(๗.๒) นับถือบูชากันที่คุณธรรม การนับถือ (๗.๔) งานตา่ งๆ ควรเปน็ งานมงคลทแี่ ทจ้ รงิ
หรอื บูชาใครกต็ าม ควรส่งเสรมิ ให้มีการนบั ถอื ในงานต่างๆ ท่ีมีการจัดกันขึ้น แทนท่ีจะเป็น
กันท่ีคุณธรรม คุณงามความดี หรือคุณ งานมงคล เป็นการเร่ิมต้นสู่การคิดดี ทำด ี
ประโยชน์ที่บุคคลนั้นได้ทำไว้ ให้มองกันท่ี พูดดี แตเ่ ท่าที่เป็นอยนู่ นั้ เปน็ งานอวมงคลเสีย
คณุ ธรรม ไม่ควรยกย่องเก่ยี วกับยศ ตำแหนง่ มากกว่า ไม่จัดงานขึ้นมายังดีกว่า ไม่ต้อง
เงินทอง หรืออำนาจ ผู้ที่ร่ำรวย มีอำนาจ ทำบาปอกุศลและไม่เสียเงินทองด้วย เช่น
หากไมม่ ีคุณธรรมก็ไม่ควรไดร้ ับการยกย่อง ใน ในงานต่างๆ มักจัดให้มี สุรา เบียร์ ดนตร ี
ทางตรงข้ามควรได้รับการตำหนเิ สยี มากกว่า
โคโยตี้ ฯลฯ มาให้ความบันเทิงสนุกสนาน
และบางงานก็มีการฆ่าสัตว์เพื่อมาทำอาหาร
(๗.๓) มีค่านิยมให้ผู้หญิงนงุ่ ห่มมิดชิด การ อีกด้วย งานท่ีจัดเช่นน้ีนับได้ว่าเป็นงาน
นุ่งห่มของเพศหญิงซึ่งเป็นเพศแม่ ควรได้รับ อวมงคลไปเสียสิ้น เพราะมีแต่เรื่องบาปอกุศล
การเคารพนับถือจากผ้คู น เพราะเป็นเพศท่ีให้ ผิดศีล ทำให้หลงงมงาย และสิ้นเปลืองเงิน
กำเนิดผู้คน จึงควรมีวัฒนธรรมหรือค่านิยมใน ทองไปโดยเปล่าประโยชน์อย่างแท้จริง ไม่ใช่
แง่การปกปิดให้มิดชิด เรียบร้อย สวยงาม เฉพาะงานธรรมดาทว่ั ไป แมแ้ ตง่ านทเ่ี กย่ี วขอ้ ง
ไม่ต้องถึงกับต้องแต่งตัวเป็นหญิงแบบโบราณ กับพระพุทธศาสนา เชน่ ทอดกฐิน ทอดผา้ ปา่
เพียงแต่อย่าให้หวือหวาหรือวับๆ แวมๆ
บวชนาค ฯลฯ ก็ยังมีลักษณะเป็นเช่นนั้นด้วย
ในท่ีสาธารณะจนดูน่าเกลียด นักเรียน นัก แทนที่จะเป็นมงคลแก่ชีวิต กลับกลายเป็น
ศึกษา ข้าราชการ ฯลฯ ควรมีข้อกำหนด อวมงคลไป
บงั คบั ในเรอ่ื งการแต่งกายใหส้ ุภาพ
301
การพัฒนาอินทรยี สังวร
สุภรี ์ ทุมทอง
ดังนั้น ควรมีค่านิยมในการจัดงานให้ถูกต้อง (๗.๖) วัฒนธรรมทางดนตรีควรมีความ
ให้เปน็ มงคล เป็นสง่ิ ดีงามแกช่ วี ติ อยา่ งแท้จริง เยือกเย็นและเนื้อหาเป็นคติสอนใจ ดนตรี
เปน็ งานทมี่ แี ตก่ ารคดิ ดี ทำดี พดู ดี ถกู ตอ้ ง หรือศิลปะแขนงใดแขนงหนึ่งควรมีความสงบ
ตามหลักสุจริตและมงคล ๓๘ ประการ เยือกเย็น มีเน้ือหาท่ีสอนใจผู้ท่ีได้ฟัง เพราะ
หากจัดแล้วไม่เป็นมงคลก็ไม่ควรจัดเลยเสียดี เนื้อหาของเพลงต่างๆ เป็นทำนอง มีความ
กว่า เพราะอย่างน้อยที่สดุ ก็ไมม่ ีเรื่องยุง่ ยาก ไพเราะ ท่องจำได้ง่าย หากเน้ือหาตรงตาม
และไมเ่ สียเงินทองโดยเปลา่ ประโยชน ์
หลักสัจธรรมและเป็นคติสอนใจ ก็จะช่วย
กล่อมเกล่าจติ ใจผู้ทฟ่ี งั ไดบ้ า้ ง ทำใหจ้ ิตใจสงบ
(๗.๕) ใหร้ จู้ กั ทตี่ ำ่ ทสี่ งู ควรสง่ เสรมิ วฒั นธรรม เยือกเย็นลง และบางคร้ังอาจพิจารณาเห็น
หรอื คา่ นิยมทร่ี จู้ ักท่ีต่ำที่สูง เปน็ การฝึกฝนให้มี ความจริงได้จากเน้อื หาของดนตรนี ั้นแหละ
จิตท่ีอ่อนโยนและมีความประณีต ทำให้
ทำลายความสำคัญตนได้ ต้องรู้จักเคารพ
เคารพพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ พระภิกษุ
สามเณร แม่ชี หรือญาติผู้ใหญ่ เปน็ ตน้ ตอ้ ง
ให้ความเคารพ ต้องกล่าวคำขอโทษ ขอขมา
ให้ถูกต้องเหมาะสมกับบุคคลน้ันๆ ในสถานที่
สำคัญๆ ก็ควรมีการบังคับให้มีการอ่อนน้อม
ตามรูปแบบที่เหมาะสม ไม่ให้ทำตามใจของ
ตนเอง เช่น พระเจดีย์ โบสถ์ ควรให้ถอด
รองเท้า ห้ามพูดคุยกันหรือทำกิริยาอาการไม่
เหมาะสม เปน็ ต้น
302
การพฒั นาอินทรยี สงั วร
สุภีร์ ทุมทอง
จากคำแนะนำวิธีปฏิบัติอินทรียสังวรทางทวาร สำหรับการฝึกเพ่ือเตรียมพัฒนาอินทรียสังวร
ท้ัง ๖ ตามที่กล่าวมาน้ัน สรุปความได้ว่า เป็นการฝึกใช้อินทรีย์ ให้ถูกต้องต้ังแต่ต้น โดย
การฝึกให้มีสติเตรียมพร้อมเอาไว้ก่อนนั้นมี เฉพาะการปรับมนินทรีย์ ให้มีความรู้ท่ีถูกต้อง
ความสำคัญมาก เม่ือรับรู้อารมณ์จะได้ ไม่ ได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไรและจะปฏิบัติต่อส่ิงน้ัน
ขาดสติ ไม่ถูกอารมณ์ฉุดดึงจิตออกไป
อย่างไร แล้วทำสมาธิภาวนาเพื่อฝึกฝนจิต
ภายนอก จนทำให้เกิดความยินดียินร้ายและ ให้เป็นจิตท่ีมีสติสัมปชัญญะ สามารถนำไปฝึก
เกิดกิเลสอื่นๆ ติดตามมา เมื่อมีการรับรู้ อินทรียสังวรต่อไปได้ รวมทั้งการปฏิบัติข้ัน
อารมณ์ ใดๆ แล้ว ก็อย่าใส่ ใจในแง่น่าพอใจ พื้นฐาน การให้การศึกษาและการดำรงชีวิต
หรือไม่น่าพอใจ อย่าตามอารมณ์เหล่านั้นไป ประจำวันให้ถูกต้อง เป็นการเตรียมจิตให้มี
ใหก้ ลบั มามีสตอิ ยทู่ ีต่ นเอง พจิ ารณาอารมณ์ ความอ่อนโยน พรอ้ มสำหรับการฝึก ทำให้ฝึก
น้ันให้เห็นความจริงในแง่ที่ทำให้จิตวางเฉยได้ ข้ันสงู ตอ่ ไปไดง้ ่ายข้ึน
ทำให้จิตมีความต้ังมั่นเป็นกลาง และพิจารณา
ให้ลึกซึ้งลงไป ให้เห็นลักษณะสามัญท่ีเป็น
สาธารณะแก่สังขารท้ังหลายทั้งปวงว่า เป็น
สิ่งไมเ่ ที่ยง เป็นทกุ ข์ เป็นอนัตตา
303
การพฒั นาอนิ ทรยี สังวร
สภุ รี ์ ทมุ ทอง
๕ สรุปและขอ้ เสนอแนะ
3
04การพฒั นาอนิ ทรียสงั วร
สุภรี ์ ทุมทอง
๕.๑ สรปุ ผลการวิจยั
จากการวิจัยเก่ียวกับเร่ืองการพัฒนาอินทรียสังวรในพระพุทธศาสนาเถรวาท ที่ได้ทำมาต้ังแต่
ตน้ สามารถสรปุ ผลการวจิ ยั ได้เปน็ ขอ้ ๆ ตามลำดบั เน้ือหา ดังตอ่ ไปน้ี
๕.๑.๑ ความหมายของอนิ ทรียสงั วร
คำวา่ “อินทรยี ์” ในหลกั ธรรมเรอ่ื งอินทรียสังวรน้ี หมายถึง อนิ ทรยี ์ ๖ ประการ ไดแ้ ก่ ตา ห ู
จมูก ล้ิน กาย ใจ เป็นอายตนะภายใน ซึ่งโดยสภาวะแล้วก็เปน็ สิง่ ท่วี ่างเปล่าจากตวั ตน เปน็
เพียงสภาวธรรมแต่ละอย่างท่ีเกิดข้ึนและเป็นไปตามเหตุปัจจัย เป็นกองทุกข์ท่ีมาจากความ
เปล่ียนแปลงและเปลี่ยนแปลงไปเร่ือยๆ ไม่มีการหยุดนิ่ง เป็นส่ิงท่ีตกอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ของ
ธรรมะฝ่ายสังขาร คอื เป็นสิ่งไมเ่ ที่ยง เปน็ ทุกข์ เปน็ อนตั ตา ได้ชอื่ ว่าเปน็ อนิ ทรยี ์ ในแงท่ ีว่ า่ เป็น
ใหญ่ในกิจหน้าที่เฉพาะอย่างซ่ึงเป็นผลมาจากกรรมเก่า ตาเป็นใหญ่ในการมองดู หูเป็นใหญ่ใน
การฟัง จมูกเป็นใหญ่ในการดมกล่ิน ล้ินเป็นใหญ่ในการล้ิมรส กายเป็นใหญ่ในการสัมผัสทาง
ผิวหนัง ใจเป็นใหญ่ในการรับรู้อารมณ์ทุกอย่าง ตลอดจนความรู้สึก นึกคิด ทัศนคติ อุดมคติ
และคดิ ปรุงแต่งใหเ้ กิดกระทำตา่ งๆ
305
การพฒั นาอนิ ทรียสังวร
สภุ ีร์ ทุมทอง
คำว่า “สังวร” หมายถึง การปดิ กั้น ปอ้ งกนั เม่ือว่าโดยสภาวะของการสังวรและอสังวร
ไม่ ให้มีบาปอกุศลธรรมทั้งหลายเกิดขึ้นในจิต เป็นการตัดสินกันท่ีชวนจิตหลังจากท่ีมีการรับรู้
เวลาทมี่ กี ารรบั รูอ้ ารมณ์ทางทวารทงั้ ๖ หรอื อารมณ์ทางทวารทั้ง ๖ แล้ว หากชวนจิตที่
จะหมายถึงการคุ้มครอง การป้องกันรักษาจิต เกิดขน้ึ เป็นกุศล มีธรรมะฝ่ายกุศล คอื ศลี
ไม่ให้ถูกกิเลสครอบงำ ซึ่งทำได้โดยการฝึกให้ สติ ปัญญา ขันติ และวิริยะอย่างใดอย่าง
มีสติระลึกรู้อยู่ ในกายของตนเองให้ม่ันคงไว้ หน่ึงเกิดข้ึน ช่ือว่ามีอินทรียสังวรเกิดข้ึน
เมื่อรับรู้อารมณ์แล้ว อารมณ์ก็จะไม่ฉุดจิตให้ ทางทวารนั้นๆ แต่หากชวนจิตที่เกิดขึ้นเป็น
ออกไปสนใจภายนอก ไมห่ ลงยินดีในอารมณท์ ่ี อกศุ ล มธี รรมะฝา่ ยอกศุ ลเกิดข้นึ คอื ความไม่
น่ารกั ไมเ่ กลียดชังในอารมณท์ ่ีไม่น่ารัก มจี ิตท่ี มีศีล การลืมสติ ความหลง ความไม่อดทน
ไม่ถูกกิเลสครอบงำ และรู้วิธีการฝึกฝนให้ และความเกียจคร้านอย่างใดอย่างหนึ่งเกิดข้ึน
หมดจดจากกิเลสต่างๆ ด้วยการทำกรรมฐาน ชื่อว่าไม่มีอินทรียสังวรทางทวารนั้นๆ เป็นเหตุ
เป็นการป้องกันที่ตน้ เหต
ุ ให้เกิดความยินดียินร้ายและบาปอกุศลธรรม
อ่ืนๆ เกิดตดิ ตามมาครอบงำจิตใจได้
ในการพัฒนาอินทรีย์อันยอดเยี่ยมในอริยวินัย
น้ัน เป็นการฝึกให้จิตมีความเป็นกลางต่อ
อารมณ์ต่างๆ ให้รวดเร็ว ปล่อยความพอใจ
ไม่พอใจแล้ววางเฉยได้ ไวย่ิงขึ้น จนมีปัญญา
หมดความเห็นผิดและความยึดม่ันถือมั่นในสิ่ง
ต่างๆ ได้ เป็นผู้มีอำนาจเหนืออารมณ์ต่างๆ
306
ได้ในทีส่ ดุ
การพัฒนาอนิ ทรยี สงั วร
สุภีร์ ทุมทอง
๕.๑.๒ ความสำคัญของอนิ ทรียสังวร
ในทางพระพุทธศาสนาน้ัน ผู้ที่ ได้ฝึกพัฒนา อินทรีย์ ๖ น้ี เป็นจุดเร่ิมต้นของการรับร้ ู
อินทรียสังวรมาจนสมบูรณ์แล้วได้แก่พระ และทำให้มีเร่ืองราวต่างๆ สืบต่อ ขยาย
อรหันต์ ท่านได้ผ่านการฝึกฝนพัฒนามา แตกตัว กระจายออกไปเร่ือยๆ จนดูเหมือนมี
จนกระทั่งเกิดอาสวักขยญาณ มีวิชชา รู้แจ้ง อะไรจนเต็มโลก แท้จริงเป็นเพียงโลกในความ
อริยสัจสมบูรณ์แล้ว หมดกิเลสโดยสน้ิ เชิงแลว้ ร้สู กึ ของแต่ละบุคคล ทป่ี รงุ แตง่ ตอ่ มาจากการ
ท่านจึงปิดกั้นกิเลสไม่ให้เกิดขึ้นเม่ือมีการรับรู้ รับรู้อารมณ์ทางทวารทั้ง ๖ อาศัยตากระทบ
อารมณต์ ่างๆ ไดท้ กุ อารมณ์ เปน็ ผู้ท่ีมปี ญั ญา กับรูป เกิดการมองเหน็ ขึ้น เปน็ การสัมผสั ทาง
วางเฉยต่อสังขารท้ังหลายท่ีมาปรากฏทาง ตา ต่อจากจุดน้ี ก็ทำให้เกิดความรู้สึกว่ามี
ทวารทั้ง ๖ ได้ชื่อว่าผู้ที่มีอินทรียสังวร ผูค้ น ผูห้ ญงิ ผชู้ าย หมา แมว สวย ไมส่ วย
อย่างสมบูรณ์ ส่วนพระอริยเจ้าลำดับรองลง สูง ตำ่ ดำ ขาว ใหญ่ เลก็ เพ่ิมขนึ้ มามากมาย
มายงั ไม่สมบรู ณ์ เพราะยังมีความยนิ ดียนิ รา้ ย จากความไม่มีอะไรเลย อาศัยตาก็มีโลกทาง
ในบางอารมณ์ ได้ มากน้อยตามกำลังสติ ตาขน้ึ มา โลกทางหู โลกทางจมกู โลกทางลน้ิ
ปญั ญา ส่วนปุถุชนยอ่ มมีความยินดยี นิ รา้ ยเกิด โลกทางกาย โลกทางใจ ก็โดยทำนองเดยี วกัน
ขึ้นในอารมณ์มากมาย ต้องอาศัยการป้องกัน โดยเฉพาะโลกทางใจย่ิงแตกตัวมากมาย มี
ใหห้ า่ งไกลจากกิเลส โดยการสำรวมระวังการ ความเชื่อ ความเห็น หลักวิชา ปรัชญา แนว
กระทำ คำพูด ความคิด การเลือกอารมณ์ คิด ทฤษฎี ทัศนคติ อุดมคติ เกิดขึ้นมา
การมีเคร่ืองอยู่เป็นสุขในปัจจุบันที่เหมาะสม มากมายในโลกน้ี และจะเกิดขึ้นอีกต่อไปไม่มีท่ี
เอาไว้เพ่ือไม่ให้ใจหวนกลับไปหาความสุขจาก สน้ิ สุด
การเสพอารมณ์ ตลอดจนการฝึกฝนทำกรรม
ฐานต่างๆ เพื่อให้เกิดสมาธิและเกิดปัญญา
ให้ห่างไกลจากกเิ ลสตา่ งๆ
307
การพัฒนาอินทรียสังวร
สภุ รี ์ ทมุ ทอง
นอกจากจะเป็นจุดเร่ิมต้นแล้ว อินทรีย์ ๖ ครอบครอง ไม่อยากสูญเสียสิ่งน้ันไป ก็เกิด
ประการเหล่านี้ยังเป็นจุดท่ีเป็นทางแยก การกระทำตามความหลงของตนวนเวียนไป
เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อของทางสองแพร่งใน เรื่อยๆ โลภะ โทสะ โมหะจงึ เปน็ กิเลสมูลฐาน
การดำเนินชีวิต จะเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ จะ
