The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

23-พระมหาวิทยา วิชฺชาสิริ(ขำแข)-การพัฒนาความสามารถในการคิดวิเคราะห์ โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้ฯ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by social study, 2023-05-31 03:32:57

23-พระมหาวิทยา วิชฺชาสิริ(ขำแข)-การพัฒนาความสามารถในการคิดวิเคราะห์ โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้ฯ

23-พระมหาวิทยา วิชฺชาสิริ(ขำแข)-การพัฒนาความสามารถในการคิดวิเคราะห์ โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้ฯ

รายงานการศึกษาอิสระทางสังคมศึกษา เรื่อง การพัฒนาความสามารถในการคิดวิเคราะห์ โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้ แบบ GPAS 5 Steps วิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เรื่อง ความสำคัญของพระพุทธศาสนา และพุทธประวัติ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ โรงเรียนไทยรัฐวิทยา ๘๔ โดย พระมหาวิทยา วิชฺชาสิริ/ขำแข รหัส ๖๒๐๕๕๐๒๐๐๓ งานวิจัยเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชา (๒๐๓ ๔๒๐) การศึกษาอิสระทางสังคมศึกษา ภาคเรียนที่ ๒ ปีการศึกษา ๒๕๖๕ ตามหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น


รายงานการศึกษาอิสระทางสังคมศึกษา เรื่อง การพัฒนาความสามารถในการคิดวิเคราะห์ โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้ แบบ GPAS 5 Steps วิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เรื่อง ความสำคัญของพระพุทธศาสนา และพุทธประวัติ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ โรงเรียนไทยรัฐวิทยา ๘๔ โดย พระมหาวิทยา วิชฺชาสิริ/ขำแข รหัส ๖๒๐๕๕๐๒๐๐๓ งานวิจัยเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชา (๒๐๓ ๔๒๐) การศึกษาอิสระทางสังคมศึกษา ภาคเรียนที่ ๒ ปีการศึกษา ๒๕๖๕ ตามหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น


แบบอนุมัติผลงานวิจัย ด้วยสาขาวิชาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขต ขอนแก่น อนุมัติให้นับการวิจัยเรื่อง การพัฒนาความสามารถในการคิดวิเคราะห์ โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้ แบบ GPAS 5 Steps วิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เรื่อง ความสำคัญของพระพุทธศาสนา และพุทธ ประวัติ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ โรงเรียนไทยรัฐวิทยา ๘๔ นี้ดำเนินการวิจัยโดย ชื่อ พระมหาวิทยา ฉายา/นามสกุล วิชฺชาสิริ/ขำแข รหัสนิสิต ๖๒๐๕๕๐๒๐๐๓ ให้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาภาคปฏิบัติของรายวิชา การศึกษาอิสระทางสังคมศึกษา จำนวน ๓ หน่วยกิต ตามหลักสูตรปริญญาครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ ประจำภาคเรียนที่ ๒ ปีการศึกษา ๒๕๖๕ ลงชื่อ………..…………….…….………………………ผู้วิจัย (พระมหาวิทยา วิชฺชาสิริ/ขำแข) ……….……/………..………./………………… คณะกรรมการพิจารณา/ประเมิน ลงชื่อ…………………………….………..................อาจารย์/อาจารย์ที่ปรึกษา (............................................................) …………../….………../……………….. ลงชื่อ………………..………...……...................อาจารย์/กรรมการ (........................................................) …………/…….…………./………………


ลงชื่อ………………..………...……...................อาจารย์/กรรมการ (........................................................) …………/…….…………./……………… ลงชื่อ……………….……….…….……...................อาจารย์/กรรมการ (.........................................................) …………/………….……./……….……… ลงชื่อ………………..……………..…….................ประธานหลักสูตร/ประธานกรรมการ (ผู้ช่วยศาสตราจารย์อนุสรณ์ นามทะราช) …………/…………..……./………………


ก ชื่องานวิจัย : เรื่อง การพัฒนาความสามารถในการคิดวิเคราะห์ โดยใช้กระบวนการ จัดการเรียนรู้แบบ GPAS 5 Steps วิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เรื่องความสำคัญของพระพุทธศาสนา และพุทธประวัติ ของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ ๔ โรงเรียนไทยรัฐวิทยา ๘๔ ผู้วิจัย : พระมหาวิทยา วิชฺชาสิริ/ขำแข ปริญญา : ครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาสังคมศึกษา อาจารย์ที่ปรึกษา : อาจารย์พันทิวา ทับภูมี ปีการศึกษา : ๒๕๖๕ บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ ๑) เพื่อพัฒนาความสามารถในการคิดวิเคราะห์ รายวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เรื่อง ความสำคัญของพระพุทธศาสนา และพุทธประวัติ ของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ โรงเรียนไทยรัฐวิทยา ๘๔ โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบ GPAS 5 Steps ให้นักเรียนไม่น้อยกว่าร้อยละ ๘๐ มีคะแนนไม่น้อยกว่าร้อยละ ๘๐ ขึ้นไป ๒) เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน รายวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เรื่อง ความสำคัญของพระพุทธศาสนา และ พุทธประวัติ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ โรงเรียนไทยรัฐวิทยา ๘๔ โดยใช้กระบวนการจัดการ เรียนรู้แบบ GPAS 5 Steps ให้นักเรียนไม่น้อยกว่าร้อยละ ๘๐ มีคะแนนไม่น้อยกว่าร้อยละ ๘๐ ขึ้นไป ๓) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ โรงเรียนไทยรัฐวิทยา ๘๔ ต่อการจัดการ เรียนรู้ รายวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เรื่อง ความสำคัญของพระพุทธศาสนา และพุทธ ประวัติ โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบ GPAS 5 Steps กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียน ที่กำลังศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ ภาคเรียนที่ ๒ ปีการศึกษา ๒๕๖๕ จำนวน ๒๕ คน โดยเป็นการวิจัย เชิงทดลอง (Experimental Research) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ๑) แผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน ๓ แผนการจัดการเรียนรู้ ๒) แบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดวิเคราะห์แบบปรนัย ๔ ตัวเลือก จำนวน ๒๐ ข้อ ๓) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบปรนัย ๔ ตัวเลือก จำนวน ๓๐ ข้อ ๔) แบบประเมินความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ๑) ค่าร้อยละ (%) ๒) ค่าเฉลี่ย (̅) ๓) ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ผลการวิจัยพบว่า ๑. ผลการพัฒนาความสามารถในการคิดวิเคราะห์ พบว่า มีนักเรียน ทดสอบ ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ผ่านเกณฑ์ จำนวน ๒๓ คน จากนักเรียนทั้งหมด ๒๕ คน คิดเป็นร้อยละ


ข ๙๒ ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ และมีความสามารถในการคิดวิเคราะห์โดยเฉลี่ย คือ ๑๗.๖๕ จากคะแนน เต็ม ๒๐ คะแนน คิดเป็นร้อยละ ๘๘.๒๕ ๒. ผลการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน พบว่า มีนักเรียนทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนผ่าน เกณฑ์จำนวน ๒๑ คน จากนักเรียนทั้งหมด ๒๕ คน คิดเป็นร้อยละ ๘๔ ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ และ มีคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเฉลี่ยเท่ากับ ๒๗.๔๒ จากคะแนนเต็ม ๓๐ คะแนน คิดเป็นร้อยละ ๙๑.๔ ๓. ผลการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนต่อการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบ GPAS 5 Steps พบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบ GPAS 5 Stepsอยู่ในระดับ มากที่สุด (x̅= ๔.๘๕, S.D.= ๐.๓๔)


ค กิตติกรรมประกาศ การวิจัยเรื่อง การพัฒนาความสามารถในการคิดวิเคราะห์ โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้ แบบ GPAS 5 Steps วิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เรื่อง ความสำคัญของพระพุทธศาสนา และพุทธประวัติ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ โรงเรียนไทยรัฐวิทยา ๘๔ เล่มนี้สำเร็จสมบูรณ์ ได้ ด้วยความกรุณาและความช่วยเหลือ ให้คำแนะนำอย่างดียิ่งจาก อาจารย์พันทิวา ทับภูมีอาจารย์ที่ ปรึกษาที่กรุณาให้คำปรึกษา ตลอดจนการตรวจแก้ไขข้อบกพร่องต่างๆ และให้กำลังใจในการศึกษามา โดยตลอด ผู้วิจัยขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูง ขอขอบพระคุณในความกรุณาของผู้เชี่ยวชาญทั้ง ๓ ท่าน ได้แก่ ผศ.อนุสรณ์ นางทะราช อาจารย์กนกวรรณ ประจันตะเสน และคุณครูมะลิวรรณ์ ภูแช่มโชติที่ได้ให้ความอนุเคราะห์ในการ ตรวจสอบเครื่องมือสำหรับใช้ในงานวิจัยและให้คำปรึกษาเพื่อแก้ไขจนเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยมีความ ถูกต้องสมบูรณ์ครบถ้วน ขอขอบพระคุณท่านผู้อำนวยการ คณะครู โรงเรียนไทยรัฐวิทยา ๘๔ ที่อำนวยความสะดวก ในการเก็บรวบรวมข้อมูลในระหว่างการทำวิจัย ให้คำแนะนำ และแก้ไขข้อบกพร่องให้งานวิจัยนี้ สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ขอขอบพระคุณคณาจารย์ นักวิชาการทุกท่านที่เป็นเจ้าของหนังสือและงานวิจัยที่มีคุณค่า ซึ่งท่านได้เขียนงานเอกสารไว้ให้ได้ศึกษาค้นคว้า เพื่อเป็นข้อมูลประกอบในการเขียนงานวิจัยในครั้งนี้ ขอขอบคุณเพื่อน ครอบครัว และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกท่าน ที่ให้ความช่วยเหลือสนับสนุน ให้คำแนะนำ และให้กำลังใจตลอดการทำวิจัยในครั้งนี้ ผู้วิจัยหวังเป็นอย่างยิ่งว่างานวิจัยเล่มนี้จะเป็น ประโยชน์แก่ผู้ที่สนใจต่อไป พระมหาวิทยา วิชฺชาสิริ/ขำแข ผู้วิจัย


ง สารบัญ เรื่อง หน้า บทคัดย่อ ก กิตติกรรมประกาศ ค สารบัญ ง สารบัญตาราง ฉ สารบัญภาพ ช บทที่ ๑ บทนำ ๑ ๑.๑ ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหาการวิจัย ๑ ๑.๒ วัตถุประสงค์ของการวิจัย ๔ ๑.๓ ขอบเขตของการวิจัย ๔ ๑.๔ นิยามศัพท์เฉพาะในการวิจัย ๕ ๑.๕ ประโยชน์ที่ได้รับจากการวิจัย ๖ บทที่ ๒ แนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ๘ ๒.๑ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ ๘ ๒.๒ หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ๑๔ ๒.๓ แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับการคิดวิเคราะห์ ๒๐ ๒.๔ แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบ GPAS 5 Steps ๒๙ ๒.๕ แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ๓๕ ๒.๖ แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับความพึงพอใจ ๓๗ ๒.๗ งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ๔๒ ๒.๘ กรอบแนวคิดการวิจัย ๔๔ บทที่ ๓ วิธีการดำเนินการวิจัย ๔๕ ๓.๑ รูปแบบการวิจัย ๔๕ ๓.๒ กลุ่มเป้าหมาย ๔๕ ๓.๓ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ๔๖ ๓.๔ การเก็บรวบรวมข้อมูล ๕๒ ๓.๕ การวิเคราะห์ข้อมูล ๕๓ ๓.๖ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ๕๓


จ สารบัญ (ต่อ) เรื่อง หน้า บทที่ ๔ ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ๕๔ ๔.๑ ผลการพัฒนาความสามารถในการคิดวิเคราะห์ รายวิชาสังคมศึกษา ๕๔ ศาสนา และวัฒนธรรม เรื่อง ความสำคัญของพระพุทธศาสนา และพุทธประวัติ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ โรงเรียนไทยรัฐวิทยา ๘๔ โดยใช้กระบวนการ จัดการเรียนรู้แบบ GPAS 5 Steps ๔.๒ ผลการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชาสังคมศึกษา ศาสนา ๕๕ และวัฒนธรรม เรื่อง ความสำคัญของพระพุทธศาสนา และพุทธประวัติ ของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ โรงเรียนไทยรัฐวิทยา ๘๔ โดยใช้กระบวนการจัดการ เรียนรู้แบบ GPAS 5 Steps ๔.๓ ผลศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ โรงเรียน ๕๖ ไทยรัฐวิทยา ๘๔ ต่อการจัดการเรียนรู้ รายวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เรื่อง ความสำคัญของพระพุทธศาสนา และพุทธประวัติ โดยใช้กระบวนการจัดการ เรียนรู้แบบ GPAS 5 Steps ๔.๔ องค์ความรู้ที่ได้จากการวิจัย ๕๘ บทที่ ๕ สรุปผล อภิปรายผลการวิจัย และข้อเสนอแนะ ๕๙ ๕.๑ สรุปผลการศึกษา ๕๙ ๕.๒ อภิปรายผลการวิจัย ๖๐ ๕.๓ ข้อเสนอแนะ ๖๒ บรรณานุกรม ๖๓ ภาคผนวก ๖๗ ภาคผนวก ก รายชื่อผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ๖๘ ภาคผนวก ข แบบประเมินคุณภาพเครื่องมือโดยผู้เชี่ยวชาญ ๗๐ ภาคผนวก ค ผลการวิเคราะห์ข้อมูลเครื่องมือโดยผู้เชี่ยวชาญ ๑๐๗ ภาคผนวก ง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ๑๑๖ ประวัติผู้วิจัย ๑๗๓


ฉ สารบัญตาราง ตารางที่ หน้า ตารางที่ ๔.๑ ผลการพัฒนาความสามารถในการคิดวิเคราะห์ รายวิชาสังคม ๕๔ ศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เรื่อง ความสำคัญของพระพุทธศาสนา และพุทธ ประวัติ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ โรงเรียนไทยรัฐวิทยา ๘๔ โดยใช้ กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบ GPAS 5 Steps ตารางที่ ๔.๒ ผลการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชาสังคมศึกษา ๕๕ ศาสนา และวัฒนธรรม เรื่อง ความสำคัญของพระพุทธศาสนา และพุทธประวัติ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ โรงเรียนไทยรัฐวิทยา ๘๔ โดยใช้กระบวน การจัดการเรียนรู้แบบ GPAS 5 Steps ตารางที่ ๔.๓ ผลศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ ๕๖ โรงเรียนไทยรัฐวิทยา ๘๔ ต่อการจัดการเรียนรู้ รายวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เรื่อง ความสำคัญของพระพุทธศาสนา และพุทธประวัติ โดยใช้ กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบ GPAS 5 Steps ตารางที่ ๔.๔ ผลวิเคราะห์คะแนนความคิดเห็นผู้เชี่ยวชาญด้านความ ๑๐๘ สอดคล้องระหว่างแผนการจัดการเรียนรู้กับแผนการเรียนรู้ที่ ๑ เรื่อง ความสำคัญ ของพระพุทธศาสนา ตารางที่ ๔.๕ ผลวิเคราะห์คะแนนความคิดเห็นผู้เชี่ยวชาญด้านความสอด ๑๐๙ คล้องระหว่างแผนการจัดการเรียนรู้กับแผนการเรียนรู้ที่ ๒ เรื่อง พุทธประวัติ ตรัสรู้ ประกาศธรรม ตารางที่ ๔.๖ ผลวิเคราะห์คะแนนความคิดเห็นผู้เชี่ยวชาญด้านความสอด ๑๑๐ คล้องระหว่างแผนการจัดการเรียนรู้กับแผนการเรียนรู้ที่ ๓ เรื่อง พุทธประวัติ ตารางที่ ๔.๗ ผลวิเคราะห์คะแนนความคิดเห็นผู้เชี่ยวชาญด้านความสอดคล้อง ๑๑๑ ระหว่างแบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดวิเคราะห์กับประเภทของความสามารถ ในการคิดวิเคราะห์ ตารางที่ ๔.๘ ผลวิเคราะห์คะแนนความคิดเห็นผู้เชี่ยวชาญด้านความสอดคล้อง ๑๑๓ ระหว่างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกับจุดประสงค์การเรียนรู้ ตารางที่ ๔.๙ ผลวิเคราะห์คะแนนความคิดเห็นผู้เชี่ยวชาญด้านความสอดคล้อง ๑๑๕ ระหว่างแบบประเมินความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้


ช สารบัญภาพ ภาพที่ หน้า ภาพที่ ๒.๑ กรอบแนวคิดการวิจัย ๔๔


บทที่ ๑ บทนำ ๑.๑ ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา การศึกษาของประเทศไทย นับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันเราจะเห็นได้ว่ากิจกรรมการเรียนการ สอนของครูผู้สอนและผู้เรียนนั้นยังไม่ค่อยมีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงมากนัก แม้จะผ่านมานานหลายปี กิจกรรมการเรียนการสอนก็ยังคงเป็นรูปแบบเดิม เทคนิคการเรียนการสอนแบบเดิม ยังมีการเรียน การสอนแบบท่องจําเป็นส่วนมาก ทำให้ผู้เรียนส่วนใหญ่ขาดทักษะในด้านการคิดวิเคราะห์จึงจำเป็น อย่างยิ่งที่ต้องมีการพัฒนาทักษะด้านการคิดวิเคราะห์ในชั้นเรียน เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้รู้จักคิดอย่าง เป็นขั้นเป็นตอน การฝึกทักษะด้านการคิดและการสอนคิดจึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งการจัดการศึกษา ที่ต้องพัฒนาและฝึกฝนจนเกิดเป็นทักษะติดตัวนักเรียนไปตลอดชีวิต การคิดอย่างมีจุดมุ่งหมาย มี ทิศทาง มีกระบวนการที่ดี รอบคอบ จะทำให้ได้คำตอบหรือบทสรุปที่มีคุณภาพ เชื่อมโยงไปสู่การ กระทำหรือการดำรงชีวิตที่เหมาะสมของแต่ละบุคคลต่อไป เป้าหมายของการเรียนการสอนเพื่อให้ นักเรียนเกิดทักษะการคิดวิเคราะห์ ซึ่งประกอบด้วยระดับความคิดที่เน้นการนำไปใช้ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ และการประเมินค่า แต่เด็กไทยก็ยังไม่เป็นไปตามความต้องการของสังคม๑ จะเห็นได้ ว่าการพัฒนาความสามารถในการคิดวิเคราะห์ ก็ถือว่าเป็นเครื่องมือสำคัญในการเรียนรู้ และการ ดำเนินชีวิตทั้งในโลกปัจจุบันและในอนาคต การพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ เป็นกระบวนการคิดวิเคราะห์เพื่อแก้ปัญหา โดยประโยชน์ ของการคิดวิเคราะห์ ช่วยให้เรารู้ข้อเท็จจริง รู้เหตุผลเบื้องหลังของสิ่งที่เกิดขึ้น เข้าใจความเป็นไป เป็นมาของเหตุการณ์ต่างๆ เป็นฐานความรู้ในการนำไปใช้ในการตัดสินใจแก้ปัญหา ช่วยให้เราหา เหตุผล ความสมเหตุสมผลให้กับสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ช่วยประมาณความน่าจะเป็นอันจะทำให้เกิดความ แม่นยำสูงกว่าเดิม การพัฒนาความสามารถการคิดการคิดวิเคราะห์ เป็นทักษะที่มีความสำคัญที่ ครูผู้สอนควรให้ความสำคัญและนำมาเสริมทักษะในการเรียนของผู้เรียนเพื่อผู้เรียนจะได้มีความคิด ๑ กรมวิชาการ, พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ แก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ ๒, (กรุงเทพฯ : คุรุสภาลาดพร้าว, ๒๕๔๖), หน้า ๘๕.


