The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

การเปรียบเทียบความสามารถทางการพูดของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมเล่านิทานประกอบหุ่น

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ii_iiceeeee, 2024-02-01 07:11:02

การเปรียบเทียบความสามารถทางการพูดของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมเล่านิทานประกอบหุ่น

การเปรียบเทียบความสามารถทางการพูดของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมเล่านิทานประกอบหุ่น

การเปรียบเทียบความสามารถทางการพูดของเด็กปฐมวัยที่ได้รับ การจัดกิจกรรมเล่านิทานประกอบหุ่น รัตนพรรณ คำเฝือย วิจัยในชั้นเรียนนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร ครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี 2566


การเปรียบเทียบความสามารถทางการพูดของเด็กปฐมวัยที่ได้รับ การจัดกิจกรรมเล่านิทานประกอบหุ่น รัตนพรรณ คำเฝือย วิจัยในชั้นเรียนนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร ครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี 2566


หัวข้อวิจัยในชั้นเรียน การเปรียบเทียบความสามารถทางการพูดของเด็กปฐมวัยที่ได้รับ การจัดกิจกรรมเล่านิทานประกอบหุ่น ผู้วิจัย นางสาวรัตนพรรณ คำเฝือย สาขาวิชา การศึกษาปฐมวัย อาจารย์ที่ปรึกษา อาจารย์ญาณี ช่อสูงเนิน ครูพี่เลี้ยง นางวันวิสาข์ ชำนาญสาร อาจารย์ประจำหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานีอนุมัติให้นับวิจัยในชั้นเรียนฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตาม หลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย .................................................................. หัวหน้าสาขาวิชา (ผู้ช่วยศาสตราจารย์วรัญญา ศรีบัว) วันที่..............…เดือน…….…………พ.ศ…………… คณะกรรมการผู้ประเมินรายงานวิจัยในชั้นเรียน .................................................................................. ประธานคณะกรรมการ (อาจารย์ญาณี ช่อสูงเนิน) .................................................................................. กรรมการ (นางมะลิวัลย์ ขมิ้นเครือ) .................................................................................. กรรมการ (นางมะลิวัลย์ ทองกุล) .................................................................................. กรรมการ (นางสาวเอมอร เทียมสินสังวร)


ก ชื่อเรื่อง การเปรียบเทียบความสามารถทางการพูดของเด็กปฐมวัยที่ได้รับ การจัดกิจกรรมเล่านิทานประกอบหุ่น ผู้วิจัย นางสาวรัตนพรรณ คำเฝือย อาจารย์ที่ปรึกษา อาจารย์ญาณี ช่อสูงเนิน อาจารย์ที่ปรึกษาร่วม ครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย ปีการศึกษา 2566 บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาทักษะความสามารถทางการพูดของเด็กปฐมวัย โดยใช้ กิจกรรมเล่านิทานประกอบหุ่น กลุ่มตัวอย่างเป็นเด็กปฐมวัยชั้นอนุบาลปีที่ 2/8 จำนวน 1 ห้องเรียน จำนวน 30 คน ในภาค เรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนอนุบาลอุดรธานี สำนักงานเขตพื้นที่ประถมศึกษา อุดรธานีเขต 1 ซึ่งได้มาโดยวิธีการใช้การสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งกลุ่ม รูปแบบการวิจัยคือ แบบกลุ่มเดียวทดสอบก่อน และหลัง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แผนกิจกรรมการเล่านิทานประกอบหุ่น จำนวน 24 แผน ครั้งละ 20 นาทีสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ได้แก่ วันจันทร์ วันพุธ วันพฤหัสบดี เป็นเวลา 8 สัปดาห์ แบบทดสอบวัดทักษะความสามรถทางการพูดของเด็กปฐมวัย คือ t-test for Dependent Sample ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้ ผลการวิเคราะห์ข้อมูลพบว่าหลังการจัดกิจกรรมการเล่านิทาน ประกอบ หุ่น มีคะแนนทักษะความสามารถทางการพูดในภาพรวมก่อนการจัดกิจกรรมการเล่านิทานประกอบ หุ่นมีคะแนนเฉลี่ย 7.17 และมีคะแนนคะแนนทักษะความสามารถทางการพูดในภาพรวมหลังการจัด กิจกรรมการเล่านิทานประกอบหุ่น มีคะแนนเฉลี่ย 55.06 และเมื่อเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่าง คะแนนเฉลี่ยก่อนและหลังในภาพรวมและรายด้าน ปรากฏว่าเด็กปฐมวัยมีคะแนนเฉลี่ยทักษะ ความสามารถทางการพูดประกอบหุ่นสูงกว่าก่อนการจัดกิจกรรมการเล่านิทานประกอบหุ่น อย่างมี นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05


ข กิตติกรรมประกาศ วิจัย เรื่อง การเปรียบเทียบความสามารถทางการพูดของเด็กปฐมวัยที่ได้รับ การจัดกิจกรรมเล่านิทานประกอบหุ่น เสร็จสมบูรณ์ได้ด้วยความกรุณาจาก อาจารย์ญาณี ช่อสูงเนิน อาจารย์ และ อาจารย์นิทรา ช่อสูงเนินที่ปรึกษาวิจัย ที่กรุณาให้คำปรึกษา ชี้แนะแนวทางต่าง ๆ ผู้วิจัยรู้สึกซาบซึ้งในความกรุณาเป็นอย่างยิ่ง ผู้วิจัยขอกราบขอบพระคุณอย่างสูง ณ ที่นี้ ขอขอบพระคุณ นางวันวิสาข์ ชำนาญสาร ในฐานะครูพี่เลี้ยงของผู้วิจัยที่ได้ให้คำแนะนำชี้แนะ ที่ เป็นประโยชน์และแนวทางการทำวิจัยในครั้งนี้ ผู้วิจัยรู้สึกซาบซึ้งในความกรุณาเป็นอย่างยิ่งในความ ร่วมมือและช่วยเหลือในการเก็บรวบรวมข้อมูลในการวิจัยครั้งนี้ ขอขอบพระคุณผู้เชี่ยวชาญ นางมะลิวัลย์ ทองกุล ครูชำนาญการพิเศษ โรงเรียนอนุบาล อุดรธานีนางมะลิวัลย์ ขมิ้นเครือ ครูชำนาญการพิเศษ โรงเรียนอนุบาลอุดรธานี นางสาวเอมอร เทียมสินสังวร ครูชำนาญการ โรงเรียนอนุบาลอุดรธานี ที่ได้ช่วยตรวจสอบ แก้ไขเครื่องมือในการวิจัย ให้มี คุณภาพ ขอขอบพระคุณคณะผู้บริหาร คณะครู นักเรียนและผู้ปกครอง โรงเรียนอนุบาลอุดรธานี ผู้วิจัย รู้สึกซาบซึ้งในความกรุณาเป็นอย่างยิ่งในความร่วมมือและช่วยเหลือให้ความอนุเคราะห์ในการ ทดลอง เพื่อหาประสิทธิภาพของเครื่องมือ และการทดลองเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลในการวิจัยครั้งนี้ ขอขอบพระคุณครอบครัวที่คอยห่วงใยและให้กำลังใจ ขอบคุณเพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ นักศึกษา สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัยที่คอยถามไถ่ เป็นกำลังใจและให้ความช่วยเหลือตลอดการดำเนินการวิจัย ในครั้งนี้คุณค่าและประโยชน์อันพึงมีจากปริญญานิพนธ์ฉบับบนี้ขอน้อมบูชาในพระคุณของบิดา มารดาและอาจารย์ทุกท่านที่ได้อบรมสั่งสอนและประสิทธิ์ประสาทวิทยากรต่าง ๆ ให้แก่ผู้วิจัย รัตนพรรณ คำเฝือย


ค สารบัญ บทคัดย่อ.............................................................................................................................................ก กิตติกรรมประกาศ..............................................................................................................................ข สารบัญ…………………………………………………………………………………………………………………………………ค สารบัญตาราง………………………………………………………………………………………………………………………..ช สารบัญภาพ…………………………………………………………………………………………………………………………..ซ บทที่ 1................................................................................................................................................1 บทนำ..................................................................................................................................................1 ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา........................................................................................1 วัตถุประสงค์ของการวิจัย..............................................................................................................3 สมมติฐานของการวิจัย..................................................................................................................3 ขอบเขตของการวิจัย.....................................................................................................................3 นิยามศัพท์เฉพาะ..........................................................................................................................4 กรอบแนวคิดในการวิจัย................................................................................................................5 ประโยชน์ที่ได้รับ...........................................................................................................................6 บทที่ 2...............................................................................................................................................7 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง...........................................................................................................7 1. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับความสามารถด้านการพูด.......................................................................8 1.1 ความหมายของการพูด...........................................................................................................8 1.2 ความสำคัญของการพูด........................................................................................................10 1.3 พัฒนาการความสามารถด้านการพูด....................................................................................12 1.4 ทฤษฎีพัฒนาการทางการพูดของเด็กปฐมวัย........................................................................18 1.5 กระบวนการพูด....................................................................................................................20 1.6 การใช้ภาษาพูด.....................................................................................................................21 1.7 กิจกรรมที่ส่งเสริมการพูดของเด็กปฐมวัย.............................................................................22 2. เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับนิทานและการเล่านิทาน....................................................24 2.1 ความหมายของนิทาน...........................................................................................................24 2.2 ความหมายของการเล่านิทาน...............................................................................................26


ง สารบัญ (ต่อ) 2.3 ประเภทของนิทาน ...............................................................................................................27 2.4 จุดประสงค์ของการเล่านิทาน...............................................................................................30 2.5 ความสำคัญของนิทานที่มีต่อเด็กปฐมวัย..............................................................................32 2.6 ประโยชน์ของการเล่านิทานที่มีต่อเด็กปฐมวัย......................................................................34 2.7 คุณค่าของนิทานที่มีต่อเด็กปฐมวัย.......................................................................................35 2.8 หลักในการเลือกนิทาน .........................................................................................................37 2.9 เทคนิคการเล่านิทานสำหรับเด็กปฐมวัย...............................................................................41 2.10 รูปแบบการเล่านิทาน.........................................................................................................44 2.11 องค์ประกอบของการเล่านิทาน..........................................................................................47 3.เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับหุ่นมือ......................................................................................48 3.1 ความหมายของหุ่นมือ..........................................................................................................48 3.2 ความสำคัญของหุ่นมือ..........................................................................................................49 3.3 ประเภทของหุ่นมือ...............................................................................................................51 3.4 การสร้างหุ่น .........................................................................................................................52 4. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง.......................................................................................................................54 4.1 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องการความสามารถด้านการพูด................................................................54 4.1.1 งานวิจัยในประเทศ............................................................................................................54 4.1.2 งานวิจัยต่างประเทศ..........................................................................................................60 4.2 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับนิทานและการเล่านิทาน....................................................................62 4.2.1 งานวิจัยในประเทศ............................................................................................................62 4.2.2 งานวิจัยต่างประเทศ..........................................................................................................67 4.3 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับหุ่นมือ.................................................................................................68 4.3.1 งานวิจัยในประเทศ............................................................................................................68 4.3.2 งานวิจัยต่างประเทศ..........................................................................................................71 บทที่ 3..............................................................................................................................................73 วิธีดำเนินการวิจัย........................................................................................................................73 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง .........................................................................................................73 แบบแผนการทดลอง...................................................................................................................73 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย..............................................................................................................74


จ สารบัญ (ต่อ) การเก็บรวบรวมข้อมูล.................................................................................................................79 วิธีการดำเนินการทดลอง.............................................................................................................79 ทดลองการวิเคราะห์ข้อมูล...........................................................................................................80 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล....................................................................................................81 บทที่ 4.............................................................................................................................................82 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล.......................................................................................................................82 สัญลักษณ์ที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล...........................................................................................82 การวิเคราะห์ข้อมูล......................................................................................................................82 บทที่ 5..............................................................................................................................................85 สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ...................................................................................................85 วัตถุประสงค์ของการวิจัย............................................................................................................85 สมมติฐานการวิจัย.......................................................................................................................85 ขอบเขตของการวิจัย...................................................................................................................85 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย..............................................................................................................86 การหาคุณภาพเครื่องมือ.............................................................................................................86 การวิเคราะห์ข้อมูล......................................................................................................................86 สรุปผลการวิจัย...........................................................................................................................86 อภิปรายผลการวิจัย....................................................................................................................87 ข้อเสนอแนะ...............................................................................................................................88 เอกสารอ้างอิง...................................................................................................................................89 ภาคผนวก..........................................................................................................................................94 ภาคผนวก ก รายชื่อผู้เชี่ยวชาญตรวจเครื่องมือ..........................................................................95 ภาคผนวก ข ดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ของแผนการจัดกิจกรรมเล่านิทานประกอบหุ่น..........97 ภาคผนวก ค ดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ของแบบทดสอบวัดความสามารถทางการพูด..........100 ของเด็กปฐมวัย..........................................................................................................................100


ฉ สารบัญ (ต่อ) ภาคผนวก ง แผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมเล่านิทานประกอบหุ่น...........103 ภาคผนวก จ แบบทดสอบความสามารถด้านการพูดของเด็กปฐมวัย........................................127 ภาคผนวก ฉ ค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบความสามารถด้านการพูดของเด็กปฐมวัย.........130 ภาคผนวก ช คะแนนความสามารด้านการพูดของเด็กปฐมวัย..................................................132 ภาคผนวก ซ ตัวอย่างภาพการจัดกิจกรรมเล่านิทานประกอบหุ่น.............................................135 ภาคผนวก ฌ ตัวอย่างภาพแบบทดสอบวัดทักษะความสามารถทางการพูดของเด็กปฐมวัย.....160 ประวัติผู้วิจัย....................................................................................................................................165


ช สารบัญตาราง ตาราง หน้า ตารางที่ 1 แบบแผนการทดลอง......................................................................................................73 ตารางที่ 2 เนื้อหาสาระที่ใช้ในการทดลองการจัดกิจกรรมเล่านิทาน................................................75 ตารางที่ 3 แบบแผนการทดลอง......................................................................................................79 ตารางที่ 4 เนื้อหาสาระที่ใช้ในการทดลองการจัดกิจกรรมเล่านิทาน................................................80 ตารางที่ 5 คะแนนเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ร้อยละ ของคะแนนทักษะความสามารถด้านพูด ของเด็กปฐมวัย ก่อนและหลังการจัดกิจกรรมการเล่านิทานประกอบหุ่น..........................................82 ตารางที่ 6 คะแนนค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ร้อยละ และการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ย ของ คะแนนหลังการจัดกิจกรรมการเล่านิทานประกอบหุ่นกับเกณฑ์ร้อยละ 80......................................83 ตารางที่ 7 ดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ของแผนการจัดกิจกรรมเล่านิทานประกอบหุ่น ..................98 ตารางที่ 8 ดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ของแบบทดสอบวัดความสามารถทางการพูดของเด็กปฐมวัย ........................................................................................................................................................101 ตารางที่ 9 ค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบวัดทักษะความสามารถทางการพูดของเด็ปฐมวัย......131 ตารางที่ 10 คะแนนทักษะความสามารถทางการพูดของเด็กปฐมวัย ก่อน - หลัง การจัดกิจกรรมเล่า นิทานประกอบหุ่น...........................................................................................................................133


ช สารบัญภาพ รูปภาพที่ หน้า รูปภาพที่ 1 กรอบแนวคิดวิจัย.............................................................................................................5 รูปภาพที่ 2 ขั้นตอนการสร้างแผนการจัดกิจกรรมเล่านิทานประกอบหุ่น .........................................76 รูปภาพที่ 3 ขั้นตอนการสร้างแบบทดสอบความสามารถทางการพูดของเด็กปฐมวัย........................78


1 บทที่ 1 บทนำ ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา การพูดเป็นรูปแบบหนึ่งของภาษา ที่มนุษย์ใช้เพื่อสื่อความหมาย แสดงความคิด ความรู้สึก ทัศนคติ ความสามารถทางสติปัญญา และการปรับตัวเข้ากับสังคม การพูดจึงเป็นวิธีสื่อความหมายที่ มนุษย์ใช้มากที่สุด และเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ในการสื่อความหมายอีกด้วย ภาษาพูดเป็น พื้นฐานในการเรียนรู้ภาษาอ่านและภาษาเขียน และเป็นประโยชน์ต่อการเรียนในสาขาวิชาต่างๆ (ศันนสนีย์ ฉัตรคุปต์. 2543: 35) ดังนั้นการพูดจึงเป็นความสามารถทางภาษาที่สำคัญ ที่ควรส่งเสริม ให้แก่เด็กปฐมวัย เด็กที่พูดได้เร็วจะได้รับประโยชน์ด้านการสื่อสารมากกว่าเด็กที่พูดช้า การพูดเป็น เครื่องมือช่วยในการส่งเสริมพัฒนาการด้านอื่น ๆ ความสามารถด้านการพูดในเด็กก่อนวัยเรียน จึง เป็นเสมือนกุญแจเปิดทางไปสู่ความเจริญงอกงามทางสติปัญญา การพัฒนาชีวิตทางสังคม และการ ช่วยเหลือตนเอง การที่ครูมีความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับลำดับขั้นของความสามารถทางภาษา จะ ช่วยให้ครูสามารถส่งเสริมทักษะทางภาษา ให้แก่เด็กปฐมวัยได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม การจัด กิจกรรมการเรียนการสอน ต้องเป็นไปในลักษณะของการบูรณาการเพื่อให้เด็กได้รับประสบการณ์ตรง เกิดการเรียนรู้ ได้รับการพัฒนาทุกด้านทั้งด้านการฟังและการพูด การเรียนรู้ที่เหมาะสม คือ ให้ผู้เรียน ได้เรียนและปฏิบัติ ให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่กำหนด ด้วยการให้ผู้เรียนมีบทบาทสำคัญในการ เรียนรู้ ครูต้องเปิดโอกาสให้นักเรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้ ได้ประพฤติปฏิบัติ ลงมือกระทำ จริง การจัดกิจกรรมต่างๆ ต้องให้นักเรียนมีโอกาสรับรู้ โดยผ่านการรับรู้หลายๆ ทาง อาทิ การฟัง การพูด การถาม การสัมผัส และการทดลองการจัดกิจกรรมต้องท้าทาย ชวนคิด มีความยากง่าย พอเหมาะกับวัย และความสามารถของนักเรียน(สิริมา ภิญโญอนันตพงษ์. 2545: 196) การเล่านิทานเป็นวิธีที่ง่าย และนิยมกันแพร่หลาย ในการส่งเสริมให้เด็กปฐมวัยเกิดทักษะ ทางภาษา มาล์กินา (Malkina. 1995: 38) กล่าวว่า การเล่านิทานเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิผลต่อผู้ เริ่มเรียนภาษาเพราะสามารถแสดงถึงอารมณ์ต่างๆ การรับรู้ และความต้องการได้ดี โดยเฉพาะอย่าง ยิ่งกับเด็ก เพราะการเล่านิทาน สามารถกระตุ้นความสนใจของเด็ก เพราะเรื่องที่นำมาเล่านั้น เด็ก สามารถรับรู้อารมณ์ และเรียนรู้วัฒนธรรมจากเรื่องที่ฟังได้ การเล่านิทานจึงเป็นกิจกรรมหนึ่ง ที่ครู สามารถนำมาใช้ในการพัฒนาทักษะด้านการใช้ภาษาของนักเรียน เมื่อนักเรียนได้ฟังครูเล่านิทาน จะ


2 จดจำความต่อเนื่องของเรื่องราว ตลอดจนได้เรียนรู้คำศัพท์ใหม่ ๆ ซึ่งจะช่วยให้เด็กมีความสามารถ ทางการพูดเพิ่มขึ้นด้วย เช่น ในงานวิจัยของ นภาภรณ์ อันทะผลา (2547) ที่ศึกษาผลของกิจกรรมการ เล่านิทานที่มีต่อทักษะการพูดของเด็กปฐมวัยชั้นอนุบาลปี ที่ 2 โรงเรียนอนุบาลรัชนีบูล เขตวัง ทองหลาง กรุงเทพมหานครพบว่า เด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเล่านิทาน มีทักษะทางการ พูดมากกว่าเด็กปฐมวัยที่ไม่ได้รับการจัดกิจกรรมการเล่านิทาน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และการเปิด โอกาสให้เด็กได้จินตนาการโดยใช้นิทานเป็นสื่อ ยังเป็นการกระตุ้นให้เด็กรู้จักคิด และพูดออกมาด้วย ดังที่ ชัยยงค์ พรหมวงศ์ (2521: 81) กล่าวไว้ว่า การจัดประสบการณ์เล่าเรื่องมีความสำคัญ เพราะ ช่วยส่งเสริมพัฒนาการทางภาษา รวมทั้งการคิดและจินตนาการของเด็กด้วย สำหรับกิจกรรมที่ส่งเสริมความสามารถด้านการพูดสำหรับเด็กปฐมวัยนั้น มีหลากหลาย กิจกรรม เช่น การเล่านิทาน การเล่นบทบาทสมมุติ การสนทนา การอภิปราย การร้องเพลง การพูด คำคล้องจอง การใช้ปริศนาคำทาย การใช้นิทานภาพ หรือสื่อประกอบการเล่านิทาน ซึ่งกิจกรรมต่าง ๆ เหล่านี้ เป็นการเปิดโอกาสให้เด็กได้ฟัง ได้พูดโต้ตอบ และแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระ ซึ่งจะช่วย ส่งเสริมให้เด็กมีความสามารถทางภาษาดีขึ้น วิชัย วงษ์ใหญ่ (2537: 20) กล่าวว่า ถ้านิทานได้รับการ เสริมสร้างให้น่าสนใจด้วยเทคนิคใหม่ ๆ ก็จะได้ผลในการสอนเด็กเหลือคณานับ ซึ่งมีงานวิจัยหลาย เรื่องที่พบ ผลยืนยันว่า การเล่านิทานประกอบกับการใช้สื่อต่างๆ สามารถช่วยให้เด็กมีพัฒนาการด้าน การพูดสูงขึ้น เช่น งานวิจัยของ จีรวรรณ นนทชัย (2555) ที่ศึกษาการจัดประสบการณ์เล่านิทาน ประกอบการวาดภาพ งานวิจัยของ กณิการ์ พงศ์พันธุ์สถาพร (2553) ที่ศึกษาการจัดกิจกรรมการ แสดงประกอบการเล่านิทาน และงานวิจัยของ ณัฐธยาน์ ยิ่งยงค์ (2553) ที่ศึกษาผลการเล่านิทาน พื้นบ้านจังหวัดสุโขทัยประกอบภาพ งานวิจัยทั้งสามเรื่องนี้ต่างก็พบว่า การเล่านิทานประกอบสื่อต่าง ๆ ทำให้ความสามารถด้านการพูดของเด็กปฐมวัยสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ การเล่านิทานประกอบสื่อโดยใช้หุ่นมือ เป็นวิธีหนึ่งที่สามารถดึงดูดความสนใจของเด็กได้มาก เด็กจะฟังนิทานด้วยความสนุกสนาน และจดจำได้ง่าย มีผู้นำวิธีการเล่านิทานประกอบหุ่นมือไปใช้ใน การพัฒนาเด็กปฐมวัยหลายด้าน เช่น สมฤดี วังจินดา (2540) ศึกษาพบว่า เด็กปฐมวัยที่ได้รับการเล่า นิทานประกอบหุ่นมือ มีการรับรู้ความเจ็บปวดจากการฉีดวัคซีนน้อยกว่าเด็กที่ไม่ได้รับการเล่านิทาน ประกอบหุ่นมือ และ สุดาวดี ใยพิมล (2534) ศึกษาพบว่า เด็กปฐมวัยที่ได้ฟังการเล่านิทานโดยใช้หุ่น มือ มีความสามารถในการจำแนกพฤติกรรมด้านความซื่อสัตย์สูงขึ้นมากกว่าก่อนการทดลองอย่างมี นัยสำคัญทางสถิติ การนำหุ่นมือมาประกอบการเล่านิทาน สามารถทำได้หลายแบบ เช่น หุ่นถุง กระดาษ หุ่นถุงมือ หุ่นถุงเท้า หุ่นนิ้วมือ (จิตราภรณ์เตมียกุล. 2531: 34) แม้ว่าจะมีผู้นำหุ่นแต่ละ แบบ ไปใช้ประกอบการเล่านิทานกันอย่างแพร่หลาย แต่งานวิจัยที่นำหุ่นหลายแบบมาใช้ประกอบการ เล่านิทานในเรื่องเดียวกันยังมีน้อยมาก ดังนั้นในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยจึงทดลองนำหุ่นทั้งสามแบบ