ให้เกิดการกระทำทางกาย ทางวาจาและทาง
ไมม่ ีปญั หาหรอื มปี ญั หา จะเปน็ กศุ ลหรืออกุศล ใจ กิเลสอ่ืนๆ ท้ังความอิจฉาผู้อื่นท่ีมีมากกว่า
จะมีกิเลสมากข้ึนหรือกิเลสลดลง จะหลง ตระหนี่หวงแหนของที่มี ไม่อยากให้คนอ่ืนได้
งมงายหนักขึ้นหรือมีความฉลาดรู้เท่าทันส่ิง ไป มคี วามสำคญั ตนเพราะอาศยั การครอบครอง
ต่างๆ เพิ่มขึ้น ก็เริม่ ต้นจากจดุ นเ้ี ช่นเดยี วกนั
สงิ่ นั้นเป็นตน้ กเิ ลสเหล่าน้นั ผลกั ดันใหเ้ กิดการ
กระทำ คำพูด และความคิดท่ีผิดพลาด เป็น
ทางสายหน่ึง นำไปสู่ความมัวเมาประมาท กายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ความทุกข์
ลุ่มหลง หมกมุ่น จมติดอยู่กับโลกหนักยิ่งข้ึน และปัญหาก็ติดตามมามากมายเหลือจะคณา
ไปเรื่อยๆ ก่อให้เกิดบาปอกุศลแตกตัวไป นับ แล้วยังต้องเวียนเกิดเวียนตายในภพชาติ
มากมาย ตามองเห็นรูป แล้วก็เกิดความลุ่ม ต่างๆ ไม่มีส้ินสุด หาท่ีสุดเบ้ืองต้นและเบื้อง
หลงในสิ่งท่ีมองเห็น ไม่มีปัญญารู้ความจริง ปลายไม่ ได้ พากันติดอยู่ ในคุกชีวิต หาทาง
ของส่งิ นน้ั นีเ้ รยี กว่าโมหะ ตามองเหน็ รปู แลว้ ออกไม่ได้
อยากไดส้ ิ่งนั้น รสู้ กึ ติดข้อง อยากครอบครอง
เป็นเจ้าของ นี้เรียกว่าโลภะ เมื่อไม่ได้ส่ิงน้ัน
สิ่งน้ันไม่เป็นไปตามที่ใจปรารถนา สูญเสียสิ่ง
นั้นไปด้วยเหตุใดเหตุหน่ึง หรือมีผู้อ่ืนพรากส่ิง
นนั้ ไป ทำให้ไม่ไดร้ บั สง่ิ นนั้ กห็ งดุ หงดิ ขดั เคอื ง
ไม่พอใจ นเี้ รยี กวา่ โทสะ เม่ืออยากได้ส่งิ นน้ั มา
308
การพัฒนาอนิ ทรยี สังวร
สุภีร์ ทมุ ทอง
ทางอีกสายหน่ึง นำไปสู่การรู้เทา่ ทัน มีสติ ความสำคัญอยู่ท่ีว่า หากไม่มีความรู้เพียงพอ
สัมปชัญญะ สำรวมระวัง ใช้ส่ิงที่มองเห็น ไมร่ คู้ วามจรงิ ของสิง่ ทัง้ ปวง ไม่ร้จู กั วิธปี ฏิบัติท่ี
ได้ยิน ดมกลน่ิ ลิ้มรส สมั ผสั รับรู้ทางใจ เป็น ถูกต้องต่อสิ่งนั้น จนกระท่ังไม่รู้จักความ
อุปกรณ์ ในการศึกษาเรียนรู้ ฝึกฝนตนเองจนมี สำรวมระวังอินทรียแ์ ลว้ ตามปกตมิ นุษย์ทว่ั ไป
ปญั ญามองเหน็ ความจรงิ ของสงิ่ นนั้ ไมป่ ระมาท จะถูกชักจูงให้ดำเนินชีวิตไปในทางที่จะลุ่มหลง
ไม่มัวเมา ไม่ลุ่มหลง ไม่จมติดอยู่กับโลก
หาความสขุ จากอารมณ์ต่างๆ พากเพยี รศึกษา
ละกรรมชั่ว ประกอบแต่กรรมท่ีดี กายสุจริต เรียนรู้ ทำการงานต่างๆ ก็เพ่ือแสวงหารูป
วจีสุจริต มโนสุจริต จนกระท่ังมีปัญญาเบื่อ เสยี ง กลิ่น รส สมั ผสั ทนี่ ่าพอใจ และสงิ่ ทท่ี ำ
หนา่ ย คลายกำหนดั หลุดพน้ เปน็ อสิ ระไปจาก ให้สนุกสนาน มาปรนเปรอ ตา หู จมูก ลิ้น
สงิ่ เหล่านนั้
ผิวกาย และใจของตนตามความอยาก รูป
เสยี ง กล่ิน รส สัมผัส ธรรมารมณท์ ่ีดีกด็ ึงดูด
ใจให้วิ่งไปไขว่คว้า ทำให้พลอยเกลียดชัง
อารมณ์ฝ่ายตรงข้าม เกิดความหลงรักหลงชัง
อารมณ์ต่างๆ เป็นเหตุเพิ่มพูนกิเลสขึ้นมา
มากมาย ตอ้ งแก่งแย่งแขง่ ขันกัน เพอื่ ให้ไดร้ ูป
เสยี ง กล่ิน รส สมั ผสั ท่ีนา่ พอใจ สร้างความ
เดือดร้อนวุ่นวายให้แก่ตนเองและบุคคลอ่ืน
แก่สงั คมประเทศชาติ ทำลายทรัพยากร เกดิ
การแยง่ ชิง เอารดั เอาเปรียบกัน
309
การพัฒนาอินทรียสังวร
สภุ ีร์ ทุมทอง
อินทรียสังวรจึงเป็นทางแยกท่ีสำคัญเกี่ยวกับ โดยปกติมนุษย์ปุถุชนท้ังหลายพากันแสวงหา
เรื่องน้ี เป็นการเตือนให้มีสติ หยุดย้ังการ ความสุข ว่ิงหนีความทุกข์ ส่วนใหญ่พากันคิด
กระทำตามความเคยชิน ฝึกให้รู้จักสำรวม ว่า ได้ดูรูปสวยๆ ฟังเสียงเพราะๆ ดมกล่ิน
ระวังในการใช้งาน ใช้อินทรีย์ท้ัง ๖ ให้ หอมๆ ลิ้มรสอร่อยๆ สัมผัสทางผิวกายที่อ่อน
ถูกต้อง เป็นไปเพ่ือความสงบจากความยินดี นุ่ม ได้มีอะไร ได้เป็นอะไร อย่างที่ ใจอยาก
ยินร้าย ปราศจากอคติในอารมณ์ต่างๆ เพื่อ ไม่มีอะไรบางอย่างที่ไม่น่าปรารถนา แล้วจะ
การศึกษาให้เกิดสติปัญญาย่ิงๆ ข้ึนไป เมื่อใช้ ทำใหม้ ีความสขุ ความพยายามของพวกเขาจึง
ชวี ติ ไปในโลก ตามองเหน็ รูป กเ็ ป็นไปเพอ่ื ใหม้ ี ทุ่มเทมุ่งให้ ได้ รูป เสียง กล่ิน รส สัมผัส
สติสัมปชัญญะเข้มแข็งข้ึน มีปัญญาเข้าใจ และอารมณ์ท่ีน่าปรารถนา หาวิธีป้องกันไม่ให้
ความจริงของโลกเพิ่มข้ึน หูได้ยินเสียง ก็เป็น ส่งิ ที่ไมน่ า่ ปรารถนานั้นมาถึงตน
ไปเพอื่ ใหม้ สี ตสิ ัมปชญั ญะเขม้ แข็งขึน้ มปี ัญญา
เข้าใจความจริงของโลกเพ่ิมขึ้น แม้ทางทวาร
อืน่ ๆ กท็ ำนองเดยี วกนั สามารถอยู่ในโลกดว้ ย
ความรู้เท่าทัน ไม่อยู่ด้วยอำนาจตัณหาและ
ทิฏฐิ จนกระทั่งพ้นทุกข์ เป็นอิสระจากโลกไป
ในที่สดุ
310
การพฒั นาอนิ ทรยี สงั วร
สุภีร์ ทุมทอง
แต่ตามความเป็นจริงของสิ่งท้ังหลายทั้งปวง ส่วนหลักของอินทรียสังวรนั้น มุ่งการ
ทง้ั ความสขุ ทีแ่ สวงหากด็ ี รปู เสียง กล่นิ รส ระมัดระวังใจตนเอง ไม่ให้หลงไปยินดียินร้าย
สมั ผัส และอารมณท์ ี่นา่ ปรารถนากด็ ี ลว้ นแต่ ในอารมณท์ ่มี าปรากฏ ทางตา หู จมูก ลิ้น
เป็นของไม่เท่ียง ไม่สามารถให้ความสุขได้ กาย และใจ หากมสี ิ่งใดที่ตอ้ งเขา้ ไปเกยี่ วข้อง
อย่างแท้จริง ไม่มีแก่นสาร ไม่มีใครที่จะเอา จัดแจง จัดการหรือนำมาใช้สอย ก็เข้าไป
มาเป็นเจ้าของครอบครองได้ พวกที่พากันวิ่ง เก่ียวข้องด้วยความระมัดระวัง ไม่ให้เกิดเป็น
หาความสุขจากการได้รูปเป็นต้น จึงไม่อาจจะ พษิ เป็นภยั แก่ตนเองและผูอ้ ่ืน การมสี ต ิ สงั วร
มีความสุขได้อย่างแท้จริง ต้องเป็นทุกข์ ระมดั ระวัง ไม่หลงไปตามรปู เสียง กลิ่น รส
ทรมานในการแสวงหามาด้วยความยาก สัมผัส ธรรมารมณ์ ทำให้ไม่เกิดกิเลสข้ึนมา
ลำบาก ได้มาแล้วก็ต้องดูแลรักษาไม่ ให้มัน บบี ค้ันจิตใจของตนเอง ท้ังในแงค่ วามอยากจะ
เสื่อม ไม่ให้มันเสียหายไป อยากให้เป็นของ ได้ อยากจะมี อยากจะเอาอารมณ์ท่ีน่าพอใจ
เราหรือของฝ่ายเราอย่างเดียว ซ่ึงเป็นการฝืน ที่เรียกว่าอภิชฌา และในแง่ความหงุดหงิด
กฎธรรมชาติอยา่ งรุนแรง เขาประสบกบั ความ ไม่พอใจต่ออารมณ์ท่ี ไม่น่าพอใจ ที่เรียกว่า
ทุกข์ทรมานและมีปัญหามากมาย แม้มีวัตถุ โทมนัส
ส่ิงของ เงินทอง เคร่ืองอำนวยความสะดวก
มากมาย กห็ าความสขุ ในชีวติ ไม่ได้
311
การพฒั นาอินทรียสงั วร
สุภีร์ ทมุ ทอง
เม่ือไม่มีกิเลสอันเป็นต้นเหตุของความทุกข์ที่ ไม่อาศัยสิ่งเร้าภายนอก เป็นความสุขท่ี ไม่
คอยมาบีบค้ันจิตใจ ใจก็จะมีความสงบและ ระคนด้วยกิเลส จิตใจสะอาด ปลอดโปร่ง
เกิดความสุขในภายในข้ึนมาเอง เป็นความสุข และจะเป็นไปเพื่อเป็นสมาธิและปัญญาต่อไป
ที่ไม่ต้องอิงอาศัยวัตถุมาเร้าหรือกระตุ้นให้เกิด ซ่ึงสภาวะทางจิตท่ีดำเนินไปจากนี้ล้วนเต็มไป
ไม่ ใช่สุขท่ีเกิดจากการได้สมใจกิเลส แต่เป็น ด้วยความสุข เมื่อมีอินทรียสังวรก็จะเป็นไป
ความสุขในภายในจิตใจของตนเอง อย่างที่ เพ่ือให้เกิดสมาธิ ซึ่งธรรมฝ่ายสมาธิล้วน
พระพุทธองค์เรียกว่าอัพยาเสกสุข เมื่อเป็น เกี่ยวกับข้องกับความสุข คือ ปราโมทย์
ดังน้ีแล้ว ความสุขก็เป็นไปได้ โดยง่ายดาย ปีติ ปัสสัทธิ สุข สมาธิ และทำให้ถึงความ
เพราะเขาได้พบกับแหล่งที่มาของความสุขจาก สิน้ ไปแหง่ ทุกขท์ ้ังปวงไดอ้ กี ด้วย
ภายใน เป็นผู้มีความสามารถที่จะเป็นสุขโดย
๕.๑.๓ วิธีปฏบิ ัติอนิ ทรยี สังวรและหลักธรรมท่เี กยี่ วขอ้ ง
วิธีปฏิบัติอินทรียสังวรในพระพุทธศาสนานั้นไม่ และไม่เกิดทุกข์ต่างๆ ติดตามมา ในทาง
ได้ห้ามการรับรู้อารมณ์ แต่เป็นการฝึกให้มีสติ ตรงกันข้าม หากเกิดปัญหาขึ้นมาแล้ว บาป
รู้เท่าทัน เม่ือรับรู้อารมณ์ ใดๆ แล้วจะได้ ไม่ อกุศลหรือเป็นดังมารได้ช่องเข้ามาแล้วก็จะ
เกิดความยินดียินร้าย หรือหากเกิดความ แก้ไขยาก ท้ังที่เป็นคนดี มีความรู้จักผิดชอบ
ชอบใจไม่ชอบใจขึ้น ก็สามารถรู้ทันและทำให้ ชั่วดี แต่ก็ไม่สามารถอดทนต่อความเย้ายวน
ความชอบใจความไม่ชอบใจท่ีเกิดข้ึนดับไปได้ หรือโทสะที่รุนแรง ทำบาปอกุศลลงไปได้
โดยรวดเร็ว วิธีนี้เป็นการป้องกันต้ังแต่ข้ันต้น ดังน้ัน การป้องกันไว้ต้ังแต่ข้ันต้นจึงเป็นสิ่งท่ี
ท่ีสุด ทำให้ ไม่เกิดบาปอกุศล ไม่เกิดปัญหา สำคัญมาก
312
การพัฒนาอนิ ทรยี สังวร
สภุ ีร์ ทมุ ทอง
องค์ธรรมสำคัญที่ใช้ระมัดระวังต้ังแต่ต้นก็คือ ได้ เมอ่ื มปี ญั ญากจ็ ะยอ้ นกลบั มารกั ษาคมุ้ ครอง
การมสี ติ ซึ่งเป็นตัวควบคมุ จติ ไว้ใหอ้ ยู่กับหลัก อินทรีย์ ได้ละเอียดและลึกซึ้งขึ้น สามารถ
ไม่ ให้ถูกอารมณ์ลากจิตออกไป เหมือนเชือก ปอ้ งกนั กเิ ลสไดม้ ากขน้ึ เสรมิ กนั ไปอยา่ งน้ี
สำหรับดึงจิตไว้ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าการ
คุ้มครองทวาร เม่ือมีสติเตรียมพร้อมต่ืนตัว ดังนั้น การฝึกให้มีสติอยู่กับตัว มีความรู้ตัว
อยู่เสมอ เป็นผู้ไม่ประมาท หากรับรู้อารมณ์ ตื่นตัว เป็นผู้ไม่ประมาทอยู่เสมอ จึงมีความ
ใดๆ แล้ว ไม่ปล่อยจิตออกไปสนใจตามนิมิต สำคญั มากในการพฒั นาอนิ ทรยี สงั วร สตทิ จี่ ะ
และอนพุ ยญั ชนะ มีสติในกายต้ังม่ันดี อยา่ งน้ี มีมากข้ึนมาได้น้ันก็ด้วยการฝึกกรรมฐานต่างๆ
ก็จะทำให้ไมเ่ กดิ ความชอบใจไม่ชอบใจ สตนิ ้นั ตามรูปแบบท่ีเหมาะสมกับตนเอง โดยเฉพาะ
เป็นหลักธรรมในฝ่ายสมาธิ ทำให้มีการใช้ การฝึกให้มีสติรู้อยู่ในกายตนเองเสมอท่ีเรียก
กำลงั จติ และมกี ารควบคุมจิตอยเู่ สมอ การ วา่ กายคตาสติ เมอ่ื มสี ตอิ ยกู่ บั ตนเองกเ็ หมอื น
ฝึกสติอย่างน้ีจึงเป็นการฝึกให้จิตมีสมาธิไป กับมีเสาหรือหลักที่ม่ันคงดี การปล่อยจิตให้
ดว้ ยในตวั คอื เมอ่ื มสี ติบอ่ ยๆ ตอ่ เนื่องในทกุ ๆ ล่องลอยไปสนใจอารมณ์ต่างๆ ก็น้อยลง
อิริยาบถ จิตก็จะมีความต้ังมั่นมากขึ้น ได้รับ นอกจากการฝึกให้มีสติด้วยกรรมฐานต่างๆ
การคุ้มครองมากขึ้น เรียกว่ามีทวารที่ แล้ว ก็มีเทคนิควิธีการอ่ืนๆ ที่จะช่วยให้มีสติ
คุ้มครองแล้วในอินทรีย์ท้ังหลาย เม่ือจิตมี มากขนึ้ มคี วามสำรวมระวงั ดขี นึ้ เชน่ การรจู้ กั
ความตั้งม่ันเป็นสมาธิ ก็สามารถนำมาใช้งาน เลือกอารมณ์ หลบหลกี อารมณห์ รือสถานทซ่ี ง่ึ
ด้านปัญญา มองเห็นความจริงได้ เม่ือรับรู้ ไม่เหมาะสม ปฏิบัติตามระเบียบวินัยให้
อารมณ์เข้ามาแล้ว พิจารณาอารมณ์นั้นเพื่อ เคร่งครัดไม่ปฏิบัติตามความชอบใจของกิเลส
เกดิ ความรเู้ ทา่ ทนั เชน่ พจิ ารณาคณุ โทษ ขอ้ ดี รจู้ กั ใส่ใจใหถ้ กู ตอ้ ง เตอื นตนเองอยเู่ สมอ หรอื
ขอ้ เสยี ของอารมณน์ นั้ และอยเู่ หนอื อารมณน์ นั้ ตง้ั กตกิ าบางอยา่ งกบั ตนเอง เปน็ ตน้
313
การพฒั นาอนิ ทรียสงั วร
สุภรี ์ ทุมทอง
อนิ ทรีย์ที่ไดร้ บั การพฒั นาขึน้ เปน็ การพัฒนาท่ี สำหรับธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงประกาศเอา
ยอดเยย่ี ม คอื เม่ือตาเหน็ รูปเป็นต้นแลว้ เกดิ ไว้ดีแล้ว ก็เพ่ือให้ประพฤติพรหมจรรย์เพื่อ
ความชอบใจ เกิดความไม่ชอบใจ และเกิดทั้ง ความสิ้นไปให้ทุกข์ โดยชอบ ในการกระบวน
ความชอบใจและความไม่ชอบใจ ก็รู้ชัดอย่าง พัฒนาตนเพ่ือความพ้นทุกข์น้ัน ต้องพัฒนาตน
รวดเรว็ เหน็ ว่าเป็นสิ่งทีห่ ยาบ ความชอบและ ให้เหนือโลก โลกนั้นเป็นทุกข์ เป็นส่ิงท่ีไร้แก่น
ไม่ชอบดับไป จิตเป็นอุเบกขาได้อย่าง สาร ไม่สามารถจะเป็นท่ีพ่ึงได้ เราจึงไม่
รวดเร็ว เปรียบเหมือนคนตาดีกะพริบตา สามารถหาความพ้นทุกข์ ในโลกได้ ความพ้น
ส่วนผู้ที่พัฒนาอินทรีย์ ได้เรียบร้อยแล้ว เป็นผู้ ทุกข์น้ันได้แก่สภาวะเหนือโลกคือพระนิพพาน
ท่ีสามารถควบคุมอินทรีย์ ได้ สามารถใช้งาน ซ่ึงเป็นสิ่งท่ีควรกระทำให้แจ้ง ในกระบวนการ
ตามใจปรารถนา
พัฒนาตนเองเพื่อกระทำให้แจ้งพระนิพพาน
นั้น อินทรียสังวรเป็นหลักธรรมท่ีสำคัญ
มาก เป็นตัวรับช่วงการพัฒนาต่อมาจาก
การมีศีล และเป็นตัวหนุนช่วยให้จิตเกิด
สมาธิ เป็นจิตที่ปราศจากกิเลส อ่อนโยน
สงบ คลอ่ งแคล่ว พร้อมสำหรบั การใช้งาน
ในดา้ นปญั ญา
314
การพัฒนาอนิ ทรยี สังวร
สภุ ีร์ ทมุ ทอง
แม้ในทุกข้ันตอนของการปฏิบัติก็ยังคอยหนุน อินทรียสังวรน้ันมีความเก่ียวข้องกับหลักธรรม
อยู่เสมอ เพราะคนเราจะต้องมีการใช้อินทรีย์ อื่นๆ เช่น เป็นธรรมะฝ่ายสมาธิในไตรสิกขา
ทั้ง ๖ อยู่เป็นประจำ หากใช้อินทรีย์อย่าง เป็นธรรมะสำคัญในปฏิจจสมุปบาทฝ่ายนิโรธ
ถูกต้องเปน็ พน้ื ฐาน นอกจากช่วยปอ้ งกันกิเลส วาระ เป็นการฝึกสติตามหลักสติปัฏฐาน เป็น
ป้องกันความชั่วเสียหายต้ังแต่ข้ันต้น และ ธรรมะพื้นฐานในการปฏิบัติเพ่ือให้จิตเป็นสมาธิ
ป้องกันความทุกข์ ไม่ ให้เกิดขึ้นได้แล้ว ยัง เป็นหน่ึงในข้อปฏิบัติท่ีเป็นทางนำไปสู่ความพ้น
ป้องกันความคิดปรุงแต่งต่างๆ ท่ีบิดเบือนข้อ ทุกข์ เรียกว่าจรณะ ๑๕ เป็นการทำความ
เท็จจริงไปตามอคติ การรับข้อมูลก็ถูกต้อง เพียรในการป้องกันไม่ ให้เกิดกิเลสข้ึนทาง
บริสุทธิ์ ไม่บิดเบือน ไม่เอนเอียง ไม่เจือด้วย ทวารทั้ง ๖ เป็นหลักอย่างหน่ึงในปธาน ๔
ตัณหาและทิฏฐิ ไม่มีความคิดนึกปรุงแต่งเข้า เป็นคำส่ังสอนท่ีพระพุทธเจ้าทรงพร่ำสอน ให้
มาครอบงำ มุมมองก็ชัดเจนเต็มที่ ทำให้เกิด สาวกท้ังหลายนำไปปฏบิ ตั ิ แลว้ จะมปี าฏิหาริย์
ปัญญา มองเห็นสิ่งท้ังหลายทั้งปวงตามความ คือความน่าอัศจรรย์เกิดขึ้นกับผู้ที่นำไปปฏิบัติ
เป็นจรงิ ได้โดยงา่ ย
ทำให้หมดกิเลส หมดความทุกข์ ได้อย่าง
แท้จริง ซ่ึงเป็นปาฏิหาริย์ที่พระพุทธเจ้า
ยกย่อง เรียกว่าอนุสาสนีปาฏิหาริย ์ เป็นข้อ
ปฏิบัติท่ีไม่ผิดพลาด นำแต่ผลท่ีดีมาให้ เรียก
วา่ อปัณณกธรรม เปน็ ตน้
315
การพฒั นาอนิ ทรียสังวร
สุภีร์ ทมุ ทอง
๕.๑.๔ อนิ ทรียสังวรประยุกต์ใช้ในสังคมไทยปัจจบุ ัน
ไม่ว่าจะในยคุ ไหนๆ ผคู้ นก็ตอ้ งมกี ารเห็น การได้ยิน การดมกลิน่ การลม้ิ รส การกระทบสัมผัส
ทางผวิ กาย และการรบั ร้คู วามร้สู ึกนกึ คิดทางใจ กเิ ลสก็ไม่ได้ขนึ้ อย่กู ับยคุ สมัย เปน็ สิง่ ท่ีทำให้
จติ เศรา้ หมองและสรา้ งความเดอื ดรอ้ นวนุ่ วายทกุ คราวทเ่ี กดิ ข้ึน และเกดิ ข้ึนเมอ่ื รบั ร้อู ารมณแ์ ล้ว
หลงเตลิดไปตามอารมณ์ สิ่งที่ไม่เหมือนกันก็เป็นเพียงความวิจิตรพิสดารของเร่ืองราวต่างๆ
เท่านน้ั ดงั น้นั เรอื่ งอนิ ทรียสงั วรหรือการฝกึ ฝนพัฒนาอินทรยี ์จึงมีความจำเปน็ ในทกุ ยคุ ทุกสมยั
รวมทั้งในยุคปัจจุบัน ย่ิงมีความเจริญมาก มีสิ่งยั่วยุมาก มีล่อใจมาก มีโฆษณาชวนเช่ือ
มาก หรอื มีข้อมูลมากเท่าไร ก็ย่งิ ตอ้ งมีอินทรยี สงั วรใหม้ ากยิ่งข้ึน เพราะหากไม่ไดส้ ำรวม
ระวังอินทรีย์ ปัญหาและความเดือดร้อนต่างๆ ก็จะเกิดขึ้นได้รวดเร็วกว่าเดิม มีความรุนแรง
และแผข่ ยายไปส่วู งกวา้ งไดง้ ่าย
316
การพฒั นาอนิ ทรยี สงั วร
สุภรี ์ ทุมทอง
การขาดอินทรียสังวรนำปัญหามากมายมาให้ ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นมากมายเป็นผลมาจาก
นับตั้งแต่ปัญหาท่ีคนท่ัวไปไม่ ได้มองว่าเป็น ความไม่สำรวมระวังอินทรีย์นั่นเอง และการ
ปัญหา คือการเวียนเกิดเวียนตายไม่สิ้นสุด แก้ ไขปัญหาเหล่านั้นก็ยาก เพราะความรู้
เพราะการขาดอินทรียสังวรทำให้หลง ของคนทั่วไปได้เลยเถิดไปตามความยินดี
เพลดิ เพลนิ อยกู่ บั โลก การเพลดิ เพลนิ อยกู่ บั โลก ยินร้ายของตนเอง ข้อมูลต่างๆ ได้ถูก
กเ็ ปน็ การเพลดิ เพลนิ อยกู่ บั ทกุ ข์ เมอื่ เพลดิ เพลนิ บิดเบือนไปตามอคติของตน การแก้ปัญหา
อยู่กับทุกข์ก็ไม่อาจพ้นจากทุกข์ ไปได้ ปัญหา จึงไม่ ได้แก้ท่ีต้นตอจริงๆ เมื่อแก้ปัญหาหน่ึง
ระดับรองๆ ลงมา ก็ทำให้ผู้คนต้องเดือดร้อน ปัญหาอีกมากมายก็เกดิ ตดิ ตามขน้ึ มาภายหลงั
จากกเิ ลสทเ่ี กดิ ขน้ึ รกั สขุ เกลยี ดทกุ ข์ อยากมี
ความสุข ไม่อยากเป็นทุกข ์ ทำให้ต้องวิ่งวุ่น
แสวงหาวัตถุส่ิงของ วิ่งไล่ ไขว่คว้าสิ่งต่างๆ
ตามความอยากท่ี ไม่มีวันเต็ม ทำลาย
ทรัพยากรธรรมชาติมาสร้างสิ่งอำนวยความ
สะดวกตา่ งๆ จนเกดิ ปญั หาภยั ธรรมชาต ิ และ
เมอื่ ตา่ งคนตา่ งมคี วามอยากไดม้ าเปน็ ของตน ก็
ต้องมีการแก่งแย่ง ชิงดีชิงเด่น เบียดเบียน
กนั เอง เปน็ ศตั รกู นั อยรู่ ว่ มกนั ไมเ่ ปน็ สขุ
317
การพฒั นาอนิ ทรยี สงั วร
สภุ ีร์ ทุมทอง
สาเหตุของการขาดอินทรียสังวรน้ัน สาเหตุ การขาดอินทรียสังวรส่งผลกระทบไปในทุกๆ
ใหญ่ท่ีสุดก็คือการไม่มีความรู้ ไม่รู้ความ เรอื่ ง ทั้งในด้านปัจเจกชน เศรษฐกจิ และดา้ น
จริงของส่ิงท้ังปวงอย่างถึงที่สุด รู้เพียง สังคม ทำให้ผู้คนต้องเป็นทุกข์ทรมานไปตาม
บางส่วน รู้บางแง่บางมุม หรือมีความรู้ก็รู้ อำนาจของกิเลสที่แผดเผา หาความสุขสงบ
อย่างผิดๆ แต่ก็ยึดถือว่าถูก จนก่อให้เกิด อันแท้จริงไม่ ได้ ว่ิงหาสุขตั้งแต่เกิดจน
ทฤษฎี ทัศนคติ อดุ มคติมากมายขึน้ มาในโลก กระทั่งตาย ต้องหลอกตนเองให้หลง
แต่ก็ไม่อาจแก้ปญั หาใดๆ ได้ มแี ตส่ รา้ งปญั หา หมกมุ่นอยู่กับความสุขช่ัวคราวที่เกิดจาก
ให้มีมากขึ้น สาเหตุระดับรองลงมา คือ ผัสสะอันไร้แก่นสาร ทำให้เสียเงินทอง เสีย
ความไม่รู้ธรรมชาติของความสุข ไม่รู้ว่าอะไร เวลาไปทั้งชีวิตโดยเปล่าประโยชน์ ระบบ
ให้ความสุขได้อย่างแท้จริง หลงผิดคิดว่าได้ เศรษฐกิจก็ไม่อาจพ่ึงพาตนเองได้ เพราะไม่
อะไรตามต้องการแล้วจะเป็นสุข ได้เสพ รู้จักยินดีพอใจในส่ิงท่ีตนมี มัวแต่พึ่งพาวัตถุท่ี
บริโภคมากๆ แลว้ จะเปน็ สุขอย่างแท้จริง การ จะเอาบริโภค ต้องขวนขวายหาเงินมาซ้ือ
พัฒนาก็ผิดทางไปไกล มัวแต่ ไปพัฒนาด้าน สิ่งของทมี่ ีราคาแพง ตอ้ งมกี ารแกง่ แยง่ กบั คน
วตั ถุ ไม่มกี ารพัฒนาจิต ไมห่ ลักยึด การศึกษา อื่น เห็นแก่ตนเองและพวกพ้องของตน เม่ือ
ท่ีจัดให้มีข้ึนก็เพียงเพื่อแสวงหาวัตถุมาเสพ มองดูในภาพรวมระดับสังคม จึงมีปัญหา
บริโภค เป็นการศึกษาท่ีมุ่งเน้นผิดทาง มากมาย
จนกระทัง่ วฒั นธรรมและค่านยิ มต่างๆ กค็ ล้อย
ไปตามแนวน้นั
318
การพฒั นาอินทรยี สังวร
สุภีร์ ทุมทอง
การแก้ปัญหาต่างๆ ให้ได้ผลอย่างแท้จริงนั้น ทางนี้ ระเบยี บปฏิบัติในสงั คม วัฒนธรรมและ
เราตอ้ งฟงั ผรู้ จู้ รงิ และทำตามผรู้ จู้ รงิ เทา่ นนั้ ค่านิยมก็จะโน้มเอียงมาทางน้ี เป็นแนวทาง
ไม่อย่างนั้นแล้วก็ไม่อาจแก้ปัญหาได้จริง มีแต่ พัฒนาท่ีถูกต้อง ผู้คนมีการศึกษาเรียนรู้ที่แท้
ปัญหาที่สลับซับซ้อนย่ิงขึ้น ผู้รู้ความจริงของ จริง สามารถแกป้ ญั หาต่างๆ ไดอ้ ยา่ งแท้จรงิ
ส่ิงท้ังปวงอย่างแจ่มแจ้ง คือองค์สมเด็จพระ
สัมมาสัมพุทธเจ้า เม่ือฟังแล้วก็มาพิจารณาให้ สรปุ ได้ว่า จุดเริม่ ต้นของการศกึ ษาเรียนรทู้ ่ีแท้
เกิดความรู้ความเข้าใจ เป็นความรู้ที่ถูกต้อง จริง ซ่ึงเป็นการพัฒนาที่ถูกทาง ทำให้เกิด
เรียกว่ามีสัมมาทิฏฐิ เม่ือมีสัมมาทิฏฐิเป็น ความสุขสงบร่มเย็น ทำให้แก้ปัญหาทุกอย่าง
หัวหน้า การแก้ปญั หาตา่ งๆ ก็จะมีได้ ทำใหม้ ี ได้อยา่ งแท้จริงน้นั ก็เริ่มต้นจากการใชต้ า หู
กระบวนการพัฒนาท่ีถูกทาง จะนำความสงบ จมูก ล้ิน กาย และใจให้ถูกต้อง รู้จัก
สุขและรม่ เยน็ มาให้ตามลำดับไป
สำรวมระวังเวลาเข้าไปเก่ียวข้องกับส่ิง
ต่างๆ ไม่ ให้สิ่งน้ันเป็นเหตุให้เกิดกิเลส เกิด
เมอื่ มีความเขา้ ใจทถ่ี ูกต้อง ก็จะรู้ธรรมชาติของ โทษต่อตนเองและผู้อ่ืน ได้รู้ข้อมูลเกี่ยวกับส่ิง
ความสขุ ความสขุ ที่แท้จรงิ เป็นอยา่ งไร จะไป น้ันๆ ว่าเปน็ อะไร สรา้ งขึน้ ได้อยา่ งไร สร้างขน้ึ
ถงึ ได้ด้วยวิธีไหน ความสขุ ที่ไดม้ าจากการเสพ มาเพราะอะไร มีวัตถุประสงค์อยา่ งไร เอามา
บริโภคไม่อาจให้ความสุขได้จริง นำแต่ความ ใช้ประโยชน์ ได้อย่างไร จนรู้ความจริงของส่ิง
ทุกข์ยากเดือดร้อนมาให้ ส่วนความสุขอัน น้ัน เมื่อจำเป็นต้องใช้ ก็สามารถนึกถึงข้อมูล
แท้จริงจะเกิดขึ้นด้วยการฝึกหัดพัฒนาตนเอง แลว้ เอามาพัฒนาต่อยอดได้
รู้จักบังคับควบคุมตนเอง ไม่ทำตามความ
อยากและกิเลสต่างๆ เมื่อเป็นเช่นน้ัน ระบบ
การศึกษาท่ีจัดตั้งข้ึนก็มีวัตถุประสงค์เป็นไปใน
319
การพฒั นาอินทรยี สงั วร
สภุ ีร์ ทุมทอง
การรู้จักสำรวมระวัง มีการคุ้มครองป้องกัน การจะมีอินทรียสังวรได้น้ัน จะต้องมีสติตั้งมั่น
เวลามกี ารเหน็ การได้ยนิ การดมกล่นิ การลิม้ เตรยี มพร้อมอย่เู สมอ จึงตอ้ งมีการฝกึ อบรมไว้
รส การสัมผัส การคิดนึกหรือรับรู้ความรู้สึก โดยการฝึกให้มีสติ มีความรู้ตัวเป็นพื้นฐาน
ต่างๆ เป็นหลักการของอินทรียสังวรตามที่ เอาไว้ และมีการซ้อมอยู่เสมอๆ เม่ือมีการ
พระพุทธเจ้าทรงสงั่ สอนไว้ เม่ือฝึกหดั ใหม้ กี าร กระทบอารมณ์ทางทวารทั้ง ๖ เป็นการ
ค้มุ ครองไดบ้ อ่ ยๆ ม่นั คงขนึ้ กช็ ่ือวา่ ไดเ้ ป็นผมู้ ี พัฒนาอินทรีย์ทั้ง ๖ ให้มีคุณภาพ นำมาใช้
ทวารอันคุ้มครองแล้วในอินทรีย์ท้ังหลาย ประโยชน์ นำความสงบสุขมาให้ เรียกว่า
จะทำให้จิตเป็นสมาธิ มีความตั้งม่ันดี จะทำ อินทรียภาวนา ผู้ท่ีมีอินทรีย์ท่ีฝึกดีแล้ว
กิจการงานใดๆ ก็ทำด้วยเหตุผล งานสำเร็จ ย่อมเป็นผู้ที่ปลอดภัยจากบาปอกุศล และ
ดว้ ยดี หรอื จะพจิ ารณาความจรงิ อะไรกแ็ จม่ ชดั ปลอดภัยจากทุกข์ท่ีจะเกิดมาจากกิเลสต่างๆ
เกิดประโยชน์ท้ังทางโลกและทางธรรม
แม้ ในยุคสมัยที่มีเร่ืองราวมากมายอย่างยุค
ปัจจุบัน มีสิ่งย่ัวยวนใจมาล่อมากมาย หลัก
อินทรียสังวรก็ยังใช้ ได้เสมอเพราะเป็นการ
ปอ้ งกันไว้ตัง้ แต่ตน้
