The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

การพัฒนาอินทรียสังวร โดย อ.สุภีร์ ทุมทอง

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by MA DEE CHANNEL, 2020-04-14 10:14:19

การพัฒนาอินทรียสังวร โดย อ.สุภีร์ ทุมทอง

การพัฒนาอินทรียสังวร โดย อ.สุภีร์ ทุมทอง

๓.๑ กระบวนการทำงานของอินทรียสังวร


หลังจากท่ีได้ทราบความหมาย และความสำคัญของอินทรียสังวรแล้วจากบทท่ี ๒ ในบทน้ี ผู้
วิจัยจะทำการศึกษาวิธีปฏบิ ัติอนิ ทรียสงั วร การฝกึ ฝนเพ่ือใหม้ อี ินทรียสงั วรเกิดขนึ้ ดว้ ยเทคนคิ วธิ ี
การต่างๆ เพื่อจะสามารถนำส่ิงท่ีฝึกเอาไว้แล้วไปใช้ให้เกิดประโยชน์ ใช้อินทรีย์ท้ัง ๖ คือ ตา
หู จมกู ลิน้ กาย และใจ ให้เกดิ การศึกษาเรียนรู้ ไดม้ ปี ญั ญา รเู้ ทา่ ทันสิง่ ท้งั ปวงเพมิ่ ขน้ึ


๓.๑.๑ กระบวนการรับรูอ้ ารมณ์ทางทวาร ๖


เนื่องจากอินทรียสังวรเกี่ยวข้องกับการรับรู้อารมณ์ ในทางทวารทั้ง ๖ ก่อนท่ีจะกล่าววิธีการ
ปฏิบัติ จะได้กล่าวถึงกระบวนรับรู้อารมณ์ เพ่ือให้ทราบว่า กระบวนการรับรู้เป็นอย่างไร มี
อุปกรณ์ ในการรับรู้อะไรบ้าง ส่ิงท่ีถูกรับรู้อะไรบ้าง และทำให้เกิดการรับรู้ได้อย่างไรบ้าง ช่วง
ไหนของกระบวนการรบั รทู้ เ่ี กิดการสังวรได้ เม่ือรเู้ ช่นนี้แลว้ จะสามารถทำเหตปุ ัจจยั ท่จี ะชว่ ยใน
การฝึกฝนไดถ้ กู ต้องขึน้ เพราะทกุ สงิ่ ลว้ นไม่มีตวั ตน ไม่อาจบังคับใหเ้ ป็นไปตามใจปรารถนา
ได้ ล้วนเป็นไปตามเหตุปัจจัย เม่ือรู้จักความจริงของส่ิงน้ัน ก็สามารถทำเหตุปัจจัยให้
สอดคลอ้ งและเหมาะสมได้


151

การพฒั นาอินทรียสังวร
สุภรี ์ ทมุ ทอง

๑) อุปกรณ์ในการรบั ร
ู้


อุปกรณ์ ในการรับรู้เป็นส่ิงท่ีอยู่ภายใน ซึ่งเป็น (๓) ฆานินทรีย์ เป็นฆานปสาทรูปท่ีซึมซาบ

เคร่ืองมือต่อเช่ือมให้รู้จักกับโลกภายนอก อยู่บริเวณโพรงจมูก มีลักษณะที่สามารถ

เรียกว่าอายตนะภายใน ๖ มีจักขายตนะ
กระทบกบั คนั ธารมณค์ อื กลนิ่ ทสี่ ามารถรู้ไดท้ าง

เป็นต้น หรืออินทรีย์ ๖ มีจักขุนทรีย์เป็นต้น จมกู แลว้ เกดิ การรบั รขู้ นึ้ มา เปน็ การดมกลนิ่


อุปกรณ์ ในการรับรู้มีอยู่ในร่างกายน่ันเอง มี
สถานท่ีอยู่และลักษณะแตกต่างกันออกไป (๔) ชิวหินทรีย์ เป็นชิวหาปสาทรูปที่ซึมซาบ
ดังนี้
อยู่บริเวณปลายลิ้น มีลักษณะที่สามารถ

กระทบกับรสารมณ์คือรสที่สามารถรู้ ได้ทาง

(๑) จกั ขุนทรยี ์ เป็นจักขุปสาทรปู ท่ีซมึ ซาบอยู่ ล้นิ แลว้ เกดิ การรบั รูข้ ้นึ มา เป็นการลิ้มรส


บริเวณตาดำ มีลักษณะที่สามารถกระทบกับ
รูปารมณ์คือส่ิงที่สามารถรู้ ได้ทางตา แล้ว (๕) กายินทรีย์ เปน็ กายปสาทรูปท่ซี ึมซาบอยู่
ท่ัวร่างกาย มีลักษณะท่ีสามารถกระทบกับ
เกดิ การรบั รู้ขึน้ มา เป็นการมองเหน็ รปู

โผฏฐัพพารมณ์ คือ ความเย็น-ร้อน อ่อน-แข็ง

(๒) โสตินทรีย์ เปน็ โสตปสาทรปู ทซ่ี มึ ซาบอยู่ ตงึ -ไหว ทส่ี ามารถถกู ตอ้ งได้ทางกาย แลว้ เกิด

บริเวณช่องหู มีลักษณะท่ีสามารถกระทบกับ การรบั รขู้ ้ึนมา เปน็ การถูกต้องสัมผสั ๑


สัททารมณ์คือเสียงท่ีสามารถรู้ได้ทางหู แล้ว (๖) มนินทรีย์ เป็นจิตที่ทำหน้าท่ีในการรับรู้

เกิดการรับรู้ข้นึ มา เป็นการไดย้ ินเสียง
อารมณ์ ในทางทวารทั้ง ๖ ถึงจะมีอุปกรณ์ ใน


การรับรู้และสิ่งท่ีถูกรู้ แต่หากไม่มีจิตที่ทำ

หน้าท่ี ในการรับรู้ ก็จะไม่มีการรู้อารมณ์เกิด

ขนึ้


152

การพฒั นาอนิ ทรยี สังวร
สภุ ีร์ ทุมทอง


) ส่ิงทถี่ ูกรบั รู้




ส่ิงท่ีถูกรับรู้เรียกอีกอย่างหน่ึงว่าอารมณ์ อัน (๔) รสารมณ์ รสตา่ งๆ ทสี่ ามารถล้มิ ไดท้ าง

เป็นส่ิงท่ียึดเหน่ียวของจิต เพราะจิตน้ันเป็น ลิ้น รสนี้ไม่ใชร่ สเนื้อปลา รสเน้อื หมู รสผลไม้

ธรรมชาติท่ีรับรู้อารมณ์ หากไม่มีอารมณ์จิตก็ ฯลฯ เป็นเพยี งสกั แต่วา่ รสเท่านั้น


เกิดขึ้นไม่ได้ อารมณแ์ ยกเปน็ ๖ กลุ่มตามการ (๕) โผฏฐัพพารมณ์ ส่ิงสัมผัสต่างๆ ท่ี

ปรากฏทางทวารทัง้ ๖ คอื
สามารถกระทบได้ทางกาย สิ่งสัมผสั น้ีไมแ่ ขน

(๑) รูปารมณ์ สีต่างๆ ท่ีสามารถมองเห็นได้ ไม่ใช่ขา ไม่ใช่ทอ่ นไม้ ฯลฯ เปน็ เพยี งสักแตว่ ่า

ทางตา สีน้ีไม่ใช่คน สัตว์ หญิง ชาย ฯลฯ สง่ิ สัมผสั กายเท่าน้ัน


เปน็ เพียงสีตดั กันเทา่ นน้ั
(๖) ธมั มารมณ์ สง่ิ ทร่ี บั รู้ไดท้ างใจ เปน็ อารมณ์

(๒) สทั ทารมณ์ เสยี งตา่ งๆ ที่สามารถไดย้ ิน อนื่ ๆ ทง้ั หมดทร่ี บั รู้ไดท้ างใจ ไดแ้ ก่ (๑) ปสาท

ทางหู เสียงนี้ ไม่ ใช่เสียงผู้หญิง เสียงผู้ชาย รูป ๕ อย่าง (๒) สุขุมรูป รูปละเอียด ๑๖

เสียงนก เสียงแมว ฯลฯ เป็นเพียงคล่ืนสูงๆ อย่าง (๓) เจตสิก สภาวธรรมที่เกิดประกอบ

ต่ำๆ เท่าน้ัน
กบั จติ มจี ำนวน ๕๒ ประเภท (๔) จติ มจี ำนวน

๘๙ ประเภท (๕) พระนพิ พาน (๖) บญั ญตั ิ สง่ิ
(๓) คันธารมณ์ กลิ่นต่างๆ ท่ีสามารถดมได้ ที่สมมติข้ึน ถ้อยคำ สัญลักษณ์ ฯลฯ ท่ี ใช้
ทางจมูก กลิ่นนี้ ไม่ ใช่กลิ่นขนุน กล่ินทุเรียน สำหรบั สอ่ื สารกัน

กล่ินดอกไม้ ฯลฯ เป็นเพียงสักแต่ว่ากล่ิน

เทา่ นั้น





153

การพัฒนาอนิ ทรียสงั วร
สุภีร์ ทมุ ทอง

๓) การรบั ร
ู้


กระบวนการรบั รู้อารมณน์ ้ัน นอกจากจะตอ้ งมี (๒) วิถีจิต จิตที่ขึ้นสู่วิถีของการรับรู้ โลก


อุปกรณ์สำหรับเป็นทวารในการรับรู้ คือ ตา ภายนอก จิตประเภทนี้มีการรับรู้อารมณ์ทาง

หู จมกู ล้ิน กาย ใจ อารมณ์ คือ รปู เสียง ทวารทง้ั ๖ มีความรู้สึกนดิ คดิ ตา่ งๆ ต่อสิ่งเร้า

กลิ่น รส สมั ผสั ทางกาย ธรรมารมณ ์ สิ่ง จากภายนอกที่มากระทบ เมื่อแยกละเอียดลง

สำคัญท่ีก่อให้เกิดการรับรู้ขึ้นก็คือจิต ซ่ึง ไป ได้แก่ จิตท่ีทำหน้าที่เห็น ทำหน้าท่ีได้ยิน

จิตตามที่แสดงไว้ตามคมั ภรี ์สายอภธิ รรม ท่าน ทำหน้าท่ีรู้กล่ิน ทำหน้าที่รู้รส ทำหน้าที่รับรู้

แยกออกเป็น ๒ กลุม่ คือ
สัมผสั ทางกาย ทำหน้าทร่ี ู้อารมณ์ทางใจ


(๑) ภวังคจิต จิตที่เป็นรากฐานของชีวิต จิต กระบวนการทำงานของจิตท่ีเก่ียวข้องกับ
ประเภทน้ีไม่มีการรับรู้อารมณ์ทางทวารท้ัง ๖ การปฏิบัติอินทรียสังวร คือ กระบวนการ
เป็นส่ิงท่ีทำให้ชีวิตยังดำรงอยู่ได้ และดำเนิน ทำงานของวิถีจิต ซึ่งเป็นจิตท่ีคุ้นเคยกันอยู่
ต่อไปเร่อื ยๆ อย่างไม่ขาดสาย ตราบใดที่ยังมี ในชีวิตประจำวัน เพราะถึงแม้ว่าจิตจะเป็น
กเิ ลส มีการทำกรรมอยู่ กจ็ ะตอ้ งมีการดำเนิน นามธรรม ไม่มีรูปร่าง ไม่มีสัณฐาน ไม่
ไปของชีวิตอยู่ตลอดไป ภวังคจิตน้ีเม่ือแยกให้ สามารถมองเห็นได้ แต่ปรากฏการณ์ของจิตก็
ละเอียดลงไป ได้แก่ จิตท่ีทำหน้าท่ีในการจุติ มอี ย่กู บั เราอยา่ งใกลช้ ดิ การเห็น เป็นจติ ท่ีเหน็
(การตาย) ปฏิสนธิ (การเกดิ ใหม่) ภวงั ค์ (การ การได้ยิน เป็นจิตท่ีได้ยิน การคิดนึก เป็นจิต
ดำรงภพชาติความเป็นสัตว์บุคคลนั้นไว้ไม่ ให้ คิดนึก เหล่าน้ีเป็นปรากฏการณ์ของจิตท่ีเรา
ตาย)
คุ้นเคยกันอยูแ่ ล้ว





154

การพัฒนาอนิ ทรยี สังวร
สภุ ีร์ ทมุ ทอง

วถิ ีจิตมี ๖ วิถี คอื





จกั ขุทวารวิถี จิตเกิดขน้ึ รู้อารมณท์ างตา ร้รู ูปารมณ


โสตทวารวิถี จติ เกดิ ขน้ึ รอู้ ารมณ์ทางห ู รสู้ ทั ทารมณ์


ฆานทวารวิถี จติ เกดิ ขึ้นรู้อารมณ์ทางจมกู ร้คู ันธารมณ


ชวิ หาทวารวิถ ี จิตเกิดขึ้นรอู้ ารมณท์ างลิน้ รูร้ สารมณ


กายทวารวถิ ี จติ เกิดขนึ้ รู้อารมณ์ทางกาย รู้โผฏฐัพพารมณ


มโนทวารวิถี จติ เกิดขน้ึ รอู้ ารมณ์ทางใจ รู้อารมณ์ ไดท้ ัง้ หมด


รวมทง้ั อารมณ์ ๕ อยา่ งขา้ งตน้ ดว้ ย


ถ้ากล่าวให้ย่อลงอีก คือ ทางปัญจทวารวิถี มีความรู้สึกต่อสิ่งนั้น ความชอบ ไม่ชอบ

ได้แก่ ตา หู จมูก ล้ิน กาย และทางมโน เป็นต้น ส่วนทางใจ ไม่ต้องอาศัยการกระทบ

ทวารวถิ
ี กับอารมณ์ โดยตรง นึกคิดถึงอารมณ์ท่ีเห็น


ได้ยนิ ได้กล่นิ รรู้ ส ถูกตอ้ งสัมผัส ที่เพิ่งผา่ น

กระบวนการทำงานของวถิ จี ติ เรม่ิ จากอายตนะ ไป รับอารมณ์ต่อมาจากทางปัญจทวารก็ได้

ภายใน คอื ตา หู จมกู ลน้ิ กาย กระทบกบั หรือคิดนึกอารมณ์ที่ ไม่ต้องผ่านมาทางทวาร

อารมณ์ คอื รปู เสยี ง กลน่ิ รส สมั ผสั ตาม ท้ัง ๕ ก็ได้ กระบวนการรับรู้นี้ เขียนให้ดู

ลำดับ แล้วก็เกิดการรับรู้ (วิญญาณ) ขึ้น
ง่ายๆ ดงั น้


ตอ่ จากนน้ั กม็ กี ระบวนการทำงานของจติ ตอ่ ไป

155

การพฒั นาอนิ ทรียสงั วร
สุภีร์ ทุมทอง

ตา กระทบ รปู เกดิ จกั ขวุ ญิ ญาณ การเหน็

ห ู กระทบ เสยี ง เกดิ โสตวญิ ญาณ การไดย้ นิ

จมูก กระทบ กลนิ่ เกิดฆานวญิ ญาณ การรกู้ ลน่ิ

ลิ้น กระทบ รส เกิดชิวหาวญิ ญาณ การรู้รส

กาย กระทบ โผฏฐพั พะ เกิดกายวญิ ญาณ การรู้สมั ผัสทางผิวกาย

ใจ รับรธู้ รรมารมณ์ และอารมณ์ ๕ อย่างข้างต้น เกิดมโนวิญญาณ


ตัวอย่างกระบวนการทำงานของจิต พิจารณา จักขุวิญญาณเกิดข้ึนเพราะอาศัยจักขุและ
ได้จากพระพุทธพจน์ โดยตรง เช่น “เพราะ รูปารมณ์ ความประจวบกันแห่งธรรมท้ัง ๓
อาศัยจักขุและรูป วิญญาณจักขุจึงเกิด ความ เป็นผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาจึง
ประจวบแหง่ ธรรม ๓ เปน็ ผสั สะ เพราะผสั สะ เกิด บุคคลเสวยอารมณ์ ใด ย่อมหมายรู้
เป็นปัจจัย เวทนาจึงเกิด เพราะเวทนาเป็น อารมณน์ น้ั บคุ คลหมายรู้อารมณ์ ใด ยอ่ มตรกึ
ปัจจัย ตัณหาจึงเกิด...”๒ ทางทวารอื่นก็โดย อารมณ์นัน้ บคุ คลตรกึ อารมณ์ ใด ยอ่ มคดิ ปรงุ
ทำนองเดียวกัน น้ีเป็นกระบวนการทำงานของ แต่งอารมณ์น้ัน บุคคลคิดปรุงแต่งอารมณ์ ใด
จิตท่ีก่อให้เกิดตัณหา ความติดข้อง ความ เพราะความคิดปรุงแต่งอารมณ์นั้นเป็นเหตุ
ทะยานอยาก เรม่ิ แรกกเ็ รมิ่ ทกี่ ารกระทบกนั แง่ต่างๆ แห่งปปัญจสัญญาย่อมครอบงำ
ของอายตนะภายในกับอารมณ์ ต่อจากน้ัน บุรุษ ในรูปทั้งหลายท่ีจะพึงรู้แจ้งทางตา
กม็ กี ารปรงุ แตง่ ทสี่ ลบั ซบั ซอ้ นไปตามสญั ญา ท้ังท่ีเป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน โสต
และความนกึ คดิ ปรงุ แตง่ ดงั พระพทุ ธพจนว์ า่ วิญญาณเกิดขึ้นเพราะอาศัยโสตะและ

สัททารมณ์...มโนวิญญาณเกิดขึ้นเพราะอาศัย

มโนและธรรมารมณ์ ...”๓


156

การพฒั นาอินทรยี สังวร
สุภรี ์ ทุมทอง

ในคัมภีร์สายอภิธรรมได้แยกแยะกระบวนการทำงานของวิถีจิต หลังจากท่ีอายตนะภายใน
กระทบกับอารมณ์แล้ว มีจิตเกิดข้ึนทำหน้าท่ีต่อเนื่องกันเป็นขั้นตอนไปตามลำดับ ในทางปัญจ
ทวารวิถี กระบวนการรับรู้รูปหน่งึ ครั้ง จะมีจติ เกิดดับสืบตอ่ กัน ๑๗ ขณะ วิถีจิตตามปกติจะ
เป็นดงั น
ี้

