เอกสารประกอบการสอน
รหัสวิชา 20404-2004
วิชา การถนอมอาหารเบอ้ื งต้น
สาขาวิชา อาหารและโภชนาการ
หลกั สูตร ประกาศนยี บตั รวิชาชพี พุทธศกั ราช 2556
ประเภทวชิ า คหกรรม
จัดทาโดย
วา่ ที่ ร.อ. สุรศกั ด์ิ จันทรานมิ ิตร
วท.บ.วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยีการอาหาร
วท.ม.วทิ ยาศาสตรก์ ารอาหาร
แผนกวิชาอาหารและโภชนาการ วิทยาลัยอาชวี ศกึ ษาแพร่
สถาบนั การอาชีวศกึ ษาภาคเหนือ สานักงานคณะกรรมการการอาชีวศกึ ษา
กระทรวงศกึ ษาธกิ าร
สารบัญ
หน่วยท่ี ชื่อหนว่ ย หน้า
1. ความรูเ้ บ้อื งตน้ เก่ยี วกบั การถนอมอาหาร 1
2. สาเหตกุ ารเสอ่ื มเสียของอาหาร และวิธีป้องกัน 8
3. การเลือก และการเตรียมวัตถุดิบ 19
4. การเลือก และการใช้เครอ่ื งมืออปุ กรณ์ 32
5. การถนอมอาหารโดยการหมักดอง 44
6. การถนอมอาหารโดยการทาแหง้ 58
7. การถนอมอาหารโดยการใช้ความร้อน 74
8. การถนอมอาหารโดยการใชค้ วามเย็น 86
9. การถนอมอาหารโดยการใชส้ ารเคมี 97
10. การถนอมอาหารโดยการอาบรงั สี 112
11. การถนอมอาหารโดยการใช้น้าตาล 121
12. การเกบ็ รักษาอาหารสาเร็จรปู และการบรรจุภัณฑ์ 132
0
เอกสารประกอบการสอน
รหสั วิชา 20404-2004
วิชา การถนอมอาหารเบอ้ื งตน
หนว ยการสอนท่ี 1
เรอ่ื ง
ความรเู บื้องตนเกยี่ วกบั การถนอมอาหาร
โดย
วา ท่ี ร.อ. สุรศักดิ์ จนั ทรานมิ ติ ร
วท.บ.วิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยีการอาหาร
วท.ม.วทิ ยาศาสตรก ารอาหาร
1
ความรูทัว่ ไปเก่ียวกบั การถนอมอาหาร
1. ประวัติความเปน มาของการถนอมอาหาร
มนุษยในยุคกอนประวัตศิ าสตรมีการดาํ รงชีวิตงายๆ ไมมีที่อยูเปน หลกั แหลง เม่ือหิวก็ออก
หาอาหารกินตามปาเพื่อประทังความหิวไปวันหน่ึง ๆ ไมรูจักการปรุงอาหาร และการสะสมอาหาร
เม่อื หมดแลวจงึ แสวงใหม การดนิ้ รนเรอื่ งการกินอาหารไมเ กดิ ขน้ึ เพราะมนุษยไมรจู ักคําวาอดอยาก
ในสมัยมนุษยปกก่ิง โลกมีพลเมืองไมถึงหนึ่งลานคน และเมื่อประมาณ 2,000 ป มาแลว
มนุษยอยูบนพ้ืนโลกประมาณ 200 ลานคน และในสมัยปจจุบันมีจํานวนพลโลกถึง 4,000 ลานคน การที่
โลกมีจํานวนมนุษยเพิ่มขึ้นเร่อื ย ๆ แตเน้ือท่ีในการผลิตอาหารคงที่ ทําใหเกิดปญหาการขาดแคลนอาหารได
ดว ยเหตุน้มี นุษยจึงตองเปลีย่ นสภาพความเปน อยูใหม จากการทต่ี องอาศัยธรรมชาติเพียงอยางเดียวมาสยู ุค
การปรับปรุงธรรมชาติ และทรัพยากรใหเกิดประโยชนตอมนุษยอยางเต็มที่ เชน การปรับปรุงดาน
การเกษตร ใหไดผลผลิตตอไรส ูง ปรับปรุงแหลงน้ํา คนควา ทดลองผสมพันธุทั้งพืชและสัตว เพ่ือนําพันธุใหม
ทด่ี ีกวามาใช ผลการพัฒนาทางดานวิทยาการแผนใหมทําใหผลติ อาหารไดมากกวาปริมาณที่ตองการบริโภค
แหลงผลิตน้ัน ๆ จึงมีอาหารเหลือมากเพ่ือระบายไปสูสวนอื่น ๆ ของโลกท่ีมีสภาพภูมิประเทศและดินฟาไม
เหมาะสมในการทําการเกษตร จึงเกิดการกระจายอาหาร การเก็บรักษาอาหารเพ่ือนํามากินในวันตอ ๆ ไป
ไดกลายเปนความจําเปนในการดํารงชีวิตของมนุษย การกระทําเพ่ือใหอาหารเก็บไวกินไดหลายวันเรียกวา
“การถนอมอาหาร“ เมื่อประมาณ 1500 ปมาแลว ชาวโรมันรูจักการถนอมอาหารโดยใชหิมะหอกุงและ
เนื้อสัตวอ่ืนๆ ความเย็นของหิมะทําใหกุงและเนอื้ สัตวเ กบ็ ไวไ ดน าน ตอมาไดปรับปรุงจากการใชหมิ ะหอเปน
การรมควันเนื้อสัตว และรูจักการทําเคร่ืองด่ืมประเภทที่มีแอลกอฮอล และการทําเนยแข็ง อยางไรก็ดี
เมอ่ื เกดิ การบดู เสียของอาหารและเกิดโรคอาหารเปน พษิ ขึน้ มนษุ ยใ นสมยั นนั้ ไมสามารถอธิบายสาเหตุได
ในศตวรรษที่ 16 นิโคลาส แอปเปรต (Nicolas Appert) เปนผูประสบความสําเร็จใน
การเก็บเน้ือสัตว และไดสมญาวา “เปนบิดาของการผลิตอาหารกระปอง”ในป ค.ศ. 1864 หลุยส
ปาสเตอร ( Louis Pasteus) รายงานสิ่งที่เขาคนพบตอสถาบันวิทยาศาสตรแหงประเทศฝร่ังเศส วามี
สิ่งหนึ่งเกิดข้ึนและเปนตัวการทําใหไวนเบียรบูด ตัวการนี้เรียกวา “จุลินทรีย “ และเขาไดคิดวิธีการ
ท่ีเรียกวา พาสเจอไรส เพื่อทําลายเช้ือโรค ซ่ึงนิยมใชมาจนถึงทุกวันนี้ ต้ังแตในสมัยของแอปเปรต จนถึง
สมัยปจจุบัน ไดมีการดัดแปลงวิธีการถนอมอาหารโดยใชวิธีการและเทคโนโลยีทางอาหารเขาชวย ทําให
อาหารมีคุณภาพดีขึ้น มีคุณคาอาหารคลายกับของสดมากขึ้น สามารถเก็บไวไดนานวันและสะดวกใน
การขนสง ไปยงั สว น ตา ง ๆ ดว ย
2
2. ความหมายของการถนอมอาหาร
การถนอมอาหาร หมายถงึ การเก็บรักษาอาหารหรอื แปรรปู อาหารใหอยูในสภาพท่เี ก็บ
ไวไ ดนานขึ้นโดยไมบ ดู เสยี
3. ความสาํ คญั ของการถนอมอาหาร
ประเทศไทยในปจจุบันนี้มีการพัฒนาทางการเกษตรอยางกวางขวาง ซึ่งจะเห็นไดจาก
ปริมาณผลผลิตในฤดูกาลตาง ๆ มีมากมายเกินความตองการของผูบริโภคและทําใหราคาผลติ ผลน้ันต่ํามาก
ซึ่งเปรียบไดจากราคาในทองตลาดตลอดป ทั้งๆ ท่ีเรานําผลผลิตนั้นมาใชในชีวิตประจําวันกันมากอยูแลว
แตก็ยังมีปริมาณท่ีเหลืออยูอยางมากมายและไมสามารถนําผลผลิตนั้นไปจําหนายไดหมด ทําใหผลิตผลนั้น
ไดรับเสียหาย แตถามีการถนอมอาหารไวในสภาพตาง ๆ เพื่อเก็บไวบริโภคในครัวเรือนหรือไวจําหนาย
ทุกวันน้ีธุรกิจการผลิตอาหารเพ่ือจําหนายกําลังไดรับความนิยมอยางมาก รัฐบาลไดมีการสงเสริมใหมี
การผลิตอาหารแปรรูปเพื่อสงออก ดวยเหตุน้ีการถนอมอาหารจึงไดมีความสําคัญทางดานเศรษฐกิจของ
ประเทศอกี ทางหนง่ึ ดว ย
4. วัตถุประสงคข องการถนอมอาหาร คือ
1. เพื่อยดื อายุการเกบ็ รักษาอาหาร
2. เพอื่ เพมิ่ ความหลากหลายของผลติ ภณั ฑอาหาร
3. เพอื่ ใหค ณุ คา ทางโภชนาการท่ีจําเปนตอรา งกาย
4. เพือ่ ใหเกิดรายได
5. ประโยชนของการถนอมอาหาร
อาหารเปนหนึ่งในปจจัยที่มนุษยตองการ เพ่ือการดํารงชีวิตของมนุษย อาหารสดนับวันจะมี
นอยลงทุกที การถนอมอาหารจึงเปนสิ่งจําเปน เพื่อเก็บอาหารไวกินไดหลาย ๆ วัน ตอมาสังคมเจริญข้ึน
การถนอมอาหารก็เจริญตามข้ึนมาดวย ในทํานองเดียวกันมนุษยจะตองมีภารกิจในการปฏิบัติหนาท่ี
ประจําวนั ย่ิงสังคมเจริญมากเทาใด มนุษยก็ยิ่งมีภารกิจเพิ่มมากข้ึนเทาน้ัน ทําใหไมมีเวลาในการทําอาหาร
กินทุกม้ือ ดังนั้นธุรกิจทางดานการผลิตและจําหนายอาหารจึงเจริญรุดหนาไปอยางรวดเร็วและไดมีการ
พัฒนารูปแบบการถนอมอาหารเพ่ือใหไดผลิตภัณฑท่ีมีรูปราง ลักษณะ กล่ิน รส เนื้อสัมผัส และภาชนะที่
ถูกใจของผูบ ริโภค
ประโยชนข องการถนอมอาหารแบงออกเปน 2 ประเภทใหญ ๆ คือ
1. ประโยชนแ กค รอบครวั
2. ประโยชนแกเกษตรกร
3
6. หลกั การ วิธีการถนอมอาหาร มหี ลายวธิ ี คอื
1. การทาํ แหง
หลักการทาํ ใหอาหารแหง คือ การกําจัดน้ําหรอื ความช้นื ออกจากอาหารใหม ีนํา้ หรือ
ความชื้นเหลือนอยทส่ี ุด
การทําใหอ าหารแหง มี 2 วธิ ี
1. การตากแหง ( Sun drying หรือ Solar drying )
เปนการทําใหอาหารแหงโดยอาศัยความรอนจากแสงแดดและกระแสลมในอากาศ เปนตัวพา
ความช้ืน หรือนาํ้ ในอาหารออกไป
2. การอบแหง ( Oven drying หรอื Dehydration )
เปนการทําใหอาหารแหงโดยใชเทคโนโลยีประกอบเขากับเครื่องจักรกล นิยมใชในอุตสาหกรรม
อาหารตา งๆ
2. การใชค วามรอ น
การแปรรปู โดยใชความรอ น หรือ อณุ หภมู สิ ูง คือ การทาํ อาหารบรรจขุ วดแกว บรรจุ
กระปอ ง และบรรจุถงุ ฟอยล ( Aluminium foil ) แลวจงึ ฆาเชื้อท่อี ณุ หภูมิสงู เพ่ือใหอาหารมีอายุ
การเกบ็ ทย่ี าวนาน
การใชความรอนหรอื อุณหภมู สิ งู เพ่ือแปรรปู ถนอมอาหารนัน้ มีการใชความรอ นอยู
3 ระดับ ดวยกัน คอื
1 ความรอนตํา่ กวา จุดเดอื ด หรอื พาสเจอรไ รเซชน่ั ( Pasteurization) เปน การใชอณุ หภูมิ
ประมาณ 70 – 80 องศาเซลเซยี ส ในการ
2 ความรอ นระดับจดุ เดือด หรอื Boiling เปน การใชความรอ น ทีอ่ ณุ หภมู ิ 100 องศาเซลเซยี ส
3 ความรอ นเหนือจดุ เดือด หรือสเตอรไิ ลเซชน่ั ( Sterilization) เปนความรอ นที่มีอุณหภูมิเกิน
กวา 100 องศาเซลเซยี ส
3. การใชความเย็น
การใชค วามเยน็ เปน การ ควบคุมอุณหภมู ิใหต ํ่ากวา สภาพแวดลอ ม เพ่อื เก็บรกั ษาอาหาร
ใหค งความสดไวไดนาน ๆ หรือ ทาํ ใหเ กดิ อาหารชนิดใหม ทีม่ ีลกั ษะและรสชาตติ า งออกไป
เชน ไอศกรมี
ชนดิ ของการทาํ ความเยน็ แบงไดเปน 2 ชนิด
1. การแชเยน็ ( Chilling ) คอื การเกบ็ รกั ษาอาหารทอี่ ุณหภูมิ 5 – 10 องศาเซลเซยี ส
2 การแชแขง็ ( Freezing ) คอื การเก็บรกั ษาอาหารไวทอี่ ุณหภมู ติ ํา่ กวาจุดเยอื กแข็ง
4
4. การใชน ้ําตาล
การใชนํ้าตาลในการถนอมอาหาร เปนวิธกี ารท่ีใหความหวานของนํ้าตาลเก็บรักษาอาหาร
ใหอยูไดนานโดยไมบูดเสีย นิยมใชกับผลไมและผัก ปริมาณนํ้าตาลที่ใชข้ึนอยูความเปรี้ยวของ
อาหาร ไดแ ก การเชอื่ ม การกวน การฉาบ และการแชอ ิ่ม เปน ตน
5. การใชส ารเคมี
การใชส ารเคมี หรือวตั ถเุ จอื ปนอาหาร ที่ตามปกติมิไดใชเ ปนอาหาร หรอื เปนสวน
ประกอบท่ีสาํ คัญของอาหาร ไมวา วตั ถนุ ัน้ จะมคี ุณคาทางอาหารหรอื ไมก ็ตาม แตใ ชเจอื ปนใน
อาหารเพอ่ื ประโยชนท างเทคโนโลยใี นการผลติ การเกบ็ รักษา หรือการขนสง
วัตถเุ จอื ปนอาหารท่สี าํ คัญท่ีนยิ มใชก ัน ไดแก วัตถกุ นั เสีย ( Preservatives ) วตั ถทุ ี่ใชเ พื่อ
ปรบั ความเปนกรด-ดาง ( Acidity - regulators ), วตั ถกุ ันหืน ( Anti-oxidants ), ซเี ควสแตรนท
( Sequestrant ), สารประกอบฟอสเฟต ( Phosphates ), เอ็นไซม ( Enzymes ), กัม
(Gums ), อีมัลซิไฟเออร ( Emulsifiers ), โพลีไฮดริกแอลกอฮอล ( Polyhydric alcohols ),
วัตถกุ นั การรวมตวั เปน กอน ( Anticaking agents ) , วัตถเุ จือปนอาหารทใ่ี ชเ พ่ือชว ยใหคงรปู
( Firming agents ), สีผสมอาหาร, ไวตามนิ , แรธาตุ , และกรดอะมิโน เปนตน
6. การหมกั ดอง
การหมักดอง หมายถึง การเปลี่ยนแปลงทางชีวเคมีของสารประกอบอินทรีย โดยการ
กระทําของเอนไซมจาก จุลินทรียหรือตัวจุลินทรียเอง ในสภาวะที่มีออกซิเจน หรือไรออกซิเจน
ไดส ารประกอบเกิดขึน้ หลายชนิด เชน แอลกอฮอล, กรด, สารปฏิชวี นะ, เอนไซม เปนตน
การหมักมีดว ยกัน 2 แบบ คอื
1. การหมักในสภาพอาหารแหง ( Solid – state fermentation system )
2. การหมักในสภาพอาหารเหลว ( Submerged fermentation system )
7. การใชร ังสี
การใชรังสกี บั อาหาร แบงกระบวนการอาบรงั สีออกเปน 3 กระบวน คอื
1 Radappertization เปน การอาบรังสีที่คลา ยกับการฆาเชื้อทอ่ี ุณหภมู ิสูง คือ ใชรังสปี รมิ าณ
มากกวา 1,000,000 rad หรือมากกวา 10 กิโลเกรย ( Kilogray )
2 Radicidation เปน การใชร ังสเี พือ่ ลดปรมิ าณจลุ ินทรียทเี่ ปนเช้อื โรคชนดิ ไมส รางสปอร
ใชรงั สนี อ ยกวา 1,000,000 rad หรอื นอยกวา 10 กิโลเกรย ( Kilogray )
3 Radurization เปนการใชรังสเี พ่ือลดปรมิ าณเริ่มตนของจุลนิ ทรียท จี่ ะทําใหอ าหารเนาเสียลง
ถึงปรมิ าณหนง่ึ ทจ่ี ุลนิ ทรยี ดงั กลา วไมส ามารถทาํ ใหอ าหารเนาเสียได เปนการชว ยเพมิ่
คณุ ภาพการเก็บรักษาอาหาร
5
แบบทดสอบ เรอื่ ง หลกั การ วธิ กี ารถนอมอาหาร และแปรรปู อาหาร
คาํ ส่งั จงเลือกคําตอบที่ถกู ตองท่สี ุดเพยี งคําตอบเดยี ว
1. ขอ ใดคือความหมายทถ่ี ูกตองของคําวา การถนอมอาหาร
ก. การชว ยยืดอายกุ ารเก็บอาหาร
ข. การแปรรปู อาหารใหมีอาหารแปลกใหม
ค. การชะลอการเปล่ียนแปลง สี กล่ิน รส อาหาร
ง. การแปรรูปอาหารใหอ ยใู นสภาพที่ดีไดนานขน้ึ โดยไมบ ูดเสยี
2. การถนอมอาหารมีความสาํ คัญอยา งไรตอเศรษฐกจิ ของประเทศ
ก. เพอ่ื เกบ็ ไวบรโิ ภคในครวั เรือน
ข. เพ่ือลดการสูญเสยี อาหาร
ค. เพอ่ื เพม่ิ ชนิดของอาหารท่ีใชบรโิ ภคในครวั เรือน
ง. เพ่อื การสง อาหารออกจําหนายยงั ทอ งถิน่ ทขี่ าดแคลนและตางประเทศ
3. ประโยชนของการถนอมอาหารในขอ ใดทมี่ โี อกาสเกิดไดนอ ยแกครอบครวั
ก. เพอ่ื ชว ยใหก ลมุ แมบ านใชเ วลาวางใหเปน ประโยชน
ข. เพอื่ ชวยแกปญหาไมใหผลผลิตทม่ี ใี นไรเ นา เสยี
ค. เพอื่ เก็บอาหารไวร ับประทานในยามอาหารขาดแคลน
ง. เพื่อใหเ กิดความชํานาญและคิดผลิตเปน งานอุตสาหกรรม
4. หลกั ท่สี ําคัญที่สุดของการถนอมอาหารคือขอ ใด
ก. เปนการใชความเย็นและความรอนแหง
ข. เปน การใชส ารเคมหี รอื สารปรุงแตงอาหาร
ค. เปน การยบั ยั้งการเจริญเติบโตของแบคทเี รีย
ง. เปนการปองกนั ความสกปรกและยับยง้ั การเจริญเติบโตของจุลินทรีย
5. “ชอ งแชแ ข็ง” เหมาะท่ีจะเกบ็ อาหารชนดิ ใด
ก. ผกั ชี
ข. กงุ สด
ค. มะเขือขาว
ง. สมเขียวหวาน
6
6. ความแตกตา งระหวางตเู ย็นกบั หอ งเยน็ คือขอ ใด
ก. ราคาถูกกวา
ข. อุณหภมู ิต่าํ กวา
ค. เก็บอาหารไดนานกวา
ง. เก็บอาหารไดป ริมาณมากกวา
7. สารเคมีทใ่ี ชเ ปนหลกั ในการถนอมอาหาร คือ อะไร
ก. เกลือ น้ําตาล สารสม
ข. เกลือ สารสม กาํ มะถนั
ค. เกลอื นํ้าตาล น้ําสมสายชู
ง. สารสม กาํ มะถนั ดนิ ประสิว
8. สารเคมใี นการถนอมอาหารท่ดี ีควรมีคุณสมบัติอยางไร
ก. มีประสิทธภิ าพในการรักษาอาหาร
ข. กลบเกลอ่ื นความบกพรองของอาหาร
ค. ลดประสิทธภิ าพ เมื่อไดรับความรอ นสูง
ง. ทําใหเ กดิ จุลนิ ทรียชนดิ ใหมท่ีมีความตา นทานสูง
9. สารในขอ ใดทช่ี ว ยเพ่ิมคุณคา ทางโภชนาการในอาหาร
ก. กรดอมโิ น
ข. สธี รรมชาติ
ค. รสสังเคราะห
ง. กลิน่ สกัดจากอาหาร
10 . ถา ตองเดินทางไกลอาหารถนอมชนดิ ใดท่คี วรนาํ ติดไปดว ยมากท่สี ดุ
ก. นาํ้ พริกเผา
ข. น้ําพริกนรก
ค. นาํ้ พรกิ กะป
ง. นาํ้ พริกหนมุ
ความหมาย : ใบงาน
เรอ่ื ง ความรเู บอ้ื งตนเก
ความสาํ คญั :
การถนอม
ประโยชน ตอ ครอบครวั :
1. …………………………………………………………..