320
การพัฒนาอินทรยี สงั วร
สุภีร์ ทุมทอง
๕.๒ ขอ้ เสนอแนะ
จากที่ได้ทำการวิจัยมา ทำให้ทราบว่าหลักธรรมเร่ืองอินทรียสังวรน้ันมีความสำคัญเป็นอย่าง
มาก เป็นหลักธรรมในส่วนของภาคปฏิบัติ เพ่อื ให้เกดิ ความสงบสุขและยังเปน็ จุดตง้ั ต้นทำ
ให้เกิดการศึกษาท่ีแท้จริงอีกด้วย เป็นข้อปฏิบัติอยู่ระหว่างศีลกับสมาธิและต่อไปถึง
วิปัสสนา เม่ือมีศีลแล้ว พระพุทธองค์ทรงแนะนำให้ฝึกอินทรียสังวร แล้วจึงไปฝึกฝนให้เกิด
สมาธิและปญั ญาต่อไป ซึง่ หากทำความเขา้ ใจให้ละเอยี ด กจ็ ะช่วยให้เขา้ ใจเรือ่ งการปฏบิ ตั ิทั้งใน
ส่วนการดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง ทำให้ไม่เป็นทุกข์ ได้ประโยชน์จากการใช้อินทรีย์ท้ัง ๖ และโดย
เฉพาะอย่างยิ่งทำให้เข้าใจการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานได้ถูกต้องและครอบคลุมยิ่งข้ึนด้วย ใน
การวิจัยคราวนี้ ได้ศึกษาเฉพาะเร่ืองการพัฒนาอินทรียสังวรอย่างเดียว จึงขอเสนอแนะให้มี
การศึกษาเรอื่ งที่เกยี่ วขอ้ งตอ่ ไป คือ
๕.๒.๑ ศกึ ษาความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งอินทรยี สงั วรกับการปฏิบตั วิ ปิ ัสสนา
๕.๒.๒ ศึกษาอินทรยี สงั วรของผู้ปฏบิ ตั สิ มถะวปิ สั สนาในสงั คมปจั จุบนั
๕.๒.๓ ศกึ ษาการพัฒนาหลักธรรมอนื่ ๆ ท่ีเกย่ี วขอ้ งกับอนิ ทรยี สังวร
อนั เปน็ ข้อปฏิบัติในขน้ั ต้น เช่น โภชเน มตั ตญั ญุตา ชาคริยานุโยคะ เป็นต้น
321
การพัฒนาอินทรียสังวร
สภุ ีร์ ทุมทอง
คำอธิบายสญั ลกั ษณแ์ ละคำย่อ
ในวิทยานิพนธ์น้ี ผู้วิจัยได้อ้างอิงข้อมูลจากคัมภีร์พระไตรปิฎกภาษาบาลี ฉบับมหาจุฬา
เตปิฏกํ พุทธศักราช ๒๕๐๐ และพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราช
วทิ ยาลัย พุทธศกั ราช ๒๕๓๙ รปู แบบการอ้างอิงขึ้นต้นดว้ ยอกั ษรยอ่ ชือ่ คมั ภีร์ แลว้ ตามด้วย
เล่ม/ข้อ/หน้า ตัวอย่าง เช่น ที.สี. (บาลี) ๙/๒๓๔/๗๗. หมายถึง สุตฺตนฺตปิฏก ทีฆนิกาย
สีลขนฺธวคฺคปาลิ (ภาษาบาลี) พระไตรปิฎกเล่มที่ ๙ ข้อ ๒๓๔ หน้า ๗๗, ที.สี. (ไทย)
๙/๔๘๖/๒๑๖. หมายถงึ สตุ ตันตปฎิ ก ทฆี นกิ าย สีลขนั ธวรรค (ภาษาไทย) พระไตรปิฎกเลม่ ที่
๙ ขอ้ ๔๘๖ หนา้ ๒๑๖ เปน็ ต้น
อรรถกถา อ้างอิงอรรถกถาภาษาบาลีฉบับสยามรัฐ พุทธศักราช ๒๕๓๕ รูปแบบการ
อ้างอิงข้นึ ตน้ ด้วยอกั ษรย่อช่อื คมั ภรี แ์ ลว้ ตามด้วย เล่ม/หน้า ตัวอยา่ ง เช่น อภิ.ว.ิ อ. (บาลี) ๔๗/
๒๐๐. หมายถึง อภิธมฺมฏฺกถา วิภงฺควณฺณนา สมฺโมหวินทนี (ภาษาบาลี) เล่มที่ ๔๗ หน้า
๒๐๐ เป็นต้น อรรถกถาภาษาไทยใช้พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฎราช
วิทยาลัย พุทธศักราช ๒๕๒๕ รูปแบบการอ้างอิงขึ้นต้นด้วยอักษรย่อชื่อคัมภีร์แล้วตามด้วย
เลม่ /ภาค/หนา้ ตวั อยา่ ง เชน่ อภ.ิ ว.ิ อ. (ไทย) ๒/๑/๔๑๑ หมายถงึ อภธิ รรมปฎิ ก สมั โมหวิโนทนี
วิภงั คอ์ รรถกถา (ภาษาไทย) เล่ม ๒ ภาค ๑ หนา้ ๔๑๑ หากเลม่ ใดไมม่ ี “ภาค” จะแทนดว้ ย
เคร่อื งหมาย –, หากเล่มใดมี “ตอน” เพิม่ ขน้ึ มาด้วยจะใส่วงเล็บไวห้ ลงั ภาค
ปกรณ์วิเสส อา้ งอิงปกรณวเิ สสภาษาไทยฉบบั มูลนิธมิ หามกฏุ ราชวทิ ยาลัย คือ คัมภรี ว์ สิ ทุ ธิ
มรรคแปล รูปแบบการอ้างอิงข้ึนต้นด้วยอักษรย่อชื่อคัมภีร์แล้วตามด้วย ภาค/ตอน/หน้า
ตัวอย่าง เช่น วิสุทธิ. (ไทย) ๑/๑/๑๔-๑๕. หมายถึง วิสุทธิมรรคแปล (ภาษาไทย) ภาค ๑
ตอน ๑ หนา้ ๑๔-๑๕ เปน็ ต้น
322
การพฒั นาอนิ ทรยี สงั วร
สภุ ีร์ ทมุ ทอง
พระไตรปฎิ กภาษาบาลี
ท.ี สี. (บาลี) = สุตตฺ นตฺ ปฏิ ก ทีฆนกิ าย สีลขนธฺ วคคฺ ปาลิ (ภาษาบาลี)
ที.ม. (บาลี) = สุตตฺ นตฺ ปฏิ ก ทฆี นกิ าย มหาวคคฺ ปาลิ (ภาษาบาลี)
ม.มู. (บาล)ี = สตุ ตฺ นฺตปิฏก มชฺฌิมนกิ าย มลู ปณณฺ าสกปาลิ (ภาษาบาลี)
ม.อุ. (บาลี) = สตุ ฺตนตฺ ปิฏก มชฺฌมิ นิกาย อปุ รปิ ณณฺ าสกปาลิ (ภาษาบาล)ี
สํ.ส. (บาลี) = สตุ ตฺ นตฺ ปิฏก สงฺยตุ ฺตนกิ าย สคาถวคฺคปาลิ (ภาษาบาลี)
ส.ํ สฬา. (บาล)ี = สุตตฺ นตฺ ปิฏก สงยฺ ุตฺตนิกาย สฬายตนวคคฺ ปาลิ (ภาษาบาล)ี
องฺ.ฉกกฺ . (บาลี) = สุตตฺ นตฺ ปิฏก องั คตุ ตรนิกาย ฉกกนปิ าตปาลิ (ภาษาบาล)ี
อง.ฺ อฏฺก. (บาล)ี = สตุ ฺตนตฺ ปฏิ ก องั คุตตรนกิ าย อฏฺ กนปิ าตปาลิ (ภาษาบาล)ี
องฺ.ทสก. (บาลี) = สุตตฺ นตฺ ปิฏก องฺคตุ ตฺ รนกิ าย ทสกนปิ าตปาลิ (ภาษาบาล)ี
ข.ุ ธ. (บาล)ี = สุตตฺ นตฺ ปิฏก ขทุ ทฺ กนกิ าย ธมมฺ ปทปาลิ (ภาษาบาล)ี
ข.ุ สุ. (บาล)ี = สุตฺตนตฺ ปฏิ ก ขทุ ฺทกนกิ าย สุตตนิปาตปาลิ (ภาษาบาล)ี
ข.ุ เถร. (บาลี) = สุตตฺ นฺตปิฏก ขุททฺ กนิกาย เถรคาถาปาลิ (ภาษาบาลี)
ข.ุ จู. (บาล)ี = สุตตฺ นฺตปฏิ ก ขุทฺทกนิกาย จฬู นทิ เฺ ทสปาลิ (ภาษาบาลี)
อภิ.สง.ฺ (บาลี) = อภธิ มฺมปฎิ ก ธมฺมสงฺคณปี าลิ (ภาษาบาลี)
อภ.ิ ว.ิ (บาลี) = อภธิ มฺมปิฏก วิภงฺคปาลิ (ภาษาบาลี)
อภิ.ป.ุ (บาลี) = อภิธมมฺ ปฏิ ก ปุคคฺ ลปญฺ ตตฺ ปิ าลิ (ภาษาบาล)ี
อภ.ิ ป. (บาล)ี = อภิธมมฺ ปิฏก ปฏฺ านปาลิ (ภาษาบาล)ี
323
การพัฒนาอินทรียสังวร
สภุ ีร์ ทุมทอง
พระไตรปิฎกภาษาไทย
ว.ิ มหา. (ไทย) = วินัยปิฎก มหาวิภงั ค์ (ภาษาไทย)
ว.ิ ม. (ไทย) = วนิ ยั ปิฎก มหาวรรค (ภาษาไทย)
ท.ี ส.ี (ไทย) = สตุ ตันตปิฎก ทฆี นิกาย สลี ขันธวรรค (ภาษาไทย)
ที.ม. (ไทย) = สุตตันตปิฎก ทฆี นกิ าย มหาวรรค (ภาษาไทย)
ที.ปา. (ไทย) = สตุ ตนั ตปฎิ ก ทฆี นกิ าย ปาฏกิ วรรค (ภาษาไทย)
ม.มู. (ไทย) = สุตตนั ตปฎิ ก มชั ฌมิ นกิ าย มูลปณั ณาสก์ (ภาษาไทย)
ม.ม. (ไทย) = สุตตนั ตปฎิ ก มัชฌิมนกิ าย มชั ฌมิ ปัณณาสก์ (ภาษาไทย)
ม.อ.ุ (ไทย) = สตุ ตนั ตปิฎก มชั ฌิมนกิ าย อปุ ริปัณณาสก์ (ภาษาไทย)
สํ.ส. (ไทย) = สุตตนั ตปิฎก สงั ยตุ ตนกิ าย สคาถวรรค (ภาษาไทย)
สํ.น.ิ (ไทย) = สุตตันตปฎิ ก สงั ยตุ ตนิกาย นทิ านวรรค (ภาษาไทย)
สํ.ข. (ไทย) = สุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค (ภาษาไทย)
สํ.สฬา. (ไทย) = สตุ ตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค (ภาษาไทย)
ส.ํ ม. (ไทย) = สุตตันตปฎิ ก สังยตุ ตนิกาย มหาวารวรรค (ภาษาไทย)
องฺ.เอกก. (ไทย) = สุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกกนิบาต (ภาษาไทย)
อง.ฺ ทุก. (ไทย) = สุตตันตปิฎก อังคตุ ตรนกิ าย ทุกนิบาต (ภาษาไทย)
องฺ.ตกิ . (ไทย) = สุตตนั ตปิฎก องั คตุ ตรนิกาย ตกิ นิบาต (ภาษาไทย)
อง.ฺ จตกุ กฺ . (ไทย) = สุตตันตปิฎก องั คตุ ตรนกิ าย จตกุ กนิบาต (ภาษาไทย)
องฺ.ปญฺจก. (ไทย) = สตุ ตันตปฎิ ก อังคตุ ตรนกิ าย ปญั จกนิบาต (ภาษาไทย)
324
การพัฒนาอนิ ทรยี สังวร
สภุ ีร์ ทมุ ทอง
องฺ.ฉกฺก. (ไทย) = สตุ ตนั ตปิฎก อังคตุ ตรนิกาย ฉักกนิบาต (ภาษาไทย)
อง.ฺ สตฺตก. (ไทย) = สุตตันตปิฎก องั คุตตรนิกาย สตั ตกนบิ าต (ภาษาไทย)
อง.ฺ อฏฺก. (ไทย) = สตุ ตฺ นฺตปิฏก อังคุตตรนิกาย อัฏฐกนบิ าต (ภาษาไทย)
องฺ.นวก. (ไทย) = สตุ ตนั ตปิฎก อังคุตตรนกิ าย นวกนบิ าต (ภาษาไทย)
องฺ.ทสก. (ไทย) = สุตตันตปิฎก องั คุตตรนกิ าย ทสกนบิ าต (ภาษาไทย)
องฺ.เอกาทสก. (ไทย) = สุตตันตปิฎก องั คตุ ตรนกิ าย เอกาทสกนบิ าต (ภาษาไทย)
ขุ.ธ. (ไทย) = สตุ ตนั ตปฎิ ก ขุททกนิกาย ธรรมบท (ภาษาไทย)
ขุ.อุ. (ไทย) = สตุ ตันตปิฎก ขุททกนกิ าย อทุ าน (ภาษาไทย)
ขุ.วิ. (ไทย) = สตุ ตนั ตปฎิ ก ขทุ ทกนิกาย วิมานวตั ถุ (ภาษาไทย)
ขุ.อติ .ิ (ไทย) = สตุ ตนั ตปิฎก ขุททกนกิ าย อิตวิ ุตตก (ภาษาไทย)
ขุ.สุ. (ไทย) = สุตตันตปฎิ ก ขุททกนกิ าย สุตตนิบาต (ภาษาไทย)
ขุ.เถร. (ไทย) = สุตตนั ตปฎิ ก ขุททกนกิ าย เถรคาถา (ภาษาไทย)
ข.ุ ม. (ไทย) = สตุ ตนั ตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส (ภาษาไทย)
ข.ุ จู. (ไทย) = สุตตันตปฎิ ก ขุททกนกิ าย จูฬนทิ เทส (ภาษาไทย)
ข.ุ พทุ ฺธ. (ไทย) = สตุ ตันตปฎิ ก ขทุ ทกนิกาย พุทธวงศ์ (ภาษาไทย)
อภ.ิ สง.ฺ (ไทย) = อภธิ มั มปฎิ ก ธัมมสังคณี (ภาษาไทย)
อภ.ิ วิ. (ไทย) = อภิธมั มปิฎก วิภงั ค์ (ภาษาไทย)
อภ.ิ ป. (ไทย) = อภิธมั มปฏิ ก ปัฏฐาน (ภาษาไทย)
325
การพฒั นาอนิ ทรียสงั วร
สุภีร์ ทุมทอง
อรรถกถาภาษาบาลี
ข.ุ จู.อ. (บาลี) = ขทุ ฺทกนิกาย สทฺธมฺมปฺปชฺโชติกา จฬู นทิ ฺเทสอฏฺกถา (ภาษาบาลี)
อภิ.สง.ฺ อ. (บาล)ี = อภิธมมฺ ปิฏก ธมฺมสงฺคณี อฏฺสาลินีอฏฺ กถา (ภาษาบาลี)
อภ.ิ ว.ิ อ. (บาลี) = อภิธมฺมฏฺกถา วภิ งฺควณณฺ นา สมฺโมหวิโนทนี (ภาษาบาล)ี
อรรถกถาภาษาไทย
ที.สี.อ. (ไทย) = ทีฆนิกาย สมุ ังคลวิลาสนิ ี สลี กั ขนั ธวรรคอรรถกกถา (ภาษาไทย)
ที.ปา.อ. (ไทย) = ทฆี นิกาย สมุ งั คลวิลาสนิ ี ปาฏกิ วรรคอรรถกกถา (ภาษาไทย)
ม.ม.ู อ. (ไทย) = มชั ฌมิ นกิ าย ปปญั จสทู น ี มูลปณั ณาสกอรรถกถา (ภาษาไทย)
ม.อุ.อ. (ไทย) = มชั ฌมิ นกิ าย ปปัญจสูทนี อปุ ริปัณณาสกอรรกถกถา (ภาษาไทย)
ส.ํ ข.อ. (ไทย) = สงั ยุตตนิกาย สารัตถัปปกาสนิ ี ขันธวารวรรคอรรถกถา (ภาษาไทย)
ข.ุ ธ.อ. (ไทย) = ขุททกนิกาย ธมั มปทฏั ฐกถา (ภาษาไทย)
ข.ุ อิติ.อ. (ไทย) = ขุททกนิกาย ปรมัตถทีปน ี อิติวุตตกอรรถกถา (ภาษาไทย)
ข.ุ ส.ุ อ. (ไทย) = ขุททกนิกาย ปรมตั ถโชติกา สตุ ตนบิ าตอรรถกถา (ภาษาไทย)
ขุ.ชา.อ. (ไทย) = ขทุ ทกนิกาย ชาตกัฏฐกถา (ภาษาไทย)
ขุ.จ.ู อ. (ไทย) = ขุททกนกิ าย สทั ธัมมปั ปัชโชติกา จฬู นทิ เทสอรรถกถา (ภาษาไทย)
อภิ.สง.ฺ อ. (ไทย) = อภิธรรมปฏิ ก ธมั มสงั คณี อัฏฐสาลนิ ีอรรถกถา (ภาษาไทย)
อภิ.วิ.อ. (ไทย) = อภธิ รรมปฎิ ก สมั โมหวิโนทนี วภิ งั คอ์ รรถกถา (ภาษาไทย)
326
การพัฒนาอนิ ทรยี สังวร
สภุ ีร์ ทมุ ทอง
ปกรณวเิ สสภาษาไทย
วิสุทธฺ .ิ (ไทย) = คมั ภรี ์วสิ ทุ ธิมรรคแปล (ภาษาไทย)
327
การพัฒนาอนิ ทรียสังวร
สภุ รี ์ ทุมทอง
เชงิ อรรถ
บทท่ี ๑
๑ ดรู ายละเอียดใน ที.ส.ี (บาล)ี ๙/๑๙๓/๖๓, ท.ี ส.ี (ไทย)
๗ พระมหาสุวัฒน์ สุวฑฺฒโน (จันทะคัด), “การศกึ ษาเรอ่ื ง
๙/๑๙๓/๖๕, ม.อุ. (บาลี) ๑๔/๗๕/๕๔, ม.อุ. (ไทย)
สติในฐานะองคธ์ รรมเพอื่ การพฒั นาชวี ติ ตามหลกั คำสอน
ของพทุ ธศาสนาเถรวาท”, วิทยานิพนธ์ศาสนศาสตรมหา
๑๔/๗๕/๗๙. หนา้ ๒๔
บัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยมหามกุฎราช
๒ ดูรายละเอียดใน องฺ. ฉกฺก. (บาลี) ๒๒/๕๐/๓๔๖,
วทิ ยาลยั , ๒๕๔๘). หน้า ๒๙
องฺ. ฉกกฺ . (ไทย) ๒๒/๕๐/๕๑๘-๕๑๙. หน้า ๒๔
๘ พระสมภาร ทวีรัตน์, “การนำหลกั วปิ สั สนากรรมฐานมา
๓ ดูรายละเอียดใน ขุ.ธ. (บาลี) ๒๕/๓๖๐-๑/๘๐, ขุ.ธ.
