The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

๔-นางสาวศุภลักษณ์ อาสนาจันทร์

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by social study, 2022-05-18 02:45:48

๔-นางสาวศุภลักษณ์ อาสนาจันทร์

๔-นางสาวศุภลักษณ์ อาสนาจันทร์

รายงานการศึกษาอิสระทางสงั คมศึกษา

เร่ือง
การพัฒนาความสามารถในการคิดอย่างมีวจิ ารณญาณโดยใช้การจัดการเรียนรู้
ดว้ ยกระบวนการแกป้ ัญหา รายวิชาเศรษฐศาสตร์ ของนกั เรียนมธั ยมศึกษาปีที่ ๑

โรงเรยี นบ้านสองคอนศิรคิ ุรุราษฎร์ อำเภอนำ้ พอง จงั หวดั ขอนแก่น

โดย
นางสาวศุภลกั ษณ์ อาสนาจันทร์

รหสั ๖๑๐๕๕๐๒๐๐๓

งานวิจัยเลม่ นเ้ี ป็นเปน็ ส่วนหนง่ึ ของวชิ า (๒๐๓ ๔๒๐)
การศึกษาอสิ ระทางสังคมศกึ ษา ภาคเรยี นที่ ๒ ปกี ารศึกษา ๒๕๖๔
ตามหลักสตู รครุศาสตรบัณฑติ สาขาวิชาสังคมศึกษา คณะครศุ าสตร์
มหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั วทิ ยาเขตขอนแกน่

แบบอนมุ ตั ิผลงานวจิ ยั
ด้วยหลักสูตรครศุ าสตรบัณฑิต สาขาวิชาสังคมศกึ ษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลยั
มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น อนุมัติให้นับการวิจัย เรื่องการพัฒนา
ความสามารถในการคดิ อย่างมวี ิจารณญาณ โดยใช้การจดั การเรยี นรูด้ ้วยกระบวนการแก้ปัญหา
รายวิชาเศรษฐศาสตร์ ของนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนบ้านสองคอนศิริคุรุราษฎร์
อำเภอนำ้ พอง จงั หวดั ขอนแกน่
ให้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาภาคปฏิบัติของรายวิชา การศึกษาอิสระทางสังคม
ศึกษาจำนวน ๓ หน่วยกิต ตามวัตถุประสงค์หลักสูตรปริญญาตรีครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชา
สังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น
ประจำภาคเรียนท่ี ๒ ปกี ารศึกษา ๒๕๖๔

ลงชอ่ื ..................................ผ้วู จิ ัย
(..................................)
.........../.........../.........

คณะกรรมการประเมนิ / อนุมัติการศกึ ษาอิสระทางสงั คมศึกษา

ลงชอ่ื .................................อาจารยท์ ปี่ รกึ ษา/อาจารย์
(..............................................)
............./.............../..............

ลงชอ่ื .................................... กรรมการ/อาจารย์
(..............................................)
............./.............../..............

ลงชอ่ื .................................... กรรมการ/อาจารย์
(..............................................)
............./.............../..............

ลงชื่อ..................................... กรรมการ/อาจารย์
(..............................................)
............./.............../..............

ลงช่อื ..................................... กรรมการ/อาจารย์
(..............................................)
............./.............../..............

ลงชื่อ.....................................ประธานกรรมการ/ประธานหลักสตู ร
(..............................................)
............./.............../..............



ชื่องานวิจัย : การพฒั นาความสามารถในการคิดอยา่ งมีวิจารณญาณโดยใช้การจัดการ
เรยี นรู้ดว้ ยกระบวนการแกป้ ญั หารายวิชา เศรษฐศาสตร์ ของนกั เรียน
ผ้วู จิ ัย มธั ยมศึกษาปีท่ี ๑ โรงเรยี นบ้านสองคอนศริ คิ รุ ุราษฎร์ อำเภอนำ้ พอง
ปรญิ ญา จงั หวัดขอนแก่น
อาจารย์ที่ปรึกษา
ปกี ารศกึ ษา : นางสาวศภุ ลักษณ์ อาสนาจนั ทร์
: ครุศาสตรบัณฑติ สาขาวิชาสังคมศกึ ษา
: อาจารย์พันทิวา ทบั ภมู ี
: ๒๕๖๔

บทคัดยอ่

การวจิ ยั เร่อื งนี้ มวี ตั ถุประสงค์ ๑) เพื่อพฒั นาความสามารถในการคดิ อย่างมีวิจารณญาณ
ด้วยการจัดการเรยี นรู้ดว้ ยกระบวนการแกป้ ญั หา รายวชิ าเศรษฐศาสตร์ ของนักเรยี นมัธยมศึกษาปีที่
๑ โรงเรียนบา้ นสองคอนศริ ิครุ ุราษฎร์ อำเภอน้ำพอง จังหวดั ขอนแกน่ ใหน้ กั เรียนไม่น้อยกว่าร้อยละ
๗๐ ผ่านเกณฑ์ร้อยละ ๗๐ ขึ้นไป ๒) เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิท์ างการเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้ดว้ ย
กระบวนการแก้ปัญหา รายวชิ าเศรษฐศาสตร์ ของนักเรียนมธั ยมศึกษาปที ี่ ๑ โรงเรยี นบา้ นสองคอนศิ
รคิ รุ รุ าษฎร์ อำเภอนำ้ พอง จงั หวัดขอนแก่น ใหน้ ักเรยี นไมน่ อ้ ยกวา่ ร้อยละ ๗๐ ผา่ นเกณฑร์ ้อยละ ๗๐
ขึ้นไป ๓) เพื่อศึกษาความพึงพอใจในการเรียนรายวิชาเศรษฐศาสตร์ ของนักเรียนมธั ยมศึกษาปีที่ ๑
โรงเรียนบ้านสองคอนศิริคุรุราษฎร์ อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น โดยใช้การจัดการเรียนรู้ด้วย
กระบวนการแก้ปญั หา กลมุ่ เปา้ หมายที่ใชใ้ นการวิจัย คือ นักเรียนชนั้ มธั ยมศึกษาปที ่ี ๑ โรงเรยี นบ้าน
สองคอนศริ ิครุราษฎร์ อำเภอน้ำพอง จงั หวัดขอนแก่น จำนวน ๒๖ คน โดยเป็นรูปแบบการวจิ ัยเชิง
ทดลอง เครอ่ื งมือท่ใี ชใ้ นการวจิ ยั ประกอบด้วย ๑) แผนการจัดการเรยี นรู้ ๓ แผน ๒) แบบทดสอบวัด
ความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณ จำนวน ๒๐ ข้อ ๓) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ
เรียน จำนวน ๓๐ ข้อ และ ๔) แบบสอบถามความพงึ พอใจ จำนวน ๑๐ ข้อ โดยวเิ คราะห์ขอ้ มลู โดย
ใช้สถิตพิ ืน้ ฐาน คือ รอ้ ยละ คา่ เฉลยี่ และสว่ นเบยี่ งเบนมาตรฐาน เพอ่ื นำไปเทยี บกบั เกณฑ์ ๗๐/๗๐

ผลการวจิ ัยพบว่า
๑. ผลจากการวิเคราะห์การพัฒนาความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณพบว่า
นกั เรียนทดสอบความสามารถในการคิดอย่างมวี ิจารณญาณผา่ นเกณฑ์ จำนวน ๒๖ คน จากนกั เรียน
ทั้งหมด ๒๖ คน คิดเป็นรอ้ ยละ ๑๐๐ ซึง่ สงู กวา่ เกณฑท์ ่กี ำหนดไว้ และมีความสามารถในการคดิ อย่าง
มีวิจารณญาณโดยเฉล่ีย คอื ๑๗.๕๘ จากคะแนนต็ม ๒๐ คิดเป็นรอ้ ยละ ๘๗.๙๐
๒. ผลจากการใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนพบว่านักเรียนทอสอบวัดผล
สมั ฤทธ์ิทางการเรยี นผ่านเกณฑจ์ ำนวน ๒๖ คน จากนกั เรียนทั้งหมด ๒๖ คน คดิ เป็นร้อยละ ๑๐๐ ซงึ่



สงู กวา่ เกณฑท์ ก่ี ำหนดไว้ และมคี ะแนนผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี นเฉล่ียเท่ากับ ๒๗.๐๘ จากคะแนนเต็ม
๓๐ คะแนน คิดเปน็ รอ้ ยละ ๙๐.๒๖

๓. ผลการวิเคราะห์ความพึงพอใจของนักเรียนต่อการเรียนรู้ด้วยกระบวนการแก้ปัญหา
พบว่า นกั เรียนมคี วามพึงพอใจในภาพรวมอยูใ่ นระดับมากท่สี ดุ ( ̅ = ๔.๘๕ , S.D. = ๐.๓๔)



กติ ติกรรมประกาศ

การวิจัยเรื่อง การพัฒนาความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณโดยใช้การจัดการ
เรยี นร้ดู ว้ ยกระบวนการแก้ปญั หารายวชิ า เศรษฐศาสตร์ ของนักเรยี นมัธยมศึกษาปีท่ี ๑ โรงเรยี นบา้ น
สองคอนศิริคุรุราษฎร์ อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น เล่มนี้สำเร็จลุล่วงได้ด้วยกรุราและการ
ช่วยเหลืออย่างดียิ่งจากคณาจารย์หลายท่าน ขอกราบพระคุณอาจารย์พันทิวา ทับภูมี อาจารย์ท่ี
ปรึกษาทก่ี รณุ าให้คำปรกึ ษา ตลอดจนการตรวจแก้ไขข้อบกพร่องต่างๆและใหก้ ำลังใจในการศึกษามา
โดยตลอด ผู้วจิ ัยขอกราบพระคณุ เปน็ อยา่ งสูง

ขอขอบพระคุณในความกรุณาของผู้เชี่ยวชาญทั้ง ๓ ท่าน อาจารย์บุญส่ง นาแสวง
อาจารย์วิรัตน์ ทองภู และอาจารยส์ รญิ ญา มารศรี ทีไ่ ดใ้ หค้ วามอนเุ คราะหใ์ นการตรวจสอบเคร่ืองมือ
สำหรับใช้ในงานวิจัยและให้คำปรึกษาเพื่อแก้ไขจนเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยมีความถูกต้องสมบูรณ์
ครบถว้ น

ขอขอบพระคณุ ผู้อำนวยการ คณะครูโรงเรียนบ้านสองคอนศิริคุรุราษฎร์ ที่อำนวยความ
สะดวกในการเกบ็ รวบรวมข้อมูลในระหว่างการทำวจิ ัยใหค้ ำแนะนำ และแกไ้ ขขอ้ บกพรอ่ งใหง้ านวิจัย
ในครั้งนส้ี มบูรณ์ยิ่งขน้ึ

ขอขอบพระคณุ คณาจารย์ นักวิชาการทุกท่านท่เี ปน็ เจา้ ของหนังสือและงานวิจัยทม่ี คี ุณค่า
ซงึ ท่านได้เขยี นงานเอกสารไว้ให้ได้ศกึ ษาคน้ ควา้ เพือ่ เปน็ ข้อมลู ประกอบในการเขียนงานวิจยั ในครัง้ น้ี

ขอขอบคุณเพอ่ื น ครอบครัว และผู้ทม่ี สี ว่ นเกี่ยวข้องทกุ ท่าน ทใี่ ห้ความชว่ ยเหลือสนบั สนนุ
ให้คำแนะนำ และให้กำลังใจตลอดการทำวิจัยในครั้งน้ี ผวู้ จิ ัยหวงั เปน็ อยา่ งยิง่ ว่างานวิจัยเล่มนี้จะเป็น
ประโยชนแ์ กผ่ ูท้ สี่ นใจต่อไป

นางสาวศุภลักษณ์ อาสนาจนั ทร์
ผ้วู จิ ัย

สารบญั ง

เร่อื ง หน้า
บทคดั ยอ่ ก
กิตติกรรมประกาศ ค
สารบัญ ง
สารบญั ตาราง ฉ
สารบัญภาพ ช
บทที่ ๑ บทนำ ๑

๑.๑ ความเปน็ มาและความสำคญั ของปญั หา ๓
๑.๒ วัตถปุ ระสงคก์ ารวจิ ัย ๓
๑.๓ ขอบเขตการวจิ ัย ๔
๑.๔ นยิ ามศัพท์เฉพาะ ๕
๑.๕ ประโยชนท์ ่ีไดร้ บั จากการวิจัย ๖
บทที่ ๒ แนวคดิ ทฤษฎี และงานวจิ ยั ที่เก่ยี วขอ้ ง ๖
๒.๑ หลักสตู รกลุ่มสาระการเรยี นรสู้ งั คมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม ๑๑
๒.๒ ทฤษฎแี ละแนวคดิ เก่ียวกับการคิดอย่างมีวจิ ารณญาณ ๒๐
๒.๓ ทฤษฎแี ละแนวคดิ เกีย่ วกบั กระบวนการแกไ้ ขปัญหา ๓๔
๒.๔ แนวคิดเกีย่ วกบั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี น ๓๗
๒.๕ แนวคิดทฤษฎีทีเ่ กี่ยวกับความพึงพอใจ ๔๑
๒.๖ งานวจิ ัยที่เก่ียวขอ้ ง ๔๕
๒.๗ กรอบแนวคิดในการวจิ ัย
บทท่ี ๓ ระเบยี บวธิ ีวิจยั ๔๖
๓.๑ รูปแบบการวจิ ัย ๔๕
๓.๒ กลมุ่ เปา้ หมาย ๔๖
๓.๓ เครื่องมือทใ่ี ช้ในการวิจยั ๔๗
๓.๔ การเก็บรวบรวมขอ้ มลู ๕๔
๓.๕ การวเิ คราะหข์ อ้ มลู ๕๕
๓.๖ สถิตทิ ่ีใชใ้ นการวิเคราะหข์ อ้ มูล ๕๖



สารบญั (ตอ่ )

เรอื่ ง หน้า

บทที่ ๔ ผลการวิเคราะห์ขอ้ มูล ๕๗

๔.๑ ผลการพัฒนาความสามารถในการคิดอยา่ งมีวจิ ารณญาณโดยใช้ ๕๗

การจดั การเรียนรดู้ ้วยกระบวนการแกป้ ญั หา รายวิชาเศรษฐศาสตร์

ของนักเรียนมธั ยมศึกษาปที ี่ ๑โรงเรยี นบ้านสองคอนศริ คิ ุรุราษฎร์ อำเภอน้ำพอง

จงั หวัดขอนแก่น

๔.๒ ผลการพัฒนาผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นโดยใชก้ ารจดั การเรียนรู้ดว้ ย ๕๘

กระบวนการแกป้ ญั หา รายวชิ า เศรษฐศาสตร์ ของนกั เรยี นมัธยมศกึ ษาปที ่ี ๑

โรงเรยี นบา้ นสองคอนศิรคิ ุรรุ าษฎร์ อำเภอนำ้ พอง จงั หวดั ขอนแกน่

๔.๓ ผลการศกึ ษาความพงึ พอใจโดยใช้การจัดการเรียนร้ดู ้วยกระบวนการแกป้ ัญหา ๕๙

รายวชิ าเศรษฐศาสตร์ ของนักเรียนมัธยมศกึ ษาปที ี่ ๑ โรงเรียนบา้ น

สองคอนศิริครุ ุราษฎรอ์ ำเภอนำ้ พอง จังหวดั ขอนแก่น

๔.๔ องค์ความรทู้ ี่ได้จากการวจิ ยั ๖๑

บทท่ี ๕ สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ ๖๒

๕.๑ สรปุ ผลการวิจัย ๖๒

๕.๒ อภปิ รายผลการวิจัย ๖๓

๕.๓ ขอ้ เสนอแนะ ๖๕

บรรณานกุ รม ๖๖

ภาคผนวก ๗๑

ภาคผนวก ก รายนามผู้เชี่ยวชาญ ๗๒

ภาคผนวก ข แบบประเมนิ คณุ ภาพเคร่อื งมือโดยผูเ้ ชย่ี วชาญ ๗๔

ภาคผนวก ค ผลการวิเคราะหเ์ ครื่องมอื โดยผูเ้ ชย่ี วชาญ ๑๐๔

ภาคผนวก ง เครอื่ งมือที่ใชใ้ นการวจิ ัย ๑๑๐

ภาคผนวก จ -ผลการวิเคราะหค์ า่ ความยากง่าย และค่าอำนาจจำแนก ๑๔๙

ของแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี น ๑๕๑

-ผลการวเิ คราะหค์ า่ ความยากงา่ ย และ ค่าอำนาจจำแนก ๑๕๒

ของแบบทดสอบวัดความสามารถในการคดิ อย่างมีวจิ ารณญาณ

ประวัตผิ ู้วจิ ยั ๑๕๓



สารบญั ตาราง

ตารางที่ หน้า

ตารางท่ี ๔.๑ ผลการพฒั นาความสามารถในการคดิ อย่างมวี จิ ารณญาณด้วยกระบวนการ ๕๔

ตารางท่ี ๔.๒ แกป้ ญั หา รายวิชา เศรษฐศาสตร์ ของนักเรียนมัธยมศกึ ษาปที ่ี ๑ โรงเรียน

ตารางที่ ๔.๓ บา้ นสองคอนศริ คิ ุรรุ าษฎร์ อำเภอนำ้ พองจงั หวัดขอนแก่น

ตารางที่ ๔.๔ ผลการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้การจัดการเรียนรู้ด้วย ๕๕

ตารางที่ ๔.๕ กระบวนการแก้ปญั หา รายวิชาเศรษฐศาสตร์ ของนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่
ตารางท่ี ๔.๖
ตารางที่ ๔.๗ ๑ โรงเรียนบา้ นสองคอนศริ ิครุ รุ าษฎร์ อำเภอนำ้ พอง จังหวดั ขอนแก่น
ตารางที่ ๔.๘
ผลวิเคราะห์ความพ ึงพ อใจท่ี ม ีต ่อก ารจั ดก ิจกรรมก ารรู้ ด ้ วย ๕๖

กระบวนการแกป้ ญั หา รายวิชา เศรษฐศาสตร์ ของนกั เรียนมัธยมศึกษาปีที่

๑ โรงเรยี นบา้ นสองคอนศิริคุรุราษฎร์ อำเภอนำ้ พอง จงั หวดั ขอนแกน่

ค่าเฉลย่ี และสว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐานผลการประเมินความเหมาะสมของ ๑๐๖

แผนการจดั การเรยี นรู้โดยใช้กระบวนการแกป้ ญั หาแผนการจดั การเรยี นรทู้ ่ี

๑–๓

คะแนนความคิดเหน็ ของผเู้ ชี่ยวชาญทงั้ หมดด้านความสอดคล้อง ๑๐๗

(ioc)ระหวา่ งขอ้ สอบวดั ความสามารถในการคิดอย่างมีวจิ ารณญาณ

คะแนนความคิดเหน็ ของผเู้ ชย่ี วชาญทัง้ หมดด้านความสอดคล้อง (ioc) ๑๐๘

ระหวา่ งข้อสอบวดั ผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี นกบั จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้

คะแนนความคิดเหน็ ของผเู้ ชยี่ วชาญทัง้ หมดด้านความสอดคล้อง (ioc) ๑๑๐

ระหวา่ งแบบสอบถามความพงึ พอใจกับจุดประสงค์การเรยี นรู้

ผลการวิเคราะห์ค่าความยากงา่ ย และค่าอำนาจจำแนกของแบบทดสอบ ๑๕๑

วดั ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียน

ตารางท่ี ๔.๙ ผลการวเิ คราะห์ค่าความยากงา่ ย และ คา่ อำนาจจำแนกของแบบทดสอบวัด ๑๕๓
ความสามารถในการคดิ อย่างมีวจิ ารณญาณ

สารบัญภาพ ช

ภาพท่ี หน้า
๔๔
ภาพที่ ๒.๑ กรอบแนวคดิ การวจิ ัย ๔๙
ภาพที่ ๓.๑ ขน้ั ตอนการสรา้ งแผนการจดั การเรยี นรู้ เรอ่ื ง สถาบันการเงนิ ๕๐
ภาพท่ี ๓.๒ ขั้นตอนในการสรา้ งแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี น ๕๖
ภาพที่ ๔.๑ องคค์ วามรู้ทไ่ี ด้รบั

บทที่ ๑

บทนำ

๑.๑ ความเป็นมาและความสำคญั ของปญั หา

ปัจจุบันเป็นยุคของการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ต้องเจอปัญหาและความท้าทาย
หลายอย่างที่ ต้องปรับตัวให้ทันกับการเปลีย่ นแปลง หากมองในเรื่องของการศึกษาทักษะพื้นฐานท่ี
สำคัญ คือ ทกั ษะการอา่ น การเขยี น ทกั ษะดา้ นตวั เลข และทกั ษะการเรยี นรใู้ นศตวรรษท่ี ๒๑ คือการ
มุง่ เน้นการพฒั นาทกั ษะให้สอดคลอ้ งกับการดำเนินชีวติ ในอนาคต ซ่งึ หนึ่งในทักษะนัน้ คอื ทักษะด้าน
การคิดและการสื่อสาร แต่ปัญหาระบบการศึกษาที่พบส่วนใหญ่มักจะให้ความสำคัญกับการพัฒนา
ทักษะดา้ นการคิดวเิ คราะห์มากเกินไป แต่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาความสามารถในการคิด
อย่างมีวิจารณญาณ และขาดการฝึกฝนอย่างถูกวิธี การจัดการเรียนการสอนในระดับต่าง ๆ จึงควร
พฒั นาความสามารถในการคดิ อย่างมีวิจารณญาณเพือ่ ใหผ้ เู้ รียนเกดิ การพัฒนาศักยภาพในตัวเอง และ
สามารถเผชญิ กับการเปลีย่ นแปลง เพื่อให้ปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ และเรียนรู้ปัญหาพัฒนาต่อ
ยอดได้อย่างตอ่ เนอื่ ง๑ จะเหน็ ไดว้ ่าการพัฒนาความสามารถในการคิดอย่างมีวจิ ารณญาณก็ถือว่าเป็น
เครื่องมอื สำคญั ในการเรียนรู้ และการดำเนินชีวติ ในโลกปัจจบุ ันและอนาคต

การพัฒนาความสามารถในการคิดอยา่ งมีวจิ ารณญาณ เปน็ กระบวนการที่ผา่ นการพิจารณา
ขอ้ มูล ประเมนิ สภาพปัญหาและสรุปขอ้ มูลอยา่ งมเี หตุ ดั้งนัน้ กระบวนการคดิ ที่ผานการพจิ ารณาขอ้ มลู
อย่างรอบคอบจะทำให้บุคคลนั้นได้ผ่านการคิดอย่างมีวิจารณญาณ และนำไปสู่การตัดสินใจท่ี
เหมาะสม ประกอบดว้ ย ๗ ข้นั ตอน ดังตอ่ ไปน้ี ๑) การระบหุ รือทำความเขา้ ใจประเด็นปญั หา ๒) การ
รวบรวมข้อมูลจากแหลง่ ต่างๆ ๓) การระบลุ ักษณะของขอ้ มลู ๔) การระบุลกั ษณะของขอ้ มลู ๕) การ
ตง้ั สมมตฐิ าน ๖) การลงข้อสรปุ ๗) การประเมินขอ้ สรุป๒ ความสามารถในการคิดอย่างมีวจิ ารณญาณ
จะเป็นวิธกี ารหน่งึ ทจ่ี ะทำใหผ้ ู้เรียนไดพ้ ัฒนาการคดิ ที่สอดคลอ้ งกับการดำเนนิ ชีวิตประจำวันได้

๑ วิจารณ์ พานชิ , การจัดการเรียนรู,้ (กรุงเทพฯ : จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลยั , ๒๕๔๙), หน้า ๒๒.
๒ เพ็ญพศิ ุทธ์ เนคมานรุ ักษ์, ทกั ษะกระบวนการเรยี นร,ู้ (กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพานิช, ๒๕๕๒), หนา้ ๑๖.