2. …………………………………………………………..
ประโยชน ตอเกษตรกร :
1. …………………………………………………………..
2. …………………………………………………………..
นท่ี 1 7
กี่ยวกบั การถนอมอาหาร
วัตถุประสงค :
1. …………………………………………………………..
2. …………………………………………………………..
3. …………………………………………………..………
4. ………………………………………………..…………
มอาหาร วธิ ีการถนอมอาหาร :
1. …………………………………………………………..
2. …………………………………………………………..
3. …………………………………………………..………
4. ………………………………………………..…………
5. ………………………………………………..…………
6. ………………………………………………..…………
7. ………………………………………………..…………
เอกสารประกอบการสอน
รหัสวชิ า 20404-2004
วิชา การถนอมอาหารเบ้ืองตน
หนวยการสอนที่ 2
เร่อื ง
สาเหตุการเส่ือมเสียของอาหาร และวิธปี องกัน
โดย
วา ที่ ร.อ. สุรศักดิ์ จันทรานมิ ติ ร
วท.บ.วิทยาศาสตรและเทคโนโลยกี ารอาหาร
วท.ม.วิทยาศาสตรการอาหาร
9
หนวยการสอนท่ี 2
สาเหตุแหงการเสอ่ื มเสยี และการปอ งกนั
สาเหตุที่ทําใหอาหารเส่อื มเสยี แบงออกได 3 ชนิด คือ
1. การเส่อื มเสยี เนอื่ งมาจากสาเหตุของจลุ นิ ทรีย
2. การเส่ือมเสียของอาหารเนื่องมาจากสาเหตุทางเคมี
3. การเสื่อมเสียของอาหารเนอ่ื งมาจากสาเหตทุ างกายภาพ
1. การเสอ่ื มเสยี เนอื่ งมาจากสาเหตขุ องจุลินทรีย
จุลินทรียที่ทําใหอาหารเสีย ไดแก รา (Mold) ยีสต (Yeast) และแบคทีเรีย
(Bacteria) ซึ่งพบอยูท่ัวไปในดิน นํ้า อากาศ อาหาร เครื่องมือเครื่องใชในการผลิตอาหาร ผิวหนัง
และเส้ือผาของผูผลิตอาหาร เมื่อสภาพแวดลอมเหมาะสม กลาวคือ มีอุณหภูมิ ความช้ืน ความเปน
กรดเปนดาง และอาหารของจุลินทรยี เพียงพอก็ทําใหจุลินทรียเหลาน้ีเจริญเติบโตจนทําใหอาหารเสีย
ได ถาจุลินทรียทพ่ี บเปนพวกที่ไมทําใหเกิดโรคกับมนษุ ย มักจะเกดิ ผลเพียงทําใหอาหารเส่ือมคุณภาพ
เทา นน้ั
1.1 รา (Mold)
ลักษณะท่ัว ๆ ไป ราเปนจุลินทรียชนิดเดียวท่ีมองเห็นไดดวยตาเปลา สปอรของรา
อยูท่ัวไปในอากาศเมื่อปลิวมาตกลงบนอาหาร หากสิ่งแวดลอมเหมาะสมจะเจริญเติบโตอยางรวดเร็ว
และจะเห็นไมซีเล่ียม (Mycellium) เปนปุยสีเทา ตอมาอาจเปลี่ยนเปนสีเขียว สีดํา และเหลือง
แลวแตช นดิ ของรา
ราจะข้ึนไดในอาหารหลายชนิดกวาแบคทีเรียและยีสต เพราะราเจริญเตบิ โตไดใ นทุก
สิ่งที่มีคารบอน ไฮโดรเจนและออกซิเจน เชน เส้ือผา และอาหาร ราข้ึนไดในสภาพท่ีเปนกรด ดาง
และเปนกลาง เราจึงจะพบราขึ้นบนเนื้อสัตว นม ผลไมสด ผักสด และธัญพืช ราขึ้นไดดีที่สุดใน
อาหารทม่ี ีคารโ บไฮเดรทสูงหรืออาหารทหี่ วานมาก เชน ผลไมกวนและแยม
เชื้อราตองการออกซิเจนในการเจริญเติบโตและตองการความช้ืนเพียงเล็กนอย เม่ือ
เปรียบเทียบกับยีสตและแบคทีเรีย ราตองการความชื้นนอยกวา ขึ้นไดท้ังในที่อบอุนและในที่เย็น แม
ในตูเย็นราก็เติบโตได ราเติบโตไดเร็วท่ีสุดในที่ชื้นซ่ึงมีอากาศน่ิงและมีอุณหภูมิระหวาง 25-30 องศา
เซลเซียส สามารถเจริญไดใ นอาหารทเี่ ปนกรด เชน มะนาว ในอาหารที่เปนกลาง เชน ขนมปง เนือ้ ใน
อาหารหวาน เชน แยม เยลลี่ ผลไมกวน ผลไมแชอิ่ม และเชื้อราบางชนิดมักจะขึ้นในอินทรียสารที่
ไมใชอาหาร เชน หนงั ไม นุน มอื ในท่ชี ื้นและอุณหภมู อิ บอนุ
สารบางอยา งทส่ี ามารถขดั ขวางการเจริญเตบิ โตของเช้ือราได เชน สารเคมี สารที่ใช
ฆา เชื้อตา ง ๆ และสารบางชนดิ ท่ีเชื้อราผลิตขนึ้ มาเองอาจขดั ขวางเชือ้ ราตัวอน่ื ได
10
คุณประโยชนและโทษของเช้อื รา
คนเราใชราในขบวนการผลิตอาหารหลายอยาง เชน การผลิตเนยแข็ง เพื่อทําใหเกิด
กลิ่นและรสเฉพาะ เชน เนยแข็ง Blue cheese และ Roquefort, Camembert เปนตน และใชทํา
น้ําซีอิ้ว ซอสจากกากถ่ัวเหลือง เตาเจี้ยว และเตาหูย้ี นอกจากนี้ยังใชราเปนวัตถุดิบในการผลิตสาร
บางอยางท่ีใชประโยชนในกระบวนการผลิตอาหาร เชน ผลิต amylase ซ่ึงใชในการทําขนมปง และ
Citric acid ใชใ นการทําเครอ่ื งด่มื สําหรับโทษของเช้ือราทเ่ี กยี่ วกับอาหารนั้น คอื ทําใหอ าหารบูดและ
เนา เสยี
เชื้อราบางชนิดซึ่งมีสวนนอยที่ข้ึนในอาหารแลวสามารถผลิตสารที่เปนพิษพวก
Mycotoxins ได ท่ีรูจักกันดี คอื Alfatoxins ซึ่งเปนพิษท่ีพบในราบางชนิด เชน Aspergellus flavus
เจรญิ ในถั่วลสิ ง โดยปกตแิ ลว สารท่ีเชื้อราสรา งข้นึ นั้นมักไมคอยเปน อันตราย
เชื้อราที่ควรรจู กั
- Penicillium camembert และ Penicillium roquerfort เปนเชื้อราที่ใชในการ
ผลติ เนยแขง็ ทําใหเกดิ ลักษณะกลิ่น รส โดยเฉพาะ
- Aspergillus flavous-oryzae เปนเช้ือราท่ีใชในกระบวนการทําผลิตภัณฑจาก
ขาวและถั่วของไทย นอกจากนี้ยังใชในการผลติ เอน็ ไซม
1.2 ยสี ต (Yease)
รปู รา งลักษณะ ยีสตเปน พืชมีเซลลเดียว ไมม ีคลอโรฟล ล ลักษณะรปู รางมีหลายแบบ
เชน กลม รปู ไข รูปคลายมะนาว และรูปทรงกระบอก เปนตน
การสืบพันธุ ยีสตมีการสืบพันธุทั้งแบบอาศัยเพศและไมอาศัยเพศ แบบอาศัยเพศ
โดยการสรางสปอรในเซลลท่ีมีช่ือวา ascospores โดยเซลลสองเซลลจะมารวมกัน สําหรับแบบ
ไมอาศัยเพศมีท้ังแบบการแตกหนอ (budding) โดยเซลลจะโปงออกดานขางหรือตอนปลายแลวแยก
เซลลออกไป และสวนแบบการแบงตัวของเซลลจากหนึ่งเปนสอง (fission) จะแบงออกเปน 2 เทาไป
เร่ือย ๆ
ยสี ตตองการความชื้นมากกวา เชื้อรา แตรายังข้ึนไดดีในทีม่ ีแรงดนั ออสโมติกสูง เชน
ในสารละลายท่ีมีน้ําตาลและเกลือมากกวา เรียกวา Osmophilic Molds จะทําใหเกิดการเนาเสียใน
ผลไมแหง น้ําผลไมเขมขน นํ้าผึ้ง และนํ้าเชื่อมเมเบิล ยีสตสามารถเจริญไดในอาหารที่มีอุณหภูมิ
ชวงกวางมากตั้งแต 0 - 40 องศาเซลเซียส แตอุณหภูมิท่ีเหมาะสําหรับการขยายพันธุ คือ
25-30 องศาเซลเซียส ยีสตชอบความเปนกรด บางพวกตองการออกซิเจนในการเจริญเติบโตและ
ตองการอาหารประเภทน้ําตาล คารโบไฮเดรทที่สามารถเปลี่ยนเปนน้ําตาลได นอกจากน้ียังตองการ
11
สารไนโตรเจน และสารอาหารอื่นบางชนิดดวย เน่ืองจากอาหารของยีสต คือ นํ้าตาล จึงจัดยีสตเปน
พวก Saprophytes
คณุ ประโยชนแ ละโทษของยสี ต
ยีสตสามารถเปลี่ยนนํ้าตาลใหเปนคารบอนไดออกไซดและแอลกอฮอลชนิดดื่มได
จึงใชยสี ตท ําขนมปงและจะไดแกสคารบอนไดออกไซดท่ีสรา งข้ึน นอกจากน้ียงั ใชในการผลิตเคร่ืองดื่ม
ที่มีแอลกอฮอล และการผลิตแอลกอฮอลในโรงงานอุตสาหกรรม เชน เบียร ไวน เปนตน อาหารท่ีใช
ยสี ตชว ยในกระบวนการผลิต ไดแ ก น้ําสม เนยแขง็ และนาํ้ ขาว เปน ตน บางแหงเลย้ี งเพ่ือสกดั เอนไซม
หรือใชเปนอาหารเสรมิ ธาตุอาหาร
โทษของยีสต ทําใหอาหารเสื่อมคุณภาพ เนาเสีย เชน กะหล่ําปลีดอง น้ําผลไม
นาํ้ เช่ือม นํา้ ผ้ึง เยลล่ี เนื้อสัตว ไวน และเบยี ร เปนตน ในการถนอมอาหารจะปองกันและกาํ จัดไดโดย
การรมควันกํามะถัน
1.3 แบคทีเรีย (Bacteria) เชื้อแบคทีเรียจะมีขนาดเล็กกวาเช้ือราและเชื้อยีสต
มอี ยูมากมายหลายชนดิ สามารถใหทงั้ คณุ และโทษไดเ หมือนเชื้อจลุ นิ ทรยี อื่น ๆ
รูปรางลักษณะ แบคทีเรียเปนพืชช้ันตํ่า ไมมีคลอโรฟลล มีเซลลเดียว แบคทีเรีย
ตา งชนิดกันจะมีขนาดรูปรางและความตองการตอสภาวะส่ิงแวดลอมตางกัน รูปราง ลกั ษณะท่ีสําคัญ
ของเชือ้ แบคทเี รียแบง ออกได 3 แบบ คอื
1.3.1 คอคคัส (Coccus) มรี ูปรา งกลม มีอยู 5 ลักษณะ ดงั น้ี
1. อยูเปน เซลลเ ด่ยี ว ๆ เรียกวา Monococcus
2. อยเู ปน คู ๆ เรยี กวา Diploccous
3. อยูต ิดกนั เปน 4 เซลล เรยี กวา Tetracoccus
4. เรียงอยเู ปน 3 ระนาบคลายพวงองุน เรยี กวา Staphylococcus
5. เรยี งตามยาวคลายลูกโซ เรียกวา Streptococcus
6. อยูรวมกนั เปน รปู ลกู บาศก เรยี กวา Sarcina
1.3.2 แบซิลลัส (Bacillus) มีรูปรางเปนแทงหรือเปนทอนตรง ๆ มีขนหรือแส (cilia
หรอื fragella) อยดู านขา งและตอนปลายของเซลลทีเ่ ปน ทอน ๆ นน้ั
1.3.3 สไปลิลัส (Spirillus) มรี ปู รา งลกั ษณะคด งอ หรือเปนเกลยี ว
แบคทีเรียบางชนิดสามารถสรางเยื่อเมือกหรือปลอกหุม ทําใหเกิดลักษณะเปนเสน
เหนียว ๆ ลักษณะท่ีมีเย่ือเมือกหุมของแบคทีเรียนี้จะทําใหมันทนตอสภาวะตาง ๆ เชน ทนตอความ
รอ น ทนตอสารเคมี ไดด ียงิ่ ขึน้ และในบางสภาวะก็จะทําใหอาหารน้ันเปนเมอื กอยา งเห็นไดช ัด และใน
บางสภาวะอาจจะไมใหลักษณะเปนเมือกใหเราสังเกตไดเลย การเขาเกราะของแบคทีเรีย บางชนิด
เชน พวก Clostridium ก็จะทําใหทนความรอนและสารเคมีตาง ๆ ไดดีกวาเซลลท่ีกําลังเจริญเติบโต
12
ปกติจะเขาเกราะเมื่ออาหารลดลงหรือเปนเมื่อขับสารออกมาเพ่ิมมากข้ึน และเมื่อเซลลมาอยูรวมกัน
เปนโซ หรือเปนกลมุ กจ็ ะมีผลทาํ ใหก ารทาํ ลายแบคทเี รียพวกนี้ยากยิ่งข้นึ
การสบื พันธขุ องแบคทีเรีย เปนการสืบพันธุแบบ Amitosis โดยแบงเซลลเปน 2 เทา
ไปเร่ือย ๆ จาก 1 เซลลเปน 2 จาก 2 เปน 4 จาก 4 เปน 8 เปนตน เมื่อสภาวะเหมาะสม แบคทีเรีย
จะเพิ่มจาํ นวนเปน 2 เทา ในทุก 30 นาที แบคทีเรียตอ งการความชื้นมากกวา จุลินทรยี ชนิดอน่ื ดังนั้น
ในของเหลวที่มีน้ําตาลและเกลืออยูมาก จึงยากแกการเจริญของแบคทีเรีย ดังน้ันอาหารพวกแยม
ปลาทาเกลอื ตากแหงจึงไมคอยเสียเพราะแบคทีเรยี
แบคทีเรียสวนใหญจะเจริญไดดีที่สุดในอาหารท่ีมีฤทธิ์เปนกลางหรือใกลความเปน
กลาง บางชนิดอาจชอบสภาวะคอนขางเปนกรด และมีไมกี่ชนิดท่ีชอบสภาวะที่มีฤทธิ์เปนกลาง
แบคทเี รียสวนใหญเจรญิ ไดดีในชว งอุณหภมู ิ 24-45 องศาเซลเซยี ส (หรอื 68-113 องศาฟาเรนไฮน)
คุณประโยชนและโทษของแบคทีเรีย มีแบคทีเรียหลายชนิดท่ีสามารถนํามาใชให
เปนประโยชน ในกระบวนการผลิตอาหารชนิดตาง ๆ ได บางชนิดสามารถทําใหนมมีรสเปร้ียว จึง
ใชใ นการทํานมเปรี้ยว บางพวกสามารถทําใหโปรตีนในนมจับกนั เปน กอ นจึงใชแบคทเี รียในการทําเนย
แข็ง นอกจากนี้ยังใชแบคทีเรียในการหมักสารละลายนํ้าตาล เชน นํ้าแอปเปล นํ้าองุน นํ้ามะพราว
ใหเปนน้ําสม ผักดองของไทย แหนม ปลารา ท่ีมีรสออกเปร้ียว ก็จากการกระทําของ เชื้อแบคทีเรีย
ทง้ั ส้นิ
1.4 ลักษณะของอาหารเสีย
แบคทีเรียมีสวนทําใหอาหารเกิดการเนาเสียดวยโดยเฉพาะอาหารประเภทนม ไข
เน้ือและปลา ซ่ึงเปนอาหารที่มีความช้ืนและมีปฏิกิริยาเกือบเปนกลาง เนื่องจากแบคทีเรียมีอยูใน