ใช้ในการลดภาวะความแปรปรวนทางอารมณข์ องสตรวี ยั
(ไทย) ๒๕/๓๖๐-๑/๑๔๖. หนา้ ๒๔
ทอง”, วิทยานิพนธ์อักษรศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิต
๔ ดูรายละเอียดใน สํ. สฬา. (บาลี) ๑๘/๒๓๕/๑๕๗-๘,
วทิ ยาลยั : มหาวิทยาลยั มหิดล, ๒๕๔๓). หน้า ๓๑
สํ. สฬา. (ไทย) ๑๘/๒๓๕/๒๓๐. หนา้ ๒๔
๙ พระอุบล กตปุญโฺ (แก้ววงษ์ลอ้ ม), “การศกึ ษาวเิ คราะห
์
๕ พระมหาเข็มทอง ตนฺติปาโล (ฤทธ์ิลือไกร), “การปฏบิ ตั
ิ คณุ คา่ ของศลี ทม่ี ตี อ่ สงั คมไทย”, วิทยานิพนธ์พุทธศาสตร
วปิ สั สนากรรมฐานตามแนวทางของพระครโู พธสิ ารคณุ
มหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาจุฬาลงกรณราช
(ประยงค์ อุปลวณฺโณ)”, วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหา
วิทยาลยั ), ๒๕๓๗. หน้า ๓๒
บัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาจุฬาลงกรณราช
๑๐ พทุ ธทาสภิกข,ุ ตามรอยพระอรหนั ต์, (กรุงเทพมหานคร
วทิ ยาลัย, ๒๕๔๗). หน้า ๒๗
: ธรรมสภา, ม.ป.ป.), หน้า ๒๖๖. หน้า ๓๓
๖ พระมหาบรู ณะ ชาตเมโธ (โพธ์นิ อก), “การศกึ ษาอทิ ธพิ ล
ของอายตนะ (ส่ือ) ท่ีมีต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิต”,
วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย :
มหาจุฬาลงกรณราช-วทิ ยาลยั , ๒๕๔๓). หน้า ๒๘
328
การพัฒนาอนิ ทรยี สังวร
สภุ ีร์ ทมุ ทอง
บทท่ี ๒
๑ อภ.ิ วิ.อ. (บาลี) ๔๗/๒๐๐. หน้า ๓๘
ท่ีเสมอไม่เสมอ นำอัตภาพไป เรียกว่าฝ่ังนี้เพราะว่านับ
๒ อภ.ิ วิ.มลู ฏกี า (บาลี) หนา้ ๘๗. หนา้ ๓๙
เน่อื งดว้ ยกายของตน และเรยี กวา่ บา้ นวา่ งเพราะว่าเปน็ ที่
สาธารณะแก่สัตว์เป็นอันมากและหาเจ้าของมิได้ ดูราย
๓ มหามกุฏราชวิทยาลัย, อภิธานปฺปทีปิกาและอภิธานป
ฺ ละเอยี ดใน อภ.ิ สง.ฺ อ. (ไทย) ๑/๒/๒๑๙-๒๒๐. หนา้ ๔๒
ปทีปิกาสูจิ, (กรุงเทพฯ : มหามกุฏราชวิทยาลัย,
๙ ดูรายละเอียดใน อภิ.วิ. (ไทย) ๓๔/๕๙๖-๕๙๙/
๒๕๓๕), หนา้ ๒๘๓-๔. หนา้ ๓๙
๑๙๐-๑๙๑. หนา้ ๔๒
๔ อภ.ิ ว.ิ อ. (บาล)ี ๔๗/๒๐๑-๒. หน้า ๓๙
๑๐ คำว่า จิตฺต มีรูปวิเคราะห์ว่า อารมฺมณ จินฺเตตีติ จิตฺต
๕ ดรู ายละเอยี ดใน อภิ.ว.ิ อ. (ไทย) ๒/๑/๔๑๑. หน้า ๔๑
(ธรรมที่ชื่อว่าจิต เพราะอรรถว่า รู้อารมณ์) เมื่อว่าโดย
ลักษณะเป็นต้น จิตมีการรู้แจ้งอารมณ์เป็นลักษณะ
๖ ที.สี. (บาล)ี ๙/๒๑๓/๗๐. หนา้ ๔๒
(วิชานนลกฺขณ) มีการเป็นหัวหน้าของสหชาตธรรมเป็นกิจ
๗ ดรู ายละเอยี ดใน อภ.ิ สง.ฺ (ไทย) ๓๔/๕๙๕/๓๙๐. หนา้ ๔๒
(ปุพฺพงฺคมรส) มีการเก่ียวข้องกันเป็นอาการปรากฏ
(สนฺธานปจฺจุปฏฺาน) มีนามรูปเป็นเหตุให้เกิด (นามรูป
๘ ในอรรถกถา อธบิ ายว่า รปู เรียกวา่ จกั ขุเพราะวา่ เปน็ ผนู้ ำ
ปทฏฺาน) ดรู ายละเอียดใน อภิ.สงฺ.อ. (ไทย) ๑/๑/๓๑๕-
ในการเห็น เรียกว่าจักขายตนะเพราะว่าเป็นถิ่นเกิดและ
๓๑๖.
เป็นที่ประชุมแห่งธรรมมีผัสสะเป็นต้น เรียกว่าจักขุธาต
ุ ช่ือว่าจิตเพราะเป็นธรรมชาติที่วิจิตร ชื่อว่ามโนเพราะ
เพราะว่าความเป็นของว่างเปล่าและมิใช่สัตว์ เรียกว่า
กำหนดรู้อารมณ์ ชื่อว่าหทัยเพราะอยู่ภายใน ชื่อว่า
จักขุนทรีย์เพราะว่าย่อมครองความเป็นใหญ่ ในลักษณะ
ปณั ฑระเพราะบรสิ ทุ ธิ์ ชอ่ื วา่ มนายตนะเพราะเปน็ ถนิ่ เกดิ
แห่งการเห็น เรียกว่าโลกเพราะว่าต้องชำรุดทรุดโทรม
เป็นสถานท่ีประชุม และเป็นเหตุ ช่ือว่ามนินทรีย์เพราะ
เรียกว่าทวารเพราะว่าเป็นทางเข้าไป เรียกว่าสมุทร
เป็นใหญ่ในการรับรู้อารมณ์ ช่ือว่าวิญญาณเพราะย่อมร
ู้
เพราะว่าให้เต็มได้ยาก เรียกว่าปัณฑระเพราะว่าบริสุทธ ์ิ
แจ้ง ชื่อว่าวิญญาณขันธ์เพราะเป็นกองวิญญาณ ชื่อว่า
เรียกว่าเขตเพราะว่าเป็นที่เกิดเฉพาะแห่งธรรมมีผัสสะ
วญิ ญาณธาตเุ พราะเปน็ สภาวะที่ไม่ใชส่ ตั วบ์ คุ คลตวั ตน ด
ู
เป็นต้น เรียกว่าวัตถุเพราะว่าเป็นที่อาศัยแห่งธรรมม
ี รายละเอียดใน อภิ.สงฺ.อ. (ไทย) ๑/๑/๓๗๕-๓๗๘.
ผัสสะเปน็ ตน้ เรยี กวา่ เนตรและนยั นาเพราะวา่ แสดงทาง
หน้า ๔๒
329
การพฒั นาอินทรยี สงั วร
สุภีร์ ทุมทอง
๑๑ อภิ.ว.ิ (ไทย) ๓๔/๖/๒๘. หนา้ ๔๒
๒๕๓๕), หน้า ๓๙๘., และพระมหาปราโมทย์ ปโมทิโต,
๑๒ เป็นปัจจัยโดยการเกิดก่อนตามบาลีว่า จกฺขายตนํ
พจนานุกรมธาตุภาษาบาลี, (กรุงเทพฯ : บริษัท เอก
จกฺขุวิญฺาณธาตุยา ตํสมปฺ ยุตตฺ กานญจฺ ธมฺมานํ ปเุ รชาต
พมิ พ์ไทย จำกดั , ๒๕๔๑), หนา้ ๑๒๘. หน้า ๔๗
ปจฺจเยน ปจฺจโย. โสตายตนะเป็นต้นก็โดยทำนองน้ ี
๒๒ เรือ่ งเดียวกนั , หนา้ ๑๒๘ และ ๓๙๙. หนา้ ๔๗
ดรู ายละเอยี ดใน อภ.ิ ป. (บาลี) ๔๐/๑๐/๖. หน้า ๔๒
๒๓ พันตรี ป. หลงสมบุญ, พจนานกุ รม มคธ-ไทย, พมิ พค์ รั้ง
๑๓ เป็นปัจจัยโดยการเป็นอินทรีย์ตามบาลีว่า จกฺขุนฺทฺริยํ
ที่ ๒, (กรุงเทพฯ : อาทรการพิมพ,์ ม.ป.ป.), หน้า ๖๘๘.
จกขฺ วุ ญิ ฺ าณธาตยุ า ตสํ มปฺ ยตุ ตฺ กานญจฺ ธมมฺ านํ อนิ ทฺ รฺ ยิ
หน้า ๔๗
ปจฺจเยน ปจฺจโย. โสตินทรีย์เป็นต้นก็โดยทำนองนี้ ด
๒๔ ราชบณั ฑติ ยสถาน, พจนานกุ รม ฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน
รายละเอยี ดใน อภิ.ป. (บาล)ี ๔๐/๑๖/๗. หน้า ๔๒
พ.ศ. ๒๕๔๒, (กรุงเทพฯ : นานมีบุคส์พับลิเคชั่น,
๑๔ ดูรายละเอียดใน สํ.สฬา. (ไทย) ๑๘/๑๔๖/๑๗๙.
๒๕๔๖), หน้า ๑๑๖๐. หน้า ๔๘
หนา้ ๔๒
๒๕ ที.ส.ี (บาล)ี ๙/๒๑๓/๗๐. หน้า ๔๙
๑๕ ส.ํ สฬา. (ไทย) ๑๘/๒๓๐/๒๑๙-๒๒๐. หนา้ ๔๕
๒๖ ท.ี ส.ี (ไทย) ๙/๒๑๓/๗๒-๗๓. หน้า ๔๙
๑๖ ส.ํ สฬา. (ไทย) ๑๘/๒๒๘/๒๑๗. หนา้ ๔๕
๒๗ อภิ.สงฺ.(บาลี) ๓๔/๑๓๕๔/๓๐๓, อภิ.ว.ิ (บาลี) ๓๕/๕๑๗/
๑๗ ส.ํ สฬา. (ไทย) ๑๘/๒๒๙/๒๑๘-๒๑๙. หน้า ๔๕
๒๙๙, อภิ.ป.ุ (บาล)ี ๓๖/๗๗/๑๓๑-๒. หน้า ๕๐
๑๘ ดรู ายละเอยี ดใน อภ.ิ ว.ิ (ไทย) ๓๕/๒๑๙/๑๙๗. หนา้ ๔๖
๒๘ อภ.ิ ว.ิ (บาล)ี ๓๕/๕๑๗/๒๙๙. หนา้ ๕๑
๑๙ พระคันธสาระ แปลและเรียบเรียง, ปทรูปสิทฺธิ, พิมพ
์ ๒๙ อภิ.ป.ุ (บาล)ี ๓๖/๗๗/๑๓๒. หน้า ๕๑
เน่อื งในโอกาสครบ ๓๐ ปี การก่อตง้ั สำนกั เรยี นบาลีใหญ ่
๓๐ ดูรายละเอียดใน ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๔๕๓/๕๐๔. หนา้ ๕๒
วัดทา่ มะโอ, (กรงุ เทพฯ : หา้ งห้นุ สว่ นจำกัด ไทยรายวัน
การพมิ พ,์ ๒๕๔๗), หน้า ๘๕๘-๘๕๙. หน้า ๔๗
๓๑ สํ.ม. (ไทย) ๑๙/๒๓๒/๑๖๒. หน้า ๕๓
๒๐ เรือ่ งเดยี วกนั , หน้า ๘๕๙ หนา้ ๔๗
๓๒ องฺ.เอกก. (ไทย) ๒๐/๑-๑๐/๑-๒. หน้า ๕๕
๒๑ พระวิสุทธาจารมหาเถระ, ธาตวัตถสังคหปาฐนิสสยะ,
๓๓ ที.ส.ี (บาล)ี ๙/๒๑๓/๗๐. หน้า ๕๖
พระราชปริยัติโมลี (อุปสโม)และคณะ ปริวรรตและแปล,
(กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์มหาจุฬาลกรณราชวิทยาลัย,
๓๔ ส.ํ สฬา. (ไทย) ๑๘/๒๔๗/๒๖๔. หนา้ ๕๗
330
การพฒั นาอินทรียสงั วร
สุภีร์ ทุมทอง
๓๕ ดรู ายละเอยี ดใน อง.ฺ นวก. (ไทย) ๒๓/๙/๒๑๓-๕. หนา้ ๕๘
๕๐ ข.ุ อติ ิ.อ. (ไทย) ๑/๔/๒๑๕. หน้า ๖๗
๓๖ ดรู ายละเอยี ดใน ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๓๖๕/๑๙๑-๒. หนา้ ๕๘
๕๑ ม.ม.ู อ. (ไทย) ๑/๑/๑๕๓. หนา้ ๖๘
๓๗ สํ.สฬา. (ไทย) ๑๘/๒๔๖/๒๕๙-๒๖๐. หน้า ๕๙
๕๒ ม.ม.ู อ. (ไทย) ๑/๑/๕๙. หน้า ๖๘
๓๘ ขุ.ม. (ไทย) ๒๙/๑๕๗/๔๓๗. หนา้ ๖๐
๕๓ ม.ม.ู อ. (ไทย) ๑/๑/๑๗๘. หนา้ ๖๘
๓๙ ดูรายละเอียดใน ขุ.ม. (ไทย) ๒๙/๑๕๗/๔๓๘-๔๔๐.
๕๔ ม.มู.อ. (ไทย) ๑/๑/๑๘๐. หนา้ ๖๘
หน้า ๖๐
๕๕ ทุสสฺ ีลยฺ มฏุ ฺ สจจฺ อญฺ าณ อกฺขนฺติ โกสชฺช, อภิ.สงฺ.อ.
๔๐ ขุ.จ.ู (ไทย) ๓๐/๑๘/๑๑๕-๑๑๗. หนา้ ๖๑
(บาลี) ๔๖/๒๑๙. หนา้ ๖๙
๔๑ ท.ี สี. (ไทย) ๙/๒๑๓/๗๓. หน้า ๖๑
๕๖ ดูรายละเอียดใน อภิ.สงฺ.อ. (ไทย) ๑/๑/๒๘๓-๒๘๔.
๔๒ ดูรายละเอียดใน ขุ.จู. (ไทย) ๓๐/๑๒๑/๓๙๙-๔๐๐.
หน้า ๗๐
หนา้ ๖๑
๕๗ อภ.ิ สง.ฺ อ. (ไทย) ๑/๑/๒๘๕. หน้า ๗๐
๔๓ ดูรายละเอียดใน ม.มู.อ. (ไทย) ๑/๑/๕๘-๕๙, ม.มู.อ.
