The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

การเปรียบเทียบความสามารถทางการพูดของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมเล่านิทานประกอบหุ่น

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ii_iiceeeee, 2024-02-01 07:11:02

การเปรียบเทียบความสามารถทางการพูดของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมเล่านิทานประกอบหุ่น

การเปรียบเทียบความสามารถทางการพูดของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมเล่านิทานประกอบหุ่น

40 ชวนพิศ จะรา (2556 66) หลักการเลือกนิทานควรคำนึงถึงเนื้อเรื่องและภาษาที่ใช้ ควร เหมาะสมกับวัย อายุ พัฒนาการของเด็ก และความสนใจของเด็ก ควรเป็นเรื่องสั้น ๆ ใช้เวลาในการ เล่าไม่เกิน 15 นาที มีความสนุกสนาน น่าติดตาม ณัฐกานต์เพียรศิลป์ (2557: 42-43) การเลือกนิทานสำหรับเด็กปฐมวัย จะต้องคำนึงถึง วัยของเด็กเป็นสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของจุดมุ่งหมายที่จะต้องพิจารณาว่าต้องการสอนเรื่องอะไร ผู้ฟังนิทานเป็นใคร อายุเท่าไหร่ นิทานที่เล่าเนื้อเรื่องเป็นอย่างไร มีความเหมาะสมกับวัยเด็กหรือไม่ นิทานที่จะเล่ามีความเหมาะสมกับโอกาสที่จะเล่าหรือไม่ โครงเรื่องควรน่าสนใจกับวัยของเด็ก เพราะ จะช่วยในการเพิ่มความสนุกสนานให้กับเด็ก การจะเล่านิทานครูควรเป็นผู้เลือกนิทานด้วยตนเอง เพราะครูเป็นผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับเด็กมากที่สุด และมีความเข้าใจในธรรมชาติของเด็กที่ตนเองสอน เพื่อให้ การเล่านิทานบรรลุจุดมุ่งหมาย ศิริรัตน์ ค่อยเกษม (2557: 19) การเลือกนิทานสำหรับเด็กปฐมวัย มีดังนี้ 1. เนื้อหาที่ใช้ควรเหมาะสมกับวัย อายุ พัฒนาการเด็กปฐมวัย 2. เป็นเรื่องที่สั้น ๆ ใช้ภาษาง่าย ๆ 3. ตัวละครน้อย มีทั้งคนและสัตว์สามารถพูดจาสื่อสารกันได้ 4. ใช้เวลาเล่าไม่เกิน 15 นาที 5. การดำเนินเรื่องสนุกสนาน น่าติดตามเป็นเรื่องใกล้ตัวเด็ก วราภรณ์พิมราช (2558: 29) การเลือกนิทานที่จะนำมาเล่าให้เด็กฟัง ควรเน้นที่เนื้อเรื่อง ของนิทานต้องมีเนื้อหาที่เข้าใจง่าย ใกล้ตัวเด็ก ตัวละครมีไม่มากนัก แต่มีลักษณะเด่น เด็กจดจำได้ง่าย การดำเนินเรื่องควรเน้นที่บทสนทนามากกว่าความเรียง ควรเป็นนิทานที่เหมาะสมกับวัย ความสนใจ ความต้องการของเด็ก เน้นที่ความเพลิดเพลินสนุกสนาน ถ้ามีคำซ้ำ ๆ ประโยคซ้ำ ๆ ก็จะเป็นที่สนใจ ของเด็กมากยิ่งขึ้น หนังสือที่มีภาพประกอบชัดเจน มีสีสันสวยงามจะเป็นที่ชื่นชอบของเด็กได้อย่างดี เนื้อหาในนิทานต้องคำนึงถึงจิตใจของเด็กเป็นสำคัญ การใช้ภาษาต้องสละสลวย ถูกหลักไวยากรณ์ เข้าใจง่าย การดำเนินเรื่องอาจเป็นการนำเสนอด้วยภาษาพูดอย่างเดียว หรือใช้ภาษาท่าทาง จะช่วย ให้การเล่ามีประสิทธิภาพและมีความหมายตรงกับจุดประสงค์ของผู้เล่ามากขึ้น และที่สำคัญควรสรุป เรื่องที่แฝงคติธรรมในขั้นสุดท้ายของการเล่านิทานทุกครั้ง วรัญญา ศรีบัว (2558: 51) หลักในการเลือกนิทานที่จะมาเล่าให้เด็กฟัง ควรพิจารณาถึง ความเหมาสมของเนื้อหา ระข้อคิดและคุณธรรมจริยธรรมจากนิทาน ภาษาที่ใช้ ขนาดรูปเล่มนิทาน รูปภาพประกอบ ตัวละคร ความยาวของนิทาน วัยของเด็กและความสนใจของเด็กด้วย ควรเล่านิทาน ที่เหมาะสมกับวัยและความสนใจของเด็กเนื้อเรื่องที่เล่าต้องเข้าใจสนุกสนานถ้ามีคำซ้ำ ๆประโยคซ้ำ ๆ ก็จะเป็นที่สนใจ สนุกสนาน ถ้ามีคำซ้ำ ๆ ก็จะเป็นที่สนใจของเด็กมาก ถ้าเป็นหนังสือควรมี


41 ภาพประกอบชัดเจน มีบทบาทสนทนามากว่าความเรียง เนื้อหาของเรื่องมีคุณค่า สร้างสรรค์ ส่งเสริม สติปัญญาและจิตใจ สายฝน เล่าเรียนดี (2560: 16) การเลือกนิทานสำหรับเด็กควรเลือกนิทานที่เหมาะสม กับวัย ความพร้อมของเด็กแต่ละช่วงวัย ต้องสนองความต้องการพื้นฐานของเด็ก เนื้อเรื่องช่วยกระตุ้น จินตนาการของเด็กโดยเฉพาะ 4-6 ขวบ เป็นช่วงที่เด็กให้ความสนใจสิ่งต่าง ๆ รอบตัวและชื่นชอบ นิทานที่เนื้อเรื่องสนุกสนาน ไม้สั้นและไม่ยาวจนเกินไป โดยเนื้อเรื่องอาจสอดแทรกคุณธรรม จริยธรรม เพื่อการปลูกฝังสิ่งที่ดีให้แก่เด็ก กล่าวโดยสรุป หลักในการเลือกนิทานให้กับเด็ก ควรคำนึงถึงอายุของเด็ก ความ เหมาะสมกับวัยของเด็ก หรือเป็นเรื่องที่เด็กสนใจ ควรเป็นนิทานที่มีภาพประกอบที่ชัดเจน สีสัน สวยงาม เนื้อเรื่องควรเป็นเรื่องง่าย ๆ เนื้อหาไม่ซับซ้อน ใช้ภาษาสั้น ๆ คำซ้ำ ๆ เข้าใจง่าย จะช่วยให้ เด็กจดจำเนื้อหาได้ง่าย และให้ความสนใจ 2.9 เทคนิคการเล่านิทานสำหรับเด็กปฐมวัย ครุรักษ์ ภิรมย์รักษ์ (2540: 45-46) กล่าวว่า ในการเล่านิทาน สิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง คือ การสร้างความประทับใจให้แก่ผู้ฟัง จุดเริ่มต้นอยู่ที่การเตรียมให้พร้อม ซ้อมให้ดีของผู้เล่า ผู้ที่จะเล่า จะต้อง หาจุดสำคัญของเรื่องให้ครบ และสรุปให้ได้ใจความสำคัญดังนี้ ประโยคแรกที่ใช้ในการเริ่ม เรื่อง ควรหาถ้อยคำที่ฟังดูแล้วน่าตื่นเต้น จูงใจให้ติดตามเรื่องต่อไป คอยสังเกตว่าผู้ฟังยังให้ความ สนใจกับบทบาท ลีลาการเล่าอยู่หรือไม่ถ้ารู้สึกว่ากำลังสูญเสียความสนใจ ควรเปลี่ยนบรรยากาศด้วย การหยุดพัก แล้ว ถามปัญหาอะไรเอ่ย ปัญหาเชาวน์ หรือปัญหาาสนุกๆ การจบเรื่องประโยคสุดท้าย จะปิดเรื่องต้องมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าประโยคแรกที่เริ่มเรื่อง ผู้เล่าจะต้องคิดและเตรียมไว้ ก่อนว่า จะปิดเรื่อง ด้วยประโยคใดจึงจะเป็นการสรุปจบที่จับใจผู้ฟัง โดยทั่วไปมักปิดการเล่านิทาน ด้วยถ้อยคำที่กินใจ ให้ข้อคิด หรือทิ้งท้ายไว้ให้คิด กิจกรรมหลังการเล่านิทานเป็นสิ่งที่ไม่ควรละเลย หลังจากที่เล่านิทานจบ ควรมีคำถามเกี่ยวกับนิทานที่นำมาเล่าให้เด็กตอบ ซึ่งอาจเป็นคำถามที่ เกี่ยวกับชื่อตัวละครที่สำคัญ เหตุการณ์ที่สำคัญ กุลยา ตันติผลาชีวะ (2541: 16-17) กล่าวถึง การเล่านิทาน ที่มีขั้นตอนการดำเนินการ เป็นลำดับในแต่ละขั้นตอนของการเล่า ต้องมีการจัดเตรียมให้เหมาะสม จึงจะทำให้การเล่านิทานมี ความหมาย ประทับใจแก่ผู้ฟัง แม้ว่านิทานจะเป็นสิ่งที่เด็กชอบ และพร้อมที่จะฟังอยู่เสมอก็ตาม นิทานทุกเรื่องกับ การเล่าทุกครั้ง ไม่สามารถตรึงใจให้เด็กอยู่กับที่ได้ตั้งแต่ต้นจนจบ เว้นแต่ กระบวนการเล่านั้น จะมีขั้นตอน การเตรียมการที่ดี นอกจากจะทำให้นิทานดำเนินไปสู่วัตถุประสงค์ที่ ผู้เล่าต้องการแล้ว ต้องทำให้เด็ก เพลิดเพลินกับนิทานที่เล่าด้วย ในการเตรียมการเพื่อการเล่า ครูเป็น ผู้เล่า ครูต้องจัดเตรียมเนื้อหานิทาน ก่อน ถ้าเป็นนิทานที่มาจากหนังสือนิทาน ครูควรต้องอ่านให้ เข้าใจ จำเนื้อเรื่องให้ได้เมื่อนำไปเล่าประกอบภาพในหนังสือ จะได้พูดความต่อเนื่องเป็นเรื่องราว มี


42 การหยุดพัก ถามตอบ จะทำให้เข้าใจง่าย ไม่ลืม การเตรียมเด็กสำหรับฟังนิทาน ที่นั่งของครูและเด็ก จะต้องใกล้ชิดกัน ครูอาจนั่งสูงกว่าเด็กเล็กน้อย เพื่อ ให้สามารถแสดงภาพในหนังสือ หรือภาพอื่นๆ ในระดับสายตาเด็ก ขณะเล่าครูควรจัดเด็กเป็นกลุ่มเล็กๆ ถ้าเป็นกลุ่มใหญ่ให้นั่งล้อมวงครู ดูรูเริ่ม กิจกรรมเตรียมเด็กด้วยการให้เด็กร้องเพลง ดูภาพ หรือกล่าว คำจูงใจ เพื่อให้เด็กมีอารมณ์พร้อมที่จะ ฟัง เมื่อพร้อมแล้ว จึงเริ่มดันด้วยการเล่านิทาน การดำเนินเรื่อง อาจเป็นการนำเสนอด้วยภาษาพูด อย่างเดียว หรือใช้ภาษาท่าทาง หรือใช้สื่อประกอบต่าง ๆ ทั้งแถบบันทึกเสียง และภาพประกอบ ผู้ เล่าต้องใช้ภาษาที่เด็กเข้าใจง่าย ถูกหลักไวยากรณ์ การสนทนาอาจใช้ภาษาถิ่น หรือ ใช้คำคุ้นที่เด็ก เคยชิน จะช่วยให้การเล่ามีประสิทธิภาพ และมีความหมายตรงกับจุดประสงค์ของผู้เล่า มากขึ้น การ สรุปเรื่องขั้นตอนสุดท้ายของการเล่านิทานทุกครั้ง ควรมีการสรุปเรื่อง ด้วยคำถามเกี่ยวกับ ประเด็น สาระสำคัญของเรื่องลักษณะของตัวแสดงในเรื่อง ความรู้และคำสั่งสอนที่ได้จากเรื่อง เพื่อให้เด็กได้ คิดทบทวน และเก็บข้อความรู้จากนิทาน เป็นการย้ำเตือน ทำให้เด็กจดจำเรื่องราวได้ดี สมใจ พวงมาลี(2549: 38) การเล่านิทานจะประสบความสำเร็จตามจุดประสงค์ที่วางไว้ หรือไม่นั้น การเล่านิทานนอกจากต้องใช้เนื้อเรื่องที่ดี เหมาะสมกับวัยของผู้ฟังแล้ว การใช้เทคนิคใน การเล่านิทานอย่างถูกต้องเหมาะสมที่เป็นศิลปะที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งที่จะช่วยทำให้นิทานนั้น สนุกสนานและดึงดูดความสนใจให้เด็กเกิดความประทับใจได้มากขึ้น ดังนั้นในการจัดกิจกรรมการเล่า นิทานสำหรับเด็ก ครูควรศึกษาหลักการต่างๆ และเทคนิควิธีในการเล่านิทานให้เข้าใจ เพื่อนำไปใช้ใน การเล่านิทานให้เกิดประโยชน์กับเด็กมากที่สุด อรดี ติระตระกลูเสรี (2549: 23) เทคนิคและวิธีการเล่านิทานถือได้ว่าเป็นปัจจัยสำคัญ ประการหนึ่ง ที่ส่งผลให้การเล่านิทานนั้นประสบความสำเร็จ ซึ่งผู้เล่าต้องอาศัยทักษะในการเล่า การ ฝึกซ้อม ตลอดจนวิธีการคัดเลือกนิทานและสื่อที่นำมาเล่าให้สอดคล้องกัน รวมทั้งเหมาะสมกับผู้ฟัง จิระประภา บุณยนิตย์ ลออ ชุติกร และ ศรีสมบัติ เทพกาญจนา (2551: 53 - 58) กล่าวถึงศิลปะการเล่านิทานพอสรุปได้ ดังนี้ 1. เสียงของผู้เล่า ผู้เล่าต้องใช้เสียงตัวเอง ให้ได้ความหมายตามจุดประสงค์ เสียง ชัดเจน ระดับเสียง และจังหวะเหมาะสมตามท้องเรื่อง 2. ท่าทางของผู้เล่า การทำท่าทางเป็นสิ่งที่จำเป็น แต่ควรทำเพียงเล็กน้อย เพียง เพื่อให้เด็กเกิดมโนภาพ ไม่ควรเป็นการแสดงที่จริงจัง 3. จังหวะการพูด จะพูดช้าหรือเร็ว ขึ้นอยู่กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเรื่องที่เล่า จังหวะ การพูด จะทำให้นิทานน่าสนใจ ช่องว่างระหว่างการพูด ทำให้เด็กใจจดใจจ่อว่า ต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น 4. การเตรียมตัวล่วงหน้าของผู้เล่า เพื่อให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า เรื่องจะดำเนินไป อย่างไร ผู้เล่าควรจำเนื้อเรื่องในนิทานให้ได้ 5. การใช้สายตาทอดไปที่เด็ก เพื่อจะได้เห็นถึงความรู้สึกของผู้เล่า ที่ฉายออกมา


43 ทางดวงตา เวลาฟังนิทาน สายตาเด็กจะจับจ้องอยู่ที่ผู้เล่า 6. การใช้คำถาม ถามเด็กขณะเล่า เพื่อเป็นการดึงความสนใจของเด็ก หลังจากที่ เล่านิทานไปได้ระยะหนึ่ง 7. ใช้สื่อประกอบการเล่านิทาน อาจเป็นการวาดภาพ ใช้ภาพประกอบ ใช้หุ่น หรือ ตุ๊กตาประกอบ จะทำให้บรรยากาศในการเล่านิทาน สนุกสนานน่าสนใจยิ่งขึ้น เบญญา เจริญเฉลิมศักดิ์ (2557: 16) เทคนิคการเล่านิทานมีมากมายหลายรูปแบบทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับครูผู้ดำเนินการเล่า จะเลือกวิธีการใดให้เหมาะสมกับเด็ก พารีด๊ะ โย๊ะ (2557: 26) เทคนิคการเล่านิทานนั้นเป็นศิลปะอย่างหนึ่งที่ผู้เล่าต้องอาศัย ประสบการณ์และการฝึกฝนบ่อย ๆ การเล่านิทานต้องทำให้มีชีวิตชีวาสนุกสนาน มีน้ำเสียงและ ท่าทางประกอบที่เหมาะสมไม่มากหรือน้อยเกินไป มีกระบวนการเล่าที่ดี การเริ่มเข้าสู่การเล่านิทาน และการสรุปเลือกใช้สื่อที่เหมาะสมกับนิทาน สอดคล้องกับเนื้อเรื่องที่เล่าและมีสีสันที่น่าสนใจ ศิริรัตน์ ค่อยเกษม (2557: 24) เทคนิคการเล่านิทานนั้นเป็นศิลปะอย่างหนึ่งที่ต้องอาศัย ประสบการณ์ ฝึกฝนให้มีทั้งน้ำเสียง ลีลาท่าทาง และการนำสื่ออุปกรณ์ประกอบในการเล่า อาจจะ เป็นการวาดใช้ภาพประกอบ ใช้หุ่น ตุ๊กตาประกอบ หรือหนังสือนิทาน โดยมีจุดประสงค์เพื่อถ่ายทอด ให้เกิดความเข้าใจในเนื้อหาของนิทาน และช่วยดึงดูดความสนใจของผู้ฟังให้สามารถฟังนิทานจนจบ เรื่องได้ วราภรณ์ พิมราช (2558: 36) เทคนิคการเล่านิทานทำให้การเล่านิทานน่าสนใจ ช่วยให้ เด็กได้สนุกสนานกับเนื้อหานิทาน ในการเล่าผู้เล่าต้องเตรียมตัวให้พร้อมก่อนเล่า ใช้น้ำเสียงท่าทาง ใช้ ภาษาที่เด็กเข้าใจง่าย พูดให้ชัดเจน และเลือกเรื่องที่เหมาะสมกับวัยและความสนใจของเด็ก มีการ เสริมแรงและการกระตุ้นคำถาม ใช้คำถามให้เด็กแสดงความคิดเห็น และเปลี่ยนความคิดเห็นร่วมกับ ครูและเพื่อนเกี่ยวกับเนื้อเรื่องหรือตัวละครในเรื่องและเปิดโอกาสให้เด็กได้พูและแสดงความคิดเห็น วรัญญา ศรีบัว (2558: 60) มีขั้นตอนการดำเนินการเป็นลำดับขั้นตอนของการเล่าต้องมี การจัดเตรียมให้เหมาะสมจึงจะทำให้การเล่านิทานมีความหมายประทับใจผู้ฟังแม้ว่านิทานจะเป็นสิ่งที่ เด็กชอบและพร้อมที่จะฟังอยู่เสมอก็ตามนิทานทุกเรื่องกับการเล่าทุกครั้งไม่สามารถดึงให้เด็กอยู่กับที่ ได้ตั้งแต่ต้นจนจบเว้นแต่กระบวนการการเล่านั้นจะมีขั้นตอนการเตรียมการที่นอกจากจะทำให้นิทาน ดำเนินไปสู่จุดประสงค์ของผู้เล่าที่ต้องการแล้วต้องทำให้เด็กเพลิดเพลินกับการฟังนิทานด้วยขณะเล่า ควรจัดเด็กเป็นกลุ่มเล็ก ๆ ถ้าเป็นกลุ่มใหญ่ให้ นั่งล้อมวงครู แล้วครูเริ่มกิจกรรมเตรียมเด็กด้วยการร้อง เพลงดูภาพหรือกล่าวคำจูงใจเพื่อให้เด็กมีอารมณ์พร้อมที่จะฟัง ขณะเล่าอาจให้เด็กมีส่วนร่วมในการ เล่านิทานด้วยก็ได้ เพื่อให้เด็กได้คิดทบทวนและเก็บข้อความรู้จากนิทานเป็นการย้ำเตือนทำให้เด็ก จดจำเรื่องราวได้ดี หลังจากครูเล่านิทานจบ ควรซักถามเด็กเกี่ยวกับเรื่องในนิทาน เพื่อจะได้ทราบว่า เด็กฟัง เข้าใจหรือไม่ เปิดโอกาสให้เด็กแสดงร่วมด้วย เช่น การให้เด็กเล่าซ้ำหรือเล่าเรื่องอื่น ๆ ให้


44 เพื่อนฟัง พร้อมกับ แสดงบทบาทอย่างตัวละครในนิทานพยายามนำเรื่องนิทานที่เล่าไปแล้วมาใช้ให้ เกิดประโยชน์ในการสอนภาษา สอนเลข และวิชาอื่น ๆ ให้มากที่สุด สายฝน เล่าเรียนดี (2560: 22) การจะเล่านิทานให้สนุกนั้น ผู้เล่าจะต้องมีเทคนิคในการ เล่าเพื่อให้นิทานนั้นน่าสนใจ ผู้เล่าควรมีการเตรียมตัวให้พร้อมไม่ว่าจะเป็นการใช้คำ การใช้น้ำเสียงใน การเล่า และการใช้สื่อประกอบการเล่า กล่าวโดยสรุป เทคนิคในการเล่านิทาน เริ่มแรกผู้เล่าควรเตรียมเนื้อหานิทาน อุปกรณ์ใน การเล่านิทานให้พร้อม และซ้อมการเล่านิทานให้เรียบร้อย และในขณะที่เล่านิทานควรใช้น้ำเสียงที่ ชัดเจน มีท่าทางการเล่าเล็กน้อย และจังหวะในการพูด พูดให้น่าสนใจ มีจังหวะ และในขณธที่เล่า ควรใช้คำถาม ถามเด็ก เพื่อดึงดูดความสนใจของเด็ก เพื่อให้เด็กได้มีส่วนร่วมในการฟังนิทาน 2.10 รูปแบบการเล่านิทาน เกริก นพันธ์ (2539: 36 - 55) กล่าวถึง รูปแบบของการเล่านิทานไว้ ดังนี้ 1. การเล่านิทานแบบปากเปล่า เป็นนิทานที่ผู้เล่าเรื่องจะต้องเตรียมตัวให้พร้อม ตั้งแต่การเลือกเรื่องให้เหมาะสม และสอดคล้องกับกลุ่มผู้ฟัง นิทานปากเปล่าเป็นนิทานที่ดึงดูดและ เร้าความสนใจของผู้ฟัง ด้วย น้ำเสียง แววตา ลีลา และท่าทางประกอบ การเล่าของผู้เล่าที่สง่างาม และพอเหมาะพอดี 2. นิทานวาดไปเล่าไป เป็นการเล่านิทานที่ผู้เล่าต้องมีประสบการณ์การเล่านิทาน แบบปากเปล่าอยู่มากพอสมควร แต่ต้องเพิ่มการวาดรูปในขณะเล่าเรื่องราว รูปหรือภาพที่เล่าออกมา อาจสอดคล้องกับเรื่องที่เล่าหรือบางครั้งเมื่อเล่าจบ รูปที่วาดจะไม่สอดดล้องกับเรื่องที่เล่าเลยก็ได้ คือ จะได้ภาพใหม่เกิดขึ้น 3. นิทานที่เล่าโดยใช้สื่ออุปกรณ์ ในขณะที่เล่าเป็นนิทานที่ผู้เล่าจะต้องใช้สื่อที่เตรียม หรือหามา เพื่อใช้ประกอบการเล่า เช่น เล่าโดยใช้หนังสือ นิทานหุ่นนิ้วมือ นิทานเชิด นิทานเชือก เป็นตันหรือขณะเล่าอาจมีดนตรีประกอบจังหวะ เพื่อทำให้การเล่าสนุกสนานยิ่งขึ้น สมใจ บุญอุรพีภิญโญ (2539: 9-10) แบ่งรูปแบบของการเล่านิทานไว้8 ประเภท ดังนี้ 1. การเล่านิทานปากเปล่า ผู้เล่าจะใช้คำพูดถ่ายทอดเรื่องราว ด้วยเสียงตาม ธรรมชาติของตนเอง ผู้เล่าบางคนมีความสามารถพิเศษ ในการทำเสียงเลียนเสียงต่าง ๆ ช่วยให้นิทาน น่าสนใจมากขึ้น 2. การเล่านิทานประกอบภาพวาด ในสมัยโบราณมีการเล่านิทานประกอบภาพวาด ลงบนพื้นดิน พื้นทราย ฝาผนังของถ้ำ แผ่นหนัง ต่อมาเริ่มวาดลงบนกระดาษและผ้า 3. การเล่านิทานประกอบภาพ ผู้เล่าจะเตรียมหนังสือนิทานที่มีภาพประกอบสวย ๆ ให้ผู้ฟังได้ชม ในขณะฟังนิทาน หนังสือบางเล่มอาจมีเฉพาะภาพ แต่ไม่มีตัวอักษร ผู้เล่าต้องเตรียมเนื้อ เรื่องให้สัมพันธ์กับภาพ


