The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

คู่มือเภสัชกรชุมชนฯ รวมไฟล์

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Khaek Montira, 2023-06-13 06:01:13

คู่มือเภสัชกรชุมชนฯ รวมไฟล์

คู่มือเภสัชกรชุมชนฯ รวมไฟล์

140 คูมือเภสัชกรชุมชนในการดูแลอาการเจ็บปวยเล็กนอยในรานยา ชื่อยา ขอบงใช ประสิทธิภาพ อาการไมพึงประสงค ความปลอดภัย Clindamycin Anaerobe Oral ดูดซึม 90% ประสิทธิภาพ ทางคลินิก: BV ใกลเคียงกับ metronidazole ADR : Nausea vomiting, stomach pain, mild skin rash Pregnancy Category : B Lactation : cause adverse effects on the breastfed infant’s gastrointestinal flora Ketoconazole Vulvovaginal Candidiasis (VVC) Oral ดูดซึม 75% ประสิทธิภาพ ทางคลินิก:90% (200มก.7days) ADR : Common Burning sensation (topical 4%), Pruritus (topical, less than 1%), Nausea (3-10%) Serious Ventricular arrhythmia, Prolonged QT interval, Gynecomastia, decreased libido Pregnancy Category : C Lactation : Avoid Fluconazole Vulvovaginal Candidiasis (VVC) Oral ดูดซึม มากกวา 90% ประสิทธิภาพ ทางคลินิก : 79% (150มก. single dose) ADR : Common · Nausea (2.3-7.1%) Headache (1.9-13%) Serious Prolonged QT interval, Agranulocytosis Pregnancy Category : C Lactation : recommended Itraconazole Vulvovaginal Candidiasis (VVC) Oral ดูดซึม 90% ประสิทธิภาพ ทางคลินิก : 93% (200 มก. twice for one day) ADR : Common · Nausea (3-11%), vomiting (5%), Rash (3-9%), Headache (2.2-10%), Dizziness (1.2-4%), URIs (8%), Rhinitis (9%) Serious Congestive heart failure, SJS, Pancreatitis, Hepatotoxicity, Anaphylaxis Pregnancy Category : C Lactation : Entry breast milk Weight risk/ benefit Clotrimazole (vaginal tablet) Vulvovaginal Candidiasis (VVC) Trichomonas vaginalis ดูดซึมทางปาก ไดนอยมาก ประสิทธิภาพ ทางคลินิก : VVC ชนิดสอด ชองคลอด ได ผล 85-90% TV ชนิดสอด ชองคลอด ได ผล 48-66% TV ชนิดสอด ชองคลอด ได ผล 48-66% ADR : Skin reactions Pregnancy Category : B Lactation : recommend


การบริบาลเภสัชกรรมสำหรับอาการตกขาวในรานยา 141 บรรณานุกรม 1. อังคณา เจริญวัฒนาโชคชัย. แนวทางการรักษาโรคติดตอทางเพศสัมพันธ. กลุมโรคติดตอทางเพศ สัมพันธ สานักโรคเอดส วัณโรคและโรคติดตอทางเพศสัมพันธ กรมควบคุมโรค กระทรวง สาธารณสุข. พิมพครั้งที่ 1 ; กันยายน 2553 2. Alexander FJ, Aquilante LC, Banchman AK, Cash J, Ceneviva DG, Chenowith HI, et al. Drug Information Handbook with international trade names index. Ohio: Lexicomp; 2012. 3. Brammer KW, Feczko JM. Single-dose oral fluconazole in the treatment of vaginal candidosis. Ann N Y Acad Sci ; 1988 4. Center of disease control and prevention. Sexually Transmitted Diseases Treatment guidelines. 2010. MMWR; 59 (RR-12): 56-61. 5. Center for Disease Control. Sexually transmitted diseases treatment guidelines 2002. MMWR 2002;(RR-6):48-51. 6. 2018 European (IUSTI/WHO) International Union against sexually transmitted infections (IUSTI) World Health Organization (WHO) guideline on the management of vaginal discharge. International Journal of STD & AIDS 2018, Vol.29(13) 1258- 1272. 7. Heine P, McGregor JA. Trichomonas vaginalis: a re-emerging pathogen. Clin Obstet Gynecol 1993; 36:137-44. 8. Hillard PA, editors. Novak’s gynecology. 12th ed. Baltimore: Williams & Wilkins, 1996:429-45. 9. MICROMEDEX®[Internet]. NewYork: [Update 2012 November30; cited 2014 May 22]. Available from: http://www.micromedexsolutions.com/micromedex2/librarian/ND_ T/evide ncexpert/ND. 10. Mishell DR Jr, Stenchever MA, Droegemueller W, Herbst AL, editors. Comprehensive gynecology. 3rd ed. St. Louis: Mosby Year Book, 1997:625-35. 11. Schwebke JR, Desmond RA.Tinidazole versus Metronidazole for the Treatment of Bacterial Vaginosis. Am J Obstet Gynecol ; 2011 12. Sobel JD. Candida vulvovaginitis. Clin Obstet Gynecol 1993; 36:153-65.Bouchemal K, Bories C, Loiseau PM. Strategies for Prevention and Treatment of Tricomonas vaginalis Infection. Clin Microbiol Rev. 2017; 30(3): 811-25.


142 คูมือเภสัชกรชุมชนในการดูแลอาการเจ็บปวยเล็กนอยในรานยา 13. Soper DE. Genitourinary infections and sexually transmitted diseases. In: Berek JS, Adashi EY, Jackie Sherrard1, Gilbert Donders2, David White3. Guideline on the Management of Vaginal Discharge. European (IUSTI/WHO); 2011


การบริบาลเภสัชกรรม สำหรับผื่นที่ผิวหนังในรานยา


การบริบาลเภสัชกรรมสำหรับผื่นที่ผิวหนังในรานยา 145 การบริบาลเภสัชกรรม สําหรับผื่นที่ผิวหนังในรานยา รองศาสตราจารย เภสัชกรวิวัฒน ถาวรวัฒนยงค ผูปวยที่มาปรึกษาเรื่องโรคผิวหนังในรานยา มักแสดงอาการดวยรอยโรค/ผื่นเกิดขึ้นในแบบ ตาง ๆ อาจมาดวยรอยโรค/ผื่นที่เปนผื่นราบ ผื่นนูน ผื่นนูนหนา ตุมนูน ตุมนํ้า ตุมพองนํ้า ซึ่งรอยโรค/ ผื่นตาง ๆ เหลานี้ จะแสดงออกในหลาย ๆ โรคทางผิวหนัง มีการศึกษาผูปวยที่มาปรึกษาดวยโรค ผิวหนังในระหวางป พ.ศ. 2558-2562 พบวา แผนกผูปวยนอกของโรงพยาบาล สวนใหญจะมาปรึกษา เรื่องผิวหนังในโรคตาง ๆ อาทิ โรคผื่นผิวหนังอักเสบ (dermatitis 29.7%) โรคลมพิษ (urticaria and erythema 13.9%) โรคผื่นผิวหนังชนิด papulosquamous disorders (1.7%) จะเห็นไดวา โรค ทางผิวหนังที่พบบอยในชุมชน บางโรคเปนโรคที่เภสัชกรอาจใหการรักษาเบื้องตนแบบผูปวยนอกได การประเมินแยกโรคจากรอยโรค/ผื่นจึงเปนสิ่งสําคัญสําหรับเภสัชกรที่ควรรู เพื่อใชในการประเมิน รอยโรค/ผื่นนั้น ๆ วาสามารถใหการรักษาเบื้องตนในรานยา หรือเปนรอยโรค/ผื่นที่อันตรายที่ควรสง ตอผูปวยเพื่อใหไดรับการดูแลกับแพทยผูเชี่ยวชาญตอไป กอนจะประเมินแยกรอยโรค/ผื่น เภสัชกรจําเปนตองรูจักศัพทในการเรียกรอยโรค/ผื่นชนิด ตาง ๆ ในการแยกรอยโรค/ผื่นที่เกิดขึ้น เนื่องจากการประเมินจะเริ่มตนจากการดูรอยโรค/ผื่น วาเขา ไดกับกลุมโรคทางผิวหนังประเภทใด อาทิ กลุมรอยโรค/ผื่นแบบ maculopapular, กลุมรอยโรค/ผื่น แบบ vesiculopapular หรือรอยโรค/ผื่น vesiculobullous และกลุมรอยโรค/ผื่น papulosquamous disorders ซึ่งคําเรียกรอยโรคเหลานี้ มาจากการสมาสสนธิคําศัพทกัน เชน กลุมรอยโรคที่มี รอยโรค/ผื่นแบบ maculopapular ก็หมายถึง กลุมรอยโรค/ผื่นแบบ ผื่นราบ (macule) ปะปนกับ ผื่นนูน (papule) เปนตน ศัพททางวิชาการในการเรียกชนิดรอยโรค/ผื่นที่เภสัชกรควรรูจัก ไดแก ชนิดผื่นแดง ซึ่งเกิด จากการขยายตัวของเสนเลือดใตผิวหนัง หากกดบริเวณผื่นแดง ผื่นแดงจะจางหาย ผื่นนี้จะเรียกวา erythema ชนิดผื่นราบ (ซึ่งถามีขนาดเสนผาศูนยกลางตํ่ากวาหรือเทากับ 1 เซนติเมตรจะเรียกวา macule และถามากกวา 1 เซนติเมตรจะเรียกชนิดนี้วา patch) ชนิดผื่นนูน (รอยโรคที่นูนขึ้นมาบน ชั้นผิวหนัง ถามีขนาดเสนผาศูนยกลางตํ่ากวาหรือเทากับ 1 เซนติเมตรจะเรียกวา papule และถา มากกวา 1 เซนติเมตรจะเรียกชนิดนี้วา plaque และถารอยโรคมีทั้งนูนขึ้นบนชั้นผิวหนังและลงใต ผิวหนังดวยจะเรียกวา nodule) ชนิดตุมนํ้า (ถามีขนาดเสนผาศูนยกลางตํ่ากวาหรือเทากับ 1 เซนติเมตร ของเหลวภายในตุมมีลักษณะปราศจากเชื้อจะเรียกวา vesicle หากของเหลวที่อยูในตุม มีลักษณะหนองหรือติดเชื้อ จะเรียกวา pustule และถาตุมนํ้ามีขนาดมากกวา 1 เซนติเมตรจะเรียก ชนิดนี้วา bulla) และถารอยโรค/ผื่นมีลักษณะเปนปนที่มีลักษณะเยื่อบุผิวหนังบวมนูนในชั้นหนังแท จะเรียกวา wheal (รอยโรคจะตางจาก papule และ plaque ที่บวมนูนเกิดจากการรวมตัวของเซลล อักเสบหรือเซลลของผิวหนัง)


146 คูมือเภสัชกรชุมชนในการดูแลอาการเจ็บปวยเล็กนอยในรานยา แนวทางการซักประวัติและประเมินรางกายเบื้องตนสําหรับรอยโรค/ผื่น โดยทั่วไป การประเมินรอยโรค/ผื่น มักจะแยกออกเปน 6 กลุมใหญ ๆ ไดแก 1. กลุมรอย โรค/ผื่นชนิด dermatitis 2. กลุมรอยโรค/ผื่นที่มีลักษณะ papulosquamous rash 3. กลุมรอยโรค/ ผื่นที่มีลักษณะ maculopapular rash 4. กลุมรอยโรค/ผื่นที่มีลักษณะ vesicular-bullous rash 5. กลุมรอยโรค/ผื่นที่เปน superficial mycoses และ 6. กลุมรอยโรค/ผื่นอื่น ๆ 1. กลุมที่มีรอยโรค/ผื่นชนิด dermatitis หมายถึง กลุมโรคที่มีการอักเสบของผิวหนัง โดย มีลักษณะที่สําคัญ 3 ประการของรอยโรค/ผื่น คือ ก. คัน ข. รอยโรค/ผื่นมีไดหลายรูปแบบ เชน vesicle, papule, ผื่นแดงหรือตุมแดงที่มีขุย (scale) หรือสะเก็ด (crust) และ ค. ขอบเขตรอยโรค/ผื่น ไมชัดเจน รอยโรค/ผื่นชนิดนี้พบไดในโรคอาทิ atopic dermatitis (eczema), contact dermatitis 2. กลุมที่มีรอยโรค/ผื่นชนิด papulosquamous rash หมายถึง กลุมโรคที่มีความผิดปกติ ที่มีรอยโรค/ผื่นทั้งลักษณะ papule รวมกับมีขุย (scale) ที่รอยโรค/ผื่นและมีขอบเขตที่มี scale อยาง ชัดเจน (borders are sharply demarcated) บางครั้งจะพบรอยโรค/ผื่น papule รวมตัวกันเปน plaque รอยโรค/ผื่นชนิดนี้มักจะพบในโรคตาง ๆ อาทิ seborrheic dermatitis, pityriasis rosea, psoriasis หรือรอยโรค/ผื่นที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียเชน ซิฟลิส (secondary syphilis) รวมถึง รอยโรค/ผื่นที่เกิดจากการแพยา เชน erythema multiforme 3. กลุมที่มีรอยโรค/ผื่นชนิด maculopapular rash หมายถึง กลุมโรคที่มีผื่นชนิดผื่นราบ (macule) และ ผื่นนูน (papule) รวมอยูดวยกันจนเปนรอยโรค/ผื่นขนาดใหญ กระจายพื้นที่บริเวณ กวางมากกวารอยละ 50 ของพื้นที่ผิวรางกาย รอยโรค/ผื่นชนิดนี้มักจะพบในผูปวย ก. ติดเชื้อ ทั้งเชื้อ ไวรัส แบคทีเรีย เชื้อราหรือเชื้อปรสิต ข. แพยา ค. การอักเสบของรางกาย เชน โรคภูมิแพตนเอง ง. โรคมะเร็ง 4. กลุมรอยโรค/ผื่นที่มีลักษณะ vesicular-bullous rash หมายถึง กลุมโรคที่มีรอยโรค/ ผื่นแบบตุมนํ้า โดยของเหลวภายในตุมจะเปนของเหลวปราศจากเชื้อ (vesicle) หรือ ของเหลวภายใน ตุมเปนของเหลวที่อาจมีการติดเชื้อ (pustular) หรืออาจเปนตุมนํ้าที่มีขนาดมากกวา 1 เซนติเมตร (bullae) ก็ได รวมถึงรอยโรค/ผื่นที่มีชนิดของรอยโรค/ผื่นที่กลาวมาทั้งหมดปะปนกัน รอยโรค/ผื่น ชนิดนี้มักพบในผูปวย ก. ติดเชื้อไวรัส หรือแบคทีเรีย เชน ติดเชื้อไวรัส Herpes. Varicella. ติดเชื้อ แบคทีเรีย Staphylococcus. หรือ Gonococcus เปนตน ข. แพยาหรือสารเคมี ค. Burn เปนตน 5. กลุมรอยโรค/ผื่นที่เปน superficial mycoses หมายถึง กลุมโรคที่มีการติดเชื้อราที่ ผิวหนัง อาทิ กลาก เกลื้อน 6. กลุมรอยโรค/ผื่นอื่น ๆ เชน ลมพิษ (urticaria) สิว ฝา


การบริบาลเภสัชกรรมสำหรับผื่นที่ผิวหนังในรานยา 147 แผนภูมิที่ 7 แนวทางการประเมินแยกรอยโรค/ผื่นที่ผิวหนังเบื้องตน 121 แผนภูม ิที่7 แนวทำงกำรประเมินแยกรอยโรค/ผื่นที่ผิวหนังเบื้องต้น หมายเหตุ *ลักษณะรอยโรค/ผื่น ที่เภสัชกรให้การดูแลผู้ป่วยเบื้องต้นได้ ผื่นที่ผิวหนัง dermatitis คัน ลักษณะผื่นหลายรูปแบบขอบเขต ไม่ชัดเจน atopic dermatitis* contact dermatiitis* numular eczema, dyshidrotic dermatitis, etc papulosquamous rash papule ร่วมกับมีขุย (scale) ที่ผื่น ขอบเขตอย่างชัดเจน seborrheic dermatitis* Psoriais secondary syphilis Pityriasis rosea maculopapular rash maculeและ papuleรวมอยู่ด้วยกัน จนเป็นผื่นขนาดใหญ่ กระจายพื้นที่ บริเวณกว้างมากกว่าร้อยละ 50 ของพื้นที่ผิวร่างกาย ติดเชื้อ แพ้ยา* กระบวนการ อักเสบ โรคมะเร็ง vesicular-bullous rash vesicle and/or pustular and/or bullae ติดเชื้อไวรัส Herpes.* หรือVaricella* ติดเชื้อแบคทีเรีย Staphylococcus. หรือ Gonococcus แพ้ยา หรือ สารเคมี burn superficial mycoes dermatophytosis* candidiasis* pityriasis versicolor* (เกลื้อน) อื่นๆ acne hyperpigment เช่น ฝ้า urticaria* ขอบเขตชัดเจน หรือ Varicella* หมายเหตุ *ลักษณะรอยโรค/ผื่น ที่เภสัชกรใหการดูแลผูปวยเบื้องตนได


