The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

17-นางสาวธีรนุช สุดส-การพัฒนาสื่อการสอนวิชาพระพุทธศาสนาด้วยโปรแกรม canva

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by social study, 2023-05-31 03:28:25

17-นางสาวธีรนุช สุดส-การพัฒนาสื่อการสอนวิชาพระพุทธศาสนาด้วยโปรแกรม canva

17-นางสาวธีรนุช สุดส-การพัฒนาสื่อการสอนวิชาพระพุทธศาสนาด้วยโปรแกรม canva

รายงานศึกษาอิสระทางสังคมศึกษา เรื่อง การพัฒนาสื่อการสอนวิชาพระพุทธศาสนา ด้วยโปรแกรม Canva เรื่อง วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ โรงเรียนโคกสีพิทยาสรรพ์ โดยใช้กระบวนการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (๕E) โดย นางสาวธีรนุช สุดสา รหัส ๖๒๐๕๕๐๒๐๑๖ งานวิจัยเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชา (๒๐๓ ๔๑๔) การศึกษาอิสระทางสังคมศึกษา ภาคเรียนที่ ๒ ปีการศึกษา ๒๕๖๕ ตามหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น


ข แบบอนุมัติผลงานวิจัย ด้วยสาขาวิชาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น อนุมัติให้นับการวิจัยเรื่อง การพัฒนาสื่อการสอนวิชาพระพุทธศาสนา ด้วย โปรแกรม Canva เรื่อง วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ โรงเรียนโคกสีพิทยาสรรพ์ โดยใช้กระบวนการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้(๕E) นี้ ดำเนินการวิจัยโดย ชื่อ..นางสาวธีรนุช.....ฉายา/นามสกุล....สุดสา........รหัส...๖๒๐๕๕๐๒๐๑๖... ให้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาภาคปฏิบัติของรายวิชาการศึกษาอิสระทางสังคมศึกษา จำนวน ๓ หน่วยกิต ตามหลักสูตรปริญญาครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ ประจำภาคเรียนที่...๒....ปีการศึกษา.....๒๕๖๕...... ลงชื่อ………..…………….…….………………………ผู้วิจัย (.............................................................) ……….……/………..………./……………… คณะกรรมการพิจารณา/ประเมิน ลงชื่อ…………………………….………..................อาจารย์/อาจารย์ที่ปรึกษา (............................................................) …………../….………../……………… .ลงชื่อ………………..………...……...................อาจารย์/กรรมการ (........................................................) …………/…….…………./……………… ลงชื่อ………………..………...……...................อาจารย์/กรรมการ (........................................................) …………/…….…………./……………… ลงชื่อ………………..………...……...................อาจารย์/กรรมการ (........................................................) …………/…….…………./……………… ลงชื่อ………………..………...……...................อาจารย์/กรรมการ (........................................................) …………/…….…………./……………… ลงชื่อ………………..……………..…….................ประธานหลักสูตร/ประธานกรรมการ (ผู้ช่วยศาสตราจารย์อนุสรณ์ นามทะราช) …………/…………..……./………………


ก หัวข้อการวิจัย : การพัฒนาสื่อการสอนวิชาพระพุทธศาสนา ด้วยโปรแกรม Canva เรื่อง วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ โรงเรียนโคกสีพิทยาสรรพ์ โดยใช้กระบวนการเรียนรู้แบบสืบเสาะหา ความรู้(๕E) ผู้วิจัย : นางสาวธีรนุช สุดสา วิชาเอก : สังคมศึกษา อาจารย์ที่ปรึกษา : อาจารย์พันทิวา ทับภูมี ปีการศึกษา : ๒๕๖๕ บทคัดย่อ การพัฒนาสื่อการสอนวิชาพระพุทธศาสนา ด้วยโปรแกรม Canva เรื่อง วันสำคัญทาง พระพุทธศาสนา สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ โรงเรียนโคกสีพิทยาสรรพ์ โดยใช้กระบวนการ เรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้(๕E) มีวัตถุประสงค์ ๑) เพื่อพัฒนาสื่อการสอนวิชาพระพุทธศาสนา ด้วยโปรแกรม Canva เรื่อง วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ โรงเรียนโคกสีพิทยาสรรพ์ ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ ๘๐/๘๐ ๒) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนวิชาพระพุทธศาสนา ก่อนเรียนและหลังเรียน ด้วยโปรแกรม Canva โดยใช้กระบวนการ เรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (๕E) เรื่อง วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ ๔ โรงเรียนโคกสีพิทยาสรรพ์และ ๓) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ ที่ มีต่อสื่อการสอนวิชาพระพุทธศาสนา ด้วยโปรแกรม Canva โดยการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการ เรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (๕E) กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔/๑ ที่กำลังศึกษาใน ภาคเรียนที่ ๒ ปีการศึกษา ๒๕๖๕ โรงเรียนโคกสีพิทยาสรรพ์ อำเภอเมือง จังหวัด ขอนแก่น สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต ๒๕ จำนวน ๒๓ คน โดยการกำหนดแบบ เจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ สื่อการสอนวิชาพระพุทธศาสนา โปรแกรม Canva เรื่อง วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ โรงเรียนโคกสีพิทยาสรรพ์โดยใช้ กระบวนการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (๕E) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนแบบทดสอบ ระหว่างเรียน และแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาพระพุทธศาสนา เรื่อง วันสำคัญทาง พระพุทธศาสนา สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ใช้สูตร (E๑⁄E๒) และใช้สูตร t – test for dependent samples


ข ผลการวิจัยพบว่า ๑. การพัฒนาสื่อการสอนวิชาพระพุทธศาสนา ด้วยโปรแกรม Canva เรื่อง วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ โรงเรียนโคกสีพิทยาสรรพ์ ให้มี ประสิทธิภาพตามเกณฑ์ ๘๐/๘๐ พบว่า ค่าประสิทธิภาพของการจัดการเรียนรู้โดยใช้สื่อการสอนวิชา พระพุทธศาสนา โปรแกรม Canva เรื่อง วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา มีคะแนนเฉลี่ยร้อยละของ คะแนนระหว่างเรียน และคะแนนสอบหลังเรียน เท่ากับ ๘๕.๗๔/๘๓.๗๐ เมื่อเทียบกับเกณฑ์ ๘๐/๘๐ ที่กำหนดไว้ ปรากฏว่าสื่อการสอนวิชาพระพุทธศาสนา โปรแกรม Canva เรื่อง วันสำคัญทาง พระพุทธศาสนา ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ ๒. การเพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาพระพุทธศาสนา ก่อนเรียนและ หลังเรียน ด้วยโปรแกรม Canva โดยใช้กระบวนการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (๕E) เรื่อง วัน สำคัญทางพระพุทธศาสนา ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ โรงเรียนโคกสีพิทยาสรรพ์พบว่า คะแนนผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนกลุ่มทดลองก่อนเรียน มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ ๑๐.๘๓ มีส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน เท่ากับ ๑.๕๓ และคะแนนผลสัมฤทธิ์หลังเรียน มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ ๑๖.๗๕ มีส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน เท่ากับ ๑.๒๙ และเมื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ก่อนและหลังเรียน โดยใช้สถิติทดสอบ t (t – test for dependent samples) พบว่า คะแนนผลสัมฤทธิ์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน ๓. การศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ ที่มีต่อสื่อการสอน วิชาพระพุทธศาสนา ด้วยโปรแกรม Canva โดยการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการเรียนรู้แบบสืบ เสาะหาความรู้ (๕E) พบว่า ผลการวิเคราะห์ความพึงพอใจที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วย โปรแกรม Canva โดยการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (๕E) โดยรวม พบว่าความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก


ค กิตติกรรมประกาศ วิจัยในชั้นเรียนฉบับนี้สำเร็จลุล่วงได้ด้วยดี เนื่องจากได้รับความอนุเคราะห์แนะนำเป็น อย่างดีจากนางสาวพันทิวา ทับภูมีอาจารย์ที่ปรึกษา ที่กรุณาให้คำปรึกษา พร้อมทั้งบอกแนวคิด คำแนะนำ ข้อเสนอแนะ ตลอดจนชี้แนะแนวทางการศึกษาวิจัยที่ถูกต้องเหมาะสม พร้อมทั้งตรวจสอบ และปรับปรุงแก้ไขในส่วนที่บกพร่องเป็นอย่างดี ทำให้การศึกษาอิสระฉบับนี้ มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ผู้วิจัยรู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างมาก จึงขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงไว้ ณ ที่นี้ ขอกราบขอบพระคุณในความกรุณาของนายธนสิทธิ์ ธนสีรังกูร นายณัฐดนัย วันตะโพธิ์ นางรัชนีย์ วงศ์ไกรสิน นางจิราภรณ์ สารแสน และนางสาวนริสรา คำสีที่กรุณาให้คำปรึกษา และ สละเวลาอันมีค่าของท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญในการตรวจสอบความเที่ยงตรงของแบบทดสอบ และ ประเมินคุณภาพเครื่องมือในการวิจัยครั้งนี้ ขอกราบขอบพระคุณคณาจารย์ นักวิชาการทุกท่านที่เป็นเจ้าของหนังสือ วารสาร บทความ และงานวิจัยที่มีคุณค่า ซึ่งท่านได้เขียนไว้ให้ได้ศึกษาค้นคว้า เพื่อเป็นข้อมูลประกอบในการ เขียนงานวิจัยในชั้นเรียนครั้งนี้ ขอกราบขอบพระคุณผู้อำนวยการ โรงเรียนโคกสีพิทยาสรรพ์คณะครูที่ปรึกษาของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ ที่ให้คำแนะนำ และขอขอบใจนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ โรงเรียน โคกสีพิทยาสรรพ์ทุกคน ที่ได้ให้ความร่วมมือในทำแบบทดสอบ เพื่อเป็นข้อมูลในการวิจัยครั้งนี้ ขอกราบขอบพระคุณบิดามารดา ที่เมตตามอบความรัก ความห่วงใย คอยให้กำลังใจ และ ให้การสนับสนุนการศึกษามาโดยตลอด สุดท้ายนี้ ผู้วิจัยหวังเป็นอย่างยิ่งว่างานวิจัยในชั้นเรียนฉบับนี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่าน และผู้ที่สนใจได้ไม่มากก็น้อย และหากมีข้อบกพร่องผิดพลาดประการใด ผู้วิจัยขอน้อมรับไว้แต่เพียงผู้ เดียวและขออภัยไว้ ณ โอกาสนี้ (นางสาวธีรนุช สุดสา) ผู้วิจัย


ง สารบัญ เรื่อง หน้า บทคัดย่อ ก กิตติกรรมประกาศ ค สารบัญ ง สารบัญตาราง ฉ สารบัญภาพ ช บทที่ ๑ บทนำ ๑ ๑.๑ ที่มาและความสำคัญของปัญหา ๑ ๑.๒ วัตถุประสงค์ของการวิจัย ๓ ๑.๓ ขอบเขตของการวิจัย ๓ ๑.๔ นิยามศัพท์เฉพาะ ๔ ๑.๕ ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ ๕ บทที่ ๒ แนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ๗ ๒.๑ หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษาฯ ๗ ๒.๒ โปรมแกรม Canva ๑๘ ๒.๓ การหาประสิทธิภาพของสื่อ ๒๔ ๒.๔ กระบวนการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (๕E) ๒๖ ๒.๕ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ๓๐ ๒.๖ ทฤษฎีเกี่ยวกับความพึงพอใจ ๔๐ ๒.๗ งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ๔๔ ๒.๘ กรอบแนวคิดในการทำวิจัย ๔๗ บทที่ ๓ ระเบียบวิธีวิจัย ๔๘ ๓.๑ รูปแบบการวิจัย ๔๘ ๓.๒ กลุ่มเป้าหมาย ๔๘ ๓.๓ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ๔๙ ๓.๔ การสร้างเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ๔๙ ๓.๕ วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล ๕๗ ๓.๖ การวิเคราะห์ข้อมูล ๕๘


จ สารบัญ (ต่อ) เรื่อง หน้า ๓.๗ สถิติที่ใช้ในการวิจัย ๕๘ บทที่ ๔ ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ๖๐ ๔.๑ ผลการพัฒนาสื่อการสอนวิชาพระพุทธศาสนา ด้วยโปรแกรม Canva เรื่อง วัน สำคัญทางพระพุทธศาสนา สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ โรงเรียนโคกสี พิทยาสรรพ์ ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ ๘๐/๘๐ ๖๐ ๔.๒ ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาพระพุทธศาสนา ก่อนเรียน และหลังเรียน ด้วยโปรแกรม Canva โดยใช้กระบวนการเรียนรู้แบบสืบเสาะหา ความรู้ (๕E) เรื่อง วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ โรงเรียนโคกสีพิทยาสรรพ์ ๖๑ ๔.๓ ผลการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ ที่มีต่อสื่อการ สอนวิชาพระพุทธศาสนา ด้วยโปรแกรม Canva โดยการจัดการเรียนรู้โดยใช้ กระบวนการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (๕E) ๖๒ ๔.๔ องค์ความรู้ที่ได้จากการวิจัย ๖๔ บทที่ ๕ สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ ๖๖ ๕.๑ สรุปผลการวิจัย ๖๖ ๕.๒ อภิปรายผลการวิจัย ๖๗ ๕.๓ ข้อเสนอแนะจากผลการวิจัย ๗๑ บรรณานุกรม ๗๒ ภาคผนวก ๗๖ ภาคผนวก ก รายชื่อผู้เชี่ยวชาญที่ตรวจสอบเครื่องมือ ๗๗ ภาคผนวก ข แบบประเมินคุณภาพเครื่องมือโดยผู้เชี่ยวชาญ ๗๙ ภาคผนวก ค สื่อการสอน Canva และแผนการจัดการเรียนรู้ ๙๘ ภาคผนวก ง ผลการวิเคราะห์ข้อมูลของผู้เชี่ยวชาญ ๑๔๓ ภาคผนวก จ ผลการหาประสิทธิภาพของสื่อการสอน ๑๔๘ ภาคผนวก ฉ ผลการหาคุณภาพของเครื่องมือ ๑๖๙ ภาคผนวก ช ภาพการใช้สื่อ Canva ในการสอน ๑๗๗ ประวัติผู้วิจัย ๑๗๙


ฉ สารบัญตาราง ตาราง หน้า ตารางที่ ๑ แสดงประสิทธิภาพของสื่อการสอน วิชาพระพุทธศาสนา โปรแกรม Canva เรื่อง วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ โรงเรียนโคกสี พิทยาสรรพ์ ๑๔๔ ตารางที่ ๒ แสดงการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาพระพุทธศาสนา ก่อนและหลัง เรียนของนักเรียนกลุ่มตัวอย่างที่เรียนด้วยสื่อการสอนวิชาพระพุทธศาสนา โปรแกรม Canva เรื่อง วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา ๑๔๔ ตารางที่ ๓ แสดงผลการประเมินความเหมาะสมของสื่อการสอน Canva โดยผู้เชี่ยวชาญ ๑๔๕ ตารางที่ ๔ ผลการวิเคราะห์คะแนนความคิดเห็นผู้เชี่ยวชาญด้านความสอดคล้องระหว่าง แผนการจัดการเรียนรู้กับเรื่อง วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา ๑๔๗ ตารางที่ ๕ ผลการประเมินค่าความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (IOC) ของแบบทดสอบระหว่างเรียน วิชา พระพุทธศาสนา เรื่อง วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา “วันมาฆบูชา” โดย ผู้เชี่ยวชาญ ๑๕๑ ตารางที่ ๖ ผลการประเมินค่าความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (IOC) ของแบบทดสอบระหว่างเรียน วิชา พระพุทธศาสนา เรื่อง วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา “วันวิสาขบูชา” โดย ผู้เชี่ยวชาญ ๑๕๔ ตารางที่ ๗ ผลการประเมินค่าความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (IOC) ของแบบทดสอบระหว่างเรียน วิชา พระพุทธศาสนา เรื่อง วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา “วันอัฏฐมีบูชา” โดย ผู้เชี่ยวชาญ ๑๕๗ ตารางที่ ๘ ผลการประเมินค่าความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (IOC) ของแบบทดสอบระหว่างเรียน วิชา พระพุทธศาสนา เรื่อง วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา “วันอาสาฬหบูชา” โดย ผู้เชี่ยวชาญ ๑๖๐ ตารางที่ ๙ ผลการประเมินค่าความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (IOC) ของแบบทดสอบระหว่างเรียน วิชา พระพุทธศาสนา เรื่อง วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา “วันธรรมสวนะ โดยผู้เชี่ยวชาญ ๑๖๔ ตารางที่ ๑๐ ผลการทดลองการใช้สื่อการสอน Canva ครั้งที่ ๑ แบบเดี่ยว จำนวน ๓ คน ๑๖๕ ตารางที่ ๑๑ ผลการทดลองการใช้สื่อการสอน Canva ขั้นกลุ่มเล็ก จำนวน ๙ คน ๑๖๖ ตารางที่ ๑๒ ผลการทดลองการใช้สื่อการสอน Canva ขั้นกลุ่มใหญ่ จำนวน ๒๓ คน ๑๖๗


ช สารบัญตาราง (ต่อ) ตาราง หน้า ตารางที่ ๑๓ ผลการประเมินค่าความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (IOC) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ๑๗๓ ตารางที่ ๑๔ คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ก่อนและหลังเรียน โดยใช้สื่อการสอน Canva ๑๗๔


ซ สารบัญภาพ ภาพ หน้า ภาพที่ ๒.๑ กรอบแนวคิดในการทำวิจัย ๔๗ ภาพที่ ๓.๑ ขั้นตอนการสร้างสื่อการสอน ๕๑ ภาพที่ ๓.๒ ขั้นตอนการประเมินประสิทธิภาพของสื่อการสอน ๕๒ ภาพที่ ๓.๓ ขั้นตอนการสร้างแบบทดสอบระหว่างเรียน ๕๕ ภาพที่ ๓.๔ ขั้นตอนการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์หลังเรียน ๕๖ ภาพที่ ๔.๑ องค์ความรู้ที่ได้จากงานวิจัย ๖๕


๑ บทที่ ๑ บทนำ ๑.๑ ที่มาและความสำคัญของปัญหา พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ ได้บัญญัติในเรื่องแนวทางการจัด การศึกษา หมวด ๔ ตามมาตรา ๒๒ ไว้ว่าการจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่า ผู้เรียนทุกคนมี ความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้และถือว่าผู้เรียนมีความสำคัญที่สุดในกระบวนการเรียนรู้ ต้องจัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจและความถนัดของผู้เรียนคำนึงถึงความ แตกต่างระหว่างบุคคล จัดให้ผู้เรียนเรียนรู้ด้วยวิธีต่าง ๆ ตามสติปัญญา และความสามารถของตนการ จัดการศึกษามุ่งเน้นความสำคัญ ทั้งด้านความรู้ ความคิด ความสามารถ คุณธรรม กระบวนการเรียนรู้ และความรับผิดชอบต่อสังคม เพื่อพัฒนาคนให้มีความสมดุลโดยยึดหลักผู้เรียนสำคัญที่สุด๑ การจัดการศึกษาในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้น พื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ ประกอบด้วย ๘ กลุ่มสาระ ซึ่งกลุ่มสาระสังคมศึกษา ศาสนา และ วัฒนธรรม เป็นกลุ่มสาระการเรียนรู้หนึ่งที่มีความสำคัญที่ใช้เป็นหลักในการเรียนรู้ โดยเป็นวิชาที่ว่า ด้วยความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติและสังคม ทำให้ผู้เรียนมีความรู้ และความเข้าใจการดำรงชีวิตของมนุษย์ ทั้งในฐานะปัจเจกบุคคล และการอยู่ร่วมกันในสังคม การปรับตัวตามสภาพแวดล้อม การจัดการทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด เข้าถึงการพัฒนาเปลี่ยนแปลง ตามยุคตามสมัยตามกาลเวลา ตามเหตุปัจจัยต่าง ๆ เกิดความเข้าใจตนเองและผู้อื่น มีความอดทน มีความอดกลั้น ยอมรับในความแตกต่าง และมีคุณธรรม สามารถนำความรู้ไปปรับใช้ในการดำรงชีวิต เป็นพลเมืองของประเทศชาติ และสังคมโลก ประกอบด้วย ๕ สาระหลัก ได้แก่ สาระศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม สาระหน้าที่พลเมือง วัฒนธรรม และการดำเนินชีวิตในสังคม สาระเศรษฐศาสตร์ สาระประวัติศาสตร์ และสาระภูมิศาสตร์ โดยสาระด้านศาสนา ศีลธรรม และจริยธรรม ว่าด้วย แนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับหลักธรรมของพระพุทธศาสนา หรือศาสนาที่ตนนับถือ๒ ๑ กระทรวงศึกษาธิการ, พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช ๒๕๔๒, (กรุงเทพฯ : บริษัทสยาม สปอรต์ซินดิเคท จำกัด, ๒๕๔๒), หน้า ๘. ๒ กระทรวงศึกษาธิการ, หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑, (กรุงเทพฯ : ชุมนุม สหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จำกัด, ๒๕๕๑), หน้า ๕.