45 4. การเล่านิทานประกอบเส้นเชือก ผู้เล่าจะเตรียมเชือก นำปลายทั้ง 2 ข้างมาผูก ติดกันใช้นิ้วมือทั้ง 10 นิ้ว ทำเส้นเชือกเป็นรูปต่างๆ หรืออาจใช้เส้นเชือกวางเป็นรูปร่างต่างๆ บน กระดาน หรือแผ่นโปร่งใส 5. การเล่านิทานประกอบหุ่นประดิษฐ์ ผู้เล่าจะเตรียมหุ่นให้สัมพันธ์กับเนื้อเรื่อง ขณะเล่านิทานจะนำหุ่นออกมาแสดงประกอบ หุ่นที่ใช้มีลักษณะหลากหลาย เช่น หุ่นมือ หุ่นถุง กระดาษหุ่นกระบอก หุ่นถุงเท้า เป็นต้น 6. การเล่านิทานประกอบหุ่นปะ ผู้เล่าต้องเตรียมกระดาษ ผ้าสำลี กระดานแม่เหล็ก หรือเวทีจำลอง และเตรียมตัวละครที่ทำจากกระดาษ ด้านหลังติดกระดาษทราย สำหรับติดบน กระดานผ้าสำลี จะทำให้นิทานสนุกสนานยิ่งขึ้น 7. การเล่านิทานประกอบการพับผ้าเช็ดหน้า หรือการพับกระดาษ ผู้เล่าต้องเตรียม กระดาษเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส หรือสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขณะเล่านิทาน ครูต้องสาธิตการพับผ้า หรือ กระดาษเป็นรูปสัตว์ รูปดอกไม้ สิ่งของต่าง ๆ เด็กจะสนุกสนาน ทั้งยังได้ฝึกทักษะการใช้กล้ามเนื้อเล็ก และสายตาไปด้วย 8. การเล่านิทานประกอบการร้องเพลง ผู้เล่าอาจนำนิทานมาเขียนใหม่ให้เป็นบท เพลงและใส่ทำนอง กระตุ้นให้เด็กสนใจในเพลง คนไทยสมัยก่อน มักนำเนื้อหาของนิทานมาขับร้อง ทำให้เกิดความไพเราะในการใช้ภาษา เช่น ตำนานดาวลูกไก่ กุลยา ตันติผลาชีวะ (2541: 12-14) กล่าวถึง รูปแบบการเล่านิทานไว้ ดังนี้ 1. การเล่านิทานปากเปล่า เป็นการเล่าที่อาศัยคำพูดและน้ำเสียง ไม่มีการใช้สื่อ ประกอบการเล่า การเล่านิทานแบบนี้ ต้องใช้ศิลปะในการพูดที่จูงใจมาก การเล่านิทานปากเปล่า อาจ ให้เด็กเล่าเอง ผู้ใหญ่เล่าบ้าง หรือช่วยกันเล่า 2. การเล่านิทานประกอบท่าทาง การเล่านิทานแบบนี้ เป็นการเล่านิทานที่มี ชีวิตชีวา มากกว่าการเล่านิทานปากเปล่า เพราะเด็กสามารถติดตามเรื่องที่เล่าได้และจินตนาการเป็น รูปธรรมมากขึ้น ตามท่าทางของผู้เล่า สนุกสนานมากขึ้น เพราะเห็นภาพพจน์ของเรื่องที่เล่า ท่าทางที่ ใช้ประกอบการเล่านิทาน อาจเป็นท่าทางของผู้เล่า ท่าทางแสดงร่วมของเด็ก ได้แก่ การทำหน้าตา การแสดงท่าทางกาย หรือการเล่นนิ้วมือประกอบการเล่า 3. การเล่านิทานประกอบภาพ ภาพที่ใช้ในการเล่ามีหลายชนิด มีทั้งภาพถ่าย ภาพวาดภาพโปสเตอร์ ภาพจากหนังสือ ภาพสไลด์ ภาพเคลื่อนไหว หรือภาพฉาย การที่มีภาพสวย ๆ มาประกอบการเล่า เป็นการจูงใจให้เด็กติดตามเรื่องราว ด้วยความอยากรู้ เด็กจะสนุกสนานมากขึ้น ถ้าในขณะฟังเรื่องและดูภาพ ผู้เล่าจะต้องกระตุ้นให้เด็กแสดงความคิดเห็น และร่วมสร้างจินตนาการ ให้กับนิทานที่เล่า 4. การเล่านิทานประกอบเสียง ได้แก่ เสียงเพลง เสียงดนตรี แถบบันทึกเสียงต่าง ๆ


46 สามารถนำมาประกอบการเล่านิทานได้ จุดประสงค์เพื่อสร้างบรรยากาศ เพื่อกระตุ้นเร้าให้เกิดความ ตื่นเต้นอยากติดตาม นอกจากการใช้เสียงเพลงดนตรีแล้ว ในการเล่านิทานเราอาจใช้เสียงเด็กมา ประกอบการเล่าได้ เช่น เมื่อเล่าถึงรถไฟวิ่ง ผู้เล่าอาจซักชวนให้เด็ก ๆ ที่ฟังร่วมทำเสียงรถไฟวิ่ง ประกอบการเล่า ซึ่งทำให้บรรยากาศการฟังนิทานสนุกสนานไปอีกแบบ 5. การเล่านิทานประกอบอุปกรณ์ หรือสิ่งประดิษฐ์ที่มีอยู่ หรือผู้เล่าจัดทำขึ้น เช่น หน้ากากตัวแสดงในนิทานอุปกรณ์สามารถทำให้เด็กสนุกสนาน ตื่นตาไปกับนิทานที่เล่าได้เป็นอย่างดี สร้างความสนใจในการฟังนิทานให้แก่เด็กมากกว่ารูปแบบอื่น นภาภรณ์ อันทะผลา (2547: 10) การเล่านิทานแต่ละครั้งของครูควรคำนึงถึงรูปแบบ และวิธีการอยู่เสมอ ทั้งนี้เพื่อให้การเล่านิทานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและส่งเสริมพัฒนาการ ทางด้านภาษาต่อไป สมใจ พวงมาลี (2549: 36) วิธีการเล่านิทานเพื่อให้เด็กเกิดความสุข สนุกสนานและ ประโยชน์จากการฟังนิทาน สามารถนำข้อคิดจากนิทานไปปรับใช้ให้เข้ากับชีวิตประจำวันได้นั้น ครู ควรเปิดโอกาสให้เด็กมีส่วนร่วมในการเล่านิทานด้วยตนเองบ้าง ตลอดจนการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างครู กับเด็กจะทำให้การเล่านิทานบรรลุจุดมุ่งหมายตามที่ต้องการ อรดี ติระตระกลูเสรี (2549: 18) รูปแบบของการเล่านิทานมีหลายรูปแบบด้วยกัน ซึ่ง อาจแบ่งเป็นการเล่านิทานที่ไม่ใช้สื่อ วัสดุ อุปกรณ์ประกอบ แต่เป็นการเล่าด้วยน้ำเสียง ท่าทาง เช่น การเล่านิทานปากเปล่า เป็นต้น และการเล่านิทานประกอบสื่อ วัสดุ อุปกรณ์ เช่น รูปภาพ หนังสือ นิทาน หุ่น เป็นต้น ทั้งนี้การเล่านิทานจะประสบความสำเร็จตามจุดประสงค์ของการเล่านิทานได้นั้น ผู้ เล่าต้องเข้าใจถึงรูปแบบการเล่าและการนำมาเล่า ซึ่งผู้เล่าควรเลือกรูปแบบการเล่าที่ตนถนัด จะได้ไม่ ขัดกับบุคลิกของตน ปนิดา ทองมูล (2555: 18) การเล่านิทานมีหลายรูปแบบ เป็นวิธีการเล่านิทานที่ผู้เล่า ต้องเตรียมตัว เตรียมสื่ออุปกรณ์ให้พร้อมก่อนที่จะเล่า จะช่วยให้ผู้ฟังมีสมาธิในการฟังนิทานมากยิ่งขึ้น เกิดความสนุกสนานเพลิดเพลินไม่น่าเบื่อ ผ่อนคลายความตึงเครียดทางอารมณื สามารถจำเรื่องราวได้ ดีอย่างต่อเนื่อง เกิดการเลียนแบบตัวละครที่ประทับใจ ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงต่อทัศนคติ พฤติกรรมและลักษณะนิสัยที่ดีขึ้น ประภาพิศ ดวงคำจันทร์ (2555: 28) การเล่านิทานแต่ละครั้ง ควรเลือกใช้รูปแบบที่ เหมาะสมกับเนื้อหาในนิทาน สถานการณ์ในขณะที่เล่า ความพร้อมของสื่อ และความพร้อมของครู แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ควรเลือกใช้รูปแบบใดรูปแบบหนุ่งเพียงอย่างเดียว ควรเลือกใช้หลาย ๆ รูปแบบ ในโอกาสต่าง ๆ ตามความเหมาะสม ทั้งนี้เพื่อช่วยให้เด็กสนใจ สนุกสนานและเกิดการเรียนรู้ได้ดี พารีด๊ะ โย๊ะ (2557: 23) รูปแบบการเล่านิทานนั้นมีหลายหลากรูปแบบ ซึ่งผู้เล่าสามารถ เลือกรูปแบบการเล่านิทานให้เหมาะสมกับความสนใจของผู้ฟัง ทั้งนี้เพื่อสร้างบรรยากาศในการเล่า


47 นิทานให้มีชีวิตชีวาและสนุกสนานยิ่งขึ้น เช่น การเล่านิทานปากเปล่า การเล่าโดยใช้หนังสือประกอบ การเล่าโดยใช้ภาพประกอบ การเล่าโดยใช้สื่อใกล้ตัว การเล่านิทานประกอบท่าทาง การเล่านิทาน ประกอบเสียง และการเล่าโดยใช้ศิลปะ ศิริรัตน์ ค่อยเกษม (2557: 21) รูปแบบการเล่านิทานมีด้วยกันหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับ เรื่องที่จะเล่าหรือผู้เล่าว่าจะใช้รูปแบบใด อาจจะใช้สื่อหรือไม่ใช้สื่อในการประกอบการเล่าก็ได้ รูปแบบการเล่ามีหลายรูปแบบ คือ การเล่านิทานปากเปล่า การเล่านิทานโดยมีภาพประกอบ การเล่า นิทานโดยใช้วัสดุอุปกรณ์ เป็นต้น ซึ่งสามารถกระตุ้นหรือเสริมสร้างจินตนาการให้กับเด็ก ดังนั้นในการ เลือกรูปแบบการเล่านิทานก็ต้องคำนึงถึงความเหมาะสม ความสนุกสนาน และมีคุณค่า สามารถ เสริมสร้างพัฒนาการทางด้านภาษา สติปัญญาและจิตใจด้วย ชนิสรา ใจชัยภูมิ (2558: 12) นิทานมีหลากหลายรูปแบบ ได้แก่ นิทานปรัมปรา นิทาน ท้องถิ่น นิทานเทพนิยาย นิทานตลกขบขัน นิทานสร้างเสริมคุณธรรม นิทานเรื่องเกี่ยวกับสัตว์ นิทาน ส่งเสริมจินตนการและความคิดสร้างสรรค์ วราภรณ์ พิมราช (2558: 35) รูปแบบการเล่านิทาน มีหลายรูปแบบ มีทั้งเล่าปากเปล่า เล่าปรกอบการแสดงท่าทาง เล่าโดยใช้หนังสือประกอบภาพ เล่าไปวาดไป เล่าประกอบการร้องเพลง เล่าประกอบสื่ออุปกรณ์ หุ่นมือ และเล่านิทานไปคุยไป เพื่อดึงดูงความสนใจของผู้ฟังให้สามารถฟัง นิทานและผู้ฟังได้รับประโยชน์บรรลุตรงตามจุดประสงค์ของผู้เล่า วรัญญา ศรีบัว (2558: 53) รูปแบบการเล่านิทานมีมากมาย เช่น การเล่าปากเปล่า และ การเล่าประกอบสื่ออุปกรณ์ต่าง ๆ เล่าจากหนังสือโดยใช้หนังสือเป็นอุปกรณ์ประกอบการเล่า เล่า นิทานประกอบหุ่นต่าง ๆ การเล่าโดยใช้แผ่นภาพหรือภาพพลิกใช้แผ่นป้ายสำลีประกอบการเล่า การ เล่าประกอบท่าทาง กล่าวโดยสรุป รูปแบบการเล่านิทานมีหลากหลายรูปแบบ เช่น การเล่านิทานแบบปาก เปล่า ใช้น้ำเสียงในการเล่าเพื่อดึงดูดความสนใจของเด็ก การเล่านิทานวาดไปเล่าไป คือ การเล่าแบบ วาดภาพประกอบในการเล่า และการเล่านิทานประกอบอุปกรณ์เช่น นิทานนิ้วมือ นิทานหุ่นเชิด นิทานหุ่นถุงกระดาษ เป็นต้น 2.11 องค์ประกอบของการเล่านิทาน กุลยา ตันติผลาชีวะ (2541: 14-15) กล่าวถึงองค์ประกอบของการเล่านิทานไว้ ดังนี้ 1. ตัวผู้เล่า เป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดของการเล่านิทาน เทคนิค วิธีการ ภาษา ท่าทาง ความสามารถในการสร้างบรรยากาศในการเล่านิทาน ถือเป็นศิลปะเฉพาะตัวของผู้เล่านิทาน สามารถฝึกฝนได้ ผู้เล่านิทานที่ดีต้องมีอารมณ์ และสนุกกับการเล่า มีความพร้อมที่จะให้นิทานสนุก สอดคล้องกับสถานการณ์ขณะเล่านิทานได้ 2. เนื้อหานิทาน นิทานที่เหมาะสำหรับเด็ก คือ นิทานที่มีความถูกต้องซัดเจนใน


48 เรื่องของภาษา เนื้อหาสั้น ง่าย เป็นเรื่องใกลัตัวเด็ก เกี่ยวกับผู้ปกครอง พี่น้อง เพื่อนเล่น สัตว์เลี้ยง ไม่ว่าจะเป็นนิทานที่นำมาเล่า หรือผู้เล่าแต่งเองก็ตาม ถ้าเนื้อหาในนิทานมีความสัมพันธ์กับเด็กมาก เด็กจะสนใจมากกว่านิทานไกลตัว นิทานที่เด็กฟังและสนใจมาก เช่น เด็กไม่ชอบกินผัก ครูเล่านิทาน เรื่องหนูน้อยชอบกินผักให้ฟัง ประการหนึ่งที่สำคัญคือ เนื้อหาในนิทานต้องเป็นบทสนทนามากๆ เพราะเด็กไม่ชอบการเล่าแบบบรรยายความ ที่มีเนื้อหายาวๆ ตัวละครมากๆ เพราะเด็กยังไม่สามารถ ถ่ายโยงเรื่องราวที่ซับซ้อนได้ 3. สื่อประกอบการเล่านิทาน สื่อที่ใช้ประกอบการเล่านิทาน เป็นตัวขยายความใน นิทานให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้นโดยเฉพาะในรายละเอียด ท่าทางของตัวแสดง และบรรยากาศ ทำให้เด็กมี จินตนาการติดตามเรื่องราวได้อย่างแจ่มชัด อีกทั้งสนุกตื่นเต้น ด้วยการกระตุ้นจากสื่อประกอบการเล่า นิทาน ซึ่งผู้เล่าอาจสร้างสื่อขึ้นเองหรือซื้อจากสื่อสำเร็จรูปก็ได้ วรัญญา ศรีบัว (2558) องค์ประกอบของการเล่านิทาน ผู้เล่าเนื้อหานิทานและสื่อ ประกอบล้วนมีคุณสมบัติเฉพาะตัวที่ต้องพัฒนาควบคู่กันไป ผู้เล่าเก่งควรพิจารณาถึงความเหมาะสม ของเนื้อหาสาระข้อคิดและคุณธรรมจริยธรรมจากนิทาน ภาษาที่ใช้ ขนาดรูปเล่นนิทาน รูปภาพ ประกอบตัวละคร ความยาวนิทาน วัยของเด็ก และความสนใจของเด็ก หากเนื้อหาดี สื่อเยี่ยม ย่อมทำ ให้การเล่านิทานประสบความสำเร็จสูง ควรพิจารณาถึงความเหมาะสมของเนื้อหาสาระข้อคิดและ คุณธรรมจริยธรรมจากนิทาน ภาษาที่ใช้ ขนาดรูปเล่ม รูปภาพประกอบ ตัวละคร ความยาวของนิทาย วัยของเด็กและความสนใจของเด็ก กล่าวโดยสรุป องค์ประกอบในการเล่านิทาน ผู้เล่าเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการเล่านิทาน และต่อมาคือเนื้อหาในนิทาน ควรเป็นเนื้อหาที่เหมาะสมกับวัยของเด็ก เนื้อหาที่เข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน หรือเป็นเนื้อหาที่เป็นเรื่องใกล้ตัวเด็ก และสื่อประกอบการเล่านิทาน สื่อควรมีรายละเอียดที่ชัดเจน ทำ ให้เด็กได้มีจินตนาการ การติดตามเรื่องราวได้อย่างชัดเจน 3.เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับหุ่นมือ 3.1 ความหมายของหุ่นมือ จิระประภา บุญยนิตย์ (2522: 7) ได้ให้ความหมายของหุ่นว่า หุ่นคือสิ่งที่ไม่มีชีวิต เคลื่อนไหวได้ในรูปแบบละคร โดยมนุษย์เป็นผู้บังคับ หุ่นมีหลายประเภทแต่ต้องไม่ใช่ตุ๊กตาหรือ หุ่นยนต์ อรชุมา ยุทธวงศ์ (2527: 568) กล่าวว่า หุ่นเป็นวัตถุที่คนสร้างขึ้น แล้วนำมาทำให้ เคลื่อนไหว เพื่อสื่อความหมายจากผู้อื่น หุ่นมีไว้สื่อสาร เพื่อนำความรู้สึกนึกคิด อารมณ์ แรงบันดาลใจ และความฝันมาทำให้เป็นตัวแทนขึ้นมา


49 วรรณ๊ ศิริสุนทร (2532: 59) ให้ความหมายหุ่นว่า คือ สิ่งที่ไม่มีชีวิต เคลื่อนไหวได้ใน รูปแบบของละครโดยมนุษย์ จักรพันธ์ โปรษยกฤต (2535: 7-12) กล่าวว่า หุ่น คือรูปแบบจำลองมาจากของจริง ทำ คล้ายของจริง ประดิษฐ์ด้วยวิธีปั้นหรือแกะสลัก ใช้ในการเล่นมหรสพ เคลื่อนไหวด้วยการชัก หรือเชิด บังคับให้เคลื่อนไหวเพื่อแสดงเป็นเรื่องราว สมใจ พวงมาลี (2549: 41) หุ่นมือ หมายถึง หุ่นที่มีแต่หัวและมือ มีเสื่อสวมปิดทับไม่เห็น มือผู้เชิด สมศรี ปาณะโตษะ (2551: 29) หุ่น เป็นสิ่งที่ไม่มีชีวิต ประดิษฐ์ขึ้นมาเพื่อจำลอง เลียนแบบ หรือทำคล้ายของจริง การเคลื่อนไหวของหุ่น ดำเนินไปตามความคิดจินตนาการและความ ต้องการของคน ธันยาภัทร เบญจบริรักษ์กุล (2551: 57) หุ่นมือ หมายถึง สิ่งที่สร้างขึ้นที่นำมาใช้ในการ แสดง เพื่อใช้เลียนแบบการเคลื่อนไหว และอากัปกิริยาที่หุ่นนั้นเป็นตัวแทน โดยอาศัยกลไกที่ประดิษฐ์ ขึ้น และคนเป็นผู้เชิดหุ่นเคลื่อนไหว โดยการขยับนิ้วหรือมือ ณัฐวดี ศิลากรณ์ (2556: 42) หุ่น คือวัตถุหรือสิ่งประดิษฐ์ที่มนุษย์สร้างขึ้น โดยการให้ ชีวิตกับสิ่งที่ไม่มีชีวิต เป็นตัวแทนของมนุษย์ เพื่อสื่อความรู้สึกนึกคิด สร้างแรงบันดาลใจและ จินตนาการของผู้ชม วรัญญา ศรีบัว (2558: 91) หุ่นเป็นวัตสุที่สร้างขึ้น แล้วนำมาทำให้เคลื่อนไหวได้เอง สื่อ ความหมายกับผู้อื่นโดยใช้ในการสื่อสาร นำความรู้สึกนึกคิด อารมณ์ แรงบันดาลใจและความฝันมาทำ ให้เป็นตัวตนขึ้นมา ดังนั้นจึงเป็นรูปจำลองหรือเลียนแบบจากของจริง ไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์ สิ่งต่าง ๆ สามารถเคลื่อนไหวและสื่อสารถึงบุคคลให้เข้าใจความหมายที่สื่อได้ สื่อหุ่นมือ เป็นสื่อการเรียนการ สอนที่ทำได้เอง จากวัดสุที่เราไม่ใช้และซื้อส่วนที่จำเป็นบางส่วน หุ่นมือที่ผลิตเองนี้ มีรูปแบบ หลากหลายและมีชีวิตชีวาสำหรับใช้ประกอบการเรียนการสอนและเพื่อสร้างสรรค์การเรียนรู้ใน หลากหลายรูปแบบ กล่าวโดยสรุป หุ่นมือ คือหุ่นที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้นมา โดยใช้วัสดุอุปกรณ์ที่หาได้ง่าย เป็น สิ่งที่ไม่มีชีวิต ทำขึ้นมาเพื่อเคลื่อนไหวเลียนแบบท่าทางของมนุษย์หรือสัตว์ต่าง ๆ ในการสื่อ ความหมาย 3.2 ความสำคัญของหุ่นมือ ศิริกาญจน์ โกสุมภ์ (2522: 10-16) มีความเห็นในเรื่องของหุ่นว่า เป็นสื่อการเรียนที่มี ความสำคัญในการจัดการศึกษามากสามารถนำไปใช้ในการสอนได้หลายๆ เนื้อหา และเป็นที่ เคลื่อนไหวได้ น่าสนใจกว่าภาพธรรมดา ถ้าได้มีการนำหุ่นมาใช้ในห้องเรียนของเด็กปฐมวัย จะเป็น ประโยชน์แก่เด็กอย่างมาก


