยป้องกันหวัด และช่วย ป้องกันเลือดออกตามไรฟัน เป็นต้น นำมาประกอบอาหาร 5-10 บาท https://medthai.com. [25 เม.ย. 2022]. 1 13
การสร้างฐานข้อมูลความหลากหลายทางทรัพยากรชีวภาพด้านเกษตรลุ่มน้ำโขง CABBAGE, COMMON CABBAGE, WHITE CABBAGE, RED CABBAGE กะหล่ำปลี กะหล่ำใบ Brassica oleracea var. capitata BRASSICACEAE เป็นพืชล้มลุก อายุฤดูเดียว ลำต้นมีลักษณะทรงกลม สูงประมาณ 25-45 เซนติเมตร เปลือก ลำต้นมีสีขาว มีลักษณะเป็นข้อๆ ที่เกิดจากรอยแผลใบ รากกะหล่ำปลีประกอบด้วยรากแก้ว และมีรากแขนง แตกออกด้านข้าง และรากฝอยบริเวณปลายราก ใบกะหล่ำปลีมีหลายสีขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ เป็นส่วนที่นำมา บริโภค ใบจะแตกออกด้านข้างลำต้น เรียงวนรอบลำต้น ผิวใบมีลักษณะเรียบ ใบโค้งงอเข้าตรงกลางหุ้มซ้อนกัน แน่น เรียกว่า “หัวกะหล่ำปลี” ที่มีลักษณะกลม ค่อนข้างแบน ดอกเป็นช่อ เป็นดอกสมบูรณ์เพศที่มีเกสรตัวผู้ และเกสรตัวเมียในดอกเดียวกัน ช่อดอกแทงออกตรงกลางของหัว ทั้งนี้ ดอกกะหล่ำปลีจะทยอยบานจาก ด้านล่างขึ้นด้านบน ผลกะหล่ำปลี เรียกว่า ฝัก มีลักษณะเรียวยาว ปลายฝักแหลม เปลือกฝักมีร่องเป็นรอย ตะเข็บสองข้าง ซึ่งจะปริแตกออกเมื่อฝักแห้ง ด้านในประกอบด้วยเมล็ดขนาดเล็กเรียงซ้อนกันเป็นแถว มีลักษณะกลม เมล็ดอ่อนมีสีเขียว และแก่เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเข้ม และแก่เต็มที่มีสีดำ เปลือกเมล็ดบาง ตลาดสดทั่วไปในลุ่มแม่น้ำโขง 8 จังหวัด มีคาร์โบไฮเดรต เส้นใย ไขมัน โปรตีน วิตามินบีวิตามินซี แคลเซียม เหล็ก แมกนีเซียม โพแทสเซียม โซเดียม เป็นต้น สรรพคุณ ในกะหล่ำปลีพบสารกลูทามีน ช่วยเคลือบกระเพาะอาหาร ช่วยบรรเทาโรคกระเพาะอาหารอักเสบ อีกทั้งยังมีสารซัลเฟอร์ช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ใหญ่ ทำให้การ ขับถ่ายดี และยังช่วยลดระดับคอเลสเทอรอล ระงับประสาท ทำให้นอนหลับได้ง่ายอีกด้วย นำมาประกอบอาหาร และแปรรูป 20-40 บาท https://medthai.com. [25 เม.ย. 2022]. 1 14
การสร้างฐานข้อมูลความหลากหลายทางทรัพยากรชีวภาพด้านเกษตรลุ่มน้ำโขง POINTED CABBAGE กะหล่ำปลีหัวใจ Brassica oleracea var. capitata BRASSICACEAE จัดเป็นพืชล้มลุกอายุฤดูเดียว ลำต้นมีลักษณะทรงกลม เปลือกลำต้นมีสีขาว มีลักษณะเป็น ข้อๆที่เกิดจากรอยแผลใบ ระบบรากประกอบด้วยรากแก้ว และมีรากแขนงแตกออกด้านข้าง และรากฝอย บริเวณปลายราก ใบมีหลายสีขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ จะแตกออกด้านข้างลำต้น เรียงวนรอบลำต้น ผิวใบมีลักษณะ เรียบ แต่เป็นลูกคลื่น ขอบใบย่น ใบโค้งงอเข้าตรงกลาง