ในพระบาลีท่ียกมาน้ี พระผู้มีพระภาคทรง ในตอนสรุปลงท้าย พระบาลีบางแห่งเปล่ียน
แสดงขยายเน้ือความของการสังวรโดยทรง คำสรุป ในตอนท้ายว่า อิมาย อินฺทฺริเยสุ
เพม่ิ พระบาลีมาอกี ๔ บท คือ
คุตฺตทฺวารตาย อุเปโต โหติ...๒๘ อิมาย
(๑) คุตตฺ ิ ความค้มุ ครอง
อินฺทฺริเยสุ คุตฺตทฺวารตาย สมนฺนาคโต
(๒) โคปนา กริ ิยาท่คี มุ้ ครอง
ปุคฺคโล อินฺทฺริเยสุ คุตฺตทฺวาโร๒๙ คำสรุปน้ี
(๓) อารกโฺ ข ความรกั ษา
แม้จะต่างกันเล็กน้อยในแง่ของพยัญชนะ
(๔) สวโร ความสำรวม
แต่กม็ ีเนอ้ื หาอย่างเดียวกนั นั่นเอง
ลักษณะของอินทรียสังวรตามพระบาลีท่ีแสดง
พระบาลีท้ัง ๔ บทน้ี โดยเนื้อความก็อย่าง มาข้างต้น จะเห็นว่า พระผู้มีพระภาคไม่ ได้
เดียวกัน เป็นการเพ่ิมเติมเข้ามาเพ่ือขยาย ทรงห้ามการเห็น การฟังเสียง การดมกล่ิน
ความให้เขา้ ใจชัดเจนขน้ึ ซ่ึงเป็นลกั ษณะเฉพาะ การลิม้ รส การถกู ตอ้ งโผฏฐัพพะ และการรบั รู้
ของคัมภีร์อภิธรรมปิฎก แต่ก็ได้ตัดพระบาลี
ธรรมารมณ์ทางใจ แต่อย่างใด พระองค์ทรง
ที่แสดงเกี่ยวกับอานิสงส์ของอินทรียสังวร
แสดงถงึ การรบั รอู้ ารมณท์ างทวารท้งั ๖ ตาม
ออกไป คือจะไม่มีพระบาลีว่า โส อิมินา
หนา้ ทขี่ องอนิ ทรียป์ กติ ดังพระบาลีวา่
อริเยน อินฺทฺริยสวเรน สมนฺนาคโต อชฺฌตฺต
อพฺยาเสกสุข ปฏิสเวเทติ ดังท่ีแสดงไว้ ใน
พระสุตตนั ตปฎิ ก
51
การพัฒนาอนิ ทรียสังวร
สุภรี ์ ทุมทอง
ทางตา จกฺขุนา รูปํ ทสิ วฺ า ... เหน็ รปู ด้วยตาแลว้
ทางหู โสเตน สททฺ ํ สตุ ฺวา ... ฟังเสยี งด้วยหูแล้ว
ทางจมกู ฆาเนน คนฺธํ ฆายติ วฺ า ... ดมกลิน่ ดว้ ยจมูกแล้ว
ทางล้นิ ชิวหฺ าย รสํ สายติ ฺวา ... ล้ิมรสด้วยลิน้ แลว้
ทางกาย กาเยน โผฏฺพฺพํ ผุสติ วฺ า ... ถูกตอ้ งโผฏฐพั พะด้วยกายแลว้
ทางใจ มนสา ธมฺมํ วญิ ฺ าย ... รธู้ รรมารมณด์ ้วยใจแลว้
พระบาลวี า่ จกฺขุนา รปู ํ ทิสฺวา เป็นต้น แสดง คำสอนของพระองค์ เป็นวิธีการของศาสดาอน่ื
ให้เห็นว่า อินทรียสังวรไม่ ใช่การหลบหนี ดังเร่ืองที่พระองค์ทรงสนทนากับอุตตรมาณพ
อารมณ์ หลีกหนี ไม่ ให้เห็นรูป ไม่ ให้ฟัง
ลูกศิษย์ของปาราสิริยพราหมณ์ ในอินทรีย
เสยี ง ไม่ให้ดมกลิน่ ไม่ให้ล้ิมรส ไม่ให้ถูกต้อง ภาวนาสูตร ปาราสิริยพราหมณ์สอนลูกศิษย์
โผฏฐพั พะดว้ ยกาย ไม่ใหร้ ับรธู้ รรมารมณ์ แต่ ว่า อย่าดูรูปทางตา อย่าฟังเสียงทางหู ซึ่ง
เป็นการท่ีจิตได้รับการคุ้มครองไม่ ให้เกิด พระองค์ตรัสว่า หากเจริญอินทรีย์อย่างนั้น
กเิ ลส เมอื่ มกี ารรบั รอู้ ารมณท์ างทวารทง้ั ๖ สาวกท่ีปฏิบัติจนสำเร็จก็จะเป็นคนตาบอด
ซึ่งการหลบหนีอารมณ์ ไม่ดูรูปทางตา ไม่ฟัง เป็นคนหูหนวกอย่างแน่นอน และพระองค์
เสียงทางหู เป็นต้นน้ัน พระผู้มีพระภาคทรง ได้ทรงแสดงการเจริญอินทรีย์อันยอดเย่ียมใน
ปฏิเสธว่า ไม่ใช่วิธีการปฏิบัติพัฒนาอินทรีย์ ใน อรยิ วินยั ให้ทา่ นพระอานนท์ฟัง๓๐
52
การพัฒนาอินทรยี สังวร
สภุ ีร์ ทุมทอง
การปฏิบัติเพ่ือให้มีอินทรียสังวรตามท่ีทรง อะไรเล่าเป็นอาหารท่ีทำกามฉันทะท่ียังไม่เกิด
แสดงไว้นั้น เม่ือมีการรับรู้อารมณ์ทางทวาร ให้เกิดข้ึน หรือทำกามฉันทะที่เกิดข้ึนแล้วให้
ทั้ง ๖ แล้ว ให้ปฏิบัติโดยการไม่รวบถือ ไม่ เจริญไพบลู ยย์ ่งิ ข้ึน คอื สุภนมิ ติ มอี ยู่ การทำ
แยกถือ ในรูปที่เห็น ในเสียงท่ี ได้ยินเป็นต้น มนสิการโดยไม่แยบคายในสุภนิมิตน้ันให้มาก
หากมีการรวบถือหรือการแยกถือ คือเกิด นี้เป็นอาหารที่ทำกามฉันทะที่ยังไม่เกิดให้เกิด
การติดในนิมิตและอนุพยัญชนะแล้ว ก็จะ ข้ึน หรือทำกามฉันทะท่ีเกิดขึ้นแล้วให้เจริญ
เป็นเหตุให้บาปอกุศลคืออภิชฌาและ
ไพบลู ยย์ ง่ิ ขนึ้
โทมนัสครอบงำได้ การเกิดกิเลสน้ีมีสาเหตุ
มาจากการท่ี ไม่สำรวมอินทรีย์ แล้วไป
อะไรเล่าเป็นอาหารท่ีทำพยาบาทท่ียังไม่เกิด
อโยนิโสมนสิการโดยความเป็นของสวยงาม ให้เกิดขึ้น หรือทำพยาบาทท่ีเกิดข้ึนแล้วให้
หรือของไม่สวยงาม หากคิดถึงในแง่สวยงาม เจริญไพบูลย์ยิ่งขึ้น คือ ปฏิฆนิมิตมีอยู่ การ
น่าพอใจ จะทำให้อภิชฌาหรือกามฉันทะเกิด ทำมนสิการโดยไม่แยบคายในปฏิฆนิมิตน้ันให้
ข้ึน หากคิดถึงในแง่ความเป็นของไม่สวยงาม มาก น้ีเป็นอาหารที่ทำพยาบาทท่ียังไม่เกิดให้
ไม่น่าพอใจ จะทำให้โทมนัสหรือพยาบาทเกิด เกิดขึ้น หรือทำพยาบาทท่ีเกิดขึ้นแล้วให้เจริญ
ไพบลู ยย์ ่งิ ขนึ้ ๓๑
ขนึ้ ดังทพ่ี ระพุทธองค์ตรัสว่า
53
การพฒั นาอนิ ทรียสังวร
สุภรี ์ ทุมทอง
สำหรับรูปที่เห็นทางตา หากเป็นรูปของเพศ สำหรับเสียงท่ีได้ยนิ ทางหู การยดึ ในนมิ ิตหรือ
ตรงขา้ ม การยดึ ในนมิ ติ หรอื การรวบถอื ไดแ้ ก่ การรวบถือ ได้แก่ การหลงไปในเรื่องของ
การหลงไปในเรื่องรูปพรรณสัณฐานว่าหญิง เสียงว่าเสียงหญิง เสียงชาย เสียงไพเราะ
ชาย สวย หลอ่ หุน่ ดี เปน็ ตน้ ส่วนการยดึ ใน เสยี งนมุ่ เสียงกลมกล่อม เป็นต้น ส่วนการยึด
อนุพยัญชนะหรือการแยกถอื ไดแ้ ก่ การหลง ในอนุพยัญชนะหรือการแยกถือ ได้แก่ การ
ไปในส่วนย่อยของร่างกายว่าสวยงาม เช่น หลงไปในรายละเอยี ดของเสยี ง เชน่ พดู ชมว่า
หน้าอกสวย ตาสวย ผมสวย ค้ิวสวย จมูก อย่างน้ี พูดถึงคนท่ีเรารัก พูดยกย่อง หรือ
สวย เล็บสวย เป็นต้น การที่หลงคิดไปใน บรรยายถึงส่ิงท่ีน่าชอบใจ เป็นต้น การที่หลง
เร่ืองสวยงามอย่างนี้ จะทำให้กิเลสประเภท คิดไปในเสียงอย่างนี้ จะทำให้กิเลสประเภท
ราคะเกิดข้ึน ส่วนรูปของส่ิงอื่นก็โดยทำนอง ราคะเกดิ ขน้ึ อยา่ งนชี้ อื่ วา่ ไมส่ ำรวมโสตนิ ทรยี ์
เดยี วกนั เชน่ การเหน็ วา่ เสอื้ ผา้ มสี สี นั สวยงาม แม้ทางทวารอ่ืนๆ ก็โดยทำนองเดียวกัน หาก
โทรศัพท์มีรูปทรงสวยงาม รถยนต์สวยงาม มีการรวบถือ แยกถือในด้านความสวยงาม
เป็นต้น ก็เป็นเหตุให้เกิดกิเลสประเภทราคะ ก็จะเกิดกิเลสประเภทความยินดีติดข้อง หรือ
คอื ความยินดีพอใจในส่ิงน้ัน เมอื่ มองเหน็ แลว้ ในบาลีใช้คำว่า อภชิ ฺฌา
กิเลสเกิดขึ้นแล้วครอบงำจิตได้ อย่างน้ีช่ือว่า
ไมส่ ำรวมจกั ขุนทรยี
์
54
การพฒั นาอินทรียสงั วร
สุภรี ์ ทุมทอง
รูป เสยี ง กล่นิ รส สัมผสั ทางกาย ของเพศ ท่ีแสดงมาน้ัน เป็นเร่ืองเก่ียวกับการเกิดกิเลส
ตรงขา้ มกนั ยอ่ มมอี านุภาพในเร่อื งนม้ี ากกวา่ ส่ิง ประเภทความพอใจ ตอ้ งการ อยากได้ ตดิ ขอ้ ง
อืน่ รปู เสียง เปน็ ต้นของสตรียอ่ มครอบงำจิต เนื่องจากการไปหลงยึดติดในนิมิตและ
ของบุรุษได้มากที่สุด และรูป เสียง เป็นต้น อนุพยัญชนะในแง่ที่น่าชอบใจ ในแง่ท่ี ให
้
ของบุรุษย่อมครอบงำจิตของสตรีได้มากที่สุด ความสุข ความพอใจแก่ตน
ดงั ทพี่ ระผู้มพี ระภาคตรสั ว่า
ในทางตรงกันข้าม หากไปยึดติดในนิมิตและ
ภิกษทุ ง้ั หลาย เราไมเ่ หน็ รูปอน่ื แมอ้ ยา่ งหนึง่ ที่ อนุพยัญชนะในฝ่ายท่ีไม่น่าชอบใจ ในแง่ท่ีจะ
จะครอบงำจิตของบุรุษอยู่ได้เหมือนรูปสตรีน้ี มาทำร้าย หรือทำให้สูญเสียประโยชน์ของตน
ภิกษุทั้งหลาย รูปสตรีย่อมครอบงำจิตของ เช่น รปู ไม่สวย เสียงไม่เพราะ กล่ินเหมน็ รส
บรุ ษุ อยู่ได้ (๑) ... เราไมเ่ ห็นโผฏฐพั พะอน่ื แม้ ไม่อร่อย การสัมผัสถูกต้องทางกายที่หยาบ
อย่างหน่ึง ท่ีจะครอบงำจิตของสตรีอยู่ ได้ กระด้าง เป็นต้น ก็จะก่อให้เกิดกิเลสประเภท
เหมือนโผฏฐัพพะบุรุษนี้ โผฏฐัพพะบุรุษย่อม การไม่พอใจ บาลีใช้คำว่า โทมนสฺส เม่ือมี
ครอบงำจติ ของสตรีอยู่ได้ (๑๐)๓๒
กิเลสเกิดขึ้นครอบงำจิต ก็ชื่อว่าเป็นการไม่
สำรวมอินทรยี ์เชน่ เดยี วกนั
55
การพฒั นาอนิ ทรยี สังวร
สภุ รี ์ ทมุ ทอง
ดังนน้ั การสำรวมอนิ ทรีย์ จึงปฏบิ ัติโดยการ ตามธรรมชาติของจิตของปุถุชนโดยท่ัวไป
ไมย่ ดึ ตดิ ในนมิ ติ และอนพุ ยญั ชนะ ดงั พระบาลวี า่ เป็นจิตที่ยังไม่ได้รับการฝึกฝน จึงมีลักษณะท่ี
น นมิ ติ ตฺ คคฺ าหี โหติ นานพุ ยฺ ชฺ นคคฺ าหี๓๓ แส่ส่ายเที่ยวไปดูอารมณ์ต่างๆ ทางตา ห ู
ไมห่ ลงไปจรงิ จงั กบั สงิ่ ทร่ี บั รู้ ไมห่ ลงยดึ ถอื จรงิ จงั จมกู ลน้ิ กาย ใจ หากไม่มีหลักยดึ อนั มน่ั คงไว้
ว่าเป็นนัน่ เป็นนี่ สูง ตำ่ ดำ ขาว ดี ชว่ั ถูก ที่ใดท่หี น่ึง ใจก็เทยี่ วไปทางน้ันทางน้ี กระโจน
ผิด สวย ไม่สวย ทา่ นให้รับรู้ แตอ่ ย่ายึดถือ ไปเกาะกบั อารมณ์ รูป เสยี ง กล่นิ รส สัมผัส
เป็นจริงเป็นจัง เพราะโดยความจริงของส่ิง ธรรมารมณ์ ไมอ่ ย่ทู ี่ใดท่ีหนงึ่ นาน ถกู ดงึ ไปทศิ
ท้ังปวงนั้น มันไม่มีอะไรเท่ียงแท้ถาวร พอจะ นั้นทิศนี้ บางคราวถูกอารมณ์ทางตาลากไป
ไปจริงจังได้ มีแต่ของไม่เท่ียง เป็นทุกข์ เป็น บางคราวถูกอารมณ์ทางหูลากไป บางคราว
อนัตตา บางสิง่ มนั ให้ความสุขได้ก็จรงิ แต่ไม่มี ถูกอารมณ์ทางจมูกลากไป บางคราวถูก
แกน่ สารพอจะไปยึดถือเอาได้
อารมณ์ทางลิ้นลากไป บางคราวถูกอารมณ์
ทางกายลากไป บางคราวถูกอารมณ์ท่ีรับรู้ได้
หรือ หากรับรู้อารมณ์แล้ว เกิดความรู้สึกว่า ทางใจลากไป ตาก็ฉุดไปหาดูรูปท่ีน่าพอใจ
เป็นน่ันเป็นนี่ แล้วมีโยนิโสมนสิการ ใส่ใจใน เมื่อเจอรูปท่ี ไม่น่าพอใจก็เกิดความเกลียด
แง่มุมท่ีถูกต้อง กิเลสไม่เกิดข้ึน อย่างน้ีก็เป็น ต้องหลบหนี หูฉุดไปฟังเสียงที่น่าพอใจ เม่ือ
อนิ ทรยี สงั วรเหมอื นกัน
เจอเสียงท่ีไม่น่าพอใจก็เกิดความเกลียด ต้อง
หรือ แม้บางคร้ัง มีกิเลสเกิดขึ้น แต่กิเลสไม่ หลบหนี ใจฉุดไปหาอารมณ์ทางใจท่ีน่าพอใจ
ครอบงำจิต ก็ยังเป็นอินทรียสังวรได้อยู ่ เมื่อเจออารมณ์ที่ ไม่น่าพอใจก็เกิดความเกลียด
เพราะกเิ ลสทีเ่ กิดขึน้ นี้ ก็เปน็ ธรรมารมณ์ท่ีรบั รู้ ต้องหลบหน
ี
ได้ด้วยใจ เม่ือมีกิเลสเกิดขึ้นแล้ว ไม่ยึดถือ
จริงจัง ไม่เกิดอภิชฌาและโทมนัส หรือบาป
อกุศลครอบงำจิต จึงยงั เป็นการสงั วรเอาไว้ได
้
56
การพฒั นาอนิ ทรียสงั วร
สภุ ีร์ ทุมทอง
แต่หากไม่เกิดความยินดีในอารมณ์ท่ีน่ารัก ไม่ ภกิ ษทุ ั้งหลาย ความสำรวม เปน็ อยา่ งไร คอื
เกิดความยินร้ายในอารมณ์ที่ไม่น่ารัก มีหลัก ภิกษุในธรรมวินัยนี้เห็นรูปทางตาแล้ว ไม่ยินดี
อันม่ันคงไว้ มีความระลึกรู้อยู่ท่ีกายของ ในรปู ทน่ี า่ รัก ไมย่ นิ รา้ ยในรปู ท่ีไม่น่ารกั เปน็ ผู้
ตนเองอย่างมั่นคง มีความรู้ตัวอยู่เสมอ ตัง้ มั่นกายคตาสติ มีอปั ปมาณจติ อยู่ และรู้ชัด
รู้จักวิธีฝึกฝน คุ้มครองจิต ไม่ให้ถูกกิเลส เจโตวิมุตติและปัญญาวิมุตติตามความเป็นจริง
เข้ามาครอบงำได้ จนหลุดพน้ จากกเิ ลสโดย อันเป็นที่ดับไปโดยไม่เหลือแห่งธรรมที่เป็น
สิ้นเชิง ลักษณะเช่นนี้เป็นการสำรวม ดังที่ บาปอกุศลเหล่านั้นท่ีเกิดขึ้นแล้วแก่เธอ...