50 ลัดดา นีละมณี (2522: 54) กล่าวว่า หุ่นเป็นสื่อการเรียนการสอนที่สำคัญ และมีคุณค่า ต่อเด็ก ๆ มากและมีอิทธิพลต่อความรู้สึกของเด็ก สร้างบรรยากาศในชั้นเรียนได้เป็นอย่างดี กระตุ้นให้ เด็กได้สนใจบทเรียนตลอดเวลา โดยเฉพาะเวลาที่ต้องอาศัยการฝึกฝน และเป็นนามธรรมเกินไป สำหรับเด็กเล็ก อรชุมา ยุทธวงศ์ (2527: 579) กล่าวถึงหุ่นว่า หุ่นมีความสำคัญหลายด้านด้วยกัน เช่น 1. ความสำคัญในด้านการบันเทิง มีการใช้หุ่นแสดงบนเวที รายการโทรทัศน์ และ การแสดงละครหุ่นหรือร่วมกับการแสดงประเภทอื่น ๆ เป็นที่ดึงดูดความสนใจสำหรับผู้ใหญ่และเด็ก ตลอดมา เช่น รายการเพลงบัลเล่ย์ เล่นกล เป็นต้น และบางครั้งก็ใช้หุ่นประชาสัมพันธ์หรือโฆษณา เป็นการนำผู้ชมไปสู่โลกของความฝัน และความสนุกในวัยเด็ก 2. ความสำคัญในการเรียนรู้ นิยมใช้หุ่นในการเรียนรู้ และปลูกฝังแนวคิดต่างๆ ให้ กับเด็ก เช่น 2.1 สอนทำหุ่นในการเรียนวิชาศิลปะ โดยเน้นการแสดงออก ความคิด สร้างสรรค์และจินตนาการ 2.2 ใช้หุ่นเป็นสื่อการสอนวิชาต่าง ๆ เพราะเป็นการเรียนรู้อย่างสนุกสนาน และช่วยให้ผู้เรียนมีทัศนคติที่ดีต่อวิชาที่เรียน 2.3 หุ่นช่วยให้เด็ก ๆ ได้รับการชี้แนะ แนวทางในการประพฤติ ปลูกฝัง ค่านิยมต่าง ๆ เช่น การรักษาความสะอาด การเสียสละ ฯลฯ 2.4 การแสดงละครหุ่น ช่วยให้ฝึกการทำงานร่วมกับผู้อื่น 2.5 หุ่นช่วยแก้ปัญหาเฉพาะตัวของแต่ละคนได้ เช่น เด็กขี้อาย ติดอ่าง ก้าวร้าวหรือมีปัญหาในด้านการสื่อสาร โดยเด็กจะสื่อสารกับผู้อื่นผ่านตัวหุ่น จะง่ายกว่าการสื่อสาร ด้วยตัวเองโดยตรง สมศรี ปาณะโตษะ (2551: 30) หุ่น เป็นการเลียนแบบของจริง ทั้งรูปร่าง หน้าตา ถ่ายทอดทั้งความรู้สึกนึกคิดของผู้ที่เกี่ยวข้องในการนำเสนอเรื่องราวต่าง ๆ ที่มาจากหุ่น จึงมี ความสำคัญมากมาย โดยมีจุดเริ่มต้นจากการกระตุ้นเร้าความสนใจ ด้วยการเคลื่อนไหวที่เหมือนมีชีวิต ช่วยส่งเสริมจินตนาการ การกล้าแสดงออก ชักจูงให้ร่วมกิจกรรม ช่วยปลูกฝังแนวคิด เป็นสื่อการ เรียนทุกวิชา เพื่อให้เกิดการเรียนรู้อย่างสนุกสนาน ให้ความบันเทิงในการแสดงบนเวที การโฆษณาหุ่น จึงเป็นสื่อที่ส่งจากความรู้สึก ความต้องการของผู้ถ่ายทอดเพื่อให้ถึงผู้รับการถ่ายทอดด้วยความ สนุกสนานเพลิดเพลิน วรัญญา ศรีบัว (2558: 92) หุ่นมือมีความสำคัญมากมาย โดยมีจุดเริ่มต้นจากการกระตุ้น เร้าความสนใจ ด้วยการเคลื่อนไหวที่เหมือนมีชีวิต ช่วยส่งเสริมจินตนาการ การกล้าแสดงออก ชักจูง ให้ร่วมกิจกรรม ช่วยปลูกฝังแนวคิด เป็นสื่อการเรียนการสอนทุกวิชา เพื่อให้เกิดการเรียนรู้อย่าง


51 สนุกสนาน ให้ความบันเทิง ในการแสดงบนเวที การโฆษณา หุ่นจึงเป็นสื่อที่ส่งจากความรู้สึก ความ ต้องการของผู้ถ่ายทอด เพื่อให้ถึงผู้รับการถ่ายทอดด้วยความสนุกสนานเพลิดเพลิน ณัฐวดี ศิลากรณ์ (2556: 43) หุ่นมีความสำคัญต่อการจัดการเรียนการสอนของเด็ก ใน สถานศึกษาระดับต่าง ๆ เช่น ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก และระดับชั้นประถมศึกษา นอกจากนี้ยังมีการนำ หุ่นมาใช้ในด้านบันเทิงทางสื่อมวลชน ทำให้หุ่นมีบทบาทมากขึ้น เช่น ในสวนสนุก โทรทัศน์ ตลอดจน งานธุรกิจโฆษณา กล่าวโดยสรุป หุ่นมีความสำคัญต่อการเรียนการสอนเป็นอย่างมาก หุ่นสามารถนำมาใช้สอน ในเนื้อหาต่าง ๆ ได้ และการนำหุ่นมาประกอบกับการสอน เพื่อจะช่วยเป็นตัวกระตุ้นเร้าความสนใจ ดึงดูดความสนใจ และยังช่วยส่งเสริมจินตนาการให้กับเด็ก ทำให้เด็กกล้าแสดงออก กล้าพูดมากขึ้น 3.3 ประเภทของหุ่นมือ การใช้หุ่นเพื่อการศึกษา และเพื่อพัฒนาเด็กนั้น มีการแบ่งหุ่นเป็นประเภทต่างๆ ดังนี้ (จิตราภรณ์ เตมียกุล. 2531: 34) 1. หุ่นเงา หรือหนังตลุง (Shadow puppet) เป็นหุ่นที่ใช้แผ่นหนัง หรือกระดาษ แข็งมีไม้เสียบ หรือสายใยต่อเข้าส่วนร่างกาย ใช้เคลื่อนไหวประกอบเรื่องที่แสดง หุ่นเงาเป็นหุ่น 2 มิติ ต้องใช้ประกอบกับจอหุ่นเงา (Shadow screen) และต้องมีแหล่งกำเนิดแสง เช่น กองเพลิง ตะเกียง หลอดไฟและเครื่องฉายต่างๆ เพื่อฉายยังตัวหุ่น ให้เกิดเงาทาบทับบนจอ อาจจะเล่นเป็นภาพเงาดำ ล้วน หรือภาพสีต่างๆ โดยใช้แสงไฟ 2. หุ่นมือ (Hand puppet) เป็นหุ่นที่ใช้นิ้วมือ และมือ ตลอดจนแขน เป็นแกนหลัก ในการรับน้ำหนัก และเป็นกลไกในการเชิด โดยตัวหุ่นจะสวมอยู่กับอวัยวะดังกล่าว ด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง หุ่นมือ มีหลายแบบ เช่น หุ่นมือถุงกระดาษ หุ่นมือถุงมือ หุ่นมือถุงเท้า และหุ่นนิ้วมือ 3. หุ่นเชิด (Rod puppet) เป็นหุ่นเชิดด้วยไม้ หรือสายเชือกจากข้างล่างของตัวหุ่น ให้เคลื่อนไหวได้ตามต้องการ ทำได้หลายวิธี สามารถประดิษฐ์ตัวหุ่นได้หลาย ๆ ขนาด 4. หุ่นชัก (Morionette) เป็นหุ่นที่ใช้สายโยงเป็นเส้นด้าย หรือลวดติดกับตัวหุ่น เวลาซักก็โยงไม้ข้างบน พร้อมกับเชือกตามต้องการ ที่จะให้อวัยวะส่วนใดเคลื่อนไหวได้ หุ่นประเภทนี้ ต้องหัดให้ชำนาญในการซักตัวหุ่น การเชิดหุ่นชักต้องคำนึงถึงหลักความโน้มถ่วงของโลก เนื่องจากผู้ เชิดต้องควบคุมหุ่นจากด้านบนเสมอ ชัยณรง เจริญพานิชย์กุล (2532: 121-128) กิจกรรมศิลปะเด็กอนุบาลได้กล่าวถึง การทำหุ่นแบบต่างๆดังนี้ 1. หุ่นมือจริง ใช้นิ้วมือแสดงท่าทดแทนสิ่งต่างๆ 2. วาดรูปบนมือ 3. หุ่นนิ้วมือโผล่


52 4. หุ่นช้อน ((Spoon Puppets) 5. หุ่นนิ้วมือ (Finger Puppets) 6. หุ่นไม้(Stick Puppets) 7. หุ่นมือ (Hand Puppets) 8. หุ่นถุงเท้า (Sock Puppets) 9. หุ่นถุงมือ (Glove Puppets) 10. หุ่นถุงกระดาษ (Paper bag Puppets) 11. หุ่นกระบอก (Marionettes Puppets) 12. หุ่นซองจดหมาย (Envelope Puppets) 13. หุ่นกระป้อง (Tin Puppets) สมศรี ปาณะโตษะ (2551: 32) การแบ่งประเภทหุ่นมีหลายประเภท อาจจะแบ่งตาม ลักษณะของการใช้งานหรือลักษณะของการเชิด หรือแบ่งตามวัสดุหรือสิ่งที่นำมาประดิษฐ์หุ่น วรัญญา ศรีบัว (2558: 95) หุ่นที่ใช้ในการแสดงมีหลายชนิด บางชนนิดสามารถประดิษฐ์ ด้วยตนเอง โดยใช้เศษวัสดุต่าง ๆ บางชนิดสามารถซื้อได้ตามร้านค้าทั่วไป หุ่นชักเป็นหุ่นที่คล่องตัวมี ความสามารถทำท่าทางต่าง ๆ ได้มากที่สุด การแสดงก็น่าดูและรวดเร็ว แต่กรรมวิธีอื่นข้างยุ่งยาก ลงทุนสูง และใช้เวลาฝึกหัดนาน หุ่นกระบอกเป็นหุ่นที่มีความสามารถใกล้เคียงกับหุ่นชัก หุ่นมือและ หุ่นนิ้วมือเป็นหุ่นที่ทำขึ้นง่าย ใช้ง่าย เหมาะสำหรับการเล่านิทานถึงแม้ขีดจำกัดในการแสดงท่าทางแต่ ค่าใช้จ่ายไม่มากนักและจูงใจเด็ก ๆ ณัฐวดี ศิลากรณ์ (2556: 44) หุ่นมือ เป็นหุ่นที่เหมาะแก่การนำไปใช้ประโยชน์ด้าน การศึกษา ทั้งนี้เพราะทำจากวัสดุที่หาได้ง่าย ใช้เวลาในการประดิษฐ์น้อยกว่าหุ่นชนิดอื่น และมีให้ เลือกใช้ได้หลายแบบ ตามความเหมาะสม ซึ่งครูควรเลือกหุ่นที่จะนำมาใช้เป็นตัวละครให้สอดคล้อง กับเนื้อหาของเรื่อง กล่าวโดยสรุป หุ่นมือที่ใช้ในการแสดงมีหลากหลายประเภท เช่น หุ่นเงา เป็นหุ่นที่ใช้ แผ่นหนัง หรือกระดาษแข็งมีไม้เสียบ หุ่นมือ เป็นหุ่นที่ใช้นิ้วมือ มือ และตลอดจนแขน เพื่อเป็นแกน หลักในการรับน้ำหนัก หุ่นเชิด เป็นหุ่นเชิดด้วยไม้ และหุ่นชัก เป็นหุ่นที่ใช้สายโยงเป็นเส้นด้าย เป็นต้น 3.4 การสร้างหุ่น ในการสร้างหุ่นแต่ละครั้งนั้น มีองค์ประกอบสำคัญที่ควรคำนึงถึง ดังต่อไปนี้ เกศินี โชติกเสถียร (2524: 9) กล่าวถึง องค์ประกอบที่สำคัญในการสร้างหุ่นไว้ ดังนี้ 1. ขนาด จะสร้างให้มีขนาดเล็กหรือใหญ่อย่างไรก็ได้ แต่สัดส่วนที่ได้ขนาดโดยเฉลี่ย ประมาณ 1/3 ของขนาดมนุษย์ ความได้สัดส่วนกันระหว่างคนกับสัตว์ในเรื่อง เป็นสิ่งที่ต้องคำนึงถึง


53 แต่ก็ไม่เสมอไป ทั้งนี้เพราะการสร้างหุ่นในแต่ละเรื่อง ผู้สร้างย่อมมีวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายที่ แตกต่างกัน 2. ส่วนที่ต้องการเป็นพิเศษในตัวหุ่นแต่ละตัว จะมีลักษณะที่ทำให้ผู้ดู รู้ลักษณะ นิสัยของตัวหุ่นได้ 3. ศึกษาแหล่งกำเนิดของหุ่นประเภทต่างๆ ที่เคยมีมาในโลก เพื่อเรียนรู้วิธีการทำหัว เครื่องแต่งกาย ลำตัวการเชิด การซัก การเขียนหน้าเขียนตา ที่เน้นความรู้สึกของตัวหุ่น ในการประดิษฐ์หุ่นนั้นจะใช้สื่อวัสดุทั้งสิ้น พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน (2542) ให้ความหมายวัสดุว่า คือวัตถุที่นำมาใช้ เช่น วัสดุก่อสร้าง ของที่มีอายุน้อย การใช้งานในระยะสั้น ๆ เช่น กระดาษ ดินสอ การประดิษฐ์หุ่นแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ 1. วัสดุธรรมชาติ วัตถุที่เกิดมีและเป็นอยู่ตามธรรมดาของสิ่งนั้น ได้แก่ ผัก ผลไม้ ใบไม้ กิ่งไม้ ต้นไม้ เป็นต้น 2. วัสดุสังเคราะห์ คือวัตถุที่ได้มีการทำให้มีธาตุปฏิกิริยาเคมีจนเป็นสารประกอบ ทำ ให้สารประกอบมีปฏิกิริยาเคมีกันเป็นสารประกอบอื่น คือวัสดุที่สร้างขึ้นโดยวิธีการทางเคมี เช่น กระดาษ พลาสติก โลหะ ผ้า เป็นต้น กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ (2546: 65-73) สื่อเป็นตัวกลางในการถ่ายทอด เรื่องราวเนื้อหาจากผู้ส่งไปยังผู้รับ ทำให้เกิดการเรียนรู้ตามจุดประสงค์ที่วางไว้ช่วยให้เด็กได้รับ ประสบการณ์ตรง ทำให้สิ่งที่เป็นนามธรรมเข้าใจยากกลายเป็นรูปธรรมที่เด็กเข้าใจง่าย เรียนรู้ได้ ง่าย รวดเร็วและเพลิดเพลิน เกิดการเรียนรู้และดันพบด้วยตัวเอง การใช้สื่อต้องเหมาะสมกับวัย วุฒิภาวะ ความแตกต่างระหว่างบุคคล ดวามสนใจและความต้องการของเด็กที่หลากหลาย กุลยา ตันติผลาชีวะ (2547 77-79) สื่อเป็นเครื่องมือสำหรับช่วยสร้างเสริมการเรียนรู้ใน เด็ก เราอาจจำแนกประเภทของสื่อตามลักษณะของสื่อได้เป็น 5 ประเภทคือ 1. วัสดุ 2. อุปกรณ์ 3. เครื่องมือเทคโนโลยี 4. แหล่งเรียนรู้ 5. เทคนิคการสอน สมศรี ปาณะโตษะ (2551: 34) สื่อที่ใช้ประดิษฐ์หุ่นคือวัสดุ 2 ชนิด ได้แก่ วัสดุธรรมชาติ หมายถึงวัสดุที่นำมาจากธรรมชาติ โดยปกติธรรมดาของมัน และวัสดุสังเคราะห์คือวัสดุที่ได้นำไปผ่าน กระบวนการผลิตทางเคมีทำให้กลายเป็นสารประกอบทั้งที่เป็นตัวมันเองประกอบกับสารใหม่ หรือ เปลี่ยนจากตัวมันเองเป็นสารอื่น


54 ณัฐวดีศิลากรณ์ (2556: 44) สิ่งสำคัญที่ควรคำนึงถึงในการสร้างหุ่น ได้แก่ ขนาดที่ เหมาะสมของตัวหุ่น ลักษณะพิเศษของหุ่นแต่ละตัว ตลอดจนการศึกษาถึงแหล่งกำเนิดของหุ่นแต่ละ ประเภท ทั้งนี้เพื่อคงความเป็นเอกลักษณ์ และสื่อความหมายได้ตรงตามวัตถุประสงค์ของผู้สร้าง กล่าวโดยสรุป การสร้างหุ่น ควรคำนึงถึงขนาดของหุ่นที่จะใช้ในการแสดง และวัสดุที่จะ นำมาสร้างหุ่น มีอยู่ 2 ประเภท คือ หุ่นที่สร้างจาดวัสดุธรรมชาติ วัตถุที่เกิดมีและเป็นอยู่ตามธรรมดา ของสิ่งนั้น ได้แก่ ผัก ผลไม้ใบไม้ กิ่งไม้ ต้นไม้ เป็นต้น หุ่นที่สร้งจากวัสดุสังเคราะห์คือ วัตถุที่ได้มีการ ทำให้มีธาตุปฏิกิริยาเคมีจนเป็นสารประกอบ ทำให้สารประกอบมีปฏิกิริยาเคมีกันเป็นสารประกอบอื่น คือวัสดุที่สร้างขึ้นโดยวิธีการทางเคมี เช่น กระดาษ พลาสติก โลหะ ผ้า เป็นต้น 4. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 4.1 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องการความสามารถด้านการพูด 4.1.1 งานวิจัยในประเทศ สุภาพร จิรคลังสกุล (2560) การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาทักษะการฟังและ การพูดภาษาอังกฤษของเด็กปฐมวัยโดยใช้การจัดประสบการณ์การตามแนวการสอนภาษาตาม ธรรมชาติ (Whole Language Approach) ของนักเรียนชาย และหญิง อายุระหว่าง 4-5 ปีที่กำลัง ศึกษาอยู่ในระดับอนุบาลชั้นปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2559 จำนวน 36 คน ซึ่งเป็นโรงเรียน รัฐบาลขนาดใหญ่ เขตสายไหม กรุงเทพมหานคร วิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยเลือกกลุ่มตัวอย่างโดยใช้การสุ่ม ตัวอย่างแบบแบ่งกลุ่ม (Clustered Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือแผนการจัด ประสบการณ์การสอนใช้การจัดประสบการณ์การตามแนวสอนภาษาตามธรรมชาติ (Whole Language Approach) จำนวน 20 แผน แบบทดสอบวัดความสามารถด้านการฟังและการพูด และ แบบสังเกตพฤติกรรม ผู้ศึกษาค้นคว้าวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติค่าพื้นฐาน ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน และใช้ Dependent Sample t-test ผลการวิจัยพบว่า 1) หลังจากที่ใช้การจัด ประสบการณ์การตามแนวสอนภาษาตามธรรมชาติ(Whole Language Approach) พบว่ามีความ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) ความสามารถด้านการฟังภาษาอังกฤษของเด็ก ปฐมวัยสูงขึ้นจากค่าเฉลี่ยเท่ากับ 16.17 เพิ่มขึ้นเป็น18.25 3) ความสามารถด้านการพูดภาษาอังกฤษ ของเด็กปฐมวัยสูงขึ้นจากค่าเฉลี่ยเท่ากับ 16.27 เพิ่มขึ้นเป็น 18.80 ซึ่งสอดคล้องกับสมมุติฐานที่ตั้งไว้ คือ เด็กปฐมวัยหลังจากที่ได้รับการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ตามแนวการสอนภาษาตามธรรมชาติ เด็กปฐมวัยจะมีพัฒนาการด้านการฟังและการพูดภาษาอังกฤษโดยรวมสูงขึ้น 4) จากการใช้การจัด ประสบการณ์การตามแนวสอนภาษาตามธรรมชาติ (Whole Language Approach) มีผลทำให้