๒ อย่างเป็นขั้นตอน เพื่อสร้างหรือพัฒนาสิ่งใหม่ๆได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีการคิดอย่างเป็นขั้นตอนและ รอบคอบ๒ ดังนั้น ในการพัฒนาความสามารถการคิดวิเคราะห์ ครูจึงจะต้องมีกระบวนการที่นำไปปรับ ใช้ในการจัดการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับวัยของผู้เรียน รูปแบบการเรียนการสอน เป็นลักษณะการเรียนการสอน เป็นลักษณะการเรียนการสอนที่ ครอบคลุมองค์ประกอบสำคัญ ซึ่งได้รับการจัดไว้อย่างเป็นระเบียบ ตามหลักปรัชญา ทฤษฎีหลักการ แนวคิดหรือความเชื่อต่างๆ โดยประกอบด้วย กระบวนการหรือขั้นตอนสำคัญในการเรียนการสอน รวมทั้งวิธีสอนและเทคนิคการสอนต่างๆ ที่สามารถช่วยให้สภาพการเรียนการสอนนั้นเป็นไปตาม ทฤษฎี หลักการหรือแนวคิดที่ยึดถือและได้รับการพิสูจน์ ทดสอบ หรือยอมรับว่ามีประสิทธิภาพ สามารถใช้เป็น แบบแผนในการเรียนการสอนให้บรรลุวัตถุประสงค์เฉพาะของรูปแบบนั้นๆ๓ และเมื่อ ก้าวเข้าสู่ศตวรรษที่ ๒๑ การผลักดันด้านการศึกษาอย่างหนึ่งที่เห็นได้อย่างชัดเจน จากการดำเนินงาน ของกระทรวงศึกษาธิการ การให้ความสำคัญกับการเรียนรู้แบบ Active Learning มากขึ้น ด้วยความ ที่รูปแบบการเรียนรู้แบบ Active Learning นั้นเป็นการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ผู้เรียนจึง ต้องมีเป้าหมายในการเรียนรู้ และรู้จักค้นหาแนวทางที่จะนำไปสู่โครงสร้างความรู้ที่มีความหมาย สอดคล้องกับข้อมูลเดิมที่มีอยู่ โดยอาศัยหลักของการสร้างความรู้ (Construction of Knowledge) ซึ่งผู้เรียนสามารถที่จะสร้างความรู้ได้ จากการเชื่อมโยงข้อมูลใหม่เข้ากับความรู้เดิมอย่างมีความหมาย ซึ่งการที่จะดำเนินการได้เช่นนั้น ผู้เรียนจะต้องมีเครื่องมือที่เป็นระบบความคิดที่มีประสิทธิภาพ ซึ่ง กระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบ (GPAS 5 Steps) คือเครื่องมือหนึ่งที่ช่วยให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาไป ถึงจุดนั้นได้อย่างเหมาะสม๔ จะเห็นได้ว่ากระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบ (GPAS 5 Steps) สมควรกับ การนำมาใช้ในการจัดการเรียนการสอนในโลกยุคศตวรรษที่ ๒๑ เป็นอย่างมาก จากบริบทของโรงเรียนไทยรัฐวิทยา ๘๔ (บ้านสำราญ-เพี้ยฟาน) ตำบลสำราญ อำเภอเมือง ขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น ที่มีการจัดการเรียนรู้ที่เน้นการใช้โจทย์ สถานการณ์และปัญหาปลายเปิด ในการขับเคลื่อนกระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียน โดยที่ผู้เรียนแต่ละคนเป็นผู้นำเสนอวิธีการแก้ปัญหา ๒ กษมา วรวรรณ ณ อยุธยา, ทักษะการคิดวิเคราะห์, [ออนไลน์], (๒๕๕๐), แหล่งที่มา : https://www. google.co.th. สืบค้นเมื่อ : ๒๑ มกราคม ๒๕๖๖ ๓ ทิศนา แขมมณี, รูปแบบการจัดการศึกษาต่อเนื่องในสถาบันอุดมศึกษาเอกชน, (วิทยานิพนธ์การศึกษา ดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาการศึกษาผู้ใหญ่ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโวฒ, ๒๕๕๐), หน้า ๒๘. ๔ นรรัชต์ ฝันเชียร, กระบวนการพัฒนาการคิดขั้นสูงเชิงระบบ GPAS, [ออนไลน์], (๒๕๖๔), แหล่งที่มา : https://www.trueplookpanya.com/education/content/90844. สืบค้นเมื่อ : ๒๑ มกราคม ๒๕๖๖.


๓ ของตน เกิดการแลกเปลี่ยน เรียนรู้ร่วมกันในชั้นเรียน เพื่อเรียนรู้วิธีการคิดและวิธีการทำความเข้าใจ ทั้งของตนเองและของผู้อื่น ร่วมกันนั้นแนวทางในการปรับตัวเข้ากับความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยใน ปัจจุบันการพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ และจากการสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ ๔ ปีการศึกษา ๒๕๖๕ ในรายวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม โรงเรียนไทยรัฐวิทยา ๘๔ (บ้านสำราญ-เพี้ยฟาน) ตำบลสำราญ อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น ผู้วิจัยพบว่านักเรียนยัง ไม่สามารถสร้างการคิดวิเคราะห์โนการเรียนได้ดีเท่าที่ควร และจากการสังเกตการสอนในสถานศึกษา พบว่านักเรียนยังไม่มีวิธีความคิดที่หลากหลายในการแก้ปัญหา โดยมองเห็นข้อดี ข้อจำกัด ในหลายมิติ เพื่อนำมาใช้กับสถานการณ์ปัจจุบันหรือที่กำลังจะเกิดขึ้นได้ดีที่สุด กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบ GPAS 5 Steps นับเป็นขั้นตอนและจุดเน้นในการจัด กระบวนการเรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียนนั้น สามารถที่จะสร้างองค์ความรู้ได้ด้วยตนเอง และสามารถที่จะ นำไปใช้ในการปฏิบัติจริงในการแก้ปัญหาสำหรับสถานการณ์ต่าง ๆ ซึ่งสิ่งที่ได้จากกระบวนการเหล่านี้ จะตกผลึกภายในตัวของผู้เรียน และแปรเปลี่ยนเป็นตัวตนและบุคลิกภาพของผู้เรียน อันจะสะท้อน ออกมาในรูปแบบของผลงานต่าง ๆ โดยประกอบด้วยโครงสร้างทักษะกระบวนการคิด ๕ ขั้นตอน คือ ขั้นสังเกต รวบรวมข้อมูล, ขั้นคิดวิเคราะห์และสรุปความรู้ขั้นปฏิบัติและสรุปความรู้หลังการปฏิบัติ, ขั้นสื่อสารและนำเสนอ, ขั้นประเมินเพื่อเพิ่มคุณค่าบริการสังคมและจิตสาธารณะ๕ จึงนับว่าเป็น เครื่องมือสำคัญในการเพิ่มพูนทักษะในการเรียนรู้ให้กับผู้เรียน และทำให้ผู้เรียนมีวิธีการเรียนรู้ที่ดีขึ้น รวมถึงช่วยให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ด้วยตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้วยแนวคิดและความสำคัญที่กล่าวมาข้างต้น ทำให้ผู้วิจัยสนใจที่จะนำการจัดการเรียนรู้โดย ใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบ GPAS 5 Steps มาใช้ในการทำวิจัยเพื่อพัฒนาความสามารถในการ คิดวิเคราะห์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ โรงเรียนไทยรัฐวิทยา ๘๔ (บ้านสำราญ-เพี้ยฟาน) ตำบลสำราญ อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น ผู้วิจัยคาดหวังว่า การจัดการเรียนการเรียนรู้จะ ช่วยส่งเสริมพัฒนาการเรียนรู้ของนักเรียนให้ดียิ่งขึ้น โดยการพัฒนาความสามารถในการคิดวิเคราะห์ ตลอดจนช่วยทำให้นักเรียนเกิดความสามารถสร้างผลงานออกมาได้อย่างเต็มศักยภาพของแต่ละ บุคคล อีกทั้งยังเป็นแนวทางในการพัฒนาการจัดการเรียนการสอนกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ให้สอดคล้องและเหมาะสมกับการศึกษาไทยต่อไป ๕ นรรัชต์ ฝันเชียร, กระบวนการพัฒนาการคิดขั้นสูงเชิงระบบ GPAS, [ออนไลน์], (๒๕๖๔), แหล่งที่มา : https://www.trueplookpanya.com/education/content/90844. สืบค้นเมื่อ : ๒๑ มกราคม ๒๕๖๖.


๔ ๑.๒ วัตถุประสงค์ของการวิจัย ๑.๒.๑ เพื่อพัฒนาความสามารถในการคิดวิเคราะห์ รายวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และ วัฒนธรรม เรื่อง ความสำคัญของพระพุทธศาสนา และพุทธประวัติ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ โรงเรียนไทยรัฐวิทยา ๘๔ โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบ GPAS 5 Steps ให้นักเรียนไม่น้อย กว่าร้อยละ ๘๐ มีคะแนนไม่น้อยกว่าร้อยละ ๘๐ ขึ้นไป ๑.๒.๒ เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เรื่อง ความสำคัญของพระพุทธศาสนา และพุทธประวัติ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ โรงเรียนไทยรัฐ วิทยา ๘๔ โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบ GPAS 5 Steps ให้นักเรียนไม่น้อยกว่าร้อยละ ๘๐ มีคะแนนไม่น้อยกว่าร้อยละ ๘๐ ขึ้นไป ๑.๒.๓ เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ โรงเรียนไทยรัฐวิทยา ๘๔ ต่อการจัดการเรียนรู้ รายวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เรื่อง ความสำคัญของ พระพุทธศาสนา และพุทธประวัติ โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบ GPAS 5 Steps ๑.๓ ขอบเขตการวิจัย ๑.๓.๑ ขอบเขตด้านเนื้อหา ผู้วิจัยได้นำรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ GPAS 5 Steps มาประยุกต์ใช้ในการ จัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ รายวิชาสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม เรื่อง ความสำคัญของ พระพุทธศาสนาและพุทธประวัติฯ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ ซึ่งเนื้อหาที่ใช้สอน ประกอบด้วยแผนการจัดการเรียนรู้ ๓ แผน ๓ ใช้เวลา ๓ ชั่วโมง ดังนี้ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ ๑ เรื่อง ความสำคัญของพระพุทธศาสนา จำนวน ๑ ชั่วโมง แผนการจัดการเรียนรู้ที่ ๒ เรื่อง พุทธประวัติ ตรัสรู้ ประกาศธรรม จำนวน ๑ ชั่วโมง แผนการจัดการเรียนรู้ที่ ๓ เรื่อง พุทธประวัติ ตอน โปรดชฎิล ๓ พี่น้อง โปรดพระเจ้าพิมพิ สาร การแต่งตั้งพระอัครสาวก และการแสดงโอวาทปาติโมกข์จำนวน ๑ ชั่วโมง ตัวแปรที่จะศึกษา - ตัวแปรต้น คือ กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบ GPAS 5 Steps - ตัวแปรตาม คือ ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ ผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียน และความพึงพอใจ


๕ ๑.๓.๒ ขอบเขตด้านประชากรกลุ่มเป้าหมาย กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนที่กำลังศึกษาในระดับชั้น ประถมศึกษาปีที่ ๔ ภาคเรียนที่ ๒ ปีการศึกษา ๒๕๖๕ โรงเรียนไทยรัฐวิทยา ๘๔ (บ้านสำราญ-เพี้ย ฟาน) ตำบลสำราญ อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น จำนวน ๒๕ คน โดยเลือกแบบเจาะจง ๑.๓.๓ ขอบเขตด้านสถานที่ โรงเรียนไทยรัฐวิทยา ๘๔ (บ้านสำราญ-เพี้ยฟาน) ตำบลสำราญ อำเภอเมือง ขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น ๑.๓.๔ ขอบเขตด้านระยะเวลา ภาคเรียนที่ ๒ ปีการศึกษา ๒๕๖ ๕ ๑.๔ นิยามศัพท์เฉพาะในการวิจัย ๑.๔.๑ การคิดวิเคราะห์หมายถึง ความสามารถในการพิจารณาไตร่ตรองแก้ปัญหาที่แม่นยำ มีความละเอียดในการจำแนกแยกแยะ เปรียบเทียบข้อมูลเรื่องราวเหตุการณ์ต่าง ๆอย่างชำนาญ โดย การหาหลักฐานที่มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงหรือข้อมูลที่น่าเชื่อถือมาสนับสนุนหรือยืนยันเพื่อพิจารณา อย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจเชื่อหรือสรุป โดยแบ่งออกเป็น ๔ ขั้น ดังนี้ ๑. การระบุเรื่องหรือปัญหา ๒. การจำแนกแยกแยะ ๓. การเปรียบเทียบข้อมูล ๔. การ ตรวจสอบข้อมูลอย่างชำนาญ ผู้วิจัยจึงสนใจพัฒนารูปแบบการสอนที่ส่งเสริมการคิดวิเคราะห์ เพื่อ กระตุ้นให้นักเรียนคิดเป็น เรียนรู้เป็น สามารถจำแนก ให้เหตุผล จับประเด็นเชื่อมโยงความสัมพันธ์ ตัดสินใจและแก้ปัญหาต่างๆได้ ๑.๔.๒ การพัฒนาความสามารถในการคิดวิเคราะห์ หมายถึง คะแนนที่ได้จากการทำ แบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดวิเคราะห์ เป็นแบบปรนัย ๔ ตัวเลือก จำนวน ๒๐ ข้อ ของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ โรงเรียนไทยรัฐวิทยา ๘๔ (บ้านสำราญ-เพี้ยฟาน) ตำบลสำราญ อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น โดยเทียบกับเกณฑ์ ให้นักเรียนไม่น้อยกว่าร้อยละ ๘๐ มี คะแนนไม่น้อยกว่าร้อยละ ๘๐ ขึ้นไป ๑.๔.๓ การจัดการเรียนรู้แบบ GPAS 5 Steps หมายถึง GPAS คือ กระบวนการคิดขั้นสูง เชิงระบบ ซึ่งเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งในการเรียนรู้แบบ Active Learning นับเป็นขั้นตอนและจุดเน้น ในการจัดกระบวนการเรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียนนั้น สามารถที่จะสร้างองค์ความรู้ได้ด้วยตนเอง และ สามารถที่จะนำไปใช้ในการปฏิบัติจริงในการแก้ปัญหาสำหรับสถานการณ์ต่างๆ โดยผู้วิจัยได้นำมา ประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนรู้ รายวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เรื่อง ความสำคัญของ


๖ พระพุทธศาสนา และพุทธประวัติ ประกอบด้วยขั้นตอน (ตามแนวคิดของสถาบันพัฒนาคุณภาพ วิชาการ, ๒๕๖๑) ดังนี้ ๑. G ขั้นสังเกต รวบรวมข้อมูล (Gathering) ๒. P ขั้นคิดวิเคราะห์และสรุปความรู้ (Processing) ๓. A ขั้นปฏิบัติและสรุปความรู้หลังการปฏิบัติ(Applying and Constructing the Knowledge) ๔. A ขั้นสื่อสารและนำเสนอ (Applying the Communication Skill) ๕. S ขั้นประเมินเพื่อเพิ่มคุณค่าบริการสังคมและจิตสาธารณะ (Self-Regulating) ๑.๔.๔ แบบวัดความสามารถในการคิดวิเคราะห์ หมายถึง แบบทดสอบที่ใช้ในการวัด ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ของนักเรียน ในหน่วยการเรียนรู้ที่ ๑ เรื่อง ความสำคัญของ พระพุทธศาสนาและพุทธประวัติฯ ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ เป็นแบบทดสอบปรนัย ชนิด เลือกตอบ ๔ ตัวเลือก จำนวน ๒๐ ข้อ โดยมีเกณฑ์การให้คะแนน เมื่อตอบถูกให้ ๑ คะแนน ตอบผิด ให้ ๐ คะแนน ๑.๔.๕. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง คะแนนที่ได้จากการทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน เรื่อง ความสำคัญของพระพุทธศาสนาและพุทธประวัติฯ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปี ที่ ๔ ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นเป็นแบบปรนัย ชนิด ๔ ตัวเลือก จำนวน ๓๐ ข้อ โดยให้นักเรียนไม่น้อยกว่าร้อย ละ ๘๐ มีคะแนนไม่น้อยกว่าร้อยละ ๘๐ ขึ้นไป ๑.๔.๖ แบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง แบบทดสอบที่ใช้ในการวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนของนักเรียน ในหน่วยการเรียนรู้ที่ ๑ เรื่อง ความสำคัญของพระพุทธศาสนาและพุทธ ประวัติฯ ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ เป็นแบบทดสอบปรนัย ชนิดเลือกตอบ ๔ ตัวเลือก จำนวน ๓๐ ข้อ โดยมีเกณฑ์การให้คะแนน เมื่อตอบถูกให้ ๑ คะแนน ตอบผิดให้ ๐ คะแนน ๑.๔.๗ ความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบ GPAS 5 Steps หมายถึง ความพึงพอใจที่นักเรียนมีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบ GPAS 5 Steps วัดจากแบบประเมินความพึงพอใจซึ่งเป็นแบบมาตราประมาณค่า ๕ ระดับ ได้แก่ มากที่สุด มาก ปานกลาง น้อย น้อยที่สุด จํานวน ๑๐ ข้อ ๑.๕ ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ ๑. นักเรียนได้ฝึกทักษะการคิดวิเคราะห์อย่างเป็นขั้นตอน มีกระบวนการในการคิด และ สามารถ นำไปใช้ในการเรียนการสอนได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม


๗ ๒. ครูผู้สอนได้แนวทาง ในการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบ GPAS 5 Steps ที่สามารถนำไปใช้จัดการเรียนการสอนในระดับชั้นอื่นหรือรายวิชาอื่น ๆ เพื่อช่วยส่งเสริมและ พัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ได้ต่อไป ๓. สถานศึกษาได้แนวทางในการศึกษาวิจัยนวัตกรรมการสอนที่พัฒนาความสามารถในการ คิดวิเคราะห์ด้วยนวัตกรรมการศึกษา โดยใช้รูปแบบจัดการเรียนรู้แบบ GPAS 5 Steps


บทที่ ๒ แนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การวิจัยเรื่อง การพัฒนาความสามารถในการคิดวิเคราะห์ โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้ แบบ GPAS 5 Steps วิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เรื่อง ความสำคัญของพระพุทธศาสนา และพุทธประวัติ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ โรงเรียนไทยรัฐวิทยา ๘๔ ผู้วิจัยได้ศึกษาแนวคิด ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเสนอตามลำดับหัวข้อ ดังต่อไปนี้ ๒.๑ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ ๒.๒ หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ๒.๓ แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับการคิดวิเคราะห์ ๒.๔ แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบ GPAS 5 Steps ๒.๕ แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ๒.๖ แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับความพึงพอใจ ๒.๗ งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ๒.๘ กรอบแนวคิดการวิจัย ๒.๑ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ กระทรวงศึกษาธิการ (๒๕๕๑) ได้ดำเนินการจัดทำหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อเป็นแนวทางสำหรับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในสถานศึกษาต่างๆ๑ ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้ ๒.๑.๑ วิสัยทัศน์ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนทุกคน ซึ่งเป็นกำลังของ ชาติให้เป็นมนุษย์ที่มีความสมดุลทั้งด้านร่างกาย ความรู้ คุณธรรม มีจิตสำนึกในความเป็นพลเมือง ไทยและเป็นพลโลก ยึดมั่นในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น ๑ กระทรวงศึกษาธิการ, หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑, (กรุงเทพ : ชุมนุม สหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย ๒๕๕๖), หน้า ๕.


๙ ประมุข มีความรู้และทักษะพื้นฐาน รวมทั้งเจตคติที่จำเป็นต่อการศึกษาต่อการประกอบอาชีพและ การศึกษาตลอดชีวิต โดยมุ่งเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญบนพื้นฐานความเชื่อว่าทุกคนสามารถเรียนรู้และ พัฒนาตนเองได้เต็มตามศักยภาพ ๒.๑.๒ หลักการ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีหลักการที่สำคัญ ดังนี้ ๑. เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อความเป็นเอกภาพของชาติ มีจุดหมายและมาตรฐาน การเรียนรู้เป็นเป้าหมายสำหรับพัฒนาเด็กและเยาวชนให้มีความรู้ ทักษะ เจตคติ และคุณธรรม บน พื้นฐานของความเป็นไทยควบคู่กับความเป็นสากล ๒. เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อปวงชน ที่ประชาชนทุกคนมีโอกาสได้รับการศึกษา อย่างเสมอภาค และมีคุณภาพ ๓. เป็นหลักสูตรการศึกษาที่สนองการกระจายอำนาจ ให้สังคมมีส่วนร่วมในการจัด การศึกษาให้สอดคล้องกับสภาพและความต้องการของท้องถิ่น ๔. เป็นหลักสูตรการศึกษาที่มีโครงสร้างยืดหยุ่นทั้งด้านสาระการเรียนรู้ เวลา และการจัดการเรียนรู้ ๕. เป็นหลักสูตรการศึกษาที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ๖. เป็นหลักสูตรการศึกษาสำหรับการศึกษาในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัย ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย สามารถเทียบโอนผลการเรียนรู้ และประสบการณ์ ๒.๑.๓ จุดมุ่งหมาย หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้เป็นคนดี มีปัญญา มี ความสุขมีศักยภาพในการศึกษาต่อ และประกอบอาชีพ จึงกำหนดเป็นจุดหมายเพื่อให้เกิด กับผู้เรียน เมื่อจบการศึกษาขั้นพื้นฐาน ดังนี้ ๑. มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่พึงประสงค์ เห็นคุณค่าของตนเอง มีวินัยและ ปฏิบัติตนตามหลักธรรมของพระพุทธศาสนา หรือศาสนาที่ตนนับถือ ยึดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจ พอเพียง ๒. มีความรู้ ความสามารถในการสื่อสาร การคิด การแก้ปัญหา การใช้เทคโนโลยี และมีทักษะชีวิต ๓. มีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี มีสุขนิสัย และรักการออกกำลังกาย ๔. มีความรักชาติ มีจิตสำนึกในความเป็นพลเมืองไทยและพลโลก ยึดมั่นในวิถีชีวิต และการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข


๑๐ ๕. มีจิตสำนึกในการอนุรักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย การอนุรักษ์และพัฒนา สิ่งแวดล้อม มีจิตสาธารณะที่มุ่งทำประโยชน์และสร้างสิ่งที่ดีงามในสังคม และอยู่ร่วมกันในสังคมอย่าง มีความสุข ๒.๑.๔ สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ในการพัฒนาผู้เรียนตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งเน้นพัฒนา ผู้เรียนให้มีคุณภาพตามมาตรฐานที่กำหนด ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดสมรรถนะสำคัญและคุณลักษณะ อันพึงประสงค์หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งให้ผู้เรียนเกิดสมรรถนะสำคัญ ๕ ประการ ดังนี้ ๑. ความสามารถในการสื่อสาร เป็นความสามารถในการรับและส่งสาร มีวัฒนธรรม ในการใช้ภาษาถ่ายทอดความคิด ความรู้ความเข้าใจ ความรู้สึก และทัศนะของตนเองเพื่อแลกเปลี่ยน ข้อมูลข่าวสารและประสบการณ์อันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเองและสังคม รวมทั้งการเจรจา ต่อรองเพื่อขจัดและลดปัญหาความขัดแย้งต่างๆ การเลือกรับหรือไม่รับข้อมูลข่าวสารด้วยหลักเหตุผล และความถูกต้อง ตลอดจนการเลือกใช้วิธีการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ โดยคำนึงถึงผลกระทบที่มีต่อ ตนเองและสังคม ๒. ความสามารถในการคิด เป็นความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การคิดสังเคราะห์ การคิดอย่างสร้างสรรค์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการคิดเป็นระบบเพื่อนำไปสู่การสร้างองค์ ความรู้หรือสารสนเทศเพื่อการตัดสินใจเกี่ยวกับตนเองและสังคมได้อย่างเหมาะสม ๓. ความสามารถในการแก้ปัญหา เป็นความสามารถในการแก้ปัญหาและอุปสรรค ต่างๆ ที่เผชิญได้อย่างถูกต้องเหมาะสมบนพื้นฐานของหลักเหตุผล คุณธรรม และข้อมูลสารสนเทศ เข้าใจความสัมพันธ์และการเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ต่างๆในสังคม แสวงหาความรู้ ประยุกต์ความรู้ มาใช้ในการป้องกันและแก้ไขปัญหา และมีการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพโดยคำนึงถึงผลกระทบที่ เกิดขึ้นต่อตนเอง สังคมและสิ่งแวดล้อม ๔. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต เป็นความสามารถในการนำกระบวนการต่างๆ ไปใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวัน การเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง การทำงาน และการ อยู่ร่วมกันในสังคมด้วยการสร้างเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคล การจัดการปัญหาและความ ขัดแย้งต่างๆ อย่างเหมาะสม การปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและสภาพแวดล้อม และ การรู้จักหลีกเลี่ยงพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ที่ส่งผลกระทบต่อตนเองและผู้อื่น ๕. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี เป็นความสามารถในการเลือก และใช้ เทคโนโลยีด้านต่างๆ และมีทักษะกระบวนการทางเทคโนโลยี เพื่อการพัฒนาตนเองและสังคม ในด้าน


๑๑ การเรียนรู้ การสื่อสาร การทำงาน การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ ถูกต้อง เหมาะสม และมีคุณธรรม ๒.๑.๕ คุณลักษณะอันพึงประสงค์ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณลักษณะอันพึง ประสงค์ เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีความสุข ในฐานะเป็นพลเมืองไทยและพล โลก ดังนี้ ๑. รักชาติศาสน์ กษัตริย์ ๒. ซื่อสัตย์สุจริต ๓. มีวินัย ๔. ใฝ่เรียนรู้ ๕. อยู่อย่างพอเพียง ๖. มุ่งมั่นในการทำงาน ๗. รักความเป็นไทย ๘. มีจิตสาธารณะ นอกจากนี้ สถานศึกษาสามารถกำหนดคุณลักษณะอันพึงประสงค์เพิ่มเติมให้สอดคล้องตาม บริบทและจุดเน้นของตนเอง ๒.๑.๖ มาตรฐานการเรียนรู้ การพัฒนาผู้เรียนให้เกิดความสมดุล ต้องคำนึงถึงหลักพัฒนาการทางสมองและพหุ ปัญญา หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน จึงกำหนดให้ผู้เรียนเรียนรู้ ๘ กลุ่มสาระการเรียนรู้ ดังนี้ ๑. ภาษาไทย ๒. คณิตศาสตร์ ๓. วิทยาศาสตร์ ๔. สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ๕. สุขศึกษาและพลศึกษา ๖. ศิลปะ ๗. การงานอาชีพและเทคโนโลยี ๘. ภาษาต่างประเทศ


๑๒ ในแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้ได้กำหนดมาตรฐานการเรียนรู้เป็นเป้าหมายสำคัญของการ พัฒนาคุณภาพผู้เรียน มาตรฐานการเรียนรู้ระบุสิ่งที่ผู้เรียนพึงรู้ ปฏิบัติได้ มีคุณธรรมจริยธรรม และ ค่านิยมที่พึงประสงค์เมื่อจบการศึกษาขั้นพื้นฐาน นอกจากนั้นมาตรฐานการเรียนรู้ยังเป็นกลไกสำคัญ ในการขับเคลื่อนพัฒนาการศึกษาทั้งระบบ เพราะมาตรฐานการเรียนรู้จะสะท้อนให้ทราบว่าต้องการ อะไร จะสอนอย่างไร และประเมินอย่างไร รวมทั้งเป็นเครื่องมือในการตรวจสอบเพื่อ การประกัน คุณภาพการศึกษาโดยใช้ระบบการประเมินคุณภาพภายในและการประเมินคุณภาพภายนอก ซึ่ง รวมถึงการทดสอบระดับเขตพื้นที่การศึกษา และการทดสอบระดับชาติ ระบบการตรวจสอบเพื่อ ประกันคุณภาพดังกล่าวเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยสะท้อนภาพการจัดการศึกษาว่าสามารถพัฒนาผู้เรียนให้มี คุณภาพตามที่มาตรฐานการเรียนรู้กำหนดเพียงใด ๒.๑.๗ ตัวชี้วัด ตัวชี้วัดระบุสิ่งที่นักเรียนพึงรู้และปฏิบัติได้ รวมทั้งคุณลักษณะของผู้เรียนในแต่ละ ระดับชั้นซึ่งสะท้อนถึงมาตรฐานการเรียนรู้ มีความเฉพาะเจาะจงและมีความเป็นรูปธรรม นำไปใช้ใน การกำหนดเนื้อหา จัดทำหน่วยการเรียนรู้ จัดการเรียนการสอนและเป็นเกณฑ์สำคัญสำหรับการวัด ประเมินผลเพื่อตรวจสอบคุณภาพผู้เรียน ๑. ตัวชี้วัดชั้นปีเป็นเป้าหมายในการพัฒนาผู้เรียนแต่ละชั้นปีในระดับการศึกษา ภาคบังคับ (ประถมศึกษาปีที่ ๑ – มัธยมศึกษาปีที่ ๓) ๒. ตัวชี้วัดช่วงชั้น เป็นเป้าหมายในการพัฒนาผู้เรียนในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (มัธยมศึกษาปีที่ ๔-๖) ๒.๑.๘ สาระและมาตรฐานการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและ วัฒนธรรม สาระที่ ๑ ศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม มาตรฐาน ส ๑.๑ รู้ และเข้าใจประวัติ ความสำคัญ ศาสดา หลักธรรมของ พระพุทธศาสนาหรือศาสนาที่ตนนับถือและศาสนาอื่น มีศรัทธาที่ถูกต้อง ยึดมั่น และปฏิบัติตาม หลักธรรม เพื่ออยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข มาตรฐาน ส ๑.๒ เข้าใจ ตระหนักและปฏิบัติตนเป็นศาสนิกชนที่ดีและธำรงรักษา พระพุทธศาสนาหรือศาสนาที่ตนนับถือ สาระที่ ๒ หน้าที่พลเมือง วัฒนธรรม และการดำเนินชีวิตในสังคม มาตรฐาน ส ๒.๑ เข้าใจและปฏิบัติตนตามหน้าที่ของการเป็นพลเมืองดี


๑๓ มีค่านิยมที่ดีงาม และธำรงรักษาประเพณีและวัฒนธรรมไทย ดำรงชีวิตอยู่ร่วมกันในสังคมไทย และ สังคมโลกอย่างสันติสุข มาตรฐาน ส ๒.๒ เข้าใจระบบการเมืองการปกครองในสังคมปัจจุบัน ยึดมั่น ศรัทธา และธำรงรักษาไว้ซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข สาระที่ ๓ เศรษฐศาสตร์ มาตรฐาน ส ๓.๑ เข้าใจและสามารถบริหารจัดการทรัพยากรในการผลิตและการ บริโภค การใช้ทรัพยากรที่มีอยู่จำกัดได้อย่างมีประสิทธิภาพและคุ้มค่า รวมทั้งเข้าใจหลักการของ เศรษฐกิจพอเพียง เพื่อการดำรงชีวิตอย่างมีดุลยภาพ มาตรฐาน ส ๓.๒ เข้าใจระบบ และสถาบันทางเศรษฐกิจต่างๆ ความสัมพันธ์ทาง เศรษฐกิจ และความจำเป็นของการร่วมมือกันทางเศรษฐกิจในสังคมโลก สาระที่ ๔ ประวัติศาสตร์ มาตรฐาน ส ๔.๑ เข้าใจความหมาย ความสำคัญของเวลาและยุคสมัยทาง ประวัติศาสตร์ สามารถใช้วิธีการทางประวัติศาสตร์มาวิเคราะห์เหตุการณ์ต่างๆ อย่างเป็นระบบ มาตรฐาน ส ๔.๒ เข้าใจพัฒนาการของมนุษยชาติจากอดีตจนถึงปัจจุบัน ในด้าน ความสัมพันธ์และการเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์อย่างต่อเนื่อง ตระหนักถึงความสำคัญ และสามารถวิเคราะห์ผลกระทบที่เกิดขึ้น มาตรฐาน ส ๔.๓ เข้าใจความเป็นมาของชาติไทย วัฒนธรรม ภูมิปัญญาไทย มีความรัก ความภูมิใจและธำรงความเป็นไทย สาระที่ ๕ ภูมิศาสตร์ มาตรฐาน ส ๕.๑ เข้าใจลักษณะของโลกทางกายภาพ และความสัมพันธ์ของสรรพ สิ่งซึ่งมีผลต่อกันและกันในระบบของธรรมชาติ ใช้แผนที่และเครื่องมือทางภูมิศาสตร์ ในการค้นหา วิเคราะห์ สรุป และใช้ข้อมูลภูมิสารสนเทศอย่างมีประสิทธิภาพ มาตรฐาน ส ๕.๒ เข้าใจปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสภาพแวดล้อมทางกายภาพที่ ก่อให้เกิดการสร้างสรรค์วัฒนธรรม มีจิตสำนึก และมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ดังนั้น จะเห็นได้ว่าหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนทุกคน ซึ่งเป็น กำลังของชาติ ให้เป็นมนุษย์ที่มีความสมดุลทั้งด้านร่างกาย ความรู้ คุณธรรม มีจิตสำนึกในความเป็น พลเมืองไทยและเป็นพลโลก ยึดมั่นในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรง เป็นประมุข มีความรู้และทักษะพื้นฐาน รวมทั้งเจตคติที่จำเป็นต่อการศึกษาต่อการประกอบอาชีพ


๑๔ และการศึกษาตลอดชีวิต โดยมุ่งเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญบนพื้นฐานความเชื่อว่าทุกคนสามารถเรียนรู้ และพัฒนาตนเองได้เต็มตามศักยภาพ ๒.๒ หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ทำไมต้องเรียนสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ช่วยให้ผู้เรียนมีความรู้ ความเข้าใจการดำรงชีวิตของมนุษย์ทั้งในฐานะปัจเจกบุคคลและการอยู่ร่วมกันในสังคม การปรับตัว ตามสภาพแวดล้อม การจัดการทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด เข้าใจถึงการพัฒนา เปลี่ยนแปลงตามยุค สมัย กาลเวลา ตามเหตุปัจจัยต่างๆ เกิดความเข้าใจในตนเองและผู้อื่น มีความอดทน อดกลั้น ยอมรับ ในความแตกต่าง และมีคุณธรรม สามารถนำความรู้ไปปรับใช้ในการดำเนินชีวิต เป็นพลเมืองดีของ ประเทศชาติ และสังคมโลก เรียนรู้อะไรในสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ว่าด้วยการอยู่ร่วมกันใน สังคม ที่มีความเชื่อมสัมพันธ์กัน และมีความแตกต่างกันอย่างหลากหลาย เพื่อช่วยให้สามารถปรับ ตนเองกับบริบทสภาพแวดล้อม เป็นพลเมืองดี มีความรับผิดชอบ มีความรู้ ทักษะ คุณธรรม และ ค่านิยมที่เหมาะสม๒ โดยได้กำหนดสาระต่างๆไว้ ดังนี้ ๑. ศาสนา ศีลธรรม และจริยธรรม แนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม หลักธรรมของพระพุทธศาสนาหรือศาสนาที่ตนนับถือ การนำหลักธรรมคำสอนไปปฏิบัติในการพัฒนา ตนเอง และการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข เป็นผู้กระทำความดี มีค่านิยมที่ดีงาม พัฒนาตนเองอยู่เสมอ รวมทั้งบำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคมและส่วนรวม ๒. หน้าที่พลเมือง วัฒนธรรม และการดำเนินชีวิต ระบบการเมืองการปกครองในสังคม ปัจจุบันการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ลักษณะและ ความสำคัญการเป็นพลเมืองดี ความแตกต่างและความหลากหลายทางวัฒนธรรม ค่านิยม ความเชื่อ ปลูกฝังค่านิยมด้านประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข สิทธิ หน้าที่ เสรีภาพการ ดำเนินชีวิตอย่างสันติสุขในสังคมไทยและสังคมโลก ๓. เศรษฐศาสตร์การผลิต การแจกจ่าย และการบริโภคสินค้าและบริการ ๒ กระทรวงศึกษาธิการ, หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑, (กรุงเทพ : ชุมนุม สหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย ๒๕๕๖), หน้า ๑๓๒.