พระพทุ ธองค์ตรัสวา่
กายคตาสติที่ภิกษุรูปใดรูปหนึ่งเจริญ ทำให้
มากแล้ว ตาย่อมไม่ฉุดภิกษุนั้นไป ในรูปท
ี่
น่าพอใจ รูปที่ไม่น่าพอใจย่อมไม่น่าเกลียด...
ลิ้นย่อมไม่ฉุด...ใจย่อมไม่ฉุดภิกษุนั้นไป ใน
ธรรมารมณ์ที่น่าพอใจ ธรรมารมณ์ที่ ไม
่
น่าพอใจย่อมไม่น่าเกลียด ภิกษุท้ังหลาย
ความสำรวมเป็นอยา่ งนแ้ี ล๓๔
57
การพัฒนาอินทรยี สังวร
สภุ รี ์ ทมุ ทอง
ความสำรวมลักษณะที่พระพุทธองค์ตรัสนี้ มี ในการมองดู การฟังเสียงหรือการทำอะไร
ลักษณะที่ ให้เตรียมตัวไว้ ให้ดี ตั้งม่ันอยู่ ใน ตา่ ง ๆ นัน้ ต้องพยายามสำรวมจิต เพ่อื ไม่ให้
กายคตาสติ คือมีสติ ระลึกอยู่ในขอบเขต บาปอกุศลธรรม คือความยินดีและความ
ของกายตนเอง ไม่หลงเท่ียวแส่ส่ายไป
ยินร้ายครอบงำจิตได้ ดังท่พี ระองค์ทรงแสดง
ข้างนอก ด้วยวิธีการเช่นน้ี จิตก็จะไม่ถูกดึง อินทรียสังวรสำหรับพระนันทะ คือให้มีความ
ออกไปหาอารมณ์ที่น่าพอใจ ไม่เกิดความยินดี รู้ตัวอย่างเต็มที่ ในการมองไปในทิศต่างๆ
เมื่อเป็นเช่นน้ี หากประสบกับอารมณ์ท่ีไม่น่า หากมคี วามจำเปน็ ตอ้ งมองไปดา้ นทศิ ตะวนั ออก
พอใจ ก็จะไม่เกิดความเกลียดขึ้น แต่หากไม่ ทิศตะวันตก ทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศเบ้ืองบน
ได้ฝึกฝนเตรียมตัวเอาไว้ ไม่มีสติท่ีตั้งม่ันอยู่
ทิศเบื้องล่าง ก็ให้สำรวมจิตท้ังหมด ไม่ให้ใจ
ในกาย จิตจะถูกดึงออกไปหาอารมณ์ที่น่า วอกแวกหรือซัดส่ายไปตามอารมณ์ ทำให้
พอใจ เกดิ ความยนิ ดีข้ึน อยา่ งนี้ก็ไม่ได้สำรวม ความยินดยี นิ ร้ายครอบงำจิตไม่ได้๓๕
หากประสบกับอารมณ์ที่ไม่น่าพอใจ ก็จะเกิด
ความเกลียดข้ึน อย่างนี้ก็ ไม่ ได้สำรวมอีก การมีปัญญา มีการพิจารณาในการเลือกรับรู้
อารมณ์ หากไปเสพอารมณ์เช่นใดแล้ว
เชน่ เดยี วกัน
อกศุ ลธรรมทง้ั หลายเจรญิ ขนึ้ กศุ ลธรรมทง้ั
หลายเสื่อมลง อารมณ์เช่นน้ันไม่ควรเสพ
แต่หากไปเสพอารมณ์เช่นใดแล้ว อกุศลธรรม
ท้ังหลายเสื่อมลง กุศลธรรมทั้งหลายเจริญข้ึน
อารมณ์เช่นน้ันควรเสพ อย่างน้ีก็เป็นการ
ปฏิบตั เิ พอื่ สำรวมอนิ ทรยี เ์ ชน่ กนั ๓๖
58
การพฒั นาอินทรียสงั วร
สุภรี ์ ทุมทอง
เมื่อเห็นรูปทางตา สวยก็ตาม ไม่สวยก็ตาม ภิกษุท้ังหลาย ฉันทะ (ความพอใจ) ราคะ
ฟังเสียงทางหู เพราะก็ตาม ไม่เพราะก็ตาม (ความกำหนัด) โทสะ (ความขัดเคือง) โมหะ
ดมกลน่ิ ดว้ ยจมกู หอมกต็ าม เหมน็ กต็ าม ร้รู ส (ความหลง) หรอื แมค้ วามกระทบกระทง่ั ในใจใน
ด้วยล้ิน อร่อยก็ตาม ไม่อร่อยก็ตาม สัมผัส รูปท่ีพึงรู้แจ้งทางตา พึงเกิดขึ้นแก่ภิกษุหรือ
ทางผวิ กาย อ่อนนมุ่ ก็ตาม แข็งกระดา้ งกต็ าม ภิกษุณีรูปใดรูปหนึ่ง ภิกษุหรือภิกษุณีรูปน้ันพึง
รับรูอ้ ารมณท์ างใจ นา่ พอใจกต็ าม ไมน่ า่ พอใจ ห้ามจิตจากรูปที่พึงรู้แจ้งทางตาน้ัน โดย
ก็ตาม ไม่ปล่อยให้ความตดิ ใจ หรอื ความขัดใจ พจิ ารณาวา่ ทางนนั้ มภี ยั มภี ยั จำเพาะหนา้ มี
เขา้ ครอบงำจิต อยา่ งนีช้ ่อื วา่ สำรวมอินทรีย์
หนาม รกชฏั เปน็ ทางออ้ ม เปน็ ทางผดิ และไป
ลำบาก ทางนน้ั เปน็ ทางทอ่ี สตั บรุ ษุ ดำเนนิ ไม่ใช่
การรู้จักห้ามจิตที่กำลังดำเนินไปผิดทาง ทางทส่ี ตั บรุ ษุ ดำเนนิ ทา่ นไมค่ วรดำเนนิ ไปทาง
ทำการดัดหรือทรมานจิตหลายๆ ครั้ง จิต นั้น ภิกษุหรือภิกษุณีพึงห้ามจิตจากรูปที่พึงรู้
กจ็ ะเกดิ ความเขด็ หลาบได้ เปรียบเหมอื นคน แจง้ ทางตานนั้ ... เมอ่ื ใดภกิ ษขุ ม่ ขคู่ กุ คามจติ ใน
ท่ีเฝ้าข้าวกล้าท่ีไม่ประมาท หากมีโคลงมากิน ผัสสายตนะ ๖ ประการดีแล้ว เมื่อน้ันจิต
ข้าวกล้า ก็รีบจับผูกเชือก แล้วตีด้วยไม้ แล้ว ย่อมอยู่สงบนิ่งอยู่ภายใน ต้ังม่ัน เป็นหน่ึง
ปล่อยเข้าฝูงไป ทำอย่างนี้หลายๆ คร้ัง โคก็ ผดุ ขนึ้ ๓๗
เข็ดหลาบ ไม่กล้ากลับเข้าลงไปกินข้าวกล้าอีก
เพราะกลัวถูกตี ข้าวกล้าก็ถึงความบริบูรณ์
เมื่อใดที่รู้จักข่มขู่จิตบ่อยๆ เม่ือรับรู้อารมณ์ ใน
ทางทวารท้ัง ๖ ตามแนวทางท่ีถูกต้อง จิตก็
ย่อมสงบน่ิงอยู่ภายใน และมีความตั้งม่ันเป็น
หน่ึงได้ ดังทพ่ี ระพุทธองคต์ รัสวา่
59
การพฒั นาอนิ ทรยี สงั วร
สุภรี ์ ทมุ ทอง
ภิกษไุ มพ่ งึ เปน็ ผู้มตี าลอกแลก
พงึ ป้องกันหู มิให้ได้ยินคามกถา ไมพ่ งึ ตดิ ใจในรส
และไม่พึงยึดถืออะไรๆ ในโลกวา่ เป็นของเรา๓๘
คาถาว่า ภิกษุไม่พึงเป็นผู้มีตาลอกแลก ท่านพระสารีบุตรได้นำมากล่าวสรรเสริญเอา
เป็นต้นนี้ ท่านพระสารีบุตรได้นำไปแสดง ไว้ ซึ่งเป็นการแสดงลักษณะของการสำรวม
ขยายความโดยละเอียด แสดงให้เห็นวิธ
ี อินทรีย์ ในเวลาท่ีตาเห็นรูปท่ีน่าพอใจหรือไม่
การปฏิบัติปลีกย่อยในแง่มุมต่างๆ ในการใช้ น่าพอใจ หูฟังเสียงที่น่าพอใจหรือไม่น่าพอใจ
สายตาก็ต้องระวัง เวลาเข้าบ้านต้องไม่เที่ยว จนถึงใจรับรู้ธรรมารมณ์ที่น่าพอใจหรือไม่น่า
มองนน่ั มองนส่ี ะเปะสะปะไป การใชห้ ฟู งั กต็ อ้ ง พอใจ ซึ่งบ่งบอกลักษณะของผู้มีอินทรียสังวร
รู้จักเลือกฟังแต่เร่ืองที่เหมาะสม การพูดคุย
ได้เปน็ อยา่ งด ี มีขอ้ ความวา่
ก็ต้องไม่พูดเรื่องที่ขัดขวางการเจริญกุศล
มีเร่อื งการเมอื ง เรื่องคนเด่นคนดัง เร่ืองละคร พระผู้มีพระภาคทรงเห็นรูปทางพระเนตรแล้ว
เร่อื งดินฟา้ อากาศ เป็นต้น หากจะพูดกพ็ ูดใน ไม่ดีพระทัย ไม่เสียพระทัย ทรงวางเฉย มี
แง่ความจริงท่ีว่า สังขารท้ังหลายล้วนไม่ สตสิ ัมปชัญญะอยู่ ทรงสดบั เสยี งทางพระโสต
เท่ียง เป็นต้น เพราะหากไม่ระวัง คนท่ีมี
แล้ว ฯลฯ ทรงดมกล่ินทางพระนาสิกแล้ว
สติยังอ่อนอยู่ ก็จะเกิดความยินดียินร้ายต่อ ฯลฯ ทรงลมิ้ รสทางพระชิวหาแล้ว ฯลฯ ทรง
ถูกต้องโผฏฐัพพะทางพระวรกายแล้ว ฯลฯ
อารมณ์และเปน็ อันตรายตอ่ ตนเอง๓๙
ทรงรู้ธรรมารมณ์ทางพระทัยแล้ว ก็ ไม่ดี
พระผู้มีพระภาคได้ทรงฝึกฝนพัฒนาอินทรีย์ พระทัย ไม่เสียพระทัย ทรงวางเฉย มี
ทั้ง ๖ เรียบร้อยแล้ว พระองค์จึงทรงแนะนำ สติสัมปชัญญะอยู่...
บอกสอนวิธีฝึกฝนอินทรีย์ ให้แก่สาวกท้ังหลาย
60
การพฒั นาอินทรียสงั วร
สุภรี ์ ทุมทอง
ตาชอบรูป ยินดีในรูป ชื่นชมในรูป พระผู้มี การสำรวมอินทรีย์เป็นเร่ืองของจิตท่ีไม่มีกิเลส
พระภาคทรงฝึก คุ้มครอง รักษา สำรวม เข้าครอบงำ เม่ือรับรู้อารมณ์ต่างๆ ไม่ ใช่
พระเนตร และทรงแสดงธรรมเพื่อสำรวมตา เป็นเรื่องของท่าทางภายนอก โดยปกติแล้ว
นั้น หูชอบเสียง ยินดีในเสียง ชื่นชมในเสียง เมื่อจิตใจดีงาม ไม่มีกิเลสเข้าครอบงำ การ
ฯลฯ จมูกชอบกลนิ่ ยินดีในกลิ่น ฯลฯ ล้ินชอบ แสดงออกทางกาย วาจา ก็ย่อมมีความ
รส ยินดีในรส ชื่นชมในรส พระผู้มีพระภาค ถูกต้องดีงามตามไปด้วย การกระทำทุจริต
ทรงฝกึ คุ้มครอง รกั ษา สำรวมลิ้น และทรง ทางกาย ทางวาจาก็มี ไม่ ได้ แต่ ในทาง
แสดงธรรมเพื่อสำรวมลิ้นน้ัน กายชอบ ตรงกันข้าม การกระทำที่ดูดีทางกาย คำพูด
โผฏฐัพพะ ยินดี ในโผฏฐัพพะ ชื่นชมใน ท่ีฟังไพเราะทางวาจา อาจจะมาจากจิตใจ
โผฏฐัพพะ ใจชอบธรรมารมณ์ ยินดี ใน ท่ี ไม่ดีงามก็ ได้ เช่น ทำท่าทางเหมือนคน
ธรรมารมณ์ ชืน่ ชมในธรรมารมณ์ พระผูม้ ีพระ อ่อนน้อมถ่อมตน แต่จิตใจมีความปรารถนา
ภาคทรงฝกึ คมุ้ ครอง รักษา สำรวม และทรง อยากให้คนชมว่าตนเป็นคนดี หรือแสดงออก
แสดงธรรมเพ่ือสำรวมใจน้ัน๔๐
เหมือนคนมักน้อยสันโดษ เพราะรู้ว่า คนส่วน
ใหญ่ชอบและจะนำลาภสักการะมาให้เยอะ
ซ่ึงหากปฏิบัติได้ตามพระบาลีท่ีแสดงไว้นี้ ผู้ กว่าน้ี เป็นต้น การแสดงออกเช่นนี้ แม้ด
ู
ปฏิบัตกิ ็จะไดร้ ับอานสิ งส์ คอื การมีความสุข ภายนอกจะมีความสำรวมระวัง แต่ ไม่เชื่อ
ภายในจิตใจ ที่ ไม่ระคนด้วยกิเลส ไม่มี ว่าการสำรวมอินทรีย์ เพราะจิตใจประกอบไป
ความยินดียินร้าย ไม่ ใช่สุขท่ีเกิดจากกิเลส
ด้วยกิเลส การประพฤติลักษณะนี้เป็นการ
ไม่มีกิเลสเข้ามารบกวน ดังพระพุทธพจน์ที่ว่า หลอกลวงโดยใช้อิริยาบถ ดังน้ัน ความ
“ภิกษุผู้ประกอบด้วยความสำรวมอินทรีย์อัน ประพฤติถูกต้องสมควรในอายตนะมีแก่ผู้
เป็นอริยะน้ี ย่อมเสวยสุขอันไม่ระคนกับกิเลส สำรวมอินทรีย์ ความประพฤติในสติมีแก่ผู้ที่
ในภายใน”๔๑
อยดู่ ้วยความไมป่ ระมาท๔๒
61
การพฒั นาอนิ ทรียสังวร
สภุ ีร์ ทุมทอง
สรุปความได้ว่า สังวร หมายถงึ การปดิ กั้น ปอ้ งกนั ไม่ใหม้ ีบาปอกุศลธรรมทงั้ หลายเกดิ ขึ้นใน
จิต อินทรียสังวร จึงหมายถึง ปิดกั้น ป้องกัน ไม่ให้มีบาปอกุศลธรรมทั้งหลายเกิดขึ้นในจิต
เวลาที่มีการรับรู้อารมณ์ทางทวารทั้ง ๖ หรือ หมายถึงการคุ้มครอง การป้องกันรักษาจิตให้
ม่ันคงไว้ เมื่อรับรู้อารมณ์แล้ว อารมณ์ก็จะไม่ฉุดจิตให้ออกไปสนใจภายนอก ไม่หลงยินดีใน