148 คูมือเภสัชกรชุมชนในการดูแลอาการเจ็บปวยเล็กนอยในรานยา เกณฑการพิจารณาสงตอผูปวยพบแพทย กอนที่เภสัชกรจะประเมินรอยโรค/ผื่น ในแตละกลุมยอยอยางละเอียดลึกลงไป จําเปนตอง ทราบสัญญาณอันตราย (red flag) ของรอยโรค/ผื่น ที่นาจะเปนสัญญาณของโรคที่มีอันตรายแฝงอยู ซึ่งหากมีอาการตาง ๆ เหลานี้ เภสัชกรควรสงตอผูปวยเพื่อรับการดูแลในขั้นตอไป หากผูปวยมีรอยโรค/ผื่น รวมกับมีอาการตาง ๆ เหลานี้ ไดแก 1. รอยโรค/ผื่น ที่กระจายทั่วตัว มากกวารอยละ 90 ของพื้นผิวของรางกายของผูปวย 2. อาการทางระบบอื่น ๆ นอกจากรอยโรค/ผื่นเฉพาะที่ ที่เกิดทางผิวหนัง อาทิ ไขสูง (เกิน 38.5 องศาเซลเซียส) ถายเหลว คลื่นไส อาเจียน อาการกลัวแสง (photophobia) ปวดเมื่อยกลามเนื้อ เจ็บคอ ทอนซิลอักเสบ กลืนอาหารลําบาก ตอมนํ้าเหลืองบวมโต 3. รอยโรค/ผื่น dermatitis ที่มี รอยเจาะหรือรูเจาะ (punched-out lesions) 4. รอยโรค/ผื่นไมดีขึ้นหรือมีการกระจายมากขึ้น หลังจากผูปวยไดรับยาในการรักษามาแลว มากกวา 2 สัปดาห 5. รอยโรค/ผื่นมีสีมากกวา 1 สี ในรอยโรค/ผื่น อาการแสดงตาง ๆ เหลานี้ อาจเปนสัญญาณที่แสดงออกวา ผูปวยอาจมีระบบภายในรางกาย ที่ผิดปกติรวมกับการมีรอยโรค/ผื่น หรือรอยโรค/ผื่นนั้นเปนรอยโรค/ผื่นที่มีอันตราย (ตัวอยางเชน มะเร็งผิวหนัง) การซักประวัติเพิ่มเติม ขอมูลทั่วไปในการซักประวัติเพิ่มเติมจากการสังเกตรอยโรค/ผื่นของผูปวย เพื่อชวยในการ ประเมินแยกโรค มีดังนี้ 1. รอยโรค/ผื่นที่ปรากฎใหเห็นครั้งแรกมีลักษณะอยางไร หรือ รอยโรคใหมที่เกิดขึ้นให เห็นในวันนี้ (วันที่มาปรึกษา) มีลักษณะอยางไร การประเมินรอยโรค/ผื่น จําเปนจะตองประเมินจากรอยโรค/ผื่นปฐมภูมิ เพื่อใชในการ ประเมินแยกโรคไดอยางถูกตอง ซึ่งหากเปนรอยโรค/ผื่นทุติยภูมิ เชน มีการแกะ เกา ทายาภายนอกบางชนิดจากผูปวยมากอนแลว จะทําใหการประเมินโรคผิดพลาดได 2. รอยโรค/ผื่นที่ปรากฏใหเห็น เกิดตําแหนงใด สวนใดของรางกาย ตําแหนงของรอยโรค/ผื่น มีสวนชวยในการประเมินโรคผิวหนังอยางมาก อาทิ รอยโรค/ ผื่นที่เกิดจาก candidiasis มักเกิดขึ้นบริเวณอับชื้น ใตรมผาของรางกาย (ใตรักแร ขางขาหนีบ) รอยโรค/ผื่น seborrheic dermatitis มักเกิดบริเวณที่มีตอมไขมันมาก (บนใบหนา หนาอก แผนหลัง)


การบริบาลเภสัชกรรมสำหรับผื่นที่ผิวหนังในรานยา 149 3. อาการอื่น ๆ ที่นอกเหนือจากรอยโรค/ผื่นที่เห็น อาการคัน มักปรากฏในโรคเกี่ยวกับภูมิแพไดบอย เชน allergic contact dermatitis รวมถึงกลุมอาการที่เปน auto-immune บางโรคอยาง psoriasis 4. อาชีพ บางอาชีพ ผูปวยอาจจําเปนตองสัมผัสสารกอภูมิแพ เชน ชางกอสราง ทําใหมีโอกาสเกิด contact dermatitis ได หรือบางอาชีพ ผูปวยอาจจําเปนตองสัมผัสของเหลว หรือที่ ชื้นแฉะ ทําใหเกิดโรคผิวหนังเกี่ยวกับเชื้อราไดงาย 5. โรคประจําตัวและยาประจําตัว โรคภูมิแพ นอกจากจะทําใหเกิดความผิดปกติในระบบทางเดินหายใจแลว ผูปวยบางราย ยังแสดงความผิดปกติออกมาในระบบผิวหนังไดดวย เชน แสดงออกมาเปนรอยโรค/ผื่น atopic dermatitis สวนโรคที่เกี่ยวกับ auto-immune หรือโรคที่เกี่ยวกับระบบ ภูมิคุมกันผิดปกติ รวมถึงการรับประทานยาที่มีสวนเกี่ยวของกับการกดภูมิคุมกันของรางกาย ก็อาจทําใหเชื้อราที่ผิวหนังเจริญขึ้นจนกอโรคและแสดงออกทางผิวหนังที่ผิดปกติได 6. ลักษณะที่อยูอาศัย ประวัติครอบครัว การเดินทางหรือเสนทางสัญจรประจํา โรคผิวหนังบางชนิด ติดตอโดยการสัมผัสจากคนสูคนที่อาศัยอยูใกลชิดกันได เชน โรคหิด รวมถึงโรคผิวหนังบางชนิด ผูปวยที่สัมผัสที่ชื้นแฉะหรือสวนใหญอาศัยอยูใน บริเวณที่ชื้นแฉะ ก็จะมีโอกาสเปนโรคเชื้อราทางผิวหนังไดบอย สวนประวัติการเดินทาง ของผูปวย หากมีประวัติเดินทางไปสถานที่ ที่บริเวณนั้นมีสารกอภูมิแพอยางเกสรดอกไม ในชวงเวลานั้น ๆ หรือ มีโอกาสไปสัมผัสสารหรือแมลงบางชนิดในสถานที่ที่ไปทองเที่ยว ก็จะชวยประเมินโรคไดมากขึ้น 7. โรคที่ผูปวยคิดวานาจะเปนสาเหตุ ความคิดเห็นของผูปวยเกี่ยวกับโรคที่อาจเปนสาเหตุของรอยโรค/ผื่น จะชวยในการ ประเมินของเภสัชกรไดมากขึ้น เพราะความคิดเห็นสวนใหญของผูปวย มักมีบริบท แวดลอมรอบ ๆ ตัวของผูปวยเองประกอบในความคิดเห็นดวย เภสัชกรอาจไดขอเท็จจริง เกี่ยวกับปจจัยกระตุนของรอยโรค/ผื่นนั้น ๆ ทําใหประเมินโรคไดถูกตองมากยิ่งขึ้น ขอตาง ๆ เหลานี้ เปนเพียงขอมูลทั่ว ๆ ไป ในการซักประวัติเพิ่มเติมเทานั้น สวนรายละเอียด ขอมูลจําเพาะเจาะจงในการซักประวัติสําหรับโรคแตละโรคทางผิวหนัง จะกลาวละเอียดตอ ๆ ไปใน แตละโรคผิวหนังที่เภสัชกรสามารถดูแลเบื้องตนได โรคผิวหนังที่เภสัชกรสามารถดูแลเบื้องตน โรคในระบบผิวหนังที่เภสัชกรสามารถดูแลเบื้องตนในรานยาได อาทิ กลุมรอยโรค/ผื่นชนิด dermatitis ไดแก atopic dermatitis, contact dermatitis กลุมรอยโรค/ผื่นที่มีลักษณะ papu-


150 คูมือเภสัชกรชุมชนในการดูแลอาการเจ็บปวยเล็กนอยในรานยา losquamous rash ไดแก seborrheic dermatitis กลุมรอยโรค/ผื่นที่มีลักษณะ maculopapular rash ไดแก ผื่นแพยา กลุมรอยโรค/ผื่นที่มีลักษณะ vesiculobullous rash ไดแก การติดเชื้อไวรัส Herpes. หรือ Varicella, burn และกลุมรอยโรค/ผื่น superficial mycoses อาทิ dermatophytosis, candidiasis, เกลื้อน รวมถึงรอยโรค/ผื่นอื่น ๆ อาทิ ลมพิษ รายละเอียดแตละโรคและการซัก ประวัติ การประเมินโรคเพิ่มเติมจะแยกกลาวตอไปทีละโรค ดังนี้ กลุมรอยโรค/ผื่นชนิด Dermatitis ไดแก atopic dermatitis, contact dermatitis กลุมรอยโรค/ผื่นชนิดนี้เกิดจากการอักเสบของผิวหนัง ซึ่งอาการที่สําคัญ 3 ประการของกลุมนี้ คือ คัน รอยโรค/ผื่นมีไดหลายรูปแบบ และ ขอบเขตไมแนนอน สาเหตุของการอักเสบเกิดไดจากหลาย สาเหตุ รวมถึงเกิดขึ้นไดเองโดยไมทราบสาเหตุ อาจเกิดจากสาเหตุภายนอก (เชน การสัมผัสสาร) ทําใหเกิด contact dermatitis หรือ สาเหตุภายใน (เชน ฮอรโมน อารมณ) ทําใหเกิด atopic dermatitis มีการแบงระยะของโรคออกเปน 3 ระยะไดแก ระยะเฉียบพลัน (acute) ซึ่งจะพบลักษณะ รอยโรค/ผื่น สวนใหญเปนแบบ erythema, vesicle, papule ระยะกึ่งเฉียบพลัน (subacute) มักพบ ผื่นมีขุย (scale) หรือสะเก็ด (crust) รวมอยูดวย และระยะเรื้อรัง (chronic) พบรอยโรค/ ผื่นที่มีการหนาตัวมาก (lichenification)


การบริบาลเภสัชกรรมสำหรับผื่นที่ผิวหนังในรานยา 151 การประเมินแยกโรคที่สําคัญในรอยโรค/ผื่นชนิด dermatitis แผนภูมิที่ 8 แนวทางการประเมินแยกโรคจากผื่นชนิด dermatitis Dermatitis atopic dermatitis (eczema) acute : erythema, vesicle, papule chronic: lichenification ลักษณะการกระจายผื่น ทารก: ศีรษะ หน้า แขนขาด้านนอก เด็ก : ข้อพับตามแขนขา ผู้ใหญ่ : ข้อพับตามแขน ขา หน้า มือ ไม่ควรพบตาม ขาหนีบ และรักแร้ เป็น ๆ หาย ๆ เกิดจาก ปัจจัยภายในกระตุ้น contact dermatitis erythema, papule vesicle erosion (แผล เปื่อยยุ่ย จากการ โดนกัดเซาะ) burn เกิดจากปัจจัย ภายนอก สิ่งระคายเคือง กระตุ้น nummular dermatitis ผื่นรูปร่างคล้าย เหรียญ (coin shaped), erythema, plaque ส่วนใหญ่พบผื่นที่ขา เป็น ๆ หาย ๆ เกิดจาก ปัจจัยภายในกระตุ้น dyshidrotic eczema vesicle (ตุ่มน้้าแบบ ฝังลึก; deepseated vesicle) บนฝ่ามือ ฝ่าเท้า พบที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้า เป็น ๆ หาย ๆ เกิดจาก ปัจจัยภายในกระตุ้น stasis dermatitis erythema อาจมีผื่นสีคล้้า พบบริเวณขา ส่วนล่าง และอาจ พบเส้นเลือดขอด หรือแผลที่เกิดจาก เส้นเลือดขอด เป็น ๆ หาย ๆ เกิด จากปัจจัยภายใน กระตุ้น ส่วน seborrheic dermatitis แนวทางบางแนวทางจัดอยู่ในกลุ่มรอยโรค/ ผื่น papulosquamous rash ซึ่งจะกล่าวรายละเอียดต่อไปในเรื่องดังกล่าว โรคผื่นภูมิแพผิวหนัง (Atopic dermatitis) อาการแสดงที่สําคัญ สําหรับโรคนี้คือ อาการคันมาก พบผิวหนังแหงและอักเสบ (พบอาการ ไดทั้งในระยะเฉียบพลัน กึ่งเฉียบพลัน หรือเรื้อรัง) และอาการมักเปน ๆ หาย ๆ กําเริบเปนระยะ ๆ ผูปวยสวนหนึ่งมักมีประวัติครอบครัวหรือโรคประจําตัวเปนโรคภูมิแพ เชน โรคหืด หรือ โรคจมูกอักเสบ จากภูมิแพ แนวทางการซักประวัติและประเมินรางกายเบื้องตนสําหรับ atopic dermatitis อาการและการแสดงออกที่สําคัญของโรค 1. อาการคัน 2. การกระจายของรอยโรค/ผื่น ตามชวงวัย เชน ในเด็กทารกจะพบรอยโรค/ผื่นบริเวณ ศีรษะ ใบหนา แขนขาดานนอก สวนในเด็กจะพบรอยโรค/ผื่นบริเวณขอพับตามแขนขา และในผูใหญจะพบรอยโรค/ผื่นบริเวณขอพับตามแขนขา ใบหนา และมือได ทั้งนี้จะไม พบรอยโรค/ผื่นบริเวณ ขาหนีบและรักแร


152 คูมือเภสัชกรชุมชนในการดูแลอาการเจ็บปวยเล็กนอยในรานยา 3. พบรอยโรค/ผื่นผิวหนังแหงลอก (xerotic skin) รวม 4. ประวัติการกําเริบของรอยโรค/ผื่น เปนระยะ ๆ 5. ประวัติเคยเปนในอดีต โดยเฉพาะการเริ่มมีอาการตั้งแตในวัยเด็ก 6. ประวัติครอบครัว เคยมีประวัติเกี่ยวกับโรคภูมิแพ รวมถึงการแพอาหาร 7. ประวัติโรคประจําตัว เคยมีประวัติเกี่ยวกับโรคภูมิแพ รวมถึงการแพอาหาร การซักประวัติเพิ่มเติม การซักประวัติเพิ่มเติมเกี่ยวกับความรุนแรงของโรค จะชวยใหเภสัชกรประเมิน และวางแผน ในการบริบาลเภสัชกรรมไดอยางเหมาะสม โดยความรุนแรงของโรค จะใชแบบประเมินความรุนแรง ของ Rajka G, Langeland T มาพัฒนาและแบงระดับความรุนแรงของโรค คือ ระดับนอยจะมีคา คะแนนรวมเทากับ 3-4 คะแนน ระดับปานกลางจะมีคะแนนรวมเทากับ 5-7 และระดับรุนแรงจะมี คะแนนรวมเทากับ 8-9 คะแนน ตามตารางที่ 50 ดังนี้ ตารางที่ 50 การประเมินความรุนแรงของโรค atopic dermatitis (สําหรับเด็กอายุมากกวา 12 ปขึ้นไป และผูใหญ) 1 คะแนน 2 คะแนน 3 คะแนน การกระจายของรอยโรค/ผื่น นอยกวารอยละ 9 ของ พื้นที่ผิวกายทั้งหมด อยูระหวางรอยละ 9-36 ของพื้นที่ผิวกายทั้งหมด มากกวารอยละ 36 ของ พื้นที่ผิวกายทั้งหมด ระยะเวลาที่เปน มีระยะเวลาการหาย ไมมี อาการมากกวา 3 เดือน ตอป มีระยะเวลาการหาย ไมมี อาการนอยกวา 3 เดือน ตอป เปน ๆ หาย ๆ ตลอด ระยะเวลา 1 ป ความรุนแรงของอาการคัน (ควรประเมินในเวลากอนนอน) คันนอย ไมมีการรบกวน การนอนหลับ คันปานกลาง คันมาก จนนอนหลับไม ได พัฒนาจาก Rajka G, Langeland T. Acta Derm Venereol Suppl (Stockh). 1989;144:13-4 การบริบาลโดยใชยาในระยะเฉียบพลันสําหรับโรคผื่นภูมิแพผิวหนัง (แนะนําใหพรอม กับการบริบาลโดยไมใชยา) 1. ประเมินความรุนแรงของโรค เภสัชกรอาจใหการดูแลเบื้องตนในผูปวยที่มีความรุนแรง ในระดับ นอย-ปานกลางได สําหรับกลุมที่มีอาการรุนแรง ควรสงตอผูเชี่ยวชาญ 2. เลือกใชยาทา (ยาใชภายนอก) เพื่อควบคุมอาการคันและการอักเสบเฉียบพลัน โดยอาจ เลือกใชยาทาสเตียรอยด ชนิดที่มีความแรงออนถึงปานกลาง (mild to moderate


การบริบาลเภสัชกรรมสำหรับผื่นที่ผิวหนังในรานยา 153 potency topical steroid) หรือ ยาทากลุม immunomodulator (0.03% หรือ 0.1% tacrolimus และ 1% pimecrolimus) 3. หากผูปวยมีอาการไมดีขึ้น อาจพิจารณาเพิ่มความแรงของยาทาสเตียรอยด แตหากเพิ่ม ความแรงของยาทาแลว ยังไมตอบสนองตอการรักษา ใหพิจารณาสงตอผูเชี่ยวชาญ หากผูปวยมีอาการคันมาก อาจพิจารณาใหยารับประทานโดยการใหยาในกลุม sedating antihistamine เพื่อชวยลดอาการคันและทําใหการนอนหลับไดดีขึ้น 4. ติดตามผลการรักษาทุก 1-2 สัปดาห รวมถึงอาการขางเคียงที่เกิดจากยา อาทิ ยาทาใน กลุม สเตียรอยด อาจทําใหบริเวณที่ทายามีผิวหนังบางลง และแตกเปนลาย (striae) พบ จํ้าเลือด (purpura) เกิดหลอดเลือดขยาย (telangiectasia) มีสีผิวจางลง (hypopigmentation) ขนขึ้น เกิดสิว หรือมีการติดเชื้อ สวนยาทาในกลุม immunomodulator อาจทําใหเกิด อาการแสบรอนในชวงระยะเวลาสั้น ๆ ที่เริ่มตนใชยา และอาการดังกลาว จะหายไปไดเองโดยไมตองหยุดยา การติดตาม - หากผลการรักษาไมดีขึ้น อาจเพิ่มความแรงของยาทาสเตียรอยด แตถาเพิ่มความแรง ของยาแลว ยังไมตอบสนองตอการรักษา ควรสงตอแพทย - หากพบอาการขางเคียงในบริเวณที่ทา ควรลดความแรงของยา ลดปริมาณของยา หรือ เปลี่ยนยา การบริบาลโดยไมใชยาสําหรับโรคผื่นภูมิแพผิวหนัง (แนะนําใหพรอมกับการบริบาล โดยใชยา) 1. ใหความรูแกผูปวยและครอบครัว ทั้งทางดานเกี่ยวกับอาหาร และการอาบนํ้า ดานเกี่ยวกับอาหาร ผูปวยที่มีอาการรุนแรง อาจพิจารณางดอาหารที่สงสัยวาอาจเปนตัว กระตุนใหอาการกําเริบ (ไข นมวัว แปงสาลี อาหารทะเล) แตหากอาการไมรุนแรง ยังไมพิจารณาให งดอาหารใด ๆ จนกวาจะมีการทดสอบการแพอาหารชนิดนั้น ๆ ดานเกี่ยวกับการอาบนํ้า เนื่องจากการอาบนํ้าที่ไมถูกตอง จะทําใหผิวของผูปวยมีอาการแหง มากยิ่งขึ้น อาจทําใหอาการของโรคกําเริบกลับมาหรือระหวางที่มีอาการอยู จะทําใหอาการคัน หรือ รอยโรค/ผื่นลุกลามมากขึ้น การอาบนํ้าที่ถูกวิธีสําหรับผูปวยคือ ก. อาบนํ้าดวยนํ้าที่อุณหภูมิหองหรือ ไมรอนจัดจนเกินไป ข. ใชเวลาอาบนํ้าประมาณ 5-10 นาที ไมควรใชระยะเวลานานเกินไป ค. สบูที่ ใชชําระทําความสะอาดรางกายตองไมระคายเคืองผิว โดยเฉพาะควรหลีกเลี่ยงสบูที่ผสมสารฆาเชื้อ แบคทีเรีย (antiseptic) เพราะจะยิ่งกอความระคายเคืองผิวไดงาย ง. หลังอาบนํ้าเสร็จ ใหเช็ดตัวหมาด ๆ