อาหารแทบทุกชนิด นอกจากอาหารที่ผานกระบวนการสเตอริไรส หรืออาหารที่มีเน้ือเยื่อท่ีสมบูรณ
ปราศจากโรค เชน ผลไมหรือเน้ือสัตวเทานั้น อาหารกระปองที่ไมผานความรอนสูงและนานพออาจ
เกดิ กระปองบวม อันเน่อื งจากแกสทแ่ี บคทีเรยี สรางขึ้น หรืออาจทําใหอ าหารนน้ั มีรสเปร้ียว ที่เรยี กวา
flat sour หรอื อาจจะทาํ ใหผรู ับประทานเกิดอาการปว ยท่เี รยี กวา โรค Botulism
โดยทั่วไปการเนาเสียของอาหารอันเกิดจากการกระทําของเชื้อแบคทีเรียน้ันจะมีผล
ทําใหเกิดกล่ิน และรสชาติ แตกตางไปจากเดิม ถาอาหารมีกลิ่นผิดปกติควรท้ิงโดยไมจําเปนตองชิม
เพราะอาจเกิดอันตรายได ลักษณะขุนของของเหลวในอาหารกระปอง เพราะจะเกิดการเนาเสีย จาก
แปงสตารชของอาหารนั้น ๆ หรืออาจขุนจากเกลือแรของนํ้ากระดางที่ใช ในกรณีนี้เราควรจะตม
อาหารน้ันใหเดอื ดเสียกอน ถามีกล่ินผิดปกตหิ รอื เกดิ ฟองในขณะตมก็ควรทง้ิ
นอกจากลักษณะกล่ิน รส และความขุนของอาหารซ่งึ อาจเกดิ จากเช้ือแบคทีเรียบาง
ชนดิ แลว ยังจะทาํ ใหเกดิ สี เกิดลักษณะเปนแผน ลอยบนอาหารเหลว และบางชนิดทําใหผิวหนาอาหาร
นนั้ เปนเมอื ก
13
การเนาเสียของอาหาร เกิดจากเช้ือจุลินทรียชนิดใดนั้นเราสามารถท่ีจะคาดคะเนได
จากคุณสมบัตบิ างประการของอาหาร และสิง่ แวดลอ มอนื่ ดังน้ี
1.4.1 สว นประกอบทางเคมีของอาหาร
อาหารพวกโปรตีน สว นใหญมกั จะเนาเสยี จากการกระทําของพวกแบคทเี รีย อาหาร
พวกคารโบไฮเดรท เนาเสียจากยสี ต สว นพวกไขมันมกั จะเนา เสียจากเชือ้ รา
1.4.2 ความเปนกรดดา งของอาหาร
อาหารเปนกรดซึ่งในท่ีน้ี หมายถึง พวกที่มี pH นอยกวา 4.5 เชน มะเขือเทศ
สับปะรด สม เปน pH ที่เช้ือราชอบ จึงเจริญไดดี สวนอาหารท่ีไมเปนกรด คือ พวกท่ีมี pH มากกวา
4.5 เชน เนือ้ ไก ปลา นม ไข จะเนาเสยี จากแบคทีเรยี
1.4.3 แรงดนั ออสโมตคิ
อาหารชนิดใดที่มีแรงดันออสโมติคต่ํา เชน น้ํานม จะเหมาะแกการเจริญเติบโต
ของจุลินทรียทุกชนิด ดังนั้นจึงอาจเสียจากเชื้อรา ยีสตและแบคทีเรีย ได สวนอาหาร ท่ีมีแรงดัน
ออสโมติคสงู เชน น้ําเชอ่ื มขน น้ําผ้ึง กจ็ ะมีแตเ ชือ้ รา เทาน้นั ที่เจรญิ ไดด ีอยู
1.4.4 อุณหภูมิ ในท่ีที่มีอุณหภูมิต่ํา คือ ตํ่ากวา 10 องศาเซลเซียส เช้ือราก็ยังอาจ
เจริญได สวนพวกยีสตและแบคทีเรียจะข้ึนไดเปนสวนนอยในอุณหภูมิปานกลาง คือ ในชวง
10-40 องศาเซลเซียส ( 50-104 องศาฟาเรนไฮน ) เปนอุณหภูมิที่เหมาะแกการเจริญของจุลินทรีย
ทุกชนิด ดังน้ันอาหารท่ีเก็บในอุณหภูมิชวงน้ีจึงอาจเสียจากรา ยีสต และแบคทีเรียได แตถาอุณหภูมิ
สูง คือ มากกวา 40 องศาเซลเซียส ( 104 องศาฟาเรนไฮน ) นั้นเชื้อรา ยีสตและแบคทีเรีย สวนใหญ
มักจะทนไมไ ด แตอาจจะมีแบคทเี รยี เพยี งไมกช่ี นดิ ที่เจริญได
1.4.5 อากาศ ในท่ีที่มีอากาศ เชน วางอาหารท้ิงไวในจานหรือเก็บในภาชนะเปด
อืน่ ๆ จุลินทรียทุกชนิดอาจเจริญขึ้นไดไมวาจะเปนรา ยีสต หรือแบคทีเรีย สวนในที่ไมมีอากาศ เชน
ในกระปอ งท่ีปด มิดชดิ จลุ นิ ทรยี ท อี่ าจเจรญิ ไดมีพวกแบคทเี รยี และยีสตบางชนิด เทา นนั้
1.5 การปอ งกนั การเส่อื มเสียของอาหาร ดงั น้ี
1.5.1 ปอ งกันความสกปรกและเชื้อโรคตาง ๆ โดยการรกั ษาความสะอาดของอาหาร
ตั้งแตการเตรียมไปจนถึงการเก็บ การรักษาความสะอาดของอุปกรณที่ใช ภาชนะที่บรรจุตลอดจน
ความสะอาดของผูจับตองอาหาร เม่ือประกอบอาหารแลว ตอ งเกบ็ อาหารใหม ิดชิด ไมเปดท้ิงไว เพราะ
ในอากาศมีจุลินทรียตาง ๆ มากมาย ซึ่งถาตกลงในอาหารก็จะเริ่มเจริญเติบโตและทําใหอาหารเร่ิม
เสอื่ มและเนาในท่ีสดุ
1.5.2 ระงับหรอื ยบั ยั้งการเจริญเตบิ โตของจุลินทรีย
1.5.3 กาํ จดั หรอื ทาํ ลายจลุ ินทรยี แ ละสง่ิ อื่น ๆ
14
2. การเส่ือมเสยี ของอาหารเน่อื งจากสาเหตุทางเคมี
อาหารทุกชนิดประกอบข้ึนจากสวนประกอบทางเคมขี องธาตแุ ละสารประกอบของ
สัตว พืช ผัก และผลไม เมื่อเก็บมาจากตนหรือตายลงยอมจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมี เชน
เนื้อสัตวเม่ือถูกฆาแลวเก็บไวเกิน 1 วัน ก็จะเกิดกล่ินเหม็นเนา กลิ่นน้ันเกิดจากสารประกอบในเซลล
ของเนอื้ สัตวน้ันเอง ที่เกดิ ปฏกิ ริ ิยาเปลย่ี นแปลงทางเคมี พืช ผกั และผลไมต า ง ๆ กเ็ ชนเดียวกนั
สารเคมีที่มนุษยจงใจผสมลงในอาหารตาง ๆ จะโดยวิธีฉีดผสมในน้ํารดตนไมเพื่อ
เรงปฏิกิริยา ตัวอยาง เชน ฉีดฮอรโมนในสัตวป ก ผัก หรือผลไม ยาฆาแมลงตาง ๆ ซ่ึงชาวไร ชาวสวน
ใชฉีดปองกันพืช และเมื่อเก็บมาขายโดยที่ฤทธ์ิยายังไมเส่ือมสภาพจะทําใหอาหารเสียได และเปนพิษ
ตอผูบ ริโภคอาหารน้ันดว ย
การเนาเสียของอาหารเน่ืองจากสาเหตทุ างเคมี แบงเปน 2 ประเภท คอื
1. การเปล่ียนแปลงที่กอใหเกิดสารสีน้ําตาล (Browning reactions) เปนการ
เปลี่ยนแปลงท่ีเกิดในอาหารหลายชนิด ซ่ึงมีผลทําใหสีของอาหารเปลี่ยนไปตั้งแตสีเหลืองออนจนถึง
สีนํา้ ตาลเขม จนดํา การเปลี่ยนแปลงน้ยี ังอาจทาํ ใหเกดิ รส กลิ่น ของอาหารนั้นผิดไปจากเดิม บางครั้งก็
เปนสิ่งที่ตองการโดยทําใหอาหารนั้นมีสี และรส กลิ่น ดีขึ้น เชน สีนํ้าตาลของผิวนอกของขนมปง
ปฏิกิริยาทางเคมที ีก่ อ ใหเ กดิ สนี ํ้าตาลเกดิ ข้ึนได 2 ทาง คือ
1.1 ปฏิกิริยาท่ีมีเอนไซมเก่ียวของ เอ็นไซมเปนสารเรงปฏิกิริยาทางเคมีทําให สาร
หนึ่งเปลี่ยนแปลงไปอีกสารหน่ึง ซ่ึงมักจะทําใหสีของอาหารเปล่ียนแปลงไปในทางดีและไมดี การ
ทํางานของเอนไซมจะเร็วหรือชาขึ้นอยูกับสารเริ่มตน อุณหภูมิ ความเปนกรด ดาง รวมทั้งปริมาณ
หรือความเขมขนของเอนไซมท่ีมีอยูในอาหารนั้น เอนไซมท่ีเกี่ยวของมีหลายชนิดที่สําคัญ ไดแก
เอนไซมพ วกฟนอลเลส (Phenolases) โพลีฟนอลเลส (Polyphenolases) เปน ตน
เอนไซมเหลานี้มีธาตุทองแดงเปนองคประกอบและทําใหสารประเภทฟนอล ซึ่งมีใน
มันฝร่ัง มันเทศ กลวย แอปเปล เปลี่ยนแปลงไปเปนสีน้ําตาลหรือผักหรือผลไมนั้นถูกขีดขวน ตัดหรือ
ปอกเปลือกออกโดยทําใหเ น้อื ถูกออกซเิ จน
การปองกนั หรือควบคุมปฏิกริ ิยา
1. ปองกนั ไมใหผ กั ผลไมน น้ั ๆ ถูกทาํ ใหเปน แผลหรือมีรอยขดู ขวน
2. ใหความรอ นเพ่ือทําลายเอนไซมในอาหาร
3. การเติมกรดเพอื่ ลด pH ของอาหารใหต่ําลง
4. การเตมิ ซัลไฟด
5. การใสน าํ้ ตาลหรือเกลือในอาหาร
6. การขจดั หรือไลออกซเิ จนออกจากอาหารใหม ากท่ีสดุ
15
1.2. ปฏิกิริยาทไี่ มมเี อนไซมเ ก่ียวขอ งทสี่ ําคญั ไดแ ก
1.2.1 การรวมตัวของกรดอะมิโนกบั นาํ้ ตาลซึง่ ทาํ ใหอาหารเกิดสีน้ําตาลและ
รสกล่ินเปล่ียนไป เชน นมระเหย หรือนมขนหวาน ยิ่งเก็บไวนานสีออกน้ําตาลมากย่ิงข้ึน (Maillard
reaction)
1.2.2 การเผาไหมของนํ้าตาลท่ีอุณหภูมิคอนขางสูง เนื่องจากนํ้าในโมเลกุลของ
น้ําตาลระเหยไป ทําใหเกิดสารที่มีสีนํ้าตาลไหม เรียกวา คาราเมล (Caramelization) ซึ่งนําไปใช
แตง สอี าหารตา ง ๆ ได
1.2.3 การเกิดออกซิเดชั่นของวิตามินซี ๆ เม่ือถูกอากาศจะเปล่ียนแปลงใหเปน
สารสนี า้ํ ตาลเกดิ ขนึ้
การปองกันและควบคุมปฏิกิริยาคลายกับการควบคุมปฏิกิริยา เน่ืองจากเอนไซมท่ี
กลาวมาแลว
2. การเปล่ียนแปลงที่กอใหเกิดการเหม็นหืน (Rancidity) การเหม็นหืนมักเกิดขึ้นกับ
อาหารทีม่ ไี ขมันและน้ํามนั เปนสวนประกอบอยซู ่ึงเกดิ ขน้ึ โดย
2.1 การเกิดออกซิเดชั่น โดยมีเอ็นไซมเกี่ยวของ (Enzymatic oxidations)
เอ็นไซมท่ีสําคัญที่ทําใหเกิดปฏิกิริยา คือ ไลปอกซิเดส (Lipoxidase) ซึ่งทําใหกรดไขมันอ่ิมตัวแตกตัว
ออกเปนสารที่ใหกลิ่นเหม็นหืนขน้ึ สวนไลเปส (Lipase) จะทาํ ใหไขมันแตกตวั เปน กรดไขมันอสิ ระและ
กลีเซอรอล (Glycerol) เกดิ กล่ินท่ีผดิ ไป
การปอ งกันการเกิดปฏิกริ ยิ านีม้ กั ใชค วามรอ นทําลายเอน็ ไซมใหหมดไป
2.2 การเหม็นหืนเนื่องมาจากการเกิด Oxidative rancidity ปฏิกิริยาน้ีเกิดจาก
การท่ีกรดไขมันไมอ่ิมตัวรับออกซิเจนเขาไปเกิดเปนสาร Peroxides ซ่ึงจะสลายตัวตอไปเปนสารที่
ระเหยงา ยมกี ล่ินเหมน็ หนื และมักจะทําใหว ิตามินท่ีละลายไดในไขมนั ถูกทําลายดวย
การปองกันโดยไมใหอาหารน้ัน ๆ ถูกอากาศโดยเก็บไวในท่ีอุณหภูมิตํ่า หรือเติม
สารกนั หนื ลงไป
3. การเสอ่ื มเสยี ของอาหารเนื่องจากสาเหตุทางกายภาพ
การเสื่อมเสียนี้มักจะเกิดจากการขนสง การถายเทวัตถุดิบโดยไมถูกวิธีหรือโดยความ
ประมาทและกอใหเกิดการเปลยี่ นแปลงเนื่องจากจุลนิ ทรียห รอื ปฏกิ ริ ิยาเคมตี อ ไป ซึ่งไดแกก ารแตกหัก
ของวัตถุดิบ การขีดขวนเนื่องจากเครื่องมือท่ีใชในการขนถายหรือมือของผูเก่ียวของท่ีหยิบจับโดยไม
ระมัดระวัง จึงทําใหเกิดกรณีฉีกขาดของเซลลท่ีผิวของอาหาร นอกจากนี้ยังเกิดจากกรรมวิธีแปรรูป
เชน การห่ันเปนช้ินเล็ก ๆ การบดหรือสับกอนที่จะทําเปนผลิตภัณฑตอไปก็อาจจะเปนสาเหตุให
จลุ นิ ทรียเ ขาไปเจริญเติบโตหรอื เกิดปฏิกิรยิ าเปลีย่ นแปลงทางเคมไี ด
16
แบบทดสอบ เรอื่ ง สาเหตกุ ารเสือ่ มเสียของอาหาร และวธิ ปี อ งกัน
คําสั่ง จงเลอื กคาํ ตอบทีถ่ กู ตองทสี่ ุดเพยี งคําตอบเดยี ว
1. สาเหตทุ ีท่ ําใหอ าหารเสียเกดิ จากขอใด
ก. รา
ข. ยสี ต
ค.แบคทีเรีย
ง. จุลินทรยี
2. ราเจรญิ เติบโตไดดีที่สดุ ในอาหารท่ีมีสารอาหารชนิดใด
ก. วติ ามิน
ข. ไขมัน
ค. โปรตนี
ง. คารโ บไฮเดรท
3. อาหารในขอใดไมไดใชค ุณประโยชนข องเช้ือราในการถนอมอาหาร
ก. การทําซีอวิ้
ข. การผลติ เนยแขง็
ค. การทําผกั กาดดอง
ง. การผลติ Amylase เพื่อใชใ นการทาํ ขนมปง
4. เช้อื ราทผ่ี ลิตสารพิษ Afatoxin สวนมากจะพบในอาหารชนดิ ใด
ก. แยม
ข. ถวั่ ลิสง
ค. ขนมเคก
ง. ผลไมแชอ ่มิ
5. การสืบพันธขุ องยสี ตแ บบ ascospores คอื วธิ กี ารใด
ก. แบบอาศยั เซลลส องเซลลม ารวมกัน
ข. แบบการแตกหนอ โดยเซลลจะโปง ออก
ค. แบบการแบง ตัวของเซลลออกเปน 1 เทา
ง. แบบการแบง ตัวของเซลลออกเปน 2 เทาไปเรื่อย ๆ
17
6. คาํ กลาวเก่ยี วกบั ยสี ต รา และแบคทีเรียในขอใดถกู ตอง
ก. ยสี ตตอ งการความชื้นมากกวา เชื้อรา แตราขนึ้ ไดดีในที่ท่ีมีแรงดนั ออสโมตคิ สงู
ข. ราข้ึนในอาหารไดนอยกวาแบคทเี รียและยีสต