อารมณท์ น่ี า่ รัก ไม่เกลยี ดชังในอารมณ์ที่ไมน่ า่ รัก
พระธรรมเทศนาเก่ียวกับอินทรีย์ท้ัง ๖ นี้ พระผู้มีพระภาคทรงแสดงไว้ในพระสูตรต่างๆ เป็น
อันมาก แสดงให้เห็นถึงความจริงของอินทรีย์ ๖ เหล่านี้ว่าเป็นธรรมะท่ี ไม่มีตัวตน เป็นส่ิง
ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา แสดงถึงอารมณ์ที่ถูกรับรู้ทางอายตนะต่างๆ ก็ล้วนเป็นสิ่งไม่มี
ตัวตนเช่นกัน แสดงโทษของการใช้อินทรีย์ ไม่ถูกต้อง แสดงประโยชน์ของการใช้อินทรีย์ท่ี
ถูกต้อง แสดงเทคนิควิธีการฝึกฝนพัฒนาอินทรีย์ จนสามารถเป็นนายเหนืออินทรีย์ ได้
ทรงแสดงให้เหมาะกับผู้ฟังท่ีอยู่ในสถานการณ์นั้นๆ เป็นรายๆ ไป ท่ีได้จัดเป็นหมวดหมู่รวมไว้
ส่วนหน่ึงโดยเฉพาะ รวบรวมไว้ในสังยุตตนกิ าย สฬายตนวรรค พระไตรปฎิ กเลม่ ที่ ๑๘
62
การพัฒนาอนิ ทรียสังวร
สุภีร์ ทุมทอง
๒.๑.๓ ความหมายจากคมั ภรี อ์ รรถกถา
ในคัมภีรช์ ้นั รองจากพระไตรปฎิ ก คอื อรรถกถา และปกรณ์วิเศษตา่ งๆ ได้อธบิ ายเกย่ี วกับเรอ่ื ง
อินทรีย์สังวรไว้เป็นอันมาก โดยการขยายความจากพระบาลีพุทธพจน์ แสดงให้เห็นถึงลักษณะ
ของอินทรีย์สังวร และช้ีตัวสภาวะท่ีเป็นตัวสังวรให้เข้าใจพระพุทธพจน์ ได้ชัดเจนและถูกต้อง
ยิง่ ข้นึ แต่กม็ เี น้ือหาท่ีคลา้ ยๆ กนั ในทีน่ ี้จะยกคำอธิบายมานำเสนอบางส่วน
63
การพฒั นาอินทรียสังวร
สภุ ีร์ ทมุ ทอง
พระอรรถกถาจารย์ ผู้อรรถาธิบายเน้ือความ (๒) สตสิ งั วร คอื อนิ ทรยี สงั วรตามพระบาลี
พระบาลีมักจะแสดงขยายความให้เห็นถึง นั่นเอง ท่านเรียกว่าสติสังวร เพราะว่าเป็น
สังวร ๕ ประการ คือ (๑) ปาติโมกขสังวร การรักษาจิตไม่ ให้เกิดอกุศล เม่ือมีการรับรู้
(๒) สตสิ งั วร (๓) ญาณสังวร (๔) ขนั ตสิ ังวร อารมณ์ทางทวารท้ัง ๖ องค์ธรรมหลักใน
(๕) วิริยสังวร๔๓ มีรายละเอียดพอสังเขป การเฝ้ารักษาจิตก็คือสติ พระอรรถ
ดังน
ี้ กถาจารย์ท่านได้ยกพระพุทธพจน์ว่า รกฺขติ
จกฺขุนฺทฺริย จกฺขุนฺทฺริเย สวร อาปชฺชต๔ิ ๕ มา
(๑) ปาติโมกขสงั วร คือ การสำรวมในศลี อัน เป็นตัวอยา่ งของสติสงั วรน ้ี
เป็นพื้นฐานรองรับคุณธรรมเบื้องสูง เรียกว่า
สีลสังวรก็มี คุณธรรมขั้นสูงข้ึนไปคือสมาธิ (๓) ญาณสังวร คือ การปิดก้ันกิเลสชนิด
และปัญญาทีจ่ ะสามารถละกเิ ลสได้ ศลี สงั วรน้ี ตัดขาดดว้ ยปญั ญา ทำใหก้ ิเลสไม่มีโอกาสเกดิ
มีหลายระดับ แล้วแต่เพศและสถานะของ ข้ึนได้อีกเพราะหมดเหตุ การเห็นแจ้งตาม
บุคคลนั้น คือ ศีล ๕ และศีล ๘ สำหรับ ความเป็นจริงว่า สังขารธรรมทั้งหลายไม่
คฤหัสถ์ ศีล ๑๐ สำหรับสามเณร ศีล ๒๒๗ เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา แล้วจิตก็ปล่อย
สำหรบั พระภกิ ษุ ศีล ๓๑๑ สำหรับพระภิกษณุ ี วางความยึดมั่นถือมั่นในสังขารธรรมทั้งหลาย
เม่อื มกี ารสำรวมระวัง รกั ษา มีเจตนาทจ่ี ะงด กิเลสท้ังหลายท่ีเคยเกิดเพราะมีความ
เว้นความผิดพลาดทางกาย วาจา ตามศีล ยึดม่ันถือม่ัน ก็ถูกทำลายไป โดยส้ินเชิง
เหลา่ น้ัน เรียกวา่ ปาติโมกขสงั วร ซึง่ พระบาลี ความยึดมั่นถือมั่นหรืออุปาทานน้ี เกิดขึ้นได้
ท่ีแสดงถึงปาติโมกขสังวรมีว่า “มาเถิด ภิกษุ เพราะอวิชชาคอื การไมร่ คู้ วามจรงิ เม่ือปญั ญา
เธอจงเป็นผู้มีศีล สำรวมด้วยการสังวรใน รคู้ วามจรงิ กห็ มดความยดึ มนั่ ถอื มนั่ ตวั อยา่ ง
ปาติโมกข์ เพียบพร้อมด้วยอาจาระและโคจร เกี่ยวกับญาณสังวร ท่านยกพระคาถาที่พระ
อยู่ จงเป็นผู้มีปกติเห็นภัยในโทษแม้เล็กน้อย ผมู้ พี ระภาคตรัสวา่
สมาทานศึกษาอยู่ในสกิ ขาบททัง้ หลายเถิด”๔๔
64
การพฒั นาอินทรยี สงั วร
สุภรี ์ ทุมทอง
ยานิ โสตานิ โลกสฺมึ สติ เตส นิวารณ
โสตาน สว ร พฺรูมิ ปญฺาเยเต ปถิ ิยฺยเร๔๖
กระแสเหล่าใดในโลก สติเป็นเครื่องก้ันกระแสเหล่านั้นได้ เรากล่าวธรรมเคร่ืองป้องกันกระแส
ทง้ั หลาย ปัญญาปิดกนั้ กระแสเหลา่ นัน้ ได๔้ ๗
(๔) ขันตสิ งั วร คือ ความอดทน อดกล้ัน ไม่ ขโม โหติ สีตสฺส อณุ หฺ สสฺ ... เปน็ ผูอ้ ดทนต่อ
ทอ้ ถอย ต่อสงิ่ ที่ไม่น่าชอบใจต่างๆ ตัง้ แตด่ า้ น ความหนาว ความร้อน ความหิว ความ
กายภาพ เช่น ความหนาว ความร้อน ฝนตก กระหาย ต่อการถูกเหลือบ ยุง ลม แดด
แดดออก จนกระท่ังถึงอดทนต่อการกระทำ และสัตว์เลื้อยคลานท้ังหลายรบกวน ต่อ
ของผู้อ่ืน เช่น คนท่ีทำร้าย หรือคนที่ว่าร้าย ถ้อยคำหยาบคายร้ายแรงต่างๆ เป็นผู้อดกลั้น
เป็นต้น ความอดทนก็คือ ความสามารถที่ เวทนาอันมีในร่างกายที่เกิดข้ึนแล้ว เป็นทุกข์
จะคงสภาพจิตท่ีเป็นกุศลไว้ ได้ ไม่โกรธ ไม่ กล้าแข็ง เผ็ดร้อน ไม่น่ายินดี ไม่น่าพอใจ
ขดั เคอื ง ไมอ่ าฆาตพยาบาท ไม่วา่ จะเผชิญกับ พรากชวี ิตได้๔๘
อารมณ์ ใดๆ ท่านได้ยกบาลีมาประกอบคำ
อธิบายวา่
65
การพฒั นาอนิ ทรียสังวร
สภุ ีร์ ทุมทอง
(๕) วรี ิยสังวร คือ การปดิ ก้ันกิเลสท้ังหลาย อุปฺปนฺน กามวิตกฺก นาธิวาเสติ ... ภิกษุ
ไม่ใหเ้ กดิ โดยอาศัยความเพยี รพยายาม มกี าร ในธรรมวินัยน้ีพิจารณาโดยแยบคายแล้ว
พยายามปอ้ งกนั ไม่ใหอ้ กศุ ลเกดิ ขนึ้ พยายาม ไม่รับกามวิตกที่เกิดข้ึน ละ บรรเทา ทำให
้
ละอกุศลที่เกิดข้ึนแล้ว พยายามทำกุศลท่ี ส้นิ สุด และทำให้ถงึ ความเกดิ ข้ึนไม่ไดอ้ กี ตอ่ ไป
ยังไม่เกิดให้เกิดข้ึน พยายามทำกุศลที่เกิด พิจารณาโดยแยบคาย แล้วไม่รับพยาบาท
ขึ้นแล้วให้เจริญงอกงามไพบูลย์ยิ่งๆ ขึ้น วิตกท่ีเกิดขึ้น ฯลฯ ไม่รับวิหิงสาวิตกที่เกิดข้ึน
ท่านยกบาลมี าประกอบคำอธบิ ายวา่
ฯลฯ ไม่รับบาปอกศุ ลธรรมทีเ่ กดิ ขึ้นแลว้ เกดิ ขนึ้
อีก ละ บรรเทา ทำให้สิ้นสุด และทำให้ถึง
ความเกิดข้ึนไม่ ได้อีกต่อไป ซ่ึงเม่ือเธอไม่
บรรเทาอยู่ อาสวะและความเร่าร้อนท่ีก่อ
ความคับแค้น ก็จะพึงเกิดขึ้น เม่ือเธอบรรเทา
อยู่ อาสวะและความเร่าร้อนท่ีก่อความคับ
แค้น ยอ่ มไมม่ แี กเ่ ธอดว้ ยอาการอย่างนี้๔๙
66
การพฒั นาอินทรียสงั วร
สุภรี ์ ทุมทอง
ในอรรถกถาบางแห่ง ได้แสดงให้เห็นถึงองค์ สติสังวรช่ือว่าสังวรเพราะป้องกันความหลง
ธรรมของการสังวรแต่ละประเภท เพื่อให้ ลืม ญาณสังวรชื่อว่าสังวรเพราะป้องกันความ
สามารถกำหนดสภาวะและเข้าใจสังวรแต่ละ ไม่รู้ ขันติสังวรชื่อว่าสังวรเพราะป้องกันความ
ประเภทไดง้ า่ ยขึน้ ดังต่อไปนี
้ ไม่อดทน วิริยสังวรชื่อว่าสังวรเพราะสำรวม
คือปดิ ก้นั ความเกยี จครา้ น๕๐
เ จ ต น า แ ล ะ วิ รั ติ ท่ี เ ป็ น ไ ป แ ล้ ว ด้ ว ย ก า ร ล ะ
ปาณาติบาตเป็นต้น และด้วยการกระทำวัตร จากคำอธิบายของพระอรรถกถาจารย์ คำว่า
ปฏิบัติ โดยย่อ คือการสำรวมกายและวาจา
สวํ ร หมายถงึ การป้องกนั การปดิ การหา้ ม
ทงั้ ปวง โดยพสิ ดาร คอื การไมล่ ว่ งกองอาบตั ิ ๗ การไม่ ให้บาปอกุศลเข้ามาครอบงำจิต สํวร
ชอ่ื วา่ สลี สงั วร สตสิ งั วรคอื สตนิ นั่ เองหรอื กศุ ล แมจ้ ะแยกเป็น ๕ อย่าง แต่ก็มคี วามหมาย
ขันธ์อันมีสติเป็นประธาน ญาณสังวรคือญาณ ในทำนองเดียวกนั คือ การป้องกนั หรอื การ
นน่ั เอง กศุ ลขนั ธอ์ นั เปน็ ไปแลว้ ดว้ ยความอดกลนั้ ห้ามไม่ ให้บาปอกุศลเข้ามาสู่จิต ป้องกัน
เพราะมีอโทสะเป็นประธานช่ือว่าขันติสังวร ด้วยศีลเรียกว่าปาติโมกขสังวรหรือสีลสังวร
อาจารย์พวกหน่ึงกล่าวว่าปัญญา ความเพียร ป้องกันด้วยสติเรียกว่าสติสังวร ป้องกันด้วย
อนั เปน็ ไปแลว้ ดว้ ยความอดกลน้ั กามวติ กเปน็ ตน้ ปัญญาเรียกว่าญาณสังวร ป้องกันด้วยความ
ชอื่ วา่ วรี ยิ สงั วร ในสงั วรเหลา่ นน้ั พงึ ทราบวา่ อดทนอดกล้ันเรียกว่าขันติสังวร ป้องกันด้วย
ปาติโมกขสังวรช่ือว่าสังวรเพราะป้องกันความ ความเพยี รเรยี กว่าวริ ยิ สังวร
เปน็ ผทู้ ศุ ลี มกี ายทจุ รติ เปน็ ตน้
67
การพัฒนาอนิ ทรียสงั วร
สภุ ีร์ ทุมทอง
ในบรรดาสงั วร ๕ ประการนัน้ สงั วรประการ ท่ชี ื่อว่า สังวร เพราะอรรถวา่ สงั วร อธิบาย
ที่ ๒ พระอรรถกถาจารย์ท่านเรียกว่า สติ ว่า ปิด คือ หา้ ม ไดแ้ ก่ ไม่ให้เปน็ ไป๕๑
สังวร โดยยกพระบาลีมาประกอบคำอธิบาย
ว่า รกฺขติ จกฺขุนฺทฺริย จกฺขุนฺทฺริเย สวร
สังวรนแี้ ม้ทั้งหมด ทา่ นเรยี กวา่ สงั วร เพราะ
อาปชฺชติ ซ่ึงเปน็ พระบาลีท่ีแสดงอินทรยี สังวร เป็นเคร่ืองระวังกายทุจริต และวจีทุจริต
นั่นเอง ดังน้ัน อินทรียสังวรตามพระบาลีก็ เป็นต้น ที่ตนตอ้ งระวงั ตามหน้าท่ีของตน๕๒
คือสติสังวรนี้เอง โดยพระอรรถกถาจารย์ อินทรีย์คือจักษุ ช่ือจักขุนทรีย์ ที่ชื่อว่า สังวร
ท่านเน้นไปท่ีตัวองค์ธรรมที่จะทำให้เกิดการ เพราะกนั้ ไว้ อธบิ ายวา่ เพราะปิด คือกัน้ ไว้ได้.