154 คูมือเภสัชกรชุมชนในการดูแลอาการเจ็บปวยเล็กนอยในรานยา และใชครีมหรือสารใหความชุมชื้นผิว (emollient) ที่ไมมีสวนผสมของนํ้าหอมหรือสารกันเสียทาผิว หลังอาบนํ้าทันที 2. แนะนําการหลีกเลี่ยงสารกอภูมิแพและตัวกระตุนใหอาการกําเริบ (สําหรับผูที่แพสารกอ ภูมิแพนั้นจริง) สารกอภูมิแพอาจเขาสูรางกายของผูปวยโดยการรับประทานอาหาร (ไข นม แปงสาลี) การหายใจ (เกสรดอกไม ไรฝุน) ซึ่งผูที่มีการแพสารกอภูมิแพจริง ควรหลีกเลี่ยงปจจัยกระตุนตาง ๆ (ความรอน ความเย็น ความเครียด) ดวย ขอควรระวังในการใหการบริบาลเภสัชกรรม 1. หากผูปวยใชสารใหความชุมชื้นแบบโลชั่น แนะนําใหทาสารใหความชุมชื้นกอนทายา แตถาเลือกใชสารใหความชุมชื้นแบบขี้ผึ้ง (ointment) ใหทายา กอนทาสารใหความ ชุมชื้น 2. ในระหวางการดูแล อาจพบผูปวยมีการติดเชื้อซํ้าซอน หากเปนการติดเชื้อไวรัส Herpes simplex ควรหยุดยาทาสเตียรอยดกอน แลวใหการรักษาการติดเชื้อไวรัสดังกลาวจนกวา จะหาย แตถาเปนการติดเชื้อแบคทีเรีย หากไมรุนแรงสามารถใชยาทาตอไปได แตหาก ติดเชื้อรุนแรง ยาทาในกลุม immunomodulator จําเปนตองหยุดยาชั่วคราวและใหการ รักษาการติดเชื้อแบคทีเรียจนกวาจะหาย 3. การใชยาทาที่มีสวนผสมของสเตียรอยดรวมกับยาปฏิชีวนะ ผลการศึกษาพบวา ไมมี ความแตกตางในการจัดการโรคนี้ แตถาโรคมีความรุนแรงในระดับปานกลางขึ้นไปและ รอยโรคมีไมมาก เภสัชกรอาจนํายาสูตรผสมฯ นี้มาใชในระยะเวลาสั้น ๆ ได เพราะพบ วา จะทําใหรอยโรคดีขึ้นไดเร็วกวาเมื่อเทียบกับยาทาที่ไมมีสวนผสมของยาปฏิชีวนะ แต ทั้งนี้ตองใชระยะเวลาสั้น ๆ เพื่อปองกันไมใหเกิดการดื้อยาปฏิชีวนะ 4. นํ้ามันดิน (coal tar) ไมมีหลักฐานในการรักษาโรคนี้ 5. เกี่ยวกับผลิตภัณฑเสริมอาหาร a. การรับประทาน vitamin E 400-600 IU และ vitamin D3 (cholecalciferol) รวมถึงการใชผลิตภัณฑภายนอกที่มีสวนผสม vitamin B12 (cyanocobalamin) อาจมีประโยชนชวยทําใหอาการดีขึ้นโดยเฉพาะในกลุมที่มีอาการปานกลางถึงรุนแรง เภสัชกรอาจนํามาชวยเสริมในการจัดการดูแลโรค b. สําหรับ จุลินทรียสุขภาพ (Probiotics) และ Prebiotics อาจมีประโยชนชวยทําให อาการดีขึ้น แตขนาดและชนิดของ probiotics หรือ prebiotics ไมมีระบุไวอยาง แนนอนชัดเจน หากเภสัชกรจะนํามาใชชวยเสริมในการจัดการโรค อาจตองพิจารณา ประโยชนที่จะไดรับ จริง ๆ จากผลิตภัณฑนั้น ๆ


การบริบาลเภสัชกรรมสำหรับผื่นที่ผิวหนังในรานยา 155 c. สําหรับการรับประทาน zinc, selenium, vitamin B6, กรดไขมันตาง ๆ และนํ้ามันปลา ที่กลาวมาทั้งหมดนี้ ยังไมมีรายงานแนชัดวาเกิดประโยชนในการจัดการโรค 6. คุณลักษณะเบื้องตนของยาทาแตละชนิด ที่เภสัชกรควรทราบกอนจะเลือกใชยา a. ยาทาสเตียรอยดที่มีความแรงในระดับปานกลาง (moderate) ไดแก betamethasone dipropionate 0.05% cream, triamcinolone acetonide 0.1% cream, momethasone furoate 0.1% cream, prednicarbate 0.1% cream สวนที่ มีความแรงระดับตํ่า (mild) ไดแก hydrocortisone 1-2% cream, prednisolone 0.5% cream b. ยาทากลุม immunomodulator จะมีอยู 2 ชนิด ไดแก tacrolimus (ใชไดทุกระยะ ของโรค) และ pimecrolimus (ใชไดกรณี mild to moderate) โดยที่ 0.03% tacrolimus มีขอบงใชในกรณีอายุ 2-16 ป ถาอายุมากกวานั้นใหใช 0.1% tacrolimus และ 1% pimecrolimus ใชไดในเด็กอายุมากกวา 2 ปขึ้นไป c. สารใหความชุมชื้น ปจจุบันมีหลายยี่หอ แตละยี่หอมีการใสสารอื่นเพิ่มเติมลงไปเพื่อ เพิ่มความชุมชื้นมากขึ้น หรือลดการอักเสบ แตอยางไรก็ตาม ในระยะยาว ยังไมมี หลักฐานยืนยันวาประโยชนที่ไดรับแตกตางกัน แตหากเคยเลือกใชผลิตภัณฑที่มี sodium lauryl sulfate แลวแยลง เภสัชกรควรแนะนําใหใชผลิตภัณฑที่ไมมีสวน ผสมของสารดังกลาว โรคผื่นสัมผัส (Contact dermatitis) โรคผื่นสัมผัส อาจแบงประเภทออกเปน 2 ประเภทใหญ ๆ ไดแก ก. ผื่นระคายสัมผัส (irritant contact dermatitis : ICD) เกิดไดประมาณรอยละ 70-80 ของผื่นสัมผัส ข. ผื่นแพสัมผัส (allergic contact dermatitis : ACD) จะเกิดประมาณรอยละ 20-30 ของผื่นสัมผัส ผื่นระคายสัมผัสจะไมเกี่ยวของกับปฏิกิริยาทางระบบภูมิคุมกัน สวนใหญหรือเกือบทุกคนที่ สัมผัสสารกอระคายเคือง จะเกิดการระคายเคือง ในทางตรงขามผื่นแพสัมผัสจะเกี่ยวของกับปฏิกิริยา ทางระบบภูมิคุมกัน การเกิดการระคายเคืองจะเกิดเฉพาะในรายที่มีปฏิกิริยาทางระบบภูมิคุมกัน ตอบสนองเทานั้น การซักประวัติและประเมินรางกายเบื้องตนสําหรับโรคผื่นสัมผัส (contact dermatitis) อาการและการแสดงออกที่สําคัญของโรค 1. รอยโรค/ผื่นที่เกิดขึ้นมีไดหลายรูปแบบ อาทิ ในระยะเฉียบพลัน อาจเกิดรอยโรค/ผื่น erythema, vesicle, bullae, burn* หรืออาจเปนแผล* (ulcer) เนื้อตาย* (necrosis)


156 คูมือเภสัชกรชุมชนในการดูแลอาการเจ็บปวยเล็กนอยในรานยา ในระยะเรื้อรัง อาจพบรอยโรค/ผื่น erythema, รอยโรค/ผื่นที่มีขุย (scale), รอยปริแตก (fissure) และ lichenification 2. อาการคัน อาจมีหรือไมมีก็ได แตสวนใหญแลว ACD จะมีอาการคันรวมดวย 3. ประวัติการสัมผัสสารกอระคายเคืองกอนเกิดรอยโรค/ผื่น* โดยการสัมผัสสารอาจเปน ไดทั้งการสัมผัสทางผิวหนัง ทางการหายใจ หรือทางการรับประทาน * อาการที่พบที่แตกตางจาก atopic dermatitis (ดูแผนภูมิที่ 8 dermatitis ประกอบ) การซักประวัติและประเมินแยกความแตกตางระหวาง ผื่นระคายสัมผัส (irritant contact dermatitis) กับ ผื่นแพสัมผัส (allergic contact dermatitis) จะแสดงไวในตารางที่ 50 ตารางที 51 แสดงความแตกตางในการประเมินแยก ICD กับ ACD ผื่นระคายสัมผัส (ICD) ผื่นแพสัมผัส (ACD) บุคคลที่จะเกิดอาการ เปนทุกคนที่มีการสัมผัสสารกอระคายเคือง เปนเฉพาะบางคนที่ระบบภูมิคุมกันตอบ สนองตอสารกอระคายเคือง ระยะเวลาการเกิดผื่น Acute (เกิดกับสารที่กอระคายเคืองสูง เชน กรด ดางที่สูง หรือ toxin จากแมลง บางชนิด) 0-2 วัน Cumulative (สารที่กอระคายเคืองตํ่า แตไดรับการสัมผัสสารนั้น ๆ บอย ๆ ซํ้า ๆ) นานเปนเดือน การสัมผัสสารกอระคายเคือง ครั้งแรกจะยังไมมีอาการ ครั้งถัดไปเมื่อ มีการสัมผัสสารกอระคายเคือง จะเริ่ม แสดงอาการมีผื่น (ระยะเวลา 7-14 วัน) อาการแสดง Acute : erythema, edema, burn, vesicle, bullae, ulcer, necrosis Cumulative : คัน (เกิดขึ้นอยางชา ๆ) แหงมีขุย รอยผิวปริแตก (fissure), lichenification หมายเหตุ ขอบเขตชัดเจน จะเกิดรอย โรค/ผื่น เฉพาะจุดที่สัมผัสสารกอระคาย เคือง erythema และ คันเมื่อเริ่มมีรอยโรค/ ผื่น และ รอยโรค/ผื่นสมมาตรทั้งสอง ขาง หมายเหตุ ขอบเขตชัดเจน และอาจ ลุกลามไปนอกบริเวณที่สัมผัสได ตัวอยางสารกอระคายเคือง Acute : toxin จากแมลงกนกระดก (paederus dermatitis) ถุงเหล็กใน จากแมงกะพรุน (jellyfish dermatitis) Cumulative : นํ้ายาซักผา นํ้ายาลาง จาน นํ้ามันเครื่อง สม มะนาว กระเทียม (อาการรุนแรงขึ้นกับความเขมขนของสาร) โลหะนิเกิลในตางหู เครื่องประดับสาย นาิกา หัวเข็มขัด สาร Para-phenylenediamine ในนํ้ายายอมผม สาร กันบูด (paraben) นํ้าหอม lanolin (อาการรุนแรงไมขึ้นกับความเขมขนของ สาร)


การบริบาลเภสัชกรรมสำหรับผื่นที่ผิวหนังในรานยา 157 การซักประวัติเพิ่มเติม 1. ประวัติการทํางาน และอาชีพ เนื่องจากสารกอระคายเคือง อาจมาจากสถานที่ทํางาน หรือเกี่ยวของกับอาชีพการทํางาน 2. ประวัติครอบครัวและประวัติภูมิแพ เนื่องจากผูที่มีประวัติในครอบครัวแพสารระคาย เคืองบางชนิด ผูปวยก็มักจะเกิดปฏิกิริยาภูมิแพตอสารชนิดนั้น ๆ ดวย 3. ประวัติโรคประจําตัวและประวัติการใชยา การบริบาลโดยใชยาสําหรับโรคผื่นสัมผัส (แนะนําใหพรอมกับการบริบาลโดยไมใชยา) 1. ประเมินตามรุนแรงของโรค เภสัชกรอาจใหการดูแลเบื้องตนในผูปวยที่มีรอยโรค/ผื่น irritate contact dermatitis ที่มีขอบเขตไมเกินรอยละ 9 ของพื้นที่ผิวกายทั้งหมด หรือ allergic contact dermatitis ที่มีขอบเขตไมเกินรอยละ 20 ของพื้นที่ผิวกายทั้งหมด (ใชหลักการ rule of 9) หากรุนแรงมากกวานี้ ควรสงตอแพทย 2. เลือกใชยาทา (ยาใชภายนอก) เพื่อควบคุมอาการคันและการอักเสบเฉียบพลัน โดยอาจ เลือกใชยาทาสเตียรอยด ชนิดที่มีความแรงเหมาะสมกับความรุนแรงของโรคและบริเวณ ที่ทา หรือ อาจใชยาทากลุม immunomodulator (0.03% หรือ 0.1% tacrolimus และ 1% pimecrolimus) และหากรอยโรค/ผื่น เปนลักษณะผื่นหนา อาจแนะนําให keratolytic agents เชน urea cream หรือ ยาทาสเตียรอยดที่มีสวนผสมของ salicylic acid หากผูปวยอาการไมดีขึ้น อาจพิจารณาเพิ่มความแรงของยาทาสเตียรอยด แตหากเพิ่มความแรงของยาทาแลว ยังไมตอบสนองตอการรักษา ใหพิจารณาสงตอ แพทย 3. หากผูปวยมีอาการคันมาก อาจพิจารณาใหยารับประทานโดยการใหยาในกลุม sedating antihistamine เพื่อชวยลดอาการคันและทําใหการนอนหลับไดดีขึ้น 4. ติดตามผลการรักษาทุก 1-2 สัปดาห รวมถึงอาการขางเคียงที่เกิดจากยา อาทิ ยาทาใน กลุม สเตียรอยด ยาทาในกลุม immunomodulator การติดตาม ทําเชนเดียวกับการ ติดตามใน atopic dermatitis การบริบาลโดยไมใชยาสําหรับ contact dermatitis (แนะนําใหพรอมกับการบริบาล โดยใชยา) 1. แนะนําการหลีกเลี่ยงสารกอระคายเคืองและสารกอภูมิแพ (หากสามารถทราบสารกอ ระคายเคืองหรือสารกอภูมิแพได หากไมทราบ เภสัชกรอาจชวยผูปวยในการคนหา สาร ที่อาจเปนตนเหตุการกอระคายเคืองโดยการซักประวัติชวงวันเวลาที่ไดสัมผัสสาร