หุ้มซ้อนกันแน่น ดอกออกดอกเป็นช่อ เป็นดอกสมบูรณ์ เพศที่มีเกสรตัวผู้ และเกสรตัวเมียในดอกเดียวกัน ช่อดอกแทงออกตรงกลางของหัว ผลเรียกว่า ฝัก มีลักษณะ เรียวยาว ปลายฝักแหลม ซึ่งจะปริแตกออกเมื่อฝักแห้ง เมล็ดมีลักษณะกลม เมล็ดอ่อนมีสีเขียว และเมื่อ แก่จะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเข้ม และแก่เต็มที่มีสีดำ เปลือกเมล็ดบาง ฝักหนึ่งจะมีเมล็ดประมาณ 10-20 เมล็ด ตลาดสดประตูชัย อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย เป็นพืชที่มีเยื่อใยสูง อุดมไปด้วยวิตามินซี ช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน มีสารซัลเฟอร์ช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ใหญ่ และต้านสารก่อมะเร็งเข้าสู่ร่างกาย ลดระดับคอเลสเตอรอล และช่วยระงับประสาท ทำให้นอนหลับได้ดี ข้อพึงระวัง กะหล่ำปลีมีสารชนิดหนึ่งที่เรียกว่า goitrogen ถ้าสารนี้ มีมากจะไปขัดขวางการทำงานของต่อมไทรอยต์ ทำให้นำไอโอดีนในเลือดไปใช้ได้น้อย ดังนั้น ไม่ควรกิน กะหล่ำปลีสดๆ มากเกินไป รับประทานผลสด 20-50 บาท https://www.allkaset.com/contents. [23 มิ.ย. 2022]. 1 15
การสร้างฐานข้อมูลความหลากหลายทางทรัพยากรชีวภาพด้านเกษตรลุ่มน้ำโขง PURPLE CABBAGE, RED CABBAGE กะหล่ำปลีแดง Brassica oleracea var. capitata f. rubra BRASSICACEAE เป็นพืชล้มลุก อยู่ในตระกูลเดียวกับกะหล่ำปลี ลำต้นมีลักษณะกลมสั้น เป็นข้อสั้นๆจะมีก้าน ใบหุ้มโดยรอบๆลำต้น ลำต้นมีสีขาวนวล ใบเป็นใบเลี้ยงเดี่ยว ออกเรียงเวียนตรงข้อรอบๆ ลำต้น มีลักษณะทรง กลม มีใบหนากว้าง ใบเป็นคลื่น ขอบใบย่น มีก้านใบสั้นจะหุ้มโดยรอบๆลำต้น มีใบหุ้มซ้อนกันแน่นหลายชั้น หัวห่อหุ้มกลมแน่นๆ รากมีระบบรากแก้ว แทงลึกลงในดิน มีลักษณะกลม มีรากแขนงรากฝอยเล็กๆ ออกรอบ บริเวณลำต้น จะมีสีน้ำตาล ดอกออกเป็นช่อ ก้านช่อใหญ่ยาว มีดอกย่อยอยู่ มีลักษณะทรงรี กลีบดอกมีสีเหลือง ก้านดอกยาว ออกปลายของลำต้น ผลมีผลเป็นฝัก มีลักษณะเรียวยาว ปลายฝักแหลม ฝักอ่อนสีเขียว ฝักแก่ สีน้ำตาล เมื่อฝักแก่จัดแตกออกได้ มีเมล็ดเล็กๆเรียงซ้อนกันอยู่ข้างใน เมล็ดอยู่ในฝัก มีลักษณะกลมๆ มีขนาด เล็กๆ มีสีดำ ตลาดสดทั่วไปในลุ่มแม่น้ำโขง 8 จังหวัด มีวิตามินต่างๆ โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก แคลเซียม แมกนีเซียม ไฟเบอร์ วิตามินซี โปรตีน มีโฟเลต มีไนอาซีน สรรพคุณช่วยแก้ร้อนใน แก้ลักปิดลักเปิด ช่วยลดแผลอักเสบ ช่วยป้องกัน โรคหัวใจ ช่วยป้องกันโรคหลอดเลือด ช่วยรักษาโรคกระเพาะอาหาร ช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ ช่วยลดปวดแก้ นมคัดแม่หลังคลอด ป้องกันโรคอัลไซเมอร์ ช่วยลดคอเลสเตอรอล ช่วยลดความดันโลหิต ช่วยรักษาโรค เลือดออกตามไรฟัน ช่วยป้องกันโรคมะเร็งกระเพาะ ช่วยระงับประสาท เป็นต้น นำมาประกอบอาหาร และแปรรูป 20-30 บาท https://medthai.com, http://www.paakaroi.com/product. [25 เม.ย. 2022]. 1 16