3 ได้แก่ หุ่นนิ้วมือจากกระดาษ หุ่นจากไม้ไอศกรีม และหุ่นจากถุงกระดาษ มาใช้เป็นสื่อประกอบการเล่า นิทานในเรื่องเดียวกัน เพื่อให้เกิดความแปลกใหม่ และดึงดูดความสนใจของเด็กได้มากขึ้น จากสภาพปัญหาและความสำคัญดังกล่าวข้างต้น ผู้วิจัยจึงสนใจศึกษาความสามารถทางพูด ของเด็กปฐมวัย โดยการทดลองใช้หุ่นเป็นสื่อประกอบการเล่านิทาน เพื่อเปรียบเทียบว่าหลังจากการ จัดกิจกรรมเล่านิทานประกอบหุ่นแล้ว เด็กปฐมวัยมีความสามารถทางการพูดสูงกว่าก่อนการทดลอง หรือไม่ เพื่อเป็นแนวทางสำหรับครูผู้สอน ในการจัดกิจกรรมเพื่อพัฒนาความสามารถทางการพูดของ เด็กปฐมวัย ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นและเพื่อให้เด็กใช้ทักษะทางการพูด เป็นพื้นฐานในการพัฒนา ทักษะด้านอื่น ๆ ต่อไป วัตถุประสงค์ของการวิจัย การวิจัยในครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายสำคัญ เพื่อศึกษาความสามารถทางการพูดของเด็กปฐมวัยที่ เป็นผลมาจากการจัดกิจกรรมการเล่านิทานประกอบหุ่น โดยมีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1. เพื่อศึกษาระดับความสามารถทางการพูดของเด็กปฐมวัย ก่อนและหลังการจัดกิจกรรมเล่า นิทานประกอบหุ่น 2. เพื่อเปรียบเทียบความสามารถทางการพูดของเด็กปฐมวัย ก่อนและหลังการจัดกิจกรรม เล่านิทานประกอบหุ่น สมมติฐานของการวิจัย การวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้กำหนดสมมติฐานการวิจัย ดังนี้ 1. เด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมเล่านิทานประกอบหุ่นมีความสามารถทางการพูดหลัง การจัดกิจกรรมเล่านิทานประกอบหุ่นไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 2. เด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมเล่านิทานประกอบหุ่นมีความสามารถทางการพูดหลัง การจัดกิจกรรมเล่านิทานประกอบหุ่นสูงกว่าก่อนการจัดกิจกรรม ขอบเขตของการวิจัย การวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้กำหนดขอบเขตการวิจัย ดังนี้ 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากรเด็กชาย-หญิง อายุ 4-5 ปี กำลังศึกษาในชั้นอนุบาลปีที2/8 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนอนุบาลอุดรธานีสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานีเขต 1 จำนวน 30 คน


4 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือเด็กปฐมวัยชาย - หญิง อายุระหว่าง 4-5 ปีที่กำลัง ศึกษาอยู่ชั้นอนุบาลชั้นปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนอนุบาลอุดรธานีสำนักงาน เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานีเขต 1 จำนวน 1 ห้องเรียน 30 คน 2. ตัวแปรที่ศึกษา 2.1 ตัวแปรต้น คือ กิจกรรมเล่านิทานประกอบหุ่น 2.2 ตัวแปรตาม คือ ความสามารถทางการพูด 2.2.1 ความสามารถด้านการพูดเป็นประโยค 2.2.2 ความสามารถด้านการพูดเป็นเรื่องราว 3. ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจัย การวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยใช้ระยะเวลาการทดลองในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 ใช้เวลา การทดลอง จำนวน 24 ครั้ง ครั้งละ 45 นาที สัปดาห์ละ 3 ครั้ง เป็นเวลา 8 สัปดาห์ นิยามศัพท์เฉพาะ 1. เด็กปฐมวัย เด็กชาย-หญิง อายุ 4-5 ปี กำลังศึกษาในชั้นอนุบาลปีที่ 2/8 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนอนุบาลอุดรธานี สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานีเขต 1 จำนวน 30 คน 2. ความสามารถทางการพูด หมายถึง การแสดงออกทางภาษาของเด็กปฐมวัย ด้วยการ ใช้ถ้อยคำ เรียบเรียงเป็นภาษาพูด เพื่อถ่ายทอดความคิด และสื่อสารให้ผู้อื่นได้เข้าใจ แบ่งลักษณะ ความสามารถทางการพูดได้ดังนี้ 2.1 การพูดเป็นประโยค คือ ความสามารถในการคิดคำ รู้จักใช้คำที่เหมาะสมเรียบ เรียงเป็นประโยดของตนเอง อาศัยจากการผูกคำ วลีและประโยดที่เคยได้ยิน การพูดเป็นประโยคที่ สมบูรณ์ต้องประกอบไปด้วย ใคร ทำอะไร ที่ไหน 2.2 การพูดเป็นเรื่องราว คือ ความสามารถในการใช้ถ้อยคำที่เหมาะสม เรียบเรียง เป็นประโยคที่มีความหมาย แล้วถ่ายทอดตามลำดับเหตุการณ์อย่างต่อเนื่องตามจินตนาการ ซึ่ง สามารถวัดได้จากแบบวัดความสามารถทางการพูดของเด็กปฐมวัย 3. การจัดกิจกรรมการเล่านิทานประกอบหุ่น หมายถึง การจัดกิจกรรมการเล่านิทานโดย ใช้แผนการจัดกิจกรรมเล่านิทานประกอบสื่ออุปกรณ์ ในรูปแบบของการใช้หุ่นที่แตกต่างกันสามแบบ เป็นสื่อประกอบการเล่า ได้แก่ หุ่นนิ้วมือจากกระดาษ หุ่นจากไม้ไอศกรีม และหุ่นจากถุงกระดาษ ซึ่ง เนื้อหาของนิทานจะเป็นเรื่องที่มีความสัมพันธ์กับหน่วยการเรียน และเป็นเรื่องใกล้ตัวเด็ก โดยครูเล่า


5 นิทานไม่จบเรื่องแล้วให้เด็กเป็นผู้เล่าต่อ ตามจินตนาการของเด็กเอง เพื่อฝึกความสามารถด้านภาษา และการพูด ซึ่งนิทานประกอบหุ่นนี้มีทั้งหมด 8 เรื่องดังนี้1. หนูน้อยหมวกแดง 2. กระต่ายกับเต่า 3. เด็กเลี้ยงแกะ 4. ราชห์สีกับหนู5. ลูกหมู 3 ตัว 6. ลูกเป็ดขี้เหร่ 7. ห่านกับไข่ทองคำ 8. เทวดากับ คนตัดฝืน จะช่วยดึงดูดความสนใจเด็ก มีส่วนช่วยกระตุ้นให้เด็กอยากพูด อยากแสดงความคิดเห็น เด็ก ได้มีส่วนร่วมในการเล่า และกล้าแสดงออก ซึ่งการวิจัยประกอบไปด้วย 3 ขั้นตอนดังนี้ 3.1 ขั้นนำ (ประมาณ 5 นาที) นำเด็กเข้าสู่กิจกรรมโดยเลือกกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่ง ดังนี้ การท่องคำคล้องจอง การใช้ปริศนาคำทาย หรือร้องเพลง เพื่อให้เด็กสงบและมีสมาธิ เตรียม ความพร้อมก่อนเข้าสู่กิจกรรม 3.2 ขั้นดำเนินกิจกรรม (ประมาณ 20 นาที) เด็กและครูร่วมกันสร้าง หรือทบทวน ข้อตกลงในการทำกิจกรรม ครูเล่านิทานไม่จบเรื่องประกอบอุปกรณ์ เป็นตัวละครหุ่น ที่ประดิษฐ์ขึ้น จากกระดาษ ไม้ไอศกรีม และถุงกระดาษ ในระหว่างที่ครูเล่า ครูกระตุ้นให้เด็กใช้ภาษาพูด โดยเน้นให้ เด็กพูดคำศัพท์จากเนื้อเรื่อง พูดเป็นประโยด และพูดเป็นเรื่องราว จากนั้นแบ่งกลุ่มเด็ก ออกเป็นกลุ่ม ละ 5 คน และให้เด็กในแต่ละกลุ่มเลือกว่าจะเป็นตัวละรใดในกลุ่มของตนเอง แล้วส่งตัวแทนออกมา พูดบทสนทนาตามครูโดยใช้สื่ออุปกรณ์ที่ครูจัดเตรียมให้ประกอบการเล่า พูดคุยซักถาม แลกเปลี่ยน ความคิดเห็นกันจนจบเรื่อง 3.3 ขั้นสรุป (ประมาณ 10 นาที) แต่ละกลุ่มส่งตัวแทนออกมาสรุปเรื่องราวที่ได้ฟัง ครูตั้งคำถามเพื่อกระตุ้นความสนใจ เปิดโอกาสให้เด็กได้พูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับเพื่อน ๆ ในชั้นเรียน โดยเด็กในแต่ละกลุ่มจะสลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันออกมาเป็นตัวแทน เล่าสรุปเรื่องราว ที่ได้ฟังในแต่ละวัน กลุ่มละคนจนครบ ครูและเด็กสรุปกิจกรรม กรอบแนวคิดในการวิจัย ตัวแปรต้น ตัวแปรตาม รูปภาพที่ 1 กรอบแนวคิดวิจัย กิจกรรมเล่านิทาน ประกอบหุ่น ความสามารถทางการพูด 1. ด้านการพูดเป็นประโยค 2. ด้านการพูดเป็นเรื่องราว


6 ประโยชน์ที่ได้รับ ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้รับประโยชน์จากการวิจัย ดังนี้ 1. ได้ทราบถึงผลการจัดประสบการณ์โดยการจัดกิจกรรมเล่านิทานประกอบหุ่นและ ความสามารถทางการพูดของเด็กปฐมวัย 2. ได้ทราบผลการเปรียบเทียบความสามารถทางการพูดของเด็กปฐมวัย ก่อนและหลังการจัด กิจกรรมเล่านิทานประกอบหุ่น


7 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเพื่อเป็นแนวทางในการ ดำเนินการวิจัย ดังนี้ 1. เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับความสามารถด้านการพูด 1.1 ความหมายของการพูด 1.2 ความสำคัญของการพูด 1.3 พัฒนาการความสามารถด้านการพูด 1.4 ทฤษฎีพัฒนาการทางการพูดของเด็กปฐมวัย 1.5 กระบวนการพูด 1.6 การใช้ภาษาพูด 1.7 กิจกรรมที่ส่งเสริมการพูดของเด็กปฐมวัย 2. เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับนิทานและการเล่านิทาน 2.1 ความหมายของนิทาน 2.2 ความหมายของการเล่านิทาน 2.3 ประเภทนิทานสำหรับเด็กปฐมวัย 2.4 จุดประสงค์ของการเล่านิทาน 2.5 ความสำคัญของนิทานที่มีต่อเด็กปฐมวัย 2.6ประโยชน์ของการเล่านิทานที่มีต่อเด็กปฐมวัย 2.7 คุณค่าของนิทานที่มีต่อการสอนของเด็กปฐมวัย 2.8 หลักในการเลือกนิทาน 2.9 เทคนิคการเล่านิทานสำหรับเด็กปฐมวัย 2.10 รูปแบบการเล่านิทาน 2.11องค์ประกอบของการเล่านิทาน 3. เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับหุ่นมือ 3.1 ความหมายของหุ่นมือ 3.2 ความสำคัญของหุ่นมือ


8 3.3 ประเภทของหุ่นมือ 3.4 การสร้างหุ่น 4. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 4.1 งานวิจัยในประเทศ 4.2 งานวิจัยต่างประเทศ 1. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับความสามารถด้านการพูด 1.1 ความหมายของการพูด นภาภรณ์ อันทะผลา (2547: 19) การพูด เป็นการสื่อสารสร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่น โดยใช้น้ำเสียง เพื่อสื่อความหมายให้ผู้ฟังเข้าใจ ความรู้สึกนึกคิดของตนเอง สำหรับเด็กปฐมวัยการพูด เป็นเครื่องมืออีกอย่างหนึ่งในการสื่อความหมายความรู้สึก หรือความต้องการของตนเองให้ผู้อื่นได้ ทราบและเข้าใจ คณิตศร ตรีผล (2550: 25) การพูด เป็นการใช้ถ้อยคำ น้ำเสียง กิริยา ท่าทาง เป็น เครื่องมือสื่อสาร ถ่ายทอดความรู้ ความคิด และความรู้สึก และทัศนคติ ตลอนจนความต้องการจากผู้ พูดสู่ผู้ฟัง และเกิดการตอบสนองตามที่ผู้พูดความหวัง นงลักษณ์ งามขำ (2551: 17) การพูด เป็นการติดต่อสื่อสารกับผู้อื่น โดยการเปล่งเสียง ออกมาเป็นถ้อยคำ เพื่อส่งสารให้ผู้ฟังเข้าใจ ความต้องการ ความรู้สึกนึกคิดของตนเอง พิชญา สกุลวิทย์ (2551: 9) การพูด เป็นการสื่อความหมายอย่างหนึ่ง โดยใช้น้ำเสียง ภาษา กิริยา ท่าทาง เพื่อถ่ายทอดความในใจไปให้ผู้ฟังรู้หรือเข้าใจความต้องการ หรือความรู้สึกนึกคิด ของตน เพราะการพูดเป็นทักษะการส่งออกตามหลักของภาษาศิลป์ สุภารัตน์ ศุภภัคว์รุจา (2554) การพูด หมายถึง การเปล่งเสียงออกมาเป็นถ้อยคำ การ พูดเป็นการสื่อสารความหมายโดยใช้เสียงและภาษาท่าทาง เพื่อถ่ายความความรู้สึก ความรู้ ความคิด ความต้องการ ของผู้ส่งสารไปยังผู้รับสาร ชวนพิศ จะรา (2556: 29) การพูด เป็นการสื่อสารของมนุษย์โดยการเปล่งเสียงออกมา เป็นถ้อยคำ น้ำเสียง ภาษา และอากัปกิริยา เพื่อถ่ายทอดความรู้สึก ความคิด และความต้องการของผู้ พูดไปสู่ผู้ฟังให้เข้าใจ อาจเป็นการแสดงความรู้สึกผิด ความต้องการ ความรู้และประสบการณ์ ซึ่งต้อง อาศัยกระบวนต่าง ๆ ทำงานอย่างต่อเนื่องและประสานกัน ณัฐกานต์ เพียรศิลป์ (2557: 19) ความสามารถด้านการพูด หมายถึง ความสามารถของ เด็กปฐมวัยในการบอกชื่อเสียง การพูดคำศัพท์ การพูดสื่อความหมาย บอกความต้องการของตนเอง


9 ได้ พูดแสดงความคิดเห็น การพูดแต่งประโยคปากเปล่า และสามารถเล่าเรื่องราวได้ ทั้งนี้จึงจะถือว่า เด็กปฐมวัยมีความสามารถด้านการพูดได้อย่างสมบูรณ์ บังอร จันล่องคำ (2557: 54) การพูด เป็นการใช้ถ้อยคำ น้ำเสียง กิริยาท่าทาง เป็น เครื่องสื่อสารถ่ายทอดความรู้สึก ความคิด ความรู้สึกและทัศนคติตลอดจนความต้องการจากผู้พูดสู่ ผู้ฟัง และเกิดการตอบสนองตามที่ผู้พูดความหวัง สำหรับเด็กปฐมวัย การพูดเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่ง ในการสื่อสารความรู้สึกนึกคิด หรือความต้องการของตนให้ผู้อื่นได้ทราบ ซึ่งขอบข่ายการพูดของเด็ก ปฐมวัย การพูดความหมายให้ผู้อื่นเข้าใจ โดยสามารถพูดคำศัพท์พูดเป็นประโยค พูดถ่ายทอด ความรู้สึกนึกคิด และพูดเป็นเรื่องราว วราภรณ์ พิมราช (2558: 6-7) การพูด หมายถึง การสื่อสารระหว่างบุคคลด้วยการใช้ ถ้อยคำน้ำเสียง ภาษา กิริยา ทาท่าง เปล่งเสียงออกมาเป็นถ้อยคำ เป็นประโยค และเป็นเรื่องราวเพื่อ ถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิด ความต้องการของผู้พูดไปสู่ผู้ฟัง ทำให้ผู้ฟังรับรู้และเกิดความเข้าใจ ความรู้สึกนึกคิดของผู้พูด ยะห์ยา สะมะแอ (2558) การพูด หมายถึง พฤติกรรมอย่างหนึ่งของมนุษย์ที่แทรกอยู่ใน ชีวิตประจำวันตลอดเวลา อาจจะออกมาในรูปแบบของภาษาพูด หรือภาษาท่าทาง รวมถึงสัญลักษณ์ ต่าง ๆ เพื่อสื่อความหมายกับเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน การพูด คือ พฤติกรรมการสื่อสารของมนุษย์ โดย อาศัยภาษา ถ้อยคำ น้ำเสียง ตลอดจนกิริยาท่าทาง และอื่น ๆ เพื่อถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดของตน แก่ผู้อื่น ให้เกิดผลตอบสนองตามที่ต้องการ นฐพร สายทอง (2558: 31) การพูด หมายถึง การติดต่อสื่อสารความหมายระหว่าง มนุษย์โดยใช้ เสียง ภาษา แววตา สีหน้า ท่าทางต่าง ๆ เพื่อถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดจากผู้พูดไปยัง ผู้ฟังให้เป็นที่เข้าใจกัน นพรดา ดาทุมนา (2558: 25) การพูด เป็นการสื่อสารระหว่างมนุษย์ด้วยการใช้เสียง ภาษาและท่าทาง เป็นการถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิด ความเข้าใจ และข่าวสารให้ผู้ฟังได้รับรู้ จุดประสงค์ของผู้พูด เพื่อการสื่อสารในชีวิตประจำวัน การพูดนับได้ว่าเป็นทักษะที่สำคัญและจำเป็น มาก การพูดที่มีประสิทธิภาพนั้น ผู้พูดจะต้องสามารถใช้น้ำเสียง ถ้อยคำ และมีความรู้เกี่ยวกับคำศัพท์ ไวยากรณ์และวัฒนธรรมได้อย่างถูกต้อง นอกจากนั้นยังต้องสามารถใช้พฤติกรรมการแสดงออกที่ไม่ใช้ คำพูดได้สอดคล้องเหมาะสมอีกด้วย ณัฐธิดา อาจปรุ (2559: 25) การพูดเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการติดต่อสื่อสาร รวมทั้ง ถ่ายทอดความคิด ความรู้สึกผ่านการพูดที่ผู้อื่นสามารถเข้าใจได้ วรรษมน เพียรเสมอ (2561: 55) การพูด คือ การถ่ายทอดความรู้ความคิด ความรู้สึก หรือ ความต้องการ เพื่อสื่อความหมาย ไปยังผู้ฟังให้ได้ผลตามวัตถุประสงค์ของผู้พูด โดยใช้ถ้อยคำ น้ำเสียง อากัปกริยา ท่าทาง สีหน้า และสายตาสื่อสารกัน