158 คูมือเภสัชกรชุมชนในการดูแลอาการเจ็บปวยเล็กนอยในรานยา ผลิตภัณฑตาง ๆ กอนเกิดผื่น) ซึ่งสารกอภูมิแพอาจเขาสูรางกายของผูปวยโดยการสัมผัส หรือรับประทานอาหารหรือสูดหายใจเขาไป ดังนั้น การหลีกเลี่ยงหรือการปองกันจึง สําคัญที่สุด เชน การใสหนากากอนามัย การใสถุงมือ การลางมือบอย ๆ พรอมกับการ ทาสารใหความชุมชื้นที่ปราศจากสารเคมี นํ้าหอมหรือสารกันเสียอยูเสมอ 2. ในผูปวยที่เกิดผื่น ACD ควรแนะนําใหหลีกเลี่ยงอาหารตาง ๆ ดังนี้ เนื้อสัตว ไดแก ปลา หอย เครื่องดื่ม ไดแก ช็อกโกแลต โกโก พืชผัก ไดแก ถั่วทุกชนิด ธัญพืช ผักขม ชะเอม ถั่วงอก ตนหอม ผักกาด หัวหอม เห็ด มะเขือเทศ อินทผลัม มะเดื่อ สัปปะรด ลูกพรุน ผลราสเบอรี่ รวมถึงนํ้ามันเมล็ดฝาย อาหารที่ผสมผงฟูปริมาณมาก ขอควรระวังในการใหการบริบาลเภสัชกรรม เภสัชกรควรสังเกตผูปวยวามีการแพยาทาสเตียรอยดหรือไมดวย โดยสังเกตจากการยิ่งใชยา ทาสเตียรอยดยิ่งมีผื่นมากขึ้น ซึ่งการเกิดการแพ อาจเปนเพราะแพสารที่เปนสวนผสมในยาทา กลุมรอยโรค/ผื่นชนิด Papulosquamous disorder ไดแก seborrheic dermatitis Seborrheic dermatitis โรคนี้บางครั้งจะจัดอยูในกลุม รอยโรค/ผื่นชนิด papulosquamous rash ซึ่งจะมีลักษณะ รอยโรค/ผื่นสําคัญในกลุมคือ รอยโรค/ผื่นสีแดง (erythema) อาจเปนตุมนูน (papule) รวมกับการ มีขุย (scale) บางครั้งอาจพบวามีตุมที่รวมกันจนกลายเปนผื่นนูน (plaque) ได โรคในกลุมนี้นอกจาก จะมีลักษณะทั่วไปดังที่กลาวแลว แตละโรคยังมีลักษณะเฉพาะที่แตกตางกันไปอีกดวย สําหรับสาเหตุ การเกิด seborrheic dermatitis เชื่อวา เกิดจากปจจัยตาง ๆ เหลานี้รวมกัน ไดแก ก. เชื้อยีสต Malassezia furfur ที่เปนเชื้อประจําถิ่นที่ผิวหนังไวตอสิ่งเราหรือสิ่งกระตุนมากเกินไป ข. ตอมไขมัน ที่ทํางานมากขึ้นหรือผิดปกติ การซักประวัติและประเมินรางกายเบื้องตนสําหรับ seborrheic dermatitis อาการและการแสดงออกที่สําคัญของโรค 1. รอยโรค/ผื่นลักษณะขุยสีขาวหรือเหลืองออกมัน ๆ (erythema with greasy scale) 2. การกระจายของรอยโรค/ผื่น พบบริเวณที่มีตอมไขมันหนาแนน เชน หนังศีรษะ ใบหนา รองขางจมูก ลําตัวสวนบน ทั้งหนาอกดานหนาและหลัง 3. อาการคัน อาจมีไมมาก 4. รอยโรค/ผื่นมักเปน ๆ หาย ๆ ซึ่งเกิดจากปจจัยภายใน เชน อารมณ ความเครียด หรือ ปจจัยภายนอก เชน ความรอน ความเย็นเปนตัวกระตุน


การบริบาลเภสัชกรรมสำหรับผื่นที่ผิวหนังในรานยา 159 5. ประวัติโรคประจําตัว เชน โรคพารกินสัน โรคลมชัก โรคจิตเวช เพราะพบรอยโรค/ผื่น ชนิดนี้ไดบอยในกลุมผูปวยดังกลาว แผนภูมิที่ 9 การประเมินแยกโรคที่สําคัญในรอยโรค/ผื่นชนิด seborrheic dermatitis ผื่นแดงบนใบหน้า seborrheic dermatitis ผื่น greasy scale, erythematous patches การกระจายของผื่น nasolabial folds (ร่องแก้ม) ears, eyebrows. tinea faciei ผื่นเป็นวง (anular) ขอบเขตชัดเจน นูน แดง และมีขุย (active border) คัน ซึ่งต่อมา เมื่อผื่นกระจายออก มากขึ้น ผื่นตรงกลาง จะหายไป (central clearing) psoriasis ผื่นสีแดงจัด (erythematous plaques) ปกคลุมด้วย silvery scale การกระจายของ ผื่น อาจพบผื่นได้ ที่ ต้าแหน่งใดบน ใบหน้าก้ได้ แต่จะไม่ พบผื่นบริเวณ nasolabial fold rosacea Erythematous, papules and pustules อาจพบ telangiectasia กระจายบน หน้าผาก แก้ม จมูก การกระจายของผื่น อาจพบผื่นไดที่ ที่มา : Clark GW., et al. Diagnosis and Treatment of Seborrheic Dermatitis. Am Fam Physician. 2015 Feb 1;91(3):185-190. การบริบาลโดยใชยาสําหรับ Seborrheic dermatitis (แนะนําใหพรอมกับการบริบาล โดยไมใชยา) 1. เลือกใชยาทา (ยาใชภายนอก) เพื่อควบคุมอาการรอยโรค/ผื่นแดง อาการคันและการ อักเสบเฉียบพลัน โดยอาจเลือกใชยาทาสเตียรอยด ชนิดที่มีความแรงในระดับออนและ ปานกลาง เชน triamcinolone 0.02-0.1%, mometasone cream เปนตน หรือ อาจ ใชยาทากลุม immunomodulator (0.1% tacrolimus และ 1% pimecrolimus) ก็ได 2. อาจเลือกใชยาอื่น ๆ เชน ยาครีมทาเชื้อรา ตัวอยางไดแก cotrimazole cream, ketoconazole cream แทนการใชยาทาสเตียรอยด


160 คูมือเภสัชกรชุมชนในการดูแลอาการเจ็บปวยเล็กนอยในรานยา 3. หากผูปวยมีรังแครวมดวย อาจพิจารณาใชแชมพูสระผมตาง ๆ อาทิ coal tar shampoo, selenium sulfide shampoo, zinc pyrithione shampoo โดยใชสัปดาหละ 2 ครั้ง 4. ติดตามผลการรักษาทุก 1-2 สัปดาห รวมถึงอาการขางเคียงที่เกิดจากยา อาทิ ยาทาใน กลุมสเตียรอยด ยาทาในกลุม immunomodulator การติดตาม ทําเชนเดียวกับการ ติดตามใน atopic dermatitis การบริบาลโดยไมใชยาสําหรับ Seborrheic dermatitis (แนะนําใหพรอมกับการบริบาล โดยใชยา) 1. ใหความรูผูปวยเกี่ยวกับการใชผลิตภัณฑทําความสะอาด เชน ควรใชสบูหรือสบูเหลวที่ มีฤทธิ์ออน หรือถามีการใชผลิตภัณฑปองกันแดด ควรใชแบบ water-based 2. อาจแนะนําใหใชสารใหความชุมชื้นทาบนใบหนาเพื่อลดการกําเริบของโรค 3. ลดการใชเครื่องสําอางเกินความจําเปน ขอควรระวังในการใหการบริบาลเภสัชกรรม เภสัชกรควรสังเกตผูปวยวามีการแพยาทาสเตียรอยดหรือไมดวย โดยสังเกตจากการยิ่งใชยา ทาสเตียรอยดยิ่งมีรอยโรค/ผื่นมากขึ้น ซึ่งการเกิดรอยโรค/ผื่นที่มากขึ้น อาจเปนเพราะสารที่เปน สวนผสมในยาทาเปนตัวกระตุน กลุมรอยโรค/ผื่นชนิด Maculopapular rash (MP rash) ไดแก ผื่นที่เกิดจากการติด เชื้อ แพยา และอื่น ๆ กลุมโรคนี้จะมีรอยโรค/ผื่นชนิด macule และ papule รวมอยูดวยกันจนเปนปนขนาดใหญ กระจายพื้นที่บริเวณกวางมากกวารอยละ 50 ของพื้นที่ผิวรางกาย มักไมมีขุย (scale) รอยโรค/ผื่น ชนิดนี้จะสะทอนการแสดงออกของโรคในระบบใดระบบหนึ่งของรางกายที่ผิดปกติ ซึ่งสวนใหญแลว จะเจอรอยโรค/ผื่นชนิดนี้ในผูปวยที่มีการติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียบางชนิด หรืออาจพบไดในการอักเสบ ภายในรางกาย เชน การแพยาบางชนิด รวมถึงผูปวยมะเร็งบางรายก็อาจพบรอยโรค/ผื่นชนิดนี้ได การซักประวัติและประเมินรางกายเบื้องตนสําหรับรอยโรค/ผื่น Maculopapularrash (MP rash) อาการและการแสดงออกที่สําคัญ 1. รอยโรค/ผื่น ชนิด macule และ papule รวมอยูดวยกัน อาจรวมกันเปนปน (patch) ขนาดใหญ


การบริบาลเภสัชกรรมสำหรับผื่นที่ผิวหนังในรานยา 161 2. กระจายพื้นที่กวางมากกวารอยละ 50 ของพื้นที่ผิวรางกาย 3. มีอาการทางระบบอื่น ๆ ในรางกายรวมดวย เชน ไข เบื่ออาหาร ถายเหลว ปวดทอง การประเมินแยกโรคที่สําคัญในรอยโรค/ผื่นที่มีการกระจายพื้นที่กวางของพื้นที่ผิวรางกาย รอยโรค/ผื่นที่สําคัญที่เภสัชกรควรประเมินแยกโรคในกลุมรอยโรค/ผื่นที่มีการกระจายพื้นที่ กวางของพื้นที่ผิวรางกาย ไดแก maculopapular rash (MP rash), urticaria, erythema multiforme (EM) and Steven Johnson syndrome (SJS) และ exfoliative dermatitis (ED) (ดู แผนภูมิที่ 10 รอยโรค/ผื่นที่มีการกระจายมากกวารอยละ 50 ของพื้นที่ผิวรางกายประกอบ) แผนภูมิที่ 10 การประเมินแยกโรคที่สําคัญในรอยโรค/ ผื่นที่มีการกระจายพื้นที่กวางของพื้นที่ผิวรางกาย รอยโรค/ผื่นที่มีการกระจายมากกว่าร้อยละ 50 ของพื้นที่ผิวร่างกาย MP rash ผื่น macule และ papule รวมอยู่ ด้วยกันจนเป็นปื้น ขนาดใหญ่ ไม่พบขุย ผื่นเป็นเร็ว และหาย ได้เอง หากพบสาเหตุ และจัดการสาเหตุได้ urticaria ผื่น edematous papule and plaque (wheal) และ พบบริเวณผื่นราบเป็น สีแดงล้อมรอบ (flare) แต่ละผื่น จะหายเองภายใน 24-48 ชั่วโมง แต่จะมีผื่นขึ้น บริเวณใหม่ อาจพบอาการบวม ของเยื่อบุ บริเวณ อื่น ๆ เช่น ปาก ตา ทางเดินหายใจ EM and SJS ผื่น target lesion (macule patch papule) เรียงซ้อนทับกัน 3 วง กล่าวคือ วงในจะสีแดงเข้ม วงถัดมา สีขาว และวงนอกสุด สีแดง บริเวณตรงกลางผื่น จะลุกลามจน เป็นเนื้อตาย ที่มีสีด้าเข้ม (necrosis) และหลุดลอกออก ภายใน 1-2 สัปดาห์ อาจพบการอักเสบหรือ แผล บริเวณเบื่อบุอื่น ๆ เช่น ตา ปาก อวัยวะเพศ ED ผื่นแดงเป็นขุย ลอก ออกเป็นแผ่นทั่วตัว ขยายพื้นที่มากกว่า ร้อยละ 90 ของพื้นที่ ผิวกาย มักเป็นเรื้อรัง หากเป็นมาก อาจพบ อาการผมร่วง และ เล็บผิดรูปได้ การซักประวัติเพิ่มเติม หลังจากประเมินแยกรอยโรค/ผื่นชนิด MP rash ไดแลว เภสัชกรควรซักประวัติเพิ่มเติมเพื่อ ประเมินการจัดการเบื้องตนหรือจะสงตอแพทย โดยเภสัชกรอาจจัดการเบื้องตนในกรณีผูปวยไมมี ไข ดูสภาพภายนอกมีการแสดงออกปกติดี แตหากพบวามีไขหรืออาการผิดปกติในระบบอื่น ๆ รวม ควรสงตอแพทย การซักประวัติและประเมินเบื้องตน (ดูแผนภูมิที่ 11 ประกอบ) ดังนี้


162 คูมือเภสัชกรชุมชนในการดูแลอาการเจ็บปวยเล็กนอยในรานยา 1. การซักประวัติเพิ่มเติมเกี่ยวกับไขหรืออาการผิดปกติในระบบอื่น ๆ เชน มีคลื่นไส อาเจียน ปวดทอง ถายเหลว ตาเหลือง ตัวเหลือง หรือมีการบวมรวมดวยหรือไม 2. การซักประวัติและประเมินรางกายวามีการอักเสบบริเวณอื่น ๆ เชน เยื่อบุตาอักเสบ เยื่อบุตาง ๆ อักเสบรวมดวยหรือไม 3. รอยโรค/ผื่น กระจายไปยังบริเวณไหนบางของผิวกาย ผื่นแพยาที่ไมรุนแรง มักไมกระจาย ไปที่ใบหนา ฝามือ ฝาเทา 4. การซักประวัติเกี่ยวกับการแพยา 5. การซักประวัติเกี่ยวกับชวงระยะเวลาในการเริ่มใชยาและหยุดยา(หากสงสัยเปนรอยโรค/ ผื่นจากการแพยา) แผนภูมิที่ 11 ประเมินแยกโรคที่สําคัญในรอยโรค/ผื่นชนิด MP rash ที่มา : พัฒนาจาก Murphy-Lavoie H, LeGros TL. Emergent diagnosis of the unknown rash: an algorithmic approach. Emerg Med 2010;42(3):6-17.


การบริบาลเภสัชกรรมสำหรับผื่นที่ผิวหนังในรานยา 163 การบริบาลโดยใชยาสําหรับ Maculopapular rash ที่ไมรุนแรง (ผูปวยไมมีไข ดูสภาพ ภายนอกแสดงออกปกติดี) ที่อาจเกิดจาก drug reaction (แนะนําใหพรอมกับการ บริบาลโดยไมใชยา) 1. ใหหยุดยาที่ตองสงสัย ยาสวนใหญที่ตองสงสัยวาเปนสาเหตุของการเกิดรอยโรค/ผื่น ไดแก penicillins, sulfonamides, cephalosporins, NSAIDs, anticonvulsants, allopurinol 2. ใหการรักษาตามอาการ เชน ใหยารับประทานกลุม antihistamine ลดอาการคัน และ หากมีผิวลอกใหสารใหความชุมชื้นทาผิวได ขอควรระวังในการใหการบริบาลเภสัชกรรม ผื่นที่ไมรุนแรง มักหายไดเองหลังหยุดยาที่ตองสงสัยภายใน 1-2 สัปดาห แตหากจําเปนตอง ไดรับยานั้น ๆ ตอ ควรสังเกตอาการอยางใกลชิด และหยุดยานั้น ๆ ทันที หากรอยโรค/ผื่นมีมากขึ้น กลุมรอยโรค/ผื่นชนิด Vesicular-bullous rash ไดแก รอยโรค/ผื่นที่เกิดจากการติดเชื้อ ที่เกิดจากการแพ รอยโรค/ผื่นแบบ burn และอื่น ๆ กลุมโรคที่มีรอยโรค/ผื่นแบบตุมนํ้า โดยของเหลวภายในตุมจะเปนของเหลวปราศจากเชื้อ (vesicle) หรือ ของเหลวภายในตุมเปนของเหลวที่อาจมีการติดเชื้อ (pustular) หรืออาจเปนตุมนํ้า ที่มีขนาดมากกวา 1 เซนติเมตร (bullae) ก็ได รวมถึงรอยโรคที่มีชนิดของรอยโรค/ผื่นที่กลาวมา ทั้งหมดปะปนกัน รอยโรค/ผื่นชนิดนี้ หากเปนแบบเฉียบพลันมักพบในผูปวย ก. ติดเชื้อไวรัสหรือ แบคทีเรีย เชน ติดเชื้อไวรัส Herpes. Varicella. ติดเชื้อแบคทีเรีย Staphylococcus. หรือ Gonococcus เปนตน ข. แพยาหรือสารเคมี ค. Burn แตหากพบในผูปวยเรื้อรัง มักพบเปนผื่นในผูปวยโรค ภูมิแพ หรือ โรค auto immune ตาง ๆ เชน pemphigus, dermatitis herpetiformis การซักประวัติและประเมินแยกโรคที่สําคัญในรอยโรค/ผื่น Vesicular-bullous rash รอยโรค/ผื่นที่สําคัญที่เภสัชกรควรประเมินแยกโรคในกลุม ไดแก รอยโรค/ผื่นที่เกิดจากการ ติดเชื้อไวรัส เชน Herpes simplex, Herpes zoster, โรคสุกใส, โรค hand-foot and mouth syndrome รอยโรค/ผื่นที่เกิดจากการแพยา เชน EM/SJS รอยโรค/ผื่นที่เกิดจากการแพสัมผัส (contact dermatitis) ซึ่งจะสามารถประเมินแยกโรคโดยการซักประวัติ ประเมินโรคจาก รอยโรค/ผื่น อาการทางระบบอื่น ๆ ที่มีรวม (นอกจากระบบผิวหนัง) การกระจายของผื่น ระยะเวลาการเปนโรค รวมถึงประวัติโรคหรือยาที่ไดรับ (ดูแผนภูมิที่ 12 ประกอบ) สําหรับรอยโรค/ผื่นในกลุมนี้ที่เภสัชกร อาจใหคําแนะนําหรือจัดการเบื้องตนได ไดแก รอย โรค/ผื่น Herpes simplex และโรคสุกใส


164 คูมือเภสัชกรชุมชนในการดูแลอาการเจ็บปวยเล็กนอยในรานยา แผนภูมิที่ 12 ประเมินแยกโรคที่สําคัญในรอยโรค/ผื่น Vesicular-bullous rash *หมายถึง โรคที่เภสัชกรดูแลเบื้องตนได อาการทางระบบอื่น ๆ หมายถึง อาการอื่น ๆ ที่พบ นอกจากทางระบบผิวหนัง ที่มา : พัฒนาจาก Murphy-Lavoie H, LeGros TL. Emergent diagnosis of the unknown rash: an algorithmic approach. Emerg Med 2010;42(3):6-17. โรคติดเชื้อเริม (Herpes simplex virus infection : HSV) เมื่อมีการติดเชื้อ HSV ครั้งแรก ผูปวยสวนใหญจะยังไมมีอาการ (แตบางคนอาจแสดงอาการ รุนแรงบริเวณที่สัมผัสได) หลังจากนั้น เมื่อผูปวยไดรับปจจัยกระตุน เชน ความเครียด เชื้อ HSV ที่เคย เขาสูรางกายแลวซอนตัวอยูในปมประสาท (nerve ganglion) จะเคลื่อนตัวออกมายังผิวหนัง ทําให แสดงอาการของรอยโรค/ผื่นได รอยโรค/ผื่นจะมีลักษณะสําคัญคือ เปนตุมนํ้า/ตุมหนองที่รวมตัวกัน เปนกลุมบนฐานรอยโรค/ผื่นสีแดง (groups of vesicles/pustules on erythematous base) และ บางครั้งอาจพบตุมกลายเปนแผลถลอก (erosion) ตื้น ๆ หรือ แผลตกสะเก็ด (crusted lesion) ได บริเวณที่พบ มักพบบริเวณริมฝปาก เยื่อบุในปาก เหงือก ลิ้น เพดานปาก และอาจพบอาการอื่น ๆ รวมดวย เชน ปวดแสบบริเวณรอยโรค/ผื่น คัน ไขตํ่า ๆ ปวดเมื่อย