สงั วรขนึ้ ท้งั ทางตา หู จมูก ล้ิน กาย ใจ องค์ คำว่า สังวรน้ี เป็นชื่อของสติ. การสำรวมใน
ธรรมที่สำคัญในการปฏิบัติอินทรียสังวรคือตัว อินทรยี ค์ อื จกั ษุ ชอ่ื วา่ การสำรวมจกั ขนุ ทรยี ๕์ ๓
สติ ดังท่ีท่านอธิบายไว้ว่า “สติสังวรคือสติ
น่ันเองหรือกุศลขนั ธ์อนั มสี ตเิ ป็นประธาน” และ อีกอย่างหน่ึง ท่ีชื่อว่าผู้สำรวมแล้ว เพราะ
“สติสังวรชื่อว่าสังวรเพราะป้องกันความหลง อรรถว่า สังวรระวัง อธิบายว่า ก้ัน คือปิด
ลมื ”
ภกิ ษผุ สู้ งั วรระวงั ในจกั ขนุ ทรยี ์ คอื ผมู้ จี กั ขนุ ทรยี ์
ความหมายของคำว่า สํวร ที่มีความหมายใน อนั ระวงั รกั ษาแลว้ อธบิ ายวา่ กน้ั คอื ปดิ บาน
ทำนองเดียวกันนี้ พระอรรถกถาจารย์ท่าน ประตคู อื สตทิ รี่ กู้ นั วา่ การสำรวมทางจกั ขนุ ทรยี ์
อธิบายไว้ จะยกมารวบรวม ดงั น
้ี ในจักษุทวาร เหมือนคนปิดบานประตูที่ประตู
เรอื น ฉะนนั้ ๕๔
68
การพฒั นาอินทรยี สังวร
สุภรี ์ ทุมทอง
สำหรับสภาวะของความสังวรกับอสังวร พระ ความเป็นผู้ทุศีล ความเป็นผู้หลงลืมสติ
อรรถกถาจารย์ท่านได้ระบุสภาวธรรมและการ ความไมร่ ู้ ความไมอ่ ดทน ความเกยี จครา้ น๕๕
เกิดข้ึนเอาไว้ เม่ือมีการเห็นรูปทางตา ได้ยิน บรรดาธรรม ๕ เหล่าน้ัน แม้ธรรมอย่างหนึ่ง
เสียงทางหู เป็นต้นแล้ว ก็จะมีการปรุงแต่ง ย่อมไม่เกิดข้ึนในจิตท้ังหลายมีโวฏฐัพพนจิต
ต่อไปเกิดเป็นจิตกุศลบ้าง อกุศลบ้างในชวนวิถี เป็นท่ีสุดในปัญจทวาร แต่ย่อมเกดิ ในขณะแห่ง
ซ่ึงตามปกติ จิตมีการเกิดดับสืบต่อเนื่องกันไป ชวนจิตเท่านั้น ธรรมน้ันแม้เกิดข้ึนในชวนจิต
๗ ขณะ หากมีการรับรู้อารมณ์ทางตา หู ทา่ นเรียกว่าอสังวรในทวาร ๕
จมูก ล้ิน กาย ใจ แล้วมีการปรุงแต่งเป็น
อกศุ ลทชี่ วนวถิ ี เรยี กวา่ อสงั วร แตห่ ากมกี าร
ปรุงแต่งเป็นกุศลท่ีชวนวิถี เรียกว่าสังวร
ซ่ึงพระอรรถกถาจารย์ ได้ระบุสภาวธรรมของ
อสังวรและสังวรไว้อย่างละ ๕ ประการ ซึ่ง
เป็นสภาวธรรมท่ีตรงกันข้ามกันน่ันเอง ดังคำ
อธิบายวา่
69
การพัฒนาอนิ ทรยี สงั วร
สภุ ีร์ ทุมทอง
จริงอยู่ ผัสสะเกิดพร้อมกับจักขุวิญญาณ ช่ือ บรรดาสังวรเหล่านั้น ว่าโดยอรรถได้แก่ธรรม
วา่ จักขุสมั ผสั เจตนาชอ่ื วา่ มโนกรรม จิตนั้นชอื่ ๕ เหล่าน้ี คือ ศีล สติ ญาณ ขนั ติ วริ ิยะ ใน
ว่าทวารแห่งมโนกรรม ในจักขุวิญญาณน
้ี บรรดาธรรมท้ัง ๕ แม้เหล่านั้นแม้ธรรมอย่าง
อสังวร ๕ อย่างยงั ไมม่ ี ผสั สะที่เกดิ พร้อมกับ หนึ่ง ย่อมไม่เกิดในจิตท้ังหลาย มีโวฏฐัพพน
สัมปฏิจฉันนจิตชื่อว่ามโนสัมผัส เจตนาช่ือว่า จิตเป็นที่สุดในปัญจทวาร ธรรมน้ันย่อมเกิดใน
มโนกรรม จติ นน้ั ชือ่ ว่าทวารแห่งมโนกรรม ใน ขณะแห่งชวนจิตเทา่ นนั้ แม้เกิดในชวนจิต ทา่ น
สัมปฏิจฉันนจิตแม้นี้ อสังวรก็ยังไม่มี แม้ ใน
ก็เรียกวา่ สงั วรในปญั จทวาร๕๗
สันตีรณจิตและโวฏฐัพพนจิตก็มีนัยนี้แหละ
แต่ว่าผัสสะที่เกิดพร้อมกับชวนจิตชื่อว่ามโน สรุปความได้ว่า พระอรรถกถาจารย์ท่านให้
สัมผัส เจตนาช่ือว่ามโนกรรม จิตน้ันช่ือว่า ความหมายของ สวํ ร = ปิด = ห้าม = กั้น
ทวารแห่งมโนกรรม ความไม่สำรวมในชวนจิต เม่ือว่าโดยสภาวะ อสังวร คือ ในขณะท่ีเป็น
นั้นชื่อว่าจักขุอสังวร แม้ ในโสตฆานชิวหา ชวนจติ มสี ภาวธรรม ๕ ประการเหล่าน้ีเกิดข้นึ
ได้แก่ ความเป็นผู้ทุศีล ความหลงลืมสติ
กายทวาร กม็ นี ยั นเ้ี หมอื นกนั ๕๖
ความไม่รู้ ความไม่อดทน ความเกียจคร้าน
สว่ นสังวร คือ ในขณะที่เปน็ ชวนจติ มีสภาว
ธรรม ๕ ประการเกิดขึ้น ได้แก่ ศีล สติ
ญาณ ขันติ วริ ิยะ
70
การพฒั นาอินทรียสงั วร
สุภรี ์ ทุมทอง
๒.๑.๔ ความหมายจากนกั ปราชญต์ า่ งๆ
ต่อไปจะนำความหมายของอินทรียสังวรมาจากท่ีนักปราชญ์ต่างๆ แสดงไว้ นักปราชญ์เหล่าน้ี
เป็นผูท้ ่ีไดร้ ับการยอมรบั ว่า มีความรู้ในทางพทุ ธศาสนาเถรวาท บางทา่ นมชี วี ิตอยู่ใกลเ้ คยี งกบั
ปัจจุบัน เพ่ิงมรณภาพไปไม่นาน บางท่านยังมีชีวิตอยู่ ความหมายที่ท่านให้ไว้จึงเป็นถ้อยคำ
ที่ใช้กันในยุคปัจจุบัน เป็นการสื่อสารกับคนในยุคปัจจุบัน ทำให้เข้าใจกันได้ง่ายขึ้น ในทีน้ีจะ
นำมาจากคำอธิบายของนักปราชญ์ ๓ ท่าน คือ (๑) พระโสภณมหาเถระ (มหาสีสยาดอ)
(๒) พุทธทาสภิกขุ (๓) พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยตุ ฺโต)
๑) พระโสภณมหาเถระ (มหาสสี ยาดอ)
พระโสภณมหาเถระ (มหาสสี ยาดอ) พระเถระผมู้ ีชือ่ เสยี งชาวพม่า ทา่ นเปน็ ผ้เู ช่ียวชาญในดา้ น
ปรยิ ตั ิธรรม ทัง้ พระไตรปฎิ ก อรรถกถา และคมั ภีร์อน่ื ๆ อีกทั้งทา่ นยังสามารถเชอื่ มโยงความรู้
ด้านปริยัติธรรม ไปสู่สภาวะท่ีเกิดจากการปฏิบัติธรรมได้อย่างกลมกลืนและประกอบไปด้วย
หลักฐานอ้างอิง หนังสือที่ท่านเขียนได้รับการแปลเป็นภาษาไทยและพิมพ์เผยแพร่มากพอ
สมควร ในวงการวิปัสสนากรรมฐานในประเทศไทย ย่อมรู้จักท่านเป็นอย่างดี หลายๆ สำนัก
ได้ใช้แนวทางทท่ี ่านสอนมาเป็นหลกั ในการปฏบิ ัติและการสอน
ทา่ นกล่าวถึงความหมายของอินทรยี สังวรศีล คอื การใช้สตสิ ำรวมระวังไม่ให้เกดิ กิเลสขณะที่มี
วิญญาณเกิดขึ้นรับรู้อารมณ์ โดยให้ความหมายในลักษณะการอธิบายแบบอภิธรรม ชี้ถึงองค์
ธรรมของสังวรแต่ละอย่าง บอกถึงสังวรธรรมมี ๕ อยา่ ง ไดแ้ ก่ ศีล สติ ปัญญา ขนั ติ และ
วริ ยิ ะ
71
การพฒั นาอินทรียสงั วร
สภุ รี ์ ทมุ ทอง
เม่ือใดท่ีมีธรรมะเหล่านี้เกิดข้ึนในชวนจิต
การเกิดวิถีจิตที่มีการสำรวมอินทรีย์ หรือ
เมื่อนั้นเป็นสังวร เมื่อใดท่ีเป็นฝ่ายตรงข้าม ขาดการสำรวมอินทรีย์ กล่าวคือเมื่อสีต่างๆ
ได้แก่ ความไม่มีศีล การลืมสติ ความหลง (รูปารมณ)์ ปรากฏทางจักขทุ วาร อาวัชชนจิต
ความไม่อดทน และความเกียจคร้านเกิดขึ้นใน (ปัญจทวาราวัชชนจิต) พิจารณารูปารมณ์นั้น
ชวนจิต เม่ือน้ันเป็นอสังวร สติสังวรนั้นเป็น เองเกิดข้ึนแล้วก็ดับลง ปัญจทวาราวัชชนจิต
อินทรียสังวรอย่างแท้จริง ดังที่ท่านได้ ดับลงแล้ว ในลำดบั นั้น จักขวุ ญิ ญาณจติ ผู้เหน็
อธิบายไวว้ ่า
รูปารมณ์ สัมปฏิจฉนจิตท่ีคล้ายกับผู้รับ
รูปารมณ์ สันตีรณจิตที่คล้ายกับผู้ ไต่สวน
การใชส้ ติสำรวมอนิ ทรยี ์ เพื่อไม่ใหเ้ กดิ กเิ ลสใน รูปารมณ์ โวฏฐัพพนจิตท่ีคล้ายกับผู้ตัดสิน
ขณะทวี่ ญิ ญาณ ๖ คอื จติ ที่ไดเ้ หน็ ไดย้ นิ รู้ รูปารมณ์ จิตเหล่าน้ีย่อมเกิดขึ้นตามลำดับๆ
กลนิ่ ลม้ิ รส รสู้ มั ผสั และนกึ คดิ เรอ่ื งราวตา่ งๆ แล้วดับตามๆ กันไป หลังจากโวฏฐัพพน
กำลงั รบั รู้อารมณ์ ๖ คอื รปู เสยี ง กลิน่ รส จิตดับลงแล้ว กามชวนจิตดวงใดดวงหน่ึงที่มี
สัมผัส และธรรมารมณ์ ทม่ี าปรากฏทางทวาร โยนิโสมนสกิ ารเปน็ ต้น เป็นปจั จัยโดยมากยอ่ ม
ทง้ั ๖ คอื ตา หู จมูก ลนิ้ กาย ใจ ชือ่ วา่ เกดิ หลายขณะ (๖ หรือ ๗ ขณะ)
อนิ ทรยี สงั วรศลี
72
การพัฒนาอินทรยี สงั วร
สุภีร์ ทุมทอง
ถ้าสังวรธรรมคือ ศีล สมาธิ ปัญญา ขันติ ปาติโมกขสังวร หมายถึง การสำรวมในพระ
และวิริยะ เกิดขึ้นในชวนจิตทางจักขุทวารการ ปาติโมกข์ ความวิบัติแห่งปาติโมกขศีล เป็น
สำรวมอินทรีย์ย่อมปรากฏทางจักขุทวาร การต้องอาบัติเพราะล่วงละเมิดสิกขาบท
บุคคลน้ันชื่อว่ามีอินทรียสังวรศีลหมดจด ใน ทางกายและวาจา แต่ความไม่มีศีลในเร่ืองน้ี
ทางตรงกันข้าม ถ้าอสังวรธรรม คือ ความ เกิดทางมโนทวาร มิใช่เกิดทางทวาร ๕
ไม่มศี ลี การลืมสติ ความหลง ความไมอ่ ดทน เพราะเป็นวีติกกมกิเลสทางใจ ส่วนอสังวร
และความเกียจคร้าน เกิดข้ึนในชวนจิต การ ธรรม ๔ อยา่ งอื่นเกดิ ทางทวารท้ัง ๖
สำรวมอินทรีย์ย่อมไม่ปรากฏทางจักขุทวาร
บุคคลนั้นช่ือว่า มีอินทรียสังวรบกพร่อง ส่วน สังวรธรรมประการที่ ๒ คือ สติสังวร จัด
ความสำรวมอินทรีย์ทางโสตะ ฆานะ ชิวหา เป็นอินทรียสังวรอย่างแท้จริง โดยองค์ธรรม
กาย และมโน ก็อธิบายในทำนองเดยี วกัน๕๘
คือ สติเจตสิกที่คุ้มครองมิให้เกิดกิเลสทาง
ทวารทั้ง ๖ ส่วนความไม่มีสติ เป็นการลืม
ท่านไดอ้ ธบิ ายสังวร ๕ อยา่ ง คือ ปาติโมกข กำหนดรู้เท่าทันสภาวธรรมท่ีมาปรากฏทาง
สังวร อินทรียสังวร ญาณสังวร ขันติสังวร ทวารท้ัง ๖ โดยองค์ธรรม คือโลภเจตสิกที่
และวิริยสังวร ตามที่ ได้แสดงไว้ ในคัมภีร
์ เรียกว่า อภิชฌา (ความละโมบ) และโทมนัส
อรรถกถา โดยได้ให้ความหมายและบอกองค์ (โทสะ)
ธรรมของสังวรชนิดน้ันๆ ให้ชัดเจนย่ิงขึ้น
ดังข้อความว่า
73
การพฒั นาอนิ ทรียสังวร
สภุ รี ์ ทุมทอง
สงั วรธรรมประเภทที่ ๓ คือ ญาณสงั วร โดย อนึ่ง อินทรียสังวรศีล ย่อมหมดจดด้วยสังวร
องค์ธรรม คือ ปัญญาที่เป็นอริยมรรค ท่ีละ ๔ อยา่ งนอกจากปาติโมกขสังวร และในสังวร
กระแสบาปอันได้แก่ ตัณหา ทิฏฐิ อวิชชา ๔ อย่างเหล่านั้น ญาณสังวรไม่อาจเกิดขึ้น
ฯลฯ ไดเ้ ดด็ ขาด โดยสรปุ ญาณสงั วรหมายถงึ ก่อนการปฏิบัติธรรม เพราะจัดเป็นวิปัสสนา
ปัจจยสันนิสสิตศีล วิปัสสนาญาณและปัญญา ญาณและมรรคญาณ ซ่ึงเป็นผลของการเจริญ
ท่เี ป็นอริยมรรค ส่วนความหลง โดยองค์ธรรม วปิ สั สนา สว่ นสงั วร ๓ อยา่ ง คือ สติสังวร
คือโมหเจตสิกทีต่ รงขา้ มกบั ญาณท้งั ๓ นั้น
ขันติสังวร และวิริยสังวร เป็นธรรมสำคัญ
ในการเจรญิ อนิ ทรยี สังวรศีล๕๙
สังวรธรรมประการที่ ๔ ขันติสังวร ความ
อดทนมิให้เกิดความขัดใจในขณะประสบความ
เย็น ความร้อน ความหิวกระหาย ตลอดจน
สัมผัสที่ทนได้ยาก และคำด่าว่าติเตียน โดย
องคธ์ รรมคอื อโทสเจตสกิ
สังวรธรรมประการท่ี ๕ คอื วริ ยิ สังวร ความ
เพียรเพื่อละกามวิตก เป็นต้น โดยองค์ธรรม
คอื วิริยเจตสิกที่จัดเปน็ สมั มปั ปธาน
74
การพฒั นาอินทรียสงั วร
สุภรี ์ ทุมทอง
๒) พทุ ธทาสภิกขุ
พุทธทาสภิกขุเป็นพระภิกษุเถรวาทท่ีมีชื่อเสียง ความหมายตามที่ ให้ ไว้น้ี ก็สอดคล้องกับ
และเปน็ ทรี่ ู้จกั ที่สุดในยุคปัจจุบนั ทา่ นไดศ้ กึ ษา ความหมายในพระพทุ ธพจนน์ นั่ เอง นอกจากน้ี
ค
้นคว้าพระไตรปิฎก อรรถกถา และคัมภีร์ ท่านยังมองว่าอินทรียสังวรไม่ ใช่แค่เร่ืองศีล
แต
ต่างกๆฉารนวมทไดั้ง้แคปำสลอแนลใะนรลวัทบธรศิ วามสเนนาื้ออหนื่ าๆธรอรยม่าะง แต่ยังรวมถึงการเจริญวิปัสสนาจนกระท่ัง
บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ ซ่ึงอินทรียสังวร
ส
ำคัญๆ จากพระไตรปิฎกมาไว้ให้คนรุ่นหลัง เป็นพื้นฐานให้จิตวางเฉยเม่ือตามองเห็นรูป
ศึกษาต่อได้โดยง่าย และได้นำคำสอนธรรมะ หูฟัง จมูกดมกลิ่น เป็นต้น ในขณะน้ันก็
บางเรื่องที่สำคัญจากพระไตรปิฎกมาเผยแพร่ สามารถเพ่งมองให้เหน็ ความจรงิ ของรปู เสยี ง
ให้เป็นท่ีรู้จักกันอย่างแพร่หลาย นับว่าท่าน กลนิ่ รส สัมผัส ธรรมารมณ์ และสภาวธรรม
เป็นผู้ท่ีร้ือฟ้ืนการศึกษาช้ันโลกุตตระข้ึนมาใหม่ ต่างๆ ที่เกิดข้ึน ให้เห็นโดยความเป็นของว่าง