ค. ราตอ งการออกซเิ จนในการเจรญิ เตบิ โตและตองการความชืน้ มาก เมื่อเทียบกบั ยีสต
และแบคทีเรยี
ง. แบคทีเรียตอ งการความชื้นนอยกวา จุลินทรียชนิดอื่น ดังน้นั ในของเหลวท่มี นี ้ําตาลและ
เกลือมาก จงึ งา ยแกการเจรญิ เติบโต
7. อาหารในขอ ใดเปนการใหป ระโยชนจากยีสต
ก. การทําไวน
ข. การทาํ ฝร่ังดอง
ค. การทําผลไมตากแหง
ง. การทาํ หวั ผักกาดเค็ม
8. การปอ งกนั การเส่อื มเสยี และกาํ จดั ยีสตที่เกดิ ข้นึ กับผลไมอ บแหง นิยมใชวธิ ีใด ไดผ ลมากที่สุด
ก. การรมควนั ดว ยกาํ มะถัน
ข. การน่ึงฆาเช้อื กอนการอบแหง
ค. การแชใ นสารเคมีกอ นนําไปอบแหง
ง. การใสส ารเคมลี งในอาหารเพอื่ ขัดขวางการทํางานของยีสต กอนอบแหง
9. จลุ ินทรยี ชนิดใดที่ทําใหอาหารมีรสเปร้ียว และทาํ ใหผ รู ับประทานเกดิ อาการปวยทีเ่ รียกวา
Botolism
ก. รา
ข. ยสี ต
ค. แบคที่เรยี
ง. ท้ังราและยีสต
10. อาหารประเภทเนื้อ ไก ปลา มักเนา เสยี เนื่องจากจุลินทรยี ช นิดใด
ก. รา
ข. ยีสต
ค. แบคทีเ่ รีย
ง. ทั้งราและยีสต
18
ใบงานท่ี 2
เรื่อง สาเหตกุ ารเสือ่ มเสียของอาหาร และวิธปี องกัน
1. การเสื่อมเสยี เนื่องมาจากสาเหตุของจุลินทรีย
จลุ ินทรยี ลกั ษณะ วิธปี อ งกนั
รา
ยสี ต
แบคทเี รีย
2. การเสือ่ มเสียของอาหารเน่ืองมาจากสาเหตทุ างเคมแี ละการปองกัน
การเส่ือมเสยี เอนไซม ลกั ษณะ วธิ ีปอ งกนั
ทางเคมี เกย่ี วขอ ง วธิ ีปอ งกนั
การเกิดสาร มี
สนี า้ํ ตาล
(Browning ไมม ี
Reaction)
การเหม็นหนื มี
ไมม ี
(Rancidity)
3. การเส่อื มเสยี ของอาหารเนอื่ งมาจากสาเหตุทางกายภาพ
การเสอ่ื มเสยี ลกั ษณะ
ทางกายภาพ
แตกหกั
ขดี ขวน
การหน่ั เปน
ชนิ้ เลก็ ๆ
เอกสารประกอบการสอน
รหัสวชิ า 20404-2004
วชิ า การถนอมอาหารเบือ้ งตน
หนวยการสอนท่ี 3
เร่ือง
การเลอื ก และการเตรียมวตั ถุดิบ
โดย
วา ท่ี ร.อ. สุรศกั ดิ์ จนั ทรานิมิตร
วท.บ.วิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยีการอาหาร
วท.ม.วทิ ยาศาสตรก ารอาหาร
20
หนว ยการสอนท่ี 3
การเลือก และการเตรยี มวตั ถุดิบ
1. การเลอื กซอ้ื อาหารประเภทผลิตผลจากสัตว
1.1 ไข ถา ราคาใกลเคยี งกันควรเลือกฟองที่มีขนาดใหญ เพราะไดปริมาณและคุณคามากกวาไข
ฟองเล็ก ลกั ษณะไขส ดมีดังนี้
1.1.1 จบั ดจู ะรสู กึ สากมอื
1.1.2 เปลือกสะอาด ไมม ีสิ่งสกปรกตดิ เพราะจะนําเชอื้ โรคเขาสูภายในไขได
1.1.3 เปลอื กไมบุบราว เพราะเช้อื โรคอาจจะเขา ไปในไขจ ะเสยี เร็ว
1.1.4 ไมมีกล่ินเนา ไขจะดูดกลน่ิ ตา ง ๆ ไดง า ย ถาเกบ็ ไขไวกบั ของมีกลนิ่ และเมื่อ
นาํ มาทําอาหาร มกี ลน่ิ ไมน ารับประทาน
1.1.5 ไขส ดใหม เมอ่ื นาํ ไปสอ งดใู นท่สี วางจะเห็นเงาของไขแดงท่ีอยูตรงกลางราง ๆ
1.1.6 ใสใ นนาํ้ ผสมเกลอื ปน 10 % จะจม แตถ า เปน ไขเ กา ประมาณ 3 วนั จะไมจ ม
1.2 เน้ือสัตว มวี ิธกี ารซอื้ ดังน้ี
1.2.1 เนอ้ื วัวสดมีสีมว งแดง มนั สีเหลือง เน้อื สันในจะเปน เนอื้ ท่เี ปอ ยงา ยทส่ี ุด ถา
เนื้อไมสดจะมสี เี ขียว ๆ ดํา ๆ
1.2.2 เน้อื ควายสดมสี มี วงคลํ้า เนอื้ แนนไมเ หลว ไมม เี มือก เนอื้ ควายมีเสน ใย
กลา มเน้อื หยาบ
1.2.3 เนือ้ หมูสดมสี อี มชมพู มนั สีขาว หนังเกลยี้ งและบางพอสมควร ถา เปน หมทู ่ี
ฆานาน หนงั จะมียางเหนยี ว
1.3 สัตวปก ไดแก เปด ไก หา น นก เปนตน ควรเลือกซือ้ สัตวท ม่ี ีอายรุ ะหวาง 2 - 5 เดอื นจึงจะดี
และมีหลักในการเลอื กซอื้ ดงั น้ี
1.3.1 ใตป กไมเ หนียว
1.3.2 ดมดทู กี่ นไมม กี ล่ินตุ ๆ
1.3.3 ตรงปลายปก จะไมม ีสีคลาํ้
1.3.4 หนงั บาง อกเต็ม เน้อื ไมเหลว ไมม ีรอยชาํ้
1.3.5 ดลู กั ษณะไกแกหรือไกอ อน โดยสงั เกตดจู ากรอยรูขน ถารใู หญแ สดงวา ไกแ กแ ละ
ถารูเลก็ จะเปนไกออน และเมอื่ กดท่กี ระดูกปลายอก ถาเปน ไกอ อ นจะน่ิม กดลง
1.3.6 ไกจะมเี ดอื ยและหงอนยาว
1.3.7 สังเกตรูปรา งและนา้ํ หนัก สัดสวนของเนอ้ื กระดูกและไขมัน
1.3.8 ตาใส ไมลึกโบ ไมม ีรอยชา้ํ เขียวตามทองและไมเมือก
21
1.4 ปลา ลักษณะของปลาสด มีดงั นี้
1.4.1 ตาใส ไมบุมจมในเบา ตา มีมานตาใส
1.4.2 เหงอื กมสี แี ดง ปลาสดเหงือกมักปด สนิทไมอา
1.4.3 เกล็ดควรตดิ แนนไมหลดุ งาย
1.4.4 หนังจะมเี มอื กใส ๆ หมุ บาง ๆ
1.4.5 ลาํ ตวั ไมม ีรอยฉีกขาด เนื้อแข็งแนน
1.4.6 ไมมกี ลิ่นคาว เมอื่ แลเนอื้ ออกเนอื้ จะตดิ กระดกู แนน
1.5 กงุ ลกั ษณะของกุงสด มดี ังน้ี
1.5.1 เปลือกขึน้ เงาเปนมัน และมีสีเขยี วจาง ๆ ปนสีนาํ้ เงนิ สด
1.5.2 หัวติดแนน ตาใส เนอ้ื กงุ ไมเ หลว
1.6 ปู ลักษณะของปูสด มดี งั น้ี
1.6.1 ตวั อว นสเี ขยี วเขมตวั หนัก ตาใสสไี มแดงจดั เปลอื กบาง
1.6.2 กลางหนาอกแขง็ กดไมล ง
1.6.3 ถาตอ งการปูไข เลอื กตวั ท่ีมีฝาปดหนา อกใหญ และกดดกู ระดองจะมเี สียง
ทบึ แนน
1.6.4 ถา ตอ งการปูเนอ้ื ใหเลอื กปูตัวผซู ง่ึ มีหนาอกเรยี วเล็ก
1.6.5 กระดอง ขา และกามตดิ แนน ไมหลุดงา ย
1.7 หอย ลกั ษณะของหอยสด มีดงั นี้
1.7.1 เปลอื กปดสนิท หากท้ิงไวจ ะเปดอาแตถา เอามอื แหยจะหุบปดสนทิ ทนั ที
แสดงวายงั มีชีวติ อยู
1.7.2 เมอ่ื ใสล งในน้ําจะจม เคาะดูจะมเี สยี งทึบ
1.7.3 ตวั หอยอยใู นสภาพดี ไมข าดรุงริง่
1.7.4 น้ําทแี่ ชหอยไมมเี มอื กมาก และไมมีกลิน่ เหมน็
1.7.5 เนอ้ื หอยที่แกะแลว ตอ งมีสีสดใส
1.8 ปลาหมกึ เลือกทผ่ี วิ ตวั สขี าวใสเปน ประกาย
2. การเลอื กซอื้ อาหารประเภทผลิตผลจากพชื มหี ลักในการพิจารณาท่ัว ๆ ไปดังนี้
2.1 การพิจารณาจากลักษณะภายนอก คณุ ภาพของผลผลติ จากพืชขึ้นอยูกับลักษณะ
ของผักและผลไมแตละชนิด ซึ่งวิธกี ารพิจารณาภายนอกขน้ึ อยูกับการเห็นดวยตา จับตองดวยมือและการ
ไดกล่ิน คุณภาพบางอยางท่ีซอนเรนอยูเบ้ืองหลัง เชน คุณภาพทางโภชนาการจะไมสามารถพิจารณาได
จากลกั ษณะภายนอกซึง่ มอี งคประกอบในการพจิ ารณาเลอื กคุณภาพลกั ษณะภายนอก ดังนี้
22
2.1.1 ลกั ษณะท่ีเหน็ ครัง้ แรก
จากตาท่ีเห็นคร้ังแรกเปนเคร่ืองชวยในการพิจารณาในการเลือกซื้อ เชน ลักษณะของ
ภาชนะท่ีบรรจุ ไดแก ลัง เขง กลองหรือใสในรถมาเฉย ๆ ความสะอาดของวัตถุดิบ และภาชนะท่ีบรรจุ
เปนสิ่งจําเปนอยางยิ่ง ที่จะตองดูจากที่เห็นดวยตาในคร้ังแรก แลวใชความรูสึกตัดสินวายอมรับหรือไม
ยอมรบั ถายอมรบั จะไดใ ชมาตรการอ่นื ๆ พจิ ารณาวตั ถดุ บิ ตอไป
2.1.2 ลักษณะขนาด รูปราง และพันธุ
ผักและผลไมแตล ะชนิด แตละพันธหุ รอื ชนดิ เดียวกนั จะมีลักษณะ ขนาด รปู รา งตามแบบ
ฉบับของมัน การพิจารณาขนาดก็เพื่อดวู าขนาดเล็กหรอื ใหญเกินไป หรืออยใู นลกั ษณะทเ่ี หมาะสมแลว ถาจะ
พิจารณาตามรปู รา งก็เพอ่ื ดวู าลกั ษณะรปู ราง ผักและผลไมเปน ไปตามความตอ งการหรือไม
2.1.3 ลักษณะท่ีเสีย อาจจะมองเห็นดวยตา เชน รอยชํ้า ดํา เนา รอยแผลถลอกและ
รอยแตก
2.1.4 ลักษณะผิว ผลไมหลายชนิดเมื่ออยูบนตนและเก็บมาใหม ๆ ผิวของผลไมจะ
เปน สีนวล มนั และเตง ตึง เชน มะมวง พุทราและกลว ย เปนตน
2.1.5 ลักษณะของสี กอนที่ผูซื้อจะคัดเลอื กคณุ ภาพของวตั ถุดิบจะตองทราบ
วัตถุประสงคว าจะตองการวตั ถุดิบสอี ะไร เชน มะมวง พุทราและกลวย เปนตน
2.1.6 ลักษณะของการออน – แก ผักและผลไมจะรูลักษณะของการแก - ออน
สําหรับผักโดยทั่วไปจะวัดความแก - ออนไดจากปริมาณเสี้ยน รสหวาน รสมัน ความออนนุม ความแข็ง
กระดาง สี และขนาด สวนผลไมวัดไดจ ากสขี นาด ความหวาน และความเปรีย้ ว
2.2 การพจิ ารณาเกย่ี วกับพันธุ
เนอ่ื งจากผักและผลไมมีพันธุมากมายทีจ่ ะใหเ ลือกผลไมห รือผักบางชนิดเปน พนั ธเุ ดียว แต
มีสายพันธุจํานวนมาก เม่ือมีมากพันธุยอมมีความแตกตางกัน อาจจะเปนลักษณะภายในหรือลักษณะ
ภายนอก
ลักษณะภายใน เชน ความหวาน ความเปร้ียว กล่ิน ความกรอบ ปริมาณเสี้ยน สี เน้ือ
และคุณคา ทางโภชนาการ
ลกั ษณะภายนอก เชน ขนาด สผี ิว รูปรา ง ความทนตอ โรคและแมลง
การพิจารณาเกี่ยวกับพันธุจึงเปนสิ่งจําเปนเพื่อท่ีจะหาวัตถุดิบที่มีคุณภาพดีที่สุด
เหมาะสมกับวัตถุประสงควาจะนําไปทําอะไร เชน บรรจุกระปอง ทําแหง ทําแยม และทําซอส เปนตน
ควรจะพิจารณาคุณลักษณะของวัตถุดิบสําหรับผลิตภัณฑนั้นๆ มีอะไรบาง เชน ขนาด รูปราง สีเน้ือ สีผิว
ความหวาน ความเปร้ียว รส กลิ่น ความทนทานตอ การตม การทอดและสิ่งทค่ี วรพจิ ารณาประการสุดทาย
คอื ราคาทุน
23
3. ประเภทผลิตผลจากพืช แบง ออกเปนประเภทดงั น้ี
3.1 ผกั ชนดิ ตา ง ๆ การเลือกซ้ืออาหารประเภทผกั มลี กั ษณะทัว่ ๆ ไปท่ีควรพจิ ารณา คอื
3.1.1 ผกั ที่รบั ประทานใบ ตน ดอก จะตอ งสดไมเหีย่ ว คือ ลักษณะกรอบ เตงสีเขยี ว
ปานกลาง
3.1.2 ใบสด ไมแหง ไมเ หลอื ง หรือมรี าข้ึน และใบไมแกเกินไป
3.1.3 ตนอวบใหญ มใี บแนนตดิ กับโคนตน
3.1.4 พวกผล ใหเ ลอื กท่ขี ั้วติดแนน สสี ดใหม อวบ ผวิ ตงึ ไมเห่ยี ว ไมม ีรอยยน มคี วาม
แกออ น นาํ้ หนกั มาก
3.1.5 ผกั ตองเขียวสด แนน อวน ออนไมมรี อยหนอนหรือแมลงขา งใน
3.1.6 ซ้อื ตามฤดกู าล
3.2 ผลไมช นิดตา ง ๆ การเลอื กซ้อื ผลไม มีหลักการเลือกซ้ือเชนเดยี วกับผกั คอื
3.2.1 เลอื กซอ้ื ตามฤดูกาล
3.2.2 มเี น้อื ทีร่ บั ประทานไดม ากกวาเปลอื ก
3.2.3 ผิวสดใส ไมแหง ซีด ชํา้ ฝอหรือมรี ูแมลงเจาะ
3.2.4 ขัว้ หรือกานยงั เขียวและแข็ง
3.3 การเลอื กซ้อื สารท่ีใชในการถนอมอาหาร แบงออกเปนประเภทดังนี้
3.3.1 นํ้าตาล ทใี่ ชในการถนอมอาหาร อาจแบงออกตามลักษณะของน้าํ ตาล เปน
2 พวก คือ
1) น้ําตาลทต่ี กผลกึ ไดแก นํา้ ตาลทราย
2) นา้ํ ตาลท่ีไมตกผลึก ไดแ ก น้ําตาลโตนด นาํ้ ตาลมะพรา ว
การเลือกซื้อน้ําตาลทรายควรเลือกที่ไมช้ืน น้ําตาลโตนด และนํ้าตาลมะพราว ควรเลือก
ซือ้ ท่ีแขง็ และไมควรจะเหลว เพราะจะทาํ ใหเ สยี ไดง าย
3.3.2 ธญั ญพชื มีหลักในการเลือกซือ้ ดังน้ี
1) ควรมีความชนื้ อยูร ะหวา งรอ ยละ 12-13 จึงจะเก็บไดน าน
2) มขี นาดรูปราง นา้ํ หนกั และเมด็ สมาํ่ เสมอ
3) ไมมกี ล่นิ อบั ไมมเี ช้ือรา
4) ไมมกี ลนิ่ ปุยหรือยาฆาแมลง
5) ไมม รี อยแมลงกดั แทะ
24
4. การเตรยี มวตั ถุดิบกอนการแปรรูป
4.1 การทําความสะอาด (Cleaning)