การบริบาลเภสัชกรรมสำหรับผื่นที่ผิวหนังในรานยา 165 การซักประวัติและประเมินรางกายเบื้องตนสําหรับโรคติดเชื้อเริม 1. ลักษณะรอยโรค/ผื่นที่เปนตุมนํ้า/ตุมหนองที่รวมตัวกันเปนกลุมบนฐานรอยโรค/ผื่นสี แดง (groups of vesicles/pustules on erythematous base) 2. รอยโรค/ผื่น เกิดบริเวณใดในรางกาย หรือกระจายไปยังบริเวณใดบาง 3. อาการทางระบบอื่น ๆ ที่เกิดรวมพรอมกับการมีรอยโรค/ผื่น เชน ไข เบื่ออาหาร 4. ประวัติการสัมผัสรอยโรค/ผื่นลักษณะแบบเดียวกันกับบุคคลใกลชิด เชน การรวมรับ ประทานอาหาร การใชเครื่องใชประจําตัวรวมกัน 5. ประวัติการสัมผัสยา สารเคมี อาหารที่เพิ่งไดรับประทาน โดยเฉพาะอยางยิ่ง ยา สารเคมีหรืออาหารนั้นเปนสิ่งที่ไมเคยไดรับหรือสัมผัสมาในอดีตกอนหนา 6. ประวัติการเจ็บปวยในอดีต ที่เคยมีรอยโรค/ผื่น ชนิดนี้ 7. ปจจัยกระตุนกอนเกิดรอยโรค/ผื่น เชน ความเครียด ความรอน การบริบาลโดยใชยาสําหรับโรคติดเชื้อเริม 1. หากมีรอยโรค/ผื่นเปนครั้งแรก (primary infection) ใหรับประทานยาตานไวรัส acyclovir 200 มก. วันละ 5 ครั้ง (หรือ 400 มก. วันละ 3 ครั้ง) นาน 7-10 วันหรือจนกวา รอยโรค/ผื่นจะหาย อาจใหรับประทาน valacyclovir 1,000 มก. วันละ 2 ครั้ง นาน 7-10 วันหรือจนกวารอยโรค/ผื่นจะหาย แทนได 2. กรณีเปนซํ้าบริเวณใบหนา (recurrent infection) การใหยารับประทานตานไวรัสจะได ผลเมื่อรับประทานยาเร็วที่สุด เชน เริ่มมีผื่นเปนตุมแดงหรือมีอาการนําเชน ปวด แสบ คัน (แตหากมีตุมนํ้าเกิดขึ้นแลว อาจไมจําเปนตองใหยารับประทาน) โดยอาจให acyclovir 400 มก. วันละ 5 ครั้ง 5 วันหรือจนกวารอยโรค/ผื่นจะหาย (อาจใหรับประทาน valacyclovir 2,000 มก. วันละ 2 ครั้ง เปนเวลา 1 วัน) ยารับประทาน ในกรณีนี้ไมมี ผลในการปองกันการกลับเปนซํ้า แตเปนการชวยลดระยะเวลาการเปนโรคเทานั้น หรือ อาจใหเฉพาะยาทาภายนอก acyclovir ทาซํ้าทุก ๆ 4 ชั่วโมงก็ได เนื่องจากรอยโรค/ผื่น จะหายไดเองภายใน 2-6 สัปดาห 3. ใหยารักษาตามอาการ เชน ยาแกปวด paracetamol หรือ NSAIDs หากมีอาการปวด การบริบาลโดยไมใชยาสําหรับโรคติดเชื้อเริม 1. หลีกเลี่ยงปจจัยกระตุน เชน ความเครียด แสงแดด 2. ในระหวางมีรอยโรค/ผื่น หลีกเลี่ยงการใชสิ่งของรวมกันกับผูอื่น เชน การรับประทาน อาหารโดยใชภาชนะรวมกัน เพราะอาจติดตอกันได


166 คูมือเภสัชกรชุมชนในการดูแลอาการเจ็บปวยเล็กนอยในรานยา ขอควรระวังในการใหบริบาลเภสัชกรรม 1. ยา valacyclovir เปน oral prodrug ของ acyclovir มีการดูดซึมดีกวายา acyclovir 3-5 เทา มีขอดีกวายา acyclovir คือ บริหารยางายกวาเทานั้น แตมีประสิทธิภาพใน การรักษาเทากัน 2. อาจพบรอยโรค/ผื่น eczema herpeticum คือรอยโรค/ผื่นที่เกิดจากการติดเชื้อ HSV บริเวณที่มีโรคผิวหนังอื่น ๆ อยูกอนแลว เชน ผูปวยเปน atopic dermatitis แลวมีการ ติดเชื้อ HSV ซํ้าซอนบริเวณรอยโรคผื่น atopic dermatitis 3. ในผูปวยที่มีภูมิคุมกันตํ่า จะมีรอยโรคที่รุนแรง เชน ตุมนํ้าจํานวนมาก แตกเปนแผลใหญ และลึก และอาจแพรกระจายเขาสูกระแสเลือดไดงายกวาคนปกติ จึงควรติดตามเพื่อสง ตอแพทย 4. การใหยารับประทานตานไวรัส ชวยระงับการเจริญเติบโตของไวรัสที่บริเวณรอยโรค เทานั้น ไมสามารถทําลายไวรัสที่อยูในปมประสาท ผูปวยจึงสามารถเปนซํ้าไดแมวาได รับการรักษาหายแลว โรคสุกใส (Varicella virus infection) โรคสุกใสจะมีอาการนําของผูปวย โดยอาจมีอาการไข ปวดเมื่อยกลามเนื้อ ปวดศีรษะ เบื่อ อาหาร กอนรอยโรค/ผื่นขึ้น หลังจากนั้น 2-3 วัน รอยโรค/ผื่นเริ่มแรกจะมาเปนผื่นแดงหรือตุมแดง (erythematous macules or papules) ตอมาจะกลายเปนตุมนํ้า (vesicles) บนฐานสีแดง (บาง ครั้งจะเรียกวา ตุมคลายหยดนํ้าบนกลีบกุหลาบ : dewdrop on a rose petal) ตุมหนอง (pustules) และตกสะเก็ด (crusts) อยางรวดเร็วภายใน 12 ชั่วโมง ลักษณะสําคัญเฉพาะคือ จะสังเกตเห็น รอย โรค/ผื่นหลาย ๆ แบบในผูปวยคนนั้น ๆ ที่เรียกวา multistage of skin lesions การกระจายของ รอยโรค/ผื่น มักเปนรอยโรค/ผื่นกระจายโดย มักจะเริ่มบริเวณศีรษะ ใบหนา กลางลําตัว อาการไข หรืออาการคัน อาจพบไดตลอดชวงที่ผูปวยมีรอยโรค/ผื่น ชวงระยะเวลาในการติดตอเริ่มจาก 1-2 วัน กอนรอยโรค/ผื่นขึ้นจนถึงรอยโรค/ผื่นแหงสนิทและสามารถติดตอกันไดโดยการแพรเชื้อผานระบบ ทางเดินหายใจเปนหลัก แตก็สามารถติดตอผานทางสัมผัสทางผิวหนังที่ติดเชื้อโดยตรงได การซักประวัติและประเมินรางกายเบื้องตนสําหรับโรคสุกใส 1. ลักษณะรอยโรค/ผื่นที่เปนตุมนํ้า/ตุมหนองที่อยูบนฐานรอยโรค/ผื่นสีแดง (vesicles/ pustules on erythematous base) 2. พบรอยโรค/ผื่นหลาย ๆ แบบในผูปวยที่เรียกวา multistage of skin lesions


การบริบาลเภสัชกรรมสำหรับผื่นที่ผิวหนังในรานยา 167 3. รอยโรค/ผื่น เกิดบริเวณใดในรางกาย หรือกระจายไปยังบริเวณใดบาง โดยทั่วไป โรคสุกใส ผื่นจะเริ่มตนบริเวณศีรษะ ใบหนา ลําตัว กอนกระจายไปยังสวนอื่น ๆ เชน แขนขา (ไมคอยพบรอยโรค/ผื่นบริเวณฝามือ ฝาเทา) 4. อาการทางระบบอื่น ๆ ที่เกิดรวมพรอมกับการมีรอยโรค/ผื่น เชน ไข เบื่ออาหาร 5. ประวัติการสัมผัสรอยโรค/ผื่นลักษณะแบบเดียวกันกับบุคคลใกลชิด เชน การใชเครื่อง ใชประจําตัวรวมกัน 6. ประวัติการสัมผัสยา สารเคมี โดยเฉพาะอยางยิ่ง ยา สารเคมีหรืออาหารนั้นเปนสิ่งที่ไม เคยไดรับหรือสัมผัสมาในอดีตกอนหนา 7. ประวัติการเจ็บปวยในอดีต ที่เคยมีรอยโรค/ผื่น ชนิดนี้ 8. ประวัติการไดรับวัคซีนปองกันโรคสุกใส การบริบาลโดยใชยาสําหรับโรคสุกใส 1. โดยทั่วไปในเด็กหรือผูใหญที่มีภาวะภูมิคุมกันปกติ จะสามารถหายไดเอง ไมจําเปนตอง ใหยาตานไวรัส เพียงแตใหการรักษาตามอาการ เชน ใหยาลดไข paracetamol เมื่อมี ไข หรือใหยา antihistamine เมื่อมีอาการคัน 2. ยาตานไวรัสสามารถใหไดหากตองการ เพื่อลดระยะเวลาการเกิดโรคหรือลดจํานวนผื่น โดยให acyclovir 800 มก. วันละ 5 ครั้ง นาน 7 วัน อาจใหรับประทาน valacyclovir 1,000 มก. วันละ 3 ครั้ง นาน 7 วัน แทนได การบริบาลโดยไมใชยาสําหรับโรคสุกใส 1. การรับประทานอาหารใหครบ 5 หมู และพักผอนใหเต็มที่ จะชวยใหรางกายมีภูมิคุมกัน ตอสูกับไวรัส และหายจากโรคไดเร็วขึ้น 2. ในระหวางมีรอยโรค/ผื่น หลีกเลี่ยงการใชสิ่งของรวมกันกับผูอื่น เชน การรับประทาน อาหารโดยใชภาชนะรวมกัน เพราะอาจติดตอกันได ขอควรระวังในการใหบริบาลเภสัชกรรม 1. การใหยาตานไวรัส ควรใหภายใน 24 ชั่วโมงแรกหรืออยางนอยเร็วที่สุดเมื่อเริ่มมีอาการ 2. หากผูปวยมีการแกะ เกา อาจมีการติดเชื้อแบคทีเรียซํ้า อาจจําเปนตองใหยาทาฆาเชื้อ แบคทีเรียรวม และมักพบแผลที่มีการแกะหรือเกา จะกลายเปนแผลเปนชนิดถาวรได 3. ผูปวยที่เคยไดรับวัคซีนปองกันโรคสุกใส ก็อาจปวยเปนโรคไดเมื่อสัมผัสโดยตรงกับผูปวย ที่ติดเชื้อ แตรอยโรค/ผื่นจะเกิดไดนอย และความรุนแรงจะนอย


168 คูมือเภสัชกรชุมชนในการดูแลอาการเจ็บปวยเล็กนอยในรานยา 4. ในผูใหญ อาการไข ความรุนแรงและภาวะแทรกซอนจะเกิดไดมากกวาเด็ก เชน ปอด อักเสบ จึงควรติดตามอยางใกลชิด 5. ในผูปวยที่มีภูมิคุมกันตํ่า จะมีรอยโรคที่รุนแรง เชน ตุมนํ้าจํานวนมาก และอาจแพร กระจายเขาสูกระแสเลือดไดงายกวาคนปกติ จึงควรติดตามเพื่อสงตอแพทย กลุมรอยโรค/ผื่นชนิด Superficial mycoses ไดแก dermatophytosis, candidiasis, Pityriasis versicolor. กลุมรอยโรค/ผื่นชนิดนี้ เกิดจากเชื้อราชนิดตื้น (superficial and cutaneous mycoses) อันไดแก เชื้อราที่กอใหเกิดโรคของผิวหนังชั้นกําพรา ซึ่งเปนอวัยวะที่มี keratin ที่เปนอาหารของเชื้อ ราประเภทนี้ ซึ่งเชื้อราที่อยูในกลุมนี้ ไดแก dermatophytosis (กลาก), cutaneous candidiasis, Pityriasis versicolor (เกลื้อน) การซักประวัติและประเมินแยกโรคที่สําคัญในรอยโรค/ผื่น Superficial mycoses รอยโรค/ผื่นที่เกิดจากเชื้อรา จะมีรูปแบบลักษณะเฉพาะในแตละโรค และสามารถประเมิน แยกโรคเบื้องตน ไดดังนี้ แผนภาพที่ 13 ประเมินแยกโรคที่สําคัญในรอยโรค/ผื่น superficial mycoses Superficial mycoses Dermatophytosis ผื่นเป็ นวง (anular) ขอบเขตชัดเจน นูนแดง และมีขุย (active border) คัน ซ่ึงต่อมาเมื่อผื่นกระจายออกมากข้ึน ผื่นตรงกลางจะหายไป (central clearing) *ลักษณะรอยโรค/ผื่น ข้ึนกบับริเวณที่เป็ น Candidiasis ผื่นแดง ขอบเขตชัด คัน เปื่ อยอาจ พบตุ่มแดงหรือตุ่มหนองกระจาย รอบๆ ผื่น ที่เรียกวา่ satellite lesions พบบ่อยบริเวณที่อบัช้ ืน เช่น ซอกรักแร้ ใต้ราวนม ข้างขาหนีบ ซอกกน้ง่ามนิ้ ว Pityriasis versicolor (เกลื้อน) ผื่นวงกลมหรือวงรี เล็กๆ หลายๆ วง มีขยุละเอียด ขอบเขตชดัต่อมา ขยายขนาดเป็นผื่นใหญ่ พบบ่อยบริเวณ หนา้อก หลงั ไหล่ตน้คออาจคนั หรือไม่คนัก็ได้


การบริบาลเภสัชกรรมสำหรับผื่นที่ผิวหนังในรานยา 169 Dermatophytosis การติดเชื้อรากลุมนี้จะจําแนกออกเปน 3 กลุมใหญ ๆ ไดแก Epidemophyton spp., Microsporum spp. และ Trichophyton spp. สําหรับประเทศไทย มักจะติดเชื้อรากลุม Trichophyton spp และ Epidemophyton spp. ซึ่งเปนเชื้อราที่ทําใหเกิดโรคผิวหนังบริเวณลําตัว ขาหนีบ ฝาเทา ใบหนา สวน Microphyton spp มักทําใหเกิดโรคเชื้อราที่ผม การซักประวัติและประเมินรางกายสําหรับ dermatophytosis 1. บริเวณที่มีรอยโรค/ผื่น รวมถึงลักษณะการกระจายของรอยโรค/ผื่น 2. ลักษณะของรอยโรค/ผื่น ควรแยกประเมินออกจากโรค psoriasis, contact dermatitis และ candidiasis 3. อาการอื่น ๆ ที่มีรวม เชน เล็บมีความผิดปกติรวมดวย ตอมนํ้าเหลืองโต 4. รอยโรค/ผื่นที่พบ เปนรอยโรค/ผื่นครั้งแรก หรือเคยเปนมากอน 5. การจัดการเบื้องตนกอนมาปรึกษาเภสัชกร ซึ่งหากผูปวยมีการใชยาทากลุมสเตียรอยด มากอน อาจทําใหรอยโรค/ผื่น มีลักษณะผิดไปจากที่ควรจะเปน 6. อาชีพของผูปวยที่ทําใหมีโอกาสเสี่ยงในการติดเชื้อ 7. ประวัติการอยูรวม สัมผัสกับสมาชิกในครอบครัว เพื่อน หรือ สัตวเลี้ยง 8. โรคประจําตัวหรือยาที่รับประทานอยูเปนประจํา อาจมีผลกดภูมิคุมกันทําใหเชื้อราเจริญ เติบโตไดงาย อาการและการแสดงออกที่สําคัญ ลักษณะรอยโรค/ผื่นที่มีการติดเชื้อราจะมีลักษณะแตกตางกันไปในแตละบริเวณ ดังนี้ - กลากที่ลําตัว (tinea corporis) รอยโรค/ผื่นจะเปน annular (ผื่นเปนวง) โดยรอย โรค/ผื่นเริ่มแรกจะเปนตุมแดงแลวคอย ๆ ขยายลามออกไปเปนวง ขอบเขตชัดเจนที่มี ลักษณะนูนแดงรวมกับการมีสะเก็ดเปนขุยที่เรียกวา active border สวนบริเวณตรง กลางของรอยโรค/ผื่น เมื่อขยายออกไปแลวจะเหลือรอยเพียงเล็กนอยหรือดูเหมือนปกติ (เรียกวา central clearing) บางครั้งจะพบวงหลายวง ซอน ๆ กันได และมีอาการคันไดบาง - กลากที่ขาหนีบ (tinea cruris) อาจพบไดบริเวณหัวหนาวและกนไดดวย ลักษณะรอย โรค/ผื่นในระยะเฉียบพลัน จะเปนวงแดง มีตุมนํ้าหรือตุมหนองบริเวณขอบได แตจะไม พบการกระจายของผื่นเปนจุด ๆ (satellite) สวนรอยโรค/ผื่นในระยะเรื้อรัง จะเปนปน สีนํ้าตาล มีขุยเล็กนอย - กลากที่ใบหนา (tinea faciei) รอยโรค/ผื่นจะเปนวงแดง มีขุยสะเก็ด ขอบเขตชัดเจน (ดูแผนภูมิที่ 13 ผื่นแดงบนใบหนา)