๑. อตตี ภวงั ค์ เริ่มนับเม่ืออายตนะภายในกระทบกบั อารมณ ์

๒. ภวังคจลนะ ภวังคจิตไหว

๓. ภวังคุปจั เฉทะ ตัดกระแสภวงั ค

๔. ปัญจทวาราวัชชนะ จติ นอ้ มเขา้ ไปหาอารมณ์ สนใจอารมณน์ นั้

๕. ปญั จวญิ ญาณ ทำหน้าทเี่ ห็นทางตา ไดย้ นิ ทางหู รกู้ ลน่ิ ทางจมกู รูร้ สทางลน้ิ

รสู้ ัมผสั ถกู ต้องทางกาย อยา่ งใดอย่างหน่งึ

๖. สมั ปฏจิ ฉนะ รบั อารมณ์ต่อมาจากปญั จวญิ ญาณ

๗. สนั ตรี ณะ พิจารณาอารมณ

๘. โวฏฐัพพนะ ตดั สินอารมณ

๙. ชวนะ เกิดกุศลจิตหรอื อกศุ ลจติ ตดิ ต่อกันไป ๗ ขณะ

๑๐. ชวนะ เกดิ กศุ ลจติ หรืออกศุ ลจติ ตดิ ต่อกันไป ๗ ขณะ

๑๑. ชวนะ เกิดกุศลจิตหรอื อกศุ ลจิต ติดตอ่ กนั ไป ๗ ขณะ

๑๒. ชวนะ เกิดกุศลจติ หรอื อกศุ ลจิต ติดต่อกันไป ๗ ขณะ

๑๓. ชวนะ เกดิ กุศลจติ หรอื อกุศลจติ ตดิ ต่อกันไป ๗ ขณะ

๑๔. ชวนะ เกิดกศุ ลจิตหรืออกศุ ลจิต ติดตอ่ กนั ไป ๗ ขณะ

๑๕. ชวนะ เกิดกศุ ลจติ หรืออกศุ ลจิต ติดตอ่ กันไป ๗ ขณะ

๑๖. ตทารัมมณะ รบั ร้อู ารมณ์เดิมอกี ตดิ ต่อกนั ๒ ขณะ

๑๗. ตทารมั มณะ รบั รอู้ ารมณ์เดมิ อกี ติดตอ่ กัน ๒ ขณะ


157

การพัฒนาอินทรยี สงั วร
สุภรี ์ ทุมทอง

ส่วนทางมโนทวารนั้น ไมต่ ้องอาศัยการกระทบระหว่างปสาทรูปกับอารมณภ์ ายนอก เปน็ การ
รับรู้อารมณ์ต่อมาจากปัญจทวาร หรือนึกถึงอารมณ์อ่ืนได้ด้วยจิต จึงมีวิถีจิตเกิดดับสืบต่อกัน
หลงั จากภวังคุปจั เฉทะแล้ว ตามปกตมิ ีลกั ษณะดังนี้


๑. มโนทวาราวัชชนะ จติ นอ้ มเขา้ ไปหาอารมณ์ สนใจอารมณ์นน้ั

๒. ชวนะ เกดิ กุศลจติ หรอื อกุศลจติ ติดตอ่ กนั ไป ๗ ขณะ

๓. ชวนะ เกิดกุศลจติ หรืออกศุ ลจติ ติดตอ่ กันไป ๗ ขณะ

๔. ชวนะ เกิดกุศลจิตหรืออกุศลจิต ตดิ ตอ่ กนั ไป ๗ ขณะ

๕. ชวนะ เกดิ กุศลจิตหรืออกศุ ลจติ ติดตอ่ กันไป ๗ ขณะ

๖. ชวนะ เกดิ กุศลจิตหรืออกศุ ลจิต ตดิ ตอ่ กันไป ๗ ขณะ

๗. ชวนะ เกิดกุศลจติ หรืออกศุ ลจิต ติดตอ่ กันไป ๗ ขณะ

๘. ชวนะ เกิดกศุ ลจิตหรืออกุศลจติ ติดตอ่ กนั ไป ๗ ขณะ

๙. ตทารัมมณะ รับร้อู ารมณ์เดิมอีกติดตอ่ กนั ๒ ขณะ

๑๐. ตทารัมมณะ รับรูอ้ ารมณเ์ ดิมอีกติดต่อกัน ๒ ขณะ๔


โดยธรรมชาตขิ องจิตแลว้ เปน็ สิง่ ประภัสสร คอื สะอาด บรสิ ทุ ธ ิ์ ผอ่ งใส ในแบบของจติ คอื
จิตเป็นธาตุรู้ ท่ีไม่มีอุปกิเลสเกิดขึ้น แม้จิตยังไม่มีคุณธรรมต่างๆ เกิดข้ึน ไม่มีศีล ไม่มีสมาธิ
ไมม่ ีปญั ญา แต่โดยธรรมชาติดัง้ เดิมมีลักษณะทีส่ ะอาด ไมม่ ีความเศรา้ หมองขนุ่ มัวใดๆ ทจี่ ติ นน้ั
เศรา้ หมองขุ่นมวั เพราะถูกอปุ กิเลสทเี่ กดิ ข้นึ ภายหลงั นั้นมาครอบงำจิต จติ ตกอยภู่ ายใต้อำนาจ
ของบาปอกุศลธรรมท้ังหลายที่เกิดขึ้น ทำให้เกิดความมืดมัว ลุ่มหลง หมกมุ่น ไปตามอารมณ์
ต่างๆ จนกระทั่งทำให้เกิดคำพูด การกระทำ ความคิดที่ผิดพลาด ก่อทุกข์ ให้แก่ตัวจิตเอง
และตอ่ รา่ งกายตนเอง จนถงึ ต่อบคุ คลอ่ืน ต่อส่ิงแวดล้อม และตอ่ โลก


158

การพฒั นาอินทรียสงั วร
สุภรี ์ ทุมทอง

ความเศร้าหมอง ขุ่นมัว เป็นทุกข์ท่ีเกิดข้ึนใน ได้ฝึกปฏิบัติจนมีปัญญา ก็จะถอดถอนความ

จิตน้ัน ก็ไม่ได้อยู่นาน เป็นส่ิงที่เกิดข้ึนกับจิต เห็นผิดและความยึดถือในสิ่งต่างๆ ได้ ผู้ที่รู้

เปน็ คราวๆ ตามเหตุปจั จัย เมอื่ หมดเหตุกห็ มด ความจริงอย่างนี้ จึงจะมีการฝึกฝนพัฒนาจิต

ไปด้วย จิตก็ยังสภาพความประภัสสรอยู่ แต่ ได๕้


กากของความทุกข์และปัญหาท่ีสร้างขึ้น ก็ยัง
คงตามมาให้ผลเป็นวิบากต่อไป จึงทำให้จิต เมื่อทราบธรรมชาติด้ังเดิมของจิตเช่นนี้แล้ว
ต้องรับรู้เรื่องนั้นเร่ืองนี้ ที่เป็นผลของการ ก็จะทราบได้ว่าสิ่งต่างๆ ท่ีเกิดข้ึนภายหลัง
กระทำที่เกิดจากกิเลสไปเร่ือยๆ สำหรับผู้ท่ี เช่น ความยินดี ความยินร้าย ความทุกข์
ไม่รกู้ ็ตกอยู่ภายใต้อำนาจของกิเลสที่เกิดขึ้น ความเศรา้ ความอยากได้ ความอจิ ฉารษิ ยา
เปน็ คราวๆ นี้ มีกิเลสแล้วไปทำกรรม แล้ว ความวติ กกงั วล ความหงดุ หงดิ การแยง่ ชงิ กนั
ก็ได้รับผลเป็นวิบากต่อไป เป็นวงกลมของ การเอารัดเอาเปรียบกัน การทุบตีทำร้ายกัน
เป็นต้นเหล่านี้ เป็นส่ิงที่เกิดขึ้นมาในภายหลัง
ความทุกข

ไม่ใชธ่ รรมชาตขิ องจติ เปน็ สงิ่ ทเี่ กดิ ขน้ึ เนอื่ งจาก

ส่วนผู้ที่รู้ความจริงตามที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ จิตไม่ได้รับการคุ้มครอง รักษา หรือป้องกัน


รู้ว่าจิตนั้นเป็นสิ่งหน่ึงที่ ไม่ ใช่ตัวตน และ เอาไว้ เมื่อสิ่งเหล่าน้ีเกิดขึ้น ก็ครอบงำจิต


อุปกิเลสที่เกิดข้ึนภายหลัง ก็เป็นส่ิงหน่ึงที่ ทำให้จิตกลายสภาพ ไม่หลงเหลือลักษณะที่

ไม่ใช่ตัวตนและไม่ใช่จิต รูปร่างกายและสิ่งท่ี สะอาดผุดผ่อง


เป็นอารมณ์ของจิตก็เป็นส่ิงหน่ึงท่ี ไม่ ใช่ตัวตน

และไม่ ใช่จิต จิตก็จะสามารถหลุดพ้นจาก

อปุ กเิ ลส ไมถ่ กู อปุ กิเลสเขา้ มาครอบงำ ไมห่ ลง

ทำตามอุปกิเลส มีสติ ป้องกัน คุ้มครองจิต

เมื่อมีการกระทบอารมณ์ทางทวารท้ัง ๖ เมื่อ

159

การพฒั นาอนิ ทรียสงั วร
สุภรี ์ ทุมทอง

คนเราที่จิตใจปกติธรรมดาอยู่ ย่อมไม่มีความ เอาไว้ ไม่ ได้ ถูกความยินดียินร้ายและกิเลส

คิดท่ีจะไปทำร้ายเบียดเบียนผู้อื่น แต่หากจิต ครอบงำก็กลายเป็นผู้ที่ทำทุจริตได้ และด้วย

ไม่ได้รับความคุ้มครองป้องกันเอาไว้ เม่ือรับรู้ ผลของการทำทุจริตน่ันเอง เขาย่อมได้รับผล

อารมณ์แล้ว ความโกรธ ความไม่พอใจ เป็นความทุกข์ ใจ ไม่สบายใจ เดือดร้อน อยู่

ความเคียดแค้นชิงชังเกิดข้ึนครอบงำจิต ในโลกด้วยความยากลำบาก ต้องหลบหนี

ทำใหจ้ ติ กลายสภาพ จากทผ่ี ดุ ผ่อง กลายเป็น หรือโดนจับในข้อหาต่างๆ เม่ือตายไป หาก

จิตท่ีมีความรุ่มร้อน ทำให้บุคคลนั้นกลาย กรรมนนั้ สง่ ผล ก็ทำให้ไปเกิดในอบายภูมิ


สภาพ จากเป็นคนธรรมดา กลายเป็นดุจ
สัตว์นรกท่ีสามารถทำร้ายเบียดเบียนสัตว์ จิตท่ี ไม่ ได้ฝึก ไม่ ได้คุ้มครอง ไม่ ได้ป้องกัน
อ่ืน หรือทำร้ายเบียดเบียนเพื่อนมนุษย์ รักษาไว้ มีโทษแก่ผู้ท่ีเป็นเจ้าของมากมาย
อย่างนี้ นับว่าเป็นความเสียหายอันใหญ่หลวง
ด้วยกนั เองได้

ที่สุด และในทางตรงกันข้าม หากจิตได้รับ

ใจปกติธรรมดา ยอ่ มไม่มคี วามคดิ ทจ่ี ะไปขโมย การฝึก ได้รับการคุ้มครอง ได้รับการ

ฉ้อฉล หรือคดโกงของผู้อื่น แต่หากจิตไม่ได้ ป้องกันรักษาเอาไว้อย่างดี ด้วยสติ ด้วย

รับความคุ้มครองป้องกันเอาไว้ เม่ือรับรู้ ปัญญา ก็ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์และ

อารมณ์แล้ว ความอยากได้ท่ีเกินขอบเขตเกิด ความสุขแก่ผู้ที่เป็นเจ้าของอย่างมากท่ีสุด

ขึ้นครอบงำจิต จิตก็กลายสภาพจากเดิมที่ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มจากจิตน้ีเอง หาก


ผุดผ่อง กลายเป็นจิตท่ีมีความอยากนำหน้า จุดเร่ิมต้นดงี าม ถูกต้อง ไมผ่ ดิ พลาด มคี วาม

บุคคลน้ันก็กลายสภาพเป็นผู้ที่สามารถขโมย สะอาดผดุ ผอ่ ง สงิ่ ทตี่ ามมากย็ อ่ มเปน็ ประโยชน์

ฉ้อฉล หรือคดโกงผู้อ่ืนได้ ทั้งที่โดยปกติแล้ว ดงั ท่พี ระพทุ ธเจา้ ตรสั ไวว้ ่า


เขาไม่สามารถทำเช่นน้ันได้ แต่เพราะไม่ ได้

คุ้มครองจิตเอาไว้ จึงรักษาความเป็นปกต


160

การพฒั นาอนิ ทรยี สงั วร
สุภรี ์ ทุมทอง

เราไม่เห็นธรรมอื่นแมอ้ ยา่ งหน่งึ ที่ไม่ไดฝ้ กึ ไม่ เมื่อทราบธรรมชาติของจิต ทราบเรื่องการไม่

ได้คุ้มครอง ไม่ ได้รักษา ไม่ ได้สำรวมแล้ว อบรมจิต ทราบเรื่องการอบรมจิต ทราบ

ย่อมเป็นไปเพ่ือมิใช่ประโยชน์มากเหมือนจิตนี้ ความแตกต่างของจิตที่ยังไม่ ได้ฝึก ไม่ ได้

จิตท่ีไม่ได้ฝึก ไม่ได้คุ้มครอง ไม่ได้รักษา ไม่ คมุ้ ครอง ไม่ไดร้ ักษา ไม่ได้สำรวม กบั จติ ที่ได้

ได้สำรวมแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อมิใช่ประโยชน์ ฝึก ได้คุ้มครอง ได้รักษา ได้สำรวมแล้ว กจ็ ะ

มาก
เป็นเคร่ืองกระตุ้นเตือนจิตใจสำหรับผู้ท่ีเป็น

สาวกของพระพุทธเจ้า ให้หันมาเรียนรู้
เราไม่เห็นธรรมอื่นแม้อย่างหน่ึง ท่ีได้ฝึก ได้ ภายในตน เรียนรู้สิ่งท่ีอยู่ใกล้เรามากท่ีสุด
คุม้ ครอง ไดร้ ักษา ไดส้ ำรวมแล้ว ย่อมเป็นไป สิ่งท่ีเห็นผิดและยึดถือว่าเป็นตัวเราเป็น
เพ่ือประโยชน์มากเหมือนจิตน้ี จิตท่ีได้ฝึก ได้ ของเรามากท่ีสุด เพื่อจะได้ฝึกฝน คุ้มครอง
คุ้มครอง ได้รักษา ได้สำรวมแล้วย่อมเป็นไป รักษา และสำรวมอย่างถูกวิธี อันจะเป็นเหตุ
เพ่อื ประโยชนม์ าก๖

ให้เกิดประโยชน์สุขแก่ผู้เป็นเจ้าของ ตามวิธี


การทพ่ี ระพุทธเจ้ารับรองไว้ตอ่ ไป














161

การพฒั นาอนิ ทรียสงั วร
สภุ ีร์ ทมุ ทอง

๓.๑.๒ วิธกี ารปฏบิ ัตอิ ินทรียสงั วร


เม่ือทราบกระบวนการรับรู้อารมณ์แล้ว จะได้ศึกษาถึงวิธีการปฏิบัติและการพัฒนาอินทรียสังวร
ตามท่ีพระพุทธเจ้าทรงสอนเอาไว้ อินทรียสังวรในพระธรรมวินัยน้ีกับในคำสั่งสอนอื่นมีความ
แตกตา่ งกนั การฝกึ ฝนพฒั นาอนิ ทรยี น์ น้ั มตี ง้ั แตร่ ะดบั ปถุ ชุ นทเี่ รมิ่ ฝกึ อนิ ทรยี สงั วรของพระอรยิ เจา้
๓ ลำดับตน้ และอินทรียท์ ี่ไดร้ ับการฝกึ เรียบร้อยแลว้ ของพระอรหนั ต


๓.๑.๒.๑ อนิ ทรียสังวรอันยอดเยีย่ มในอริยวนิ ยั


การปฏิบัติอินทรียสังวรในทางพระพุทธ ในขั้นสูง เมื่อกลายเป็นผู้เจริญอินทรีย์แล้ว

ศาสนาน้นั ไม่ไดห้ มายถงึ การปิดตาไม่ให้เหน็ มีการพัฒนาอินทรีย์ ให้ใช้การได้อย่างสมบูรณ์
การปิดหู ไม่ ให้ ได้ยิน เป็นต้น ในขั้นต้น แล้ว มีความหมายถึงขั้นเป็นนายเหนือความ
หมายถึงการฝึกให้มีสติเพื่อคอยควบคุม รสู้ กึ ตา่ งๆ ทเ่ี กดิ จากการรบั รเู้ หลา่ นน้ั เนอ่ื งจาก
จติ ใจ ควบคุมความร้สู ึก ป้องกนั ไม่ให้บาป เกิดปัญญาเห็นตามความเป็นจริงว่า สิ่งทั้ง
อกุศลธรรมท้ังหลายเกิดข้ึน เมื่อเกิดการรับ หลายเหล่านั้นไม่ ใช่ตัวตนของเรา และหมด
รู้ทางตา หู จมกู ล้ิน กาย ใจ ไม่ใหถ้ กู ชกั จูง ความยึดมั่นถือมั่นไปตามลำดับ จนกระท่ังมี
ไป ในทางท่ีถูกกิเลสครอบงำ ซึ่งหากขาด สติสัมปชัญญะที่สมบูรณ์เป็นพระอรหันต์ผู้อยู่
อินทรียสังวรจะเกิดความยินดีในอารมณ์ที่น่า เหนือโลก ท่านรับรู้อารมณ์เหล่าน้ันไปตาม
พอใจ เกิดความยินร้ายในอารมณ์ท่ี ไม่น่า ปกติเหมือนคนท่ัวไป แต่จิตใจไม่เก่ียวข้อง
พอใจ อกุศลธรรมตา่ งๆ ก็จะแตกตวั ได้มากขึน้ ผกู พัน ไมม่ ีกิเลสเกิดข้ึนอีกเลย