10 กนกวรรณ มีสีสรร (2562: 20) การพูด หมายถึง คามสามารถในการสื่อสารด้วยการพูด ให้คำแนะนำ พูดโดยการแสดงบทบาทสมมติ รวมถึงการมีบุคลิกภาพในการพูดที่ดี สามารถใช้เสียง และถ้อยคำในการพูดอย่างมั่นใจ นาถธิชา สีทองเพีย (2562: 15) การพูด หมายถึง การแลกเปลี่ยนข่าวสารซึ่งกันและกัน ของบุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ผู้พูดต้องใช้ถ้อยคำน้ำเสียงรวมถึงกิริยาท่าทางที่ถูกต้อง และสื่อ ความหมายให้ผู้ฟังเข้าใจ ถึงเนื้อหาและจุดประสงค์ของผู้พูดว่าต้องการที่จะสื่อให้ผู้ฟังทราบเรื่องใด จนเป็นที่เข้าใจตรงกัน การพูดจึงจะมีประสิทธิภาพและบรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ พิกุล พลูสวัสดิ์(2562: 52) การพูด หมายถึง การใช้ถ้อยคำในการสื่อสาร เพื่อบอกชื่อสิ่ง ต่าง ๆ พูดให้เหมาะกับสถานการณ์ การบอกความต้องการต่าง ๆ ของตนเองไปสู่ผู้อื่น วิภาวี ไชยทองศรี (2562: 29) การพูด คือ การสื่อสารที่ถ่ายทอดจากผู้พูดไปยังผู้ฟัง เพื่อ ใช้ในการสื่อสาร และปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนสองคน โดยการพูดเป็นทักษะสำคัญที่สุดในการสื่อสาร ระหว่างมนุษย์ เพื่อให้ความเข้าใจระหว่างผู้พูดและผู้ฟัง วนิดา โรจนอุดมศาสตร (2562: 55) การพูดเป็นการติดต่อสื่อสารกับผู้อื่น โดยการเปล่ง เสียงออกมาเป็นถ้อยคํา เพื่อส่งสารให้ผู้ฟังเข้าใจ ความต้องการ ความรู้สึกนึกคิดของตนเอง ตฤณ หงษ์ใส (2564: 29) การพูด หมายถึงความสามารถในการใช้ภาษาติดต่อสื่อสาร ระหว่างมนุษย์ การอยู่ร่วมกันในสังคมจำเป็นต้องใช้ภาษาพูดในการสื่อความหมายซึ่งกันและกัน เพื่อ แลกเปลี่ยนหรือถ่ายทอดความคิดเห็นความรู้สึกเจตคติ ตลอดจนประสบการณ์ให้ผู้อื่นเข้าใจ ซึ่งจะทำ ให้มนุษย์สามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างราบรื่น กล่าวโดยสรุป การพูด หมายถึง การติดต่อสื่อสาร โดยการเปล่งเสียงออกมาเป็นคำพูด ถ้อยคำ หรือประโยค เพื่อส่งสารให้ผู้ฟังได้เข้าใจความหมาย หรือความต้องการของผู้พูด การพูดเป็น การเริ่มปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป การพูดสำหรับเด็กปฐมวัย เป็นอีกหนึ่งอย่างในการ สื่อสารให้เข้าใจถึงความต้องการ ความรู้สึกนึกคิด 1.2 ความสำคัญของการพูด นภาภรณ์ อันทะผลา (2547: 20) ความสำคัญของการพูดสรุปได้ดังนี้ 1. การพูดทำให้สื่อสารติดต่อกันได้เข้าใจระหว่างผู้พูดและผู้ฟัง 2. การพูดทำให้ได้รับความสำคัญในการประกอบอาชีพและการดำเนินชีวิต 3. การพูดเป็นเครื่องมือของการคมนาคม สังคมจะมีความสันติสุขได้ดี เพราะความ เข้าใจหรือที่เรียกว่า “พูดภาษาเดียวกัน” คือ มีความคิดเห็นสอดคล้องไปในแนวทางเดียวกัน คณิตศร ตรีผล (2550: 27) การพูดมีความสำคัญต่อการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยเป็นอย่าง มาก เด็กจำเป็นต้องเรียนรู้ภาษาที่ใช้ในการพูด การติดต่อสื่อสารกับบุคคลอื่น การคิด จินตนาการ


11 ถ่ายโยงความรู้ออกมาเป็นการพูด ซึ่งพื้นฐานทางภาษาของเด็กปฐมวัยมีพัฒนาการที่ดีตามลำดับขั้น จะช่วยพัฒนาการพูดให้ดีขึ้นไป นงลักษณ์ งามขำ (2551: 18) การพูดมีความสำคัญต่อมนุษย์เป็นอย่างมาก เป็นการ สื่อสารความเข้าใจระหว่างผู้พูดกับผู้ฟัง โดยเฉพาะในเด็กปฐมวัยนั้น พ่อแม่ ครู ผู้ที่เกี่ยวข้องต้องการ หาวิธีการเทคนิคต่าง ๆ ในการส่งเสริมพัฒนาการพูดด้วยการให้เด็กได้เรียนรู้คำศัพท์ใหม่ ๆ ด้วยการ พูดตอบจากคำทายของปริศนาคำทาย จะช่วยส่งเสริมให้เด็กสามารถบอกชื่อสิ่งต่าง ๆ สื่อความหมาย จากภาพเป็นเรื่องราวได้ตลอดจนแปลความหมายของคำพูดเป็นประโยคสมบูรณ์ คือ ใคร ทำอะไร ที่ ไหน ได้อย่างถูกต้อง พิชญา สกุลวิทย์ (2551: 9) การพูด เป็นการสื่อสารที่มีความสำคัญ และเกี่ยวข้องกับ ชีวิตประจำวันมากที่สุด เพราะคำพูดเป็นเครื่องมือที่สื่อความคิดที่รวดเร็ว แพร่หลายได้อย่างยิ่ง นอกจากจะพูดในโอกาสทั่วไปในชีวิตประจำวันแล้ว ยังมีโอกาสอื่น ๆ ที่ต้องพูดอย่างเป็นทางการหรือ พูดเชิงวิชาการ ซึ่งเป็นการเผยแพร่หรือถ่ายทอดความรู้และความคิดเห็นที่นับว่าสำคัญ วัชาภรณ์ มากบุญศรี (2553: 9) ความสำคัญของพัฒนาการทางการพูด มีความสำคัญ อย่างยิ่งสำหรับเด็กปฐมวัย เพราะเป็นสิ่งที่สำคัญที่เด็กจะต้องใช้การพูดเพื่อสื่อสารความหมายให้ผู้อื่น เข้าใจถึงความต้องการต่าง ๆ การพัฒนาการพูดต้องอาศัยทั้งประสบการณ์การเรียนรู้การทำกิจกรรม ที่ส่งเสริมการพูด และการฝึกซ้ำ ๆ อยู่เสมอ ซึ่งทำให้เด็กเกิดการเรียนรู้และเข้าใจความหมายของ คำศัพท์ใหม่ๆ มากขึ้น สามารถพูดได้และถูกต้องชัดเจนมากยิ่งขึ้น ชวนพิศ จะรา (2556: 30) การพูด เป็นทักษะทางภาษาที่สำคัญซึ่งใช้ในการสื่อสารและ ถ่ายทอดความรู้ความคิดเพื่อให้ผู้อื่นเข้าใจ โดยเฉพาะในเด็กปฐมวัยที่เกี่ยวข้อง ควรรู้จักหาวิธีที่ ส่งเสริมและพัฒนาการพูดที่เหมาะสมให้เด็กและฝึกฝนบ่อย ๆ ก็จะทำให้เด็กกล้าแสดงออกทางการ พูด เพราะการพูดเป็นเครื่องมือที่สื่อความรู้และความคิดได้รวดเร็วและแพร่หลาย ณัฐวดี ศิลากรณ์ (2556: 18) การพูด เป็นรากฐานของการพัฒนาทางภาษา ช่วยส่งเสริม พัฒนาการด้านสติปัญญา เป็นเครื่องมือสื่อสารที่ช่วยให้เด็กเกิดพัฒนาการในการสื่อความหมาย เพื่อ ใช้ในการติดต่อสื่อสารกับผู้อื่นและอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างปกติสุข ณัฐกานต์ เพียรศิลป์ (2557: 21) การพูด เป็นเครื่องมือสำคัญของการติดต่อสื่อสาร การ ให้เด็กฝึกพูดจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการพัฒนาการทักษะทางการพูดของเด็กปฐมวัย เพื่อที่เด็กจะได้พูด อย่างเป็นธรรมชาติพูดได้ชัดเจน พูดได้ถูกต้องเป็นนิสัย พูดอย่างสุภาพ มีความสามารถในการ ติดต่อสื่อสารกับผู้อื่น ซึ่งจะทำให้เด็กที่มีทักษะและความสามารถในการพูดได้อย่างดีในอนาคต บังอร จันล่องคำ (2557: 55) การพูดมีความสำคัญต่อมนุษย์เป็นอย่างมาก เป็นการสื่อ ความเข้าใจระหว่างผู้พูดกับผู้ฟัง โดยเฉพาะในเด็กปฐมวัยนั้น พ่อแม่ ครู ผู้ที่เกี่ยวข้องต้องหาวิธีการ เทคนิคต่าง ๆ ในการส่งเสริมพัฒนาการพูดด้วยการให้เด็กได้เรียนรู้คำศัพท์ใหม่ ๆ ด้วยการพูดคำศัพท์


12 พูดเป็นประโยค พูดแสดงความรู้สึกนึกคิดและพูดเล่าเรื่องต่าง ๆ จากภาพ หรือเรื่องราวจาก ประสบการณ์จริง จะช่วยส่งเสริมให้เด็กสามารถพูดคำศัพท์ พูดเป็นประโยค พูดแสดงความรู้สึกนึกคิด และพูดเล่าเรื่องราวได้ วราภรณ์ พิมราช (2558: 7) การพูดมีความสำคัญ และจำเป็นอย่างยิ่งต่อมนุษย์เพราะ การพูดเป็นพฤติกรรมการสื่อสารของมนุษย์ เป็นสื่อกลางในการติดต่อสื่อสารเพื่อให้เกิดความเข้าใจ ตรงกัน เป็นปัจจัยที่สำคัญอย่างยิ่งในการเชื่อมโยงระหว่างความติด ความรู้สึก และการถ่ายทอด เรื่องราวเพื่อให้ผู้อื่นรับฟังและเกิดความเข้าใจ ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่า การพูดเป็นปัจจัยที่สำคัญอย่างยิ่ง สำหรับสำหรับการดำรงชีวิตของมนุษย์ เป็นเครื่องมือพื้นฐานที่สำคัญสำหรับการสื่อสาร การแสดง ความรู้สึก ความต้องการของตนเอง และยังเป็นสื่อกลางที่จะช่วยให้มนุษย์สามารถถ่ายทอดความคิด ให้ผู้อื่นเข้าใจ กล่าวโดยสรุป การพูดมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะการพูดเป็นการติดต่อสื่อสารกันของ มนุษย์ และเป็นการถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิด เพื่อให้ผู้อื่นเข้าใจ โดยเฉพาะเด็กปฐมวัย การพูดเป็นสิ่ง สำคัญมาก พ่อแม่ ครูต้องหาวิธีการหรือเทคนิคต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมพัฒนาการด้านการพูด ให้เด็กได้ เรียนรู้คำศัพท์ใหม่ ๆ เพื่อให้เด็กกล้าพูดมากยิ่งขึ้น 1.3 พัฒนาการความสามารถด้านการพูด ดวงเดือน ศาสตรภัทร (2529: 214-215) กล่าวว่า ภาษามีความสำคัญ 3 ประการได้แก่ 1. เด็กสามารถจะใช้ภาษาเพื่อการติดต่อสื่อสารกับบุคคลอื่นและเปิดโอกาสให้เกิด กระบวนการทางสังคมขึ้น 2. เด็กสามารถใช้ภาษาเป็นคำพูดที่เกิดขึ้นภายในจากรูปแบบของการคิดโดยระบบ ของการใช้สัญลักษณ์ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญต่อการพัฒนาการทางภาษาในระดับต่อไป 3. ภาษาเป็นการกระทำที่เกิดขึ้นภายในตัวเด็ก ดังนั้นเด็กจึงไม่ต้องอาศัยการจัด กระทำกับวัตถุจริง ๆ เพื่อแก้ปัญหา เด็กสามารถสร้างจินตนาการถึงแม้วัตถุนั้นจะอยู่นอกสายตาหรือ เคยพบมาแล้วเด็กสามารถทำการทดลองในสมองและทำการได้เร็วกว่าการจัดกระทำกับวัตถุนั้นจริง ๆ ศรียา นิยมธรรม และประภัสสร นิยมธรรม (2541: 31-35) ได้สรุปการศึกษาค้นคว้า ทฤษฎีต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับภาษาไว้ดังนี้ 1. ทฤษฎีความพึงพอใจแห่งตน (The autism theory) หรือ (Autistic theory) ทฤษฎีนี้ ถือว่าการเรียนรู้การพูดของเด็กเกิดจากการเลียนเสียงอันเนื่องมาจากความพึงพอใจที่จะทำ เช่นนั้น โมว์เรอร์(Mowrer) เชื่อว่าความสามารถในการฟังและความเพลินเพลินจากการได้ยินเสียง ของผู้อื่น และเสียงของตนเองเป็นสิ่งสำคัญยิ่งต่อการพัฒนาการ


13 2. ทฤษฎีการเลียนแบบ (The limitation theory) เลวิส (Lewis) ได้ศึกษา เกี่ยวกับการเลียนแบบในการพัฒนาการทางภาษาอย่างละเอียด ทฤษฎีนี้เชื่อว่าพัฒนาการทางภาษา นั้น เกิดจากการเลียนแบบ ซึ่งอาจเกิดจากการมองเห็นหรือการได้ยินเสียง 3. ทฤษฎีการเสริมแรง (Reinforcement theory) ทฤษฎีนี้อาศัยจากหลักทฤษฎี การเรียนรู้ ซึ่งถือว่าพฤติกรรมทั้งหลายถูกสร้างขึ้นโดยอาศัยการวางเงื่อนไขไรน์โกลด์(Rhiengold) และคนอื่น ๆ ศึกษาพบว่า เด็กจะพูดมากขึ้นเมื่อได้รับรางวัล หรือได้รับการเสริมแรง 4. ทฤษฎีการรับรู้(Motor theory of perception) ลิเบอร์แมน (Liberman) ตั้งสมมติฐาน ได้ว่าการรับรู้ทางการฟังขึ้นอยู่กับการเปล่งเสียง จึงเห็นได้ว่าเด็กมักจ้องหน้าเวลาเราพูด ด้วย การกระทำเช่นนี้อาจเป็นเพราะเด็กฟัง และพูดซ้ำกับตนเองหรือหัดเปล่งเสียงโดยอาศัยการอ่าน ริมฝีปากแล้วจึงเรียนรู้คำ 5. ทฤษฎีความบังเอิญจากการเล่นเสียง (Babble buck) ซึ่งธอร์นไดค์(Thorndike) เป็นผู้คิด โดยอธิบายว่าเมื่อเด็กกําลังเล่นเสียงอยู่นั้น เผอิญมีบางเสียงไปทำให้เด็กพัฒนาภาษา 6. ทฤษฎีชีววิทยา (Biological theory) เลนเนเบอร์ก (Lenneberg) เชื่อว่า พัฒนาการ ทางภาษานั้นมีพื้นฐานชีววิทยาเป็นสำคัญ กระบวนการที่คนพูดได้ขึ้นอยู่กับการเปล่งเสียง เด็กจะเริ่มส่งเสียงอ้อแอ้และพูดได้ตามลำดับ 7. ทฤษฎีการให้รางวัลของแม่ (Mother reward theory) ดอลลาร์ด (Dollard) และมิลเลอร์ (Miller) เป็นผู้คิดทฤษฎีนี้โดยย้ำเกี่ยวกับบทบาทของแม่ในการพัฒนาภาษาของเด็กว่า ภาษาที่แม่ใช้ เป็นการเลี้ยงดูเพื่อสนองความต้องการของลูกนั้นเป็นอิทธิพลที่ทำให้เกิดภาษาพูดแก่ลูก ศรียา นิยมธรรม และประภัสสร นิยมธรรม (2541: 42-47) ได้พูดถึงองค์ประกอบ ที่มี อิทธิพลต่อพัฒนาการทางภาษา ดังนี้ 1. สุขภาพ การเจ็บป่วยเรื้อรังหรือรุนแรงในช่วงสองปีแรกของเด็ก มักทำให้การเริ่ม พูด และการรู้จักประโยคช้าไปราว ๆ 1-2 เดือน เพราะการป่วยทำให้เด็กขาดโอกาสที่จะสมาคมกับ เด็กคนอื่น นอกจากนี้การป่วยทำให้เด็กไม่อยากพูดจากับใคร ส่วนเด็กหูหนวกหรือหูตึงยิ่งเรียนพูดได้ ช้า ทั้งนี้ เพราะเด็กไม่มีโอกาสได้ยินคนอื่นหรือแม้แต่คำพูดของตนเอง ทำให้ขาดตัวอย่างในการ เลียนแบบ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญยิ่งในการเรียนรู้และพัฒนาภาษา 2. สติปัญญา ความสำคัญระหว่างสติปัญญาและภาษาเกี่ยวเนื่องกันอย่างชัดเจนและ เพิ่มมากขึ้นจนอายุ 2 ขวบ หลังจากนั้นความสัมพันธ์จะเป็นไปอย่างแน่นแฟ้น เด็กที่มีสติปัญญาต่ำ เท่าใดภาษาพูดก็ยิ่งเลวเท่านั้น ส่วนเด็กที่มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดพบว่า มีปัญญาดีเยี่ยมทั้งในด้าน ศัพท์ และการใช้ประโยค


14 3. ฐานะทางเศรษฐกิจและสังคม เด็กที่มาจากครอบครัวที่มีฐานะทางเศรษฐกิจและ สังคมสูงได้มีของเล่น ได้พบเห็นหนังสือ ได้อ่านหรือฟังนิทานเล่าเรื่อง ได้มีโอกาสติดต่อเกี่ยวข้อง กับ ผู้ใหญ่ทำให้มีโอกาสจะพัฒนาภาษาได้ดีกว่าเด็กที่ถูกปล่อยอยู่ตามลำพังกับเพื่อน 4. อายุและเพศ นับเป็นองค์ประกอบที่สำคัญอีกประการหนึ่งที่มีผลต่อพัฒนาการ ทางด้านการใช้ภาษาของเด็ก หากสังเกตจะพบว่าเด็กผู้หญิงจะแสดงการใช้ภาษาพูดได้เหนือกว่า ดีกว่า และเร็วกว่าเด็กผู้ชาย 5. ความสัมพันธ์ในครอบครัว จากการศึกษาพบว่า เด็กในสถานสงเคราะห์เลี้ยงดู เด็กกำพร้ามักมีพัฒนาการล่าช้ากว่าเด็กทั่วไป เพราะเด็กเหล่านี้ขาดความสัมพันธ์ส่วนตัวกับแม่ หรือพี่ เลี้ยง เด็กลูกสาวคนเดียวมักมีทักษะด้านภาษาสูงกว่าเด็กที่มีพี่น้องในทุกด้าน เพราะเด็ก ลูกคนเดียว อยู่ในความสนใจของแม่มากกว่าและไม่ต้องแข่งขันกับพี่น้อง 6. การพูดหลายภาษาทำให้เด็กเกิดความสับสนในการพูด ไม่สามารถพูดได้โดยเสรี ต้องคิดอยู่ตลอดเวลาว่าจะพูดอย่างไร จะถูกในโอกาสใด เด็กจะรู้สึกว่ามีปัญหาในการปรับตัว กลัวถูก หัวเราะเยาะหรือเป็นที่รำคาญของคนอื่น ไม่กล้าพูดกับคนอื่นจนกลายเป็นคนเก็บตัว อันเป็นปัญหา ทางด้านบุคลิกภาพ เด็กเหล่านี้จะรู้สึกดีขึ้นหากได้อยู่ในภาวะที่มีคนอื่น ซึ่งมีปัญหา คล้ายคลึงกับ ตนเอง 7. สิ่งแวดล้อม สิ่งแวดล้อมนับว่ามีอิทธิพลต่อการพัฒนาด้านการใช้ภาษาของเด็ก เป็นอย่างมาก กล่าวคือ เด็กอยู่ในสิ่งแวดล้อมใด การใช้ภาษาของเด็กก็จะเป็นไปตามสิ่งแวดล้อมนั้น ยิ่งอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดีเท่าใด เด็กก็ยิ่งมีโอกาสได้เรียนรู้คำศัพท์แปลก ๆ ใหม่ๆ มากขึ้นเท่านั้น เยาวพา เดชะคุปต์(2542: 60-62) ได้แบ่งพัฒนาการทางภาษาออกเป็น 7 ขั้น คือ 1. ระยะอ้อแอ้ (Random stage) เป็นระยะที่เด็กแรกเกิดถึง 6 เดือน ระยะนี้เป็น ระยะที่เด็ก จะเปล่งเสียงธรรมชาติต่าง ๆ ที่ยังไม่มีความหมายออกมา เช่น อ้อแอ้ เสียงร้องไห้ การ เปล่งเสียง ของเด็กในช่วงนี้ก็เพื่อบอกถึงความต้องการของเด็ก เช่น หิวจะร้องไห้ เสียงอ้อแอ้แสดง ความพอใจ เมื่อได้รับการตอบสนอง 2. ระยะแยกแยะ (Jargon stage) เป็นระยะที่เด็กอายุ 6 เดือนถึง 1 ปี สามารถแยก เสียงต่าง ๆ ที่เขาได้ยิน ถ้าเด็กรู้สึกพอใจที่จะได้ส่งเสียงและถ้าเสียงใดที่เขาเปล่งออกมาได้รับการ ตอบสนอง ในทางบวก เขาพอใจเขาก็จะเปล่งเสียงนั้นซ้ำอีก ในบางครั้งเขาจะเริ่มมีเสียงเล็กสูง ๆ ต่ำ ๆ ที่มีคน คุยด้วยเสียงที่เปล่งออกมายังไม่มีความหมาย 3. ระยะเลียนแบบ (Imitation stage) เป็นระยะที่เด็กอายุ 1-2 ปี เริ่มเลียนเสียง ต่าง ๆ ที่ได้ยินจากพ่อแม่ผู้ที่ใกล้ชิด เสียงที่เปล่งออกมาเริ่มมีความหมายมากขึ้นเป็นการเริ่มพัฒนา ทางด้านภาษา