170 คูมือเภสัชกรชุมชนในการดูแลอาการเจ็บปวยเล็กนอยในรานยา - กลากที่มือและเทา (tinea manuum และ tinea pedis) รอยโรค/ผื่นที่มือและเทา จะเกิดไดหลายลักษณะ อาทิ intertriginous บริเวณงามนิ้วมือหรือนิ้วเทา (บางครั้งที่รองนิ้วเทาจะเรียกวา ฮองกงฟุต หรือ athlete’s foot) รอยโรค/ผื่นจะเปนสีขาว ยุย ลอกเปนแผน หรือสะเก็ด แตกเปนรองเห็นผิวหนังขางใตมีสีแดง อาจมีนํ้าเหลืองซึมหรือมีกลิ่น ได สวนใหญผูปวยมักมีอาการคันมาก vesicular type รอยโรค/ผื่นจะเปนตุมนํ้าใส หรือรวมกันเปนตุมนํ้าพอง ขาง ในมีนํ้าเหลืองเหนียวและคันมาก มักพบบริเวณฝามือฝาเทาและเปน ๆ หาย ๆ dry type (hyperkeratotic type) รอยโรค/ผื่นจะมีลักษณะหนา มีสะเก็ด ขอบเขตชัดเจน พบบริเวณฝามือหรือฝาเทาและอาจลามมายังดานขางของ ฝามือหรือฝาเทา พบบอยในผูที่มีเหงื่อออกมากในบริเวณฝามือหรือฝาเทา - กลากที่ศีรษะและเสนผม (tinea capitis) รอยโรค/ผื่นจะเปนขุยสะเก็ด (บางครั้งอาจ พบการอักเสบของ hair follicle กลายเปนตุมหนองนูน บวม และเจ็บ) พบผมเปราะ หักงาย รวงเปนหยอม - กลากที่เล็บ (tinea unguium) พบลักษณะเล็บหนา แผนเล็บแยกหลุดออกจาก nail bed และอาจพบแผนเล็บเปนฝาขาวปนเหลือง การซักประวัติเพิ่มเติม 1. กลากที่ลําตัว จําเปนตองซักประวัติ ประเมินแยกโรค จาก psoriasis, contact dermatitis, nummular eczema, pityriasis rosea โดยที่ รอยโรค/ผื่น psoriasis ที่ลําตัว มักมีลักษณะ นูนแดง ขอบเขตชัดและมีสะเก็ดสีเงิน (silvery scale) หนาปกคลุมผื่น รวมกับมีความผิดปกติของเล็บรวมดวย สวน pityriasis rosea รอยโรค/ผื่นแมจะมี ลักษณะผื่นที่มีขอบและขุยหรือสะเก็ดเล็ก ๆ ที่ขอบเหมือนกัน แตลักษณะรอยโรค/ผื่น มักเปนวงรี มีสีนํ้าตาลแกมเหลือง 2. กลากที่ขาหนีบ จําเปนตองซักประวัติ ประเมินแยกโรคจาก candidiasis, erythrasma, psoriasis (ดูแผนภูมิที่ 14 ประกอบ) 3. กลากที่ใบหนา จําเปนตองซักประวัติ ประเมินแยกโรคจาก atopic dermatitis, seborrheic dermatitis, rosacea, cutaneous lupus (ดูแผนภูมิที่ 9 ผื่นแดงบนใบหนา ประกอบ) 4. กลากที่มือและเทา จําเปนตองซักประวัติ ประเมินแยกโรคจาก contact dermatitis (โดยเฉพาะการแพนํ้าหรือนํ้ากัดเทาจากการสัมผัสนํ้าหรือความชื้นเปนเวลานาน ๆ), dyshidrotic dermatitis โดยที่ dyshidrotic dermatitis vesicle จะมีลักษณะตุมนํ้า


การบริบาลเภสัชกรรมสำหรับผื่นที่ผิวหนังในรานยา 171 แบบฝงลึก (deep-seated vesicle) บนฝามือ ฝาเทา สวน contact dermatitis อาจ พบ erosion คือลักษณะรอยโรค/ผื่น เปอย ยุย และมักมีประวัติสัมผัสสารกอระคาย เคือง (ดูแผนภูมิที่ 8 dermatitis ประกอบ) 5. การบริบาลโดยใชยาสําหรับโรค Dermatophytosis 6. ขนาดการใหยารับประทานหรือยาทาเฉพาะที่ และความถี่ในการใชยาจะขึ้นกับตําแหนง ของรอยโรค/ผื่น ตามตารางที่ 52 7. แมใชยาไปแลว รอยโรค/ผื่น ดีขึ้นจนไมเหลือรองรอยของผื่น ก็ควรใชยาตอเนื่องใหครบ ระยะเวลาในการรักษา ตารางที่ 52 ยาสําหรับโรค dermatophytosis โรค ยาที่ใช ขนาด ระยะเวลา กลากที่ลําตัว กลากที่ขาหนีบ กลากที่มือและเทา ยาทาภายนอก - ketoconazole cream - clotrimazole cream - terbinafine cream ยารับประทาน (กรณีเปนผื่นบริเวณกวาง กระจายจํานวนมาก หรืออักเสบมาก) - Terbinafine - Itraconazole - Fluconazole ทาวันละ 2 ครั้ง นาน 2-4 สัปดาห ทาวันละ 2 ครั้ง นาน 2-4 สัปดาห ทาวันละ 2 ครั้ง นาน 2-4 สัปดาห 250 มก./วัน นาน 2 สัปดาห 200 มก./วัน นาน 2-4 สัปดาห 150-300 มก./วัน สัปดาหละครั้ง นาน 2-4 สัปดาห กลากที่ศีรษะและผม กลากที่เล็บ ยารับประทาน - Terbinafine - Itraconazole - Fluconazole *อาจใชแชมพู (กรณีกลากที่ศีรษะและผม) กําจัดเชื้อรวมดวย เชน - Selenium sulfide - Ketoconazole shampoo - Zinc pyrithione 250 มก./วัน นาน 4-8 สัปดาห 200 มก./วัน นาน 4-8 สัปดาห 150-300 มก./วัน สัปดาหละครั้งนาน 6-8 สัปดาห สัปดาหละ 2-4 ครั้ง นาน 2-4 สัปดาห สัปดาหละ 2-4 ครั้ง นาน 2-4 สัปดาห สัปดาหละ 2-4 ครั้ง นาน 2-4 สัปดาห *หมายเหตุ ยา itraconazole อาจใหแบบ pulse therapy คือใหขนาดยา 200 มก. รับประทานวันละ 2 ครั้ง (400 มก./วัน) ติดตอกันนาน 1 สัปดาห เดือนละครั้ง โดยใหอยางนอย 2 รอบสําหรับเล็บมือ และ 3 รอบสําหรับ เล็บเทาได


172 คูมือเภสัชกรชุมชนในการดูแลอาการเจ็บปวยเล็กนอยในรานยา การบริบาลโดยไมใชยาสําหรับโรค dermatophytosis (ควรใชรวมกับแนวทางการบริบาล โดยใชยา) 1. ชําระลางรางกายและหมั่นทําความสะอาดบริเวณที่มีรอยโรค/ผื่นอยางสมํ่าเสมอ 2. หลีกเลี่ยงสัมผัสคนใกลชิด เพื่อลดการติดตอ รวมถึงหากเปนรอยโรค/ผื่นที่มาจากสัตว เลี้ยงนําพาเชื้อมาให ก็ควรหลีกเลี่ยงใกลชิดกับสัตวเลี้ยงดังกลาว ขอควรระวังในการใหบริบาลเภสัชกรรม 1. ยารับประทาน itraconazole เปนยาที่มีผล Cytochrome P450 3A4 inhibitor จึง อาจเกิดอันตรกิริยา (drug interaction) กับยา simvastatin, colchicine เภสัชกรจึง ควรติดตามอาการขางเคียงที่อาจเกิดจากยาที่มีอันตรกิริยาระหวางกัน 2. การรักษาเชื้อราที่ศีรษะและผม ที่เล็บ การใชยาทาเฉพาะที่จะไมคอยไดผล ควรใหเปน ยารับประทาน และการใชยารับประทานรวมกับยาทาเฉพาะที่จะใหผลการรักษาดีกวา การใหยารับประทานเพียงอยางเดียว 3. หากรอยโรค/ผื่นที่ติดเชื้อรา มีการบวม อักเสบ ใหพิจารณาวามีการติดเชื้อแบคทีเรียซํ้า ซอนหรือไม โดยดูจากมีลักษณะปวด บวม แดง และอาจมีหนอง ซึ่งอาจจําเปนตองให ยาฆาเชื้อแบคทีเรีย แตหากมีเพียงอาการบวมแดง อักเสบ อาจพิจารณาใหยาทาสเตียรอยด ที่มีสวนผสมของยาฆาเชื้อรา ซึ่งควรใชยาสูตรผสมนี้ ในระยะเวลาสั้น ๆ เพียง 1-2 สัปดาห แลวสลับไปใชยาทาที่มีเพียงยาฆาเชื้อราเทานั้น เพื่อปองกันการเกิดภาวะแทรกซอนจาก การใชยาทาสเตียรอยด Candidiasis: cutaneous candidiasis (Candidal intertrigo) เปนการติดเชื้อราประเภทยีสตที่ผิวหนัง ซึ่งพบบอยที่สุดคือเชื้อ Candida albicans และจะ พบรอยโรค/ผื่นไดบอยในบริเวณที่อับชื้นของรางกาย ซอกพับตาง ๆ อาทิ รักแร ใตราวนม ขาหนีบ ซอกกน งามนิ้ว การซักประวัติและประเมินรางกายผูที่มาดวย cutaneous candidiasis 1. ลักษณะรอยโรค/ผื่น จําเปนตองซักประวัติ ประเมินแยกโรค จากรอยโรค/ผื่น erythrasma และโรคกลาก เพราะอาจพบบริเวณซอกพับตาง ๆ ของรางกาย เชนเดียวกัน 2. บริเวณที่พบรอยโรค/ผื่น มักพบบริเวณที่อับชื้นของรางกาย ซอกพับตาง ๆ 3. โรคประจําตัว มักพบบอยใน คนอวน หรือผูปวยเบาหวาน 4. อาชีพ หรือประวัติการทํางานที่สัมผัสกับความชื้น


การบริบาลเภสัชกรรมสำหรับผื่นที่ผิวหนังในรานยา 173 อาการและการแสดงออกที่สําคัญ ลักษณะรอยโรค/ผื่นจะมีลักษณะเปน ผื่นแดงเปนปน (erythematous patch) มีขอบเขต ชัดเจน คัน หนังลอก ดูชื้นแฉะ เปอย (maceration) และอาจพบผื่นแดงหรือตุมหนองขนาดเล็ก กระจายรอบ ๆ ผื่น ที่เรียกวา satellite lesions ได การซักประวัติเพิ่มเติม ลักษณะของรอยโรค/ผื่นที่มักพบบริเวณซอกพับ เชน - รอยโรค/ผื่น erythrasma ซึ่งเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Corynebacterium minutissimum. ลักษณะรอยโรค/ผื่นจะเปน ผื่นสีแดงหรือสีนํ้าตาลเปนปน อาจพบสะเก็ดหรือ ขุยได ตรงกลางรอยโรค/ผื่นอาจมีสีจางกวารอยโรค/ผื่นที่กระจายรอบ ๆ มักพบรอยโรค/ ผื่นกระจายออกจากซอกพับแบบไมสมมาตร (Red or brown hyperpigmented patches of skin with scaling and central hypopigmentation) ไมพบรอยโรค/ ผื่น satellite lesions - รอยโรค/ผื่น กลากที่ขาหนีบ ลักษณะรอยโรค/ผื่นจะเปนวงมีขอบนูนคลายกลากที่ลําตัว มักจะเปนทั้งสองขาง และมีอาการคัน ซึ่งถาผื่นมีอาการเปอยแฉะหรือติดเชื้อซํ้าซอน ก็อาจจะเจ็บแสบได และจะไมพบรอยโรค/ผื่น satellite lesions แผนภูมิที่ 14 รอยโรค/ผื่นบริเวณซอกพับ รอยโรค/ผื่น บริเวรณขาซอกพับ กลากที่ซอกพับ ผื่นเป็นวง (anular) ขอบเขตชัดเจน นูน แดง และมีขุย (active border) คัน ซึ่ง ต่อมาเมื่อผื่นกระจายออกมากขึ้น ผื่นตรง กลางจะหายไป (central clearing) candidiasis ผื่นแดง ขอบเขตชัด คัน เปื่อย อาจพบตุ่ม แดงหรือตุ่มหนองกระจายรอบ ๆ ผื่น ที่เรียกว่า satellite lesions erythrasma ผื่นสีแดงหรือสีน้้าตาลเป็นปื้น อาจพบ สะเก็ดหรือขุยได้ ตรงกลางรอยโรค/ผื่นอาจ มีสีจางกว่ารอยโรค/ผื่นที่กระจายรอบ ๆ มักพบรอยโรค/ผื่นกระจายออกจากซอกพับ แบบไม่สมมาตร


174 คูมือเภสัชกรชุมชนในการดูแลอาการเจ็บปวยเล็กนอยในรานยา การบริบาลโดยใชยาสําหรับโรค Candidiasis สามารถใชยาทาภายนอกในกลุม azoles เชน ketoconazole, clotrimazole, isoconazole ก็เพียงพอในการรักษาผูปวยที่มีภูมิคุมกันปกติ ซึ่งถาหากเปนบริเวณกวาง ก็อาจใหยารับประทาน รวมดวยได ตารางที่ 53 ขนาดการใหยารับประทานหรือยาทาเฉพาะที่ และความถี่ในการใชยา ยาที่ใช ขนาด ระยะเวลา ยาทาภายนอก ketoconazole cream clotrimazole cream ทาวันละ 2 ครั้ง นาน 2 สัปดาห ทาวันละ 2 ครั้ง นาน 2 สัปดาห ยารับประทาน (กรณีเปนผื่นบริเวณกวาง กระจายจํานวนมาก หรืออักเสบมาก) Itraconazole Fluconazole 100-200 มก./วัน นาน 7-14 วัน 100-150 มก./วัน นาน 7-14 วัน การบริบาลโดยไมใชยาสําหรับโรค candidiasis เภสัชกรและผูปวยรวมกันคนหาปจจัยเสี่ยงที่ทําใหเกิดรอยโรค/ผื่น เชน บริเวณงามนิ้ว อาจ เกิดจากการสัมผัสกับความชื้นหรือนํ้าบอย ๆ จึงควรแนะนําผูปวยใหหลีกเลี่ยงหรือปองกันการสัมผัส กับความชื้น ขอควรระวังในการใหบริบาลเภสัชกรรม 1. หากพบวาเปนรอยโรค/ผื่น erythrasma จะตองใชยาทาเพื่อฆาเชื้อแบคทีเรีย C. inutissimum ซึ่งไดแก ยาทา erythromycin, clindamycin, fusidic acid การเลือกใช ยาทากลุม azoles อาจเลือกใชยาทา miconazole หรือ bifonazole ก็ไดแตยาทา กลุม azoles ไมใชทุกตัวมีผลในการรักษา 2. การใชยาทา tolnaftate หรือ terbinafine จะใหผลการรักษาที่ตํ่ากวากลุมยาทา azoles เกลื้อน (Pityriasis versicolor) รอยโรค/ผื่นชนิดนี้ เปนการติดเชื้อราที่ชั้นนอกสุดของผิวหนังคือ ชั้น stratum corneum ซึ่งเชื้อราที่เปนสาเหตุมักเปนเชื้อ Malassezia furfur ในภาวะปกติ จะพบเชื้อรานี้อาศัยในบริเวณ


การบริบาลเภสัชกรรมสำหรับผื่นที่ผิวหนังในรานยา 175 ผิวหนัง โดยเฉพาะบริเวณรูขุมขนของรางกายมนุษยเปนปกติ (normal flora) แตเมื่อมีสิ่งกระตุนเชน ความรอนหรือเหงื่อ เชื้อจะเพิ่มปริมาณเพิ่มขึ้นและจะแสดงอาการออกมา การซักประวัติและประเมินรางกายเบื้องตนผูที่มาดวยเกลื้อน 1. ลักษณะของรอยโรค/ผื่น ที่ตองแยกประเมินจากโรคดางขาว กลากนํ้านม หรือการติด เชื้อรา กลาก 2. ปจจัยกระตุนตาง ๆ เชน ความรอน เหงื่อ แสงแดด 3. ประวัติครอบครัว รอยโรค/ดางขาวมักมีประวัติคนในครอบครัวเปนโรคดางขาว อาการและการแสดงออกที่สําคัญ รอยโรค/ผื่น จะมีลักษณะเริ่มตนจาก ผื่นราบ (macule) รวมกับขุยละเอียดคลายฝุน (dustlike) ที่บริเวณรูขุมขน แลวขยายออกมารวมกันเปนวงใหญ (วงกลมหรือวงรีก็ได) อาจมีสีแตกตางกัน ไป คือ สีขาว (hypopigmented type) แดง (erythematous type) นํ้าตาล (hyperpigmented type) ขึ้นกับสีผิวของผูปวยและการอักเสบ อาการคันพบไดนอยและมักพบรอยโรค/ผื่นบริเวณที่มี ตอมไขมันมาก เชน หนาอก หลัง หรือบริเวณไรผม โคนแขนขา ก็ได การซักประวัติเพิ่มเติม การซักประวัติและประเมินเพื่อแยกโรคที่มีลักษณะคลายกัน โดยเฉพาะกลุม hypopigmented type ไดแก - Pityriasis alba (กลากนํ้านม) รอยโรค/ผื่นจะเปนวงขาว ขอบเขตไมชัด พบบอยบริเวณ ใบหนาหรือบริเวณที่โดนแสงแดด (แสงแดด มักเปนปจจัยกระตุนใหเกิดรอยโรค/ผื่น) - Vitiligo (ดางขาว) รอยโรค/ผื่นจะมีสีขาวเหมือนกระดาษ (depigmentation) ขอบเขตชัด และไมมีขุย ซึ่งความรอน แสงแดด ความชื้นไมใชปจจัยกระตุนทําใหเกิดรอยโรค/ผื่น การบริบาลโดยใชยาสําหรับเกลื้อน สามารถใชยาทาภายนอกในกลุม azoles เชน ketoconazole, clotrimazole, isoconazole หรือยาทา terbinafine รวมถึง keratolytic agents เชน salicylic acid solution ก็เพียงพอในการ รักษาผูปวยที่มีภูมิคุมกันปกติ ซึ่งถาหากเปนบริเวณกวาง ก็อาจเปลี่ยนเปนแชมพูฟอกตัว เชน selenium sulfide 2.5%, zinc pyrithione 2%, ketoconazole 2% ก็ได และอาจใหยารับประทาน รวมดวยได ขนาดการใหยารับประทานหรือยาทาเฉพาะที่ และความถี่ในการใชยา ตามตาราง ดังนี้