๒ ปัจจุบันการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในศตวรรษที่ ๒๑ ซึ่งการเรียนรู้ยุคใหม่ต้องเรียนให้เกิดทักษะเพื่อ การดำรงชีวิต ครูจะทำหน้าที่จุดประกายความสนใจใฝ่รู้ให้ศิษย์ได้เรียนจากการลงมือปฏิบัติ เพื่อนำ ทักษะในการเรียนรู้และไปหาความรู้ในระดับสูงและไปใช้การทำงานในโอกาสต่อไป การนำเอาสื่อและ เทคโนโลยีเข้ามาประกอบการจัดการเรียนรู้จึงเป็นสิ่งสำคัญมาก ครูผู้สอนมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง ต้องรู้จักนำวิธีการจัดการเรียนรู้หรือเทคนิคการจัดการเรียนรู้ที่หลากหลายมาใช้การจัดกระบวนการ จัดการเรียนรู้ต้องจัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจ และความถนัดของผู้เรียน คำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล โดยใช้เทคโนโลยีและสื่อสารสนเทศให้เป็นประโยชน์ ทำให้ ผู้เรียนสามารถเข้าถึงบทเรียนได้อย่างไม่มีขีดจำกัด และสามารถเรียนรู้ได้ตลอดเวลา๓ โรงเรียนโคกสีพิทยาสรรพ์ อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา มัธยมศึกษาเขต ๒๕ ซึ่งในปัจจุบันโรงเรียนได้เปิดทำการสอน ๒ ระดับ คือ ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น และมัธยมศึกษาตอนปลาย จากที่ผู้วิจัยได้เข้ามาฝึกปฏิบัติการสอนในสถานศึกษาแห่งนี้ ผู้วิจัยได้รับ มอบหมายจากฝ่ายวิชาการของโรงเรียน ให้ทำการสอนนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ ในรายวิชา พระพุทธศาสนา ซึ่งการจัดการเรียนการสอนของนักเรียนในรายวิชาพระพุทธศาสนาเท่าที่ผ่านมานั้น ไม่ประสบผลสำเร็จตามความมุ่งหมายเท่าที่ควร ซึ่งส่วนมากนักเรียนจะเรียนจากหนังสือเป็นหลัก ไม่มีสื่อการสอนอื่น ๆ ที่ดึงดูดความสนใจ นักเรียนจึงไม่สนใจที่จะเรียน ทำให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนักเรียนค่อนข้างอยู่ในเกณฑ์ต่ำ และผู้วิจัยยังพบว่า นักเรียนในปัจจุบันให้ความสำคัญใน การแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง สามารถนำอุปกรณ์เทคโนโลยีที่มีใช้กันในชีวิตประจำวันมาเป็น เครื่องมือในการแสวงหาความรู้ และสามารถเข้าถึงสื่อที่ดึงดูดความสนใจต่าง ๆ ได้มาก จากความสำคัญและปัญหาข้างต้น ผู้วิจัยจึงมีความสนใจที่จะพัฒนาสื่อการสอนวิชา พระพุทธศาสนา ด้วยโปรแกรม Canva เรื่อง วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา ซึ่งผู้วิจัยเห็นว่าโปรแกรม Canva เป็นโปรแกรมประยุกต์ที่ใช้งานได้ง่าย ใช้งานได้กับอุปกรณ์ต่าง ๆ ทั้งเครื่องคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ไม่มีข้อจำกัดด้านเวลา และสถานที่ สามารถเปิดใช้งานได้เมื่อต้องการ อีกทั้งสามารถดึงดูด ความสนใจในการเรียนรู้จากภาพ และเสียง ใส่ข้อมูลได้ครบถ้วน รวมถึงการเป็นสื่อกลางในการนำสื่อ ที่เป็นประโยชน์ และข้อมูลที่จำเป็นต่างๆ ถ่ายทอดให้กับนักเรียนได้เป็นอย่างดี ทำให้นักเรียนมีความ สนใจในการเรียนมากขึ้น และสื่อการสอนโปรแกรม Canva ดังกล่าวจะช่วยให้ผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนของนักเรียนในรายวิชาพระพุทธศาสนาให้ดียิ่งขึ้น ๓ วิจารณ์ พานิช, วิถีสร้างการเรียนรู้เพื่อศิษย์ในศตวรรษที่ ๒๑, (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์มูลนิธิสดศรี- สฤษดิ์ วงศ์, ๒๕๕๕), หน้า ๒๕.


๓ ๑.๒ วัตถุประสงค์ของการวิจัย ๑. เพื่อพัฒนาสื่อการสอนวิชาพระพุทธศาสนา ด้วยโปรแกรม Canva เรื่อง วันสำคัญทาง พระพุทธศาสนา สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ โรงเรียนโคกสีพิทยาสรรพ์ ให้มีประสิทธิภาพ ตามเกณฑ์ ๘๐/๘๐ ๒. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาพระพุทธศาสนา ก่อนเรียนและหลังเรียน ด้วยโปรแกรม Canva โดยใช้กระบวนการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (๕E) เรื่อง วันสำคัญทาง พระพุทธศาสนา ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ โรงเรียนโคกสีพิทยาสรรพ์ ๓. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ ที่มีต่อสื่อการสอนวิชา พระพุทธศาสนา ด้วยโปรแกรม Canva โดยการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการเรียนรู้แบบสืบ เสาะหาความรู้ (๕E) ๑.๓ ขอบเขตของการวิจัย การวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้กำหนดขอบเขตไว้ ดังนี้ ๑.๓.๑ ขอบเขตประชากรและกลุ่มเป้าหมาย ๑) ขอบเขตประชากร เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ ที่กำลังศึกษาในภาคเรียนที่ ๒ ปีการศึกษา ๒๕๖๕ โรงเรียนโคกสีพิทยาสรรพ์อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น สำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษามัธยมศึกษาเขต ๒๕ จำนวน ๒ ห้อง มีนักเรียนรวม ๔๔ คน ๒) ขอบเขตกลุ่มเป้าหมาย กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ ๔/๑ ที่กำลังศึกษาในภาคเรียนที่ ๒ ปีการศึกษา ๒๕๖๕ โรงเรียนโคกสีพิทยาสรรพ์ อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต ๒๕ จำนวน ๒๓ คน โดย การเลือกแบบเจาะจง ๑.๓.๒ ขอบเขตด้านเนื้อหา การวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้มุ่งพัฒนาสื่อการสอนวิชาพระพุทธศาสนา ด้วยโปรแกรม Canva เรื่อง วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ โรงเรียนโคกสีพิทยาสรรพ์ โดยจำแนกเนื้อหาการเรียนออกเป็น ๕ เรื่อง คือ ๑) วันมาฆบูชา ๒) วันวิสาขบูชา ๓) วันอัฏฐมีบูชา ๔) วันอาสาฬหบูชา ๕) วันธรรมสวนะ โดยใช้กระบวนการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (๕E) ตัวแปรที่จะศึกษา ตัวแปรต้น คือ สื่อการสอนวิชาพระพุทธศาสนา โปรแกรม Canva เรื่อง วันสำคัญทาง พระพุทธศาสนา สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ โรงเรียนโคกสีพิทยาสรรพ์ โดยใช้กระบวนการ เรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (๕E)


๔ ตัวแปรตาม คือ ๑) ประสิทธิภาพของสื่อรายวิชาพระพุทธศาสนา ด้วยโปรแกรม Canva เรื่อง วันสำคัญ ทางพระพุทธศาสนา ๒) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาพระพุทธศาสนา ด้วยโปรแกรม Canva เรื่อง วันสำคัญ ทางพระพุทธศาสนา ๓) ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้ กระบวนการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (๕E) รายวิชาพระพุทธศาสนา เรื่อง วันสำคัญทาง พระพุทธศาสนา ๑.๓.๓ ขอบเขตด้านสถานที่ โรงเรียนโคกสีพิทยาสรรพ์ อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา มัธยมศึกษาเขต ๒๕ หมู่ที่ ๑๔ บ้านโคกสี ตำบลโคกสีอำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น ๔๐๐๐๐ ๑.๓.๔. ขอบเขตด้านระยะเวลา การวิจัยในครั้งนี้ ผู้วิจัยได้กำหนดระยะเวลา ในภาคเรียนที่ ๒ ปีการศึกษา ๒๕๖๕ ระหว่างวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๕ ถึงวันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๖๖ ๑.๔ นิยามศัพท์เฉพาะ ๑.๔.๑ สื่อการสอนวิชาพระพุทธศาสนา โปรแกรม Canva เรื่อง วันสำคัญทาง พระพุทธศาสนา หมายถึง สื่อการสอนที่ผู้วิจัยพัฒนาจากโปรแกรม Canva เพื่อใช้ประกอบในการ จัดการเรียนการสอนวิชาพระพุทธศาสนา ซึ่งมีเนื้อหา ๕ เรื่อง คือ ๑) วันมาฆบูชา ๒) วันวิสาขบูชา ๓) วันอัฏฐมีบูชา ๔) วันอาสาฬหบูชา ๕) วันธรรมสวนะ (วันพระ) ๑.๔.๒ โปรแกรม Canva หมายถึง โปรแกรมที่ใช้ทำงานนำเสนอบนเครื่องคอมพิวเตอร์ โดย เราสามารถพิมพ์ข้อความ แทรกรูป แทรกเสียง ตลอดจนแทรกวิดีโอลงในงานนำเสนอ พร้อมทั้งยัง สามารถจัดทำลูกเล่นต่างๆ ในระหว่างนำเสนอได้อีกด้วย ซึ่งมีขั้นตอนในการนำเสนอพื้นฐานอยู่ ๕ ขั้นตอน คือ ๑) สร้างสไลด์ ๒) กรอกข้อความ ๓) ใส่รูปภาพ ตาราง แผนภูมิ ๔) กำหนดลูกเล่นต่าง ๆ ในสไลด์ และ ๕) นำเสนอผ่านสื่อต่าง ๆ ๑.๔.๓ กระบวนการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้(The ๕ E’s of Inquiry-Based Learning) หมายถึง รูปแบบของการเรียนรู้ที่เน้นให้นักเรียนมีประสบการณ์ตรงในการเรียนรู้ โดย การแสวงหาและศึกษาค้นคว้า เพื่อสร้างองค์ความรู้ของตนเอง โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งมีครูผู้สอนคอยอำนวยการและสนับสนุน ทำให้ผู้เรียนสามารถค้นพบความรู้หรือแนวทางแก้ปัญหา ได้ตัวเอง และสามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน ซึ่งถือว่าเป็นกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้นํา ความรู้ หลักการ แนวคิดหรือทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ไปเชื่อมโยงกับประเด็นปัญหาที่ผู้เรียนสนใจ


๕ ศึกษาค้นคว้า และลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง ตามความสามารถและความถนัดของตนเองอย่างเป็นอิสระ โดยผู้วิจัยได้นำมาประยุกต์ใช้กับการจัดการเรียนการสอนรายวิชาพระพุทธศาสนา ซึ่งมีขั้นตอนอยู่ ๕ ขั้นตอน ตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์(Constructivism) คือ ๑. การสร้างความสนใจ (Engagement) ๒. การสํารวจและค้นหา (Exploration) ๓. การอธิบาย (Explanation) ๔. การขยาย ความรู้ (Elaboration) ๕. การประเมินผล (Evaluation) ๑.๔.๔ วิชาพระพุทธศาสนา หมายถึง วิชาหนึ่งซึ่งอยู่ในสาระศาสนา ศีลธรรม และจริยธรรม เป็นแนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับหลักธรรมของพระพุทธศาสนาหรือศาสนาที่ตนนับถือ การนำหลักธรรม ไปปฏิบัติในการพัฒนาตนเอง และการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข ๑.๔.๕ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ หมายถึง นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ ที่กำลังศึกษาใน ภาคเรียนที่ ๒ ปีการศึกษา ๒๕๖๕ โรงเรียนโคกสีพิทยาสรรพ์อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น ๑.๔.๖ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความรู้ในการเรียนรู้วิชาพระพุทธศาสนาของ นักเรียนกลุ่มตัวอย่าง ซึ่งวัดได้จากคะแนนที่ได้จากการทดสอบโดยใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนวิชาพระพุทธศาสนา เป็นปรนัยชนิด ๔ ตัวเลือก จำนวน ๓๐ ข้อ ๑.๔.๗ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง แบบทดสอบก่อนเรียน และ หลังเรียน ชนิดปรนัย ๔ ตัวเลือก ที่สร้างขึ้นสำหรับใช้วัดความรู้ ความจำ ความเข้าใจ การนำไปใช้ และการวิเคราะห์ จากการเรียนวิชาพระพุทธศาสนา ด้วยโปรแกรม เรื่อง Canva วันสำคัญทาง พระพุทธศาสนา โดยผู้วิจัยสร้างขึ้นเองและหาคุณภาพแล้ว ๑.๔.๘ ประสิทธิภาพของสื่อการสอนวิชาพระพุทธศาสนา โปรแกรม Canva เรื่อง วัน สำคัญทางพระพุทธศาสนา มีประสิทธิภาพไม่ต่ำกว่าเกณฑ์ ๘๐/๘๐ ๘๐ ตัวแรก หมายถึง ค่าเฉลี่ยของคะแนนที่นักเรียนทำแบบฝึกหัดระหว่างเรียน โดยใช้สื่อ การสอนวิชาพระพุทธศาสนา โปรแกรม Canva เรื่อง วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา ๘๐ ตัวหลัง หมายถึง ค่าเฉลี่ยของคะแนนที่นักเรียนทำแบบทดสอบหลังเรียน ด้วยสื่อการ สอนวิชาพระพุทธศาสนา โปรแกรม Canva เรื่อง วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา ๑.๕ ประโยชน์ที่ได้รับจากการวิจัย ๑. นักเรียนได้ฝึกทักษะการคิดวิเคราะห์อย่างเป็นขั้นตอน มีกระบวนการในการคิด และ สามารถนำไปใช้ในการเรียนการสอนในชีวิตประจำวันได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม ๒. ครูผู้สอนได้แนวทางในการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ (๕E) ที่ สามารถนำไปใช้จัดการเรียนการสอนในระดับชั้นอื่น หรือรายวิชาอื่นๆ เพื่อช่วยส่งเสริมและพัฒนา ทักษะการคิดวิเคราะห์ได้ต่อไป


๖ ๓. สถานศึกษาได้แนวทางในการศึกษาวิจัยนวัตกรรมการสอนที่พัฒนาความสามารถในการ คิดวิเคราะห์ด้วยนวัตกรรมการศึกษา โดยใช้รูปแบบสืบเสาะหาความรู้ (๕E)


๖ บทที่ ๒ แนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เพื่อบรรลุตามวัตถุประสงค์ของการวิจัย ผู้วิจัยได้ศึกษาแนวคิดต่าง ๆ และงานวิจัยที่ เกี่ยวข้องกับการวิจัย เรื่อง การพัฒนาสื่อการสอนวิชาพระพุทธศาสนา ด้วยโปรแกรม Canva เรื่อง วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ โรงเรียนโคกสีพิทยาสรรพ์ ดังรายละเอียดต่อไปนี้ ๒.๑ หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ๒.๒ โปรมแกรม Canva ๒.๓ การหาประสิทธิภาพของสื่อ ๒.๔ กระบวนการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (๕E) ๒.๕ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ๒.๖ ทฤษฎีเกี่ยวกับความพึงพอใจ ๒.๗ งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ๒.๘ กรอบแนวคิดในการทำวิจัย ๒.๑ เอกสารเกี่ยวกับหลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ๒.๑.๑ ความสำคัญ ธรรมชาติ และลักษณะเฉพาะ สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เป็นกลุ่มสาระการเรียนรู้ที่ต้องเรียนตลอด ๑๒ ปีการศึกษา ตั้งแต่ระดับประถมศึกษาจนถึงระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย เป็นกลุ่มสาระการเรียนรู้ที่ ประกอบมาจากหลายแขนงวิชา จึงมีลักษณะเป็นสหวิทยาการ โดยนำวิทยาการจากแขนงวิชาต่าง ๆ ในสาขาสังคมศาสตร์มาหลอมรวมเข้าด้วยกัน ได้แก่ ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ นิติศาสตร์ จริยธรรม ประชากรศึกษา สิ่งแวดล้อม รัฐศาสตร์ สังคมวิทยา ปรัชญา และศาสนา กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม จึงเป็นกลุ่มสาระการเรียนรู้ที่ออกแบบมาเพื่อ ส่งเสริมศักยภาพเป็นพลเมืองดีให้แก่ผู้เรียน โดยมีเป้าหมายของการพัฒนาความเป็นพลเมืองดี ซึ่งถือเป็นความรับผิดชอบของทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้


๘ ดังนั้น สาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม จึงมีความจำเป็นที่จะต้อง พัฒนาผู้เรียนให้เกิดความเจริญงอกงามในด้านต่าง ๆ คือ ๑. ด้านความรู้ จะให้ความรู้แก่ผู้เรียนในเนื้อหาสาระ ความคิดรวบยอดและหลักการ สำคัญของวิชาต่าง ๆ ในสังคมศาสตร์ ได้แก่ ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ รัฐศาสตร์ จริยธรรม กฎหมาย เศรษฐศาสตร์ สังคมวิทยา ประชากรศึกษา สิ่งแวดล้อมศึกษา ปรัชญา และศาสนา ตามขอบเขต ที่กำหนดไว้ในแต่ละระดับชั้นในลักษณะบูรณาการ ๒. ด้านทักษะกระบวนการ ผู้เรียนจะได้รับการพัฒนาให้เกิดทักษะและกระบวนการ ต่าง ๆ เช่น ทักษะทางวิชาการ และทักษะทางสังคม เป็นต้น ๓. ด้านเจตคติและค่านิยม กลุ่มสาระการเรียนรู้ สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม จะช่วยพัฒนาเจตคติ และค่านิยมเกี่ยวกับประชาธิปไตยและความเป็นมนุษย์ เช่น รู้จักตนเอง พึ่งตนเอง ซื่อสัตย์สุจริต มีวินัย มีความกตัญญู รักเกียรติภูมิแห่งตน มีนิสัยในการเป็นผู้ผลิตที่ดี มีความ พอดีในการบริโภค เห็นคุณค่าของการทำงาน รู้จักคิดวิเคราะห์ รู้จักการทำงานเป็นกลุ่ม เคารพสิทธิ ของผู้อื่น และเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม มีความผูกพันกับกลุ่มรักท้องถิ่น รักประเทศชาติ เห็นคุณค่า อนุรักษ์และพัฒนาศิลปะ วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อม ศรัทธาในหลักธรรมของศาสนา และ การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข กิจกรรมการเรียนการสอนในกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดทักษะในการทำงานเป็นกลุ่ม สามารถนำความรู้ทักษะ ค่านิยม และเจตคติที่ได้รับ การอบรมบ่มนิสัยมาใช้ในการแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันของผู้เรียนได้เมื่อมองใน ภาพรวมแล้ว พบว่า ความสำคัญของกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมนั้น นอกจากจะช่วยให้ผู้เรียนมีความรู้ในเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสภาพแวดล้อมทั้งทางธรรมชาติและ สังคมวัฒนธรรมแล้ว ยังมีทักษะและกระบวนการต่าง ๆ ที่จะสามารถนำมาใช้ประกอบในการตัดสินใจ ได้อย่างรอบคอบในการดำเนินชีวิต และการมีส่วนร่วมในสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาใน ฐานะพลเมืองดี ตลอดจนการนำความรู้ทางจริยธรรม หลักธรรมทางศาสนามาพัฒนาตนเองและสังคม ทำให้ผู้เรียนสามารถดำรงชีวิตในสังคมได้อย่างมีความสุข ดังนั้น กลุ่มสาระการเรียนรู้ สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม จึงต้องเชื่อมโยงสิ่งต่าง ๆ ในหลักสูตรเข้าด้วยกัน เป็นศาสตร์บูรณาการวิชาความรู้จากที่ต่าง ๆ วิธีการและแนวคิดของ นักวิทยาศาสตร์ กระบวนการของของนักคณิตศาสตร์ ความคิดสร้างสรรค์ของนักศิลปะนักดนตรี