หลังจากที่เงียบหายไปเป็นเวลานาน หนังสือ เปล่าจากตัวตน จนกระท่งั หลดุ พน้ ก็ได้ ดังน้ัน
และคำสอนของท่านมีมากมาย ท้ังเป็นภาษา การบำเพ็ญอินทรียสังวรน้ัน หากมีความ
ไทยและแปลเปน็ ภาษาต่างประเทศ
ตั้งใจจริง ก็สามารถถึงที่สุดแห่งทุกข์ ได้
ดังที่ทา่ นกล่าวไว้วา่
ท่านได้ ให้ความหมายของอินทรียสังวรเอาไว้
วา่ “อนิ ทรียสงั วร คอื การสำรวมตา หู จมกู
ล้ิน กาย ใจ หกอย่างไว้ ด้วยหวังว่า รูป
เสียง กล่ิน รส สัมผัส และความรู้สึกนึกข้ึน
เองในใจ อย่าทำความรักใคร่พอใจยินดีหรือ
ความโกรธเคืองหงุดหงิดยินร้าย ให้เกิดข้ึนใน
ใจของตนได”้ ๖๐
75การพัฒนาอนิ ทรียสงั วร
สุภรี ์ ทุมทอง
การสำรวมอินทรีย์น้ัน ไม่ใช่มีแต่อย่างต่ำเป็น บางท่านถามว่า บำเพ็ญแต่อินทรียสังวร ก็ดู
ข้ันศีล อาจมสี งู ขน้ึ ไปจนถงึ ขน้ั บรรลุอรหัตตผล เหมือนจะพอแล้ว หรือไม่เห็นจำเป็นต้อง
ถ้าผู้ใดสำรวมอินทรีย์ชนิดเกิดญาณวิเศษมอง บำเพ็ญอะไรอีกมิใช่หรือ? ขอตอบว่า ใช่ก็ได้
เห็นเป็นวิปัสสนา ถึงกับเห็นความเป็นอนัตตา ไม่ใชก่ ็ได้ ข้อนหี้ มายความว่า ถ้าทา่ นเห็นตรง
ของส่ิงทุกอย่างทั้งท่ีเป็นภายนอกและภายใน ตามความเป็นจรงิ วา่ ธรรมเช่นอินทรยี สงั วร
จนอนัตตานุปัสสนาญาณเกิดข้ึนแล้ว ผู้นั้นจะ น้ี เมื่อผู้หวังประโยชน์อย่างยอด บำเพ็ญ
บรรลุถึงท่ีสุดแห่งทุกข์ ได้แก่นิพพาน ข้อนี้ ด้วยความมีหิริและสัจจะ ก็ย่อมก้าวหน้า
หมายความว่า ไม่ใช่เพียงแต่การเห็นรูปแล้ว ข้ึนไปเองตามลำดับ เพราะปณิธานเดิมมีอยู่
เฉยได้อย่างเดียว ซึ่งเป็นเพียงอินทรียสังวร ในใจ แตถ่ ึงกระน้ันกค็ งผา่ นไปตามลำดบั และ
ศีล แต่ในขณะทเ่ี ฉยน่ันแหละหมายถงึ การเพง่ จะแบ่งให้สังเกตและศึกษาง่ายๆ สักกี่ข้ันก็ได้
ความเป็นธาตุ ความเป็นของว่างเปล่าในรูป ผู้บำเพ็ญคงมีความมุ่งหมายเบื้องปลายอยู่ที่
เสียง กลิน่ รส สัมผัส ธรรมารมณ์ ตลอดถึง “ทส่ี ุดแห่งทุกข”์ ก็แล้วกนั ๖๒
ผัสสะ และเวทนาทุกชนิดท่ีอาศัยรูปเป็นต้น
เกิดขึน้ จนเกิด วมิ ตุ ิขึ้น...๖๑
76
การพฒั นาอินทรียสงั วร
สุภรี ์ ทุมทอง
สำหรับการศึกษาและปฏิบัติท่านพุทธทาสภิกขุ พุทธทาสภิกขุได้วิจารณ์ว่า การศึกษาที่
ก็ให้ความสำคัญมาก โดยเน้นว่าการศึกษาที่ ดำเนินการอยู่นั้น เป็นการศึกษาที่ยังไม่ถูก
ถูกต้องน้ันต้องเริ่มต้นที่อินทรีย์ ๖ การ ทาง เพราะไม่เป็นไปเพื่อการดับทุกข์ การ
ศึกษาพระพุทธศาสนาท่ี ใช้กันอยู่ ในปัจจุบัน ศึกษาที่ถูกต้องตามแนวคิดของท่านน้ัน ยึด
เริม่ ต้นดว้ ยการเรียนรู้พทุ ธประวตั ิ ให้ทราบว่า ตามกรอบอริยสัจ ๔ ว่า ทุกข์มาได้อย่างไร
พระพุทธเจ้าประสตู เิ มือ่ ใด ช่อื อะไร พระบดิ า และทำอย่างไรจะไม่เป็นทุกข์ ซ่ึงทุกข์น้ันมา
พระมารดาชื่ออะไร มีเหตุอย่างไรจึงคิดออก จากการยึดม่ันถือม่ัน “ตัวกู - ของกู” ซ่ึงเร่ิม
ผนวช รวมทั้งศึกษาถึงเหตุการณ์ สถานท่ี ตน้ มาจากการรบั รู้อารมณท์ างตา หู จมูก ลิน้
บุคคลท่ีเกี่ยวข้องกับพระองค์ ให้เข้าใจ
กาย ใจ แล้วไม่มีสติสำรวมระวังจิตใจตนเอง
แล้วศึกษาพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดงเป็น ทำใหท้ ุกข์เกดิ ข้นึ ในจติ ใจ การศกึ ษาทถี่ กู ต้อง
หมวดๆ โดยยกหมวดธรรมออกมาจาก
จึงเร่ิมต้นท่ีตา หู จมูก ล้ิน กาย และใจ
พระไตรปิฎกบางส่วน มาเป็นหลักสูตรในการ ท่ีจะใช้มันอย่างถูกต้อง เป็นประโยชน
์
เรียน จัดการเรียนเป็นนักธรรมช้ันตรี ชั้นโท ดงั ขอ้ ความที่ทา่ นได้ฝากไว้ในมรดกธรรมดังนี
้
และชัน้ เอก ส่วนการเรยี นภาษาบาลีน้ัน แม้จะ
มีถึง ๙ ระดับขั้น แต่ก็เป็นเพียงการแปล มรดกท่ี ๑๐๘ : ศกึ ษาหรอื สกิ ขาตามความเหน็
คัมภีร์ชั้นหลัง เช่น อรรถกถาธรรมบท ของข้าพเจา้ คือ การรจู้ กั ตัวเอง - เห็นตวั เอง
มังคลัตถทีปนี สมันตปาสาทิกา วิสุทธิมรรค - ดว้ ยตวั เอง - ในตัวเอง – เพื่อตวั เอง อย่าง
อภธิ มั มตั ถสงั คหะ เป็นต้น โดยจะเรียนเน้นใน แจ่มชัด ถูกต้อง และสมบูรณ์ จนทำให้เกิด
การแปลถ่ายทอดจากภาษาบาลีมาเป็นภาษา ประโยชน์สูงสดุ แกท่ ุกฝ่าย๖๓
ไทยเป็นหลัก ไม่ ได้เน้นความเข้าใจในหัวข้อ
ธรรม เพอ่ื นำมาประพฤตปิ ฏิบัติให้ถงึ ความ
พน้ ทกุ ข
์
77
การพัฒนาอินทรียสงั วร
สภุ รี ์ ทมุ ทอง
มรดกที่ ๑๑๑ : ตา หู จมูก ล้นิ กาย ใจ เป็น มรดกที่ ๖๙ : ปฏิจจสมุปบาทฝ่ายเกิดทุกข์
สิ่งที่ต้องควบคุมให้ดีๆ มันจะเกิดเป็นนรกขึ้น เกดิ ขึน้ ทกุ คราวทจี่ ิตมีตัณหาคอื โง่ เมือ่ มผี สั สะ
มาเมื่อมีการปฏิบัติผิด และจะเกิดเป็นสวรรค์ โง่ เวทนาโง่ เพราะอำนาจของอวชิ ชา จนเกิด
ข้นึ มาเมอ่ื มีการปฏิบตั ิถูก ณ ทน่ี นั้ ๆ จงจดั การ ตัณหา หรือ มีกิเลสครอบงำ; ดังนั้น ระวัง
กับ ตา ฯลฯ ใจ ใหถ้ กู ตอ้ ง ในเม่อื มีการสมั ผสั อย่าโง่ เมอ่ื มผี ัสสะใดๆ ใหป้ ฏจิ จสมุปบาทฝ่าย
ณ ท่นี น้ั ๆ จนเปน็ สวรรคอ์ ยู่ได้ จนตลอดเวลา ทุกขเ์ กิดขนึ้ ๖๕
เถิด จะเป็นพุทธบริษัทโดยสมบูรณ์อยู่ ใน
มรดกที่ ๑๓๔ : การทีจ่ ะเกดิ สุขหรือทุกข์ ทำ
ข้ันต้น๖๔
ผิดหรือทำถูกนั้น ขึ้นอยู่กับการสัมผัสอารมณ์
มรดกที่ ๖๗ : ก ข ก กา ของพุทธศาสนา ท่ีมากระทบว่าสัมผัสมันด้วยวิชชาหรืออวิชชา,
มิได้ตั้งต้นที่พระรัตนตรัย แต่ต้ังต้นการศึกษา คือ มีสติสัมปชัญญะหรือไม่มี ถ้ามีสติสัมป
ที่การกระทบทางตา หู จมูก ลนิ้ กาย ใจ วา่ ชัญญะก็ควบคุมการปรุงแต่งของจิตไว้ ได้
ได้ก่อให้เกิดตัณหาอุปาทานแล้วเกิดทุกข์ ในลักษณะที่ ไม่เกิดกิเลสและความทุกข์
ควบคุมการเกิดเหล่าน้ีได้ก็จะดับทุกข์ ได้ แล้ว ถา้ ปราศจากสตสิ ัมปชัญญะก็ตรงกนั ขา้ ม๖๖
ก็จะมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ขึ้นมา
เอง
มรดกที่ ๖๘ : โลกทั้งหมดสำเร็จอยู่ที่ตา หู
จมกู ลิ้น กาย ใจ เพราะเรามตี า ฯลฯ โลกจงึ
มี และเกิดกรณีต่างๆ ท่เี ปน็ ปัญหาข้นึ เพราะ
ไม่รู้ความจริงของเรื่อง ตา ฯลฯ หรือโลก
อยา่ งถูกต้องน่ันเอง
78
การพฒั นาอินทรียสงั วร
สุภรี ์ ทุมทอง
๓) พระพรหมคณุ าภรณ์ (ป.อ. ปยตุ ฺโต)
พระพรหมคณุ าภรณ์ (ป.อ. ปยตุ โฺ ต) เปน็ พระนกั ปราชญ์ ผมู้ คี วามรู้ ความเชยี่ วชาญหลกั ธรรมใน
พทุ ธศาสนาเถรวาทเปน็ อยา่ งยง่ิ ทา่ นมคี วามสามารถในการอธบิ ายขยายความและประยกุ ตห์ ลกั
ธรรมในคมั ภรี ์ มาอธบิ ายปรากฏการณท์ างสงั คมทเี่ กดิ ขนึ้ และไดแ้ นะนำวธิ กี ารปฏบิ ตั ทิ สี่ อดคลอ้ ง
กับธรรมะ ด้วยความเป็นกลางเสมอมา หนังสือและคำบรรยายของท่านได้รับการยอมรับจาก
นักศึกษาและผู้สนใจธรรมะอย่างกว้างขวาง วรรณกรรมทางพุทธศาสนาท่ีท่านได้รวบรวมขึ้น
เป็นมรดกธรรมอันล้ำค่าแห่งยุคน้ี คือ หนังสือพุทธธรรม ฉบับปรับปรุงและขยายความ
พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร์ ฉบบั ประมวลธรรม และพจนานกุ รมพทุ ธศาสตร์ ฉบบั ประมวลศพั ท์
79
การพฒั นาอินทรียสังวร
สภุ ีร์ ทมุ ทอง
ทา่ นได้ให้ความหมายของอนิ ทรยี สงั วร หมายถึง การมีสติทพ่ี ร้อมอยู่เมอื่ รบั รอู้ ารมณ์ เมือ่ มี
สติอยู่ จึงไม่ปลอ่ ยจติ ไปตามนิมิตหมาย ทำใหจ้ ติ ไมเ่ กดิ อภิชฌาและโทมนัส ซึง่ การจะทำเชน่ น้ัน
ไดจ้ ะตอ้ งฝกึ เตรยี มความพรอ้ มเอาไว้ มีการอบรมอนิ ทรยี เ์ อาไว้ กจ็ ะช่วยในใหป้ ลอดภัยจากบาป
อกุศลธรรมทัง้ หลาย และความรู้ที่เอนเอียงบิดเบือน องค์ธรรมสำคญั ในการปฏิบัติคอื สติ ดงั ที่
ท่านไดอ้ ธิบายไวว้ า่
อินทรยี สังวร แปลวา่ การสำรวมอินทรีย์ เรยี กอีกอย่างหน่ึงวา่ การคมุ้ ครองทวาร (เรยี กเตม็
วา่ คุ้มครองทวารในอินทรยี ท์ งั้ หลาย) หมายถึง การมีสติพร้อมอยู่เม่ือรบั อารมณ์มีรูป เปน็ ต้น
ด้วยอินทรีย์มีตาเป็นอาทิ คือไม่ปล่อยใจไปตามนิมิตหมายต่างๆ อันจะเป็นเหตุให้เกิดความ
ติดพันขุ่นเคือง ชอบใจ ไม่ชอบใจ แล้วถูกอกุศลธรรมเข้าครอบงำจิตใจ การปฏิบัติตามหลักนี้
ชว่ ยไดท้ ั้งด้านป้องกันความช่วั เสยี หาย ป้องกันความทกุ ข์ และป้องกันการสร้างความรคู้ วามคิด
ที่บิดเบือนเอนเอียง อย่างไรก็ตาม การที่จะปฏิบัติให้ได้ผล มิใช่ว่าจะนำหลักมาใช้เมื่อไรก็ได้
ตามปรารถนา เพราะสตจิ ะตง้ั มนั่ เตรียมพรอ้ มอยเู่ สมอ จำต้องมีการฝกึ ฝนอบรม อินทรยี สงั วร
จึงต้องมีการซ้อมหรือใช้อยเู่ สมอ การฝึกอบรมอินทรีย์ มีชอ่ื เรียกว่าอินทรียภาวนา (แปลตาม
แบบว่าการเจริญอินทรีย์) ผู้ที่ฝึกอบรมหรือเจริญอินทรีย์แล้ว ย่อมปลอดภัยจากบาปอกุศล
ธรรม ความทุกข์และความรู้ที่เอนเอียงบิดเบือนท้ังหลาย ในแง่ความรู้ความคิดท่ีเอนเอียง
บิดเบือนน้ัน (ในที่น้ีหมายเฉพาะปลอดภัยจากเหตุใหม่ ไม่พูดถึงเหตุท่ีสั่งสมไว้เก่า คือตัณหา
มานะ ทฏิ ฐทิ ่มี ีอย่เู ดมิ ซึ่งเปน็ อีกตอนหนงึ่ ตา่ งหาก) เพราะปอ้ งกนั ไว้ไดก้ อ่ นทส่ี ิ่งเหล่านน้ั จะเกิด
ขึ้น หรอื แม้หากความชอบใจไม่ชอบใจจะหลดุ รอดเกิดขนึ้ มา กส็ ามารถระงับ หรอื สลัดทง้ิ ไปได้
เร็วพลัน อนิ ทรียสังวรนจี้ ัดว่าเปน็ หลักธรรมในขนั้ ศีล แตอ่ งค์ธรรมสำคัญท่ีเปน็ แกนคอื สตินัน้ อยู่
ในจำพวกสมาธิ ทำให้มีการใช้กำลังจิตและการควบคุมจิตอยู่เสมอ จงึ เปน็ การฝกึ อบรมสมาธิไป
ดว้ ยในตวั ๖๗
80
การพฒั นาอินทรยี สังวร
สภุ ีร์ ทุมทอง
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) เน้นคำ
สอนเร่ืองอินทรียสังวรในแง่ของการใช้อินทรีย์
เพ่ือการศึกษาเอาไว้เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะ
ในยุคปัจจุบันท่ีมีสิ่งเร้าเข้ามามากมาย หาก
การใช้อินทรีย์ ไม่ถูกต้อง ใช้เพื่อเสพเสวย
อารมณท์ างโลก เพอ่ื หาความสขุ จากรูป เสียง
กลน่ิ รส สมั ผสั อยา่ งน้เี ปน็ วงจรของความ
ทกุ ข์ และทำใหเ้ กิดปัญหาตา่ งๆ มากมาย แต่
หากใช้อนิ ทรยี อ์ ยา่ งถกู ต้อง เป็นไปเพ่อื การ
ศึกษา ก็จะมีประโยชน์ต้ังแต่การดำเนิน
ชีวิตธรรมดา จนถึงการเป็นผู้มีอิสระ
หลุดพ้น หมดทุกข์ ไปได้ โดยท่านได้อธิบาย
กระบวนธรรมท่ีเกิดข้ึนทั้งฝ่ายทุกข์กับฝ่าย
หมดทุกข์ ให้เข้าใจได้โดยง่าย เมื่อมีการรับรู้
อารมณ์ จนเกิดความรู้สึกแล้ว หากมีการ
ปฏิบัติอย่างถูกต้อง ก็จะเป็นจุดเปลี่ยนท่ี
สำคัญ ท่านจึงได้แนะนำการใช้อินทรีย์ท่ี
ถูกต้อง และแนะนำหลักโยนิโสมนสิการ๖๘
เพ่ือให้ใช้อินทรีย์ด้วยสติปัญญา จะได้เป็นไป
ฝา่ ยออกจากทุกข
์
81
การพัฒนาอินทรียสงั วร
สุภรี ์ ทุมทอง
๒.๒ ความสำคญั ของอนิ ทรยี สงั วร
อินทรียสังวรน้ันมคี วามสำคญั ในทกุ ๆ ระดับ ในหัวขอ้ น้จี ะกลา่ วถงึ ความสำคญั ของอนิ ทรียสงั วร
ในแง่มุมตา่ งๆ ท้ังในระดับธรรมดา คือ การดำรงชวี ติ ประจำวนั และสำหรบั ผปู้ ฏิบัตธิ รรมเพื่อ
ความหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวง โดยจะยกตัวอย่างแสดงให้เห็นประโยชน์ของการมีอินทรียสังวร
และโทษของการขาดอินทรียสังวร ตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ และมีตัวอย่างเร่ืองราว
ปรากฏอยู่ในคมั ภรี ต์ า่ งๆ
82
การพัฒนาอินทรยี สงั วร
สภุ ีร์ ทมุ ทอง
๒.๒.๑ ความสำคัญตอ่ การดำรงชีวิตประจำวนั
เรื่องน้ีจะมองในแง่มุมธรรมดา ที่ใช้ชีวิตกันอยู่ ปฏิกิริยาตอบสนองอยู่ทุกวัน และหากเข้าใจ
ทุกวันๆ ซึ่งจะต้องมีการเก่ียวข้องกับเรื่อง ให้ลึกซ้ึงลงไปแล้ว การดำรงชีวิตธรรมดาๆ
ตา่ งๆ ที่เขา้ ให้รับรู้ทางตา หู จมกู ล้นิ กาย ประจำวันนแ้ี หละ เป็นการฝึกฝนปฏิบตั ิธรรมท่ี
และใจ เป็นประจำอยู่แล้ว เมื่อรับรู้แล้ว บาง สงู ท่ีสุด ดังน้นั หากเข้าใจเรือ่ งน้ีให้ถกู ต้อง ก็
อารมณ์มีอิทธิพลต่อจิตใจ ก็เกิดเจตนาในการ เป็นการฝึกฝนปฏิบัติธรรมเพ่ือความพ้นทุกข์ ใน
ทำตอบสนองทง้ั ดา้ นความคดิ ด้านการกระทำ ชวี ติ ประจำวนั ไปดว้ ย
และด้านคำพูด เป็นส่ิงท่ีทุกคนประสบและมี
๑) ทำใหม้ ีการฝึกจติ เมือ่ ฝกึ แลว้ จะมีประโยชน์มากทส่ี ดุ
จิตน้ันเป็นประธานในการรับรู้อารมณ์ เป็น เกิดดับสืบต่อกันไปอย่างรวดเร็ว รู้อารมณ์
สภาวธรรมท่ีเกิดดับรวดเร็วมาก และเกิดดับ สลับผลัดเปลี่ยนไปตามทวารต่างๆ ทางตา
สืบต่อเน่ืองกันไปไม่มีการหยุดน่ิง การเกิดดับ บ้าง ทางหูบ้าง ทางจมูกบ้าง ทางลิ้นบ้าง
ของจิตนั้นเป็นไปในลักษณะสืบต่อ เม่ือดวง ทางกายบ้าง ทางใจบ้าง เหมือนลิงเที่ยว
เก่าดับไปก็เป็นปัจจัยให้จิตดวงใหม่เกิดข้ึน กระโดดไปตามกิ่งไม้ ดงั พระพุทธพจนว์ ่า “เรา
อย่างนี้เรื่อยไป ในคัมภีร์สายอภิธรรมเรียก ไม่เห็นธรรมอ่ืนแม้อย่างหน่ึงที่เปลี่ยนแปลงเร็ว
การเป็นปัจจัยเกื้อหนุนกันไปในลักษณะเช่นนี้ เหมือนจิตนี้ จิตนี้เปล่ียนแปลงเร็วจนเปรียบ
ว่า อนันตรปัจจัย สมนันตรปัจจัย อุปนิสสย เทยี บกบั อะไรไม่ไดง้ ่ายๆ”๗๐ และว่า
ปัจจัย นัตถิปัจจัยและวิคตปัจจัย๖๙ ซึ่งจิตที่
83
การพฒั นาอินทรียสังวร
สภุ ีร์ ทมุ ทอง
ตถาคตเรียกส่ิงน้ีว่า จิตบ้าง มโนบ้าง ในลักษณะข้อท่ี ๔ นี้ แสดงถึงกายและจิตมี
วิญญาณบ้าง จิตเป็นต้นน้ัน ดวงหน่ึงเกิดข้ึน ความสัมพนั ธ์กนั อย่างแยกไม่ออก เราจะมชี วี ิต
ดวงหน่ึงดับไปตลอดท้ังคืนและวัน เปรียบ ดำเนนิ ไปและมกี ารกระทำต่างๆ ได้ ก็เพราะมี
เหมอื นลงิ เมอ่ื เทย่ี วไปในปา่ เลก็ และปา่ ใหญ่ จบั จิตอาศัยเกิดอยู่ที่ร่างกายนี้ ถ้าไม่มีจิตก็จะ
กง่ิ ไม้ ปลอ่ ยกงิ่ ไมน้ นั้ แลว้ ยอ่ มจบั กงิ่ อนื่ ปลอ่ ย เปรียบประดุจท่อนไม้ ที่ ไม่สามารถทำสิ่ง
กง่ิ นนั้ แลว้ ยอ่ มจบั กงิ่ อน่ื ตอ่ ไป ฉะนนั้ ตถาคต ต่างๆ ได้เลย ดังพระบาลีว่า “อีกไม่นานนัก
จงึ เรยี กสงิ่ นวี้ า่ จติ บา้ ง มโนบา้ ง วญิ ญาณบา้ ง ร่างกายน้ีก็จักปราศจากวิญญาณ ถูกทอดทิ้ง
จิตเป็นต้นน้ัน ดวงหน่ึงเกิดข้ึน ดวงหนึ่งดับไป ทับถมแผ่นดิน เหมือนท่อนไม้ที่ ไร้ประโยชน์
ตลอดทงั้ คนื และวนั ๗๑
ฉะน้ัน”๗๓ และว่า “กายของเราน้ีคุมกันเป็น
รปู รา่ ง ประกอบขน้ึ จากมหาภตู รปู ๔ เกดิ จาก
ในขุททกนิกาย คาถาธรรมบทแสดงลักษณะ บิดามารดา เจริญวัยเพราะข้าวสุกและ
ทวั่ ไปของจติ เอาไวว้ ่า (๑) ทรู งฺคมํ ไปได้ไกล ขนมสด ไม่เที่ยงแท้ ต้องอบ ต้องนวดเฟ้น
เพราะสามารถรับอารมณ์ที่อยู่ไกลตัวได้ หรือ มีอันแตกกระจัดกระจายไปเป็นธรรมดา
แม้แต่อารมณ์อดีตท่ีดับไปแล้ว และอารมณ์ วญิ ญาณของเราอาศยั และเนอ่ื งอยู่ในกายน”ี้ ๗๔
อนาคตทยี่ งั ไมเ่ กดิ ขนึ้ กส็ ามารถรู้ได้ (๒) เอกจรํ นอกจากน้ี จิตยังมีลักษณะท่ีมีความวิจิตรมาก
เที่ยวไปผู้เดยี ว เพราะจิตเกิดดบั ทีละขณะ แต่ ดว้ ยความวิจติ รของจิตนี้ ทำให้มนษุ ย์สามารถ
ความไวของจิตนั้นเกิดดับรวดเร็วมาก คิดค้นทำวัตถุสง่ิ ของ และศิลปวทิ ยาการต่างๆ
จนกระท่ังเราไม่สามารถกำหนดแยกแยะได้ว่า ไดอ้ ย่างวจิ ติ รพสิ ดารยงิ่ นกั
เกิดดับขณะไหน (๓) อสรีรํ ไม่มีรูปร่าง
เพราะจิตเป็นนามธรรมที่ ไม่มีตัวให้มองเห็น
ไม่สามารถกระทบถกู ตอ้ งไดเ้ หมอื นกบั รา่ งกาย
(๔) คุหาสยํ มีถ้ำเป็นที่อาศัย เพราะจิตน้ัน
อาศยั เกิดที่รา่ งกายของคนเรา๗๒
84
การพฒั นาอนิ ทรียสังวร
สุภีร์ ทมุ ทอง
จิตของปุถุชนท่ียังไม่ ได้ฝึกมีลักษณะหลาย จากลักษณะดังที่กล่าวมานี้ จะเห็นได้ว่า จิต
ประการ เชน่ (๑) ผนทฺ น ดน้ิ รน เพราะต้อง ของปุถชุ นนั้นด้ินรน กวดั แกวง่ และโนม้ น้อมเขา้
ออกไปรับอารมณ์ทางทวารต่างๆ (๒) จปล ไปหากาม คือ รูป เสียง กล่ิน รส สัมผัส
กวัดแกว่ง เพราะขาดความมั่นคง เม่ือมี ตลอดเวลา การที่เป็นเช่นนี้ทำให้จิตตกไปฝ่าย
อารมณ์มากระทบก็หว่ันไหวไปตามอารมณ์ อกุศลเป็นอันมาก แม้จะมีกุศลเกิดขึ้นมาบ้าง
(๓) ทรุ กฺข รกั ษาไว้ไดย้ าก เพราะการทร่ี กั ษา แต่อกุศลก็มาหลอกล่อทำให้มืดมนหลงไปตาม
จิตให้ม่ันคงแนบแน่นอยู่กับส่ิงที่ดีนั้น เป็นส่ิงที่ ไดอ้ ยา่ งงา่ ยดาย ดว้ ยสภาพจิตท่เี ปน็ เชน่ น้ี จึง
ยาก (๔) ทุนฺนิวารยํ ห้ามไว้ได้ยาก เพราะ เป็นเหตุให้ต้องประสบกับความทุกข์ยาก
การท่ีจะห้ามจิตให้ออกจากความช่ัว เป็นส่ิงที่ มากมาย
ทำได้ยาก (๕) ทุนฺนิคฺคหํ ข่มได้ยาก เพราะ
เมื่อจิตตกไปในฝ่ายชั่วแล้ว การท่ีจะบีบบังคับ จิตน้ันเป็นผู้นำของสิ่งทั้งหลาย ในการกระทำ
จิตให้ถอยห่างออกมาจากความชั่ว เป็นสิ่งท่ี ทุกอย่าง ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดี เลวหรือประณีต
ทำไดย้ าก (๖) ลหุ เกดิ ดบั เรว็ (๗) กามนปิ าตนิ ํ จิตน้ันเองเป็นผู้นำในการกระทำทางกาย ทาง
มักตกไปสู่กามารมณ์อยู่เสมอ (๘) สุทุทฺทสํ วาจา และทางใจคิด และทำให้ได้รับผลของ
เหน็ ไดย้ าก (๙) สนุ ปิ ณุ ํ เปน็ สภาวะทล่ี ะเอยี ด๗๕
การกระทำตามสมควร วิทยาการท่ีก้าวหน้า
ในปัจจุบันนี้ทุกอย่าง จิตเป็นผู้ก่อสร้างให้เกิด
ข้นึ แม้แตค่ วามเป็นไปของโลก ก็เพราะอำนาจ
ของจิตนำไป โลกจะดีงามสงบสุขหรือ
เดือดร้อนทุกข์ทน ก็ด้วยอำนาจจิตของ
ผู้คนท่ีอยู่ ในโลกทำให้เป็นไป ดังพระพุทธ
พจน์ทวี่ ่า
85
การพฒั นาอนิ ทรยี สังวร
สภุ ีร์ ทุมทอง
มโนปุพพฺ งคฺ มา ธมฺมา มโนเสฏฺา มโนมยา
มนสา เจ ปทฏุ เฺ น ภาสติ วา กโรติ วา
ตโต น ทกุ ฺขมเนวฺ ติ จกกฺ ว วหโต ปท.
ธรรมท้ังหลาย มีใจเปน็ หัวหนา้ มีใจเป็นใหญ่ สำเร็จด้วยใจ ถา้ คนมีใจชวั่ ก็จะพูดชัว่ หรอื ทำช่วั
ตามไปด้วย เพราะความชั่วน้ัน ทุกข์ย่อมติดตามเขาไป เหมือนล้อหมุนตามรอยเท้าโคท่ีลาก
เกวยี นไป ฉะน้ัน๗๖
มโนปพุ พฺ งฺคมา ธมมฺ า มโนเสฏฺา มโนมยา
มนสา เจ ปสนฺเนน ภาสติ วา กโรติ วา
ตโต น สุขมเนฺวติ ฉายาว อนปุ ายนิ .ี
ธรรมทงั้ หลาย มีใจเปน็ หวั หนา้ มีใจเป็นใหญ่ สำเร็จดว้ ยใจ ถ้าคนมีใจดี ก็จะพูดดหี รอื ทำดตี าม
ไปด้วย เพราะความดนี น้ั สขุ ยอ่ มตดิ ตามเขาไป เหมอื นเงาตดิ ตามตวั เขาไป ฉะน้นั ๗๗
จติ เฺ ตน นียติ โลโก จิตเฺ ตน ปรกิ สิ ฺสติ
จติ ตฺ สฺส เอกธมฺมสฺส สพเฺ พว วสมนวฺ คุ.
โลกถูกจติ นำไป ถูกจิตผลกั ไสไป จิตเป็นธรรมอยา่ งหนง่ึ ที่โลกทง้ั หมดตกอยู่ในอำนาจ๗๘
86
การพฒั นาอินทรียสงั วร
สุภรี ์ ทุมทอง
การฝึกฝนพัฒนาด้านจิตใจเป็นสิ่งที่พระผู้มี จิตนี้ผุดผ่อง แต่จิตน้ันแลเศร้าหมองเพราะ
พระภาคทรงเน้นมาก แต่การฝึกฝนจิตน้ัน อุปกิเลสท่ีเกิดขึ้นภายหลัง ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ
ทำได้ยาก คนที่ไม่เคยฝึกอาจจะเกิดความไม่ ย่อมไม่ทราบจิตน้ันตามความเป็นจริง เพราะ
มน่ั ใจวา่ จะฝึกฝนได้จรงิ หรือไม่ การศึกษาเรอ่ื ง เหตุนั้น เราจึงกล่าวว่า “ปุถุชนผู้ ไม่ ได้สดับ
จิตให้เข้าใจ ทำให้ผู้ศึกษามีความม่ันใจในการ ย่อมไม่มีการอบรมจิต”๗๙
ฝึกฝนว่า จิตนั้นเป็นสิ่งสามารถฝึกหัด
ควบคุม ยังยั้งได้ เม่ือมีความชำนาญก็ จิตน้ีผุดผ่อง และจิตน้ันแลหลุดพ้นแล้วจาก
สามารถใช้จิตนั้นเป็นเครื่องมือได้ตาม อุปกิเลสท่ีเกิดขึ้นมาภายหลัง อริยสาวกผู้ได้
ปรารถนา แต่เมื่อจิตยังไม่ ได้ฝึก ก็เหมือนมี สดับย่อมทราบจิตนั้นตามความเป็นจริง
เคร่ืองมืออยู่กับตัว แต่เคร่ืองมือนั้นไว้ใจไม่ได้ เพราะเหตุนั้น เราจึงกล่าวว่า “อริยสาวกผู้
เพราะไม่สามารถบังคับควบคุมได้ ตาม ได้สดบั ย่อมมกี ารอบรมจิต”๘๐
พระพุทธพจนน์ นั้ จติ เป็นส่ิงที่ประภสั สร แต่ วิธีการกันกิเลสไม่ให้เข้ามาภายในจิต ด้วยวิธี
เศร้าหมองขุ่นมัวก็เพราะเกิดกิเลสเข้ามา การปฏิบัติอินทรียสังวร มีสติปิดกั้นไม่ ให้จิต
ตามความเคยชิน ถ้าสามารถกนั กเิ ลสไม่ให้ หลงไปในอารมณ์ทปี่ รากฏทางตา ทางหู ทาง
เข้ามาได้ การฝึกฝนพัฒนาจิตก็จะเป็นไป จมูก ทางล้ิน ทางกาย ทางใจ จึงเป็นส่ิงที่
ได้แน่นอน ดงั พระพุทธพจนท์ ่ีว่า
สำคญั มาก เมือ่ มกี ารฝกึ ฝนจนสามารถป้องกัน
กิเลสไม่ ให้ ไหลเข้ามาสู่จิตได้ ก็สามารถทำ
จิตตภาวนาข้ันสูง คือสมถะและวิปัสสนา
87
การพัฒนาอินทรยี สังวร
สภุ รี ์ ทมุ ทอง
ให้ประจักษ์แจ้งสภาวธรรมตามความเป็นจริง เราไม่เห็นธรรมอื่นแม้อย่างหนึ่งท่ีได้เจริญทำ
โดยความเป็นส่ิงท่ีไม่เที่ยง ไม่สามารถดำรง ให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพ่ือประโยชน์มาก
อยู่ไดน้ าน มีแลว้ ก็หายไป เป็นทุกข์ ทนอยู่ใน เหมือนจิตน้ี จิตท่ีได้เจริญทำให้มากแล้วย่อม
สภาพเดมิ ไม่ได้ เมอื่ ปจั จยั เปลีย่ น สง่ิ น้ันกต็ อ้ ง เป็นไปเพ่อื ประโยชนม์ าก๘๒
เปลี่ยนสลายไป และเปน็ อนัตตา คอื ปราศจาก
ตัวตนใดๆ ที่จะจับยึดเอาสภาวธรรมมาเป็น เราไม่เห็นธรรมอ่ืนแม้อย่างหนึ่งท่ีได้เจริญทำ
เจ้าของได้ ทำให้จิตปล่อยวางขันธ์ ๕ ที่เคย ใหม้ ากแล้ว ย่อมนำสขุ มาใหเ้ หมอื นจติ น้ี จติ ที่
ยึดมั่นถือมั่นเอาไว้ บรรลุคุณวิเศษไปตาม ได้เจริญทำใหม้ ากแล้วยอ่ มนำสุขมาให๘้ ๓
ลำดบั จนกระทง่ั ถงึ ความพ้นทกุ ข์ จิตท่ี ได้รบั เราไม่เห็นธรรมอื่นแม้อย่างหนึ่งท่ี ได้ฝึก ได้
การฝึกฝน คมุ้ ครอง รักษาดีแลว้ จงึ นำมา คุ้มครอง ได้รักษา ได้สำรวมแล้วย่อมเป็นไป
ซง่ึ ประโยชนม์ ากมายมหาศาล ตั้งแต่ข้นั ตน้ เพื่อประโยชน์มากเหมือนจิตน้ี จิตที่ได้ฝึก ได้
จนกระทั่งถึงความพ้นทุกข์ ดงั พระพุทธพจน์ คุ้มครอง ได้รักษา ได้สำรวมแล้วย่อมเป็นไป
ตอ่ ไปน้ี
เพ่อื ประโยชนม์ าก๘๔
เราไม่เห็นธรรมอื่นแม้อย่างหน่ึงที่ ได้เจริญแล้ว จิตฺตสฺส ทมโถ สาธุ การฝึกจิตนับได้ว่าเป็น
ย่อมควรแก่การใช้งานเหมือนจิตน้ี จิตท่ี ได้ ความดี, จิตฺตํ ทนฺตํ สุขาวหํ จิตที่ฝึกได้แล้ว
เจริญแลว้ ยอ่ มควรแกก่ ารใช้งาน๘๑
นำสขุ มาให๘้ ๕
จิตฺตํ คุตฺตํ สุขาวหํ จิตท่ีคุ้มครองได้แล้ว นำ
สขุ มาให๘้ ๖
88
การพฒั นาอินทรยี สงั วร
สุภีร์ ทมุ ทอง
๒) ทำให้ปาติโมกขสังวรบริสุทธิแ์ ละย่งั ยนื