๑๕ การบริหารจัดการทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดอย่างมีประสิทธิภาพ การดำรงชีวิตอย่างมีดุลยภาพ และ การนำหลักเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้ในชีวิตประจำวัน ๔. ประวัติศาสตร์ เวลาและยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ วิธีการทางประวัติศาสตร์ พัฒนาการ ของมนุษยชาติจากอดีตถึงปัจจุบัน ความสัมพันธ์และเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ต่าง ๆ ผลกระทบที่ เกิดจากเหตุการณ์สำคัญในอดีต บุคคลสำคัญที่มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ในอดีต ความ เป็นมาของชาติไทย วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย แหล่งอารยธรรมที่สำคัญของโลก ๕. ภูมิศาสตร์ลักษณะของโลกทางกายภาพ ลักษณะทางกายภาพ แหล่งทรัพยากร และ ภูมิอากาศของประเทศไทย และภูมิภาคต่างๆ ของโลก การใช้แผนที่และเครื่องมือทางภูมิศาสตร์ ความสัมพันธ์กันของสิ่งต่างๆ ในระบบธรรมชาติ ความสัมพันธ์ของมนุษย์กับสภาพแวดล้อมทาง ธรรมชาติ และสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น การนำเสนอข้อมูลภูมิสารสนเทศ การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเพื่อการ พัฒนาที่ยั่งยืน ๒.๒.๑ คุณภาพของผู้เรียน ๑. มีความรู้เรื่องของจังหวัด ภาค และประทศของตนเอง ทั้งเชิงประวัติศาสตร์ ลักษณะทางกายภาพ สังคมประเพณีและวัฒนธรรม รวมทั้งการเมือง การปกครอง และสภาพ เศรษฐกิจ โดยเน้นความเป็นประเทศไทย ๒. มีความรู้และความเข้าใจในเรื่องศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม ปฏิบัติตนตาม หลักธรรมคำสอนของศาสนาที่ตนนับถือ รวมทั้งมีส่วนร่วมศาสนพิธี และพิธีกรรมทางศาสนามาก ยิ่งขึ้น ๓. ปฏิบัติตนตามสถานภาพ บทบาท สิทธิหน้าที่ในฐานะพลเมืองดีของท้องถิ่น จังหวัด ภาค และประเทศ รวมทั้งได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมตามขนบธรรมเนียมประเพณี และ วัฒนธรรมของท้องถิ่นตนเอง มากยิ่งขึ้น ๔. สามารถเปรียบเทียบเรื่องราวของจังหวัดและภาคต่างๆของประเทศไทยกับ ประเทศเพื่อนบ้าน ได้รับการพัฒนาแนวคิดทางสังคมศาสตร์ เกี่ยวกับศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม หน้าที่พลเมือง เศรษฐศาสตร์ ประวัติศาสตร์ และภูมิศาสตร์ เพื่อขยายประสบการณ์ไปสู่การทำความ เข้าใจในภูมิภาคซีกโลกตะวันออกและตะวันตกเกี่ยวกับศาสนา คุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม ความเชื่อ ขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรม การดำเนินชีวิต การจัดระเบียบทางสังคม และการเปลี่ยนแปลง ทางสังคมจากอดีต สู่ปัจจุบัน


๑๖ ๒.๒.๒ สาระการเรียนรู้ มาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วัดชั้นปี สาระที่ ๑ ศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม มาตรฐาน ส ๑.๑ รู้ และเข้าใจประวัติ ความสำคัญ ศาสดา หลักธรรมของ พระพุทธศาสนาหรือศาสนาที่ตนนับถือและศาสนาอื่น มีศรัทธาที่ถูกต้อง ยึดมั่น และปฏิบัติตาม หลักธรรม เพื่ออยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข ตัวชี้วัดชั้นปี ๑. วิเคราะห์ความสำคัญของพระพุทธศาสนาหรือศาสนาที่ตนนับถือ ใน ฐานะที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมและหลักในการพัฒนาชาติไทย ๒. สรุปพุทธประวัติตั้งแต่เสด็จกรุงกบิลพัสดุ์จนถึงพุทธกิจสำคัญหรือประวัติ ศาสดาที่ตนนับถือตามที่กำหนด ๓. เห็นคุณค่า และประพฤติตนตามแบบอย่างการดำเนินชีวิตและข้อคิด จากประวัติสาวก ชาดก/เรื่องเล่าและศาสนิกชนตัวอย่าง ตามที่กำหนด ๔. อธิบายองค์ประกอบ และความสำคัญของพระไตรปิฎก หรือคัมภีร์ของ ศาสนาที่ตนนับถือ ๕. แสดงความเคารพพระรัตนตรัย และปฏิบัติตามไตรสิกขาและหลักธรรม โอวาท ๓ ในพระพุทธศาสนาหรือหลักธรรมของศาสนาที่ตนนับถือตามที่กำหนด ๖. เห็นคุณค่าและสวดมนต์แผ่เมตตา มีสติที่เป็นพื้นฐานของสมาธิใน พระพุทธศาสนา หรือการพัฒนาจิตตามแนวทางของศาสนาที่ตนนับถือตามที่กำหนด ๗. ปฏิบัติตนตามหลักธรรมของศาสนาที่ตนนับถือ เพื่อการพัฒนาตนเอง และสิ่งแวดล้อม มาตรฐาน ส ๑.๒ เข้าใจ ตระหนักและปฏิบัติตนเป็นศาสนิกชนที่ดี และธำรง รักษาพระพุทธ ศาสนาหรือศาสนาที่ตนนับถือ ตัวชี้วัดชั้นปี ๑. จัดพิธีกรรมตามศาสนาที่ตนนับถืออย่างเรียบง่าย มีประโยชน์ และ ปฏิบัติตนถูกต้อง ๒. ปฏิบัติตนในศาสนพิธี พิธีกรรม และวันสำคัญทางศาสนา ตามที่กำหนด และอภิปรายประโยชน์ที่ได้รับจากการเข้าร่วมกิจกรรม ๓. มีมรรยาทของความเป็นศาสนิกชนที่ดี ตามที่กำหนด


๑๗ สาระที่ ๒ หน้าที่พลเมือง วัฒนธรรม และการดำเนินชีวิตในสังคม มาตรฐาน ส ๒.๑ เข้าใจและปฏิบัติตนตามหน้าที่ของการเป็นพลเมืองดี มีค่านิยม ที่ดีงาม และธำรงรักษาประเพณีและวัฒนธรรมไทย ดำรงชีวิตอยู่ร่วมกันในสังคมไทยและสังคมโลก อย่างสันติสุข ตัวชี้วัดชั้นปี ๑. ยกตัวอย่างและปฏิบัติตนตามสถานภาพ บทบาท สิทธิเสรีภาพ และ หน้าที่ในฐานะพลเมืองดี ๒. เสนอวิธีการปกป้องคุ้มครองตนเองหรือผู้อื่นจากการละเมิดสิทธิเด็ก ๓. เห็นคุณค่าวัฒนธรรมไทยที่มีผลต่อการดำเนินชีวิตในสังคมไทย ๔. มีส่วนร่วมในการอนุรักษ์และเผยแพร่ภูมิปัญญาท้องถิ่นของชุมชน มาตรฐาน ส ๒.๒ เข้าใจระบบการเมืองการปกครองในสังคมปัจจุบัน ยึดมั่น ศรัทธา และธำรงรักษาไว้ซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตัวชี้วัดชั้นปี ๑. อธิบายโครงสร้าง อำนาจ หน้าที่และความสำคัญของการปกครองส่วน ท้องถิ่น ๒. ระบุบทบาทหน้าที่ และวิธีการเข้าดำรงตำแหน่งของผู้บริหารท้องถิ่น ๓. วิเคราะห์ประโยชน์ที่ชุมชน จะได้รับจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สาระที่ ๓ เศรษฐศาสตร์ มาตรฐาน ส ๓.๑ เข้าใจและสามารถบริหารจัดการทรัพยากรในการผลิตและ การบริโภค การใช้ทรัพยากรที่มีอยู่จำกัดได้อย่างมีประสิทธิภาพและคุ้มค่า รวมทั้งเข้าใจหลักการของ เศรษฐกิจพอเพียง เพื่อการดำรงชีวิตอย่างมีดุลยภาพ ตัวชี้วัดชั้นปี ๑. อธิบายปัจจัยการผลิตสินค้าและบริการ ๒. ประยุกต์ใช้แนวคิดของปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในการทำกิจกรรม ต่างๆ ในครอบครัว โรงเรียนและชุมชน ๓. อธิบายหลักการสำคัญและประโยชน์ของสหกรณ์ มาตรฐาน ส ๓.๒ เข้าใจระบบและสถาบันทางเศรษฐกิจต่างๆ ความสัมพันธ์ทาง เศรษฐกิจ และความจำเป็นของการร่วมมือกันทางเศรษฐกิจในสังคมโลก


๑๘ ตัวชี้วัดชั้นปี ๑. อธิบายบทบาทหน้าที่เบื้องต้นของธนาคาร ๒. จำแนกผลดีและผลเสียของการกู้ยืม สาระที่ ๔ ประวัติศาสตร์ มาตรฐาน ส ๔.๑ เข้าใจความหมาย ความสำคัญของเวลาและยุคสมัยทาง ประวัติศาสตร์ สามารถใช้วิธีการทางประวัติศาสตร์มาวิเคราะห์เหตุการณ์ต่างๆ อย่างเป็นระบบ ตัวชี้วัดชั้นปี ๑. สืบค้นความเป็นมาของท้องถิ่นโดยใช้หลักฐานที่หลากหลาย ๒. รวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่างๆ เพื่อตอบคำถามทางประวัติศาสตร์ อย่าง มีเหตุผล ๓. อธิบายความแตกต่างระหว่างความจริงกับข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องราว ในท้องถิ่น มาตรฐาน ส ๔.๒ เข้าใจพัฒนาการของมนุษยชาติจากอดีตจนถึงปัจจุบัน ในด้าน ความสัมพันธ์และการเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์อย่างต่อเนื่อง ตระหนักถึงความสำคัญ และสามารถวิเคราะห์ผลกระทบที่เกิดขึ้น ตัวชี้วัดชั้นปี ๑. อธิบายอิทธิพลของอารยธรรมอินเดียและจีนที่มีต่อไทย และเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้ โดยสังเขป ๒. อภิปรายอิทธิพลของวัฒนธรรมต่างชาติที่มีต่อสังคมไทยปัจจุบัน โดยสังเขป มาตรฐาน ส ๔.๓ เข้าใจความเป็นมาของชาติไทย วัฒนธรรม ภูมิปัญญาไทย มีความรัก ความภูมิใจและธำรงความเป็นไทย ตัวชี้วัดชั้นปี ๑. อธิบายพัฒนาการของอาณาจักรอยุธยาและธนบุรีโดยสังเขป ๒. อธิบายปัจจัยที่ส่งเสริมความเจริญ รุ่งเรืองทางเศรษฐกิจและการ ปกครองของอาณาจักรอยุธยา ๓. บอกประวัติและผลงานของบุคคลสำคัญสมัยอยุธยาและธนบุรีที่น่า ภาคภูมิใจ


๑๙ ๔. อธิบายภูมิปัญญาไทยที่สำคัญ สมัยอยุธยาและธนบุรีที่น่าภาคภูมิใจและ ควรคู่แก่การอนุรักษ์ไว้ สาระที่ ๕ ภูมิศาสตร์ มาตรฐาน ส ๕.๑ เข้าใจลักษณะของโลกทางกายภาพ และความสัมพันธ์ของ สรรพสิ่งซึ่งมีผลต่อกันและกันในระบบของธรรมชาติ ใช้แผนที่และเครื่องมือทางภูมิศาสตร์ในการ ค้นหา วิเคราะห์ สรุป และใช้ข้อมูลภูมิสารสนเทศอย่างมีประสิทธิภาพ ตัวชี้วัดชั้นปี ๑. รู้ตำแหน่ง (พิกัดภูมิศาสตร์ ละติจูด ลองจิจูด) ระยะ ทิศทางของภูมิภาค ของตนเอง ๒. ระบุลักษณะภูมิลักษณ์ที่สำคัญในภูมิภาคของตนเองในแผนที่ ๓. อธิบายความสัมพันธ์ของลักษณะทางกายภาพกับลักษณะทางสังคมใน ภูมิภาคของตนเอง มาตรฐาน ส ๕.๒ เข้าใจปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสภาพแวดล้อมทางกายภาพ ที่ก่อให้เกิดการสร้างสรรค์วัฒนธรรม มีจิตสำนึกและมีส่วนร่วม ในการอนุรักษ์ทรัพยากรและ สิ่งแวดล้อม เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ตัวชี้วัดชั้นปี ๑. วิเคราะห์สภาพแวดล้อมทางกายภาพที่มีอิทธิพลต่อลักษณะการตั้งถิ่น ฐานและการย้ายถิ่นของประชากรในภูมิภาค ๒. อธิบายอิทธิพลของสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติที่ก่อให้เกิดวิถีชีวิตและ ๓. นำเสนอตัวอย่างที่สะท้อนให้เห็นผลจากการรักษาและการทำลาย สภาพแวดล้อม และเสนอแนวคิดในการรักษาสภาพแวดล้อมในภูมิภาค จากการศึกษาหลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ผู้วิจัยจึง สนใจที่จะทำการวิจัย รายวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม หน่วยการเรียนรู้ที่ ๑ เรื่อง ความสำคัญของพระพุทธศาสนา และพุทธประวัติ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ มาประยุกต์ใช้ กับการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบ GPAS 5 Steps เพื่อส่งเสริมทักษะและ ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนให้ดียิ่งขึ้น


๒๐ ๒.๓ แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับการคิดวิเคราะห์ ๒.๓.๑ ความหมายของการคิดวิเคราะห์ มีนักการศึกษาและนักวิชาการหลายท่าน ได้ให้ความหมายหรือนิยามของการคิด วิเคราะห์ไว้อย่างหลากหลาย ดังนี้ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พุทธศักราช ๒๕๔๒ (ราชบัณฑิตยสถาน ๒๕๔๖ : ๒๕๑) ระบุความหมายของคำว่า “คิด” หมายถึง ทำให้ปรากฏเป็นรูปหรือประกอบให้เป็นรูปหรือ เป็นเรื่องขึ้น ในใจ ใคร่ครวญ ไตร่ตรอง คาดคะเน คำนวณ มุ่ง จงใจตั้งใจนึก และให้ความหมายของ คำว่า "วิเคราะห์" หมายถึง ใคร่ครวญแยกออกเป็นส่วนๆ เพื่อศึกษาให้ถ่องแท้ดังนั้น คำว่า คิด วิเคราะห์จึงมีความหมายโดยรวมว่า การใคร่ครวญ ไตร่ตรองคาดคะเน คำนวณด้วยความตั้งใจ พิจารณาแยกออกเป็นส่วนๆ เพื่อศึกษาให้ถ่องแท้๓ บลูม (Bloom, 1956 : 6 – 9) กล่าวว่า การคิดวิเคราะห์เป็นความสามารถ ในการ แยกแยะเพื่อหาส่วนย่อยของเหตุการณ์เรื่องราวหรือเนื้อหาต่างๆ ว่าประกอบด้วยอะไร มีความสําคัญ อย่างไร มีอะไรเป็นสาเหตุ มีอะไรเป็นผลและที่เป็นอย่างนั้นด้วยหลักการอะไร๔ รัสเซล (Russel, 1956 : 181-182) ให้ความหมายว่า การคิดวิเคราะห์นั้นเป็นการ คิดเพื่อแก้ปัญหาชนิดหนึ่ง โดยผู้คิดจะต้องพิจารณา ตัดสินเรื่องราวต่าง ๆ ว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย การวิเคราะห์งเป็นกระบวนการประเมินหรือหรือการจัดหมวดหมู่โดยอาศัยเกณฑ์ที่เคยยอมรับกันมา ก่อน แล้วสรุปหรือพิจารณาตัดสิน๕ วัตสัน และเกรเซอร์ (Watson & Glaser, 1964 : 11) ได้ให้ความหมายของการ วิเคราะห์ว่าเป็นสิ่งที่เกิดจากส่วนประกอบของทัศนคติ ความรู้และทักษะ โดยทัศนคติเป็นการ แสดงออกทางจิตใจต้องการค้นจากปัญหาที่มีอยู่ ความรู้เกี่ยวกับการใช้เหตุผลในการประเมิน สถานการณ์ การสรุปความเที่ยงตรงและการเข้าใจในความเป็นนามธรรม ส่วนทักษะจะประยุกต์ รวมอยู่ในทัศนคติและความรู้๖ ๓ ราชบัณฑิตยสถาน, พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๔๒, (กรุงเทพฯ : นานมีบุ๊คส์ พับลิเคชั่นส์, ๒๕๔๖), หน้า ๒๕๑. ๔ Bloom, Taxonomy of Educational Objectives Book 1, (Cognitive Domain, London : Longman Group Limited, 1956), : 6-9. ๕ Russel, The biotechnology revolution: an international perspective,Brighto, (Susex : Wheat sheaf, 1956), : 181-182. ๖ Watson & Glaser, Wattson Glaser critical thinking appraisal manual, (New York : Harcourt, Brace and World, 1964), : 11.