การสร้างฐานข้อมูลความหลากหลายทางทรัพยากรชีวภาพด้านเกษตรลุ่มน้ำโขง HEAD LETTUCE ผักสลัด ผักสลัดแก้ว ผักกาดหอมห่อ Lactuca sativavar var. capitata ASTERACEAE ลักษณะของลำต้นเป็นข้อสั้น โดยแต่ละข้อจะเป็นที่เกิดของใบ ลักษณะของลำต้นจะค่อนข้าง อวบอ้วนและตั้งตรงสูงชะลูดขึ้นจนสามารถมองเห็นได้ชัดเจน รากมีรากเป็นระบบรากแก้วที่แข็งแรงและอวบ อ้วน รากแก้วสามารถหยั่งลึกลงดินได้ถึง 5 ฟุต และรากที่เหลือจะเป็นรากแขนง ใบผักกาดแก้ว จะแตกออกมา จากลำต้นโดยรอบ โดยพันธุ์ที่ห่อเป็นหัวจะมีใบหนา และมีเนื้อใบอ่อนนุ่ม ใบห่อหัวอัดกันแน่นคล้ายกับ กะหล่ำปลี ส่วนใบที่ห่ออยู่ข้างในจะเป็นมัน ส่วนบางชนิดจะเป็นใบม้วนงอเปราะ เห็นเส้นใบได้ชัดเจน ขอบใบมี ลักษณะเป็นหยัก โดยขนาดและรูปร่างของใบนั้นจะแตกต่างกันออกไปตามแต่ชนิด ดอกออกดอกเป็นช่อดอก รวม เมล็ดเป็นชนิดเมล็ดเดียวที่เจริญมาจากรังไข่อันเดียว เมล็ดมีลักษณะแบนยาว หัวท้ายแหลมคล้ายรูปหอก และมีเส้นเล็กๆ ลาดยาวไปตามด้านยาวของเมล็ดบนเปลือกหุ้มเมล็ด ตลาดสดทั่วไปในลุ่มแม่น้ำโขง 8 จังหวัด มีวิตามินต่างๆ โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก แคลเซียม แมกนีเซียม ไฟเบอร์ โปรตีน และคาร์โบไฮเดรต สรรพคุณ พบสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิด จึงช่วยในการป้องกันและต่อต้าน มะเร็ง ช่วยในการนอนหลับ ช่วยเสริมการสร้างเม็ดเลือดหรือฮีโมโกลบิน ช่วยขับเสมหะและแก้อาการไอ ช่วยแก้อาการกระหายน้ำ ช่วยป้องกันและบรรเทาอาการท้องผูก ช่วยขับลมในลำไส้ ช่วยขับพยาธิเป็นต้น นำมาประกอบอาหาร หรือรับประทานสด 30-50 บาท https://medthai.com. [25 เม.ย. 2022]. 1 17
การสร้างฐานข้อมูลความหลากหลายทางทรัพยากรชีวภาพด้านเกษตรลุ่มน้ำโขง CHINESE CHIVE ผักแป้น ผักไม้กวาด ผักกูไฉ่ Allium tuberosum Rottl. ex Spreng. LILIACEAE เป็นพืชล้มลุกสูง 10-30 ซม. ลำต้นอยู่ใต้ดินเป็นเหง้าเล็ก ๆ แล้วค่อยแตกกอออก ทั้งต้น มีกลิ่นฉุนเฉพาะตัว ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ ลักษณะใบรูปขอบขนาน เรียวยาวและแบน กว้าง 2-9 มม. ยาวประมาณ 10-20 ซม. ขอบใบเรียบไม่มีขน ปลายใบแหลม โคนใบเป็นกาบบางซ้อนกันสีขาว แผ่นใบสีเขียว เป็นมัน ดอกออกดอกจากโคนต้น สูงประมาณ 50 ซม. ดอกเป็นช่อกระจุกสีขาว