๙ ประสบการณ์ของนักศิลปะ และทักษะการถ่ายทอดภาษาออกมา เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ต้องปฏิบัติใน การเรียนการสอนกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมทั้งสิ้น๔ การเชื่อมโยงของกลุ่มสาระการเรียนรู้นี้ที่เป็นไปได้ในหลักสูตร และการเรียนการสอน สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ได้แก่ ๑. กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เชื่อมโยงได้ดีกับการเรียน ภาษา ผู้ที่เรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ต้องใช้ภาษาเพื่อการสื่อสาร ได้เป็นอย่างดี ใช้ภาษาในการให้เหตุผลและแก้ปัญหา ปกป้องรักษาวัฒนธรรมให้คงไว้การพัฒนา ทักษะทางภาษาในการเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้ทางสังคม ศาสนา และวัฒนธรรม ได้แก่ การอ่าน เขียน พูด ฟังวรรณกรรมต่าง ๆ จะช่วยเปิดโลกทัศน์ให้ผู้เรียนได้เข้าใจโลก ด้วยการศึกษาวรรณกรรม เหล่านี้ในเชิงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม วรรณกรรมจากสิ่งพิมพ์ที่ปรากฏอยู่ในชีวิตประจำวันของ ผู้เรียนมีมากมาย ที่จะพัฒนาทักษะทางภาษาได้ มิใช่แต่เฉพาะจากหนังสือเรียน ทั้งนี้เพื่อขยาย ประสบการณ์ทางสังคมที่เป็นจริงของผู้เรียนให้กว้างขวางขึ้น สื่อเทคโนโลยีต่าง ๆ และคอมพิวเตอร์ เป็นเครื่องมืออีกทางหนึ่งที่ทำให้ผู้เรียนพัฒนาภาษาเพื่อการสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๒. กลุ่มสาระการเรียนรู้ สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมเชื่อมโยงได้กับการเรียน ศิลปะ เพราะศิลปะช่วยให้ผู้เรียนได้เข้าใจมุมมองต่าง ๆ เกี่ยวกับโลก งานศิลปะสะท้อนให้เห็นความ เป็นจริงของสังคม การเมืองเศรษฐกิจในยุคสมัยต่าง ๆ ได้ ศิลปะสะท้อนความคิดจิตวิญญาณ ความหวังของมนุษยชาติ ศิลปะเป็นเสมือนบันทึกหลักฐานว่ามนุษย์เรามีชีวิต มีความคิดอย่างไร ด้วยการนำเสนอมุมมองที่เป็นเอกลักษณ์ของผู้สร้างงานศิลปะนั้น ศิลปะจึงช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้โลก กว้างที่เขาอาศัยอยู่ การศึกษาสังคมจากงานศิลปะยังทำให้ผู้เรียนได้พัฒนาความคิดสร้างสรรค์อีกด้วย ๓. กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เชื่อมโยงได้กับการเรียน คณิตศาสตร์ เพราะคณิตศาสตร์เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้เรียนได้ตรวจสอบและแก้ปัญหาต่าง ๆ ผู้เรียนได้ใช้แนวคิดทางคณิตศาสตร์ในการจัดระบบวิเคราะห์ และนำเสนอข้อมูลต่าง ๆ ที่สัมพันธ์กับ เหตุการณ์หรือประเด็นปัญหาในสังคมได้ ทั้งยังเชื่อมโยงให้ผู้เรียนได้นำวิธีการแก้ปัญหามาใช้เพื่อ ประเมินความสัมพันธ์ของเหตุการณ์ในอดีตกับเงื่อนไขในปัจจุบันและผลที่เกิดขึ้นในอนาคตด้วย ๔. กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เชื่อมโยงได้กับการเรียน วิทยาศาสตร์ เพราะวิธีการทางวิทยาศาสตร์ช่วยให้ผู้เรียนได้สำรวจองค์ประกอบทางการเมือง เศรษฐกิจลักษณะทางกายภาพและวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้อง และที่ปรากฏอยู่ในสังคมที่อาศัยอยู่ การเรียนวิทยาศาสตร์เชื่อมโยงกันอย่างใกล้ชิดเกี่ยวกับการศึกษาโลกทั้งทางกายภาพและทางสังคม ๔ กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ, การจัดสาระการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ - ๖ ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๖๒, พิมพ์ครั้ง ที่ ๑, (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว, ๒๕๖๒), หน้า ๑๒๑.


๑๐ การตรวจสอบผลของธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การนำแนวคิดทางวิทยาศาสตร์มาใช้และผลที่เกิดขึ้น ทั้งสองวิชาสามารถเชื่อมโยงให้ผู้เรียนเห็นปัญหาที่เกิดขึ้นจริง และมองเห็นการปฏิบัติเพื่อกิจกรรม ทางสังคมได้ ๕. กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เชื่อมโยงได้กับการเรียนสุข ศึกษาและพลศึกษา เพราะช่วยให้ผู้เรียนได้พัฒนาเจตคติ ค่านิยม จริยธรรม และวิธีการต่าง ๆ ที่มี อิทธิพลต่อกระบวนการแก้ปัญหา และการตัดสินใจในเรื่องราวต่าง ๆ ได้ ผู้เรียนสามารถใช้ทักษะและ การปฏิบัติตนทางสุขศึกษาและพลศึกษามาดำรงชีวิตเพื่อพัฒนาร่างกาย อารมณ์ และจิตใจให้ มีคุณภาพได้จึงเป็นการเชื่อมโยงระหว่างคุณค่าทางร่างกายและสติปัญญา เพื่อการส่งเสริมการดำเนิน ชีวิตที่ดีต่อคุณภาพ ๖. กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เชื่อมโยงได้กับการเรียน การงานอาชีพและเทคโนโลยี เพราะการเรียนการงานอาชีพและเทคโนโลยีมุ่งให้ผู้เรียนมีความรู้ ความ เข้าใจและประสบการณ์ในงานที่เป็นพื้นฐานของวิชาอาชีพ มีทักษะในการทำงาน มีเจตคติที่ดีต่องาน อาชีพ มีจริยธรรมคุณธรรมในการทำงานและสามารถนำความรู้และทักษะไปใช้ในการดำเนินชีวิต ซึ่งเชื่อมโยงสัมพันธ์กับการเรียนกลุ่มสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ที่เน้นการดำเนินชีวิตใน สังคมบนพื้นฐานของสัมมาอาชีพที่ประกอบด้วยคุณธรรม จริยธรรม และสามารถทำงานร่วมกับผู้อื่น โดยถือว่าการพัฒนาความเป็นพลเมืองดีส่วนหนึ่งต้องประกอบอาชีพที่สุจริต และเป็นประโยชน์ต่อตน และสังคมส่วนรวมด้วย ดังนั้น กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม จึงไม่ใช่การเรียนแต่ เนื้อหาความรู้ แต่ต้องการให้ผู้เรียนเป็นนักวิเคราะห์เพื่อแก้ปัญหานำความรู้ไปใช้ในสถานการณ์ต่าง ๆ ได้จัดโอกาสให้ผู้เรียนได้สำรวจความเป็นไปในสังคมและในโลก พิจารณาว่ามนุษย์พูด เขียน ประเมิน คำนวณ วิเคราะห์ สร้างจินตนาการ และพากเพียรพยายามในเรื่องต่าง ๆ กันอย่างไร สังคมศึกษา เชื่อมโยงกิจกรรมที่มนุษย์ทำ โดยเน้นทั้งเรื่องวรรณกรรม ศิลปะ เทคโนโลยีวิทยาศาสตร์ ทั้งในอดีต ปัจจุบันและอนาคตเข้าด้วยกัน กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม จึงเน้นการเรียนการสอนที่ บูรณาการความสำเร็จจากสาระวิชาต่าง ๆ มาหลอมรวมเข้าด้วยกันในประเด็นปัญหาหรือเรื่องที่จะ ศึกษา การจัดวางหลักสูตรและหน่วยการเรียน จึงมักเป็นประเด็นปัญหาที่เป็นการบูรณาการ (Integrated Thematic Unit) ลักษณะหน่วยการเรียนแบบนี้จะนำมาจากแนวคิดรวบยอดปัญหาหรือ โครงงานที่ต้องการให้ผู้เรียนได้เชื่อมโยงข้อมูลต่าง ๆ ที่เขาต้องแสวงหาและรวบรวมมาเป็นประเด็น ปัญหาหรือโครงงานเหล่านั้นอาจเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสาระหลักต่าง ๆ ในกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคม ศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ กลุ่ม สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ กลุ่มสาระการเรียนรู้ สุขศึกษาและพลศึกษา


๑๑ และกลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี ตัวอย่างหน่วยการเรียนรู้ลักษณะนี้ เช่น เรื่อง การเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรม ความรับผิดชอบ การพึ่งพา ความขัดแย้ง ความสมดุล และความขาด แคลน เป็นต้น จะเห็นได้ว่า การนำหน่วยการเรียนรู้มาให้ผู้เรียน เป็นเรื่องที่ครูต้องค้นหาออกแบบเอง มิใช่นำมาจากหัวข้อของหนังสือเรียน หน่วยการเรียนรู้ในลักษณะนี้จะมีลักษณะสะท้อนให้เห็น ภาพรวมของแนวคิดต่าง ๆ ได้กว้างขวางและลึกซึ้งมองเห็นวิธีการจัดการเรียนรู้เพื่อให้ได้ความรู้ใน หน่วยการเรียนนั้นได้หลากหลายวิธีไม่ว่าจะด้วยการเรียนเป็นกลุ่มเป็นรายบุคคลการศึกษาวิจัย การ ลงมือปฏิบัติงาน การสำรวจภาคสนามการทดลองในห้องปฏิบัติการและการใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ เป็นต้น หน่วยการเรียนรู้ในลักษณะนี้จึงต้องใช้เวลาในการศึกษานานพอสมควรอาจจะเป็น ๒ สัปดาห์ ถึง ๒ เดือน ก็มี มิใช่หน่วยการเรียนที่ใช้เวลาเรียนเพียง ๓ - ๔ คาบ สิ่งที่เรียนจึงมีความหมายต่อ ผู้เรียน ๒.๑.๒ เป้าหมาย/ความคาดหวัง กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม มีเป้าหมาย/ความคาดหวังที่ สำคัญ คือ ให้ผู้เรียนเป็นพลเมืองดี ในวิถีชีวิตประชาธิปไตย ภายใต้การปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข การที่จะบรรลุตามเป้าหมายดังกล่าวนั้น จำเป็นต้องมี องค์ประกอบสำคัญ ๓ ประการ คือ๕ ๑. ความรู้ ความรู้ในกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม มีความ กว้างขวางมาก ไม่มีใครที่จะสามารถเรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างได้ทั้งหมด และนี่คือปัญหาที่สำคัญและ รุนแรงมากของการเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ที่พยายามจะให้เกิด การเรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างในศาสตร์ที่ประกอบกันอยู่ในกลุ่มนี้ งานที่ท้าทายของนักสังคมศึกษาและครู สังคมศึกษาก็คือ ความสามารถที่จะคัดสรรสาระที่จะเรียนได้อย่างเหมาะสมและมีคุณค่า จึงจำเป็นที่ จะต้องรู้จักการใช้เกณฑ์ในการคัดเลือกสาระที่จะเรียน เกณฑ์ในการพิจารณาก็คือ ให้พิจารณาว่าสิ่งที่ จะนำมาเรียนมีนัยสำคัญต่อการพัฒนาความเป็นพลเมืองดีหรือไม่ นั่นก็หมายความว่าการคัดเลือก สาระเนื้อหามิใช่อยู่บนพื้นฐานของการที่จะให้ผู้เรียนเป็นนักประวัติศาสตร์ นักสังคมศาสตร์ หรือเป็น นักวิชาการที่เชี่ยวชาญในความรู้ แต่เป้าหมายต้องเป็นไปเพื่อสร้างจิตสำนึกของการเป็นคนดีของสังคม เป็นประชาชนที่มีการศึกษาเข้าใจปัญหาสังคม เชื่อมโยงเข้ากับการดำเนินชีวิตของผู้เรียนและของผู้อื่น ได้ส่งเสริมความเข้าใจโลกปฏิสัมพันธ์ที่มนุษย์มีต่อกันความหลากหลายทางวัฒนธรรมและมรดกทาง วัฒนธรรมและให้เครื่องมือแก่ผู้เรียนในการทำความเข้าใจอดีต เพื่อเป็นสาระในการเผชิญและ ตัดสินใจใด ๆ ในปัจจุบันโดยตระหนักถึงผลที่จะเกิดขึ้นและวางแผนสู่อนาคต ดังนั้น ความรู้ในกลุ่ม ๕ กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ, การจัดสาระการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ - ๖ ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๖๒, พิมพ์ครั้ง ที่ ๑, (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว, ๒๕๖๒), หน้า ๑๓๒.


๑๒ สาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม จึงมีการผสมผสานการศึกษาศาสตร์ต่าง ๆ เช่น มานุษยวิทยา เศรษฐศาสตร์ ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ รัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ ปรัชญา และศาสนา เข้าด้วยกัน ไม่เพียงเท่านั้นกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ยังรวมถึง การศึกษาคุณลักษณะการเป็นคนดีของสังคม การเป็นพลเมืองที่มีส่วนร่วมในการศึกษา ความเป็นไป ของโลก พหุวัฒนธรรม กฎหมายศึกษา อาชีพศึกษา และประเด็นปัญหาร่วมสมัยต่าง ๆ นอกจากนี้ยัง จะต้องบูรณาการสาระความรู้จากกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น ๆ เช่น ภาษาไทย ภาษาต่างประเทศ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ อีกด้วย ๒. ทักษะและกระบวนการในกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ประกอบด้วยทักษะทางวิชาการและทักษะทางสังคมที่จำเป็นสำหรับการพัฒนาบุคลิกภาพของผู้เรียน ให้เป็นผู้รอบรู้มีบุคลิกภาพที่เหมาะสมและสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีความสุข ทักษะทางวิชาการ ได้แก่ ทักษะในการฟัง พูด อ่าน เขียนและการคิดซึ่งนักเรียนต้อง นำมาใช้ในการแสวงหาความรู้ จัดการกับความรู้ การนำความรู้ไปใช้ในการสร้างองค์ความรู้ใหม่ ดังนี้ - การแสวงหาและจัดการกับข้อมูลความรู้ต่าง ๆ ทักษะด้านนี้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม จะต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนมีความสามารถในการอ่านศึกษา สืบค้น ข้อมูลความรู้ ใช้กระบวนการศึกษาค้นคว้าทางสังคมศาสตร์ การสืบสานความรู้ รวมทั้งความสามารถ ในการใช้คอมพิวเตอร์และสื่ออิเล็กทรอนิกส์ - การคิดและนำเสนอแนวคิดต่าง ๆ ทักษะด้านนี้ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม จะต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนมีความสามารถในการคิด การจัดระบบข้อมูลการ ตีความวิเคราะห์ สรุป ประเมินและนำเสนอข้อมูล ความคิดเห็นต่าง ๆ โดยสื่อสารออกมาในรูปแบบ ต่าง ๆ โดยเฉพาะการเขียน การพูดที่สื่อความหมายกับผู้อื่นบนพื้นฐานที่มีเหตุผลและหลักการ เพื่อจะ ใช้สนับสนุนและประกอบการพิจารณาตัดสินใจใด ๆ ของบุคคลและสังคมได้อย่างฉลาด และ มีประสิทธิภาพ - การสร้างองค์ความรู้ใหม่ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม จะต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถสร้างความรู้ที่เป็นความคิดรวบยอดและหลักการได้ สามารถอธิบาย ความสัมพันธ์และความเป็นเหตุเป็นผลของเรื่องราวต่าง ๆ ได้สามารถคิดอย่างมีวิจารณญาณคิด สร้างสรรค์ศึกษาค้นคว้า เพื่อสร้างองค์ความรู้ใหม่ที่จะมีส่วนช่วยให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจในเรื่องราว ต่าง ๆ ของบุคคลและสังคมที่เราดำรงชีวิตอยู่ และนำไปสู่การนำความรู้ไปใช้ในการวางแผนแก้ปัญหา ตัดสินใจ และการดำเนินชีวิตได้อย่างเหมาะสม ทักษะทางสังคม ได้แก่ การร่วมมือและการมีส่วนร่วมในสังคมการดูแลรักษาการเอาใจใส่ ให้บริการ การมีส่วนร่วมในสังคม ทักษะและกระบวนการกลุ่ม พัฒนาความเป็นผู้นำผู้ตามในการ ทำงานกลุ่ม เห็นคุณค่า เคารพตนเอง และผู้อื่น ยอมรับในความคล้ายคลึง และความแตกต่างของ


๑๓ ตนเองและของผู้อื่น เคารพในทรัพย์สินและสิทธิของผู้อื่นเคารพในกฎกติกาของกฎหมายและเคารพ ในความเป็นมนุษยชาติและสรรพสิ่งที่มีชีวิตทั้งหลาย ทักษะและกระบวนการเหล่านี้ ถือเป็นสาระในองค์ประกอบของหลักสูตร และการเรียน การสอน กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ที่ต้องบูรณาการเข้าไปในองค์ ความรู้ต่างๆ และต้องเป็นจุดเน้นในการเรียนทุกชั้นปี ทุกรายวิชาตลอดหลักสูตร ซึ่งจะสอนแยก ต่างหากจากการศึกษาหาความรู้ต่างๆ ไม่ได้ ๓. คุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม จะช่วยพัฒนาทักษะเกี่ยวกับเจตคติ จริยธรรม ค่านิยม โดยผ่านประสบการณ์การเรียนรู้และทักษะ ต่าง ๆ อย่างหลากหลาย ผู้เรียนจะได้รับการพัฒนาเกี่ยวกับความเป็นสมาชิกที่ดีในสังคมประชาธิปไตย เช่น การรู้จักตนเอง พึ่งตนเอง ซื่อสัตย์สุจริต มีวินัย กตัญญู รักเกียรติภูมิของตน เคารพเหตุผล มี ความยุติธรรม ห่วงใยในสวัสดิภาพของผู้อื่น ยอมรับความแตกต่างขจัดข้อขัดแย้งด้วยสันติวิธี ยึดมั่นใน ความยุติธรรม ความเสมอภาคและเสรีภาพ มีนิสัยในการเป็นผู้ผลิตและผู้บริโภคที่ดี เห็นคุณค่าของ การทำงาน การทำงานเป็นกลุ่ม การเคารพสิทธิของผู้อื่น เสียสละเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม มีความ ผูกพันกับกลุ่ม รักท้องถิ่น รักประเทศชาติ เทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ ภูมิใจในความเป็นไทยเห็น คุณค่า อนุรักษ์ พัฒนาศิลปะ วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อม และศรัทธาในหลักธรรมของศาสนา การจัดการซึ่งเป็นบทบาทและความรับผิดชอบของผู้เกี่ยวข้องฝ่ายต่าง ๆ ได้แก่ผู้เรียน ซึ่งต้องมีความรับผิดชอบเบื้องต้นที่จะต้องศึกษาเล่าเรียนให้ประสบความสำเร็จ นอกจากนั้นการ เรียนรู้กลุ่มสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม จำเป็นต้องอาศัยความพยายามร่วมกันทั้งผู้เรียน พ่อ แม่ ผู้ปกครอง ครู และผู้บริหาร ผู้เรียนต้องรับผิดชอบการเรียนของตน การเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้ สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ๓.๑ แสดงความเข้าใจในสาระความรู้ทางภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ สังคม วิทยา ศาสนา และวัฒนธรรม และการเป็นพลเมืองดี ๓.๒ เข้าใจโครงสร้างและหน้าที่ของระบบการเมือง การปกครอง ระบบสังคม และระบบ เศรษฐกิจ ๓.๓ เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างกิจกรรมต่างๆ ที่มนุษย์กระทำต่างเวลา ต่างสถานที่ บนพื้นฐานความคิดที่แตกต่างกัน นำไปสู่ความเป็นส่วนรวมและความเป็นประชาธิปไตย ๓.๔ ตระหนักในคุณค่าของหลักการประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และหลักการอื่นที่ปรากฏในรัฐธรรมนูญ รวมทั้งเรื่องเสรีภาพ ความเสมอภาค ความยุติธรรม และ ความรับผิดชอบ สามารถนำมาใช้กับตนเอง ผู้อื่น และสังคมได้ ๓.๕ มีความปฏิสัมพันธ์และทำงานร่วมกับผู้อื่นได้อย่างเหมาะสม แสดงออกถึงความ เคารพตนเองและผู้อื่น