๒๑ กู๊ต (Good, 1973 : 680) ระบุว่าการคิดวิเคราะห์ หมายถึง การคิดอย่างรอบคอบ ตามหลักของการประเมินและมีหลักฐานอ้างอิงเพื่อหาข้อสรุปที่น่าจะเป็นไปได้ ตลอดจนพิจารณา องค์ประกอบที่เกี่ยวข้องทั้งหมด และใช้กระบวนการตรรกวิทยาได้อย่างถูกต้อง และสมเหตุสมผล๗ ดิวอี้ (Dewey, 1993) กล่าวว่า การคิดวิเคราะห์ หมายถึงการคิดพิจารณาอย่าง รอบคอบและจริงจังเกี่ยวกับความเชื่อใดๆ หรือความรู้ในรูปแบบต่างๆ บนพื้นฐานของสิ่งสนับสนุน การคิดพิจารณานั้นและหมายถึงการพินิจพิจารณาข้อสรุปที่เป็นเป้าหมายของการคิดนั้นซึ่งกว้างไกล กว่าภาวะที่ความคิดนั้นปรากฏอยู่๘ ไซเนอร์ (Zeichner, 1991) ระบุว่าการคิดวิเคราะห์เป็นความคิดที่จะต้องใช้เหตุผล ในการวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ หรือวิเคราะห์ความคิดของตนเองด้วย แล้วพยายามตอบโต้ความคิดนั้น ด้วยการสะท้อนแง่มุมต่างๆ ของความคิดนั้นๆ ออกมา๙ อัลฟาโร่และลีเฟบเร่ (Alfaro & LeFevre, 1995 : 177) อธิบายความหมายของการ วิเคราะห์ว่า การคิดวิเคราะห์เป็นกระบวนการทางปัญญาที่บุคคลจะใช้เพื่อให้เกิดความเข้าใจ ธรรมชาติของบางสิ่งบางอย่างได้ดีขึ้น โดยการแยกส่วนรวมหรือภาพรวมกองสิ่งนั้นอย่างระมัดระวังให้ ได้เป็นส่วนย่อย๑๐ มาร์ซาโน (Marzano, 5 : 58) กล่าวว่าการคิดวิเคราะห์ ต้องใช้เหตุผล คิดอย่าง ลึกซึ้งและหลากหลาย มีการคิดโดยพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วนและต้องมีเหตุผลสามารถระบุความ เหมือนหรือความแตกต่าง สามารถจัดลำดับ จัดหมวดหมู่ หรือประเภทของความรู้ของสิ่งต่าง ๆ ได้ ระบุเหตุผลของการเกิดข้อผิดพลาดของข้อมูล สามารถตีความหรือบอกหลักเกณฑ์ พื้นฐานของความรู้ ระบุเจาะจง หรือสรุปอย่างมีเหตุผล จนสามารถเกิดเป็นความรู้ใหม่ได้๑๑ ทิศนา แขมมณี (๒๕๔๕ : ๔๐๑) ระบุว่า การคิดวิเคราะห์ หมายถึง การคิดที่ต้องใช้ คำตอบ แยกแยะข้อมูลและหาความสัมพันธ์ของข้อมูลที่แยกแยะนั้น หรืออีกนัยหนึ่งคือการเรียนรู้ใน ๗ Good, Dictionry of education, (New York : McGraw-Hill, 1973), : 680. ๘ Dewey, Dictionary of education, (New York : Philosophical Library, 1993), : 47. ๙ Zeichner, Reflections on reflective teaching, (In B. R, 1991), : 162. ๑๐ Alfaro & LeFevre, Critical Thinking in Nursing, Philadelphia, (W.B.Sounders, 1995), : 177. ๑๑ Marzano, Designing a New Taxonomy of Educational Objectives, ( California : Corwin Press, 2001), : 58.


๒๒ ระดับที่ ผู้เรียนสามารถบอกได้ว่าอะไรเป็นสาเหตุ เหตุผล หรือแรงจูงใจ ที่อยู่เบื้องหลังปรากฏการณ์ ใดปรากฏการณ์หนึ่ง ๑๒ ชาติ แจ่มนุช (๒๕๔๕ : ๕๔) ได้ให้ความหมายของการคิดวิเคราะห์ว่าเป็นการคิดที่ สามารถแยกสิ่งสําเร็จรูป ได้แก่ วัตถุสิ่งของต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัว หรือบรรดาเรื่องราว เนื้อเรื่องหรือสิ่ง ต่าง ๆ ออกเป็นสิ่งย่อย ๆ ตามหลักเกณฑ์หรือหลักการที่กำหนดให้เพื่อค้นหาความจริงหรือ ความสําคัญที่แฝงอยู่ภายใน๑๓ สุวิทย์ มูลคำ (๒๕๔๙ : ๙) สรุปว่า การคิดวิเคราะห์ คือ ความสามารถในการจำแนก แยกแยะองค์ประกอบต่างๆ ของสิ่งใดสิ่งหนึ่งซึ่งอาจจะเป็นวัตถุ สิ่งของ เรื่องราวหรือเหตุการณ์ และ หาความสัมพันธ์เชิงเหตุผลระหว่างองค์ประกอบเหล่านั้นเพื่อค้นหาสภาพความเป็นจริงหรือสิ่งสำคัญ ของสิ่งที่กำหนดให้๑๔ เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ (๒๕๕๓ : ๒) ได้ให้ความหมายการ วิเคราะห์ หมายถึง การจำแนก แยกแยะ องค์ประกอบของสิ่งใดสิ่งหนึ่งออกเป็นส่วนๆ เพื่อค้นหาว่าทำมาจากอะไร ประกอบขึ้นมาได้อย่างไร เชื่อมโยงสัมพันธ์กันอย่างไร๑๕ สุวัฒน์ วิวัฒนานนท์ (๒๕๕๐ : ๔๕) ระบุว่าการวิเคราะห์ หมายถึง การคิดโดย พิจารณา จําแนก แยกแยะ ไตร่ตรอง ใคร่ครวญ แจกแจงส่วนประกอบของการจัดหมวดหมู่ใน เรื่องราวหรือสถานการณ์โดยใช้ความรู้ ความคิดในการแก้ปัญหาอย่างมีเหตุผล เพื่อนำไปสู่ข้อสรุปที่ เป็นไปได้๑๖ สำนักงานวิชาการและมาตรฐานการศึกษา (๒๕๕๙) ได้สรุปความหมายของการคิด วิเคราะห์ คือ การระบุเรื่องหรือปัญหา การจําแนกแยกแยะ เปรียบเทียบข้อมูลหรือเพื่อจัดกลุ่ม อย่าง ๑๒ ทิศนา แขมมณี, การคิดและการสอนเพื่อพัฒนากระบวนการคิด, (กรุงเทพฯ : สำนักงานพัฒนา คุณภาพวิชาการ, ๒๕๔๕), หน้า ๔๐๑. ๑๓ ชาติ แจ่มนุช, สอนอย่างไรให้คิดเป็น, (กรุงเทพฯ : เสี่ยงเซียง, ๒๕๕๕), หน้า ๕๔. ๑๔ สุวิทย์ มูลค่า, ครบเครื่องเรื่องการคิด, (พิมพ์ครั้งที่ ๗), (กรุงเทพฯ : ห้างหุ้นส่วนจำกัด ภาพพิมพ์, ๒๕๔๙), หน้า ๙. ๑๕ เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์, การคิดเชิงวิเคราะห์ (Analytical Thinking), (พิมพ์ครั้งที่ ๖), (กรุงเทพฯ : ซัคเชสมีเดีย, ๒๕๕๓), หน้า ๒. ๑๖ สุวัฒน์ วิวัฒนานนท์, ทักษะการอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียน, (นนทบุรี : ซีซีนอลลิท ลิงค์, ๒๕๕๐), หน้า.๔๕.


๒๓ เป็นระบบ ระบุเหตุผลหรือเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของข้อมูลและตรวจสอบข้อมูล หรือหาข้อมูล เพิ่มเติมเพื่อให้เพียงพอในการตัดสินใจ แก้ปัญหา คิดสร้างสรรค์๑๗ ปรีดาวรรณ อ่อนนางใย (๒๕๕๕ : ๔) ความสามารถทางการคิดวิเคราะห์ หมายถึง การพิจารณา แยกแยะส่วนย่อยๆ ของเรื่องราวหรือเนื้อเรื่องต่าง ๆ อย่างมีเหตุผลบนพื้นฐานความรู้ เดิม และพิจารณาได้ว่าส่วนย่อย ๆ ที่สำคัญนั้นแต่ละเหตุการณ์เกี่ยวพันธ์กันอย่างไรบ้าง อะไรที่ เป็น สาเหตุ อะไรที่เป็นผล และเกี่ยวพันธ์โดยอาศัยหลักการใด๑๘ สุนทรี วัฒนพันธุ์ (๒๕๕๕ : ๑๑) การคิดวิเคราะห์ หมายถึง ความสามารถในการ จำแนก การให้รายละเอียด ให้เหตุผลและจับประเด็นเชื่อมโยงความสัมพันธ์เหตุการณ์ระหว่างเรียน กับหลัก คุณธรรม จริยธรรม โดยใช้กระบวนการคิด นำไปใช้ในสถานการณ์ใหม่๑๙ วรรณนา โรจนบุรานนท์ (๒๕๕๗ : ๕) การคิดวิเคราะห์ หมายถึง การคิดระดับสูงที่ เกิดขึ้นด้วยกระบวนการ ซับซ้อน เป็นความสามารถในการคิดที่ใช้เหตุผลในการแก้ปัญหาสามารถ จำแนก แยกแยะองค์ประกอบต่างๆ ออกเป็นส่วนย่อย ๆ หรือเป็นหมวดหมู่ได้โดยพิจารณาอย่าง รอบคอบถึงสภาพการณ์หรือข้อมูลต่าง ๆ ว่ามีข้อเท็จจริงเพียงใดในการตัดสินใจ๒๐ จากการศึกษา การให้ความหมายของการคิดวิเคราะห์จากนักวิชาการ และนักการ ศึกษาทั้งในและต่างประเทศ ผู้วิจัยสรุปความหมายได้ว่า การคิดวิเคราะห์ หมายถึง สถานการณ์ ที่ ประกอบด้วยความสามารถในการจำแนกแยกแยะองค์ประกอบออกเป็นส่วนย่อยๆ โดยสามารถให้ รายละเอียดด้วยการให้เหตุผลที่ถูกต้องจากพื้นฐานความรู้หรือหลักการ ระบุได้ว่า องค์ประกอบหรือ ส่วนย่อย ๆ นั้น มีส่วนสัมพันธ์ เชื่อมโยงกันอย่างไร ระบุว่าได้เป็นสิ่งใดเป็นเหตุ สิ่งใดเป็นผล นำไปสู่ ๑๗ สำนักงานวิชาการและมาตรฐานการศึกษา, แนวทางการจัดการเรียนรู้ พัฒนาทักษะการคิด วิเคราะห์, (กรุงเทพฯ : ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย, ๒๕๕๙), หน้า ๖๑. ๑๘ ปรีดาวรรณ อ่อนนางใย, การสร้างแบบทดสอบวัดความสามารถทางการคิดวิเคราะห์สำหรับ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๕ สำนักการศึกษากรุงเทพมหานคร, (วิทยานิพนธ์ปริญญาการศึกษามหาบัณฑิต (สาขาวิชาการวัดผลการศึกษา), มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, ๒๕๕๕), หน้า ๔. ๑๙ สุนทรี วัฒนพันธุ์, การพัฒนารูปแบบการสอนวิทยาศาสตร์ที่ส่งเสริมการคิดวิเคราะห์ของนักเรียน ระดับมธัยมศึกษา, (วิทยานิพนธ์ปริญญาครุศาสตรดุษฎีบัณฑิต (สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน), มหาวิทยาลัย ราชภัฏวไลยอลงกรณ์, ๒๕๕๕), หน้า ๑๑. ๒๐ วรรณา โรจนะบุรานนท์, การพัฒนาความสามารถในการคิดวิเคราะห์สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ ๑-๓ ของโรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ศูนย์วิจัยและพัฒนาการศึกษา, (วิทยานิพนธ์ปริญญา การศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต (สาขาวิจัยและประเมินผลการศึกษา), มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, ๒๕๕๗), หน้า ๕.


๒๔ ข้อสรุปหรือการตัดสินใจที่ถูกต้องเพื่อแก้ปัญหาหรือสถานการณ์ การคาดการณ์ ทำนายคำตอบ ล่วงหน้า นำไปประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ต่างๆ หรือเกิดเป็นความรู้ใหม่ ๒.๓.๒ แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับการคิดวิเคราะห์ แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับการคิดวิเคราะห์ ผู้วิจัยได้ทำการศึกษาค้นคว้าเพื่อให้ สอดคล้องกับงานวิจัย ดังนี้ ๑. ทฤษฎีการคิดของบลูม (Bloom's taxonomy) ๒๑ ในปี ค.ศ.๑๙๕๖ บลูมและคณะ (Bloom & other, 1956) ไต้พัฒนากรอบ ทฤษฎีที่ใช้เป็นเครื่องมือการจัดประเภทพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับการแสดงออกทางปัญญาและการคิด อันเป็นผลมาจากประสบการณ์การศึกษา เรียกว่า Bloom's taxonomy ซึ่งกำหนดไว้ ๓ ด้านคือ ด้าน พุทธิพิสัย (cognitive domain) ด้านจิตพิสัย (affective domain) และด้านทักษะทางกาย (psychomotor domain) ในการออกแบบหลักสูตร การจัดการเรียนรู้และการวัดประเมินผลการ เรียนรู้ก็ได้อาศัยกรอบทฤษฎีดังกล่าวนี้ ซึ่งพฤติกรรมด้านพุทธิพิสัยถูกนำไปใช้มากที่สุด พุทธิพิสัย (cognitive domain) เป็นพฤติกรรมด้านสมองเกี่ยวกับ สติปัญญา ความคิด ความสามารถในการคิดเรื่องราวต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพซึ่งพฤติกรรมทางพุทธิ พิสัย ๖ ระดับ (สำนักทดสอบทางการศึกษา, ๒๕๕๒ : ๑๑-๑๒) ได้แก่ ๑. ความรู้ (knowledge) ความสามารถในการจดจำแนกประสบการณ์ ต่างๆ และระลึกเรื่องราวนั้นๆ ออกมาได้ถูกต้องแม่นยำ ๒. ความเข้าใจ (comprehension) ความสามารถบ่งบอกใจความสำคัญ ของเรื่องราวโดยการแปลความหลัก ตีความได้ สรุปใจความสำคัญได้ ๓. การนำความรู้ไปประยุกต์ (application) ความสามารถในการนำ หลักการกฎเกณฑ์และวิธีดำเนินการต่างๆของเรื่องที่ได้รู้มา นำไปใช้แก้ปัญหาในสถานการณ์ใหม่ได้ ๔. การวิเคราะห์ (analysis) ความสามารถในการแยกแยะเรื่องราวที่ สมบูรณ์ให้กระจายออกเป็นส่วนย่อยๆ ไต้อย่างชัดเจน ๕. การสังเคราะห์ (synthesis) ความสามารถในการผสมผสานส่วนย่อยเข้า เป็นเรื่องราวเดียวกันโดยปรับปรุงของเก่าให้ดีขึ้นและมีคุณภาพสูงขึ้น ๒๑ วุฒิไกร เที่ยงดี, ปัจจัยที่สัมพันธ์กับความสามารถในการคิดวิเคราะห์ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ ของจังหวัดกาฬสินธุ์: การวิเคราะห์พหุระดับ, ปริญญาการศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาการวิจัยการศึกษา, มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, ๒๕๔๙.


