The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

การพัฒนาอินทรียสังวร โดย อ.สุภีร์ ทุมทอง

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by MA DEE CHANNEL, 2020-04-14 10:14:19

การพัฒนาอินทรียสังวร โดย อ.สุภีร์ ทุมทอง

การพัฒนาอินทรียสังวร โดย อ.สุภีร์ ทุมทอง

การพฒั นาอินทรียสงั วร



สุภรี ์ ทุมทอง

การพัฒนาอนิ ทรียสงั วร

โดย สภุ รี ์ ทมุ ทอง www.ajsupee.com




พมิ พ์ครง้ั ที่ ๑ กันยายน ๒๕๕๔ จำนวน ๓๐,๐๐๐ เลม่





ISBN : 978-616-7115-23-8





ภาพปก / ภาพประกอบ มนตช์ ัย ขาวสำอางค์


แบบปก / รูปเล่ม คณติ ศาสตร์ เสมานพรัตน์





เจา้ ภาพจัดพิมพ์ : บริษทั ปตท.เคมคิ อล จำกัด (มหาชน)


บรษิ ทั เอสซีจี ซิเมนต์ จำกดั


บรษิ ัท เอสซีจี เปเปอร์ จำกัด (มหาชน)


บรษิ ทั วีเอส เคม(1970) จำกัด


ผมู้ ีจิตศรทั ธา





ดำเนนิ การผลติ : บริษัท ฟรีมายด์ พับลิชชงิ่ จำกัด


www.freemindbook.com





พมิ พท์ ่ี : บรษิ ทั ศริ วิ ฒั นาอนิ เตอร์พรนิ้ ท์ จำกดั (มหาชน)


www.sirivatana.co.th





แจกเปน็ ธรรมทาน ห้ามจำหน่าย



บณั ฑติ วิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั


อนมุ ตั ิใหน้ บั วิทยานพิ นธฉ์ บบั น้เี ป็นส่วนหนง่ึ ของการศึกษา

ตามหลักสตู รปรญิ ญาพทุ ธศาสตรมหาบัณฑติ สาขาวิชาพระพุทธศาสนา
































(พระสธุ ธี รรมานวุ ัตร)

คณบดีบณั ฑติ วทิ ยาลัย

คณะกรรมการตรวจสอบวทิ ยานิพนธ













ประธานกรรมการ

(พระเมธรี ตั นดิลก)











กรรมการ
(ดร.วุฒกนิ รันรทม์


กกนัาทร
ะเตียน)
กรรมการ

(พระสุธธี รรมานุวัตร)
(อาจารยร์ ังษี สุทนต)์








คณะกรรมการควบคมุ วทิ ยานิพนธ์




พระสุธธี รรมานวุ ตั ร ประธานกรรมการ

อาจารยร์ งั ษี สุทนต ์ กรรมการ

กติ ติกรรมประกาศ




ขอนอบน้อมต่อพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ผู้ไกลจากกิเลส ตรัสรู้
ชอบได้ โดยพระองค์เอง



ขอนอบน้อมพระธรรมอนั พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ดแี ล้ว



ขอนอบนอ้ มพระอริยสงฆ์ผ้ปู ฏิบัตดิ ีปฏิบตั ชิ อบ



ขอกราบเท้าคณุ พอ่ คุณแม่ และกราบครบู าอาจารยท์ ้ังหลาย



ขอกราบขอบพระคณุ เจา้ คณุ อาจารยพ์ ระสธุ ธี รรมานวุ ตั ร คณบดบี ณั ฑติ วทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั

มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย ผเู้ ป็นประธานกรรมการควบคุมวิทยานิพนธ์ ที่ได้ใหค้ ำแนะนำใน
การแก้ไขปรับปรุง และขอขอบพระคุณ อาจารย์รังษี สุทนต์ อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย
มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ผู้เป็นกรรมการควบคุมวิทยานิพนธ์ ท่ีได้เสียสละเวลาในการให้
คำปรึกษา พร้อมทงั้ ให้คำเสนอแนะในการแก้ไขปรับปรงุ



ขอขอบพระคุณ คุณทศพร คุณสุภาพร ศิริกร ท่ีได้ให้ทุนการศึกษาในการเรียนหลักสูตรพุทธ
ศาสตรมหาบัณฑิตนี้ รวมท้ังได้ ให้ที่พักอาศัยแก่ผู้วิจัยมาเป็นเวลาหลายปีที่อาศัยอยู่ ใน
กรุงเทพมหานคร

ขอขอบพระคุณ ญาติธรรม และ เพื่อนร่วมปฏิบัติธรรมท้ังหลาย ท่ีให้ความเมตตา ให้ความ
ช่วยเหลือ และใหค้ วามปรารถนาดมี าตลอด



ขอขอบพระคุณ เพ่ือนร่วมรุ่นนิสิตปริญญาโท ภาคพิเศษทุกท่าน ที่ให้กำลังใจ สอบถามความ
คืบหนา้ ของงาน คอยมาส่งขา่ ว และให้ความชว่ ยเหลอื ในการติดตอ่ ประสานงาน



ขอขอบพระคุณ ผูบ้ ริหาร คณาจารย์ และเจ้าหน้าทบ่ี ณั ฑิตวทิ ยาลัยทุกรปู /คน ทค่ี อยติดตาม
แจ้งข่าว ใหค้ วามชว่ ยเหลือ และอำนวยความสะดวกดา้ นการตดิ ตอ่ ประสานงาน



ขอขอบพระคุณ ญาตพิ ่ีน้องทั้งหลาย ท่ีได้ใหค้ วามรกั และความปรารถนาดมี าโดยตลอด



หากจะมีคุณประโยชน์ ใดๆ เกิดจากวิทยานิพนธ์เล่มน้ี ขอน้อมบูชาคุณพระรัตนตรัย คุณพ่อ
คุณแม่ คุณครูบาอาจารย์ และขออทุ ิศส่วนกุศลโดยไมม่ สี ว่ นเหลือใหส้ รรพสัตว์








สุภรี ์ ทุมทอง

คำนำ




หนงั สอื “การพฒั นาอนิ ทรยี สงั วร” นี้ พมิ พ์จากวทิ ยานิพนธ์เรื่อง “ศึกษาการพฒั นาอินทรยี
สังวรในพระพุทธศาสนาเถรวาท : A STUDY OF THE DEVELOPMENT OF
INDRIYASAMVARA (SENSE-RESTRAINT) IN THERAVADA BUDDHISM” ซึ่ง
เป็นส่วนหน่ึงของการศึกษา หลักสูตรปริญญาพุทธศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาพระพุทธ
ศาสนา บัณฑติ วทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย พทุ ธศักราช ๒๕๕๓ ใน
ส่วนของเนื้อหาน้ันคงไว้ตามวิทยานิพนธ์ เพียงแต่เปลี่ยนชื่อให้สั้นลง และย้ายเชิงอรรถท้ังหมด
ไปรวมไวท้ า้ ยเลม่ โดยเรยี งตามลำดบั บท



เน้ือหาของวิทยานิพนธ์นั้น ผู้เขียนได้ทำวิจัยตอนเป็นนิสิตปริญญาโท มีการปรับปรุงแก้ ไข

หลายคร้ัง โดยได้รับคำแนะนำจาก คณะกรรมการควบคุมวิทยานิพนธ์ มีเจ้าคุณอาจารย

พระสธุ ีธรรมานุวตั ร เปน็ ประธานกรรมการ และ อาจารยร์ ังษี สุทนต์ เปน็ กรรมการ และ

คณะกรรมการตรวจสอบวิทยานิพนธ์ มี ทา่ นเจา้ คณุ พระเมธีรัตนดิลก เป็นประธานกรรมการ

พระสุธีธรรมานุวัตร, ดร.วุฒินันท์ กันทะเตียน และอาจารย์รังษี สุทนต์ เป็นกรรมการ

จนมีเน้ือหาอย่างท่ีปรากฏ ขอกราบนมัสการขอบคุณ พระอาจารย์ อาจารย์ทุกท่าน รวมทั้ง
มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย ที่ไดก้ ่อใหเ้ กดิ หนังสือเลม่ น้ขี นึ้

เมื่อจบการศึกษาแล้ว ผู้เขียนมีความเห็นว่า เนื้อหาในวิทยานิพนธ์น้ีน่าจะมีประโยชน์สำหรับ
สาธุชนผู้สนใจพอสมควร จึงได้ปรึกษากับท่านเจ้าภาพเพ่ือจัดพิมพ์เผยแพร่เป็นธรรมทาน

โดยออกแบบรูปเล่มไม่ ให้ดูเป็นวิชาการมากนัก และได้ขออนุญาตจัดพิมพ์กับคณบดีบัณฑิต
วทิ ยาลัย คือ เจา้ คณุ อาจารยพ์ ระสธุ ธี รรมานวุ ตั ร ซ่งึ ท่านอนญุ าตด้วยความเตม็ ใจ




ขออนโุ มทนา บรษิ ัท ปตท.เคมคิ อล จำกดั (มหาชน), บรษิ ัท เอสซจี ี ซเิ มนต์ จำกดั , บรษิ ทั
เอสซจี ี เปเปอร์ จำกัด (มหาชน), บรษิ ัท วีเอส เคม(1970) จำกดั , ผ้มู จี ติ ศรทั ธา และ

มหพันธ์ ไฟเบอร์ซีเมนต์ จำกัด (มหาชน) ผู้เป็นเจ้าภาพในการจัดรูปเล่มและจัดพิมพ์,

คุณมนต์ชยั ขาวสำอางค์ เจา้ ของรปู ภาพ ท่อี นุญาตใหน้ ำมาประกอบหนังสือโดยไมค่ ิดมลู คา่ ,
บริษัท ฟรีมายด์ พับลิชชิ่ง จำกัด ที่จัดรูปเล่มอย่างสวยงามน่าอ่าน และผู้เก่ียวข้องอ่ืนๆ

ที่ไม่ได้เอ่ยนาม หากมีความผิดพลาดประการใด อันเกิดจากความด้อยสติปัญญาของผู้เขียน

ก็ขอขมาต่อพระรัตนตรัยและครูบาอาจารย์ทั้งหลาย และขออโหสิกรรมจากท่านผู้อ่านไว้ ณ

ที่น้ีดว้ ย






สภุ ีร์ ทุมทอง


๖ พฤษภาคม ๒๕๕๔

สารบญั
๑๖

๑๘



๒๒

บทคัดยอ่ ภาษาไทย ๒๓

บทคดั ยอ่ ภาษาองั กฤษ (Abstract) ๒๕

๒๖


๒๗

๓๔

บทท่ี ๑ บทนำ ๓๔

๓๔

๑.๑ ความเป็นมาและความสำคญั ของปัญหา
๑.๒ วัตถปุ ระสงค์ของการวจิ ยั
๑.๓ คำจำกัดความของศัพท์ท่ีใชใ้ นการวจิ ยั
๑.๔ ทบทวนเอกสารและรายงานการวิจัยท่เี กยี่ วขอ้ ง
๑.๕ ขอบเขตของการวิจยั
๑.๖ วธิ ดี ำเนนิ การวิจยั
๑.๗ ประโยชนท์ ่ีคาดวา่ จะไดร้ บั

บทที่ ๒ ความหมายและความสำคัญ

ของอนิ ทรยี สังวรในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท
๒.๑ ความหมายของอนิ ทรยี สังวร ๓๖