๑๔ ๓.๖ รับผิดชอบต่อผู้อื่นและต่อสภาพแวดล้อม ซึ่งเป็นสาระสำคัญของคุณลักษณะการเป็น คนดีที่ได้รับการพัฒนาด้านคุณธรรม จริยธรรม และสาระที่เกี่ยวข้องกับการอยู่รอดของมวลมนุษย์ ๓.๗ มีส่วนร่วมในกิจกรรมต่าง ๆ ที่จะบริการผู้อื่น และส่งเสริมสิ่งดีงามให้เกิดขึ้นในสังคม ครู มีความรับผิดชอบในการสร้างสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ครูจึงต้องจัดเตรียมหลักสูตรกลุ่มสังคม ศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมที่บูรณาการเป็นหลักสูตรที่มีชีวิตมีความหมายลึกซึ้งและเป็นหลักสูตรที่ ให้ผู้เรียนได้เรียนด้วยการปฏิบัติจริง จัดเตรียมโอกาสที่จะให้ผู้เรียนได้เรียนรู้และฝึกฝนทักษะ กระบวนการต่าง ๆ เน้นการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์และการมีวิจารณญาณ รวมทั้งการทำความ เข้าใจในความรู้ต่าง ๆ ช่วยให้ผู้เรียนสามารถเชื่อมโยงสิ่งที่เรียนในกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรมกับการเรียนกลุ่มอื่น ๆ ได้ด้วยผู้บริหารมีความรับผิดชอบในการส่งเสริม สภาพแวดล้อมการเรียนรู้ ดังนั้น ผู้บริหารจึงต้องสนับสนุนช่วยเหลือในการนำหลักสูตรกลุ่มสาระการ เรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรมใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพจัดเตรียมสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อ การเรียนพ่อแม่ ผู้ปกครอง มีความผิดชอบในการสร้างสภาพแวดล้อมในบ้านให้เอื้อต่อการเรียนรู้ของ ผู้เรียน พ่อแม่ ผู้ปกครองจึงต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมของห้องเรียนและโรงเรียนให้ และรับข้อมูลที่เป็นการร่วมมือช่วยเหลือกับทางโรงเรียนกระตุ้นและมีส่วนร่วมในการพูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดเห็นประเด็นปัญหาทางสังคมและเรื่องที่ลูกหลานเรียนให้เวลาที่จะรับฟัง รับรู้ และทบทวนกิจกรรมต่าง ๆ ของโรงเรียนอย่างสม่ำเสมอ ๒.๑.๓ คุณภาพของผู้เรียน หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานได้กำหนดให้กลุ่มสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เป็นสาระการเรียนรู้พื้นฐานที่ผู้เรียนต้องเรียนตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ ถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖ ประกอบด้วยศาสตร์ต่าง ๆ หลายสาขา มีลักษณะเป็นสหวิทยาการมุ่งเน้นให้ผู้เรียนมีความรู้ มีทักษะ กระบวนการ มีคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยมที่พึงประสงค์รวมทั้งได้แสดงบทบาทและความรับผิดชอบ ทั้งต่อตนเอง ต่อผู้อื่น และต่อสภาพแวดล้อม จากองค์ประกอบดังกล่าว จึงทำให้กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และ วัฒนธรรม มีจุดเน้นในการสร้างคุณภาพของผู้เรียน ดังนี้ ๑. ยึดมั่นในหลักธรรมของพระพุทธศาสนา หรือศาสนาที่ตนนับถือ สามารถนำหลักธรรม คำสอนไปใช้ปฏิบัติในการอยู่ร่วมกันได้ เป็นผู้กระทำความดี มีค่านิยมที่ดีงาม พัฒนาตนเองอยู่เสมอ รวมทั้งบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์กับสังคมส่วนรวม ๒. ยึดมั่นศรัทธาและธำรงไว้ซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข ปฏิบัติตนเป็นพลเมืองดี ปฏิบัติตามกฎหมาย ขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรม ไทย รวมทั้งถ่ายทอดสิ่งที่ดีงามไว้เป็นมรดกของชาติ เพื่อสันติสุขของสังคมไทยและสังคมโลก


๑๕ ๓. มีความสามารถในการบริหารจัดการทรัพยากรให้มีประสิทธิภาพ เพื่อการดำรงชีวิต อย่างมีดุลยภาพ และสามารถนำหลักการของเศรษฐกิจพอเพียงไปปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๔. เข้าใจพัฒนาการของมนุษยชาติจากอดีตจนถึงปัจจุบัน ภาคภูมิใจในความเป็นไทยทั้ง ในอดีตและปัจจุบัน สามารถใช้วิธีการทางประวัติศาสตร์มาวิเคราะห์เหตุการณ์ต่าง ๆ อย่างเป็นระบบ และนำไปสร้างองค์ความรู้ใหม่ได้ ๕. มีปฏิสัมพันธ์ที่ดีงามระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ มนุษย์กับสิ่งแวดล้อม เป็นผู้สร้าง วัฒนธรรม มีจิตสำนึกในการอนุรักษ์ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนตลอดระยะเวลา ที่ผู้เรียนได้เรียนรู้ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานนั้น กลุ่มสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ได้มี ส่วนส่งเสริม สนับสนุน และพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพ ๒.๑.๔ มาตรฐานการเรียนรู้ช่วงชั้น มาตรฐานการเรียนรู้ช่วงชั้น คือ ความคาดหวังในตัวผู้เรียนว่าผู้เรียนควรรู้และสามารถทำ อะไรได้ตามมาตรฐานเมื่อเรียนจบในแต่ละช่วงชั้นได้แก่ ช่วงชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ - ๓ ประถมศึกษา ปีที่ ๔ - ๖ มัธยมศึกษาปีที่ ๑ - ๓ และมัธยมศึกษาปีที่ ๔ - ๖ การไม่ระบุมาตรฐานการเรียนรู้ใน แต่ละชั้นปีเพื่อให้สถานศึกษามีอิสระในการกำหนดและลำดับสิ่งที่จะเรียนสามารถยืดหยุ่นการ จัดประสบการณ์การเรียนรู้จากชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ - ๓ ประถมศึกษาปีที่ ๔ - ๖ มัธยมศึกษาปีที่ ๑ - ๓ และมัธยมศึกษาปีที่ ๔ - ๖ ให้เหมาะสมกับสภาพของท้องถิ่นและผู้เรียนได้เอง มาตรฐานการเรียนรู้ช่วงชั้นที่กำหนดไว้นอกเหนือจากใช้เป็นกรอบทิศทางในการจัด ประสบการณ์หรือสิ่งที่จะให้ผู้เรียนได้เรียนแล้วยังคาดหวังว่าในกิจกรรมการเรียนการสอน และ การประเมินผลการเรียนรู้ครั้งหนึ่งๆ สามารถสนองมาตรฐานการเรียนรู้ต่าง ๆ ได้หลายข้อการแยก เขียนมาตรฐานการเรียนรู้ช่วงชั้นของแต่ละมาตรฐานของแต่ละสาระหลักออกเป็นข้อๆนั้นมิได้หมาย ว่าผู้เรียนต้องมีภาพความสำเร็จในการบรรลุมาตรฐานการเรียนรู้ช่วงชั้นข้อนั้น ๆ ต่อการเรียนเพียง ครั้งเดียว ทั้งมาตรฐานและมาตรฐานการเรียนรู้ช่วงชั้น เป็นความคาดหวัง ที่ครอบคลุมสาระความรู้ ความสามารถ ค่านิยม ศีลธรรม และจริยธรรม โดยเขียนไว้บนพื้นฐานของการเรียนรู้ของผู้เรียน มาตรฐานการเรียนที่ระบุไว้ในแต่ละช่วงชั้นมิได้หมายความว่าให้ผู้เรียนเรียนรู้สิ้นสุดเฉพาะในช่วงชั้น เท่านั้นมาตรฐานการเรียนรู้เหล่านี้ถ้าจำเป็นยังสามารถเรียนรู้ซ้ำได้อีกในช่วงชั้นปีต่อไปด้วย มาตรฐานการเรียนรู้ช่วงชั้นบางอย่างต้องสั่งสมต่อไปในช่วงชั้นที่สูงขึ้นด้วย สิ่งที่คาดหวัง ให้เกิดขึ้นในตัวผู้เรียนที่ปรากฏอยู่ในมาตรฐานการเรียนรู้ช่วงชั้นอยู่บนพื้นฐานที่ผู้เรียนจะต้องศึกษา ตามวัย ระดับพัฒนาการ และตามชั้นปีของผู้เรียนทั้งมาตรฐาน และมาตรฐานการเรียนรู้ช่วงชั้นจาก สาระต่าง ๆ มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันและกัน ที่จะต้องนำมาผสมผสานกันในการเรียนการสอนครั้ง หนึ่ง ๆ ตลอดปีในมาตรฐานและมาตรฐานการเรียนรู้ช่วงชั้นแต่ละข้อมิได้เป็นการรวบรวมความรู้


๑๖ ทักษะค่านิยม และจริยธรรม ที่ครูจะหยิบยกมาสอนเพียงครั้งเดียวประเมินครั้งเดียวแล้วจะบันทึกไว้ ว่าผู้เรียนบรรลุตามมาตรฐานนั้นแล้ว แต่เป็นสิ่งที่ครูจะต้องนำมาใช้สอนซ้ำ ๆ บ่อย ๆ ในหน่วยการ เรียนต่าง ๆ ตลอดทั้งปีการจำแนกมาตรฐานและมาตรฐานการเรียนรู้เป็นข้อ ๆ ก็มิได้หมายถึง การเรียงลำดับก่อนหลัง หรือลำดับความสำคัญแต่อย่างใด มาตรฐานการเรียนรู้ช่วงชั้นเป็นเสมือนตัว บ่งชี้ความสำเร็จในการเรียนของผู้เรียนจบช่วงชั้นนั้น ซึ่งอาจประเมินหรือไม่ประเมินด้วยแบบทดสอบ ข้อเขียนและแบบประเมินแบบอื่น ๆ ก็ได้การจะนำสาระหลัก มาตรฐาน และมาตรฐานการเรียนรู้ช่วง ชั้นมาจัดไว้ในหลักสูตรอย่างไร แล้วจะนำไปสู่การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนอย่างไรใช้สื่อและ แหล่งเรียนรู้อะไร ใช้เวลาเรียนเท่าไร จะสอนในชั้นปีใด และประเมินผลอย่างไร ให้เป็นไปตาม มาตรฐานและมาตรฐานการเรียนรู้ช่วงชั้นที่วางไว้ถือเป็นความรับผิดชอบและการตัดสินใจของ สถานศึกษาเอง อย่างไรก็ตามการนำมาตรฐานการเรียนรู้ช่วงชั้น มาจัดทำมาตรฐานการเรียนรู้แต่ละปี หรือผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง (learning Outcome) และกำหนดสาระการเรียนรู้ (Topic of Content) จะทำให้สถานศึกษาเห็นแนวทางในการจัดทำหลักสูตรตามมาตรฐานกลุ่มสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมได้อย่างชัดเจน สาระที่ ๑ ศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม สาระนี้เป็นความคิดรวบยอดที่เกี่ยวข้องกับศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม ปรัชญา ประวัติศาสตร์ สังคมวิทยา มานุษยวิทยา ที่มุ่งศึกษามาตรฐานความประพฤติของพลเมือง และการ ยกระดับภาวะทางจิต ซึ่งผู้เรียนจะต้องมีความรู้ ประสบการณ์ และทักษะเกี่ยวกับจริยธรรม คุณธรรม ที่ว่าด้วยหลักความประพฤติ ของคนดีและอุดมคติตามแนวความเชื่อของศาสนาที่บุคคลนับถือ สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม จึงต้องให้ผู้เรียนได้แสวงหาความรู้และประสบการณ์ เกี่ยวกับหลักจริยธรรมคุณธรรมในการควบคุมความประพฤติ สามารถนำความคิด ความเชื่อ และ ความศรัทธาทางศาสนา มาเป็นแนวทางให้ผู้เรียนมีอุดมคติในการดำเนินชีวิต และปฏิบัติตาม หลักธรรมทางศาสนา เพื่อพัฒนาตนให้เป็นคนดี บำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ให้อยู่ ร่วมกันได้อย่างสงบสุข สาระที่ ๒ หน้าที่พลเมือง วัฒนธรรม และการดำเนินชีวิตในสังคม การดำเนินชีวิตในสังคมเป็นขอบข่ายสาระหลักที่มีแนวความคิดรวบยอดเกี่ยวข้องกับ สังคมวิทยา มานุษยวิทยา รัฐศาสตร์ และนิติศาสตร์ โดยศึกษาระบบความสัมพันธ์ของมนุษย์ในฐานะ ที่เป็นสมาชิกของสังคม มีวัฒนธรรม มีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นเป็นกลุ่ม ศึกษาสถาบันทางสังคมการจัด ระเบียบทางสังคมมุ่งให้เกิดความเข้าใจต่อระบบการเมือง การปกครอง โดยเฉพาะบทบาทและหน้าที่ ในฐานะพลเมืองของประเทศในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขศึกษาการ ยุติธรรม ด้วยความคิดรวบยอดเหล่านี้ทำให้ผู้เรียนสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ


๑๗ สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม จึงต้องให้ผู้เรียนได้แสวงหาความรู้และประสบการณ์ ที่เกี่ยวข้องกับกลุ่ม ชุมชน สังคม ที่มีวัฒนธรรมคล้ายคลึงและแตกต่างกัน มีการขัดเกลาทางสังคม ทั้งทางตรงและทางอ้อม ในฐานะเป็นสมาชิกที่อยู่ร่วมกัน อันมีบรรทัดฐานทางสังคมมีระบบ ค่านิยม ความเชื่อ ประเพณีทางสังคม สถาบันต่าง ๆ ซึ่งมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมทางสังคมรวมทั้งสามารถ วิเคราะห์สภาพทางสังคม วัฒนธรรม และความเป็นนอยู่ระหว่างสังคมไทยกับสังคมอื่นในโลก เพื่อให้ เกิดความเข้าใจอันดีต่อกัน นอกจากนี้ผู้เรียนสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรมจะต้องเรียนรู้ และแสวงหา ประสบการณ์ ทางด้านระบบการเมือง การปกครองประเภทต่าง ๆ ในโลกโดยเฉพาะระบบการเมือง การปกครองของประเทศไทยภายใต้รัฐธรรมนูญ ทั้งต้องเรียนรู้และเข้าใจรัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมาย สูงสุดในการปกครองและประเทศ ระบบการปกครองท้องถิ่น และกฎหมายสำคัญที่เกี่ยวข้องในชีวิต ของคนไทย เพื่อจะได้ปฏิบัติตนเป็นพลเมืองดีในวิถีชีวิตประชาธิปไตย และมีส่วนร่วมต่อสังคมอย่าง มีเหตุผล สาระที่ ๓ เศรษฐศาสตร์ สาระหลักนี้เป็นความคิดรวบยอดที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐศาสตร์ ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ สังคมวิทยา และสิ่งแวดล้อมศึกษา ที่มุ่งให้มีความเข้าใจว่ามนุษย์มีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมเพื่อ ตอบสนองความต้องการและความจำเป็นต่อการดำรงชีวิตอยู่อย่างไร ทั้งนี้เพราะมนุษย์มีความ ต้องการและความจำเป็นที่ไม่จำกัดในขณะที่ต้องดำรงชีวิตอยู่ในสังคมท่ามกลางทรัพยากรที่มีอยู่จำกัด สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม จึงต้องให้ผู้เรียนได้แสวงหาความรู้และประสบการณ์ ที่เกี่ยวข้องการผลิต การแจกจ่าย และการบริโภคสินค้า และบริการอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งใน ระดับประเทศ และระดับโลก ตลอดจนบทบาทของเทคโนโลยีที่มีต่อการตัดสินใจทางเศรษฐกิจ มีความสามารถที่จะฉลาดเลือกประเมิน คิดพิจารณาผลที่เกิดจากทางเลือก และตัดสินใจอย่าง มีวิจารณญาณ สาระที่ ๔ ประวัติศาสตร์ สาระหลักนี้เป็นความคิดรวบยอดที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ ปรัชญา มนุษยวิทยา สังคมวิทยา และโบราณคดี ที่มุ่งให้ความเข้าใจว่าวิวัฒนาการ การดำเนินชีวิตของมนุษยชาตินั้น มีการ สั่งสมมาตามกาลเวลาอย่างต่อเนื่อง และเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย การศึกษาเรื่องราวในอดีตทำให้ เกิดการเรียนรู้ว่า มนุษย์ในอดีตเผชิญปัญหาต่าง ๆ ในขณะดำรงชีวิตอยู่อย่างไร มีวิธีการจัดการกับ ปัญหาต่าง ๆ ทั้งที่ประสบความสำเร็จและความผิดพลาดอย่างไร เหตุการณ์และการกระทำในอดีตมี ผลต่อการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ในเวลาต่อมาอย่างไร อันจะเป็นการสร้างประสบการณ์และทางเลือกใน การดำรงชีวิตแก่คนรุ่นหลังต่อไป


๑๘ สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม จึงต้องให้ผู้เรียนได้แสวงหาความรู้และประสบการณ์ เกี่ยวกับความเป็นมาของตนเอง ของสังคม และของประเทศชาติว่ามีวิวัฒนาการมาอย่างต่อเนื่อง และ เปลี่ยนแปลงมาสู่ปัจจุบันอย่างไร มีความสามารถในการตีความและอธิบายนัยสำคัญของเหตุการณ์ ปัญหา และแบบแผนการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ เชิงประวัติศาสตร์ของประเทศและสังคมอื่นจากอดีตมา ทำความเข้าใจปัจจุบัน และที่จะเปลี่ยนแปลงในอนาคต สาระที่ ๕ ภูมิศาสตร์ สาระหลักนี้เป็นความคิดรวบยอดที่เกี่ยวข้องกับภูมิศาสตร์สิ่งแวดล้อมศึกษาประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา ที่มุ่งให้มีความเข้าใจในเรื่องมิติสัมพันธ์ทางภูมิศาสตร์กับสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ที่ปรากฏ อยู่ในโลก ความสัมพันธ์ต่อกันและกัน และต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม จึงต้องให้ผู้เรียนได้แสวงหาความรู้และประสบการณ์ ในการศึกษาความสัมพันธ์ของมนุษย์กับสิ่งแวดล้อมในเชิงมิติสัมพันธ์ ทั้งในส่วนของประเทศไทยกับ โลกที่เราอาศัยอยู่ มีความสามารถที่จะอธิบายลักษณะตำแหน่งแหล่งที่มา แบบแผนและกระบวนการ ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาปรากฏการณ์ของสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติและวัฒนธรรม คิดวิเคราะห์และตัดสินใจในปัญหาต่าง ๆ ที่มีผลต่อสังคม คุณภาพชีวิต และสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้อง กับผลประโยชน์ของชาติและผลกระทบที่มีต่อโลก๖ องค์ความรู้ทั้ง ๕ สาระนี้ จะต้องจัดให้ผู้เรียนเรียนรู้ครบทุกสาระในทุกปีตลอด ๑๒ ปี ของการศึกษาขั้นพื้นฐาน การจัดลำดับประสบการณ์การเรียนรู้ในสาระการเรียนรู้ช่วงชั้นที่ ๒ ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔-๖ คือ เรื่องราวของตัวผู้เรียน ท้องถิ่น จังหวัด ภาค และประเทศและการมีส่วน ร่วมในกิจกรรมตามขนบธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรมท้องถิ่นของตนได้มากขึ้น เชื่อมโยงกับสังคม อื่น ๆ ทั้งในประเทศและในโลก ๒.๒ โปรแกรม canva ๒.๒.๑ ความหมายของโปรแกรม canva ดวงพร เกี๋ยงคำ (๒๕๖๑) ได้อธิบายเกี่ยวกับโปรแกรม canva ไว้ว่าเป็นแอปพลิเคชัน สำหรับสร้างสื่อการนำเสนอหลากหลายรูปแบบ โปรแกรมนี้เน้นในเรื่องการแสดงภาพประกอบ คำอธิบาย ใช้เพื่อการนำเสนองาน โดยทำเป็นหน้า ๆ อาจทำให้มีเสียงบรรยายประกอบด้วยก็ได้๗ ๖ กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ, การจัดสาระการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ - ๖ ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๖๒, พิมพ์ครั้ง ที่ ๑, (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว, ๒๕๖๒), หน้า ๑๙๘. ๗ ดวงพร เกี๋ยงคำ, คู่มือใช้งาน canva ๒๐๑๓ ฉบับสมบูรณ์, (กรุงเทพมหานคร : ไอดีซีพรีเมียร์, ๒๕๖๑), หน้า ๕.