15 4. ระยะขยายความ (The stage of expansion) เป็นระยะที่เด็ก 3-4 ปี เด็กเริ่มหัด พูด โดยเริ่มเรียกชื่อคนที่ใกล้ชิด สัตว์ สิ่งของที่อยู่ใกล้ตัว เริ่มจะเข้าใจในสัญลักษณ์ในการสื่อ ความหมาย ส่วนมากเด็กจะเริ่มพูดคำนามโดด ๆ เช่น พ่อ แม่ พี่ น้อง หมา แมว นก ฯลฯ 5. ระยะโครงสร้าง (Structure stage) เป็นระยะที่เด็กอายุ 4-5 ปีเริ่มพัฒนา ความสามารถในการเรียนรู้ รับรู้ และการสังเกตการณ์พูดคำเป็นวลี เป็นประโยคสั้น ๆ เช่น กินข้าว ขอไปด้วย แม่ไปตลาด ไปเที่ยว ฯลฯ 6. ระยะตอบสนอง (Responding stage) เป็นระยะที่เด็กอายุ 5-6 ปี เริ่มมี ความสามารถ ในการคิดและการพัฒนาทางภาษาที่สูงขึ้น เป็นแบบแผนมากขึ้น เริ่มใช้ไวยากรณ์อย่าง ง่าย ๆ รู้จักคำมากขึ้น การสื่อความหมายในระยะนี้เป็นระยะที่เกิดขึ้นตามสิ่งที่เขามองเห็นและสิ่งที่ เขารับรู้ เช่น การพูดคุยในสิ่งที่เกี่ยวข้องในขณะนั้น เช่น ขอโทษเมื่อทำผิดโดยไม่ตั้งใจ การรู้และใช้ คำศัพท์ ในระยะนี้ประมาณ 3,000-3,500 คำ 7. ระยะสร้างสรรค์ (Creative stage) เด็กอายุตั้งแต่ 6 ปีขึ้นไป ระยะนี้เด็กเริ่มเข้า โรงเรียน เด็กมีการพัฒนาด้านภาษาไปอย่างรวดเร็ว เด็กจะสนุกกับคำศัพท์ต่าง ๆ เริ่มรู้จักถ้อยคำ สำนวน ที่สร้างสรรค์ไพเราะขึ้น เริ่มรู้จักพูดสิ่งที่เป็นนามธรรมมากขึ้น และจะเริ่มในการพูดและการ เขียน ไปในขณะเดียวกัน เช่น เด็กบางคนชอบวาดรูปพร้อมกับอธิบายเล่นไปด้วย นภเนตร ธรรมบวร (2544: 114-115) ได้กล่าวถึงพัฒนาการทางภาษา แรกเกิด 5-6 สัปดาห์3 เดือน 6 เดือน 9 เดือน 1 ปี 2 ปี 3-4 ปี - ปกติจะไม่ออกเสียง จะทำเสียงเมื่อร้องไห้ สะอึก จาม เรอ - เริ่มทำเสียง เล่นเสียงโดยเฉพาะเมื่อมีคนมาเล่น หยอกล้อ – ชอบเล่นเสียงและทำเสียง ตอบผู้อื่น หยุดฟังขณะที่ผู้อื่นทำเสียงพูด - หัวเราะและส่งเสียงถ้ามีคนมาเล่นด้วย ถ้าไม่พอใจก็ร้อง กรี๊ดกร๊าด ชอบเล่นเสียงและออกเสียง เช่น “เกอ” “เคอ” เป็นต้น - เลียนเสียงผู้ใหญ่ ชอบออกสียง เป็นคำ เช่น “หม่า หม่า” “ดา ดา” โดยออกเสียงช้า ๆ กันบ่อย ๆ – เริ่มเข้าใจความหมายของคำ เช่น “ส่งให้แม่” และออกเสียงคำที่มีความหมาย ได้ 1-2 คำ เช่น “แม่” “บ๊าย บาย” พูดได้ประมาณ 6-20 คำ - พูดได้ประมาณ 50 คำ และบางทีก็พูดเป็นประโยคสั้น ๆ ได้ เริ่มใช้คำแทน ตนเอง เริ่มตั้ง คำถาม และเข้าใจเรื่องที่ผู้อื่นพูดด้วย – รู้จักคำศัพท์มากขึ้นนับเลขได้ - ช่างพูด บอกได้ว่าต้องการ อะไร - เริ่มถามว่าอะไร อย่างไร เมื่อไร ทำไม - รู้จักทิศทาง เช่น บน ล่าง - เรียกชื่อสิ่งของที่คุ้นเคยได้ – สนใจหนังสือเกี่ยวกับสัตว์และนิทานต่าง ๆ - พูดจามีเหตุผล พูดมากขึ้น และมีคำศัพท์ใหม่ พูด ประโยคยาว ๆ ได้มากขึ้น รู้จักใช้สรรพนามแทนตัวเอง เช่น ผม หนู เป็นต้น – จำคำศัพท์ได้ประมาณ 1,550-1,900 คำ นภาภรณ์ อันทะผลา (2547: 23-24) พัฒนาการการพูดของเด็กปฐมวัย เริ่มจากการพูด ออกสียงทีละคำ จากนั้นก็พัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ ใช้คำ ๆ เดียวแทนประโยค 1 ประโยค พอเด็กมีความ พร้อมทางด้านภาษาดีขึ้น สามารถนำคำที่ทำหน้าที่ต่าง ๆ กัน ประกอบกันเป็นประโยค จนในที่สุดเด็ก


16 จะสามารถเรียนรู้ผูกประโยคต่าง ๆ เป็นการสื่อสารความหมาย ความคิด ความต้องการและเสนอ ความรู้สึกของตนเองให้ผู้อื่นรับรู้ได้ คณิตศร ตรีผล (2550: 31) การพูดของเด็กพัฒนาเป็นไปตามขั้นตอน โดยที่พัฒนาจาก คำเป็นวลี เป็นประโยค และสื่อความหมายได้ผู้อื่นเข้าใจ มีความเข้าใจในภาษาพูด สามารถพูดคำศัพท์ ทั่วไปได้ พูดแสดงความคิดเห็น พูดแสดงความต้องการ พูดเล่าเรื่องราว พูดตั้งคำถาม จะพัฒนาการ ทางการพูดที่เป็นไปตามลำดับขั้น ณัฐวดี ศิลากรณ์ (2556: 17) พัฒนาการทางการพูด หมายถึง การเรียนรู้เพื่อที่จะเข้าใจ คำพูดของผู้อื่น โดยสะสมความเข้าใจคำศัพท์ก่อน จะช่วยให้เด็กสามารถสื่อสารกับผู้อื่น เพื่อแสดง ความต้องการ ความรู้สึกนึกคิด และติดต่อสื่อสารกับผู้อื่นได้มากขึ้น ณัฐกานต์ เพียรศิลป์ (2557: 25) พัฒนาการทางการพูดของเด็กปฐมวัย จะมีลำดับขั้น พัฒนาการที่ดีต่อเนื่องกันแต่ละช่วงอายุ การออกเสียงพยัญชนะ การสร้างประโยคต่าง ๆ จะพัฒนาขึ้น เรื่อย ๆ เมื่อเด็กมีอายุและประสบการณ์ที่เพิ่มขึ้น การจะจัดประสบการณืที่เหมาะสมให้กับเด็กปฐมวัย จึงต้องศึกษาพัฒนาการทางการพูดของเด็กปฐมวัย นอกจากนี้ยังต้องศึกษาการเรียนรู้ภาษาของเด็ก ปฐมวัยด้วย เพื่อให้การจัดประสบการณ์มีประสิทธิภาพและความเหมาะสมกับพัฒนาการของเด็ก ปฐมวัย บังอร จันล่องคำ (2557: 60) พัฒนาการพูดของเด็กปฐมวัย เริ่มจากการพูดออกเสียง พูดที่ละคำแทนประโยค 1 ประโยค เมื่อเด็กโตขึ้นความพร้อมทางด้านภาษาดีขึ้น สามารถที่จะนำคำ ทำหน้าที่ต่าง ๆ กัน มาร่วมประกอบกันเป็นประโยค ในที่สุดเด็กสามารถเรียนรู้การผูกประโยคต่าง ๆ เป็นการสื่อความหมาย ความคิด ความต้องการของตนเองให้ผู้อื่นรับรู้และเข้าใจได้เป็นอย่างดี วราภรณ์ พิมราช (2558: 17) พัฒนาการทางการพูดของเด็กปฐมวัยนั้น เด็กจะ พัฒนาการพูดตั้งแต่วินาทีแรกที่เด็กเกิด และมีกระบวนการต่อเนื่อง โดยเริ่มจากเล่นกับเสียง เลียนแบบเสียง เด็กจะเริ่มพูดสื่อความหมายเป็นคำ พูดเป็นคำศัพท์ต่าง ๆ พูดเป็นประโยคที่มี ความหมาย และจะพัฒนาเป็นประโยคที่สมบูรณ์ตามลำดับ สามารถพูดแสดงความคิดเห็น พูดเล่า เรื่องเป็นประโยค และเล่าเป็นเรื่องราวที่มีความต่อเนื่องให้ผู้อื่นเข้าใจ นาถธิชา สีทองเพีย (2562: 16-17) การพัฒนาทักษะการพูด เป็นสิ่งที่สำคัญที่ผู้สอนควร พัฒนาทักษะด้านนี้ให้เกิดแก่ ผู้เรียน โดยฝึกให้ผู้เรียนมีทักษะด้านการออกเสียง การใช้คำศัพท์และ ไวยากรณ์ให้ถูกต้อง และในขั้นต้นผู้สอนควรเน้นผู้เรียน ในเรื่องของความถูกต้องในการใช้งาน ส่วนใน ชั้นสูงขึ้นไปนั้นผู้สอนควรให้ผู้เรียนนั้นในเรื่องของความคล่องแคล่วในการสนทนาและให้ผู้เรียนทราบ ว่าจะต้องมีการพัฒนาการทางภาษาอยู่ตลอดเวลา เบรนฟิตสตูดิโอ (2563) พัฒนาการด้านการพูดของเด็ก แบ่งได้ดังนี้


17 1. ลูกน้อยวัย 0-3 เดือน ในช่วงวัยแรกเกิดจนถึง 3 เดือน ลูกน้อยจะสามารถสื่อสาร โดยการทำเสียงอ้อแอ้ ซึ่งจะแสดงออกในลักษณะที่ต่างกัน เช่น เมื่อรู้สึกหิว ไม่สบายตัว มีความสุข ตื่นเต้น เสียใจ ฯลฯ รวมไปถึงเสียงร้องไห้ที่แสดงออกถึงอารมณ์ที่ต่างกัน เช่น ร้องเพราะหิว ไม่สบาย ตัว หรือเจ็บปวด เป็นต้น 2. ลูกน้อยวัย 4-6 เดือน ในช่วงวัยนี้ลูกน้อยจะเริ่มหัวเราะมากขึ้น ส่งเสียงอ้อแอ้เพื่อ สื่ออารมณ์ต่าง ๆ ที่หลากหลายมากขึ้น และเริ่มออกเสียงที่ขึ้นต้นด้วย พ.พาน บ.ใบไม้ และ ม.ม้า ได้ แต่ยังไม่ชัดมาก 3. น้อยวัย 7-12 เดือน ในช่วงวัยนี้ลูกน้อยจะสามารถส่งเสียงอ้อแอ้เพื่อเรียกร้อง ความสนใจมากขึ้น สามารถออกเสียงได้หลายพยางค์มากขึ้น เช่น ดาดา บีบี พูพู ฯลฯ แต่จะออกมา ในแบบภาษาของตัวเองหรือภาษาเด็กนั่นเอง ลูกน้อยยังสามารถเลียนแบบเสียงในโทนสูงต่ำได้ และมี ท่าทางเวลาสื่อสารมากขึ้นเช่น โบกมือ กอดแขน ทั้งนี้ลูกน้อยอาจเริ่มพูดเป็นคำได้ 1-2 คำเช่น ดาดา มามา หรือ พ่อ แม่ เป็นต้น 4. ลูกน้อยวัย 1-2 ขวบ ในช่วงวัยนี้ลูกจะรู้จักคำศัพท์มากขึ้น เช่น อวัยวะส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย และเริ่มพูดได้เป็นคำ ๆ มากขึ้น เช่น เอาอีก กินข้าว บ๊ายบาย ฯลฯ ทั้งยังสามารถถาม คำถามสั้น ๆ ได้ เช่น ไปไหน? อะไร? แม่ ไหน? (แม่อยู่ไหน?) เป็นต้น 5. ลูกน้อยวัย 2-3 ขวบ ในช่วงวัยนี้ลูกจะพูดและสื่อสารได้ดีขึ้น สามารถออกเสียงคำ ที่ขึ้นต้นด้วย ก.ไก่ค.ควาย ด.เด็ก ท.ทหาร และฟ.ฟัน ได้ดีขึ้น สามารถพูดเป็นประโยคสั้น ๆ ในการ ถามหรือแสดงความต้องการ เช่น พ่ออยู่ไหน แม่ทำอะไร กินข้าว นี่อะไร ฯลฯ ทั้งยังรู้จักคำศัพท์ หลากหลายมากขึ้น สามารถพูดเจาะจงถึงสิ่งที่ต้องการได้ เช่น เอาขวดสีแดง รถเหลืองอยู่ไหน? เป็น ต้น 6. ลูกน้อยวัย 3-4 ขวบ ในวัยนี้ลูกจะสามารถถามและตอบคำถาม ใคร? อะไร? ที่ ไหน? เป็นประโยคได้ และเล่าเรื่องหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้นได้เช่น เรื่องที่โรงเรียน เรื่อง อาหาร หรือเรื่องที่เล่นกับเพื่อน เช่น วันนี้เรียนพละสนุกมาก ได้เล่นไล่จับกับเพื่อน หนูวิ่งหลายรอบ เลย เป็นต้น 7. ลูกน้อยวัย 4-5 ขวบ ในช่วงวัยนี้ลูกจะสามารถออกเสียง ร.เรือ ล.ลิง ส.เสือ ว. แหวน ช.ช้าง ซ.โซ่ ได้อย่างชัดเจน สามารถเล่าเรื่องและอธิบายรายละเอียดได้มากขึ้น เช่น หนูเล่น ชิงช้ากับเพื่อน แล้วหนูลอยขึ้นบนฟ้าสูงมาก ตอนลอยหนูเห็นตึกสูง ๆ ด้วย เป็นต้น เข้าสังคมได้มาก ขึ้น สามารถพูดกับเด็กหรือผู้ใหญ่คนอื่นได้ดี สามารถถามหรือตอบคำถามได้เป็นประโยคและอธิบาย รายละเอียดเพิ่มเติมได้ รู้จักตัวเลขและตัวอักษร และเวลาพูดจะมีน้ำเสียงและโทนเสียงสูงต่ำชัดเจน กล่าวโดยสรุป พัฒนาการพูดของเด็กจะพัฒนาเป็นไปตามขั้นตอน โดยพัฒนาจากการส่ง เสียง และจากคำเป็นวลี และพัฒนาเป็นประโยค เพื่อจะสื่อสารให้คนอื่นเข้าใจถึงความต้องการของ


18 ตนเอง และพัฒนาการด้านการภาษาและการพูดของเด็กจะดีขึ้น ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมที่เด็กอยู่ ด้วย เนื่องจากถ้าเด็กอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี เด็กก็จะได้เรียนรู้คำศัพท์ที่หลากหลาย ได้รู้ คำศัพท์ใหม่ ๆ อีกมากมาย 1.4 ทฤษฎีพัฒนาการทางการพูดของเด็กปฐมวัย พระจันแสงสว่าง (2556) ทฤษฎีเกี่ยวกับการเรียนรู้ภาษา การเรียนรู้ภาษาของเด็ก ปฐมวัย มีหลายทฤษฎีกล่าวถึงเรื่องนี้ดังนี้ 1. ทฤษฎีของนักเรียนโรงเรียนศาสตร์ (The Behaviorist View) ทฤษฎีนี้มีความ เชื่อเกี่ยวกับการเรียนรู้ภาษาของเด็กโดยที่สื่อการเรียนรู้ภาษาของเด็กเป็นการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องจาก ผลที่สิ่งแวดล้อมส่วนบุคคลของบุคคลทั่วไปที่ประสบความสำเร็จเด็กเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง แรง เพิ่มเติมบวกจะเริ่มทำงานเมื่อภาษาของเด็กใกล้เคียงหรือถูกต้องตามภาษาผู้ใหญ่ซึ่งนักปรัชญามีความ เชื่อเกี่ยวกับการเรียนภาษาของเด็ก คือ 1.1 ภาพยนตร์เกิดมาจากธรรมชาติในการเรียนรู้ซึ่งสามารถถ่ายทอดทาง กรรมพันธุ์โดยปราศจากความสามารถพิเศษในการเรียนทางใดทางหนึ่ง 1.2 การเรียนรู้และการเรียนภาษาเกิดขึ้นได้ในสิ่งแวดล้อมที่สามารถปรับได้ตาม ผู้เรียน 1.3 โดยรวมทั่วไปเป็นหลักของภาษาที่ปรับโดยแรงเสริมจากปฏิกิริยาจากสิ่งเร้า 1.4 ในทำนองเดียวกันจะใช้เวลากับภาษาต่าง ๆ ส่วนมากจะเลือกหรือไม่ต้องการ เฉพาะเจาะจงขึ้นโดยผ่านการใช้แรงเสริมทางบวกโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับทั่วไปและชนิดง่าย ๆ โดยเฉพาะแรงเสริมทางบวกตั้งแต่เริ่มต้น แต่การให้แรงเพิ่มเติมในภายหลังจะมีผลกับลูกค้าและ ศูนย์กลางเป้าหมายทางเล็งสูงสุด 2. ทฤษฎีสภาวะติดตัวโดยกำเนิด (The Nativist View) ทฤษฎีนี้มีความเชื่อเกี่ยวกับกฎธรรมชาติหรือกฎเกี่ยวกับสิ่งที่มาแต่กำเนิดแสดง ความคิดเห็นเกี่ยวกับการเรียนรู้ภาษาของเด็กแตกต่างจากนักประวัติศาสตร์สองประการสำคัญคือ 2.1 การที่ต่อเนื่องในแต่ละบุคคลเกี่ยวกับการเรียนรู้ภาษา 2.2 การแปลความหมายของเรื่องราวทางสิ่งแวดล้อมในการเรียนรู้ภาษา ชอมสกี้และคานีล (ChomskyandCanis : 2535: 206) เป็นเครื่องเทศแห่งความเชื่ออย่าง แรงกล้าเกี่ยวกับการเรียนรู้ภาษาของเด็กว่าร่างกายทุกคนเกิดมาในโครงสร้าง ทางภาษาศาสตร์อยู่ใน ตัวหรือติดตัวโดยกำเนิดซึ่งได้แก่การอ่านออกเสียงคำแปลเสียงตามความเชื่อนี้ไม่จำเป็นต้องเรียน ระบบของภาษาดาวน์โหลดเพียงแต่ต้องค้นหาว่าระบบภาษามัลติฟังก์ชั่นภาษาสากลอย่างไรไม่ต้อง


19 เรียน เรียนรู้ว่าสามารถตั้งคำถามได้ แต่ต้องเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับตั้งคำถามอย่างไรหรือเรียนรู้ว่ากลุ่ม เสียงใดจะรวมกลุ่มเสียงวิจัยอย่างไร โดยสรุปก็คือการใช้ภาษาทั้งในด้านความหมายคำแปล เลนเนอเบิร์ก (Lenneberg) เป็นหนึ่งที่สนับสนุนแนวคิดของนักทฤษฎีสภาวะติดตัวโดย กำเนิดเขาชี้ให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างขั้นตอนพัฒนาการทางร่างกายและขั้นตอนพัฒนาการทาง ภาษาว่ามีความเกี่ยวข้องกันหลายสีเขาแสดงเด็กเกิด มาด้วยความมีประสิทธิภาพทางภาษามิใช่เป็นผ้า ขาวความสามารถทางการเรียนรู้ภาษาของเด็กถูกจัดโปรแกรม การรับรู้ตัวบุคคลที่เกี่ยวข้องกับ สิ่งแวดล้อมที่เด็กจะได้รับในขณะที่เด็กอยู่ในสิ่งแวดล้อมทางภาษาพูด เด็กจะพัฒนาการพูดโดย และ ความสามารถทางภาษาจะแยกจากระดับไอคิว 3. ทฤษฎีของนักสังคมศาสตร์ (The Socialist View) นักทฤษฎีสังคมหรือทฤษฎีวัฒนธรรมจะให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมทางภาษาของ ผู้ใหญ่คำนึงถึงพัฒนาการทางภาษาของเด็กรายงานการวิจัยเกี่ยวกับวิธีการที่ผู้ใหญ่หรือพ่อแม่ปฏิบัติ ต่อเด็กส่งผลต่อพัฒนาการทางภาษาและ พัฒนาการทางความเป็นไปได้ของเด็กวิธีการดังกล่าวคือการ อ่านหนังสือให้เด็กฟังระหว่างการกล่าวถึงเหตุการณ์ต่างๆ เป็นต้น 4. ทฤษฎีพัฒนาการทางโภชนาการของเพียเจท์ (Piaget Theory) เพียเจท์(Piaget) การเรียนรู้ภาษาการเรียนรู้เป็นผลจากความสามารถทางธรรมชาติ ที่เรียนรู้จากมีผู้บริหารกับโลกของเขาเองจะเป็นผู้ปรับสิ่งแวดล้อมโดยใช้ภาษาดังตัวอย่างต่อไปนี้ 1. ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างแม่พูดกับจากเขาผลการวิจัยพบว่าแม่จะพูดลูกแตกต่างไป จากการพูดกับผู้อื่นที่มีความสำคัญต่อกัน แม่จะสอนเด็กเล็กต่างจากเด็กโตและ โดยทั่วไปจะพูดคำ แปลที่สั้นกว่าเนื้อหาในการสื่อสารที่มีความหมาย 2. ดาวน์โหลดควบคุมสภาพแวดล้อมทางภาษาเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องและ ต้องการทราบว่าเสียงที่บ่งบอกว่าอย่างไรมีโครงสร้างเพื่อประวัติพื้นฐานอะไร 3. องค์ประกอบหรือบุคคลนั้นมีความสำคัญต่อพื้นฐานที่ว่าผู้ใหญ่เห็นหรือได้ยิน เขาพูดอาจมีการวิจารณ์สามารถช่วยสร้างความรู้ที่จำเป็นและพื้นฐานของความเจริญทางภาษาการ เรียน ทราบเกี่ยวกับตนเองเกี่ยวกับผู้ให้บริการเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ เกี่ยวกับเหตุและผลเกี่ยวกับสถานที่ที่ เกี่ยวข้อง สิ่งที่เราทำกับความเชื่อของเราในสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้เพียเจท์ (Piaget) พัฒนาการทางภาษาของเด็กเป็นไปพร้อมกับ ความสามารถทางกายภาพให้เหตุผลการเข้าใจและตรรกศาสตร์เด็กต้องการสิ่งแวดล้อมที่จะส่งเสริมให้ เด็กสร้างกฎระบบเสียงระบบคำระบบคำแปลและ หมายรวมถึงภาษาที่เด็ก ๆ ยังต้องการฝึกภาษา ด้วยวิธีการหลายวิธีและหลายอย่างเช่น