รูปแบบการเรียนการสอน เป็นลักษณะการเรียนการสอนที่ครอบคลุมองค์ประกอบสำคญั
ซ่งึ ไดร้ บั การจดั ไวอ้ ยางเป็นระเบียบ ตามหลกั ปรัชญา ทฤษฎหี ลกั การ แนวคิดหรือความเชื่อตา่ งๆ โดย
ประกอบด้วย กระบวนการหรอื ขนั้ ตอนสำคัญในการเรียนการสอนรวมท้งั วธิ สี อนและเทคนิคการสอน
ต่างๆ ที่สามารถชว่ ยใหส้ ภาพการเรียนการสอนนัน้ เปน็ ไปตามทฤษฎี หลักการหรอื แนวคิดทย่ี ดึ ถอื และ
ไดร้ บั การพสิ ูจน์ ทดสอบ หรอื ยอมรบั วา่ มีประสทิ ธิภาพ สามารถใช้เป็น แบบแผนในการเรยี นการสอน
ให้บรรลุวัตถปุ ระสงค์เฉพาะของรูปแบบนั้นๆ๓ รูปแบบการสอนแบบกระบวนการแกป้ ัญหา เกิดขึ้น
จากหลักการตามแนวคิดทางการศึกษาที่ได้ผลดีต่อการจัดการเรียนการสอน โดยประกอบด้วย ๔
ขั้นตอน ดังนี้ ๑. การวิเคราะห์และกำหนดรายละเอียดของปัญหา สิ่งที่ต้องการคืออะไร ข้อมูลท่ี
กำหนดให้คืออะไรบ้าง พิจารณาข้อมูลและเงื่อนไขที่กำหนดให้เพียงพอที่จะหาคำตอบของปัญหา
หรือไม่ ถ้าไม่เพียงพอควรหาข้อมลู เพิ่มเติม ๒. การวางแผนในการแก้ปัญหา เมื่อทำความเข้าใจแล้ว
ควรวางแผนในการแกป้ ญั หาด้วยการเลือกใช้เครอื่ งมือ และวธิ ีการเพื่อให้ไดซ้ ง่ึ คำตอบ ประสบการณ์
จะนำมาใช้ในขน้ั ตอนน้ี "เคยแก้ปญั หาในลกั ษณะน้ีหรอื ไม่" ในกรณณที ่มี ีประสบการณ์มากอ่ น ควรใช้
ประสบการณ์มาเป็นแนวทางในการแก้ปัญหาโดยปรับปรุงให้เหมาะสมกับปัญหาใหม่ ๓. การ
ดำเนินการแก้ไขปัญหา เมื่อวางแผนในขั้นตอนที่ ๒ แล้ว จึงดำเนินการเพื่อแก้ปัญหา ๔. การ
ตรวจสอบและปรับปรงุ เมื่อดำเนนิ การตามขั้นท่ี ๓ แล้ว จึงนำผลมาตรวจสอบว่าแกป้ ัญหาได้หรือไ่ม่
ถ้าแกไ้ ดถ้ ือวา่ สำเรจ็ แต่ถ้าแก้ไม่ได้ จะต้องมวี ิธปี รบั ปรุงใหด้ ีข้นึ

จากบริบทของโรงเรียนบ้านสองคอนศิริคุรุราษฎร์ ตำบลบ้านขาม อำเภอเมือง จังหวัด
ขอนแก่น ที่มีการจัดการเรียนรู้ที่เน้นการใช้โจทย์สถานการณ์และปัญหาปลายเปิดในการขับเคล่อื น
กระบวนการเรียนรู้ของผู้เรยี น โดยที่ผู้เรียนแต่ละคนเป็นผู้นำเสนอวิธีการแก้ปัญหาของตน เกิดการ
แลกเปลีย่ นเรียนรรู้ ่วมกันในชั้นเรยี น เพอ่ื เรียนรู้วธิ กี ารคดิ และวธิ กี ารทำความเขา้ ใจท้ังของตนเองและ
ของผูอ้ ืน่ รว่ มกนั นั้นแนวทางในการปรับตัวเขา้ กบั ความเปลยี่ นแปลงของยุคสมัยในปจั จบุ ันการพัฒนา
ความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณจึงเป็นสิ่งสำคัญ และจากการสังเกตพฤติกรรมของง
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๖๔ ในรายวิชาเศรษฐศาสตร์ โรงเรียนบ้านสองคอน
ศิริคุรุราษฏร์ ตำบลบ้านขาม อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น ผู้วิจัยพบว่านักเรียนยังไม่สามารถ
พัฒนาการคิดอย่างมีวิจารณญาณได้ดีเท่าที่ควร และจากการสังเกตการสอนในสถานศึกษาพบว่า

๓ ทศิ นา แขมมณี, รูปแบบการจัดการศึกษาตอ่ เนอ่ื งในสถาบันอุดมศึกษาเอกชน, (วทิ ยาพนธ์การศึกษา
ดษุ ฎีบัณฑติ สาขาวชิ าการศึกษาผู้ใหญ่ มหาวิทยาลยั ศรีนครินทรวโิ วฒ, ๒๕๕๐), หน้า ๒๘.



นักเรียนยังไม่มีกระบวนการแก้ปัญหา โดยมองเห็นข้อดี ข้อจำกัด ในหลายมิติ เพื่อนำมาใช้กับ
สถานการณ์ปัจจบุ ันหรอื ทกี่ ำลังจะเกดิ ข้ึนไดด้ ีทีส่ ดุ

การจัดการเรียนรู้แบบกระบวนการแก้ไขปัญหา เป็นรูปแบบที่ได้รับการยอมรับอย่าง
กว้างขวางเพราะถูกออกแบบมาเพือ่ มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้เกิดความรู้ ความเข้าใจในเร่ืองที่เรียนอย่าง
แท้จริงแค่ใช้วิธีการสอน ๔ ขั้นตอน ประกอบด้วย การวิเคราะห์และกำหนดรายละเอียดของปัญหา
การวางแผนในการแก้ปญั หา การดำเนนิ การแกไ้ ขปัญหา การตรวจสอบและปรบั ปรงุ ทำให้ผูเ้ รยี นเกดิ
การพฒั นาความสามารถในการคิดยา่ งมีวจิ ารณญาณและกระบวนการแก้ปญั หาทแ่ี ก้สถานการณ์ด้วย
ตนเอง รวมท้งั ได้แลกเปลีย่ นมโนทศั น์ คำอธิบายทสี่ รา้ งข้ึนกับเพอื่ นๆ ในห้องเรียน

ด้วยแนวคดิ และความสำคัญท่กี ล่าวมาขา้ งต้น ทำใหผ้ ู้วิจัยสนใจท่ีจะนำการจัดการเรียนรู้โดย
ใชก้ ารจดั การเรยี นรดู้ ว้ ยกระบวนการแกป้ ัญหามาใช้ในการทำวิจัยเพ่ือพัฒนาความสามารถในการคิด
อย่างมวี จิ ารณญาณของนกั เรียนชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ ๑ โรงเรียนบา้ นสองคอนคุรุศริ ริ าษฎร์ ตำบลบ้าน
ขาม อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น ผู้วิจัยคาดหวังว่า การจัดการเรียนการเรียนรู้จะช่วยส่งเสรมิ
พัฒนาการเรียนรู้ของนักเรียนให้ดยี ิ่งขึ้น โดยการพัฒนาความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณ
ตลอดจนช่วยทำให้นักเรียนเกิดความสามารถสร้างผลงานออกมาได้อย่างเต็มศักยภาพของแต่ละ
บุคคล อีกทั้งยังเป็นแนวทางในการพัฒนาการจดั การเรียนการสอนกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศกึ ษา
ศาสนา และวัฒนธรรมให้สอดคล้องและเหมาะสมกับการศึกษาไทยต่อไป

๑.๒ วตั ถปุ ระสงคข์ องการวิจยั

๑.๒.๑ เพื่อพัฒนาความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณด้วยการจัดการเรียนรู้ ด้วย
กระบวนการแกป้ ญั หา รายวชิ าเศรษฐศาสตร์ ของนักเรยี นมธั ยมศกึ ษาปีที่ ๑ โรงเรยี นบา้ นสองคอนศิ
รคิ รุ ุราษฎร์ อำเภอน้ำพอง จงั หวัดขอนแก่น ใหน้ กั เรียนไม่นอ้ ยกว่าร้อยละ ๗๐ ผ่านเกณฑ์ร้อยละ ๗๐
ขึ้นไป

๑.๒.๒ เพื่อพัฒนาผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนดว้ ยการจัดการเรยี นรู้ด้วยกระบวนการแก้ปญั หา
รายวิชาเศรษฐศาสตร์ ของนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนบ้านสองคอนศริ ิครุ ุราษฎร์ อำเภอนำ้
พอง จงั หวดั ขอนแก่น ใหน้ กั เรยี นไม่นอ้ ยกวา่ ร้อยละ ๗๐ ผา่ นเกณฑ์ร้อยละ ๗๐ ขึ้นไป

๑.๒.๓ เพ่อื ศกึ ษาความพงึ พอใจในการเรยี นรายวิชาเศรษฐศาสตร์ ของนกั เรยี นมธั ยมศกึ ษาปี
ที่ ๑ โรงเรียนบ้านสองคอนศริ ิครุ รุ าษฎร์ อำเภอนำ้ พอง จงั หวัดขอนแกน่ โดยใช้การจดั การเรยี นรู้ดว้ ย
กระบวนการแกป้ ญั หา



๑.๓ ขอบเขตการวิจยั

๑.๓.๑ ขอบเขตด้านเน้อื หา
ผู้วจิ ัยได้นำรปู แบบการจัดการเรยี นรู้ดว้ ยกระบวนการแกป้ ัญหา ประกอบด้วย ๔ ขั้น

(จอรจ์ โพลยา (๒๕๕๐ : ๓๒) รายวชิ าเศรษฐศาสตร์ ชั้นมธั ยมศกึ ษาปีที่ ๑ ตามหลักสตู รของโรงเรยี น
บา้ นสองคอนศิรคิ ุรุราษฎร์ อำเภอนำ้ พอง จังหวัดขอนแกน่ ผวู้ จิ ัยได้นำเนอ้ื หาทงั้ หมดมาจัดการเรียน
การสอนจำนวน ๓ แผน ใชเ้ วลา ๓ ชั่วโมง ในหน่วยการเรียนรทู้ ี่ ๓ เร่อื งสถาบันการเงนิ จำนวนทงั้ สน้ิ
๓ แผน ๓ ชวั่ โมง

ตัวแปรทจ่ี ะศกึ ษา
ตัวแปรต้น การจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการแกป้ ญั หา
ตัวแปรตาม ๑) ความสามารถในการคิดอยา่ งมวี ิจารณญาณ
๒) ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน
๓) ความพงึ พอใจ

๑.๓.๒ ขอบเขตดา้ นประชากรกลมุ่ เปา้ หมาย
เป็นนักเรียนที่กำลังศึกษาระดับช้ันมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ภาคเรียนที่ ๒ ปีการศึกษา

๒๕๖๔ โรงเรียนบ้านสองคอนศิริคุรรุ าษฎร์ ตำบลบ้านขาม อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น จำนวน
๒๖ คน

๑.๓.๓ ขอบเขตดา้ นสถานที่
โรงเรยี นบา้ นสองคอนศิริคุรุราษฎร์ ตำบลบ้านขาม อำเภอน้ำพอง จังหวดั ขอนแก่น

๑.๓.๔ ระยะเวลาในการวิจยั
เดอื นพฤศจกิ ายน ๒๕๖๔ ถึง เดอื น มีนาคม ๒๕๖๕

๑.๔ นิยามศัพทเ์ ฉพาะทใ่ี ช้ในการวจิ ัย

๑.๔.๑ การคดิ อยา่ งมวี ิจารณญาณ หมายถงึ ทักษะการคดิ ท่ีสำคัญทช่ี ว่ ยใหเ้ กดิ ผลสำเร็จใน
การเรยี นรู้ (เพญ็ พิศุทธ์ เนคมานุรักษ,์ ๒๕๓๗) อ้างถงึ ในสำราญ ดวงตานอ้ ย, ๒๕๕๒ เปน็ การคดิ อยา่ ง
มีวิจารณญาณที่ครอบคลุม ด้วยเหตุนี้ ผู้วิจัยจึงสรุปองค์ประกอบของการคิดอย่างมีวิจารณญาณที่
นำไปใชใ้ นการสรา้ งแบบทดสอบความสามารถในการคดิ อยา่ งมีวจิ ารณญาณ ทง้ั ๗ ดา้ น คอื การระบุ
ประเด็นปัญหา การรวบรวมขอ้ มูล ความน่าเชือ่ ถือของแหลง่ ข้อมูล การระบุลกั ษณะของข้อมูล การ
ต้ังสมมติฐาน การลงขอ้ สรปุ การประเมินผล

๑.๔.๒ การพัฒนาความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณ หมายถึง คะแนนจากการ
นำแบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นโดยให้นักเรียนทำ



แบบทดสอบและนำมาเทียบกับเกณฑ์ ๗๐/๗๐ โดยใหน้ ักเรยี นไมน่ ้อยกว่าร้อยละ ๗๐ ผ่านเกณฑร์ ้อย
ละ ๗๐ ข้นึ ไป

๑.๔.๓ กระบวนการแก้ปัญหา หมายถงึ การแกป้ ัญหาอย่างเปน็ ระบบการคน้ หาสาเหตุของ
ปัญหาและเสนอแนวทางเลือกเพื่อแก้ปัญหานั้นๆ ตามขั้นตอนการแก้ปัญหา ๔ ขั้นตอน (จอร์จ
โพลยา) ดังนี้ วิเคราะห์และกำหนดรายละเอียดของปัญหา การวางแผนในการแก้ไขปัญหา การ
ดำเนินการในการแก้ไขปัญหา การตรวจสอบและปรับปรงุ

๑.๔.๔ แบบวัดความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณ หมายถึง เป็นการวัด
ความสามารถทางสมองของนักจิตวิทยากลุ่มจิตมิติท่ีว่า ความสามารถทางสมองของมนุษย์มีลักษณะ
เป็นองค์ประกอบ และมีในระดับที่แตกต่างกันในแต่ละคน ซึ่งสามารถวัดได้โดยการใช้แบบทดสอบ
มาตรฐาน และแบบทดสอบมาตรฐานที่ใช้วัดความสามารถการคิดอย่างมีวิจารณญาณ ซึ่งเป็น
แบบทดสอบแบบปรนัย ชนิดเลือกตอบ ๔ ตวั เลือก จำนวน ๒๐ ข้อ

๑.๔.๕ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความสามารถของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑
โรงเรียนบ้านสองคอนศิริคุรุราษฎ์ร จากการทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชา
เศรษฐศาสตร์ โดยใช้แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นเปน็ เคร่อื งมอื ในการเกบ็ ข้อมลู และนำมา
เทียบกับเกณฑ์ ๗๐/๗๐ โดยให้นักเรยี นไม่นอ้ ยกวา่ รอ้ ยละ ๗๐ ผ่านเกณฑ์รอ้ ยละ ๗๐ ขึ้นไป

๑.๔.๖ แบบวัดผลผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง แบบทดสอบทใ่ี ชใ้ นการวัดผลสมั ฤทธ์ิ
ทางการเรียนของนกั เรยี นในรายวชิ าเศรษฐศาสตร์ เปน็ แบบทดสอบปรนยั ชนดิ เลอื กตอบ ๔ ตัวเลอื ก
จำนวน ๓๐ ขอ้ โดยมเี กณฑก์ ารใหค้ ะแนนเมอ่ื ตอบถูกให้ ๑ คะแนน ตอบผิดให้ ๐ คะแนน

๑.๔.๗ ความพงึ พอใจตอ่ การเรยี นการสอนแบบกระบวนการแก้ไขปัญหา หมายถึง ความ
พงึ พอใจท่นี กั เรยี นมตี อ่ การเรยี นการสอนแบบกระบวนการแก้ไขปญั หา วัดจากแบบประเมนิ ความพึง
พอใจซงึ่ เปน็ แบบมาตราประมาณคา่ ๕ ระดับ ได้แก่ มากท่สี ดุ มาก ปานกลาง นอ้ ย นอ้ ยทสี่ ุด จำนวน
๑๐ ข้อ

๑.๕ ประโยชน์ทไี่ ด้รบั จากการวิจยั

๑.๕.๑ นักเรยี นได้ฝึกทกั ษะการคดิ อย่างมีวจิ ารณญาณอยา่ งเปน็ ขั้นตอน มกี ระบวนการ และ
สามารถ นำไปใชใ้ นการเรยี นการสอนในชีวติ ประจำวันได้อยา่ งถูกต้องและเหมาะสม

๑.๕.๒ ครูได้แนวทางในการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคกระบวนการแก้ไขปัญหา ที่สามารถ
นำไปใช้ จดั การเรยี นการสอนในระดับช้ันอ่นื หรอื รายวิชาอ่นื ๆ เพ่อื ชว่ ยสง่ เสรมิ และพัฒนาทกั ษะการ
คิดอย่างมวี ิจารณญาณได้ตอ่ ไป

๑.๕.๓ สถานศึกษาได้แนวทางในการศึกษาวิจัยนวัตกรรมการสอนท่พี ฒั นาความสามารถใน
การคดิ อย่างมวี ิจารณญาณด้วยนวตั กรรมการศกึ ษา โดยใช้เทคนคิ กระบวนการแก้ไขปญั หา

บทท่ี ๒

แนวคดิ ทฤษฎี และงานวิจยั ที่เกย่ี วข้อง

การวิจัยเรื่อง การพัฒนาการคิดอย่างมีวิจารณญาณโดยใช้เทคนิคกระบวนการแก้ไขปัญหา
รายวิชาเศรษฐศาสตร์ ของนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนบ้านสองคอนศิริคุรุราษฎร์ อำเภอ
นำ้ พอง จังหวดั ขอนแกน่ ผู้วจิ ัยไดศ้ กึ ษาแนวคดิ ทฤษฎีและงานวจิ ยั ทีเ่ กีย่ วข้องเสนอตามลำดับหัวข้อ
ดังตอ่ ไปนี้

๒.๑ หลกั สูตรกลมุ่ สาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม
๒.๒ ทฤษฎีและแนวคดิ เกยี่ วกับการคิดอย่างมีวิจารณญาณ
๒.๓ ทฤษฎแี ละแนวคิดเกยี่ วกบั กระบวนการแกป้ ญั หา
๒.๔ แนวคิดเก่ยี วกับผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียน
๒.๕ แนวคิดทฤษฎีที่เกย่ี วกบั ความพงึ พอใจ
๒.๖ งานวิจัยท่ีเกย่ี วข้อง
๒.๗ กรอบแนวคิดในการวิจยั

๒.๑ หลกั สตู รกลมุ่ สาระการเรียนรสู้ ังคมศกึ ษา ศาสนาละวัฒนธรรม

๒.๑.๑ ความสำคญั ของกลุม่ สาระการเรยี นรสู้ ังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม
กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม เป็นกลุ่มสาระการเรียนรู้ที่

ผูเ้ รียนทุกคนในระดบั ประถมศกึ ษาและมธั ยมศกึ ษาตอ้ งเรยี น ท้ังนีเ้ พราะกลุ่มสาระการเรยี นรนู้ ้ีว่าดว้ ย
การอยู่รว่ มกนั บนโลกที่มกี ารเปล่ยี นแปลงอยา่ งรวดเรว็ ตลอดเวลาการเชื่อมโยงทางเศรษฐกจิ แตกต่าง
กันอย่างหลาหกหลายการปรับตนเองกับบริบทสภาพแวดล้อมทำให้เป็นพลเมืองที่รับผิดชอบมี
ความสามารถทางสังคม มคี วามรู้ ทักษะ คุณธรรมและค่านยิ มท่เี หมาะสม โดยผู้เรยี นเกิดความเจริญ
งอกงามในแตล่ ะดา้ น ดงั นี้๑

๑ กระทรวงการศึกษาธิการ, หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ (ฉบับ
ปรบั ปรงุ พทุ ธศักราช ๒๕๖๐), (กรุงเทพฯ : โรงพมิ พ์ชุมชนสหกรณก์ ารเกษตรแห่งประเทศไทย, ๒๕๕๒), หนา้ ๒.