๑๙ สุรชัย ศรีใส (๒๕๖๒) อธิบายความหมายของโปรแกรม canva ว่าเป็นโปรแกรมในการ นำเสนอได้ในหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นนำเสนอแบบเป็นอักษร ภาพ หรือเสียง โดยตัวโปรแกรมนั้น สามารถนำสื่อเหล่านี้มาผสมผสานได้อย่างลงตัวและมีประสิทธิภาพมากที่สุด๘ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (๒๕๖๓) ให้ความหมายของโปรแกรม canva ว่าเป็น โปรแกรมหนึ่งที่มีประสิทธิภาพในการนำเสนอ เป็นเครื่องมือสื่อสารระหว่างผู้สอนและผู้เรียน ได้เป็น อย่างดี และเป็นการเตรียมความพร้อมอย่างดีของผู้สอน เปรียบเสมือนเข็มทิศนำทางที่ทำให้ผู้สอน สามารถสื่อสารกับผู้เรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ สรุปได้ว่า canva เป็นโปรแกรมในการนำเสนอได้ในหลายรูปแบบทั้งอักษร ภาพและเสียง ที่นำมาผสมผสานอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดเป็นเครื่องมือสื่อสารระหว่างผู้สอนและผู้เรียนได้ ๒.๒.๒ ประวัติความเป็นมาของโปรแกรม canva สุรชัย ศรีใส (๒๕๖๐) กล่าวถึงความเป็นมาของโปรแกรม canva ว่าเริ่มแรกนั้นได้รับการ พัฒนาสร้างขึ้นมาจาก Pain Point ซึ่งโปรแกรม Canva เป็นธุรกิจออกแบบที่ใช้การคิดเชิงการ ออกแบบ หรือ Design Thinking ในการพัฒนาธุรกิจ โดยเฉพาะการทำขั้นตอน Prototype และ Test เพื่อให้ Canva กลายเป็นธุรกิจแบบ Shark bite หรือธุรกิจที่เป็นที่ต้องการของตลาดจริงๆ (Order Winner) และโปรแกรมสามารถสร้างแผ่นสไลด์ สามารถนําสไลด์มาเรียงลำดับเป็นผลงานการ นำเสนอแบบง่ายๆได้ พ.ศ. ๒๕๕๘ : Guy Kawasaki ผู้ทำหน้าที่สร้างเรื่องราว เนื้อหา ให้กับลูกค้าหรือผู้บริโภค เพื่อให้เกิดแรงบันดาลใจที่นำไปสู่การยอมรับและใช้งานเทคโนโลยี ซึ่งเคยดำรงตำแหน่ง Chief Evangelist ของ Apple มาช่วยสร้างสรรค์ผลงานที่ Canva พ.ศ. ๒๕๕๘ : Canva ออกผลิตภัณฑ์ "Design Button" ที่เป็น plug-in ให้กับผู้ให้บริการ ด้านเว็บไซต์ เพื่อช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถออกแบบกราฟฟิคให้กับเว็บไซต์ของตนเองได้ พ.ศ. ๒๕๖๒ : Canva กลายเป็น Unicorn เมื่อการระดมทุนครั้งล่าสุดแสดงให้เห็นถึง ความน่าสนใจของธุรกิจ และ Canva ถูกจัดให้มีมูลค่ากว่า ๑ พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ๒.๒.๓ ลักษณะของโปรแกรม Canva ดวงพร เกี๋ยงคำ (๒๕๖๐) ได้อธิบายเกี่ยวกับโปรแกรม Canva ว่าเป็น โปรแกรมสั่งงาน คอมพิวเตอร์ที่ถูกออกแบบมาให้ใช้กับงานด้านการนำเสนอเรื่องราวต่าง ๆ ในลักษณะ คล้ายกับการ ฉายสไลด์ โดยเราสามารถใช้คำสั่งของ Canva สร้างแผ่นสไลด์ที่มีรูปภาพและ บรรยายเรื่องที่ต้องการ จะนำเสนอได้อย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งกำหนดลักษณะแสงเงาและลวดลายสีพื้นให้สไลด์แต่ละแผ่นมี ความสวยงามน่าสนใจยิ่งขึ้น นอกจากนี้ เรายังสามารถกำหนดรูปแบบการฉายสไลด์แต่ละแผ่นได้ ต่อเนื่อง และใช้เทคนิคพิเศษในการแสดงข้อความแต่ละบรรทัด เพื่อให้ผู้ชมการฉายสไลด์ค่อย ๆ เห็น ๘ สุรชัย ศรีใส, เทคโนโลยีทางการศึกษา, (อุบลราชธานี : มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี, ๒๕๖๒), หน้า ๙.


๒๐ ข้อความ และภาพบรรยายเหล่านี้ทีละขั้น ๆ อย่างต่อเนื่องกัน เป็นเรื่องราวตามระยะเวลาที่เรา กำหนดไว้ สรุปว่า โปรแกรม Canva ถึงจะเป็นโปรแกรมที่มีประสิทธิภาพในการนำเสนอก็อาจมี ข้อจำกัดบ้าง จึงควรเลือกใช้ให้เหมาะสมกับเนื้อหาเพื่อจะเกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการสื่อสาร สิ่งสำคัญ คือ ผู้ใช้ต้องมีความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาที่จะบรรยายเป็นอย่างดี จึงจะสามารถส่งสารไปถึง ผู้รับสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ โปรแกรม Canva เป็นเพียงเครื่องมืออย่างหนึ่งที่ให้มนุษย์ใช้ ติดต่อสื่อสาร รวมถึงความตั้งใจจริงของผู้ส่งสารที่จะถ่ายทอดความรู้และผู้รับสารที่มีความพร้อมที่จะ เรียนรู้จากสาร การสื่อสารนั้นจึงจะประสบผลสำเร็จ ๒.๒.๔ ประโยชน์ของโปรแกรม Canva ดวงพร เกี๋ยงคำ (๒๕๖๐) ได้อธิบายเกี่ยวกับประโยชน์ของโปรแกรม Canva ว่า ๑. สามารถสร้างงานนำเสนอได้ แม้ว่าจะไม่เคยสร้างงานนำเสนอมาก่อน ก็สามารถทำได้ โดยมีรูปแบบสำเร็จรูป ใช้งานง่าย ใช้งานฟรีใน Canva ซึ่งจะคอยแนะนำหลักการในการสร้างงาน นำเสนออย่างเป็นขั้นตอน การเลือกสีมาใช้กับสไลด์ และจัดองค์ประกอบทางศิลป์ได้โดยอัตโนมัติ ๒. ในส่วนการนำเสนอภาพนิ่ง สามารถที่จะนำองค์ประกอบมัลติมีเดีย เช่น นำเอฟเฟค เสียง ดนตรี และวีดีโอ มาใช้ประกอบร่วมได้ ๓. นอกจากสิ่งที่ได้เตรียมมานำเสนอแล้ว ยังสามารถใช้ Canva เตรียมเอกสาร ประกอบ คำบรรยายและในขณะที่มีการนำเสนองาน ก็จะสามารถใช้เมาส์วาดเส้นบนสไลด์ที่แสดงอยู่ ในขณะ นั้นเพื่อเน้นประเด็นสำคัญได้ ๔. สามารถที่จะดัดแปลงงานนำเสนอที่เป็นไฟล์ Canva เป็นสไลด์ ๓๕ ม.ม. เพื่อใช้ นำเสนอผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต หรือเครือข่ายอินทราเน็ตภายในองค์กรได้๙ ชัยยงค์ พรหมวงศ์ (๒๕๖๑) กล่าวถึงประโยชน์ของโปรแกรม Canva ในด้านการศึกษา ไว้ดังนี้ ๑. ช่วยเพิ่มคุณภาพในการเรียนการสอน สื่อการเรียนการสอนที่ผลิตด้วยโปรแกรม Canva สามารถนำไปประยุกต์กับสื่ออื่น ๆ ได้หลายประเภท ทั้งสื่อภาพนิ่ง สื่อภาพเคลื่อนไหว สื่อ เสียง ๒. ทำให้การเรียนการสอนสะดวกรวดเร็วกว่าวิธีดั้งเดิม ประหยัดงบประมาณ และเวลา ในการผลิตสื่อการเรียนการสอน ๙ ดวงพร เกี๋ยงคำ, คู่มือใช้งาน PowerPoint ๒๐๑๓ ฉบับสมบูรณ์, (กรุงเทพมหานคร : ไอดีซีพรีเมียร์, ๒๕๖๐), หน้า ๑๒.


๒๑ ๓. ทำให้เกิดเครือข่ายของความรู้ สื่อการเรียนการสอนที่ผลิตด้วยโปรแกรม Canva สามารถจัดเก็บไว้บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ผู้เรียนสามารถเข้าไปค้นคว้าศึกษาได้อย่างไม่จำกัดเวลา และสถานที่ ทำให้เกิดคลังความรู้ขนาดมหาศาล และเป็นแหล่งเรียนรู้ที่ทันสมัยกว่าเอกสารและตำรา ทั่วไป เพราะมีการปรับปรุงข้อมูลให้ทันสมัยอยู่เสมอ ๔. ความสำคัญด้านการถ่ายทอดข้อมูลข่าวสารความรู้และการอบรม งานทุกอย่างจะต้อง มีการสื่อสารเพื่อถ่ายทอดข้อมูล ข่าวสาร ความรู้ซึ่งกันและกัน เช่น การที่ครูสอนนักเรียนจำเป็น อย่างยิ่ง ที่จะต้องอาศัยการสื่อสารที่ดีมีคุณภาพ เพื่อให้การเรียนการสอนบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ ๕. เป็นเครื่องประกันประสิทธิภาพการเรียนการสอน ขั้นตอนการสอนที่ออกแบบไว้ ต้อง มีการทดสอบและการนำไปใช้ เพื่อสร้างความมั่นใจว่า การดำเนินการสอนตามขั้นตอนที่ออกแบบไว้ ทำให้การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ๖. เป็นเครื่องมือสื่อสารระหว่างผู้สอนกับผู้เรียน เนื้อหาการเรียนการสอนได้ถูกจัดทำใน รูปแบบของชุดการสอน ด้วยโปรแกรม Canva ผู้สอนคนอื่นสามารถนำไปสอนได้ ๗. เป็นเครื่องมือเตรียมความพร้อมระหว่างผู้สอนกับผู้เรียนระบบการสอนที่ถูกออกแบบ ไว้อย่างสมบูรณ์แล้วและได้กำหนดลำดับขั้นตอนต่าง ๆ ไว้อย่างดีแล้ว ทำให้ผู้สอนสอนได้อย่างมี ประสิทธิภาพ ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ จนบรรลุวัตถุประสงค์การเรียนรู้ที่ตั้งไว้ ๘. เป็นเครื่องมือในการพัฒนาการเรียนการสอน จากการนำเสนอเนื้อหาต่าง ๆ ด้วย โปรแกรม Canva จะมีข้อมูลย้อนกลับ ทั้งข้อดีและข้อจำกัด เพื่อเป็นข้อมูลในการปรับปรุงพัฒนา ต่อไป๑๐ จากแนวคิดของนักวิชาการและองค์กรทางการศึกษาจะเห็นได้ว่า โปรแกรม Canva เป็น ประโยชน์อย่างยิ่งต่อการสร้างสื่อเพื่อจัดการเรียนการสอน เพื่อพัฒนาคุณภาพของผู้เรียนทำให้ผู้เรียน สนใจ ใฝ่เรียนรู้ และทำให้มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้นได้ ๒.๒.๕ แนวทางการสร้างสื่อของโปรแกรม Canva การสร้างสื่อ Canva ที่ดีควรทำอย่างเป็นขั้นตอน โดยเริ่มจากการวางโครงร่างของสื่อ จากนั้นจึงลงรายละเอียด และจัดทำเพื่อนำเสนอให้เป็นไปอย่างรวดเร็ว จึงควรทำตามขั้นตอน ดังต่อไปนี้ ๑. การวางโครงร่าง ก่อนเริ่มเตรียมสร้างสื่อ Canva ควรมีความชัดเจนในสิ่งที่ต้องการที่ จะสร้าง โดยศึกษาหลักสูตร ผลการเรียนรู้รายวิชา การเริ่มเตรียมการวางโครงร่างเพื่อเป็นการ ถ่ายทอด ความคิดของผู้นำเสนอเป็นแนวทางทำให้เกิดความชัดเจนเกี่ยวกับสื่อที่จะนำเสนอ ซึ่งจะ ๑๐ ชัยยงค์ พรหมวงศ์, เอกสารการสอนชุดวิชาเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษาหน่วยที่ ๑ - ๕ (ระบบ สื่อการสอน), พิมพ์ครั้งที่ ๒, (นนทบุรี : สำนักเทคโนโลยีการศึกษา มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, ๒๕๖๑), หน้า ๑๕.


๒๒ ช่วยให้ไม่พลาดหัวข้อสำคัญที่ต้องนำเสนอ นอกจากนั้นการวางโครงร่างยังเปรียบเสมือนแผนที่ในการ ดำเนินเรื่องจะได้มีความมั่นใจว่าการนำเสนอสื่อนั้นได้ผลลัพธ์ตรงตามจุดประสงค์ที่วางไว้ ๒. การลงรายละเอียดเนื้อหา หลังจากวางโครงร่างตั้งแต่เริ่มจนจบแล้ว ต่อไปเป็นการลง รายละเอียดในหัวข้อต่าง ๆ โดยมุ่งเน้นที่กลุ่มผู้เรียนเป็นหลักว่าสื่อที่จะนำเสนอต้องมีเนื้อหาหรือ รูปแบบที่เหมาะสม ซึ่งต้องพิจารณาตั้งแต่องค์ประกอบต่าง ๆ ที่ใช้ อาทิ ภาพ สี และแนวการนำเสนอ เช่น การบรรยายเชิงวิชาการก็ควรให้โทนสีของสื่อสอดคล้องกับเนื้อหาที่เน้นไปทางสาระและข้อมูล ๓. การใส่ข้อความ รูปภาพ กราฟ หรืออื่น ๆ ในสื่อ เป็นขั้นตอนที่นำเอาสิ่งต่าง ๆ ที่ ต้องการนำเสนอมาใส่ในสไลด์แต่ละแผ่น โดยขั้นตอนนี้อาจจะไม่ต้องประณีตเกี่ยวกับความสวยงาม มากนัก แต่ควรเน้นให้มีเนื้อหามีความครบถ้วนสมบูรณ์ และมีความสอดคล้องกันทั้งข้อความ รูปภาพ และกราฟ ๔. การปรับแต่งสื่อให้มีสีสันสวยงาม หลังจากที่ได้ใส่ข้อความที่ต้องการนำเสนอแล้ว ต่อไปจะต้องปรับแต่งตัวอักษร สีที่ใช้กับสื่อและรูปแบบขององค์ประกอบต่าง ๆ ที่แสดง เพื่อให้ สื่อดูดี สวยงามและน่าติดตาม เช่น การใช้ข้อความอักษรศิลป์ให้เงากับวัตถุ กำหนดภาพสามมิติ เป็นต้น ๕. การเพิ่มความน่าสนใจให้กับสื่อในขณะนำเสนอ กรณีใช้คอมพิวเตอร์ในการนำเสนอสื่อ ก็อาจนำเทคนิคในการเปลี่ยนแผ่นสื่อมาใช้ เนื่องจากมีมากมายหลายแบบให้เลือกใช้ เพื่อเพิ่มความ น่าสนใจให้กับการนำเสนอข้อมูลได้ ๖. เตรียมการนำเสนองานจริง หลังจากได้สื่อเพื่อนำเสนอที่สมบูรณ์แล้ว ก่อนถึงเวลาที่จะ ต้องนำเสนอ ควรซ้อมการพูดให้เข้ากับแผ่นสื่อที่เตรียม ควรมีการจับเวลาที่ใช้นำเสนอด้วยเพื่อจะได้ ทราบเวลาบรรยายจริง และจะได้ปรับลดให้เหมาะสมยิ่งขึ้น๑๑ ๒.๒.๖ ข้อดีและข้อจำกัดของโปรแกรม Canva สุรชัย ศรีใส (๒๕๖๐) กล่าวถึงการใช้โปรแกรม Canva ว่ามีข้อดีและข้อจำกัด ดังนี้ ๑. ข้อดีของโปรแกรม Canva (๑) สำหรับนำเสนอข้อมูลในรูปแบบของข้อความ รูปภาพ เสียง ภาพเคลื่อนไหว (๒) สามารถตกแต่งตัวอักษรให้สวยๆ มีฟีเจอร์ที่โดดเด่นหลากหลาย (๓) การทำงานจะแบ่งออกเป็นหน้า ๆ แต่ละหน้าเรียกว่า Slide (๔) การสร้างจะมี Slide Lay out ช่วยในการออกแบบและใส่ข้อมูล (๕) รูปแบบหรือ Themes จะมี Design สำหรับรูป ช่วยสร้างสื่อได้สะดวกมากขึ้น (๖) รองรับไฟล์ข้อมูลประเภทต่างๆ และสามารถแชร์การทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ ๑๑ ชัยยงค์ พรหมวงศ์, เอกสารการสอนชุดวิชาเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษาหน่วยที่ ๑ - ๕ (ระบบ สื่อการสอน), พิมพ์ครั้งที่ ๒, (นนทบุรี : สำนักเทคโนโลยีการศึกษา มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, ๒๕๕๖), หน้า ๑๗.


๒๓ (๗) รองรับภาพเคลื่อนไหวเช่น เช่น Flash, Gif Animation, Video เป็นต้น (๘) สามารถสั่งรันแบบอัตโนมัติได้มีเทมเพลตฟรีให้เลือกมากมาย (๙) สามารถสั่งพิมพ์ในรูปแบบต่างๆ และใช้งานได้ทั้งโทรศัพท์มือถือและ คอมพิวเตอร์และสามารถใช้งานร่วมกับผู้อื่นได้ (๑๐) ถ้าไฟล์ที่สร้างเป็นไฟล์ PPSX จะสามารถรับ Presentation แบบอัตโนมัติได้ ๒. ข้อจำกัดของโปรแกรม PowerPoint (๑) บางครั้งเทมเพลตที่ต้องการอาจต้องเสียเงิน (๒) การใช้งานบนมือถือ บางครั้งค่อนข้างยากพอสมควร๑๒ สำหรับ ดวงพร เกี๋ยงคำ (๒๕๖๑) ได้อธิบายเกี่ยวกับข้อดีและข้อจำกัดของการใช้ โปรแกรม Canva ไว้ดังนี้ ๑. ข้อดีของโปรแกรม Canva (๑) เป็นมิตรกับผู้ใช้ ด้วยหน้าตาและเครื่องมีที่มีอยู่บนเว็บไซต์ที่ทำให้ผู้ใช้งานง่าย สำหรับผู้ที่ไม่เคยออกแบบมาก่อนก็สามารถทำได้ จึงทำให้ผู้ใช้ส่วนใหญ่เรียนรู้วิธีใช้งานได้อย่างง่าย (๒) เครื่องมือที่ใช้งานง่าย Canva มาพร้อมกับเครื่องมือสำเร็จรูปในการออกแบบ สไลด์มาแล้ว ซึ่งคุณสามารถเลือกชุดสี ตัวหนังสือ กราฟิก และ Background ได้ทั้งหมดในโปรแกรม (๓) มีTransition และอนิเมชั่น คุณสามารถใช้อนิเมชั่นที่มีมากับโปรแกรมเพื่อเพิ่ม รูปแบบในการนำเสนอสไลด์ได้ (๔) มี Hyperlinks คือ คุณสามารถใส่มันลงไปให้คลิกได้ จะเป็นการคลิกเพื่อเข้า เว็บไซต์ หรือคลิกเพื่อไปอีกสไลด์หนึ่งก็ทำได้ (๕) เชื่อมต่อกับ SlideShare ได้ คุณสามารถอัพโหลด Presentation ลงบนเว็บไซต์ ออนไลน์อย่าง SlideShare เพื่อแชร์ได้ (๖) สามารถปริ้นสไลด์ออกมาได้ ทำให้จดสิ่งที่สำคัญไว้ได้ (๗) มีกราฟและตาราง เพื่อทำให้งานนำเสนอของคุณแบ่งข้อมูลเป็นหมวดหมู่ ๒. ข้อเสียของ Canva (๑) มีการเล่าเรื่องแบบเส้นตรง ซึ่งบางคนอาจต้องการให้การนำเสนอเป็นการเล่า เรื่อง แบบข้ามไปอีกสไลด์หนึ่ง แต่ Canva ต้องไปตามเส้นตรง (๒) ไฟล์ใหญ่ ทำให้เกิดไฟล์ที่ใหญ่มากถ้าคุณใส่รูปภาพ เสีย หรือวิดีโอลงไป แล้วถ้า เกิดคุณต้องการส่งอีเมล มันอาจจะเป็นเรื่องที่ยุ่งยากในบางครั้ง จากข้อดีและข้อจำกัดดังกล่าวข้างต้น ผู้ที่จะใช้โปรแกรม Canva จึงต้องพิจารณาให้ เหมาะสมกับความต้องการของงานที่ต้องการจะทำเพื่อประสิทธิภาพของผลงานที่ต้องการ ๑๒ สุรชัย ศรีใส, เทคโนโลยีทางการศึกษา, (อุบลราชธานี : มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี, ๒๕๕๕), หน้า ๒๑.