20 5. ทฤษฎีของนักจิตวิทยาภาษาศาสตร์ (ทฤษฎีภาษาจิตวิทยา) ทฤษฎีชอมสกี้ (Chomsky Theory: 2542: 36) สถาบันการศึกษา การเรียนรู้ภาษา ของระบบจัดเก็บข้อมูลซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของภาษาในเด็กด้วยบางครั้งเด็กพูดคำใหม่ โดยผู้ผลิตแรงเสริม ก่อนหน้านี้เลย เขาอธิบายการเรียนรู้ภาษาของเด็กว่าเมื่อเด็กได้รับคำแปลหรือกลุ่มคำต่าง ๆ เข้ามา เด็ก ๆ สร้างไวยกรณ์ขึ้นในเครื่องมือการเรียนรู้ภาษาที่ติดตัวมาแต่เริ่มต้น โดยปกติแล้วเกี่ยวกับการ พูดคุยการฟังเพิ่มเติม เลนเบอร์ก (Lenneberg) ยังคงเป็นหนึ่งในที่เสนอทฤษฎีแนวนี้โดยอธิบายว่าบางที อาจมีที่พร้อมสำหรับการเรียนรู้ภาษาสมองส่วนนี้อีกครั้งที่วัยรุ่นตอนต้น (อายุที่ต้องการ12 ปี) เรียนรู้ ภาษาใหม่ กล่าวโดยสรุป ทฤษฎีพัฒนาการทางกรพูดของเด็กปฐมวัย เด็กจะเรียนรู้เกี่ยวกับ ภาษาและการพูดจากสื่อการเรียนการสอน จากการเลียนแบบบุคคลอื่นหรือสิ่งแวดล้อมที่เด็กอาศัยอยู่ 1.5 กระบวนการพูด สุภาวดี ศรีวรรธนะ (2542: 68-70) กระบวนการในการพูดของเด็กปฐมวัยประกอบด้วย กระบวนการ 3 ขั้นตอน คือ 1. การออกเสียง 2. การสร้างคำ 3. การสร้างประโยค ทั้ง 3 ขั้นตอนนี้มีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกัน ขั้นตอนใดเป็นไปไม่ได้จะมีผลเสียต่อขั้นตอนอื่น 1. การออกเสียงทำได้โดยการเลียนแบบ เด็กเลียนแบบเสียงคำและสำเนียงจาก บุคคลที่เด็กติดต่อเกี่ยวข้องด้วย เด็กจะเปลี่ยนภาษาพูดไปตามสิ่งแวดล้อมใหม่นั้น เพราะกลไกการ ออกเสียงและนิสัยการพูดยังไม่มีรูปแบบแน่นอน ด้วยเหตุนี้พ่อแม่และนักการศึกษาบางคนจึงเห็น ว่า วัยเด็กเล็กเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการเรียนภาษาต่างประเทศ เด็กจะพูดได้เหมือนเจ้าของภาษา แต่ถ้ารอไปเรียนต่อเมื่อเด็กอยู่ชั้นมัธยม เด็กจะพูดภาษาด้วยสำเนียงภาษาแม่ของตน 2. การสร้างคำคือ การเชื่อมโยงกับความหมาย คำหลาย ๆ คำมีเสียงเหมือนกันแต่ ความหมายต่างกัน เช่น สาด สารท ศาสน์ การสร้างคำจึงยากกว่าการออกเสียง ทั้งการเชื่อมโยง เสียงกับความหมาย มีโอกาสผิดได้ง่าย เมื่อเด็กไปโรงเรียนเด็กจะทราบศัพท์ใหม่และความหมาย ใหม่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพราะครูสอนได้โดยตรง และจากประสบการณ์ของเด็กเองจากการอ่านหนังสือ ฟังวิทยุ หรือดูโทรทัศน์ นอกจากนี้เด็กอายุเท่ากันทราบศัพท์จำนวนไม่เท่ากัน เนื่องจากความ แตกต่างระหว่างบุคคล ด้านสติปัญญา อิทธิพลของสิ่งแวดล้อม โอกาสในการเรียนรู้และแรงจูงใจ


21 3. การสร้างประโยด ระยะแรกเด็กอายุ 12-18 เดือน พูดประโยคที่มีคำเพียงคำ เดียว ใช้ท่าทางประกอบ เช่น "ขอ" และชี้ไปที่ตุ๊กตา หมายความว่า ขอตุ๊กตาให้หนู อายุ 2 ปี เด็กใช้ ประโยคสั้น ๆ ได้แล้ว อายุ 4 ปีเด็กจะพูดประโยคต่าง ๆ ได้ดีขึ้น เด็กชอบใช้ประโยดคำถามมาก พอ เด็กพูดได้ เด็กจะพูดไม่หยุดเหมือนกับตอนที่เด็กเดินได้จะเดินไม่หยุดเช่นเดียวกัน นภาภรณ์ อันทะผลา (2547: 24) กระบวนการทางด้านการพูดของเด็กปฐมวัย จะ ประกอบด้วย กระบวนการ 3 ขั้นตอน คือ การออกเสียง การสร้างคำ และการสร้างประโยค ดังนั้น การจัดกิจกรรมเพื่อการส่งเสริมการพูดที่เหมาะสมและสอดคล้องกับพัฒนาการของเด็กจะช่วยให้เด็ก พัฒนาการพูดได้ดีและมีประสิทธิภาพ นงลักษณ์ งามขำ (2551: 21) การพูดของเด็กปฐมวัยนั้น จะเริ่มเปล่งเสียงร้องที่ไม่มี ความหมายก่อน จากนั้นเด็กจะค่อย ๆ พัฒนาเป็นคำพูดเดียวก่อน แล้วค่อย ๆ พัฒนาเป็นประโยคสั้น ๆ และมีซับซ้อนมากขึ้น ดังนั้น กระบวนการพูดของเด็กปฐมวัยจึงประกอบด้วย 3 ขั้นตอน คือ การ ออกเสียง การสร้างคำ และการสร้างประโยค การจัดกิจกรรมส่งเสริมการพูดที่เหมาะสมและ สอดคล้องกับพัฒนาการจะช่วยให้เด็กมีการพัฒนาการพูดที่ดีและเหมาะสมกับวัยมากที่สุด กล่าวโดยสรุป การพูดของเด็กปฐมวัยนั้น ประกอบด้วยกระบวนการ 3 ขั้นตอน คือ การ ออกเสียง การสร้างคำ และสร้างประโยค จากนั้นเด็ก ๆ จะพูดเป็นประโยคสั้น ๆ ไม่ซับซ้อน เพื่อที่จะ สื่อความหมาย ความต้องการ ให้แก่ผู้ฟังได้เข้าใจ 1.6 การใช้ภาษาพูด ประดินันท์ อุปรมัย (2526: 133-135) กล่าวว่า ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการใช้ภาษาพูดของ เด็กปฐมวัยแบ่งได้เป็น 4 ประการ ดังนี้ 1. ความพร้อมของอวัยวะที่เกี่ยวกับการพูดของเด็ก 2. ปฏิสัมพันธ์ระหว่างเด็กกับผู้ใกล้ชิดและแรงเสริมที่เด็กได้รับ 3. สื่อมวลชน 4. ประสบการณ์แวดล้อมตัวเด็ก ปัจจัยทั้ง 4 ประการนี้ มีความเกี่ยวข้องกันไม่สามารถแยกออกจากกันได้ กล่าวคือ แม้เด็กจะ มีความพร้อมของอวัยวะที่เกี่ยวกับการพูด แต่ถ้าเด็กไม่เคยได้ยินภาษาพูด เด็กจะพูดไม่ได้หรือถ้าได้ ยินภาษาพูดจากทั้งผู้ใกล้ชิด สื่อมวลชน และผู้อื่น แต่อวัยวะในการพูดซึ่งรวมถึงอวัยวะในการได้ยิน ของเด็กบกพร่องหรือไม่พร้อม เด็กก็ไม่สามารถพูดได้หรือพูดได้ไม่ชัดเจน นภาภรณ์อันทะผลา (2547: 25) การใช้ภาษาพูดในวัยเด็กนั้น จะต้องมีองค์ประที่สำคัญ 4 ประการ คือ ความพร้อมของอวัยวะที่เกี่ยวกับการพูดของเด็ก ปฏิสัมพันธ์ระหว่างเด็กกับผู้ใกล้ชิด และแรงเสริมที่เด็กได้รับ สื่อมวลชน ประสบการณ์สภาพแวดล้อมของตัวเด็ก ทั้ง 4 องค์ประกอบนี้ จะ ทำให้เด็กมีความสามารถใช้ภาษาพูดได้อย่าเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ


22 นงลักษณ์ งามขำ (2551: 21) การใช้ภาษาพูดในเด็กปฐมวัยนั้น ต้องมีองค์ประกอบที่ สำคัญ 4 ประการ คือ ความพร้อมของอวัยวะที่เกี่ยวกับการพูดของเด็ก การมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างเด็ก กับผู้ใกล้ชิดและแรงเสริมที่เด็กได้รับ สื่อมวลชนและประสบการณ์แวดล้อมกับตัวเด็ก ซึ่งทั้ง 4 องค์ประกอบนี้จะช่วยให้เด็กปฐมวัยใช้ภาษาพูดได้อย่างถูกต้องและเหมาะสมกับวัย กล่าวโดยสรุป การใช้ภาษาในการพูดของเด็กปฐมวัย ประกอบด้วย 4 องค์ประกอบ คือ คือ ความพร้อมของอวัยวะที่เกี่ยวกับการพูดของเด็ก ปฏิสัมพันธ์ระหว่างเด็กกับผู้ใกล้ชิดและแรงเสริม ที่เด็กได้รับ สื่อมวลชน ประสบการณ์สภาพแวดล้อมของตัวเด็ก แต่ถ้าเด็กไม่เคยคุ้นเคยกับภาษาหรือ ไม่คุ้นเคยกับบุคคล เด็กก็จะไม่ยอมพูดหรือสื่อสาร ดังนั้นผู้ที่เกี่ยวข้อง ควรพัฒนาด้านทักษะการพูด ของเด็กให้ดี และกล้าแสดงออกในการพูด 1.7 กิจกรรมที่ส่งเสริมการพูดของเด็กปฐมวัย ปริศนา สิริอาชา (2537: 91-96) กล่าวว่า การจะช่วยให้เด็กเป็นนักพูดที่ดี คือ การพูดคุย กับเด็กบ่อย ๆ คำพูดต่าง ๆ ของเด็กอายุ 3 ขวบ มักเป็นคำที่ได้รับมาจากพ่อแม่และผู้ใกล้ชิด หลังจาก นั้นเด็กจึงเริ่มเรียนรู้คำต่าง ๆ เอง ดังนั้นการพูดจาของบุคคลที่แวดล้อมเด็กอยู่ จึงเป็นสิ่งสำคัญมาก เช่น การสอนให้เด็กรู้จักความหมายของคำ เช่น หนูกินข้าวด้วยขันหรือลูกบอลจ๊ะ? หรือหนูใช้ตามอง หรือใช้นิ้วมองจ๊ะ? การสอนคำจากท่าทาง สอนจากการอ่านนิทานให้ฟัง การเล่นเกมสมมติ การร้อง เพลงประกอบท่าทาง การหัดให้เด็กได้ตอบคำถาม การเล่นนำทาง การเรียงลำดับเหตุการณ์ประจำวัน เป็นต้น นภาภรณ์ อันทะผลา (2547: 26) การส่งเสริมความสามารถทางการพูดของเด็กปฐมวัย สามารถจัดกิจกรรมได้หลากหลาย เช่น การเล่าเรื่องจากประสบการณ์จริงที่ใกล้ตัวเด็กและสิ่งที่อยู่ รอบตัวเด็ก การพูดแสดงความรู้สึกให้เด็กได้แสดงออกในโอกาสต่าง ๆ การใช้ภาพเป็นสิ่งที่เด็กชอบ และเข้าใจเรื่องราวจากรูปภาพได้ ฉะนั้น การจัดกิจกรรมโดยใช้รูปภาพประกอบการพูดเล่าเรื่อง จึง น่าจะเป็นวิธีที่เหมาะสมและสอดคล้องกับธรรมชาติของเด็กมากที่สุดและได้ผลดีที่สุด คณิตศร ตรีผล (2550: 35) การจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมการพูดนั้น สามารถทำได้มากมายหลาย วิธีที่สามารถส่งเสริมให้เด็กมีพัฒนาการทางการพูดให้ดียิ่งขึ้น เช่น ท่องคำคล้องจอง ปริศนาทายคำ เล่าเรื่องจากภาพ ร้องเพลงง่าย ๆ แต่ละวิธีล้วนแล้วแต่ที่จะส่งเสริมพัฒนาการทางการพูดให้กับเด็ก นงลักษณ์งามขำ (2551: 23) การส่งเสริมความสามารถด้านการพูดของเด็กปฐมวัย สามารถ จัดกิจกรรมได้อย่างหลากหลาย เช่น การเล่าเรื่องจากประสบการณ์จริงที่มีอยู่ใกล้ตัวเด็ก รวมทั้งสิ่งที่ อยู่รอบตัวเด็ก การพูดแสดงความรู้สึก การให้เด็กได้แสดงออกในโอกาสต่าง ๆ ธรรมชาติของเด็ก ปฐมวัย การจัดประสบการณ์โดยใช้ปริศนาคำทาย เด็กได้พูด ได้ตอบเกี่ยวกับปริศนาคำทาย จึงน่าจะ เป็นวิธีการที่เหมาะสมและสอดคล้องกับธรรมชาติของเด็กมากที่สุดและได้ผลดีที่สุด


23 ณัฐวดี ศิลากรณ์ (2556: 23) กิจกรรมที่ส่งเสริมการพูดของเด็กปฐมวัย สามารถทำได้หลาย วิธี เช่น การเล่นเกม การเล่นบทบาทสมมติการร้องเพลง การเล่านิทาน การไปศึกษานอกสถานที่ ตลอดจนการทดลองปฏิบัติจริงซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นที่ครูและผู้เกี่ยวข้องด้านการศึกษาปฐมวัยควรให้ ความสำคัญ และเลือกวิธีปฏิบัติตามความเหมาะสม ชวนพิศ จะรา (2556: 31) การส่งเสริมพัฒนาการทางภาษาสำหรับเด็กนั้น ครูผู้สอนควรได้ จัดประสบการณ์ที่หลากหลายวิธีในอันที่จะกระตุ้นให้เด็กได้ฝึกฝนได้พัฒนาทักษะ เพื่อส่งเสริมให้เด็กมี พัฒนาการทางภาษาอย่างต่อเนื่องและเหมาะสมต่อไป บังอร จันล่องคำ (2557: 67) การส่งเสริมความสามารถด้านการพูดของเด็กต้องอาศัย แบบอย่างเป็นปัจจัยสำคัญในกรณีที่พ่อแม่ของเด็กเป็นใบ้ จำเป็นต้องอาศัยแบบอย่างในการพูดที่ สำคัญรองจากพ่อแม่ ก็คือ ครู ครูสามารถเป็นแบบอย่างที่ดีในการพูดให้กับเด็กเมื่อเขาอยู่ที่โรงเรียน การเป็นแบบอย่างที่ดีนั้นต้องอาศัยกิจกรรมหลักเป็นเครื่องมือ วราภรณ์ พิมราช (2558: 18) แนวทางการส่งเสริมการพูดของเด็กปฐมวัยนั้นมีหลากหลาย แนวทาง โดยต้องคำนึงถึงตัวครูการจัดบรรยากาศ หรือสิ่งเร้าที่จะช่วยส่งเสริมและกระตุ้น ความสามารถในการพูดของเด็ก ทั้งนี้มีกิจกรรมหลายกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้เด็กได้พูดคุย ซักถาม และแสดงความคิดเห็นอย่างเป็นอิสระ เช่น พูดแสดงความรู้สึกนึกคิดของตนเอง เล่าเรื่องที่ตนเองชอบ หรือประสบการณ์ที่ตนเองประทับใจ ประภัสสร บราวน์และแสงสุรีย์ ดวงคำน้อย (2564: 200) กิจกรรมในการช่วยส่งเสริม ความสามารถด้านการพูดให้กับเด็กนั้นมีกิจกรรมหลากหลายรูปแบบ เช่น กิจกรรมที่เปิดโอกาสให้เด็ก ได้พูดคุยเล่าประสบการณ์ และแสดงความคิดเห็นเพื่อให้เด็กมีความเข้าใจและได้รับประสบการณ์ตรง เกิดการเรียนรู้ ได้พัฒนาทุกด้านซึ่งกิจกรรมในการส่งเสริมการพูดจัดได้หลายวิธี เช่น 1. การสนทนา อภิปราย เป็นการส่งเสริมพัฒนาการทางภาษาในการพูดการฟัง รู้จัก แสดงความคิดเห็นและยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น ซึ่งสื่อที่ใช้อาจเป็นของจริง ของจำลองรูปภาพ สถานการณ์จำลอง ฯลฯ 2. การเล่านิทานเป็นการเล่าเรื่องต่าง ๆ ส่วนมากจะเป็นเรื่องที่เน้นการปลูกฝังให้เกิด คุณธรรมจริยธรรม วิธีการนี้จะช่วยให้เด็กเข้าใจดีขึ้น ในการเล่านิทานสื่อที่ใช้อาจเป็นรูปภาพหนังสือ นิทานหุ่นการแสดงท่าทางประกอบการเล่าเรื่อง 3. การสาธิต เป็นการจัดกิจกรรมที่ต้องการให้เด็กได้สังเกตและเรียนรู้ตามขั้นตอนของ กิจกรรมนั้น ๆ ในบางครั้งครูอาจให้เด็กอาสาสมัครเป็นผู้สาธิตร่วมกับครูเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติจริง เช่น การเพาะเมล็ด การเป่าลูกโป่ง


24 4. การทดลอง/ปฏิบัติการ เป็นกิจกรรมที่จัดให้เด็กได้รับประสบการณ์ตรง เพราะได้ ทดลองปฏิบัติด้วยตนเอง เช่น การประกอบอาหาร การทดลองวิทยาศาสตร์ง่าย ๆ การเลี้ยงหนอน ผีเสื้อ การปลูกพืช ฯลฯ 5. การศึกษานอกสถานที่เป็นการจัดกิจกรรมที่ทำให้เด็กได้รับประสบการณ์ตรงอีก รูปแบบหนึ่งด้วยการพาเด็กไปทัศนศึกษาสื่อต่าง ๆ รอบโรงเรียน หรือสถานที่นอกโรงเรียน เพื่อเป็น การเพิ่มพูนประสบการณ์แก่เด็ก 6. การเล่นบทบาทสมมติเป็นตัวละครต่าง ๆ ตามเนื้อเรื่องในนิทานหรือ เรื่องราวต่าง ๆ อาจใช้สื่อประกอบการเล่นสมมติเนื้อเร้าความสนใจ และก่อให้เกิดความสนุกสนาน เช่น หุ่นสวมศีรษะ ที่คาดศีรษะรูปคน และสัตว์รูปแบบต่าง ๆ เครื่องแบบและอุปกรณ์ของจริงชนิดต่าง ๆ 7. การร้องเพลงเล่นเกมท่องคำคล้องจองเป็นการจัดให้เด็กได้แสดงออกเพื่อความ สนุกสนานเพลิดเพลิน กล่าวโดยสรุป กิจกรรมที่ส่งเสริมพัฒนาการด้านการพูดของเด็กปฐมวัย มีหลายหลายวิธี เช่น การทายคำปริศนาคำทาย การแสดงบทบาทสมมติ การท่องคำคล้องจอง การเล่านิทาน การร้อง เพลง หรือการสนทนาโต้ตอบ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับครูผู้สอนที่จะจัดบรรยากาศการเรียนในรูปแบบใด เพื่อที่จะส่งเสริมพัฒนาการด้านการพูดของเด็กปฐมวัย ให้ได้มากที่สุด 2. เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับนิทานและการเล่านิทาน 2.1 ความหมายของนิทาน นภาภรณ์อันทะผลา (2547: 8) นิทาน เป็นเรื่องราวที่เล่าต่อ ๆ กันมา โดยมีเนื้อเรื่องที่ อิงจากความจริงหรือเรื่องที่แต่งขึ้น มีจุดประสงค์เพื่อความสนุกสนานเพลิดเพลินและเพื่อสอดแทรก คติธรรมสอนใจลงไปด้วย พร้อมทั้งเป็นสื่อช่วยในการปลูกฝังนิสัยรักการอ่านให้กับเด็ก สมใจ พวงมาลี (2549: 28) นิทาน หมายถึง เรื่องที่เล่าสืบต่อกันมาจากผู้ใหญ่สู่เด็ก เพื่อให้ความสนุกสนานเพลิดเพลิน เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นมาจากจินตนาการหรือเรื่องจริงที่เป็นชีวิตหรือ พฤติกรรมของบุคคล โดยแฝงคุณธรรม คติสอนใจ และให้ความรู้ สร้างจินตนาการให้กับผู้อ่านและผู้ที่ ได้ฟัง นิทานเป็นสื่อที่ดีที่สุดอย่างหนึ่งในการเรียนรู้ของเด็ก อรดี ติระตระกลูเสรี (2549: 9) นิทาน เป็นเรื่องราวที่เล่าสืบต่อกันมา มีทั้งเรื่องจริงและ เรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการ โดยมีจุดมุ่งหมายในการถ่ายทอดประสบการณ์ ความรู้ ทัศนคติ คุณธรรม จริยธรรม และคติสอนใจ ตลอดจนความสนุกสนาน เพลิดเพลิน ให้แก่ผู้ฟัง นอกจากนี้นิทาน ยังเป็นสื่อในการเรียนการสอนของเด็กอีกด้วย