ลักษณะช่อซี่ร่ม ก้านช่อดอก ยาว กลีบดอกมี 6 กลีบสีขาวยาว 5 มม. กลิ่นหอม ก้านดอกย่อยยาวเท่ากัน มีใบประดับสีขาว มีริ้วสีเขียวหุ้ม ช่อดอก เกสรตัวผู้ 6 อัน เกสรตัวเมีย 1 อัน ผลแตกได้ 3 พูเมล็ดภายในผลมี 3 ช่อง มีช่องละ 1-2 เมล็ด สีน้ำตาล รูปร่างแบน ตลาดสดโพธิ์ชัย อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย มีวิตามินต่างๆ โปรตีน และคาร์โบไฮเดรต สรรพคุณ ต้นและใบ รสร้อนฉุน ช่วย แก้โรคนิ่วและหนองใน ใบ รสร้อนฉุน แก้พิษแมลงสัตว์กัดต่อย แก้ฟกบวม แก้แน่นหน้าอก แก้ไอ ฆ่าเชื้อโรค ในแผลสด แก้แผลหนองเรื้อรัง แก้หูน้ำหนวก แก้ผื่นคันตามลำตัว แก้อ่อนเพลีย แก้เลือดกำเดาไหล เป็นยาแก้ หวัด บำรุงกระดูก ทาท้องเด็กแก้ท้องอืด ใบมีฟอสฟอรัสสูง เป็นยาแก้หวัด บำรุงกระดูก แก้ลมพิษ ดอก ช่วย สร้างเม็ดเลือดแดง กากใยช่วยในระบบขับถ่าย เมล็ด รสเค็มร้อน ขับพยาธิเส้นด้ายหรือพยาธิแส้ม้า เป็นต้น นำมาประกอบอาหาร 5-10 บาท https://medthai.com. [25 เม.ย. 2022]. 1 18
การสร้างฐานข้อมูลความหลากหลายทางทรัพยากรชีวภาพด้านเกษตรลุ่มน้ำโขง TURMERIC ขมิ้นแกง ขมิ้นหยอก ขมิ้นหัว ขี้มิ้น หมิ้น Curcuma longa L. ZINGIBERACEAE เป็นพืชล้มลุก อายุหลายปี มีลำต้นใต้ดินเรียกว่า “เหง้า” ประกอบด้วยแง่งที่มีลักษณะต่างกัน คือ แง่งแม่หรือแง่งหลักจะมีลักษณะกลม แขนงที่แตกออกมานี้ถ้ามีลักษณะกลมจะเรียกว่า “หัว” และถ้ามี ลักษณะยาวคล้ายนิ้วมือจะเรียกว่า “นิ้ว” ซึ่งเป็นที่เกิดของรากฝอย เนื้อในหัวมีสีเหลืองอมส้มหรือสีเหลืองจำปา ปนสีแสด และมีกลิ่นหอม ใบเป็นใบเดี่ยว กลางใบสีแดงคล้ำ แทงออกจากเหง้าใต้ดิน ลักษณะใบรูปใบหอกยาว เรียว ปลายใบแหลม มีเส้นกลางใบเห็นได้ชัดเจน ดอกออกเป็นช่อ ช่อดอกจะเกิดบนลำต้นที่มีใบหรือโผล่ขึ้นมา จากใจกลางของกลุ่มใบ ใบประดับมีสีเขียวอ่อนๆ หรือสีขาว กลีบดอกสีเหลืองอ่อน ตรงปลายช่อดอกจะมีสีชมพู อ่อน จัดเรียงซ้อนกันอย่างเป็นระเบียบ กลีบรองกลีบดอกจะเชื่อมติดกันเป็นรูปท่อ มีขน กลีบดอกสีขาว ตรงโคนเชื่อมติดกันเป็นท่อยาว บานครั้งละ 3-4 ดอก ผลรูปกลมมี 3 พู ตลาดสดทั่วไปในลุ่มแม่น้ำโขง 8 จังหวัด มีวิตามิน แร่ธาตุ และเกลือแร่ต่างๆ มากมาย สรรพคุณ ขมิ้นมีสารต่อต้านอนุมูล อิสระซึ่งช่วยในการชะลอวัยและชะลอการเกิดริ้วรอย ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานให้กับร่างกาย ช่วยเสริมสร้าง ภูมิคุ้มกันให้ผิวหนังมีสุขภาพดีแข็งแรง ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล ช่วยกำจัดสารพิษออกจากร่างกาย ช่วยบรรเทาอาการของโรคเบาหวาน ช่วยรักษาโรคความดันโลหิตสูง ช่วยลดอาการของโรคเกาต์และช่วย ขับน้ำนมของมารดาหลังคลอดบุตร เป็นต้น นำมาประกอบอาหาร และใช้เป็นพืชสมุนไพร 10-20 บาท https://medthai.com. [25 เม.ย. 2022]. 1 19