๕๘ พระโสภณมหาเถระ (มหาสีสยาดอ), วิปัสสนานัย
(ไทย) ๑/๑/๑๕๓-๑๕๔, สํ.ข.อ. (ไทย) ๓/-/๑๓-๑๔,
เล่ม ๑, พระพรหมโมลี (สมศักดิ์ อุปสโม) ตรวจชำระ
ขุ.สุ.อ. (ไทย) ๑/๕/๑๙-๒๐, ขุ.จู.อ. (ไทย) ๖/-/๔๑๑-
พระคันธสาราภิวงศ์ แปลและเรียบเรียง, (กรุงเทพฯ :
๔๑๒, อภ.ิ สงฺ.อ. (ไทย) ๑/๒/๓๖๔-๓๖๖, อภิ.วิ.อ. (ไทย)
ห้างหนุ้ สว่ นจำกดั ซเี อไอ เซ็นเตอร์ จำกัด, ๒๕๔๘), หน้า
๒/๒/๓๕๖, วิสทุ ฺธ.ิ (ไทย) ๑/๑/๑๔-๑๕. หน้า ๖๔
๑๓-๑๔. หนา้ ๗๓
๔๔ ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๗๕/๗๙. หน้า ๖๔
๕๙ เรื่องเดียวกนั , หนา้ ๑๔-๑๘. หน้า ๗๔
๔๕ ที.ส.ี (บาลี) ๙/๒๑๓/๗๐. หน้า ๖๕
๖๐ พทุ ธทาสภกิ ข,ุ ตามรอยพระอรหนั ต,์ (กรงุ เทพมหานคร :
๔๖ ขุ.จ.ู (บาล)ี ๓๐/๖๐/๗. หน้า ๖๕
ธรรมสภา, ม.ป.ป.), หนา้ ๒๑๘. หนา้ ๗๕
๔๗ ขุ.จู. (ไทย) ๓๐/๖๐/๑๒. หน้า ๖๕
๔๘ ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๒๔/๒๔. หนา้ ๖๕
๖๑ เรอื่ งเดยี วกัน, หนา้ ๒๒๖-๗. หนา้ ๗๖
๔๙ ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๒๖/๒๕. หนา้ ๖๖
๖๒ เรือ่ งเดียวกัน, หนา้ ๒๕๖. หน้า ๗๖
๖๓ พุทธทาสภิกขุ, มรดกธรรม, (กรุงเทพฯ : ธรรมสภา,
๒๕๓๘), หน้า ๔๑. หน้า ๗๗
331
การพัฒนาอนิ ทรียสังวร
สุภีร์ ทมุ ทอง
๖๔ เรอ่ื งเดียวกัน, หน้า ๔๒. หนา้ ๗๘
๗๘ สํ.ส. (บาลี) ๑๕/๖๒/๔๔, สํ.ส. (ไทย) ๑๕/๖๒/๗๓.
๖๕ เรือ่ งเดยี วกนั , หน้า ๒๗-๒๘. หนา้ ๗๘
หน้า ๘๖
๖๖ เรอ่ื งเดยี วกนั , หนา้ ๕๐. หน้า ๗๘
๗๙ อง.ฺ เอกก. (ไทย) ๒๐/๕๑/๙. หนา้ ๘๗
๖๗ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต), พุทธธรรม ฉบับ
๘๐ อง.ฺ เอกก. (ไทย) ๒๐/๕๒/๑๐. หนา้ ๘๗
ปรบั ปรงุ และขยายความ, พมิ พค์ รั้งที่ ๑๑, (กรงุ เทพฯ :
๘๑ อง.ฺ เอกก. (ไทย) ๒๐/๒๒/๕. หนา้ ๘๘
โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๖),
๘๒ อง.ฺ เอกก. (ไทย) ๒๐/๒๘/๕. หน้า ๘๘
หนา้ ๖๔-๖๕. หน้า ๘๐
๖๘ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๖๖๗-๗๓๒. หน้า ๘๑
๘๓ องฺ.เอกก (ไทย) ๒๐/๓๐/๖. หนา้ ๘๘
๖๙ ดูรายละเอียดใน อภิ.ป. (ไทย) ๔๐/๑-๒๔/๒/๒-๑๔.
๘๔ องฺ.เอกก (ไทย) ๒๐/๔๐/๗. หนา้ ๘๘
หนา้ ๘๓
๘๕ ขุ.ธ. (บาลี) ๒๕/๓๕/๒๒, ขุ.ธ. (ไทย) ๒๕/๓๕/๓๖.
๗๐ งฺ.เอกก. (ไทย) ๒๐/๔๘/๙. หน้า ๘๓
หน้า ๘๘
๗๑ สํ.น.ิ (ไทย) ๑๖/๖๑/๑๑๖. หนา้ ๘๔
๘๖ ขุ.ธ. (บาลี) ๒๕/๓๖/๒๒, ขุ.ธ. (ไทย) ๒๕/๓๖/๓๖.
หน้า ๘๘
๗๒ ดูรายละเอียดใน ขุ.ธ. (บาลี) ๒๕/๓๗/๒๒, คำอธิบาย
๘๗ ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๗๕/๗๙. หนา้ ๙๐
ลักษณะของจิตดูรายละเอียดใน ขุ.ธ.อ. (ไทย) ๑/๒
(ตอน ๑) /๔๑๖-๔๑๗. หน้า ๘๔
๘๘ วสิ ุทธฺ .ิ (ไทย) ๑/๑/๗๖. หน้า ๙๐
๗๓ ขุ.ธ. (ไทย) ๒๕/๔๑/๓๘. หนา้ ๘๔
๘๙ วิสทุ ธฺ .ิ (ไทย) ๑/๑/๗๗. หน้า ๙๐
๗๔ ท.ี ส.ี (ไทย) ๙/๒๓๔/๗๘. หน้า ๘๔
๙๐ ขุ.ธ. (ไทย) ๒๕/๑๓-๑๔/๒๘. หนา้ ๙๒
๗๕ ดรู ายละเอียดใน ขุ.ธ. (บาล)ี ๒๕/๓๓/๒๒, ข.ุ ธ. (บาล)ี
๙๑ อปฺปมาโทติ นปปฺ มชฺชนํ สติยา อวปิ ฺปวาโส, ขุ.จ.ู อ. (บาลี)
๒๕/๓๕/๒๒, ขุ.ธ. (บาล)ี ๒๕/๓๖/๒๒. หน้า ๘๕
๓๘/๒๖๗. หน้า ๙๒
๗๖ ข.ุ ธ. (บาล)ี ๒๕/๑/๑๕, ข.ุ ธ. (ไทย) ๒๕/๑/๒๓. หนา้ ๘๖
๙๒ สตาธปิ เตยฺยา สพเฺ พ ธมมฺ า, องฺ.อฏฺก. (บาล)ี ๒๓/๘๓/
๗๗ ข.ุ ธ. (บาล)ี ๒๕/๒/๑๕, ข.ุ ธ. (ไทย) ๒๕/๒/๒๔. หนา้ ๘๖
๒๘๑. หนา้ ๙๒
332
การพัฒนาอนิ ทรียสังวร
สุภีร์ ทมุ ทอง
๙๓ หนฺททานิ ภิกฺขเว อามนฺตยามิ โว; วยธมฺมา สงฺขารา,
๑๐๗ ดูรายละเอียดใน สํ.ม. (ไทย) ๑๙/๓๖๘/๒๑๑-๒๑๒.
อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ, ที.ม. (บาลี) ๑๐/๒๑๘/๑๓๕,
หนา้ ๑๐๓
ที.ม. (ไทย) ๑๐/๒๑๘/๑๖๖. หน้า ๙๒
๑๐๘ ดูรายละเอียดใน สํ.ม. (ไทย) ๑๙/๓๗๐/๒๑๔-๕.
๙๔ ส.ํ สฬา. (ไทย) ๑๘/๙๗/๑๐๘. หน้า ๙๓
หน้า ๑๐๓
๙๕ ดูรายละเอียดใน สํ.สฬา. (ไทย) ๑๘/๑๓๔/๑๖๘-๑๖๙.
๑๐๙ ดูรายละเอยี ดใน ม.มู. (ไทย) ๑๒/๑๖/๑๘. หนา้ ๑๐๕
หน้า ๙๔
๑๑๐ ดรู ายละเอยี ดใน ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๒๒/๒๒. หน้า ๑๐๕
๙๖ ดูรายละเอียดใน สํ.สฬา. (ไทย) ๑๘/๒๔๐/๒๔๑-๒๔๒.
๑๑๑ ดูรายละเอยี ดใน ม.มู.อ. (ไทย) ๑/๑/๑๗๗. หน้า ๑๐๕
หนา้ ๙๕
๙๗ ส.ํ ม. (ไทย) ๑๙/๓๗๒/๒๑๗-๒๑๘. หนา้ ๙๖
๑๑๒ ดรู ายละเอยี ดใน ข.ุ ธ. (บาล)ี ๒๕/๑-๑๓๖/๔-๕. หนา้ ๑๐๖
๙๘ ขุ.ธ. (ไทย) ๒๕/๗-๘/๒๖. หนา้ ๙๖
๑๑๓ ปุพฺเพ จาหํ ภิกฺขเว เอตรหิ จ ทุกฺขญฺเจว ปญฺาเปมิ
ทกุ ขฺ สสฺ จ นิโรธ,ํ ม.ม.ู (บาล)ี ๑๒/๒๔๖/๒๐๘. หนา้ ๑๐๗
๙๙ กจิ โฺ ฉ มนสุ สฺ ปฏลิ าโภ, ข.ุ ธ. (บาล)ี ๒๕/๑๘๒/๔๙. หนา้ ๙๗
๑๑๔ ดรู ายละเอยี ดใน ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๒๓๘/๒๕๒. หนา้ ๑๐๗
๑๐๐ สํ.สฬา. (ไทย) ๑๘/๙๘/๑๐๙. หนา้ ๙๗
๑๑๕ ข.ุ ม. (ไทย) ๒๙/๕๐/๑๗๖. หนา้ ๑๐๘
๑๐๑ ดูรายละเอียดใน สํ.สฬา. (ไทย) ๑๘/๒๓๙/๒๓๙-๒๔๑.
๑๑๖ ดรู ายละเอียดใน ขุ.จู. (ไทย) ๓๐/๑๑๙/๓๘๘. หน้า ๑๐๘
หนา้ ๙๘
๑๐๒ สํ.ส. (ไทย) ๑๕/๑๑๖/๑๓๕. หนา้ ๑๐๑
๑๑๗ ขุ.ม. (ไทย) ๒๙/๑๙๘/๕๘๒. หน้า ๑๐๘
๑๐๓ ขุ.ธ. (ไทย) ๒๕/๒๓๑-๒๓๔/๑๐๔-๑๐๕. หน้า ๑๐๑
๑๑๘ ดูรายละเอียดใน ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๗๔-๖/๗๘-๘๑.
๑๐๔ ขุ.ธ. (ไทย) ๒๕/๑๐๔-๑๐๕/๖๒. หน้า ๑๐๑
หน้า ๑๐๙
๑๐๕ สํ.ม. (ไทย) ๑๙/๓๖๗/๒๑๐. หน้า ๑๐๒
๑๑๙ ดูรายละเอียดใน ที.สี. (ไทย) ๙/๑๕๐-๒๕๓/๔๘-๘๖,
และพระสูตรอืน่ ๆ ในสลี ขันธวรรค. หนา้ ๑๐๙
๑๐๖ ดูรายละเอียดใน ที.ม. (ไทย) ๑๐/๓๗๒-๔๐๕/๓๐๑-
๑๒๐ ขุ.ธ. (ไทย) ๒๕/๓๗๕/๑๔๙. หน้า ๑๑๐
๓๔๐. หนา้ ๑๐๓
๑๒๑ ข.ุ ส.ุ (ไทย) ๒๕/๘๘/๕๒๒. หน้า ๑๑๐
333
การพัฒนาอินทรียสังวร
สภุ ีร์ ทุมทอง
๑๒๒ องฺ.ทสก. (ไทย) ๒๔/๗๓/๑๖๑. หนา้ ๑๑๐
๑๓๗ ดรู ายละเอยี ดใน ส.ํ สฬา. (ไทย) ๑๘/๙๔/๙๗. หนา้ ๑๒๐
๑๒๓ องฺ.ทสก. (ไทย) ๒๔/๖๑/๑๓๖. หน้า ๑๑๒
๑๓๘ ข.ุ อิติ. (ไทย) ๒๕/๒๙/๓๗๖. หน้า ๑๒๑
๑๒๔ ดูรายละเอียดใน องฺ.อฏฺก. (ไทย) ๒๓/๘๑/๔๐๕-๔๐๖.
๑๓๙ ขุ.เถร. (บาลี) ๒๖/๓๐๓/๓๑๘. หนา้ ๑๒๑
หน้า ๑๑๒
๑๔๐ ข.ุ ม. (ไทย) ๒๙/๑๙๘/๕๘๐. หนา้ ๑๒๑
๑๒๕ สมาหิโต ภิกฺขเว ภิกขฺ ุ ยถาภตู ํ ปชานาต,ิ สํ.สฬา. (บาล)ี
๑๔๑ อง.ฺ ทสก. (บาล)ี ๒๔/๕๘/๘๕. หนา้ ๑๒๒
๑๘/๙๙/๗๖. หน้า ๑๑๓
๑๒๖ ดูรายละเอียดใน ที.สี. (ไทย) ๙/๒๓๔/๗๗-๗๘.
๑๔๒ ดูรายละเอียดใน ขุ.อุ. (ไทย) ๒๕/๗๑/๓๒๑-๓๒๒.
หน้า ๑๑๓
หน้า ๑๒๒
๑๒๗ ท.ี สี. (ไทย) ๙/๒๒๕/๗๕. หนา้ ๑๑๓
๑๔๓ องฺ.อฏฺก. (บาลี) ๒๓/๘๓/๒๘๐, อง.ฺ ทสก. (บาล)ี ๒๔/
๑๒๘ อง.ฺ สตฺตก. (ไทย) ๒๓/๖๑/๗๒. หนา้ ๑๑๔
๕๘/๘๕. หน้า ๑๒๓
๑๒๙ ขุ.เถร. (ไทย) ๒๖/๓๗/๓๑๖. หนา้ ๑๑๔
๑๔๔ ดูรายละเอียดใน อง.จตุกฺก. (ไทย) ๒๑/๓๗/๖๐-๖๒.
หน้า ๑๒๓
๑๓๐ ดูรายละเอียดใน ที.สี. (ไทย) ๙/๒๑๖-๒๒๕/๗๓-๕.
๑๔๕ ขุ.สุ. (ไทย) ๒๕/๒๑๘/๕๕๐. หนา้ ๑๒๔
หน้า ๑๑๕
๑๔๖ ขุ.สุ. (ไทย) ๒๕/๗๒๙/๖๗๒. หนา้ ๑๒๔
๑๓๑ ดูรายละเอียดใน องฺ.ทสก. (ไทย) ๒๔/๙๙/๒๓๒-๒๔๐.
๑๔๗ ข.ุ ธ. (ไทย) ๒๕/๓๖๒/๑๔๖. หนา้ ๑๒๔
หน้า ๑๑๕
๑๓๒ ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๓๙๕/๔๔๗-๘. หน้า ๑๑๖
๑๔๘ ดูรายละเอียดใน องฺ.ทุก. (ไทย) ๒๐/๔๓/๘๗-๘๘.
๑๓๓ ข.ุ เถร. (ไทย) ๒๖/๖๘๒/๔๕๖. หน้า ๑๑๗
หนา้ ๑๒๕
๑๓๔ ข.ุ ธ. (ไทย) ๒๕/๓๖๐-๑/๑๔๖. หนา้ ๑๑๗
๑๔๙ ดูรายละเอียดใน ขุ.เถร. (ไทย) ๒๖/๖๑๐/๔๔๕.
หนา้ ๑๒๕
๑๓๕ คาถาของพระปาราปริยเถระ ขุ.เถร. (ไทย) ๒๖/๑๑๖/
๑๕๐ ดรู ายละเอียดใน ขุ.ว.ิ (ไทย) ๒๖/๖๑๘/๖๗. หน้า ๑๒๕
๓๔๕. หน้า ๑๑๗
๑๕๑ ขุ.เถร. (ไทย) ๒๖/๕๗๙/๔๓๙. หน้า ๑๒๖
๑๓๖ สํ.สฬา. (ไทย) ๑๘/๑๒๗/๑๕๕. หน้า ๑๑๙
334
การพัฒนาอนิ ทรยี สังวร
สภุ ีร์ ทมุ ทอง
๑๕๒ ดูรายละเอียดใน สํ.สฬา. (ไทย) ๑๘/๑๒๐/๑๔๑.
๑๖๔ ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๗๘/๘๔. หนา้ ๑๓๒
หนา้ ๑๒๖
๑๖๕ ส.ํ สฬา. (ไทย) ๑๘/๙๔/๙๗. หนา้ ๑๓๓
๑๕๓ ดูรายละเอียดใน สํ.สฬา. (ไทย) ๑๘/๑๒๗/๑๕๒-๑๕๕.
๑๖๖ ดู ร า ย ล ะ เ อี ย ด ใ น ขุ . ม . (ไทย) ๒ ๙ / ๘ ๕ / ๒ ๕ ๕ - ๖ .
หนา้ ๑๒๗
หนา้ ๑๓๓
๑๕๔ ดรู ายละเอยี ดใน องฺ.ปญฺจก. (ไทย) ๒๒/๗๖/๑๓๖-๑๓๘.
๑๖๗ ดรู ายละเอียดใน ข.ุ ม. (ไทย) ๒๙/๑๓/๖๕-๖. หนา้ ๑๓๓
หน้า ๑๒๘
๑๕๕ ดูรายละเอียดใน ขุ.เถร. (ไทย) ๒๖/๕๑๓/๔๒๗.
๑๖๘ องฺ.ตกิ . (ไทย) ๒๐/๑๒๙/๓๗๘-๓๗๙. หนา้ ๑๓๔
หน้า ๑๒๘
๑๖๙ ดรู ายละเอยี ดใน ท.ี ส.ี (ไทย) ๙/๑๑-๒๐/๕-๘. หนา้ ๑๓๕
๑๕๖ ดรู ายละเอยี ดใน อง.ฺ ทกุ . (ไทย) ๒๐/๑๖/๑๕๙. หนา้ ๑๒๙
๑๗๐ ดูรายละเอียดใน ที.สี. (ไทย) ๙/๒๑-๒๗/๘-๑๐.
๑๕๗ ดูรายละเอียดใน องฺ.เอกาทสก. (ไทย) ๒๔/๑๗/๔๓๕-๘.
หนา้ ๑๓๕
หนา้ ๑๒๙
๑๗๑ ส.ํ ข. (ไทย) ๑๗/๘๐/๑๒๗. หนา้ ๑๓๕
๑๕๘ ดูรายละเอียดใน องฺ.ฉกฺก (ไทย) ๒๒/๑/๔๑๑-๔๑๒.
๑๗๒ ส.ํ ข. (ไทย) ๑๗/๘๐/๑๒๗. หนา้ ๑๓๖
หนา้ ๑๓๐
๑๗๓ ส.ํ สฬา. (ไทย) ๑๘/๒๔๖/๒๖๐. หนา้ ๑๓๗
๑๕๙ ดูรายละเอียดใน องฺ.ฉกฺก (ไทย) ๒๒/๕/๔๑๖-๗.
๑๗๔ ดรู ายละเอยี ดใน ว.ิ มหา. (ไทย) ๑/๕๕/๔๓. หนา้ ๑๓๘
หนา้ ๑๓๐
๑๖๐ ดูรายละเอียดใน องฺ.ฉกฺก. (ไทย) ๒๒/๕๙/๕๕๒.