๒.๑.๑ ความหมายของคำวา่ อินทรีย์ ตามรูปศัพท์บาลแี ละพระพทุ ธพจน ์
๓๗

๒.๑.๒ ความหมายของคำวา่ สงั วร ตามรปู ศัพท์บาลีและพระพทุ ธพจน ์ ๓๗

๔๗

๒.๑.๓ ความหมายจากคัมภรี อ์ รรถกถา ๖๓

๗๑

๒.๑.๔ ความหมายจากนกั ปราชญต์ ่างๆ ๘๒

๒.๒ ความสำคญั ของอินทรียสงั วร ๘๓

๑๐๗

๒.๒.๑ ความสำคัญต่อการดำรงชวี ติ ประจำวนั ๑๑๘

๑๑๘

๒.๒.๒ ความสำคญั ต่อการปฏบิ ตั ิธรรมเพอื่ ความหลุดพน้ ๑๒๕

๑๓๓

๒.๒.๓ ประโยชน์ของการมีอนิ ทรียสังวร ๑๓๓

๑๓๕

๒.๒.๓.๑ สำหรบั บุคคลท่ัวไป ๑๔๔


๒.๒.๓.๒ สำหรบั พระภิกษสุ ามเณรและบรรพชติ

๒.๒.๔ โทษของการขาดอินทรยี สังวร

๒.๒.๔.๑ สำหรบั บคุ คลทัว่ ไป

๒.๒.๔.๒ สำหรบั พระภิกษุสามเณรและบรรพชติ

๒.๒.๔.๓ การเกิดในอบายภมู ิ

บทท่ี ๓ วิธปี ฏิบัติอนิ ทรียสังวรและหลักธรรมที่เกย่ี วข้อง ๑๕๐

๓.๑ กระบวนการทำงานของอนิ ทรยี สังวร ๑๕๑


๓.๑.๑ กระบวนการรับรอู้ ารมณท์ างทวาร ๖ ๑๕๑


๓.๑.๒ การปฏิบตั ิอนิ ทรยี สงั วร ๑๖๒


๓.๑.๒.๑ อนิ ทรียสังวรอันยอดเย่ียมในอรยิ วนิ ัย ๑๖๒


๓.๑.๒.๒ อินทรียสังวรของพระเสขะและพระอเสขะ ๑๖๗


๓.๑.๒.๓ องค์ธรรมหลักที่ใช้ในการปฏบิ ตั ิ ๑๖๙


๓.๑.๒.๔ อุบายและวธิ ีประกอบการฝกึ อนิ ทรยี สงั วร ๑๗๙


(๑) การปฏิบัติกรรมฐาน ๑๘๐


(๒) ไมถ่ อื โดยนิมิตและอนพุ ยญั ชนะ ๑๘๘


(๓) เลือกอารมณ์ ๑๘๙


(๔) หลบหลีกอารมณ์ ๑๙๓


(๕) เผชิญหนา้ อยา่ งมสี ต ิ ๑๙๔


(๖) เผชญิ หน้าเอาชนะอารมณ ์ ๑๙๖


(๗) ปฏิบัติตามวนิ ยั โดยเครง่ ครดั ๑๙๘


(๘) โยนิโสมนสกิ าร ๒๐๑


(๙) ปดิ ทวาร ๒๐๒


(๑๐) สักแตว่ า่ ร้ ู ๒๐๓


(๑๑) การตกั เตือนตนเอง ๒๐๔


(๑๒) การทำกตกิ าบางอย่าง ๒๐๖

๓.๑.๓ ตวั อยา่ งการปฏบิ ตั อิ นิ ทรยี สังวรในคมั ภีร ์ ๒๐๘

๒๐๙

๓.๑.๓.๑ บุคคลผทู้ ม่ี อี ินทรียสังวร ๒๑๓

๒๑๖

๓.๑.๓.๒ บุคคลผู้ที่ไม่มีอินทรียสังวร ๒๑๗

๓.๒ อินทรยี สังวรกบั หลกั ธรรมท่ีเกี่ยวขอ้ ง ๒๒๐

๓.๒.๑ อินทรียสงั วรกบั ไตรสกิ ขา ๒๒๗

๒๓๒

๓.๒.๒ อนิ ทรียสงั วรกบั กระบวนการปฏจิ จสมปุ บาท ๒๓๔


๓.๒.๓ อินทรยี สงั วรกับสติปฏั ฐาน ๒๓๖

๒๓๗

๓.๒.๔ อนิ ทรยี สังวรกบั ลำดับการปฏิบตั ิธรรมตามพระบาล ี ๒๓๙

๒๔๐

๓.๒.๕ อนิ ทรยี สังวรในหมวดธรรมอนื่ ๆ ๒๔๑

๒๔๓


๒๔๔


บทที่ ๔ วิธีนำแนวปฏิบัต

และประยกุ ตห์ ลักอินทรียสังวรในสงั คมไทยปจั จบุ ัน

๔.๑ ปัญหาของการขาดอนิ ทรียสังวร
๔.๑.๑ ทำให้มีกองทกุ ขเ์ กิดวนเวยี นไปเรื่อยๆ ไม่สน้ิ สดุ

๔.๑.๒ ทำใหเ้ กดิ ความลำบากในการแสวงหากามคุณ

๔.๑.๓ มีมากก็ยง่ิ ทกุ ขม์ ากและมปี ญั หาสลับซบั ซอ้ นตามมามาก

๔.๑.๔ เกิดการแบ่งแยกและเห็นคนอ่นื เปน็ ฝ่ายตรงข้าม

๔.๑.๕ ไมเ่ กิดการศึกษาและแก้ปญั หาไม่ไดจ้ รงิ

๔.๒ สาเหตขุ องการขาดอินทรียสงั วร ๒๔๘

๔.๒.๑ ไมร่ ู้ความจรงิ ของสิง่ ทง้ั ปวง ๒๔๘

๔.๒.๒ ไม่รูจ้ กั ความสขุ อยา่ งแท้จริง ๒๕๑

๔.๒.๓ ไม่ได้รับการพฒั นาจิต ๒๕๓

๔.๒.๔ ไมม่ ีหลกั ให้จิตยึด ๒๕๕

๔.๒.๕ การศกึ ษาทม่ี ่งุ เนน้ ผิดทาง ๒๕๗

๔.๒.๖ สงั คมและวัฒนธรรมที่ไม่เหมาะสม ๒๖๐

๔.๓ ผลกระทบของการขาดอนิ ทรยี สังวร ๒๖๖

๔.๔ แนวทางการพัฒนาอนิ ทรียสงั วร ๒๗๓

๔.๔.๑ การฝกึ อนิ ทรยี สงั วรทางทวารท้ัง ๖ ๒๗๓

(๑) ทางตา ๒๗๔

(๒) ทางหู ๒๗๖

(๓) ทางจมกู ๒๗๗

(๔) ทางลนิ้ ๒๗๗

(๕) ทางกาย ๒๗๘

(๖) ทางใจ ๒๗๙

๔.๔.๒ การฝกึ เพ่ือเตรียมพัฒนาอินทรยี สังวร ๒๘๐

๒๘๑

(๑) ฟงั ผู้รู้จริงใหเ้ กิดความเข้าใจถูกต้อง ๒๘๓

๒๘๘

(๒) สมั มาทิฏฐิเปน็ หวั หน้าทำใหพ้ ฒั นาถกู ทาง ๒๙๑

๒๙๓

(๓) ใหร้ จู้ ักความสุขทีค่ วรกลวั และไมค่ วรกลวั ๒๙๗

๓๐๐

(๔) ปฏิบัติสมาธภิ าวนาเพอ่ื พฒั นาจติ
๓๐๔

(๕) ใหก้ ารศกึ ษาที่ถกู ตอ้ ง ๓๐๕

๓๒๑

(๖) ความเคยชินในแง่ดี
๓๒๒

(๗) ส่งเสริมวัฒนธรรมและสงั คมท่ดี งี าม ๓๒๘

๓๔๒


๓๔๘


บทที่ ๕ สรุปผลการวิจัยและข้อเสนอแนะ

๕.๑ สรปุ ผลการวจิ ัย
๕.๒ ข้อเสนอแนะ



คำอธบิ ายสัญลักษณแ์ ละคำย่อ
เชงิ อรรถ
บรรณานุกรม
ประวัตผิ วู้ ิจยั

บทคดั ย่อ




วิทยานพิ นธ์เรอ่ื งนมี้ ีวตั ถุประสงค์ ๓ ประการ คอื (๑) เพ่อื ศึกษาความหมายและความสำคัญ
ของอินทรียสังวรในพระพุทธศาสนาเถรวาท (๒) เพ่ือศึกษาวิธีปฏิบัติอินทรียสังวรและหลัก
ธรรมท่ีเก่ียวข้อง (๓) เพ่ือนำเสนอวิธีปฏิบัติและประยุกต์หลักอินทรียสังวรในสังคมไทยปัจจุบัน
จากการวิจัยพบว่า อนิ ทรยี สงั วร หมายถึง การปดิ กัน้ การห้าม การป้องกัน การระมัดระวัง
ไม่ให้จิตถูกฉุดดึงออกไปสนใจอารมณ์อันจะเป็นเหตุให้เกิดอกุศล และยังหมายถึงการคุ้มครอง
รักษาจิตให้อยู่กับหลักอันม่ันคงไว้ ทำให้จิตรอดพ้นจากการถูกครอบงำด้วยกิเลสต่างๆ เม่ือมี
การรบั รอู้ ารมณ์ หรอื เรยี กวา่ ความคมุ้ ครองทวาร



อินทรียสังวรนั้นมีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตประจำวัน ทำให้มีการฝึกจิต ทำให้เป็นผู้มีศีลดี
ทำให้ชีวิตอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข และมีความสำคัญต่อการปฏิบัติธรรมเพ่ือความหลุดพ้น โดย
เป็นหมวดธรรมในภาคปฏิบัติ เป็นเหตุทำให้สุจริต ๓ สมบูรณ์ เกิดสมาธิ เกิดปัญญา จนถึง
ความสน้ิ ไปแห่งทุกข์ได ้



อินทรียสังวรมีประโยชน์ ทำให้ ได้รับความสุขอันประณีตปราศจากกิเลสรบกวน และเป็น
ประโยชน์ต่อการฝึกปฏิบัติในธรรมวินัย สำหรับพระภิกษุสามเณรก็มีประโยชน์มาก ทำให้
สามารถอยู่ในเพศพรหมจรรย์ ได้นาน เป็นเหตุให้เจริญงอกงามในธรรมวินัย มีคุณธรรมต่างๆ
เป็นบญุ เขตอนั ยอดเยีย่ ม หากขาดอินทรียสังวรแล้ว จะนำความทุกข์มาให้มากมาย และมอี กศุ ล
วิตกเข้ามารบกวนมากจนอยู่ไม่เป็นสุข สำหรับพระภิกษุก็ทำให้กลายเป็นผู้มัวเมาในกามคุณ ๕
เป็นเหตุให้ต้องลาสิกขาไป เสื่อมจากประโยชน์ท่ีมุ่งหมายจากการบวช เม่ือตายไปก็เป็นเหตุให้
เกดิ ในอบายภมู ิได้

วิธปี ฏบิ ัติอนิ ทรยี สงั วรอันยอดเย่ียมในพระธรรมวินยั นัน้ พระพทุ ธองค์ทรงมงุ่ เนน้ ให้มีการพัฒนา
อินทรีย์ ให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุด คือ มีปัญญาเห็นความจริงของสังขารทั้งปวง เรียกว่า
อินทรียภาวนา องค์ธรรมหลักที่ใช้ในการฝึกหัด คือ มีสติ มีความรู้ตัว ไม่หลงลืม เตรียม
พรอ้ มอยูเ่ สมอ อบุ ายวิธีในการฝึกใหม้ ีอนิ ทรยี สังวร เช่น การปฏบิ ตั ิกรรมฐาน การไมย่ ึดถอื นิมติ
และอนุพยัญชนะ เลือกอารมณ์ หลบหลีกอารมณ์ เผชิญหน้าอย่างมีสติ การปฏิบัติตามวินัย
อยา่ งเครง่ ครัด และโยนิโสมนสกิ าร เป็นตน้ อินทรยี สงั วรนั้นมคี วามเกี่ยวข้องกบั หลักธรรมอนื่ ๆ
เช่น ไตรสกิ ขา ปฏิจจสมุปบาท และสตปิ ัฏฐาน เปน็ ตน้



แนวทางในการนำหลักอินทรียสังวรมาประยุกต์ ในสังคมไทย คือ ให้ใช้ตา หู จมูก ล้ิน กาย
และใจอยา่ งถกู ตอ้ ง มีความสำรวมระวงั ทางทวารท้ัง ๖ ไม่หลงยนิ ดยี นิ ร้ายไปตามอารมณ์ รจู้ กั
บังคับควบคุมตนเอง ไม่ทำตามความอยากและกิเลสต่างๆ เริ่มต้นด้วยการฟังคำสอนของ
พระพทุ ธเจา้ ใหเ้ กิดสัมมาทิฏฐิ ร้จู กั ความจริงและวธิ ปี ฏิบัติตอ่ ความจรงิ ตามหลกั อริยสัจ รู้จกั สุข
ท่ีควรกลัวและไม่ควรกลัว ส่งเสริมการปฏิบัติสมาธิภาวนาเพื่อพัฒนาจิต และให้การศึกษาที่

ถกู ต้อง

Thesis title : A Study of the Development of Indriyasamv ara

(Sense-Restraint) in Theravada Buddhism



Researcher : Mr. Supee Thumthong



Degree : Master of Arts (Buddhist Studies)



Thesis Supervisory : Phra Suthithammanuwat Pali IX, M.A., PhD.