เป็นการพอกพูนความโลภ ความโกรธ ความ
หลง อนั จะนำความทุกขม์ าใหแ้ กต่ นและบคุ คล
อื่น


162

การพัฒนาอนิ ทรยี สังวร
สภุ ีร์ ทมุ ทอง

การปฏบิ ัตเิ พ่ือพัฒนาอินทรีย์ คือ ตา หู จมกู โดยการทำตัวเป็นพวกชีเปลือย กินหญ้าเป็น

ลน้ิ กาย ใจ ทำโดยการมสี ตริ เู้ ทา่ ทนั ปฏกิ ริ ยิ า อาหาร กินมูลโคเป็นอาหาร นุ่งห่มแต่เส้ือผ้า

ของจิตท่ีมีต่ออารมณ์นั้น คือ รู้ถึงความ ห่อศพ ถอนผมและหนวด เดินอย่างเดียวไม่

ชอบใจหรือไม่ชอบใจที่เกิดขึ้นในจิตตามความ ยอมน่ัง เดินกระโหย่ง นอนบนหนาม เปน็ ตน้

เป็นจริง เม่ือรู้เท่าทันปฏิกิริยาในจิตเหล่าน้ัน ซ่ึงพระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า คนเหล่าน้ี

ตามความเป็นจริงแล้ว จิตก็จะเป็นกลาง
เป็นผทู้ ช่ี อบทำตนใหเ้ ดือดร้อน๘


ต่ออารมณ์ อภิชฌาและโทมนัสไม่สามารถ การฝึกฝนพัฒนาอินทรีย์ ไปตามลำดับ เรียก

ครอบงำจิตได ้
ชื่อตามภาษาบาลีว่าอินทรียภาวนา ใน

วิธีการปฏิบัติอินทรียสังวรในทางพระพุทธ พระพุทธศาสนานั้นมีหลายระดับขั้น ดังที่

ศาสนามีความแตกต่างไปจากวิธีการของ พระพุทธเจ้าทรงขยายความไว้ ในอินทริย

ศาสดาอื่นๆ ศาสดาอ่ืนน้ันมีแนวคำสอนเน้นไป ภาวนาสูตร ท่านพระอานันทเถระได้กราบทูล

ในทางด้านกดข่มกิเลส หลีกหนีอารมณ์ ขอให้ทรงแสดงวิธีการพัฒนาอินทรีย์ คือ


ปฏิเสธชาวโลก ซึ่งเป็นการปฏิบัติสุดโต่ง ตา หู จมูก ลิน้ กาย ใจ อนั ยอดเยี่ยมในทาง

ประเภทหนงึ่ ท่เี รยี กว่าอตั ตกลิ มถานโุ ยค เปน็ พระพทุ ธศาสนา พระองค์ ได้ทรงแสดงวา่


การบังคับกายบังคับใจของตนให้เกิดความ

ลำบาก เชน่ ปาราสิรยิ พราหมณ์แสดงวธิ ีการ

เจริญอินทรีย์แก่สาวกท้ังหลายว่า อย่าดูรูป

ทางตา อย่าฟังเสียงทางหู๗ บางกลุ่มยึดถือ

วิธีการที่ปฏิบัติอย่างสุดโต่งเพ่ือกดข่มกิเลส


163

การพัฒนาอนิ ทรียสงั วร
สภุ รี ์ ทมุ ทอง

การเจริญอินทรีย์อันยอดเย่ียมในอริยวินัย ข้อความในพระบาลีนี้ พระผู้มีพระภาคทรง
เป็นอย่างไร คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้เห็นรูป แสดงการพัฒนาอินทรีย์อันยอดเย่ียมในอริย
ทางตาแล้ว จึงเกิดความชอบใจ เกิดความไม่ วินัยในทางจักขุทวาร คือ เห็นรูปทางตาแล้ว
ชอบใจ และเกิดท้ังความชอบใจและความไม่ มีวิธีการพัฒนาอินทรีย์อย่างไร แม้ทาง
ชอบใจ ภิกษุนั้นรู้ชัดอย่างนี้ว่า ‘เราเกิดความ โสตทวาร ฆานทวาร ชิวหาทวาร กายทวาร
ชอบใจ เกิดความไม่ชอบใจ และเกิดท้ังความ และมโนทวาร ก็มีข้อความทำนองเดียวกันน ้ี
ชอบใจและความไม่ชอบใจนี้แล้ว ความชอบใจ เปล่ียนไปแต่คำอุปมาเท่าน้ัน จากพระบาลีน้ี
เป็นต้นน้ันถูกปัจจัยปรุงแต่ง เป็นของหยาบ สามารถพจิ ารณาวธิ ีการพฒั นาอินทรยี ์ ไดว้ า่

อาศัยกันและกันเกิดขึ้น ยังมีสิ่งที่ละเอียด
ประณีต คืออุเบกขา’ ความชอบใจ ความไม่ เมื่อเห็นรูปทางตาแล้ว ตามปกติก็จะเกิด
ชอบใจ ความชอบใจและความไม่ชอบใจน้ัน ปฏิกิริยาทางใจข้ึนมา ๓ แบบด้วยกัน คือ

ทเี่ กดิ ข้ึนแลว้ แก่ภกิ ษนุ ้นั จงึ ดับไป อุเบกขาย่อม (๑) เกิดความชอบใจในสิ่งท่ีเห็นน้ัน (๒) เกิด
ดำรงมน่ั เปรยี บเหมอื นบรุ ษุ มตี าดกี ระพรบิ ตา ความไม่ชอบใจในส่ิงที่เห็นน้ัน (๓) เกิดทั้ง
แมฉ้ ันใด ความชอบใจ ความไมช่ อบใจ ความ ความชอบใจและไม่ชอบใจในสิง่ ที่เห็นนนั้

ชอบใจและความไม่ชอบใจ อันเกิดขึ้นแล้วแก่
ภกิ ษุรูปใดรปู หนง่ึ ฉนั นัน้ เหมือนกนั ย่อมดบั ไป
อย่างเรว็ พลนั ทันทีโดยไม่ยากอยา่ งน้ี อุเบกขา
ยอ่ มดำรงมัน่ อานนท์ นีเ้ ราเรียกว่า การเจริญ
อินทรีย์ ในรูปที่พึงรู้แจ้งทางตาอันยอดเยี่ยมใน
อริยวนิ ัย๙





164

การพฒั นาอนิ ทรยี สงั วร
สภุ รี ์ ทุมทอง

ประเดน็ สำคญั ของการปฏบิ ตั อิ ยทู่ ี่ การรชู้ ดั คำวา่ การรู้ชัด นัน้ เปน็ ลักษณะของการรตู้ าม
ปฏิกริ ิยาทเ่ี กดิ ข้ึนในจติ ท้งั ๓ อยา่ งนั้นตาม ที่เป็นจริง โดยเฉพาะการรู้ความจริงของ
ความเป็นจริง เม่ือรู้ตามความเป็นจริงก็จะ สังขารธรรมท้ังหลาย อันมีลักษณะไม่เที่ยง
ทราบว่า ปฏิกิริยาของจิตท้ัง ๓ อย่างนั้น เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เมื่อรู้ความจริงเช่นน ี้
เปน็ สิง่ ท่ปี จั จยั ปรุงแต่งขึ้นมา ปัจจยั ทีป่ รงุ แต่ง ผู้ปฏิบัติก็จะเกิดความรู้ว่า ความชอบใจ
นั้น มีท้ังตัวอารมณ์ จิตที่มองเห็น สัญญา ความไม่ชอบใจท่ีเกิดข้ึนน้ัน เป็นความหลงใหล
ความจำได้หมายรู้เก่าๆ เก่ียวกับสิ่งที่เห็นนั้น ไปเองท้ังน้ัน สิ่งท่ีเห็นนั้น รวมทั้งสภาวธรรม
ทัศนคติหรือคุณค่าที่ใส่ให้กับสิ่งที่เห็นน้ัน แต่ ทั้งหลายท่ีเกิดขึ้นจากการมองเห็นเป็นเหตุ ก็
เดิมไม่มีความรู้สึกเช่นน้ี แต่เม่ือมองเห็นรูป ล้วนแต่ไม่อยู่นานเลย เป็นของท่ีมีข้ึนเพียงช่ัว
ทางตา ก็เกิดความรู้สึกชอบหรือไม่ชอบข้ึน ครั้งช่ัวคราวเท่านั้น จิตก็จะเป็นอุเบกขาคือ
ความรู้สึกชอบหรือไม่ชอบส่ิงท่ีมองเห็นนั้น การวางเฉยได้ การวางเฉยประเภทนี้ ไม่ใช่
เป็นสิ่งท่ีหยาบ เพราะต้องข้ึนอยู่กับอารมณ์ท่ี การวางเฉยเพราะไมร่ เู้ รอื่ งอะไร แตเ่ ปน็ การ
เหน็ ถกู อารมณน์ ั้นครอบงำเอา จติ หลงใหลไป วางเฉย เพราะรู้เท่าทันอารมณ์ทุกอย่าง

ชอบบ้าง ไมช่ อบบ้าง โดยความจรงิ แล้ว ส่งิ ที่ คือ รูป เสียง กลิน่ รส สัมผสั ทางกาย และ
มองเห็นก็เป็นอยู่อย่างน้ันตามธรรมดา ธรรมารมณ์ตามความเป็นจรงิ เม่อื รตู้ ามความ
ธรรมชาติของส่ิงน้ัน แต่ผู้ท่ีเห็นกลับไปมีความ เป็นจรงิ จติ ก็ไม่หลงไปยึดมัน่ ถอื มัน่ มีช่ือเรียก
ชอบหรอื ไม่ชอบ อนั เปน็ ความหลงไปตามกเิ ลส ตามคัมภีรอ์ รรถกถาว่า วิปสั สนเู ปกขา๑๐ การ
ของตนเอง อาการท่ีหลงไปชอบบ้างไม่ชอบ วางเฉยเพราะรู้แจ้งความจรงิ

บ้าง เรียกว่า การถูกอภิชฌาและโทมนัส
ครอบงำ





165

การพัฒนาอนิ ทรียสงั วร
สุภรี ์ ทมุ ทอง

การเจริญอินทรีย์อันยอดเย่ียมในอริยวินัยดังท่ี ยังช้าไป ท่ีแท้หยดน้ำนั้นจะระเหยแห้งไปเร็ว

พระพุทธเจ้าทรงแสดงน้ี เป็นวิธีการปฏิบัติ พลันทันที๑๑ อย่างนี้ได้ช่ือว่าการเจริญอินทรีย์

วิปัสสนาให้รู้เท่าทันอารมณ์ และปฏิกิริยาท่ีมี อย่างยอดเยีย่ ม


ต่ออารมณ์น้ันตามความเป็นจริง เป็นการมอง
เห็นว่า ทุกอย่างอยู่ภายใต้กฎไตรลักษณ์ ทุก สรุปความได้ว่า การปฏิบัติอินทรียสังวรอัน
ส่ิงทุกอย่างเกิดจากเหตุปัจจัยปรุงแต่งและ ยอดเย่ียมท่ีพระผู้มีพระภาคทรงมุ่งหมาย
ต้องดับสลายไป ในที่สุด หากความชอบใจ อย่างแท้จริงน้ัน คือการเจริญวิปัสสนา เพื่อ
ความไม่ชอบใจ ท้ังความชอบใจท้ังความไม่ ให้เห็นความจริง แล้วปล่อยวางความความ
ชอบที่เกิดขึ้น ก็ดับไปได้อย่างรวดเร็วและไม่ เห็นผิดและความยึดม่ันถือมั่นท่ีมีต่อสิ่งนั้น

ไม่หลงปรุงแต่งไปตามอารมณ์ท่ีรับรู้ เมื่อ

ยากลำบาก จติ เปน็ อุเบกขา

ไม่หลงปรุงแตง่ ไปตาม ความชอบใจ ความไม่

ย่ิงกระบวนการที่จิตเป็นอุเบกขาไว ก็ถือได้ ชอบใจ กย็ ่อมหมดไป อวชิ ชาคอื การไม่รู้ตาม

ว่าพัฒนาอินทรีย์ ได้ดียิ่งข้ึน ดังอุปมาว่า ความเป็นจริงของส่ิงต่างๆ นั่นเอง เป็น

เปรียบเหมือนบุรุษมีตาดีกะพริบตา เปรียบ ต้นตอของกิเลสท้ังหลายที่เข้ามาครอบงำ

เหมือนบุรุษมีกำลังดีดน้ิวมือได้ โดยไม่ยาก จิตใจเม่ือมีการรับรู้อารมณ์ แม้ว่าในตอน


เปรียบเหมือนหยาดน้ำกลิ้งไปบนใบบัวที่เอียง เริ่มต้นของการปฏิบัติอินทรียสังวร จะมีการ

นิดหน่อย ย่อมไม่ติดอยู่ เปรียบเหมือนบุรุษมี รักษาศีล การคิดพิจารณาธรรมหมวดต่างๆ

กำลังตะลอ่ มก้อนเขฬะไว้ท่ีปลายลิ้น แลว้ ถม่ ไป การทำสมาธิ เจริญสมถภาวนา เพอื่ ปรบั จติ ให้

โดยไม่ยาก เปรียบเหมือนบุรุษมีกำลังเหยียด เหมาะสม และทำให้กเิ ลสไม่ครอบงำจติ แตก่ ็

แขนออกหรือคู้แขนเข้า เปรียบเหมือนบุรุษมี เป็นการทำได้เพียงช่ัวคราว การเจริญ

กำลงั เอาหยดน้ำ ๒ หยด หรือ ๓ หยดใส่ลง วปิ ัสสนาเทา่ นน้ั จะทำให้หมดกเิ ลสโดยสิน้ เชงิ

ในกระทะเหล็กทรี่ ้อนจดั ตลอดวนั น้ำทห่ี ยดลง เป็นวธิ กี ารแก้ไขไดอ้ ยา่ งถาวร


166

การพฒั นาอนิ ทรยี สงั วร
สภุ รี ์ ทุมทอง

๓.๑.๒.๒ อนิ ทรียสังวรของพระเสขะและพระอเสขะ


ในอินทริยภาวนาสูตรน้ันเอง พระผู้มีพระภาค พระอริยะผู้เจริญอินทรีย์แล้ว เป็นอย่างไร

ได้ทรงแสดงถึงการปฏิบัติพัฒนาอินทรีย์ คือ ภิกษุในธรรมวินัยน้ีเห็นรูปทางตาแล้ว จึง

สำหรับพระอริยเจ้า ๓ ลำดับต้น คือ พระ เกดิ ความชอบใจ เกดิ ความไมช่ อบใจ และเกดิ

โสดาบนั พระสกทาคามี พระอนาคามี ทมี่ กี าร ทง้ั ความชอบใจและความไมช่ อบใจ ถา้ เธอหวงั

พัฒนาอินทรีย์ ไปตามลำดับ จนกระท่ังถึง วา่ เราพงึ มคี วามหมายรู้ในสง่ิ ทปี่ ฏกิ ลู วา่ เปน็

ประสบความสำเร็จ คือ เป็นผู้ที่เจริญอินทรีย์ สงิ่ ท่ีไมป่ ฏกิ ลู อยู่ กม็ คี วามหมายรู้ในสง่ิ ทปี่ ฏกิ ลู

เสรจ็ แลว้ อนิ ทรยี ท์ งั้ ๖ อยู่ในอำนาจของทา่ น นนั้ วา่ เปน็ สง่ิ ที่ไมป่ ฏกิ ลู อยู่ ถา้ หวงั วา่ เราพงึ มี

เม่ือเห็นรูปทางตา ได้ยินเสียงทางหู เป็นต้น ความหมายรู้ในสิ่งที่ไม่ปฏกิ ูลว่าเปน็ ส่ิงท่ีปฏกิ ูล

แลว้ ทา่ นสามารถควบคมุ จติ ใจใหเ้ ปน็ ไปไดด้ งั ที่ อยู่ กม็ คี วามหมายรู้ในส่งิ ที่ไมป่ ฏิกลู นน้ั วา่ เปน็

ทา่ นประสงค์ เปน็ พระอรหนั ต์ ดงั พระบาลวี า่
สงิ่ ทป่ี ฏกิ ลู อย.ู่ .. อกี ประการหนงึ่ ภกิ ษฟุ งั เสยี ง


ทางหแู ลว้ ... ภกิ ษดุ มกลนิ่ ทางจมกู แลว้ ... ภกิ ษุ

พระเสขะผู้กำลังปฏิบัติ เป็นอย่างไร คือ ลมิ้ รสทางลน้ิ แลว้ ... ภกิ ษถุ กู ตอ้ งโผฏฐพั พะทาง

ภิกษุในธรรมวินัยน้ีเห็นรูปทางตาแล้ว จึงเกิด กายแล้ว... ภิกษุรู้แจ้งธรรมารมณ์ทางใจ

ความชอบใจ เกิดความไม่ชอบใจ และเกิดทั้ง แลว้ ...๑๓


ความชอบใจและความไม่ชอบใจ เพราะความ
ชอบใจ ความไม่ชอบใจ ความชอบใจและ จากพระพุทธพจน์ที่ยกแสดงมานั้น จะเห็นว่า
ความไม่ชอบใจที่เกิดขึ้นแล้วนั้น ภิกษุน้ันจึง พระอริยเจ้าผู้เป็นเสขะเม่ือละความเห็นผิด
อึดอัด เบ่ือหน่าย รังเกียจ ฟังเสียงทางหู ได้แล้ว ก็ปฏิบัติพัฒนาอินทรีย์ต่อไปเพื่อละ

แล้ว... ดมกล่ินทางจมูกแล้ว... ล้ิมรสทางลิ้น ความยึดมั่นถือมั่น โดยลำดับของการละ

แลว้ ... ถกู ต้องโผฏฐพั พะทางกายแลว้ ... ร้แู จง้ สังโยชน์ ๑๐ ประการนั้น พระโสดาบันละ