55 คะแนนจากการสังเกตพฤติกรรมด้านการฟังและการพูดภาษาอังกฤษของเด็กปฐมวัย 30 คน มี ค่าเฉลี่ยอยู่ในเกณฑ์ดี และ 6 คน มีค่าเฉลี่ยอยู่ในเกณฑ์พอใช้ อัณณ์ชญากร พัฒนประสิทธิ (2561) การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษานิทาน พื้นบ้านภาคเหนือที่ส่งผลต่อการพัฒนาทักษะการฟัง การพูดของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ ระดับ ปฐมวัย ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75 และเปรียบเทียบทักษะการฟังการพูดของเด็กที่มีความ ต้องการพิเศษ ระดับปฐมวัย ก่อนและหลังใช้นิทานพื้นบ้านภาคเหนือโดยกลุ่มเป้าหมาย คือ เด็กที่มี ความต้องการพิเศษกลุ่มที่มีปัญหาทักษะการฟังการพูดกำลังศึกษาอยู่ในระดับปฐมวัย (ชั้นอนุบาลปีที่ 3) โรงเรียนวัดแม่แก้ดน้อย ตำบลป่าไผ่ อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2561 จำนวนทั้งสิ้น 6 คน โดยเลือกแบบเจาะจง กระบวนการวิจัยเป็นแบบเชิงทดลอง และเครื่องมือ ที่ใช้ประกอบด้วย (1) นิทานฟื้นบ้านภาคเหนือ จำนวน 4 เรื่อง (2) แผนการจัดประสบการณ์ (3) แบบ ประเมินทักษะการฟังการพูดก่อนเรียนและหลังเรียน สถิติที่ใช้ในวิเคราะห์ข้อมูล คือแบบประเมิน ความสอดคล้อง (IOC) ค่าเฉลี่ยค่าร้อยละ ค่าประสิทธิภาพ E1/E2 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลวิจัยพบว่า ผลการใช้นิทานพื้นบ้านภาคเหนือเพื่อพัฒนาทักษะการฟังการพูดของเด็ก ที่มีความต้องการพิเศษ ระดับปฐมวัย จังหวัดเชียงใหม่ พบว่า เด็กที่มีความต้องการพิเศษกลุ่มที่มี ปัญหาทักษะการฟังการพูดกำลังศึกษาอยู่ในระดับปฐมวัย (ชั้นอนุบาลปีที่ 3) ที่ได้รับการใช้นิทาน พื้นบ้านภาคเหนือมีทักษะการฟังการพูด ดีขึ้น ดังนี้ 1. นิทานพื้นบ้านภาคเหนือที่ส่งผลต่อทักษะการฟังการพูดของเด็กที่มีความต้องการ พิเศษกลุ่มที่มีปัญหาทักษะการฟังการพูดกำลังศึกษาอยู่ในระดับปฐมวัย (ชั้นอนุบาลปีที่ 3) มี ประสิทธิภาพเท่ากับ 77.41/77.50 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ 2. หลังการใช้นิทานพื้นบ้านภาคเหนือทำให้เด็กที่มีความต้องการพิเศษกลุ่มที่มีปัญหา ทักษะการฟังการพูดกำลังศึกษาอยู่ในระดับปฐมวัย (ชั้นอนุบาลปีที่ 3) มีทักษะการฟังการพูด อยู่ใน ระดับ ดี 3. ความสามารถทักษะการฟังการพูดของเด็กที่มีความต้องการพิเศษกลุ่มที่มีปัญหา ทักษะการฟังการพูดกำลังศึกษาอยู่ในระดับปฐมวัย (ชั้นอนุบาลปีที่ 3) ที่ได้รับการสอนโดยใช้นิทาน พื้นบ้านภาคเหนือแล้วพบว่าเด็กที่มีความต้องการพิเศษกลุ่มที่มีปัญหาทักษะการฟังการพูดกำลังศึกษา อยู่ในระดับปฐมวัย (ชั้นอนุบาลปีที่ 3) มีทักษะการฟังการพูด ได้ดีขึ้น กนกวรรณ มีสีสรร (2562) บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและ เปรียบเทียบความสามารถด้านการพูดภาษาอังกฤษโดยของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ก่อน เรียนและหลังเรียน และศึกษาเจตคติต่อการสอนพูดภาษาอังกฤษโดยใช้กิจกรรมบทบาทสมมุติของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกปีที่ 3 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปี่ที่ 3/1 โรงเรียนกุมภวาปีอำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2562 จำนวน 33 คน


56 แบบแผนการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงทดลองแบบกลุ่มเดียว เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้การสอนพูดภาษาอังกฤษโดยใช้กิจกรรมบทบาทสมมุติแบบทดสอบวัด ความสามารถด้านการพูดภาษาอังกฤษและแบบวัดเจตคติต่อการสอนพูดภาษาอังกฤษโดยใช้กิจกรรม บทบาทสมมุติ ดำเนินการทดลองระยะเวลา 12 สัปดาห์ ๆ ละ 2 ชั่วโมง รวมทั้งหมด 24 ชั่วโมง สถิติ ที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเยี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบทีแบบไม่ อิสระ ผลการวิจัย สรุปได้ดังนี้ 1. นักเรียนมีคะแนนความสามารถด้านการพูดภาษาอังกฤษก่อนเรียนเท่ากับ 122.02 คิดเป็นร้อยละ 40.67 และคะแนนหลังเรียนเท่ากับ 257.89 คิดเป็นร้อยละ 85.96 ซึ่งคะแนน หลังเรียนสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 10 เมื่อทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยพบว่า ความสามารถด้านการ พูดภาษาอังกฤษโดยใช้กิจกรรมบทบาทสมมุติหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน 2. นักเรียนมีเจตคติต่อการสอนพูดภาษาอังกฤษโดยใช้กิจกรรมบทบาทสมมุติอยู่ใน ระดับดี ดารินี ภู่ทอง และ เพชราวลัย ถิระวณัฐพงศ์ (2562: 60) การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) พัฒนาแผนการจัดประสบการณ์การเล่านิทาน ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) ศึกษา ดัชนีประสิทธิผลของแผนการจัดประสบการณ์โดยใช้ กิจกรรมการเล่านิทาน ชั้นอนุบาลปีที่ 2 3) เพื่อ เปรียบเทียบทักษะการฟังและการพูดภาษาไทยของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 2 ก่อนและหลังการจัด ประสบการณ์โดยใช้ กิจกรรมการเล่านิทานกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือเด็กปฐมวัยชั้นอนุบาลปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2562 จำนวน 25 คนโรงเรียน เอกชนเขตสายไหม กรุงเทพมหานครซึ่ง ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาได้แก่ 1) แผนการ จัดประสบการณ์ 2) แบบทดสอบทักษะการฟัง 3) แบบทดสอบทักษะการพูด 4) แบบสังเกต พฤติกรรมทางภาษาสถิติที่ ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน ทดสอบสมมติฐานโดยใช้t-test (Dependent Samples) ผลการวิจัยพบว่า 1. แผนการจัดประสบการณ์เพื่อพัฒนาทักษะการฟังและการพูด ภาษาไทย ประกอบการใช้กิจกรรมเล่านิทานระดับปฐมวัย ชั้นอนุบาลปีที่ 2 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 90.50 / 82.50 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด 2. ดัชนีประสิทธิผลของการเรียนรู้ด้วยแผนการจัด ประสบการณ์เพื่อพัฒนาทักษะการฟังและการพูดด้วยกิจกรรมการเล่านิทานระดับปฐมวัย ชั้นอนุบาล ปีที่ 2 มีค่าเท่ากับ 0.825 หรือคิดเป็นร้อยละ 82.50 3.ทักษะการฟังและการพูดของนักเรียนชั้น อนุบาลปีที่ 2 ภายหลังการจัดกิจกรรมการเล่านิทานสูงกว่าก่อนการจัดกิจกรรมการเล่านิทาน แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 อุษาวดีซงตายา (2563) การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาการจัด ประสบการณ์การเรียนรู้โดยใช้หนังสืออ่านเพิ่มเติมคำคล้องจองประกอบภาพ ที่มีประสิทธิภาพตาม


57 เกณฑ์ 80/80 2) เปรียบเทียบผลการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ ก่อนและหลังเรียน โดยใช้หนังสือ อ่านเพิ่มเติมคำคล้องจองประกอบภาพ 3) ศึกษาดัชนีประสิทธิผลของการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ โดยใช้หนังสื่ออ่านเพิ่มเติมคำคล้องจองประกอบภาพและ 4) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้น อนุบาลปีที่ 2 ที่มีต่อการจัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยใช้หนังสื่ออ่านเพิ่มเติมคำคล้องจองประกอบ ภาพ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการพัฒนาครั้งนี้ได้แก่นักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 2/3 โรงเรียนเทศบาล ๓ (วิมุก ตายนวิทยา) จำนวน 28 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบแบ่งกลุ่ม (Cluster Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลคือ 1) แผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยใช้หนังสืออ่าน เพิ่มเติมคำคล้องจอง สำหรับนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 2 2) หนังสืออ่านเพิ่มเติมคำคล้องจองประกอบ ภาพ 3) แบบประเมินทักษะการฟังและการพูด ของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 2 4)แบบสอบถามความพึง พอใจ ของนักเรียนชั้นอนุบาลศึกษาปีที่ 2 ที่เรียนจากหนังสืออ่านเพิ่มเติมคำคล้องจองประกอบภาพ วิเคราะห์ข้อมูลโดยหา ค่าเฉลี่ยค่าร้อยละ ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบ t-test ผลการวิจัยพบว่า 1) การจัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยใช้หนังสืออ่านเพิ่มเติมคำคล้อง จองประกอบภาพ มีประสิทธิภาพ 84.62/84.46 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ 80/80 2) ผลการเปรียบเทียบผลการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ ก่อนและหลังเรียน โดยใช้หนังสืออ่าน เพิ่มเติมคำคล้องจองประกอบภาพ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 3) ดัชนีประสิทธิผลของการจัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยใช้หนังสืออ่านเพิ่มเติมคำคล้องจอง ประกอบภาพเท่ากับ 0.70 แสดงว่านักเรียน มีความก้าวหน้าทางการเรียนเพิ่มขึ้นคิดเป็นร้อยละ 70 4) ความพึงพอใจที่มีต่อการจัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยใช้หนังสืออ่านเพิ่มเติมคำคล้องจอง ประกอบภาพ มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.60 และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.48 ซึ่งหมายความว่าความ พึงพอใจอยู่ในระดับชอบมาก ยุพดี ยศวริศสกุล และคณะ (2563) บทดคัดย่อ การวิจัยนี้มีจุดประสงค์เพื่อ 1) สร้าง นิทานพื้นบ้านมุสลิมสองภาษาให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75 และเปรียบเทียบประสิทธิภาพของ นิทานพื้นบ้านมุสลิมสองภาษาในโรงเรียนที่มีเด็กปฐมวัยเป็นไทยพุทธและไทยมุสลิม และโรงเรียนที่มี เฉพาะเด็กปฐมวัยไทยมุสลิม 2) ประเมินทักษะการพูดของเด็กปฐมวัย จากการใช้นิทานพื้นบ้านมุสลิม สองภาษา 3) เปรียบเทียบทักษะการพูดของเด็กปฐมวัย ก่อนและหลังใช้นิทานพื้นบ้านมุสลิมสอง ภาษา 4) เปรียบเทียบทักษะการพูดของเด็กปฐมวัย จากการใช้นิทานพื้นบ้านมุสลิมสองภาษา โดยมี คะแนนทักษะการพูดก่อนเรียนเป็นตัวแปรร่วม 5) ศึกษาความพึงพอใจของเด็กปฐมวัยที่มีต่อการสอน โดยใช้นิทานพื้นบ้านมุสลิมสองภาษา ประชากรที่ใช้ในการวิจัย คือ เด็กปฐมวัย ทีกำลังศึกษาชั้น อนุบาล 2 ในโรงเรียนสังกัดกองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนที่ 44 ปีการศึกษา 2563 จำนวน 141 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดประสบการณ์ 2) นิทานพื้นบ้านมุสลิมสอง ภาษา 3) แบบวัดทักษะการพูดสำหรับเด็กปฐมวัย และ 4) แบบประเมินความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ใน


58 การวิจัย คือ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบ One-Samples test การทดสอบ Paired sample test และการวิเคราะห์ความแปรปรวนร่วม ผลการวิจัยพบว่า 1) นิทานพื้นบ้านมุสลิมสองภาษามีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่กำหนด 75/75 โดยโรงเรียนที่มีเด็กปฐมวัยเป็นไทยพุทธและไทยมุสลิมมีประสิทธิภาพ 78.35/84.06 และ โรงเรียนที่มีเฉพาะเด็กปฐมวัยไทยมุสลิมมีประสิทธิภาพ 78.49/81.43 2) ทักษะการพูดของเด็ก ปฐมวัยสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 75 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .01 3) เด็กปฐมวัยทุกโรงเรียนมีทักษะการ พูดหลังใช้นิทานพื้นบ้านมุสลิมสองภาษามากกว่าก่อนใช้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 4) คะแนนสอบก่อนเรียนไม่มีความสัมพันธ์กับทักษะการพูดของนักเรียนหลังใช้นิทานพื้นบ้านมุสลิมสอง ภาษา 5) ความพึงพอใจของเด็กปฐมวัยที่มีต่อการสอนโดยการใช้นิทานพื้นบ้านมุสลิมสองภาษาอยู่ใน ระดับมาก วราภรณ์ สุทธิวงศ์และคณะ (2563) บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) ศึกษาผลการใช้การสอนภาษาธรรมชาติเพื่อเสริมสร้างพัฒนาการทางด้านการฟังและการพูดของเด็ก ปฐมวัย ชั้นอนุบาลปีที่ 2 และ 2) เพื่อเปรียบเทียบพัฒนาการของเด็กปฐมวัยก่อนและหลัง การสอน ภาษาธรรมชาติเพื่อเสริมสร้างพัฒนาการทางด้านการฟังและการพูดของเด็กปฐมวัย กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ ในการวิจัย คือ เด็กปฐมวัย ชาย-หญิง อายุระหว่าง 4-5 ปี ที่กำลังศึกษาอยู่ในชั้นอนุบาลปีที่ 2 ภาค เรียน ที่ 2 ปีการศึกษา 2563 โรงเรียนบ้านนาเรือง อำเภอนาเยีย จังหวัดอุบลราชธานี สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานีเขต 4 จำนวน 16 คน ซึ่งได้มาโดยการสุ่ม อย่างง่าย (Simple Random Sampling) ใช้เวลาในการทดลองรวม 4 สัปดาห์ในวันจันทร์ - วันศุกร์ วันละ 40 นาที เวลา 09.20-10.00 น. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนจัดประสบการณ์การ เรียนรู้ตามแนวทางการสอนภาษาธรรมชาติ จำนวน 20 แผน และแบบทดสอบวัดความสามารถทาง ภาษาของเด็กปฐมวัย สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ ทดสอบความแตกต่างด้วยค่าทีแบบกลุ่มตัวอย่างไม่อิสระ ต่อกัน (dependent-samples t-test analysis) ผลการวิจัย พบว่า 1) พัฒนาการทางด้านฟังและการพูดของเด็กปฐมวัย หลังการจัด ประสบการณ์โดยใช้แนวการสอนภาษาธรรมชาติสูงกว่าก่อนการจัดกิจกรรม 2) หลังการจัด ประสบการณ์โดยใช้แนวการสอนภาษาธรรมชาติ เด็กปฐมวัยมีพัฒนาการทางด้านฟังและการพูดของ เด็กปฐมวัยสูงขึ้นกว่าก่อนการจัดกิจกรรม อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05 อรณภัทร์ มากทรัพย์(2563) การวิจัยนี้เป็นงานวิจัยกึ่งทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา และเปรียบเทียบความสามารถด้านการฟังและการพูดของเด็กวัยอนุบาลก่อนและหลังการจัด ประสบการณ์ภาษาอังกฤษตามแนวการสอนภาษาแบบธรรมชาติร่วมกับเทคนิคการสลับภาษา กลุ่ม ตัวอย่างคือเด็กวัยอนุบาล อายุ 3-4 ปี โรงเรียนสาธิต “พิบูลบำเพ็ญ” มหาวิทยาลัยบูรพา ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 จำนวน 30 คน ใช้เวลาในการทดลองครั้งละ 25 นาที ติดต่อกันสัปดาห์ละ 4


59 ครั้ง เป็นเวลา 8 สัปดาห์ เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ (1) แผนการจัดประสบการณ์ภาษาอังกฤษตามแนวการ สอนภาษาแบบธรรมชาติร่วมกับเทคนิคการสลับภาษา มีขั้นตอนหลักในการจัดประสบการณ์ 4 ขั้นตอน ได้แก่ เตรียมประสบการณ์ก่อนอ่าน ตรวจสอบการคาดคะเนจากภาพในนิทาน ตรวจสอบ การคาดคะเนจากการอ่านนิทาน คาดคะเนคำจากโครงสร้างของประโยคและความหมายของคำ และ บูรณาการขั้นตอนของเทคนิคการสลับภาษาเป็นขั้นตอนย่อย ได้แก่ ทบทวน สาธิต ฝึกปฏิบัติ สรุป ความเข้าใจ (2) แบบประเมินความสามารถด้านการฟังและการพูดภาษาอังกฤษของเด็กวัยอนุบาล สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบที (t-test) ผลการวิจัย พบว่า 1. เด็กวัยอนุบาลมีความสามารถด้านการฟังและการพูดภาษาอังกฤษก่อน การทดลองอยู่ในระดับควรส่งเสริม และหลังการทดลองอยู่ในระดับดีโดยแยกเป็นรายด้าน ได้ดังนี้ 1) ด้านการฟัง ก่อนการทดลอง อยู่ในระดับควรส่งเสริม (=1.18, SD=.31) และหลังการทดลองอยู่ใน ระดับดี (=2.79, SD=.30) 2) ด้านการพูด ก่อนการทดลอง อยู่ในระดับควรส่งเสริม (=1.23, SD=.28) และหลังการทดลองอยู่ในระดับดี (=2.57, SD=.46) 3) เด็กวัยอนุบาลมีความสามารถด้านการฟังและ การพูดภาษาอังกฤษหลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 นันทัชพร ลี้ตระกูล และคณะ (2564: 269) บทคัดย่อ การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) เปรียบเทียบทักษะการพูดคำศัพท์ของเด็กปฐมวัยก่อนและหลังได้รับการจัดประสบการณ์โดย ใช้หุ่นมือ 2) เปรียบเทียบทักษะการพูดเป็นประโยคของเด็กปฐมวัยก่อนและหลังได้รับการจัด ประสบการณ์โดยใช้หุ่นมือ 3) เพื่อเปรียบเทียบทักษะการพูดเป็นเรื่องราวของเด็กปฐมวัยก่อนและ หลังได้รับการจัดประสบการณ์โดยใช้หุ่นมือกลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนระดับชั้นอนุบาล 1 โรงเรียนมินเตอร์พัฒนาศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชนแขวงประเวศ เขตประเวศ จังหวัดกรุงเทพมหานคร ภาคเรียนที่ 2ปีการศึกษา 2564 จำนวน 1 ห้องเรียน จำนวน 11 คน ที่ได้จากการสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม (Cluster Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการประสบการณ์โดยใช้หุ่นมือ จำนวน 12 แผน และ แบบทดสอบวัดทักษะการพูด ซึ่ง ประกอบด้วย 3 ตอน ได้แก่ ตอนที่1 ทักษะการพูดคำศัพท์ ตอนที่2 ทักษะการพูดเป็นประโยค ตอนที่ 3 ทักษะการพูดเป็นเรื่องราว สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย (̅ ) ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD) และสถิติทดสอบt-test for dependent samples ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้1) ทักษะการพูดคำศัพท์ของเด็กปฐมวัยหลังได้รับการจัด ประสบการณ์โดยใช้หุ่นมือสูงกว่าก่อนได้รับการจัดประสบการณ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 2) ทักษะการพูดเป็นประโยคของเด็กปฐมวัยหลังได้รับการจัดประสบการณ์โดยใช้หุ่นมือสูงกว่าก่อน ได้รับการจัดประสบการณ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 3) ทักษะการพูดเป็นเรื่องราวของเด็ก ปฐมวัยหลังได้รับการจัดประสบการณ์โดยใช้หุ่นมือสูงกว่าก่อนได้รับการจัดประสบการณ์อย่างมี นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01


60 4.1.2 งานวิจัยต่างประเทศ เอลเลน ดับเบิลยูและคณะ (Elaine W. et. Al: 2019) ความวิตกกังวลและภาวะ ซึมเศร้าในวัยเด็กมักไม่ได้รับการวินิจฉัย หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้รับการรักษา ซึ่งเรียกรวมกันว่า ความผิดปกติภายใน จะสัมพันธ์กับผลลัพธ์เชิงลบในระยะยาว รวมถึงการใช้สารเสพติดและความเสี่ยง ที่เพิ่มขึ้นในการฆ่าตัวตาย บทความนี้นำเสนอแนวทางใหม่ในการระบุเด็กเล็กที่มีความผิดปกติภายใน โดยใช้คำพูดความยาว 3 นาที เราแสดงให้เห็นว่าการวิเคราะห์แมชชีนเลิร์นนิงของข้อมูลเสียงจากงาน สามารถใช้เพื่อระบุเด็กที่มีความผิดปกติภายในด้วยความแม่นยำ 80% (ความไว 54%, ความจำเพาะ 93%) คำพูดมีลักษณะแยกแยะความผิดปกติภายในมากที่สุดได้รับการวิเคราะห์อย่างละเอียด แสดง ให้เห็นว่าเด็กที่ได้รับผลกระทบจะแสดงเสียงต่ำโดยเฉพาะอย่างยิ่ง โดยมีคำพูดและเนื้อหาที่ทำซ้ำได้ และการตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่น่าประหลาดใจสัมพันธ์กับการควบคุมด้วยระดับเสียงสูง เครื่องมือใหม่นี้ แสดงให้เห็นว่ามีประสิทธิภาพเหนือกว่าเกณฑ์ทางคลินิกเกี่ยวกับอาการของเด็กที่ผู้ปกครองรายงาน ซึ่งระบุเด็กที่มีความผิดปกติภายในด้วยความแม่นยำต่ำกว่า (67–77% เทียบกับ 80%) และ ความจำเพาะที่คล้ายกัน (85–100% เทียบกับ 93%) และ ความไว (0–58% เทียบกับ 54%) ใน ตัวอย่างนี้ ผลลัพธ์เหล่านี้ชี้ให้เห็นถึงการใช้แนวทางนี้ในอนาคตในการคัดกรองเด็กเกี่ยวกับความ ผิดปกติภายใน เพื่อให้สามารถปรับใช้มาตรการแทรกแซงได้เมื่อมีโอกาสสูงสุดที่จะประสบความสำเร็จ ในระยะยา ซาแมนธา เอ.อายาลา และคณะ (Samantha A.ayala et. Al : 2022) วัตถุประสงค์: การศึกษานี้รวบรวมการวัดความรุนแรงของการรับรู้ทางการได้ยินและการรับรู้ทางปากในเด็กและ วัยรุ่นที่กำลังพัฒนาโดยทั่วไปอายุ 9-15 ปี เรามุ่งหวังที่จะสร้างข้อมูลอ้างอิงที่สามารถใช้เป็นจุด เปรียบเทียบสำหรับบุคคลที่มีความผิดปกติของเสียงพูดที่เหลืออยู่ (RSSD) โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับ RSSD ที่ส่งผลต่อการออกเสียงภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน เราตรวจสอบความถูกต้องที่เกิดขึ้นพร้อม กันระหว่างงานต่าง ๆ และตั้งสมมติฐานว่าการปฏิบัติงานอย่างน้อยบางงานจะแสดงความสัมพันธ์ที่มี นัยสำคัญกับอายุ ซึ่งสะท้อนถึงการปรับปรุงการทำงานของประสาทสัมผัสอย่างต่อเนื่องในวัยเด็กตอน ปลาย นอกจากนี้เรายังทดสอบความสัมพันธ์แบบผกผันระหว่างการปฏิบัติงานด้านการได้ยินและการ รับรู้ทางกาย ซึ่งจะสนับสนุนสมมติฐานของการแลกเปลี่ยนระหว่างโดเมนทางประสาทสัมผัส วิธี: 98 คนทำงานด้านการรับรู้ทางการได้ยิน 3 งาน (ระบุและแยกแยะสิ่งเร้าจาก "เรค" - "ตื่น" ต่อเนื่อง และ การตัดสินความดีของหมวดหมู่สำหรับคำที่ผลิตตามธรรมชาติที่มี rhotics) และงานทางปาก 3 งาน (บล็อกกัดด้วยการปิดบังการได้ยิน ทางปาก การสามมิติ และการรับรู้เกี่ยวกับข้อต่อ ซึ่งเกี่ยวข้องกับ การตัดสินตำแหน่งลิ้นที่สัมพันธ์กันอย่างชัดเจนสำหรับเสียงคำพูดที่แตกต่างกัน) มีการตรวจสอบ ความสัมพันธ์แบบคู่ระหว่างงานภายในแต่ละโดเมน และระหว่างประสิทธิภาพงานและอายุ มาตรการ รวมของการทำงานของการรับรู้ทางการได้ยินและการรับรู้ทางกายถูกนำมาใช้เพื่อตรวจสอบความ