Mr. Rangsi Suthon Pali IX, M.A.



Date of Graduation : 28 March 2011

ABSTRACT




This thesis has three objectives. They are: (1) to examine the meaning and the
importance of Indriyasamv ara (sense-restraint) in Theravada Buddhism (2) to study
the practices of Indriyasamvara and the principles involved (3) to provide the
method of practice and the application of Indriyasamv ara to Thai societies. From
the study, it is found that :-



Indriyasamvara means obstructing, prohibiting, preventing and guarding the mind
from being pulled out to indulge in the sense-object which is the cause of
unwholesomeness (akusala). It also refers to the protecting of the mind and the
fixing of it on a firm ground in order to be free from being dominated by
defilements (kilesa) when an object is found. It can also be called the protection
of the sense-doors. The Indriyasamvara is important to the daily life. It also
causes the mental training, the good morality and the peaceful happiness to arise.
Moreover, it is also important for practising the Dhamma to the liberation of the
defilements. It belongs to the Dhamma category which complete the Three Right
Conducts (Sucarita) which causes the concentration (samadhi) and the wisdom to
arise. It also leads the practisers to the end of suffering.

The Indriyasamvara is beneficial in providing the fine happiness arising from the
freedom from the defilements and in practicing in the Dhamma and Vinaya. It is
very useful for monks and novices in maintaining their lives. Bearing the virtue,
thus, they become the great fields of merit. When there is no Indriyasamv ara,
there will be a great deal of suffering and distraction from unwholesome thought.
As for a Bhikkhu, if he has no Indriyasamvara he will become indulged in the five
sensual pleasures, the fact of which will cause him to disrobe. He, thus, will
lose the benefit of his ordination. He will, thus, be born in the lower realms after
his death.



In the way of practicing Indriyasamvara, the Buddha emphasized the the highest
benefits that is wisdom realizing the truth in aggregates, up to causing the
practisers to see the truth, which is called indriya-bhavana. The main Doctrinal
Principle use in the practice of Indriyasamvara is mindfulness, awareness,
unforgetfulness and readiness. The way of practices to be of Indriyasamvara are
the practice of meditation, the non attachment to the sign and the attributes, the
selection of the temperaments, the escape from the temperaments, the
confrontation of the temperaments with mindfulness, the strict practice of the
Vinaya and the making of wise reflection etc. On the other hand, The Indriyasam
vara is of connection with other Doctrinal Principles such as The Threefold
Training, The Dependent Origination, The Four Foundation of Mind etc.

The way to apply the Principle of Indriyasamvara to Thai societies is to use the
eyes, the ears, the nose, the tongue, the body and mind rightly with restraint by
mindfulness, not to be pleased, not to be non please, knowing how to control
oneself, not to do according to one’s own wish and defilements, that is to start
with listening to the Buddha’s teaching in order to have Right Understanding, to
know the truth and the way to practice to the truth according to the Principle of
The Four Noble Truths, to know the happiness to be afraid of and not to be afraid
of, to promote the practice of meditation and to give the right education.

๑ บทนำ


22การพฒั นาอินทรยี สังวร

สภุ ีร์ ทุมทอง

๑.๑ ความเป็นมาและความสำคัญของปญั หา


อนิ ทรียสงั วร หมายถึง ความสำรวมอนิ ทรีย์ สำหรับผู้ท่ีขาดอินทรียสังวร เม่ือมีการรับรู้

๖ คอื ตา หู จมกู ล้ิน กาย ใจ ไม่ให้ยนิ ด
ี อารมณ์ ใดๆ แล้ว ก็จะเกิดความยินดียินร้าย

ยนิ รา้ ยในเวลาเหน็ รปู ฟงั เสยี ง ดมกลนิ่ ลมิ้ รส ในอารมณ์น้ันตามความเคยชิน อันจะเป็น

ถูกต้องโผฏฐัพพะ รู้ธรรมารมณ์ด้วยใจโดยมี สาเหตุให้เกิดการกระทำ การพูด การคิดไป

สติคอยกำกับเม่ือมีการรับรู้อารมณ์ อันจะทำ ตามกำลังของกิเลส นำไปสู่การแสวงหาและ

ให้มีการรับรู้อารมณ์เป็นไปอย่างบริสุทธิ์ ไม่ หลงยึดติดในสิ่งที่คิดว่าจะทำให้เกิดความพึง

เกิดความยินดียินร้าย ด้วยการรับรู้อารมณ์ พอใจเมื่อนำมาเสพบริโภค ทำให้เกิดปัญหา

อย่างบริสุทธ์ิตรงไปตรงมาเช่นน้ี จะทำให้ไม่ มากมายติดตามมาดังท่ีปรากฏในปัจจุบัน

เกิดความยินดีหลงติดยึดในสิ่งท่ีน่าพอใจ และ ทางแยกสำคัญคือการมีสติปิดกั้นกิเลส

ไม่หลงยนิ ร้ายในสงิ่ ที่ไม่น่าพอใจ
ตั้งแต่เริ่มต้นกระบวนการรับรู้อารมณ์



ซึ่งเป็นการใช้อินทรีย์อย่างสร้างสรรค์ เพื่อ


การศึกษาพัฒนาจิตใจให้ดีงามขึ้น ในสังคม


ไทยปัจจุบันซึ่งเต็มไปด้วยสิ่งยั่วยวนใจ


มากมาย การฝึกฝนพัฒนาอินทรียสังวรจึงมี


ความจำเปน็ อยา่ งย่งิ


23

การพัฒนาอนิ ทรียสงั วร
สภุ รี ์ ทมุ ทอง

อนิ ทรยี สงั วรนเี้ ปน็ คำสอนแนวปฏบิ ตั ิ ทพ่ี ระผมู้ ี หลักคำสอนเร่ืองอินทรียสังวร และตัวอย่าง
พระภาคทรงเน้นไว้มากในกระบวนการฝึกฝน การนำหลักคำสอนน้ี ไปประพฤติปฏิบัติ มี
พัฒนาคน โดยเป็นหมวดธรรมท่ีพระองค์ ปรากฏอยู่หลายแห่งท่ัวไป ในพระไตรปิฎก
ตรัสไว้เป็นลำดับของการปฏิบัติถัดจาก
พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดงธรรมตามความ
ปาติโมกขสังวร๑ หากอินทรียสังวรไม่ม
ี เหมาะสมแก่บุคคล สถานที่ และเวลา พระ
ไตรสิกขาก็ไม่มี ในทางตรงกันข้าม หากมี อรรถกถาจารย์ พระฎีกาจารย์ และพระ
อินทรียสังวร ไตรสิกขาจึงมี เปรียบเหมือน อาจารย์ผู้รจนาคัมภีร์ที่มีเน้ือหาเก่ียวข้องกับ
ตน้ ไม้ หากกง่ิ และใบโดนทำลายแลว้ สว่ นอนื่ ๆ เรื่องอินทรียสังวรก็ได้อธิบายสืบต่อกันมา
ของตน้ ไมก้ ็ยอ่ มไม่ถงึ ความบรบิ ูรณ์ แต่หากกงิ่ นักปราชญ์ ในยุคปัจจุบันก็ได้อธิบายขยาย
และใบสมบูรณ์ ส่วนอื่นๆ ของต้นไม้ ก็พลอย ความด้วยภาษาสมัยใหม่ ประยุกต์ ให้เข้ากับ
บริบูรณ์ ไปด้วย๒ การสำรวมระวังในทุกทวาร ยุคสมยั ท่เี ปล่ยี นแปลงไป

จะทำให้พ้นจากทุกข์ท้ังปวงได้๓ ผู้ ไม่สำรวม

อินทรีย์ยึดถือในนิมิตและ อนุพยัญชนะ หาก

ตายไปตอนนนั้ กจ็ ะทำให้ไปเกดิ ในนรกหรอื เปน็
สตั วเ์ ดรจั ฉาน การนอนหลบั ยงั ดเี สยี กวา่ ๔




24

การพฒั นาอินทรยี สังวร
สุภรี ์ ทุมทอง

เนื่องจากหลักคำสอนเร่ืองอินทรียสังวรมีอยู่ พระพุทธพจน์เก่ียวกับเร่ืองอินทรียสังวร ใน
อย่างกระจดั กระจาย ไมเ่ ป็นหมวดหมู่ และใน ยุคสมัยที่แตกต่างกัน จากยุคของพระอรรถ
แต่ละแหง่ กม็ มี มุ มองทแ่ี ตกต่างกันออกไป ตาม กถาจารย์ จนกระทัง่ ถงึ นักปราชญ์ยคุ ปัจจุบนั
ความเหมาะสมของสถานการณ์ท่ีเป็นเหตุให้ อีกด้วย

พระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรม การจะ
ทำความเข้าใจเร่ืองอินทรียสังวรให้ละเอียด ผู้วิจัยต้องการทำวิจัยเรื่องนี้เพื่อศึกษาว่า
ชัดเจนครอบคลุมทกุ แงม่ มุ น้นั ทำไดย้ าก ผวู้ ิจยั อินทรียสังวรน้ันมีความหมาย ความสำคัญ
จึงมีความต้องการท่ีจะรวบรวมคำสอนเรื่อง มีวิธีการปฏิบัติอย่างไร ประโยชน์ของการมี
อินทรียสังวร ซ่ึงพระผู้มีพระภาคทรงแสดงไว้ อินทรียสังวรและโทษของการขาดอินทรีย
ตามท่ีต่างๆ รวมทั้งคำอธิบายจากคัมภีร์ที่ สังวรเป็นอย่างไร ตัวอย่างของการนำอินทรีย
เกยี่ วขอ้ ง นำมาศกึ ษาใหล้ ะเอยี ดในหลากหลาย สังวรไปปฏิบัติจริงในคัมภีร์ ใช้วิธีการใด และ
แง่มุม เพื่อให้เห็นถึงภาพรวมของเร่ือง
เกิดผลอย่างไร เป็นต้น เพื่อท่ีจะช่วยให้เกิด
อินทรียสังวรและความเช่ือมโยงกับหมวด เข้าใจเรื่องอินทรียสังวรได้อย่างถูกต้อง เพื่อ
ธรรมอ่นื ในกระบวนการปฏิบัตธิ รรม รวมทง้ั จะ เป็นแนวทางในการปฏิบัติ และสามารถนำไป
ได้ทราบถึงพัฒนาการของการตีความ ประยุกต์ ใช้กบั สังคมไทยในยคุ ปัจจุบันได ้


๑.๒ วตั ถปุ ระสงค์ของการวจิ ัย


๑.๒.๑ เพอ่ื ศกึ ษาความหมายและความสำคญั ของอนิ ทรยี สงั วรในพระพุทธศาสนาเถรวาท
๑.๒.๒ เพ่ือศกึ ษาวธิ ีปฏิบตั อิ ินทรียสงั วรและหลักธรรมทเ่ี กยี่ วข้อง

๑.๒.๓ เพ่อื นำเสนอวิธปี ฏบิ ัตแิ ละประยกุ ตห์ ลกั อินทรยี สงั วรในสงั คมไทยปัจจบุ ัน