176 คูมือเภสัชกรชุมชนในการดูแลอาการเจ็บปวยเล็กนอยในรานยา ตารางที่ 54 ยาสําหรับเกลื้อน ยาที่ใช ขนาด ระยะเวลา ยาทาภายนอก ketoconazole cream clotrimazole cream terbinafine cream salicylic acid solution ทาวันละ 2 ครั้ง นาน 2 สัปดาห *ถาเปน shampoo ใหฟอกบริเวณที่เปนนาน 10 นาทีวันละ 2 ครั้ง ขณะอาบนํ้าแลวลางออก นาน 2-4 สัปดาห ** หากเปนซํ้าบอย ๆ อาจใช shampoo ฟอกบริเวณที่เปน 1-2 ครั้งตอสัปดาห หรือรับประทาน itraconazole 400 มก./ fluconazole 200 มก. เดือนละครั้ง เพื่อเปนการปองกันการกลับ มาเปนซํ้าก็ได ketoconazole shampoo selenium sulfide shampoo zinc pyrithione shampoo ยารับประทาน (กรณีเปนผื่นบริเวณกวาง กระจายจํานวนมาก หรือเกิดซํ้า ๆ) Itraconazole 200-400 มก./วัน นาน 3-7 วัน (หรือ 400 มก. ครั้งเดียว) Fluconazole 200 มก./วัน นาน 7-14 วัน (หรือ 200-300 สัปดาหละครั้ง นาน 2 สัปดาห หรือ 300-400 มก. ครั้งเดียว) การบริบาลโดยไมใชยาสําหรับเกลื้อน เภสัชกรและผูปวยรวมกันคนหาปจจัยเสี่ยงที่ทําใหเกิดรอยโรค/ผื่น เชน เหงื่อออกมากหลัง ออกกําลังกาย จึงควรแนะนําผูปวยในการปองกันรวมดวยอาทิ การอาบนํ้าทันทีหลังออกกําลังกาย ขอควรระวังในการใหบริบาลเภสัชกรรม 1. โรคเกลื้อนหายไดเองแมไมไดรับการรักษา แตอาจเปนซํ้าไดบอย จึงควรแนะนําใหผูปวย หลีกเลี่ยงปจจัยกระตุน 2. หลังการรักษาจนครบระยะเวลา 1-2 สัปดาหแลว สีผิวอาจจะยังไมคืนสภาพเปนปกติ ตองใชระยะเวลาชวงหนึ่ง (บางรายอาจใชระยะเวลานานหลายเดือน) แตอยางไรก็ตาม ไมจําเปนตองใชยาตอเนื่องเกินกําหนดระยะเวลาที่แนะนํา เนื่องจากเชื้อไดถูกกําจัดไป หมดแลว 3. ยารับประทาน terbinafine จะไมแนะนําใหใชเนื่องจากปริมาณยาไปยังบริเวณ stratum corneum ไมเพียงพอ


การบริบาลเภสัชกรรมสำหรับผื่นที่ผิวหนังในรานยา 177 4. ยาทา 20-25% sodium thiosulfate จะออกฤทธิ์โดยทําใหเชื้อที่อาศัยที่ stratum corneum หลุดลอกออกไป แตไมไดฆาเชื้อโดยตรง จึงมีประสิทธิภาพตํ่ากวา ยาทาชนิด อื่น ๆ กลุมรอยโรค/ผื่นอื่น ๆ ลมพิษ (Urticaria) รอยโรค/ผื่นในกลุมนี้จะเกิดจากปฏิกิริยาของผิวหนังตอสาเหตุตาง ๆ เชน อาหาร ยา การ ติดเชื้อ แมลงสัตวกัดตอย สิ่งสัมผัสภายนอกรางกายเชน เกสรดอกไม ความรอน ความเย็น หรือ อาจ เกิดขึ้นเองโดยไมทราบสาเหตุ ปฏิกิริยาที่เกิดอาจเปนปฏิกิริยาทางระบบภูมิคุมกัน (IgE, immune complex, autoimmune, complement) หรือ อาจไมผานทางระบบภูมิคุมกัน โดยทั่วไปจะแบง ชนิดของลมพิษเปน ชนิดเฉียบพลัน (มีอาการตอเนื่องเปนเวลานอยกวา 6 สัปดาห) กับ ชนิดเรื้อรัง การซักประวัติและประเมินรางกายเบื้องตนสําหรับลมพิษ 1. ลักษณะของรอยโรค/ผื่น 2. อาการอื่น ๆ ที่มีรวม เชน ไข หนังเปลือกตาบวม ริมฝปากบวม การหายใจติดขัด 3. ปจจัยกระตุนตาง ๆ เชน อาหาร ยา การติดเชื้อ สิ่งสัมผัสภายนอก 4. ระยะเวลาที่มีอาการตอเนื่อง 5. ประวัติการเกิดรอยโรค/ผื่นชนิดนี้มากอน และวิธีการจัดการเบื้องตนของผูปวย เภสัชกรอาจจัดการเบื้องตนสําหรับผื่นลมพิษที่เปนชนิดเฉียบพลัน สัญญาณชีพปกติ และไม พบมีอาการทางระบบอื่น ๆ รวมดวย (เชน ไมพบอาการไข การหายใจติดขัด หรือถี่เร็ว) อาการและการแสดงออกที่สําคัญ ผื่นนูนที่เกิดจากการบวมของชั้นผิวหนังแทสวนบน (wheal) ลอมรอบดวยรอยโรคผื่นแดง (flare) มีขอบเขตชัดเจน ขนาดไมแนนอน เกิดบริเวณใดของรางกายก็ได การกระจายตัวของผื่นมัก เปนแบบไมสมมาตร ผื่นจะเกิดขึ้นเร็วและจางหายไปภายในเวลา 24 ชั่วโมงโดยไมทิ้งรอยโรคหลัง ผื่นยุบ การบริบาลโดยใชยาสําหรับลมพิษ 1. ใหยารับประทาน non-sedating H1-antihistamine เชน fexofenadine, loratadine, cetirizine ขณะมีอาการ 2. ดูแลไมใหผิวแหง เพื่อลดความไวของผิวหนัง โดยอาจใชสารใหความชุมชื้น


178 คูมือเภสัชกรชุมชนในการดูแลอาการเจ็บปวยเล็กนอยในรานยา การบริบาลโดยไมใชยาสําหรับลมพิษ 1. กําจัดสาเหตุ (หากทราบสาเหตุและกําจัดได) 2. หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุน เชน นํ้าหอม การขัดผิว การเกา การโดนแดดจัด ขอควรระวังในการใหบริบาลเภสัชกรรม 1. การใชยา H2-antihistamine อาจใชรวมกับ H1-antihistamine ไดกรณีเปนลมพิษ เรื้อรังและใช non-sedating H1-antihistamine ไมคอยไดผล เนื่องจากที่ผิวหนังมี histamine-2 receptor อยูรอยละ 15 ของ histamine receptor ทั้งหมด อยางไรก็ ดีหลักฐานทางดานประสิทธิภาพของยาอยูในระดับตํ่า 2. ผื่นลมพิษ ไมจําเปนตองใชยาทาสเตียรอยด บรรณานุกรม 1. กอบกุล อุณหโชค, ชุติกา ศรีสุทธิยากร, สุพิชญา ไทยวัฒน. บรรณาธิการ. Essential dermatology: a practical guide for internist. โครงการตําราอายุรศาสตร วิทยาลัยแพทยศาสตร พระมงกุฎเกลา. นําอักษรการพิมพ. กรุงเทพฯ. 2562. 231 หนา 2. ปรียา กุลละวณิชย และ ประวิตร พิศาลบุตร. บรรณาธิการ. ตําราโรคผิวหนังในเวชปฏิบัติปจจุบัน. โฮลิสติก พับลิชชิ่ง, กรุงเทพฯ. 2555. 924 หนา. 3. สมาคมแพทยผิวหนังแหงประเทศไทย. แนวทางการดูแลรักษาโรคผื่นภูมิแพผิวหนัง (atopic dermatitis). 2559. 4. สมาคมแพทยผิวหนังแหงประเทศไทย, สมาคมโรคภูมิแพโรคหืดและวิทยาภูมคุมกันแหง ประเทศไทย, ชมรมแพทยผิวหนังเด็กแหงประเทศไทย. แนวทางการดูแลรักษาโรคลมพิษ (urticaria). 2557. 5. Ely JW. and Stone MS. The generalized rash: part I. differential diagnosis. Am Fam Physician 2010 ; 81(6):726-734. 6. Faergemann J. Management of seborrheic dermatitis and pityriasis versicolor. Am J Clin Dermatol. 2000;1(2):75-80 7. Fonacier L, Bernstein DI, Pacheco K, Holness L, Moore JB, Khan D., et al. Contact dermatitis: a practice parameter-update 2015. J. Allergy Clin Immunol Pract. 2015: S1-39. 8. Gudjonsson JE, Elder JT. Psoriasis. In: Goldsmith LA, Katz SI, Gilcrest BA, Paller AS, Leffell DJ, Wolff K, editors. Fitzpatrick’s dermatology in general medicine. 8th ed.


การบริบาลเภสัชกรรมสำหรับผื่นที่ผิวหนังในรานยา 179 New York: McGraw-Hill; 2012. pp. 197-231. 9. Hsu S., Lee EH., Khoshevis MR. Differential diagnosis of annular lesions. Am Fam Physician 2001; 64(2): 289-297. 10. Jean Revu Z, Allanore LV. Drug reaction. In: Bolognia Jean L, Jorizzo Joseph L, Julie, et al., editors. Dermatology. 3rd ed. Elsevier; 2012. p. 335. 11. Kalra MG., Higgins KE., Kinney BS. Intertrigo and secondary Skin Infections. Am Fam Physician 2014;89(7): 569-573. 12. Kim, Soo-Ok et al. Effects of probiotics for the treatment of atopic dermatitis: a meta-analysis of randomized controlled trials. Annals of Allergy, Asthma & Immunology, 113(2): 217 - 226 13. Marais A and Osuch E. Common cutaneous dermatophyte infections of the skin and nails. South African Family Practice 2017; 59(3):33-40. 14. Parinyarux P., Thavornwattanayong W., Soontornpas C., Rawangnam P. Towards better CARE for superficial fungal infections: A consultation guide for the community pharmacy. Pharmacy 2022; 10: 29. 15. Rajka G, Langeland T. Grading of the severity of atopic dermatitis. Acta Derm Venereol Suppl (Stockh). 1989;144:13-4 16. Sakchai Chaiyamahapurk and Prateep Warnnissorn. Prevalence and pattern of diseases of the skin and subcutaneous tissue in a primary care area in Thailand. Siriraj Med J 2021; 73: 357-362. 17. Schwartz RA. Superficial fungal infections. Lancet. 2004;364(9440):1173-82. 72. 18. Zhu, Z., Yang, Z., Wang, C., & Liu, H. Assessment of the effectiveness of vitamin supplement in treating eczema: A systematic review and meta-analysis. evidence-based complementary and alternative medicine : eCAM, 2019, 6956034. https://doi.org/10.1155/2019/6956034.


บทพิเศษ การเลิกสูบบุหรี่ (Smoking cessation)


การเลิกสูบบุหรี่ (Smoking cessation) 183 การเลิกสูบบุหรี่ (Smoking cessation) รองศาสตราจารย เภสัชกรหญิงสุณี เลิศสินอุดม บทนํา บุหรี่เปนปญหาที่สําคัญตอสุขสภาพของคนทั่วโลก โดยพบวาคนทั่วโลกจะเสียชีวิตมากกวา 8 ลานคนตอป ซึ่งมากกวา 7 ลานคนเปนคนที่สูบบุหรี่โดยตรง (Direct smoker) และอีกประมาณ 1.2 ลานคนไมไดสูบบุหรี่แตไดรับสัมผัสควันบุหรี่เปนเวลานาน (Second-hand smoker)1 ซึ่งใน สหรัฐอเมริกาพบวาการสูบบุหรี่หรือไดรับควันบุหรี่ เปนสาเหตุที่สําคัญของโรคไมติดตอเรื้อรัง ไดแก โรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดสมองและหัวใจ โดยพบวา การสูบบุหรี่จะเพิ่มความเสี่ยง 2 ถึง 4 เทาของการเกิดโรค ซึ่งจะนําไปสูการเสียชีวิต และในสวนโรคทางเดินหายใจ โดยพบวาบุหรี่เปน สาเหตุที่สําคัญของโรคปอด ซึ่งไดแก โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง โรคหืด โรคภูมิแพ โดยเฉพาะจะทําใหเกิด โรคมะเร็งปอดเพิ่มขึ้น 25 เทา และพบวาผูที่สูบบุหรี่จะเสียชีวิตจากโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังถึง 13 เทา เมื่อเปรียบเทียบกับคนไมสูบบุหรี่2 และบุหรี่ยังเปนสาเหตุสําคัญของโรคมะเร็งอื่น ๆ ทั่วรางกาย ซึ่งแตละประเทศจะตองรับภาระในการดูแลรักษาผูปวยจํานวนมาก จากการที่ทําใหเกิดปญหาสุขภาพ มากมาย จากการศึกษาผลของบุหรี่ตอภาระทางเศรษฐกิจ (Economic burden) สําหรับโรคที่เปน ผลมาจากการสูบบุหรี่ในประเทศไทย ป ค.ศ. 2009 พบวาประเทศไทยตองใชเงินประมาณ 74.88 ลานบาทในการดูแลผูปวยที่เปนโรคตางๆ จากการสูบบุหรี่ ซึ่งเปนคาใชจายที่เปนมูลคามหาศาลที่สูญ เสียไปโดยเปลาประโยชน3 นอกจากนี้ยังมีการศึกษารายงานวาผูที่สูบบุหรี่เสี่ยงตอการเสียชีวิตดวย โรคหัวใจและหลอดเลือดถึง 2.07 เทาเมื่อเปรียบเทียบกับผูที่ไมสูบบุหรี่4 ในป พ.ศ. 2560 ถึงแมวาอัตราการสูบบุหรี่ในแตละภูมิภาคของประเทศไทยจะลดลงอยางตอเนื่อง ก็มีรายงานวาอัตราการสูบบุหรี่ของผูที่มีระดับการศึกษาประถมศึกษามีอัตราการสูบบุหรี่ปจจุบันสูงสุด ถึง 22% รองลงมาเปนระดับมัธยมตน 21.5% และผูที่ไมเคยเรียน 18.1%5 ซึ่งเมื่อผูใชบุหรี่เริ่มติด บุหรี่ตอนอายุนอยแลว การเลิกบุหรี่จะทําไดยากขึ้น เนื่องดวยสารนิโคตินซึ่งเปนสารเสพติดที่มีฤทธิ์ ทําใหรูสึกพึงพอใจ มีความสุข ซึ่งจะไปกระตุนใหอยากสูบบุหรี่และสงผลตอพฤติกรรมที่ทําใหตองสูบ บุหรี่เปนประจํา สวนประกอบในบุหรี่ บุหรี่ 1 มวน หลังเกิดการเผาไหมจะประกอบไปดวยสารเคมีตาง ๆ มากกวา 4,000 ชนิด ซึ่งเปนสารที่รูวาสามารถกอใหเกิดมะเร็งมากกวา 60 ชนิด6