61 เป็นไปได้ของการแลกเปลี่ยนทางประสาทสัมผัส ผลลัพธ์: มีการสังเกตความสัมพันธ์ที่มีนัยสำคัญทาง สถิติระหว่างงานการระบุและการเลือกปฏิบัติกับงานบล็อกกัดและการรับรู้ข้อต่อ นอกจากนี้ ยังพบ ความสัมพันธ์ที่มีนัยสำคัญกับอายุในด้านความดีของหมวดหมู่และงานบล็อกกัด ไม่มีหลักฐานที่มี นัยสำคัญทางสถิติของการแลกเปลี่ยนระหว่างโดเมนการรับรู้การได้ยินและการรับรู้ทางกาย ข้อสรุป: การศึกษานี้นำเสนอลักษณะเฉพาะหลายมิติของการทำงานของประสาทสัมผัสที่เกี่ยวข้องกับคำพูดใน เด็กโต/วัยรุ่น มีการแบ่งปันเอกสารที่สมบูรณ์เพื่อจัดการงานทดลองทั้งหมด พร้อมด้วยการวัดแนวโน้ม จากส่วนกลางและการกระจายคะแนนในสองกลุ่มอายุ ท้ายที่สุด เราหวังว่าจะใช้ข้อมูลนี้เพื่อให้ คำแนะนำการรักษาสำหรับเด็กที่มี RSSD โดยเฉพาะโดยพิจารณาจากประวัติทางประสาทสัมผัส เจนย่า อิอุซซินี-ไซเคิล และคณะ (Genya luzzini cycle et. Al: 2022) วัตถุประสงค์: ในขณะที่มีการวิจัยที่เน้นไปที่การวินิจฉัยภาวะ apraxia of Speech ในวัยเด็ก (CAS) มากขึ้น แต่มี เพียงเล็กน้อยที่มุ่งเน้นไปที่การแยก CAS ออกจากภาวะ dysarthria ในเด็ก เนื่องจาก CAS และ dysarthria มีอาการคำพูดที่ทับซ้อนกัน และเด็กบางคนมีทั้งความผิดปกติของคำพูดจากการ เคลื่อนไหว การวินิจฉัยแยกโรคจึงเป็นเรื่องที่ท้าทาย มีความจำเป็นต้องมีเครื่องมือทางคลินิกที่เอื้อต่อ การประเมินทั้ง CAS และอาการ dysarthria ในเด็ก เป้าหมายของบทช่วยสอนนี้คือ (ก) กำหนด ระดับความเชื่อมั่นของแพทย์ในการวินิจฉัยภาวะ dysarthria และ CAS ที่แตกต่างกัน และ (b) จัดทำ ขั้นตอนที่เป็นระบบสำหรับการแยกความแตกต่างของ CAS และภาวะ dysarthria ในเด็กในเด็ก วิธี: มีการทบทวนหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับการวินิจฉัยแยกโรคของ CAS และ dysarthria ต่อไป การสำรวจ ทางเว็บของนักพยาธิวิทยาภาษาพูดในเด็ก 359 คนจะถูกนำมาใช้เพื่อกำหนดระดับความเชื่อมั่นทาง คลินิกในการวินิจฉัย CAS และภาวะ dysarthria สุดท้ายนี้ จะมีการนำเสนอรายการตรวจสอบ คุณลักษณะด้านเสียงพูดและการรับรู้ด้านการเคลื่อนไหวในเด็ก พร้อมด้วยขั้นตอนในการระบุ CAS และภาวะ dysarthria ในเด็กที่สงสัยว่ามีความบกพร่องด้านเสียงด้านการเคลื่อนไหว กรณีศึกษาแสดง ให้เห็นถึงการประยุกต์ใช้ระเบียบปฏิบัตินี้ และจะมีการหารือถึงผลกระทบจากการรักษาสำหรับกรณีที่ ซับซ้อน ผลลัพธ์: ผู้ตอบแบบสอบถามทางคลินิกส่วนใหญ่ (60%) รายงานว่ามีความมั่นใจต่ำหรือไม่มี เลยในการวินิจฉัยภาวะ dysarthria ในเด็ก และ 40% รายงานว่าพวกเขามีแนวโน้มที่จะไม่ทำการ วินิจฉัยด้วยเหตุนี้ นับจากนี้ไป แพทย์สามารถใช้รายการตรวจสอบคุณลักษณะและระเบียบวิธีในบท ช่วยสอนนี้เพื่อสนับสนุนการวินิจฉัยแยกโรคของ CAS และภาวะ dysarthria ในการปฏิบัติงานทาง คลินิก ข้อสรุป: การรวมระเบียบวิธีการวินิจฉัยนี้เข้ากับการปฏิบัติทางคลินิกควรช่วยเพิ่มความมั่นใจ และความแม่นยำในการวินิจฉัยความผิดปกติของคำพูดในเด็ก การวิจัยในอนาคตควรทดสอบความไว และความจำเพาะของเกณฑ์วิธีนี้ในกลุ่มตัวอย่างจำนวนมากของเด็กที่มีความผิดปกติของเสียงพูดที่ แตกต่างกัน หลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษาและการฝึกอบรมด้านการศึกษาต่อเนื่องควรให้โอกาสในการ ฝึกใช้คุณลักษณะการให้คะแนนคำพูดสำหรับเด็กที่มีภาวะ dysarthria และ CAS


62 4.2 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับนิทานและการเล่านิทาน 4.2.1 งานวิจัยในประเทศ อัณณ์ชญากร พัฒนประสิทธิ (2561) การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษานิทาน พื้นบ้านภาคเหนือที่ส่งผลต่อการพัฒนาทักษะการฟัง การพูดของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ ระดับ ปฐมวัย ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75 และเปรียบเทียบทักษะการฟังการพูดของเด็กที่มีความ ต้องการพิเศษ ระดับปฐมวัย ก่อนและหลังใช้นิทานพื้นบ้านภาคเหนือโดยกลุ่มเป้าหมาย คือ เด็กที่มี ความต้องการพิเศษกลุ่มที่มีปัญหาทักษะการฟังการพูดกำลังศึกษาอยู่ในระดับปฐมวัย (ชั้นอนุบาลปีที่ 3) โรงเรียนวัดแม่แก้ดน้อย ตำบลป่าไผ่ อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2561 จำนวนทั้งสิ้น 6 คน โดยเลือกแบบเจาะจง กระบวนการวิจัยเป็นแบบเชิงทดลอง และเครื่องมือ ที่ใช้ประกอบด้วย (1) นิทานฟื้นบ้านภาคเหนือ จำนวน 4 เรื่อง (2) แผนการจัดประสบการณ์ (3) แบบ ประเมินทักษะการฟังการพูดก่อนเรียนและหลังเรียน สถิติที่ใช้ในวิเคราะห์ข้อมูล คือแบบประเมิน ความสอดคล้อง (IOC) ค่าเฉลี่ยค่าร้อยละ ค่าประสิทธิภาพ E1/E2 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลวิจัยพบว่า ผลการใช้นิทานพื้นบ้านภาคเหนือเพื่อพัฒนาทักษะการฟังการพูดของเด็ก ที่มีความต้องการพิเศษ ระดับปฐมวัย จังหวัดเชียงใหม่ พบว่า เด็กที่มีความต้องการพิเศษกลุ่มที่มี ปัญหาทักษะการฟังการพูดกำลังศึกษาอยู่ในระดับปฐมวัย (ชั้นอนุบาลปีที่ 3) ที่ได้รับการใช้นิทาน พื้นบ้านภาคเหนือมีทักษะการฟังการพูด ดีขึ้น ดังนี้ 1. นิทานพื้นบ้านภาคเหนือที่ส่งผลต่อทักษะการฟังการพูดของเด็กที่มีความต้องการ พิเศษกลุ่มที่มีปัญหาทักษะการฟังการพูดกำลังศึกษาอยู่ในระดับปฐมวัย (ชั้นอนุบาลปีที่ 3) มี ประสิทธิภาพเท่ากับ 77.41/77.50 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ 2. หลังการใช้นิทานพื้นบ้านภาคเหนือทำให้เด็กที่มีความต้องการพิเศษกลุ่มที่มีปัญหา ทักษะการฟังการพูดกำลังศึกษาอยู่ในระดับปฐมวัย (ชั้นอนุบาลปีที่ 3) มีทักษะการฟังการพูด อยู่ใน ระดับ ดี 3. ความสามารถทักษะการฟังการพูดของเด็กที่มีความต้องการพิเศษกลุ่มที่มีปัญหา ทักษะการฟังการพูดกำลังศึกษาอยู่ในระดับปฐมวัย (ชั้นอนุบาลปีที่ 3) ที่ได้รับการสอนโดยใช้นิทาน พื้นบ้านภาคเหนือแล้วพบว่าเด็กที่มีความต้องการพิเศษกลุ่มที่มีปัญหาทักษะการฟังการพูดกำลังศึกษา อยู่ในระดับปฐมวัย (ชั้นอนุบาลปีที่ 3) มีทักษะการฟังการพูด ได้ดีขึ้น ดารินี ภู่ทอง และ เพชราวลัย ถิระวณัฐพงศ์ (2562: 60) การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) พัฒนาแผนการจัดประสบการณ์การเล่านิทาน ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) ศึกษา ดัชนีประสิทธิผลของแผนการจัดประสบการณ์โดยใช้กิจกรรมการเล่านิทาน ชั้นอนุบาลปีที่ 2 3) เพื่อ เปรียบเทียบทักษะการฟังและการพูดภาษาไทยของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 2 ก่อนและหลังการจัด ประสบการณ์โดยใช้ กิจกรรมการเล่านิทานกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือเด็กปฐมวัยชั้นอนุบาลปีที่


63 2 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2562 จำนวน 25 คนโรงเรียนเอกชนเขตสายไหม กรุงเทพมหานคร ซึ่ง ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาได้แก่ 1) แผนการ จัดประสบการณ์2) แบบทดสอบทักษะการฟัง 3) แบบทดสอบทักษะการพูด 4) แบบสังเกต พฤติกรรมทางภาษาสถิติที่ ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน ทดสอบสมมติฐานโดยใช้ t-test (Dependent Samples) ผลการวิจัยพบว่า 1. แผนการจัดประสบการณ์เพื่อพัฒนาทักษะการฟังและการพูด ภาษาไทย ประกอบการใช้กิจกรรมเล่านิทานระดับปฐมวัย ชั้นอนุบาลปีที่ 2 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 90.50 / 82.50 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด 2. ดัชนีประสิทธิผลของการเรียนรู้ด้วยแผนการจัด ประสบการณ์เพื่อพัฒนาทักษะการฟังและการพูดด้วยกิจกรรมการเล่านิทานระดับปฐมวัย ชั้นอนุบาล ปีที่ 2 มีค่าเท่ากับ 0.825 หรือคิดเป็นร้อยละ 82.503.ทักษะการฟังและการพูดของนักเรียนชั้น อนุบาลปีที่ 2 ภายหลังการจัดกิจกรรมการเล่านิทานสูงกว่าก่อนการจัดกิจกรรมการเล่านิทาน แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 สิริรัตน์ โสภิตะชา และคณะ (2562) บทคัดย่อ บทคัดย่อการวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) ศึกษาผลการใช้นิทานเพื่อเสริมสร้างความสามารถพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัย ชั้น อนุบาลปที่ 3 และ 2) เปรียบเทียบความสามารถพื้นฐานทาง คณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัยชั้นอนุบาลปี ที่ 3 ก่อนและหลังการใช้นิทาน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ เด็กปฐมวัย ชาย-หญิง อายุระหว่าง 5-6 ปี ที่กำลังศึกษาอยู่ในชั้นอนุบาลปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2562 โรงเรียนบ้านโนนงาม อำเภอนาเยีย จังหวัดอุบลราชธานี สังกัดสำนักงานเขต พื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 3 จำนวน 18 คน ซึ่งได้มาโดยการสุ่มอย่างง่าย (Simple Random Sampling) ใช้เวลาในการ ทดลองรวม 4 สัปดาห์ ในวันจันทร์- วันศุกร์ วันละ 40 นาที เวลา 09..20 - 10.00 น. เครื่องมือที่ใช้ ในการวิจัย ได้แก่ แผนจัดประสบการณ์การเรียนรู้ จำนวน 20 แผน และแบบวัดความสามารถทาง คณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัย สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบความแตกต่างด้วยค่าทีแบบกลุ่มตัวอย่างไม่อิสระต่อกัน (dependent-samples t-test analysis) ผลการวิจัย พบว่า ความสามารถพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัด กิจกรรมเล่านิทานมีคะแนนโดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับสูงและหลังการจัดกิจกรรมเล่านิทานมี คะแนนเฉลี่ยสูงกว่าก่อนการจัดกิจกรรมเล่านิทาน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 เพชรดีโสภาพร และ กรวิภา สรรพกิจจำนง (2563) บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มี จุดประสงค์ในการวิจัยเพื่อ (1) สร้างและหาประสิทธิภาพนิทานสื่อประสม เพื่อเสริมสร้างทักษะ พื้นฐานทางคณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย ชุด น้องบัวชวนนับเลข ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80 / 80 (2) เปรียบเทียบความสามารถด้านทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัย ก่อนและหลัง การใช้นิทานสื่อประสม ชุดน้องบัวชวนนับเลข กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นเด็กปฐมวัยชั้น


64 อนุบาลปีที่ 2 จำนวน 20 คน ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2563 โรงเรียนวัดลาดพร้าว สำนักงาน เขตลาดพร้าว กรุงเทพมหานคร ใช้วิธีการเลือกสุ่มแบบเจาะจง ( Purposive sampling ) โดยใช้ แบบแผนการทดลองแบบ One Group Pretest – Posttest Design เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ (1) นิทานสื่อประสม ชุดน้องบัวชวนนับเลข (2) แผนการจัดการเรียนรู้ (3) แบบประเมินทักษะ พื้นฐานทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัย ที่มีค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบทั้งฉบับเท่ากับ 0.84 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การหาค่าคะแนนเฉลี่ย ค่าร้อยละ ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานและการทดสอบค่าที แบบ กลุ่มตัวอย่างที่ไม่เป็นอิสระจากกัน (dependent t-test) ผลกาวิจัยพบว่า (1) นิทานสื่อประสม ชุดน้องบัวชวนนับเลข มีประสิทธิภาพเท่ากับ 81.19/82.25 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด (2) ทักษะ ทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดประสบการณ์ทางคณิตศาสตร์ด้วยนิทานสื่อประสม ชุด น้องบัวชวนนับเลข หลังการจัดประสบการณ์สูงกว่าก่อนการจัดประสบการณ์ ในการเสริมสร้างทักษะ คณิตศาสตร์พื้นฐานสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ซึ่งสอดคล้องกับสมมุติฐาน ยุพดี ยศวริศสกุล (2563) บทดคัดย่อ การวิจัยนี้มีจุดประสงค์เพื่อ 1) สร้างนิทานพื้นบ้าน มุสลิมสองภาษาให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75 และเปรียบเทียบประสิทธิภาพของนิทานพื้นบ้าน มุสลิมสองภาษาในโรงเรียนที่มีเด็กปฐมวัยเป็นไทยพุทธและไทยมุสลิม และโรงเรียนที่มีเฉพาะเด็ก ปฐมวัยไทยมุสลิม 2) ประเมินทักษะการพูดของเด็กปฐมวัย จากการใช้นิทานพื้นบ้านมุสลิมสองภาษา 3) เปรียบเทียบทักษะการพูดของเด็กปฐมวัย ก่อนและหลังใช้นิทานพื้นบ้านมุสลิมสองภาษา 4) เปรียบเทียบทักษะการพูดของเด็กปฐมวัย จากการใช้นิทานพื้นบ้านมุสลิมสองภาษา โดยมีคะแนน ทักษะการพูดก่อนเรียนเป็นตัวแปรร่วม 5) ศึกษาความพึงพอใจของเด็กปฐมวัยที่มีต่อการสอนโดยใช้ นิทานพื้นบ้านมุสลิมสองภาษา ประชากรที่ใช้ในการวิจัย คือ เด็กปฐมวัย ทีกำลังศึกษาชั้นอนุบาล 2 ในโรงเรียนสังกัดกองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนที่ 44 ปีการศึกษา 2563 จำนวน 141 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดประสบการณ์ 2) นิทานพื้นบ้านมุสลิมสองภาษา 3) แบบวัดทักษะการพูดสำหรับเด็กปฐมวัย และ 4) แบบประเมินความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิจัย คือ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบ One-Samples test การทดสอบ Paired sample test และการวิเคราะห์ความแปรปรวนร่วม ผลการวิจัยพบว่า 1) นิทานพื้นบ้านมุสลิมสองภาษามีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่กำหนด 75/75 โดยโรงเรียนที่มีเด็กปฐมวัยเป็นไทยพุทธและไทยมุสลิมมีประสิทธิภาพ 78.35/84.06 และ โรงเรียนที่มีเฉพาะเด็กปฐมวัยไทยมุสลิมมีประสิทธิภาพ 78.49/81.43 2) ทักษะการพูดของเด็ก ปฐมวัยสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 75 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .01 3) เด็กปฐมวัยทุกโรงเรียนมีทักษะการ พูดหลังใช้นิทานพื้นบ้านมุสลิมสองภาษามากกว่าก่อนใช้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 4) คะแนนสอบก่อนเรียนไม่มีความสัมพันธ์กับทักษะการพูดของนักเรียนหลังใช้นิทานพื้นบ้านมุสลิมสอง


65 ภาษา 5) ความพึงพอใจของเด็กปฐมวัยที่มีต่อการสอนโดยการใช้นิทานพื้นบ้านมุสลิมสองภาษาอยู่ใน ระดับมาก ศุภวัฒน์ บุญนาดี(2563) บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรม การแบ่งปันของเด็กปฐมวัยก่อน ระหว่างและหลังได้รับการจัดกิจกรรมเล่านิทานคุณธรรม และ เปรียบเทียบพฤติกรรมการแบ่งปันของเด็กปฐมวัยก่อน ระหว่างและหลังได้รับการจัดกิจกรรมเล่า นิทานคุณธรรม กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ เด็กอายุ 5-6 ปี ที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นอนุบาลปี ที่ 3/1 โรงเรียนเทศบาลบ้านโนนชัย สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น อำเภอเมือง จังหวัด ขอนแก่น ได้มาโดยการสุ่มอย่างง่าย (Simple Random Sampling) จำนวน 22 คน ใช้เวลาใน การศึกษาในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2563 ระยะเวลา 8 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 3 วัน เครื่องมือที่ใช้ใน การวิจัยได้แก่แผนการจัดกิจกรรมเล่านิทานคุณธรรม จำนวน 24 แผน คะแนนเฉลี่ยโดยรวมเท่ากับ 4.77 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.04 ค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) 0.97 และแบบสังเกต พฤติกรรมการแบ่งปันของเด็กปฐมวัย (IOC) 0.66-1.00 ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.75 สถิติที่ใช้ในการ วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ความเบี่ยงเบนมาตรฐาน ความแปรปรวนแบบวัดซ้ำ (Repeatedmeasures ANOVA) ผลการวิจัยพบว่า 1) ก่อนได้รับการจัดกิจกรรมเล่านิทานคุณธรรม เด็กไม่ แบ่งปันวัสดุ อุปกรณ์ของตนเองให้กับเพื่อน ระหว่างได้รับการจัดกิจกรรมเล่านิทานคุณธรรม เด็ก แบ่งปันวัสดุ อุปกรณ์ของตนเองให้กับเพื่อนโดยที่ครูคอยแนะนำเด็กๆทำกิจกรรมกลุ่มร่วมกับเพื่อน มากขึ้น หลังการได้รับการจัดกิจกรรมเล่านิทานคุณธรรม เด็กมีพฤติกรรมการแบ่งปันวัสดุ อุปกรณ์ ของตนเองให้เพื่อน 2) ผลการจัดกิจกรรมเล่านิทานคุณธรรม ที่มีต่อพฤติกรรมการแบ่งปันของเด็ก ปฐมวัยก่อน ระหว่างและหลังการจัดกิจกรรม ในแต่ละช่วงสัปดาห์เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ.01และมีอัตราการเปลี่ยนแปลงก่อน ระหว่างและหลังการจัดกิจกรรมเพิ่มขึ้นเป็น 0.19-1.13 เกษร ขวัญมา และคณะ (2564) บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อ พัฒนาชุดนิทานเพลงสร้างสรรค์ส่งเสริมทักษะสมองเพื่อชีวิตที่สำเร็จของเด็กปฐมวัย 2) เพื่อศึกษาผล การใช้ชุดนิทานเพลงสร้างสรรค์ส่งเสริมทักษะสมองเพื่อชีวิตที่สำเร็จของเด็กปฐมวัย 3) เพื่อ เปรียบเทียบผลการพัฒนาทักษะสมองเพื่อชีวิตที่สำเร็จของเด็กปฐมวัย ก่อนและหลังการใช้ชุดนิทาน เพลงสร้างสรรค์ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ เด็กปฐมวัย ชาย-หญิง ระดับชั้นอนุบาล 3 อายุ 5 - 6 ปี ที่กำลัง ศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 โรงเรียนสาธิตละอออุทิศ วิทยาเขตสุพรรณบุรี ได้มา โดยการสุ่มแบบแบ่งกลุ่ม (Cluster Random Sampling) ด้วยวิธีการจับสลาก เครื่องมือที่ใช้ในการ วิจัยครั้งนี้มี 2 ประเภท ประกอบด้วย เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง คือ ชุดนิทานเพลงสร้างสรรค์ สำหรับเด็กปฐมวัย และเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บผลการทดลอง คือ แบบประเมินทักษะสมองเพื่อชีวิต ที่สำเร็จ (Executive Functions) และแบบสังเกตพฤติกรรม ทำการทดลองเป็นระยะเวลา 8 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 2 ครั้ง ครั้งละ 20 นาทีวิเคราะห์ผลการวิจัยที่ได้จากการหาประสิทธิภาพของกระบวนการ