25

การพัฒนาอนิ ทรียสงั วร
สภุ ีร์ ทมุ ทอง

๑.๓ คำจำกดั ความของศัพทท์ ่ใี ชใ้ นการวิจัย


อินทรียสังวร หมายถึง ความสำรวมอินทรีย์ ๖ คือ ตา หู จมูก ล้ิน กาย ใจ ไม่ให้ยินด

ยนิ รา้ ยในเวลาเหน็ รูป ฟังเสียง ดมกลนิ่ ล้มิ รส ถูกตอ้ งโผฏฐพั พะ รธู้ รรมารมณ์ดว้ ยใจ


อารมณ์ หมายถึง ส่ิงที่ถูกจิตรู้ สิ่งที่เป็นท่ีหน่วงเหนี่ยวให้จิตเกิดขึ้น การเกิดข้ึนของจิตมีได้
เพราะมกี ารรูอ้ ารมณอ์ ยา่ งใดอย่างหนึ่ง มี ๖ อยา่ ง ได้แก่ รปู ารมณ์ สัททารมณ์ คนั ธารมณ์
รสารมณ์ โผฏฐัพพารมณ์ และธรรมารมณ


อายตนะภายใน หมายถึง ส่ิงเชือ่ มตอ่ หรอื สงิ่ ทเี่ ปน็ เหตุใหเ้ กิดการรู้อารมณ์ โดยเปน็ ฝา่ ยที่
อยู่ภายใน เปน็ เครอ่ื งมอื ในการรบั รู้ ได้แก่ ตา หู จมูก ลนิ้ กาย และใจ


อายตนะภายนอก หมายถึง สงิ่ ท่เี ปน็ อารมณ์ มาเช่อื มตอ่ กับอายตนะภายใน ทำให้เกิดการรบั
รเู้ กดิ ขน้ึ ไดแ้ ก่ รปู เสียง กลนิ่ รส สมั ผัส และธรรมารมณ


ทวาร หมายถงึ ชอ่ งทางหรอื ประตสู ำหรับการรับรู้ ได้แก่ ตา หู จมกู ลิ้น กาย และใจ


นมิ ิต หมายถึง การยดึ ถือแบบรวบรดั เป็นกลมุ่ ก้อน เช่น คน ผู้หญงิ ผ้ชู าย สุนขั แมว เปน็ ต้น


อนพุ ยัญชนะ หมายถึง การยดึ ถือแบบแยกแยะรายละเอยี ด เช่น ตา หู จมกู ปาก เส้นผม
เปน็ ต้น


การพัฒนาอินทรียสังวร หมายถึง การปฏิบัติ ควบคุม ป้องกัน รวมถึงการฝึกฝนพัฒนาจิต
เพื่อใหร้ ้เู ทา่ ทนั อารมณท์ ก่ี ระทบทางอายตนะ ๖


26

การพฒั นาอินทรยี สงั วร
สุภรี ์ ทุมทอง

๑.๔ ทบทวนเอกสารและรายงานการวจิ ัยทีเ่ กย่ี วขอ้ ง



๑.๔.๑ พระมหาเขม็ ทอง ตนตฺ ปิ าโล (ฤทธล์ิ ือไกร)


ได้ศึกษาวิจัยเร่ือง “การปฏิบัติวิปัสสนากรรม สติเป็นอุปกรณ์ ในการควบคุมกายทวาร วจี

ฐานตามแนวทางของพระครูโพธิสารคุณ ทวาร และมโนทวารให้ดำรงอยู่ ในสภาวะท่ี

(ประยงค์ อุปลวณฺโณ)” วิทยานิพนธ์พุทธ ปกติ คอื ใหม้ สี ตสิ งั วร คอื ความสำรวมในทาง

ศาสตรมหาบัณฑิต สาขาพระพุทธศาสนา อินทรยี ์ทงั้ ๖ ได้แก่ สำรวมตา หู จมูก ล้นิ

มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย กาย และใจ เม่ือกระทบกับอารมณ์ภายนอก

ได้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของสติในการ สติทำหน้าที่กำกับไม่ให้จิตใจไปเสวยอารมณ์

ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน สติเป็นแกนหลัก
ยนิ ดี ยนิ รา้ ยในการรบั รอู้ ารมณน์ นั้ นอกจากนนั้

ในการฝึกฝนพัฒนาจิตใจตนเอง เพื่อให้มี สติยังหมายถึงการไม่ลืม ความไม่เผลอ


การกระทำทางกายที่ถกู ตอ้ ง การพูดท่ีถกู ตอ้ ง ไม่เลินเล่อ ไม่ฟ่ันเฝือเล่ือนลอยไปตามอำนาจ

ทางใจไม่ถูกกิเลสเข้าครอบงำ และสติน้ีเอง แหง่ กามคณุ ๕ อนั นา่ ใครน่ า่ ปรารถนานา่ พอใจ

เป็นเคร่ืองมือหลักในการพัฒนาปัญญาเพ่ือรู้ จนทำให้เกิดปัญหาต่อตนเองและสังคมด้วย

เห็นตามความเป็นจริง ท่านได้กล่าวถึงสติเป็น การแสวงหาทรัพย์สินเงินทองโดยความ


อุปกรณ์ ในการควบคุมการกระทำ และก่อให้ ไม่สุจริต ล่วงละเมิดต่อศีลธรรมและกฎหมาย

เกิดความสงั วร ความตอนหนง่ึ วา่
บ้านเมอื ง๕














27

การพฒั นาอินทรยี สงั วร
สุภรี ์ ทุมทอง

๑.๔.๒ พระมหาบรู ณะ ชาตเมโธ (โพธน์ิ อก)


ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง “การศึกษาอิทธิพลของ บุคคลรักษาอินทรีย์ ๖ คือ ตา หู จมูก ลิ้น

อายตนะ (ส่ือ) ทม่ี ตี ่อการพฒั นาคุณภาพชวี ิต” กาย ใจ ด้วยความสำรวมระวัง เรียกว่าสติ

วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต สาขา สังวร ซ่ึงพระพุทธเจ้าตรัสว่า “ภิกษุรักษา

ธรรมนเิ ทศ มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราช อินทรีย์คือจักษุ ชื่อว่าถึงความสำรวมใน

วิทยาลัย แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของ จักขุนทรีย์” ถ้าบุคคลทั่วไปพึงรู้จักเลือกรับ

อายตนะภายใน คือ ตา หู จมกู ลน้ิ กาย อารมณ์ท่ีพอเหมาะ เช่น จะชมรายการ

และใจ ซ่ึงหากได้การรักษาควบคุมดีแล้ว โทรทัศน์หรือฟังวิทยุก็ควรเลือกจะชมหรือฟัง

ก็จะนำประโยชน์มาให้มากมาย ท่านกล่าว รายการท่ีเหมาะสม ควรปิดกั้นกระแสกิเลส

ไว้ตอนหน่ึงว่า
ด้วยบานประตูคือสติ หรือคอยปิดกั้นกระแส


กิเลสที่เข้ามาทางอายตนะ คือ ตา หู จมูก


ลิ้น กาย ใจ ด้วยสติ แตถ่ ้าจะตดั กระแสกิเลส


เหลา่ น้ัน ตอ้ งตดั ด้วยปัญญา๖




















28

การพฒั นาอินทรียสงั วร
สุภรี ์ ทุมทอง

๑.๔.๓ พระมหาสุวัฒน์ สวุ ฑฺฒโน (จนั ทะคัด)


ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง “การศึกษาเรื่องสติในฐานะ สติเป็นเสมือนกำแพงกั้นอันตรายไม่ ให

องค์ธรรมเพื่อการพัฒนาชีวิตตามหลักคำสอน เกดิ ขนึ้ กับตวั เรา ความตอนหนึ่งวา่

ของพุทธศาสนาเถรวาท” วิทยานิพนธ์ศาสน
ศาสตรมหาบัณฑิต สาขาพุทธศาสนาและ หลักธรรมท่ีพระพุทธองค์ทรงแสดงไว้เก่ียวกับ
ปรัชญา มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย สตินี้ ก็เพ่ือเป็นปทัฏฐานให้จิตมีความรู้เท่าทัน
โดยแสดงให้เห็นความสำคัญของสติทั้งต่อ ต่ออารมณ์ต่างๆ ท่ีเข้ามากระทบทางตา หู
ตนเอง ต่อครอบครัว ต่อประเทศชาติและต่อ จมูก ล้ิน กาย และใจ กล่าวได้ว่าสตินี้เป็น
โลก เป็นความจำเป็นอย่างยิ่งที่คนทุกวัยจะได้ เสมือนกำแพงกั้นอันตรายท้ังปวงไม่ให้เกิดขึ้น
ทำการฝึกฝนให้มีสติ เพราะสติน้ันก่อให้เกิด เช่น วาตภัยและภัยต่างๆ เป็นต้นท่ีจะเกิดข้ึน
ประโยชน์ทั้งทางโลกและทางธรรม การงาน กับเราในขณะใดขณะหน่ึง เมื่อจิตรู้เท่าทัน
ทางโลกยอ่ มสำเรจ็ ลลุ ว่ งไปดว้ ยดี สามารถผา่ น อารมณ์เหล่านั้น ย่อมสามารถขจัดออกไปได้
ปญั หาอปุ สรรคตา่ งๆ ไปไดด้ ว้ ยดี ทำใหป้ ระสบ หรือใหเ้ บาบางได้ตามลำดับ๗

ความสุขความเจริญรุ่งเรืองในหน้าท่ีการงาน
และการประพฤติปฏิบัติธรรม ย่อมสามารถ
บรรลธุ รรมตามความปรารถนาได ้ หรอื ถา้ ไม่
สามารถบรรลุนิพพานในชาติน้ี ก็ทำให้ได้รับ
ความสงบสขุ ในการดำเนนิ ชวี ติ และไดก้ ลา่ วถงึ

29

การพฒั นาอินทรียสังวร
สภุ ีร์ ทมุ ทอง

๑.๔.๔ พระสมภาร ทวรี ัตน์


ศกึ ษาวจิ ยั เรอ่ื ง “การนำหลกั วปิ สั สนากรรมฐาน (๑) ควบคุมรักษาสภาพจิตให้อยู่ ในภาวะท่ี

มาใช้ ในการลดภาวะความแปรปรวนทาง ต้องการ โดยตรวจตรากระบวนการรับรู้และ

อารมณ์ ในสตรีวัยทอง” วิทยานิพนธ์อักษร กระแสความคิด เลือกรับสิ่งที่ต้องการ กัน

ศาสตรมหาบัณฑิต สาขาศาสนาเปรียบเทียบ ออกไปซ่ึงส่ิงท่ี ไม่ต้องการ ตรึงกระแสความ


มหาวิทยาลัยมหิดล แสดงให้เห็นถึงความ คิดให้นิ่งเขา้ ท่ี และทำใหจ้ ติ เปน็ สมาธิไดง้ ่าย


สำคญั ของสติ ในการปฏบิ ตั วิ ปิ สั สนากรรมฐาน
มีประโยชน์ ในการควบคุมสภาพจิตใจ ทำ (๒) ทำให้ร่างกายและจิตใจอยู่ ในสภาพที่
ให้มีร่างกายและจิตใจปลอดโปร่ง เป็น เรียกได้ว่า เป็นตัวของตัวเอง เพราะมีความ
สมาธิ ลดละพฤติกรรมต่างๆ ท่ีผิดพลาด โปร่งเบา ผ่อนคลาย เปน็ สขุ โดยสภาพของมนั
ลงไปได้ โดยท่านได้รวบรวมประโยชน์ของ เอง พร้อมที่จะเผชิญความเป็นไปต่างๆ และ
จัดการกับสิ่งทั้งหลายในโลกอย่างไดผ้ ลดี

การฝึกฝนสติไว้เปน็ ข้อๆ ดังนี้
















30

การพัฒนาอินทรยี สงั วร
สุภรี ์ ทุมทอง

(๓) ในภาวะทจ่ี ติ เปน็ สมาธิ อาจใชส้ ตเิ หนยี่ วนำ
กระบวนการรับรู้ และกระแสความคิด ทำ
ขอบเขตการรับรู้และความคิดให้ขยายออกไป
ในมิตติ ่างๆ หรือให้เป็นไปต่างๆ ได้