๑) ดา้ นความรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม จะใหค้ วามรู้แก่
ผเู้ รียนในเนอ้ื หาสาระ ความคิดรวบยอดและหลกั การในสาขาวิชาตา่ งๆ ทางสงั ตมศาสตร์
ไดแ้ ก่ ภูมิศาสตร์ ประวตั ิศาสตร์ รัฐศาสตร์ จรยิ ธรรม สังคมวทิ ยา เศรษฐศาสตร์ กฎหมาย ประชากร
ศึกษาและสิ่งแวดลอ้ มศึกษา ตามขอบเขตที่กำหนดไว้ในแต่ละระดบั ชัน้ โดยจัดการเรียนรู้ในลักษณะ
บูรณาการหรอื สหวิทยาการ
๒) ด้านทักษะกระบวนการการเรียนวิชาสังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม ผเู้ รียนจะได้
พัฒนาจนเกดิ ทกั ษะดังน้ี

๒.๑) ทกั ษะกาคดิ เช่น การสรปุ ความคดิ การแปลความ การวเิ คราะห์หลักการและ
การนำไปใชต้ ลอดจนการคิดอย่างมีวจิ ารณญาณ

๒.๒) ทักษะการแก้ปัญหา ตามกระบวนการทางสังคมศาสตร์ กระบวนการสบื สวน
เชน่ ความสามารถในการต้งั คถามและการตั้งสมมตฐิ านอย่างมีระบบ การรวบรวมและวิเคราะหข์ ้อมูล
การทดสอบ สมมตฐิ าน และสรุปเปน็ หลกั การ

๒.๓) ทักษะการเรยี นรู้ เช่น ความสามารถในการแสวงหาข้อมูลความร้โู ดยการอ่าน
การฟัง และการสังเกต ความสามารถในการสื่อสารโดยการพูด การเขียน และการนำเสนอ
ความสามารถในการตีความการสร้างแผนภูมิแผนที่ตารางเวลาและการจดบันทึกรวมทั้งการใช้
เทคโนโลยีและสือ่ สารสนเทศตา่ งๆ ให้เป็นประโยชน์ในการแสวงหาความรู้

๒.๔) ทักษะกระบวนการกลุ่ม เช่นความสามารถในการเป็นผู้นำและผู้ตามในการ
ทำงานกลุ่ม มีส่วนร่วมในการกำหนดเป้าหมาย การทำงานของกลุ่มปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย
ด้วยความรับผิดชอบ สร้างสรรค์ผลงาน ช่วยลดข้อขัดแย้ง และแก้ปัญหาของกลุ่มได้อย่างมี
ประสิทธิภาพ

๓) ด้านเจตคติและค่านิยม กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรมจะ
ชว่ ยพฒั นาเจตคตแิ ละค่านิยม เก่ียวกบั ประชาธิปไตยและความเป็นมนษุ ย์เชน่ รูจ้ กั ตนเองพึ่งพาตนเอง
ซือ่ สัตย์สจุ รติ มีวนิ ัย มคี วามกตญั ญูรกั เกยี รติภมู ิแหง่ ตนมีนสิ ยั ในการเปน็ ผู้ผลิตืท่ีดีมีความพอดีในการ
บริโภคเห็นคุณค่าของการทำงานรูจ้ ักคิดวิเคราะห์การทำงานเป็นกลุ่ม เคารพสิทธิของผูอ้ ื่น เสียสละ
เห็นแกป่ ระโยชน์ส่วนรวม มีความผูกผันกบั กลุ่มรักท้องถิ่น รักประเทศชาติ เห็นคุณค่าอนรุ ักษ์และ
พฒั นาศิลปะวฒั นธรรมและส่ิงแวดลอ้ ม ศรัทธาในหลักธรรมของศาสนา และการปกครองของศาสนา
และการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอนั มพี ระมหากษตั ริย์ทรงเป็นประมุข

๔) ด้านการจัดการและปฏิบัติ กิจกรรมการเรียนในกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา
ศาสนาและวัฒนธรรมจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดทักษะในการทำงานเป็นกลุ่ม สามารถนำความรู้ ทักษะ
ค่านิยม และเจตคติที่ได้รับการอบรมบ่มนิสัยมาใช้ในการแก้ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวนั
ของผู้เรยี นไดเ้ มอ่ื พิจารณาในภาพรวม แลว้ จะพบวา่ ความสำคัญของกลมุ่ สาระการเรยี นรู้สังคมศึกษา



ศาสนา และวัฒนธรรม นอกจากจะช่วยให้ผู้เรียนมีความรูใ้ นเรือ่ งตา่ งๆ ทเ่ี กยี่ วขอ้ งกับสภาพแวดล้อม
ทั้งทางธรรมชาติในการดำเนินชีวิตและมีส่วนร่วมในสงคมที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ในฐานะ
พลเมอื งดีและช่วยใหน้ ำความรู้ทางธรรม จรยิ ธรรมหลักธรรมทางศาสนา มาพัฒนาตเองและสังคมได้
ทำให้ผู้เรียนสารมารถดำรงชวี ิตในสังคมอยา่ งมคี วามสุข

๒.๑.๒ วสิ ยั ทศั น์
กลุม่ สาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม กำหนดวิสัยทัศน์ของกลมุ่ ดงั นี้๒

๑) กลมุ่ สาระการเรยี นรู้สังคมศกึ ษา ศาสนา และวัฒนธรรมเป็นศาสตร์บูรณาการที่
มุง่ ให้เยาวชนเปน็ ผ้ทู ่ีมกี ารศึกษาพร้อมท่ีจะเป็นผู้นำผู้ทีม่ สี ว่ นรว่ มและเปน็ พลเมืองท่มี ีความรับผดิ ชอบ

๒) กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมได้บูรณาการสรรพ
ความรู้กระบวนการและปจั จัยตา่ งๆ เพ่อื การเรยี นรูต้ ามเปา้ หมายของท้องถ่นิ ประเทศชาติและระดับ
โลกเชอ่ื มโยงเขา้ ดว้ ยกัน

๓) ผู้เรยี นได้อภิปรายประเด็นประเด็นปญั หาร่วมกบั เพ่อื นและผู้ใหญ่สามารถแสดง
จุดยืนในค่านิยมจริยธรรมของตนเองอย่างเปิดเผยและจรงิ ใจขณะเดยี วกันก็รับฟังเหตุผลของผู้อืน่ ที่
แตกต่างจากคนอย่างต้ังใจ

๔) การเรียนการสอนเปน็ บรรยากาศของการส่งเสริมการคิดขน้ั สูง ในประเดน็ หวั ข้อ
ที่ลึกซึ้งท้าท้ายผู้สอนปฏิบัติต่อผู้เรียนที่จะทำให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนอย่างมี
ความหมายใหเ้ รียนไดป้ ระเมนิ เน้นการนำความรู้มาประยกุ ต์ใชใ้ นทุกรายวิชา

๕) กลุ่มสาระการเรียนรสู้ งั คมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม มกี ารจดั เตรียมโครงงาน
ที่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงของสังคม ที่ทำให้ผู้เรียนได้นำสิ่งที่เรียนไปใช้ได้จริงใน
ชวี ติ ประจำวัน

ดงั นัน้ ตลอดระยะเวลาของการศึกษาข้นั พื้นฐานแสดงให้เห็นว่าผู้เรียนกลมุ่ สาระการ
เรยี นรู้สงั คมศกึ ษา ศาสนาและวัฒนธรรมไดใ้ ช้ความรู้อย่างมีความหมายเพ่อื การตัดสินใจ การสำรวจ
ตรวจสอบการสืบค้นการสรา้ งสรรคส์ ่ิงตา่ งๆ และนำทางตนเอง และผอู้ ื่นเช่อื มโยงความร้ทู ่ีเรยี นสู่โลก
แหง่ ความเปน็ จรงิ ในชีวติ ได้

๒ กระทรวงการศึกษาธิการ, หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ (ฉบับ
ปรับปรงุ พุทธศักราช ๒๕๖๐), (กรุงเทพฯ : โรงพิมพช์ ุมชนสหกรณก์ ารเกษตรแหง่ ประเทศไทย, ๒๕๕๒), หน้า ๓.



๒.๑.๓ คณุ ภาพผ้เู รยี น
หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน ได้กำหนดให้กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษาศาสนาและ
วัฒนธรรมเปน็ กล่มุ สาระพน้ื ฐานทผ่ี ู้เรยี นตอ้ งเรยี นต้งั แต่ช้ันประถมศึกษาปที ี่ ๑ ถงึ ช้ันมัธยมศึกษาปีที่
๖ ประกอบด้วยศาสตร์สาขาต่างๆ หลายแขนงมลี กั ษณธเปน็ พหวุ ทิ ยาการมงุ่ เนน้ ให้ผู้เรียนมีความรู้มี
ทักษะกระบวนการ มีคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยมที่พึงประสงค์ รวมทั้งได้แสดงบทบาทและความ
รบั ผิดชอบทัง้ ตอ่ ตนเองตอ่ ผอู้ ืน่ และต่อสภาพแวดลอ้ มมีจุดเนน้ ในการสรา้ งครุ ภาพของผเู้ รียน ดังนี้

๑. ยึดมั่นในหลักธรรมขงพระพุทธศาสนาหรือศาสนาที่ตตนนับถือสามารถนำ
หลักธรรมคำสอนไปใช้ปฏบิ ตั ิในการอยู่ร่วมกนั ได้ เปน็ ผกู้ ระทำความดี มีค่านิยมที่ดงี ามพัฒนาตนเอง
อยู่เสมอรวมท้งั บำเพญ็ ประโยชน์แก่สังคมส่วนรวม

๒. ยึดมั่นศรัทธาธำรงไว้ซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมพี ระมหากษัตริย์
ทรงเป็นประมุข ปฏิบตั ิตนเป็นพลเมอื งดปี ฏบิ ตั ติ ามกฎหมายขนบธรรมเนยี มประเพณีและวัฒนธรรม
ไทยรวมทง้ั ถา่ ยทอดสงิ่ ที่ดีงามไวเ้ ปน็ มรดกของชาตเิ พอ่ื สนั ติสขุ ของสงั คมไทยและสงั คมโลก

๒.๑) มคี วามสามารถในการบรหิ ารการจัดการทรพั ยากรใหม้ ปี ระสทิ ธิภาพ
เพื่อการดำรงชีวิตอย่างมีดุลยภาพและสามารถนำหลักของเศรษฐกิจพอเพียงไปปฏิบัติได้อย่า งมี
ประสทิ ธภิ าพ

๒.๒) เข้าใจพฒั นาการของมนุษยชาติจากอดีตจนถึงปัจจุบันภาคภูมิใจใน
ความเปน็ ไทยทงั้ ในอดตี และปัจจบุ ัน สามารถใชว้ ธิ กี ารทางประวตั ิศาสตรม์ าวิเคราะหเ์ หตุการณต์ า่ ง ๆ
อยา่ งเป็นระบบและนำไปสรา้ งองค์ความรู้ใหม่ได้

๒.๓) มีปฏิสัมพันธ์ที่ดีงามระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ มนุษย์กับสิ่งแวดลอ้ ม
เป็นผสู้ รา้ งวฒั นธรรม มจี ิตสำนึกอนุรักษท์ รพั ยากรและสงิ่ แวดลอ้ มเพือ่ การพฒั นาทีย่ ่ังยืน

๒.๑.๔ สาระการเรียนรแู้ ละมาตรฐานการเรยี นรู้
หลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พนื้ ฐานกำหนดสาระและมาตรฐานการเรยี นรสู้ งั คมศึกษา
ศาสนาและวัฒนธรรมไว้ดงั นี้๓

สาระที่ ๑ ศาสนา ศีลธรรม จรยิ ธรรม
มาตรฐาน ส ๑.๑ รู้ และเข้าใจประวัติ ความสำคัญ ศาสดา หลักธรรมของ
พระพุทธศาสนาหรือศาสนาที่ตนนับถือและศาสนาอื่น มีศรัทธาที่ถูกต้อง ยึดมั่น และปฏิบัติตาม
หลักธรรม เพอ่ื อยรู่ ่วมกันอยา่ งสนั ติสขุ

๓ กระทรวงการศึกษาธิการ, หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ (ฉบับ
ปรบั ปรงุ พุทธศักราช ๒๕๖๐), (กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พช์ มุ ชนสหกรณก์ ารเกษตรแห่งประเทศไทย, ๒๕๕๒), หนา้ ๕.

๑๐

มาตรฐาน ส ๑.๒ เข้าใจ ตระหนักและปฏบิ ัตติ นเป็นศาสนิกชนที่ดี และธำรงรักษา
พระพทุ ธศาสนาหรอื ศาสนาทต่ี นนบั ถือ

สาระท่ี ๒ หนา้ ท่พี ลเมือง วฒั นธรรมและการดำเนินชีวิตในสังคม
มาตรฐาน ส ๒.๑ เข้าใจและปฏบิ ัตติ นตามหนา้ ที่ของการเป็นพลเมืองดี มีค่านิยมที่
ดีงาม และธำรงรักษาประเพณีและวัฒนธรรมไทย ดำรงชีวิตอยู่ร่วมกันในสังคมไทย และ สังคมโลก
อย่างสนั ติสขุ
มาตรฐาน ส ๒.๒ เขา้ ใจระบบการเมืองการปกครองในสงั คมปจั จุบนั ยดึ ม่ัน ศรัทธา
และธำรงรักษาไวซ้ ึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมพี ระมหากษตั รยิ ์ทรงเปน็ ประมขุ
สาระที่ ๓ เศรษฐศาสตร์
มาตรฐาน ส.๓.๑ เข้าใจและสามารถบริหารจัดการทรัพยากรในการผลิตและการ
บริโภคการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่จำกัดได้อย่างมีประสิทธิภาพและคุ้มค่า รวมทั้งเข้าใจหลักการของ
เศรษฐกิจพอเพยี ง เพื่อการดำรงชวี ิตอย่างมีดลุ ยภาพ
มาตรฐาน ส.๓.๒ เข้าใจระบบ และสถาบันทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ความสัมพันธ์ทาง
เศรษฐกจิ และความจำเป็นของการร่วมมอื กันทางเศรษฐกจิ ในสังคมโลก
สาระที่ ๔ ประวตั ิศาสตร์
มาตรฐาน ส ๔.๑ เข้าใจความหมาย ความสำคัญของเวลาและยุคสมัยทาง
ประวตั ิศาสตรส์ ามารถใช้วิธีการทางประวตั ศิ าสตร์มาวิเคราะห์เหตกุ ารณ์ตา่ ง ๆ อยา่ งเปน็ ระบบ
มาตรฐาน ส ๔.๒ เข้าใจพัฒนาการของมนุษยชาติจากอดีตจนถึงปัจจุบัน ในด้าน
ความสัมพนั ธ์และการเปลยี่ นแปลงของเหตุการณอ์ ย่างต่อเน่อื ง ตระหนกั ถึงความสำคัญและสามารถ
วเิ คราะห์ผลกระทบทีเ่ กดิ ขนึ้
มาตรฐาน ส ๔.๓ เข้าใจความเปน็ มาของชาติไทย วฒั นธรรม ภูมิปญั ญาไทย มีความ
รัก ความภมู ิใจและธำรงความเป็นไทย ๑๗
สาระที่ ๕ ภูมศิ าสตร์ (ฉบับปรับปรุง พทุ ธศักราช ๒๕๖๐)
มาตรฐาน ส ๕.๑ เขา้ ใจลกั ษณะทางกายภาพของโลกและความสัมพันธข์ องสรรพสงิ่
ซึ่งมีผลต่อกัน ใช้แผนที่ และเครื่องมือทางภูมิศาสตร์ในการค้นหา วิเคราะห์ และสรุปข้อมูล ตาม
กระบวนการทางภมู ิศาสตร์ ตลอดจนใชภ้ ูมิสารสนเทศอย่างมีประสิทธภิ าพ
มาตรฐาน ส ๕.๒ เข้าใจปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อมทางกายภาพที่
ก่อให้เกิดการสร้างสรรค์วิถีการดำเนนิ ชีวิต มีจิตสำนึกและมีส่วนร่วมในการจัดการทรัพยากร และ
สิง่ แวดล้อมเพ่ือการพฒั นาที่ยัง่ ยนื
จากการศึกษาหลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม
ข้างตน้ สามารถสรุปได้ว่า เป็นสาระการเรียนร้ทู ส่ี อนหลากหลายบรบิ ทในการใหท้ ุกคนอยุ่ร่วมกันบน

๑๑

โลกใบนเ้ี ป็นพลเมืองท่ดี ขี องประเทศชาติ เพ่ือใหผ้ ู้เรียนเกิดทักษะการเรยี นรหู้ ลากหลายด้านทแ่ี ตกตา่ ง
กันออกไป ทั้งด้านความรู้ ด้านทักษะและกระบวนการ ด้านเจตคติและค่านิยม และด้านการจัดการ
และปฏบิ ตั ิ เปน็ ตน้ ซงึ หลกั สตู รมวี สิ ัยทศั นท์ ่มี งุ่ เนน้ ให้ผูเ้ รยี นสืบค้นและเชือ่ มโยงโลกทัศน์ที่กว้างไกล
มุ่งเน้นให้ผู้เรียนมีคุณภาพ มีความรู้ มีทักษะกระบวนการ มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่พึง
ประสงค์ ซ่งึ มสี าระการเรียนรอู้ ยจู่ ำนวน ๕ สาระ และมารฐานการเรยี นรู้อย่จู ำนวน ๑๒ มาตรฐาน ซึ่ง
ประกอบด้วย สาระศาสนา ศลี ธรรม จรยิ ธรรม สาระหนา้ ทีพ่ ลเมือง วฒั นธรรม และการดำเนนิ ชีวติ ใน
สังคม สาระเศรษฐศาสตร์ สาระประวัติศาสตร์ และสาระภมู ศิ าสตร์

ดังนั้นผู้วจิ ัยไดท้ ำการวิจัยเรือ่ งการพัฒนาการคิดอยา่ งมวี ิจารณญาณโดยใช้เทคนิค
กระบวนการแก้ไขปัญหา รายวิชา เศรษฐศาสตร์ ของนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนบ้านสอง
คอนศริ ิครุ ุราษฎร์ อำเภอน้ำพอง จงั หวัดขอนแก่น โดยใช้โครงสร้างรายวชิ า เศรษฐศาสตร์ หนว่ ยการ
เรียนรู้ที่ ๓ เรื่อง สถาบันการเงิน จำนวน ๓ แผน ๑) เรื่องสถาบันการเงิน ๒) ธนาคารกลาง ๓)
ความสัมพันธร์ ะหวา่ งหน่วยเศรษฐกิจ

๒.๒ ทฤษฎแี ละแนวคดิ เกี่ยวกบั การคิดอย่างมีวิจารณญาณ

๒.๒.๑ ความหมายของการคดิ อยา่ งมีวิจารณญาณ
การคดิ อย่างมวี ิจารณญาณ มาจากคำภาษาองั กฤษว่า “ Critical Thinking “ การ

คิดอย่างมวี ิจารณญาณเปน็ การคดิ อย่างมที ิศทางเปน็ การคิดอยา่ งมีเหตผุ ลซ่ึงผูเ้ รยี กแตกตา่ งกัน ได้แก่
ความคิดแบบวิพากษ์วิจารณ์ การคิดเป็นการคิดอย่างมีเหตุผล การคิดวิเคราะห์วิจารณ์การคิด
วิจารณญาณซึ่งในการวิจัยในครั้งนี้ผู้วิจัยได้ใช้คำว่า การคิดอย่างมีวิจารณญาณ นักจิตวิทยา นัก
การศกึ ษาและผเู้ ชยี่ วชาญเก่ยี วกบั การคิดอย่างมีวจิ ารณญาณหลายทง้ั ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ไดใ้ ห้ความหมายเกย่ี วกบั การคดิ อยา่ งงมีวิจารณญาณไว้ดังนี้

อรพรรณ ลอื บุญธวชั ชัย๔ ได้ใหค้ ำนยิ ามเกีย่ วกับการคิดอยา่ งมีวจิ ารณาญาณวา่ เป็น
การใช้ปัญญาในการพิจารณาไตร่ตรองอย่างสุขุมรอบคอบและมีเหตุผลมีการประเมินสถานการณ์
เชื่อมโยงเหตุการณ์มีการตคี วามสรุปความโดยอาศัยความรู้ความคิดและประสบการณ์ของคนในการ
สำรวจหลักฐานอย่างละเอยี ดถกู ตอ้ งเพอื่ นำไปสู่ ขอ้ สรปุ และขอ้ ตดั สนิ ใจที่สมเหตสุ มผล

๔ อรพรรณ ลอื บญุ ธวัชชยั , การศึกษาและการสอน, (จุฬาลงกณ์มหาวิทยาลยั : กรงุ เทพฯ, ๒๕๔๕), หน้า
๖-๗.

๑๒

มยุรี หรุ่นขำ๕ ได้ศึกษาเกี่ยวกับการคิดอย่างมีวิจารณญาณและสรุปไว้ว่าการคิด
อย่างมีวิจารณญาณเปน็ กระบวนการคิดขัน้ สงู มีความซับซ้อนโดยเริ่มที่ประเด็นปญั หาข้อโต้แยง้ หรอื
ความไม่แน่ใจโดยอาศัยความรู้ความคิดและประสบการณ์ของบุคคล ในการทำความเข้าใจโดยผ่าน
กระบวนการรวบรวมและเชื่อมโยงข้อมูลท่ีมีอยู่อย่างละเอียดรอบคอบก่อนตัดสนิ ใจเชื่อหรือไม่เช่อื
กระทำหรือไม่กระทำซึ่งต้องผ่านขั้นตอนหรือกระบวนการในการลงข้อสรุปอย่างมีเหตุผลมี
สตสิ มั ปชญั ญะและการคดิ อย่างมวี ิจารณญาณยังมีความสัมพนั ธ์กับการคิดแก้ปญั หาโดยการคดิ อย่างมี
วจิ ารณญาณเป็นหลกั และเปน็ เครอ่ื งมือในการคิดแกป้ ัญหา

ศันศนยี ์ ฉัตรคปุ ต๖์ กลา่ ววา่ การคดิ อย่างมวี จิ ารณญาณคอื การคดิ วิเคราะห์สงั เคราะห์
และตัดสนิ ใจแก้ปญั หาโดยยดึ หลักการคิดดว้ ยเหตผุ ลจากขอ้ มูลทเี่ ปน็ จรงิ มากกว่าอารมณ์และการคาด
เดาพิจารณาความเป็นไปได้ในแง่มุมต่างๆว่าอะไรคือความจริงอะไรคือความถูกต้องคิดด้วยความ
รอบคอบระมัดระวังใช้สติปัญญาและทักษะการคิดไตร่ตรองอย่างมีวิจารณญาณมากกว่าการใช้
อารมณ์ท่ีทำให้เกดิ ความลำเอยี งเกิดอคติซึ่งจะมีผลเสยี ต่อการตดั สินใจ

พลกฤช ตันติญานุกุล๗ ได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับการคิดอย่างมีวจิ ารณาญาณและได้
สรุปไวว้ ่าการคดิ อยา่ งมวี ิจารณญาณหมายถงึ กระบวนการคิดพิจารณาไตร่ตรองอย่างรอบคอบเกีย่ วกบั
สถานการณป์ ญั หาท่ปี รากฏโดยมีการรวบรวมข้อมูลและหลกั ฐานทีม่ คี วามน่าเชอื่ ถือมาเพ่ือสนับสนุน
เพ่อื นำไปสูข่ ้อสรปุ ทส่ี มเหตุสมผลหรอื การตัดสินใจแก้ปัญหาในชีวติ ประจำวนั ไดอ้ ย่างเหมาะสม

ปณิตา วรรณพิรุณ๘ ได้พัฒนารูปแบบการเรียนเพื่อพัฒนาการคิดอย่างมี
วจิ ารณญาณโดยไดใ้ ห้ความหมายการคิดอยา่ งมีวจิ ารณญาณไว้ว่าการคิดอย่างมีวิจารณญาณหมายถึง
การคิดหรอื กระบวนการคิดโดยใชข้ อ้ มูล ข้อความรปู้ ระกอบการคิดพิจารณาไตร่ตรองอย่างรอบคอบ

๕ มยุรี หรุ่นขำ, ผลการใช้รูปแบบพัฒนาการคิดอย่างมีวิจารณญาณที่มีต่อความสามารถในการคิด
แก้ปัญหาในบริบทชุมชนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ วิทยานิพนธ์ปริญญาครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขา
จิตวิทยาการศึกษา บณั ฑิตวิทยาลยั , (กรุงเทพฯ : จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั , ๒๕๔๔), หนา้ ๑๘.

๖ ศันศนีย์ ฉัตรคุปต์, รายงานเรื่องฝึกสมองให้คิดอย่างมีวิจารณญาณ, (กรุงเทพฯ : สำนักงาน
คณะกรรมการการศึกษาแห่งชาต,ิ ๒๕๕๔), หน้า ๓๒ - ๓๒.

๗ พลกฤช ตันติญานุกุล, ผลของการจัดกิจกรรมการสอนสังคมศึกษาด้วยการฝึกการคิดอย่างมี
วจิ ารณญาณท่มี ีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความสามารถในการแกป้ ัญหา, (วิทยานิพนธป์ รญิ ญามหาบัณฑิต
สาขาวิชาการสอนสังคมศึกษา บณั ฑิตวิทยาลยั จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลัย, ๒๕๔๗), หน้า ๑๖.

๘ ปณิตา วรรณพิรุณ, การพัฒนารูปแบบดารเรียนบนเว็บแบบผสมผสานโดยใช้ปัญหาเป็นหลักเพื่อ
พัฒนาการคิดอย่างมีวิจารณญาณของนิสิตปริญญาบัณฑิต, (วิทยานิพนธ์ปริญญาครุศาสตรดุษฎีบณั ฑิต สาขา
เทคโนโลยีและสอ่ื สารการศึกษา บัณฑติ วิทยาลัยจุฬาลงกรณมหาวิทยาลยั , ๒๕๕๑) หน้า ๑๐๕.