25 ธันยาภัทร เบญจบริรักษ์กุล (2551: 52) นิทาน คือเรื่องที่เล่าต่อ ๆ กันมา หรือเป็นเรื่อง ที่แต่งขึ้นใหม่ เพื่อจุดประสงค์เบื้องต้น คือให้ความสนุกสนาน ให้คติสอนใจ ส่งเสริมคติธรรม ใน ปัจจุบันได้มีการแต่งนิทานขึ้นเพื่อประโยชน์ในด้านการเรียนการสอน โดยใช้เทคนิคและรูปแบบต่าง ๆ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการใช้ให้บรรลุวัตถุประสงค์ เช่น การเล่านิทานที่ไม่จบเรื่องแล้วให้เด็กแต่ง ต่อให้จบเรื่อง เป็นต้น นิศารัตน์ประสานศักดิ์ (2555: 32) นิทาน หมายถึง เรื่องราวที่เล่าสืบต่อกันมา โดยอิง ความจริงหรือเรื่องที่แต่งขึ้น โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้เกิดความสนุกสนานเพลิดเพลิน สอดแทรกคติ สอนใจ และประเพณีวัฒนธรรมในสังคมนั้น ๆ ลงไปในเนื้อหาของนิทาน ปนิดา ทองมูล (2555: 9) นิทาน หมายถึง เรื่องราวที่เล่าสืบต่อกันมาในอดีตถึงปัจจุบัน มีผู้แต่งขึ้นเพื่อให้ผู้ฟังได้รับความสนุกสนานเพลิดเพลินแฝงความคิดคติสอนใจ และสามารถนำ แนวความคิดไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน ชวนพิศ จะรา (2556: 64) นิทาน หมายถึง เรื่องราวที่เล่าต่อกันมาตั้งแต่โบราณ หรือ อาจเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นมาใหม่ เพื่อความสนุกสนานเพลิดเพลิน และให้ความรู้ สอดแทรกคติ แนวคิด คุณธรรม จริยธรรมที่พึ่งประสงค์ เพื่อเป็นแนวทางให้ผู้ฟังได้ประพฤติปฏิบัติตาม พารีด๊ะ โย๊ะ (2557: 9) นิทาน คือ เรื่องราวที่เล่าสืบต่อกันมา โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ เกิดความสนุกสนานเพลิดเพลิน ให้เด็กเกิดจินตนาการจากเรื่องที่อ่าน อาจะเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องที่ สมมติขึ้น และสอดแทรกคุณธรรม คติสอนใจ แง่คิด และวัฒนธรรม ประเพณี เพื่อให้เด็กนำไปเป็น แบบอย่างหรือประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้ ณัฐกานต์ เพียรศิลป์ (2557: 33 ) นิทาน คือ เรื่องที่เล่าสืบต่อกันมา อาจเป็นเรื่องเก่า หรือเรื่องที่แต่งขึ้นมาก็ได้ไม่ระบุชื่อผู้แต่งที่แน่นอน เป็นเรื่องราวที่เล่าเพื่อความสนุกสนาน ให้ความ บันเทิงใจ บางเรื่องอาจมีคติธรรมสอนใจ สอดแทรกคุณธรรมและจริยธรรมลงไปในเนื้อเรื่องเพื่อสร้าง ความน่าสนใจ และเป็นแบบอย่างในการดำรงชีวิตของคนรุ่นหลัง เบญญา เจริญเฉลิมศักดิ์ (2557: 10) นิทาน หมายถึง เรื่องที่เล่าต่อ ๆ กันมา หรือเป็น เรื่องที่แต่งขึ้นใหม่ เพื่อจุดประสงค์เบื้องต้น คือ ให้ความสนุกสนาน ให้คติสอนใจ ส่งเสริมคติธรรม ใน ปัจจุบันได้มีการแต่งนิทานขึ้น เพื่อประโยชน์ในด้านการเรียนการสอน โดยใช้เทคนิคและรูปแบบต่าง ๆ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการใช้ให้บรรลุวัตถุประสงค์ ศิริรัตน์ ค่อยเกษม (2557: 8) นิทาน หมายถึง เรื่องราวที่เกิดขึ้นจากจินตนาการของผู้ เล่าหรืออิงความจริง เพื่อให้เกิดความสนุกสนานเพลิดเพลิน สอดแทรกคติสอนใจ หรือความรู้ นิทาน ยังมีคุณค่าต่อเด็กเป็นอย่างมาก การที่ครูหรือผู้ใหญ่เล่านิทานหรือเรื่องราวต่าง ๆ จะเป็นเครื่องช่วยให้ เด็กเข้าใจสิ่งต่าง ๆ ได้ดียิ่งขึ้น อีกทั้งยังเพิ่มพูนลักษณะนิสัยที่ดีให้กับเด็กด้วย


26 ชนิสรา ใจชัยภูมิ (2558: 7) นิทาน หมายถึง เรื่องราวที่เล่าสืบต่อกันมารุ่นสู่รุ่น หรือเรื่อง ที่แต่งขึ้นมาจากเรื่องจริง ตำนาน หรือจินตนาการของผู้แต่ง มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดความ เพลิดเพลินสนุกสนาน สอดแทรกคติสอนใจ ความรู้ต่าง ๆ เข้าในนิทานอีกด้วย วราภรณ์ พิมราช (2558: 24) นิทาน หมายถึง เรื่องที่เล่าสืบต่อกันมาหรือเป็นเรื่องที่แต่ง ขึ้นใหม่ โดยเรื่องราวหรือเนื้อหานั้นให้มีความสนุกสนาน ปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม และคุณงาม ความดี วรัญญา ศรีบัว (2558: 4) นิทาน หมายถึง เรื่องราวที่เล่าสืบต่อกันมาหรือมีผู้แต่งขึ้น เพื่อให้ผู้ฟังได้รับความสนุกเพลิดเพลินและซึ่งสอดแทรกคุณธรรมจริยธรรมคติสอนใจที่พึงประสงค์ สามารถนำความคิดไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันให้ผู้ฟังนำไปใช้ชีวิตจากเนื้อหาของนิทานเพื่อใช้เป็นสื่อ ในการเรียนรู้ของเด็ก สายฝน เล่าการเรียน (2560: 8) นิทาน หมายถึง เรื่องราวที่เล่าสืบต่อ ๆ กันมา หรือเป็น เรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการ หรือความจริง เป็นเรื่องราวที่สนุกสนาน มีคติสอนใจ เพื่อปลูกฝัง คุณธรรม และจริยธรรม ซึ่งนิทานนี้อาจจะถ่ายทอดกันมาด้วยวิธีมุขปาฐะ หรือลายลักษณ์อักษรก็ได้ ประภัสสร บราวน์และแสงสุรีย์ ดวงคำน้อย (2564: 194) นิทานหรือหนังสือสำหรับเด็ก จะเป็นการสร้างเรื่องราว เพื่อให้ความเพลิดเพลินสนุกสนานและให้ความรู้โดยตัวละครจะเกี่ยวกับสิ่งที่ อยู่รอบตัวเด็ก เช่น สัตว์พืช คน ฯลฯ นิทานอาจแบ่งได้หลายประเภท เช่นนิทานพื้นบ้าน นิทาน ชาดกนิทานอีสาน นิทานประกอบภาพ กล่าวโดยสรุป นิทาน คือเรื่องที่เล่าสืบต่อ ๆ กันมาในอดีตจนถึงปัจจุบัน หรือเป็นนิทานที่แต่ง ขึ้นมาใหม่ จุดประสงค์ของนิทาน คือเพื่อให้เกิดความสนุกสนาน เพลิดเพลิน ให้ความบันเทิงแก่ผู้ที่ได้ ฟัง และในเนื้อหานิทานยังมีคติสอนใจ หรือคุณธรรมจริยธรรม แฝงอยู่นิทานอีกด้วย 2.2 ความหมายของการเล่านิทาน นภาภรณ์ อันทะผลา (2547: 9) การเล่านิทาน หมายถึง การถ่ายทอดเรื่องราวของ นิทาน ให้เด็กเข้าใจโดยการเล่าเรื่อง การใช้น้ำเสียง ท่าทาง สื่อ อุปกรณ์ ตลอดจนวิธีการ ประกอบการเล่าเรื่องและครอบคลุมถึงการให้เด็กได้มีโอกาสเป็นผู้เล่าด้วยตนเอง อรดี ติระตระกลูเสรี (2549: 9) การเล่านิทาน เป็นกายถ่ายทอดเรื่องราวด้วยวิธีการใช้ น้ำเสียง ท่าทาง และระหว่างการถ่ายทอดนั้น อาจใช้สื่อ วัสดุ และอุปกรณ์ต่าง ๆ ประกอบด้วย ทั้งนี้ผู้ เล่าอาจเปิดโอกาสให้ผู้ฟังได้มีส่วนร่วมในการเล่าหรือการแสดงข้อคิดเห็น การสนทนาโต้ตอบกัน พระกฤษฎา ประวัดศรี (2550: 12) การเล่านิทาน เป็นเรื่องราวที่เล่าสืบต่อกันมา มีทั้ง การปลูกฝังความดีและไม่ดีเป็นจุดใหญ่ให้เข้าใจชัดเจน พร้อมทั้งความสนุกสนานตามที่ผู้เล่าจะให้เกิด ความเพลิดเพลิน แฝงไปด้วยคติคำสอน ของการดำรงชีวิตเป็นสำคัญ


27 พรรณทิพา มีสาวงษ์ (2554: 10) การเล่านิทาน หมายถึง การถ่ายทอดเรื่องราวในนิทาน โดยจะเล่าปากเปล่าหรือใช้ภาพในหนังสือประกอบการเล่าก็ได้ การเล่านิทานเป็นพื้นฐานสำคัญของ การพัฒนาทักษะการฟัง การพูด รวมทั้งทักษะการคิดหลาย ๆ ด้าน นิศารัตน์ ประสานศักดิ์ (2555: 35-36) การเล่านิทาน หมายถึง การถ่ายทอดเรื่องราว จากนิทานให้เด็กฟังด้วยการเล่า โดยใช้น้ำเสียง ท่าทาง สื่ออุปกรณ์ต่าง ๆ ประกอบการเล่า มี จุดประสงค์เพื่อถ่ายทอดความรู้ ความเข้าใจ ความรู้สึก ความสนใจ ประสบการณ์ทัศคติและค่านิยม ที่เหมาะสมสำหรับเด็ก ประภาพิศ ดวงคำจันทร์ (2555: 22) การเล่านิทาน หมายถึง การถ่ายทอดเรื่องราวจาก นิทานให้เด็กได้เข้าใจด้วยการเล่า โดยใช้น้ำเสียง ท่าทาง สื่อ วัสดุ อุปกรณ์ต่าง ๆ ประกอบการเล่า การเล่านิทานให้เด็กฟังหรือให้เด็กได้อ่านหนังสือนิทาน ช่วยให้เด็กเกิดกระบวนการคิด เกิด จินตนาการ เสริมสร้างทักษะทางภาษา คุ้นเคยกับตัวหนังสือ รักการอ่าน เรียนรู้คำศัพท์ใหม่ ๆ การให้ เด็กได้มีส่วนร่วมในการเล่านิทาน หรือพูดคุย ซักถามช่วยให้เด็กรู้จักคิด และกล้าแสดงออก ชนิสรา ใจชัยภูมิ (2558: 8) การเล่านิทาน หมายถึง การเล่านิทานเป็นการถ่ายทอด เรื่องราวที่แต่งขึ้นหรือเรื่องที่เล่าต่อ ๆ กันมา ใช้น้ำเสียง ท่าทางประกอบ ใช้สื่อประกอบ การเล่า สอดแทรกความคิด คติสอนใจ วราภรณ์ พิมราช (2558: 25) นิทานมีความสำคัญและจำเป็นต่อการพัฒนาเด็ก เพราะ เด็กทุกคนชอบฟังนิทานและรู้จักฟังอย่างมีสมาธิ มีจินตนาการเกิดขึ้นจากการฟัง นิทานให้ทั้งความรู้ และความเพลิดเพลิน สนองต่อความสนใจ ความต้องการในวัยอยากรู้อยากเห็น เป็นสื่อจูงใจในการใฝ่ รู้ ใฝ่เรียน ช่วยเสริมสร้างพัฒนาการของเด็ก ทั้งทางร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญา และ นิทานยังช่วยปรุงแต่งบุคลิกภาพ แก้ไข้พฤติกรรมของเด็กให้เป็นไปตามตัวแบบในนิทานที่เด็กชื่นชอบ นิทานยังเป็นตัวกลางที่จะช่วยหล่อหลอมให้เด็กมีคุณธรรม จริยธรรม เพราะนิทานให้ข้อคิด ข้อ เตือนใจ ทั้งยังเป็นสื่อกลางที่ช่วยให้เด็กนำสิ่งที่ดีไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์กับตนเองและสังคม วรัญญา ศรีบัว (2558: 5) การเล่านิทาน หมายถึง วิธีการในการถ่ายทอดเรื่องราวของ นิทานให้เด็กฟังไม่ว่าจะเป็นโดยใช้น้ำเสียง ท่าทางประกอบเรื่องราว สื่อ วัสดุอุปกรณ์ ตลอดจนการ ส่งเสริมให้เด็กได้มีโอกาสเป็นผู้เล่าอันเป็นรากฐานที่จะนำไปสู่ความคิดสร้างสรรค์ต่อไป กล่าวโดยสรุป การเล่านิทาน เป็นการถ่ายทอดเรื่องราวในนิทาน โดยใช้น้ำเสียง ท่าทาง หรือสื่อ วัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ ในการเล่า เพื่อเป็นการดึงดูดความสนใจเด็ก และการเล่านิทานยังช่วยให้ เด็กเกิดกระบวนการคิด ความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการ 2.3 ประเภทของนิทาน เกริก ยุ้นพันธ์ (2539: 20-22) แบ่งนิทานตามรูปแบบของนิทาน และตามเนื้อหาสาระ ที่เป็นเรื่องราวของนิทานออกเป็น 8 ประเภท ดังนี้


28 1. เทพนิยายหรือเรื่องราวปรัมปรา เป็นนิทานหรือนิยายที่เกินเลยความเป็นจริงขอ มนุษย์ ส่วนใหญ่เป็นเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับอภินิหาร ตัวเอกหรือตัวละครเด่น ๆ จะมีอภินิหาร หรือ เวทมนต์ฤทธิ์เดช ฉากหรือสถานที่ในเรื่อง มักเป็นสถานที่พิเศษ หรือถูกกำหนดขึ้นมา เช่น สรวง สวรรค์ หรือเมืองบาดาล มีพระเอกเป็นเจ้าชาย มีนางเอกเป็นเจ้าหญิง มีนางฟ้า เทวดา ยักษ์ เป็นต้น 2. นิทานประจำท้องถิ่น หรือนิทานพื้นบ้าน มักเป็นนิทานที่ถูกเล่าขานตกทอด ต่อเนื่องกันมา เป็นเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับตำนานพื้นบ้าน ประวัติดวามเป็นมาของท้องถิ่น ภูเขา ทะเล แม่น้ำเรื่องราวของโบราณวัตถุ ที่มีเหตุแห่งที่มาของการสร้าง การคิด ฯลฯ 3. นิทานคติสอนใจ เป็นนิทานที่เรียบเรียงเชิงเปรียบเทียบกับชีวิต และความเป็นอยู่ ร่วมกันในสังคม ให้บังเกิดผลในการดำรงชีวิตและความเป็นอยู่ ให้พิถีพิถันละเอียดรอบคอบ และไม่ ประมาทช่วยเหลือหรือเมตตาต่อผู้อื่น และอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข 4. นิทานวีรบุรุษ เป็นนิทานที่กล่าวอ้างถึงบุคคลที่มีความสามารถ องอาจ กล้าหาญ มักเป็นการถ่ายทอดเรื่องจริงของบุคคลสำคัญ ๆ ไว้มักสร้างฉากหรือสถานการณ์ที่น่าตื่นเต้นเกินความ เป็นจริง เพื่อให้เรื่องราวสนุกสนาน ทำให้เกิดความรู้สึกคล้อยตามว่า บุคคลที่เป็นบรรพบุรุษนั้น มีความสามารถ และน่าสนใจจริงๆ 5. นิทานอธิบายเหตุ เป็นเรื่องราวของเหตุที่มาของสิ่งหนึ่งสิ่งใดและอธิบายพร้อม ตอบคำถามเรื่องราวนั้น ๆ ด้วย เช่น เรื่องกระต่ายในดวงจันทร์ ทำไมน้ำทะเลจึงเค็ม เป็นตัน 6. เทพปกรณัม เป็นนิทานเกี่ยวกับความเชื่อ โดยเฉพาะตัวบุคคลที่มีอภินิหาร เหนือ ความเป็นจริง ลึกลับ ได้แก่ พระอินทร์ พระพรหม ทศกัณฐ์ เป็นต้น 7. นิทานที่มีตัวสัตว์เป็นตัวเอก เปรียบเทียบเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตมนุษย์ที่อยู่ร่วมกัน ในสังคม สอนจริยธรรม แฝงแง่คิด และแนวทางแก้ไข บางครั้งสอนแบบทางอ้อม ผู้อ่านหรือผู้ฟัง จะต้องพิจารณาเอง เป็นเรื่องบันเทิงคดีที่สนุกสนาน 8. นิทานตลกขบขัน เป็นเรื่องเปรียบเทียบชีวิตความเป็นอยู่ แต่มีมุขที่ตลกขบขัน สนุกสนาน ทำให้เกิดความรู้สึกที่เป็นสุข เนื้อเรื่องเกี่ยวกับไหวพริบ เรื่องราวแปลกๆ เรื่องเหลือเชื่อ เรื่องเกินความจริง เป็นต้น สัณหพัฒน์ อรุณธารี (2542: 17) แบ่งประเภทของนิทาน ตามสภาพการณ์ปัจจุบัน ออกเป็น 8 ประเภท ดังนี้ 1. นิทานปรัมปรา 2. นิทานท้องถิ่น 3. นิทานเทพนิยาย 4. นิทานตลกขบขัน 5. นิทานสร้างเสริมคุณธรรม


29 6. นิทานเรื่องเกี่ยวกับสัตว์ 7. นิทานที่ให้ความรู้เฉพาะเรื่อง เช่น สิ่งแวดล้อม ยาเสพติด เป็นต้น 8. นิทานส่งเสริมจินตนาการ และความคิดสร้างสรรค์ สมใจ พวงมาลี(2549: 33) นิทานมีหลากหลายประเภท ซึ่งสามารถจำแนกออกเป็น หมวดใหญ่ ๆ ได้ 2 หมวดด้วยกัน คือ นิทานสมัยเก่า มีเนื้อหาเกี่ยวกับความเชื่อต่าง ๆ ส่งเสริม คุณธรรม เช่น ศาสนา ประเพณี วัฒนธรรม และอภินิหาร เป็นต้น นิทานสมัยใหม่ มีเนื้อหาเป็น ปัจจุบัน ส่งเสริมความรู้เช่น ยาเสพติด สิ่งแวดล้อม เป็นต้น อรดี ติระตระกลูเสรี (2549: 16) นิทานมีอยู่หลายรูปแบบ และหลายประเภท โดยใช้ เกณฑ์การแบ่งที่แตกต่างกันไปตามลักษณะและที่มาของนิทาน ธันยาภัทร เบญจบริรักษ์กุล (2551: 55) นิทานแบ่งประเภทได้หลายประเภททั้งตามยุค สมัย รูปแบบของนิทาน ชนิดของนิทาน และชนิดของการเล่านิทาน หรืออาจแบ่งเป็นนิทานพื้นบ้าน กับนิทานสมัยใหม่ นิทานเกี่ยวกับสัตว์ นิทานชาดก นิยายอิงประวัติศาสตร์ หรือชีวประวัติเทพนิยาย ขึ้นอยู่กับแนวคิดของนักการศึกษาแต่ละบุคคล พรรณทิพา มีสาวงษ์ (2554: 15) การเล่านิทานให้เด็กปฐมวัยฟังนั้น สามารถทำได้หลาย วิธี รวมถึงมีรูปแบบแตกต่างกันไป การเล่านิทานทั้งหมดนั้นจะน่าสนใจหรือไม่ขึ้นอยู่ที่วิธีการเล่า น้ำเสียง การเว้นจังหวะและระยะเวลาในการนำเสนอนิทานของผู้เล่า เด็กทุกคนสนุกสนานกับนิทานที่ ชอบ เป็นความมสนุกที่ประทับใจไปยาวนาน เป็นความสนุกที่เด็ก ๆ ได้เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ โดยไม่รู้ตัว ปนิดา ทองมูล (2555: 14) นิทานมีมากมายหลายประเภท โดยใช้หลักเกณฑ์การแบ่งที่ แตกต่างกันออกไป เปรียบเทียบเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตของมนุษย์ที่เกี่ยวข้องกับการอยู่ร่วมกันในสังคม สอนจริยธรรมแฝงแง่คิด และแนวทางแก้ไข้บางครั้งสอนแบบทางอ้อม ผู้ฟังต้องพิจารณาเอง ณัฐวดี ศิลากรณ์ (2556: 28) นิทานมีหลายประเภท ทั้งนิทานที่มีเนื้อหาสาระเกี่ยวข้อง กับความเชื่อ ขนบธรรมเนียมประเพณี ที่ปฏิบัติสืบทอดกันมาเป็นระยะเวลานาน และนิทานที่มี เนื้อหาสาระเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ปัจจุบัน ที่ส่งเสริมคุณธรรม ความรู้ทางสังคมและสิ่งแวดล้อม ศิริรัตน์ ค่อยเกษม (2557: 16) นิทานสามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้ 1. นิทานพื้นบ้าน เป็นเรื่องเล่าที่สืบทอดมาเป็นเวลายาวนาน ไม่เคยมีใครทราบชื่อผู้ แต่ง เป็นเรื่องราที่เกี่ยวข้องกับตำนานพื้นบ้าน ประวัติความเป็นมาของท้องถิ่น ภูเขา แม่น้ำ ทะเล วีรบุรุษ 2. นิทานสอดคติธรรม มีลักษณะเป็นนิทานสั้น ๆ ตัวละครมีทั้งคนและสัตว์ สัตว์มี บทบาทเหมือนคน มีแกนเรื่องเดียว มีโครงเรื่องง่ายและสั้น และต้องให้บทเรียนสอนใจ เป็นข้อสรุปที่ ชัดเจน นิทานคติธรรมของต่างประเทศที่รู้จักกันดี ได้แก่ นิทานอีสป