ศีลปาติโมกข์น้ัน เป็นการสำรวมระวังทาง การรักษาศีลปาติโมกข์นั้น ต้องคอยสำรวม
ด้านกาย วาจา เป็นศีลที่ทำให้คนในสังคม
ระวังที่จะงดเว้นการกระทำหรือคำพูดอันจะ
อยู่ร่วมกันอย่างมีความสงบสุข ไม่มีการ ทำใหผ้ ิดศีล ซ่งึ เป็นเรื่องลำบาก ในชีวติ ประจำ
เบียดเบียนกัน และยังเป็นพ้ืนฐานสำหรับการ วนั มกี ารหลงลมื มาก บางครงั้ อาจถูกกเิ ลสอนั
ปฏิบัติธรรมขั้นสูงต่อไปอีกด้วย หากคนใน รุนแรง เช่น ความโลภ ความโกรธ อย่างหนัก
สังคมไม่ประพฤติผิดศีล ๕ ประการ อันเป็น ครอบงำจิตใจ ทำให้ประพฤติล่วงศีลได้
ศีลข้ันพื้นฐาน คนก็จะอยู่ด้วยกันอย่างมีความ เพราะอารมณ์ที่กระทบทางตา หู จมูก ลิ้น
สุข ย่ิงศีลท่ีมากข้อขึ้นไปก็จะช่วยให้มีความ กาย ใจ บางอย่างก่อให้เกิดกิเลสจนทำให้
สะดวก สบายและสงบมากข้ึนไปตาม หลงลืมสติ หมดความละอายและความเกรง
ลำดับ ศีล ๘ ก็ทำให้สะดวกข้ึน ไม่ต้อง
กลัวต่อบาป ทำผิดพลาดไปแล้ว จึงมาเสียใจ
ตระเตรียมอาหารรับประทานในตอนเย็น ไม่ ในภายหลัง
ต้องวุ่นวายกับการแต่งตัว และเสียเวลาไปกับ
การดูหนงั ดูละครอันเปน็ ขา้ ศกึ ตอ่ กุศล ศลี ของ
พระภิกษุก็ทำให้ท่านเป็นผู้ท่ีเบาสบาย ไม่ต้อง
สะสมส่ิงใดๆ ให้เป็นภาระหนักเหมือนชีวิต
ฆราวาส การประพฤติธรรมในข้ันสูงต่อไป
คือสมาธิและปัญญา ก็เป็นไปได้ โดยสะดวก
ไมต่ ้องมีเครื่องกังวล
89
การพัฒนาอินทรยี สังวร
สุภีร์ ทุมทอง
ส่ิงท่ีจะช่วยให้การรักษาศีลปาติโมกข์เป็นไปได้ เมื่อปฏิบัติอินทรียสังวรดีแล้ว มีสติคุ้มครอง
อยา่ งบรสิ ุทธิ์และยงั่ ยนื คอื การสำรวมอินทรยี ์ จิตใจอยู่เสมอ ปาติโมกขสังวรก็ย่อมยั่งยืน
เพราะการกระทำผิดทางกาย วาจานั้น ตน้ ตอ ไม่มีการทำผิดด้านกายวาจา จนเป็นเหตุให้
แท้ๆ ออกจากจติ ใจทีถ่ ูกอกศุ ลครอบงำ หากมี ศีลขาดทำลาย ดังที่ ในวิสุทธิมรรคแสดงว่า
การปฏิบัติอินทรียสังวร ฝึกสติให้คอยเฝ้าดู “ก็แล เมื่ออินทรียสังวรน้ัน ภิกษุไม่ทำให้ถึง
รู้ทันจิตใจตนเองอยู่เสมอ การจะทำสิ่งที่ พร้อมอย่างน้ีแล้ว แม้ศีลปาฏิโมกข์ก็ย่อมไม่
ผิดพลาดก็มี โอกาสเป็นไป ได้ยาก เม่ือ ยง่ั ยนื อยู่ได้ เปรยี บเหมอื นขา้ วกล้าทม่ี ิไดท้ ำรัว้
สามารถปฏิบัติอินทรียสังวรได้ดี การจะ ลอ้ ม ก็ไมย่ ง่ั ยนื อยู่ได้ ฉะนน้ั ”๘๘ และวา่ “แตเ่ มอ่ื
กระทำสิ่งท่ผี ิดทางกาย วาจา กม็ ีไม่ได้ ปาติ อินทรียสังวรนั้น อันภิกษุทำให้ถึงพร้อมแล้ว
โมกขสังวรก็จะบริสุทธิ์และรักษาได้โดยไม่ต้อง แม้ศีลปาฏิโมกข์ก็ย่อมยั่งยืน เหมือนข้าวกล้าที่
ฝืน เพราะเป็นการรักษาท่ีต้นตอของการ มีร้วั ล้อมไว้ดี ยอ่ มยัง่ ยืนอยู่ได้ ฉะนน้ั ”๘๙
กระทำ คือการรักษาท่ีจิต อินทรียสังวรนั้น
เป็นสิ่งท่ีละเอียดกว่าปาติ-โมกขสังวร ซ่ึงพระ
ผู้มีพระภาคทรงแนะนำให้ปฏิบัติในลำดับถัดไป
ดังพระบาลีว่า “พราหมณ์ ในกาลใดภิกษุเป็น
ผู้มีศีล สำรวมด้วยการสังวรในปาติโมกข์
เพียบพร้อมด้วยอาจาระและโคจร เป็นผู้เห็น
ภัยในโทษแม้เล็กน้อย สมาทานศึกษาในสิกขา
บทท้ังหลาย ในกาลนั้น ตถาคตย่อมแนะนำ
เธอให้ย่ิงขึ้นไปว่า “มาเถิดภิกษุ เธอจงเป็นผู้
คุม้ ครองทวารในอินทรีย์ทง้ั หลาย”๘๗
90
การพฒั นาอินทรียสงั วร
สุภรี ์ ทุมทอง
๓) ทำให้กิเลสไมเ่ ข้าสู่จิตใจ
กิเลสเป็นเครื่องเศร้าหมองของจิต ทำให้จิต ทวารท้ัง ๖ เปรยี บเหมือนกับประตูบ้าน หาก
มืดมัว เร่าร้อน กิเลสท้ังหลายท่ีเข้าครอบงำ ไม่มีนายประตูคือสติคอยเฝ้าระวังรักษา
จิตใจ ทำให้มนุษย์ตกอยู่ภายใต้อำนาจของ โจรคือกิเลสก็เข้าสู่บ้าน ทำร้ายเจ้าของ
กิเลสมีราคะ โทสะ เป็นต้น กระทำส่ิงต่างๆ บ้านและทำลายสิ่งของต่างๆ ในบ้านให้
ตามอำนาจของกิเลส จนเกิดการเบียดเบียน พินาศไป ทำใหจ้ ิตใจของผทู้ ี่ไม่มสี ติ ถกู กิเลส
แก่งแย่งแข่งขัน ทำลายล้างกัน จนถึงขนาด ทำให้ร้อนรุ่ม แผดเผาดังไฟ ต้องด้ินรน
เข่นฆ่ากันอย่างไร้คุณธรรม กิเลสทั้งหลาย ขวนขวาย จติ ใจไมส่ งบสุข คณุ ธรรมต่างๆ ใน
เหล่านั้นก็เข้ามาโดยอาศัยตา หู จมูก ลิ้น จิตใจก็โดนทำลายไป หากกิเลสมีกำลังแรงก็
กาย ใจน่ันเอง ตอนแรกกเิ ลสอาจจะไม่รนุ แรง ทำลายความรู้สึกผิดชอบชั่วดี ทำให้หลงไปทำ
มากนัก แต่เม่ือส่ังสมมากเข้าก็กลายเป็นกิเลส ในส่งิ ท่ีผดิ อันจะนำทุกข์ โทษภัยใหแ้ กต่ นทั้งใน
ท่ีมีกำลังแรง สามารถทำความผิดอย่างคาด โลกนีแ้ ละโลกหน้า แตห่ ากมกี ารฝกึ ฝนสติ เฝา้
ไม่ถึง แม้กระท่ังสามารถฆ่ามารดาบิดาของ รักษาจิตใจไม่ให้กิเลสเข้ามาเมื่อตาเห็นรูป หู
ตนก็ได้
ได้ฟังเสียง จมูกดมกล่ิน ล้ินลิ้มรส กาย
ถูกต้องสัมผัสทางกาย ใจรับรู้ธรรมารมณ์
จิตใจของผู้น้ันก็จะไม่ถูกกิเลสเข้าครอบงำ
เหมือนนายประตูปิดประตูบ้านเอาไว้อย่าง
แนน่ หนา โจรกเ็ ขา้ มาทำรา้ ยไม่ได้ ผนู้ นั้ กจ็ ะมี
แต่ความสุขอันปราศจากโทษ จิตใจไม่มีกิเลส
ร่ัวรด ดังเรือนที่มุงดีแล้ว สมดังพระคาถาท่ี
พระผูม้ ีพระภาคตรัสวา่
91
การพฒั นาอนิ ทรียสงั วร
สภุ ีร์ ทมุ ทอง
ฝนยอ่ มรั่วรดเรือนที่มงุ ไมด่ ีได้ ฉันใด
ราคะยอ่ มร่วั รดจติ ที่ไม่ได้อบรมได้ ฉันน้ัน
ฝนย่อมร่วั รดเรอื นที่มุงดแี ลว้ ไม่ได้ ฉันใด
ราคะย่อมร่วั รดจิตทีอ่ บรมดแี ล้วไม่ได้ ฉันน้ัน๙๐
๔) ทำให้เป็นผมู้ ชี วี ิตอยู่ดว้ ยความไม่ประมาท
ความไมป่ ระมาท คอื การมชี วี ติ ท่ีไมป่ ราศจาก อินทรียสังวรนั้นเป็นการมีสติอยู่ตลอดในเวลา
สติ ดังที่พระอรรถกถาจารย์ท่านอธิบาย
ท่ีมกี ารเหน็ การไดย้ ิน การไดก้ ลนิ่ การลิม้ รส
ด้วยคำว่า การไม่อยู่ปราศจากสติ๙๑ ความ
การถูกต้องสัมผัสทางกาย การรู้อารมณ์ทาง
ไม่ประมาทน้ันเป็นธรรมที่เป็นหัวข้อสำคัญ
ใจ ซ่ึงทกุ คนต้องมกี ารเหน็ ได้ยิน เป็นตน้ เป็น
ในกระบวนการปฏิบตั ิธรรม ในบรรดาธรรมทง้ั ประจำอยู่แล้วในชวี ติ ประจำวนั อินทรียสงั วร
หลายน้ันสติเป็นอธิบดี๙๒ การดำรงชีวิตอยู่ จึงเป็นการฝึกฝนสติที่ ไม่ต้องมีรูปแบบใดๆ
ด้วยความไม่ประมาทนี้ เป็นคำสั่งสอนที่ เพราะไม่ว่าจะอยู่ ในสถานที่ ใด ก็ย่อมมีการ
ประมวลธรรมท้ังหมดท่ีพระพุทธองค์ทรง
เห็น ได้ยิน ได้กลน่ิ ลิ้มรส ถกู ตอ้ งสมั ผสั ทาง
สงั่ สอนมาตลอด ๔๕ พรรษา ดงั ทีท่ รงแสดง กาย และรอู้ ารมณ์ทางใจทงั้ น้นั
ในปัจฉิมโอวาทว่า “ภิกษุทั้งหลาย บัดน้ีเรา
ขอเตือนเธอทั้งหลาย สังขารท้ังหลายมีความ
เส่ือมไปเป็นธรรมดา เธอทั้งหลายจงทำหน้าที่
ให้สำเรจ็ ดว้ ยความไม่ประมาทเถิด”๙๓
92
การพฒั นาอนิ ทรยี สงั วร
สุภรี ์ ทุมทอง
เมื่อเห็นรูปท้ังหลายทางตาแล้ว จิตหลงชอบ ภิกษผุ ู้อยูด่ ว้ ยความไมป่ ระมาท เปน็ อยา่ งไร
รูปที่น่าพอใจ หรือหลงชังรูปที่ ไม่น่าพอใจ คือ เมื่อภิกษุสำรวมจักขุนทรีย์อยู่ จิตย่อมไม่
เป็นการหลงลืมสติ จิตหลงซัดส่ายไปตาม ซ่านไปในรูปท้ังหลายที่พึงรู้แจ้งทางตา เม่ือ
อารมณ์ถูกอารมณ์ครอบงำ จิตก็ไม่ต้ังม่ัน เธอมีจิตไม่ซ่านไปแล้ว ปราโมทย์ก็เกิด เมื่อ
ธรรมฝ่ายดีงามท้ังหลายคือสมถะและ เกดิ ปราโมทย์ ปีติกเ็ กดิ เม่อื ใจเกิดปตี ิ กายก็
วิปัสสนาก็ย่อมไม่เกิดข้ึน ช่ือว่ามีชีวิตอยู่ด้วย สงบ ภิกษุผ้มู กี ายสงบ ย่อมอยสู่ บาย จิตของ
ความประมาท ส่วนเม่ือเห็นรูปท้ังหลายทาง เธอผู้อยู่สบายย่อมตั้งมั่น เม่ือจิตต้ังมั่น ธรรม
ตาแล้ว จิตไม่หลงใหลไปชอบหรือชังใน ท้ังหลายก็ปรากฏ เพราะธรรมท้ังหลาย
อารมณ์ เป็นการไม่หลงลืมสติ จิตไม่หลงซัด ปรากฏ เธอย่อมนับว่า เป็นผู้อยู่ด้วยความไม่
สา่ ยไปตามอารมณ์ ไม่ถกู อารมณ์ครอบงำ จิต ประมาทแท้จริง ฯลฯ เม่ือภิกษุสำรวม
กต็ ั้งมัน่ ธรรมฝา่ ยดงี ามทั้งหลายคอื สมถะและ ชวิ หินทรยี อ์ ยู่ จิตย่อมไม่ซ่านไป ฯลฯ เธอย่อม
วิปัสสนาก็ย่อมเกิดขึ้น ชื่อว่ามีชีวิตอยู่ด้วย นับว่า เป็นผู้อยู่ด้วยความไม่ประมาทแท้จริง
ความไม่ประมาท สมดังพระบาลีท่ีพระผู้มี ฯลฯ ภิกษุท้ังหลาย ภิกษุผู้อยู่ด้วยความไม่
พระภาคทรงแสดงไว้ในปมาทวหิ ารีสตู รว่า
ประมาทเปน็ อย่างนี้แล๙๔
93
การพฒั นาอนิ ทรยี สงั วร
สภุ รี ์ ทุมทอง
ในเทวทหสตู ร พระผมู้ พี ระภาคไดท้ รงแสดงถงึ มารท่ีอยู่ใกล้ชิดและติดตามคอยหาช่องเข้ามา
พระเสขะ ซ่ึงเป็นบุคคลท่ีควรทำความไม่ ทำรา้ ยอยตู่ ลอดคอื กเิ ลสมาร กเิ ลสมารน้ีไดแ้ ก่
ประมาทในการเหน็ การไดย้ นิ การไดก้ ลนิ่ การ กเิ ลสประเภทตา่ งๆ เชน่ ความตอ้ งการอยากได้
รรู้ ส การกระทบสมั ผสั ทางกาย และการรบั รู้ มาเป็นของตน ความยึดติดในส่ิงใดสิ่งหน่ึง
ธรรมารมณ์ทางใจ ท้ังน้ีเพราะว่า การรับรู้ ความไม่พอใจ ความไม่ชอบใจ ความเย่อหย่ิง
อารมณท์ างทวารทง้ั ๖ นน้ั กต็ อ้ งมดี บี า้ ง ไมด่ ี ถือตัว เป็นต้น กิเลสเหล่านี้จะคอยหาโอกาส
บ้าง น่าชอบใจบ้าง ไม่น่าชอบใจบ้างเป็นเรื่อง เขา้ มาเมอ่ื มกี ารรบั รอู้ ารมณท์ างตา ทางหู ทาง
ปกติ หากไมป่ ระมาท มสี ตริ เู้ ทา่ ทนั ไมห่ ลง จมกู ทางลนิ้ ทางกาย ทางใจ หากบคุ คลไมม่ ี
ยนิ ดยี นิ รา้ ย กจ็ ะสามารถมจี ติ ตง้ั มน่ั กระทำ สติคอยกำกับ ไม่ระวังรักษาจิตใจให้ทันการณ์
ความเพียร จนถึงความสิ้นทุกข์เป็นพระ เม่ือมีการเห็น การได้ยินเป็นต้น กิเลสก็
อรหันต์ ได้ในท่ีสุด ส่วนพระอรหันต์นั้น ท่าน สามารถเข้าในจิตใจและทำร้ายบุคคลน้ัน ข้ัน
ทำความไมป่ ระมาทมาจนสำเรจ็ แลว้ จงึ ไมต่ อ้ ง แรก ทำใหจ้ ติ ใจเปน็ อกศุ ล มคี วามเศรา้ หมอง
ขวนขวายกระทำอกี ตอ่ ไป๙๕
ไม่สบาย ไม่สงบ ขั้นต่อมา ก็ทำให้ต้อง
๕) ทำให้มารไม่ ได้ช่องมาทำร้าย
ขวนขวายกระทำบางอย่างออกมาทางกาย
วาจา ตามกำลงั ของกิเลสประเภทนั้น ซง่ึ หาก
มาร ไดแ้ ก่ ผทู้ ฆ่ี า่ คณุ งามความดี ประกอบไป ร้ายแรงก็ถึงข้ันผิดศีลธรรม แม้กระท่ังฆ่าบิดา
ด้วย (๑) ขันธมาร มารกล่าวคือขันธ์ ๕ (๒) มารดาตนเอง เป็นเหตุให้ ได้รับโทษในชาติ
กเิ ลสมาร มารกลา่ วคอื กเิ ลส (๓) เทวปตุ ตมาร ปัจจุบัน และเป็นเหตุให้ไปเกิดในอบายภูมิใน
มารกล่าวคือเทวดา (๔) อภิสังขารมาร มาร ชาตติ อ่ ๆ ไป เมอื่ กรรมนน้ั สง่ ผล
กล่าวคืออภิสังขารท่ีปรุงแต่งหลอกจิต (๕)
มจั จมุ าร มารกลา่ วคอื ความตาย
94
การพัฒนาอินทรยี สังวร
สุภีร์ ทุมทอง
จะเหน็ ไดว้ า่ กเิ ลสนน้ั มีโทษอยา่ งมาก ทำใหผ้ ู้ เสียง กล่ิน รส สัมผัสทางกาย ท่ีน่ารัก น่า
ทถ่ี กู กเิ ลสครอบงำ มจี ติ หลงงมงาย ไมร่ จู้ กั ผดิ พอใจ เพราะหากสง่ จติ ออกไปสนใจในอารมณ์
ชอบชั่วดี ไม่มีหิริโอตตัปปะ สามารถทำความ เหล่าน้ัน ก็จะเป็นเหตุให้เกิดกิเลสไหลเข้ามาสู่
ผิดร้ายแรงได้ ทั้งที่ตามธรรมดาปกติอาจจะดู จิตใจ และสามารถกระทำอันตรายประการ
เป็นคนดี แต่เมื่อกิเลสมีความโลภ ความโกรธ ต่างๆ ได้เป็นอย่างมาก ดังเร่ือง นกมูลไถถูก
เป็นต้นครอบงำ ก็สามารถกระทำอย่างคนส้ิน เหย่ียวจับได้เพราะไปเที่ยวหากินในสถานที่ซึ่ง