๒๔ ๒.๓ การหาประสิทธิภาพของสื่อ ๒.๓.๑ ความหมายของการหาประสิทธิภาพของสื่อ ในการหาประสิทธิภาพมีผู้ให้ความหมาย และการประเมินสื่อการสอนไว้ ดังนี้ ไชยยศ เรืองสุวรรณ (๒๕๔๘) กล่าวถึงการประเมินสื่อการเรียนการสอนว่าเป็นการ พิจารณาหาประสิทธิภาพ และหาคุณภาพของสื่อการเรียนการสอน ดังนั้นการประเมินสื่อจึงเริ่มด้วย การกำหนดปัญหา หรือคำถาม เช่นเดียวกับการวิจัย ด้วยเหตุนี้การประเมินสื่อจึงเป็นการวิจัยอีกแบบ หนึ่งที่เรียกว่า การวิจัยประเมิน (Evaluation Research)๑๓ เผชิญ กิจระการ (๒๕๔๖) ได้กล่าวถึง ประสิทธิภาพของสื่อการการสอนว่า หมายถึง ความสามารถของบทเรียนในการสร้างผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามจุดประสงค์ ถึงระดับเกณฑ์ที่คาดไว้ ประสิทธิภาพที่วัดออกมาจะพิจารณาจากเปอร์เซ็นต์การทำแบบฝึกหัดหรือ กระบวนการปฏิสัมพันธ์กับเปอร์เซ็นต์การทำแบบทดสอบเมื่อจบบทเรียน๑๔ จากความหมายของการหาประสิทธิภาพของสื่อที่นักการศึกษาได้ให้ความหมาย สรุปได้ว่า การหาประสิทธิภาพของสื่อการสอนเป็นกระบวนการตรวจสอบและพิจารณาคุณค่าของสื่ออย่างมี ระบบก่อนนำสื่อไปใช้งานจริงในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพต่อไป ๒.๓.๒ เกณฑ์ประสิทธิภาพของสื่อ การกำหนดเกณฑ์ประสิทธิภาพ โดยการประเมินผลพฤติกรรมของผู้เรียน ๒ ประเภท คือ พฤติกรรมต่อเนื่อง (กระบวนการ) และพฤติกรรมขั้นสุดท้าย (ผลลัพธ์) โดยกำหนดค่าประสิทธิภาพ เป็น E๑ = ประสิทธิภาพกระบวนการ, E๒ = ประสิทธิภาพของผลลัพธ์๑๕ ๑. ประสิทธิภาพพฤติกรรมต่อเนื่อง (transitional behavior) คือ ประเมินผลต่อเนื่อง ซึ่งประกอบด้วยพฤติกรรมย่อยหลาย ๆ พฤติกรรม เรียกว่า กระบวนการ (process) ของผู้เรียนที่ สังเกตจากการประกอบกิจกรรมกลุ่ม (รายงานของกลุ่ม) และรายงานบุคคล ได้แก่ งานที่มอบหมาย และกิจกรรมอื่นใดที่ผู้สอนกำหนดไว้ ๑๓ ไชยยศ เรืองสุวรรณ, การจัดระบบงานสื่อและเทคโนโลยีการศึกษาและห้องสมุดสื่อโรงเรียน, (มหาสารคาม : ภาควิชาเทคโนโลยีและสื่อการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, ๒๕๔๘ ), หน้า ๑๓๔. ๑๔ เผชิญ กิจระการ, ดัชนีประสิทธิผล, (มหาสารคาม: คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, ๒๕๔๖), หน้า ๓๓. ๑๕ ชัยยงค์ พรหมวงศ์, ระบบสื่อการสอน, (สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๕๖), หน้า ๑๔๓.


๒๕ ๒. ประเมินพฤติกรรมขั้นสุดท้าย (terminal behavior) คือ ประเมินผลลัพธ์ (products) ของผู้เรียน โดยพิจารณาจากการสอบหลังเรียนและการสอบไล่ ประสิทธิภาพของแอพพลิเคชั่นจะ กำหนดเป็นเกณฑ์ที่ผู้สอนคาดหมายว่าผู้เรียนจะเปลี่ยนพฤติกรรมเป็นที่พึงพอใจ โดยกำหนดให้เป็น เปอร์เซ็นต์ของผลเฉลี่ยของคะแนนการทำงาน และการประกอบกิจกรรมของผู้เรียนทั้งหมดต่อ เปอร์เซ็นต์ของผลการสอบหลังเรียนของผู้เรียนทั้งหมด นั่นคือ E๑/E๒ คือ ประสิทธิภาพของ กระบวนการ/ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ โดย E๑ และ E๒ มีความหมาย ดังนี้ E๑ หมายถึง ค่าร้อยละของคะแนนเฉลี่ยที่เกิดจากการทำกิจกรรมระหว่างเรียนจากชุด การสอนของผู้เรียน (ประสิทธิภาพของกระบวนการเรียนรู้) E๒ หมายถึง ค่าร้อยละของคะแนนเฉลี่ยที่เกิดจากการทำแบบทดสอบหลังการเรียนของ ผู้เรียน (ประสิทธิภาพของผลลัพธ์การเรียนรู้) ๒.๓.๓ ขั้นตอนการหาประสิทธิภาพของสื่อ เมื่อผลิตชุดการสอนขึ้นเป็นต้นแบบแล้ว ต้องนำชุดการสอนไปหาประสิทธิภาพตาม ขั้นตอนต่อไปนี้ ๑. แบบเดี่ยว (๑ : ๑) คือ ทดลองกับผู้เรียน ๓ คน โดยใช้เด็กอ่อน ปานกลาง และเด็กเก่ง คำนวณหาประสิทธิภาพ เสร็จแล้วปรับปรุงให้ดีขึ้น โดยปกติคะแนนที่ได้จากการทดลองแบบเดี่ยวนี้ จะได้คะแนนต่ำกว่าเกณฑ์มากแต่ไม่ต้องวิตกเมื่อปรับปรุงแล้วจะสูงขึ้นมาก ๒. แบบกลุ่ม (๑ : ๑๐) คือ ทดลองกับผู้เรียน ๖ - ๑๐ คน คละผู้เรียนที่เก่งกับอ่อน คำนวณหาประสิทธิภาพแล้วปรับปรุง ในคราวนี้คะแนนของผู้เรียนจะเพิ่มขึ้นอีกเกือบเท่าเกณฑ์โดย เฉลี่ยจะห่างจากเกณฑ์ประมาณ ๑๐% นั่นคือ ที่ได้จะมีค่าประมาณ ๗๐/๗๐ ๓. ภาคสนาม (๑: ๑๐๐) คือ ทดลองกับผู้เรียนทั้งชั้น ๓๐ คน คำนวณหาประสิทธิภาพ แล้วให้เทียบค่า E๑/E๒ ที่หาได้จากชุดการสอนกับ E๑/E๒ เกณฑ์ เพื่อดูว่าเราจะยอมรับประสิทธิภาพ หรือไม่ การยอมรับประสิทธิภาพให้ถือค่าแปรปรวน ๒.๕ – ๕% นั่นคือประสิทธิภาพของบทเรียนไม่ ควรต่ำกว่าเกณฑ์เกิน ๕% แต่โดยปกติเราจะกำหนดไว้ ๒.๕% อาทิ เราตั้งเกณฑ์ประสิทธิภาพไว้ ๙๐/ ๙๐ เมื่อทดลองแบบ ๑ : ๑๐๐ แล้วบทเรียนนั้นมีประสิทธิภาพ ๘๗.๕/๘๗.๕ เราก็สามารถยอมรับได้ ว่าบทเรียนนั้นมีประสิทธิภาพ


๒๖ ๒.๓.๔ สูตรการคำนวณหาประสิทธิภาพ การหาประสิทธิภาพของแอพพลิเคชั่นของบทเรียนวิชาสังคมฯสามารถคำนวณได้จากสูตร ดังต่อไปนี้๑๖ สูตร E๑ = ∑ χ N A × ๑๐๐ E๒ = ∑ F N B × ๑๐๐ เมื่อ E๑ แทน ประสิทธิภาพของกระบวนการเรียนรู้ E๒ แทน ค่าประสิทธิภาพของผลลัพธ์การเรียนรู้ ∑ χ แทน คะแนนรวมจากการทำแบบฝึกหัดระหว่างเรียน N แทน จำนวนผู้เรียน A แทน คะแนนเต็มของแบบฝึกหัดกิจกรรมระหว่างเรียน ∑ F แทน คะแนนรวมของแบบทดสอบย่อยหลังเรียน B แทน คะแนนเต็มของแบบทดสอบย่อยหลังเรียน ๒.๔ กระบวนการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (๕E) ความหมายของการจัดการเรียนรู้แบบวัฏจักรการสืบเสาะหาความรู้นักการสึกษาหลาย ท่านได้ให้ความหมายของการจัดการเรียนรู้แบบวัฏจักรการสืบเสาะหาความรู้ ดังนี้ ลอว์สัน (Lawson 1995: 424, อ้างถึงใน สุนีย์ เหมะประสิทธิ์, ๒๕๔๔: ๑๐๓) กล่าวถึงวัฏ จักรการสืบเสาะหาความรู้ว่า เป็นรูปแบบของกระบวนการเรียนรู้ที่นักวิทยาศาสตร์ศึกษาได้คิดค้นขึ้น เพื่อให้ผู้เรียนสามารถใช้วิธีการสืบเสาะหาความรู้ทางวิทยาสตร์ (Inquiry Approach) ที่ต้องอาศัย ทักษะกระบวนการทางวิทยาสตร์ในการค้นพบความรู้หรือประสบการณ์การเรียนอย่างมีความหมาย ด้วยตนเอง๑๗ นันทิยา บุญเคลือบ (๒๕๔๐: ๑๑-๑๔) กล่าวถึงการจัดการเรียนรู้ด้วยวัฏจักรการสืบ เสาะหาความรู้ว่า เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องกันไปในลักษณะของวัฏจักร (Cycle) ในการ เรียนการสอนแต่ละครั้งหรือแนวคิดจะเริ่มต้นจากขั้นการนำเข้าสู่บทเรียนและจบลงโดยการ ประเมินผล ผลที่ได้จะถูกนำไปใช้เป็นพื้นฐานในการเรียนการสอนครั้งต่อไป นอกจากนี้การนำความรู้ หรือแบบจำลองไปใช้อธิบายหรือประยุกต์ใช้กับเหตุการณ์หรือเรื่องอื่นๆ จะนำไปสู่ข้อโต้แย้งหรือ ๑๖ ชัยยงค์ พรหมวงศ์, ระบบสื่อการสอน, (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๕๖), หน้า ๘. ๑๗ Lawson, A.E. Science Teaching and Development of Thinkin, (California: Allyn and Bacon, 1994).


๒๗ ข้อจำกัด ซึ่งจะก่อให้เกิดประเด็นหรือคำถาม หรือปัญหาที่จะต้องสำรวจตรวจสอบต่อไป ทำให้เกิด เป็นกระบวนการที่ต่อเนื่องกันไปเรื่อยๆ๑๘ เจมส์แบงค์ (James A Bank 1976, อ้างถึงใน นิรดา ปัตนวงศ์, ๒๕๕๒: ๕๑) ได้เสนอ ขั้นตอนการสอนนแบบสืบเสาะหาความรู้คือครูจะต้องเป็นผู้จัดสถานการณ์ให้นักเรียนเกิดความสงสัย ตั้งปัญหาตั้งข้อสมมติฐาน นิยามความหมายรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล ทดสอบสมมติฐาน และขั้น สุดท้ายคือการสร้างข้อสรุปจากข้อมูลที่ตรวจสอบมาแล้วทั้งหมดและอาจจะเริ่มสืบสอบปัญหาใหม่ ต่อไปโดยเน้นขั้นตอนต่างๆ ที่ครูนำไปใช้สรุปที่จะได้นำไปสู่ปัญหาหรือข้อสงสัยใหม่ได้เสมอ นอกจากนั้นได้กล่าวถึงมุ่งหมายของการนำวิธีแบบสืบเสาะหาความรู้มาใช้ในวิชาสังคมศาสตร์ว่า “เพื่อให้บุคคลมีการตัดสินใจที่ดีขึ้นกว่าเดิม” โอดม และเคลลี่ (Odom and Kell, 2001: 615-635) กล่าวถึงการจัดการเรียนรู้แบบวัฏ จักรการสืบเสสาะหาความรู้ว่าเป็นรูปแบบการสอนที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้รับประสบการณ์ในการ สร้างความรู้ทั้งด้านมโนมติวิธีการรวมถึงทักษะกระบวนการ โดยผ่านกระบวนการที่เป็นขั้นตอนอย่าง ต่อเนื่อง สมบัติ การจนารักพงค์ และคณะ (๒๕๔๙: ๓) กล่าวถึงความหมายของการจัดการเรียนรู้ แบบวัฏจักรการสืบเสาะหาความรู้ (5E) ว่า คือการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการสืบ เสาะหาความรู้ (Inquiry Cycle) ที่ประกอบด้วย ๕ ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นการสร้างความสนใจ (Engagement) ขั้นการสํารวจและค้นหา (Exploration) ขั้นการอธิบาย (Explanation) ขั้นการ ขยายความรู้ (Elaboration) และขั้นการประเมินผล (Evaluation) โดยคำย่อว่า 5E มาจาก E ที่เป็น อักษรตัวแรกของคำภาษาอังกฤษในแต่ละขั้นนั่นเอง๑๙ สรุปได้ว่า การจัดการเรียนรู้แบบวัฏจักรการสืบเสาะหาความรู้ คือการจัดการเรียนการสอน ที่เปิดโอกาสให้นักเรียนได้สร้างประสบการณ์การเรียนรู้ แสววงหาความรู้ด้วยตัวเองอย่างเป็นระบบซึ่ง เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นวัฏจักรที่มีการสืบเสาะหาความรู้ไปเรื่อยๆ โดยครูมีหน้าที่ จัดประสบการณ์กระตุ้นส่งเสริม สนับสนุนในด้านต่างๆให้แก่ผู้เรียน ซึ่งเป็นการจัดการเรียนรู้ที่เน้น ผู้เรียนเป็นสำคัญวิธีหนึ่ง ในปี ค.ศ. 1992 นักเชการศึกษากลุ่ม BSCS (Biological Science Curriculum Study) ได้แบ่งขั้นตอนของการจัดการเรียนรู้แบบวัฏจักรการสืบเสาะหาความรู้ออกเป็น ๕ ขั้นตอน หรือ เรียกว่า 5E ๑๘ นันทิยา บุญเคลือบ, การเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ตามแนวคิด Constructivism, (วารสาร สสวท ,๙๖,๒๕๔๐), หน้า ๑๑-๑๕. ๑๙ สมบัติ กาญจนารักพงค และคณะ, เทคนิคการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ 5E ที่เน้นพัฒนาทักษะการคิดขั้นสูง : กลุ่มสาระสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม, (กรุงเทพมหานคร : ธารอักษร, ๒๕๔๙), หน้า ๓


๒๘ ๑. การนำเข้าสู่บทเรียน (Engagement) ขั้นนี้มีลักษณะของการแนะนำบทเรียน เพื่อให้ ผู้เรียนทำการเชื่อมโยงระหว่างประสบการณ์เดิมกับสิ่งที่ได้พบขณะนั้น และวางแผนสำหรับกิจกรรม ในขั้นต่อไป ครูต้องสร้างความสนใจและสร้างความอยากรู้อยากเห็นในหัวข้อที่จะศึกษา อาจจะใช้ คำถามยกสถานการณ์ปัญหาต่างๆ ที่ช่วยให้ผู้เรียนเกิดความสนใจ และต้องการแสวงหาความรู้หรือ คำตอบ ๒. การสํารวจ (Exploration) เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้รับประสบการณ์ตรงใจการจัด ความสัมพันธ์ระหว่างหัวข้อที่กำลังศึกษากับแนวความคิดที่มีอยู่กิจกรรมในขั้นนี้ผู้เรียนต้องสืบเสาะหา ความรู้รวบรวมข้อมูล ทดสอบแนวความคิด บันทึกความคิด ทำการทดลองด้วยตนเอง ครูจะทำหน้าที่ เป็นเพียงผู้แนะนำหรือผู้เริ่มต้นในกรณีที่นักเรียนไม่สามารถหาจุดเริ่มได้ สิ่งสำคัญคือ ครูควรจะให้ ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการพัฒนาความสามารถในการคิดแบบใหม่ ๓. การอธิบาย (Explanation) ในขั้นตอนนี้เป็นการนำเอาความรู้ที่ได้รวบรวมจากขั้นที่ ๒ มา เป็นพื้นฐานในการศึกษาหัวข้อ ที่กำลังเรียนอยู่โดยให้ผู้เรียนอธิบายสิ่งที่ได้จากการสำรวจ พยายามหา เหตุผลความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆ มาตอบคำถามที่เกิดขึ้น กิจกรรมอาจจะประกอบไปด้วยการเก็บ รวบรวมข้อมูลจากการอ่าน และนำข้อมูลมาอภิปรายร่วมกันครูกระตุ้นให้ผู้เรียนได้อธิบายว่า เขามี ความเข้าใจต่อเรื่องที่กำลังศึกษาถูกต้องและชัดเจนเพียงใด ครูอาจใช้คำถามช่วยให้นักเรียนเกิด ความคิดและอธิบายเหตุผลของความคิดนั้น ๔. การลงข้อสรุป (Elaboration) ขั้นตอนนี้จะเน้นให้ผู้เรียนนำความรู้หรือข้อมูลจากขั้นที่ ๒ และขั้นที่ ๓ มาทดสอบ ทดลองและประยุกต์ใช้กับสถานการณ์อื่นๆ ที่แตกต่างออกไปทำให้เกิดการ เรียนรู้มโนมติที่กว้างและแม่นยำมากขึ้น กิจกรรมส่วนใหญ่เป็นการอภิปรายในกลุ่มเพื่อลงข้อสรุปให้ เห็นถึงความเข้าใจทักษะกระบวนการ และความสัมพันธ์ระหว่างความรู้ต่างๆ ที่เกิดขึ้นอาจมีการ กล่าวถึงมโนมติที่คลาดเคลื่อน ยกตัวอย่างให้เห็นชัดเจน ซึ่งจะทำให้ผู้เรียนได้ปรับความคิดของตนให้ ถูกต้องในขั้นนี้จะช่วยเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจในเรื่องที่จะศึกษาได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ๕. การประเมินผล (Evaluation) เป็นขั้นตอนที่ครูเปิดโอกาสให้ผู้เรียนตรวจสอบ แนวความคิดที่ได้เรียนรู้มาแล้วว่าถูกต้องอละได้รับการยอมรับเพียงใด ให้ผู้เรียนได้แสดงออกเกี่ยวกับ สิ่งที่ได้เสริมสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง และกลุ่มเพื่อน ข้อสรุปที่ได้จะนำไปใช้เป็นพื้นฐานใน การศึกษาต่อไป การประเมินผลอาจจะอยู่ในรูปแบบการเขียนรายงาน การตอบคำถาม การแสดง สาธิตทักษะ และขั้นตอนการทดลอง หรืออาจเป็นการนำเสนอโครงการที่ทำเสร็จสมบูรณ์แล้วก็ได้ซึ่ง สิ่งเหล่านี้เป็นการประเมินผลบนพื้นฐานของกิจกรรมทางด้านพุทธพิสัย และทักษะพิสัย สมนึก พวงกลิ่น (๒๕๓๐: ๖) อธิบายขั้นตอนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ไว้ ๕ ขั้นตอน ดังนี้


๒๙ ขั้นที่ ๑ ขั้นสังกัปแนวหน้าคือขั้นเตรียมความพร้อมด้านการเรียนให้กับนักเรียน โดยการดึง เอาความรู้และประสบการณ์เดิมของนักเรียนที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่จะสอนให้มาสัมพันธ์กัน รวมทั้งการปู พื้นความรู้ใหม่ที่จำเป็นสำหรับการเรียนรู้เนื้อหาสาระใหม่ให้กับนักเรียน และการจูงใจให้พร้อมที่จะ เรียน ขั้นที่ ๒ ขั้นสังเกต คือขั้นที่ครูนำเนื้อเรื่องหรือข้อความมาฝึกให้นักเรียนได้สังเกต และ วิเคราะห์องค์ประกอบของเนื้อเรื่อง เพื่อหาสังกัปหรือความหมายสรุปรวมของเนื้อเรื่อง ขั้นที่ ๓ ขั้นอธิบาย คือขั้นที่ครูกระตุ้นให้นักเรียนหาคำอธิบายหรือสาเหตุผลว่าเหตุใดนักเรียน จึงได้ข้อสรุปสังกัป หรือความหมายสรุปรวมเนื้อเรื่องว่าอย่างนั้น ขั้นที่ ๔ ขั้นทำนายคือขั้นที่ครูส่งเสริมให้นักเรียนหาความสัมพันธ์ระหว่างเหตุและผลนั่นคือ คิดทบทวนว่ามีเหตุผลหรือไม่ที่สรุปสังกัปของเนื้อเรื่องว่าเป็นอย่างนั้น เพื่อเป็นการทดสอบดูว่า คำอธิบายในขั้นที่ ๓ ถูกต้องมากน้อยเพียงใด ขั้นที่ ๕ ขั้นควบคุมและคิดสร้างสรรค์คือชั้นที่เมื่อนักเรียนได้สังกัปออกมาแล้ว ครูจะเร้าให้ นักเรียนคิดว่าจะนำเอาความรู้ใหม่ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในทางใดได้บ้าง๒๐ พิมพันธ์ เดชะคุปต์ (๒๕๕๑: ๑๐๒-๑๐๕) ได้เสนอขั้นตอนในการจัดการเรียนรู้แบบสืบ เสาะหาความรู้ โดยใช้วงจรการเรียนรู้ 5E (5E learning cycle) เป็น ๕ ขั้นตอน ดังนี้ ๑. ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement) เป็นขั้นที่กระตุ้น ให้นักเรียนมีแรงจูงใจในการเรียน บทเรียน โดยการใช้คำถามของครูและนักเรียนเป็นผู้ระบุปัญหาที่สนใจศึกษา ๒. ขั้นสำรวจและค้นหา (Exploration) เป็นขั้นที่นักเรียนต้องกำหนดแนวทางในการเก็บ รวบรวมข้อมูลเพื่อตั้งสมมติฐานโดยจินตนาการวิธีการแก้ปัญหาแล้วเลือกวิธีการแก้ปัญหาแล้วเลือก วิธีการแก้ปัญหาที่ดีที่สุด เพื่อวางแผนแนวทางในการแก้ปัญหา ๓. ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation) เป็นขั้นที่นักเรียนำข้อมูลจากการสำรวจมา วิเคราะห์แปลผล สรุปผลและนำเสนอผลที่ได้ โดยนักเรียนจะสร้างสรรค์ผลผลิตตามขั้นตอนที่ได้ วางแผนไว้ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนระหว่างครูกับนักเรียนกับนักเรียนด้วยกัน ๔. ขั้นอธิบายความรู้(Elaboration) เป็นขั้นที่นักเรียนนำความรู้ที่ได้ไปเชื่อมโยงกับความรู้ เดิมหรือแนวคิดที่ได้ค้นคว้าเพิ่มเติมไปอธิบายเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดความรู้ที่กว้างขึ้น โดยนักเรียนจะ ได้สร้างสรรค์ผลผลิตตามขั้นตอนที่ได้วางแผนไว้ ๕. ขั้นการประเมินผล (Evaluation) เป็นขั้นสุดท้าย โดยนักเรียนจะประเมินการเรียนรู้ของ ๒๐ สมนึก พวงกลิ่น,การศึกษาเปรียบเทียบความสามารถในการอ่านอย่ามีวิจารณญาณและสมรรถภาพ การอ่านเร็วของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ โดยใช้วิธีการสอนแบบสืบสวนสอบสวนกับการสอนตามคู่มือครู, ปริญญาการศึกษามหาบัณฑิต, (มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร, ๒๕๓๐),หน้า ๖.