30 ชวนพิศ จะรา (2556: 66) ประเภทของนิทานแบ่งออกได้หลายประเภท โดยใช้เกณฑ์ การแบ่งที่ต่างกันไปตามรูปแบบและเนื้อหาของนิทาน เบญญา เจริญเฉลิมศักดิ์ (2557: 14) นิททนมีหลากหลายประเภท โดยใช้เกณฑ์การแบ่ง ที่แตกต่างกันออกไป สอนเรื่องจริยธรรมแฝงแง่คิด ที่เกี่ยวข้องกับการอยู่ร่วมกันในสังคม สนุกสนาน แปลก ๆ เหลือเชื่อเกินความจริง ทำให้ผู้ฟังเกิดความรู้สึกคล้อยตาม วราภรณ์ พิมราช (2558: 27) นิทานมีหลายประเภท โดยใช้หลักเกณฑ์การแบ่งที่ต่างกัน ตามรูปแบบและเนื้อหานิทาน ได้แก่ นิทานปรัมปรา นิทานเทพนิยาย นิทานท้องถิ่น นิทานอธิบาย เหตุผล นิทานสร้างเสริมคุณธรรม นิทานเกี่ยวกับสัตว์นิทานให้ความรู้ นิทานให้คติสอนใจ นิทานตลก ขบขัน สายฝน เล่าเรียนดี (2560: 14) นิทานมีการแบ่งไว้หลายประเภท เช่น การแบ่งตาม รูปแบบของนิทาน การแบ่งตามชนิดของนิทานและตามยุคสมัย ซึ่งนิทานแต่ละประเภทก็จะมีความ แตกต่างกันไป กล่าวโดยสรุป ประเภทของนิทาน มีหลากหลายรูปแบบ การแบ่งประเภทของนิทาน อาจจะแบ่งตามชนิดของนิทาน เนื้อหาในนิทาน ลักษณะของนิทาน หรืออุปกรณ์ในการเล่านิทาน และ แบ่งนิทานตามยุคสมัย ยุคสมัยเก่า และยุคสมัยใหม่ นิทานแต่ประเภทจะมีความแตกต่างกันไป 2.4 จุดประสงค์ของการเล่านิทาน กุลยา ตันติผลาชีวะ (2541: 11-12) กล่าวว่า การเล่านิทานให้เด็กฟังนั้น มีจุดมุ่งหมาย สำคัญ 3 ประการ ดังนี้ 1. ให้เด็กได้พัฒนาภาษาและความคิด การเล่านิทาน จึงไม่ควรมาจากครูคนเดียว ครูควรให้เด็กเป็นผู้เล่านิทานเองด้วย เพราะการให้เด็กได้เล่านิทานเอง จะช่วยให้เด็กได้แสดงออกถึง ความรู้สึก ขยายความคิดของตนเองให้กระจ่าง และพัฒนาภาษา หากครูเล่าเอง ควรมีการถามตอบโต้ ที่ให้เด็กคิดระหว่างการเล่านิทานด้วย 2. สร้างความรักการอ่านหนังสือให้กับเด็ก เวลาเล่านิทาน เป็นเวลาที่สร้างความ สนใจในการอ่านหนังสือให้กับเด็กมาก ครูควรเตรียมให้พร้อม โดยการอ่านนิทานเล่มที่จะเล่าให้เข้าใจ จำได้เวลาเปิดหนังสือเสมอตาเด็ก ตาครูจับที่เด็ก คอยสังเกต คอยตั้งคำถามเป็นช่วง ๆ เพื่อช่วยให้เด็ก ทบทวนรายละเอียด และตื่นตัวที่จะฟังอยู่เสมอ เวลาเล่านิทานควรจัดเป็นกลุ่มเล็ก ๆ 4 - 5 คน ถ้า ไม่ได้ก็ให้เด็กนั่งเป็นวง เห็นหน้าครูซัดเจน และครูเห็นเด็กทุกคน ถ้าเด็กเพลิดเพลินกับนิทานจาก หนังสือที่ครูเล่าเด็กจะชอบและสนใจที่จะอ่านหนังสือด้วยตนเอง สิ่งนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างนิสัย รักการอ่าน และความรักหนังสือที่ดี 3. สร้างการเรียนรู้อย่างมีความหมายให้กับเด็ก ทั้งทางด้านสังคม อารมณ์ คุณธรรมหรือ แม้แต่การพัฒนาสติปัญญา ก็สามารถใช้นิทานเป็นสื่อของการเรียนรู้ได้ จุดสำคัญที่จะนำไปสู่


31 จุดประสงค์ของการเรียนรู้นั้น นอกจากเนื้อหาของนิทานตรงประเด็นแล้ว บรรยากาศในการเล่า ก็มี ความสำคัญมากผู้เล่าที่ดีต้องสนุกกับการเล่านิทาน และสามารถสื่อสารเรื่องราวให้เด็กเกิดความ กระตือรือร้นที่จะฟังในข ณะเดียวกันต้องหยุดถามเป็นระยะ หรือให้เด็กมีส่วนร่วมในการเล่านิทาน โดยเฉพาะประเด็นที่ต้องการให้เกิดผลตามวัตถุประสงค์ การเล่านิทานอาจเล่าซ้ำได้ ทั้งนี้เพื่อให้เด็กได้ ถ่ายโยงข้อมูลใหม่เปรียบเทียบ เพื่อหาข้อสรุปที่ถูกต้อง ตามหลักเกณฑ์ทฤษฎีของเพียเจท์ ที่ว่าด้วย การคิดเพื่อพัฒนาความรู้ใหม่ จิระประภา บุณยนิตย์ ลออ ชุติกร และ ศรีสมบัติ เทพกาญจนา (2551: 23 - 24) กำหนดจุดมุ่งหมายในการเล่านิทานไว้ ดังนี้ 1. เพื่อสนองความต้องการทางธรรมชาติของเด็ก เพราะโดยธรรมชาติแล้วเด็ก ๆ ชอบฟังนิทาน 2. เพื่อช่วยให้เด็กมีจิตใจเบิกบาน ผ่อนคลายอารมณ์ความเครียด และสร้างเสริม อารมณ์ขันให้กับเด็ก 3. เพื่อเป็นการปกป้อง ส่งเสริมพัฒนาการทางความคิดสร้างสรรค์ และจินตนาการ ของเด็ก 4. เพื่อส่งเสริมพัฒนาการทางด้านภาษาของเด็ก 5. เพื่อช่วยให้เด็กได้เรียนรู้วิชาการต่าง ๆ ที่สอดแทรกอยู่ในนิทานเรื่องนั้นๆ 6. เพื่อช่วยกระตุ้นให้เด็กอยากอ่านหนังสือ 7. เพื่อช่วยให้ผู้ใหญ่และเด็ก มีความใกลัชิดสนิทสนมกัน มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ณัฐวดีศิลากรณ์ (2556: 30) การเล่านิทานมีจุดประสงค์ เพื่อใช้นิทานเป็นสื่อการเรียนรู้ เพื่อช่วยพัฒนาด้านภาษา ด้านความคิด อารมณ์ จิตใจ สร้างสมาธิ ปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรมที่พึ่ง ประสงค์ และส่งเสริมนิสัยรักการอ่าน ศิริรัตน์ ค่อยเกษม (2557: 12) จุดประสงค์ของการเล่านิทาน คือ การที่ผู้เล่านำนิทานมา ใช้เพื่อเป็นสื่อในการเรียนรู้เรื่องราวต่าง ๆ ส่งเสริมพัฒนาการด้านอารมณ์ จิตใจ สร้างสมาธิการใช้ ความคิดรวบยอดสอดแทรกคติสอนใจ และปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรม เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ไม่ พึ่งประสงค์ที่สำคัญ นิทานยังช่วยปลูกฝังนิสัยรักการอ่าน และส่งเสริมมทักษธทางภาษา การจับ ใจความของเนื้อเรื่องที่ได้ฟัง เนื่องจากเด็กปฐมวัยอ่านหนังสือไม่ได้เหมือนผู้ใหญ่ การจับใจความของ เด็กต้องอาศัยการฟังเรื่องราวจากครู ดังนั้นการสอนจับใจความสำหรับเด็กปฐมวัยจึงเหมาะสมที่จะใช้ นิทาน ชนิสรา ใจชัยภูมิ(2558: 13) จุดประสงค์ของการเล่านิทาน คือใช้นิทานเป็นสื่อการ เรียนรู้ สามารถพัฒนาได้ในหลายด้าน ทั้ง ด้านภาษา ด้านความคิด ด้านอารมณ์จิตใจ สร้างเสริม


32 คุณธรรมจริยธรรมให้เกิดในตัวเด็กได้ และยังใช้นิทานในการแก้ไขพฤติกรรมที่ไม่พึ่งประสงค์ของเด็ก ได้ วรัญญา ศรีบัว (2558: 8) การเล่านิทานมีจุดประสงค์ คือ เป็นการสร้างการเรียนรู้ให้กับ เด็ก ทั้งทางด้านสังคม อารมณ์ คุณธรรม หรือแม้แต่การพัฒนาสติปัญญาก็สามารถใช้นิทานเป็นสื่อ ของการเรียนรู้ได้จุดสำคัญที่จะนำไปสู่จุดประสงค์ของการเรียนรู้ นอกจากเนื้อหาของนิทานตรง ประเด็นแล้ว บรรยากาศในการเล่านิทานมีความสำคัญมาก เวลาเล่านิทานควรจัดเป็นกลุ่มเล็ก ๆ 4 – 5 คน ถ้าไม่ได้ก็ให้เด็กนั่งเป็นวงเห็นหน้าครูชัดเจน และครูเห็นเด็กทุกคน ถ้าเด็กรู้สึกเพลิดเพลินกับ นิทานจากหนังสือที่ครูเล่า เด็กจะชอบและสนใจที่จะอ่านหนังสือด้วยตนเอง กล่าวโดยสรุป จุดประสงค์ในการเล่านิทาน การเล่านิทานให้เด็กฟังมีจุดมุ่งหมาย คือ เพื่อให้เด็กได้พัฒนาการทางด้านภาษา ด้านความคิด ด้านจินตนาการ เพื่อช่วยให้เด็กผ่อนคลาย อารมณ์ ลดความเครียด และยังช่วยส่งเสริมให้เด็กมีนิสัยรักการอ่าน และมีปฏิสัมพันธ์กันกับผู้ใหญ่ ใกล้ชิดกับผู้ใหญ่มากขึ้น 2.5 ความสำคัญของนิทานที่มีต่อเด็กปฐมวัย สมใจ พวงมาลี (2549: 29) นิทาน เป็นเครื่องในการเรียนรู้ประสบการณ์และหล่อหลอม รูปแบบในการดำเนินชีวิตให้กับเด็กปฐมวัยได้เป็นอย่างดี เพราะวัยเด็กเป็นวัยที่ต้องการอิสระ อยากรู้ อยากเห็นสิ่งแปลกใหม่ ตื่นเต้น ตามจินตนาการ ช่างคิดช่างเพ้อฝัน นิทานจึงเป็นวิธีการสำคัญที่ สามารถสนองความต้องการของเด็กอย่างเป็นธรรมชาติ คุณค่าของการเล่านิทานให้เด็กปฐมวัยฟังเป็น จุดเริ่มต้นของการเรียนรู้ที่ดี นำสู่พื้นฐานของการศึกษาเรียนรู้ที่ดีในวัยเติบโต อรดี ติระตระกลูเสรี (2549: 9) นิทานมีคุณค่าและความสำคัญต่อเด็กปฐมวัยอย่างมาก นิทานสามารถสนองความต้องการและส่งเสริมพัฒนาการของเด็ก ไม่มีเด็กคนใดไม่ชอบนิทาน เพราะ นิทานเป็นทั้งเพื่อนคู่คิด และเพื่อนเล่น เด็กจะได้รับความสนุกสนาน เพลิดเพลิน บันเทิงใจจากนิทาน การรวมกลุ่มกันฟังนิทาน ทำให้เด็ก เรียนรู้การอยู่ร่วมกันทางสังคม เกิดความอบอุ่นใจการเล่านิทาน ให้เด็กฟังหรือให้เด็กฟังหรือให้เด็กได้อ่านหนังสือนิทานช่วยให้เด็กเกิดกระบวนการคิด เกิดจินตนาการ เสริมสร้างทักษะทางภาษา คุ้นเคยกับตัวหนังสือ รักการอ่าน เรียนรู้คำศัพท์ใหม่ ๆ การให้เด็กได้มีส่วน ร่วมการเล่านิทาน หรือพูดคุย ซักถามช่วยให้เด็กรู้จักคิด และกล้าแสดงออก นอกจากนี้ตัวละครใน นิทานเป็นตัวแบบที่ช่วยหล่อหลอมพฤติกรรมของเด็ก ให้มีคุณธรรม จริยธรรม และเป็นไปตาม คุณลักษณะที่พึ่งประสงค์ นิทานช่วยเสริมสร้างพัฒนาการของเด็กทั้งทางร่างกาย อารมณ์ สังคม และ สติปัญญา พ่อ แม่ ครูและผู้เกี่ยวข้องกับเด็กปฐมวัย จึงมักนำนิทานมาเป็นสื่อในการถ่ายทอด ประสบการณ์และความรู้ ซึ่งเนื้อเรื่องในนิทานสามารถนำไปประยุกต์ใช้ให้เข้ากับชีวิตประจำวันยุกต์ใช้ ให้เข้ากับชีวิตประจำวันได้


33 ธันยาภัทร เบญจบริรักษ์กุล (2551: 53) นิทานมีคุณค่าอย่างยิ่งต่อการเรียนรู้ของเด็ก ปฐมวัยในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านอารมณ์จิตใจ สังคม สติปัญญา และด้านจริยธรรม พรรณทิพา มีสาวงษ์ (2554: 11) นิทานมีคุณค่าและความสำคัญกับเด็กปฐมวัยอย่างมาก นิทานช่วยสร้างเสริมพัฒนาการทางภาษา ความคิดจินตนาการอย่างสร้างสรรค์ ฝึกให้เด็กมีความกล้า ที่จะแสดงออก เกิดให้ความสนุกสนาน มีสมาธิ เป็นผู้รู้จักและมีสัมพันธ์อันดีกับบุคคลรอบข้างเป็น ตัวกระตุ้น ให้เด็กมีคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของสังคม มีพฤติกรรมและเป็นที่ยอมรับอันจะนำมาซึ่ง ความสุขในการดำเนินชีวิต ปนิดา ทองมูล (2555: 11) นิทานมีคุณค่าทำให้เด็กได้รับความสนุกสนานเพลิดเพลิน ช่วยกล่อมเกลาจิตใจให้อ่อนโยน และสร้างความสัมพันธ์อันดีต่อกัน นิทานยังช่วยพัฒนาการทางด้าน ภาษา ความคิด และจินตนารการทำให้เกิดสมาธิ และช่วยแก้ไขพฤติกรรมให้เป็นที่ยอมรับของสังคม ได้อย่างเหมาะสมกับวัย พารีด๊ะ โย๊ะ (2557: 12) นิทานมีความสำคัญสำหรับเด็กปฐมวัย ช่วยพัฒนาการด้าน ร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญหา ให้เหมาะสมกับพัฒนาการ ช่วยพัฒนาการบุคลิกภาพ ของเด็กให้เป็นไปตามตัวแบบของตัวละครที่ดี เด็กมีความเพลิดเพลินเมื่อได้ฟังนิทาน ศิริรัตน์ ค่อยเกษม (2557: 8) นิทานมีความสำคัญกับเด็ก เนื่องจากเมื่อเด็กฟังนิทานทำ ให้เด็กเกิดความสนุกสนานเพลิดเพลิน ผ่อนคลาย สดชื่นแจ่มใส และนิทานสำหรับเด็กนั้น ใช้ภาษาที่ ง่าย เป็นเรื่องใกล้ตัวเด็ก เมื่อเด็กฟังนิทานแล้ว นิทานสามารถช่วยเพิ่มพูนพัฒนาการทางภาษา ความคิด จินตนาการ และคุณธรรมจริยธรรมให้กับเด็กเป็นอย่างดี การเล่านิทานให้เด็กฟัง ยังฝึกให้ เด็กเป็นนักฟังที่ดี สร้างสมาธิใยการฟัง เด็กสามารถจับใจความสำคัญจากเรื่องราวที่ฟัง และสามารถ เรียงลำดับเรื่องราวที่ฟังได้ ชนิสรา ใจชัยภูมิ (2558: 9) การเล่านิทานจะสามารถสร้างเสริมจินตนาการของเด็กได้ใน หลายรูปแบบ สามารถขัดเกลาจิตใจของเด็กได้ และปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรมที่ดีงามให้เกิดในตัวเด็ก การเล่านิทานอาจจะเป็นการเตรียมความพร้อมให้เด็กก็ย่อมได้ วรัญญา ศรีบัว (2558: 7) นิทานมีความสำคัญต่อเด็กปฐมวัย โดยให้ความเพลิดเพลิน สนุกสนานและผ่อนคลายความเครียด สร้างเสริมจินตนาการ ส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม กระชับ ความสัมพันธ์ในครอบครัว สะท้อนให้เห็นสภาพของสังคมในอดีตในหลาย ๆ ด้าน ช่วยพัฒนาเด็กทาง คุณลักษณะชีวิต พัฒนาบุคลิกภาพของเด็ก พัฒนาด้านความรู้และสิปัญญา ทักษะและความสามารถ ทางภาษา สายฝน เล่าเรียนดี (2560: 12) นิทานมีความสำคัญและจำเป็นสำหรับเด็กมาก เพราะ นอกจากจะช่วยให้เด็กเกิดความสนุกสนานเพลิดเพลิน สร้างเสริมพัฒนาการด้านต่าง ๆ ทั้งด้าน


34 ร่างกาย อารมณ์ สังคม-จิตใจ และด้านสติปัญญาแล้ว นิทานยังปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม ช่วยแก้ไข พฤติกรรม ช่วยให้เด็กรู้จักคำมากขึ้น กล่าวโดยสรุป นิทานมีความสำคัญกับเด็กปฐมวัยอย่างมาก นิทานจะสนองความต้องการ ให้กับเด็กและยังส่งเสริมพัฒนาการทางภาษาให้กับเด็ก ทำให้เด็กกล้าพูด กล้าคิด กล้าแสดงออกมาก ขึ้น และการฟังนิทาน จะช่วยให้เด็กได้รับความสนุกสนาน เพลิดเพลิน และยังส่งเสริมนิสัยรักการอ่าน ให้กับเด็ก 2.6 ประโยชน์ของการเล่านิทานที่มีต่อเด็กปฐมวัย อรดี ติระตระกลูเสรี (2549: 9) นิทานมีคุณค่าและความสำคัญต่อเด็กปฐมวัยอย่างมาก นิทานสามารถสนองความต้องการและส่งเสริมพัฒนาการของเด็ก ไม่มีเด็กคนใดไม่ชอบนิทาน เพราะ นิทานเป็นทั้งเพื่อนคู่คิด และเพื่อนเล่น เด็กจะได้รับความสนุกสนาน เพลิดเพลิน บันเทิงใจจากนิทาน การรวมกลุ่มกันฟังนิทาน ทำให้เด็ก เรียนรู้การอยู่ร่วมกันทางสังคม เกิดความอบอุ่นใจการเล่านิทาน ให้เด็กฟังหรือให้เด็กฟังหรือให้เด็กได้อ่านหนังสือนิทานช่วยให้เด็กเกิดกระบวนการคิด เกิดจินตนาการ เสริมสร้างทักษะทางภาษา คุ้นเคยกับตัวหนังสือ รักการอ่าน เรียนรู้คำศัพท์ใหม่ ๆ การให้เด็กได้มีส่วน ร่วมการเล่านิทาน หรือพูดคุย ซักถามช่วยให้เด็กรู้จักคิด และกล้าแสดงออก นอกจากนี้ตัวละครใน นิทานเป็นตัวแบบที่ช่วยหล่อหลอมพฤติกรรมของเด็ก ให้มีคุณธรรม จริยธรรม และเป็นไปตาม คุณลักษณะที่พึ่งประสงค์ นิทานช่วยเสริมสร้างพัฒนาการของเด็กทั้งทางร่างกาย อารมณ์ สังคม และ สติปัญญา พ่อ แม่ ครูและผู้เกี่ยวข้องกับเด็กปฐมวัย จึงมักนำนิทานมาเป็นสื่อในการถ่ายทอด ประสบการณ์และความรู้ ซึ่งเนื้อเรื่องในนิทานสามารถนำไปประยุกต์ใช้ให้เข้ากับชีวิตประจำวะยุกต์ใช้ ให้เข้ากับชีวิตประจำวันได้ ธันยาภัทร เบญจบริรักษ์กุล (2551: 54) นิทานมีประโยชน์ต่อการเรียนรู้ภาษาของ นักเรียนได้เป็นอย่างดี เป็นแหล่งความรู้ทางภาษากระตุ้นให้เกิดการสื่อสารนำไปสู่การพัฒนาทักษะ การฟัง การพูด การอ่านและการเขียน ส่งเสริมกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และมีความคิด สร้างสรรค์ ประภาพิศ ดวงคำจันทร์ (2555: 23-24) การเล่านิทานมีประโยชน์ต่อเด็กปฐมวัยเป็น อย่างมาก นิทานช่วยเสริมสร้างพัฒนาการของเด็กทั้งร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญา พ่อ แม่ ครู ผู้ที่เกี่ยวข้องกับเด็กปฐมวัยจึงมักนำนิทานมาเป็นสื่อในการถ่ายทอดประสบการณ์และความรู้ซึ่ง เนื้อเรื่องนิทานสามารถนำไปประยุกต์ใช้ให้เข้ากับชีวิตประจำวันได้ โดยเฉพาะด้านความคิดและ จินตนาการอันเป็นรากฐานที่จะนำไปสู่ความคิดสร้างสรรค์ ช่วยส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมและช่วย แก้ไขพฤติกรรมที่ไม่พึงปรารถนา ตลอดจนช่วยเสริมสร้างบุคลิกภาพ และกระตุ้นพฤติกรรมที่ต้องการ ให้เด็กได้ประพฤติปฏิบัติให้ดียิ่งขึ้น