ได้ ๓ ประการ คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา

ธรรมารมณ์ทางใจแลว้ ...๑๒



167
การพฒั นาอนิ ทรยี สงั วร
สภุ ีร์ ทุมทอง

และ สีลัพพตปรามาส พระสกทาคามี ทำ จึงอาจกล่าวได้ว่าการปฏิบัติอินทรียสังวรนั้น

กิเลสให้เบาบางลง พระอนาคามีละกามราคะ เป็นการฝึกให้มีสติคอยระวังไม่ ให้เกิดอกุศล

และปฏฆิ ะ พระอรหันตล์ ะรูปราคะ อรปู ราคะ ทางทวารทั้ง ๖ เป็นการปฏิบัติธรรมต้ังแต่ข้ัน

มานะ อุทธัจจะ และอวิชชา
ต้นจนถึงข้ันสุดท้าย โดยชั้นต้นๆ ก็ยังมีกิเลส

เกิดข้ึนมาครอบงำจิตบ่อยๆ ฝึกไปอีกกิเลสก็
จะเห็นได้ว่า ในการปฏิบัติธรรมเพ่ือบรรลุ ลดลงไปเร่ือย จนท้ายที่สุด ไม่มีกิเลสเกิดข้ึน
ธรรมเป็นพระอริยเจ้าไปตามลำดับนั้น มีวิธี อกี เลย สามารถปอ้ งกันและละไดแ้ บบเด็ดขาด

การปฏิบัติแบบเดียวกันนั่นเอง คือ การฝึกให้

จิตมสี ติสัมปชัญญะ เมือ่ มีสติ สตกิ ็จะรักษาจติ ในการปฏิบัตินั้น พูดอย่างย่อๆ ก็ใช้องค์ธรรม

ทำให้จิตมีศีล มีความสังวรระวัง ป้องกัน ที่เป็นหลักใหญ่อยู่ ๒ ประการ คือ สติกับ

อกุศลได้ จิตใจเป็นกุศล จิตที่มีศีลนี้จะละ ปัญญา ข้ันแรกก็ใช้วิธีป้องกันก่อน เม่ือรับรู้

กิเลสอย่างหยาบได้ เมื่อฝึกสติสัมปชัญญะ อารมณท์ างตา หู จมกู ล้นิ กาย ใจแล้ว ใหม้ ี

มากข้ึนไปอีก จิตมีศีลมีความสังวรระวังเพ่ิม สตเิ ปน็ เครอ่ื งปอ้ งกนั กระแส ไม่ใหเ้ กดิ กเิ ลสขนึ้

มากขน้ึ กจ็ ะสงบ เบา ออ่ น ปราศจากนวิ รณ์ จะได้ไม่หลงใหลหมกมุ่น ติดตันอยู่กับอารมณ์

ท่กี ลมุ้ รุมจิตใจ เป็นสัมมาสมาธิ สามารถละ ต่างๆ ด้วยการปฏิบัติอย่างน้ี ความชอบใจ


กิเลสอย่างกลางคือประเภทนิวรณ์ ได้ จิตที่ ไมช่ อบใจ และกเิ ลสตา่ งๆ จะไมเ่ กดิ ขนึ้ จติ จะมี

มีสมั มาสมาธนิ นั้ เป็นจิตควรแก่การพจิ ารณาดู ความปลอดโปร่ง เบาสบาย มีความสุข และ

กายใจให้เห็นความจริง เกิดปัญญาไปตาม เป็นสมาธิ ขัน้ ต่อมา ก็ถอดถอนทำลายกเิ ลส

ลำดบั กเิ ลสทล่ี ะเอียดประเภทสงั โยชนแ์ ละ ทลี่ ะเอยี ดดว้ ยปญั ญา ดงั ทพ่ี ระพทุ ธองคต์ รัส

อนสุ ยั สามารถละได้ดว้ ยปัญญา
กบั อชติ มาณพวา่





168

การพฒั นาอนิ ทรยี สงั วร
สุภรี ์ ทุมทอง

กระแสเหลา่ ใดในโลก

สตเิ ปน็ เคร่อื งก้ันกระแสเหลา่ นัน้ ได้

เรากล่าวธรรมเคร่อื งปอ้ งกนั กระแสทงั้ หลาย

ปญั ญาปิดก้ันกระแสเหลา่ นน้ั ได๑้ ๔


๓.๑.๒.๓ องค์ธรรมหลักที่ใช้ในการปฏิบัต



องค์ธรรมหลักของการพัฒนาอินทรีย์ ตาม ธรรม ๑ ประการที่มอี ุปการะมาก คืออะไร

พระบาลีในอินทริยภาวนาสูตร คือ การรู้ชัด คือ ความไม่ประมาทในกุศลธรรมท้ังหลาย๑๙

อันเป็นลักษณะของปัญญาเห็นความจริง การ นีค้ ือธรรม ๑ ประการทม่ี อี ปุ การะมาก๒๐


ท่ีจะมีปัญญาเห็นความจริงได้ก็ต้องมีจิตท่ี


พร้อม สงบ เบา อ่อนโยน ควรแกก่ ารใชง้ าน ธรรม ๒ ประการทม่ี ีอปุ การะมาก คืออะไร

คล่องแคล่ว และตรง๑๕ เพราะจิตที่มีความ
คือ


ตั้งมั่นจะทำให้รู้ชัดตามความเป็นจริง๑๖ จิต
๑. สติ (ความระลกึ ได)้


ต้ังมั่นมีลักษณะบริสุทธ์ิผุดผ่อง ไม่มีกิเลส ๒. สมั ปชัญญะ (ความรู้ตัว)


ปราศจากความเศร้าหมอง อ่อน เหมาะแก่ นค้ี อื ธรรม ๒ ประการท่มี ีอุปการะมาก๒๑


การใช้งาน ต้งั มัน่ ไม่หวนั่ ไหว๑๗ จติ ต้งั มั่นเป็น

สัมมาสมาธิเป็นพัฒนาการท่ีมาจากการที่จิตมี

ความสุข๑๘ การท่ีจะมีจิตต้ังมั่นเป็นสมาธิได ้


ก็ ต้ อ ง อ า ศั ย ก า ร ฝึ ก ฝ น ใ ห้ จิ ต มี ส ติ อั น เ ป็ น


อัปปมาทธรรม ซึ่งความไม่ประมาทน้ีเป็น

ธรรมท่ีมีอุปการะมากในกระบวนการปฏิบัติ

ดังท่ีท่านพระสารีบุตรได้รวบรวมไว้ ในสังคีติ

สตู รวา่
169

การพัฒนาอินทรยี สงั วร
สุภรี ์ ทุมทอง

ความไม่ประมาท คอื การไม่อย่ปู ราศจากสติ ภกิ ษทุ งั้ หลาย ธรรมอนั เปน็ เอก มอี ปุ การะมาก

มีสติอยู่เสมอในการกระทำส่ิงต่างๆ เห็น เพือ่ ความเกิดขน้ึ แหง่ อริยมรรคมีองค์ ๘ ธรรม

คุณค่าของเวลา ไม่ปล่อยชีวิตให้ล่องลอยไป อนั เปน็ เอก คอื อะไร คอื อปั ปมาทสมั ปทา๒๓


อย่างไร้จุดหมาย พยายามปรับปรุงแก้ไขสิ่ง
ต่างๆ ให้ดีขึ้น การระมัดระวังอยู่เสมอ ไม่ ภิกษุทั้งหลาย เราไม่พิจารณาเห็นธรรมอ่ืนแม้
ยอมถลำไปในทางเสื่อม ไม่ยอมพลาดโอกาส อยา่ งหน่งึ ทเ่ี ป็นเหตุใหอ้ ริยมรรคมอี งค์ ๘ ท่ี
แหง่ ความกา้ วหนา้ ตระหนกั ถงึ สง่ิ ทตี่ อ้ งทำและ ยังไม่เกิดก็เกิดขึ้น หรือเป็นเหตุให้อริยมรรคมี
ต้องไม่ทำ ใส่ใจสำนึกในหน้าที่ ไม่ปล่อยปละ องค์ ๘ ท่ีเกิดข้ึนแล้วถึงความเจริญเต็มที่
ละเลย มีความสำนึกรับผิดชอบอยู่เสมอ
เหมือนอปั ปมาทสัมปทาน๒้ี ๔


อัปปมาทธรรมนั้นเป็นธรรมข้อใหญ่ และมี สัตว์ท้ังหลายไม่มีเท้า มีสองเท้า มีสี่เท้า
ความสำคัญมากในพระพทุ ธศาสนา พระธรรม หรือมีเท้ามากก็ตาม มีรูป หรือไม่มีรูปก็ตาม
ท่ีพระผู้มีพระภาคทรงแสดงไว้เป็นอันมาก
มสี ญั ญา ไม่มสี ัญญา หรอื มสี ญั ญาก็ไม่ใช่ ไม่
ก็รวมลงในความไม่ประมาท ความสำคัญของ มีสัญญาก็ ไม่ ใช่ก็ตาม มีประมาณเท่าใด
อัปปมาทธรรมเห็นได้จากพระพุทธพจน์ดัง ตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าบัณฑิตกล่าว
ตอ่ ไปนี
้ วา่ เลศิ กวา่ สัตว์มีประมาณเท่าน้นั ฉันใด กศุ ล

ภิกษุท้ังหลาย เมื่อดวงอาทิตย์กำลังจะอุทัย ธรรมทั้งหมดก็ฉันนั้นเหมือนกัน มีความไม่
ยอ่ มมแี สงอรณุ ข้นึ มากอ่ น เปน็ บพุ นมิ ิต ฉันใด ประมาทเป็นมูล รวมลงในความไม่ประมาท
อัปปมาทสัมปทาก็เป็นตัวนำ เป็นบุพนิมิต ความไม่ประมาทบัณฑิตกล่าวว่าเลิศกว่ากุศล
เพ่ือความเกิดข้ึนแห่งอริยมรรคมีองค์ ๘
ธรรมเหล่านั้น๒๕


ฉนั นั้น๒๒


170

การพฒั นาอินทรียสงั วร
สุภรี ์ ทุมทอง

รอยเท้าของสัตว์ท่ีเท่ียวไปบนแผ่นดินท้ังหมด ภิกษุท้ังหลาย บัดน้ีเราขอเตือนเธอท้ังหลาย

รวมลงในรอยเท้าช้าง รอยเท้าช้างชาวโลก สังขารท้ังหลายมีความเส่ือมไปเป็นธรรมดา

กล่าวว่าเลิศกว่ารอยเท้าเหล่าน้ัน เพราะเป็น เธอทั้งหลายจงทำหน้าท่ีให้สำเร็จด้วยความไม่

รอยใหญ่ แม้ฉันใด กุศลธรรมทั้งหมดก็ฉันนั้น ประมาทเถิด นี้เป็นพระปัจฉิมวาจาของพระ

เหมือนกัน มีความไม่ประมาทเป็นมูล รวมลง ตถาคต๒๘


ในความไม่ประมาท ความไม่ประมาทบัณฑิต สติ เป็นสภาวธรรมท่ีเปน็ เจตสิก เกดิ พรอ้ มกับ

กล่าววา่ เลศิ กว่ากศุ ลธรรมเหล่านน้ั ๒๖
จิต ดับพร้อมกับจิต รู้อารมณ์เดียวกันกับจิต

ภิกษุท้ังหลาย แสงสว่างของดวงดาวท้ังหมด สตินัน้ เกดิ กบั จิตประเภทที่ดีงามเท่านั้น ไม่เกดิ

ย่อมไม่ถึงเส้ียวท่ี ๑๖ แห่งแสงสว่างของ
กับอกศุ ล สติเป็นความระลกึ ได้ทีเ่ ปน็ ไปในสิง่ ท่ี

ดวงจันทร์ แสงสว่างของดวงจันทร์ชาวโลก เป็นกุศล เช่น การมีเจตนาในการเสียสละ

กล่าวว่า เลิศกว่าแสงสว่างของดวงดาว การมีเจตนางดเว้นจากทุจริต การทำจิตใจให้

เหล่านั้น แม้ฉันใด กุศลธรรมทั้งหมดก็ฉันน้ัน สงบด้วยสมถกัมมัฏฐาน หรือการอบรมเจริญ

เหมอื นกัน มคี วามไมป่ ระมาทเปน็ มูลรวมลงใน ปัญญาให้เข้าใจสภาวธรรมตามความเป็นจริง

ความไม่ประมาท ความไม่ประมาทบัณฑิต ด้วยวิปสั สนากมั มฏั ฐาน


กล่าววา่ เลิศกวา่ กศุ ลธรรมเหลา่ น้ัน๒๗











171

การพัฒนาอนิ ทรยี สงั วร
สุภรี ์ ทุมทอง

ในคัมภีร์อภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณีได้แสดง สติเป็นความระลึกได้ ไม่หลงลืมในกุศลธรรม

สภาวธรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นพร้อมกับจิต ซึ่งมี ท้ังหลาย โดยปกติทั่วไปคนเราน้ันขาดสติ

หลากหลายประเภท หากเป็นจิตท่ีเป็นฝ่ายดี ทำให้จิตใจล่องลอยออกไปยึดติดกับสิ่งท่ีรับร้ ู

งาม ก็จะปรากฏสติเป็นสภาวธรรมหนึ่งที่เกิด เช่น เมื่อเห็นรูปทางตา ใจท่ีขาดสติก็ส่งออก

ประกอบกับจิตน้ันด้วย โดยมีชื่อหลายอย่าง๒๙ ไปยึดเกาะตามอำนาจของความจำเดิมๆ ว่า

และได้ขยายความวา่
เป็นหญิงสาวสวย เป็นญาติเรา เป็นเพื่อนเรา

สตนิ ทรยี ์ ท่เี กดิ ขึน้ ในสมัยน้นั เป็นไฉน
เปน็ ศัตรูเรา เปน็ ต้น ทำให้จิตตกไปฝ่ายอกุศล

ได้ง่ายเพราะมีความเคยชินอยู่มาก เมื่อเห็น
สติ ความตามระลึก ความหวนระลึก สติ หญิงสาวสวยก็เกิดราคะ เมื่อเห็นผู้ท่ีเป็นญาติ
กริ ยิ าทีร่ ะลกึ ความทรงจำ ความไม่เลอื่ นลอย เรากเ็ กดิ ความดีใจติดขอ้ ง เมือ่ ได้ยนิ เสยี งทาง
ความไม่หลงลืม สติ สตินทรีย์ สติพละ
หู ใจก็ส่งออกไปรับรู้เกาะติดอยู่กับถ้อยคำที่
สัมมาสต๓ิ ๐ ในสมยั น้นั น้ชี ือ่ วา่ สตนิ ทรีย์ ท่ีเกดิ คนอ่ืนพูด ทำให้จิตขาดสติ เป็นอกุศล หาก
ข้ึนในสมัยน้ัน๓๑

เป็นคำสรรเสริญก็ดี ใจ คำตำหนิก็ โกรธ


ขัดเคือง แม้ทางทวารอื่นๆ ก็ทำนองเดียวกัน
ส่วนสติทำให้จิตเป็นกุศล อันเป็นไปในทาน


ศลี ภาวนา ทำใหจ้ ิตไดร้ ับการคมุ้ ครองรกั ษา
เหมือนกับขุนคลังของพระเจ้าจักรพรรดิ


รายงานสมบัติให้ทราบ ดังที่พระนาคเสน

เถระกล่าวไวว้ ่า







172

การพัฒนาอินทรยี สงั วร
สุภีร์ ทุมทอง

มหาบพิตร ขุนคลังของพระเจ้าจักรพรรดิ จิตน้ันเกิดดับไปทีละดวง เกิดเป็นขณะๆ สืบ
ย่อมทูลพระเจ้าจักรพรรดิให้ระลึกถึงอิสริย ต่อกันไป เมื่อมีสติเกิดขึ้น จะทำให้จิตน้ันเป็น
สมบัติท้ังเวลาเย็นและเวลาเช้าว่า ข้าแต่เทวะ กศุ ล อกุศลจะดับลงไป เมื่อจติ ใจเปน็ กุศลแล้ว
ช้างมปี ระมาณเท่านี้ ม้ามีประมาณเทา่ นี้ รถมี หากมีความคิดเจตนาเกิดข้ึน กรรมทางใจเป็น
ประมาณเท่าน้ี พลเดินเท้ามีประมาณเท่านี้ มโนสุจริต การกระทำที่ผิดพลาดทางกาย
เงินมีประมาณเท่าน้ี ทองมีประมาณเท่าน้ี วาจาก็ไม่มี เพราะการกระทำที่ผิดพลาดทั้ง
สมบัติท้ังปวงมีประมาณเท่าน้ี ขอเทวะจง หลายออกมาจากจิตท่ีเป็นอกุศล การกระทำ
ระลึกถึงอิสริยสมบัติน้ัน ฉันใด ขอถวาย ทางกายท่ีถูกต้องเป็นกายสุจริต การพูดท
่ี
พระพรมหาบพิตร สติก็ฉันนั้นเหมือนกันแล ถูกตอ้ งเปน็ วจสี จุ ริต ซง่ึ สจุ รติ ท้ัง ๓ ประการนี้
ย่อมให้ระลึกถึงกุศลธรรมท้ังหลาย คือ
เปน็ กุศลกรรม นำประโยชน์และความสขุ มาให้
สติปัฏฐาน ๔ เหลา่ นี้ สมั มัปปธาน ๔ เหล่าน้ี ท้ังในชาตินี้และชาติหน้า เม่ือมีสติบ่อยคร้ัง
อทิ ธิบาท ๔ เหล่าน้ี อินทรยี ์ ๔ เหล่าน้ี พละ เข้า กุศลธรรมทั้งหลายก็เจริญงอกงาม
๕ เหล่านี้ โพชฌงค์ ๗ เหล่าน้ี น้อี รยิ มรรค อกุศลธรรมทั้งหลายก็อ่อนกำลังลงไปตาม
ประกอบด้วยองค์ ๘ นี้สมถะ นี้วิปัสสนา ลำดบั

เหล่านี้เป็นอริยสัจ น้ีเป็นวิชชา นี้เป็นวิมุตติ
เหล่านนั้ เป็นโลกุตรธรรม มหาบพติ ร สติมีการ
ระลึกเปน็ ลักษณะอย่างนี้แล๓๒