184 คูมือเภสัชกรชุมชนในการดูแลอาการเจ็บปวยเล็กนอยในรานยา ตัวอยางสารพิษที่พบในควันบุหรี่ 1. ทาร (Tar) ซึ่งเปนสารที่เกิดจากการเผาไหมของใบยาสูบ และมีสารอันตรายหลายชนิด ผสมรวมกัน เชน เบนโซพัยรีน (Benzopyrine) โดยทารจะรวมตัวกับฝุนตาง ๆ ที่หายใจ เขาไปและขังอยูในถุงลมปอด ทําใหเกิดการระคายเคืองทางเดินหายใจ ไอเรื้อรัง ซึ่งอาจ เปนสาเหตุของการเกิดหลอดลมอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) 2. คารบอนมอนอกไซด (Carbon monoxide) ซึ่งเปนสารที่เกิดจากการเผาไหมไมสมบูรณ ซึ่งกาซนี้จะขัดขวางการลําเลียงออกซิเจนของเม็ดเลือดแดงดวยการแยงจับฮีโมลโกลบิน ทําใหรางกายของผูสูบบุหรี่ไดรับออกซิเจนตํ่ากวาปกติ ทําใหหัวใจตองทํางานมากกวา ปกติเพื่อใหเลือดนําออกซิเจนไปเลี้ยงสวนตางๆของรางกายใหเพียงพอ 3. ไฮโดรเจนไซยาไนด (Hydrogen cyanide)ซึ่งผลของการไดรับกาซชนิดนี้จะทําใหผูสูบ บุหรี่เกิดอาการไอ มีเสมหะ จากการที่กาซไปทําลายเยื่อบุหลอดลมสวนตนที่ทําหนาที่ คอยดักสิ่งแปลกปลอมตาง ๆ นอกจากนี้ยังมีสารอีกหลายชนิดที่สามารถพบไดในควันบุหรี่ แตที่สารที่อันตรายที่สุดคือ นิโคติน (Nicotine) ซึ่งเปนสารที่มีกลไกออกฤทธิ์ชวยใหผูสูบบุหรี่มีความสุขและทําใหเกิดการเสพติดได สารนิโคติน (Nicotine)6 ในบุหรี่ 1 มวนจะมีสารนิโคตินประมาณ 10 มิลลิกรัม และสามารถดูดซึมเขาสูรางกายได ประมาณ 1-2 มิลลิกรัม ถึงแมจะดูเหมือนวาเปนปริมาณที่ตํ่าแตก็สงผลอันตรายตอรางกายได นิโคติน ออกฤทธิ์โดยตรงที่สมองสวน Ventral Tegmental Area (VTA) โดยจะเขาสูสมองภายใน 10-15 วินาทีหลังการสูบ และมีคาครึ่งชีวิต (half-life) อยูที่ประมาณ 2 ถึง 3 ชั่วโมง นิโคตินจะออกฤทธิ์โดย การกระตุนการหลั่งสารสื่อประสาทตาง ๆ เชน dopamine norepinephrine และ epinephrine ผาน Nicotinic subtype ของ acetylcholine receptors หรือ nicotinic acetylcholine receptors (nAChRs) ซึ่งสงผลใหเกิดความสุข รูสึกกระปรี้กระเปรา มีสมาธิมากขึ้น อารมณดี และความตึงเครียดลดลง ในผูสูบบุหรี่จะไดรับสารนิโคตินอยางตอเนื่อง ซึ่งผลจากการออกฤทธิ์ของสารนิโคตินทําให ผูสูบบุหรี่เกิดอารมณแหงความสุข โดยในคนที่สูบบุหรี่จะตองสูบในปริมาณที่มากพอที่จะทําใหรางกาย ไดรับปริมาณสารนิโคตินเพียงพอในแตละวัน เพื่อใหรางกายตื่นตัว และเมื่อหยุดสูบบุหรี่ ปริมาณสาร สื่อประสาทเหลานี้จะลดลงทําใหอารมณแหงความสุข ความตื่นตัวหายไปและเกิดอาการถอนนิโคติน (Nicotine Withdrawal) เชน กระวนกระวาย หงุดหงิดงาย ไมมีสมาธิ เปนตน โดยจากภาพที่ 1 จะเห็นวาอาการถอนนิโคตินจะเกิดขึ้นสูงสุดที่ 1-2 สัปดาหแรกของการหยุดสูบบุหรี่ ในระยะเวลานี้ คนที่ติดสารนิโคตินจะมีความทรมานมาก ซึ่งนําไปสูการกลับไปสูบบุหรี่อีก โดยมี peak relapse อยู


การเลิกสูบบุหรี่ (Smoking cessation) 185 ที่ 4 สัปดาหแรก นอกจากนี้ ใน 10 สัปดาหแรก ผูปวยจะมีความอยากรับประทานอาหารและมี นํ้าหนักที่เพิ่มขึ้นเชนเดียวกัน ตารางที่ 1 ตัวอยางผลจากการใชนิโคตินตอสารสื่อประสาท6 สารสื่อประสาท ผลจากนิโคติน Dopamine รูสึกพึงพอใจ (pleasure) สุขใจ ความอยากอาหารลดลง Norepinephrine ทําใหตื่นตัว มีแรงจูงใจ ความอยากอาหารลดลง Serotonin รักษาระดับอารมณ (mood modulation) ความอยากอาหารลดลง Acetylcholine ทําใหตื่นตัว ทําใหสมาธิดีขึ้น (cognitive enhancement) ภาพที่ 1 แสดงระยะเวลาของการเกิดอาการถอนสารนิโคติน6 ในการวัดระดับการติดสารนิโคตินในผูสูบบุหรี่นั้น จะใชแบบทดสอบฟาเกอรสตรอมเพื่อวัด ระดับการติดสารนิโคติน (Fagerstrom Test for Nicotine Dependence) ซึ่งเปนการประเมินโดย มีคําถามเกี่ยวกับบุหรี่มวนแรก ซึ่งตอนตื่นนอนปริมาณสารนิโคตินในกระแสเลือดจะนอยที่สุดและ ความอยากสารนิโคตินในตอนเชาก็จะมีมากที่สุดเชนเดียวกัน ถามีคะแนนรวมได 4 คะแนนขึ้นไป หมายความวา มีการติดสารนิโคติน และถาคะแนนมากขึ้นก็หมายความวามีการติดสารนิโคตินมาก ขึ้นเชนกัน รายละเอียดขอคําถามดังตารางที่ 2


186 คูมือเภสัชกรชุมชนในการดูแลอาการเจ็บปวยเล็กนอยในรานยา ตารางที่ 2 แบบประเมิน Fagerstrom Test for Nicotine Dependence (FTND)7 คําถาม คะแนน 1. หลังตื่นนอนตอนเชา คุณสูบบุหรี่มวนแรกเมื่อไร ภายใน 5 นาที 6-30 นาที 31-60 นาที หลัง 60 นาที 3 2 1 0 2. คุณรูสึกอึดอัด กระวนกระวายหรือลําบากใจหรือไม ที่ตองอยูในเขตปลอดบุหรี่ เชน โรงภาพยนตร หองสมุด ใช ไมใช 1 0 3. บุหรี่มวนไหนที่คุณคิดวาเลิกยากที่สุด มวนแรกในตอนเชา มวนอื่นๆ ระหวางวัน 1 0 4. โดยปกติคุณสูบบุหรี่วันละกี่มวน 10 มวนหรือนอยกวา 11-20 มวน 21-30 มวน 31 มวนหรือมากกวา 0 1 2 3 5. คุณสูบบุหรี่จัดในชั่วโมงแรกหลังตื่นนอน โดยสูบมากกวาเวลาอื่นของวัน ใช ไมใช 1 0 6. คุณยังตองสูบบุหรี่อยู แมจะเจ็บปวยนอนพักตลอดบนเตียงนอน ใช ไมใช 1 0 คะแนนนอยกวา 4 หมายถึง ติดสารนิโคตินในระดับตํ่า คะแนน 4-6 หมายถึง ติดสารนิโคตินในระดับปานกลาง คะแนน 7-10 หมายถึง ติดสารนิโคตินในระดับสูง การรักษาอาการถอนสารนิโคตินโดยการ ใหยาชวยเลิกบุหรี่มีความจําเปน8 ซึ่งนอกจากการเสพติดทางกายจากฤทธิ์ของสารนิโคติน (Nicotine dependence) แลว การเสพติดบุหรี่ยังสามารถเกิดไดจากเหตุผลอื่น ซึ่งไดแก การเสพติดทางอารมณและจิตใจ


การเลิกสูบบุหรี่ (Smoking cessation) 187 (psychological dependence) คือ การที่ผูสูบบุหรี่ชอบความสุข ความพึงพอใจจากการไดรับสาร นิโคติน ที่ทําใหรูสึกผอนคลาย มีเรี่ยวแรง มีสมาธิในการทํางาน และการเสพติดทางพฤติกรรม/สังคม (social dependent) หรือเปนนิสัย (habit) คือ การสูบบุหรี่จนติดเปนนิสัย เปนความเคยชิน โดยผู สูบบุหรี่จะตองหยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบเมื่ออยูในสถานการณหรือมีสิ่งกระตุนที่คุนเคยหรือระหวางทํา กิจกรรมประจําวัน เชน ตอนเขาหองนํ้า ระหวางการดื่มชาหรือกาแฟ เมื่อดื่มสุราในการสังสรรค เปนตน โดยในคนหนึ่งอาจจะติดไดมากกวา 1 กลไก ดังนั้นในการบําบัด จึงตองทําความเขาใจและ ประเมินกอน โดยจะทําการประเมินการติดทางกาย โดยใชแบบทดสอบฟาเกอรสตรอม เพื่อวัดระดับ การติดสารนิโคติน ดังตารางที่ 2 ซึ่งนอกจากการประเมินการติดทางกายแลว ตองมีการประเมินการ เสพติดทางอารมณและจิตใจ (psychological dependence) และการเสพติดทางพฤติกรรม/สังคม (social dependent) หรือเปนนิสัย (habit) รวมดวย เพื่อที่จะประเมินวา มีการติดแบบไหน และ หาทางทําการบําบัดรักษาใหเหมาะสมกับแตละราย การบําบัดรักษาการเสพติดสารนิโคติน แนวทางการรักษา ผูมารับการบําบัดการเสพติดสารนิโคตินใหไดผลดีนั้น ควรเริ่มตั้งแตการ คัดกรอง จากนั้นทําใหผูรับบริการตระหนักตระหนักถึงปญหาการสูบบุหรี่และผลดีของการเลิกบุหรี่ และตัดสินใจเลิกดวยตนเอง ซึ่งเมื่อตัดสินใจและพรอมที่จะเลิก บุคลากรทางการแพทยควรที่จะใหการ สนับสนุนในการรักษา โดยใหคําแนะนําปรึกษาหรือการใชยาในบางรายที่จําเปน โดยมีการติดตาม อาการของผูรับบริการเปนระยะ แนวทางการใหบริการเลิกบุหรี่ โดยใชหลักการ 5A 1. Ask about tobacco use คือ การถามประวัติการสูบบุหรี่ และถามทุกรายวามีการ สูบหรือไมในทุกครั้งที่มารับบริการ 2. Advise to quit คือ การแนะนําใหผูสูบบุหรี่เลิกสูบ โดยใหขอมูลเกี่ยวกับผลเสียของ การสูบ และขอดีของการเลิกสูบ ซึ่งอาจแนะนําวิธีเลิกสูบที่เหมาะสม หรือใหคําแนะนํา เพื่อเพิ่มโอกาสในการเลิกบุหรี่ใหแกผูรับบริการ 3. Assess willingness to quit คือ การประเมินแรงจูงใจและความสมัครใจในการเลิก บุหรี่ของผูรับบริการ โดยในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการเลิกบุหรี่นั้น มีการประเมิน แบงออกเปน 5 ระยะ ตาม stage of changes model9 ซึ่งเมื่อทราบวาผูรับบริการมี แรงจูงใจระดับใด จึงสามารถใหการตอบสนองที่เหมาะสม ดังนี้


188 คูมือเภสัชกรชุมชนในการดูแลอาการเจ็บปวยเล็กนอยในรานยา Pre-contemplation stage เปนระยะที่ผูสูบบุหรี่ไมคิดเลิกภายใน 6 เดือน ขางหนา โดยในระยะนี้ควรไดรับความรูเกี่ยวกับผลกระทบจากการสูบบุหรี่ และคําแนะนําใหเลิกสูบบุหรี่ Contemplation stage เปนระยะที่ผูสูบบุหรี่คิดเลิกสูบบุหรี่ภายใน 6 เดือนขางหนา โดยในระยะนี้ควรถูกทําใหเชื่อวาการเลิกสูบบุหรี่เปนสิ่ง ที่เปนไปไดไมใชเรื่องยากและแนะนําวิธีการเลิกสูบบุหรี่ โดยใหรายละเอียด ขั้นตอนการเลิกสูบบุหรี่และการปฏิบัติตัวขณะเลิกสูบบุหรี่ Preparation stage เปนระยะที่ผูสูบบุหรี่พรอมสําหรับการเลิกสูบบุหรี่ หรือเคยลงมือเลิกบุหรี่ภายใน 1 เดือน โดยในระยะนี้ควรเริ่มเตรียมความ พรอมสําหรับการเลิกสูบบุหรี่ โดยอาจเริ่มกําหนดวันที่จะเลิกสูบหรือเริ่ม ลดจํานวนบุหรี่ที่สูบในแตละวันลง Action stage เปนระยะที่ผูสูบบุหรี่ลงมือเลิกสูบบุหรี่ในระยะเวลาชวง 1-6 เดือน โดยในระยะนี้ควรไดรับกําลังใจและการติดตามเปนระยะ เพื่อสังเกตอาการที่อาจจะเกิดขึ้นขณะเลิกสูบบุหรี่โดยเฉพาะอาการขาด สารนิโคติน Maintenance stage เปนระยะที่ผูสูบบุหรี่เลิกสูบบุหรี่ไดนานเกิน 6 เดือน โดยในระยะนี้ควรไดรับกําลังใจและคําแนะนําเปนระยะเพื่อปองกันการ กลับไปสูบใหม ซึ่งโดยทั่วไปแลว ผูสูบบุหรี่อาจจะตองใชความพยายามอยางนอย 3-4 ครั้ง โดยในบางราย อาจใชเวลาเปนปในการเริ่มตั้งแตระยะ Pre-contemplation stage ไปจนถึงระยะ maintenance stage 4. Assist in a quit attempt คือ การชวยเหลือในการเลิกสูบบุหรี่โดยอธิบายขั้นตอน ของการเลิกบุหรี่ ซึ่งการบําบัดจะประกอบดวยการใหคําปรึกษาและการบําบัดทางยา หรืออาจใชวิธีอื่นที่เหมาะสมกับผูรับบริการ เพื่อชวยใหผูรับบริการประสบความสําเร็จ ในการเลิกบุหรี่ ตาม 2008 PHS Clinical Practice Guideline Update: Treating Tobacco Use and Dependence ไดมีคําแนะนําวาในการเลิกบุหรี่ การใหคําปรึกษารวมกับการ บําบัดดวยยาจะใหผลดีกวาการใหยาหรือการใหคําปรึกษาเพียงอยางใดอยางหนึ่ง โดยกอนหนานี้ มีการศึกษาที่ทําการศึกษาเปรียบเทียบระหวางการเลิกบุหรี่โดยการให คําปรึกษาเพียงอยางเดียวกับการเลิกบุหรี่จากการใหคําปรึกษารวมกับการบําบัดดวยยา โดยนําการศึกษามาวิเคราะหทั้งหมด 9 การศึกษา ผลแสดงวาในกลุมที่ไดรับคําปรึกษา ชวยในการเลิกบุหรี่เพียงอยางเดียวมีอัตราการเลิกบุหรี่ไดอยูที่ 14.6% ในขณะที่ในกลุม


การเลิกสูบบุหรี่ (Smoking cessation) 189 ที่ไดรับคําปรึกษารวมกับการบําบัดดวยยา มีอัตราการเลิกบุหรี่อยูที่ 22.1% และนอกจาก นี้ยังมีการศึกษาเปรียบเทียบระหวางการบําบัดดวยยาเพียงอยางเดียวเทียบกับการรักษา ดวยการใหคําปรึกษารวมกับการบําบัดดวยยา โดยนําการศึกษามาวิเคราะหทั้งหมด 18 การศึกษา พบวา ในกลุมที่ไดรับการบําบัดดวยยาเพียงอยางเดียวมีอัตราการเลิกบุหรี่ ไดอยูที่ 21.7% ในขณะที่ในกลุมที่ไดรับการบําบัดดวยยารวมกับการใหคําปรึกษามีอัตรา การเลิกบุหรี่ไดอยูที่ 27.6%10 5. Arrange follow-up คือการติดตามผล โดยควรมีการติดตามตั้งแตสัปดาหแรกหลัง จากไดมีการเลิกสูบบุหรี่ ระหวางการบําบัด และหลังการบําบัดอีกอยางนอย 1 ป การรักษาโดยไมใชยา (Non-Pharmacological treatment) ในการรักษาการเสพติดสารนิโคตินโดยไมใชยานั้น ในผูรับบริการที่ยังไมเคยลองเลิกสูบบุหรี่ ควรใชวิธีการรักษาโดยไมใชยากอน โดยการกําหนดแผนการเลิกสูบบุหรี่แลวลองทําตาม ซึ่งใน ผูสูบบุหรี่บางรายสามารถเลิกไดตั้งแตขั้นตอนนี้เลย แตในบางรายตองอาศัยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม รวมดวย และในรายที่ไมสามารถเลิกสูบบุหรี่ไดดวยวิธีนี้ อาจจะตองใชวิธีอื่นตอไป การรักษาโดยใชหลัก STAR หรือ 4 ล Set a target quit date คือ การเลือกหรือกําหนดวันที่ที่แนนอนในการเลิกสูบบุหรี่ โดยควรอยูภายในระยะเวลา 2 สัปดาห เนื่องจากหากเกินระยะเวลา 2 สัปดาหแลว ผูรับบริการมีโอกาสสูงในการลมเลิกความตั้งใจ Tell family and others คือ การลั่นวาจาบอกกลาวคนใกลชิด ใหทราบวากําลังเลิก บุหรี่ เชน พอแม แฟน เพื่อน Anticipate challenges คือ การลงมือเลิกบุหรี่ ไมหวั่นไหว เลี่ยงการไปเจอสิ่งกระตุน และเตือนตัวเองอยูเสมอ Remove all to tobacco correlated products คือ ละอุปกรณหรือทิ้งอุปกรณที่ เกี่ยวของกับการสูบบุหรี่ เพื่อกําจัดความเสี่ยงที่จะทําใหกลับไปสูบอีก ในระยะที่ผูรับบริการลงมือเลิกบุหรี่ จะแนะนําการปฏิบัติตัวโดยใชหลัก 5 D แกผูรับบริการ โดยนําไปใชเมื่อผูรับบริการมีความตองการอยากสูบบุหรี่ หรือเพื่อปองกันการกลับมาสูบซํ้า หลัก 5 D มีดังนี้ 1. Delay คือ การชะลอเวลา โดยไมสูบบุหรี่ทันทีที่อยากสูบและยืดเวลาออกไป 5-10 นาที ซึ่งจะทําใหอาการอยากสูบลดลงหรือหมดไป


Click to View FlipBook Version