35 ชวนพิศ จะรา (2556: 69) นิทานมีประโยชน์ คือ เด็กจะได้พัฒนาการทั้งทางร่ายกาย อารมณ์ จิตใจ และสติปัญญา และได้พัฒนาความสามารถทางภาษาไปพร้อมกันด้วย นอกจากนั้น ช่วยเปลี่ยนทัศนคติที่ไม่ดีให้กับเด็ก ปลูกฝังนิสัยรักการอ่าน สร้างสมาธิ และสร้างความสัมพันธ์ ใกล้ชิด ระหว่างผู้เล่าและผู้ฟัง ณัฐกานต์ เพียรศิลป์(2557: 41-42) การเล่านิทานสามารถสร้างประโยชน์ได้อย่าง มากมายตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งอาจแบ่งประโยชน์ของการเล่านิทานออกเป็น 2 ด้านคือ ด้าน ความสามารถทางภาษา ที่การเล่านิทานสร้างความสามารถในการใช้ภาษาของเด็กให้ดีขึ้นจากการฟัง นิทาน ได้ฝึกคิดตาม และมีการสนทนาโต้ตอบกันจากนิทานที่ได้ฟัง ใช้จินตนาการและเสนอความ คิดเห็นออกมาเป็นคำพูด ซึ่งเป็นการส่งเสริมความสามารถทางภาษาได้เป็นอย่างดี ความสำคัญอีก ด้านหนึ่งคือ ความอบอุ่นทางใจ ที่เด็กได้ฟังนิทานที่ผู้ใหญ่เล่าให้ฟัง มีความใกล้ชิดกัน ได้รับความ บันเทิงใจและการถูกกล่อมเกลาด้วยนิทานที่มีเนื้อหาส่งเสริมคุณธรรมทำให้เด็กมีบุคลิกภาพ พฤติกรรม และการดำเนินชีวิตที่เหมาะสม วรัญญา ศรีบัว (2558: 10) ประโยชน์ของนิทานจะช่วยในการเสริมสร้างพัฒนาการของ เด็กทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญา ทั้งยังช่วยให้เกิดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ช่วยให้ เด็กได้เรียนรู้เกี่ยวกับขนบธรรมเนียมประเพณีของการดำรงชีวิตของบุคคลในสังคม ในด้านของการมี คุณธรรม ความดีงาม ซึ่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่จะซึมซับลงในจิตใจของเด็กแต่ละคน เป็น เครื่องกระตุ้นนำให้เด็กยอมรับพฤติกรรมต่าง ๆ และเป็นตัวแบบในการหล่อหลอมพฤติกรรมและบุคค ลิภาพของเด็ก นอกจากนี้การเล่านิทานยังเป็นพฤติดรรมอย่างหนึ่งที่แสดงออกถึงความรักและความ เอาใจใส่ของผู้ใหญ่ที่มีต่อเด็ก กล่าวโดยสรุป นิทานมีประโยชน์กับเด็กปฐมวัยเป็นอย่างมาก นิทานช่วยส่งเสริม พัฒนาการทางภาษา อีกทั้งพัฒนาการด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคมและสติปัญญา นอกจากนั้น ยังช่วยให้เด็กมีความคิดริเริ่ม เด็กได้ฝึกพัฒนาการพูดและได้โต้ตอบเกี่ยวกับเนื้อหาในนิทาน และยัง ปลูกฝังให้เด็กปฐมวัยมีนิสัยรักการอ่าน 2.7 คุณค่าของนิทานที่มีต่อเด็กปฐมวัย เกริก ยุ้นพันธ์ (2539: 55-56) กล่าวถึงคุณค่าของนิทานไว้ ดังนี้ 1. เด็กเกิดความรู้สึกอบอุ่น หรือเป็นกันเองกับผู้เล่า 2. เด็กเกิดความรู้สึกร่วมในขณะฟัง ทำให้เกิดความเพลิดเพลิน ผ่อนคลาย 3. เด็กมีสมาธิ หรือความตั้งใจที่มีระยะเวลายาวนานขึ้น โดยเฉพาะผู้เล่าที่มี ความสามารถในการดึงดูดให้ผู้ฟัง มีใจจดจ่อกับเรื่องราวที่ผู้เล่าเล่า เรื่องราวที่มีความยาว 4. เด็กจะถูกกล่อมเกลาด้วยนิทาน ที่มีเนื้อหาส่งเสริมคุณธรรมและจริยธรรม ทำให้ ผู้ฟังเข้าใจในความดีและความงามยิ่งขึ้น


36 5. ช่วยให้เด็กสามารถใช้กระบวนการคิด ในการพิจารณาแก้ปัญหาได้ 6. ช่วยให้เด็กมีความละเอียดอ่อน รู้จักการรับและการให้ มองโลกในแง่ดี 7. สร้างความกล้าให้กับเด็ก ในการแสดงออก ผ่านกระบวนการคิดที่มีประสิทธิภาพ 8. เด็กได้ความรู้ที่เป็นประโยชน์ สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้ 9. ช่วยเสริมสร้างจินตนาการที่กว้างไกล ไร้ขอบเขตให้กับเด็ก 10. ช่วยให้เด็กได้รู้จักใช้ภาษาที่ถูกต้อง สมศักดิ์ ปริปุรณะ (2542: 59-62) กล่าวว่า การเล่านิทาน เป็นวิธีการให้ความรู้วิธีหนึ่ง ที่ทำให้เด็กสนใจในการเรียนรู้ สามารถจดจำ กล้าแสดงออก และมีแรงจูงใจที่จะเปิดรับพฤติกรรมที่ พึงปรารถนานอกจากนี้ยังช่วยตอบสนองความต้องการของเด็ก เช่น ความอยากรู้อยากเห็น ความ สัมฤทธิ์ผลความต้องการเป็นที่ยอมรับ เนื้อหาของนิทาน ที่มีความสัมพันธ์กับความต้องการดังกล่าว จะช่วยให้เด็กสมความปรารถนาและมีความสุข กระตือรือร้นที่จะเรียนรู้นิทานจึงมีคุณค่า ดังนี้ 1. เป็นเครื่องมือในการสอน ที่มีประสิทธิภาพในการซักจูงให้ผู้เรียนได้คล้อยตามเป็น ตัวกระตุ้นและแรงจูงใจในตัวผู้เรียน ทั้งยังเป็นการกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ และการแสดงออกซึ่งมี ผลต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม และบุคลิกภาพของผู้เรียน 2. เป็นเครื่องกระตุ้น และโน้มน้าวให้เด็กเปิดใจ ที่จะยอมรับพฤติกรรมด้านต่าง ๆ และ ตอบสนองความต้องการทางธรรมชาติของเด็กด้วย 3. เป็นตัวแทนในการหล่อหลอมพฤติกรรมและบุคลิกภาพของเด็ก ช่วยเสริมสร้าง พัฒนาการของเด็ก ทั้งทางด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคมและสติปัญญา ให้เหมาะสมกับพัฒนาการ ตามวัย ช่วยปรุงแต่งบุคลิกภาพ แก้ไขพฤติกรรมของเด็ก ให้เป็นไปตามตัวแบบในนิทานที่เด็กชื่นชอบ มีสัมพันธ์อันดีกับบุคคลรอบข้าง แปลน ฟอร์ คิดส์ (2551) กล่าวถึงคุณค่าของนิทานไว้ดังนี้ 1. นิทานช่วยสร้างเสริมความผูกพันระหว่างพ่อแม่ ลูก และทุกคนในครอบครัว 2. นิทานช่วยสร้างสมาธิ พัฒนาทักษะการฟัง และการพูด 3. นิทานช่วยปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรม ทัศนคติ และนิสัยที่ดีงามให้แก่เด็ก 4. นิทานช่วยกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ และเสริมสร้างจินตนาการอย่างไร้ขีดจำกัด 5. นิทานเป็นเครื่องมือในการส่งเสริมการเรียนรู้ตามแนว Whole Language นิศารัตน์ ประสานศักดิ์ (2555: 38) การเล่านิทาน มีคุณค่าในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี ระหว่างเด็กและครู ความคิดวิเคราะห์ และจินตนาการอันเป็นรากฐานที่จะนำไปสู่ความคิดสร้างสรรค์ และประสบการณ์ต่าง ๆ นอกจากนี้ยังช่วยเสริมสร้างพัฒนาการทางด้านอารมณ์สังคม จิตใจ ดังนั้น การเล่านิทานจึงเข้ามามีบทบาทสำคัญในหน่วยการสอนต่าง ๆ ตามแผนการจัดประสบการณ์ทั้งในชั้น อนุบาลและเด็กเล็ก ทั้งนี้เพื่อให้การจัดประสบการณ์นั้นบรรลุวัตถุประสงค์


37 ประภาพิศ ดวงคำจันทร์ (2555: 23-24) การเล่านิทานมีคุณค่าต่อเด็กปฐมวัยเป็นอย่าง มาก นิทานช่วยเสริมสร้างพัฒนาการของเด็กทั้งร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญา พ่อ แม่ ครู ผู้ที่ เกี่ยวข้องกับเด็กปฐมวัยจึงมักนำนิทานมาเป็นสื่อในการถ่ายทอดประสบการณ์และความรู้ซึ่งเนื้อเรื่อง นิทานสามารถนำไปประยุกต์ใช้ให้เข้ากับชีวิตประจำวันได้ โดยเฉพาะด้านความคิดและจินตนาการอัน เป็นรากฐานที่จะนำไปสู่ความคิดสร้างสรรค์ ช่วยส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมและช่วยแก้ไขพฤติกรรมที่ ไม่พึงปรารถนา ตลอดจนช่วยเสริมสร้างบุคลิกภาพ และกระตุ้นพฤติกรรมที่ต้องการให้เด็กได้ประพฤติ ปฏิบัติให้ดียิ่งขึ้น ชวนพิศ จะรา (2556: 69) นิทานมีคุณค่า คือ เด็กจะได้พัฒนาการทั้งทางร่ายกาย อารมณ์ จิตใจ และสติปัญญา และได้พัฒนาความสามารถทางภาษาไปพร้อมกันด้วย นอกจากนั้น ช่วยเปลี่ยนทัศนคติที่ไม่ดีให้กับเด็ก ปลูกฝังนิสัยรักการอ่าน สร้างสมาธิ และสร้างความสัมพันธ์ ใกล้ชิด ระหว่างผู้เล่าและผู้ฟัง ณัฐวดี ศิลากรณ์ (2556: 32) นิทานเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการจัดกิจกรรมการ เรียนการสอน ให้คุณค่าในด้านการฝึกทักษะทางภาษา สร้างกระบวนการคิด ช่วยปรับเปลี่ยนทัศนคติ ที่ไม่ดี สร้างสมาธิ และผ่อนคลายอารมณ์ เบญญา เจริญเฉลิมศักดิ์ (2557: 11) นิทานช่วยเสริมสร้างอารมณ์ จิตใจเด็กให้เกิดความ สนุกสนาน เพลิดเพลิน ให้แนวทางในการแก้ไขพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์รวามถึงการพัฒนาในด้าน สติปัญญาที่เกี่ยวกับการให้ข้อคิด คติเตือนใจ ภาษา การใช้จินตนาการ วามคิดสร้างสรรค์และทักษะ คณิตศาสตร์ กล่าวโดยสรุป คุณค่าของนิทาน คือ นิทานช่วยปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม และนิสัยที่ดี งามให้กับเด็ก และเป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี ระหว่างเด็กและครู หรือพ่อแม่ หรือผู้เล่านิทานกับ ผู้ฟังนิทาน นิทานยังช่วยเสริมสร้างอารมณ์ จิตใจให้กับเด็ก ทำให้เด็กเกิดความสนุกสนาน เพลิดเพลิน 2.8 หลักในการเลือกนิทาน พัชรี วาศวิท (2537: 63) ให้แนวทางในการเลือกเรื่องที่จะนำมาเล่า ให้เหมาะสมกับเด็ก นักเรียนที่คล้ายคลึงกันไว้ ดังนี้ 1. เป็นเรื่องสั้นง่าย แต่มีใจความสมบูรณ์ โดยปกติจะมีความยาวประมาณ 15 - 20 นาทีมีการดำเนินเรื่องได้อย่างรวดเร็ว เน้นเหตุการณ์เดียว ให้นักเรียนพอคาดคะเนเชื่อได้บ้าง อาจ สอดแทรกเกร็ดที่ชวนให้เด็กสงสัยว่าอะไรเกิดขึ้นต่อไป เพื่อทำให้เรื่องมีสชาติน่าตื่นเต้น 2. เป็นเรื่องที่เด็กให้ความสนใจ อาจเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับชีวิตเด็กๆ ครอบครัว สัตว์ หรือเรื่องที่เด็กจินตนาการตามได้ 3. เป็นเรื่องที่มีบทสนทนามากๆ เพราะเด็กส่วนมาก ไม่สามารถฟังเรื่องราวที่เป็น


38 ความเรียงได้ดีพอ และภาษาที่ใช้ต้องสละสลวย ไม่ควรใช้คำศัพท์แสลง (slang) ควรใช้ภาษาง่ายๆ ประโยคสั้น ๆ มีการกล่าวซ้ำ คำสัมผัส ซึ่งจะช่วยให้นักเรียนจดจำเรื่องได้ง่ายและรวดเร็ว 4. เป็นเรื่องที่มีตัวละครน้อย ซึ่งประกอบด้วยตัวละครเอกและตัวประกอบ และชื่อ ของตัวละครเป็นชื่อง่าย ๆ ควรเน้นให้เห็นลักษณะเด่นของตัวละครแต่ละตัว เพื่อเด็กจะได้เข้าใจ ความหมายได้ 5. เป็นเนื้อเรื่องที่จบง่าย ๆ และน่าพึงพอใจ เมื่อเด็กฟังเรื่องเล่าจบ เด็กควรมี ความสุขหรือถ้ามีความทุกข์ ก็ต้องมีคติสอนใจด้วย ซึ่งเนื้อเรื่องควรสอดแทรกคติธรรมสอนใจ และ ส่งเสริมให้เด็กมีลักษณะนิสัยที่ดีงาม เกริก นพันธ์ (2539: 59) กล่าวถึง การเลือกนิทานสำหรับเด็กว่า ผู้เล่านิทานจำเป็นต้องมี ความรู้ความเข้าใจ ประสบการณ์ และความสามารถที่จะแยกแยะ เลือกนิทานให้เหมาะสมกับความ สนใจและความต้องการของเด็ก นิทานสำหรับเด็กควรมีตัวเดินเรื่อง หรือตัวเอกที่เป็นสัตว์พูดได้ เป็น นิทานที่เปี่ยมด้วยคุณค่าทางเนื้อหา ได้อรรถรส รูปแบบการใช้ถ้อยคำ สำนวนภาษา ความคิด สร้างสรรค์ ส่งเสริมคุณภาพ ยกระดับสติปัญญา และจิตใจในทางที่ดี นอกจากนี้ผู้เล่ายังมีส่วนอย่าง มากในการนำเสนอให้นิทานเรื่องนั้น ๆ มีความสนุกสนาน เหมาะสมกับวัยของเด็ก มีแง่มุม มีชั้นเชิง และเห็นรายละเอียดที่จะเล่าให้เด็กฟัง ไม่ว่าจะเล่านิทานปากเปล่า นิทานวาดไปเล่าไป และลีลาการ เล่า จะต้องส่งผลให้เด็กๆเห็นภาพ และเกิดความสนุกสนานประทับใจ สมใจ บุญอุรพีภิญโญ (2539: 7-8) กล่าวว่า การเลือกนิทานที่จะนำมาเล่าให้เด็กฟัง ควรคำนึงถึงอายุ และความสนใจของเด็ก นิทานที่เหมาะสมกับเด็ก ควรมีภาพประกอบที่ชัดเจน สีสัน สวยงาม และเสนอภาพที่สะท้อนความคิดของเด็กในทางที่ดีงาม กระตุ้นจินตนาการ และตอบสนองให้ เด็กได้แสดงท่าทางประกอบนิทาน รับรู้และเข้าใจความรู้สึกของเด็ก ให้ความเห็นอกเห็นใจ เป็นเรื่อง ที่มีสัตว์พูดได้ ใช้ภาษาที่ง่ายน่าฟัง สมใจ พวงมาลี (2549: 40) หลักเกณฑ์และแนวคิดในการเลือกนิทาน จะเห็นว่าการ คัดเลือกนิทานที่ดีสำหรับเด็กเป็นสิ่งสำคัญต้องเลือกให้เหมาะสม เลือกเนื้อเรื่องที่สอดคล้องกับความ สนใจและพัฒนาการตามวัยของเด็กเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เด็กจึงจะได้รับประโยชน์จากนิทานอย่าง แท้จริง ในทางตรงกันข้าม หากนิทานที่นำไปใช้กับเด็กไม่ได้รับการคัดเลือกโอกาสที่เด็กจะได้รับสื่อ ทางภาษาที่ไม่เหมาะสมก็จะมีมากขึ้นด้วย ซึ่งไม่อาจจะคาดคะเนได้เลยว่า นิทานไม่เหมาะสมนั้น จะ สร้างผลในทางไม่ดีให้กับเด็กได้สักเพียงใด อรดี ติระตระกลูเสรี (2549: 20) วิธีการเลือกนิทานสำหรับเด็กปฐมวัยนั้น ต้องเลือก นิทานที่ตอบสนองความต้องการและความสนใจของเด็กเป็นสิ่งที่สำคัญ โดยเลือกนิทานที่มีเนื้อหา เกี่ยวกับตัวเด็ก หรือเรื่องที่เกี่ยวกับธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมรอบตัวเด็ก เป็นต้น ซึ่งเนื้อเรื่องของนิทาน


39 ต้องไม่ยาวเกินไป มีจุดเด่นของเรื่องเพียงจุดเดียว มีตัวละครน้อย ใช้ภาษาเข้าใจง่าย มีคำซ้ำ ๆ หรือ คำคล้องจอง สอดแทรกคุณธรรม จริยธรรม ตลอดจนส่งเสริมความคิดและจินตนาการ จิระประภา บุณยนิตย์ ลออ ชุติ กร และ ศรีสมบัติ เทพกาญจนา (2551: 59-60) กำหนดหลักเกณฑ์ที่ควรยึดถือในการเลือกนิทานสำหรับเด็ก ดังนี้ 1. เรื่องง่าย มีโครงเรื่องและการดำเนินเรื่องดี เด็กสามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้ สมควร 2. ควรมีบทสนทนามาก ๆ 3. มีการใช้คำซ้ำ ๆ คำคล้องจอง คำที่น่าสนใจ ที่เด็กจำได้ง่ายและรวดเร็ว 4. มีการกลั่นกรองภาษาที่ใช้เป็นอย่างดี และมีชีวิตชีวา 5. เหตุการณ์ในเรื่อง ต้องเป็นเหตุการณ์ที่เด็กคุ้นเคย 6. เนื้อเรื่องเป็นเรื่องที่เข้าใจง่าย และจบลงอย่างน่าพอใจ 7. ไม่ควรมีตัวละครที่สำคัญมาก เพราะจะทำให้เด็กสับสนได้ 8. ความยาวของเรื่อง ต้องเหมาะสมกับวัยของเด็ก ธันยาภัทร เบญจบริรักษ์กุล (2551: 57) หลักการเลือกนิทาน ผู้สอนควรเลือกนิทานให้ เหมาะสมกับวัย ความสนใจและระดับความสามารถทางภาษาของผู้เรียน เนื้อหาน่าสนใจ ไม่สั้นหรือ ยาวเกินไป ภาษาและโครงเรื่องไม่ซับซ้อน สอดแทรกคุณธรรมจริยธรรม มีความสอดคล้องระหว่าง เนื้อหา และจุดประสงค์การเรียนรู้ ปนิดา ทองมูล (2555: 16) หลักเกณฑ์ในการเลือกนิทานให้เหมาะสมกับเด็กที่จะฟัง เรื่องราวสิ่งสำคัญที่ผู้เล่าควรคำนึงถึงเด็กว่ามีความสนใจตามระดับอายุและเพศชอบฟังนิทานประเภท ใด ความยาวของเนื้อเรื่องระยะเวลาเหมาะสมกับช่วงความสนใจของเด็ก ใช้ภาษาสั้น ๆ ง่าย ๆ และ สอดแทรกขอคิดคุณธรรมเพียงใด เนื้อหาสาระดูว่าเหมาะสม มีรูปภาพประกอบ มีสีสดใส ขนาด เหมาะสมกับเด็ก ณัฐวดี ศิลากรณ์ (2556: 34) นิทานที่จะนำมาเล่าให้เด็กฟัง ควรเป็นนิทานที่เหมาะสม กับวัยและความสนใจของเด็ก มีเนื้อหาที่สนุกสนาน มีภาพประกอบที่ชัดเจน สีสันสวยงามเป็นเรื่องที่ อยู่ใกล้ตัวเด็ก มีตัวละครไม่มาก ใช้คำศัพท์ง่าย ตัวละครมีลักษณะเด่น เพื่อให้เด็กสามารถเห็นและ จดจำได้ง่าย มีเนื้อหาที่สร้างสรรค์ ส่งเสริมพัฒนาการ และการเรียนรู้ของเด็ก เบญญา เจริญเฉลิมศักดิ์ (2557: 18) หลักเกณฑ์ในการเลือกนิทานให้เหมาะสมกับเด็กสิ่ง ที่สำคัญที่ผู้เล่าควรคำนึงถึงต้องพิจารณาว่าเด็กมีความมสนใจ ชอบฟังนิทานประเภทใด รูปเล่ม ลักษณะกะทัดรัดไม่เล็กและใหญ่เกินไป ใช้เป็นภาษาสั้น ๆ ง่าย ๆ สอดแทรกข้อคิดคุณธรรม เนื้อหา สาระดูว่าเหมาะสม มีรูปภาพประกอบ สีสันสดใส ขนาดเหมาะสมกับเด็ก


Click to View FlipBook Version