173

การพฒั นาอนิ ทรียสังวร
สภุ รี ์ ทมุ ทอง

สตนิ นั้ มีลักขณาทิจตกุ กะ (อาการ ๔ อย่างมลี กั ษณะเป็นต้น) ว่า


(๑) อปลิ าปนลกฺขณา สต ิ สตมิ อี าการไมเ่ ลือ่ นลอยเปน็ ลักษณะ


(๒) อสมฺโมสนรสา มกี ารไม่หลงลมื เป็นกจิ


(๓) อารกขฺ ปจจฺ ปุ ฏฺ านา มกี ารคอยรกั ษาจติ เป็นอาการปรากฏ


วิสยาภิมุขีภาวปจฺจปุ ฏฺ านา วา หรอื มกี ารมุ่งตรงต่ออารมณท์ ี่กำลังปรากฏ


เฉพาะหนา้ เปน็ อาการปรากฏ


(๔) ถิรสฺาปทฏฺานา มีการจำไดอ้ นั มน่ั คงเปน็ เหตใุ กล้ใหเ้ กดิ


กายาทสิ ตปิ ฏฺ านปทฏฺ านา วา หรอื มสี ตปิ ฏั ฐาน ๔ คอื กายานปุ สั สนาสตปิ ฏั ฐาน


เปน็ ตน้ เปน็ เหตุใกล้ให้เกดิ ๓๓


อินทรีย์ท้งั ๖ คือ จกั ขนุ ทรีย์ โสตินทรยี ์ ฆานนิ ทรยี ์ ชิวหนิ ทรีย์ กายนิ ทรีย์ และมนินทรีย์ เปน็
ช่องทางทำให้การรับรู้ และต่อจากนั้นจึงเกิดจิตชนิดที่เป็นกุศลหรืออกุศลขึ้น เมื่ออกุศลเกิดข้ึน
เรียกว่าอสังวร เพราะอินทรีย์เป็นเหตุทำให้เกิดอกุศลเลยเรียกว่าไม่สำรวมอินทรีย์ หากรับรู้
แล้ว กุศลเกดิ ข้ึน เรียกวา่ สงั วร อนิ ทรยี ์เป็นเหตุใหเ้ กิดกศุ ลนั้นเลยเรียกวา่ สำรวมอนิ ทรยี


จักขุนทรีย์กล่าวโดยสภาวะ ได้แก่ จักขุปสาทรูป เป็นรูปชนิดหน่ึงซึ่งมีความสามารถในการ
กระทบกบั สสี นั ตา่ งๆ เปน็ เหตปุ จั จยั ใหเ้ กดิ การเหน็ คอื จกั ขวุ ญิ ญาณ และเปน็ ทวารใหเ้ กดิ จติ ประเภท
อน่ื ๆ ติดตามมา มีสมั ปฏจิ ฉนจติ สันตรี ณจติ โวฏฐัพพนจติ ชวนจติ เกิดขึ้น เปน็ กุศลบ้างอกุศล
บ้างเกิดข้ึนมาในจิต เป็นสังวรหรืออสังวรในชวนจิตนั้น หากเป็นจิตที่ดีงามมีศีลเป็นต้นเกิด
ประกอบร่วมด้วยจัดเป็นสังวร หากเป็นจิตท่ีไม่ดีมีความทุศีลเป็นต้นเกิดประกอบจัดเป็นอสังวร
ในทางทวารอน่ื ๆ ก็โดยทำนองเดียวกนั


174

การพฒั นาอินทรยี สังวร
สุภรี ์ ทุมทอง

การสังวรนั้นเป็นลักษณะของสติที่ปิดกั้นไม่ให้ การวินิจฉัยเร่ืองจิตขณะใดเกิดการสังวรน้ี

กิเลสไหลเข้ามาสู่จติ ใจ เม่อื ตาเหน็ รปู หูได้ยนิ คัมภีร์วิสุทธิมรรคได้อธิบายรายละเอียดเอาไว้

เสียง จมูกดมกล่ิน ลิ้นล้ิมรส กายถูกต้อง ตามการรับรอู้ ารมณ์ ในวถิ จี ติ ดังขอ้ ความวา่


สัมผสั ทางกาย ใจคิดนึกและรับร้อู ารมณ์ต่างๆ
สตินั้นไม่ได้เกิดท่ีจักขุปสาท ดังนั้น คำกล่าว ในคำว่า ถึงความสำรวมในจักขุนทรีย์น้ัน
ถึงการสำรวมในจักขุนทรีย์น้ันจึงเป็นคำพูดที่ พึงทราบว่า อันท่ีจริง ความสำรวมหรือไม่
ให้เป็นที่เข้าใจกันในความหมายท่ีว่า เมื่อเห็น สำรวมก็ตามในจักขุนทรีย์หามีไม่ เพราะสต

รูปทางตาแล้ว สามารถที่จะปิดก้ันไม่ให้กิเลส ก็ดี ความหลงลืมสติก็ดี มิได้อาศัยจักษุ
ไหลเข้าไปสู่จิต ไม่ให้อภิชฌาโทมนัสครอบงำ ประสาทเกิดข้ึน... ในขณะแห่งชวนจิต ถ้า
จิตได้ สตินนั้ เกดิ ขึน้ ท่ชี วนจิต สตนิ ้ันเองเปน็ ความทศุ ลี ก็ดี ความหลงลมื สติกด็ ี ความไม่รูก้ ็
ดี ความไม่อดทนก็ดี ความเกยี จครา้ นกด็ ี เกิด
ตัวสังวร และทำให้อินทรยี สังวรมีได้

ขึ้นไซร้ ความไม่สำรวมก็มีข้ึน ก็ความไม่

เมื่อเห็นรปู ทางตาแลว้ มีสติ ไมห่ ลงลืม จิตเป็น สำรวมท่ีมีข้ึนอย่างน้ีนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า

กศุ ล กเ็ ปน็ จติ ทมี่ คี วามสำรวม เรยี กวา่ สำรวม ตรสั วา่ ความไม่สำรวมในจกั ขุนทรยี ์๓๔


จักขุนทรยี ์ เพราะมตี าเปน็ เหตุ เม่อื ไดย้ นิ เสียง

ทางหูแล้ว มสี ติ ไม่หลงลืม จติ เปน็ กุศล เปน็

จติ ทีม่ ีความสำรวม เรียกว่า สำรวมโสตนิ ทรีย์

เพราะมีหูเป็นเหตุ แม้การสำรวมในทางทวาร

อ่ืนๆ ก็โดยทำนองเดยี วกนั นี้ แต่หากเป็นไปใน

ทางตรงกนั ขา้ ม คอื เหน็ รปู ทางตาแลว้ หลงลมื

สติ จิตเป็นอกุศล ถูกความยินดียินร้ายหรือ

กเิ ลสต่างๆ ครอบงำ ช่ือว่าไมส่ ำรวมอนิ ทรยี


175

การพัฒนาอินทรยี สังวร
สภุ รี ์ ทุมทอง

ความสำรวมและไม่สำรวมน้ัน มีได้เฉพาะตอนที่จิตทำหน้าที่เป็นชวนจิตเท่านั้น ไม่มีตอนที่เป็น
ภวังค์ อาวัชชนะ ทัสสนะ สัมปฏิจฉนะ สันตีรณะ โวฏฐัพพนะ และตทารัมมณะเลย โดยเขยี น
แยกแยะขณะจิตทเ่ี กิดการสงั วรและไมส่ งั วรทางจกั ขทุ วารเปน็ ตัวอย่าง ดังน้ ี



(๑) อตตี ภวังค์ รปู มาสคู่ ลองจกั ษุกระทบกับจกั ขปุ สาทะ

(๒) ภวงั คจลนะ ภวังค์ไหว

(๓) ภวงั คค์ ุปจั เฉทะ ตัดกระแสความสบื ตอ่ ของภวงั คเ์ พอื่ ขึ้นสูก่ ารรับร้รู ปู

(๔) กริ ิยามโนธาตุ ทำอาวัชชนกจิ นึกหน่วงถงึ รปู

(๕) จกั ขุวญิ ญาณ ทำทัสสนกจิ การเห็นรูป

(๖) วบิ ากมโนธาตุ ทำสมั ปฏิจฉนกจิ รบั รปู นน้ั ตอ่

(๗) อเหตุกวิบากมโนวิญญาณธาตุ ทำสันตีรณกิจ ตรกึ ตรองพิจารณารูป

(๘) อเหตกุ กิรยิ ามโนวิญญาณธาตุ ทำโวฏฐพั พนกิจ ตดั สินอารมณ์

(๙) ชวนะ เปน็ กศุ ลหรืออกุศลเกดิ สืบต่อ ๗ ขณะ

(๑๐) ชวนะ เป็นกุศลหรืออกศุ ลเกิดสบื ต่อ ๗ ขณะ

(๑๑) ชวนะ เป็นกุศลหรืออกศุ ลเกิดสบื ตอ่ ๗ ขณะ

(๑๒) ชวนะ เปน็ กศุ ลหรอื อกุศลเกิดสบื ต่อ ๗ ขณะ

(๑๓) ชวนะ เป็นกศุ ลหรอื อกุศลเกิดสบื ต่อ ๗ ขณะ

(๑๔) ชวนะ เปน็ กุศลหรอื อกศุ ลเกิดสืบตอ่ ๗ ขณะ

(๑๕) ชวนะ เปน็ กุศลหรอื อกุศลเกดิ สืบตอ่ ๗ ขณะ

(๑๖) ตทารัมมณะ รับอารมณเ์ ดมิ ต่ออกี ๒ ขณะ

(๑๗) ตทารัมมณะ รบั อารมณ์เดมิ ตอ่ อีก ๒ ขณะ


176

การพัฒนาอนิ ทรยี สงั วร
สุภีร์ ทุมทอง

จากลำดับการเกิดของวิถีจิตทางจักขุทวารท่ี ถึ ง แ ม้ ว่ า ภ วั ง ค จิ ต ท วิ ปั ญ จ วิ ญ ญ า ณ


ไดแ้ สดงมานี้ ลำดบั ที่ ๑ – ๘ และ ลำดับท
่ี สัมปฏิจฉนจิต สันตีรณจิต โวฏฐัพพนจิต

๑๖ – ๑๗ ไม่มกี ารสำรวมหรือไมส่ ำรวม การ และตทารัมมณจิต ไม่ได้มีการสำรวมหรือไม่

สำรวมหรือไม่สำรวมจะเกิดข้ึนในตอนท่ีเป็น สำรวมในขณะจิตน้ัน แต่เม่ือกล่าวแสดงโดย

ชวนจิต ซึ่งโดยปกติน้ันเกิดสืบต่อกันไป ๗ ภาพรวมของการรับรู้อารมณ์ ในทวารท้ัง ๖

ขณะ ตามลำดับที่ ๙ - ๑๕ เป็นจิตที่เป็นกุศล หากจติ เป็นกุศล มสี ติเกดิ ท่ีชวนจิต จติ ทั้งหมด

บ้าง อกุศลบ้าง หากจิตเป็นกุศล มีสติเกิด ท่ีเกิดข้ึนโดยมีทวารน้ันเป็นเหตุ ก็ช่ือว่าสำรวม

ประกอบด้วย เพราะสติเกิดกับกุศลจิตทุก ด้วย หากจิตเป็นอกุศล ไม่มีสติเกิดท่ีชวนจิต

ประเภท เป็นการสำรวมจักขนุ ทรีย์ แตห่ ากจติ จิตท้ังหมดที่เกิดขึ้นโดยมีทวารนั้นเป็นเหตุ ก็

เป็นอกุศล เป็นการไม่สำรวมจักขุนทรีย์ ทาง ช่ือว่าไม่สำรวมด้วย เหมือนกับประตูเมืองท้ัง

ทวารอืน่ ๆ ก็โดยทำนองเดยี วกนั
๔ ด้าน หากไม่ ได้ระวังรักษาแล้ว ประตู

ภายในบ้านเรือนก็ชื่อว่าไม่ ได้รักษาระวังด้วย

เพราะเม่ือพวกโจรสามารถเข้ามาทางประตู


เมืองแล้ว ก็เข้ามาปล้นทรัพย์สินได้ แต่หาก
ประตูเมืองท้ัง ๔ ด้านได้รับการระวังรักษาไว้


เป็นอย่างดีแล้ว พวกโจรไม่สามารถเข้ามา
ภายในเมืองได ้ ถึงแม้ภายในเมืองไมต่ อ้ งระวงั


รักษาอะไรก็ ไม่เกิดความเสียหายใดๆ๓๕

อินทรียสังวรน้ีมีสติเป็นเหตุให้สำเร็จ ดังท่ี

คัมภรี ์วสิ ุทธมิ รรคอธิบายไว้ว่า





177

การพัฒนาอินทรียสังวร
สภุ ีร์ ทุมทอง

เหมือนอย่างว่า ปาฏิโมกขสังวรภิกษุพึงให้ถึง
พร้อมด้วยศรัทธา ฉันใด อินทรียสังวรก็พึง
ใหถ้ งึ พร้อมดว้ ยสติ ฉนั นัน้ เพราะวา่ อินทรีย
สังวรศีลนั้นเป็นสติสาธนะ (มีสติเป็นเหตุให้
สำเร็จ) เหตุที่อินทรีย์ทั้งหลายที่ตั้งม่ันแล้ว
ด้วยสติ ไม่เป็นช่องท่ี โทษทั้งหลายมีอภิชฌา
เป็นต้นจะพงึ ไหลเข้ามาได้


สรุปได้ว่า สภาวธรรมท่ีทำให้การพัฒนา
อินทรียสังวรประสบความสำเร็จคือสติ สติที่
ฝกึ ไวด้ แี ลว้ จะคอยรักษาจติ ใหเ้ ป็นกุศล เมื่อมี
การรับรู้อารมณ์ทางทวารทั้ง ๖ ปิดก้ันไม่ให้
อกุศลเข้ามาในจิตใจได้ สติจึงอุปมาเหมือนกับ
นายประตูท่ีคอยเฝ้าระวังรักษาไม่ ให้มีผู้ร้าย
เข้ามาภายในบ้านได้ สติที่คอยเฝ้าระวัง
รักษาจิตเมื่อรับรู้อารมณ์ทางทวารท้ัง ๖
เชน่ นเ้ี ปน็ ลักษณะของการมอี นิ ทรยี สังวร๓๖

178

การพัฒนาอนิ ทรยี สังวร
สุภีร์ ทมุ ทอง

๓.๑.๒.๔ อบุ ายและวธิ ปี ระกอบการฝกึ อินทรียสังวร


อุบายและวิธีประกอบการฝึกอินทรียสังวรนั้นมีมากมาย เพราะคนมีจริตอัธยาศัยต่างกัน วิธีที่
เหมาะสมและได้ผลกบั แต่ละบคุ คลไม่เหมอื นกัน ซึ่งผทู้ ีม่ คี วามสามารถรจู้ ริตอัธยาศัยทีส่ ะสมมา
ของผฝู้ ึก ร้คู วามแกค่ วามออ่ นของอนิ ทรีย์ และบอกสอนไดต้ รงมากท่สี ดุ กค็ อื พระอรหนั ตสัมมา
สัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงมีพระญาณชื่อว่าอาสยานุสยญาณและอินทริยปโรปริยัตตญาณ
เทคนิควิธีการในยุคหลังๆ ก็มีมากมาย ซึ่งครูบาอาจารย์ทั้งหลายได้คิดค้นข้ึนเพ่ือฝึกลูกศิษย ์

ในทน่ี ้ี จะได้รวบรวมเทคนิคการฝกึ ใหม้ อี ินทรยี สงั วรจากพระพทุ ธพจน์และคัมภรี ต์ ่างๆ มาแสดง
พอเปน็ แนวทาง ดังตอ่ ไปน้ี


179

การพัฒนาอินทรียสังวร
สภุ รี ์ ทุมทอง

(๑) การปฏิบตั กิ รรมฐาน



ข้อน้ีเป็นวิธีที่จะทำให้มีอินทรียสังวรอย่าง ส่วนผู้ปฏิบัติที่ยังไม่มีปัญญาจนถึงความเป็น
สมบูรณ์ที่สุด เม่ือบุคคลปฏิบัติกรรมฐานตาม พระอรหันต์ เป็นพระอริยบุคคลระดับรอง

แนวที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ จนมีปัญญาเห็น ลงมา การใช้อินทรีย์ของท่านก็เป็นไปเพื่อการ
ความจริง รู้แจ้งอริยสัจ มีวิชชาเกิดขึ้น ศกึ ษาเรยี นรคู้ วามจรงิ อาจมคี วามยนิ ดยี นิ รา้ ย
ถอนความเห็นผิดและความยึดมั่นถือม่ันใน เกิดข้ึนบ้าง แต่ ไม่ติดข้องนานนัก สามารถ
ส่ิงทั้งปวงได้แล้ว การใช้อินทรีย์ทั้ง ๖ ก็ สละท้ิงความรู้สึกเช่นน้ันได้เร็ว แล้วก็มาเพ่ง
ย่อมเป็นการสังวรอยู่เองโดยธรรมชาติ พิจารณาความจริงของส่ิงนั้น เพ่ือเกิดปัญญา
เพราะอินทรีย์ของท่านผู้ท่ีรู้แจ้งความจริงแล้ว ยิง่ ๆ ขึน้

ย่อมไม่เที่ยวแส่ส่ายไปยึดถือติดข้องในอารมณ์
ต่างๆ ไม่เกิดความยินดียินร้ายในอารมณ

ท้ังปวง เพราะเข้าใจความจริงว่า สิ่งท้ังปวง
ว่างเปล่าจากตัวตน เป็นสิ่งที่ ไม่เที่ยง เป็น
ทุกข์ เป็นอนัตตา จึงเข้าไปเก่ียวข้องกับส่ิง
ต่างๆ ด้วยใจที่เป็นอิสระ ไม่สามารถทำดี
ทำชั่วได้ ทำได้แต่สิ่งที่เหนือดีเหนือช่ัวเท่าน้ัน
เป็นสักแต่การกระทำ เรียกว่ากิริยา ไม่เป็น
การกระทำด้วยอำนาจตัณหาอุปาทานอีก
ต่อไป ไม่มีการทำกรรมเกิดขึ้น ท่านเป็นพระ
อรหันต์ อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว มีกิจที่ควร
ทำได้ทำเสรจ็ แลว้