๑๓

ในการทำความเข้าใจกับเรื่องราวแล้วนำมาตั้งเป็นสมมุติฐานจากเรื่องราวนั้นเพื่อนำมาใช้ในการ
วิเคราะหแ์ ปลความหมายและสรปุ ข้อมูลอย่างสมเหตสุ มผลเพื่อนำผลท่ไี ด้จากการสรปุ มาประเมินและ
ตัดสินใจในการปฏิบัติต่อสถานการณ์หนึ่งๆ จจากการศึกษาความหมายเกี่ยวกับการคิดอย่างมี
วจิ ารณญาณท้งั ในประเทศและตา่ งประเทศสามารถสรปุ ความหมายของการคดิ อยา่ งมีวิจารณญาณไว้
ว่าได้ว่าการคิดอย่างมีวิจารณาญาณเป็นกระบวนการคิดขั้นสูงที่ประกอบด้วยการคิดวิเคราะห์
สังเคราะห์และตัดสนิ ใจแก้ปัญหาเมื่อประเชิญกับสถานการณป์ ัญหาการคิดอย่างมีวิจารณญาณจึงมี
ความสัมพันธ์กับการคิดแก้ปัญหาอย่างมสี ติสัมปชัญญะมีเหตุและผลในการไตร่ตรองข้อมูลทีม่ คี วาม
นา่ เช่อื ถอื เพื่อนำไปส่ขู อ้ สรปุ ในการแกป้ ัญหาเม่อื เผชญิ กบั สถานการณ์ปญั หาได้อย่างเหมาะสม

Dewey ไดก้ ลา่ วไวว้ ่า การคิดอยา่ งมวี จิ ารณญาณ๙ หมายถงึ การคิดอย่าง ใคร่ครวญ
ไตร่ตรอง เร่ิมต้นจากสถานการณท์ ม่ี ีความยุง่ ยาก และส้ิน สดุ ลงด้วยสถานการณ์ท่มี ีความชัดเจน

Hilgard ไดก้ ลา่ วไว้วา่ การคดิ อย่างมีวจิ ารณญาณ๑๐ หมายถงึ ความสามารถในการ
ตัดสิน ข้อความหรือปญั หาว่า เป็นข้อเท็จจริง หรอื เปน็ เหตเุ ปน็ ผลกัน

Good ไดก้ ลา่ วไว้วา่ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ๑๑ หมายถึง การคิด อยา่ งรอบคอบ
ตามหลกั ของการประเมินและมีหลกั ฐานอ้างอิง เพื่อหาข้อสรุปที่น่าจะเป็นไปได้ ตลอดจนพิจารณา
องคป์ ระกอบ ทเ่ี ก่ียวข้องท้งั หมดและใชก้ ระบวนการทางตรรกวิทยาไดอ้ ยา่ งถูกต้องสมเหตุสมผล

Ennis ได้กล่าวไว้ว่า การคิดอย่างมีวิจารณญาณ๑๒ หมายถึง การคิด พิจารณา
ไตร่ตรองอย่าง มีเหตุผลทีม่ ีจุดมุ่งหมายเพื่อการตัดสินใจว่า สิ่งใดควรเชื่อหรือสิ่งใดควรท า ช่วยให้
ตัดสินใจสภาพการณ์ ไดอ้ ย่างถกู ตอ้ ง

สายพิน แก้วงามประเสริฐ ได้กล่าวไว้ว่า การคิดอย่างมีวิจารณญาณ๑๓ หมายถึง
กระบวนการคิดที่ใช้เหตุใช้ผลพิจารณาไตร่ตรองอย่างรอบคอบ โดยการศึกษาข้อมูล หลักฐาน
แยกแยะขอ้ มูลวา่ ข้อมูลใดคอื ขอ้ เทจ็ จรงิ ข้อมลู ใดคือความคดิ เห็น ตลอดจนพิจารณาความนา่ เช่ือถือ
ของขอ้ มลู แลว้ ต้งั สมมตฐิ านเพอื่ หาสาเหตุของปญั หา และสามารถหาแนวทางแกไ้ ขปัญหาน้นั ๆ ได้

๙ Dewey, J. How We Think, (New York: Health and Company, 1933).
๑๐ Hilgard, Ernest R. Introduction to Psychology, 3rd ed., (New York: Marcourt, Brace &
World Inc, 1962).
๑๑ Good, Carter V. Dictionary of Education, 3 rd ed., (New York: Book Company, 1973).
๑๒ Ennis, R.H., A logical basic for nursing critical thinking skills, Educational Leadership,
(np: np, nd), p.46.
๑๓ สายพิน แก้วประเสริฐ, การตรวจสอบการคิดวิจารณญาณสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา,
(มหาวิทยาลยั สงขลานครนิ ทร,์ ๒๕๕๑), หน้า ๙๔.

๑๔

กล่าวได้ว่า การคิดอย่างมีวิจารณญาณ คือ เป็นกระบวนการคิดที่ใช้เหตุผล มี
การศึกษา ข้อเท็จจริง หลักฐานและข้อมูลต่างๆ เพื่อประกอบการตัดสินใจ แล้วน ามาพิจารณา
วิเคราะห์ อย่างสมเหตุสมผล ก่อนตัดสินใจว่าสิ่ง ใดควรเชื่อหรือไม่ควรเชื่อ ผู้ที่มีความคิดอย่างมี
วิจารณญาณ จะเป็นผู้ที่ยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นอย่างมีเหตุผลไม่ยึดถือความคิดเห็นของ
ตนเอง ก่อนท่จี ะตดั สินใจในเรอ่ื งใดก็จะตอ้ งมขี อ้ มูลหลักฐานเพยี งพอและสามารถเปลยี่ นความคิดเหน็
ของ ตนเองให้เข้ากับความคิดเห็นของผู้อื่นได้ ถ้าผู้นั้นมีเหตุที่เหมาะสมถูกต้องกว่า เป็นผู้มีความ
กระตือรือร้นในการ คน้ หาข้อมลู และความรู้ กล่าวได้ว่าผู้ทมี่ ีความคดิ อยา่ งมีวจิ ารณญาณจะเป็นผู้ที่มี
เหตผุ ล

๒.๒.๒ กระบวนการคดิ อยา่ งมีวิจารณญาณ
การคิดอยา่ งมีวจิ ารณญาณ เปน็ กระบวนการคดิ ท่ผี า่ นการคิดอย่างมข้ันตอนในการ

พิจารณาข้อมูล ประเมินสภาพปัญหาและสรุปข้อมูลอย่างมีเหตุ ดังนั้นกระบวนการคิดที่ผ่านการ
พิจารณาข้อมูลอย่างรอบคอบจะทำให้บุคคลนั้นได้ผ่านการคิดอย่างมีวิจารณญาณและนำไปสู่การ
ตัดสินใจที่เหมาะสม ซึ่งได้มีนักการศึกษาและนักจิตวิทยาได้กล่าวถึงกระบวนการคิดอย่างมี
วจิ ารณญาณไว้ ดังน้ี

เพ็ญพิศุทธิ์ เนคมานุรักษ์๑๔ ได้ศึกษาองค์ประกอบของการคิดอย่างมวี ิจารณญาณ
จากหนังสือ เอกสารที่เกี่ยวกับการคิดอย่างมีวิจารณญาณแล้ววิเคราะห์และสังเคราะห์จนได้
กระบวนการคดิ อย่างมีวจิ ารณญาณ ประกอบด้วย ๗ ขัน้ ตอน ดังต่อไปน้ี

๑) การระบุหรอื ทำความเขา้ ใจประเด็นปญั หา ข้อคำถาม ข้ออา้ งอิง หรือ
ข้อโต้แย้ง ซึ่งต้องอาศัยความสามารถในการพิจารณาข้อมูลหรือสภาพการณ์ที่ปรากฎ เพื่อกำหนด
ประเดน็ ปญั หาข้อสงสยั ประเดน็ หลักที่ควรพจิ ารณา รวมท้งั การพิจารณาความหมายของคำหรอื ความ
ชัดเจนของข้อความด้วย

๒) การรวบรวมข้อมูลจากแหลง่ ตา่ งๆ โดยจะต้องอาศัยความสามารถใน
การรวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่างๆ ได้แก่ การรวบรวมข้อมูล ที่ได้จากการสังเกตทั้งทางตรงและ
ทางออ้ ม

๓) การพิจารณาความนา่ เชือ่ ถือของขอ้ มูล ไดจ้ ากการพิจารณาความ

๑๔ เพ็ญพิศุทธิ์ เนคมานุรักษ์, การพัฒนารูปแบบการคิดอย่างมีวิจารณญาณสำหรับนักศึกษาครู,
(วิทยานิพนธ์ปริญญาครุศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวชิ าจิตวทิ ยาการศึกษา บณั ฑติ วทิ ยาลยั จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,
๒๕๓๗), หน้า ๖๗.

๑๕

น่าเชื่อถือของแหล่งที่มาของข้อมูล ซึ่งประเมินความถูกต้องและความพอเพียงของข้อมูลในเชิง
คณุ ภาพและปริมาณไดพ้ รอ้ มกนั

๔) การระบุลักษณะของข้อมลู เป็นการจำแนกความแตกต่างขอ้ มลู ทม่ี อี ยู่
มีความข้อคิดเหน็ ท่ีเป็นจริงหรอื เทจ็ เพียงใด ลัดลำดบั ความสำคญั ของขอ้ มูล โดยต้องอาศัยการตคี วาม
ขอ้ มลู การสงั เคราะหแ์ ละการระบุข้อสันนิษฐานเบอื้ งต้น

๕) การตั้งสมมตฐิ าน เพ่ือกำหนดขอบเขตแนวทางของการพิจารณาหาขอ้
สรุปของข้อคำถาม ประเด็นปัญหาหรือข้อโต้แย้ง ต้องมีการเชื่อมโยงความสัมพันธ์และการ
ตงั้ สมมติฐานไดม้ ีความสอดคล้องกนั

๖) การลงข้อสรปุ ไดจ้ ากการพจิ ารณาเลือกใช้วธิ ีท่ีเหมาะสมจากข้อมูลที่
ปรากฏ โดยอาศยั ความสามารถในการลงสรปุ ทต่ี ้องใช้เหตผุ ลทัง้ อปุ นยั และนริ นัย

๗) การประเมินข้อสรปุ เปน็ การประเมินความสมเหตุสมผลของขอ้ สรุปซ่งึ
ต้องมีการวิเคราะหแ์ ละประเมนิ ขอ้ มูล

มลิวลั ย์ สมศักด์ิ ได้ศึกษาองค์ประกอบของการคดิ อยา่ งมวี จิ ารณญาณประกอบด้วย
๖ ขัน้ ตอนดังน๑้ี ๕

๑) การนิยามปญั หา หมายถงึ การกำหนดประเดน็ ปญั หา โดยพจิ ารณาจาก
ข้อมูล ข้อโต้แย้งเพื่อกำหนดปัญหา ซึ่งการนิยามปัญหาเป็นจุดเริ่มต้นของการคิดอย่างมี
วิจารณญาณ เพราะกระตุ้นให้คนเริ่มตระหนกั ถงึ ปัญหา ขอ้ โตแ้ ยง้ เพอ่ื หาคำตอบทสี่ มเหตุสมผล

๒) การรวบรวมขอ้ มลู เก่ียวกับประเดน็ ปัญหาขอ้ โต้แยง้ ท่ีคลุมครือรวมท้ัง
การดึงข้อมูลหรอื ความรจู้ ากประสบการณ์เดมิ มาใช้ เมื่อพบกบั สถานการณ์ทีเ่ ปน็ ปญั หา การรวบรวม
ข้อมลู ถือวา่ มีความจำเปน็ ตอ่ การคดิ อยา่ งมีวจิ ารณญาณ

๓) การจัดระบบข้อมูล หมายถึงการพิจารณาความน่าเชื่อถือของข้อมูล
ความเพียงพอของข้อมูล และสามารถแยกแยะข้อมูลได้ว่าข้อมูลใดเป็นความคิดเห็น ข้อมูลใดเป็น
ข้อเท็จจริง รวมทัง้ จัดลำดบั ความสำคญั ของขอ้ มูล เพ่ือเป็นแนวทางในการตงั้ สมมติฐาน

๔) การตง้ั สมมติฐาน หมายถงึ การนำขอ้ มลู ที่จัดระบบแลว้ มาเชื่อมโยงหา
ความสัมพันธ์ เพ่ือกำหนดแนวทางการสรปุ ทนี่ ่าจะเปน็ ไปได้มากท่ีสุด หรือตัดสนิ ใจอย่างสมเหตสุ มผล

๑๕ มลิวัลย์ สมศักด์ิ, รูปแบบการสอนเพือ่ พฒั นาการคิดอย่างมีวิจารณญาณของนักเรียนในโครงการ
ขยายโอกาสทางการศึกษาขั้นพื้นฐาน, (ปริญญานิพนธ์การศึกษาดุษฎีบัณฑิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ :
ประสานมิตร, ๒๕๔๐), หนา้ ๓๔ – ๓๖.

๑๖

๕) การสรปุ อ้างองิ โดยใช้หลกั ตรรกศาสตร์ หมายถงึ การพจิ ารณาทางเลือก
ทสี่ มเหตสุ มผลท่สี ุดจากข้อมูลและหลกั ฐานท่มี ีอยู่ เพ่อื นำไปสู่การสรุปท่สี มเหตุสมผล

๖) การประเมินสรุปอ้างอิง หมายถึงการประเมนิ ความสมเหตสุ มผลของ
การสรปุ อา้ งอิง รวมทัง้ พิจารณาว่าข้อสรุปนัน้ สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หรือไม่ ผลจะเป็นอยา่ งไร
หากข้อสรุปน้นั มีการเปลี่ยนแปลง หรอื ไดร้ บั ข้อมูลเพิม่ เตมิ ซ่ึงจะนำไปสกู่ ารรวบรวมขอ้ มลู ที่มีอยู่อีก
คร้งั หนึง่ หรือตัง้ สมมติฐานและการสรปุ อา้ งองิ ใหม่

สิทธพิ ล อาจอนิ ทร์๑๖ ได้กล่าวว่า กระบวนการคดิ อยา่ งมีวิจารณญาณเปน็ การคิด
อย่างมวี จิ ารณญาณมลี กั ษณะเป็นกระบวนการคิดของบุคคลในการจดั การกระทำขอ้ มลู หรอื สิ่งทเี่ ร้าท่ี
ได้รับเข้ามาในการดำเนินขั้นตอนในกระบวนการทางการคิด เพื่อให้ได้คำตอบที่สมเหตุสมผลและ
ความนา่ เชอื่ ถือ กระบวนการคดิ อยา่ งมวี ารณญาณ ประกอบด้วย ๕ องคป์ ระกอบ ดงั นี้

๑) การระบุปัญหา หมายถงึ การกำหนดประเด็นปญั หา การวิเคราะห์
และการทำความเขา้ ใจกับประเด็นปญั หา โดยการวเิ คราะหจ์ ากขอ้ ความหรือสถานการณ์ปญั หา

๒) การรวบรวมขอ้ มลู หมายถงึ การรวบรวมหรอื คน้ หาขอ้ มูลที่เกยี่ วข้อง
กบั ประเดน็ ปัญหาจากแหล่งต่างๆ เพ่ือหาคำตอบ

๓) การพิจารณาความนา่ เชือ่ ของแหล่งขอ้ มูล หมายถงึ การวินิจฉัยความ
นา่ เช่อื ถอื ของแหลง่ ขอ้ มลู ว่าส่ิงใดเป็นข้อเท็จจรงิ สิ่งไดเ้ ป็นความคิดเห็นรวมทงั้ การจัดระบบของข้อมลู
ทเี่ ก่ยี วข้องกบั ปัญหา

๔) การตั้งสมมติฐาน หมายถงึ กำหนดแนวทางในการแกป้ ัญหาโดยการใช้
เหตุผลระหวา่ งข้อมลู ทีม่ อี ย่แู ละระบุทางเลอื กท่เี ป็นไปได้ จากขอ้ ความสถานการณป์ ญั หาท่กี ำหนดให้

๕) การสรปุ อ้างองิ หมายถึง การคดิ พจิ ารณาเป็นเหตุเป็นผล โดยการใช้
หลกั ตรรกศาสตร์สรปุ อ้างองิ สมเหตุสมผลหรือแกป้ ัญหาหอื สถานการณ์ปญั หาที่กำหนดให้ รวมไปถึง
การประเมนิ การสรุปอา้ งอิง

ในการวจิ ัยครั้งนี้ ผูว้ ิจัยไดศ้ ึกษาความสามารถในการคิดอย่างมีวจิ ารณญาณของนักเรียน
ตามแนวความคดิ ของ เพ็ญพิศทุ ธิ์ เนคมานุรักษ์ ซึ่งมีองค์ประกอบของการคิดอย่างมีวิจารณญาณ ๗
ด้าน คอื ๑) การระบุหรือทำความเขา้ ใจประเด็นปญั หา ๒) การรวบรวมขอ้ มลู จากหล่งต่างๆ ๓) การ

๑๖ สทิ ธิพล อาจอินทร์, ผลการใช้โปรแกรมคอมพวิ เตอรช์ ่วยสอนท่มี ีตอ่ การคดิ อย่างมีวิจารณญาณของ
นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ โรงเรยี นวัดธาตุ อำเภอเกษตรวิสัย จงั หวัดร้อยเอ็ด. (วทิ ยานิพนธป์ ริญญาศึกษา
ศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาวิชาจติ วิทยาการศกึ ษา บณั ฑติ วิทยาลัยมหาวทิ ยาลัยขอนแก่น, ๒๕๕๐), หน้า ๘๗.

๑๗

พิจารณาความน่าเชื่อถือของขอ้ มูล ๔) การระบุลักษณะของข้อมูล ๕) การตั้งสมมติฐาน ๖) การลง
ข้อสรุป ๗) การประเมินขอ้ สรุป

๒.๒.๓ ทฤษฎที เี่ ก่ียวข้องกับการคิดอย่างมวี จิ ารณญาณ
๑. ทฤษฎีทางเชาวป์ ัญญาของกลิ ฟอรด์
กิลฟอร์ด๑๗ มีความเชื่อว่าความสามารถทางสมองสามารถปรากฏได้จาก

ปฏิบัติงานตามเงื่อนไขท่กี ำหนดให้ในลกั ษณะของความสามารถดา้ นตา่ งๆท่ีเรยี กวา่ องคป์ ระกอบ และ
สามารถตรวจสอบความสามารถนี้ด้วยแบบสอบที่เป็นมาตรฐานกินฟอร์ดเสนอโครงสร้างทาง
สติปัญญาโดยอธบิ ายว่าความสามารถทางสมองของมนุษย์ประกอบด้วยสามมติ ิคอื มิติด้านเน้ือหามิติ
ด้านปฏิบัติการและมติ ิด้านผลผลติ มิติด้านเนื้อหาหมายถึงวัตถุหรือข้อมลู ต่างๆที่รบั รู้ใช้เป็นสื่อเพ่ือ
ก่อให้เกดิ ความคิดแบ่งออกเปน็ ห้าชนิดดงั น้ี

๑) เน้อื หาทเี่ ป็นรูปภาพไดแ้ ก่วัตถทุ เ่ี ป็นรูปธรรมต่างๆซง่ึ สามารถรบั ร้ไู ดด้ ้วยประสาท
สมั ผัส

๒) เนื้อหาท่ีเปน็ เสยี งได้แกส่ งิ่ ท่ีอย่ใู นรปู ของเสยี งที่มคี วามหมาย
๓) เนื้อหาที่สญั ลักษณ์ได้แก่ตัวเลขตวั อกั ษรและสัญลกั ษณท์ ี่สรา้ งข้ึนเชน่ พยญั ชนะ
ระบบจำนวน
๔) เนอ้ื หาทเ่ี ป็นภาษาไดแ้ ก่ส่งิ ท่ีอยูใ่ นรูปของภาษาท่มี ีความหมาย
๕) เนือ้ หาทีเ่ ป็นพฤตกิ รรมได้แก่สิง่ ที่ไม่ใชถ่ ้อยคำแตเ่ ป็นการแสดงออกของมนุษยเ์ จอ
แตค่ ติความต้องการรวมทั้งปฏิสัมพนั ธ์ระหว่างบุคคล
มิติด้านปฏิบัติการหมายถึงกระบวนการคิดต่าง ๆ ที่สร้างขึ้นมาซึ่งประกอบด้วย
ความสามารถ ๕ ชนดิ ดงั น้ี
๑) การรบั รู้และการเขา้ ใจเป็นความสามารถทางสตปิ ัญญาของมนุษย์ในการรับรู้
และทำความเข้าใจ
๒) การจำเป็นความสามารถทางสติปัญญาของมนุษย์ในการสะสมเรื่องราวหรือ
ข่าวสารและสามารถละลกึ ไดเ้ มอ่ื เวลาผ่าน
๓) การคิดแบบอเนกนัยในเป็นความสามารถในการตอบสนองต่อสิ่งเรา้ และแสดง
ออกมาในหลายหลายแบบหลายวธิ ี
๔) การคดิ แบบเอกนัยเป็นความสามารถในการสรปุ ขอ้ มูลทดี่ ีและถูกต้องทส่ี ดุ

๑๗ Guilford, Theanalysis of intelligence, (New York : McGrow – Hill), 1967.

๑๘

๕) การประเมนิ คา่ เป็นความสามารถทางสตปิ ัญญาในการตัดสินส่ิงทรี่ บั รูจ้ ำไดห้ รือ
กระบวนการคิดน้ันมีคณุ ค่ามคี วามถกู ต้องเหมาะสมหรือมคี วามเพียงพอหรือไม่

มิติด้านผลผลติ หมายถึงความสามารถที่เกิดขึน้ จากการผสมผสานมติ ดิ ้านเนื้อหาและด้าน
ปฏิบัติการเข้าด้วยกันเป็นผลผลิตเมื่อสมองรับรู้วตั ถุหรือข้อมลู ทำให้เกดิ การคิดในรูปแบบต่างๆการ
สามารถให้ผลออกตา่ งต่างกันหกชนดิ ดงั นี้

๑) หน่วยเปน็ ส่ิงที่มคี ณุ สมบตั ิเฉพาะตวั และมคี วามแตกตา่ งจากส่ิงอืน่
๒) จำพวกเป็นกลุม่ ของส่งิ ตา่ งๆ ซง่ึ มีคณุ สมบตั ิบางประการรว่ มกนั
๓) ความสมั พนั ธ์เป็นการเช่ือมโยงสองสงิ่ เขา้ ด้วยกันเช่นเช่อื มโยงคำ
๔) ระบบเป็นการเป็นแบบแผนหรือรูปแบบจากการเชื่อมโยงส่ิงหลายหลายสิ่งเข้า
ดว้ ยกัน
๕) การแปลงรูปเปน็ การเปลีย่ นแปลงการหมุนกลบั การขยายความข้อมลู จากสภาพ
หนง่ึ ไปยงั อีกสภาพหนงึ่
๖) การประยุกต์เปน็ ผลการคดิ ทคี่ าดหวงั หรือการทำนายจากข้อมูลทกี่ ำหนดให้
ทง้ั สามมิตปิ ระกอบกนั เข้าเปน็ หนว่ ย, จำนวน ๑๕๐ หน่วยแต่ละหน่วยมสี ามมติ ิตอ่ มา กิล
ฟอร์ดเพ่มิ ความสามารถดา้ นการปฏิบตั ิการ โดยแยกความจำออกเปน็ สองอยา่ ง คือความจำในช่วงส้ัน
และความจำระยะยาว คือเป็นการให้เวลานั่นเองจำนวนจำนวน ดังนั้นทฤษฎีใหม่ของกิลฟอร์ดจึงมี
จำนวน ๑๘๐ หน่วย
นอกจากนี้ กิลฟอร์ด ยังได้อธิบายรูปแบบของการคิดแก้ปัญหาโดยทั่วๆ ไปว่าเป็น
กระบวนการของความสามารถทางสมองดา้ นปฏิบัติการ ได้แก่การรู้และความเข้าใจการจำ การคดิ
แบบอเนกนัย การคิดแบบเอกนัยในและการประเมินค่าความสามารถทั้งห้าอย่างน้ี จะปฏิบัติการ
ร่วมกนั ซง่ึ พอสรปุ เป็นข้นั ตอนดงั นี้
๑) เมื่อบุคคลได้พบกับปัญหาจากสิ่งแวดล้อม ความสามารถของสมองในส่วนของ
การจำจะปฏิบัติการร่วมกบั การรับรู้และการคิด เพื่อทำความรู้จักสิ่งต่างๆ ทีเ่ กี่ยวกบั โครงสร้างของ
ปญั หาและสภาพทีก่ ่อใหเ้ กิดปัญหา (ปัญหาเปน็ มิติดา้ นเนือ้ หา) โดยการแปลงรปู ให้เข้ากับความรู้ที่มี
อยู่แล้วในส่วนของความจำซึง่ บางครั้งอาจมีการแก้ไขข้อมูลแล้วนำเข้าไปเก็บไวใ้ นส่วนของความจำ
เพิ่ม
๒) ความสามารถของสมองในส่วนของการประเมินคา่ เชื่อมโยงระหว่างศูนย์กลาง
ของการปฏิบัติการคือสว่ นของการรู้และการคิดแบบเอกนยั และแบบอเนกนัยกับความจำจะทำการ
ประเมิน และบางครั้งกม็ ีการการกรองเพื่อแยกประเภทข้อมูลที่เกี่ยวขอ้ ง และไมเ่ ก่ียวขอ้ งกับปัญหา
ความสามารถของสมองส่วนของการประเมินค่านีเ้ ป็นส่วนที่ค่อนข้างกระจาย เพื่อใหก้ ารตรวจสอบ
ข้อมลู เปน็ ไปในทุกทศิ ทางปฏิบตั กิ ารของการประเมนิ ค่าจะไมม่ ผี ลกระทบต่อหน่วยของการจำ