(๔) โดยการยึดจับอารมณ์ท่ีเป็นวัตถุแห่งการ
พิจารณาวางไว้ต่อหน้า จึงทำการพิจารณา
สืบค้นด้วยปัญญาดำเนินไปได้ชัดเจนเต็มที่
เท่ากับเป็นพ้ืนฐานการสร้างเสริมปัญญาให้
เจรญิ บริบูรณ


(๕) ชำระพฤติกรรมต่างๆ ท้ังกายกรรม

วจีกรรม มโนกรรม ให้บริสุทธิ์ อิสระ ไม่
เกลือกกล้ัว หรือเป็นไปด้วยอำนาจตัณหา
อุปาทาน และร่วมกับสัมปชัญญะ ทำให้
พฤติกรรมเหล่านั้นเป็นไปด้วยปัญญา หรือ
บริสทุ ธิล์ ้วน๘


31

การพัฒนาอนิ ทรียสงั วร
สุภรี ์ ทมุ ทอง

๑.๔.๕ พระอบุ ล กตปญฺโญ (แกว้ วงษล์ อ้ ม)


ศึกษาวิจัยเรื่อง “การศึกษาวิเคราะห์คุณค่า อินทรียสังวร หรือสติสังวร คือการสำรวม

ของศีลท่ีมีต่อสังคมไทย” วิทยานิพนธ์พุทธ อินทรีย์มีจักขุเป็นต้น ระวังไม่ ให้บาปอกุศล

ศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยมหาจุฬา
ธรรมครอบงำจิตในเม่ือรับรู้อารมณ์ ๖ คือ

ลงกรณราชวิทยาลัย แสดงให้เห็นถึงความ เม่อื ตาเหน็ รูป หฟู ังเสียง จมกู ดมกล่นิ ลน้ิ ลิ้ม

สำคัญของศีลในระดับตา่ งๆ ตั้งแตศ่ ีล ๕ อนั รส กายถูกต้องสัมผัส และใจรู้คิดเรื่องราว

เป็นพื้นฐานของสังคม จนกระท่ังถึงศีลที่มี ต่างๆ ... อินทรียสังวรน้ีเป็นการทำลาย


ความละเอียดซึ่งเป็นศีลของพระภิกษุและ
อภิชฌาและโทมนัส ซ่ึงสติปัฏฐานก็เป็นการ


ภกิ ษุณี รวมทงั้ ปารสิ ุทธศิ ีล ๔ คือ ปาติโมกข ทำลายอภชิ ฌาและโทมนสั เหมือนกัน จึงกล่าว

สังวร อนิ ทรยี สงั วร ปัจจยสนั นสิ สิตศลี อาชีว ไดว้ า่ เปน็ อยา่ งเดยี วกนั ... แตเ่ มอ่ื สำรวมอนิ ทรยี ์

ปาริสุทธิศีล ซ่ึงการที่จะรักษาศีลให้มีความ จะมีท้ังกายบริสุทธิ์ ใจบริสุทธ์ิ คือมีทั้งศีล

บริสุทธิ์ ได้ดีที่สุดก็คือการมีสติ ท่านได้กล่าว สมาธิ ปญั ญา ดังน้ัน อนิ ทรียสงั วรจงึ สามารถ

ถึงการมีสติรักษาคุ้มครองอินทรีย์ท้ัง ๖ ก็คือ ชำระกิเลสทั้งอย่างหยาบ อย่างกลาง อย่าง

ส่งิ เดียวกันกับการปฏบิ ตั ิสติปฏั ฐาน ๔ น่นั เอง ละเอียดได้ อินทรียสังวรนี้จะบริสุทธิ์ ได้ด้วย

ความตอนหน่ึงว่า
กำลงั ของสต๙ิ











32

การพัฒนาอินทรยี สงั วร
สุภีร์ ทุมทอง

๑.๔.๖ พทุ ธทาสภกิ ข


เขยี นหนังสอื “ตามรอยพระอรหันต์” โดยทา่ น สำหรับเวลาบางคราวจิตใจเยือกเย็นอยู่ ก็
ไดร้ วบรวมวธิ กี ารเดนิ ตามรอยพระอรหนั ต์ ซ่งึ สำรวมได้ง่าย แต่บางคราวใจไม่เป็นเช่นน้ัน
พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ในพระไตรปิฎกและคำ จึงไม่ควรประมาทว่าเคยสำรวมได้มาครั้งหน่ึง
อธิบายในคัมภีร์ต่างๆ มีอรรถกถาและวิสุทธิ ไม่ต้องกวดขันนัก จะเสียที เป็นอันว่าทางดี
มรรคเป็นต้น ในหนังสือนี้ ได้แสดงให้เห็น ท่ีสุดที่จะทำตัวเองให้เยือกเย็นปราศจากไฟ
ลำดับการปฏิบัติธรรมอย่างเป็นขั้นเป็นตอน และก้าวขึ้นสู่คุณความดีในเบ้ืองสูง อันตนจะ
ต้ังแต่เริ่มต้นจนกระท่ังบรรลุเป็นพระอรหันต์ บรรลุข้นึ ไปได้โดยลำดับแลว้ ควรสำรวมเต็มที่
การสร้างพื้นฐานอันม่ันคงในการปฏิบัติธรรม ในท่ีทุกสถาน ในเวลาทุกกาล และระลึกถึง
ข้ันสูง คือ การมีศีลที่บริสุทธิ์และการฝึกฝน พระพุทธดำรัสท่ีทรงกำชับอยู่เสมอ พร้อมท้ัง
สติ การสำรวมด้วยสติ ได้แก่การมีสติคอย ทำความเคารพตอ่ พระดำรัสน้ันอย่างหนักแนน่
ระวังรักษาทวารท้ัง ๖ และทวารท้ัง ๓ สติ ม่นั คง๑๐

เป็นเคร่ืองกั้นความช่ัวได้อย่างดี สามารถ
ละอกุศล ทำกุศลให้เจริญ ละส่ิงท่ีมีโทษ
ทำในส่ิงที่ปราศจากโทษ ประคับประคอง
ตนให้ถึงความหลุดพ้นได้ ท่านได้กล่าว

ตักเตือนให้ ไม่ประมาทในการปฏิบัติอินทรีย
สงั วรวา่


33

การพฒั นาอินทรียสงั วร
สภุ ีร์ ทุมทอง

๑.๕ ขอบเขตของการวจิ ยั


การวิจัยครั้งนี้ เป็นการศึกษาวิจัยเชิงเอกสาร (Documentary research) และเชิงพรรณนา
(Descriptive research) โดยอาศัยข้อมูลในพระไตรปิฎกของนิกายเถรวาทเป็นหลัก ส่วนคำ
อธบิ ายเพ่มิ เตมิ จะนำมาจากอรรถกถา ฎีกา และปกรณ์วเิ สสของนิกายเถรวาท รวมทงั้ เอกสาร
การวิจยั และหนงั สอื อนื่ ๆ ทเี่ กยี่ วข้อง


๑.๖ วธิ ดี ำเนนิ การวิจัย


๑.๖.๑ ค้นคว้าและรวบรวมข้อมลู ในส่วนท่ีวา่ ด้วยอินทรียสังวร จากพระไตรปิฎก อรรถกถา
ฎกี า ปกรณว์ เิ สส เอกสารงานวิจยั และหนังสือท่ีเก่ยี วขอ้ ง

๑.๖.๒ ศกึ ษาและวิเคราะหข์ ้อมลู เพ่ือใหเ้ กิดความถกู ตอ้ งมากท่ีสดุ

๑.๖.๓ สรปุ และนำเสนอขอ้ มลู



๑.๖.๗.๔ ปเสรนะอโแยนวชทนางท์ กาค่ี ราปดระวยาุ่กจต์ะใชไ้กดับ้รสังับค
มไทยปจั จุบัน




๑.๗.๑ ทำให้ทราบความหมายและความสำคญั ของอนิ ทรยี สงั วรในพระพุทธศาสนาเถรวาท

๑.๗.๒ ทำใหท้ ราบวธิ ปี ฏิบัติอนิ ทรียสังวรและหลกั ธรรมทีเ่ กย่ี วขอ้ ง

๑.๗.๓ ทำให้ไดแ้ นวทางการพฒั นาอินทรียสงั วรในสงั คมไทยปัจจุบนั


34

การพัฒนาอนิ ทรียสังวร
สภุ ีร์ ทมุ ทอง

35

การพัฒนาอินทรียสังวร
สภุ ีร์ ทมุ ทอง

๒ ความหมายและความสำคญั


36

การพฒั นาอนิ ทรียสังวร

ของอินทรียสังวรในพระพุทธศาสนาเถรวาท
สุภรี ์ ทุมทอง

๒.๑ ความหมายของอินทรียสงั วร


ในการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการพัฒนาอินทรียสังวรน้ี เร่ิมต้นผู้วิจัยจะทำการศึกษาถึงความหมาย
ของคำว่าอินทรียสังวรในแง่มุมต่างๆ ประกอบไปด้วยความหมายตามรูปศัพท์บาลี ความ
หมายตามพระบาลีพุทธพจน์ท่ีพระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ ความหมายจากคัมภีร์อรรถกถาท่ีขยาย
ความจากพระบาลี และความหมายจากนกั ปราชญผ์ มู้ คี วามรู้ในพุทธศาสนาเถรวาท


๒.๑.๑ ความหมายของคำว่า “อินทรีย์” ตามรูปศพั ทบ์ าลีและพระพุทธพจน์


ความหมายตามรปู ศพั ทบ์ าลี เปน็ การขยายความในเชงิ ไวยากรณข์ องภาษา ซงึ่ ในคมั ภรี อ์ รรถกถา
ฎีกา ก็มีการขยายความไว้ส่วนหนึ่ง เป็นการขยายความไว้ในลักษณะเป็นรูปวิเคราะห์ของศัพท์
เพ่ือให้เข้าใจความหมายของศัพท์นั้นๆ ชัดเจนขึ้น ส่วนในคัมภีร์ระดับไวยากรณ์ก็จะอธิบายการ
ประกอบศัพท์ขน้ึ มาจากธาตุ ปัจจัย ในทางภาษา สว่ นความหมายตามพระพทุ ธพจน์นน้ั จะนำมา
จากพระไตรปิฎก


37

การพฒั นาอินทรยี สังวร
สุภีร์ ทุมทอง

ก) ความหมายของคำวา่ “อินทรยี ์” ตามรปู ศพั ทบ์ าล

คำว่า อินทรีย์ มีรูปศัพท์ตามภาษาบาลีว่า อินฺทฺริย มาจากศัพท์เดิมว่า อินฺท ดังท่ีพระอรรถ
กถาจารย์ท่านไดอ้ ธบิ ายความหมายโดยรูปศัพท์ ไวว้ า่

ตตฺถ จกฺขุทฺวาเร อินฺทฏฺ กาเรตีติ จกฺขุนฺทฺริย. โสตฆานชิวฺหากายทฺวาเร อินฺทฏฺ กาเรตีติ
กายนิ ทฺ รฺ ยิ . วิชานนลกขฺ เณ อนิ ฺทฏฺ กาเรตตี ิ มนนิ ฺทรฺ ิย๑ํ ซงึ่ แปลความได้ว่า

ทช่ี ื่อวา่ จักขนุ ทรยี ์ เพราะอรรถวา่ ครองความเป็นใหญ่ในจกั ขวุ าร

ที่ชอื่ ว่า โสตนิ ทรยี ์ เพราะอรรถว่า ครองความเปน็ ใหญ่ในโสตทวาร

ทชี่ ื่อว่า ฆานนิ ทรยี ์ เพราะอรรถว่า ครองความเปน็ ใหญ่ในฆานทวาร

ทช่ี ่ือวา่ ชิวหินทรยี ์ เพราะอรรถวา่ ครองความเป็นใหญ่ในชิวหาทวาร

ทช่ี ื่อว่า กายนิ ทรยี ์ เพราะอรรถว่า ครองความเป็นใหญ่ในกายทวาร

ทช่ี ื่อว่า มนนิ ทรีย ์ เพราะอรรถว่า ครองความเป็นใหญ่ในลักษณะการร้อู ารมณ์

จากคำอธบิ ายของพระอรรถกถาจารย์น้ี ศพั ทว์ า่ อนิ ทฺ รฺ ยิ อยู่ในรปู สนธกิ ับศัพทอ์ ่ืน ซึ่งสามารถ
แยกสนธิได้ดงั ต่อไปน้ี