180

การพัฒนาอนิ ทรยี สังวร
สภุ ีร์ ทมุ ทอง

สำหรบั ผทู้ ปี่ ฏบิ ตั กิ รรมฐานทยี่ งั ไม่ใชพ่ ระอรยิ เจา้ การปฏบิ ตั กิ รรมฐาน ไมว่ า่ จะเปน็ สมถกรรมฐาน

ก็เป็นการฝกึ ฝนใหม้ ีสติ ปอ้ งกันกเิ ลสตา่ งๆ ให้ หรือวิปัสสนากรรมฐาน เป็นการฝึกให้มีสติ

จิตมีความสะอาด ปลอดโปร่ง เป็นสุข และ เม่ือมีสติคอยคุ้มครองจิต จะก่อให้เกิดอินทรีย

เป็นสมาธิ ช่วงนเี้ ป็นการปอ้ งกนั กเิ ลสใหม่ๆ ไม่ สังวรตามมาโดยอัตโนมัติ แต่ ในการปฏิบัติ

ให้เกิดข้ึน ไม่ให้กิเลสเข้ามาปิดบังจิต แล้วใช้ สมถะและวิปัสสนามีความแตกต่างกัน คือ

จิตท่ีมีสมาธิน้ันมามองดูความจริงของกายใจ สมถกรรมฐาน เป็นการมีสติคอยระลึกรู้อยู่ท่ี

และปรากฏการณ์ต่างๆ ท่ีเกิดข้ึน เพื่อให้เกิด อารมณ์เดียว ผลท่ีได้คือมีจิตท่ีสงบปราศจาก

ปัญญา เป็นการถอดถอนความเข้าใจผิด นวิ รณ์ มีความปลอดโปรง่ เบาสบาย มีกำลัง

ความหมายรู้ผิด ความยึดถือ ความยินดียิน และมีความสุข หากมีความแนบแน่นเป็นหน่ึง

ร้ายของท่านเหล่าน้ีก็ยังมีมากบ้างน้อยบ้าง มาก ก็ได้ฌานระดับต่างๆ เป็นการใส่ใจไปท่ี

ตามกำลังสติปัญญาของตน เมื่อฝึกให้มี สติ ตัวอารมณ์ เรียกว่าอารัมมณูปนิชฌาน ส่วน

ปัญญา สติปัญญาน้ันก็จะทำหน้าท่ีคุ้มครอง วิปัสสนากรรมฐาน เป็นการฝึกให้มีสติ มี

รกั ษาจติ โดยอตั โนมตั ทิ เี ดยี ว
สมาธิ เมื่อจิตมีสมาธิต้ังม่ันดีแล้ว ก็ให้ตาม

พิจาณารู้ท้ังนามและรูปให้เห็นความจริง คือ

เป็นไปตามกฎไตรลกั ษณ์ ผลท่ีไดค้ ือการเข้าใจ


ความจรงิ ของสภาวธรรม จติ หมดความเหน็ ผดิ
และหมดความยึดมั่นถือมั่นในนามรูป เป็นการ


ใส่ใจไปท่ีลักษณะของสภาวธรรม เรียกว่าลัก
ขณปู นิชฌาน





181

การพฒั นาอินทรยี สงั วร
สภุ รี ์ ทุมทอง

การฝึกสติโดยการปฏิบตั ิกรรมฐาน เป็นส่งิ ท่ีมี ภิกษุท้ังหลาย เพราะอาศัยจักขุและรูป จักขุ

ความจำเป็นมากท่ีสุดในการสร้างอินทรีย วิญญาณจึงเกิด ความประจวบแห่งธรรม ๓

สังวร เพราะหากรอให้อารมณ์กระทบเสีย เป็นผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัย สุข ทุกข์

ก่อน จึงค่อยสังเกตดูว่า จิตเกิดอภิชฌาและ
หรืออทุกขมสุขท่ีสัตว์เสวยจึงเกิด เขาอันสุข

โทมนัสหรือไม่ ย่อมไม่ทันกิเลส เพราะความ เวทนาถูกต้องแล้ว ย่อมเพลิดเพลิน เชยชม

เคยชินของกิเลสอันมีอวิชชาเป็นประธานน้ันมี ยึดติด บุคคลน้ันมีราคานุสัย (กิเลสอันนอน

มาก และเกิดอยู่เป็นประจำมานานแสนนาน เนือ่ งอยู่ในสนั ดานคอื ราคะ) นอนเนอ่ื งอยู่ อนั

จิตก็เป็นอนัตตาเกิดไปตามความเคยชิน จะ ทุกขเวทนาถกู ต้องแล้ว ยอ่ มเศรา้ โศก ลำบาก

บังคับให้เป็นไปตามใจก็ไม่ ได้ ถึงแม้จะไม่ รำ่ ไร ทบุ อก ครำ่ ครวญ ถงึ ความลุ่มหลง เขา

อยากมีกิเลส แต่กิเลสก็เกิดข้ึนเพราะเคยชิน มีปฏิฆานุสัย (กิเลสนอนเนื่องอยู่ในสันดานคือ

มานานทเี่ รยี กวา่ อนสุ ยั มนั เปน็ สงิ่ ทยี่ งั ละไม่ได้ ปฏิฆะ) นอนเนื่องอยู่ อันอทุกขมสุขเวทนาถูก

และตามไปในอารมณ์ต่างๆ เมื่อรับรู้อารมณ์ ต้องแล้ว ย่อมไม่รู้ชัดถึงความเกิดขึ้น ความ

แลว้ เกดิ ความรสู้ กึ ขนึ้ เปน็ ปฏกิ ริ ยิ าตอบสนองทดี่ ู เส่ือมไป คุณ โทษ และธรรมเป็นเครื่องสลัด

เปน็ อตั โนมตั ิ ดงั ทพี่ ระพทุ ธเจา้ ตรสั วา่
ออก จากเวทนาน้ันตามความเป็นจริง เขามี

อวิชชานุสัย (กิเลสนอนเน่ืองอยู่ในสันดานคือ


อวชิ ชา) นอนเน่ืองอย๓ู่ ๗










182

การพัฒนาอนิ ทรยี สังวร
สภุ ีร์ ทมุ ทอง

ดังน้ัน จึงต้องฝึกให้จิตมีสติอยู่กับกรรมฐาน ท่านพระมหากัจจายนเถระ ผูเ้ ป็นเลิศกว่าภกิ ษุ
โดยเฉพาะท่องเที่ยวอยู่ภายในกายของตนท่ี ทั้งหลายด้านขยายความธรรมะที่พระพุทธเจ้า
เรยี กวา่ กายคตาสต๓ิ ๘ เมอื่ จติ มสี ตริ อู้ ยภู่ ายใน ตรัสไว้ โดยย่อให้พิสดาร ได้แสดงการไม่
ตนม่ันคงดี ก็เป็นการสำรวมอายตนะท้ัง ๖ สำรวมอินทรีย์ ไม่มีการคุ้มครองทวารให้
อยู่ภายใน จิตไม่เท่ียวซัดส่ายออกไปภายนอก โลหิจจพราหมณ์ฟัง ท่านแสดงว่า ได้แก่ ผู้ที่
หากมอี ารมณก์ ระทบทางตา หู เปน็ ตน้ สติก็ รับรู้อารมณ์ทางทวารทั้ง ๖ แล้ว เกิดความ
จะเกิดเร็วขึ้น มีความสังวรมากข้ึน จนกระท่ัง ยินดียินร้ายขึ้นมา เป็นผู้ที่มีจิตไม่ตั้งม่ันอยู่ใน
รู้เท่าทันอารมณ์ท้ังหมด ไม่ว่าอารมณ์ ใดมา กายคตาสติ จิตซัดส่ายออกไปภายนอก ขณะ
กระทบ ก็มีสติรู้ทัน เป็นผู้มีอินทรียสังวรท่ี น้ันจิตเป็นอกุศลเกิดติดตามมา และเขาไม่รู้จัก
สมบรู ณ์ ดงั ตวั อยา่ งทา่ นพระมหาโมคคลั ลานะ วิธีทีจ่ ะทำใหจ้ ติ หลดุ พ้นไป ดังคำวา่

เจริญกายคตาสติ มีสติต้ังม่ันอยู่ ในภายใน

ตนอยู่ พระผู้มีพระภาคเห็นดังน้ัน จึงได้ทรง
เปล่งอุทานข้ึนว่า “ภิกษุที่เจริญกายคตาสติ
แน่วแน่ สำรวมในผัสสายตนะท้ัง ๖ มีจิตตั้ง
ม่นั เสมอ กจ็ ะพึงรู้การดับกเิ ลสของตนได้”๓๙








183

การพัฒนาอนิ ทรยี สังวร
สภุ รี ์ ทุมทอง

พราหมณ์ บคุ คลบางคนในโลกนี้ เหน็ รปู ทางตา ตามปกติของคนท่ัวไปนั้น จิตใจย่อมไหลไปใน
แลว้ ยอ่ มยนิ ดีในรปู ทน่ี า่ รกั ยอ่ มยนิ รา้ ยในรปู ท่ี รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสทางกาย และ
ไมน่ า่ รกั เปน็ ผู้ไมต่ ง้ั มน่ั กายคตาสติ มปี รติ ตจติ ธรรมารมณ์ท่ีน่าพอใจ ซ่ึงจิตท่ี ไหลออกไป

อยู่ และไม่รู้ชัดเจโตวิมุตติและปัญญาวิมุตติ เช่นน้ี เป็นลักษณะของจิตที่ถูกตัณหาครอบงำ
ตามความเป็นจริง อันเป็นท่ีดับไปโดยไม่เหลือ เพราะไม่มีสติรู้เท่าทัน ประเภทของตัณหาที่
แหง่ ธรรมทเ่ี ปน็ บาปอกศุ ลเหลา่ นน้ั ทเี่ กดิ ขน้ึ แลว้ แยกโดยอารมณม์ ี ๖ ประเภท คือ รปู ตัณหา
แกบ่ คุ คลนน้ั ฟงั เสยี งทางหู ฯลฯ ดมกลนิ่ ทาง สัททตัณหา คันธตัณหา รสตัณหา โผฏฐัพพ
จมูก ฯลฯ ลิ้มรสทางลิ้น ฯลฯ ถูกต้อง ตัณหา ธัมมตัณหา เป็นความอยาก ความ
โผฏฐพั พะทางกาย ฯลฯ รแู้ จง้ ธรรมารมณท์ าง ตอ้ งการ ความยึดตดิ ในอารมณ์ท้งั ๖

ใจแล้ว ย่อมยินดีในธรรมารมณ์ที่น่ารัก ย่อม

ยนิ รา้ ยในธรรมารมณท์ ่ีไมน่ า่ รกั เปน็ ผู้ไมต่ ง้ั มนั่
กายคตาสติ มีปริตตจิตอยู่ และไม่รู้ชัดเจโต
วิมุตติและปัญญาวิมุตติตามความเป็นจริง อัน
เป็นที่ดับไปโดยไม่เหลือแห่งธรรมที่เป็นบาป
อ กุ ศ ล เ ห ล่ า นั้ น ท่ี เ กิ ด ข้ึ น แ ล้ ว แ ก่ บุ ค ค ล นั้ น
พราหมณ์ บุคคลช่ือว่าไม่คุ้มครองทวารเป็น
อยา่ งนแี้ ล๔๐





184

การพัฒนาอนิ ทรยี สังวร
สภุ ีร์ ทมุ ทอง

อาการท่ีตัณหาไหลออกไปตามอารมณ์ ในทวารท้ัง ๖ เป็นการขาดสติ ไม่มีความสำรวมระวัง
อินทรยี ์ ทำใหเ้ กดิ กิเลสเกดิ ข้ึนติดตามมามากมาย สว่ นการเจรญิ กายคตาสตินั้นเพ่อื เปน็ การฝึก

สติ ทำใหม้ สี ตติ ้ังมั่นอยู่ภายในตน ป้องกนั รกั ษาอนิ ทรีย์ มขี ้อความทท่ี ่านพระมหากัจจายนเถระ

เไนดต้ขยตาปิ ยกครณวาว์ มา่ พ
ระพทุ ธพจนท์ ีว่ า่ สวนตฺ ิ สพพฺ ธิ โสตา๔๑ และ สติ เตสํ นิวารณํ๔๒ ไว้ในคัมภรี ์

ภกิ ษุทง้ั หลาย คำวา่ สวติ (ไหลไป) นแี้ ลเป็นชื่อของอายตนะภายใน ๖


จักษุ (ตา)

ย่อมไหลไปในรูปารมณท์ ี่นา่ พอใจ ยอ่ มขัดเคอื งในรูปารมณ์ท่ีตนไมช่ อบใจ

โสตะ (หู)

ยอ่ มไหลไปในสัททารมณท์ ่ีน่าพอใจ ยอ่ มขัดเคืองในสัททารมณ์ทต่ี นไมช่ อบใจ

ฆานะ (จมูก)

ย่อมไหลไปในคันธารมณท์ ี่น่าพอใจ ยอ่ มขัดเคอื งในคนั ธารมณท์ ีต่ นไมช่ อบใจ

ชิวหา (ลน้ิ )

ย่อมไหลไปในรสารมณ์ท่ีนา่ พอใจ ย่อมขดั เคืองในรสารมณ์ที่ตนไม่ชอบใจ

กายยอ่ มไหลไปในโผฏฐพั พารมณท์ นี่ า่ พอใจ ยอ่ มขดั เคอื งในโผฏฐพั พารมณท์ ต่ี นไมช่ อบใจ
ใจย่อมไหลไปในธัมมารมณท์ ่ีนา่ พอใจ ยอ่ มขัดเคืองในธมั มารมณ์ที่ตนไมช่ อบใจ

ย่อมไหลไปโดยอาการท้ังปวงอยา่ งน้ี เพราะฉะนน้ั ทา่ นจึงกลา่ ววา่

สวนฺติ สพพฺ ธิ โสตา (กระแส คอื ตัณหาทงั้ หลายยอ่ มไหลไปในอายตนะทงั้ ปวง)๔๓


185

การพฒั นาอินทรยี สังวร
สภุ รี ์ ทุมทอง

เมอ่ื บุคคลเจรญิ กายคตาสติ กระทำให้มากแล้ว

จักขุ (ตา)

ย่อมไมด่ ึงไปในรูปารมณท์ ่นี า่ ชอบใจ ย่อมไม่ขดั เคอื งในรปู ารมณ์ทตี่ นไม่ชอบใจ

โสตะ (ห)ู

ย่อมไม่ดงึ ไปในสัททารมณ์ทน่ี ่าชอบใจ ย่อมไม่ขดั เคืองในสทั ทารมณท์ ตี่ นไม่ชอบใจ

ฆานะ (จมกู )

ย่อมไม่ดงึ ไปในคันธารมณ์ทน่ี ่าชอบใจ ยอ่ มไมข่ ัดเคืองในคันธารมณท์ ีต่ นไมช่ อบใจ

ชวิ หา (ล้นิ )

ยอ่ มไมด่ ึงไปในรสารมณท์ ี่น่าชอบใจ ยอ่ มไม่ขดั เคืองในรสารมณท์ ีต่ นไม่ชอบใจ

กายยอ่ มไมด่ ึงไปในโผฏฐัพพารมณ์ที่น่าชอบใจ

ยอ่ มไมข่ ัดเคืองในโผฏฐพั พารมณ์ทตี่ นไม่ชอบใจ

ใจย่อมไมด่ งึ ไปในธมั มารมณท์ น่ี า่ ชอบใจ

ย่อมไม่ขัดเคืองในธัมมารมณ์ท่ีตนไมช่ อบใจ เพราะเหตุไร?

เพราะปอ้ งกนั รกั ษาอินทรียท์ ั้งหลาย (มจี กั ขเุ ปน็ ต้น)

ไว้ดีแล้ว กระแสทงั้ หลายมีตณั หาเป็นต้นเหล่านน้ั บุคคลจะป้องด้วยดดี ว้ ยธรรมอะไร?