66 (E1) และประสิทธิภาพของผลลัพธ์ (E2) สถิตที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ สถิติพื้นฐาน เช่น ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ t-test ผลการวิจัยครั้งนี้ พบว่า 1) ชุดนิทานเพลงสร้างสรรค์ส่งเสริมทักษะสมองเพื่อชีวิตที่ สำเร็จของเด็กปฐมวัยมีค่าประสิทธิภาพของกระบวนการ (E1) เท่ากับ 89.12 และประสิทธิภาพของ ผลลัพธ์ (E2) เท่ากับ 92.51 ซึ่งสรุปได้ว่าชุดกิจกรรมนิทานเพลงสร้างสรรค์ ส่งเสริมทักษะสมองเพื่อ ชีวิตที่สำเร็จสำหรับเด็กปฐมวัย ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นสามารถนำไปใช้ทดลองในการวิจัยครั้งนี้ได้อย่างมี ประสิทธิภาพ 2) ผลการใช้ชุดนิทานเพลงสร้างสรรค์ส่งเสริมทักษะสมองเพื่อชีวิตที่สำเร็จของเด็ก ปฐมวัย มีคะแนนเฉลี่ยจำนวน 9 ทักษะ เฉลี่ยรวมก่อนการทดลองเท่ากับ 4.04 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 0.18 และเฉลี่ยรวมหลังการทดลองเท่ากับ 4.78 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.11 และ 3) ผลการเปรียบเทียบคะแนนการพัฒนาทักษะสมองเพื่อชีวิตที่สำเร็จของเด็กปฐมวัย มีคะแนนเฉลี่ยโดย ภาพรวม หลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลอง และมีผลการประเมินทักษะสมองเพื่อชีวิตที่สำเร็จ หลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลองใช้กิจกรรมชุดนิทานเพลงสร้างสรรค์ทุกคน โดยมีค่า t-test เท่ากับ 4.24 แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ฉัตรวิไล สุรินทร์ชมพูและคณะ (2564) บทคัดย่อ การวิจัยเรื่อง การปรับเปลี่ยน พฤติกรรมสุขภาพเด็กปฐมวัยที่มีภาวะโภชนาการเกิน โดยจัดกิจกรรมการเล่านิทาน มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาพฤติกรรมสุขภาพเด็กปฐมวัยที่มีภาวะโภชนาการเกินที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเล่านิทาน และเพื่อเปรียบเทียบพฤติกรรมสุขภาพเด็กปฐมวัยที่มีภาวะโภชนาการเกิน ก่อนและหลังการจัด กิจกรรมการเล่านิทาน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในงานวิจัย คือนักเรียนชาย-หญิง อายุระหว่าง 5-6 ปี โรงเรียนอนุบาลเชียงคาน “ปทุมมาสงเคราะห์” อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2564 จำนวนนักเรียน 15 คน โดยวิธีการสุ่มอย่างง่าย (Simple Random Sampling) ด้วยการจับฉลากมา 1 ห้องเรียนจากจำนวน 2 ห้องเรียน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย แผนการจัดกิจกรรมการเล่านิทานและแบบประเมินพฤติกรรมการกินและการออกกำลังกายของเด็ก ปฐมวัยที่มีภาวะโภชนาการเกิน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ ttest dependent ผลการวิจัยพบว่า 1) พฤติกรรมสุขภาพเด็กปฐมวัยที่มีภาวะโภชนาการเกิน อายุ ระหว่าง 5-6 ปีโรงเรียนอนุบาลเชียงคาน “ปทุมมาสงเคราะห์” อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ที่ได้รับ การจัดกิจกรรมการเล่านิทาน มีค่าเฉลี่ยในภาพรวมเท่ากับ 15.28 (S.D = 0.85) โดยสัปดาห์ที่มี ค่าเฉลี่ยสูงที่สุด คือ สัปดาห์ที่ 4 เรื่อง กุ๊กไก่ผู้แข็งแรง มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 16.67 (S.D = 0.82) รองลงมาคือ สัปดาห์ที่ 3 เรื่อง สิงโตอุ้ยอ้าย มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 16.07 (S.D = 0.88) รองลงมาคือ สัปดาห์ที่ 2 เรื่อง หนูจะกินอะไรดี มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 14.87 (S.D = 1.13) และสัปดาห์ที่มีค่าเฉลี่ยน้อย ที่สุด คือ สัปดาห์ที่ 1 เรื่อง หนูเป็ดอ้วน มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 13.53 (S.D = 1.25) 2) พฤติกรรมสุขภาพ เด็กปฐมวัยที่มีภาวะโภชนาการเกิน อายุระหว่าง 5-6 ปี โรงเรียนอนุบาลเชียงคาน“ปทุมมา


67 สงเคราะห์” อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย หลังจัดกิจกรรมการเล่านิทานดีขึ้นกว่าก่อนจัดกิจกรรม อย่างมีนัย สำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 4.2.2 งานวิจัยต่างประเทศ เว โรนิกา วีวาส (Va Ronika Vivas et. al : 2021) ในด้านการศึกษา มีการอภิปราย เกี่ยวกับวิธีการสอนแนวคิดชั่วคราวภายในสังคมศาสตร์ในการศึกษาปฐมวัยและประถมศึกษา การ อภิปรายนี้เกิดขึ้นตั้งแต่อายุยังน้อยของนักเรียน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความจำเป็นในการใช้แนวทางการ สอนที่แตกต่างจากที่ใช้ในระดับการศึกษาระดับสูงอื่นๆ เนื่องจากเรื่องราวได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็น วิธีการสอนที่มีประสิทธิภาพซึ่งใช้ในระดับการศึกษานี้ตลอด 30 ปีที่ผ่านมา ปัญหาการวิจัยจึงวนเวียน อยู่กับคำถามต่อไปนี้ เป็นไปได้ไหมที่จะสอนแนวคิดชั่วคราวในการศึกษาปฐมวัยโดยใช้เรื่องราวที่ไม่ เฉพาะเจาะจงเพื่อสอนสังคม วิทยาศาสตร์ด้วยเหตุ นี้การวิจัยครั้งนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อออกแบบ นำไปใช้ และประเมินโปรแกรมการสอนตามแนวคิดเชิงเวลาอดีต/ปัจจุบัน/อนาคตก่อน/หลังและการ เปลี่ยนแปลง/การเปลี่ยนแปลงในปีที่สามของการศึกษาปฐมวัยโดยใช้เรื่องไม่เฉพาะเจาะจงมาสอน สังคมศาสตร์เพื่อความเข้าใจที่ดีขึ้นเกี่ยวกับโปรแกรม เราได้รวมคำอธิบายโดยย่อเกี่ยวกับระบบ การศึกษาภาษาสเปนไว้ด้วย ผู้เข้าร่วมการศึกษาคือนักเรียน 47 คนของศูนย์เด็กปฐมวัยและ ประถมศึกษาในเมืองโมลินา เด เซกูรา เมืองมูร์เซีย ประเทศสเปน วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณโดยใช้ โปรแกรมซอฟต์แวร์ SPSS v. 24 โดยมีเป้าหมายในการประเมินความสำเร็จของนักเรียนตาม วัตถุประสงค์ของแต่ละกิจกรรม รวมถึงโปรแกรมการสอนโดยรวม เปอร์เซ็นต์และความถี่ของ องค์ประกอบต่าง ๆ ของแผนภูมิการประเมินได้รับกาคำนวณ เมื่อรวบรวมข้อมูลจากเซสชันระดม ความคิดเกี่ยวกับความรู้ก่อนหน้าของนักเรียนเกี่ยวกับแนวคิดเชิงเวลาแล้ว ข้อมูลดังกล่าวจะถูกถอด ความและจัดระเบียบในแผนภูมิที่สอดคล้องกัน ทางนี้, มีการสร้างเอกสารข้อความหลัก เมื่อใช้ร่วมกับ แบบสอบถามเบื้องต้นเกี่ยวกับแนวคิดชั่วคราว (IQTC) และแบบสอบถามการประเมินตนเองขั้น สุดท้าย (FSQ) ซึ่งไม่จำเป็นต้องมีการถอดความ มีการสร้างหมวดหมู่การตีความสามหมวดหมู่ขึ้น หนึ่ง หมวดหมู่สำหรับแต่ละเอกสาร โดยใช้โปรแกรม ATLAS.ti (เวอร์ชัน 7.5.2 ). ผลลัพธ์แสดงให้เห็น เปอร์เซ็นต์การบรรลุวัตถุประสงค์ในระดับสูง โดยมีความแตกต่างค่อนข้างมากระหว่างชั้นเรียนหนึ่ง กับอีกชั้นเรียนหนึ่ง ผลลัพธ์เหล่านี้ทำให้เราสรุปได้ว่าแนวคิดชั่วคราวที่เลือกสำหรับโปรแกรมการสอน นี้สามารถสอนได้ในชั้นเรียนการศึกษาปฐมวัยปีที่สามโดยใช้เรื่องราว โดยใช้โปรแกรม ATLAS.ti (เวอร์ ชั่น 7.5.2) ผลลัพธ์แสดงให้เห็นเปอร์เซ็นต์การบรรลุวัตถุประสงค์ในระดับสูง โดยมีความแตกต่าง ค่อนข้างมากระหว่างชั้นเรียนหนึ่งกับอีกชั้นเรียนหนึ่ง ผลลัพธ์เหล่านี้ทำให้เราสรุปได้ว่าแนวคิดชั่วคราวที่เลือกสำหรับโปรแกรมการสอนนี้สามารถสอนได้ใน ชั้นเรียนการศึกษาปฐมวัยปีที่สามโดยใช้เรื่องราว โดยใช้โปรแกรม ATLAS.ti (เวอร์ชั่น 7.5.2) ผลลัพธ์ แสดงให้เห็นเปอร์เซ็นต์การบรรลุวัตถุประสงค์ในระดับสูง โดยมีความแตกต่างค่อนข้างมากระหว่างชั้น


68 เรียนหนึ่งกับอีกชั้นเรียนหนึ่ง ผลลัพธ์เหล่านี้ทำให้เราสรุปได้ว่าแนวคิดชั่วคราวที่เลือกสำหรับ โปรแกรมการสอนนี้สามารถสอนได้ในชั้นเรียนการศึกษาปฐมวัยปีที่สามโดยใช้เรื่องราวราโมนา ลา โม นาโดย Aitana Carrasco นูร์โรห์มาตุล อมาเลียห์และคณะ (Nurrohmatul Amaliah et. Al : 2022) การศึกษา นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการใช้สื่อหุ่นมือต่อทักษะการฟังนิทานในเด็กอายุ 5-7 ปี วิธีที่ใช้ใน การศึกษาวิจัยครั้งนี้ คือ การออกแบบการวิจัยกึ่งทดลอง โดยมีกลุ่มควบคุม การออกแบบก่อน-หลัง การทดสอบ การศึกษานี้ใช้กลุ่มตัวอย่างจากนักเรียนชั้นทดลอง 32 คน และนักเรียนชั้นควบคุม 32 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยนี้คือแบบทดสอบ เทคนิคการวิเคราะห์ข้อมูลใช้โปรแกรม SPSS Statistic 25 จากผลการศึกษาจะเห็นได้จากการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยก่อนและหลังการทดสอบของคลาสทดลอง และคลาสควบคุม กล่าวคือ การใช้สื่อการเรียนรู้สำหรับเด็กอายุ 5-7 ปี ทั้งหุ่นมือและหุ่นกระดาษ มี ผลกับทักษะการฟังนิทานเช่นเดียวกัน 4.3 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับหุ่นมือ 4.3.1 งานวิจัยในประเทศ จุชารัตน์ ฉิมรักษ์ (2556) บทคัดย่อ การศึกษาวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ประเมิน ประสิทธิภาพการจัดการเรียนรู้โดยใช้หุ่นมือและการแสดงบทบาทสมมติของเด็กก่อนวัยเรียนมี ประสิทธิผลตามมาตรฐาน 80/80 2) ประเมินประสิทธิผลการจัดการเรียนรู้โดยใช้หุ่นมือและบทบาท สมมติ การเล่น 3) เปรียบเทียบความคิดสร้างสรรค์และความสามารถในการสื่อสารของเด็กก่อนวัย เรียนระหว่างก่อนและหลังการเรียนรู้โดยใช้หุ่นมือและการใช้บทบาทสมมติ 4) เปรียบเทียบความคิด สร้างสรรค์และความสามารถในการสื่อสารของเด็กก่อนวัยเรียนระหว่างการใช้หุ่นมือกับการใช้ บทบาทสมมติ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ คือ เด็กก่อนวัยเรียนที่ได้รับการคัดเลือกอย่างง่าย จำนวน 40 คน สำนักงานโรงเรียนรามราช สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพนมเขต 2 โรงเรียนรามราช 2 เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้หุ่นมือ และแผนการจัดการการเรียนรู้โดยใช้ บทบาทสมมติ แบบทดสอบการคิดเชิงสร้างสรรค์ของทอร์รันซ์ (Torrance Test ของ Creative Think Figural Form A) ความยากอยู่ระหว่าง 0.42 ถึง 0.85 การเลือกปฏิบัติตั้งแต่ 0.38 ถึง 0.60 โดยมีความมั่นใจเท่ากับ 0.94 และการประเมินความสามารถในการสื่อสารกับเด็กอายุ 3 ปี - 5 ปี จากกรมอนามัย แบบทดสอบความฉลาดทางอารมณ์ของกระทรวงสาธารณสุข โดยมีอำนาจแยกแยะ ระหว่าง 0.35 ถึง 0.59 โดยมีความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.97 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ เปอร์เซ็นต์ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบสมมติฐานโดยใช้ t-test (ตัวอย่างอิสระ) F - test สำหรับการวิเคราะห์ความแปรปรวนร่วม (One-Way ANCOVA) และ E1/E2 และ EI และ ประเมินความสามารถในการสื่อสารกับเด็กอายุ 3 - 5 ปี จากกรมอนามัย แบบทดสอบความฉลาด


69 ทางอารมณ์ของกระทรวงสาธารณสุข โดยมีอำนาจแยกแยะระหว่าง 0.35 ถึง 0.59 โดยมีความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.97 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ เปอร์เซ็นต์ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ การทดสอบสมมติฐานโดยใช้ t-test (ตัวอย่างอิสระ) F - test สำหรับการวิเคราะห์ความแปรปรวน ร่วม (One-Way ANCOVA) และ E1/E2 และ EI และประเมินความสามารถในการสื่อสารกับเด็กอายุ 3 - 5 ปี จากกรมอนามัย แบบทดสอบความฉลาดทางอารมณ์ของกระทรวงสาธารณสุข โดยมีอำนาจ แยกแยะระหว่าง 0.35 ถึง 0.59 โดยมีความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.97 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ เปอร์เซ็นต์ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบสมมติฐานโดยใช้ t-test (ตัวอย่างอิสระ) F - test สำหรับการวิเคราะห์ความแปรปรวนร่วม (One-Way ANCOVA) และ E1/E2 และ EI ผลการวิจัยดังนี้ 1. ประสิทธิภาพการใช้หุ่นมือต่อการคิดเชิงสร้างสรรค์ 86.58/85.44 ความสามารถใน การสื่อสาร 93.50/92.57 ประสิทธิภาพการเรียนรู้ในบทบาทเชิงสร้างสรรค์ 93.47/89.89 ความสามารถในการสื่อสาร 93.36/ 92.27 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ 2. ดัชนีประสิทธิผลการจัดการเรียนรู้โดยใช้หุ่นมือและการแสดงบทบาทสมมติด้านการ คิดเชิงสร้างสรรค์ มีค่าเท่ากับ 0.5904 และ 0.6860 และความสามารถในการสื่อสารเท่ากับ 0.7805 และ 0.7648 แสดงให้เห็นว่า เด็กมีความก้าวหน้าในการคิดเชิงสร้างสรรค์ คิดเป็น 59.04 และ 68.60 . เด็กๆมีความก้าวหน้าในความสามารถของพวกเขา การสื่อสารร้อยละ 78.05 และ 76.48 3. เด็กก่อนวัยเรียน ทั้งการเรียนรู้โดยใช้หุ่นยนต์หุ่นมือ และการแสดงบทบาทสมมติ มี ความคิดสร้างสรรค์ การบริหารความคิด และความสามารถในการสื่อสารสูงกว่าแบบทดสอบ มี นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 4. เด็กก่อนวัยเรียนที่มีการจัดการเรียนรู้ระหว่างการใช้หุ่นมือและการแสดงบทบาท สมมติต่างกัน มีความคิดสร้างสรรค์แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.01 แต่ไม่มีความสามารถ ในการสื่อสารของซินิติกแตกต่างกันเลย นงลักษณ์ รักพงษ์และ ดวงพร ธรรมะ (2559) บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมาย สำคัญ เพื่อพัฒนาหุ่นมือประกอบกิจกรรมการเล่านิทาน เพื่อเตรียมความพร้อมและเปรียบเทียบ ระดับความสามารถทางด้านการฟังและการพูดของนักเรียนระดับปฐมวัยก่อนและหลังการใช้หุ่นมือ ประกอบกิจกรรมการเล่านิทาน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือเด็กปฐมวัยชาย–หญิง อายุระหว่าง 5-6 ปี ที่กำลัง ศึกษาอยู่ในชั้นอนุบาลปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2559 โรงเรียนเซนต์โยเซฟระยอง ซึ่งได้มา โดยการจับสลาก นักเรียนระดับชั้นอนุบาล 3 จาก 3 ห้องเรียน ห้องเรียนละ 10 คน ได้จำนวน 30 คน ผู้วิจัยเป็นผู้ดำเนินการทดลอง ด้วยตนเอง โดยทำการทดลอง เป็นเวลา 10 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 1 เรื่อง วันละ30 นาที รวม 3 วันต่อสัปดาห์ รวมทั้งสิ้น 30 ครั้ง


70 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ แผนการจัดกิจกรรมเล่านิทาน หุ่นมือ นิทานอีสป แบบทดสอบความพร้อม แบบบันทึกคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียน สถิติที่ใช้คือ เกณฑ์ประสิทธิภาพ E1/E2 และ t-test of Dependent Samples ในการวิเคราะห์ข้อมูล ผลการวิจัยพบว่าประสิทธิภาพของหุ่นมือประกอบกิจกรรมการเล่านิทานมีค่าสูงสุด เท่ากับ80.15/89.80 ซึ่ง เป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ และคะแนนความพร้อมด้านการฟังและการพูด ของนักเรียนระดับปฐมวัยหลังการใช้หุ่นมือประกอบกิจกรรมการเล่านิทานสูงกว่าก่อนการใช้กิจกรรม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 กิตติมา ทรงวัฒนา (2561) การวิจัยครั้งนี้เป็นวิจัยกึ่งทดลองแบบสองกลุ่มวัดผลภายหลัง การทดลองครั้งเดียว เพื่อศึกษาผลของการใช้หุ่นนิ้วมือหรรษาประกอบการเล่านิทานต่อความกลัวการ พ่นยาฝอยละอองในเด็กวัยก่อนเรียน กลุ่มตัวอย่าง คือ เด็กวัยก่อนเรียนที่ติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ และเข้ารับการรักษาในหอผู้ป่วยกุมารเวชกรรม โรงพยาบาลพระปกเกล้า จังหวัดจันทบุรี จำนวน 30 ราย ใช้วิธีการสุ่มอย่างง่ายเพื่อเลือกกลุ่มตัวอย่างเข้ากลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 15 ราย เก็บข้อมูลตั้งแต่เดือนมิถุนายน ถึงเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2561 กลุ่มทดลองได้รับการใช้หุ่นนิ้วมือหรรษา ประกอบการเล่านิทาน และกลุ่มควบคุมได้รับการพยาบาลตามปกติ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย แบบ บันทึกข้อมูลทั่วไป และแบบสังเกตพฤติกรรมความกลัวของเด็กป่วยวัยก่อนเรียนที่ได้รับการพ่นยา แบบฝอยละออง ซึ่งมีค่าความเชื่อมั่นสัมประสิทธิ์แอลฟาครอนบาค เท่ากับ .87 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ สถิติพรรณนา และการทดสอบค่าที ผลการวิจัยพบว่าคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมความกลัวของเด็กป่วย วัยก่อนเรียนที่ได้รับการพ่นยาแบบฝอยละออง ภายหลังสิ้นสุดการทดลองในกลุ่มทดลองต่ำกว่ากลุ่ม ควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ(p < .001) ผลการวิจัยครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า การใช้หุ่นนิ้วมือหรรษา ประกอบการเล่านิทานในเด็กป่วยวัยก่อนเรียนที่ได้รับการพ่นยาแบบฝอยละอองนี้มีประสิทธิภาพโดย ช่วยลดความกลัวของเด็กจากการได้รับการพ่นยาฝอยละออง พยาบาลสามารถนำไปใช้เพื่อช่วยลด ความกลัวของเด็ก ทำให้สามารถพ่นยาแบบฝอยละอองได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ช่อลัดดา คำแก้ว และคณะ (2563) บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาทักษะการ รู้จำและการแสดงออกทางภาษาด้วยกิจกรรมละครหุ่นมือของเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา ระดับรองลงมา อายุระหว่าง 6 - 8 ปี และเป็นส่วนหนึ่งของวิทยานิพนธ์เรื่อง การพัฒนาทักษะการ รับรู้และการแสดงออกทางภาษาผ่านละครหุ่นมือ กิจกรรมของเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา ระดับต่ำ อายุระหว่าง 6 - 8 ปี กลุ่มตัวอย่าง เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาระดับไมเนอร์ อายุ ระหว่าง 6-8 ปี มี IQ ระดับ 50 - 70 ไม่มีความพิการซ้ำซ้อน ใช้วิธีการเลือกเฉพาะ การวิจัย ประกอบด้วยการออกแบบกิจกรรมตามแนวคิดทางทฤษฎีดังต่อไปนี้ 1) กระบวนการสร้างละครหุ่น 2) ทฤษฎีการเรียนรู้จากแบบจำลอง (บันดูระ) 3) ทฤษฎีการสอน 3R สำหรับเด็กที่มีความบกพร่องทาง สติปัญญา 4) ทฤษฎีการเรียนรู้จากแบบจำลอง (บันดูระ) SMCE Communication (Daid K.Berlo)