สติได้ ดงั นนั้ จงึ ควรสำรวมระวงั ดว้ ยการมสี ติ ไม่ ใช่ถิ่นของบิดาตน แต่เมื่อภายหลัง เท่ียว
อยเู่ สมอ เมอ่ื มกี ารรบั รอู้ ารมณท์ างทวารตา่ งๆ หากินในถิ่นของบิดาตน กล่าวคือก้อนขี้ไถ ก็
ไม่ปล่อยให้กิเลสมีโอกาสไหลเข้าไปภายในได้ สามารถหลบเหย่ียวที่จะบินมาโฉบ หลบลงไป
เมอ่ื กระทำไปจนชำนาญ มสี ตปิ ญั ญาแกก่ ลา้ ก็ ใตก้ อ้ นขี้ไถ รกั ษาตนใหป้ ลอดภยั ได้ เรอื่ งนพี้ งึ รู้
จะสามารถทำลายชอ่ งทางการเกดิ กเิ ลสได้โดย โดยอุปไมยว่า สถานท่ีซ่ึงไม่ใช่ถิ่นของบิดาตน
สน้ิ เชงิ พระผมู้ พี ระภาคทรงอปุ มาเชน่ กบั เตา่ ท่ี ของภิกษุท้ังหลาย คือ รูป เสียง กล่ิน รส
ออกหากนิ เมอื่ เจอสนุ ขั จง้ิ จอกก็ไมย่ อมโผลห่ วั สัมผัสทางกาย ท่ีน่าใคร่ น่าพอใจ หากภิกษุ
และเท้าออกจากกระดองของตน ทำให้สุนัข
เท่ียวส่งจิตให้ซัดส่ายไปตามอารมณ์เหล่านั้น
จิ้งจอกไม่มีโอกาสในการทำร้ายได้ ในท่ีสุดก็ มารก็จะได้ช่อง ส่วนสถานท่ีซ่ึงเป็นถ่ินของ
เดนิ หนีไป๙๖
บดิ าตนของภกิ ษทุ งั้ หลาย คอื สตปิ ฏั ฐาน ๔
หากภกิ ษมุ จี ติ อยกู่ บั กมั มฏั ฐานเหลา่ น้ี มารกจ็ ะ
ในพระบาลีที่ทรงแสดงเก่ียวกับการฝึกฝนสติ ไม่ได้ช่อง ดังท่ีพระผู้มีพระภาคตรัสเตือนภิกษุ
พระผู้มีพระภาคทรงแนะนำให้ภิกษุทั้งหลาย ทงั้ หลายไวว้ า่
ระลกึ รอู้ ยแู่ ต่ในกาย เวทนา จติ ธรรม อนั
เป็นอารมณ์ของพระพุทธเจ้าและท่านผู้รู้ท้ัง
หลาย อย่าได้ส่งจิตให้ซัดส่ายออกไปตามรูป
95
การพัฒนาอนิ ทรียสงั วร
สภุ รี ์ ทมุ ทอง
ภิกษุท้งั หลาย เพราะเหตุนั้น เธอทั้งหลายอยา่ เที่ยวไปในแดนอน่ื ทเี่ ป็นอโคจร เมอื่ เธอทั้งหลาย
เท่ียวไปในแดนอื่นท่ีเป็นอโคจร มารก็จักได้ช่อง ได้อารมณ์ แดนอื่นที่เป็นอโคจรของภิกษุ เป็น
อยา่ งไร คอื กามคณุ ๕ ประการ... ภกิ ษทุ งั้ หลาย เธอทง้ั หลายจงเทย่ี วไปในแดนทเ่ี ปน็ ของ
บดิ าของตนอนั เปน็ โคจรเถดิ เมอื่ เธอทงั้ หลายเทย่ี วไปในแดนทเี่ ปน็ ของบดิ าของตนอนั เปน็ โคจร
มารกจ็ กั ไม่ไดช้ อ่ ง ไม่ไดอ้ ารมณ์ แดนทเี่ ปน็ ของบดิ าของตนอนั เปน็ โคจรของภกิ ษุ เปน็ อยา่ งไร คอื
สตปิ ฏั ฐาน ๔ ประการ๙๗
มารยอ่ มครอบงำบคุ คลผพู้ จิ ารณาเหน็ ความงาม
ไมส่ ำรวมอนิ ทรยี ์ ไมร่ จู้ กั ประมาณในการบริโภค
เกยี จครา้ น มคี วามเพยี รยอ่ หยอ่ น
เหมอื นพายพุ ดั ตน้ ไมท้ ่ีไมม่ น่ั คงใหห้ กั โคน่ ลงได้ ฉะนน้ั
มารยอ่ มไมค่ รอบงำบคุ คลผู้ไมพ่ จิ ารณาเหน็ ความงาม
สำรวมอนิ ทรยี ด์ แี ลว้ รจู้ กั ประมาณในการบริโภค
มศี รทั ธาและปรารภความเพยี ร
เหมอื นพายพุ ดั โคน่ ภเู ขาศลิ าไม่ได้ ฉะนน้ั ๙๘
96
การพฒั นาอินทรียสงั วร
สุภรี ์ ทุมทอง
๖) ทำให้ ไม่เส่อื มจากกุศลธรรมท้งั หลาย
การเกิดเป็นมนุษย์น้ันได้ยากแสนยาก๙๙ มี ปุถุชนน้ันมีลักษณะท่ีด้ินรน กวัดแกว่ง ไหลไป
พระพุทธพจน์แสดงความยากของการเกิดเป็น ติดข้องในกามคุณอยู่เสมอ แม้จะต้องการแต่
มนษุ ย์ไวด้ ว้ ยอปุ มาตา่ งๆ มากมาย เชน่ อปุ มา ความเจริญ ก็ไม่อาจได้ดังปรารถนา เพราะ
เรอ่ื งเตา่ ตาบอดซงึ่ อาศยั อยู่ในทะเลทก่ี วา้ งใหญ่ การดำรงชีวิตอยู่ในโลกมีรูป เสียง กล่ิน รส
รอ้ ยปจี งึ จะโผลห่ วั ขนึ้ มาครง้ั หนง่ึ การทเ่ี ตา่ นน้ั สมั ผสั ทางกาย ธรรมารมณ์ ทนี่ า่ รกั นา่ พอใจ
จะสอดคอเขา้ มาในแอกทบี่ รุ ษุ โยนลงไปในทะเล มากมาย ดังน้ัน การฝึกจิตให้มีสติ มีความ
นน้ั เปน็ การยาก การเกดิ เปน็ มนษุ ยย์ ากกวา่ นน้ั สำรวมระวงั ไมห่ ลงกำหนดั เพลดิ เพลนิ ตดิ
รวมทั้งการเกิดขึ้นของพระพุทธเจ้า การได้ฟัง ขอ้ งในอารมณท์ ง้ั หลาย จงึ เปน็ สง่ิ ทจี่ ะทำให้
พระสทั ธรรมกเ็ ปน็ การยาก โอกาสความเปน็ ไป ผนู้ น้ั ไมเ่ สอ่ื มไปจากกศุ ลธรรมทง้ั หลาย ดงั ที่
ไดท้ จ่ี ะไดข้ ณะทสี่ มบรู ณพ์ รอ้ มทกุ อยา่ ง ไดเ้ ปน็ พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ในสังวรสูตรว่า “รูปที่
มนุษย์ ได้เกิดในประเทศที่สมควร เป็นเร่ืองท่ี พงึ รแู้ จง้ ทางตาทน่ี า่ ปรารถนา นา่ ใคร่ นา่ พอใจ
เปน็ ไปไดย้ าก
ชวนใหร้ กั ชกั ให้ใคร่ พาใจใหก้ ำหนดั มอี ยู่ ถา้
ภกิ ษไุ มเ่ พลดิ เพลนิ ไมเ่ ชยชม ไมย่ ดึ ตดิ รปู นนั้ อยู่
เมอื่ การได้โอกาสเปน็ มนษุ ยพ์ บพระพทุ ธศาสนา ขอ้ นภี้ กิ ษพุ งึ ทราบวา่ เราไมเ่ สอื่ มจากกศุ ลธรรม
เปน็ เรอื่ งยากดงั ท่ีไดก้ ลา่ วมาแลว้ ผทู้ เ่ี ปน็ พทุ ธ ทงั้ หลาย นพี้ ระผมู้ พี ระภาคตรสั วา่ เปน็ ความไม่
บริษัทควรจะได้เป็นผู้ที่ ไม่เส่ือมจากความดี เสอ่ื ม”๑๐๐
งามทง้ั หลาย มแี ตค่ วามเจรญิ ยง่ิ ๆ ขน้ึ ฝา่ ย
เดยี ว ซง่ึ การทจ่ี ะทำใหจ้ ติ ใจไมห่ ลงใหลไปตาม
อารมณ์ สำหรบั ปถุ ชุ นผทู้ ยี่ งั ไม่ไดร้ บั การฝกึ ฝน
ย่อมเป็นเรื่องท่ีเป็นไปไม่ได้เลย เพราะจิตของ
97
การพฒั นาอินทรียสังวร
สภุ รี ์ ทุมทอง
๗) ทำให้มสี ุขมากในปจั จบุ นั
การปฏิบัติในทางพระพุทธศาสนานั้น ผู้ปฏิบัติ เมอื่ มกี ารปลอ่ ยวางส่งิ ต่างๆ ไปตามลำดบั ของ
จะพบความสงบสุขย่ิงๆ ข้ึนไปตามลำดับขั้น ความรคู้ วามเขา้ ใจทเ่ี กดิ ขนึ้ จากการปฏบิ ตั ิ ทกุ ข์
ของการปฏิบัติ เพราะเป็นการปฏิบัติเพื่อ ที่เคยเกิดเพราะไปแบกส่ิงนั้นสิ่งนี้เอาไว้ ก็จะ
รู้จักทุกข์ตามความเป็นจริง ไม่ ใช่การไป
หมดไปตามลำดบั ความสขุ ความสงบ ความ
หนีทุกข์ ทุกข์เป็นส่ิงท่ีต้องทำความเข้าใจให้ เบาสบาย กจ็ ะปรากฏขนึ้ ในจติ ใจของผนู้ นั้ ดงั
ถูกต้องตามความเป็นจริงว่า เป็นส่ิงที่ไม่เท่ียง นั้น ผู้ปฏิบัติจึงพบกับความสุขอันปราศจาก
เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น
อามิสมากขึ้นไปตามลำดับ เป็นความสุขท่ีไม่
ส่ิงท่ีต้องละคือสมุทัยอันเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ตอ้ งแสวงหาจากที่ไหนเลย เพราะมอี ยภู่ ายใน
คือความยึดมั่นถือมั่น อยากจะให้เป็นอย่างที่ จติ ใจ แตเ่ ดมิ ไมเ่ คยไดพ้ บ เพราะไปแบกภาระ
ตนต้องการ เม่ือจิตใจยอมรับความจริงว่า
ไวอ้ ยา่ งหนกั หนว่ ง ในลำดบั การปฏบิ ตั ธิ รรมขนั้
ทุกส่ิงเป็นไปตามกระบวนการทางธรรมชาติ สงู ขนึ้ ไปเรอื่ ยๆ กม็ าจากการปฏบิ ตั ทิ เี่ ปน็ ฐานมา
ไม่มีใครมีอำนาจถอื ครองสิ่งใดได้ ธรรมชาติมี จากจุดเร่ิมต้นน่ันเอง เม่ือมีการเริ่มต้นปฏิบัต
ิ
ความถกู ตอ้ ง เปน็ เชน่ นน้ั เอง สงิ่ ทผี่ ดิ พลาด ตั้งแต่อินทรียสังวรเป็นต้น ก็จะได้พบความสุข
คือการที่เราเข้าไปยึดมั่นถือมั่นในส่ิงที่
เป็นผลและยังเป็นเหตุแห่งการส้ินอาสวะท้ัง
ไม่เท่ียงว่าเท่ียง สิ่งท่ีเป็นทุกข์ว่าเป็นสุข
หลายดว้ ย๑๐๑
ส่ิงที่เป็นอนัตตาว่าเป็นอัตตา จิตใจก็ปล่อย
วางภาระหนกั ที่เคยแบกมาลงเสียได
้
98
การพฒั นาอินทรยี สงั วร
สุภีร์ ทมุ ทอง
๘) เป็นการรักตัวเองอยา่ งถูกตอ้ ง
มนุษย์ทั้งหลายล้วนรักตัวเองมากท่ีสุด มนษุ ยร์ กั ตนเอง อยากใหต้ นเองมคี วามสขุ แตก่ ็
อยากใหต้ วั เองมคี วามสขุ ความสบาย ไมอ่ ยาก ต้องประสบกับความเครียดอย่างมากมาย
ให้ต้องทนทุกข์ทรมาน หรือประสบกับความ ทำใหต้ อ้ งหาทางออกผอ่ นคลายความเครยี ดกนั
เดอื ดรอ้ นอยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ ดงั นนั้ แตล่ ะคนจงึ ไปตา่ งๆ นานา บา้ งกด็ หู นงั ฟงั เพลง เลม่ เกม
พยายามขวนขวายในการที่จะทำให้ตนเองมี หรอื ไปทอ่ งเทย่ี วตามสถานบนั เทงิ ตา่ งๆ ทำให้
ความสขุ ปลอดภยั แสวงหาหลกั ประกนั ในชวี ติ ลืมความเครียดได้บ้าง หรือบางกลุ่มหา
เพ่ือวา่ จะได้ไมต่ ้องลำบาก หรอื ลดโอกาสทจ่ี ะ ทางออกอย่างผิดพลาดร้ายแรง ด้วยการด่ืม
ต้องเสี่ยงให้มากท่ีสุด ส่วนมากเช่ือม่ันกันว่า สุรา เสพส่ิงเสพติด เที่ยวกลางคืน เป็นต้น
ได้แก่ การมีเงินทองเก็บไว้ ในธนาคารอย่าง บางคร้ังอาจจะเป็นเหตุให้กระทำความผิด
เพียงพอ มีที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์อ่ืนๆ
รา้ ยแรง จนผดิ กฎหมายบา้ นเมอื ง แทนทจ่ี ะแก้
เป็นหลักฐานอันม่ันคง ผู้คนส่วนมากจึงพากัน ปัญหาได้ กลับกลายเป็นทับถมปัญหาให้หนัก
แสวงหาเงินทอง นำเงินที่ ได้น้ันมาซื้อบ้าน ยงิ่ ขน้ึ ไปกวา่ เดมิ
รถยนต์ โทรทัศน์ วิทยุ โทรศัพท์มือถือ และ
วสั ดอุ ปุ กรณอ์ ำนวยความสะดวกอยา่ งมากมาย
ด้วยคิดว่า ส่ิงเหล่าน้ันจะทำให้ชีวิตประสบกับ
ความสขุ แตด่ เู หมอื นวา่ ยง่ิ วง่ิ ตามลา่ หาความ
สุข ความสุขก็วิ่งหนีห่างออกไปทุกที แม้จะมี
วตั ถมุ าก แตค่ วามสขุ ไม่ไดเ้ พม่ิ ตามปรมิ าณของ
วัตถุเลย ส่วนความลำบากและความเครียด
จากการที่ต้องขวนขวาย แข่งขัน แย่งชิงกัน
ในการหาเงนิ ทองมอี ยเู่ ปน็ ประจำ
99
การพฒั นาอินทรยี สงั วร
สภุ ีร์ ทมุ ทอง
การรักษาตนเองท่ีถูกต้องตามหลักการแห่ง ดังน้ัน ผู้ท่ีรักตนเองอย่างแท้จริง คือ ผู้ที่
พระพุทธศาสนา และหลักความเป็นจริงก็คือ ประพฤตสิ จุ รติ มคี วามสำรวมอนิ ทรยี ์ สำรวม
การมีชีวิตอยู่อย่างเรียบง่าย สันโดษ มี ในการกระทำทางกาย วาจา ใจ เพราะจะ
ความสำรวมระวงั ในการกระทำสงิ่ ตา่ งๆ สง่ิ ทำใหบ้ คุ คลนน้ั มชี วี ติ อยอู่ ยา่ งสขุ สงบในชาตนิ ี้
ใดทจ่ี ะนำทกุ ข์โทษภยั มาใหแ้ กต่ นเองทงั้ ชาติ และเปน็ เหตใุ ห้ไปเกดิ ในสคุ ตภิ มู ิ ไดป้ ระสบกบั
นแ้ี ละชาตหิ นา้ กล็ ะเวน้ เสยี ดว้ ยการมชี วี ติ อยู่ ความสุข หากเข้าใจการประพฤติปฏิบัติธรรม
เชน่ นี้ ก็ไมต่ อ้ งแสวงหาวตั ถมุ ามากจนเกนิ ไป ใช้ ขน้ั สงู ขน้ึ ไป สจุ รติ และความสำรวมเหลา่ นกี้ เ็ ปน็
เท่าที่จำเป็น ไม่ต้องเดือดร้อนในการแสวงหา รากฐานของการปฏิบัติ สามารถท่ีจะนำให้ถึง
และการสำรวมระวังในดา้ นความประพฤติทาง ความสน้ิ ทกุ ข์ได้ การรกั ตนเองจงึ เปน็ การรกั ษา
กาย วาจา ใจ กเ็ ปน็ การทำใหต้ นเองมคี วามสขุ จากภายใน รกั ษาทจี่ ติ ใจใหม้ คี วามสำรวมระวงั
ไมต่ อ้ งคอยหวาดระแวงภยั ตา่ งๆ หลงั จากตาย อยเู่ สมอ ดงั คาถาทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ตรสั ไวว้ า่
แลว้ ก็ไปเกดิ ในสคุ ติโลกสวรรค
์
คนทก่ี ลา่ ววา่ รกั ตนเอง แตก่ ระทำทจุ รติ ประการ
ต่างๆ เช่น ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิด
ในกาม พดู เทจ็ ดมื่ สรุ าเมรยั หรอื กระทำทจุ รติ
ประการอน่ื แม้ไมถ่ งึ กบั ลว่ งละเมดิ ศลี ๕ ดว้ ย
คิดว่าจะทำให้ตนเองมีความสุข แต่คนท่ีกล่าว
เชน่ นัน้ ไม่ได้รักตนเองจริง เพราะการกระทำ
ทจุ รติ มแี ตจ่ ะนำผลรา้ ยมาให้ เขากระทำตวั เอง
ราวกับเป็นศัตรูกัน ในชาตินี้ก็ต้องได้รับทุกข์
โทษภัย และชาติหน้าก็ต้องไปเกิดในอบายภูมิ
ตอ้ งประสบกบั ความทกุ ขอ์ ยา่ งมหนั ต์
100
การพฒั นาอนิ ทรียสงั วร
สุภีร์ ทุมทอง