ดว้ ยการรักษาคอื สติ เพราะฉะนัน้ พระผู้มีพระภาคเจา้ จึงตรสั วา่

สติ เตสํ นวิ ารณํ (สติเป็นเครอ่ื งก้ันกระแสคอื ตัณหาเหลา่ นั้น)๔๔


186

การพัฒนาอินทรยี สงั วร
สุภีร์ ทุมทอง

ตามข้อความอธิบายที่ยกมาน้ี แสดงให้เหน็ วา่
การฝึกสติด้วยกรรมฐานอย่างใดอย่างหน่ึง
ไม่ว่าจะเป็นสมถกรรมฐานหรือวิปัสสนากรรม
ฐาน โดยเฉพาะการมีสติพิจารณาอยู่ ใน
ขอบเขตกายของตน จะทำให้เกิดสติรู้เท่า
ทันอารมณ์ คือ ไม่เกิดการหลงชอบไป

ในอารมณ์ที่น่าพอใจและไม่ขัดเคืองในอารมณ์
ท่ี ไม่น่าพอใจ ซึ่งก็คือการเกิดอินทรียสังวร

ในทางทวารต่างๆ นั่นเอง เพราะการ
ทำกรรมฐานนั้นทำให้เกิดสติสัมปชัญญะ

มากย่ิงขึ้น และสติสัมปชัญญะนั้นเป็น

ปัจจัยให้เกิดอินทรียสังวร ดังพระพุทธพจน

ที่ว่า “สติสัมปชัญญะที่บริบูรณ์ ย่อมทำให

ความสำรวมอินทรีย์บริบูรณ์”๔๕ และว่า

“เม่ือสติสัมปชัญญะมี หิริและโอตตัปปะ

ของบุคคลผู้สมบูรณ์ด้วยสติสัมปชัญญะ ช่ือ
ว่ามีเหตุสมบูรณ์ เมื่อหิริและโอตตัปปะมี

อินทรียสังวรของบุคคลผู้สมบูรณ์ด้วยหิริและ

โอตตปั ปะ ชอ่ื ว่ามีเหตุสมบรู ณ์”๔๖


187

การพัฒนาอนิ ทรยี สังวร
สุภรี ์ ทุมทอง

(๒) ไม่ถือโดยนมิ ติ และอนุพยญั ชนะ


วิธีการนี้ถือเอาตามหลักปฏิบัติอินทรียสังวร ในพระบาลีท่ีพระพุทธเจ้าตรัสว่า น นิมิตฺตคฺคาหี,
นานุพฺยญฺชนคฺคาหี แปลว่า ไม่รวบถือ ไม่แยกถือ หากไม่มีการยึดถืออารมณ์ต่างๆ โดยนิมิต
และโดยอนุพยญั ชนะ อารมณ์ทมี่ าปรากฏทางตา หู จมกู ลนิ้ กาย และใจ ก็จะเป็นเพียงสักว่า
อารมณท์ ีถ่ ูกรับรเู้ ท่าน้ัน ผู้ปฏบิ ัติได้อยา่ งนจี้ ะไมถ่ กู อารมณ์นัน้ ครอบงำเอา แตห่ ากหลงลมื สติไป
ใส่ใจในนมิ ิตและอนุพยัญชนะเขา้ แล้ว ก็จะมีการเสวยความรสู้ ึก เข้าไปมสี ่วนร่วมเป็นจรงิ เปน็ จงั
กับอารมณน์ ั้น จิตกจ็ ะเกิดความยินดยี นิ ร้าย และเกดิ กิเลสตดิ ตามมา ดงั พระพทุ ธพจนว์ า่



เพราะเหน็ รูปจึงหลงลมื สติ

เมอ่ื ใส่ใจนิมติ ทนี่ า่ รัก

ก็มจี ติ กำหนดั เสวยอารมณ์นั้น ท้ังตดิ ใจอารมณ์นนั้ อยู่

เวทนาท่เี กดิ จากรูปจำนวนมากก็เจรญิ แกเ่ ขา

และจติ ของเขากถ็ กู อภชิ ฌาและวหิ งิ สาเขา้ ไปกระทบ

เมอื่ เขาส่ังสมทุกขอ์ ยอู่ ยา่ งนี้

บณั ฑติ กล่าวว่า ยงั หา่ งไกลนพิ พาน...๔๗



การทจ่ี ะไมต่ ดิ ในนมิ ติ และอนพุ ยญั ชนะของอารมณ์ไดน้ นั้ จะตอ้ งมกี ารฝกึ ฝนสตมิ าเปน็ อยา่ งด ี
ใหม้ สี ตวิ อ่ งไว ระลกึ ไดท้ นั ทว่ งทเี มอื่ มกี ารรบั รอู้ ารมณ์ และนำเอาปญั ญาความรตู้ า่ งๆ ที่ไดส้ งั่ สม
เอาไวจ้ ากการศกึ ษาและปฏบิ ตั ธิ รรม มาชว่ ยในการพจิ ารณาใหเ้ หน็ แจม่ แจง้ ตามความเปน็ จรงิ


188

การพัฒนาอนิ ทรยี สังวร
สภุ ีร์ ทมุ ทอง

(๓) เลือกอารมณ์


คณุ ธรรมทงั้ หลายรวมทั้งอนิ ทรียสังวรเปน็ สภาวธรรมอย่างหนง่ึ ซงึ่ อยู่ภายใต้กฎไตรลักษณ์ คือ
เป็นส่ิงที่ดำรงอยู่เพียงชั่วคราว เกิดเพราะเหตุปัจจัย เมื่อหมดเหตุปัจจัยก็ดับไป ไม่สามารถ
บังคบั บญั ชาใหเ้ กดิ ตามความต้องการได้ การท่จี ะปฏบิ ัตอิ นิ ทรยี สังวร คือ เห็นรูปทางตา ได้ยนิ
เสียงทางหู เป็นต้นแล้ว ไม่เกิดอกุศลคืออภิชฌาและโทมนัสก็ต้องอาศัยเหตุท่ีเหมาะสม การ
เลือกอารมณ์ก็เป็นเหตุอย่างหนึ่ง ที่จะทำให้การปฏิบัติอินทรียสังวรประสบความสำเร็จ
อารมณ์ ใดท่ีรับรู้แล้วทำให้เกิดอกุศลมากข้ึนกว่าเดิม ไม่ควรจะเข้าไปเสพอารมณ์น้ัน

ส่วนอารมณ์ ใดที่รับรู้แล้วทำให้เกิดกุศลมากข้ึน ควรจะเสพอารมณ์นั้น ดังเร่ืองท่ีพระผู้มี
พระภาคตรสั กับทา้ วสกั กะในสกั กปัญหสตู รว่า


ท้าวสักกะจอมเทพทรงช่ืนชมอนุโมทนาพระภาษิตของพระผู้มีพระภาค ดังนี้แล้ว ได้ทูลถาม
ปญั หาใหย้ ง่ิ ขึ้นไปวา่ “ข้าแต่พระองค์ผู้นริ ทุกข์ ภิกษปุ ฏบิ ัตอิ ย่างไร จึงจะช่ือวา่ ปฏบิ ัตเิ พ่ือสำรวม
อินทรยี ์”


พระผูม้ ีพระภาคตรัสตอบวา่ “จอมเทพ เรากลา่ วรูปที่พึงรู้แจ้งทางตาไว้ ๒ อย่าง คอื รูปท่ี
ควรเสพและรูปที่ ไม่ควรเสพ กล่าวเสียงทีพ่ ึงร้แู จง้ ทางหไู ว้ ๒ อยา่ ง คอื เสียงทคี่ วรเสพและ
เสียงท่ีไม่ควรเสพ กล่าวกลนิ่ ทพ่ี งึ รแู้ จง้ ทางจมกู ไว้ ๒ อยา่ ง คือ กลิ่นท่คี วรเสพและกลิ่นท่ีไม่
ควรเสพ กล่าวรสที่พึงรู้แจ้งทางลิ้นไว้ ๒ อย่าง คือ รสท่ีควรเสพและรสท่ีไม่ควรเสพ กล่าว
โผฏฐพั พะที่พึงรู้แจ้งทางกายไว้ ๒ อยา่ ง คือ โผฏฐัพพะที่ควรเสพและโผฏฐพั พะที่ไมค่ วรเสพ
กลา่ วธรรมารมณ์ทพี่ ึงรู้แจง้ ทางใจไว้ ๒ อย่าง คือ ธรรมารมณท์ ี่ควรเสพและธรรมารมณ์ที่ไม่
ควรเสพ”


189

การพัฒนาอินทรียสงั วร
สุภีร์ ทุมทอง

เม่ือพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างน้ี ท้าวสักกะ อรรถกถาของสกั กปญั หสูตร ไดข้ ยายข้อความ

จอมเทพได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังน้ีว่า ตอนนเ้ี อาไว้ สรปุ ความวา่


“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ย่อมรู้ชัด
เนื้อความแห่งพระภาษิตท่ีพระผู้มีพระภาค (๑) เมื่อดูรปู ใด ความรกั เป็นตน้ เกดิ ข้ึน ไมพ่ ึง
ตรสั ไว้โดยย่อน้ีได้โดยพิสดารอย่างนว้ี า่ “เมอื่ เสพ ไม่พึงแลดูรูปนั้น แต่เม่ือดูรูปใด ความ
บุคคลเสพรูปท่ีพึงรู้แจ้งทางตาเช่นใด อกุศล สำคัญว่าไม่งาม ย่อมต้ังม่ัน ความเลื่อมใส
ธรรมท้งั หลายเจรญิ ย่งิ ขึ้น กศุ ลธรรมทง้ั หลาย ย่อมเกิดขึ้น หรือการกลับได้ซ่ึงความสำคัญว่า
เสื่อมลง รูปที่พึงรแู้ จง้ ทางตาเช่นน้ีเป็นรปู ท่ีไม่ ไม่เทีย่ ง พงึ เสพรปู นั้น


ควรเสพ เม่ือบุคคลเสพรูปท่ีพึงรู้แจ้งทางตา (๒) เม่ือฟังเสียงที่มีอักษรวิจิตรก็ดี มี
เชน่ ใด อกศุ ลธรรมทงั้ หลายเสอื่ มลง กศุ ลธรรม พยญั ชนะวจิ ิตรก็ดี ย่อมเกดิ ความรกั เปน็ ตน้ ขนึ้
ทง้ั หลายเจรญิ ยงิ่ ขน้ึ รปู ทพี่ งึ รแู้ จง้ ทางตาเชน่ น้ี เสยี งเชน่ นนั้ ไมพ่ งึ เสพ แต่เมือ่ ฟังเสยี งใดแมแ้ ต่
เป็นรูปท่ีควรเสพ...เสียงที่พึงรู้แจ้งทางหู... เพลงขับของคนตักน้ำที่ประกอบด้วยอรรถ
กลิ่นที่พึงรู้แจ้งทางจมูก...รสที่พึงรู้แจ้งทาง ประกอบดว้ ยธรรม เกิดความเลื่อมใสข้ึน หรือ
ลน้ิ ...โผฏฐพั พะทพ่ี งึ รแู้ จง้ ทางกาย...ธรรมารมณ์ ความเบ่ือหน่ายย่อมตั้งมั่น เสียงเห็นปานน้ัน
ท่ีพงึ รแู้ จง้ ทางใจ ...๔๘
พึงเสพ



(๓) เมื่อดมกล่ินใด เกิดความกำหนัดเป็นต้น


ขนึ้ มา กลนิ่ อยา่ งนนั้ ไมพ่ งึ เสพ แตเ่ มอื่ ดมกลน่ิ ใด

ย่อมมีการกลับได้ความเข้าใจว่าไม่งามเป็นต้น

กลนิ่ อยา่ งนั้นพงึ เสพ





190


การพัฒนาอนิ ทรยี สังวร
สภุ ีร์ ทมุ ทอง

(๔) เม่ือลิ้มรสใด เกิดความกำหนัดเป็นต้นขึ้น พระอนรุ ทุ ธเถระ ๕๕ ป ี พระภทั ทยิ เถระ ๓๐

มา รสอย่างน้ันไม่พึงเสพ แต่เม่ือลิ้มรสใด ปี พระโสณเถระ ๑๘ ปี พระรัฏฐปาลเถระ

เกิดความเข้าใจว่า เป็นของปฏิกูลในอาหาร ๑๒ ปี พระอานนทเถระ ๑๕ ปี พระราหลุ เถระ

และย่อมอาศัยแรงกายเพราะรสท่ี ได้ล้ิมเป็น ๑๒ ป ี พระพากลุ เถระ ๘๐ ป ี พระนาฬกเถระ

ปัจจัยแล้วสามารถก้าวลงสู่อริยภูมิได้ หรือ ไมเ่ คยเหยยี ดหลังบนเตียงจนปรนิ ิพพาน


เม่ือบริโภคแล้วมีการส้ินกิเลสไป รสเห็นปาน (๖) เม่ือพิจารณาธรรมารมณ์ท่ีจะพึงรู้แจ้งได้

น้ันพึงเสพ
ด้วยใจเหล่าใด ย่อมเกิดราคะเป็นต้นข้ึนมา

(๕) เมื่อถูกต้องโผฏฐัพพะใด ย่อมเกิดราคะ หรือความเพ่งเล็งอยากได้เป็นต้น โดยนัย


เปน็ ตน้ ไมพ่ งึ เสพโผฎฐัพพะเชน่ น้นั แต่เมอื่ ถกู เป็นต้นว่า “ขอให้สมบัติที่น่าปลื้มใจของคน


ต้องสิ่งใด มีการสิ้นกิเลสเครื่องหมักดองได้ เหลา่ อน่ื จงเปน็ ของเราเถดิ ” อยา่ งน้ีไมค่ วรเสพ

เหมือนของพระสารบี ตุ รเถระเป็นต้น ทัง้ ความ แต่การพิจารณาด้วยความเมตตาเป็นต้นว่า


เพียร ก็ได้รับการประคับประคองไว้เป็นอย่าง “ขอให้พวกสัตว์ท้ังหมด จงเป็นผู้ ไม่มีเวรกัน

ดี และทั้งประชุมชนในภายหลังก็ย่อมได้รับ เถิด” ธรรมเห็นปานนี้เหล่านั้นพึงเสพ ท่านได้

การอนุเคราะห์ด้วยการดำเนินตามเยี่ยงอย่าง ยกตัวอย่างพระเถระ ๓ รูปที่ประกอบอยู่ใน

ท่ี ได้เห็น โผฎฐัพพะเห็นปานน้ันพึงเสพ ใน ธรรมารมณท์ คี่ วรเสพ ดังตอ่ ไปนี


เร่ืองเก่ียวกับโผฏฐัพพะน้ี ท่านพระอรรถกถา

จารย์ยกตัวอย่างดังน้ี พระสารีบุตรเถระไม่

เคยเหยียดหลังบนเตียงตลอด ๓๐ ปี พระ

มหาโมคคัลลานเถระก็เหมือนกัน พระมหา

กสั สปเถระไมเ่ คยเหยยี ดหลังบนเตียง ๑๒๐ ปี


191

การพัฒนาอนิ ทรียสงั วร
สภุ รี ์ ทมุ ทอง

พระเถระ ๓ รูป ในวนั เขา้ พรรษาได้วางกฎไว้ นอกจากทรงแสดง สิ่งท่ีควรเสพและไม่ควร
ว่า ความตรึกท่ีเป็นอกุศลมีความตรึกถึงความ เสพ โดยอารมณ์ท้ัง ๖ นี้แล้ว ในเสวิตัพพา

ใคร่เป็นต้น พวกเราไม่พึงตรึก คร้ันในวัน เสวติ พั พสูตร พระผู้มีพระภาคทรงแสดงเกย่ี ว
ปวารณา พระเถระในสงฆ์ถามผู้ใหม่ในสงฆ์ กับสิ่งท่ีควรเสพและไม่ควรเสพแง่มุมอ่ืนอีก
ว่า “คุณ ในเดอื นนี้ คุณใหจ้ ิตวงิ่ วนไปก่ีแหง่ ” ซ่ึงเป็นส่ิงท่ีเก่ียวข้องกับชีวิตประจำวันของพระ
พระเถระรูปที่ ๑ เรียนว่า “ท่านขอรับกระผม ภกิ ษุ ประกอบด้วยจวี ร บิณฑบาต เสนาสนะ
ไม่ได้ให้วิ่งออกนอกเขตบริเวณวัด” พระเถระ หมบู่ า้ น นิคม นคร ชนบท บคุ คล ซงึ่ จะตอ้ ง
ในสงฆ์จึงถามรูปท่ี ๒ ว่า “ของคุณกี่แห่ง”
เลือกใช้สอยและเสพให้เหมาะสม เพื่อให้การ
รปู ที่ ๒ นนั้ ตอบว่า “ทา่ นขอรบั กระผมไม่ได้ ปฏบิ ัติอินทรียสังวรประสบผลสำเร็จ คอื หาก
ใหว้ งิ่ ไปนอกทอี่ ย”ู่ ครน้ั แลว้ พระเถระทง้ั ๒ รปู เสพแล้ว กศุ ลธรรมเสอ่ื มลง อกุศลธรรมเจริญ
ก็พากันถามพระเถระบ้างว่า “ของท่านเล่า ขึ้น ก็ไม่ควรเสพ หากเสพแลว้ อกศุ ลธรรม
ขอรับ” พระเถระตอบว่า “ผมไม่ได้ให้ว่ิงออก เสอื่ มลง กศุ ลธรรมเจรญิ ขนึ้ กค็ วรเสพ ซง่ึ
นอกขันธ์ ๕ หมวดท่ีแนบแน่นในภายใน” หากผู้ใดรู้และปฏิบัติตามเช่นน้ี ก็จะเป็นไป
ทา่ นทัง้ ๒ รูปจึงเรียนวา่ “ท่านขอรบั ท่านได้ เพอ่ื ประโยชนแ์ ละความสขุ ตลอดกาลนาน๕๐

ทำส่ิงท่ีทำได้ยากแล้ว พึงเสพธรรมที่พึงรู้แจ้ง
ได้ดว้ ยใจเห็นปานน้ีไว้เถดิ ”๔๙








192

การพฒั นาอนิ ทรยี สงั วร
สภุ รี ์ ทุมทอง

(๔) หลบหลีกอารมณ์



การหลบหลีกอารมณ์น้ีเป็นวิธีการกันไว้ดีกว่า สำหรับพระภิกษุ มีอุบายสำหรับหลบหลีก
แก้ เป็นการปฏิบัติด้วยความไม่ประมาท อารมณ์ท่ีหลากหลาย เช่น เม่ือรู้สึกว่าจีวรสี
ความไมป่ ระมาทระวังเอาไวก้ อ่ น จะทำใหก้ าร สวยจนเกิดความพอใจในสีของจีวรตน ก็นำไป
ปฏบิ ตั ปิ ระสบผลสำเรจ็ ได้ เพราะหากประมาท ย้อมจนเห็นว่าไม่สวยและไม่เกิดความพอใจใน
เลินเล่อไป ผิดพลาดเพียงคร้ังเดียวอาจจะทำ สีจวี รนนั้ หากรับนิมนต์ ไปในที่ใดแลว้ รวู้ ่าจะ
ให้ต้องเสียใจในภายหลัง หรือหากเป็นพระ ได้เห็นรูป ได้ฟังเสียง ได้กลิ่น ลิ้มรสที่น่า
ภิกษุก็อาจทำให้ต้องลาสิกขาออกมาเป็น ติดใจทำให้ติดข้องในสิ่งน้ันๆ ก็อย่ารับนิมนต์
คฤหัสถ์ ความประสงค์ท่ีจะบวชมาเพื่อปฏิบัติ หรือให้พระรูปอ่ืนไปแทน หากสถานท่ีซ่ึงไม่
ธรรมก็ไม่ประสบความสำเร็จ ระวงั เอาไวก้ ่อน เหมาะสมก็ให้หลีกเล่ียง สถานที่ซ่ึงภิกษุควร
จึงเป็นการดีกว่า ความประมาทน้ันเป็นทาง จะหลีกเล่ียง ไม่ควรเข้าไปเรียกว่าอโคจร
แห่งความตาย๕๑ และทำให้ประสบความ ภิกษุผู้เข้าไปในท่ีอโคจรมีรายละเอียดดังพระ
เสื่อมประการต่างๆ พระพุทธองค์ตรัสเร่ือง บาลวี ่า