71 ผู้วิจัยได้ออกแบบกิจกรรม ดังนี้ 1) ศึกษาหลักสูตรตามหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พ.ศ. 2560 วิธีการ สอน ทฤษฎีการสอนและการเรียนรู้สำหรับเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา 2) ศึกษาหลักสูตร ตามหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย 3) เขียนแผนกิจกรรมการแสดงหุ่นกระบอก 4) นำแผนกิจกรรมละคร หุ่นไปให้ผู้เชี่ยวชาญ 3 คน เพื่อตรวจสอบความเหมาะสมของเนื้อหากิจกรรม พบว่าสามารถทำ กิจกรรมได้ ประกอบด้วย 3 ขั้นตอน ช่วงแนะนำ 10 นาที การสอน 10 นาที สรุป 10 นาที กิจกรรม 24 ครั้ง สัปดาห์ละ 8 ครั้ง ครั้งละ 3 ครั้ง ครั้งละ 40 นาที ประกอบด้วย 1) ข้อมูลส่วนบุคคล 2) ข้อมูลครอบครัว และผู้คนรอบข้าง 3) ข้อมูลเกี่ยวกับสัตว์และเสียงสัตว์ 4) ภาษาเพื่อการสื่อสารใน ชีวิตประจำวัน นันทัชพร ลี้ตระกูล และคณะ (2564: 269) บทคัดย่อ การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) เปรียบเทียบทักษะการพูดคำศัพท์ของเด็กปฐมวัยก่อนและหลังได้รับการจัดประสบการณ์โดย ใช้หุ่นมือ 2) เปรียบเทียบทักษะการพูดเป็นประโยคของเด็กปฐมวัยก่อนและหลังได้รับการจัด ประสบการณ์โดยใช้หุ่นมือ 3) เพื่อเปรียบเทียบทักษะการพูดเป็นเรื่องราวของเด็กปฐมวัยก่อนและ หลังได้รับการจัดประสบการณ์โดยใช้หุ่นมือกลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนระดับชั้นอนุบาล 1 โรงเรียนมินเตอร์พัฒนาศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชนแขวงประเวศ เขตประเวศ จังหวัดกรุงเทพมหานคร ภาคเรียนที่ 2ปีการศึกษา 2564 จำนวน 1 ห้องเรียน จำนวน 11 คน ที่ได้จากการสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม (Cluster Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการประสบการณ์โดยใช้หุ่นมือ จำนวน 12 แผน และ แบบทดสอบวัดทักษะการพูด ซึ่ง ประกอบด้วย 3 ตอน ได้แก่ ตอนที่1 ทักษะการพูดคำศัพท์ ตอนที่2 ทักษะการพูดเป็นประโยค ตอนที่ 3 ทักษะการพูดเป็นเรื่องราว สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย (̅ ) ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD) และสถิติทดสอบt-test for dependent samples ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้ 1) ทักษะการพูดคำศัพท์ของเด็กปฐมวัยหลังได้รับการจัด ประสบการณ์โดยใช้หุ่นมือสูงกว่าก่อนได้รับการจัดประสบการณ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 2) ทักษะการพูดเป็นประโยคของเด็กปฐมวัยหลังได้รับการจัดประสบการณ์โดยใช้หุ่นมือสูงกว่าก่อน ได้รับการจัดประสบการณ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 3) ทักษะการพูดเป็นเรื่องราวของเด็ก ปฐมวัยหลังได้รับการจัดประสบการณ์โดยใช้หุ่นมือสูงกว่าก่อนได้รับการจัดประสบการณ์อย่างมี นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 4.3.2 งานวิจัยต่างประเทศ นูรุล มูญาฮีดะห์(Nurul Mujahidah: 2021) การใช้หุ่นมือในกิจกรรมเล่าเรื่อง (ซึ่งอาจมี ลักษณะคล้ายคนหรือสัตว์ก็ได้) เป็นสื่อการเรียนรู้มีประโยชน์หลายประการ การศึกษานี้มี วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาบทบาทของวิธีการเล่าเรื่องด้วยหุ่นมือในการพัฒนาภาษาของเด็กปฐมวัย งานวิจัยนี้ใช้การวิจัยประเภทห้องสมุด Systematic Literature Review (SLR) คือ การศึกษา


72 การศึกษาทางวิทยาศาสตร์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยเพื่อให้ได้อนุมานในรูปแบบของการค้นพบใหม่ ๆ ที่สามารถทำซ้ำได้ในภายหลัง แหล่งข้อมูลที่ใช้เป็นข้อมูลทุติยภูมิที่เคยตีพิมพ์ในรูปแบบหนังสือ วารสาร และงานวิจัยที่ผ่านมา เทคนิคการเก็บรวบรวมข้อมูลในการวิจัยครั้งนี้เป็นเอกสารประกอบ เทคนิคการวิเคราะห์ข้อมูลใช้การวิเคราะห์เนื้อหาซึ่งเป็นเทคนิคการวิจัยเพื่อการอนุมานที่สามารถ ทำซ้ำได้ ผลการวิจัยพบว่าการเล่าเรื่องโดยใช้สื่อหุ่นมือมีบทบาทในการพัฒนาภาษาของเด็ก บทบาท ของวิธีการเล่าเรื่องโดยใช้สื่อหุ่นมือในการพัฒนาภาษาของเด็กปฐมวัย ได้แก่ (1) การส่งเสริมให้เด็กมี ทักษะในการพูดมากขึ้น (2) ทำให้เด็กสนใจและกระตือรือร้นในการฟังมากขึ้น (3) เพิ่มความมั่นใจใน ตนเองของเด็ก (4) พัฒนาทักษะการฟังของเด็ก (5) การพัฒนาทักษะการใช้ภาษาของเด็ก (6) การ พัฒนาความรู้เบื้องต้นของเด็ก (7) ช่วยให้เด็กเล่าเรื่องราวที่เคยได้ยินมาอีกครั้ง (8) เพิ่มการจดจำ คำศัพท์และคำศัพท์ให้กับภาษาของเด็ก และ (9) การพัฒนาทักษะด้านภาษาพูดของเด็ก การวิจัยครั้ง นี้มีนัยต่อการเรียนรู้ โดยเฉพาะให้ครูได้ใช้สื่อต่าง ๆ และวิธีการเรียนรู้ที่เหมาะสมตามรูปแบบการ เรียนรู้ของเด็ก เด็กๆ มีความสนใจและกระตือรือร้นมากขึ้นในการมีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้ นูร์โรห์มาตุล อมาเลียห์และคณะ (2022) การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของ การใช้สื่อหุ่นมือต่อทักษะการฟังนิทานในเด็กอายุ 5-7 ปี วิธีที่ใช้ในการศึกษาวิจัยครั้งนี้ คือ การ ออกแบบการวิจัยกึ่งทดลอง โดยมีกลุ่มควบคุม การออกแบบก่อน-หลังการทดสอบ การศึกษานี้ใช้ กลุ่มตัวอย่างจากนักเรียนชั้นทดลอง 32 คน และนักเรียนชั้นควบคุม 32 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย นี้คือแบบทดสอบ เทคนิคการวิเคราะห์ข้อมูลใช้โปรแกรม SPSS Statistic 25 จากผลการศึกษาจะ เห็นได้จากการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยก่อนและหลังการทดสอบของคลาสทดลองและคลาสควบคุม กล่าวคือ การใช้สื่อการเรียนรู้สำหรับเด็กอายุ5-7 ปี ทั้งหุ่นมือและหุ่นกระดาษ มีผลกับทักษะการฟัง นิทานเช่นเดียวกัน ดวี ริสติยานี(2023) ทักษะทางภาษามีสี่ทักษะ ได้แก่ การฟัง การพูด การอ่าน และ การเขียน เด็กวัยอนุบาลเพียงต้องฟังและพูดให้ถูกต้องและสอดคล้องกับพัฒนาการตามวัยเท่านั้น จากข้อมูลของ Departemen Pendidikan Nasional (2003) นวนิยายเรื่องการพัฒนาภาษาสำหรับ เด็กปฐมวัยเป็นเครื่องมือในการสื่อสารกับสิ่งแวดล้อม เป็นเครื่องมือในการพัฒนาความสามารถโดย กำเนิดของเด็ก ความสามารถที่แท้จริง เป็นเครื่องมือในการพัฒนาการแสดงออกของเด็ก และเป็น เครื่องมือในการพัฒนา เพื่อแสดงความรู้สึกและความคิดต่อผู้อื่น การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนา ทักษะการแสดงออกทางภาษาของเด็กปฐมวัยโดยใช้หุ่นมือตัวละครในกลุ่ม B1 TK ABA Wonosari IV จำนวน 15 คน การรวบรวมข้อมูลผ่านการสังเกตและการจัดทำเอกสาร ผลลัพธ์แสดงให้เห็นการ เพิ่มขึ้นของตัวบ่งชี้ในสภาวะก่อนรอบเดือนที่ 13% และ 60% ในรอบแรกและ 93% ในรอบที่สอง ผลการวิเคราะห์อำนาจสรุปได้ว่าการใช้สื่อหุ่นมือตัวละครสามารถปรับปรุงภาษาการแสดงออกในกลุ่ม


73 บทที่3 วิธีดำเนินการวิจัย การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับความสามารถทางการพูดของเด็กปฐมวัย ก่อนและหลังการจัดกิจกรรมเล่านิทานประกอบหุ่น และเพื่อเปรียบเทียบความสามารถทางการพูด ของเด็กปฐมวัย ก่อนและหลังการจัดกิจกรรมเล่านิทานประกอบหุ่น โดยมีหัวข้อในการดำเนินการวิจัย ดังนี้ ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 1. ประชากร เด็กชาย-หญิง อายุ 4-5 ปี กำลังศึกษาในชั้นอนุบาล 2/8 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียน อนุบาลอุดรธานี สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานีเขต 1 จำนวน 30 คน 2. กลุ่มตัวอย่าง เด็กชาย-หญิง อายุ 4-5 ปี กำลังศึกษาในชั้นอนุบาล 2/8 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนอนุบาลอุดรธานี สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานีเขต 1 จำนวน 30 คน ซึ่ง ได้มาโดยใช้วิธีการ (One Group Pretest – Posttest Design) แบบแผนการทดลอง การศึกษาครั้งนี้ใช้แผนการทดลองกลุ่มเดียวทดสอบก่อนและหลังการจัดกิจกรรมเล่านิทาน ประกอบหุ่น (One Group Pretest – Posttest Design) ดังตารางที่ 1 สอบก่อน ทดลอง สอบหลัง T X T ตารางที่ 1 แบบแผนการทดลอง สัญลักษณ์ที่ใช้ในแบบแผนการทดลอง T แทน การทดสอบก่อนการจัดกิจกรรมเล่านิทานประกอบหุ่น X แทน การจัดกิจกรรมเล่านิทานประกอบหุ่น T แทน การทดสอบหลังการจัดกิจกรรมเล่านิทานประกอบหุ่น 1 2 1 2


74 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1. ประเภทของเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ ประกอบด้วย 1.1 แผนการจัดกิจกรรมเล่านิทาน จำนวน 24 แผน แผนละ 45 นาที สัปดาห์ละ 3 ครั้ง รวม 8 สัปดาห์ 1.2 แบบทดสอบความสามารถทางการพูด ดังนี้ 1.2.1 การพูดเป็นประโยค 5 ข้อ 1.2.2 การพูดเป็นเรื่องราว 5 ข้อ 2. การสร้างและการหาคุณภาพเครื่องมือ 2.1 ขั้นตอนในการสร้างแผนการจัดกิจกรรมเล่านิทานประกอบหุ่น การสร้าง แผนการจัดกิจกรรมเล่านิทานประกอบหุ่น มีดังนี้ 2.1.1 ศึกษาเอกสารหลักสูตรการศึกษาปฐมวัยพุทธศักราช 2560 2.1.2 ศึกษาแนวคิดทฤษฎี เอกสารและตำราที่เกี่ยวข้องกับการจัดกิจกรรม การเล่านิทานประกอบหุ่น 2.1.3 ศึกษาแนวการเขียนแผน การจัดประสบการณ์ และตัวอย่างการเขียน แผนการจัดประสบการณ์หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560 2.1.4 จัดทำแผนการจัดกิจกรรมการเล่านิทานประกอบหุ่น โดยเลือกนิทานที่ มีเนื้อหาที่สัมพันธ์กับหน่วยการเรียน และมีคำศัพท์ที่ง่าย เหมาะสมกับแผนการจัดประสบการณ์ชั้น อนุบาลปีที่ 2 โดยมีขั้นตอนดังนี้ 2.1.4.1 ขั้นพูดคุยทำความเข้าใจเกี่ยวกับข้อตกลงที่ใช้ในการจัด กิจกรรมและรูปแบบการเล่านิทานประกอบหุ่น 2.1.4.2 ฟังผู้วิจัยสาธิตการใช้อุปกรณ์ และแต่ละกลุ่มออกมาเล่า นิทาน 2.1.4.3 สรุปสิ่งที่ได้จากการฟังและเล่านิทาน โดยจัดกิจกรรม ในช่วงเสริมประสบการณ์ เรื่องละ 1 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 3 วัน ได้แก่ วันจันทร์ วันอังคาร วัน พฤหัสบดีวันละ 45 นาที รวมทั้งสิ้น 8 สัปดาห์ดังตารางที่ 2 สัปดาห์ วันที่ทำการทดลอง ชื่อนิทาน สื่อที่ใช้ประกอบการเล่านิทาน 1 จันทร์ อังคาร พฤหัสบดี หนูน้อยหมวกแดง หุ่นนิ้วมือจากกระดาษ


75 2 จันทร์ อังคาร พฤหัสบดี กระต่ายกับเต่า หุ่นจากไม้ไอศกรีม 3 จันทร์ อังคาร พฤหัสบดี เด็กเลี้ยงแกะ หุ่นจากถุงกระดาษ 4 จันทร์ อังคาร พฤหัสบดี ราชห์สีกับหนู หุ่นนิ้วมือจากกระดาษ 5 จันทร์ อังคาร พฤหัสบดี ลูกหมู 3 ตัว หุ่นจากไม้ไอศกรีม 6 จันทร์ อังคาร พฤหัสบดี ห่านทองคำ หุ่นจากถุงกระดาษ 7 จันทร์ อังคาร พฤหัสบดี ลูกเป็ดขี้เหร่ หุ่นนิ้วมือจากกระดาษ 8 จันทร์ อังคาร พฤหัสบดี เทพารักษ์กับคนตัดไม้ หุ่นจากไม้ไอศกรีม ตารางที่ 2 เนื้อหาสาระที่ใช้ในการทดลองการจัดกิจกรรมเล่านิทาน 2.1.5 นำแผนการจัดกิจกรรมเล่านิทานประกอบหุ่น เสนอต่ออาจารย์ที่ ปรึกษา เพื่อตรวจสอบความถูกต้องตามหลักการ และนำไปปรับปรุงแก้ไข 2.1.6 นำแผนการจัดกิจกรรมเล่านิทานประกอบหุ่น เสนอต่อผู้เชี่ยวชาญ เพื่อ ตรวจสอบความถูกต้องตามหลักการ และนำไปปรับปรุงแก้ไข 2.1.7 นำแผนการจัดกิจกรรมเล่านิทานประกอบหุ่นมาปรับปรุงแก้ไขตาม คำแนะนำของอาจารย์ที่ปรึกษา และผู้เชี่ยวชาญ 2.1.8 นำแผนการจัดกิจกรรมเล่านิทานประกอบหุ่น ไปทดลองใช้กับนักเรียน ชั้นอนุบาลปีที่ 2 อายุ 4-5 ปี ที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 30 คน เพื่อหาคุณภาพของแผนการจัด กิจกรรม 2.1.9 นำแผนการจัดกิจกรรมเล่านิทานประกอบหุ่น ไปทำเป็นแผนการเรียนรู้ ฉบับจริง เพื่อใช้กลับกลุ่มตัวอย่างในการทดลอง


76 ขั้นตอนการสร้างแผนการจัดกิจกรรมกาเล่านิทานประกอบหุ่น ผู้วิจัยได้ดำเนินการสร้าง ลำดับ ดังในภาพที่ 2 รูปภาพที่ 2 ขั้นตอนการสร้างแผนการจัดกิจกรรมเล่านิทานประกอบหุ่น 2.2 แบบทดสอบความสามารถทางการพูดของเด็กปฐมวัย ดังนี้ 2.2.1 ศึกษาหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560 2.2.2 ศึกษาเอกสาร ตำรา และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการสร้างแบบทดสอบ ความสามารถทางการพูด เพื่อเป็นแนวทางในการสร้างแบบทดสอบความสามารถทางการพูด ศึกษาเอกสารหลักสูตรการศึกษาปฐมวัยพุทธศักราช 2560 ศึกษาแนวคิดทฤษฎีเอกสารและ ตำราที่เกี่ยวข้องกับการจัดกิจกรรมการเล่านิทานประกอบหุ่นและศึกษาแนวการเขียนแผน การ จัดประสบการณ์ และตัวอย่างการเขียนแผนการจัดประสบการณ์หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560 จัดทำแผนการจัดกิจกรรมการเล่านิทานประกอบหุ่น โดยเลือกนิทานที่มีเนื้อหาที่สัมพันธ์กับ หน่วยการเรียน และมีคำศัพท์ที่ง่าย เหมาะสมกับแผนการจัดประสบการณ์ชั้นอนุบาลปีที่ 2 นำแผนการจัดกิจกรรมเล่านิทานประกอบหุ่น เสนอต่ออาจารย์ที่ปรึกษาและผู้เชี่ยวชาญ เพื่อ ตรวจสอบความถูกต้องตามหลักการ และนำไปปรับปรุงแก้ไข นำแผนการจัดกิจกรรมเล่านิทานประกอบหุ่นมาปรับปรุงแก้ไขตามคำแนะนำของอาจารย์ที่ ปรึกษา นำแผนการจัดกิจกรรมเล่านิทานประกอบหุ่น ไปทดลองใช้กับนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 2 อายุ 4-5 ปี ที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 30 คน เพื่อหาคุณภาพของแผนการจัดกิจกรรม นำแผนการจัดกิจกรรมเล่านิทานประกอบหุ่น ไปทำเป็นแผนการเรียนรู้ฉบับจริง เพื่อใช้กลับกลุ่ม ตัวอย่างในการทดลอง


77 2.2.3 สร้างแบบทดสอบความสามารถทางการพูดของเด็กปฐมวัย ดังนี้ 2.2.3.1 แบบทดสอบความสามารถด้านการพูดเป็นประโยค 10 ข้อ 2.2.3.2 แบบทดสอบความสามารถด้านการพูดเป็นเรื่องราว 10 ข้อ 2.2.4 กำหนดเกณฑ์การวัดความสามารถทางการพูด ดังนี้ 2.2.4.1 เกณฑ์การให้คะแนนการทำแบบทดสอบ 3 คะแนน หมายถึง เมื่อเด็กทำถูกและให้เหตุผลถูกต้องชัดเจน 2 คะแนน หมายถึง เมื่อเด็กทำถูกแต่ให้เหตุผลไม่ได้หรือไม่ถูกต้อง 1 คะแนน หมายถึง เมื่อเด็กทำผิดหรือให้เหตุผลไม่ได้ 2.2.5 นำแบบทดสอบความสามารถทางการพูดของเด็กปฐมวัยเสนอต่อาจารย์ที่ ปรึกษา เพื่อปรับปรุงแก้ไข 2.2.6 นำแบบทดสอบความสามารถทางการพูดของเด็กปฐมวัยให้ผู้เชี่ยวชาญ พิจารณาตรวจสอบ เพื่อตรวจสอบความตรงของเนื้อหา และสอดคล้องกับความสามารถทางการพูด แล้วลงความเห็น ดังนี้ (สุวิมล ติรกานันท์, 2548) ให้คะแนน +1 เมื่อเห็นว่าข้อสอบมีความเหมาะสมและสอดคล้องกับ ความสามารถทางการพูดของเด็กปฐมวัย ให้คะแนน 1 เมื่อไม่แน่ใจว่าข้อสอบมีความเหมาะสมและสอดคล้องกับ ความสามารถทางการพูดของเด็กปฐมวัย ให้คะแนน 0 เมื่อไม่แน่ใจว่าข้อสอบนั้นไม่มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับ ความสามารถทางการพูดของเด็กปฐมวัย 2.2.8 นำแบบทดสอบความสามารถทางการพูดที่ปรับปรุงแก้ไขแล้วไปทดลองใช้กับ นักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 2 อายุ 4-5 ปี ที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 30 คน 2.2.9 นำแบบทดสอบความสามารถทางการพูดที่ปรับปรุงแก้ไขแล้ว ไปใช้เก็บข้อมูล กับเด็กปฐมวัยที่เป็นกลุ่มตัวอย่าง จากขั้นตอนการสร้างแบบทดสอบวัดความสามารถทางการพูดของเด็กปฐมวัย ผู้วิจัย สร้างขึ้น สรุปได้เป็นขั้นตอน ดังภาพที่ 3


78 รูปภาพที่ 3 ขั้นตอนการสร้างแบบทดสอบความสามารถทางการพูดของเด็กปฐมวัย ศึกษาหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560 และ ศึกษาเอกสาร ตำรา และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการ สร้างแบบทดสอบความสามารถทางการพูด เพื่อเป็นแนวทางในการสร้างแบบทดสอบความสามารถทางการพูด สร้างแบบทดสอบความสามารถทางการพูดของเด็กปฐมวัย ดังนี้1. แบบทดสอบความสามารถด้านการพูดเป็น ประโยค 10 ข้อ 2. แบบทดสอบความสามารถด้านการพูดเป็นเรื่องราว 10 ข้อ เกณฑ์การให้คะแนนการทำแบบทดสอบ 3 คะแนน หมายถึง เมื่อเด็กทำถูกและให้เหตุผลถูกต้องชัดเจน 2 คะแนน หมายถึง เมื่อเด็กทำถูกแต่ให้เหตุผลไม่ได้หรือไม่ถูกต้อง 1 คะแนน หมายถึง เมื่อเด็กทำผิดหรือให้ เหตุผลไม่ได้ นำแบบทดสอบความสามารถทางการพูดของเด็กปฐมวัยเสนอต่อาจารย์ที่ปรึกษา เพื่อปรับปรุงแก้ไข นำแบบทดสอบความสามารถทางการพูดของเด็กปฐมวัยให้ผู้เชี่ยวชาญ พิจารณาตรวจสอบ เพื่อตรวจสอบความ ตรงของเนื้อหา และสอดคล้องกับความสามารถทางการพูดแล้วลงความเห็น ดังนี้ (สุวิมล ติรกานันท์, 2548) ให้ คะแนน +1 เมื่อเห็นว่าข้อสอบมีความเหมาะสมและสอดคล้องกับความสามารถทางการพูดของเด็กปฐมวัย ให้ คะแนน 1 เมื่อไม่แน่ใจว่าข้อสอบมีความเหมาะสมและสอดคล้องกับความสามารถทางการพูดของเด็กปฐมวัยให้ คะแนน 0 เมื่อไม่แน่ใจว่าข้อสอบนั้นไม่มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับความสามารถทางการพูดของเด็ก ปฐมวัย นำแบบทดสอบความสามารถทางการพูดที่ปรับปรุงแก้ไขแล้วไปทดลองใช้กับนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 2 อายุ 4-5 ปี ที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 30 คน นำแบบทดสอบความสามารถทางการพูดที่ปรับปรุงแก้ไขแล้ว ไปใช้เก็บข้อมูลกับเด็กปฐมวัยที่เป็นกลุ่มตัวอย่าง