38

การพัฒนาอินทรยี สงั วร
สุภรี ์ ทุมทอง

จกฺขนุ ทฺ รฺ ยิ ํ = จกฺขุ + อนิ ทฺ ฺริยํ

โสตนิ ฺทฺรยิ ํ = โสต + อนิ ฺทฺรยิ

ฆานนิ ฺทรฺ ยิ ํ = ฆาน + อินฺทฺริย

ชิวหฺ นิ ทฺ ฺริยํ = ชวิ ฺหา + อนิ ทฺ รฺ ิย

กายินฺทฺริยํ = กาย + อินฺทฺรยิ ํ

มนนิ ฺทฺริยํ = มน + อินทฺ ฺริย


พระฎีกาจารย์ ได้ขยายความหมายของศัพท์ว่า อินฺท มีความหมายเท่ากับ ปรมิสฺสร แปลว่า
ความเป็นใหญ่, ความเป็นอิสระ, เป็นจอม ดงั บาลวี า่ “จกฺขุทวฺ าเร อนิ ทฺ ฏฺ  กาเรตีติ จกฺขุทฺวาร
ภาเว ตํทฺวาริเกหิ อตตฺ โน อินทฺ ภาวํ ปรมสิ สฺ รภาวํ การยตตี ิ อตฺโถ”๒


การสำเรจ็ รปู ของศัพท์ อินฺทฺรยิ = อนิ ฺท ศพั ท์ + อิย ปจั จัย, สำเรจ็ รปู เปน็ อนิ ทฺ ฺริย ด้วยการ
แปลง ทฺ เปน็ ทรฺ ดงั ทที่ า่ นกลา่ วไว้ในคมั ภรี อ์ ภธิ านนปั ปทปี กิ าสจู วิ า่ “อนิ ทฺ ติ ปรมสิ สฺ รยิ ํ กโรตตี ิ
อินโฺ ท, อตฺตา; ตสฺส ลิงคฺ ํ อนิ ทฺ รฺ ยิ ํ. อิโย... อนิ ฺทสสฺ ภาโว อินทฺ ิยนตฺ ิ วคิ คฺ เห อนิ ทฺ ยนฺติ ปทํ
สกฺกตญเฺ ว วทติ ตเทว ปทํ ทการสสฺ ทรฺ กาเร กเต จกฺขาทีนิ เยว วทต”ิ ๓


ในคัมภรี ์สัมโมหวิโนทนี อรรถกถาวิภงั ค์ ได้ให้ความหมายของ อินทฺ รฺ ยิ ไวด้ งั บาลีว่า “โก ปเนส
อินฺทฺริยฏฺโ นามาติ. อินฺทลิงฺคตฺโถ อินฺทฺริยตฺโถ อินฺทเทสิตตฺโถ อินฺทฺริยตฺโถ อินฺททิฏฺตฺโถ

อินฺทรฺ ยิ ตฺโถ อินฺทสิฏฺ ตโฺ ถ อินฺทฺรยิ ตโฺ ถ อินฺทชุฏฺตโฺ ถ อนิ ทฺ ฺรยิ ตฺโถ. ... อปิจ อาธิปจฺจสงฺขาเตน
อสิ ฺสริยฏเฺ นาปิ เอตานิ อนิ ทฺ ฺริยาน๔ิ





39

การพัฒนาอนิ ทรยี สังวร
สภุ ีร์ ทุมทอง

จากบาลที ่แี สดงมานี้ พระอรรถกถาจารย์ได้ให้ความหมายของ อนิ ฺทฺรยิ ศัพท์ ไว้ดงั นี้


(๑) อนิ ฺทลิงฺคตถฺ เป็นเครือ่ งหมายแห่งความเป็นใหญ่

(๒) อินทฺ เทสติ ตฺถ อันผเู้ ป็นใหญ่แสดงแล้ว

(๓) อนิ ฺททฏิ ฺ ตฺถ อันผูเ้ ปน็ ใหญเ่ หน็ แลว้

(๔) อนิ ทฺ สิฏฺ ตถฺ อนั ผู้เป็นใหญป่ ระกาศแลว้

(๕) อินทฺ ชฏุ ฺ ตฺถ อนั บคุ คลผู้เปน็ ใหญ่เสพแล้ว

(๖) อาธปิ จจฺ สงขฺ าตอิสสฺ รยิ ฏฺ ความเปน็ อิสระกล่าวคือความเปน็ อธิบด


พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า อินทรีย์เหล่านั้นอันพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็น
ช่ือว่า อินฺท (ผู้เป็นใหญ่) เพราะความเป็นผ
ู้ ใหญ่น้ันทรงแสดงแล้ว (ความหมายท่ี ๒)
ยิ่งใหญ่ท่ีสุด, กรรมท่ีเป็นกุศลและอกุศล
อินทรีย์เหล่าน้ัน อันพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ก็ช่ือว่า อินฺท เพราะไม่มีส่ิงใดจะใหญ่ย่ิง
ผู้เป็นใหญ่น้ันทรงเห็นแล้ว (ความหมายท่ี ๓)
ไปกว่ากรรมทั้งหลาย เพราะฉะน้ัน อินทรีย
์ อินทรีย์เหล่านั้น อันพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ท้ังหลายจึงเป็นเคร่ืองหมายของพระพุทธเจ้า
ผู้เป็นใหญ่น้ัน ทรงประกาศตามท่ีตรัสร ู้

ผู้เป็นใหญ่สุด และอินทรีย์ท้ังหลายที่เกิดจาก (ความหมายที่ ๔) อินทรีย์บางอย่าง พระผู้มี

กรรม คือ ตา หู เป็นต้น เป็นเคร่ืองหมาย พระภาคทรงเสพแล้วด้วยการทำให้เป็น
แสดงถงึ ความเปน็ ใหญข่ องกรรม (ความหมาย อารมณ์ และอินทรีย์บางอย่างทรงเสพแล้ว
ท่ี ๑)
ด้วยการอบรม เพราะฉะนั้น จึงช่ือว่าอินทรีย์

เพราะเป็นสิ่งอันบุคคลผู้เป็นใหญ่เสพแล้ว

(ความหมายที่ ๕)





40

การพฒั นาอนิ ทรียสงั วร
สุภีร์ ทมุ ทอง

ความหมายว่า เป็นอิสระ กล่าวคือความเป็น อินฺทฺริย หมายถึง ความเป็นใหญ่ โดยกิจ

อธิบดีน้ัน หมายความว่า มีความเป็นใหญ่
หน้าที่ ในการรับรู้อารมณ์ทางจักขุทวาร

ในความเป็นไปแห่งวิญญาณในทางทวาร
เป็นต้น และเป็นใหญ่ในการเป็นเหตุให้จิต

นั้นๆ เช่น จักขุนทรีย์เป็นใหญ่ในความเป็นไป
อื่นๆ เกิดขึน้ เปน็ ไปทางทวารตา่ งๆ อินทรยี ์

แห่งจักขุวิญญาณและจิตอ่ืนๆ ท่ีเกิดข้ึนทาง
แต่ละอย่างมีความสามารถในการทำหน้าที่

จักขุทวาร เพราะเมื่อจักขุนทรีย์แก่กล้า จักขุ เกี่ยวกับเรื่องน้ันๆ โดยเฉพาะ หากขาด

วิญญาณเป็นต้นน้ันก็แก่กล้า เม่ือจักขุนทรีย์ อินทรีย์หรืออินทรีย์บกพร่องก็จะไม่สามารถ

อ่อน จกั ขุวญิ ญาณเปน็ ต้นน้นั ก็ออ่ นไปดว้ ย๕
ทำกิจได้ เช่น จักขุนทรีย์เป็นใหญ่ ในการ


ก่อให้เกิดการรับรู้รูปท่ีมองเห็นได้ทางตา

สรุปคำอธิบายตามรูปศัพท์ ท่านอธิบาย และเป็นเหตุให้เกิดจิตในทางจักขุทวาร

อนิ ฺทฺริย มาจาก อนิ ทฺ + อยิ ความหมายของ คือ ปัญจทวาราวัชชนจิต จักขุวิญญาณ

อินฺท ศัพท์ ขยายความด้วยคำว่า ปรมิสฺสร, สัมปฏิจฉนจิต สันตีรณจิต โวฏฐัพพนจิต
อิสสฺ ร, อาธปิ จจฺ มีความหมายโดยสรุปดงั น
้ี กุศลจิตหรืออกุศลจิต โสตินทรีย์เป็นใหญ่ใน


การก่อให้เกิดการรับรเู้ สยี งทางหู และเปน็ เหตุ
ใหเ้ กดิ จติ ในทางโสตทวาร คอื ปญั จทวาราวชั ชน


จติ โสตวิญญาณ สัมปฏิจฉนจิต สันตีรณจิต
โวฏฐัพพนจิต กุศลจิตหรืออกุศลจิต แม้



ฆานินทรีย์ ชิวหินทรีย์ กายินทรีย์ มนินทรีย์

กม็ คี วามหมายในทำนองเดยี วกัน










41

การพฒั นาอนิ ทรยี สังวร
สภุ รี ์ ทมุ ทอง

ข) ความหมายของคำว่า “อินทรีย์” ตามพระพุทธพจน


คำว่า อินทรีย์ ท่ีใช้ในพระบาลีที่แสดงเกี่ยว ส่วนมนินทรีย์มีชื่อเรียกหลายอย่าง ดังพระ

กับอินทรียสังวรว่า อินฺทฺริเยสุ คุตฺตทฺวาโร บาลีวา่ “จิต ที่เกิดขึ้นในสมยั นน้ั เปน็ ไฉน จิต

หรือ อินฺทฺริยสวเรน สมนฺนาคโต๖ หมายเอา มโน มานัส หทัย ปัณฑระ มโน มนายตนะ

เฉพาะอายตนะภายใน ๖ คือ ตา หู จมูก มนินทรีย์ วิญญาณ วิญญาณขันธ์ มโน

ล้ิน กาย ใจ ซ่ึงตา หู จมูก ลิ้น กาย โดย วิญญาณธาตทุ ่เี หมาะสมกนั ๑๐ ในสมัยนัน้ นี้ช่ือ

สภาวะเป็นอุปาทายรูป๗ คือ รูปที่ต้องอาศัย ว่าจิตท่ีเกิดข้นึ ในสมัยนนั้ ”๑๑


มหาภตู รูป สว่ นใจนั้นเปน็ นามธรรม
ตามพระบาลีในคมั ภีร์ปัฏฐาน ท่ีแสดงเกยี่ วกบั

ตา เป็นรูปชนิดหนึ่ง โดยสภาวะนั้นเป็นสิ่งที่ ความเปน็ เหตปุ จั จยั ของธรรมทงั้ หลายจกั ขนุ ทรยี ์

ไมม่ ตี วั ตน เปน็ ปสาทรปู ทอ่ี ยู่ในอตั ภาพรา่ งกาย เป็นต้นนั้นเป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณเป็นต้น

นี้ ซ่ึงเป็นสภาวะที่เห็นไม่ ได้ แต่กระทบได้
โดยการเกดิ กอ่ น๑๒ และเป็นอินทรยี ๑์ ๓ เปน็ ต้น