วัตถุประสงคของการทําความสะอาดวัตถุดิบ คือ การชําระลางส่ิงสกปรก และทําใหวัตถุดิบมี
ผิวหนาที่เหมาะสมสําหรับกระบวนการแปรรูปขั้นตอไป การทําความสะอาดเปนข้ันตอนที่ควรทําใน
ตอนตนของกระบวนการแปรรูป ทั้งนี้เพื่อปองกันความเสียหายซ่ึงอาจเกิดกับเคร่ืองจักร หรือเคร่ืองมือ
เนื่องจากเศษหิน เศษโลหะ หรือกระดูกทต่ี ิดมากับวัตถุดิบ เพื่อประหยัดเวลาและคาใชจ ายท่ีตองสูยเสีย
ไปกับการกําจัดส่ิงปะปนเหลาน้ีภายหลัง นอกจากน้ันยังเปนการกําจัดเชื้อจุลินทรียที่ปนเปอนอยูใน
วัตถุดบิ ใหลดนอ ยลง ปอ งกันการสญู เสยี ที่จะเกดิ ตามมาจากการเจริญเติบโตของเช้ือจลุ นิ ทรีย
วธิ กี ารทาํ ความสะอาด แบง เปน 2 วิธี คือ
4.1.1 การทําความสะอาดแบบเปย ก
การทําความสะอาดแบบเปยกมีประสิทธิภาพสูงกวาการทําความสะอาดแบบแหง
ใชในการชะลางดินออกจากรากพืชหรือกําจัดฝุนและยากําจัดศัตรูพืชที่หลงเหลืออยูจากผักหรือผลไม
วิธีน้ที ําใหเ กดิ ฝนุ หรอื วัตถดุ ิบเกิดความเสยี หายนอยกวาวธิ ีการทําความสะอาดแบบแหง วิธีนอ้ี าจมีการใช
นาํ้ ยาลา งหรือฆา เชอื้ ท่ีอณุ หภมู ิตาง ๆ ประกอบดวย แตการใชนํ้าอนุ ลา ง อาจเปนการเรงการเส่อื มเสีย
เน่ืองจากปฏิกิริยาทางเคมี หรือจากจุลินทรียได หากไมมีการควบคุมระยะเวลาในการลาง และ
ระยะเวลากอ นเขาสกู ระบวนการแปรรูปข้ันตอไป การทําความสะอาดแบบเปยกทําใหเกิดของเหลวจาก
กระบวนการปริมาณมาก และของเหลวนีม้ กั มีสารแขวนลอย หรือสารละลายอยใู นความเขม ขนสูง ทาํ ให
ตองเสียคาใชจายในการจัดหานํ้าสะอาดมาใช และการบําบัดนํ้าเสียสูง จึงมีการหมุนเวียนน้ํามากรอง
ฆาเชือ้ หรอื นํามาใชใหมเพ่ือเปนการลดตน ทนุ
เครอ่ื งมือทีใ่ ชใ นการทําความสะอาดแบบเปยก ไดแก
1) เครอื่ งลางแบบฉดี พน ฝอย (Spray Washer)
2) เคร่ืองลางแบบท่ีประกอบดวยขั้นตอน แช 2 ข้ันตอน การฉีดพนนํ้า
การสะเดด็ นํา้ และการทําใหแหง
3) เคร่อื งลา งแบบลูกกล้ิงหมนุ (Rotary Washer)
4) เครื่องลา งแบบใชแ ปรง
5) เครือ่ งลา งแบบลกู กลง้ิ หรือแทง และแทง คล อยวสั ดุ
4.1.2 การทําความสะอาดแบบแหง
วิธีน้ีเหมาะกับผลิตภัณฑท่ีมีขนาดเล็ก มีความแข็งแรงเชิงกลสูง และมีความชื้นต่ํา
เชน เมล็ดพืช เมล็ดถ่ัว หลังการทําความสะอาดแลว ผิวหนาของวัตถุดิบจะแหง ทําใหการเก็บรักษา
หรือกระบวนการทําแหงตอไปงายขึ้น การทําความสะอาดแบบแหงมักจะใชเครื่องมือท่ีมีราคาถูกกวา
การทําความสะอาดแบบเปยก และใหของเหลวจากกระบวนการท่ีเขมขน กวา คาใชจา ยในการกําจัดของ
25
เสียดังกลาวจึงตํ่าดวย นอกจากนั้นการทําความสะอาดในโรงงานยังงายกวาการทําความสะอาดแบบ
เปยก ทําใหการสูญเสียเน่ืองจากปฏิกิริยาทางเคมีหรือจากจุลินทรียลดลงดวย อยางไรก็ตามอาจตองมี
การลงทนุ เพอื่ ปองกันการเกดิ ฝนุ ซง่ึ จะเปนอนั ตรายตอสุขภาพ หรอื อาจกลับมาปนเปอนผลิตภัณฑไดอกี
เครือ่ งมอื ทใ่ี ชใ นการทาํ ความสะอาดแบบแหง ไดแ ก
1) เครอื่ งแยกโดยลม (Air Classicfiers)
2) เคร่ืองแยกโดยแมเ หลก็ (Magnetic Separator)
3) เครื่องรอ นแยก (Screen)
4.2 การคัดเลอื ก (Sorting)
การคัดเลือกวตั ถุดิบเปนการคัดแยกวัตถุดิบออกเปน กลุมๆ ตามลักษณะทางกายภาพ การ
คัดเลือกควรทําในตอนตนๆ ของกระบวนการแปรรูป เชนเดียวกับการทําความสะอาดเพ่ือให
ผลิตภณั ฑมลี กั ษณะเดียวกันกอนกระบวนการแปรรปู ข้นั ตอ ไป
4.2.1 การคัดเลือกรปู รางและขนาด (Shape and Size Sorting)
รูปรางของอาหารแตละชนิดมีความสําคัญมากในการกําหนดความเหมาะสมใน
การแปรรูป หรือกําหนดราคาขายปลีก เชนในการปอกเปลือกผักหรือผลไมแบบประหยัด มันฝร่ังควรมี
รูปรางกลมหรือรี คลาย ๆ กัน และมีตานอย แตงกวาท่ีมีรูปรางตรงจะบรรจุไดงาย ผลไมท่ีมีรูปราง
เฉพาะ เชน ลูกแพร ถามีรูปรางใกลเคียงกันจะไดราคาขายปลีกสูง การรอนเพื่อแยกขนาด (sieving
หรือ screening) เปนการแยกของแข็งออกเปน 2 สวน หรือ 2 สวนขึ้นไป โดยอาศัยความแตกตางดาน
ขนาด การคัดแยกขนาดเปนกระบวนการท่ีสําคัญมาก โดยเฉพาะในกรณีที่อาหารจะตองเขาสู
กระบวนการอบแหง หรือทําใหเย็นตอ ไป ทั้งนี้เนื่องจากอัตราการถา ยเทความรอ นข้ึนอยูกับขนาดของ
วัตถุดิบแตละช้ิน และถาอาหารมีขนาดชิ้นท่ีแตกตางกัน อาจทําใหเกิดการใหความรอนมากเกินไป
(over-processing) หรือการใหความรอนไมเพียงพอ (under-processing) ได นอกจากนั้น
ผูบรโิ ภคสว นใหญย ังชอบอาหารทมี่ ขี นาดใกลเคยี งกันดวย
การคัดแยกรปู รา งอาจทาํ ไดโ ดยคน หรอื โดยใชเ ครื่อง เชน
1) เครอื่ งคดั แยกแบบใชล กู กลิง้
2) เครอ่ื งคัดแยกแบบเกลียว
3) เครอื่ งคดั แยกแบบใชจาน
4) ใชแ รงงานคน หรอื อิมเมจโปรเซสซ่ิง (Image processing)
การใชเครื่องรอ นในการคัดแยกรปู รา งอาจใชแ บบที่มีชองขนาดแนน อนตายตัว หรอื
แบบที่ปรับได เคร่ืองรอนมีทั้งที่แบบอยูน่ิงกับท่ี แตเครื่องแบบหมุนและแบบสั่นสะเทือนเปนที่นิยม
มากกวา
26
4.2.2 การคดั แยกโดยสี (Color Sorting)
เครื่องแยกสีควบคุมโดยคอมพิวเตอร จะชวยใหสามารถคัดแยกอาหารที่เปน
ช้ินเล็ก ๆ ไดในอัตราเร็วสูง ชิ้นอาหารจะถูกสงเขามาตามรางดานบนพรอมกัน ความเร็วของวัตถุดิบท่ี
ผานเคร่ืองจับภาพ (photodetector) ควบคุมไดโดยการเปล่ียนมุม รูปราง และวัตถุดิบท่ีบุทางลาดน้ีได
ทั้งนต้ี องควบคุมสีพ้นื ชนดิ และความเขมแสงที่ใชสองผลิตภณั ฑแ ตละชนดิ อยางละเอียด เครอ่ื งจับภาพ
นจ้ี ะวัดสีสะทอนจากวัตถแุ ตละชิ้น และเปรียบเทยี บกับมาตรฐานท่ีตัง้ ไว การแยกอาหารท่ีมีขอบกพรอง
จะทําโดยลมที่ถูกอัดเขามา วิธีน้ีประยุกตใชไดกับถั่วลิสง ถั่วอบ ขาว ชิ้นแครอท เมล็ดขาวโพด และ
ผลไมลูกเลก็ ๆ นอกจากน้ียังมกี ารใชแสงอลุ ตราไวโอเลตเพื่อสอ งดเู มลด็ กาแฟเพอื่ ตรวจสอบการปนเปอน
ของจุลินทรีย และคัดแยกออก ห รือมีการใชเลเซอรเพื่ อฉายไปท่ีมะเขือเทศบนสายพ าน
เคร่ืองไมโครโปรเซสเซอรจะวัดแสงสะทอนออกมา และควบคุมระบบการตีกลับแบบอัตโนมัติ
เครื่องคัดแยกบางชนิดจะมีเซ็นเซอรติดตั้งอยูเหนือสายพาน เพื่อสํารวจผลิตภัณฑที่เคลอ่ื นท่ีอยูดานลาง
เซน็ เซอรน้ีจะตรวจเชค็ สีได 8 สี และมีเสยี งเตือน หรือใหสัญญาณเม่ือตรวจพบสีที่ไมตองการ ซ่ึงใสข อมูล
ไวกอนแลว เคร่ืองนี้สามารถแยกแยะอาหารท่ีมีสีแตกตางกันไดโดยใชอิมเมจโปรเซสซ่ิงในการคัดแยกสี
โดยอาหารจะเคลอื่ นที่เปนแถวบนสายพานลูกกล้ิงภายใตก ลอ งวีดีโอทตี่ ิดตั้งอยดู านบน ความเขมสัมพัทธ
ของแสงสะทอนของแสงสีแดง เขียว และเหลือง จะถูกสงไปยังเคร่ืองไมโครคอมพิวเตอรซ่ึงจะสราง
ภาพองคประกอบของอาหารแตละชิ้น โดยแสดงท้ังการกระจายตัวของสีและสีโดยรวมของอาหารท่ี
กาํ ลงั จะตรวจสอบ เครอ่ื งคอมพิวเตอรจะเปรยี บเทียบภาพท่สี รา งข้ึนกับภาพท่ีตง้ั ไวในเครอื่ งแลว และส่ัง
ใหเคร่ืองคัดผลิตภัณฑท่ีมีปญหาออกโดยใชลมอัด หรือใชเครื่องเครื่องซึ่งทํางานเชิงกล หรืออาจใชระบบ
อื่น ๆ ในการคัดอาหารออก มีการใชเครื่องลักษณะน้ีในการคัดแยกผลิตภัณฑอาหารอบและสามารถใช
ควบคมุ การจา ยไฟฟาหรือกา ซใหแกเตาอบโดยตรง สามารถชวยประหยัดพลงั งานไดถงึ 20 %
4.2.3 การคัดแยกโดยน้าํ หนกั (Weight Sorting)
การคัดแยกโดยน้ําหนักเปนวิธีคัดแยกท่ีมีความเที่ยงตรงกวาวิธีอ่ืน จึงนิยมใชกับอาหาร
ทีม่ ีมลู คาสูง เชน ไข ช้นิ เน้ือ และผลไมเ มอื งรอ นบางชนิด
การคัดแยกโดยใชลมเปาหรือการลอยน้ําเปน การคัดแยกอาหาร โดยอาศัยความแตกตาง
ดานความหนาแนน ซึ่งมีหลักการและการทํางานคลายคลึงกับการทําความสะอาดโดยการดูดหรือ
การลอยน้ํา การดูดใชในการแยกเมล็ดถ่ัว เมล็ดขาว และลูกนัท สวนถั่วลันเตาหรือถั่วลิสงอาจคัดแยก
ดวยการลอยในน้ําเกลือ วัตถุดิบท่ีแกกวาจะมีเนื้อแปงที่แนนและจมลง ในขณะที่วัตถุดิบที่ออนกวาจะ
ลอยข้ึน
การจัดเรียงอาหารที่มีน้ําหนักแตกตางกัน เชน เนื้อปลาแชแข็ง เปนกลุมท่ีมีนํ้าหนัก
เทา ๆ กัน เปน เร่ืองที่ตองใชเวลาและแรงงานสงู โดยทว่ั ไป ผูปฏิบตั ิงานจะเลือกอาหารชนิดตาง ๆ จาก
อาหารท้ังหมด และบรรจุรวมใหเปนกลุม ใหมีนํ้าหนักรวมใกลเคียงกับน้ําหนัก ท่ีกําหนดไวมากที่สุด
โดยวิธีการลองผิดลองถูก ในกฎหมายเกี่ยวกับน้ําหนักการบรรจุอาหารจึงมักกําหนดชวงของน้ําหนัก
27
การบรรจุที่พอจะผอนปรนกันได ปจจุบันมีวิธีการใหม ๆ ในการคัดแยกและบรรจุผลิตภัณฑโดย
อัตโนมัติดวยเครื่องไมโครโปรเซสเซอร อาหารแตละชนิดจะถูกช่ังและเก็บไวตามชอง คอมพิวเตอรจะ
บันทึกขอมูลนํ้าหนักนี้ไวใ นเคร่ืองและเลือกจับกลุมอาหารชนิดตาง ๆ เขาดวยกันใหไดน้ําหนักรวมในถุง
บรรจุใกลเคียงน้ําหนักท่ีตองการท่ีสุดตอไปจนกวาน้ําหนักรวมน้ันจะไมอยูในขอบเขตที่ยอมรับไดจึงจะ
หยุดการบรรจุ
4.3 การคดั เกรด (Grading)
การคัดเกรดมีความหมายใกลเคียงกับการคัดแยก แตคอนขางจะเนนคุณภาพโดยรวมของ
อาหาร ซ่ึงขึ้นกับปจจัยหลายประการ การคัดแยกเปนกระบวนการที่ข้ึนกับคุณลักษณะเพียง 1 อยาง
จงึ เปนสว นหนงึ่ ของการคัดเกรด แตก ารคดั เกรดไมไดเ ปนสวนหนึง่ ของการคัดแยก
การคัดเกรดจะตองทําโดยผูปฏิบัติงานท่ีมีความชํานาญ เชน การตรวจสอบเน้ือสัตวโดยผู
ตรวจสอบโรค การกระจายของไขมนั ขนาดและรูปรางของซากสัตว ตัวอยางอาหารที่ตองคัดเกรดอนื่ ๆ
ไดแก เนยแข็ง และ ใบชา ในบางครั้งอาจมีการใชผลการวิเคราะหในหองปฏิบัติการ เชน ปริมาณ
โปรตีน ความยืดหยุนของโดขนมปง สี ปริมาณความชื้น และการมีแมลงหรือไม ในแปงสาลี ในการ
กําหนดเกรดอาหารโดยท่ัวไป การคัดเกรดตองเสียคาใชจายมากกวาการคัดแยก เนื่องจากตองใช
ผูปฏบิ ัติงานท่ีมีความชาํ นาญมากกวา
4.4 การปอกเปลือก (Peeling)
การปอกเปลือกเปนกระบวนการที่จาํ เปนในการแปรรูปผักและผลไมห ลายชนดิ ท้ังน้ีเพ่ือกําจัด
สวนที่บรโิ ภคไมได หรือไมตองการ กระบวนการนี้มีความสําคัญในการลดตนทุนการผลิต โดยการกําจัด
ส่ิงที่ไมตองการใหนอยท่ีสุด เพ่ือลดการใชพลังงาน แรงงาน และตนทุนของวัตถุดิบ ผิวของวัตถุดิบท่ี
ผานการปอกควรจะสะอาด และไมเ กดิ การเสียหาย
วธิ ีการปอกเปลอื กท่ีสาํ คญั มี 5 วธิ ี คอื
4.4.1 การปอกเปลอื กอยา งรวดเร็วโดยใชไอน้าํ