79 การเก็บรวบรวมข้อมูล ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นวิจัยเชิงทดลอง (Experimental Design) ซึ่งผู้วิจัยได้ดำเนินการทดลอง โดยอาศัยการวิจัยแบบทดลองกลุ่มเดียว วัดผลก่อนและหลังการทดลองตามแบบแผนการวิจัยแบบ One-Group Pretest Posttest Design ดังตารางที่ 2 กลุ่ม สอบก่อน (Pretest) จัดกิจกรรม สอบหลัง (Posttest) ทดลอง T X T ตารางที่ 3 แบบแผนการทดลอง สัญลักษณ์ที่ใช้ในแบบแผนการศึกษาค้นคว้า T หมายถึง การทดสอบก่อนการจัดกิจกรรมเล่านิทานประกอบหุ่น X หมายถึง การจัดกิจกรรมเล่านิทานประกอบหุ่น T หมายถึง การทดสอบหลังการจัดกิจกรรมเล่านิทานประกอบหุ่น วิธีการดำเนินการทดลอง การวิจัยครั้งนี้ดำเนินการทดลองในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 ทำการทดลองเป็น เวลา 8 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 3 วัน วันละ 1 ครั้ง ครั้งละ 45 นาที รวม 24 ครั้ง มีลำดับขั้นตอนดังนี้ 1. ก่อนการจัดกิจกรรม ผู้วิจัยทำการทดสอบก่อนด้วยแบบทดสอบวัดความสามารถทางการ พูด จำนวน 1 วัน 2. ผู้วิจัยดำเนินการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ โดยใช้กิจกรรมเล่านิทานประกอบหุ่น ซึ่ง ระยะเวลาที่ใช้ในการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ จำนวน 8 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 3 วัน วันละ 45 นาที รวมทั้งสิ้น 24 ครั้ง ดังตารางที่4 สัปดาห์ วันที่ทำการทดลอง ชื่อนิทาน สื่อที่ใช้ประกอบการเล่านิทาน 1 จันทร์ อังคาร พฤหัสบดี หนูน้อยหมวกแดง หุ่นนิ้วมือจากกระดาษ 2 จันทร์ อังคาร พฤหัสบดี กระต่ายกับเต่า หุ่นจากไม้ไอศกรีม จันทร์ 1 2 1 2


80 3 จันทร์ อังคาร พฤหัสบดี เด็กเลี้ยงแกะ หุ่นจากถุงกระดาษ 4 จันทร์ อังคาร พฤหัสบดี ราชห์สีกับหนู หุ่นนิ้วมือจากกระดาษ 5 จันทร์ อังคาร พฤหัสบดี ลูกหมู 3 ตัว หุ่นจากไม้ไอศกรีม 6 จันทร์ อังคาร พฤหัสบดี ห่านกับไข่ทองคำ หุ่นจากถุงกระดาษ 7 จันทร์ อังคาร พฤหัสบดี ลูกเป็ดขี้เหร่ หุ่นนิ้วมือจากกระดาษ 8 จันทร์ อังคาร พฤหัสบดี เทพารักษ์กับคนตัดไม้ หุ่นจากไม้ไอศกรีม ตารางที่ 4 เนื้อหาสาระที่ใช้ในการทดลองการจัดกิจกรรมเล่านิทาน 3. ในการดำเนินการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ โดยใช้การเล่านิทานประกอบหุ่นในแต่ละวัน เด็กสามารถร่วมพูดคุย และบอกเล่าเนื้อหาเรื่องในนิทานไปพร้อมกับครู เพื่อให้เด็กสามารถตอบ คำถามเกี่ยวกับนิทาน และพูดประโยคตามเนื้อหาในนิทาน และสามารถเล่าเรื่องราวของนิทาน และ เมื่อครูเล่าเสร็จในแต่ละวัน จะมีการร่วมกันสรุปเนื้อหาในนิทาน 4. เมื่อสิ้นสุดการทดลอง ผู้วิจัยประเมินความสามารถทางการพูดของเด็กปฐมวัยหลังการทำ กิจกรรม ทดลองการวิเคราะห์ข้อมูล การวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูล 1. วิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากการทดสอบความสามารถทางการพูดของเด็กปฐมวัย ด้วยการหา ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน นำคะแนนจากแบบทดสอบหลังการจัดกิจกรรมมาเปรียบเทียบ กับเกณฑ์ ร้อยละ 80 2. นำคะแนนที่ได้จากการทดสอบมาเปรียบเทียบกันระหว่างก่อนและหลังการทดลอง โดยใช้ การทดสอบทีแบบไม่เป็นอิสระ (t-test Dependent Sample)


81 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ในการวิเคราะห์ข้อมูลผู้วิจัยนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ด้วยวิธีการทางสถิติดังนี้ 1. สถิติที่ใช้ในการหาคุณภาพของเครื่องมือ 1.1 ดัชนีความสอดคล้องของแผนกับความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (IOC) สูตร IOC = ∑ เมื่อ IOC แทน ค่าดัชนีความสอดคล้องของเนื้อหาตามความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ ∑ แทน ผลรวมของคะแนนความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ N แทน จำนวนของผู้เชี่ยวชาญ 1.2 ค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบความสามารถทางการพูด ด้วยสูตร ครอนบราค (Cronbach) ค่าสัมประสิทธิ์อัลฟา (α- Coefficient) คำนวณโดยใช้โปรแกรมสำเร็จทางสถิติ 2. สถิติพื้นฐานที่ใช้ในการบรรยายข้อมูล สถิติพื้นฐานในการบรรยายข้อมูลใช้โปรแกรมสำเร็จทางสถิติสำหรับการวิเคราะห์ข้อมูล ทางสังคมศาสตร์ ประกอบด้วย 2.1 ค่าเฉลี่ย 2.2 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 2.2 ค่าร้อยละ 3. สถิติที่ใช้ในการตรวจสอบสมมติฐาน 3.1 เปรียบเทียบความสามารถทางการพูดของเด็กปฐมวัย ที่ได้รับการจัดกิจกรรมการ เล่านิทานประกอบหุ่น กับเกณฑ์ร้อยละ 80 โดยใช้การทดลองสอบค่าทีกลุ่มเดียว 3.2 เปรียบเทียบความสามารถทางการพูดของเด็กปฐมวัยก่อนและหลังการจัดกิจกรรม การเล่านิทานประกอบหุ่น ความแตกต่างของคะแนนก่อนทดลองและหลังทดลองโดยใช้(t-test for Dependent) การวิเคราะห์ข้อมูลในข้อที่ 1 และข้อที่ 2 ใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางสถติสำหรับการ วิเคราะห์ข้อมูลทางสังคมศาสตร์ R


82 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล สัญลักษณ์ที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อให้การวิเคราะห์ข้อมูลและการแปลความหมายจากการวิเคราะห์ข้อมูลได้จากการทดลอง เป็นที่เข้าใจตรงกัน ผู้วิจัยกำหนดสัญลักษณ์ที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ดังนี้ N แทน จำนวนนักเรียนในกุล่มทดลอง X แทน ค่าเฉลี่ย S.D. แทน ความเบี่ยงเบนมาตรฐานของคะแนน t แทน ค่าสถิติที่ใช้พิจารณาในการ่าสถิติที่ใช้พิจารณาในการแจกแจงแบบ t - distribution * แทน มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 การวิเคราะห์ข้อมูล การวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูล 1. วิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากการทดสอบวัดทักษะความสามารถทางการพูดของ เด็กปฐมวัย ด้วยการหาค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน นำคะแนนจากแบบทดสอบหลังการจัด กิจกรรมมา เปรียบเทียบกับเกณฑ์ ร้อยละ 80 ตารางที่ 5 คะแนนเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ร้อยละ ของคะแนนทักษะความสามารถ ด้านพูดของเด็กปฐมวัย ก่อนและหลังการจัดกิจกรรมการเล่านิทานประกอบหุ่น ความสามารถด้านการพูด เต็ม ก่อนการทดลอง หลังการทดลอง S.D. % S.D. % การพูดเป็นประโยค 30 4.07 2.00 13.56 27.13 2.40 90.43 การพูดเป็นเรื่องราว 30 3.10 1.37 10.33 27.93 2.16 93.10 ภาพรวม 60 7.17 3.37 18.72 55.06 4.56 91.77 ตารางที่ 5คะแนนเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ร้อยละ ของคะแนนทักษะความสามารถด้านพูดของเด็กปฐมวัย ก่อนและหลัง การจัดกิจกรรมการเล่านิทานประกอบหุ่น


83 ผลการวิเคราะห์ตามตาราง 5 ปรากฏว่า ทักษะความสามารถดานการพูดของเด็กปฐมวัย ก่อนการจัดกิจกรรมการเล่านิทานประกอบหุ่น ในภาพรวมมีค่าเฉลี่ย 7.17 เท่ากับคิดเป็น ร้อยละ 18.72 โดยค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ การพูดเป็นประโยค ค่าเฉลี่ย 4.07 เท่ากับคิดเป็น ร้อยละ 13.56 และ ค่าเฉลี่ยที่ต่ำที่สุด คือ การพูดเป็นเรื่องราว ค่าเฉลี่ย 3.10 เท่ากับคิดเป็น ร้อยละ 10.33 หลังการจัดกิจกรรมการเล่านิทานประกอบหุ่น คะแนนทักษะความสามารถดานการพูดของ เด็กปฐมวัย ในภาพรวมมีค่าเฉลี่ย เท่ากับ 55.06 คิดเป็นร้อยละ 91.77 โดยมีค่าเฉลี่ย สูงที่สุด คือ การ พูดเป็นประโยค ค่าเฉลี่ย 27.13 เท่ากับคิดเป็น ร้อยละ 93.10 และค่าเฉลี่ยที่ต่ำที่สุด คือ การพูดเป็น เรื่องราว ค่าเฉลี่ย 27.93 เท่ากับคิดเป็น ร้อยละ 90.43 ตารางที่ 6 คะแนนค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ร้อยละ และการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ย ของ คะแนนหลังการจัดกิจกรรมการเล่านิทานประกอบหุ่นกับเกณฑ์ร้อยละ 80 คะแนนเต็ม ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ร้อยละ 60 55.06 4.56 91.77 ตารางที่ 6 คะแนนค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ร้อยละ และการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ย ของคะแนนหลังการจัดกิจกรรมการเล่า นิทานประกอบหุ่นกับเกณฑ์ร้อยละ 80 ผลการวิเคราะห์ตามตาราง 6 ปรากฏว่า หลังการจัดกิจกรรมการเล่านิทานประกอบหุ่น ของเด็กปฐมวัย มีคะแนนทักษะความสามารถด้านการพูด โดยเฉลี่ยเท่ากับ 55.06 คิดเป็นร้อย ละ 91.77 ซึ่งไม่ต่ำกว่าเกณฑ์ร้อยละ 80 เป็นไปตามสมมุติฐานที่ตั้งไว้ 2. นำคะแนนที่ได้จากการทดสอบมาเปรียบเทียบกันระหว่างก่อนและหลังการทดลอง โดย การใช้การทดสอบทีแบบไม่เป็นอิสระ (t-test Dependent Sample) ดังตารางที่ 6 ตารางที่ 6 คะแนนค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ร้อยละ และการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ย ของ คะแนนทักษะความสามารงการพูดของเด็กปฐมวัย ก่อนและหลังการจัดกิจกรรมการเล่านิทาน ประกอบหุ่น **มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.5 ทักษะความสามารถ ทางการพูด ก่อนทดลอง หลังทดลอง t S.D. S.D. การพูดเป็นประโยค 4.07 2.00 27.13 2.40 54.15 การพูดเป็นเรื่องราว 3.10 1.37 27.93 2.16 77.14 ภาพรวม 7.17 3.37 55.06 4.56 66.64


84 ผลการวิเคราะห์ตามตาราง 6 ปรากฏว่า หลังการจัดกิจกรรมการเล่านิทานประกอบหุ่น โดยรวมสูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 เมื่อพิจารณาเป็นราย ด้าน พบว่า ด้านการการพูดเป็นประโยค และด้านการการพูดเป็นเรื่องราว หลังสูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมี นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 แสดงว่า การจัดกิจกรรมโดยใช้การเล่านิทานประกอบหุ่น สามารถ ส่งเสริมพัฒนาการทักษะความสามารถทางการพูดของเด็กปฐมวัยได้


85 บทที่ 5 สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลอง เพื่อพัฒนาทักษะความสามารถทางการพูดของเด็ก ปฐมวัยโดยใช้กิจกรรมการเล่านิทานประกอบหุ่น ทั้งนี้เพื่อเป็นประโยชน์และเป็น แนวทาง สำหรับครู ผู้ปกครอง และผู้ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาในระดับปฐมวัย ในการพิจารณาเลือก กิจกรรมที่จะ ช่วยส่งเสริมทักษะความสามารถทางการพูดสำหรับเด็กปฐมวัยได้อย่างเหมาะสม ซึ่งลำดับ ขั้นตอน ของการวิจัยและผลงานของการวิจัย โดยสรุปดังนี้ วัตถุประสงค์ของการวิจัย การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบทักษะความสามารถทางการพูดของเด็กปฐมวัย โดยใช้ กิจกรรมการเล่านิทานประกอบหุ่น สมมติฐานการวิจัย 1. เด็กปฐมวัยที่ได้จัดกิจกรรมการเล่านิทานประกอบหุ่นมีทักษะความสามารถ ทางการพูดไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 2. เด็กปฐมวัยที่ได้จัดกิจกรรมการเล่านิทานประกอบหุ่นมีทักษะความสามารถ ทางการพูด หลังการจัดกิจกรรมสูงกว่าก่อนจัดกิจกรรมการทดลอง ขอบเขตของการวิจัย 1. กลุ่มเป้าหมาย 1.1 ประชากรที่ใช้ในการวิจัย ประชากรที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้เป็นเด็กปฐมวัยชาย - หญิงที่มีอายุระหว่าง 4-5 ปี ที่กำลัง ศึกษาอยู่ในชั้นอนุบาล 2 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนอนุบาลอุดรธานี สำนักงานเขต พื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 1 จำนวน 30 คน 1.2 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้เป็นเด็ก ปฐมวัยชาย-หญิงที่มีอายุระหว่าง 4-5 ปีที่กำลัง ศึกษาอยู่ในชั้นอนุบาลปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2566 จำนวน 30 คน โรงเรียนอนุบาล อุดรธานี สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา


86 ประถมศึกษาอุดรธานี เขต 1 ซึ่งได้มาจากการสุ่มตัวอย่าง แบบแบ่งกลุ่ม ( Cluster random sampling) มา 1 ห้องเรียน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ในการวิจัยครั้งนี้ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยมีดังนี้ 1. แผนการจัดกิจกรรมการเล่านิทานประกอบหุ่น จำนวน 24 แผน 2. แบบทดสอบวัดทักษะความสามารถทางการพูด จำนวน 10 ข้อ ด้านการการพูดเป็นประโยค 10 ข้อ ด้านการพูดเป็นเรื่องราว 10 ข้อ การหาคุณภาพเครื่องมือ ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ดำเนินการจัดกิจกรรม ดังนี้ 1. นำแบบทดสอบวัดทักษะความสามารถทางการพูดของเด็กปฐมวัย ที่ได้ผ่านการ วิเคราะห์ และปรับปรุงแก้ไขแล้วนำไปดำเนินการทดสอบก่อนการจัดกิจกรรม 2. ดำเนินการจัดกิจกรรมตามแผนการจัดกิจกรรมการเล่านิทานประกอบหุ่น จำนวน 8 หน่วย หน่วยละ 3 แผน รวม 24 แผน เป็นเวลา 8 สัปดาห์ 3. หลังจากการดำเนินการทดลองการจัดกิจกรรมการเล่านิทานประกอบหุ่น ครบตาม กำหนดในแผนการจัดกิจกรรมแล้ว ผู้วิจัยนำแบบทดสอบความสามารถในการคิด เชิงเหตุผล 4. นำคะแนนไปวิเคราะห์ การวิเคราะห์ข้อมูล การวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้เสนอการวิเคราะห์ข้อมูลตามลำดับ ดังนี้ 1. วิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากแบบทดสอบวัดทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัย โดย นำข้อมูลไปหาค่าเฉลี่ย (Mean) และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตฐาน (Standard deviation) 2. นำคะแนนที่ได้จากการทดสอบมาเปรียบเทียบกันระหว่างก่อนและหลังการทดลอง โดยการใช้การทดสอบทีแบบไม่เป็นอิสระ (t-test Dependent Sample) สรุปผลการวิจัย เด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเล่านิทานประกอบหุ่น มีความสามารถทางการพูดของ เด็กปฐมวัยหลังการจัดกิจกรรม สูงกว่าก่อนการจัดกิจกรรมอย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติที่ระดับ .05


87 อภิปรายผลการวิจัย การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายศึกษาและเปรียบเทียบทักษะความสามารถทางการพูดของเด็ก ปฐมวัยก่อนและหลังการจัดกิจกรรมการเล่านิทานประกอบหุ่น ผลการวิจัยพบว่า เด็กปฐมวัยที่ได้รับ การจัดกิจกรรมการเล่านิทานประกอบหุ่น มีทักษะความสามารถทางการพูดของเด็กปฐมวัยหลังการ จัดกิจกรรม สูงกว่าก่อนการจัดกิจกรรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ซึ่งสามารถอภิปรายได้ ว่า การจัดกิจกรรมการเล่านิทานประกอบหุ่นช่วยส่งเสริมทักษะความสามารถทางการพูดของเด็ก ปฐมวัยได้ เนื่องมาจากแผนการจัดกิจกรรมทั้ง 24 แผน ได้ผ่านการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญ และได้ นำไปทดลองใช้เพื่อหาคุณภาพที่เหมาะสม ดังนั้น กิจกรรมตามแผนการจัดกิจกรรมการเล่านิทาน ประกอบหุ่น จึงสมารถนำมาจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมทักษะความสามารถทางการพูดของ เด็กปฐมวัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งในขั้นการสอนนั้นครูได้จัดกิจกรรมการเล่านิทานประกอบหุ่น พร้อมทั้ง กระตุ้นทักษะความสามารถทางการพูดของเด็กปฐมวัย คือ การพูดเป็นประโยค และการพูด เป็นเรื่องราว โดยใช้การเล่านิทานพร้อมคำถามระหว่างเด็กทำกิจกรรม ถ้าหากเด็กยังไม่สามารถพูด เป็นประโยค หรือพูดเป็นเรื่องราวได้ครูจะใช้สรุปเนื้อหาเพื่อกระตุ้นเด็กอีกครั้ง เพื่อให้เด็กได้ทบทวน และพิจารณาเกี่ยวกับการพูดเป็นประโยคและการพูดเป็นเรื่องราว โดยในแต่ละสัปดาห์เด็กจะได้ทำ กิจกรรมที่ช่วยพัฒนาทักษะความสามารถทางการพูด การพูดเป็นประโยค และการพูดเป็นเรื่องราว ตลอดระยะเวลาที่ดำเนินการทดลอง โดยการจัดกิจกรรมการเล่านิทาน มีพื้นฐานแนวคิด มาจากเนื้อ เรื่องในนิทาน สอดคล้องกับทฤษฎีของเพียเจต์ (Piaget) ที่กล่าวถึงพื้นฐาน การสร้างองค์ความรู้ของ ผู้เรียนต้องเน้นการเรียนรู้แบบลงมือกระทำ (Active Learning) และการเรียนรู้ ดังกล่าว จะต้องจัดให้ เด็กได้จัดกระทำกับวัตถุได้มีปฏิสัมพันธ์กับบุคคล แสดงความคิดและเหตุการณ์ จนกระทั้งสามารถ สนทนาเป็นประโยค หรือเรื่องราวได้ด้วยตนเอง ซึ่งเหล่านี้จะช่วยให้เด็กมีทักษะความสามารถทางการ พูดได้เป็นอย่างดี ที่ได้ศึกษาเปรียบเทียบทักษะความสามารถทางการพูดของเด็กปฐมวัยเป็นรายด้าน ได้แก่ ด้านการพูดเป็นเรื่องราว และการพูดเป็นประโยค การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ โดยใช้ กิจกรรมการเล่านิทานประกอบหุ่นของเด็กปฐมวัย หลังการจัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยใช้กิจกรรม การเล่านิทานประกอบหุ่นสูงกว่าก่อน การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ในทุกด้านอย่างมีนัยสำคัญทาง สถิติที่ระดับ .05 ที่ได้ศึกษาเปรียบเทียบทักษะความสามารถทางการพูดของเด็กปฐมวัยในภาพรวม ก่อนและหลัง การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ โดยใช้กิจกรรมการเล่านิทานประกอบหุ่น ที่ได้ศึกษา การพัฒนาความสามารถทางการพูดของเด็กระดับปฐมวัยโดยใช้แบบทดสอบทักษะความสามารถ ทางการพูดของเด็กปฐมวัย มีนักเรียน ที่ผ่านเกณฑ์ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 80 จำนวน 15 คน คิดเป็นร้อย ละ 100 ได้เปรียบเทียบทักษะความสามารถทางการพูดของเด็กปฐมวัย อนุบาลปีที่ 2 ก่อนและหลัง การใช้ได้ส่งเสริมความสามารถการพูดเป็นประโยคและเป็นเรื่องราว มากกว่าหรือ น้อยกว่า โดยใช้


88 กิจกรรมการเล่านิทานประกอบหุ่นก่อนและหลังการวิจัย หลังจากการจัดกิจกรรมเล่านิทานประกอบ หุ่น สูงกว่าก่อนจัดกิจกรรม ข้อเสนอแนะ การวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยมีข้อเสนอแนะในการนำผลการวิจัยไปใช้ และข้อเสนอแนะในการจัดทำ วิจัยครั้งต่อไป 1. ข้อเสนอแนะในการนำผลการวิจัยไปใช้ 1.1 ผู้ที่มีความประสงค์จะนำการจัดกิจกรรมสื่อนิทานออนไลน์ไปใช้ ควรศึกษาและ ทำความเข้าใจในทฤษฎี แนวคิดพื้นฐาน หลักการ และแผนการจัดกิจกรรมเป็นอย่างดี เพื่อให้สามารถ ใช้รูปแบบการจัดกิจกรรมอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดผลดีต่อเด็กมากที่สุด 1.2 ครูควรมีบทบาทในการดูแลช่วยเหลือ ให้คำแนะนำเมื่อเด็กต้องการ กระตุ้นเด็ก โดยเด็กได้แสดงความสามารถอย่างเต็มที ให้การเสริมแรง กล่าวชมเชย และถ้าเด็กมีปัญหาระหว่างทำ กิจกรรมครูต้องให้ความช่วยเหลือเด็ก เพื่อทำให้เด็กมีความมั่นใจและตั้งใจทำกิจกรรม 2. ข้อเสนอแนะในการทำวิจัยครั้งต่อไป 2.1 ควรมีการจัดกิจกรรมการเล่านิทานประกอบหุ่นต่อทักษะด้านอื่น ๆ เช่น ทักษะ ด้านการพูดเป็นประโยค ด้านการพูดเป็นเรื่องราว และด้านคุณธรรมจริยธรรม เป็นต้น 2.2 ควรมีการศึกษาเพื่อศึกษาผลการจัดกิจกรรมการเล่านิทานประกอบหุ่น ที่มี ผล ต่อความสามารถด้านอื่น ๆ เช่น พัฒนาการทางด้านความคิดสร้างสรรค์ และความสัมพันธ์ทาง สังคม พฤติกรรมความร่วมมือ เป็นต้น


89 เอกสารอ้างอิง


Click to View FlipBook Version