โดยกระทบกับรูปารมณ์แล้วทำให้เกิดการมอง
เหน็ ขนึ้ แล้วสภาวธรรมอื่นๆ มีผัสสะ เวทนา
ตา หู จมูก ล้นิ กาย ใจ นน้ั เป็นกรรมเก่า๑๔
สัญญา เป็นต้นเกิดขึ้น มีชื่อเรียกว่าจักขุบ้าง
เป็นส่ิงที่ถูกปัจจัยปรุงแต่ง เป็นผลของกรรม
จกั ขายตนะบา้ ง จกั ขธุ าตบุ า้ ง จกั ขนุ ทรยี บ์ า้ ง
เกดิ จากกรรมเกา่ ๆ ทเี่ คยทำเอาไวแ้ ลว้ ประมวล
โลกบา้ ง ทวารบา้ ง สมทุ รบา้ ง ปณั ฑระบา้ ง มาจนเปน็ สง่ิ ทสี่ มมตวิ า่ เปน็ ตวั เปน็ ตน แตล่ ะคน
เขตบ้าง วัตถุบ้าง เนตรบ้าง นัยนาบ้าง ก็แตกต่างกันไปตามกรรม ทำกรรมดีก็ปรุง
ฝง่ั นบ้ี า้ ง บ้านว่างบ้าง๘ อนิ ทรยี ์ คือ หู จมกู แต่งให้ดูดี ทำกรรมไม่ดีหรือไม่ประณีตก็ปรุง
แต่งให้ดูไม่ดี ชิ้นส่วนแต่ละอย่างที่เป็นอวัยวะ
ล้ิน กาย กเ็ ช่นเดยี วกัน๙

ของเราน้ี มคี วามละเอยี ดปลกี ยอ่ ยไมเ่ หมอื นกนั


เลย ก็เพราะแต่ละคนทำกรรมมาแตกต่างกัน


42

การพฒั นาอินทรียสงั วร
สุภรี ์ ทุมทอง

นับต้ังแต่ผิวพรรณ รูปร่าง ทรวดทรง ฯลฯ อินทรีย์ ๖ คือ ตา หู จมกู ล้นิ กาย ใจ เป็น

รวมไปถึงคุณภาพของใจ ท่ีเป็นอุปนิสัยใจคอ ทางทผี่ ดุ ขึ้นของกเิ ลสนานาประการ และกิเลส

ความเคยชิน จริต อัธยาศัยต่างๆ เกิดจาก ก็ไมเ่ คยเต็มอ่มิ แม้ว่าจะหารปู ทส่ี วยงามมาให้

กรรมเก่าปรงุ แตง่ ขน้ึ มา
ตาดูมากเพียงไร กิเลสก็ไม่เคยเต็มอิ่ม มีแต่

อยากดูให้สวยงามย่ิงขึ้นกว่าเดิมไปอีก ฟัง
เมือ่ มีตา หู จมูก ลน้ิ กาย ใจ มาแลว้ กม็ ีการ เสียงที่ไพเราะมากสักเพียงไร กิเลสก็ไม่เคย
รับรู้โลก เรียกว่าผัสสะ ทำให้เกิดความรู้สึก อิ่ม มีแต่อยากฟังให้มากและไพเราะย่ิงข้ึนไป
ตอ่ โลกและทำกรรมใหมต่ อ่ ไปอกี ตา หู เปน็ ตน้ กว่าเดิม แม้ทางทวารอ่ืนๆ ก็ โดยทำนอง
เหล่าน้ีจึงเป็นท่ีต้ังของเวทนา ทำให้เกิด
เดียวกันน้ี โดยเฉพาะทางใจน้ัน เป็นท่ีผุดขึ้น
ความรู้สึก เม่ือเห็นก็รู้สึกอย่างใดอย่างหนึ่ง ของกิเลสมากมายเหลือประมาณ ส่ิงใด

เมือ่ คิดนึกก็ร้สู กึ อย่างใดอย่างหนึง่

ที่น่าชอบใจ จะทำให้มีความสุขก็พยายาม

ที่มีสิ่งนั้นสิ่งนี้ขึ้นมามากมาย เป็นตัวเรา ของ ขวนขวายหามา ชาวโลกท้ังหลายจึงพากัน
เรา เป็นเขา ของเขา ก็เกิดจากตา หู จมูก แสวงหา เงนิ ทอง ชอื่ เสยี ง ตำแหนง่ การเป็น
ลิ้น กาย ใจ ส่วนน้ีเป็นผลของกรรม เป็น ท่ียอมรับของบุคคลอ่ืน เพื่อให้จิตใจมีความ
กรรมเกา่ อาศยั กรรมเกา่ แลว้ กระทบผสั สะ รู้สกึ มัน่ คง มีความสำคญั ปลอดภยั


กับโลก เกิดความรู้สึกกับโลก หลงโลก

เข้าใจผิด หลงยึดม่ันจริงจังกับโลก ก็ทำ


กรรมใหม่วนเวียน ออกจากวงจรน้ี ไม่ ได้

เลยตอ้ งเกิดตายวนเวยี นไม่ส้ินสดุ


43

การพัฒนาอินทรียสังวร
สภุ ีร์ ทมุ ทอง

แต่สังขารธรรมทุกอย่าง ล้วนตกอยู่ภายใต้ สงั ขารทงั้ หลาย คือ ตา หู จมกู ล้ิน กาย ใจ
กระแสของการเปล่ียนแปลง คงอยู่ ใน และอารมณ์ คือ รูป เสียง กล่ิน รส สมั ผัส
สภาพเดิมไม่ได้ จะไปบังคับบัญชาเอาตามใจ ทางกาย สิ่งท่ีรับรู้ทางใจ ก็ทำนองเดียวกัน
ชอบไม่ได้ จึงต้องดิ้นรนแสวงหาอย่างไม่หยุด ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ใครท่ี
หยอ่ น ไดม้ าแลว้ ก็พยายามหาวิธกี ารรักษาเอา ต้องการให้ส่ิงนั้นหยุดนิ่งคงที่เฉพาะจุดท่ี
ไว้ให้ยาวนาน ไม่ต้องการสูญเสียไป เปรียบ ตนเองต้องการ ก็เป็นคนบ้าหนักกว่าคนบ้าที่
ประดุจคนบ้าที่ตะโกนบอกให้น้ำในแม่น้ำที่ ตะโกนบอกให้นำ้ หยดุ ไหลหลายเทา่ นกั แต่คน
กำลังไหลไปอยู่หยุดไหล ท้ังท่ีตามความเป็น ท้ังโลกก็บ้าแบบเดียวกัน จึงไม่มี ใครรู้
จริงแล้ว แม่น้ำก็ไหลไปอย่างนั้นเองตามเหตุ ปล่อยให้จิตใจหลงบ้าไปอย่างนั้น เมื่อ
ปัจจยั
พระพุทธเจ้าตรัสรู้ความจริงแล้วนำบอก ก็มี

คนเป็นจำนวนน้อยที่ยอมรับฟัง คนส่วนมากก็

ยังหลงอยู่เช่นเดิม ดุจปลาท่ีหลงกลืนเบ็ดต้อง

ทนทกุ ขท์ รมานไมจ่ บสิน้ ดังพระพทุ ธพจนว์ า่



ภิกษทุ ั้งหลาย พรานเบ็ดหยอ่ นเบ็ดท่ีมเี หยอ่ื ลง
ไปในห้วงน้ำลึก ปลาตัวใดเห็นแก่เหย่ือกลืน


เบ็ดนั้น ปลาตัวน้ันช่ือว่ากลืนเบ็ดของนาย
พรานเบ็ด ถึงความวิบัติ ถึงความพินาศ ถูก


พรานเบ็ดทำได้ตามใจปรารถนา แม้ฉนั ใด





44

การพฒั นาอินทรียสงั วร
สุภรี ์ ทุมทอง

ภกิ ษทุ ง้ั หลาย เบด็ ๖ ชนดิ นี้ กฉ็ นั นนั้ เหมอื น อันปลอดภัยได้ ดังที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้
กนั มอี ยู่ในโลกเพอ่ื ความวบิ ตั ขิ องสตั วท์ ง้ั หลาย ในปฐมสมุททสูตร และทตุ ิยสมทุ ทสตู รวา่

เพือ่ ฆ่าสตั วท์ งั้ หลาย เบด็ ๖ ชนดิ อะไรบ้าง
คอื รปู ทพี่ งึ รแู้ จง้ ทางตา ทน่ี า่ ปรารถนา นา่ ใคร่ ภิกษทุ ้ังหลาย ปถุ ชุ นผู้ไม่ได้สดับยอ่ มกล่าวว่า
นา่ พอใจ ชวนใหร้ กั ชกั ให้ใคร่ พาใจใหก้ ำหนดั สมุทร สมุทร นั่นไม่ ใช่สมุทรในอริยวินัย

มอี ยู่ ถา้ ภกิ ษยุ งั เพลดิ เพลนิ เชยชม ยึดติดรูป น่ันเป็นแอ่งน้ำใหญ่ เป็นห้วงน้ำใหญ่ ภิกษุ

นน้ั อยู่ ภกิ ษนุ เ้ี ราเรียกว่า ผกู้ ลืนเบ็ดของมาร ทั้งหลาย จักขุเป็นสมุทรของบุรุษ กำลังของ
ถึงความวิบัติ ถึงความพินาศ ถูกมารผู้มีบาป จักขุน้ันเกิดจากรูป บุรุษใด อดกลั้นกำลังอัน
ทำได้ตามใจปรารถนา ฯลฯ รสที่พึงรู้แจ้ง
เกิดจากรูปนั้นได้ บุรุษน้ีได้ข้ามสมุทรคือจักขุ
ทางลิ้น ฯลฯ ธรรมารมณท์ พ่ี งึ รู้แจ้งทางใจ...๑๕
ซึ่งมีท้งั คล่นื วงั วน สตั วร์ า้ ย และผีเส้ือน้ำ เรา

เรียกว่า บุคคลผู้ลอยบาปข้ามถึงฝั่งดำรงอยู่
อินทรีย์ ๖ ประการเหลา่ น ้ี ทำให้เราเช่อื มตอ่ บนบก...โสตะ...ฆานะ...ชวิ หา...มโน...๑๖

รับรู้กับโลกภายนอก คือ ส่ิงท่ีเป็นอารมณ์
ภายนอก รูป เสียง กล่นิ รส สมั ผัสทางกาย
และสงิ่ ทร่ี บั รทู้ างใจได้ ผทู้ ี่ไมร่ เู้ ทา่ ทนั สง่ิ เหลา่ น้ี
ว่า มีการเปลี่ยนแปลงเคล่ือนไหวอยู่ตลอด

เวลา ก็เป็นคนท่ีหลงโลก ราวกับจมอยู่ ใน
มหาสมุทรอันกว้างใหญ่ ทุกข์และอันตราย
มากมายก็ติดตามบุคคลนั้นไป ส่วนผู้รู้ตาม
ความเป็นจริง ไม่ยึดม่ันถือม่ันในส่ิง

ท้ังหลาย ก็เป็นผู้ที่อยู่เหนือโลก สามารถ
ข้ามพ้นมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ ไปสู่สถานท่ี


45

การพฒั นาอินทรียสังวร
สภุ ีร์ ทมุ ทอง

ในงานวิจัยน้ี อินทรีย์หมายเอาเฉพาะ ตา หู สรุปความหมายได้ว่า อินทรีย์ คือ ตา หู

จมูก ล้ิน กาย ใจ แต่ ในที่อ่ืนๆ อินทรีย์ยัง จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นใหญ่ ในการรับรู้

หมายรวมถึง ความเป็นเพศชาย ความเป็น อารมณ์ ในทางทวารต่างๆ เช่น ตา ครอง

เพศหญิง ความมีชีวิตของนามรูป, เวทนา ๕ ความเป็นใหญ่ ในการรับรู้อารมณ์ทางตา


ประเภท, สภาวธรรม ๕ ประการ คือ
ทำให้จิตเกิดข้ึนรู้อารมณ์ท่ีปรากฏได้ทางตา

สัทธนิ ทรยี ์ สตินทรีย์ วิริยนิ ทรีย์ สมาธินทรยี ์ คือ สีสัน วรรณะต่างๆ ได้ หากปราศจาก


ปญั ญินทรยี ์, ปัญญาท่ีเป็นระดบั โลกุตตระ คือ จักขุนทรีย์แล้ว การเห็นก็ ไม่สามารถท่ีจะ