๓๐ ตนเองในด้านกระบวนการการปฏิบัติและผลงานกลุ่ม ซึ่งนักเรียนต้องปรับปรุงกระบวนการออกแบบ ขั้นตอนการปฏิบัติจนถึงผลงานกลุ่ม แล้วอภิปรายแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ซึ่งอาจเกิดปัญหาใหม่หรือ สามารถนำไปใช้ประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ใหม่ได้ จากการศึกษาแนวคิดเกี่ยวกับขั้นตอนของการจัดการเรียนรู้แบบวัฏจักร การสืบเสาะหา ความรู้ของนักศึกษาดังกล่าวจะเห็นได้ว่าการจัดการเรียนแบบวัฏจักร การสืบเสาะหความรู้จะช่วย พัฒนาความสามารถในการคิดวิเคราะห์การตั้งคำถาม การคิดหาคำตอบ การแสดงงความคิดเห็น และ การค้นคว้าหาความรู้ให้เกิดขึ้นแก่ผู้เรียน ผู้วิจัยจึงสนใจที่นำขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ตามแนวทาง สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ๒.๕ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ๒.๕.๑ ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ชวาล แพรัตกุล (๒๕๖๐) ได้ให้ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไว้ว่าผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน (Achievement) เป็นสมรรถภาพของสมองในด้านต่าง ๆ ที่นักเรียนได้รับจาก ประสบการณ์ ทั้งทางตรงและทางอ้อมจากครู ซึ่งสามารถวัดได้จากการตอบแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ผู้ตอบได้คะแนนมาก คือ ผู้ที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูง ส่วนผู้ตอบได้คะแนนน้อย ถือว่าได้มี ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำ๒๑ สุชา จันทร์เอมและสุรางค์ จันทร์เอม (๒๕๖๐) ได้กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็น ผลของความสำเร็จหรือผลงานที่นักเรียนได้กระทำในการศึกษาเล่าเรียน ซึ่งได้แก่ ความรู้ที่ได้จากการ สอน ทักษะที่ได้พัฒนาขึ้นตามลำดับขั้นในวิชาต่าง ๆ เพิ่มขึ้นเพียงใด จำเป็นจะต้องอาศัยเครื่องมือใน การวัดผล การศึกษาเข้ามาช่วยเป็นการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน๒๒ ไพศาล หวังพานิช (๒๕๖๑) ได้ให้ความหมายไว้ว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง คุณลักษณะและความสามารถของบุคคลอันเกิดจากการเรียนการสอนเป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม และประสบการณ์การเรียนรู้ที่เกิดจากการฝึกฝน อบรม หรือการเรียนรู้การสอน และการวัดผล สัมฤทธิ์ เป็นการตรวจสอบความสามารถ หรือความสัมฤทธิ์ผลของบุคคลว่าเรียนรู้แล้วเท่าใด มีความสามารถชนิดใด กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ (๒๕๖๑) ได้บัญญัติความหมายของผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนไว้ในหนังสือประมวลศัพท์บัญญัติการศึกษาว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ๒๑ ชวาล แพรัตกุล, เทคนิคการวัดผล พิมพ์ครั้งที่ ๗, (กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์วัฒนาพานิช, ๒๕๖๐), หน้า ๒๔. ๒๒ สุชา จันทร์เอมและสุรางค์ จันทร์เอม, สถิติและการประเมินผลการเรียน, (กรุงเทพมหานคร : สำนัก พิมพ์อักษรบัณฑิต, ๒๕๖๐), หน้า ๖.


๓๑ ความสำเร็จหรือ ความสามารถในการกระทำใด ๆ ที่ต้องอาศัยทักษะหรือมิฉะนั้นก็ต้องอาศัยความ รอบรู้ในวิชาใดวิชาหนึ่งโดยเฉพาะ๒๓ จากความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สรุปได้ว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความรู้ ความเข้าใจ ทักษะ และทัศนคติของนักเรียนอันเกิดจากการเรียนรู้เรื่องใดเรื่องหนึ่ง ซึ่งอาจวัด ได้จากการทดสอบหรือวิธีการอื่น ในระหว่างหรือหลังการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ออกมาเป็น คะแนน จากการได้ศึกษาเล่าเรียนวิชาต่าง ๆ เรียบร้อยแล้ว อันเป็นกระบวนการต่าง ๆ ที่ผู้สอน กำหนดขึ้น นอกจากผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจะบอกคุณภาพของนักเรียนแล้วยังแสดงให้เห็นคุณค่า ของหลักสูตรคุณภาพการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ตลอดจนความรู้ความสามารถของครูผู้สอน และผู้บริหารอีกด้วย ๒.๕.๒ ความสำคัญของการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สมหวัง พิธิยานุวัฒน์ (๒๕๖๐) กล่าวถึงความสำคัญการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ดังนี้ ๑. เพื่อวินิจฉัยความรู้ความสามารถ ทักษะ และกระบวนการ เจตคติ คุณธรรม จริยธรรม ค่านิยมของผู้เรียน และเพื่อส่งเสริมผู้เรียนให้พัฒนาความรู้ความสามารถและทักษะได้เต็มตาม ศักยภาพ ๒. เพื่อใช้เป็นข้อมูลป้อนกลับให้แก่ตัวผู้เรียนเองว่าบรรลุตามมาตรฐานการเรียนรู้เพียงใด ๓. เพื่อใช้เป็นข้อมูลสรุปผลการเรียนรู้และเปรียบเทียบถึงระดับพัฒนาการการเรียนรู้๒๔ ภัทรา นิคมานนท์ (๒๕๖๑) ได้จำแนกความสำคัญของการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเพื่อ พัฒนานักเรียนให้มีคุณภาพเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมด้านสติปัญญาหรือการเปลี่ยนแปลง พฤติกรรมด้านพุทธพิสัย ความสามารถแบ่งออกเป็น ๖ ระดับ ได้แก่ ๑. ความรู้ ความจำ คือ การระลึกถึงเรื่องราวที่เคยมีประสบการณ์มาก่อน จะโดยวิธีใด ก็ตาม เช่น จากการเรียนในห้องเรียน ฟังวิทยุ ดูโทรทัศน์ เป็นต้น พฤติกรรมด้านความรู้ ความจำ ยังจำแนกได้ อีก ๓ ลักษณะใหญ่ ๆ คือ ความรู้เฉพาะเรื่อง ความรู้ในการดำเนินการและความรู้ จาก ความคิดรวบยอด ๒. ความเข้าใจ คือ ความสามารถในการขั้นสติปัญญาที่เป็นผลมาจากการนาความรู้ และ ประสบการณ์จากขั้นที่หนึ่งมาผสมผสานจนกลายเป็นความรู้ชนิดใหม่ แบ่งออกเป็น ๓ ลักษณะ คือ การแปลความ ตีความ และการขายความ ๒๓ กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ, ความรู้เกี่ยวกับสื่อมัลติมีเดียเพื่อการศึกษา, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์คุรุสภา, ๒๕๖๑), หน้า ๓๕. ๒๔ สมหวัง พิธิยานุวัฒน์, วิธีการทางการประเมินศาสตร์แห่งคุณค่า, พิมพ์ครั้งที่ ๒, (กรุงเทพมหานคร : จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย, ๒๕๖๐), หน้า ๔๗.


๓๒ ๓. การนำไปใช้ คือ ความสามารถในการนาความรู้ ความเข้าใจในเรื่องที่เรียนรู้มาแล้วไป แก้ปัญหาที่แปลกใหม่หรือสถานการณ์ใหม่ที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน ๔. การวิเคราะห์ คือ ความสามารถในการนาองค์ประกอบย่อยต่าง ๆ ได้ ทำให้มองเห็น ความสัมพันธ์กันได้อย่างชัดเจน สามารถค้นหาความจริงที่ซ่อนแขวงอยู่ในเรื่องนั้น ๆ โดยวิเคราะห์ ๓ ลักษณะ ได้แก่ การวิเคราะห์ความสำคัญ การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ และการวิเคราะห์ข้อความ ๕. การสังเคราะห์ คือ ความสามารถในการนําองค์ประกอบย่อยต่าง ๆ ตั้งแต่ ๒ สิ่งขึ้นไป มารวมเป็นเรื่องราวเดียวกันเพื่อให้เห็นโครงสร้างที่ชัดเจน ซึ่งเป็นผลลัพธ์ใหม่ มีคุณค่าต่อการ สังเคราะห์ ๓ ประการ คือ การสังเคราะห์ข้อความ การสังเคราะห์แผนงาน และการสังเคราะห์ ความสัมพันธ์ ๖. การประเมินค่า คือ ความสามารถในการตัดสินเกี่ยวกับคุณค่าของเนื้อหาและวิธีการ ต่าง ๆ โดยมีการสรุปอย่างมีหลักเกณฑ์ว่าเหมาะสม มีคุณค่า ดี เลว การประเมินค่าต้องอาศัยเกณฑ์ ประกอบการตัดสินใจ การประเมินค่ามี ๒ ลักษณะ คือ การตัดสินใจโดยอาศัยข้อเท็จจริง และการ ตัดสินใจโดยอาศัยเกณฑ์ภายนอก เป็นเกณฑ์ที่ไม่ได้ปรากฏตามเนื้อหานั้น ๆ๒๕ สรุปได้ว่า ความสำคัญของการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เป็นการวัดพฤติกรรมด้าน ความรู้ ความสามารถของผู้เรียนในด้านความรู้ ความจำ ความเข้าใจ การนำไปใช้ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ และการประเมินค่า และเปรียบเทียบถึงระดับพัฒนาการของการเรียนรู้ของผู้เรียน ๒.๕.๓ องค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน มีนักวิชาการศึกษาได้กล่าวถึงองค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ไว้ดังนี้ กระทรวงศึกษาธิการ (๒๕๕๑) ได้กล่าวถึงการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่ผู้เรียนสำคัญที่สุด และใช้เป็นการจัดกระบวนที่มีความสำคัญ ดังนี้ ๑. มุ่งประโยชน์สูงสุดแก่ผู้เรียน ๒. ผู้เรียนได้พัฒนาเต็มตามศักยภาพ ๓. ผู้เรียนมีทักษะในการแสวงหาความรู้จากแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลาย ๔. ผู้เรียนสามารถนำวิธีการเรียนรู้ไปใช้ในชีวิตจริงได้ ๕. ทุกฝ่ายมีส่วนร่วมในทุกขั้นตอนเพื่อพัฒนาผู้เรียน ปัจจัยสำคัญในการสนับสนุนกระบวนการเรียนรู้ ๑. กระบวนการเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้ดี ถ้าผู้เรียนมีโอกาสคิด ทำ สร้างสรรค์ โดยที่ครูช่วย จัดบรรยากาศการเรียนรู้ จัดสื่อ และสรุปสาระการเรียนรู้ร่วมกัน ๒๕ ภัทรา นิคมานนท์, การประเมินผลการเรียน, (กรุงเทพมหานคร : ทิพยวิสุทธิ์, ๒๕๖๑), หน้า ๒๕.


๓๓ ๒. คำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลในด้านความสามารถทางสติปัญญา อารมณ์ สังคม ความพร้อมของร่างกาย และจิตใจ และสร้างโอกาสให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ด้วยวิธีการที่ หลากหลาย ๓. สาระการเรียนรู้มีความสมดุลเหมาะสมกับวัย ความถนัด ความสนใจของผู้เรียนและ ความคาดหวังของสังคม ทั้งนี้ผลการเรียนรู้จากสาระและกระบวนการ จะต้องทำให้ผู้เรียน มีความรู้ ความคิด ความสามารถ ความดี และมีความสุขในการเรียน ๔. แหล่งเรียนรู้มีหลากหลาย และเพียงพอที่จะให้ผู้เรียนได้ใช้เป็นแหล่งค้นคว้า หาความรู้ ตามความถนัด ความสนใจ ๕. ปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนกับครูและระหว่างผู้เรียนกับผู้เรียนเป็นกัลยาณมิตรที่ช่วย เหลือเกื้อกูล ห่วงใย มีกิจกรรมร่วมกันในกระบวนกรเรียนรู้ คือ แลกเปลี่ยนความรู้ ถ่ายทอดความรู้ ถ่ายทอดความคิด พิชิตปัญหาร่วมกัน ๖. ศิษย์มีความศรัทธาต่อครูผู้สอน สาระที่เรียนรวมทั้งกระบวนการที่จะก่อให้เกิดการ เรียนรู้ ผู้เรียนใฝ่รู้ มีใจรักที่จะเรียนรู้ ทั้งนี้ครูต้องมีความเชื่อว่าศิษย์ทุกคนสามารถเรียนรู้ได้ และ มีวิธีการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน ๗. สาระและกระบวนการเรียนรู้เชื่อมโยงกับเหตุการณ์และสิ่งแวดล้อมรอบตัว ของผู้เรียน จนผู้เรียนสามารถนาผลจากการเรียนรู้ ไปประยุกต์ใช้ได้ในชีวิตจริง ๘. กระบวนการเรียนรู้ มีการเชื่อโยงกับกับเครือข่ายอื่น ๆ เช่น ชุมชน ครอบครัวองค์กร ต่าง ๆ เพื่อสร้างความสัมพันธ์และร่วมมือกันให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และได้รับประโยชน์ จากการ เรียนรู้ สูงสุด โดยมีตัวบ่งชี้การเรียนของนักเรียนที่วัดถึงผลสัมฤทธิ์ของการเรียนรู้ (๑) นักเรียนมีประสบการณ์ตรงกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (๒) นักเรียนฝึกปฏิบัติจนค้นพบความถนัดและวิธีการของตนเอง (๓) นักเรียนทำกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากกลุ่ม (๔) นักเรียนฝึกหัดอ่านหลากหลายและสร้างสรรค์จิตนาการ ตลอดจนได้แสดงออก อย่างชัดเจนและมีเหตุผล (๕) นักเรียนได้รับการเสริมแรงให้ค้นหาคาตอบแก้ปัญหาด้วยตนเอง (๖) นักเรียนได้ฝึกค้น รวบรวมข้อมูล และสร้างสรรค์ความรู้ด้วยตนเอง (๗) นักเรียนเลือกทากิจกรรมตามความสามารถ ความถนัด และความสนใจของ ตนเอง อย่างมีความสุข (๘) นักเรียนฝึกตนเองให้มีวินัยและรับผิดชอบในการทางาน (๙) นักเรียนฝึกประเมิน ปรับปรุงตนเองและยอมรับผู้อื่นตลอดจนใฝ่หาความรู้อย่าง ต่อเนื่อง


๓๔ สรุปได้ว่า องค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมีหลายด้านตั้งแต่ กระบวนการเรียนรู้ ความสมดุล ปฏิสัมพันธ์และความศรัทธาที่มีต่อครู ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อน ผู้เรียน ความสนใจ ความสามารถ ความถนัด รวบรวมข้อมูลใฝ่หาความรู้ และการฝึกตนเองอย่าง สม่ำเสมอ ตลอดจนมีวินัยความรับผิดชอบต่อการงานที่ได้รับมอบหมาย ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของครู และผู้ปกครองที่จะต้องร่วมมือกันเพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน ๒.๕.๔ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ๑) ความหมายของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ คำว่าแบบทดสอบวัดผมสัมฤทธิ์ (Achievement) นักวัดผลและนักการศึกษาไทยมีการ เรียกชื่อ แตกต่างกันไปเป็นแบบทดสอบความสัมฤทธิ์ แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ หรือแบบทดสอบวัด ผลสัมฤทธิ์ และได้ให้ความหมายไว้ในแนวทางเดียวกัน ดังนี้ ชวาล แพรัตนกุล (๒๕๖๐) ให้ความหมายว่า แบบทดสอบความสัมฤทธิ์ หมายถึง แบบทดสอบที่วัดความรู้ ทักษะ และสมรรถภาพสมองด้านต่างๆ ที่เด็กได้รับจากประสบการณ์ทั้งปวง ทั้งจากโรงเรียนและทางบ้าน ยกเว้นการวัดทางรายการ ความถนัด และทางบุคคลกับสังคม สำหรับใน โรงเรียนแล้วแบบทดสอบประเภทผลสัมฤทธิ์ที่จะวัดความสำเร็จในวิชกาการเป็นส่วนใหญ่๒๖ เยาวดี วิบูลย์ศรี (๒๕๖๐) ได้สรุปให้แนวคิดไว้ว่า แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ เป็น แบบทดสอบ วัดความรู้เชิงวิชาการ มักใช้วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เน้นการวัดความรู้ ความสามารถ จากการเรียนรู้ ในอดีต หรือในสภาพปัจจุบันของแต่ละบุคคล๒๗ กล่าวโดยสรุปแบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์เป็นแบบทดสอบที่ใช้วัดความรู้ทักษะ และความ สามารถทางวิชาการที่นักเรียนได้เรียนรู้แล้วว่าบรรลุผลสำเร็จตามจุดประสงค์ที่กำหนดไว้ว่ามีเพียงใด ๒) ประเภทของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ แบบทดสอบวัดวัดผลสัมฤทธิ์แบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คือ ๑. แบบทดสอบที่ครูสร้างขึ้นเองหมายถึงแบบทดสอบที่มุ่งวัดวัดผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียน เฉพาะกลุ่มที่ครูผู้สอนเป็นแบบทดสอบที่ครูสร้างขึ้นใช้กันโดยทั่วไปในสถานศึกษามีลักษณะเป็นแบบ ทดสอบข้อเขียน (Paper and Pencil Test) ซึ่งแบ่งออกได้เป็น ๒ ชนิด คือ ก) แบบทดสอบอัตนัย (Subjective or Essay Test) เป็นแบบทดสอบที่กำหนด คำถาม หรือปัญหาไว้แล้ว ให้ผู้ตอบเขียนโดยแสดงความรู้ ความคิด เจตคติได้อย่างเต็มที่ ข) แบบทดสอบปรนัยหรือแบบให้ตอบสั้นๆ (Objective Test or Short Answer) ๒๖ ชวาล แพรัตกุล, เทคนิคการวัดผล พิมพ์ครั้งที่ ๗, (กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์วัฒนาพานิช, ๒๕๖๐), หน้า ๔๘. ๒๗ เยาวดี วิบูลย์ศรี, การวัดผลและการสร้างแบบวัดผลสัมฤทธิ์, (กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์แห่ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๖๐), หน้า ๕๓.