๑๙

๓) บางคร้งั บคุ คลต้องรับข่าวสารอนื่ จากสงิ่ แวดลอ้ ม คอื ข่าวสารหลายๆ ข่าวสารจาก
สิ่งแวดล้อมเข้าไว้ในส่วนของความจำ โดยผ่านการรับรู้ โดยผ่านการรู้ และการกันกองข่าวสารใหม่
แบบเดยี วกบั ปัญหาเดมิ

๔) ทางออกของปัญหาเป็นการสิ้นสุดกระบวนการแก้ปัญหา ในปัญหาหนึ่งอาจมี
ทางออกหลายทางทางออกที่หนึ่งอาจถูกปฏิเสธทางออกที่สองเป็นทางเลือกได้ แต่ไม่ดีหรือเป็น
ทางออกของปัญหาท่เี คยกระทำมาแลว้ อาจทบทวนใหมแ่ ละกลับไปส่ขู นั้ ตอนหยุดพักทางออกที่สาม
เปน็ ทางแกป้ ัญหาทน่ี ่าพอใจ

๕) ลักษณะสำคัญของกระบวนการแก้ปัญหา คือมีช่วงกว้างและข้อมูลมีการ
ยอ้ นกลบั แตล่ ะการรู้และการคดิ มวี งจรจากการร้กู ารคิดไปยงั ความจำไปสู่การประเมิน และกลับมาท่ี
การรูก้ ารคิดใหม่อาจทำซ้ำกันหลายหลายครั้งวงจรอาจกว้างมากโดยรวมเอา การรู้ การคิดคูแ่ รกคูท่ ี่
สองคู่ทส่ี ามคูท่ ี่ส่ี และผู้อืน่ เขา้ ไว้ดว้ ยกันวงจรเหลา่ นี้จะยืดหย่นุ ตามลำดบั ของเหตุการณ์

๖) ในกระบวนการแก้ปัญหาจะใช้การคิดแบบเอกนัย และอเนกนัย สลับกันตาม
ลักษณะของปญั หาที่ต้องการคำตอบแบบใดบางปัญหาจะตอ้ งใชก้ ารถ่ายโยงเกย่ี วข้องการทงั้ สองแบบ
ในการละลกึ ขอ้ มลู จุดสำคญั ทแี่ ตกตา่ งกนั ระหว่างความคดิ ทัง้ สอง คอื แบบของวธิ คี ดิ คำตอบที่ตอ้ งการ
คนสมบูรณ์ และเฉพาะเจาะจงใชว้ ธิ ีคิดแบบเอกนัย ถ้าต้องการคำตอบท่ีมีจำนวนมากก็ใช้วิธคี ิดแบบ
อเนกนัยนอกเหนือจากวิธคี ิดทีต่ ่างกนั แล้วกระบวนการต่างๆ ในการแก้ปัญหากเ็ ป็นส่ิงเดียวกัน

การคิดอย่างมีวิจารณญาณ จึงเป็นการผสมผสานกนั ระหว่างองค์ประกอบที่เป็นมิตติ าม
แนวคดิ ของกิลฟอรด์ ท่ีอธิบายว่า เมื่อบคุ คลพบกับปญั หาจากส่ิงแวดลอ้ มบคุ คลจะทำความรู้จักกับสิ่ง
ตา่ งๆ ทเี่ กย่ี วกบั โครงสรา้ งของปัญหา และสภาพทก่ี อ่ ใหเ้ กิดปญั หาโดยการแปลงรูปใหเ้ ขา้ กับความรู้ท่ี
มอี ยใู่ นส่วนของความจำ ซงึ่ บางคร้งั อาจมีการแกไ้ ขปญั หา และหาทางออกของปญั หาซึ่งในปญั หาหนง่ึ
หนึ่งอาจมีทางออกหลายทางโดยที่กระบวนการแก้ปัญหานั้น อาจจะใช้การคิดทั้งแบบเอกนัยและ
อเนกนัยสลับกัน ตามลักษณะของปัญหาว่าต้องการคำตอบแบบได้วิเคราะห์ องค์ประกอบพบว่า
องค์ประกอบที่มีความสำคัญสำหรับการคิดวิจารณญาณนั้นแบ่งได้ สามองค์ประกอบ คือ
๑) องคป์ ระกอบดา้ นพทุ ธิปญั ญา ๒) องคป์ ระกอบด้านการแก้ปัญหาแบง่ เปน็ การคดิ แบบเอกนัยและ
การคิดแบบอเนกนัย และ ๓) องคป์ ระกอบด้านการประเมนิ ดังน้ันในการฝกึ เพื่อพฒั นาการคดิ อยา่ งมี
วิจารณญาณ ตามแนวคิดของกิลฟอร์ด จึงทำได้โดยการจัดสภาพการณ์โดยให้ผู้เรียนพัฒนา
ความสามารถในสามมิติ ได้แก่มิติดา้ นเน้อื หา คอื เร่มิ ใหข้ อ้ มูลทีก่ อ่ ใหเ้ กิดการคิดแล้วให้นักเรียนได้ใช้
ความสามารถในการคดิ อยา่ งมีวิจารณญาณตา่ งมิติ ด้านกระบวนการคดิ ซงึ่ ก็คือการจำการรู้และเขา้ ใจ
การคิดแบบการคิดเอกนยั การคดิ อเนกนยั และการประเมนิ ค่า และผลจากการใช้ความสามารถในการ
คดิ เก่ียวกับเนอ้ื หา ซึง่ เปน็ การผสมผสานมิติดา้ นเน้ือหา และดา้ นกระบวนการจะไดผ้ ลผลิตคือผลที่ได้
จากการคดิ

๒๐

๒.๓ ทฤษฎเี กีย่ วข้องกับกระบวนการแก้ปญั หา

๒.๓.๑ ความหมายของกระบวนการแก้ปญั หา
ความสามารถในการแกป้ ญั หานนั้ เปน็ ทกั ษะทต่ี ้องฝกึ ฝนอยูเ่ สมอไดม้ ีนกั จติ วิทยา

และนกั ศึกษาหลายท่านได้ให้ทรรศนะ ความหมาย และลกั ษณะของการแกป้ ญั หาไว้ต่างๆ กันดงั นี้
กมลทิพย์ ต่อติด๑๘ สรุปเกี่ยวกับกระบวนการแก้ปัญหา ได้ว่าการแก้ปัญหาเป็น

กระบวนการทางเชาว์ปญั ญา เป็นพฤติกรรมที่มีแบบแผนหรือวิธีดำเนนิ การที่สลบั ซับซ้อนโดยอาศัย
การคิดและวิเคราะห์จากประสบการณเ์ ดิมเป็นพฤติกรรมทีม่ วี ิธีการข้ันตอนในการแก้ปัญหา เพื่อให้
บรรลุถึงจุดมุ่งหมายที่ต้องการซึ่งสามารถสรุปลักษณะของการแก้ปัญหาได้ดังน้ี ๑. การแก้ปัญหา
เกิดขึ้นภายในด้วยการใช้ระบบทางปัญญาของผู้แก้ปัญหา ๒. การแก้ปัญหาเป็นกระบวนการเพราะ
ต้องมกี ารจดั กระทำตามความรขู้ องผู้แก้ปัญหา ๓. การแกป้ ญั หามแี นวทางเพราะผแู้ ก้ปัญหาใช้ความ
พยายามทจี่ ะเอาชนะอปุ สรรคและไปสู่จดุ มุ่งหมาย

นลิ วรรณ วานชิ สุขสมบัต๑ิ ๙ ไดศ้ ึกษาและรวบรวมความหมายเก่ียวกบั การแก้ปัญหา
แล้วสรุปได้ว่า เป็นกระบวนการทำงานที่สลับซับซ้อนของสมองท่ีต้องอาศัยสติปัญญาทักษะความรู้
ความเข้าใจความคิดการรับรูค้ วามชำนาญรูปแบบพฤติกรรมต่างๆ ประสบการณ์เดิมทั้งจากทางตรง
(เรียนรู้ด้วยตัวเอง) และทางอ้อม(มีผู้อบรมสั่งสอน) มโนมติกฎเกณฑ์ข้อสรุปการพิจารณาการสังเกต
และการใช้กลยทุ ธท์ างปญั ญาทจี่ ะวเิ คราะห์สงั เคราะห์ความรู้ความเขา้ ใจต่างๆ อยา่ งมีวิจารณญาณมี
เหตผุ ลและจินตนาการเพือ่ หาแนวปฏิบัตใิ หป้ ญั หาน้นั หมดสน้ิ ไปบรรลจุ ุดมุง่ หมายทตี่ ้องการและไดม้ า
ซ่ึงความรใู้ หม่

สโทลเบอร์กิ๒๐ ให้ความเหน็ เกี่ยวกับกระบวนการแก้ปญั หาว่า ปัญหาทีเ่ กิดขึน้ และ
วิธีการแกป้ ญั หานั้นผู้แก้ปญั หาแตล่ ะคนยอ่ มมลี ักษณะเฉพาะบุคคลการแก้ปัญหาจึงไม่เหมือนกันการ
แกป้ ญั หาไมม่ ีข้นั ตอนท่ีแน่นอนและไมเ่ ปน็ ไปตามลำดบั กอ่ นหลังนอกจากนี้ การแก้ปัญหาอย่างขึ้นอยู่

๑๘ กมลทพิ ย์ ต่อตดิ , ผลของการฝึกกระบวนการสืบสอบที่มีตอ่ ความสามารถในการคิดเชิงเหตุผลและ
ความความสามารถ ในการคิดแก้ปัญหาของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี ๖, (วทิ ยานพิ นธ์ปริญญาพนธ์ปริญญา
มหาบัณฑิต สาขาวิชาจิตวทิ ยาการศกึ ษา บัณฑิตวิทยาลัย : จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั , ๒๕๔๔), หนา้ ๔๔-๔๕.

๑๙ นิลวรรณ วานิชสุขสมบัติ, การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนคอมพิวเตอร์ตามแนวคอนสตรัคติ
วิสต์ด้วยการจัดการเรียนรู้แบบแก้ปัญหา สำหรับนักเรียนช่วงชั้นที่ ๒ ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน
พุทธศักราช ๒๕๕๔, (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต สาขาวิชาโสดทัศนศึกษาบัณฑิตวิทยาลัย : จุฬาลงกรณ์
มหาวทิ ยาลัย, ๒๕๔๗), หน้า ๖๘.

๒๐ Stollburg, R.J. Beyond IQ : A triarchic theory of human intelligence, ( Newyork :
Cambridge University Press), 1985, 225-228.

๒๑

กับประสบการณ์ของแตล่ ะบุคคลวุฒิภาวะทางสมองสภาพการณ์ทีแ่ ตกต่าง และกิจกรรมความสนใจ
ของแตล่ ะคนทม่ี ีต่อปัญหานัน้

จากการศึกษา การใหค้ วามหมายเก่ียวกับกระบวนการแก้ปญั หา จากนักวชิ าการ และนักการ
ศกึ ษาทัง้ ในและตา่ งประเทศสรุปได้ว่า กระบวนการแกป้ ญั หาเปน็ การเชื่อมโยงระหว่างประสบการณ์
เดิมและประสบการณ์ใหมเ่ มือ่ เผชิญหนา้ กับปญั หา หรอื สถานการณ์ในตวั บคุ คลเกดิ เป็นกระบวนการ
ทางสมองในการคดิ อยา่ งมรี ะบบ เพ่อื หาเหตแุ ละผลไปสกู่ ารปฏิบัตเิ พอื่ สร้างเป็นความรใู้ หม

๒.๓.๒ ทฤษฎที เ่ี กย่ี วขอ้ งกับการแกป้ ัญหา
การแกป้ ัญหาน้ันเปน็ กระบวนการที่เก่ียวข้องกับสติปัญญาและการคิด ดังนั้น การศึกษา

ดา้ นการแกป้ ัญหาจึงควรมีความเข้าใจการพฒั นาการทางสตปิ ัญญาดว้ ย
๑. ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพยี เจท์ (Piaget)๒๑ เพียเจท์ได้ศึกษาพัฒนาการ

ทางด้านสติปัญญาของเด็กตั้งแต่แรกเกิดจนถงึ วัยที่มีพัฒนาการทางสตปิ ัญญาท่สี มบูรณ์ เพียเจท์เชื่อ
ว่า เด็กจะเรยี นร้สู งิ่ ต่าง ๆ รอบตัว โดยอาศยั ขบวนการทํางานที่สาํ คัญของโครงสร้างทางสติปัญญา คอื
ขบวนการปรับเข้าสู่โครงสร้าง (Assimmilation) จะทําหน้าที่รับข้อมูลเข้ามาตีความหมายเท่าท่ี
ระดับสติปัญญาจะรับรูไ้ ด้ โดยนําสิ่งใหมม่ าปรับให้เข้ากับความรูเ้ ดิมที่มีอยู่ ถ้าข้อมูลใหม่ที่รับเขา้ มา
นนั้ แตกต่างจากข้อมูลเดิมมากกจ็ ะไมส่ ามารถเขา้ ใจขอ้ มูล ใหม่ได้หมด จงึ ตอ้ งปรบั ขอ้ มลู กอ่ นรบั เขา้ ไป
ในโครงสรา้ งทางความคดิ สว่ นการปรับขยายโครงสรา้ ง (Accommodation) เปน็ การปรับโครงสร้าง
ทมี่ อี ยู่แลว้ ภายในใหเ้ ขา้ กบั สิ่งแวดล้อมได้ โดยปรับโครงสรา้ งทางความคดิ ใหเ้ หมาะกับประสบการณ์ท่ี
จะรับเข้าไป นอกจากน้ี เพียเจท์ยังเชื่อว่า ลําดับขั้นของพัฒนาการทางสมองของเด็กไม่ว่าจะอย่ใู น
สภาพของวฒั นธรรมใดก็ตาม จะเปน็ อย่างเดยี วกันและพัฒนาการทางความคิดของบุคคลจากวัยเด็ก
ถึงวัยที่มีพัฒนาการทาง สติปัญญาที่สมบูรณ์ มีการพัฒนาเป็นลําดบั ขัน้ (Stage) ตามวุฒิภาวะและมี
ความต่อเนื่องกัน สภาพแวดล้อมมีส่วนช่วยในการกระตุ้นเด็กให้ค้นพบความรู้ใหม่ที่จะนําเด็กไป สู่
ขน้ั ตอนตา่ ง ๆ ไดอ้ ยา่ งสมบูรณ์ เพียเจทไ์ ดแ้ บง่ ลําดับขน้ั ของพฒั นาการทางสตปิ ัญญาเป็น ๔ ขั้น คอื

๑) ระยะการแก้ปญั หาดว้ ยการกระทํา (Sensorimotor Stage) พัฒนาการขั้นนี้
เรม่ิ ตั้งแตแ่ รกเกิดถงึ ๒ ปี เดก็ จะเกิดการเรยี นรู้จากประสาทสมั ผัส เด็กมักจะหยิบจับวตั ถุมาลูบคลํา
หรือ เคาะ ฯลฯ ในขั้นนี้ความคิดความเข้าใจของเด็กจะก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว เช่น สามารถ
ประสานงาน ระหวา่ งกลา้ มเน้อื มือและสายตา สามารถรวู้ ่าสสารไมห่ ายไปจากโลก สามารถค้นหาวตั ถุ
ที่เปล่ียนท่ี ไป ตลอดจนสามารถ สื่อสารโดยใช้ภาษาได้ เด็กวัยนี้ชอบทาํ อะไรบ่อย ๆ ซํ้า ๆ เป็นการ

๒๑ Piaget, The origin of Intelligence in the child, (United States of America : Published in
Penguin Education), 1977.

๒๒

เลียนแบบ พยายามแก้ปัญหาแบบลองผิดลองถูก เมื่อสิ้นสุดระยะนี้เด็กจะมีการแสดงออกของ
พฤติกรรมอย่างมี จุดมุ่งหมายและสามารถแก้ปัญหาโดยเปลี่ยนวิธกี ารต่าง ๆ เพื่อให้ไดส้ ิ่งที่ตอ้ งการ
แตค่ วามสามารถ ในการวางแผนของเด็กยังอย่ใู นขีดจาํ กดั

๒) ระยะการแก้ปัญหาด้วยการรับรู้และยังไม่รู้จักใช้เหตุผล (Proportional
Stage) ระยะนอี้ ยใู่ นชว่ งอายุประมาณ ๒-๗ ปี ซึง่ แบง่ ออกเปน็ ขน้ั ย่อย ๆ อีก ๒ ขัน้ คอื ในชว่ งอายุ ๒-
๔ ปี เป็นช่วงที่เด็กเริ่มมีเหตุผลเบื้องต้น สามารถจะโยงความสัมพันธ์ระหว่าง ๒ เหตุการณ์หรือ
มากกว่า มาเป็นเหตผุ ลเก่ียวโยงซึ่งกนั และกนั ได้ แตเ่ หตุผลของเด็กวยั นย้ี ังมขี อบเขตจํากดั เพราะเด็ก
ยังยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง คือยึดความคิดของตนเองเป็นใหญ่ และมองไม่เห็นเหตุผลของคนอ่ืน
ความคิด และเหตุผลของเด็กวัยน้ีจึงไม่ค่อยถกู ต้องกับหลกั ความเป็นจริง ในช่วงที่ ๒ ของระยะนีอ้ ยู่
ในช่วงอายุ ประมาณ ๔-๗ ปี เด็กจะมีความคิดรวบยอดเก่ียวกับสิ่งต่าง ๆ รอบตวั ดขี ึ้น รู้จักแยกแยะ
ชนิ้ ส่วนของวตั ถุ เร่ิมมีการพฒั นาการเกี่ยวกับการอนุรักษ์ แตย่ งั ไมแ่ จ่มชัดรจู้ ักแบง่ พวก แตย่ งั คิดหรือ
ตัดสินผล ของการกระทําต่าง ๆ จากสิง่ ท่เี หน็ ภายนอกเท่าน้ัน

๓) ระยะแก้ปัญหาด้วยเหตุผลกับสิ่งที่เป็นรูปธรรม (Concrete-Operation
Stage) อยู่ ในช่วงอายุ ๗-๑๑ ปี เป็นระยะที่เด็กเข้าใจความคิดของผู้อื่นได้ดี เพราะเด็กเริ่มลด
ความคดิ ยดึ ตนเองเป็นศูนย์กลาง โดยเรม่ิ นาํ เอาเหตผุ ลรอบ ๆ ตัวมาคิดประกอบในการตัดสินใจหรือ
แก้ปัญหาในชีวติ ประจําวนั เด็กวัยนี้สามารถคดิ ทบทวนกลบั ได้ นอกจากน้ีความสามารถในการจาํ ของ
เดก็ ในช่วงอายนุ ีม้ ปี ระสิทธิภาพมากข้นึ สามารถจดั กลมุ่ หรอื จดั พวกไดอ้ ย่างสมบูรณ์สามารถสนทนา
กับบุคคล อน่ื และเขา้ ใจความคดิ ของผ้อู น่ื ไดด้ ี

๔) ระยะการแกป้ ัญหาดว้ ยเหตุผลกับสิ่งทเ่ี ป็นนามธรรม (Formal-Operation)
อยู่ในชว่ ง อายุ ๑๑ ปีขนึ้ ไป ขน้ั น้จี ะเป็นขั้นสดุ ท้ายของการพฒั นาทางสตปิ ัญญาของเดก็ เพยี เจท์เชื่อ
ว่า ความคิดความเขา้ ใจของเดก็ ในขั้นนจ้ี ะเป็นข้ันท่ีสมบรู ณ์ทส่ี ุด คอื เด็กจะสามารถคิดได้แม้สิ่งน้ันไม่
ปรากฏให้เห็น สามารถตั้งสมมติฐานและพิสูจน์ได้ สา มารถแก้ปัญหาต่าง ๆ โดยมีการคิดก่อน
แกป้ ัญหาน้นั ๆ สามารถเข้าใจสตู รหรือกฎเกณฑ์ตา่ ง ๆ ไดด้ ี พฒั นาการทางสตปิ ัญญาของเด็กวัยน้ี จะ
เจริญเติบโตเต็มทีเ่ ช่นเดียวกับผู้ใหญ่ แต่อาจมีการตัดสินใจแก้ปัญหาต่างจากผู้ใหญอ่ ยู่บ้าง เพราะมี
ประสบการณน์ ้อยกวา่ (อรชา วราวทิ ย์) ๒๒

๒๒ อรชา วราวิทย์, การตดั สินใจแก้ปัญหาของเดก็ ปฐมวัย, วิทยานพิ นธ์ ครศุ าสตรมหาบณั ฑิต, (กรุงเทพฯ
: จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั , ๒๕๓๖) หน้า ๑๒.