๒๕ ๖. การประเมินค่า (evaluation) ความสามารถในการวินิจฉัยหรือตัดสิน กระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดลงไป การประเมินเกี่ยวข้องกับการใช้เกณฑ์คือมาตรฐานในการวัดที่กำหนด โดยบลูมและคณะได้เสนอกรอบการคิดออกเป็น ๒ ระดับ คือ พัฒนา ความคิดระดับต่ำ (lower order thinking skills) และการพัฒนาความคิดระดับสูง (higher order thinking skills) มีรายละเอียดตังนี้ ๑. พัฒนาความคิดระดับต่ำ (lower order thinking skills) ประกอบด้วย ระดับ ๑ : ความรู้ (knowledge) ระดับ ๒ : ความเข้าใจ (comprehension) ระดับ ๓ : นำไปใช้/การประยุกต์ใช้ความรู้ในสถานการณ์ใหม่ (application) ๒ . ก า ร พ ั ฒ นา คว า มคิดร ะดับ สู ง (higher order thinking skills) ประกอบด้วย ระดับ ๔ : การวิเคราะห์ (analysis) ระบุความสัมพันธ์และเหตุจูง ใจ ระดับ ๕ : การสังเคราะห์ (synthesis) การเชื่อมโยงข้อเท็จจริง โดยเหตุผลหรือรูปแบบใหม่ ระดับ ๖ : การประเมิน (evaluation) ใช้เกณฑ์และสถานการณ์ เพื่อวินิจฉัยและการตัดสินผล การที่บุคคลจะมีทักษะในการแก้ปัญหาและการตัดสินใจ จะต้องสามารถวิเคราะห์เข้าใจใน สถานการณ์ใหม่หรือข้อความจริงใหม่ได้ ดังนั้นการจะให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ในระดับใดหรือหลาย ระดับนั้น ขึ้นอยู่กับเนื้อหาสาระที่เป็นองค์ความรู้ อาจต้องผสานข้อมูลความรู้ในลักษณะรูปแบบต่างๆ เช่น การจัดจำพวก การแปล การตีความ การประยุกต์ การวิเคราะห์ ส่วนย่อย และความสัมพันธ์เพื่อ การสร้างความรู้ ความเข้าใจ การนำไปใช้สู่การวิเคราะห์ การสังเคราะห์และการประเมินผลตาม จุดมุ่งหมายการศึกษาของบลูม โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสามารถในการวิเคราะห์จะส่งผลให้นักเรียน สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับสถานการณ์ใหม่ในเชิงสร้างสรรค์ เพราะเป็นการพัฒนาความสามารถใน ระดับการมีเหตุผลและเป็น การเรียนรู้ที่คงทนของแต่ละบุคคลแม้จะจำรายละเอียดของความรู้ไม่ได้ นักเรียนจึงต้องเรียนรู้วิธีการวิเคราะห์และภายใต้สภาวะใตที่ต้องนำความสามารถด้านการวิเคราะห์มา ใช้ (Bloom ; et al. 1971) กล่าวว่าทักษะการคิดวิเคราะห์มี ๓ ลักษณะ คือ


๒๖ ๑. การคิดวิเคราะห์ความสำคัญ (analysis of element) หมายถึง การแยกแยะสิ่ง ที่กำหนดได้ว่าอะไรสำคัญหรือจำเป็นหรือมีบทบาทมากที่สุด สิ่งใดเป็นเหตุ สิ่งใดเป็นผล ซึ่งการคิด วิเคราะห์ความสำคัญนี้จะประกอบไปด้วย "การวิเคราะห์ชนิด" เป็นการวินิจฉัยว่าสิ่งนั้นหรือเหตุการณ์ นั้น จัดเป็นชนิดหรือลักษณะใด เพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น "วิเคราะห์สิ่งสำคัญ" เป็นการวินิจฉัยว่าสิ่ง ใดสำคัญหรือไม่สำคัญ การค้นหาสาระสำคัญ ข้อความหลัก ข้อสรุปจุดเด่นหรือจุดด้อย ของสิ่งต่างๆ และ "วิเคราะห์เลศนัย" เป็นการมุ่งค้นหาสิ่งแอบแฝงหรืออยู่เบื้องหลังของสิ่งที่เห็น อาจไม่ได้บ่งบอก ตรงๆ แต่มีร่องรอยของความเป็นจริงซ้อนอยู่ ๒. การคิดวิเคราะห์ความสัมพันธ์ (analysis of relationship) หมายถึง การค้นหา ความสัมพันธ์ย่อยๆ ของเรื่องราวหรือเหตุการณ์นั้น มีความเกี่ยวพัน สอดคล้องหรือขัดแย้งกันอย่างไร ได้แก่ วิเคราะห์ชนิดของความสัมพันธ์ วิเคราะห์ขนาดของความสัมพันธ์วิเคราะห์ขั้นตอนความสัมพันธ์ วิเคราะห์จุดประสงค์ของความสัมพันธ์ วิเคราะห์สาเหตุของความสัมพันธ์ และวิเคราะห์แบบ ความสัมพันธ์ในรูปอุปมาอุปไมย ๓. การคิดวิเคราะห์เชิงหลักการ (analysis of organizational principles) หมายถึง การค้นหาโครงสร้างระบบ และสิ่งของเรื่องราวและการทำงานต่างๆ ว่า สิ่งเหล่านั้นรวมกัน จนดำรงสภาพเช่นนั้นได้เนื่องด้วยอะไร โดยยึดอะไรเป็นหลัก เป็นแกนกลางมีหลักการอย่างไร มี เทคนิคหรือยึดถือคติใด มีสิ่งใดเป็นตัวเชื่อมโยง ยึดถือหลักการใด การวิเคราะห์หลักการเป็นการ วิเคราะห์ที่ถือว่ามีความสำคัญที่สุด การจะวิเคราะห์ได้ดี จะต้องมีความรู้ความสามารถในการวิเคราะห์ องค์ประกอบและวิเคราะห์ความสัมพันธ์ได้ดีเสียก่อน เพราะผลจากความสามารถในการวิเคราะห์ องค์ประกอบและวิเคราะห์ความสัมพันธ์จะทำให้สามารถสรุปเป็นหลักการได้ประกอบด้วย"วิเคราะห์ โครงสร้าง" เป็นการค้นหาโครงสร้างของสิ่ง "วิเคราะห์หลักการ" เป็นการแยกแยะเพื่อคันหาความจริง ของสิ่งต่างๆ แล้วสรุปหลักการเป็นคำตอบได้ ดังนั้น จะเห็นได้ว่าทฤษฎีการคิดของบลูม เป็นทักษะในการแก้ปัญหาและการตัดสินใจ จะต้องสามารถวิเคราะห์เข้าใจในสถานการณ์ใหม่หรือข้อความจริงใหม่ได้ ดังนั้นการจะให้นักเรียนเกิด การเรียนรู้ในระดับใดหรือหลายระดับนั้น ขึ้นอยู่กับเนื้อหาสาระที่เป็นองค์ความรู้ อาจต้องผสานข้อมูล ความรู้ในลักษณะรูปแบบต่างๆ เช่น การจัดจำพวก การแปล การตีความ การประยุกต์ การวิเคราะห์ ส่วนย่อย และความสัมพันธ์เพื่อการสร้างความรู้ ความเข้าใจ การนำไปใช้สู่การวิเคราะห์ การ สังเคราะห์และการประเมินผลตามจุดมุ่งหมายการศึกษาของบลูม โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสามารถใน การวิเคราะห์จะส่งผลให้นักเรียนสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับสถานการณ์ใหม่ในเชิงสร้างสรรค์ เพราะ เป็นการพัฒนาความสามารถในระดับการมีเหตุผลและเป็น การเรียนรู้ที่คงทนของแต่ละบุคคลแม้จะ


๒๗ จำรายละเอียดของความรู้ไม่ได้ นักเรียนจึงต้องเรียนรู้วิธีการวิเคราะห์และภายใต้สภาวะใตที่ต้องนำ ความสามารถด้านการวิเคราะห์มาใช้ ๒. แนวคิดของแอนเดอร์สัน และแครทโฮล (Anderson & Krathwohl) โดย ปรับปรุงทฤษฎีการเรียนรู้ของบลูม (Bloom's Taxonomy 2001)๒๒ ในปี ค.ศ.2001 แอนเดอร์สันและแครทโฮล (Anderson & Krathwohl, 2001) ได้นำเสนอแนวคิดปรับปรุง Bloom's Taxonomy ในการจำแนกพฤติกรรมย่อยเพื่อให้มี เหมาะสมกับบริบทในการศึกษายุคใหม่เพื่อเป็นเครื่องมือให้ครูออกแบบการสอนให้มีประสิทธิภาพ และทันสมัยความแตกต่างของแนวคิดของแอนเดอร์สัน และแครทโฮล (Anderson & Krathwohl) ซึ่งได้จากการปรับปรุงแนวคิดการแบ่งประเภทการเรียนรู้แบบดั้งเดิม ซึ่งได้ปรับปรุงวัตถุประสงค์ให้ พิจารณาเป็น ๒ มิติ คือ พิจารณาลักษณะของความรู้ และพิจารณาการเรียนรู้ทางปัญญา สิ่งที่ แตกต่าง มีรายละเอียดสรุปได้ดังนี้ ๑) การจำ (remembering) เป็นระดับพื้นฐานของการเรียนรู้ที่เน้น กระบวนการนำเอาหรือดึงเอาความรู้ การสืบค้น การเตือนความจำ ได้จากความจำระยะยาวของคน ออกมาเพื่อกำหนดการเรียนรู้ ให้พัฒนาต่อไปในระดับที่สูงขึ้น ที่ได้จากความรู้เดิมของคนจำเรียก ความรู้ที่เกี่ยวข้องจากหน่วยความจำระยะยาว เช่น การจำได้ การระลึกได้ ๒) การเข้าใจ (understanding) เป็นกระบวนการสร้างความรู้อย่างมี ความหมาย จากสื่อ จากการอธิบาย การพูด การเขียน การแยกแยะ การเปรียบเทียบ การจัด หมวดหมู่ หรือการอธิบาย ที่จะนำไปสู่ความเข้าใจในสิ่งที่กำลังเรียนรู้เข้าใจ กำหนดความหมายของสิ่ง ที่เรียนจากการเขียนหรือจากสื่อ เช่น การตีความหรือแปลความหมาย การให้ตัวอย่างการจำแนกจัด กลุ่ม การสรุปอ้างอิง การเปรียบเทียบ การอธิบาย ๓) การประยุกต์ใช้ (applying) กระบวนการในขั้นต่อมา เป็นการนำความรู้ ความเข้าใจไปประยุกต์ใช้ หรือนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ด้วยกระบวนการหรือวิธีการดำเนินการอย่าง เป็นขั้นเป็นตอน เช่น การดำเนินการ การกระทำ การใช้ประโยชน์ ๔) การวิเคราะห์ (analyzing) ระดับต่อมาเป็นกระบวนการนำส่วนต่างๆ ของการเรียนรู้ มาประกอบเป็นโครงสร้างใหม่ด้วยการการพิจารณาว่ามีส่วนใด สัมพันธ์กับส่วนอื่น อย่างไรพิจารณาโครงสร้างโดยรวมของสิ่งที่เรียนรู้ แยกแยะวัตถุประสงค์ที่แตกต่างผ่านการ กระบวนการอย่างเป็นระบบ การคิดวิเคราะห์เป็นความสามารถแจกแจง แยกส่วนองค์ประกอบ ๒๒ วัฒนาพร ระงับทุกข์, วิธีการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาความรู้และทักษะ, (กรุงเทพฯ : ภาพพิมพ์, ๒๕๔๒), หน้า ๘๙.


๒๘ ออกเป็นส่วนย่อยสามารถตรวจสอบได้ว่าแต่ละส่วนเกี่ยวข้องกันอย่างไร แต่ละส่วนเกี่ยวข้องกับ โครงสร้างใหญ่อย่างไร เป้าหมายในการศึกษา คือ ผู้เรียนจะสามารถแยกแยะข้อเท็จจริงออกจากความ คิดเห็น สนับสนุนข้อสรุปด้วยข้อความขยาย แยกสิ่งที่เกี่ยวข้องออกจากสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องเชื่อมโยง ความคิดเข้าด้วยกันสามารถยกความคิดหลักและรองในงานเขียนต่างๆ ได้ หาหลักฐานที่ช่วยสนับสนุน จุดประสงค์ของผู้เขียนได้ (Anderson & Krathwohl, 2001 ; Reilly & Oermann, 1999) สามารถ แบ่งออกเป็น ๕ องค์ประกอบ๒๓ ได้แก่ ๑) การจำแนกแยกแยะหรือแยกย่อยได้ (differentiating) สามารถแยกแยะความ เกี่ยวข้องและความสำคัญได้ เมื่อต้องการเลือกเอาเฉพาะข้อมูลที่เกี่ยวข้องหรือสำคัญ แตกต่างกับ ความเข้าใจตรงที่ต้องสามารถบอกได้ว่าข้อมูลส่วนน้อยนี้สัมพันธ์กับข้อมูลส่วนที่เหลืออย่างไร ๒) การจัดระบบได้ (organizing) สามารถที่จะรวมทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นการสื่อสาร สถานการณ์หรือการระลึกได้มาไว้อยู่ในโครงสร้างเดียวกัน โดยเมื่อต้องเผชิญกับปัญหาใดปัญหาหนึ่ง สามารถที่จะระบุความสัมพันธ์กันระหว่างส่วนต่างๆ ได้ ๓) การให้เหตุผลได้(atributing) สามารถแสดงให้เห็นถึงความคิดเห็น หรือ จุดประสงค์ที่มากับการสื่อสารต่างๆ ได้ต่างกับการแปลที่ในการแปลเป็นเพียงการทำความเข้าใจ เท่านั้น แต่การให้เหตุผลนั้นมองไปที่จุดประสงค์หลักที่ต้องการสื่อออกมา ๔) การประเมินผล (evaluating) ตัดสิน เลือก การตรวจสอบสิ่งที่ได้จากการเรียน สู่ บริบทของตนเอง ที่สามารถวัดได้ และตัดสินได้ว่าอะไรถูกหรือผิดบนเงื่อนไขและมาตรฐานที่สามารถ ตรวจสอบได้ บนพื้นฐานของเหตุผลและเกณฑ์ที่แน่ชัด ๕) การสร้างสรรค์ (Creating) ใน ระดับสูงสุดของการเรียนรู้ เพื่อให้ได้องค์ประกอบ ของสิ่งที่เรียนรู้ร่วมกัน ด้วยการสังเคราะห์ เพื่อเชื่อมโยง ให้รูปแบบใหม่ของสิ่งที่เรียนรู้หรือโครงสร้าง ของความรู้ที่ผ่านการวางแผน และการสร้างหรือการผลิตอย่างเหมาะสม จากการศึกษาแนวคิดทฤษฎีการคิดวิเคราะห์ สรุปได้ว่า การคิดวิเคราะห์เป็นการคิดที่เป็น ขั้นตอน การคิดวิเคราะห์อาจทำได้จากการรวบรวมข้อมูล การสังเกตการณ์ ประสบการณ์ หลักแห่ง เหตุและผล หรือการสื่อความ การคิดวิเคราะห์ต้องมีพื้นฐานของคุณค่าเชิงพุทธิปัญญาที่สูงเลยไปจาก การเป็นเพียงการแบ่งเนื้อหาที่รวมไปถึงความกระจ่างชัด ความแม่นยำ ความต้องตรงเนื้อหาหลักฐาน ความครบถ้วนและความยุติธรรม ๒๓ เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์, การคิดเชิงวิเคราะห์ (Analytical Thinking), พิมพ์ครั้งที่ ๔, (กรุงเทพฯ : ซัคเซสมีเดีย, ๒๕๔๗), หน้า ๑๘.


๒๙ ๒.๔ แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบ GPAS 5 Steps สถาบันพัฒนาคุณภาพวิชาการ (พว.), (๒๕๖๐) ได้นำกระบวนการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะ กระบวนการคิดขั้นพื้นฐานและการคิดขั้นสูงเชิงระบบแบบ GPAS ที่มีขั้นตอนในการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้ที่ชัดเจนให้เป็นกิจกรรมนลักษณะ Active Learning ผสมผสานกับแนวทางการออกแบบการ เรียนรู้แบบ Backward Design ให้สอดคล้องสัมพันธ์กันสู่เป้าหมายของการเรียนรู้ พัฒนาผู้เรียนให้ คิดเป็น ทำเป็น แก้ปัญหาเป็น มีทักษะการเรียนรู้สำหรับผู้เรียนในศตวรรษที่ ๒๑ โดยเฉพาะทักษะ ด้านการเรียนรู้และนวัตกรรม (Learning and Innovation Skills) ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อครูใน การจัดการเรียนรู้ไปสู่ประเทศไทย ๔.๐ ๒๔ แนวคิดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการคิดชั้นพื้นฐานและการคิดขั้นสูง (GPAS) ตามแนวคิด ทางพุทธศาสนาที่กล่าวถึงปัญญา ๓ ได้แก่ ๑. สุตมยปัญญา ปัญญาที่เกิดจากการสดับรู้ การเล่าเรียน หรือปัญญาที่เกิดจาก ปรโตโฆสะ ๒. จินตามยปัญญา ปัญญาที่เกิดจากการคิดพิจารณาหาเหตุผล หรือ ปัญญาที่เกิดจากโยนิโสมนสิการ และ ๓. ภาวนามยปัญญา ปัญญาที่เกิดจากการฝึกอบรมลงมือปฏิบัติ หรือปัญญาที่เกิดจากการปฏิบัติบำเพ็ญ ซึ่งมีความสัมพันธ์ต่อเนื่องกันจากปัญญาระดับต้นสู่ ระดับกลางและปัญญาระดับสูง๒๕ นักการศึกษาในซีกโลกตะวันตกได้กล่าวถึงแนวคิดโครงสร้าง ๓ ชั้นแห่งปัญญา (Three Story Intellect) ที่ประกอบด้วยการรวบรวมข้อมูล (Gathering) การจัดกระทำข้อมูล (Processing และ การประยุกต์ใช้ข้อมูลความรู้(Applying)๒๖ รวมทั้งแนวคิดการพัฒนาคนให้สามารถกำกับตนเอง (Self-Regulating) ซึ่งช่วยในการพัฒนาตนให้มีความสามารถสูงขึ้นเป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้ (Learing Person) จากแนวคิดที่กล่าวถึง นักการศึกษาได้นำมาสังเคราะห์เป็นโครงสร้างทักษะการคิด GPAS เป็น ๔ ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นที่ ๑ Gathering การรวบรวม คัดเลือกข้อมูล ขั้นที่ ๒ Processing การจัดกระทำข้อมูล ชั้นที่ ๓ Applying การประยุกต์ใช้ความรู้ และขั้นที่ ๔ Self-Regulating การ กำกับตนเอง ๒๔ ชนสิทธิ์ สิทธิ์สูงเนิน, การพัฒนารูปแบบการยกระดับคุณภาพการเรียนการสอนตามแนวคิด GPAS 5 Steps เพื่อเสริมสร้างทักษะการเรียนรู้ระดับปฐมวัย ในยุคไทยแลนด์ 4.0, (ชัยภูมิ : ราชภัฏชัยภูมิ, ๒๕๖๔), หน้า ๑๓๑. ๒๕ พระพรหมคุณาภรณ์, พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม, (กรุงเทพฯ : การศึกษาเพื่อ สันติภาพพระธรรมปิฏก, ๒๕๔๘), หน้า ๙๘. ๒๖ ศศิกานต์ หลวงนุช, การพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์ด้วยการจัดการเรียนรู้GPAS 5 Steps, (กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๖๔), หน้า ๑๙๕.