4.4.2 การปอกเปลอื กโดยใชม ีด
4.4.3 การปอกเปลือกโดยการขดั สี
4.4.4 การปอกเปลือกโดยใชด าง
4.4.5 การปอกเปลอื กโดยใชเปลวไฟ
4.5 การลวก (Blanching)
การลวกเปนกระบวนการการที่ใชทําลายการทํางานของเอ็นไซมในผักและผลไมบางชนิดกอน
การแปรรูปหรือเพ่ือปองกันการทํางานของเอนไซมในระหวางการเก็บรักษา ข้ันตอนน้ีมักจะเปนข้ันตอน
หน่ึงในการเตรียมวัตถุดิบกอนจะเขาสูกระบวนการตอไป เชน การสเตอริไลซ การทําแหง หรือการ
28
แชเยือกแขง็ ขั้นตอนการลวกมักอยูรวมกบั การปอกเปลือกหรือการทําความสะอาดดวย ทั้งน้ีเพ่ือเปน การ
ประหยดั พลงั งาน สถานทแ่ี ละการลงทนุ เรอื่ งเคร่อื งมอื
มีผักจํานวนไมกี่ชนิด เชนหัวหอมใหญ ที่ไมตองผานการลวก แตผักผลไมสวนใหญจะ
เส่อื มสภาพไดโ ดยงาย ถาไมผ านกระบวนการน้ี การลวกนี้ทําไดโดยการใหค วามรอนที่อุณหภูมิและเวลา
ทตี่ ั้งไว และทาํ ใหเย็นโดยเรว็ ท่ีอณุ หภูมิใกลเคียงกบั อณุ หภูมิหอง
ปจ จัยทมี่ ผี ลตอ เวลาในการลวก ไดแก
1) ชนดิ ของผกั และผลไม
2) ขนาดของช้นิ อาหาร
3) อณุ หภมู ิของการลวก
4) วธิ ีการใหค วามรอ น
วิธีการลวก มี 2 คอื
1) การลวกดวยน้าํ รอน
2) การลวกดว ยไอน้ํา
29
แบบทดสอบเรอ่ื ง การเลือก และการเตรียมวัตถดุ บิ
คําสั่ง ตอนที่ 1 จงเลอื กคําตอบท่ถี กู ตองที่สดุ เพยี งคาํ ตอบเดยี ว
1. ไขใ นขอใดควรเลอื กซ้ือใชในการประกอบอาหารประเภท ไขเคม็ แบบดอง และแบบพอก
ก. ไขไ ก ที่มโี พรงอากาศใหญ จับดูลื่นมอื
ข. ไขเปด จับดูสากมือ มรี อยราวเลก็ นอย
ค. ไขเ ปด สองไฟดูไขแดงอยตู รงกลาง เปลือกไมบ บุ ราว
ง. ไขไ ก เปลอื กสะอาด ไมมีรอยบบุ จบั ดสู ากมอื
2. ในการทดสอบไขในนา้ํ ผสมนํา้ เกลือ 10 % ไขลักษณะอยา งไรทีเ่ ปนไขส ด
ก. ไขนอนกน ดานขางแตะพื้น
ข. ไขต งั้ และกน แตะพ้นื หัวลอยเอยี ง
ค. ไขกน ต้งั แตะพืน้ ในลักษณะตั้งฉาก
ง. ไขจ ะมีลกั ษณะลอยขึ้นที่ผวิ นํ้า
3. เน้อื สตั วในขอใดไมควรเลือกซ้ือ
ก. เนือ้ ววั สดมีสีแดงมวง มันสเี หลอื ง
ข. เน้ือควายสด มีสมี ว งคล้ํา หนังบาง อกเต็ม เนือ้ ไมเหลว
ค. เน้อื หมูสดมีสีชมพู มันสีขาว หนังมยี างเหนยี ว
ง. สัตวป ก ปลายปก ไมมีสคี ล้าํ หนงั บาง อกเตม็ เน้ือแนน
4. การเลอื กซ้ืออาหารประเภทผลิตภณั ฑจากพืช ควรพจิ ารณาจากปจจัยใด
ก. เลอื กภาชนะทีบ่ รรจุ เชน เขง ลัง
ข. ความสะอาดของวัตถุดิบทอ่ี ยูในข้นั ทย่ี อมรับได
ค. เลือกผลไมท่ีมลี ักษณะผวิ นวล มัน และแตง ตึง เชน พุทรา กลว ย
ง. พิจารณาจากทุกเหตุผลรวมกัน
5. ผักทมี่ ลี กั ษณะเชน ขอใดไมค วรเลอื กซื้อ
ก. ผกั ท่รี ับประทานใบ ตน ดอก มลี ักษณะกรอบ
ข. ผกั ประเภทผล ขว้ั ติดแนน สสี ด ใหม นํา้ หนกั มาก
ค. ผัก ตนใหญอวบ มีใบแนน ติดกบั โคนตน
ง. ผกั ใบสด คอนขางแขง็ กา นมีเสยี้ น ไมช าํ้ หรอื เหลือง
30
6. ผลไมในขอใดมลี ักษณะที่ไมควรเลอื กซื้อ
ก. สม ผวิ เตง เปลือกบาง สีเหลืองอมนํ้าตาล
ข. มะมว งสุก ผวิ บางเหลืองเขม เนื้อเตง
ค. สบั ปะรด ตาถี่ เปลอื กออกสเี หลอื งเขยี ว ผลสด
ง. เงาะโรงเรียน เปลือกมขี นสีแดงออกเขยี ว ผลสด
7. ในฤดูรอน ควรเลือกผักในขอใดที่มีจาํ หนายมากและราคาถูก
ก. แตงกวา ถัว่ ฝกยาว
ข. ขา วโพดออน ขาออน
ค. ดอกกะหลํ่า กระเจ๊ียบ
ง. ดอกแค ดอกขจร
8. ในฤดรู อนควรเลือกผลไมในขอใดทีม่ ีจาํ หนายมากในฤดูกาล
ก. ขนุน เงาะ ทุเรยี น
ข. กลว ยไข กลวยน้ําวา กลว ยหกั มกุ
ค. แตงไทย นอ ยหนา ฝรั่ง
ง. สบั ปะรด องุน สมเขียวหวาน
9. กงุ ฝอย ควรเลือกซ้ือในฤดูใดจะไดปริมาณมากและราคาถูก
ก. ฤดรู อน
ข. ฤดฝู น
ค. ฤดหู นาว
ง. ปลายฤดูหนาว
10. ลักษณะของธญั พชื ในขอใดควรเลือกซื้อ
ก. ขนาดรปู รางและนํ้าหนักไมส มํ่าเสมอ
ข. มกี ล่ินปุย หรอื ยาฆาแมงเล็กนอ ย
ค. มีรอยแมลงแทะ และมีกลิ่นอบั ของเชื้อรา
ง. มีความช้ืนอยรู ะหวางรอ ยละ 12 –13
ตอนท่ี 2 ใหต อบคาํ ถามตอ ไปนี้
1. การทําความสะอาดวตั ถุดบิ มีก่ีวิธี อะไรบาง
2. การคัดเลือกวัตถดุ ิบ ใช หลกั การอะไรบาง
3. การปอกเปลือกผลไม มีกวี่ ิธี อะไรบา ง
4. การลวกผกั และผลไมก อนการแปรรปู มีวตั ถปุ ระสงคอะไร
31
ใบงานท่ี 3
เรือ่ ง การเลอื ก และการเตรียมวตั ถดุ ิบ
คําสง่ั จงสรปุ เกี่ยวกบั การเลอื ก และการเตรียมวัตถุดิบ ตามหัวขอ ดงั ตอไปนี้
3.1 การเลอื กวตั ถุดิบ
ประเภท ชนิด ลกั ษณะทีค่ วรเลอื ก
ผลติ ผล
ไข
เนอ้ื สัตว
สตั วปก
ปลา
สตั ว
กุง
ปู
หอย
ปลาหมึก
ผกั
พชื ผลไม
ธัญพืช
32
3.2 การเตรียมวตั ถดุ ิบ วธิ ี เคร่อื งมือ
การเตรียมวตั ถุดิบ
1. 1.
2.
1. การทําความสะอาด 3.
4.
(Cleaning) 5.
1.
2. 2.
3.
2. การคัดเลือก 1. 1.
(Sorting) 2.
2. 3.
3. การคัดเกรด 3. 4.
(Grading) 1. ปริมาณโปรตนี 1.
2. สี 1.
4. การปอกเปลือก 3. ปริมาณความชน้ื 1.
(Peeling) 1. 1.
2. 1.
5. การลวก 3. 1.
(Blanching) 4. 1.
5. 1.
1. 1.
2. 1.
1.
1.
32
เอกสารประกอบการสอน
รหสั วิชา 20404-2004
วิชา การถนอมอาหารเบอ้ื งตน
หนวยการสอนท่ี 4
เรื่อง
การเลอื ก และการใชเครือ่ งมืออปุ กรณในการถนอมอาหาร
โดย
วาท่ี ร.อ. สรุ ศกั ดิ์ จันทรานิมิตร
วท.บ.วิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยีการอาหาร
วท.ม.วิทยาศาสตรการอาหาร
33
หนวยการสอนที่ 4
การเลอื ก และการใชเ ครื่องมืออปุ กรณในการถนอมอาหาร
เคร่ืองมือเคร่ืองใชท ่ีจาํ เปน ในการถนอมอาหาร
เคร่ืองมือเครื่องใชในการผลิต เปนปจจัยสําคัญในการถนอมอาหารและตองติดต้ังหรือวาง
ในท่ีเหมาะสม เพือ่ ทําความสะอาดตัวเคร่ืองมือและบริเวณท่ีติดต้ังเคร่ืองมือควรใชไดง ายและท่ัวถงึ
เครือ่ งมือเครอ่ื งใชท จ่ี าํ เปนสําหรบั ใชใ นการถนอมอาหาร แบง ออกไดดังนี้
1. ภาชนะบรรจุ
การทําอาหารบรรจุตามบานนั้น มักใชขวดแกว การบรรจุอาหารประเภทแยม เยลลี่
กวน แชอิ่ม และผักดอง ใชขวดแกวปากกวางธรรมดามีฝาเกลียวปดสนิท ถาเปนอาหารประเภทนํ้า
ผลไม ไวนและนํ้าสมใชขวดกลมทรงสูงมีฝาปดสนิท และถาเปนอาหารประเภทเน้ือสัตว ผลไมและ
ผักท่ตี อ งใชความรอนสูงในการฆา เชือ้ ควรใชข วดท่ีทนความรอนสูง เรยี กวา ขวดบอลล
1.1 ขวดชนิดตาง ๆ แบง ออกเปน 3 ชนดิ คือ
1.1.1 ขวดมีลวดคาดยึดฝา มีขายในขนาด ½ , 1 , 1 ½ , 2 , 3 , และ 4 ปอนด ซ่ึง
ขนาด 1 ปอนด จะจุน้ําไดประมาณ 1 ½ ถวยตวง ท้ังขวดและฝาทําจากแกวใสระหวางปากขวดและ
ฝามียางออนรอง มีลวดสําหรับคาด 1 คู ลวดเสนหน่ึงใชสําหรับคาดฝาติดกับขวด สวนลวดอีกเสนหน่ึง
นน้ั เมอื่ กดลงขางขวด จะกระชบั ยางที่ฝาขวดกับปากขวดใหแนนสนทิ
1.1.2 ขวดฝาเกลียวช้ันเดียว ฝาขวดทําจากสังกะสี ภายในเคลือบดวยกระเบื้อง
มีวงยางแยกตางหาก สําหรับผนึกเหมือนในขวดลวดคาด วงยางน้ีจะวางผลึกบนสวนปากขวดหรือ
คอขวดใตเสนนูนรอบขวด เม่ือบรรจุอาหารในขวดแลวหมุนฝาเกลียวใหสนิทกับวงยาง แลวหมุนกลับ
คลายออกเลก็ นอยประมาณ ¼ นิว้ ท้ังน้ี เพื่อใหอากาศรอนและไอนํ้าในระหวางตมฆาเชอ้ื ระเหยออกไป
ได เม่ือตมฆาเช้ือเรียบรอยแลวตองรีบหมุนปดใหสนิททันที การบรรจุอาหารถามากเกินไปหรอื ตอนที่
ยังไมห มนุ เกลียวใหปดสนิทขวดอาจเอียงหรอื อาจมีนาํ้ ไหลออกมาคา งอยูบ ริเวณสนั นูน บริเวณปากขวด
ทําใหเปดฝาออกไดลําบาก เมื่อตองการใชอาหารในขวดน้ัน วิธีการท่ีจะชวยใหเปดงายโดยราดน้ํารอ น
ลงบนฝาขวด นํ้ารอนจะทําใหฝาขวดขยายตัวจากแกวได อีกวิธีหนึ่งทําไดโดยกลับเอาฝาขวดจุมลงใน
นํ้ารอนและนํ้ารอนจะไหลซึมเขาไปตามเสนนูนรอบปากขวด จะทําใหส่ิงที่ติดอยูบริเวณฝาขวดน้ัน
ถูกละลายออกจงึ ทาํ ใหเ ปดขวดได นอกจากนี้ยงั มีวธิ อี ื่น ๆ อกี เชน ใชข องแข็งเคาะกลางฝาขวดจะทําให
สง่ิ ท่ลี นออกมาท่เี สน นนู ปากขวดแลวแขง็ ตวั ยดึ กนั นั้นเกิดแตกแยกออก จึงคลายเกลยี วฝาขวดได
1.1.3 ขวดฝาเกลียวสองช้ัน ขวดชนิดนี้ทําใหเกิดสูญญากาศไดดีที่สุด ประกอบดวย
ฝาแบนทําดวยโลหะบาง ๆ มีวงยาง (วงพลาสติก) และสารเคมีที่ชวยในการผลึกซึ่งจะพอดีกับปากขวด
34
และมีฝาเกลียวโลหะแยกตางหาก ซ่ึงจะหมุนเขาเกลียวไดพอดีกับเกลียวท่ีปากขวด และสามารถยึดฝา
แบนเขากับปากขวด กอนใชขวดน้ีบรรจุอาหารใหใสขวดฝาแบนและฝาเกลียวลงในน้ํารอน
ไมจําเปนตองเปนนํ้าเดือด เทน้ําออกจากขวดและบรรจุอาหารปดดวยฝาแบนแลวหมุนฝาเกลียวทับให
สนิท แตอ ยาหมนุ แนนเกนิ ไป ขวดชนิดนเี้ มอ่ื ตม ฆา เชื้อแลว ไมต อ งหมุนใหแ นน
ในระหวางตมฆาเชื้อขวดชนิดนี้จะยอมใหความดันภายในขวดผานออกไดระหวาง
วงยางท่ีติดฝาแนนกับขวด เมื่อขวดและอาหารภายในเย็นลง ความดันภายในจะลดลงเกิดสูญญากาศ
บางสวน ฝาแบนจะถูกกดลงใหแนบสนิทดีจากความดันภายนอก เมื่อบรรจุอาหารได 12 ช่ัวโมง
อาจถอดเกลียวออกได เพื่อนําไปใชคร้ังตอไปหรือทิ้งไวเชนน้ันก็ได ถาฝาเกลียวปดแนนคลายเกลียว
ไมอ อก ใหใชวธิ ีเดียวกันกับขวดฝาเกลยี วช้ันเดียว เมอื่ เอาฝาเกลียวออกไดแ ลว จะเอาฝาบนออกไดงาย
โดยสอดปลายแหลมของมีดเขาไประหวางขวด วงยางฝาแบนแบบนี้ใชไ ดครั้งเดยี วเทาน้นั
ขอแนะนาํ การใชขวดบรรจอุ าหารโดยท่ัว ๆ ไป ดังน้ี
1. ไมวา เปนขวดขนาดใด กอ นใชต รวจดฝู าขวด สว นที่ผนึกกับวงยาง ถามรี อยรา วแตก
หรือบิ่น จะนาํ มาใชไมได
2. ขวด ฝาขวด และวงยาง จะตองลางดวยนาํ้ สบรู อน อยาใชแปรงลวดหรือของมคี ม
ขัดสี เพราะจะทําใหแกวขุน ลางดวยนํ้าสะอาดใหทั่ว แลวนําไปแชในนํ้ารอนจนกวาจะบรรจุอาหาร
เพราะการตมฆาเช้ือภายหลังเมื่อบรรจุอาหารแลว จะทําลายไดหมด หลีกเลี่ยงการที่ขวดแกวถูก
ความรอนแลวเย็นทันที อยา วางขวดรอ นๆ บนพ้นื ทเ่ี ย็น
การทดสอบการผนึกขวด ทําไดโดยการกลับปากขวดลงแลวเขยา ถามีฟองภายในขวดหรือ
มีของเหลวไหลออกมา ถือวา การผนกึ ขวดคร้งั นีย้ งั ไมสมบูรณด ี
1.2 กระปอง
กระปองท่ีใชบรรจุอาหารมีคุณภาพตาง ๆ กันตามราคา วัตถุดิบ และวิธีการเช่ือม
ตะเข็บกระปอง กระปองที่ดีวัตถุท่ีเคลือบจะหนาและตะเข็บของกระปองจะมีลักษณะเหมือนเกลียว
เชื่อมตอกันอยางสนิท จะปองกันไมใหอาหารซึมเขาไปละลายโลหะออกมาได สวนกระปองที่มีคุณภาพ
ต่ํา ถาเก็บไวนาน ๆ อาหารจะซึมเขาไปละลายโลหะออกมาได เพราะการเคลือบภายในกระปองหรือ