การสร้างฐานข้อมูลความหลากหลายทางทรัพยากรชีวภาพด้านเกษตรลุ่มน้ำโขง GREATER GALANGAL ข่าหยวก ข่าหลวง สะเอเชย เสะเออเคย ข่า กฎุกกโรหินี Alpinia galanga (L.) Willd. ZINGIBERACEAE เป็นพืชล้มลุก มีลำต้นใต้ดินเป็นเหง้า มีข้อและปล้องชัดเจน เลื้อยขนานพื้นดินและแตกแขนง เป็นแง่งเป็นง่าม เหง้าหัวมีขนาดใหญ่ด้วนสีขาว ลำต้นเหนือดินเป็นกาบใบที่หุ้มซ้อนทับกัน มีสีเขียวทรงกระบอก กลม ใบเป็นใบเดี่ยว แตกใบเวียนรอบต้น ลักษณะใบรูปขอบขนาน ขอบใบเรียบและบางช่วงเป็นคลื่น ปลายใบ เป็นติ่งแหลมหรือเรียวแหลม แผ่นใบสีเขียวเข้มเป็นมัน ก้านใบสั้น ดอกออกดอกเป็นช่อแบบช่อกระจะ ออกช่อ ตรงปลายยอด แกนกลางช่อมีขน และดอกช่อจะจัดอยู่ด้วยกันอย่างหลวม ๆ ช่อที่ยังอ่อนจะมีกาบสีเขียว อมเหลืองหุ้มมิด ส่วนดอกสีขาวอมม่วงแดงนั้นจะบานจากข้างล่างขึ้นบน ผลลักษณะกลมโตหรือรี ขนาดเท่าเม็ด บัว ผลอ่อนสีเขียวเมื่อแก่จะมีสีแดงอมส้ม ภายในมีเมล็ดเล็ก ๆ สีดำ มีรสขมและเผ็ด ตลาดสดทั่วไปในลุ่มแม่น้ำโขง 8 จังหวัด มีวิตามิน แร่ธาตุ และเกลือแร่ต่างๆ มากมาย สรรพคุณ ราก เป็นยาขับเสมหะ ขับโลหิต แก้เหน็บชา ขับหลอดลม เหง้าและราก เป็นยาขับลม แก้ปวดท้อง ท้องเสีย รักษาอาการจุกเสียดแน่น ท้อง อาหารไม่ย่อย เหง้าหัวใต้ดิน ขับลม แก้ฟกช้ำ แก้บวม แก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ แก้กลากเกลื้อน ขับลม ในลำไส้ แก้ปวดมวนในท้อง เป็นยาขับลมในหญิงหลังคลอดบุตร ใช้ภายนอก รักษาอาการคันในโรคลมพิษ ช่วยย่อยอาหาร แก้บิด แก้ลมพิษ แก้โรคปวดบวมตามข้อ หลอดลมอักเสบ หน่อ บำรุงไฟธาตุ แก้ลมแน่น หน้าอก เป็นต้น นำมาประกอบอาหาร และใช้เป็นพืชสมุนไพร 10-20 บาท https://medthai.com. [25 เม.ย. 2022]. 1 20
การสร้างฐานข้อมูลความหลากหลายทางทรัพยากรชีวภาพด้านเกษตรลุ่มน้ำโขง INDIAN CORN, MAIZE ,BABY CORN ข้าวสาลี คง โพด บือเคส่ะ ข้าวโพดอ่อน Zea mays Linn. GRAMINEAE เป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยว ปลูกฤดูเดียว ลักษณะลำต้นเป็นปล้องสีเขียวจำนวน 8 – 20 ปล้อง ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 3 – 4 ซม. สูงประมาณ 150 – 220 ซม. ใบมีสีเขียวลักษณะเรียว ขนาดของใบ แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ โดยทั่วไปดอกตัวผู้ จะบานก่อนดอกตัวเมียและพร้อมจะผสมภายใน 1 – 3 วัน และทยอยบานทีละคู่ใช้เวลา 2 – 14 วัน ดอกดอกตัวเมียมีลักษณะเป็นฝัก จากแขนงสั้นๆ บนข้อที่มีใบ ใหญ่สุด แขนงดังกล่าวประกอบด้วยใบ 8 – 13 ใบ เจริญเป็นกาบหุ้มส่วนของดอกตัวเมียและหุ้มฝัก (husk) ก้านเกสรตัวเมียมีลักษณะคล้ายเส้นไหม เจริญออกมาด้านส่วนปลายฝัก ประกอบด้วยเมือกเหนียวเพื่อดักจับ ละอองเกสร ตลาดสดทั่วไปในลุ่มแม่น้ำโขง 8 จังหวัด มีคาร์โบไฮเดรต เบต้าแคโรทีน วิตามินซี เส้นใยอาหาร ฟอสฟอรัส สรรพคุณ ช่วยในการสร้างกระดูกและฟัน ช่วยให้การหลั่งน้ำนมเป็นไปตามปกติ ช่วยสร้างเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อ ช่วยลด คอเลสเตอรอลในเลือด ป้องกันเส้นเลือดแข็งตัว ช่วยย่อยอาหาร ลดอาการบวมน้ำ รักษาโรคไตอักเสบเรื้อรัง โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ปัสสาวะอักเสบเรื้อรัง จมูกอักเสบเรื้อรัง และช่วยบำรุงหัวใจ เป็นต้น นำมาประกอบอาหาร 10-20 บาท www.the-than.com/samonpai, https://www.greendelifoods.com/articledetail.asp?id=7775. [25 เม.ย. 2022]. 1 21
การสร้างฐานข้อมูลความหลากหลายทางทรัพยากรชีวภาพด้านเกษตรลุ่มน้ำโขง GINGER ขิงแกลง ขิงแดง ขิงเผือก สะเอ Zingiber officinale Roscoe. ZINGIBERACEAE เป็นพืชล้มลุก มีเหง้าใต้ดิน เปลือกนอกสีน้ำตาลแกมเหลือง เนื้อในสีนวลมีกลิ่นหอมเฉพาะ แทงหน่อหรือลำต้นเทียมขึ้นเป็นกอ ประกอบด้วยกาบหรือโคนใบหุ้มซ้อนกัน ใบเป็นชนิดใบเดี่ยว ออกเรียง สลับกันเป็นสองแถว ใบรูปหอกเกลี้ยงๆ ตรงช่วงระหว่างกาบกับตัวใบจะหักโค้งเป็นข้อศอก ดอกสีขาว ออก รวมกันเป็นช่อรูปเห็ดหรือกระบองโบราณ แทงขึ้นมาจากเหง้า ชูก้านสูงขึ้นมา 15 - 25 ซม. ทุกๆ ดอกที่กาบสี เขียวปนแดงรูปโค้งๆ ห่อรองรับ กาบจะปิดแน่นเมื่อดอกยังอ่อน และจะขยายอ้าให้เห็นดอกในภายหลัง กลีบ ดอกและกลีบรองกลีบดอก มีอย่างละ 3 กลีบ อุ้มน้ำ และหลุดร่วงไว โคนกลีบดอกม้วนห่อ ส่วนปลายกลีบผาย กว้างออก เกสรตัวผู้มี 6 อัน ผลกลม แข็ง โต ตลาดสดทั่วไปในลุ่มแม่น้ำโขง 8 จังหวัด มีคาร์โบไฮเดรต เบต้าแคโรทีน วิตามินต่างๆ สรรพคุณ เหง้าแก่สด ยาแก้อาเจียน ยาแก้ท้องขึ้น ท้องอืดเฟ้อ ขับลม แก้ไอ ขับเสมหะ บำรุงธาตุ แผลในกระเพาะอาหาร ลดอาการจุกเสียดได้ดี มีฤทธิ์ในการขับน้ำดี เพื่อย่อยอาหาร แก้ปากคอเปื่อย แก้ท้องผูก ลดความดันโลหิต ใบ บรรเทาอาการแก้ฟกช้ำ จากการหกล้ม แก้โรคกำเดา ขับผายลม แก้นิ่ว แก้คอเปื่อย ดอก แก้โรคตาแฉะ ฆ่าพยาธิ ช่วยย่อยอาหาร แก้คอเปื่อย บำรุงไฟธาตุ แก้นิ่ว แก้เบาขัด แก้บิด แก้ขัดปัสสาวะ เป็นต้น นำมาประกอบอาหาร และใช้เป็นยาสมุนไพร 10-20 บาท http://www.rspg.or.th/plants_data/herbs/herbs_14_1.htm , https://www.pueasukkapab.com [25 เม.ย. 2022]. 1 22