๒๓

๒. ทฤษฎีพฒั นาการทางสตปิ ัญญาของบรเู นอร์ (Jerome Bruner)๒๓ ทฤษฎขี องบรเู นอร์มี
ส่วนคล้ายคลงึ กบั ทฤษฎขี องเพียเจทค์ ่อนขา้ งมาก โดยบรูเนอร์ เน้นท่คี วามสําคญั ของสง่ิ แวดลอ้ มและ
วัฒนธรรมวา่ มีอทิ ธิพลต่อการพัฒนาสติปัญญาและความคดิ ของเดก็ และได้เสนอแนวคิดใหม่ๆ ได้แก่
หลักสูตรแบบเกลียว (Spiral Curriculum) และการเรียนรู้จากการค้นพบด้วยตนเอง (Discovery
Learning) เปน็ ต้น บรูเนอร์ ได้แบ่งการพัฒนาทางสตปิ ัญญาออกเปน็ ๓ ขั้น คือ

๑) ขั้น Enactive Stage ขั้นนี้เปรียบได้กับขั้นประสาทสัมผัสและการเคลื่อนไหว
(Sensorimotor Stage) ของเพยี เจท์ เปน็ ข้นั ที่เด็กเรียนรจู้ ากการกระทาํ (Learning by Doing) มาก
ทสี่ ุด

๒) ขั้น Iconic Stage ขั้นนี้เปรียบได้กับขั้นก่อนปฏิบัติการคิด (Preoperational
Stage) ซ่ึงจะครอบคลุมข้นั ก่อนปฏิบัตกิ ารคดิ (Preconceptual Thought) และข้นั นกึ ออกเองโดยไม่
ตอ้ งใชเ้ หตุผล ในวยั นี้เดก็ เกยี่ วข้องกบั ความจริงมากขึน้ โดยจะเกดิ จากความคดิ การรบั รเู้ ป็นสว่ นใหญ่
อาจจะมจี ินตนาการบ้าง แต่ยงั ไมส่ ามารถคิดไดล้ ึกซึ้งเหมอื นขน้ั ปฏิบัตกิ ารคดิ รูปธรรมของเพียเจท์

๓) ขั้น Symbolic Stage เป็นพัฒนาการขั้นสูงสุดของบรูเนอร์ เปรียบได้กับขั้น
ปฏิบัติการคิดด้วยรูปธรรม (Concrete Opertion) ของเพียเจท์ ขั้นนี้เด็กจะสามารถเข้าใจ
ความสมั พนั ธ์ของส่งิ ของสามารถคดิ รวบยอด หรอื สังกัปในส่ิงตา่ งๆ ที่ซบั ซ้อนไดม้ ากข้นึ

DeBono๒๔ เสนอแนวคดิ ในการแกป้ ัญหาโดยประยุกตใ์ ช้วิธีการคดิ แบบนอกกรอบ โดยเชอื่
วา่ ปัญหาส่วนใหญต่ ้องการมุมมองทีแ่ ตกตา่ งจงึ จะแกไ้ ขไดส้ ำเร็จ วธิ ีการท่ีจะทำใหไ้ ด้มมุ มองทแี่ ตกต่าง
เก่ียวกบั ปญั หาคือ การแยกปญั หาเป็นส่วนๆ แลว้ นำกลบั มารวมกลมุ่ เขา้ ด้วยกนั ในลักษณะที่แตกต่าง
ไปจากเดมิ หรอื สุ่มบางสว่ นมารวมกนั หลกั การน้ีเสนอองคป์ ระกอบ ในการแก้ปัญหา ๔ ประการคือ
๑) ค้นหาความคดิ เด่นๆ ที่เป็นหลักในทำความเข้าใจกับปญั หา ๒) ค้นหาวิธีการที่แตกต่างออกไปใน
การมองปัญหา ๓) ปล่อยวางการคิดแบบยึดติด และ ๔) ให้โอกาสตนเองในการเปิดรับความคิด
อนื่ ๆ พัฒนาการด้านการพัฒนากระบวนการคิดอยา่ งมเี หตุผลและสตปิ ัญญาน้นั ขน้ึ อยูก่ ับองค์ประกอบ
ทั้งภายในและภายนอก สําหรับองค์ประกอบภายในนั้นหมายถึง กระบวนการคดิ อย่างมีเหตุผลของ
เด็กขึ้นอยู่กับปฏิสัมพันธ์ระหว่างเด็กกับผู้อื่น และขึ้นอยู่กับความต้องการที่เด็กจะพัฒนาหรือ
เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมทั่วๆ ไปของเด็กด้วย ในส่วนที่เกี่ยวกับกระบวนการอันเนื่องมาจาก
องค์ประกอบภายนอก ขึน้ อยู่กบั อทิ ธิพลของสื่อมวลชนหรือความเจริญก้าวหนา้ ทางเทคโนโลยีท่ีเด็ก

๒๓ Jerome Bruner, The blended learning book : Best practices, proven methodologies,
and lessons learned, San Francisco, Calif : Pfeiffer, 2004.

๒๔ DeBono, Lateral thinking for management. (New York: McGraw-Hill). 1971.

๒๔

เหล่านั้นมีประสบการณ์ตรง นอกจากนี้กระบวนการในการคิดและสติปัญญาของเด็กยังขึ้นอยู่กับ
เทคนิคต่าง ๆ หลายอย่าง ซึ่งเทคนิคแต่ละอย่างนั้นต้องอาศัยทักษะโดยใช้ภาษาที่เป็นถ้อยคําและ
วัฒนธรรมเป็นส่อื กลาง

๒.๓.๓ ประเภทของการแก้ปัญหา
เฟรดเดอริคเซน (Frederiksen)๒๕ ได้แบง่ การแก้ปัญหาออกเปน็ ๒ ประเภทคือ

๑) ปัญหาที่มีโครงสร้างสมบูรณ์ (Well-Structured Problem) คือ ปัญหาที่กําหนด
รายละเอียดไว้ชัดเจนครบถ้วน สําหรับให้ผู้เรียนแก้ปัญหา ได้แก่ โจทย์คณิตศาสตร์ แบบฝึกหัด
วิทยาศาสตร์

๒) ปญั หาท่มี โี ครงสรา้ งไม่สมบรู ณ์ (Ill-Structured Problem) คอื ตัวคําถามไม่กระจ่าง
ชัด อาจเพราะมคี วามซับซอ้ นไม่ระบุรายละเอยี ดซึง่ จาํ เปน็ ต้องใช้ในการพิจารณา หรอื ไม่มีแนวทางใน
การหาคาํ ตอบ เป็นปัญหาทผี่ ้ตู อบตอ้ งใชค้ วามพยายามในการหาความสมั พันธ์ และแยกแยะประเด็น
ของปัญหา โดยต้องอาศัยความรู้ด้านการคิดและความจําเป็นที่เกี่ยวกับกฎเกณฑ์ตา่ งๆ เข้ามาช่วย
กอ่ นทีจ่ ะดําเนนิ การคดิ ตามข้ันตอนของการแกป้ ัญหาได้

โธมัส (Thomas)๒๖ จําแนกลกั ษณะการ แกป้ ญหาออกเป็น ๒ ประเภท คอื
๑) ปัญหาที่มีคําตอบอยู่แล้ว ได้แก่ การค้นคว้าหาคําตอบในวิชาคณิตศาสตร์ และ

แบบฝึกหัดวชิ าวิทยาศาสตร์ ซ่ึงมักเป็นปัญหาท่พี บในหอ้ งเรียน
๒) ปัญหาที่เปิดกว้างไม่มีกฎเกณฑ์ เป็นปัญหาที่ก่อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ ได้แก่

ปัญหาสําหรับฝึกความคิดสร้างสรรค์ จากที่กล่าวมาข้างต้นสามารถสรุปได้ว่า การแก้ปัญหามี ๒
ประเภท คือ ปัญหาทีม่ ีโครงสร้างสมบูรณ์มีคําตอบอยู่แล้ว และปัญหาที่มีโครงสร้างไม่สมบูรณ์ เปน็
ปญั หาทเ่ี ปิดกวา้ ง ผแู้ ก้ปัญหาจาํ เป็นต้องอาศยั ความคดิ สรา้ งสรรคม์ าชว่ ยในการแกป้ ัญหา

๒.๓.๔ ข้ันตอนในการแกป้ ญั หา
การแกป้ ัญหาเพื่อให้บรรลุจุดมุง่ หมายนั้นควรคํานึงถึงขั้นตอนในการแก้ปัญหาด้วย โดย

นักการศึกษาหลายท่านได้แบ่งขั้นตอนในการแก้ปัญหาไว้ ซึ่งเป็นประโยชน์สําคัญในการนํามาใช้ใน
กระบวนการคดิ และแกป้ ัญหา ไดแ้ ก่

๒๕ Frederiksen, Problem-based Learning and Other Curriculum Models for the Multiple
Intelligences Classroom. (USA : Skylight), 1997.

๒๖ Thomas, Blended Learning : how to integrate online and traditional learning. (London
: Kogan), 2003.

๒๕

ทิศนา แขมมณี ๒๗กล่าวถึงการแก้ปัญหาที่สามารถช่วยให้บุคลากรดําเนินการ ได้อย่างมี
ระเบยี บ ไมส่ บั สน และสามารถแกป้ ัญหาอย่างไดผ้ ล มีข้นั ตอนดังนี้

๑) ระบปุ ัญหา
๒) วเิ คราะหห์ าสาเหตุของปัญหา
๓) แสวงหาทางแก้ปัญหาท่ดี ีท่สี ดุ
๔) เลือกทางแกป้ ัญหาทดี่ ที ี่สดุ
๕) ลงมอื ดาํ เนินการแกป้ ัญหาตามวธิ กี ารท่ีเลือกไว้
๖) รวบรวมข้อมลู
๗) ประเมินผล
จอร์จ โพลยา ๒๘ กลา่ วถงึ ขั้นตอนการแก้ปัญหา มขี น้ั ตอนดังน้ี
๑. การวเิ คราะหแ์ ละกำหนดรายละเอยี ดของปญั หา

๑) ส่งิ ท่ีต้องการคืออะไร
๒) ข้อมูลท่ีกำหนดใหค้ อื อะไรบ้าง พจิ ารณาข้อมูลและเงื่อนไขทีก่ ำหนดให้
เพียงพอท่ีจะหาคำตอบของปญั หาหรอื ไม่ ถา้ ไม่เพียงพอควรหาขอ้ มลู เพิม่ เติม
๒. การวางแผนในการแก้ปัญหา เมื่อทำความเข้าใจแล้ว ควรวางแผนในการ
แก้ปัญหาด้วยการเลือกใช้เครื่องมือ และวิธีการเพื่อให้ได้ซึ่งคำตอบ ประสบการณ์จะนำมาใช้ใน
ขน้ั ตอนน้ี "เคยแก้ปญั หาในลกั ษณะนห้ี รอื ไม่" ในกรณณที ี่มีประสบการณม์ าก่อน ควรใช้ประสบการณ์
มาเปน็ แนวทางในการแกป้ ัญหาโดยปรับปรุงให้เหมาะสมกับปญั หาใหม่

๓. การดำเนินการแก้ไขปัญหา เมือ่ วางแผนในขัน้ ตอนที่ ๒ แลว้ จงึ ดำเนินการเพื่อ

แก้ปัญหา

๔. การตรวจสอบและปรับปรุง เมื่อดำเนินการตามขั้นที่ ๓ แล้ว จึงนำผลมา
ตรวจสอบว่าแกป้ ัญหาไดห้ รอื ไม่ ่ ถา้ แก้ได้ถอื วา่ สำเรจ็ แต่ถา้ แก้ไมไ่ ด้ จะต้องมีวธิ ีปรบั ปรุงให้ดี

๒๗ ทิศนา แขมมณี, วิทยาการด้านการคิด, (กรุงเทพฯ : บริษัทเดอะมาสเตอร์กรุ๊ปแมเนจเมนท์จำกัด,
๒๕๕๔), หน้า ๓๒.

๒๘ จอร์จ โพลยา, รูปแบบการแก้ปญั หาของโพลยาในโรงเรยี นปรินสร์ อยแยลสว์ ิทยาลัย, (วิทยานิพนธ์
ศึกษาศาสตรมหาบณั ฑติ : มหาวยิ าลัยเชียงใหม่, ๒๕๕๐), หน้า ๓๒.

๒๖

สวุ ทิ ย์ มูลคํา๒๙ ได้เสนอวิธีแก้ปัญหาตามหลักอริยสจั ส่ี ซ่งึ มีหลักการและสาระสาํ คัญสรุปได้
ดงั นี้

ขัน้ ที่ ๑ ข้ันทกุ ข์ คอื สภาพปัญหา ความคับข้อง ความบบี คั้นทช่ี ีวติ หนา้ ทข่ี องบคุ คล
ท่มี ตี อ่ ทกุ ข์ เทยี บไดก้ ับการกาํ หนดปัญหา เข้าใจและกาํ หนดขอบเขตให้ชดั

ขั้นที่ ๒ ขั้นสมุทยั คือ เหตุแห่งทุกข์ หรือสาเหตุของปัญหาซึง่ ต้องคน้ ให้พบแล้วทาํ
หน้าทกี่ าํ จดั หรือละเสียเทียบไดก้ บั ขัน้ ตัง้ สมมตฐิ าน

ขั้นที่ ๓ ขั้นนิโรธ คือ ความดับทกุ ข์ ความพ้นทุกข์ ภาวะปราศจากปัญหาท่ีบคุ คลมี
หน้าท่ที ําให้เป็นจรงิ ทําให้สําเร็จโดยจะตอ้ งกาํ หนดไวว้ า่ จุดหมายท่ีต้องการเลือกคืออะไร การทปี่ ฏบิ ตั ิ
อยู่ที่เพ่ืออะไรเปรยี บได้กบั ขนั้ ทดลองและเก็บข้อมลู

ขั้นที่ ๔ มรรค คือ ทางดับทุกข์ ข้อปฏิบัติใหถ้ ึงความดับทุกข์ หรือวิธีแก้ปัญหาจาก
การปฏิบตั ิสง่ิ ตา่ ง ๆ ดว้ ยตนเอง แล้วสรปุ ผลดว้ ย เปรยี บได้กับขนั้ การวิเคราะห์ขอ้ มลู และการสรปุ ผล

เวยี ร์๓๐ ได้เสนอขั้นตอนในการแก้ปัญหาไว้ ๔ ข้นั ตอน ซึ่งผ้คู นสว่ นใหญใ่ หก้ ารยอมรับและใช้
เป็นแนวทางในการแก้ปัญหาในการปฏิบัติที่ทําให้สามารถกําหนดระยะเวลาและวิธีการทําง าน ที่
แน่นอนได้ดี ดังน้ี

๑) ขัน้ ต้ังปญั หาหรือวิเคราะหป์ ญั หา หมายถึง ความสามารถในการบอกปัญหาภายใน
ขอบเขตทกี่ าํ หนด

๒) ขั้นนิยามสาเหตุของปัญหาโดยแยกแยะจากลักษณะที่สําคัญ หมายถึง ความสามารถ
ในการบอกสาเหตทุ แี่ ทจ้ รงิ หรอื สาเหตุทีเ่ ปน็ ไปได้ของปญั หาจากสถานการณ์ท่ีกาํ หนด

๓) ข้ันคน้ หาแนวทางแก้ปญั หาและตัง้ สมมติฐาน หมายถึง ความสามารถในการหาวิธีการ
แกป้ ญั หาให้ตรงกับสาเหตุของปญั หา

๔) ขั้นพิสูจน์คําตอบหรือผลลัพธ์ที่ได้จากการแก้ปัญหา หมายถึง ความสามารถในการ
อภปิ รายผลทเี่ กดิ ขึ้นหลังจากใช้วิธกี ารแกป้ ัญหาวา่ ผลที่เกดิ ขน้ึ เป็นอยา่ งไร

อํานวย เลิศชยนั ๓๑ ไดเ้ สนอขัน้ ตอนในการแกป้ ัญหาไวด้ งั ตอ่ ไปนี้

๒๙ สวุ ทิ ย์ มลู คํา, กลยทุ ธก์ ารสอนคิดแก้ปญั หา, (กรุงเทพฯ : ห้างหนุ้ สว่ นจำกดั ภาพพิมพ์, ๒๕๔๗) หน้า
๕๐.

๓๐ Weir, Constructivist Perspective and Mathematics, (science education, 1991) 130.
๓๑ อํานวย เลิศชยัน, ทฤษฎีการเรยี นรู้เพ่ือพัฒนากระบวนการคิด, (กรุงเทพฯ : สำนักงานคณะกรรมการ
การศึกษาแหง่ ชาต,ิ ๒๕๔๒), หนา้ ๔๓.

๒๗

๑) ขั้นเตรียมการ (Preparation) หมายถึง ขัน้ การต้งั ปญั หา หรือค้นหาวา่ ปญั หาทีแทจ้ ริง
ของเหตกุ ารณ์คืออะไร หรือค้นหาข้อมูลทแี่ ทจ้ ริงของปัญหาน้นั ๆ

๒) ขั้นวิเคราะห์ปัญหา (Analysis) หมายถึง ขั้นในการพิจารณาดูว่ามีสิ่งใดบ้างที่เป็น
สาเหตุของปญั หาหรือมสี ง่ิ ใดบา้ งทไี่ ม่ใช่สาเหตุสําคญั ของปัญหา

๓) ขั้นในการเสนอแนวทางการแก้ปญั หา (Production) หมายถงึ การหาวธิ ีการแกป้ ญั หา
ให้ตรงกับสาเหตุของปัญหาแล้วเสนอออกมาในรูปของวิธีการในทีส่ ุดจะไดผ้ ลลพั ธ์ออกมา

๔) ขั้นตรวจสอบผล (Verification) หมายถึง ขั้นในการนําเสนอเกณฑ์เพื่อตรวจสอบ
ผลลัพธ์ที่ได้จากการเสนอวิธีการแก้ปัญหาถ้าผลลัพธ์ไม่ถูกต้อง ต้องมีการเสนอวิธีการแก้ปัญหาใหม่
จนกว่าจะไดว้ ิธกี ารทด่ี หี รอื ถูกต้องทส่ี ดุ

๕) ขน้ั การนําไปประยุกตใ์ หม่ (Reapplication) หมายถงึ การนาํ วธิ ีการแกป้ ัญหาท่ีถูกต้อง
ไปใช้ในโอกาสข้างหน้าเมื่อพบเหตกุ ารณ์คลา้ ยกบั เหตุการณ์ท่ีเคยพบมาแล้ว

บลูม (Bloom)๓๒ ได้เสนอขน้ั ตอนของการแกป้ ัญหาไว้ ๖ ข้ัน ดังน้ี
ขั้นที่ ๑ เมื่อนกั เรียนไดพ้ บปญั หา นักเรียนจะคิดค้นสง่ิ ท่ีเคยพบเหน็ และเกย่ี วข้องกบั

ปญั หา
ขน้ั ท่ี ๒ นกั เรียนจะใชป้ ระโยชน์จากขัน้ ที่ ๑ มาสรา้ งรูปแบบปัญหาขึ้นใหม่
ขนั้ ท่ี ๓ การแยกแยะของปัญหา
ข้ันที่ ๔ การเลอื กใช้ทฤษฎี หลกั การ ความคดิ และวิธีการทเ่ี หมาะสมกบั ปัญหา
ขั้นที่ ๕ การใช้ขอ้ สรปุ ของวิธีการมาแก้ปัญหา
ขน้ั ท่ี ๖ ผลที่ไดจ้ ากการแกป้ ัญหา

จากเอกสารดงั ที่กล่าวมาข้างต้น สามารถสรุปไดว้ ่า การแก้ปัญหานั้นมขี ั้นตอนที่ใกล้เคียงกัน
แตอ่ าจมคี วามละเอยี ดแตกตา่ งกันตามแตล่ ะบุคคล โดยมี ๔ ข้นั ตอนหลกั คือ ขัน้ วเิ คราะห์และกำหนด
รายละเอียดของปัญหา ขั้นวางแผนในการแก้ไขปัญหา ขั้นดำเนินการในการแก้ไขปัญหา และขั้น
ตรวจสอบและปรับปรงุ ซ่ึงสามารถใชเ้ ป็นแนวทางในการแกป้ ัญหาสถานการณท์ กี่ ำหนด

๓๒ Bloom, Taxonomy of Education Objective Handbook , (I : Cognitive Doman, New York
: David Mc Kay Company), 1956, 123.

๒๘

๒.๓.๕ ความหมายของการจัดการเรยี นรู้แบบกระบวนการแก้ปญั หา
สวุ ิทย์ มูลคาํ ๓๓ กล่าวถึงการจัดการเรียนรู้แบบแกป้ ัญหาวา่ คือกระบวนการที่ผู้สอน

เน้นให้ผูเ้ รียนคดิ แก้ปัญหาอยา่ งเป็นกระบวนการ มีขั้นตอน มีเหตุผลด้วยตนเอง โดยเร่ิมตั้งแตม่ ีการ
กําหนดปัญหา วางแผนแก้ปัญหา ตงั้ สมมตฐิ าน เกบ็ รวบรวมขอ้ มลู พิสูจนข์ อ้ มูล วิเคราะหข์ ้อมูลและ
สรุปผล

สุคนธ์ สนิ ธพานนท์๓๔ ให้ความหมายของวิธีการสอนแบบ แกป้ ัญหาว่าเป็นวิธีการ
สอนทเ่ี ป็นไปตามหลักจติ วทิ ยาการเรียนรู้ คือการเรยี นร้จู ะเกดิ ขน้ึ เมือ่ มปี ัญหาเกิดข้ึน จึงเป็นวิธีสอน
ให้เกิดการเรียนรู้วิธีแก้ปัญหาซึ่งเกี่ยวข้องกับการประยุกต์ใช้ความรู้เดิมรวมกับความรู้ใหม่และ
กระบวนการต่างๆ เพื่อใช้แก้ปัญหาให้ผู้เรียนคิดเป็น แก้ปัญหาเป็น และนําความรู้ไปใช้ในการ
แกป้ ัญหาได้

วรพี ร ชาตชิ นะ๓๕ ใหค้ วามหมายของการเรยี นรู้แบบการแก้ปัญหาวา่ หมายถึง การ
เรียนรู้ท่ีเน้นให้ผูเ้ รียนได้คิด ได้รูข้ ั้นตอนของการแกป้ ัญหา การทํางานรว่ มกันการแลกเปลี่ยนความรู้
ความคิด และประสบการณซ์ ่งึ กันและกัน เพอื่ ชว่ ยในการแก้ไขปัญหาทีเ่ กดิ ขน้ึ

จากข้อมูลข้างต้นสามารถสรุปได้ว่า การจัดการเรียนรู้แบบกระบวนการแก้ปัญหา
หมายถึง การจดั การเรยี นการสอนโดยการนาํ ปัญหามาใช้ในกระบวนการเรยี นรู้ โดยนกั เรยี นจะได้พบ
กบั ปัญหาแลว้ ผ่านกระบวนการคดิ แกป้ ัญหาอย่างเปน็ ระบบตามกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ คดิ หา
เหตผุ ลและวธิ ีการแก้ปัญหา จนกระท่ังสามารถสรปุ และประเมนิ ผลได้

๒.๓.๖ วัตถุประสงค์ของการจดั การเรียนรู้แบบกระบวนการแก้ปญั หา
สํานักงานเลขาธิการการศึกษา๓๖ มีวัตถุประสงค์ในการจดั การเรียนรู้แบบกระบวนการ

แก้ปัญหา ซง่ึ สามารถสรปุ ไดด้ งั นี้

๓๓ สุวิทย์ มูลคาํ , กลยทุ ธก์ ารสอนคิดแก้ปัญหา, (กรงุ เทพฯ : หา้ งหนุ้ สว่ นจำกัดภาพพิมพ์, ๒๕๔๗) หน้า
๔๒.

๓๔ สคุ นธ์ สนิ ธพานนท์, พฒั นาทกั ษะการคดิ ตามแนวปฏริ ปู การศกึ ษา, (กรงุ เทพฯ : ๙๑๑๙ เทคนคิ พริ้น
ต้ิง), หนา้ ๑๒๑.

๓๕ วรีพร ชาติชนะ, ผลการใช้รูปแบบการสอนตามแนวทฤษฎีสามเกลียวของสเติร์นเบิร์กในวิชากลุม่
สร่างเสริมประสบการณ์ชีวิตที่มีต่อความสามารถในการคิดแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์และผลสัมฤทธิ์ทางการ
เรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๕ (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต สาขาวิชาจิตวิทยาการศึกษา บัณฑิต
วิทยาลยั จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย, ๒๕๔๓), หน้า ๕๖.

๓๖ สาํ นกั งานเลขาธิการการศึกษา, ทฤษฎีการเรยี นรเู้ พ่ือพฒั นากระบวนการคิด, (กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พ์ไอ
เดยี สแควร,์ ๒๕๕๐), หนา้ ๑ - ๓.