๓๐ ทักษะการคิดในแต่ละองค์ประกอบของโครงสร้างทักษะการคิดมีทักษะย่อยๆ ที่สำคัญต่อการ นำไปใช้ในการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาผู้เรียน ดังนี้ ๑. ทักษะการคิดระดับการรวบรวมข้อมูล (Gathering Skill : G) ได้แก่ ๑.๑ ทักษะการกำหนดประเด็นในการรวบรวมข้อมูล (Focusing Skill) หมายถึง ความสามารถในการกำหนดขอบเขตการศึกษา และมุ่งความสนใจในทิศทางตามจุดประสงค์ที่ต้องการ ศึกษาให้ชัดเจน เพื่อที่จะได้คัดเลือกเฉพาะข้อมูลที่เกี่ยวข้อง ๑.๒ ทักษะการสังเกตด้วยประสาทสัมผัส (Observing Skill) หมายถึง ความสามารถ ในการรับรู้และรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง โดยใช้ประสาทสัมผัสทั้ง ๕ เพื่อให้ได้รายละเอียด เกี่ยวกับสิ่งนั้น ๆ ซึ่งเป็นข้อมูลเชิงประจักษ์ที่ไม่มีการใช้ประสบการณ์และความคิดเห็นของผู้สังเกตใน การเสนอข้อมูล ข้อมูลจากการสังเกตมีทั้งข้อมูลเชิงปริมาณและข้อมูลเชิงคุณภาพ ๑ .๓ ทั ก ษ ะ ก า ร บ ัน ทึก ข ้อ ม ูล (Encoding & Recording Skill) ห ม า ย ถึง ความสามารถในกระบวนการประมวลข้อมูลของสมอง เมื่อรับสิ่งเร้าจากประสาทสัมผัสทั้ง ๕ จะได้รับ การบันทึกไว้ในความจำระยะสั้น หากต้องการเก็บข้อมูลไว้ใช้ต่อ ๆ ไป ข้อมูลนั้นจะต้องเปลี่ยนรูปโดย การเข้ารหัส (Encoding) เพื่อนำไปเก็บไว้ในความจำระยะยาว ซึ่งจะสามารถเรียกข้อมูลมาใช้ได้ ภายหลังโดยการถอดรหัส (Decoding) ๑.๔ ทักษะการดึงข้อมูลเติมมาใช้และย่อความ (Retrieving & Summarizing Skill) หมายถึง ความสามารถในการนำข้อมูลที่มีอยู่นำกลับมาใช้ใหม่และการจับใจความสำคัญของเรื่องที่ ต้องการสรุป แล้วเรียบเรียงให้กระชับครอบคลุมสาระสำคัญ ๒. ทักษะการคิดระดับการจัดกระทำข้อมูล (Processing Skill : P) ได้แก่ ๒.๑ ทักษะการจำแนก (Discriminating Skill) หมายถึง ความสามารถในการ แยกแยะสิ่งต่าง ๆ ตามมิติที่กำหนด ๒.๒ ทักษะการเปรียบเทียบ (Comparing Skill) หมายถึง ความสามารถในการ ค้นหาความเหมือนหรือความแตกต่างขององค์ประกอบตั้งแต่ ๒ องค์ประกอบขึ้นไป เพื่อใช้ในการ อธิบายเรื่องใดเรื่องหนึ่งในเกณฑ์เดียวกัน ๒.๓ ทักษะการจัดกลุ่ม (Classifying skill) หมายถึง ความสารถในการนำสิ่งต่าง ๆ มาแยกเป็นกลุ่มตามเกณฑ์ที่ได้รับการยอมรับทางวิชาการ หรือการยอมรับโดยทั่วไป ๒.๔ ทักษะการจัดลำดับ (Sequencing kill) หมายถึง ความสามารถในการนำข้อมูล หรือเรื่องราวที่เกิดขึ้นมาจัดเรียงให้เป็นลำดับว่าอะไรมาก่อน อะไรมาทีหลัง ๒.๕ ทักษะการสรุปเชื่อมโยง (Connecing skill) หมายถึง ความสามารถในการบอก


๓๑ ความสัมพันธ์เกี่ยวข้องเชื่อมโยงกันของข้อมูลอย่างมีความหมาย ๒.๖ ทักษะการไตร่ตรองด้วยเหตุผล (Reasoning skill) หมายถึง ความสามารถใน การบอกที่มาของสิ่งใด ๆ หรือเหตุการณ์ใด ๆ หรือสิ่งที่เป็นสาเหตุของพฤติกรรมนั้นได้ ๒.๗ ทักษะการวิจารณ์ (Citicizing Skill) หมายถึง ความสามารถในการท้าทายและ โต้แย้งข้อสมมติฐานที่อยู่เบื้องหลังเหตุผลที่โยงความคิดเหล่านั้น เพื่อเปิดทางสู่แนวความคิดอื่น ๆ ที่ อาจเป็นไปได้ ๒.๘ ทักษะการตรวจสอบ (Verifying Skill) ความสามารถในการยืนยันหรือพิสูจน์ ข้อมูลที่สังเกตรวบรวมมาตามความถูกต้องเป็นจริง ๓. ทักษะการคิดระดับการประยุกต์ใช้ (Applying Skill : A) ได้แก่ ๓.๑ ทักษะการใช้ความรู้อย่างสร้างสรรค์ (Creative Skill) หมายถึง ความสามารถ ในการนำความรู้ที่เกิดจากความเข้าใจไปใช้ในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่หรือแก้ปัญหาที่มีอยู่ให้ดีขึ้น ๓.๒ ทักษะการวิเคราะห์ (Analysis Skill) หมายถึง ความสามารถในการแยกแยะ หลักการ องค์ประกอบสำคัญหรือส่วนย่อย ตลอดจนหาความสัมพันธ์ระหว่างส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ๓.๓ ทักษะการสังเคราะห์ (Synthesis Skill) หมายถึง ความสามารถในการนำ ความรู้ที่ผ่านการวิเคราะห์มาผสมผสานสร้างสิ่งใหม่ที่มีลักษณะต่างจากเดิม ๓.๔ ทักษะการตัดสินใจ (Decision making skill) หมายถึง ความสามารถในการ พิจารณาเลือกทางเลือกตั้งแต่ ๒ ทางเลือกขึ้นไป ทางเลือกหรือตัวเลือกนั้นอาจเป็นวัตถุสิ่งของหรือ แนวปฏิบัติต่าง ๆ เพื่อใช้ในการแก้ปัญหาหรือดำเนินการ เพื่อให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ ๓.๕ ทักษะการนำความรู้ไปปรับใช้ (Transfering Skill) หมายถึง ความสามารถใน การถ่ายโอนความรู้ที่มีอยู่ไปปรับใช้ในสถานการณ์อื่น ๓.๖ ทักษะการแก้ปัญหา (Problem solving Skill) หมายถึง ความสามารถในการ วิเคราะห์สถานการณ์ที่ยากเพื่อจุดประสงค์ในการแก้ไขสถานการณ์ หรือขจัดให้ปัญหานั้นหมดไป นำไปสู่ภาวะที่ดีกว่าหรือมีทางออก ๓.๗ ทักษะการคิดวิเคราะห์วิจารณ์ (Critical thinking Skill) หมายถึง ความสามารถ ในการพิจารณา ประเมิน และตัดสินสิ่งต่าง ๆ หรือเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่มีข้อสงสัยหรือข้อโต้แย้ง โดย การพยายามแสวงหาคำตอบที่มีความสมเหตุสมผล ๓.๘ ทักษะการคิดสร้างสรรค์ (Creative thinking Skill) หมายถึง ความสามารถใน การคิดได้อย่างกว้างไกล หลายทิศทางอย่างเป็นกระบวนการ โดยใช้จินตนาการที่หลากหลายเพื่อ ก่อให้เกิดความแปลกใหม่ในการสร้าง ผลิต ดัดแปลงงานต่าง ๆ ซึ่งจะต้องเชื่อมโยงระหว่าง


๓๒ ประสบการณ์เก่ากับประสบการณ์ใหม่ ความคิดสร้างสรรค์จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อผู้ติดมีอิสระทาง ความคิด ๔. ทักษะการคิดระดับการกำกับตนเอง (Self-Regulating Skill : S) ได้แก่ ๔.๑ ทักษะการตรวจสอบและควบคุมการคิด (Meta-cognition Skill) หมายถึง การ ที่บุคคลรู้และเข้าใจถึงความคิดของตนเอง ไตร่ตรองก่อนกระทำอะไรอย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นการ ประเมินการคิดของตนเองและใช้ความรู้นั้นในการควบคุมหรือปรับการกระทำของตนเอง ซึ่ง ครอบคลุมถึงการวางแผนการควบคุมกำกับการกระทำของตนเอง การตรวจสอบความก้าวหน้าและ การประเมินผล ๔.๒ ทักษะการสร้างค่านิยมการคิด (Thinking value Skill) หมายถึง ความสามารถ ในการคิดเพื่อประโยขน์ในระตับต่าง ๆ ได้แก่ เพื่อประโยชน์ตน กลุ่มตน เพื่อสังคมและเพื่อประโยชน์ ของกลุ่ม เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและโลกทุกองค์ประกอบ ๔.๓ ทักษะการสร้างนิสัยการคิด (Thinking disposition Skill) หมายถึง ลักษณะเฉพาะของการกระทำของคนที่มีสติปัญญา เมื่อเผชิญหน้ากับปัญหาการตัดสินใจที่จะ แก้ปัญหา จะไม่กระทำทันทีทันใดก่อนที่จะมีข้อมูลหลักฐานชัดเจนเพียงพอ เป็นนิสัยแห่งการคิด คือ รู้ว่าจะใช้ปัญญาทำอย่างไรในการหาคำตอบ นอกจากทักษะกระบวนการคิด GPAS ที่กล่าวถึงข้างต้นแล้ว โครงการโรงเรียน มาตรฐานสากลได้ปรับปรุงรูปแบบการจัดการเรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียนมีคุณลักษณะ และศักยภาพความ เป็นสากลโดยจัดเป็นหลักสูตรการศึกษาคันคว้าด้วยตนเอง (Independent Study: IS) แบ่งเป็น ๓ สาระดังนี้ S ๑. การศึกษาค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้ (Research and Knowledge Formulation) S ๒. การสื่อสารและการนำเสนอ (Communication and Presentation) S ๓. การนำองค์ความรู้ไปใช้บริการสังคม (Social Service Activity) การจัดการเรียนการสอนเพื่อให้ผู้เรียนมีคุณลักษณะและศักยภาพความเป็นสากลเป็นบุคคลที่ มีคุณภาพ มีทักษะในการคันคว้าแสวงหาความรู้และมีความรู้พื้นฐานที่จำเป็นสามารถคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ สร้างสรรค์ สามารถสื่อสารอย่างมีประสิทธิผล มีทักษะชีวิตร่วมมือใน การทำงานกับผู้อื่น ไต้เป็นอย่างดี จะต้องมีกระบวนการจัดการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง มีลำดับขั้นตอนที่เหมาะสมและ สอดคล้องกับพัฒนาการของผู้เรียนในแต่ละระดับขั้น โดยมีกระบวนการสำคัญในการจัดการเรียนรู้ เรียกว่า บันได ๕ ขั้น ของการพัฒนาผู้เรียนสู่มาตรฐานสากล (Five steps for


๓๓ student development)๒๗ ได้แก่ ๑. การตั้งคำถาม/สมมุติฐาน (Hypothesis Formulation) เป็นการฝึกให้ผู้เรียน รู้จักคิด สังเกต ตั้งคำถามอย่างมีเหตุผลและสร้างสรรค์ ซึ่งจะส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ในการตั้ง คำถาม (Learning to Question) ๒. การสืบค้นความรู้และสารสนเทศ (Searching for Information) เป็นการฝึก แสวงหาความรู้ข้อมูลและสารสนทศจากแหล่งเรียนรู้อย่างหลากหลาย เช่น ห้องสมุด อินเทอร์เน็ต หรือจากการฝึกปฏิบัติทดลอง ซึ่งจะส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ในการแสวงหาความรู้ (Learning to Search) ๓. การสร้างองค์ความรู้ (Knowledge Formation) เป็นการฝึกให้ผู้เรียนนำความรู้ และสารสนเทศที่ได้จากการแสวงหาความรู้มาอภิปราย เพื่อนำไปสู่การสรุปและสร้างองค์ความรู้ (Learning to Construct) ๔. การสื่อสารและนำเสนออย่างมีประสิทธิภาพ (Effective Communication) เป็น การฝึกให้ผู้เรียนนำความรู้ที่ได้มาสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ และมีทักษะในการสื่อสาร (Learning to Communication) ๕. การบริการสังคมและจิตสาธารณะ (Public Service) เป็นการนำความรู้สู่การ ปฏิบัติ ซึ่งผู้เรียนจะต้องเชื่อมโยงความรู้ไปสู่การทำประโยชน์ให้กับสังคมและชุมชนรอบตัวตามวุฒิ ภาวะของผู้เรียน และจะส่งผลให้ผู้เรียนมีจิตสาธารณะและบริการสังคม (Learning to Serve) จากแนวคิดการพัฒนาทักษะการคิด GPAS และการเรียนรู้ด้วยตนเอง IS ๕ Steps ที่กล่าวถึง ข้างต้น สถาบันพัฒนาคุณภาพวิชาการ (พว.) ได้นำมาสังเคราะห์หลอมรวมเป็นการจัดเป็น กระบวนการเรียนรู้ที่พัฒนาทักษะการคิดเน้นผู้เรียน สร้างความรู้ ใช้ความรู้ผลิตผลงาน เป็น กระบวนการเรียนรู้แบบ GPAS ๕ Steps กล่าวคือ ๑. ขั้นสังเกต รวบรวมข้อมูล (Gathering) เริ่มจากคำถามเพื่อกระตุ้นผู้เรียนให้สังเกต สงสัย กระตุ้นความสนใจ ตระหนักในปัญหา ตั้งสมมุติฐาน ตั้งข้อสงสัยเพื่อรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องมา คัดเลือกและจัดเก็บเพื่อนำไปสู่การกระทำให้เกิดความหมายต่อไป ๒. ขั้นคิดวิเคราะห์และสรุปความรู้ (Processing) เป็นการจัดกระทำข้อมูล โดยใช้แผนภาพ ความคิดมาช่วยจัดความคิดให้เป็นระบบ เช่น การจำแนก การจัดกลุ่ม จัดลำตับ เปรียบเทียบ ๒๗ นรรัชต์ ฝันเชียร, การเรียนแบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้นตอน (The 5 E’s of Inquiry-Based Learning) , [ออนไลน์], (๒๕๖๔), แหล่งที่มา : https://www.trueplookpanya.com/dhamma/content/82385. สืบค้นเมื่อ : ๒๗ มกราคม ๒๕๖๖.


๓๔ เชื่อมโยงสัมพันธ์ และเชื่อมโยงสู่โครงสร้างความดี คุณธรรม จริยธรรม และคำนิยมเชิงบวก นำไปสู่ การออกแบบ สร้างทางเสือก ตัดสินใจ และวางแผนขั้นตอนการปฏิบัติงานที่มีประสิทธิภาพ เพื่อ นำไปสู่ความสำเร็จ ๓. ขั้นปฏิบัติและสรุปความรู้หลังการปฏิบัติ ( Applying and Constructing the Knowledge) เขียนขั้นตอนการปฏิบัติงาน และลงมือทำจริง โดยมีการตรวจสอบเพื่อแก้ปัญหาหรือ พัฒนาให้เกิดผลดีกว่าเดิมในแต่ละขั้นตอน สรุปเป็นความรู้ ความคิดรวบยอด แบบแผนหลักการ และ นำกระบวนการ ทักษะ และหลักการไปขยายความรู้สู่ท้องถิ่นและสังคมที่กว้างไกลออกไปจนถึงระดับ โลก ๔. ขั้นสื่อสารและนำเสนอ (Applying the Communication Skill) นำร่องรอยการคิด การ คิดสร้างสรรค์ที่หลอมรวมคุณธรรม ค่านิยมเชิงบวก ร่องรอยการทำงาน การแก้ปัญหา จนเกิดผลงาน ที่มีคุณภาพกว่างเดิม มีคุณค่ามากกว่าเดิม จนสามารถสรุปเป็นหลักการ นำเสนอเป็นรายงาน การ อภิปราย การบรรยายเอกสารเผยแพร่ จัดทำเป็น Video Presentation หรือเผยแพร่ผ่าน Website ๕. ขั้นประเมินเพื่อเพิ่มคุณค่าบริการสังคมและจิตสาธารณะ (Self-Regulating) เป็นการ พัฒนาการประเมินเชิงระบบเพื่อให้เห็นจุดอ่อนจุดแข็งของกลไก ทีมงานและตนเอง เพื่อปรับปรุง แก้ไข และปรับเพิ่มคุณค่าด้านคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่จะขยายประโยชน์ คุณค่าให้ถึงสังคม ทุกมิติ ทั้งเศรษฐกิจ สังคม ความเป็นพลเมือง ความเป็นพลโลก สิ่งแวดล้อม โลก จนตกผลึกเป็นตัวตน กลายเป็นบุคลิก มีเหตุผล รักษ์สิ่งแวดล้อม สังคม ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ตรงตามสมรรถะ สำคัญ คุณลักษณะอันพึงประสงค์ และตัวชี้วัด ครอบครุมทั้งพลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ หลักสูตรโรงเรียนมาตรฐานสากล และความเป็นพลโลกในศตวรรษที่ ๒๑ อย่าง สมบูรณ์ จากการศึกษาสรุปได้ว่า การจัดการเรียนการสอนตามแนวคิด GPAS 5 Steps เป็นแนวคิด การเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการคิดขั้นพื้นฐานและการคิดขั้นสูง (GPAS) ตามแนวคิดทางพุทธศาสนาที่ กล่าวถึงปัญญา ๓ ได้แก่ ๑. สุตมยปัญญา ปัญญาที่เกิดจากการสดับรู้ การเล่าเรียน หรือปัญญาที่เกิด จากปรโตโฆสะ ๒. จินตามยปัญญา ปัญญาที่เกิดจากการคิดพิจารณาหาเหตุผล หรือปัญญาที่เกิดจาก โยนิโสมนสิการ และ ๓. ภาวนามยปัญญา ปัญญาที่เกิดจากการฝึกอบรมลงมือปฏิบัติ หรือปัญญาที่ เกิดจากการปฏิบัติบำเพ็ญ ซึ่งมีความสัมพันธ์ต่อเนื่องกันจากปัญญาระดับต้นสู่ระดับกลางและปัญญา ระดับสูง