๓๕ ๒. แบบทดสอบมาตรฐาน (Standardized Test) เป็นแบบทดสอบที่สร้างขึ้นด้วยวิธีการ หรือ กระบวนการที่ซับซ้อน มากกว่าแบบทดสอบที่ครูสร้างขึ้นเอง เมื่อสร้างขึ้นแล้วมีการนำไปทดลอง สอบ วิเคราะห์ด้วยวิธีทางสถิติหลายครั้ง เพื่อปรับปรุงให้มีคุณภาพดี มีความมาตรฐาน แบบทดสอบ มาตรฐานจะมีความเป็นมาตรฐานอยู่ ๒ ประการ คือ ก) มาตรฐานในการดำเนินการสอบ เพื่อควบคุมตัวแปรที่จะมีผลกระทบต่อคะแนน ของผู้สอบ ดังนั้น ข้อสอบมาตรฐานจึงจำเป็นต้องมีคู่มือดำเนินการสอบไว้เป็นแนวปฏิบัติสำหรับผู้ใช้ ข้อสอบ ข) มาตรฐานในการแปลความหมายคะแนนข้อสอบมาตรฐานมีเกณฑ์สำหรับ เปรียบเทียบ คะแนนให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน ซึ่งเรียกว่า เกณฑ์ปกติ (Norn) ๒๘ พิชิต ฤทธิ์จรูญ (๒๕๖๐) ได้แบ่งประเภทของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และเสนอแนะแนวทางการสร้างแบบทดสอบแต่ละประเภทไว้ดังนี้ ๑. ข้อสอบอัตนัยหรือความเรียง หลักในการสร้างข้อสอบมีดังนี้ (๑) เขียนคำชี้แจงเกี่ยวกับวิธีการตอบให้ชัดเจน ระบุจำนวนข้อคำถาม เวลาที่ใช้สอบ และคะแนนเต็มของแต่ละข้อ (๒) เนื่องจากข้อสอบแบบนี้มีเฉพาะคำถาม ควรเขียนคำถามให้ชัดเจน (๓) การตั้งคำถามให้ใช้ความคิด (๔) กำหนดเวลาให้นานพอสมควร (๕) เลือกถามเฉพาะจุดที่สำคัญของเรื่อง (๖) ไม่ควรให้มีการเลือกตอบเป็นบางข้อ ๒. ข้อสอบแบบกาถูก - ผิด หลักในการสร้างข้อสอบมี ดังนี้ (๑) เขียนคำถามให้รัดกุมสั้น ๆ แต่มีข้อมูลพอที่จะตัดสินใจได้ว่าถูกหรือผิด (๒) ควรเขียนข้อความด้วยภาษาง่าย ๆ ชัดเจน (๓) ไม่ควรใช้คำว่า เสมอ ๆ ไม่ค่อยจะ อาจจะ บางครั้ง บ่อย ๆ เพราะคำเหล่านี้ จะทำให้ผู้ตอบพิจารณาได้ง่ายว่าถูกหรือผิด (๔) ควรออกข้อสอบให้มีข้อถูกกับผิดจานวนใกล้เคียงกัน (๕) หลักการให้คะแนน ไม่ควรใช้วิธีหักคะแนนหรือติดลบในข้อที่ผิด ๓. ข้อสอบแบบเติมคำ หลักในการสร้างข้อสอบมีดังนี้ (๑) ไม่ควรใช้ข้อความหรือประโยคจากหนังสือแล้วตัดคำบางคำหรือข้อความบาง ข้อความออกมาใช้เป็นคำถาม ๒๘ เยาวดี วิบูลย์ศรี, การวัดผลและการสร้างแบบวัดผลสัมฤทธิ์, (กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์แห่ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๖๐), หน้า ๕๕.


๓๖ (๒) คำตอบที่ต้องการให้เติมหรือที่ถูก จะต้องเป็นคำตอบที่เฉพาะเจาะจงไม่ตีความ ได้หลายนัย (๓) แต่ละข้อควรให้เติมแห่งเดียวตอนท้ายของประโยคหรือข้อความ แต่ถ้าจำเป็น อาจเว้นให้เติมส่วนอื่น และมากกว่าหนึ่งแห่งก็ได้ (๔) ตำแหน่งที่ให้เติมต้องเป็นจุดที่สำคัญจริง ๆ ๔. ข้อทดสอบแบบสั้น ๆ หลักในการสร้างข้อสอบมีดังนี้ (๑) คำตอบที่ต้องการมักจะสั้นเป็นคำเดียว วลีเดียว หรือประโยคสั้น ๆ ได้ใจความ ครบถ้วนสมบูรณ์ (๒) คำตอบที่ได้ต้องเป็นประเภทตายตัวแน่นอน (๓) มักจะเป็นคำถามที่เกี่ยวกับ ศัพท์ กฎ นิยาม ทฤษฎี สัจพจน์ หลักการ ๕. ข้อสอบจับคู่ หลักในการสร้างข้อสอบมีดังนี้ (๑) ตัวเลือกต้องมีจำนวนมากกว่าตัวยืน ๒ - ๔ ข้อ (๒) ตัวยืนควรจะมีจำนวน ๕ - ๑๕ ข้อ (๓) ข้อความในแต่ละชุดต้องเป็นเอกพันธ์ คือ เป็นเรื่องราวในลักษณะเดียวกัน (๔) ตัวยืนในแต่ละข้อมีโอกาสจับคู่กับตัวเลือกทุกข้อ (๕) ข้อสอบในชุดตัวยืนและตัวเลือกทุกข้อต้องอยู่ในหน้าเดียวกัน (๖) ต้องระบุความสัมพันธ์ของข้อความทั้งสองชุดให้ชัดเจน (๗) รูปแบบของข้อสอบจับคู่ ส่วนใหญ่จะให้ผู้ตอบนำอักษรหน้าข้อความทางขวามือ ไปใส่ในวงเล็บหน้าข้อความทางซ้ายมือที่คิดว่าสัมพันธ์กัน ๖. ข้อสอบแบบเลือกตอบ หลักในการสร้างข้อสอบมีดังนี้ (๑) เขียนตอนนาให้เป็นประโยคคาถามสมบูรณ์ (๒) เน้นเรื่องจะถามให้ชัดเจนและตรงจุดไม่คลุมเครือ (๓) ควรถามในเรื่องที่มีคุณค่าต่อการวัดหรือถามในสิ่งที่ดีงาม มีประโยชน์ คำถาม แบบเลือกตอบสามารถถามพฤติกรรมในสมองได้หลาย ๆ ด้าน (๔) หลีกเลี่ยงคำถามปฏิเสธ ถ้าจำเป็นต้องใช้ก็ต้องขีดเส้นใต้คำปฏิเสธ แต่ปฏิเสธ ซ้อน ไม่ควรใช้เป็นอย่างยิ่ง (๕) อย่าใช้คำฟุ่มเฟือยควรถามปัญหาโดยตรง สิ่งใดไม่เกี่ยวข้องหรือไม่ได้ใช้ ประโยชน์ เงื่อนไขในการคิดก็ไม่ต้องนามาเขียนไว้ในคำถามจะช่วยให้รัดกุมในเจนขึ้น (๖) เขียนตัวเลือกให้เป็นเอกพันธ์ หมายถึง เขียนตัวเลือกทุกตัวให้เป็นลักษณะใด ลักษณะหนึ่งหรือมีทิศทางแบบเดียวกันหรือมีโครงสร้างทำนองเดียวกัน


๓๗ (๗) ควรเรียงลำดับตัวเลขในตัวเลือกต่าง ๆ ได้แก่ คำตอบที่เป็นตัวเลขนิยมเรียง จากน้อยไปหามาก (๘) ใช้ตัวเลือกปลายเปิดและปลายปิดให้เหมาะสม (๙) ข้อเดียวต้องมีคำตอบเดียว (๑๐) เขียนทั้งตัวถูกและตัวผิดให้ถูกหรือผิดตามหลักวิชา คือ จะกำหนดตัวถูก หรือ ตัวผิด เพราะสอดคล้องกับความเชื่อของสังคมหรือกับคำพังเพยทั้ง ๆ ไปไม่ได้ (๑๑) เขียนตัวเลือกให้อิสระจากกัน คือ อย่าให้ตัวเลือกตัวใดตัวหนึ่งเป็นส่วนหนึ่ง หรือ ส่วนประกอบของตัวเลือกอื่น (๑๒) ควรมีตัวเลือก ๔ – ๕ ตัว ข้อสอบแบบเลือกตอบนี้ ถ้าเขียนตัวเลือกเพียง ๒ ตัวเลือก ก็กลายเป็นข้อสอบแบบกาถูก ผิด หากเป็นข้อสอบระดับมัธยมควรใช้ ๔ ตัวเลือกและสูง กว่าระดับ มัธยมศึกษาขึ้นไปควรใช้ ๕ ตัวเลือก (๑๓) อย่าแนะคำตอบ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนแบบเลือกตอบใช้วัด ได้ครอบคลุมทั้งด้านความรู้ความคิด หลักการ ทฤษฎี การตัดสินใจ การประเมินตัวแปร การแปล ความหมายข้อมูลตลอดจนความสามารถด้านทักษะ กระบวนการทางคณิตศาสตร์ มีส่วนประกอบ สำคัญ ๒ ส่วน คือ (๑) ส่วนของคำถาม (๒) ส่วนของคำตอบ เรียกว่า ตัวเลือก ซึ่งเป็นตัวที่เป็นคำตอบ ถูก และตัวเลือก ที่เป็นคำตอบผิด เรียกว่า ตัวลวง๒๙ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมีความสำคัญมากสำหรับนักเรียน ครูจึงจำเป็นต้องสร้าง แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ เพราะแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ถือว่าเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับครูที่ใช้ ในการตรวจสอบผลการเรียนรู้หรือพฤติกรรมของนักเรียน อันเนื่องมาจากการจัดการเรียนการสอน ของครู ว่านักเรียนมีความรู้ความสามารถหรือมีผลสัมฤทธิ์ในแต่ละรายวิชามากน้อยเพียงใดผลการ ทดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์จะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนานักเรียนให้มีคุณภาพตามจุดประสงค์การเรียนรู้ หรือตาม มาตรฐานผลการเรียนรู้ที่กำหนดไว้เป็นประโยชน์ต่อการปรับปรุงการพัฒนาของครูให้มี คุณภาพและประสิทธิภาพยิ่งขึ้น การที่จะให้ให้ได้ผลการทดสอบมีความถูกต้อง เที่ยงตรง เชื่อถือได้นั้น จะต้องใช้ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ที่มีคุณภาพ ซึ่งได้ผ่านการสร้างอย่างถูกต้อง ตามหลักวิชา ดังนั้น การได้ ศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับหลักการและวิธีการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์จึงเป็นประโยชน์ต่อผู้ ศึกษาหรือครูอย่างยิ่ง ๒.๕.๕ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน การสร้างแบบทดสอบวัดวัดผลสัมฤทธิ์มีขั้นตอนในการดำเนินการ ดังนี้ ๑. วิเคราะห์หลักสูตร และสร้างตารางวิเคราะห์หลักสูตร ๒๙ พิชิต ฤทธิ์จำรูญ, หลักการวัดและประเมินผลการศึกษา, (กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์แห่ง จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย, ๒๕๖๐), หน้า ๔๓.


๓๘ การสร้างแบบทดสอบควรเริ่มต้นด้วยการวิเคราะห์หลักสูตรและการสร้างตารางวิเคราะห์ หลักสูตร เพื่อวิเคราะห์เนื้อหาสาระและพฤติกรรมที่ต้องการจะวัด ตารางวิเคราะห์หลักสูตรจะไปใช้ เป็นกรอบในการออกข้อสอบซึ่งระบุจำนวนข้อสอบในแต่ละเรื่องและพฤติกรรมที่ต้องการจะวัดได้ ๒. กำหนดจุดประสงค์การเรียนรู้ จุดประสงค์การเรียนรู้เป็นพฤติกรรมที่เป็นผลการเรียนรู้ที่ผู้สอนมุ่งหวังจะให้เกิดขึ้นกับ ผู้เรียนซึ่งผู้สอนจะต้องกำหนดไว้ล่วงหน้าสำหรับเป็นแนวทางในการจัดการเรียนการสอนและสร้าง ข้อสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ๓. กำหนดชนิดของข้อสอบและศึกษาวิธีสร้าง โดยการศึกษาตารางวิเคราะห์หลักสูตรและจุดประสงค์การเรียนรู้ ผู้ออกข้อสอบต้อง พิจารณาตัดสินใจเลือกใช้ชนิดของข้อสอบที่จะใช้ว่าเป็นแบบใดโดยต้องเลือกให้สอดคล้องกับ จุดประสงค์ของการเรียนรู้และเหมาะกับวัยของผู้เรียน แล้วศึกษาวิธีเขียนข้อสอบชนิดนั้นให้มีความรู้ ความเข้าใจในหลักและวิธีการเขียนข้อสอบ ๔. เขียนข้อสอบ ผู้ออกข้อสอบลงมือเขียนข้อสอบตามรายละเอียดที่กำหนดไว้ในตารางวิเคราะห์หลักสูตร และให้สอดคล้องกับผลการเรียนรู้โดยอาศัยหลักวิธีการเขียนข้อสอบที่ได้ศึกษามาแล้วในขั้นทิ่ ๓ ๕. ตรวจทานข้อสอบ เพื่อให้ข้อสอบที่เขียนไว้แล้วในขั้นที่ มีความถูกต้องตามหลักวิชาความสมบูรณ์ครบถ้วน ตามรายละเอียดที่กำหนดไว้ในตารางวิเคราะห์หลักสูตร ผู้ออกข้อสอบต้องพิจารณาทบทวนตรวจทาน ข้อสอบอีกครั้งก่อนที่จะจัดพิมพ์และนำไปใช้ต่อไป ๖. จัดพิมพ์แบบทดสอบฉบับทดลอง เมื่อตรวจทานข้อสอบเสร็จแล้วให้พิมพ์ข้อสอบ จัดทำเป็นแบบทดสอบฉบับทดสอง โดยมี คำชี้แจงหรือคำอธิบายวิธีตอบแบบทดสอบ (Direction) แล้วจัดวางรูปแบบการพิมพ์ให้เหมาะสม ๗. ทดลองใช้สอบและวิเคราะห์ข้อสอบ การทดลองใช้แบบทดสอบและวิเคราะห์ข้อสอบ เป็นวิธีการตรวจสอบคุณภาพของ แบบทดสอบก่อนนำไปใช้จริง โดยนำแบบทดสอบไปทดลองใช้สอบกับกลุ่มที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน กับกลุ่มที่ต้องการสอนจริงแล้วนำผลการสอบมาวิเคราะห์และปรับปรุงข้อสอบให้มีคุณภาพ โดยสภาพ การปฏิบัติจริงของการทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ในโรงเรียนมักไม่ค่อยมีการทดลองใช้สอบและวิเคราะห์ ข้อสอบ ส่วนใหญ่นำแบบทดสอบไปใช้ทดสอบแล้วจึงวิเคราะห์ข้อสอบเพื่อปรับปรุงข้อสอบและ นำไปใช้ในครั้งต่อ ๆ ไป


๓๙ ๘. จัดทำแบบทดสอบฉบับจริง จากผลการวิเคราะห์ข้อสอบหากพบว่าข้อสอบข้อใดไม่มีคุณภาพหรือมีคุณภาพไม่ดีพอ อาจจะต้องตัดทิ้งหรือปรับปรุงแก้ไขข้อสอบให้มีคุณภาพดีขึ้นแล้ว จึงจัดทำเป็นแบบทดสอบฉบับจริงที่ จะนำไปทดลองกับกลุ่มเป้าหมายต่อไป สมบุญ ภู่นวล (๒๕๖๐) เสนอขั้นตอนการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ดังต่อไปนี้ ๑. ศึกษาจุดมุ่งหมายของการวัดผลประเมินผล สาระการเรียนรู้ มาตรฐานการเรียนรู้ ผลการเรียนรู้และมโนทัศน์ของแต่ละเรื่อง ๒. กำหนดสาระการเรียนรู้และผลการเรียนรู้ที่ต้องการวัด ๓. เลือกประเภทแบบทดสอบอย่างหลากหลาย เพื่อให้ผู้เรียนได้มีโอกาสแสดงความรู้ ความสามารถอย่างเต็มศักยภาพ ๔. กำหนดจำนวนข้อสอบ การกระจายของเนื้อหาสาระ และเวลาที่ใช้ทดสอบ ๕. สร้างแบบทดสอบตามคุณลักษณะที่กำหนด โดยคำนึงถึงเทคนิคของการสร้างแบบ ทดสอบและความสอดคล้องกับจุดมุ่งหมาย ๖. ตรวจสอบความเที่ยงตรงและความเชื่อมั่นของแบบทดสอบ สำหรับแบบทดสอบบาง แบบอาจต้องตรวจสอบความเป็นปรนัยด้วย๓๐ สรุปได้ว่า ขั้นตอนการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจะต้องมีการวิเคราะห์ หลักสูตร กำหนดผลการเรียนรู้ ศึกษาวิธีการสร้างข้อสอบแต่ละชนิดเขียนแบบทดสอบ ให้สอดคล้อง ดังตารางวิเคราะห์หลักสูตรและจุดประสงค์ แล้วนำข้อสอบไปทดลองใช้และวิเคราะห์คุณภาพก่อนนำ ไปใช้กับกลุ่มตัวอย่างต่อไป ๒.๕.๖ การหาประสิทธิภาพของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน การหาประสิทธิภาพของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็นการพัฒนาคุณภาพ แบบทดสอบ เพื่อให้มีคุณภาพตามเกณฑ์ที่จะนำไปใช้วัดระดับคุณภาพผู้เรียน ดังนี้ ๑. หาความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) โดยนำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนที่สร้างเสร็จแล้วให้ผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหา ๕ คนและผู้เชี่ยวชาญด้านการวัดและ ประเมินผล ตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาว่าข้อสอบวัดได้ตรงตามจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม หรือไม่ โดยต้อง มีค่าเฉลี่ยตั้งแต่ ๐.๕๐ ขึ้นไป จากใช้หลักเกณฑ์ในการกำหนดคะแนนความคิดเห็น ดังนี้ + ๑ หมายถึง แน่ใจว่าข้อคำถามสอดคล้องกับจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมที่ระบุไว้ ๐ หมายถึง ไม่แน่ใจว่าข้อคำถามสอดคล้องกับจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมที่ระบุไว้ ๓๐ สมบุญ ภู่นวล, การประเมินผลการสร้างแบบทดสอบ, (กรุงเทพมหานคร : บารมีการพิมพ์, ๒๕๖๐), หน้า ๓๒.


๔๐ - ๑ หมายถึง แน่ใจว่าข้อคำถามไม่สอดคล้องกับจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมที่ระบุไว้ ๒. หาค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อสอบกับจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม โดยนำผลการ พิจารณาความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาของผู้เชี่ยวชาญแต่ละคนมาหาค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่าง ข้อสอบ กับจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม ซึ่งข้อสอบที่จะนำไปใช้ต้องมีค่าดัชนีความสอดคล้องมากกว่า ๐.๕ และถ้าค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อสอบกับจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมที่มีค่าตั้งแต่ ๐.๖๐- ๑.๐๐ จะใช้ได้ดี ๓. วิเคราะห์ค่าความยาก (Difficulty) และค่าอำนาจจำแนก (Discrimination) ของ ข้อสอบแต่ละข้อ โดยนำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ผ่านการคัดเลือกแล้วไปทดสอบกับ นักเรียนในระดับชั้นนั้น ที่ตอบถูกให้ ๑ คะแนน ข้อที่ตอบผิดหรือไม่ตอบให้ ๐ คะแนนแล้วจึง วิเคราะห์หาค่าความยาก (Difficulty) และค่าอำนาจจำแนก(Discrimination) ของข้อสอบแต่ละข้อ และคัดเลือก ข้อสอบที่มีค่าความยากตั้งแต่ ๐.๒๐ - ๐.๘๐ และมีค่าอำนาจจำแนก ๐.๒๐ ขึ้นไป ๔. การหาค่าความเชื่อมั่น โดยนำข้อสอบที่ผ่านการหาค่าความยากและค่าอำนาจจำแนก ตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ ไปทดสอบกับนักเรียนที่เคยเรียนเนื้อหาจำนวน ๓๐ คน และนำผลที่ได้จากการ ทดสอบนักศึกษา มาหาค่าความเชื่อมั่น (Reliability) ของแบบทดสอบโดยใช้สูตร KR – ๒๐ ของ คูเดอร์- ริชาร์ดสันแล้วนำผลที่ได้มาวิเคราะห์ ค่าความเชื่อมั่นที่ยอมรับได้ ควรมีค่าตั้งแต่ ๗๐ ขึ้นไป๓๑ ๒.๖ ทฤษฎีเกี่ยวกับความพึงพอใจ ๒.๖.๑ ความหมายของความพึงพอใจ จรัส โพธิ์จันทร์ ได้กล่าวถึง ความพึงพอใจว่าเป็นความรู้สึกของบุคคล ต่อหน่วยงานซึ่งอาจ เป็นความรู้สึกในทางบวก ทางเป็นกลาง หรือทางลบความรู้สึกเหล่านี้ มีผลต่อประสิทธิภาพในการ ปฏิบัติ หน้าที่กล่าวคือหากความรู้สึกโน้มเอียงไปในทางบวก การปฏิบัติหน้าที่จะมีประสิทธิภาพสูงแต่ หากความรู้สึกโน้มเอียงไปในทางลบ การปฏิบัติหนาที่ก็จะมีประสิทธิภาพต่ำ๓๒ ธนียา ปัญญาแก้ว ได้กล่าวถึง สิ่งที่ทำให้เกิดความพึงพอใจจะเกี่ยวกันกับลักษณะของงาน ปัจจัยเหล่านี้นำไปสู่ความพอใจในงานที่ทำ ได้แก่ ความสำเร็จ การยกย่อง ลักษณะงานความ รับผิดชอบ และความก้าวหน้า เมื่อปัจจัยเหล่านี้อยู่ต่ำกว่า จะทำให้เกิดความไม่ พอใจงานที่ทำถ้าหา ๓๑ สมบุญ ภู่นวล, การประเมินผลการสร้างแบบทดสอบ, (กรุงเทพมหานคร : บารมีการพิมพ์, ๒๕๕๕), หน้า ๓๒. ๓๒ จรัส โพธิ์จันทร์, ความพึงพอใจในการทำงานของอาจารย์วิทยาลัยพยาบาล ในภาคเหนือ, วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต, (กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร, ๒๕๕๓), หน้า ๑๗


Click to View FlipBook Version