๒๙

๑. เพื่อให้นักเรียนไดพ้ ัฒนาทักษะการแก้ปัญหา และตระหนักร้ใู นปัญหาท่เี กดิ ขึ้น
๒. เพือ่ ให้นักเรยี นได้ปฏิบัตกิ ิจกรรม มีช้นิ งานทีเ่ ป็นรปู ธรรมในการแกป้ ัญหา
๓. ตอ้ งการให้นกั เรียนมปี ฏสิ ัมพันธก์ ับครแู ละเพือ่ น รู้จักการทํางานเปน็ กลมุ่
๔. ตอ้ งการกระตุ้นความสนใจของนักเรียนให้ตง้ั ใจเรยี นมากขนึ้ พร้อมกบั การเห็นประโยชน์
ของการเรียนรู้ สร้างนสิ ัยใฝ่รู้รักการค้นคว้าหาความรู้ และฝึกนิสัยให้เป็นคนท่ีมีเหตุผล และมีความ
ริเริม่ สรา้ งสรรค์
สุวทิ ย์ มูลคาํ ๓๗ กล่าวถงึ วตั ถปุ ระสงค์ของการจัดการเรยี นรแู้ บบแก้ปัญหาไว้ ๓ ข้อ ได้แก่

๑) เพื่อให้ผู้เรยี นไดฝ้ ึกทักษะการสังเกต การเก็บข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล การตีความ
และการสรุป

๒) เพ่อื ใหผ้ เู้ รียนได้ฝกึ การคดิ แกป้ ัญหาอยา่ งมีขน้ั ตอน มเี หตุผล ซึง่ จะเปน็ แนวทางในการ
นําไปใช้แกป้ ัญหาในชวี ติ ประจาํ วันได้

๓) เพอ่ื ให้ผ้เู รยี นได้ฝึกการทํางานเปน็ กล่มุ การแลกเปลยี่ นความคดิ และประสบการณ์ซึ่ง
กันและกนั ระหวา่ งผู้เรยี น

กนกกร แววพหูสูต๓๘ใหว้ ตั ถุประสงคข์ องการจัดการเรยี นแบบการแกป้ ัญหา ไวด้ งั นี้
๑) เพือ่ กระตุ้นใหน้ กั เรยี นได้คน้ คว้าหาความรู้ จะช่วยให้มีหนทางในการแก้ปัญหามากข้นึ
๒) เพอ่ื ฝกึ ใหน้ ักเรียนมีการทดลองอยูเ่ สมอ
๓) เพื่อฝึกให้นกั เรยี นไดร้ ู้จักคิดท่ีหลากหลายรูปแบบ ทั้งการคิดที่มีอิสระและการคิดที่มี

ทิศทาง ฝกึ ให้นกั เรยี นไดร้ ูจ้ ักคิดเชือ่ มโยงและคิดย้อนกลบั
๔) เพ่ือให้นักเรยี นได้ฝึกปฏบิ ัติจรงิ ซ่ึงนกั เรียนจะไดร้ บั ประสบการณ์ตรงตามแนวทางการ

จัดการเรียนรู้ที่เนน้ ผเู้ รียนเป็นสาํ คัญ
ผู้วิจัยสามารถสรุปวตั ถปุ ระสงคข์ องการจัดการเรียนรแู้ บบกระบวนการแก้ปญั หา ได้โดยแบง่

ออกเป็น ๔ ขอ้ คอื
๑) เพื่อให้นักเรยี นพัฒนาทักษะแก้ปัญหาอย่างเป็นกระบวนการ รู้จักการใช้เหตแุ ละผล

อยา่ งถกู ตอ้ ง และสามารถนําไปประยกุ ต์ใชไ้ ดใ้ นชวี ิตประจําวนั
๒) เปน็ การฝึกฝนใหน้ กั เรยี นฝกึ คดิ ไดห้ ลายรปู แบบ

๓๗ สุวิทย์ มลู คํา, กลยุทธก์ ารสอนคิดแกป้ ัญหา, (กรุงเทพฯ : ห้างหุ้นส่วนจำกัดภาพพิมพ์, ๒๕๔๗) หน้า
๕๖.

๓๘ กนกกร แววพหสู ตู , การเรียนการสอนที่เน้นผ้เู รียนเป็นสำคญั แนวคิด วธิ ีการ เทคนคิ การสอน ๒,
(กรงุ เทพฯ : สำนักพมิ พ์ บริษทั เดอะมาสเตอร์กรุ๊ป เมเจนเมรท์ จำกัด, ๒๕๔๔), หน้า ๘๙.

๓๐

๓) เพื่อให้นักเรียนรู้จักร่วมกันทํางานเป็นกลุ่ม ช่วยเหลือกันและกัน แบ่งความรู้และ
ประสบการณเ์ พือ่ หาวิธแี กป้ ัญหาร่วมกัน

๔) เพอื่ กระตนุ้ ใหน้ กั เรยี นสนใจในการเรียนมากข้ึน
๒.๓.๗ ข้ันตอนในการจัดการเรยี นรู้แบบกระบวนการแก้ปัญหา

สํานกั งานเลขาธกิ ารการศกึ ษา๓๙ มีขั้นตอนการจดั การเรยี นร้แู บบกระบวนการแก้ปัญหา ดงั นี้
๑) ขั้นกําหนดปัญหา ปัญหาที่นํามาใช้ในบทเรียนอาจได้มาจากแหล่งต่างๆ เช่น

ภาพเหตุการณ์ การสาธติ การเลา่ เรอ่ื ง การใหด้ ภู าพยนตร์ สไลด์ การทายปัญหา เกม ข่าว เหตุการณ์
ประจาํ วันท่ีนา่ สนใจ การสรา้ งสถานการณ์/บทบาทสมมติ ของจริง หรือสถานการณ์จริง เปน็ ต้น

๒) ขั้นตั้งสมมติฐาน สมมติฐานจะเกิดขึ้นได้จากการสังเกต การรวบรวมข้อมูล
ขอ้ เท็จจริงและประสบการณเ์ ดมิ จนสามารถนํามาคาดคะเนคําตอบของปัญหาอย่างมีเหตุผล

๓) ขั้นเก็บรวบรวมข้อมูล เป็นขั้นตอนของการรวบรวมข้อมูลจากการอ่าน การ
สังเกต การสัมภาษณ์ การสืบค้นข้อมูลด้วยวิธีการต่างๆ ที่หลากหลายหรือทําการทดลอง มีการจด
บันทกึ ขอ้ มลู อย่างละเอียดเพ่อื นาํ ไปวเิ คราะหข์ อ้ มูลให้ไดค้ าํ ตอบของปัญหาในที่สุด

๔) ขั้นวิเคราะห์ข้อมูล เป็นขั้นตอนนําเสนอข้อมูลที่ได้จากการสืบค้นหรือทําการ
ทดลองนาํ มาตแี ผเ่ ปดิ โอกาสใหผ้ ้เู รยี นไดม้ กี ารอภิปราย ซกั ถาม ตอบคาํ ถาม แสดงความคดิ เหน็ โดยมี
ผูส้ อนคอยช่วยเหลอื และแนะนํา อนั จะนาํ ไปสกู่ ารสรุปขอ้ มลู ในขน้ั ตอนต่อไป

๕) ขั้นสรุปและประเมินผล เป็นขั้นตอนสุดท้ายของกระบวนการเรียนรู้แบบ
กระบวนการแก้ปัญหาเป็นการสรุปข้อมูลทไ่ี ดจ้ ากแหล่งต่างๆ แล้วสรุปเป็นผลการเรยี นรู้หลังจากนั้น
ผู้สอนและผู้เรียนร่วมกนั ประเมนิ ผลการเรยี นรู้ของผู้เรียนด้วยวิธีการต่างๆ อย่างหลากหลายและนาํ
ผลการประเมินไปใชใ้ นการพัฒนาผู้เรียนต่อไป

สวุ ทิ ย์ มูลคาํ ได้เสนอขั้นตอนการจัดการเรียนรู้แบบแก้ปัญหาไว้ ๓ ข้นั ตอนใหญ่ ๆ ดงั นี้
๑. ข้ันเตรยี ม
๑.๑) ผ้สู อนศึกษาแผนการจัดการเรียนรู้ เนือ้ หาสาระและจุดประสงคอ์ ย่าง

ละเอยี ด
๑.๒) ผสู้ อนวางแผนกําหนดกิจกรรมเปน็ ขั้นตอนตามลาํ ดบั

๒. ขั้นการเรียนรู้

๓๙ สํานกั งานเลขาธิการการศึกษา, ทฤษฎีการเรยี นรเู้ พื่อพฒั นากระบวนการคิด, (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ไอ
เดยี สแควร,์ ๒๕๕๐), หน้า๓๒-๓๔.

๓๑

๒.๑) ขั้นกําหนดปัญหา ผู้สอนเน้นให้ผู้เรียนมองเห็นและเข้าใจปัญหา
รวมทั้งกําหนดขอบเขตของปัญหา ซึ่งผู้สอนอาจใช้เทคนิควิธีต่างๆ เช่น การเล่าเรื่อง การสร้าง
สถานการณ์จาํ ลอง เปน็ ต้น

๒.๒) ขั้นตั้งสมมติฐาน เป็นขั้นคาดคะเนคําตอบของปัญหา โดยใช้ความรู้
และประสบการณช์ ่วยในการคาดคะเนปัญหานั้นน่าจะมีสาเหตมุ าจากอะไร หรอื วธิ กี ารแก้ปัญหาน้ัน
น่าจะแกไ้ ขไดโ้ ดยวธิ ีใดบ้าง ซง่ึ ควรจะต้งั สมมติฐานไว้หลายๆ อยา่ ง

๒.๓) ขั้นวางแผนแก้ปัญหา ขั้นตอนนี้จะเป็นการคิดหาวิธีวางแผนเพ่ือ
แก้ปัญหา โดยใช้ข้อมูลจากปัญหาที่ได้วิเคราะห์ไว้แล้วในขัน้ ที่ ๒.๑ ประกอบกับขอ้ มูลและความรู้ที่
เก่ยี วขอ้ งกับปัญหานัน้ แลว้ นาํ มาใชป้ ระกอบการวางแผนแกป้ ัญหา ในกรณีท่ปี ัญหาต้องตรวจสอบโดย
การทดลอง ขั้นตอนนี้จะเป็นการวางแผนการทดลอง ซึ่งประกอบด้วย การตั้งสมมติฐาน กําหนดวิธี
ทดลองหรือ ตรวจสอบ และอาจรวมทง้ั แนวทางในการประเมินผลการแก้ปัญหา

๒.๔) ขั้นเก็บรวบรวมข้อมูล เป็นขั้นที่ผู้เรียนศึกษาค้นคว้าหาความรู้จาก
แหลง่ ตา่ ง ๆ เช่น ค้นคว้าจากตํารา เอกสารตา่ งๆ สมั ภาษณ์ผ้รู หู้ รือผเู้ ชีย่ วชาญ หรือทําการทดลองแลว้
เก็บรวบรวมขอ้ มูลทไ่ี ด้ โดยอาจใช้วิธีการจดบันทกึ ขอ้ มลู หรอื วิธีอ่ืนๆ ตามความเหมาะสม เพ่ือจะนํา
ข้อมลู มาทดลองสมมติฐานในข้นั ต่อไป

๒.๕) ขน้ั วิเคราะห์ข้อมลู และทดสอบสมมติฐาน เปน็ การนาํ ขอ้ มูลทรี่ วบรวม
ไดน้ น้ั มาวิเคราะห์และทดสอบสมมติฐานทตี่ ัง้ ไวว้ า่ เป็นไปตามที่กําหนดไว้หรอื ไม่

๒.๖) ขั้นสรุปผล ผู้เรียนประเมินผลวิธีการแก้ปัญหาหรือตัดสินใจเลือก
วิธีการที่ได้ผลดีทีส่ ุดในการแกป้ ัญหา หรือเป็นลักษณะการสรุปลงไปว่าเชื่อสมมติฐานใดนั่นเอง โดย
อาจสรุปในรูปของหลักการที่จะนําไปอธิบายเป็นคําตอบ หรือเป็นวิธีแก้ของปัญหาที่กําหนดไว้
ตลอดจนการนาํ ความรู้ไปใช้

๓. ขัน้ ประเมินผล
ผู้สอนและผู้เรียนร่วมกันประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนด้วยวิธีการต่างๆ ท่ี

หลากหลาย นําผลการประเมนิ ไปใชใ้ นการพฒั นาผเู้ รียนต่อไป
สคุ นธ์ สินธานนท์๔๐ มวี ธิ กี ารสอนแบบแกป้ ัญหา ๖ ขัน้ ตอน ไดแ้ ก่
ข้ันที่ ๑ ต้งั ปัญหา ในการต้ังปัญหาผูส้ อนศกึ ษาบทเรยี นท่ีจะสอนแล้วต้งั ปัญหา หรอื

๔๐ สุคนธ์ สินธานนท์, พัฒนาทักษะการคิดตามแนวปฏิรูปการศกึ ษา, (กรงุ เทพฯ : ๙๑๑๙ เทคนิค พริ้น
ตง้ิ ), หน้า ๑๒๑.

๓๒

คําถามใหผ้ ูเ้ รยี นคิดหาคําตอบ หรอื อาจให้ผู้เรยี นเปน็ ผ้ตู ้ังปัญหา หรอื ข้อสงสยั ขึ้นมากไ็ ด้ ซ่งึ การทําให้
ผ้เู รียนเกิดปัญหาหรอื ขอ้ สงสัยทาํ ได้หลายวิธีดงั นี้

๑) การใชค้ ําถามนําสูป่ ัญหา
๒) การเลา่ ประสบการณ์ หรอื การสร้างสถานการณ์ให้เกิดปัญหา
๓) ใหผ้ ู้เรียนคดิ คาํ ถามหรือปัญหา
๔) สาธติ หรอื ทําการทดลองเพอ่ื กอ่ ให้เกดิ ปัญหา
ข้ันท่ี ๒ ต้งั สมมติฐาน เป็นข้ันตอนทีใ่ ชเ้ หตผุ ลในการคดิ วเิ คราะห์ปัญหาและ
คาดคะเนคาํ ตอบ พจิ ารณาแยกปัญหาใหญ่ออกเป็นปัญหาย่อย แล้วคิดอย่างเป็นระบบโดยนําความรู้
ความเขา้ ใจข้อมูลและประสบการณเ์ ดิมทีเ่ คยศึกษามาแลว้ มาคิดแกป้ ัญหาคาดคะเนคาํ ตอบ
ขั้นที่ ๓ วางแผนแก้ปัญหา หรือออกแบบวธิ ีการหาคําตอบจากสมมติฐานที่ได้ตัง้ ไว้
โดยศึกษาถึงสาเหตุที่เกิดปัญหาขึ้น และใช้เหตุผลในการคิดหาวิธีการแก้ปัญหาได้ตรงกับสาเหตุ
ซึ่งจะต้องสร้างทางเลือกหรอื วิธีการแกป้ ัญหาไดห้ ลากหลาย แล้วใช้เหตุผลในการพิจารณาเลือกวิธี
แกป้ ัญหาวธิ ที ่ดี ที ่ีสดุ มคี วามเปน็ ไปไดม้ ากที่สุด พร้อมทั้งเตรียมอุปกรณเ์ คร่ืองมือทจี่ ะใชใ้ หพ้ ร้อม
ขั้นที่ ๔ เก็บรวบรวมข้อมูล เมื่อกาํ หนดหรอื วางแผนการแก้ปัญหาแล้วให้ผู้เรยี นลง
มอื ปฏิบัติตามแผนทวี่ างไว้ แล้วจดบนั ทกึ ข้อมลู ที่ไดเ้ พ่ือนาํ เสนอข้อมูล โดยตรวจสอบความถูกตอ้ งของ
ข้อมลู จัดกระทําข้อมูล แลว้ นาํ เสนอขอ้ มูลในรปู แบบที่เข้าใจง่าย
ขั้นท่ี ๕ สรุปผล เปน็ ข้ันทน่ี าํ ข้อมลู มาพิจารณาแปลความหมายระหวา่ งสาเหตุกับผล
ที่เกิดขึ้นหรือความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต้นและตัวแปรตาม เพื่อหาคําตอบตามสมมติฐานแล้วจงึ
สรปุ ผลเป็นหลักการกว้าง ๆ
ขั้นที่ ๖ การตรวจสอบและการประเมินผล เมื่อได้ข้อสรุปเป็นหลักการกว้างๆ แล้ว
นํามาพจิ ารณาอกี คร้ังวา่ ข้อสรปุ น่าเชือ่ ถือหรือไม่
จากการศึกษาขั้นตอนการจัดการเรียนรู้แบบกระบวนการแก้ปัญหา สามารถสรุปได้ว่า
ขนั้ ตอนในการแก้ปัญหานน้ั มี ๖ ขั้นตอน ได้แก่
๑) ข้ันกําหนดปัญหา
๒) ข้ันตั้งสมมติฐาน
๓) ขน้ั วางแผน
๔) ขัน้ เกบ็ รวบรวมขอ้ มลู
๕) ขน้ั วิเคราะหข์ ้อมูล
๖) ขน้ั สรุปและประเมินผล

๓๓

๒.๓.๘ บทบาทของผสู้ อนและผูเ้ รียนในการจัดการเรยี นรแู้ บบกระบวนการแกป้ ญั หา
บทบาทของผู้สอน
บทบาทของผสู้ อนในการจดั การเรยี นรแู้ บบกระบวนการแกป้ ัญหามดี ังนี้
๑) กําหนดสถานการณห์ รอื เสนอปัญหาท่เี กิดขึ้นจรงิ ซึง่ เปน็ ปัญหาในชีวิตประจําวัน

เลอื กปัญหาทีต่ รงกบั ความสนใจของผ้เู รยี นเป็นปัญหาทใี่ กล้ตวั ผูเ้ รยี น
๒) รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ แหล่งเรียนรู้ภายในและ

ภายนอกหอ้ งเรยี น
๓) กาํ หนดกิจกรรมการเรียนรูอ้ ยา่ งเป็นขนั้ ตอน
๔) ให้คําแนะนํา หรือคําปรึกษา และช่วยอํานวยความสะดวกแก่ผู้เรียนในการ

แสวงหาแหล่งข้อมลู การศกึ ษาข้อมูลและการวเิ คราะห์ข้อมลู ของผู้เรียน
๕) กระตนุ้ ให้ผเู้ รียนแสวงหาทางเลือกในการแกป้ ัญหาท่ีหลากหลายและเหมาะสม
๖) ตดิ ตามการปฏิบตั ิงานของผ้เู รยี นและใหค้ าํ ปรึกษาอย่างใกล้ชดิ
๗) ประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนโดยพจิ ารณาจากผลงาน กระบวนการทํางาน

และคณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์
๘) สร้างบรรยากาศในห้องเรียนให้เป็นประชาธิปไตย เพื่อให้ผูเ้ รียนกล้าแสดงออก

ดา้ นความคิดเห็นและแสดงออกดา้ นการกระทําท่เี หมาะสม
บทบาทของผเู้ รยี น
บทบาทของผู้เรียนในการจดั การเรียนรู้แบบกระบวนการแกป้ ัญหา ได้แก่
๑) รว่ มกนั เลอื กปัญหาท่ตี รงกับความสนใจของตนเองหรือของกลุ่ม
๒) เผชญิ กบั สถานการณป์ ัญหาจรงิ ๆ หรอื สถานการณท์ ผ่ี ู้สอนจดั ให้
๓) วางแผนการแกป้ ัญหาร่วมกัน
๔) ศึกษาคน้ คว้า และแสวงหาความรู้ดว้ ยตนเอง
๕) ลงมอื แกป้ ัญหา รวบรวมข้อมลู วเิ คราะหข์ ้อมูล สรุปและประเมินผล

๒.๓.๙ ประโยชนแ์ ละขอ้ จํากดั ของการจัดการเรยี นรู้แบบกระบวนการแกป้ ัญหา
๑) ผู้เรยี นได้คิดแก้ปัญหาด้วยตวั เอง
๒) ผเู้ รียนไดฝ้ ึกปัญหาด้วยวธิ ีการทห่ี ลากหลาย
๓) ผู้เรยี นได้ฝกึ สังเกต วิเคราะห์ การหาเหตผุ ล ใชข้ อ้ มลู ในการตัดสนิ ใจ
๔) ผเู้ รียนได้ฝึกการทํางาน หรือแกป้ ัญหาอย่างเปน็ ระบบ มีความคิดกว้างไกล
๕) สรา้ งความมน่ั ใจ ความภมู ใิ จ
๖) ชว่ ยใหเ้ กิดความรู้ ความเขา้ ใจทถี่ าวรจากประสบการณต์ รง
๗) ผู้เรียนมีความกระตอื รือร้น สนใจ และรูว้ ิธกี ารหาคําตอบอย่างเป็นระบบ

๓๔

๘) ผ้เู รียนได้มีสว่ นร่วมในกิจกรรมการเรยี นการสอน และลงมอื ปฏบิ ัติดว้ ยตนเอง
๙) ชว่ ยสง่ เสรมิ บรรยากาศในการเรียนการสอน และการฝึกการทาํ งานเปน็ ทมี
๑๐) ช่วยให้ผู้เรียนเป็นผู้มีความมั่นคงทางอารมณ์ หนักแน่น ใจกว้าง ยอมรับฟงั
ความคดิ เห็นซึ่งกันและกัน
ข้อจํากดั ของการจัดการเรยี นรดู้ ว้ ยกระบวนการแกป้ ญั หา
๑) ปญั หาทเ่ี สนอตอ้ งน่าสนใจ และเหมาะสมกับระดบั ทักษะเชาว์ปัญญาของผูเ้ รียน
๒) ผู้เรียนต้องมีความพร้อมทั้งสภาพภายใน คือความฉับไวทางปัญญา มีความ
รวดเรว็ ในการตั้งสมมตฐิ าน
๓) ผูส้ อนต้องมคี วามสามารถในการชว่ ยให้คําแนะนาํ ในการแก้ปัญหาให้ผู้เรียนและ
ใช้ภาษาทเ่ี ข้าใจง่าย มที กั ษะในการใช้คําถาม
๔) ผูเ้ รียนตอ้ งเปน็ ผู้ทกี่ ลา้ แสดงความคดิ เหน็ และยอมรบั ฟงั ความคดิ เห็นของผู้อ่นื

๒.๔ แนวคดิ เก่ียวกบั ผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี น

๒.๔.๑ ความหมายของผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น
กระทรวงศึกษาธิการ๔๑ ได้บัญญัติความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไว้ใน

หนังสือประมวลศัพท์บัญญัติการศึกษาว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความสำเร็จหรือ
ความสามารถในการกระทำใดๆ ที่ต้องอาศัยทกั ษะหรอื มิฉะนั้นกต็ ้องอาศัยความรอบรู้ในวิชาใดวชิ า
หนง่ึ โดยเฉพาะ

ไพศาล หวังพานิช๔๒ ได้ให้ความหมายไว้ว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง
คุณลักษณะและความสามารถของบุคคลอันเกิดจากการเรียนการสอน เป็นการแลกเปลี่ยนแปลง
พฤติกรรมและประสบการณ์การเรียนรู้ที่เกิดากการฝึกฝน อบรม หรือการเรียนรู้การสอน และการ
วัดผลสัมฤทธิ์เปน็ การตรวจสอบความสามารถหรือความสัมฤทธิ์ผลของบคุ คลว่าเรียนรู้แล้วเท่าใด มี
ความสามารถชนิดใด

ชวาล แพรัตนกุล๔๓ ได้ให้ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไว้ว่า ผลสัมฤทธิ์
ทางการเรียน เป็นสมรรถภาพของสมองในดา้ นต่าง ๆ ที่นักเรียนได้รับจากประสบการณ์ทั้งทางตรง

๔๑ กระทรวงศกึ ษาธกิ าร, เอกสารประกอบหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขั้นพ้ืนฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑
แนวปฏิบัติการวัดและประเมินผลการเรียนรู้, (กรุงเทพฯ : ชุมชนสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย, ๒๕๕๒),
หน้า ๕.

๔๒ ไพศาล หวงั พานิช, การวดั ผลการศกึ ษา, (กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพานิช, ๒๕๕๙), หนา้ ๑๑.
๔๓ ชวาล แพรัตนกุล, เทคนคิ การวัดผล, (กรงุ เทพฯ : ไทยวฒั นาพานิช, ๒๕๕๒), หนา้ ๖.