เช่ือมตะเข็บกระปองไมดีพอ ฉะน้ันเราจึงควรระมัดระวังในการเลือกซ้ือกระปอง ซึ่งพอจะแบงชนิด
กระปอ งออกไดเปน 3 ชนดิ
1. ชนิดธรรมดา ทํามาจากสงั กะสชี ุบดีบกุ ซงึ่ เคลือบหนาบางตา งกัน ชนดิ ท่ีมี
คณุ ภาพดจี ะมีผวิ เรียบสขี าวเงินสมํา่ เสมอ เหมาะสําหรบั บรรจอุ าหารเกอื บทุกชนิด
2. ชนิดเคลือบ C-enamel มีลักษณะเปนสีทองดาน ๆ เคลือบอยูภายในเหมาะ
สําหรับบรรจุอาหารพวกเน้ือสัตว ผัก ผลไมที่จะเปล่ียนสีไดงาย เชน ปลา ขาวโพด และอาหารที่มี
ซัลเฟอรเปนองคประกอบ เพ่ือปองกันการเกิดสีดําท่ีเกิดจากดีบุกหรือเหล็กบนตัวกระปองกับอาหาร
สีดําที่เกิดข้ึนไมเปนอันตรายตอผูบริโภค แตทําใหลักษณะทางดานการยอมรับของผูบริโภคลดลง
35
แลคเกอรชนิดดีไมควรใชกับอาหารท่ีมีความเปนกรดสูงหรืออาหารที่มีไขมันมาก เพราะไขมันทําให
แลคเกอรท เ่ี คลือบหลดุ ออกได
3. ชนิดเคลือบ R-enamel มีลักษณะเปนสีทองเปนมันเคลือบอยูภายในเหมาะ
สาํ หรับบรรจอุ าหารทเี่ ปลย่ี นสีไดงา ย เชน องนุ สีมว ง
ขอดีและขอ เสียของการใชข วดกับกระปอ ง
เม่ือจะใชกระปองบรรจุอาหาร ตองลางใหสะอาดและตมฆาเชื้อเชนเดียวกับขวด
ถาบรรจุอาหารเย็นก็ตองเอาไปต้ังในหมอตมน้ําเดือด เพื่อไลอากาศออกใหหมดกอนผนึกฝากระปอง
แลวจึงนําไปตมฆาเช้ือ ปจจุบันมีการใชกระปองมากขึ้น แตขวดแกวก็ยังอยูในความนิยมของคนท่ัวไป
เพราะทงั้ ขวดแกว และกระปองมีทัง้ ขอดีและขอเสีย
2. ภาชนะสาํ หรับฆา เชือ้
วิธีการทําอาหารบรรจุขวดตามบาน มีการเตรียมอาหารกอนบรรจุขวดอยู 2 วิธี คือ
บรรจุเย็นและบรรจุรอน การบรรจุเร่ิมโดยการบรรจุอาหารท้ังดิบ ๆ ลงในขวดแลวใสของเหลวที่รอน
เหลือท่ีวางตอนบนประมาณ ½ – 1 นิ้ว สอดปลายมีดลงในขวดเพ่ือเอาฟองอากาศออก ตมในน้ําเดือด
2 ใน 3 ของขวด เพื่อไลอากาศออกนานประมาณ 5 นาที ปดฝาใหสนิทแลวนําไปฆาเช้ือนานพอท่ีจะ
ทําใหอาหารสุก และทําลายจุลินทรียได สวนการบรรจุรอนนั้น จะตองทําใหอาหารสุกหรือกึ่งสุก
เสยี กอ นทีจ่ ะบรรจลุ งขวด วธิ กี ารบรรจรุ อ นนไ้ี ดผ ลดีกวา เพราะ
1. ความรอ นตอนหงุ ตมจะชว ยไลอ ากาศออก
2. เน้อื เยื่อของอาหารจะหดตัวลงจงึ บรรจุไดมากและงายขึ้น
3. ใชร ะยะเวลาการฆา เช้อื จลุ ินทรยี ส้นั ลงไมว า จะบรรจอุ าหารโดยวิธใี ดก็ตามจะ
ตอ งมีการฆาเช้ือจลุ ินทรยี ในอาหารซ่งึ บรรจุในขวดหรอื กระปอ งไดโดยใชภ าชนะ
ฆา เช้ือ ซงึ่ แบง ออกเปน 3 ชนิด
2.1 หมอน่ึง (Steam bath) เปนหมอที่มีตะแกรงสําหรับต้ังขวด หรือกระปองบรรจุ
อาหาร ใหอยูเหนือนํ้า มีฝาปดสนิท ตองระวังตั้งภาชนะอยาใหชิดกัน ไอน้ําจะไดไหลเวียนไดรอบ
ภาชนะ และภาชนะจะไดไมกระทบกันเม่ือไดรับแรงกระเทือนจากน้ําเดือด ใสภาชนะบรรจุอาหารเมื่อ
น้ําเดือดแลว และเร่ิมนับเวลาต้ังแตปดฝาหมอ ฝาหมอตองปดสนิท วิธีน้ีเปนการฆาเชื้อโดยใชอุณหภูมิ
อยา งต่าํ ( Pasteurization) เหมาะสาํ หรับอาหารทีม่ ีกรดหรือมแี อลกอฮอลสงู
2.2 หมอตม ( Water bath) เปนหมอที่มีลักษณะคลา ยกับหมอนึ่งแตตะแกรงจะวางอยู
ตํ่าและใสน้ําจนเกือบทวมหรือทวมภาชนะท่ีบรรจุอาหาร ตองระวังอยาต้ังภาชนะใหชิดติดกัน เพ่ือ
ความรอนจะไหลวนไดอยางท่ัวถึง และปองกันการกระทบกระแทกของขวดที่บรรจุอาหาร ซึ่งอาจทําให
ราวหรอื แตกไดในขณะที่น้ําเดอื ด อุณหภูมิในหมอตม นข้ี นาดจดุ เดือด นิยมใชกับผลไมและผักท่อี ยูใ นหมู
36
อาหารกรด หรืออาหารกรดสูงและพวกที่มีนํ้าตาลสูง เชน แยม หรือเยลลี่ แตอาจใชกับมะเขือเทศ
ซึ่งจะใหผลดใี นดานรสชาตแิ ละเน้อื สัมผสั
ขั้นแรกของการใชขวด โดยตรวจสอบความเรียบรอยของขวด ทําความสะอาดขวด
ใสน้ําคร่ึงหมอตม ต้ังไฟ ตอนท่ีใสขวดลงในน้ําจะตองรอนแตไมถึงกับเดือด ควรเตรียมตมนํ้ารอน
ตา งหาก เพื่อเทใหท ว มขวดหรอื เติมตอนน้าํ ในหมอ ตมงวดลง
บรรจุอาหารโดยวิธีเย็น ใหใสอาหารลงในขวดไดเลย แลวกดใหแนนและเหลือที่วาง
ขางบนระหวางอาหารและปากขวดประมาณ ½ – 1 นิ้ว ที่วางระหวางช้ินอาหารบรรจุใหเต็มดวยสวน
ของเหลวหรืออาจไมเติมก็ได สวนของเหลวอาจเปนน้ํา นํ้าผลไมและน้ําเช่ือม เม่ือเติมของเหลวแลวให
ของเหลวอยูหางจากฝาขวด 1 / 2 นิว้ และเตรียมของเหลวใหเ ดือดเผอ่ื ไวด วยไลฟองอากาศในขวดโดย
สอดปลายมีดหรือพายยางเล็ก ๆ ลงขา ง ๆ ไปรอบ ๆ ขวด ถา ไลอากาศไมห มดจะทําใหความรอ นเขา ถึง
ชา และจะทาํ ใหเกิดจุดเย็นซึ่งจลุ ินทรียจะมีชวี ิตอยูได ถาฟองอากาศลอยขึ้นขางบนจะทาํ ใหเพ่มิ ชองวาง
เมอ่ื ไลอ ากาศแลวของเหลวในขวดจะลดลง ใหเ ตมิ สวนผสมของเหลวท่ีเตรียมไวใหสงู ตามทีต่ องการ
บรรจุอาหารโดยวิธีบรรจุรอน มีวิธีการเตรียมคลายคลึงกับวิธีบรรจุอาหารเย็น
นอกจากจะตองหงุ ตมอาหารใหสุกหรือก่งึ สกุ กอนที่จะบรรจุลงขวด ทําใหใชร ะยะเวลาฆาเชื้อสั้นลง เชน
มะเขือเทศจากเวลา 35-45 นาที โดยวิธีบรรจุเย็น ถาใชวิธีบรรจุรอนจะใชระยะเวลาลดลงเหลือ
5-6 นาที เปนตน เนือ่ งจากอาหารบรรจุสว นใหญมกั สกุ เกินไปวิธนี จ้ี งึ ดอ ยกวาวธิ บี รรจเุ ยน็ ในเรอ่ื งของรส
และเน้ือสัมผสั
กอนนําภาชนะบรรจุลงตม ใหเช็ดปากขวดท่ีเสนนูนเปนเกลียวท่ีคอขวดดวยผาชื้น
ปดฝาขวดลงในหมอแลวเติมน้ํารอนใหทวมขวดขึ้นมา 2 นิ้ว ตมตอไปจนเดือด จึงลดไฟใหเดือดปุด ๆ
เริ่มจับเวลาเมื่อน้ําเริ่มเดือดนานตามเวลาท่ีกําหนด อาจตองเติมนํ้ารอนเพ่ือใหนํ้าทวมขวดเสมอ
เม่ือครบกําหนดเวลาปดไฟยกขวดออกดวยท่ีคีบ ถาตะแกรงวางขวดท่ีตมมีหูห้ิวก็ใหยกออกมาท้ังหมด
วางขวดไวบนผาหรือไม อยาใหลมเย็นพัดผาน ท้ิงไวใหเย็น ถาสงสัยควรทดสอบผนึกเมื่อท้ิงขวดบรรจุ
อาหารไวแลว 12 ช่วั โมง วธิ นี ้ีหา มใชกับอาหารไมเ ปนกรดหรืออาหารกรดตํา่
2.3 หมออัดความดัน (Pressure Cooker) เปนหมอพิเศษที่ปดอยางสนิทสามารถรักษา
ความรอนและไอน้ําไวไดหมด ทําใหสามารถเพิ่มความดันภายในหมอน้ีได อุณหภูมิภายในจึงเกิน
จุดเดือด เพ่ือทําลายจุลินทรียพวกโบทูลิน่ัม และยังไดผลิตภัณฑท่ีมีคุณภาพสูง เพราะใชเวลาหุงตมสั้น
กวา เนื่องจากไอน้ําจากน้ําเดือดในหมอ ถกู เก็บใหอ ยใู นหมอจึงทําใหความดันและอุณหภูมิในหมอ สูงข้ึน
หมออัดความดันทน่ี ิยมใชก ันแบงออกเปน 2 แบบ คือ
2.3.1 แบบใชล ูกตุม น้าํ หนักควบคุมหรอื แบบขนาดเลก็ หมออัดความดันแบบใช
ลูกตมุ นา้ํ หนกั ควบคุมความดันหรือแบบขนาดเล็ก มีสวนประกอบทสี่ ําคญั ดังนี้
37
1. Vent Pipe เปนชอ งเล็ก ๆ อยูด า นหนง่ึ ของฝาทะลจุ ากดานในออกมาดา นนอกหมอ
2. ตุมนาํ้ หนกั บอกความดนั มี 3 ตมุ ๆ ละ 5 ปอนด และถอดออกจากกนั ได
3. Safety Valve เปนจุกยางอุดแนนสนิทอยูก่ึงกลางฝาหมอ จุกนี้จะหลุดกระเด็น
ออก เมอื่ ความดนั ภายในหมอสูงเกนิ กวากําลงั ของหมอ จะทนทานได
4. วงแหวนยางตดิ แนน อยโู ดยรอบฝาหมอ ดานในชว ยใหหมอปดไดสนิท
วิธีใชหมอ อัดความดันแบบใชลกู ตุมน้ําหนักควบคุมความดนั หรอื แบบขนาดเล็ก
1. วางตะแกรงไวกน หมอ และใสนํ้ารอ นจดั ๆ ลงในหมอ ใหสูงประมาณ 2-3 น้ิว
2. วางขวดหรือกระปอ งท่บี รรจุอาหารแลว ลงในหมอวางหา งกนั พอสมควร
3. ปดฝาหมอใหสนิท ตั้งไฟเมื่อน้ําเดือดปลอยใหไอออกประมาณ 3-5 นาที เพ่ือไล
อากาศออก จึงใสลูกตุมนํ้าหนัก ลดไฟใหน้ําเดือดปุด ๆ เร่ิมจับเวลา ใหสังเกตดู
จากไอนํ้าท่ีพุง ออกมาดันลูกตุมน้ําหนักข้ึนลงสมํ่าเสมอเบา ๆ มีเสียงดังฟ
ตลอดเวลา
4. เมือ่ ครบกําหนดเวลาแลว ปดไฟ ใชซอมยาวคอย ๆ ขยับลกู ตุมนํ้าหนักใหไอน้าํ พุง
ออกมาใหห มด
5. เปดฝาหมอ โดยเปดออกนอกตัว เพื่อวาถามีไอนํ้าเหลืออยูจะไดไมถูกตัว ยกขวด
หรือ กระปองออกทิ้งไวใหแหง ถาเปนกระปองนําลงแชในนํ้าเย็น เปล่ียนน้ํา
หลาย ๆ คร้งั จนกระปองเย็นและเชด็ ใหแ หง
6. ปด ฉลากอาหารทกุ ชน้ิ เพือ่ ใหท ราบชนดิ และอายุการเก็บ
7. ลางหมออัดความดันใหสะอาด เชด็ ใหแหง ปดฝาหมอ
สาํ คัญ คอื 2.3.2 แบบมีเครื่องวดั ความดันและอุณหภูมิหรือแบบขนาดใหญ สวนประกอบท่ี
1. Vent Pipe มเี กลียวหมนุ ตดิ กบั ฝาหมอ
2. ตมุ น้าํ หนกั วางบน Vent Pipe มีรใู หไอออกไดสําหรับปรับระดบั ความดัน
3. ล้ินบังคับไอ (Pet Cock) เปนล้ินปดเปดไดตามตองการ มีลักษณะเปนกอกเล็ก ๆ
มสี กรขู ันตดิ กบั ตุม น้ําหนักและ Vent Pipe
4. เครื่องวัดความดัน (Pressure Scale) เปนหนาปทมมีเข็มช้ีบอกจํานวนความดัน
เปนปอนด
5. ล้ินปองกันอันตราย (Safty Valve) เปนเกลียวติดอยูกับฝาหมอ เมื่อความดันใน
หมอสูงมาก ลิ้นนี้จะเปดปลอยใหไอนํ้าระบายออกไปบางปองกันการระเบิด
ฉะนัน้ ควรตรวจดูลน้ิ น้ใี หอ ยใู นสภาพทํางานไดอ ยูเ สมอ
6. ตะแกรง
38
วิธใี ชห มอ อัดความดันแบบมีเครื่องวัดความดนั และอุณหภมู ิหรือแบบขนาดใหญ
1. วางตะแกรงไวกน หมอ ใสนา้ํ รอนจัด ๆ ในหมอ ใหน ้าํ สงู ประมาณ 2-3 นิว้
2. วางขวดหรอื กระปองที่บรรจุอาหารแลว ใหห างกันพอสมควรหรอื ใชล วดค่ัน
3. ปด ฝาหมอ ใหส นทิ ตงั้ ไฟ เปด ล้ินบงั คับไอไวก อน เพอ่ื ไลอากาศออก ใชเวลา
ประมาณ 7-8 นาที แลวปด ลิ้นบังคับไอ
4. ปลอยใหความดนั ข้ึนตามทกี่ ําหนด จงึ เริ่มจบั เวลาตามทก่ี ําหนด สําหรับ
อาหารแตล ะประเภท ถา ความดันขึ้นสูงเกนิ ท่ีกําหนด ลดไฟลงจนไดความดนั
ตามตอ งการ
5. เมอื่ ครบกาํ หนดปดไฟ ท้ิงไวจนความดันลดลงถงึ ศนู ย จงึ เปด ลิน้ บงั คับไอ ให
ไอน้าํ ออกจนหมด
6. เปดฝาหมอ ระวังคอ ย ๆ เปดฝาหมอ ออกดานนอกตัว และใหไ อออกจนเกอื บ
หมดแลว จงึ ยกฝาออก
7. ยกขวดหรือกระปองอาหารออก ถาเปนขวดแกววางไวใหพนทางลมจนเย็นจึงเช็ด
และเก็บไว ถาขวดถูกลมอาจราวได ถาเปนกระปองนําลงแชในนํ้าเย็น เปล่ียนนํ้า
หลาย ๆ คร้งั จนกระปองเยน็ เช็ดใหแหง เกบ็ ไวไ ด
8. ปดฉลากอาหารทกุ ช้นิ เพอื่ ใหท ราบชนดิ และอายขุ องการเก็บ
9. ลางหมอ ใหสะอาด โดยเฉพาะสว นฝาท่ีมีหนา ปทมบอกความดันใชผาชบุ นํ้าเชด็
และซับนาํ้ ให แหง เพอื่ กันการเกิดสนิม ซึง่ จะทาํ ใหก ารควบคุมความดันผดิ พลาดได
2.4 เครอ่ื งทาํ แหง
เครื่องทําใหอาหารแหงน้ีอาจเปนตูหรือหอง ซ่ึงจัดใหมีแหลงกําเนิดความรอน ทํางาน
โดยใชเช้อื เพลงิ จากถาน ไฟฟา และแกส หรอื เครอื่ งจกั ร ขึ้นอยกู บั วาเปนขนาดเล็กหรือขนาดใหญ