๓๕ ๒.๕ แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ๒.๕.๑ ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน กระทรวงศึกษาธิการ๒๘ ได้บัญญัติความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไว้ใน หนังสือประมวลศัพท์บัญญัติการศึกษาว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความสำเร็จหรือ ความสามารถในการกระทำใดๆ ที่ต้องอาศัยทักษะหรือมิฉะนั้นก็ต้องอาศัยความรอบรู้ในวิชาใดวิชา หนึ่งโดยเฉพาะ ไพศาล หวังพานิช ๒๙ ได้ให้ความหมายไว้ว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง คุณลักษณะและความสามารถของบุคคลอันเกิดจากการเรียนการสอน เป็นการแลกเปลี่ยนแปลง พฤติกรรมและประสบการณ์การเรียนรู้ที่เกิดจากการฝึกฝน อบรม หรือการเรียนรู้การสอน และการ วัดผลสัมฤทธิ์เป็นการตรวจสอบความสามารถหรือความสัมฤทธิ์ผลของบุคคลว่าเรียนรู้แล้วเท่าใด มี ความสามารถชนิดใด ขวาล แพรัตนกุล๓๐ ได้ให้ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไว้ว่า ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน เป็นสมรรถภาพของสมองในด้านต่าง ๆ ที่นักเรียนได้รับจากประสบการณ์ทั้งทางตรง และทางอ้อมจากครู ซึ่งสามารถวัดได้จากการตอบแบบสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ผู้ตอบได้คะแนนมากคือผู้ที่ มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูง ส่วนผู้ตอบได้คะแนนน้อย ถือว่าได้มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำ อารมณ์ เพชรชื่น๓๑ ได้ให้ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไว้ว่า ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนหมายถึง ผลที่เกิดขึ้นจากการเรียนการสอน การฝึกฝนหรือประสบการณ์ต่าง ๆ ทั้งที่ โรงเรียนที่บ้าน และสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ จากการศึกษาความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สามารถสรุปได้ว่า ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน หมายถึง ความรู้ ความเข้าใจ ทักษะ และทัศนคติของนักเรียนอันเกิดจากการเรียนรู้ เรื่องใดเรื่องหนึ่งซึ่งอาจวัดได้จากการทดสอบหรือวิธีการอื่นในระหว่างหรือหลังการจัดกิจกรรมการ เรียนการสอนออกมาเป็นคะแนนจากการได้ศึกษาเล่าเรียนวิชาต่าง ๆ เรียบร้อยแล้วอันเป็น ๒๘ กระทรวงศึกษาธิการ, เอกสารประกอบหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ แนวปฏิบัติการวัดและประเมินผลการเรียนรู้, ( กรุงเทพฯ : ชุมชนสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย, ๒๕๕๒), หน้า ๕. ๒๙ ไพศาล หวังพานิช, การวัดผลการศึกษา, ( กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพานิช, ๒๕๕๙), หน้า ๑๑. ๓๐ ชวาล แพรัตนกุล, เทคนิคการวัดผล, (กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพานิช, ๒๕๕๒), หน้า ๖. ๓๑ อารมณ์ เพชรชื่น, เทคนิคการวัดและประเมินผลการศึกษาระดับประถมศึกษา, ( กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวีโรฒ, ๒๕๕๗), หน้า ๑๓.


๓๖ กระบวนการต่าง ๆ ที่ผู้สอนกำหนดขึ้น นอกจากผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจะบอกคุณภาพของนักเรียน แล้วยังแสดงให้เห็นคุณภาพของหลักสูตรที่ใช้สอน ๒.๕.๒ ความสำคัญของการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สมหวัง พิธิยานุวัฒน์๓๒ กล่าวถึงความสำคัญของการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ดังนี้ ๑. เพื่อวินิจฉัยความรู้ความสามารถ ทักษะและกระบวนการ เจตคติ คุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม ของผู้เรียนและเพื่อส่งเสริมผู้เรียนให้พัฒนาความรู้ความสามารถและ ทักษะได้เต็มตามศักยภาพ ๒. เพื่อใช้เป็นข้อมูลป้อนกลับให้แก่ตัวผู้เรียนเองว่าบรรลุตามมาตรฐานการ เรียนรู้เพียงใด ๓. เพื่อใช้เป็นข้อมูลสรุปผลการเรียนรู้และเปรียบเทียบถึงระดับพัฒนาการ การเรียนรู้ ภัทรา นิคมานนท์๓๓ ได้จำแนกความสำคัญของการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเพื่อ พัฒนานักเรียนให้มีคุณภาพเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมด้านสติปัญญาหรือการเปลี่ยนแปลง พฤติกรรมด้านพุทธพิสัย ความสามารถแบ่งออกเป็น ๖ ระดับ ได้แก่ ๑. ความรู้ ความจำ คือการระลึกถึงเรื่องราวที่เคยมีประสบการณ์มาก่อน จะโดยวิธีใดก็ตาม เช่น จากการเรียนในห้องเรียน ฟังวิทยุ ดูโทรทัศน์ เป็นต้น พฤติกรรมด้านความรู้ ความจำ ยังจำแนกได้อีก ๓ ลักษณะใหญ่ๆ คือ ความรู้เฉพาะเรื่อง ความรู้ในการดำเนินการและ ความรู้จากความคิดรวบยอด ๒. ความเข้าใจ คือความสามารถในการขั้นสติปัญญาที่เป็นผลมาจากการนำ ความรู้และประสบการณ์จากขั้นที่หนึ่งมาผสมผสานจนกลายเป็นความรู้ชนิดใหม่ แบ่งออกเป็น ๓ ลักษณะ คือการแปลความ ตีความ และการขยายความ ๓. การนำไปใช้ คือความสามารถในการนำความรู้ ความเข้าใจในเรื่องที่ เรียนรู้มาแล้วไปแก้ปัญหาที่แปลกใหม่หรือสถานการณ์ใหม่ที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน ๔. การวิเคราะห์ คือความสามารถในการนำองค์ประกอบย่อยต่างๆ ทำให้ มองเห็นความสัมพันธ์กันได้อย่างชัดเจน สามารถค้นหาความจริงที่ซ่อนแฝงอยู่ในเรื่องนั้นๆ โดย ๓๒ สมหวัง พิธิยานุวัฒน์, วิทยากรการประเมินทางการศึกษา, ( กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๕๖), หน้า ๒๔. ๓๓ ภัทรา นิคมานนท์, การประเมินผลการเรียน, ( กรุงเทพฯ : ทิพยวิสุทธ์, ๒๕๕๓), หน้า ๑๘.


๓๗ วิเคราะห์ลักษณะ ได้แก่ การวิเคราะห์ความสำคัญ การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ และการวิเคราะห์ ข้อความ ๕. การสังเคราะห์ คือ ความสามารถในการนำองค์ประกอบย่อยต่างๆ ตั้งแต่ ๒ สิ่งขึ้นไปมารวมเป็นเรื่องราวเดียวกันเพื่อให้เห็นโครงสร้างที่ชัดเจน ซึ่งเป็นผลลัพธ์ใหม่ มี คุณค่าต่อการสังเคราะห์ ๓ ประการ คือการสังเคราะห์ข้อความ การสังเคราะห์แผนงาน และการ สังเคราะห์ความสัมพันธ์ ๖. การประเมินค่า คือความสามารถในการตัดสินเกี่ยวกับคุณค่าของเนื้อหา และวิธีการต่างๆโดยมีการสรุปอย่างมีหลักเกณฑ์ว่าเหมาะสม มีคุณค่า ดี ไม่ดีการประเมินค่าต้อง อาศัยเกณฑ์ประกอบการตัดสินใจ การประมินค่ามี ๒ ระดับ คือ การตัดสินใจโดยอาศัยข้อเท็จจริง และการตัดสินใจโดยอาศัยเกณฑ์ภายนอกเป็นเกณฑ์ที่ไม่ได้ปรากฏตามเนื้อหานั้นๆ จากการศึกษาความสำคัญของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สามารถสรุปได้ว่า ความสำคัญของการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เป็นการวัดพฤติกรรมด้านความรู้ ความสามารถของ ผู้เรียนในด้านความรู้ ความจำ ความเข้าใจ การนำไปใช้ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ และการ ประเมินค่า และเปรียบเทียบถึงระดับพัฒนาการของการเรียนรู้ของผู้เรียน ๒.๖ แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับความพึงพอใจ ๒.๖.๑ ความหมายของความพึงพอใจ กาญจนา อรุณสอนศรี๓๔ ได้กล่าวไว้ว่า ความพึงพอใจ หมายถึง การแสดงออกทาง พฤติกรรมของมนุษย์เป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้และไม่สามารถมองเห็นเป็นรูปร่างได้ การที่เราจะทราบว่า บุคคลมีความพึงพอใจหรือไม่ สามารถทราบได้จากการสังเกตพฤติกรรม สีหน้า กริยาท่าทางของ บุคคลนั้นๆ ๓๔ กาญจนา อรุณสอนศรี, ความพึงพอใจของสมาชิกสหกรณ์ต่อการดำเนินงานของสหกรณ์การเกษตร ไขยปราการจำกัด อำเภอชัยปราการ จังหวัดเขียงใหม่, วิทยานิพนธ์, (เชียงใหม่ : มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, ๒๕๕๖), หน้า ๑๒.


๓๘ สนิท เหลืองบุตรนาค๓๕ ได้ให้ความหมาย ความพึงพอใจ หมายถึง ท่าทีความรู้สึก ความคิดเห็น ที่มีผลต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ภายหลังจากที่ได้รับประสบการณ์ในสิ่งนั้นมาแล้วในลักษณะ ทางบวกคือ พอใจ นิยม ชอบ สนับสนุนหรือมีเจตคติที่ดีต่อบุคคล เมื่อรับตอบสนองความต้องการ ในทางเดียวกัน หากไม่ได้รับการตอบสนองความต้องการจะเกิดความไม่พอใจเกิดขึ้น คณิต ดวงหัสดี๓๖ ให้ความหมายไว้ว่า เป็นความรู้สึกชอบ หรือพอใจของบุคคลที่มี ต่อการทำงานและองค์ประกอบหรือสิ่งจูงใจอื่นๆ ถ้างานที่ทำหรือองค์ประกอบเหล่านั้นตอบสนอง ความต้องการของบุคคลได้บุคคลนั้น จะเกิดความพึงพอใจในงานขึ้นจะอุทิศเวลาแรงกายแรงใจรวมทั้ง สติปัญญาให้แก่งานของตนให้บรรลุวัตถุประสงค์อย่างมีคุณภาพ จากการศึกษาความหมายของความพึงพอใจข้างต้น สามารถสรุปได้ว่า ความพึง พอใจหมายถึง ความรู้สึกที่เป็นการยอมรับความรู้สึกชอบ ความรู้สึกที่ยินตีกับการยอมรับ ความรู้สึก ชอบความรู้สึกที่ยินดีกับการปฏิบัติงาน ทั้งการให้บริการ และการรับบริการในทุกสถานการณ์ทุก สถานที่ ๒.๖.๒ การวัดความพึงพอใจ ภณิดา ชัยปัญญา๓๗ ได้ให้ทรรศนะเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า ความพึงพอใจเป็นนามธรรม เป็นการแสดงออกค่อนข้างซับซ้อน จึงเป็นการยากที่จะวัดได้โดยตรงแต่เราสามารถที่จะวัดได้โดยอ้อม โดยวัดความคิดเห็นของบุคคลเหล่านั้นแทน ฉะนั้นการวัดความพึงพอใจก็มีขอบเขตที่จำกัดด้วย อาจมี ความคลาดเคลื่อนขึ้นถ้าบุคคลเหล่านั้นแสดงความคิดเห็นไม่ตรงกับความรู้สึกที่แท้จริง ซึ่งความคลาด เคลื่อนเหล่านี้ย่อมเกิดขึ้นได้เป็นธรรมดาของการวัดโดยทั่ว ๆ ไป และการวัดความพึงพอใจนั้นสามารถ ทำไต้หลายวิธี ดังนี้ ๑. การใช้แบบสอบถาม โดยผู้ออกแบบสอบถาม ต้องการทราบความคิดเห็นซึ่ง สามารถที่จะกระทำได้ในลักษณะกำหนดคำตอบให้เลือกหรือตอบคำถามอิสระ คำถามดังกล่าวอาจ ถามความพอใจในต้านต่างๆ เพื่อให้ผู้ตอบทุกคนมาเป็นแบบแผนเดียวกัน มักใช้ในกรณีที่ต้องการ ๓๕ สนิท เหลืองบุตรนาค, ความพึงพอใจของนักศึกษาโรงการฝึกอบรมครูบุคลากรทางการศึกษา ประจำการระดับปริญญาตรี ครุศาสตรบัณฑิต วิชาเอกเกษตรศาสตร์ ที่มีผลต่อการเรียนวิชาขยายพันธุ์พืช ของสหวิทยาลัยในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ, วิทยานิพนธ์, (กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, ๒๕๕๙), หน้า ๑๘. ๓๖ คณิต ดวงหัสดี, สุขภาพจิตกับความพี่งพอใจในงานของข้าราชการตำรวจขั้นประทวนในเขตเมือง และเขตชนบทของจังหวัดขอนแก่น, วิทยานิพนธ์, (ขอนแก่น : มหาวิทยาลัยขอนแก่น, ๒๕๕๗), หน้า ๒๘. ๓๗ ภณิดา ชัยปัญญา, กา ร ว ั ดคว ามพ ึงพ อใ จ, [อ อ นไ ล น์], (๒๕๔๑), แหล่งที่มา : http://maitree3.blogspot.com/2011/03/blog-post. สืบค้นเมื่อ ๒๙ มกราคม ๒๕๖๖.


๓๙ ข้อมูลกลุ่มตัวอย่างมากๆ วิธีนี้นับเป็นวิธีที่นิยมใช้กันมากที่สุดในการวัดทัศนคติ รูปแบบของ แบบสอบถามจะใช้มาตรการวัดทัศนติ ซึ่งที่นิยมใช้ในปัจจุบันวิธีหนึ่ง คือ มาตราส่วนแบบลิเคิร์ท ประกอบด้วยข้อความที่แสดงถึงทัศนติของบุคคลที่มีต่อสิ่งเร้าอย่างใดอย่างหนึ่งที่มีคำตอบที่แสดงถึง ระดับความรู้สึก ๕ คำตอบ เช่น มากที่สุด มาก ปานกลาง น้อย น้อยที่สุด ๒. การสัมภาษณ์ เป็นวิธีการที่ผู้วิจัยจะต้องออกไปสอบถามโดยการพูดคุย โดยมีการ เตรียมแผนงานล่วงหน้า เพื่อให้ได้ข้อมูลที่เป็นจริงมากที่สุด ๓. การสังเกต เป็นวิธีวัดความพึงพอใจ โดยการสังเกตพฤติกรรมของบุคคลเป้าหมาย ไม่ว่าจะแสดงออกจากการพูดจา กริยา ท่าทาง วิธีนี้ต้องอาศัยการกระทำอย่างจริงจังและสังเกตอย่าง มีระเบียบ แบบแผน วิธีนี้เป็นวิธีการศึกษาที่เก่าแก่และยังเป็นที่นิยมใช้อย่างแพร่หลายจนถึงปัจจุบัน จากการศึกษาการวัดความพึงพอใจข้างต้น สามารถสรุปได้ว่า การวัดความพึงพอใจ เป็นการบอกถึงความขอบของบุคคลที่มีต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใด ซึ่งสามารถวัดได้หลายวิธีการสัมภาษณ์ การใช้ แบบสอบถามความคิดเห็น การใช้แบบสำรวจความรู้สึก ๒.๖.๓ การสร้างแบบสอบถามวัดความพึงพอใจ พิสณุ ฟองศรี๓๘ กล่าวถึง แบบสอบถามความพึงพอใจจะมีโครงสร้างสำคัญ ๓ ส่วน คือ ส่วนที่เป็นคำชี้แจง ส่วนที่เป็นข้อมูลผู้ตอบ และส่วนที่เป็นเนื้อหา แบบสอบถามเป็น ๒ แบบ คือ ๑) แบบปลายเปิด เป็นแบบที่ไม่กำหนดตายตัว ผู้ตอบตอบได้อย่างเสรีโดย จะเว้นช่องว่างมาให้ ข้อดีคืออาจได้มุมมองใหม่ๆ ข้อเสียคือในทางปฏิบัติผู้ตอบจะไม่ค่อยตอบหรือ ตอบไม่เข้าประเด็น และวิเคราะห์ยาก ๒) แบบปลายปิด เป็นแบบที่ให้เลือกตอบหรือเติมคำสั้นๆ หรือให้ เรียงลำดับความสำคัญ เป็นต้น ข้อดีคือได้ข้อมูลเป็นระบบ วิเคราะห์ง่าย แต่จะไม่ได้มุมมองใหม่ๆ จาก กรอบที่กำหนดการใช้ภาษาของผู้ตอบด้วย สาโรช ไสยสมบัติ๓๙ ได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับเกี่ยวกับหลักการสร้างแบบสอบถามวัด ความพึงพอใจโดยแบ่งเป็นส่วนๆ ดังนี้ ๑. เกี่ยวกับการสร้างคำถาม ควรยึดเกณฑ์ดังนี้ ๑) คำถามที่ใช้ต้องชัดเจน แม่นยำ ไม่มีความหมายคลุมเครือ ศัพท์ ที่ใช้ควรเข้าใจง่าย ๓๘ พิสณุ ฟองศรี, การสร้างและพัฒนาเครื่องมือวิจัย, (กรุงเทพฯ : ต้นแก้ว, ๒๕๕๗), หน้า ๕๘. ๓๙ สาโรช ไสยสมบัติ, การวัดความพึงพอใจ, (กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพาณิช, ๒๕๕๓), หน้า ๔๖.


Click to View FlipBook Version