๑๗๕ ดรู ายละเอยี ดใน วิ.มหา. (ไทย) ๑/๙๒/๘๒. หนา้ ๑๓๘
หนา้ ๑๓๐
๑๗๖ ดรู ายละเอยี ดใน ว.ิ มหา. (ไทย) ๑/๑๙๘/๑๘๕. หนา้ ๑๓๘
๑๖๑ ดูรายละเอียดใน ขุ.สุ. (ไทย) ๒๕/๔๑๓-๔๑๕/๕๙๖.
๑๗๗ ดูรายละเอียดใน วิ.มหา. (ไทย) ๑/๑๗๒/๑๔๒.
หนา้ ๑๓๑
หนา้ ๑๓๘
๑๖๒ ดูรายละเอียดใน ขุ.อุ. (ไทย) ๒๕/๑๐/๑๘๔-๑๘๕.
๑๗๘ อง.ฺ จตกุ ฺก. (ไทย) ๒๑/๑๒๒/๑๘๖. หนา้ ๑๓๙
หนา้ ๑๓๑
๑๗๙ ดรู ายละเอยี ดใน องฺ.ปญฺจก. (ไทย) ๒๒/๗๖/๑๓๒-๑๓๓.
๑๖๓ ดูรายละเอียดใน ขุ.อติ ิ. (ไทย) ๒๕/๙๒/๔๖๕. หนา้ ๑๓๑
หนา้ ๑๔๑
335
การพฒั นาอินทรยี สังวร
สุภรี ์ ทุมทอง
บทที่ ๓
๑๘๐ ข.ุ อติ .ิ (ไทย) ๒๕/๒๘/๓๗๕. หนา้ ๑๔๓
๑ ดูรายละเอียดใน อภิ.สงฺ.อ. (ไทย) ๗๖/๒๒๒-๒๒๓.
๑๘๑ ขุ.พุทฺธ. (ไทย) ๓๓/๑๑/๗๑๙. หนา้ ๑๔๔
หนา้ ๑๕๖
๑๘๒ ดูรายละเอยี ดใน ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๗๐/๖๒-๓. หนา้ ๑๔๕
๑๘๓ ข.ุ อิต.ิ (ไทย) ๒๕/๒๘/๓๗๕. หนา้ ๑๔๕
๒ ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๔๒๑/๔๗๙. หนา้ ๑๕๖
๑๘๔ สํ.สฬา. (ไทย) ๑๘/๒๓๕/๒๓๑-๒๓๓. หนา้ ๑๔๖
๑๘๕ ขุ.ธ. (ไทย) ๒๕/๓๐๗/๑๒๙. หนา้ ๑๔๗
๓ ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๒๐๔/๒๑๓-๒๑๔. หนา้ ๑๕๖
๔ ดรู ายละเอยี ดใน มหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั , อภธิ มั มตั ถสงั คห
บาลีและอภิธัมมัตถวิภาวินีฎีกา ฉบับแปลเป็นไทย,
(กรุงเทพฯ : มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๓๙),
หนา้ ๑๔๑-๑๘๖. หนา้ ๑๕๘
๕ ดูรายละเอียดใน องฺ.เอกก. (ไทย) ๒๐/๕๑-๒/๙-๑๐.
หนา้ ๑๕๙
๖ องฺ.เอกก. (ไทย) ๒๐/๓๙-๔๐/๗. หนา้ ๑๖๑
๗ ดูรายละเอยี ดใน ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๔๕๓/๕๐๔. หนา้ ๑๖๓
๘ ดรู ายละเอียดใน ม.ม. (ไทย) ๑๓/๗/๗-๘. หนา้ ๑๖๓
๙ ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๔๕๔/๕๐๕. หนา้ ๑๖๔
๑๐ ม.อ.ุ อ. (ไทย) ๓/๒/๕๓๐. หนา้ ๑๖๕
๑๑ ดูรายละเอียดใน ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๔๕๔-๔๕๙/๕๐๕-๘.
หนา้ ๑๖๖
๑๒ ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๔๖๐/๕๐๘. หนา้ ๑๖๗
๑๓ ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๔๖๑-๒/๕๐๘-๕๑๐. หนา้ ๑๖๗
๑๔ ข.ุ ส.ุ (ไทย) ๒๕/๑๐๔๒/๗๔๖. หนา้ ๑๖๙
336
การพัฒนาอนิ ทรยี สังวร
สภุ ีร์ ทมุ ทอง
๑๕ โสภณเจตสกิ ที่เรยี กว่ายคุ ลธรรม ๖ คู่ ๑๒ ประเภท คอื
๒๒ สํ.ม. (ไทย) ๑๙/๕๔/๔๔. หนา้ ๑๗๐
กายปัสสัทธิ จิตตปัสสัทธิ, กายลหุตา จิตตลหุตา, กาย
๒๓ สํ.ม. (ไทย) ๑๙/๖๘/๔๙. หนา้ ๑๗๐
มุทุตา จิตตมุทุตา, กายกัมมัญญตา จิตตกัมมัญญตา,
กายปาคญุ ญตา จติ ตปาคญุ ญตา, กายุชกุ ตา จติ ตุชกตา,
๒๔ สํ.ม. (ไทย) ๑๙/๘๒/๕๔. หนา้ ๑๗๐
ดูรายละเอยี ดใน อภิ.สงฺ. (ไทย) ๓๔/๑/๒๗. หนา้ ๑๖๙
๒๕ สํ.ม. (ไทย) ๑๙/๑๓๙/๗๒. หนา้ ๑๗๐
๑๖ สมาหิโต ภิกฺขเว ภิกฺขุ ยถาภตู ํ ปชานาต.ิ , ส.ํ สฬา. (บาลี)
๒๖ ส.ํ ม. (ไทย) ๑๙/๑๔๐/๗๕. หนา้ ๑๗๑
๑๘/๙๙/๗๖. หนา้ ๑๖๙
๑๗ สมาหิเต จิตฺเต ปริสุทฺเธ ปริโยทาเต อนงฺคเณ
๒๗ สํ.ม. (ไทย) ๑๙/๑๔๖/๗๖. หนา้ ๑๗๑
วิคตูปกฺกิเลเส มุทุภูเต กมฺมนิเย ฐิเต อาเนญฺชปฺปตฺเต,
๒๘ ที.ม. (ไทย) ๑๐/๒๑๘/๑๖๖. หนา้ ๑๗๑
ท.ี ส.ี (บาล)ี ๙/๒๓๔/๗๗. หนา้ ๑๖๙
๑๘ ตสฺสิเม ปญฺจ นีวรเณ ปหีเน อตฺตนิ สมนุปสฺสโต
๒๙ ดูรายละเอียดใน อภิ.สงฺ. (ไทย) ๓๔/๑/๒๗. หนา้ ๑๗๒
ปาโมชชฺ ํ ชายติ, ปมุทติ สสฺ ปีติ ชายติ, ปีตมิ นสฺส กาโย
๓๐ สติ อนสุ ฺสติ ปฏิสสฺ ติ สติ สรณตา ธารณตา อปลิ าปนตา
ปสฺสมฺภติ, ปสฺสทฺธกาโย สุขํ ปฏิสํเวเทติ, สุขิโน จิตฺต ํ
อสมมฺ ุสนตา สติ สตนิ ฺทรฺ ยิ สติพล สมมฺ าสติ มีคำอธิบาย
สมาธิยต,ิ ที.สี. (บาล)ี ๙/๒๒๕/๗๔. หนา้ ๑๖๙
ตามอรรถกถาวา่ ชอ่ื ว่าสติเพราะการระลึก แสดงสภาวะ
๑๙ กุศลธรรมคือธรรมอันหาโทษมิได้ ได้แก่ การบำเพ็ญศีล,
ของสติ ช่ือว่าอนุสสติ เพราะการตามระลึก เพราะการ
การสำรวมอินทรีย์, ความเป็นผู้รู้จักประมาณในโภชนะ,
ระลึกบ่อยๆ ช่ือว่าปฏิสสติ เพราะการระลึกเฉพาะโดย
ในการประกอบเนืองๆ ซึ่งความเพียรของบุคคลผู้ตื่นอยู่,
การระลกึ ดจุ ไปขา้ งหนา้ ชอื่ วา่ สรณตา เปน็ อาการทรี่ ะลกึ
ช่ือว่าธารณตา เพราะทรงจำส่ิงที่ได้ฟังและได้เรียนมา
ธรรม ๗ ประการ, การเจริญวิปัสสนาให้แก่กล้า,
ชอ่ื วา่ อปิลาปนตา เพราะเปน็ ภาวะที่ไม่เลอะเลือน ช่อื วา่
ปฏสิ มั ภทิ า ๔ มอี รรถปฏสิ มั ภทิ าเปน็ ตน้ , ธรรมขนั ธ์ ๕ มศี ลี
อสัมมุสนตา เพราะความไม่หลงลืมในการงานที่ทำและคำ
ขนั ธ์เปน็ ต้น, ฐานะและมิใชฐ่ านะ, สมาบัติ, อรยิ สัจ, โพธิ
ปักขยิ ธรรมมีสตปิ ัฏฐานเปน็ ต้น, วชิ ชา ๘ มีวิปสั สนาญาณ
พดู ทลี่ ว่ งมานานได้ ชอื่ วา่ สตนิ ทรยี ์ เพราะครองความเปน็
เป็นต้น ดูรายละเอียดใน ที.ปา.อ. (ไทย) ๓/๒/๔๖๐.
ใหญ่ในลักษณะแห่งการช่วยอุปการะธรรมอื่นๆ ช่ือว่าสติ
หนา้ ๑๖๙
พละ เพราะไม่หว่ันไหวไปในเพราะความประมาท ช่ือว่า
สมั มาสติ เพราะเปน็ สตติ ามความเปน็ จรงิ เปน็ สตนิ ำออก
๒๐ ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๓๕๑/๓๖๗. หนา้ ๑๖๙
จากวัฏฏทุกข์และเป็นกุศล ดูรายละเอียดใน อภิ.สงฺ.อ.
๒๑ ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๕๒/๓๖๙. หนา้ ๑๖๙
(ไทย) ๑/๑/๓๘๖-๓๘๗. หนา้ ๑๗๒
337
การพัฒนาอินทรียสงั วร
สภุ รี ์ ทมุ ทอง
๓๑ อภิ.สงฺ. (ไทย) ๓๔/๑๔/๒๙. หนา้ ๑๗๒
๔๖ องฺ.อฏฺก. (ไทย) ๒๓/๘๑/๔๐๕. หนา้ ๑๘๗
๓๒ อภ.ิ สง.ฺ อ. (ไทย) ๑/๑/๓๓๐. หนา้ ๑๗๓
๔๗ สํ.สฬา. (ไทย) ๑๘/๙๕/๑๐๑. หนา้ ๑๘๘
๓๓ ดูรายละเอียดใน อภิ.สงฺ.อ. (บาลี) ๔๖/๒๖๔,
๔๘ ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๓๖๕/๒๙๑-๒๙๒. หนา้ ๑๙๐
และ อภิ.สงฺ.อ. (ไทย) ๑/๑/๓๓๑. หนา้ ๑๗๔
๔๙ ดูรายละเอียดใน ที.ม.อ. (ไทย) ๒/๒/๒๐๐-๒๐๒.
๓๔ วิสุทฺธิ. (ไทย) ๑/๑/๔๕-๖. หนา้ ๑๗๕
หนา้ ๑๙๒
๓๕ ดูรายละเอียดใน วสิ ทุ ฺธิ. (ไทย) ๑/๑/๔๖-๗. หนา้ ๑๗๗
๕๐ ดูรายละเอียดในเสวติ พั พาเสวิตัพพสูตร ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/
๓๖ วิสทุ ฺธิ. (ไทย) ๑/๑/๗๕. หนา้ ๑๗๘
๑๑๙-๑๒๓/๑๓๕-๑๕๙. หนา้ ๑๙๒
๓๗ ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๔๒๕/๔๘๔. หนา้ ๑๘๒
๕๑ อปฺปมาโท อมตํ ปทํ, ปมาโท มจจฺ โุ น ปท.ํ , ข.ุ ธ. (บาลี)
๒๕/๒๑/๑๙. หนา้ ๑๙๓
๓๘ ดูรายละเอียดใน ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๑๕๓-๑๕๙/๑๙๖-
๕๒ อภิ.ว.ิ (ไทย) ๓๕/๕๑๔/๓๘๘. หนา้ ๑๙๔
๒๐๗. หนา้ ๑๘๓
๓๙ ขุ.อุ. (ไทย) ๒๕/๒๕/๒๒๐. หนา้ ๑๘๓
๕๓ ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๒๐๓/๑๕๑. หนา้ ๑๙๕
๔๐ สํ.สฬา. (ไทย) ๑๘/๑๓๒/๑๖๒-๑๖๓. หนา้ ๑๘๔
๕๔ ดูรายละเอียดใน สํ.สฬา. (ไทย) ๑๘/๑๒๗/๑๕๒.
หนา้ ๑๙๕
๔๑ ขุ.ส.ุ (บาลี) ๒๕/๑๐๔๑๕๓๑. หนา้ ๑๘๕
๕๕ ดูรายละเอียดใน วิ.มหา. (ไทย) ๑/๔๔๔/๔๗๔-๔๗๕.
๔๒ ขุ.สุ. (บาล)ี ๒๕/๑๐๔๒/๕๓๒. หนา้ ๑๘๕
หนา้ ๑๙๘
๔๓ คุณารักษ์ นพคุณ ผู้แปล, เนตติปกรณ์แปลและเนตต
ิ ๕๖ ดูรายละเอียดใน วิ.มหา. (ไทย) ๑/๔๕๓/๔๘๐.
สารตั ถทีปนี, (กรุงเทพฯ : หจก. ทพิ ยวิสุทธิ์, ๒๕๔๔),
หนา้ ๑๙๘
หนา้ ๒๐. หนา้ ๑๘๕
๕๗ ดรู ายละเอยี ดใน ว.ิ มหา. (ไทย) ๒/๕๗๖/๖๕๐. หนา้ ๒๐๐
๔๔ เรอื่ งเดยี วกนั , หน้า ๒๑. หนา้ ๑๘๖
๕๘ ดูรายละเอียดใน วิ.มหา. (ไทย) ๒/๕๗๗/๖๕๑.
๔๕ อง.ฺ ทสก. (ไทย) ๒๔/๖๑/๑๓๖. หนา้ ๑๘๗
หนา้ ๒๐๐
338
การพัฒนาอินทรยี สงั วร
สุภีร์ ทุมทอง
๕๙ ดรู ายละเอยี ดใน ว.ิ มหา. (ไทย) ๒/๕๗๘/๖๕๒. หนา้ ๒๐๐
๗๔ ข.ุ อ.ุ (ไทย) ๒๕/๑๐/๑๘๖. หนา้ ๒๐๓
๖๐ ดรู ายละเอยี ดใน ว.ิ มหา. (ไทย) ๒/๕๗๙/๖๕๓. หนา้ ๒๐๐
๗๕ อตฺตนา โจทยตฺตานํ ปฏิมํเสตมตฺตนา,
๖๑ ดรู ายละเอยี ดใน ว.ิ มหา. (ไทย) ๒/๕๘๑/๖๕๕. หนา้ ๒๐๐
โส อตตฺ คุตฺโต สตมิ า สุขํ ภกิ ขฺ ุ วิหาหสิ ,ิ
ข.ุ ธ. (บาล)ี ๒๕/๓๗๙/๘๓. หนา้ ๒๐๔
๖๒ ดรู ายละเอยี ดใน ว.ิ มหา. (ไทย) ๒/๕๘๒/๖๕๖. หนา้ ๒๐๐
๗๖ ดูรายละเอียดใน ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๑๙/๑๒๙-๑๓๐.
๖๓ ดรู ายละเอยี ดใน ว.ิ มหา. (ไทย) ๒/๕๘๓/๖๕๗. หนา้ ๒๐๐
หนา้ ๒๐๕
๖๔ ดรู ายละเอยี ดใน ว.ิ มหา. (ไทย) ๒/๕๘๔/๖๕๘. หนา้ ๒๐๐
๗๗ ดูรายละเอยี ดใน ที.สี. (ไทย) ๙/๕-๖/๒-๓. หนา้ ๒๐๖
๖๕ ดรู ายละเอยี ดใน ว.ิ มหา. (ไทย) ๒/๕๘๕/๖๕๙. หนา้ ๒๐๐
๗๘ ส.ํ ส. (ไทย) ๑๕/๑๒๔/๑๔๕. หนา้ ๒๐๖
๖๖ ดรู ายละเอยี ดใน ว.ิ มหา. (ไทย) ๒/๕๘๖/๖๖๐. หนา้ ๒๐๐
๗๙ ดูรายละเอยี ดใน ม.ม.ู อ. (ไทย) ๑/๑/๖๙๘-๙. หนา้ ๒๐๗
๖๗ ดรู ายละเอยี ดใน ว.ิ มหา. (ไทย) ๒/๕๘๗/๖๖๑. หนา้ ๒๐๐
๘๐ ดรู ายละเอยี ดใน ส.ํ ส. (ไทย) ๑๕/๒๐๙/๓๐๓-๔. หนา้ ๒๐๙
๖๘ ดรู ายละเอยี ดใน ว.ิ มหา. (ไทย) ๒/๕๘๘/๖๖๒. หนา้ ๒๐๐
๘๑ ดรู ายละเอยี ดใน ส.ํ ส. (ไทย) ๑๕/๒๑๐/๓๐๔-๕. หนา้ ๒๐๙
๖๙ ดรู ายละเอยี ดใน ว.ิ มหา. (ไทย) ๒/๕๘๙/๖๖๓. หนา้ ๒๐๐
๘๒ สํ.ส. (ไทย) ๑๕/๒๑๒/๓๐๗-๘. หนา้ ๒๑๐
๗๐ ว.ิ ม. (ไทย) ๕/๓๔๕/๒๑๓-๔. หนา้ ๒๐๐
๘๓ อํ.อฏฐฺ ก. (ไทย) ๒๓/๙/๒๑๔. หนา้ ๒๑๐
๗๑ อง.ฺ ทสก. (ไทย) ๒๔/๖๑/๑๓๖. หนา้ ๒๐๑
๘๔ ดูรายละเอยี ดใน ขุ.ธ.อ. (ไทย) ๑/๒ (ตอน๔)/๑๑๘-๑๒๒.