2.4.1 เคร่ืองทําแหงขนาดใชในครัวเรือน ประกอบดวยกลองเหล็กเคลือบ
สังกะสี โดยเจาะชองท่ีแผนเหล็กดานลาง ดานขางและดานบนของกลองจะเขาไดพอดีกับกรอบไม
กลองน้ีจะตั้งอยูบนขาต้ังเหล็กสูงประมาณ 1 ¼ ฟุต มีชองโหว 2 ชอง สวนดานขางกลองและอยูตํ่าลง
มา 4 นว้ิ ซึ่งจะเปนทางใหไอนํ้าระเหยออกไปได มีแผนโลหะใหปด เปด ชอ งนเี้ ม่ือตองการ เครื่องนีจ้ ะวาง
ถาดได 7 ถาด แผนเหล็กจะถกู เจาะชองไวดา นลาง และจะไดความรอนจากถา น
2.4.2 เครอื่ งทาํ แหงขนาดใชในอตุ สาหกรรม
เครื่องทําแหง ขนาดท่ีใชใ นอุตสาหกรรมน้นั มหี ลายแบบ เชน ในการหมุนเวียนของ
อากาศ อาจจะเปนแบบธรรมชาติ หรือโดยการบังคับ แตสําหรับเครื่องทําแหงที่ทันสมัยนั้น มักมีหลัก
สําคัญที่การบงั คับลมผาน การทําแหง ถา ใชสูญญากาศ จะทาํ ไดท่ีอณุ หภูมติ ํ่าแตคาใชจายสงู เพอ่ื ใหได
39
ผลิตภัณฑท่ีมีคุณภาพสูง ควรใชเคร่ืองท่ีบังคับลมผาน เพราะควบคุมอุณหภูมิและความช้ืนไดดี
แบง ออกเปน 5 ชนิด ดังนี้
1) Klin drier เปนเครื่อง 2 ชั้น ช้ันบนสําหรับเกลี่ยวางผลไม ช้ันลางวาง
เคร่ืองใหความรอน ความรอนจะถูกสงไปตามทอ และอากาศรอนจะผานออก
ตอนบน
2) Tunnel drier เครื่องอบแหงแบบอุโมงคประกอบดวยถ้ําขนาดยาว 20 ฟุต
สูง 5 ฟุต กวาง 3 ฟุต ลาด 2 ช้ันตอ 2 ฟุต จะเกลี่ยอาหารบางบนถาด สงผาน
จากตอนบนท่ีเย็นกวา เล่ือนมาตามพ้ืนลาดมายังสวนลางท่ีอุนกวา ใชกับผักกับ
ผลไม
3) Spray drier การอบแหงแบบพนฝอย ใชกับอาหารเหลว โดยพนอาหารเปนฝอย
ละเอียดมาสูถังที่มีอากาศรอนไหลเวียน อุณหภูมิสูงมาก อาหารจะแหงเปนผง
ทนั ที ความชื้นจะถูกจัดออกอีกทาง
4) Drum drier เครื่องอบแหงแบบลูกกล้ิงทรงกระบอก มีลักษณะเปนลูกกล้ิงเด่ียว
ลูกกลิ้งคู บุดวยโลหะ มีแหลงกําเนิดความรอนติดอยูตรงกึ่งกลาง อาหารเหลวจะ
ถกู สงผานไปบนแผนโลหะรอน ทําใหอาหารแหงและถูกขูดออกมาดวยใบมีดปาด
ตดิ ท่ตี ดิ อยขู า งลกู กลิง้
5) Freeze drier การอบแหงแบบระเหิด เปนเคร่ืองทําใหอาหารเย็นจนแข็งกอน
แลวทําใหน้ําแข็งระเหิด โดยลดความดันลงและใชความรอนเขาชวยเล็กนอย
อาหารที่ทําแหงดวยวิธีน้ีจึงคงลักษณะโครงสราง และคุณภาพไดเหมือนเดิมท่ีสุด
ขนาดอาหารอาจเทาเดิมแตเบาและกลวง อาหารน้ีมักจะบรรจุในสูญญากาศหรือ
ในไนโตรเจน เพื่อปอ งกันการเสอื่ มคุณภาพ เน่ืองจากอาหารมีลกั ษณะแหงจงึ ผสม
เขา กับนํา้ ไดง า ย แตร าคาสูง
3. การทําความสะอาดและการเก็บรกั ษา
เคร่ืองมือเคร่ืองใชในการถนอมอาหาร เปนปจจัยสําคัญในการถนอมอาหารเปนอยาง
มาก เชน หมออัดความดัน ขวดบรรจุอาหาร กระปองบรรจุอาหาร เครื่องทําแหง เครื่องบด เครื่องสับ
หมอ มีด ชาม เปนตน เคร่ืองใชเหลานี้จะตองลางใหสะอาดเก็บไวใ หมดิ ชิด และเปนระเบียบ หยิบใชได
งาย ถาเปนเคร่ืองใชท่ีมีน้ําหนักมากเคลื่อนที่ไดยากตองจัดตั้งในลักษณะที่เหมาะสมสามารถทําความ
สะอาดเคร่อื งมือและบริเวณทตี่ ้ังเคร่ืองมือไดงา ยและทว่ั ถงึ
หมออัดความดัน หลังจากท่ีใชงานตองทําความสะอาดทุกคร้ังโดยเฉพาะสวนฝา
ถาเปนชนิดที่หนาปทมบอกความดันใหใชผาชุบนํ้าเช็ดและซับใหแหง เพื่อกันการเปนสนิม ซึ่งจะทําให
การควบคมุ ความดันผดิ พลาดได จดั เก็บหมอไวใ หม ดิ ชิดและสะดวกในการหยบิ ใช
40
มีด หลังจากใชงานแลวทุกคร้ัง ควรรีบทําความสะอาด เช็ดใหแหงหรืออาจทําไดดวย
การเอาน้ําอุนราดบนมีดที่ลางสะอาดแลว วิธีนี้จะทําใหแหงเรว็ และไมตองเสียเวลาเช็ดใหแหงเพ่ือจะได
ไมเกิดสนิม กอนนํามาใชควรทําความสะอาดอีกคร้ังหน่ึง เพ่ือสะดวกในการหยิบใช ความปลอดภัย
สามารถนับจํานวนอาหารไดงายและยกเคลื่อนยายได ควรจัดทําท่ีเสียบมีดเฉพาะซ่ึงจะมีประโยชนมาก
เมื่อลางและเช็ดมีดแหงดีแลวเสียบมีดไวเปนท่ี เพื่อไมใหคมกระทบกัน เก็บใสในลิ้นชักหรือที่แยก
ประเภทของมดี แตละชนิด
เครื่องบด ถอดอุปกรณออกจากตัวเครื่องแลวลางใหสะอาด เช็ดหรือตากใหแหง และ
เก็บเขา กลองใหเรียบรอย
41
แบบทดสอบ เรือ่ ง การเลอื ก และการใชเ ครือ่ งมืออปุ กรณในการถนอมอาหาร
และการแปรรูปอาหาร
คําส่ัง จงเลอื กคําตอบทีถ่ กู ตองทส่ี ุดเพียงคาํ ตอบเดียว
1. เครื่องมือทจี่ ําเปนในการฆา เช้ือมากท่ีสุด
ก. หมอ ตม
ข. หมอ น่งึ
ค. หมอ ตุน
ง. หมอ อดั ความดนั
2. มดี ในขอใดไมควรเลือกใชใ นการถนอมอาหาร
ก. มีดห่นั ตวั มดี ยาว ปลายแหลม
ข. มดี สบั ตวั มดี บาง นาํ้ หนกั เบา
ค. มดี ควา น ปลายแหลมเรยี ว เล็ก
ง. มีดสองคม ลกั ษณะใบมีดโคงเขาหากันชอ งหางระหวา งใบมีดพอควร
3. เครื่องมอื ทจ่ี ําเปน ในการทาํ ใหสวนผสมสมํา่ เสมอทกุ ครัง้ คือ ขอ ใด
ก. เคร่ืองชง่ั
ข. ชอนตวง
ค. ถวยตวงของแหง
ง. ถวยตวงของเหลว
4. ถาตอ งการทําไขเ คม็ ดองปริมาณมาก ๆ ควรเลือกบรรจุในภาชนะขอใด
ก. ขวดโหล
ข. กะละมงั
ค. โองดนิ เผาเคลอื บ
ง. ถังพลาสติก
5. . การใชขวดแบบมีลวดคาดยึดฝาในขอ ใดไมถกู ตอง
ก. วงยางจะตอ งออนยืดหยุนดี ไมมรี อยแตก ทดสอบโดยการพับครงึ่ แลวใชนิว้ ชี้แลว หัวแมมอื รดี
ดู ถา เรยี บใชไ ด
ข. ลวดคาดเสนยาว ใชส าํ หรับยกขึน้ คาดฝาเขากบั ขวด เสนลวดเสน ส้นั ใชส ําหรับกดลงดานขาง
ขวด
ค. ภายในขวดตองเปน สญู ญากาศ เนอ่ื งจากการหดตวั ของอาหาร และไอน้าํ เมื่อเยน็ ลง
ง. ขวดเมือ่ บรรจอุ าหารแลว เปด งา ย โดยไมมีแรงตาน ใหส งสยั ไวกอนวา อาหารขา งในอาจเนา เสีย
42
6. ขวดบอลลชนดิ เกลียว เม่อื บรรจุอาหารแลว ควรหมุนเกลียวคลายออกเล็กนอย เพื่ออะไร
ก. เพื่อนําฝาขวดทใ่ี ชแ ลวไปใชใหมได
ข. เพ่อื ใหน าํ้ ท่ีอยูใ นอาหารระเหยออก
ค. เพื่อใหค วามรอนและไอนํ้าในระหวางตมฆา เช้ือระเหยออก
ง. เพ่ือปองกันมใิ หขวดระเบดิ เนอื่ งจากแรงดันท่เี กิดภายใน
7. การเปดขวดบอลลดวยวิธใี ดจะเปดไดย ากมากที่สุด
ก. ราดนาํ้ รอ นลงบนฝาขวด
ข. การดึงฝาออกในลกั ษณะตง้ั ฉากกบั ขวด
ค. ทาํ โดยการกลบั ขวดทบ่ี รรจอุ าหารลงในน้าํ รอน
ง. โดยการใชของแขง็ เคาะกลางฝาขวดท่ีบรรจุอาหาร
8. การใชหมอน่ึงในขั้นตอนใดไมถูกตอง
ก. การวางภาชนะตองอยาใหช ดิ กัน ไอนํ้าจะไดไ หลเวียนไดรอบ
ข. ใสภ าชนะบรรจุอาหารพรอมกับน้ําเยน็
ค. เร่มิ นบั เวลาเมอ่ื เร่ิมปดฝาหมอ
ง. การใชห มอ น่ึง เหมาะกบั อาหารท่ีมคี วามเปน กรดหรืออาหารทมี่ ีแอลกอฮอลส ูง
9. คํากลา วเกีย่ วกับกบั วธิ กี ารใชหมอ ตมในขอใดไมถ ูกตอง
ก. อณุ หภูมิในหมอตมควรสูงขนาดจุดเดอื ด
ข. ตรวจสอบความเรียบรอยหมอตม ใสน ํา้ คร่ึงหมอ ต้ังไฟ
ค. นยิ มใชกับอาหารที่อยใู นอาหารทเ่ี ปน กรดสูง หรือพวกที่มนี ํ้าตาลสงู
ง. เม่ือครบกาํ หนดเวลายกขวดออก วางขวดบนพ้ืนอลูมเิ นียม ใหลมพัดผา น เพ่ือจะไดเ ยน็ เร็ว
10. การเกบ็ รักษาและทาํ ความสะอาดหมออดั ความดนั ในขอ ใดถูกตอง
ก. ตุมน้ําหนักที่วางบน Vent Pipe มรี ูใหไอออก สําหรับปรบั ความดัน ควรเก็บควรแยกออกเปน
ช้ิน ๆ เพื่อมิใหเกิดความช้นื
ข. ลิ้นบงั คบั ไอ (Pet Cock ) เปน ลนิ้ เปด ปด ไดต ามตอ งการ ตองขนั สกรูติดกบั ลกู ตมุ นํ้า
หนกั และ Vent Pipe
ค. ลิ้นปอ งกันอนั ตราย (Safety Valve) เปนลน้ิ ท่ปี ลอยใหไ อนํ้าระบายออก ตองตรวจไมให
อุดตัน
ง. ฝาทห่ี นาปทมบอกความดัน ใชผ าชุบนํ้าเช็ดใหแ หง เพ่ือกนั สนิม ซ่ึงจะทําใหความดนั ผิดพลาด
43
ใบงานที่ 4
เรื่อง การเลอื ก และการใชเครอื่ งมอื อปุ กรณใ นการถนอมอาหาร
คาํ ส่งั จงสรุปเกย่ี วกบั การเลอื ก และการใชเคร่อื งมืออปุ กรณใ นการถนอมอาหาร ตามหัวขอดังตอ ไปน้ี
การเลือก และการใชเ ครื่องมอื อุปกรณในการถนอมอาหาร
เครอื่ งมอื อปุ กรณ ชนิดอาหารทเ่ี หมาะสม
ขวดมีลวดคาดยดึ ฝา
ขวดฝาเกลียวช้นั เดยี ว
ขวดฝาเกลยี วสองชั้น
กระปองชนดิ ธรรมดา
กระปองชนดิ เคลือบ C-enamel
กระปองชนิดเคลือบ R-enamel
เคร่อื งทําแหง Klin drier
เคร่ืองทําแหง Tunnel drier
เครอื่ งทําแหง Spray drier
เครอื่ งทําแหง Drum drier
เครอื่ งทาํ แหง Freeze drier
เอกสารประกอบการสอน
รหัสวชิ า 20404-2004
วิชา การถนอมอาหารเบอ้ื งตน
หนวยการสอนท่ี 5
เรื่อง
การถนอมอาหารโดยการใชก ารหมกั ดอง
โดย
วา ที่ ร.อ. สุรศักด์ิ จันทรานมิ ิตร
วท.บ.วิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยกี ารอาหาร
วท.ม.วิทยาศาสตรการอาหาร
45
การหมักดอง ( Fermentation )
1. ความหมายของการหมักดอง
การหมักดอง หมายถึง การเปลี่ยนแปลงทางชีวเคมีของสารประกอบอินทรีย โดยการกระทําของ
เอนไซมจากจุลินทรยี หรือตัวจุลินทรียเ อง ในสภาวะที่มีออกซิเจน หรือไรออกซเิ จน ไดสารประกอบเกดิ ขึ้นหลาย
ชนิด เชน แอลกอฮอล, กรด, สารปฏิชีวนะ, เอนไซม เปน ตน
2. จลุ นิ ทรียท ีใ่ ชใ นการหมกั
จลุ ินทรยี ทใี่ ชใ นการหมกั ดอง ในอตุ สาหกรรมอาหาร
1. เช้อื รา
2. เช้อื ยีสต
3. แบคทเี รยี
2.1 อาหารทห่ี มักโดยเชื้อรา
ในแถบเอเชีย ผลิตภัณฑอาหารท่ีหมักดวยเชื้อรา เชน ซีอ้ิว เตาเจ้ียว ขาวแดง เทมเป ฮามานัตโต
นอกจากนยี้ ังผลิต โคจิ เอนไซม กรดอินทรีย เปน ตน
ในทางยุโรป ใชเ ชอ้ื ราผลติ อาหารทส่ี ําคญั ไดแ ก เนยแข็ง ( cheese ) ตางๆ
เชือ้ ราท่ีสําคญั ตอ อุตสาหกรรมการหมักดอง คอื
1 ) Aspergillus niger : ใชผลิตกรดมะนาว, กรดกลโู คนคิ , เอนไซม
2 ) Aspergillus oryzae, Aspergillus soyae : ใชผลิตเอนไซมProtease, lipase ซึ่งสําคัญ
ตอ ผลติ ภณั ฑ อาหารหมกั จากถวั่ เหลือง เชน ซีอวิ๊ เตา เจ้ยี ว
3 ) Monascus purpureus : ใชผลิตขาวแดง ( Ang – kak ) เพื่อใหเกิดสีแดง ใชผสมใน
ผลติ ภณั ฑอ ่นื เชน เหลา , ปลาหมกั , ถัว่ เหลืองหมกั
4 ) Mucor racemosus, Mucor rauxii : ใชใ นการเปลี่ยนแปงใหเปนน้ําตาล ซึ่งเรียกกระบวนการ
นว้ี า Amyloprocess เชน ในการทาํ ขา วหมาก, เหลา
5 ) Mucor pusillus, Mucor hiemalis : ใชในการทําเตาหูย้ี และเนยแข็ง เนื่องจาก เชื้อราน้ีผลิต
เอนไซม Protease ซ่ึงทาํ ใหโปรตนี ตกตะกอนได
6 ) Penicillium camemberti : ใชใ นการทําเนยแข็ง คาเมมเบอรท
7 ) Penicillium roqueforti : ใชใ นการทาํ เนยแข็ง ร็อคคิวฟอรท