๓๕

และทางออ้ มจากครู ซ่งึ สามารถวดั ไดจ้ ากการตอบแบบสอบวัดผลสมั ฤทธ์ิ ผูต้ อบได้คะแนนมากคือผู้ท่ี
มผี ลสมั ฤทธทิ์ างการเรียนสงู ส่วนผู้ตอบได้คะแนนน้อย ถือว่าได้มีผลสัมฤทธิท์ างการเรยี นต่ำ

อารมณ์ เพชรชื่น๔๔ ได้ให้ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไว้ว่า ผลสัมฤทธิ์
ทางการเรียน หมายถึง ผลที่เกิดขึ้นจากการเรียนการสอน การฝึกฝนหรอื ประสบการณต์ ่าง ๆ ทั้งท่ี
โรงเรียนทีบ่ า้ น และสง่ิ แวดลอ้ มอน่ื ๆ

จากการศึกษาความหมายของผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น สามารถสรุปได้วา่ ผลสัมฤทธทิ์ างการ
เรียน หมายถึง ความรู้ ความเขา้ ใจ ทกั ษะ และทัศนคติของนักเรียนอันเกิดจากการเรยี นรเู้ รอ่ื งใดเรื่อง
หนึง่ ซ่ึงอาจวัดไดจ้ ากการทดสอบหรอื วิธกี ารอ่ืนในระหว่างหรอื หลังการจัดกจิ กรรมการเรียนการสอน
ออกมาเป็นคะแนนจากการได้ศึกษาเล่าเรียนวิชาต่าง ๆ เรียบร้อยแล้วอันเป็นกระบวนการต่าง ๆ
ท่ีผสู้ อนกำหนดขน้ึ นอกจากผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนจะบอกคุณภาพของนักเรียนแล้วยังแสดงให้เห็น
คณุ คา่ ของหลกั สตู ร

๒.๔.๒ ความสำคญั ของการวดั ผลสัมฤทธท์ิ างการเรียน
สมหวงั พธิ ิยานุวฒั น๔์ ๕ กล่าวถงึ ความสำคัญของการวดั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น ดังนี้
๑) เพื่อวินิจฉัยความรู้ความสามารถ ทักษะและกระบวนการ เจตคติ

คุณธรรม จริยธรรม ค่านิยมของผู้เรียนและเพื่อส่งเสริมผู้เรียนให้พัฒนาความรู้ความสามารถและ
ทกั ษะไดเ้ ตม็ ตามศกั ยภาพ

๒) เพ่อื ใชเ้ ปน็ ขอ้ มลู ป้อนกลับให้แก่ตวั ผเู้ รยี นเองวา่ บรรลตุ ามมาตรฐานการ
เรียนรู้เพียงใด

๓) เพอื่ ใช้เปน็ ข้อมูลสรุปผลการเรียนรูแ้ ละเปรียบเทยี บถึงระดับพัฒนาการ
การเรยี นรู้

ภัทรา นิคมานนท์๔๖ ได้จำแนกความสำคัญของการวดั ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี นเพื่อ
พัฒนานักเรียนให้มีคุณภาพเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมด้านสติปัญญาหรือการเปลี่ยนแปลง
พฤติกรรมด้านพทุ ธพิสัย ความสามารถแบ่งออกเปน็ ๖ ระดบั ได้แก่

๑) ความรู้ ความจำ คอื การระลึกถึงเรือ่ งราวที่เคยมปี ระสบการณม์ าก่อน

๔๔ อารมณ์ เพชรชื่น, เทคนิคการวัดและประเมินผลการศึกษาระดับประถมศึกษา, (กรุงเทพฯ :
มหาวทิ ยาลัยศรนี ครนิ ทรวิโรฒ,๒๕๕๗), หน้า ๑๓.

๔๕ สมหวัง พิธิยานุวัฒน์, วิทยากรการประเมินทางการศึกษา, (กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,
๒๕๕๖), หนา้ ๒๔.

๔๖ ภทั รา นคิ มานนท,์ การประเมินผลการเรยี น, (กรุงเทพฯ : ทิพยวสิ ุทธ,์ ๒๕๕๓), หน้า ๑๘.

๓๖

จะโดยวิธีใดก็ตาม เช่น จากการเรียนในห้องเรียน ฟังวิทยุ ดูโทรทัศน์ เป็นต้น พฤติกรรมด้านความรู้
ความจำ ยังจำแนกได้อีก ๓ ลักษณะใหญ่ๆ คือ ความรู้เฉพาะเรื่อง ความรู้ในการดำเนินการและ
ความรูจ้ ากความคิดรวบยอด

๒) ความเข้าใจ คือความสามารถในการรข้นั สตปิ ัญญาทเ่ี ปน็ ผลมาจากการ
นำความรแู้ ละประสบการณ์จากขั้นท่ีหนงึ่ มาผสมผสานจนกลายเปน็ ความรู้ชนดิ ใหม่ แบง่ ออกเป็น ๓
ลักษณะ คือ การแปลความ ตคี วาม และการขยายความ

๓) การนำไปใช้ คอื ความสามารถในการนำความรู้ ความเข้าใจในเรื่องที่
เรยี นรูม้ าแล้วไปแก้ปัญหาที่แปลกใหม่หรือสถานการณใ์ หมท่ ไี่ มเ่ คยพบเห็นมาก่อน

๔) การวิเคราะห์ คือความสามารถในการนำองค์ประกอบย่อยตา่ งๆ ได้ ทำ
ให้มองเห็นความสัมพันธ์กนั ได้อย่างชัดเจน สามารถค้นหาความจริงท่ีซ่อนแขวงอยู่ในเรื่องนั้นๆ โดย
วิเคราะห์ ๓ ลกั ษณะ ได้แก่ การวิเคราะหค์ วามสำคญั การวิเคราะห์ความสมั พนั ธ์ และการวิเคราะห์
ข้อความ

๕) การสังเคราะห์ คอื ความสามารถในการนำองคป์ ระกอบยอ่ ยตา่ งๆ
ตั้งแต่ ๒ สิ่งขึ้นไปมารวมเป็นเรื่องราวเดียวกันเพื่อให้เห็นโครงสร้างที่ชัดเจน ซึ่งเป็นผลลัพธ์ใหม่ มี
คุณค่าต่อการสังเคราะห์ ๓ ประการ คือการสังเคราะห์ข้อความ การสังเคราะห์แผนงาน และการ
สงั เคราะหค์ วามสัมพันธ์

๖) การประเมนิ คา่ คอื ความสามารถในการตดั สินเกี่ยวกบั คณุ ค่าของ
เนือ้ หาและวธิ ีการต่างๆ โดยมีการสรปุ อย่างมีหลักเกณฑว์ า่ เหมาะสม มีคณุ คา่ ดี เลว การประเมินค่า
ตอ้ งอาศยั เกณฑป์ ระกอบการตัดสนิ ใจ การประเมินคา่ มี ๒ ระดบั คอื การตัดสนิ ใจโดยอาศยั ข้อเทจ็ จรงิ
และการตัดสินใจโดยอาศัยเกณฑ์ภายนอกเปน็ เกณฑ์ท่ีไม่ได้ปรากฎตามเนอ้ื หานนั้ ๆ

จากการศึกษาความสำคัญของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สามารถสรุปได้ว่า ความสำคัญ
ของการวดั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน เปน้ การวดั พฤตกิ รรมดา้ นความรู้ ความสามารถของผ้เู รยี นในด้าน
ความรู้ ความจำ ความเข้าใจ การนำไปใช้ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ และการประเมินค่า และ
เปรียบเทยี บถงึ ระดบั พฒั นาการของการเรียนรขู้ องผเู้ รยี น

๓๗

๒.๕ แนวคิดเกี่ยวกบั ความพึงพอใจ

๒.๕.๑ ความหมายของความพงึ พอใจ
กาญจนา อรุณสอนศรี๔๗ ได้กล่าวไว้ว่า ความพงึ พอใจ หมายถึง การแสดงออกทาง

พฤตกิ รรมของมนษุ ยเ์ ป็นส่ิงท่จี บั ต้องไม่ได้และไมส่ ามารถมองเห็นเปน็ รูปรา่ งได้ การท่ีเราจะทราบว่า
บุคคลมีความพึงพอใจหรือไม่ สามารถทราบได้จากการสังเกตพฤติกรรม สีหน้า กริยาท่าทางของ
บคุ คล

สนิท เหลืองบุตรนาค๔๘ ได้ให้ความหมาย ความพึงพอใจ หมายถึง ท่าที่ความรู้สึก
ความคิดเห็นที่มีผลต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ภายหลังจากที่ได้รับประสบการณ์ในสิ่งนั้นมาแล้วในลักษณะ
ทางบวกคือ พอใจ นิยม ชอบ สนับสนุนหรือมีเจตคติที่ดีต่อบุคคล เมื่อรับตอบสนองความต้องการ
ในทางเดียวกัน หากไดร้ บั การตอบสนองความตอ้ งการจะเกิดความไม่พอใจเกิดขนึ้

คณติ ดวงหสั ดี๔๙ ให้ความหมายไวว้ า่ เป็นความรูส้ กึ ชอบ หรอื พอใจของบคุ คลทม่ี ีตอ่
การทำงานและองคป์ ระกอบหรอื สิง่ จงู ใจอ่นื ๆ ถา้ งานทีท่ ำหรือองคป์ ระกอบเหล่านั้นตอบสนองความ
ต้องการของบุคคลได้บุคคลนั้น จะเกิดความพึงพอใจในงานขึ้นจะอุทิศเวลาแรงกายแรงใจรวมท้ัง
สตปิ ัญญาให้แก่งานของตนให้บรรลุวตั ถุประสงค์อยา่ งมคี ุณภาพ

จากการศึกษาความหมายของความพึงพอใจข้างต้น สามารถสรุปได้ว่า ความพึงพอใจ
หมายถึง ความรู้สึกทีเ่ ป็นการยอมรับความรู้สกึ ชอบ ความรู้สึกที่ยินดีกับการยอมรับ ความรู้สึกชอบ
ความร้สู ึกท่ียินดีกบั การปฏบิ ัตงิ าน ทัง้ การให้บรกิ าร และการรบั บรกิ ารในทุกสถานการณท์ กุ สถานที่

๒.๕.๒ การวัดความพงึ พอใจ
ภณิดา ชัยปัญญา ไดใ้ หท้ รรศนะเก่ยี วกบั เร่ืองนี้วา่ ความพึงพอใจเปน็ นามธรรมเป็น

การแสดงออกค่อนข้างซับซ้อน จึงเป็นการยากที่จะวัดได้โดยตรงแต่เราสามารถที่จะวัดได้โดยอ้อม
โดยวัดความคดิ เหน็ ของบุคคลเหลา่ นัน้ แทน ฉะน้ันการวดั ความพึงพอใจกม็ ีขออบเขตทีจ่ ำกัดด้วย อาจ

๔๗ กาญจนา อรณุ สอนศร,ี ความพงึ พอใจของสมาชกิ สหกรณ์ต่อการดำเนินงานของสหกรณก์ ารเกษตร
ไชยปราการจำกัด อำเภอชยั ปราการ จังหวัดเชยี งใหม่, วทิ ยานพิ นธ์, (เชียงใหม่ : มหาวทิ ยาลัยเชียงใหม,่ ๒๕๕๖),
หน้า ๑๒.

๔๘ สนิท เหลืองบุตรนาค, ความพึงพอใจของนักศึกษาโรงการฝึกอบรมครูบุคลากรทางการศึกษา
ประจำการระดับปริญญาตรี ครุศาสตรบัณฑิต วิชาเอกเกษตรศาสตร์ ที่มีผลต่อการเรียนวิชาขยายพันธุ์พืช
ของสหวทิ ยาลัยในภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื , วทิ ยานพิ นธ์, (กรงุ เทพ : มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์, ๒๕๕๙), หน้า
๑๘.

๔๙ คณิต ดวงหัสด,ี สุขภาพจิตกับความพึงพอใจในงานของข้าราชการตำรวจชั้นประทวนในเขตเมือง
และเขตชนบทของจังหวดั ขอนแก่น, วิทยานิพนธ,์ (ขอนแกน่ : มหาวทิ ยาลัยขอนแกน่ , ๒๕๕๗), หน้า ๒๘.

๓๘

มีความคลาดเคลื่อนขึ้นถ้าบุคคลเหล่านั้นแสดงความคิดเห็นไม่ตรงกับความรู้สึกที่แท้จริง
ซึ่งความคลาดเคล่อื นเหลา่ นี้ยอ่ มเกิดขึ้นไดเ้ ปน็ ธรรมดาของการวดั โดยท่ัวๆ ไปและได้กลา่ ววา่ การวัด
ความพึงพอใจนั้นสามารถทำไดห้ ลายวธิ ี ดงั นี้

๑. การใช้แบบสอบถาม โดยผู้ออกแบบสอบถาม ต้องการทราบความคิดเห็นซึ่ง
สามารถที่จะกระทำได้ในลกั ษณะกำหนดคำตอบให้เลือกหรือตอบคำถามอิสระ คำถามดังกล่าวอาจ
ถามความพอใจในด้านต่างๆ เพื่อให้ผู้ตอบทุกคนมาเป็นแบบแผนเดียวกัน มักใช้ในกรณีที่ต้องการ
ข้อมูลกลุ่มตัวอย่างมากๆ วิธีนี้นับเป็นวิธีที่นิยมใช้กันมากที่สุดในการวัดทัศนคติ รูปแบบของ
แบบสอบถามจะใช้มาตรการวัดทัศนคติ ซึ่งที่นิยมใช้ในปัจจุบันวิธีหนึ่ง คือ มาตราส่วนแบบลิเคิร์ท
ประกอบด้วยขอ้ ความท่แี สดงถึงทัศนคตขิ องบุคคลท่มี ตี ่อสิง่ เร้าอยา่ งใดอย่างหนึง่ ท่มี ีคำตอบท่แี สดงถึง
ระดับความร้สู กึ ๕ คำตอบ เช่น มากท่ีสุด มาก ปานกลาง นอ้ ย นอ้ ยท่ีสุด

๒. การสัมภาษณ์ เปน็ วิธีการทผ่ี ู้วิจยั จะต้องออกไปสอบถามโดยการพูดคุย โดยมกี าร
เตรียมแผนงานลว่ งหนา้ เพ่อื ให้ได้ขอ้ มูลท่เี ป็นจริงมากท่ีสดุ

๓. การสงั เกต เปน็ วธิ วี ัดความพงึ พอใจ โดยการสังเกตพฤตกิ รรมของบุคคลเป้าหมาย
ไม่ว่าจะแสดงออกจากการพูดจา กรยิ า ทา่ ทาง วธิ ีน้ตี ้องอาศยั การกระทำอย่างจริงจังและสังเกตอย่าง
มีระเบียบ แบบแผน วธิ ีน้เี ปน็ วิธีการศกึ ษาที่เกา่ แก่และยังเปน็ ทน่ี ิยมใช้อยา่ งแพร่หลายจนถึงปจั จุบนั

จากการศึกษาการวดั ความพึงพอใจข้างต้น สามารถสรปุ ไดว้ า่ การวดั ความพงึ พอใจเป็นการ
บอกถึงความขอบของบุคคลที่มีต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใด ซึ่งสามารถวัดได้หลายวิธีการสัมภาษณ์ การใช้
แบบสอบถามความคดิ เหน็ การใช้แบบสำรวจความรูส้ กึ

๒.๕.๓ การสรา้ งแบบสอบถามวดั ความพึงพอใจ

พิสณุ ฟองศรี๕๐ กล่าวถึง แบบสอบถามความพึงพอใจจะมีโครงสร้างสำคัญ ๓ ส่วน
คือ ส่วนท่ีเปน็ คำชี้แจง สว่ นท่เี ป็นขอ้ มลู ผู้ตอบ และสว่ นที่เปน็ เนอ้ื หา แบบสอบถามเป็น ๒ แบบ คือ

๑) แบบปลายเปิด เป็นแบบที่ไม่กำหนดตายตัว ผู้ตอบตอบได้อย่างเสรีโดยจะเว้น
ชอ่ งวา่ งมาให้ ขอ้ ดีคืออาจได้มุมมองใหมๆ่ ข้อเสียคือในทางปฏิบัตผิ ้ตู อบจำไม่ค่อยตอบหรือตอบไมเ่ ขา้
ประเดน็ และวเิ คราะห์ยาก

๒) แบบปลายปิด เป็นแบบที่ให้เลือกตอบหรือเติมคำสั้นๆ หรือให้เรียงลำดับ
ความสำคัญ เป็นตน้ ข้อดีคือได้ข้อมลู เปน็ ระบบ วิเคราะห์ง่าย แต่จะไมไ่ ดม้ มุ มองใหม่ๆ จากกรอบที่
กำหนด

๕๐ พิสณุ ฟองศร,ี การสรา้ งและพัฒนาเครื่องมอื วิจยั , (กรงุ เทพฯ : ตน้ แก้ว, ๒๕๕๗), หน้า ๕๘.

๓๙

สาโรช ไสยสมบตั ิ๕๑ ได้เสนอแนวคิดเก่ียวกับเก่ยี วกบั หลักการสร้างแบบสอบถามวดั ความ
พงึ พอใจโดยแบ่งกล่าวเป็นสว่ นๆ ดังนี้

๑. เก่ยี วกบั การสรา้ งคำถาม ควรยดึ เกณฑด์ งั นี้
๑) คำถามทีใ่ ชต้ อ้ งชัดเจน แม่นยำ ไมม่ ีความหมายคลุมเครือ ศัพทท์ ีใ่ ช้ควร

เขา้ ใจง่าย
๒) เรยี งคำถามตามหลกั เหตผุ ล คำถามใดควรถามกอ่ นหลัง จดั ไวใ้ ห้เหมาะสม

เรยี งลำดับเป็นลูกโซ่และคำถามท่ีดีควรถามคำถามประเด็นเดยี ว
๓) คำถามตอ้ งสนั้ กะทัดรดั ไม่เย่ินเยอ้ ตดั คำฟุ่มเฟอื่ ยหรอื ไม่จำเปน็ ทงิ้
๔) คำถามควรเปน็ คำถามท่ีดงึ ดดู ความสนใจ ไมเ่ บอ่ื หน่ายแกผ่ ตู้ อบ
๕) คำถามคำนงึ ถงึ วยั ความสามารถ ระดบั การศึกษา ประสบการณ์ ตลอดจน

การใช้ภาษาของผูต้ อบดว้ ย
๖) ข้อคำถามให้ตรงกบั ขอ้ ปัญหาของการวิจยั
๗) หลกี เล่ียงคำถามท่ที ำให้ผ้ตู อบอดึ อดั ใจ เชน่ อายุ เพศ การหย่าร้าง เปน็ ตน้
๘) การใช้คำถามไม่ทำให้ต้องคิดมาก ในกรณีข้อความเนื้อยาวอาจจะแบง่ เปน็

คำถามยอ่ ยๆ ควรแจ้งใหท้ ราบวา่ คำตอบไม่มผี ิดหรอื ถูก
๙) หลีกเลี่ยงคำประเภทนามธรรม เช่น รวย จน ดี สวย เพราะคำเหล่านี้การ

ตคี วามของบุคคลจะแตกตา่ งกันมาก
๑๐) คำถามต้องไม่แคบเกินไป หรือมีขอบเขตจำกัด หรือไม่เป็นปรัชญามาก

เกนิ ไป
จากการศึกษาการสร้างแบบสอบถามวัดความพึงพอใจข้างต้น สามารถสรุปไดว้ ่า การสร้าง

แบบสอบถามที่ดีจะต้องผ่านกระบวนการที่ดีและถูกต้องตั้งแต่การศึกษาหลักเกณฑ์ในการสร้าง
แบบสอบถาม การสร้างคำถาม การกำหนดรูปแบบ จึงจะได้แบบสอบถามที่ดีมีคุณค่า ดังน้ัน
แบบสอบถามจงึ เปน็ เครอื่ งมอื ท่ีประกอบดว้ ยคำถามตา่ งๆ ท่ตี ้องการใหผ้ ตู้ อบเก่ียวกบั ความรสู้ กึ ความ
คิดเห็นเร่ืองตา่ งๆ ซึ่งสว่ นใหญจ่ ะเป็นด้านจิตใจ

๕๑ สาโรช ไสยสมบัติ, การวัดความพึงพอใจ, (กรงุ เทพฯ : ไทยวฒั นาพาณิช, ๒๕๕๓), หน้า ๔๖.

๔๐

๒.๕.๔ ทฤษฎเี กี่ยวกบั ความพงึ พอใจ
ลูธันส์๕๒ กล่าวว่า การที่จะเกิดแรงจูงใจขึ้นในบุคคลจะประกอบด้วยขั้นตอนและ

องคป์ ระกอบต่างๆ ซงึ่ แรงจูงใจทีเ่ กิดขน้ึ ในตัวบคุ คลจะประกอบดว้ ย องคป์ ระกอบทส่ี ำคญั ๓ สว่ นคอื
๑) ความตอ้ งการ เป็นสิง่ ท่เี กิดข้นึ เมือ่ รา่ งกายเกดิ ความไมส่ มดุล เช่น เมื่อ

รา่ งกายขาดน้ำ อาหาร ความตอ้ งการทางเพศ หรอื ไมไ่ ดร้ บั จากเพอื่ นหรือหมู่คณะ

๒) แรงขับหรือแรงกระตุ้น เป็นพลังกระตุ้นที่เกิดขึ้นภายในร่างกายเพื่อ
ระงับความต้องการเป็นการกระตุ้นทำให้เกิดพฤติกรรมเพื่อนำไปสู่เป้าหมาย สิ่งนี้ถือเป็นหวั ใจของ
กระบวนการการจูงใจ

๓) เปา้ หมาย เปน็ สง่ิ ที่มาสนองความต้องการและลดแรงขบั อันเป็นจดุ สนิ้ สดุ
ของกระบวนการจงู ใจ

อกุ กฤษฎ์ ทรงชยั สงวน๕๓ ได้รวบรวมกลุม่ ทฤษฎ๊เกยี่ วกบั ความพงึ พอใจในรูปแบบ
ของแรงจงู ใจเปน็ ๔ กลุ่ม ดงั น้ี

๑) ทฤษฎีการจูงใจของมาสโลว์ ทฤษฎีนี้เขาได้เสนอความต้องการในด้าน
ต่างๆ กันของมนุษยเ์ รียงลำดับจากความต้องการขั้นพื้นฐาน เพื่อการอยู่รอดไปจนถึงความต้องการ
ทางสังคม ความต้องการยอมรับนับถือจากกลุ่มว่าตนมีคุณค่าและการพัฒนาตนเองให้ก้าวหน้าขึ้น
มาสโลว์ ถอื วา่ การเรยี งลำดบั ความตอ้ งการน้มีความสำคัญ โดยมนษุ ย์จะมคี วามต้องการในระดับสูงๆ
ไดก้ ต็ ่อเมื่อความตอ้ งการขนั้ พ้ืนฐานไดร้ บั การตอบสนองแลว้

๒) ทฤษฎีการจงู ใจการบำรงุ รกั ษาขิง เฮอร์เบิรท์ ไดก้ ล่าวถึงปัจจัยการจูงใจ
ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นให้ผู้ปฏิบัติงานด้านความพึงพอใจ ได้แก่ โอกาส ความสำเร็จ การยอมรับ ความ
รับผิดชอบ ความเจริญก้าวหน้า และปัจจัยการบำรุงรักษาซึ่งเป็นตัวขัดขวางความพึงพอใจ ได้แก่
นโยบายองคก์ าร สถานภาพทำงาน ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งบุคคล

๓) ทฤษฎีแรงจงู ใจของแมคคลแี ลนด์ ซึ่งแบง่ ความต้องการของมนษุ ย์ เป็น

๕๒Luthans, F, Organizational behavior, ( New York : MaGraw Hill, inc, 1995), 85.
๕๓ อกุ กฤษฎ์ ทรงชัยสงวน, ความพงึ พอใจของประชาชนทีม่ ีตอ่ การบรหิ ารจดั การโครงการพัฒนาสถานี
ตำรวจเพื่อประชาชนของตำรวจภูธร อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น, วิทยานิพนธ์, (ขอนแก่น :
มหาวิทยาลยั ขอนแก่น, ๒๕๕๓), หนา้ ๓๗.


Click to View FlipBook Version