๗๒ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต), พุทธธรรม ฉบับ
หนา้ ๒๑๑
ปรับปรงุ และขยายความ, พมิ พ์ครงั้ ท่ี ๑๑, (กรุงเทพฯ :
๘๕ ดูรายละเอียดใน ขุ.ธ.อ. (ไทย) ๑/๒ (ตอน๔)/๓๔๑-๖.
โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๖), หน้า
หนา้ ๒๑๑
๖๖๗-๗๓๒. หนา้ ๒๐๑
๘๖ ดูรายละเอียดใน วิสุทฺธิ. (ไทย) ๑/๑/๗๙-๘๑.
๗๓ ขุ.เถร. (ไทย) ๒๖/๕๐๑/๔๒๕. หนา้ ๒๐๒
หนา้ ๒๑๒
๘๗ ดูรายละเอียดใน ขุ.ชา.อ. (ไทย) ๓/๕/๖๔๙-๖๕๘.
หน้า ๒๑๓
339
การพัฒนาอนิ ทรยี สังวร
สภุ ีร์ ทุมทอง
๘๘ ข.ุ ชา. (ไทย) ๒๗/๔๕/๓๐๘. หนา้ ๒๑๔
๑๐๑ ดูรายละเอียดใน ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๔๒๖/๔๘๕-๖.
๘๙ ดูรายละเอียดใน ขุ.ชา.อ. (ไทย) ๓/๕/๖๘๖-๖๙๖.
หนา้ ๒๒๔
หนา้ ๒๑๔
๑๐๒ ส.ํ สฬา. (ไทย) ๑๘/๑๐๖/๑๒๐. หนา้ ๒๒๔
๙๐ ข.ุ ชา. (ไทย) ๒๗/๖๕-๖/๓๑๑. หนา้ ๒๑๕
๑๐๓ ม.มู. (ไทย) ๑๒/๔๐๙/๔๔๔-๕. หนา้ ๒๒๖
๙๑ ดูรายละเอียดใน ขุ.ธ.อ. (ไทย) ๑/๒ (ตอน๑)/๒๖-๗.
๑๐๔ ดูรายละเอียดใน ม.มู. (ไทย) ๑๒/๔๑๔/๔๕๐-๑.
หนา้ ๒๑๕
หนา้ ๒๒๖
๙๒ ดูรายละเอียดใน สํ.ส. (ไทย) ๑๕/๒๓๔/๓๓๕-๖.
๑๐๕ ดรู ายละเอียดใน ม.มู.อ. (ไทย) ๑/๑/๖๕๖-๘. หนา้ ๒๒๘
หนา้ ๒๑๕
๑๐๖ ดูรายละเอียดใน สํ.ม. (ไทย) ๑๙/๔๑๒/๒๖๙-๒๗๐.
๙๓ ท.ี สี. (ไทย) ๙/๒๑๖/๗๓. หนา้ ๒๑๗
หนา้ ๒๒๙
๙๔ ดูรายละเอียดใน ที.ส.ี (ไทย) ๙/๔๕๐-๔๗๙/๑๙๘-๒๑๒.
๑๐๗ ดูรายละเอียดใน ที.สี. (ไทย) ๙/๑๙๔-๒๑๓/๖๕-๗๓.
หนา้ ๒๑๘
หนา้ ๒๒๙
๙๕ ดูรายละเอียดใน ขุ.มหา. (ไทย) ๒๙/๕๒/๑๘๑.
๑๐๘ ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๗๕/๗๙. หนา้ ๒๒๙
หนา้ ๒๑๘
๑๐๙ องฺ.อฎฺฐก. (ไทย) ๒๓/๘๑/๔๐๖. หนา้ ๒๓๐
๙๖ ดูรายละเอยี ดใน วสิ ุทธฺ ิ. (ไทย) ๑/๑-๓๓-๔. หนา้ ๒๑๙
๑๑๐ ที.ม. (ไทย) ๑๐/๓๗๓/๓๐๑. หนา้ ๒๓๐
๙๗ ม.มู. (ไทย) ๑๒/๔๖๒/๕๐๓. หนา้ ๒๑๙
๑๑๑ ดูรายละเอียดใน ข.ุ จู. (ไทย) ๓๐/๑๕๕/๔๙๐. หนา้ ๒๓๑
๙๘ ที.สี. (ไทย) ๙/๑๔๔/๔๕. หนา้ ๒๒๒
๑๑๒ ท.ี สี. (ไทย) ๙/๑๙๓/๖๕. หนา้ ๒๓๒
๙๙ ดูรายละเอียดใน ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๔๒๕/๔๘๔-๕.
๑๑๓ อภ.ิ วิ. (ไทย) ๓๕/๕๐๘/๓๘๕. หนา้ ๒๓๒
หนา้ ๒๒๓
๑๐๐ ส.ํ สฬา. (ไทย) ๑๘/๑๐๖/๑๑๙-๑๒๐. หนา้ ๒๒๓
๑๑๔ ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๑๔๑/๘๘. หนา้ ๒๓๒
340
การพฒั นาอนิ ทรยี สงั วร
สุภรี ์ ทุมทอง
บทที่ ๔
๑๑๕ ดูรายละเอียดใน ที.สี. (ไทย) ๙/๑๙๓-๒๔๘/๖๕-๘๔.
๑ ดูรายละเอียดใน ม.มู. (ไทย) ๑๒/๑๗๘/๑๗๙-๑๘๒.
หนา้ ๒๓๓
หนา้ ๒๔๑
๑๑๖ ดูรายละเอียดใน ม.มู. (ไทย) ๑๒/๔๑๕-๔๓๓/๔๕๑-
๒ ดูรายละเอียดใน องฺ.จตุกฺก. (ไทย) ๒๑/๑๗/๒๙.
๔๖๒. หนา้ ๒๓๓
หนา้ ๒๔๓
๑๑๗ ดูรายละเอียดใน ม.ม. (ไทย) ๑๓/๒๒-๓๐/๒๔-๓๔.
๓ ดูรายละเอียดใน ม.มู. (ไทย) ๑๒/๒๐๔/๒๑๓-๕.
หนา้ ๒๓๔
หนา้ ๒๔๕
๑๑๘ ดูรายละเอียดใน ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๑๐/๒๘๓-๔.
๔ ดรู ายละเอียดใน สํ.สฬา. (ไทย) ๑๗/๑/๑-๒. หนา้ ๒๕๐
หนา้ ๒๓๔
๕ ดูรายละเอียดใน สํ.สฬา. (ไทย) ๑๘/๒๔๗/๒๖๒-๓.
๑๑๙ ดูรายละเอียดใน ท.ี สี. (ไทย) ๙/๔๘๖/๒๑๖. หนา้ ๒๓๔
หนา้ ๒๕๖
๑๒๐ ดูรายละเอียดใน องฺ.ติก. (ไทย) ๒๐/๑๖/๑๕๙.
๖ ดูรายละเอียดใน ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๑๕๓-๑๕๙/๑๙๖-
๒๐๗. หนา้ ๒๕๖
หนา้ ๒๓๔
๑๒๑ ดูรายละเอียดใน องฺ.จตุกฺก. (ไทย) ๒๑/๓๗/๖๐-๒.
๗ ดรู ายละเอยี ดใน ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๑๓๖/๑๗๕. หนา้ ๒๘๑
หนา้ ๒๓๔
๘ ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๑๓๗/๑๗๖. หนา้ ๒๘๓
๙ ดูรายละเอียดใน ที.ม. (ไทย) ๑๐/๓๘๖/๓๒๔-๓๓๘.
หนา้ ๒๘๔
๑๐ ดูรายละเอียดใน ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๓๒๘/๓๙๕-๖.
หนา้ ๒๘๘
๑๑ ที.ม. (ไทย) ๑๐/๓๗๓/๓๐๑. หนา้ ๒๙๒
341
การพฒั นาอนิ ทรียสงั วร
สภุ ีร์ ทมุ ทอง
บรรณานุกรม
ภาษาบาลี – ไทย
ก. ขอ้ มลู ปฐมภูมิ
มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. พระไตรปิฎกภาษาบาลี ฉบับมหาจุฬาเตปฏิ กํ ๒๕๐๐.
กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พ์มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๐๐.
มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย. พระไตรปฎิ กภาษาไทย. ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั .
กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพม์ หาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๙.
มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย. วิภงคฺ มูลฏกี า วิภงฺคอนฏุ ีกา.
กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พว์ ญิ ญาณ, ๒๕๓๖.
มหามกุฏราชวทิ ยาลัย. พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ชุด ๙๑ เล่ม.
กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหามกฏุ ราชวิทยาลัย, ๒๕๒๕.
มหามกุฏราชวทิ ยาลัย. อรรถถาพระไตรปฎิ ก ฉบบั สยามรฐั ๔๘ เล่ม .
กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พ์ มหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๕.
มหามกุฏราชวิทยาลัย. วิสุทธิมรรคแปล.
กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พ์มหามกุฏราชวิทยาลยั , ๒๕๓๘.
มหามกุฏราชวทิ ยาลยั . อภิธมั มัตถสงั คหบาลแี ละอภธิ ัมมตั ถวภิ าวินฎี ีกา ฉบับแปลเปน็ ไทย.
กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หามกุฏราชวทิ ยาลัย, ๒๕๓๙.
พระมหากจั จยนเถระ. เนตติปกรณ์แปลและเนตติสารัตถทปี นี. คณุ ารักษ์ นพคณุ ผ้แู ปล.
กรุงเทพมหานคร : หจก. ทพิ ยวสิ ุทธ,ิ์ ๒๕๔๔.
342
การพัฒนาอนิ ทรยี สังวร
สภุ ีร์ ทมุ ทอง
ข. ข้อมูลทตุ ยิ ภมู ิ
(๑) หนงั สือ
พระพรหมคณุ าภรณ์ (ป.อ. ปยตุ ฺโต). พทุ ธธรรม (ฉบับปรับปรงุ และขยายความ).
พมิ พค์ ร้ังที่ ๑๑. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๖.
พุทธทาสภิกข.ุ ตามรอยพระอรหนั ต.์ กรงุ เทพมหานคร : ธรรมสภา, มปป.
พทุ ธทาสภกิ ขุ. มรดกธรรม. กรงุ เทพมหานคร : ธรรมสภา, ๒๕๓๘.
พระโสภณมหาเถระ (มหาสีสยาดอ). วิปสั สนานัย เลม่ ๑.
พระพรหมโมลี (สมศกั ดิ์ อุปสโม) ตรวจชำระ พระคนั ธสาราภิวงศ์ แปลและเรียบเรยี ง.
นครปฐม : ห.จ.ก. ซีเอไอ-เซ็นเตอร์, ๒๕๔๘.
มหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั . อภธิ านปปฺ ทีปิกาและอภิธานปฺปทีปกิ าสูจ.ิ
กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพ์มหามกุฏราชวิทยาลยั , ๒๕๓๕.
พระพุทธปั ปยิ ะ. ปทรปู สทิ ธฺ ิ. พระคันธสาระ แปลและเรียบเรียง.
พมิ พเ์ น่อื งในโอกาสครบ ๓๐ ปี การก่อต้ังสำนักเรียนบาลีใหญ่ วัดทา่ มะโอ,
กรุงเทพมหานคร : ห.จ.ก ไทยรายวัน-การพิมพ์, ๒๕๔๗.
พระวสิ ุทธาจารมหาเถระ. ธาตวัตถสงั คหปาฐนสิ สยะ.
พระราชปรยิ ตั ิโมลี (อุปสโม) และคณะ ปรวิ รรตและแปล.
กรงุ เทพมหานคร :โรงพมิ พ์มหาจฬุ าลกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๕.
พระมหาปราโมทย์ ปโมทิโต. พจนานุกรมธาตุภาษาบาล.ี
กรงุ เทพมหานคร : บรษิ ทั เอกพมิ พ์ไทย จำกัด, ๒๕๔๑.
พนั ตรี ป. หลงสมบุญ. พจนานุกรม มคธ-ไทย. พมิ พค์ ร้ังที่ ๒, กรงุ เทพมหานคร : อาทรการพิมพ์, มปป.
ราชบัณฑิตยสถาน. พจนานกุ รม ฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒.
343
กรงุ เทพมหานคร : นานมบี คุ สพ์ ับลิเคช่นั , ๒๕๔๖.
การพัฒนาอินทรยี สังวร
สภุ ีร์ ทุมทอง
(๒) วทิ ยานพิ นธ์
พระมหาสวุ ฒั น์ สวุ ฑฺฒโน (จันทะคดั ).
“การศกึ ษาเรอื่ งสติในฐานะองค์ธรรมเพอ่ื การพัฒนาชีวติ ตามหลกั คำสอนของพุทธศาสนาเถรวาท”.
วิทยานิพนธ์ศาสนศาสตรมหา-บณั ฑติ . บัณฑติ วทิ ยาลยั : มหาวิทยาลยั มหามกุฎราชวิทยาลัย, ๒๕๔๘.
พระมหาเขม็ ทอง ตนฺตปิ าโล (ฤทธ์ลิ อื ไกร).
“การปฏิบัตวิ ิปสั สนากรรมฐานตามแนวทางของพระครโู พธสิ ารคุณ (ประยงค์ อุปลวณโฺ ณ)”.
วิทยานิพนธพ์ ทุ ธศาสตรมหา-บัณฑติ . บัณฑิตวทิ ยาลยั : มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๗.
พระมหาบรู ณะ ชาตเมโธ (โพธิ์นอก).
“การศึกษาอทิ ธพิ ลของอายตนะ (สือ่ ) ท่มี ีต่อการพัฒนาคณุ ภาพชวี ติ ”.
วทิ ยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต. บณั ฑติ วทิ ยาลยั : มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๓.
พระสมภาร ทวีรัตน์.
“การนำหลักวปิ สั สนากรรมฐานมาใช้ในการลดภาวะความแปรปรวนทางอารมณข์ องสตรีวยั ทอง”.
วทิ ยานพิ นธป์ ริญญาอักษรศาสตรมหาบัณฑิต. บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวทิ ยาลยั มหดิ ล, ๒๕๔๓.
พระอบุ ล กตปุญฺโ.
“การศกึ ษาวเิ คราะหค์ ณุ คา่ ของศีลทีม่ ตี อ่ สังคมไทย”.
วิทยานิพนธพ์ ุทธ-ศาสตรมหาบัณฑติ . บณั ฑติ วิทยาลัย มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๗.
พระครปู ระคณุ สรกจิ (สุชาติ ชิโนรโส).
“การศกึ ษาวธิ กี ารสอนวปิ สั สนากรรมฐานตามแนวทางของสำนักวิปัสสนาวเิ วกอาศรม”
วทิ ยานพิ นธพ์ ทุ ธศาสตรมหาบณั ฑติ . บณั ฑติ วทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๘.
344
การพัฒนาอนิ ทรยี สังวร
สภุ ีร์ ทมุ ทอง
345
การพฒั นาอินทรยี สังวร
สุภรี ์ ทมุ ทอง
อนิ ทรยี สงั วรเปน็ จดุ ตงั้ ต้นของการศึกษาเรยี นร้อู ย่างแทจ้ รงิ
เปน็ การพิจารณาดสู ง่ิ ท่มี าปรากฏทง้ั ฝา่ ยดแี ละฝ่ายไมด่
ี
ด้วยจติ ใจทตี่ งั้ มั่นเปน็ กลาง
ปราศจากอคติและความคิดปรุงแตง่ ผดิ ๆ
จะทำใหเ้ กิดความเข้าใจความจรงิ เพ่ิมมากขนึ้
ทำให้เกิดสติ เกิดสมาธิ เกดิ ปัญญาย่งิ ๆ ขน้ึ ไป
จนกระทัง่ เกดิ ความรู้แจง้ ความจรงิ ของสงิ่ ท้ังปวงได
้
346
การพัฒนาอนิ ทรียสังวร
สุภีร์ ทมุ ทอง
วธิ ีปฏบิ ัติอนิ ทรียสงั วรท่มี คี วามหมายวา่
ใหส้ ำรวมระวงั ปดิ กั้น ป้องกันกเิ ลสต่างๆ นั้น
เป็นเพยี งขน้ั ตน้
เป็นการปฏบิ ตั ใิ นข้นั ทย่ี ังไมส่ ามารถพัฒนาตนใหส้ งู ยงิ่ ขนึ้ ไปกวา่ น้ีเท่าน้ัน
พระพทุ ธองคท์ รงมงุ่ เนน้ ให้มกี ารพัฒนาอนิ ทรียใ์ หเ้ กิดประโยชน์อย่างสงู สุด
คือ มีปัญญาเหน็ ความจริง
จนสามารถเปน็ นายเหนอื อนิ ทรีย์ได้
347
การพัฒนาอินทรยี สังวร
สภุ รี ์ ทุมทอง
ประวตั ิผู้วิจัย
ชือ่ : นายสภุ รี ์ ทมุ ทอง
วนั เดือนปเี กดิ : วันที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๑๕
สถานที่เกิด : บา้ นหนองฮะ ต.หนองฮะ
อ.สำโรงทาบ จ.สุรนิ ทร
์
การศึกษา : เปรยี ญธรรม ๔ ประโยค
: ประกาศนยี บัตรบาลีใหญ่ วัดท่ามะโอ จ.ลำปาง
: ปริญญาตรี วศิ วกรรมศาสตรบัณฑิต
สาขาวศิ วกรรมไฟฟ้า มหาวิทยาลยั ขอนแกน่
: ปริญญาโท พุทธศาสตรมหาบณั ฑิต
สาขาพระพทุ ธศาสนา
มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
งานปจั จุบนั : อาจารย์สอนพิเศษปรญิ ญาตรี
วิชาพระอภธิ รรมปิฎก
มหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย
วิทยาเขตบาฬีศกึ ษาพทุ ธโฆส จ.นครปฐม
: บรรยายธรรมะตามสถานทต่ี ่างๆ
ทั้งในกรุงเทพฯ และตา่ งจังหวัด
: เผยแผ่ธรรมะทางเวบ็ ไซด์ www.ajsupee.com
348
การพัฒนาอนิ ทรยี สังวร
สภุ ีร์ ทมุ ทอง