อนัญญาตัญญัสสามีตินทรีย์ อัญญินทรีย์ มีได้ กล่าวโดยโวหารอันเป็นที่เข้าใจกันก็คือ


อัญญาตาวินทรีย์ รวมเป็นอินทรีย์ ๒๒ คนตาบอด หูครองความเป็นใหญ่ในการรับรู้

ประเภท๑๘
อารมณ์ทางหู ทำให้จิตเกิดข้ึนรู้อารมณ์


ที่ปรากฏได้ทางหู คือ เสียงต่างๆ ได้ หาก

ปราศจากโสตินทรีย์แล้ว การได้ยินก็ ไม่


สามารถจะมีได้ เป็นคนหูหนวก แม้ทางทวาร
อนื่ ๆ ก็โดยทำนองเดยี วกนั














46

การพฒั นาอินทรยี สังวร
สภุ ีร์ ทุมทอง

๒.๑.๒ ความหมายของคำว่า “สังวร” ตามรปู ศพั ท์บาลีและพระพุทธพจน์


ก) ความหมายของคำว่า “สังวร” ตามรปู ศัพทบ์ าล


คำวา่ สงั วร รปู ศพั ทบ์ าลวี า่ สวํ ร มาจาก สํ + วร, สํ เปน็ คำอปุ สรรคมคี วามหมายหลายอยา่ ง
เช่น สโมธาน (รวมเขา้ ด้วยกนั ) สงฺเขป (ยน่ ย่อ) สมนฺตตถฺ (รอบๆ) สมทิ ธฺ ิย (บริบรู ณ์) สมฺมา

สทฺทตฺถ (ความด)ี ภุสตฺถ (อรรถว่ายิ่ง) สหตฺถ (รวบรวม) อภมิ ขุ (ต่อหน้า) สงคฺ ต (พบกัน)
ปิธาเน (ปดิ ) ปภว (แหลง่ กำเนดิ ) ปูชา (การบชู า) ปุนปปฺ ุนกรฺ ิยา (กระทำบ่อยๆ) เปน็ ต้น๑๙ แต่
ในทน่ี ้ีใช้ในความวา่ ปธิ าน (ปดิ ) ปธิ าเน และมีตัวอย่างคำศัพท์ท่ที า่ นยกเป็นอทุ าหรณว์ ่า สวํ ุโต
(การปดิ ), สํวโร๒๐

วร ธาตุ มอี รรถวา่ ยาจิจฉฺ าภตฺยํ (จ.ุ ) ขอ, ปรารถนา, เข้าหา - รบั ใช

อาวรเณ (ภู.จ.ุ ) ปิดก้นั – กดี ขวาง, ระวงั , ปอ้ งกนั , สำรวม๒๑

ในที่นี้ ใช้ ในอรรถ อาวรณ โดยได้แสดงตัวอย่างของอรรถน้ี ไว้ว่า สีลสํวโร, สํวุโต

ปาติโมกขฺ สมฺ ึ๒๒, ส่วนคำแปลทีม่ ผี ู้รวบรวมไว้ เช่น

สํวร (ปุ.), สํวรณ (นปุ.) การปดิ , การบัง, การมงุ , ความระวัง, การป้องกัน,

สํ บทหนา้ วร อาวรเณ, อ, ย๒ุ ๓


47

การพัฒนาอนิ ทรยี สังวร
สภุ รี ์ ทุมทอง

สังวร น. ความระวัง, ความเหน่ยี วรั้ง, ความ จากความหมายตามรูปศัพท์บาลีที่อธิบายใน

ป้องกัน, ก. สำรวม, เหนย่ี วร้ัง, เช่น สงั วรศลี , แง่หลักภาษา อินทรียสังวร แปลตามศัพท์ว่า

สังวรธรรม, ถ้าใช้เป็นส่วนท้ายของสมาส การปิดกั้นอินทรีย์, การป้องกันอินทรีย์,


หมายความว่า ความสำรวม, ความระวัง เชน่ ความสำรวมอินทรีย์, ความระวังอินทรีย์


อินทรียสังวร จักษุสังวร ญาณสังวร
หากแปลแบบขยายความออกไปก็ได้ความว่า

ศีลสังวร๒๔
การปิดก้ัน การป้องกันสง่ิ ไม่ดี สำรวมระวงั


อันตรายหรือกิเลสต่างๆ เวลาที่เกิดการ



รับร้อู ารมณ์ทางอนิ ทรียท์ ง้ั ๖





ข) ความหมายของคำวา่ “สังวร” ตามพระพทุ ธพจน์

ความหมายของสังวรตามพระพุทธพจน์ พระผู้มีพระภาคทรงแสดงไว้ มีปรากฏในพระสุตตันต
ปิฎกและพระอภิธรรมปิฎกเป็นจำนวนมาก พระพุทธพจน์น้ันแสดงท้ังลักษณะและวิธีการปฏิบัติ
เก่ียวกับอินทรียสังวร อีกทั้งได้ทรงแนะนำเทคนิควิธีการเพ่ือให้การปฏิบัติได้ผล มีเนื้อหาที่
คลา้ ยคลึงกนั โดยทรงแสดงตามพระบาลวี ่า


48

การพฒั นาอินทรียสงั วร
สุภรี ์ ทุมทอง

กถจฺ มหาราช ภิกขฺ ุ อนิ ฺทรฺ ิเยสุ คุตฺตทฺวาโร จักขุนทรีย์ ถึงความสำรวมในจักขุนทรีย์


โหต.ิ อธิ มหาราช ภิกขฺ ุ จกฺขุนา รูป ทิสวฺ า
ฟังเสียงด้วยหู... ดมกลิ่นด้วยจมูก... ล้ิมรส

น นิมิตฺตคฺคาหี โหติ นานุพฺยฺชนคฺคาห
ี ด้วยลิ้น... ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกาย... รู้

ยตฺวาธิกรณเมน จกฺขุนฺทฺริย อสวุต วิหรนฺต ธรรมารมณ์ด้วยใจ... ภิกษุผู้ประกอบด้วย

อภิชฺฌาโทมนสฺสา ปาปกา อกุสลา ธมฺมา
ความสำรวมอินทรีย์อันเป็นอริยะน้ี ย่อมเสวย

อนวฺ าสสฺ เวยฺย,ุ ตสฺส สว ราย ปฏปิ ชชฺ ติ, รกฺขติ สุขอันไม่ระคนกับกิเลสในภายใน มหาบพิตร

จกฺขุนฺทฺริย, จกขฺ นุ ทฺ รฺ เิ ย สว รํ อาปชชฺ ต.ิ
ภิกษุชื่อว่าคุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย


เป็นอยา่ งนแ้ี ล๒๖


โสเตน สททฺ  สตุ วฺ า... ฆาเนน คนธฺ ํ ฆายติ วฺ า... ในพระบาลีที่ทรงแสดงเกี่ยวกับอินทรียสังวรน ้ี
ชิวฺหาย รส สายิตฺวา... กาเยน โผฏฺพฺพ
 มีเนือ้ หาแสดงไว้เปน็ สว่ นๆ พอแยกแยะได้ดงั น้ี
ผุสิตวฺ า... มนสา ธมมฺ  วิ ฺาย... โส อิมนิ า

อริเยน อินฺทฺริยสวเรน สมนฺนาคโต อชฺฌตฺต (๑) ทรงตงั้ คำถามทเ่ี ปน็ กเถตกุ มั ยตาปจุ ฉา
อพฺยาเสกสุข ปฏิสเวเทติ. เอว โข มหาราช คือ คำถามท่ีประสงค์จะตอบขยายเน้ือความ
ภกิ ขฺ ุ อนิ ทฺ รฺ เิ ยสุ คตุ ฺตทวฺ าโร โหติ๒๕
ด้วยพระองค์เองว่า กถฺจ มหาราช ภิกฺขุ
อินฺทฺริเยสุ คุตฺตทฺวาโร โหติ เป็นเหมือนการ

ต้ังหัวข้อที่จะขยายความต่อไป ทำให้ผู้ฟัง
ทราบว่า เนื้อหาที่พระองค์ทรงแสดงในลำดับ
มหาบพติ ร ภิกษชุ ่อื ว่าคมุ้ ครองทวารในอินทรีย์ ถัดจากน้ี ไป จะเป็นการอธิบายเรื่องการ
ทงั้ หลาย เปน็ อย่างไร คือ ภกิ ษใุ นธรรมวนิ ยั นี้ คุ้มครองทวารในอนิ ทรยี ์ทงั้ หลาย

เห็นรูปด้วยตาแล้วไม่รวบถือ ไม่แยกถือ ย่อม
ปฏิบัติเพ่ือสำรวมในจักขุนทรีย์ ซ่ึงเมื่อไม่
สำรวมแลว้ กจ็ ะเปน็ เหตใุ หถ้ ูกบาปอกุศลธรรม

คืออภิชฌาและโทมนัสครอบงำได้ จึงรักษา

49

การพฒั นาอนิ ทรยี สงั วร
สภุ ีร์ ทมุ ทอง

(๒) ทรงขยายความให้เห็นถึงวิธีการท่
ี ในตอนขยายความให้เห็นถึงวิธีการปฏิบัติ

จะสังวรในทวารท้ัง ๖ คือ ทางตา ทางห ู
อินทรียสังวร พระบาลีบางแห่งมีคำอธิบาย

ทางจมูก ทางล้ิน ทางกาย ทางใจ ตามลำดบั ลักษณะของการสังวรเพ่ิมเติมเข้ามาอีกใน


ดว้ ยพระบาลวี ่า อธิ มหาราช ภิกขฺ ุ จ กฺขนุ า ตอนทา้ ย ดังพระบาลวี า่


รูป ทิสฺวา... รกฺขติ มนินฺทฺริย มนินฺทฺริเย

สวร อาปชฺชติ ซ่ึงเป็นส่วนที่ขยายความให้ ตตฺถ กตมา อินฺทฺริเยสุ คุตฺตทฺวารตา.

ทราบถึงวิธีการปฏิบัติอินทรียสังวรให้ผู้ฟัง อเิ ธกจฺโจ จกฺขนุ า รปู  ทสิ ฺวา... โสเตน สทฺท
สตุ ฺวา... ฆาเนน คนธฺ  ฆายิตวฺ า... ชิวฺหาย รส
ทราบอย่างชดั เจน

สายิตฺวา... กาเยน โผฏฺพพฺ  ผุสิตวฺ า... มนสา

(๓) ทรงแสดงอานิสงส์ของการมีอินทรีย ธมฺม วิฺาย... รกฺขติ มนินฺทฺริย มนินฺทฺริเย

สังวรด้วยพระบาลีว่า โส อิมินา อริเยน
สวร อาปชฺชติ. ยา อิเมส ฉนฺน อินฺทฺริยาน

อินฺทฺริยสวเรน สมนฺนาคโต อชฺฌตฺต อพฺยา คุตฺติ โคปนา อารกฺโข สวโร. อย วุจฺจต


เสกสุข ปฏิสเวเทติ เป็นการแสดงให้ทราบว่า อินฺทรฺ เิ ยสุ คุตฺตทฺวารตา๒๗


หากปฏิบัติอินทรียสังวรได้ตามท่ีทรงแสดงมา


ขา้ งตน้ นนั้ จะไดร้ บั ประโยชน์อย่างไร


(๔) ทรงสรุปลงท้ายว่า เอวํ โข มหาราช
ภิกฺขุ อินฺทฺริเยสุ คุตฺตทฺวาโร โหติ เพ่ือ

ให้ทราบว่า ส่ิงที่พระองค์ทรงขยายเนื้อความ

มาข้างต้นน้ัน เป็นเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องการ
ค้มุ ครองทวารในอนิ ทรยี ์ทั้งหลาย หรืออนิ ทรีย
สงั วรดังทท่ี รงตงั้ คำถามไวข้ ้างตน้ น่ันเอง


50

การพฒั นาอนิ ทรียสงั วร
สุภรี ์ ทุมทอง


Click to View FlipBook Version