การไม่คลุกคลีด้วยหมู่คณะ ไม่คลุกคลีกับพวก
คฤหัสถ์ตา่ งๆ เอาไว้ เพือ่ เป็นการปอ้ งกนั กเิ ลส
ท่ีจะเกิดขึน้ เพราะตอนคบกันแรกๆ กิเลสอาจ
จะไม่รุนแรง ดูเหมือนไม่มีอะไร แต่เมื่อนานๆ
ไป หลงลมื สติ กเ็ กิดเป็นอนั ตรายไดม้ าก





193

การพัฒนาอินทรียสังวร
สุภีร์ ทมุ ทอง

อโคจร เปน็ ไฉน ภกิ ษุบางรูปในธรรมวนิ ยั น้เี ป็นผมู้ หี ญงิ แพศยาเปน็ โคจร มีหญิงหม้ายเปน็ โคจร
มสี าวเท้ือเป็นโคจร มบี ัณเฑาะกเ์ ป็นโคจร มีภิกษณุ เี ปน็ โคจร หรอื มีรา้ นสุราเป็นโคจร เปน็ ผอู้ ยู่
คลุกคลกี บั พระราชา มหาอำมาตยข์ องพระราชา เดยี รถยี ์ สาวกเดยี รถีย์ ด้วยการคลกุ คลกี บั
คฤหัสถ์ท่ีไม่สมควร หรือเสพ คบ เข้าไปนั่งใกล้ตระกูล ที่ไม่มีศรัทธา ไม่เลื่อมใส ไม่เป็นดุจ
บอ่ น้ำ มกั ด่าและบริภาษ ปรารถนาแตส่ ิง่ ทีม่ ิใช่ประโยชน์ ปรารถนาแตส่ ่งิ ท่ีไม่เกอื้ กูล ปรารถนา
แต่สง่ิ ท่ีไมผ่ าสกุ ไมป่ รารถนาความหลุดพ้นจากโยคะแก่พวกภิกษุ ภิกษณุ ี อบุ าสกและอบุ าสกิ า
เช่นน้ัน นเี้ รยี กว่า อโคจร๕๒

(๕) เผชญิ หนา้ อย่างมีสต

สติ หมายถงึ ความระลกึ ได้ ความนึกได้ ไมห่ ลงลมื ไมป่ ล่อยให้ใจลอย สตมิ คี วามสำคญั ในการ
กระทำทุกๆ อย่าง ทำให้โอกาสท่ีจะเกิดความผิดลดลงได้ เม่ือมีความจำเป็นต้องเผชิญหน้า
กับอารมณอ์ ย่างหลีกเล่ียงไม่ ได้ ก็ควรตัง้ สติไว้ในแงม่ ุมท่ีถกู ตอ้ ง เพือ่ เป็นการป้องกันกิเลส
การตง้ั สติเมอ่ื ต้องเผชิญหนา้ กับอารมณน์ ี้ เปน็ การปฏบิ ตั ติ ามแนวที่พระผ้มู ีพระภาคตรสั ตอบแก่
ทา่ นพระอานนท์ในเรอื่ งการปฏบิ ัตติ ่อสตรที ว่ี า่


194

การพฒั นาอนิ ทรียสงั วร
สุภีร์ ทมุ ทอง

ทา่ นพระอานนท์ทูลถามวา่

“พวกขา้ พระองคจ์ ะปฏิบัตติ ่อสตรีอย่างไร พระพทุ ธเจา้ ข้า”

พระผูม้ พี ระภาคตรัสตอบวา่

“อย่าดู”

“เมอ่ื จำต้องดู จะปฏิบตั ิอยา่ งไร พระพทุ ธเจ้าข้า

“อย่าพูดดว้ ย”

“เมอื่ จำตอ้ งพดู จะปฏบิ ตั อิ ย่างไร พระพทุ ธเจ้าขา้ ”

“ตอ้ งตั้งสติไว้”๕๓


ลกั ษณะการต้ังสติไว้ คือ การตัง้ จิตเอาไว้ให้เหมาะสมในสตรีทง้ั หลาย สตรีอายมุ ากคราวแม ่
กต็ ้ังจติ ไว้ว่าเป็นดังแม่ สตรีอายุมากคราวพก่ี ็ตั้งจติ ไว้วา่ เปน็ พส่ี าว สตรีอายคุ ราวน้องกต็ ัง้ จิตไว้
ว่าเป็นน้องสาว ดังเช่นท่ีท่านพระปิณโฑลภารทวาชะตอบแก่พระเจ้าอุเทน ถึงวิธีการที่จะทำให้
ภกิ ษุหนมุ่ สามารถประพฤติพรหมจรรย์ ในเพศพระภกิ ษุได้จนตลอดชวี ิต คอื ตงั้ จิตไว้ในสตรที ้ัง
หลายคราวมารดาว่าเป็นมารดา ต้ังจิตไว้ในสตรีท้ังหลายคราวพ่ีสาวน้องสาวว่าเป็นพ่ีสาวน้อง
สาว ต้ังจิตไว้ในสตรีท้งั หลายคราวธิดาวา่ เปน็ ธดิ า๕๔


195

การพัฒนาอินทรยี สังวร
สภุ รี ์ ทุมทอง

(๖) เผชิญหนา้ เอาชนะอารมณ



การเอาชนะอารมณ์ ไม่ได้มุ่งหมายจัดการท่ีตัว การปฏิบัติธรรมเพ่ือให้ถึงการพ้นทุกข์น้ัน
อารมณ์ เพราะตัวอารมณ์ท่ีรับรู้นั้นเป็นสิ่ง เป็นการรจู้ ักอารมณ์ตามทเี่ ป็นจรงิ ว่า เป็นสง่ิ ที่
ภายนอก ส่วนการปฏิบัติธรรมมุ่งการ ไม่เทีย่ ง เป็นทกุ ข์ และเป็นอนตั ตา เมื่อรู้ความ
ขัดเกลา ปรับปรุง เปลี่ยนแปลง สภาวะ จริง จิตใจก็จะหมดความเห็นผิดและละความ
จิตใจซึ่งเป็นส่ิงที่อยู่ภายใน การเอาชนะ ยึดม่ันถือมั่นได้ในที่สุด การหลบหลีกอารมณ์
อารมณ์ ในท่ีนี้จึงหมายถึงการที่ประสบกับ อันเป็นข้าศึก เป็นประโยชน์ ในการเร่ิมฝึก
อารมณ์แล้ว สามารถท่ีจะวางจิตได้อย่าง
ปฏิบัติ แต่การที่จะหลบอารมณ์ตลอดเวลาน้ัน
ถูกต้องต่ออารมณ์น้ัน เร่ิมต้ังแต่การไม่หลง เป็นไปไม่ได้ ย่อมต้องมีโอกาสเจอกับอารมณ์
ชอบ ไม่หลงชังในตัวอารมณ์นั้น จนกระท่ัง
อันเป็นข้าศึกเป็นบางคร้ัง ดังนั้น ในการฝึก
ถึงการรู้จักอารมณ์ตามความเป็นจริง หมด ปฏิบัติจึงต้องมีการพิสูจน์ตนเองอยู่เสมอ
ความยึดม่ันถือม่ัน ตามปกติคนเราต้องม
ี โดยเร่มิ จากอารมณ์ที่ไม่รุนแรงนกั หัดเอาชนะ
การเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น รู้รส ถูกต้องสัมผัส อารมณ์เหล่าน้ัน แล้วก็เปลี่ยนเป็นอารมณ์ท่ี
ทางกาย และการรับรู้อารมณ์ทางใจเป็น รนุ แรงมากข้ึน หากรตู้ วั ว่า ยงั ไมส่ ามารถทีจ่ ะ
ประจำอยู่แล้ว การท่ีสามารถเอาชนะจิตใจ เอาชนะอารมณ์ ใดได้ หากเป็นไปไดก้ ็ควรหลบ
ตนเองเม่ือมีการรับรู้อารมณ์ทางทวารท้ัง หลีกก่อน หรือหากหลบหลีกไม่ ได้ ก็ควร
๖ น้ี จงึ เปน็ การชนะอันยอดเย่ียม เปน็ การ เตรียมหาวธิ ีการปอ้ งกนั เอาไว

ชนะจากภายในตนเอง ทำให้จิตใจไม่เป็น
ทุกข์ ประเสรฐิ กวา่ การชนะข้าศกึ ภายนอก





196

การพฒั นาอนิ ทรยี สงั วร
สภุ รี ์ ทุมทอง

การฝึกสติเป็นส่ิงสำคัญในการฝึกเผชิญหน้า การจะเอาชนะอารมณ์น้ัน อาจใช้วิธีการ

เอาชนะอารมณ์นี้ ถ้าขาดการระลึกหรือรู้สึก ลงโทษจิตใจอย่างตรงไปตรงมา เพื่อเป็นการ

ตัวแล้วจะไม่สามารถทำสำเร็จได้เลย ดังน้ัน ฝึกฝนจิตใจตนเอง เช่น เมื่ออาหารชนิดที่

ผู้ปฏิบัติจึงต้องฝึกสติ มีความระลึกรู้สึกตัว ถูกปากมาวางไว้อยู่เฉพาะหน้า ถ้าความพอใจ

ตามดูกายและใจของตนเองอยู่เสมอ แล้วก็ ด้ินรนยังไม่ระงับ ก็ยังไม่รับประทาน จะ

ออกมาเผชิญหน้ากับอารมณ์เพื่อพิสูจน์ตนเอง พิจารณาโดยความเป็นธาตุหรือความเป็น

โดยเร่ิมจากสิ่งที่ง่ายก่อน แล้วจึงขยับไปหา ปฏิกูล จนความอยากระงับเป็นปกติเสียก่อน

อารมณ์ที่ยากข้ึนอย่างค่อยเป็นค่อยไป หาก จงึ ลงมือรับประทาน


พา่ ยแพต้ ่ออารมณ์ ใด ก็ไม่ควรที่จะท้อแท้ ให้
พยายามฝึกสติต่อไป แล้วก็มาพิสูจน์ตนเอง หากเกิดความรู้สึกพอใจติดข้องเป็นต้น ก็บอก
ใหม่ ด้วยการปฏิบัติเช่นนี้ จะทำให้รู้จัก ความรู้สึกของตนต่อครูอาจารย์หรือเพื่อนพระ
ตนเองตามความเป็นจริง ไม่หลงตนเองว่า ภิกษุ โดยไม่ต้องกระดากอายแต่อย่างใด

เป็นผู้ที่มีอินทรีย์แก่กล้า เพราะบางครั้งเม่ือ ในไม่ช้าจะหมดความรู้สึกชนิดน้ัน เอาชนะ

หลบอารมณ์ออกไป ก็ดูมีความสงบและไม่มี ล่วงหน้าเสียก่อนทุกอย่าง ถ้าไม่ชนะก็จะ
กิเลสเข้ามารบกวน อาจจะเกิดการคิดเข้าข้าง ทรมานจนชนะให้ได้


ตนเองได้ว่า มีคุณธรรมมากจนไม่มีกิเลสแล้ว รู้สึกโกรธยุงก็ทนให้ยุงกัดจนหายโกรธ ขี้เกียจ
ต่อเม่ือมาประสบกับอารมณ์นั่นแหละจึงจะ ก็ทำเรื่อยไปจนหายขี้เกียจ ทุกอย่างต้องทำ
ทำใหร้ ู้ความจริง
ด้วยความมานะอดทน ในท่สี ดุ ก็จะกลายเป็นผู้


ท่ีไมห่ วั่นไหวได้


197

การพฒั นาอนิ ทรยี สงั วร
สุภรี ์ ทุมทอง

พระวินัยบางสิกขาบทที่พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติไว้ เพ่ือเป็นการกันไม่ให้เกิดความผิดพลาด
ท่ีรุนแรงเม่ือภิกษุต้องเจอกับอารมณ์ข้าศึก โดยเฉพาะเพศหญิง เช่น เร่ืองการห้ามอยู่กับหญิง
สองต่อสองในท่ีลับตาและในที่ลับหู๕๕ ก็เพ่ือป้องกันไม่ภิกษุเกิดการทำผิด เพราะภิกษุบางรูปยัง
ไม่หมดกิเลส เมื่อต้องพบเจอหรือพูดคุยกับผู้หญิงอาจจะเกิดกิเลสอย่างรุนแรง สามารถทำ
ความผิดก้าวลว่ งสกิ ขาบทได้ แต่หากอยู่ในสถานท่ซี ่งึ มีบุคคลอน่ื เห็นได้ หรอื ไดย้ ินเสียงพูดได้๕๖

กเ็ ปน็ เคร่ืองช่วยปอ้ งกันไดอ้ ีกทางหนึง่

(๗) ปฏิบัติตามวนิ ยั โดยเคร่งครดั

วินัยที่พระผูม้ พี ระภาคทรงบัญญัติเอาไว้น้ัน เปน็ การวางกฎเกณฑอ์ ย่างเหมาะสมกับการท่จี ะทำ
ให้จิตใจก้าวหน้าไปในคุณธรรมเบื้องสูงได้โดยง่าย หากสามารถที่จะสำรวมระวัง ประพฤติ
ปฏิบัติวินัยท่ีพระองค์ทรงวางเอาไว้ จะทำให้เป็นผู้ท่ีมีสติรู้เท่าทันความเหมาะสมและ

ไม่เหมาะสมในการกระทำ การพูด ซ่ึงเป็นการฝึกให้จิตมีอินทรียสังวรได้ง่ายขึ้น และเป็นส่วน

เบอ้ื งตน้ ทสี่ ำคัญท่จี ะทำให้มกี ารปฏิบัตอิ นิ ทรียสงั วร





198

การพฒั นาอินทรียสงั วร
สุภีร์ ทุมทอง

วนิ ยั ทเ่ี ปน็ เครอื่ งชว่ ยในการปฏบิ ตั อิ นิ ทรยี สงั วรนนั้ เหน็ ไดช้ ดั เจนมากในพระบญั ญตั ทิ เ่ี ปน็ สกิ ขาบท
ของพระภิกษุและภิกษุณี ทั้งท่ีมาในพระปาติโมกข์และข้อปฏิบัติปลีกย่อยนอกพระปาติโมกข์ท่ี
เรียกว่าอภิสมาจาร ถึงกระน้ันก็ดี แม้คฤหัสถ์มีศีล ๘ ก็ก่อให้เกิดอินทรียสังวรได้เป็นอย่างดี
เช่นเดียวกัน การไม่รับประทานอาหารในเวลาวิกาลตามสิกขาบทข้อที่ ๖ จะทำให้มีความ
สะดวกสบาย ไมต่ ้องเสียเวลาแสวงหาอาหาร การไมท่ ดั ทรงดอกไม้ ไม่ลบู ไลด้ ้วยของหอม และ
ไม่ดกู ารละเลน่ อันเปน็ ขา้ ศกึ ต่อกศุ ลตามสกิ ขาบทข้อที่ ๗ จะทำให้ไม่มคี วามยุ่งยากดา้ นการแตง่
ตวั จนเกนิ ไป เพราะการขวนขวายในการแต่งตัวใหด้ ูสวยงาม เป็นเหตนุ ำมาซ่งึ ความตดิ ข้อง ใน
รา่ งกาย การเทยี่ วดูการละเลน่ กเ็ ป็นเหตใุ หเ้ กดิ อกศุ ลจิตได้โดยง่าย การไม่นง่ั นอนบนทีน่ ั่งที่นอน
อันใหญ่และวิจิตรสวยงามตามสิกขาบทข้อท่ี ๘ จะทำให้ลดความติดข้องในความสะดวกสบาย
ลดความตดิ สขุ ทางกายสมั ผสั รวมทั้งไมต่ ดิ ใจในการนอนมากเกินไป


มีพระวินัยของพระภิกษุเป็นอันมากท่ีช่วยให้เกิดอินทรียสังวร เป็นการฝึกสติให้มีการสำรวม
ระวังในการกระทำทางกาย ทางวาจา แม้วินัยบัญญัติจะเป็นเร่ืองเก่ียวกับความประพฤติทาง
กายและวาจา แต่ก็ช่วยให้มีสติได้มาก เพราะการจะกระทำทางกายทางวาจาก็ออกมาจากจิต
เมื่อหัดระมัดระวังความประพฤติทางกาย วาจา ก็เป็นการทำให้มีสติอยู่กับการกระทำ
บ่อยๆ ไม่กระทำทางกายและพูดด้วยความหลงลืมสติ ต้องคอยตรวจตราตนอยู่เสมอ
เป็นการฝึกสติขั้นต้น เพ่ือก้าวไปสู่การฝึกให้มีสติรู้เท่าทันเม่ือมีการรับรู้อารมณ์ทางทวารท้ัง ๖
ซ่ึงเป็นอินทรยี สงั วรอันแทจ้ รงิ ต่อไป





199

การพฒั นาอนิ ทรยี สังวร
สภุ ีร์ ทุมทอง

ในเสขยิ วตั ร ๗๕ ประการ แสดงถงึ มารยาท พระวินัยบัญญัติบางข้อ บัญญัติให้ทำลาย
อันดีงาม เม่ือพระภิกษุจะแสดงออกทางกาย สีสันอันสวยงามของบริขารเครื่องใช้ เพื่อ
และวาจา จะต้องสำรวมระวังเป็นอย่างมาก ทำให้ลดความติดข้องในส่ิงสวยงามได้อีกทาง
หากจงใจทำผิดพลาดต้องอาบัติทุกกฎ โดยมี หน่ึง เช่น ทรงให้ตัดจีวรเป็นท่อนแล้วเย็บต่อ
หัวข้อครอบคลุม การนุ่งห่ม การเดิน การน่ัง กัน โดยออกแบบเหมือนคันนาของชาวมคธ๗๐
การมอง การบิณฑบาต การฉัน การพูด การจำกัดสีของจีวร ร่ม รองเท้า ที่กรองน้ำ
การแสดงธรรม เช่น ครองอันตรวาสกให้ การให้เผาระบมบาตรเสียก่อนจึงนำมาใช้สอย
เรียบร้อย๕๗ ครองอุตตราสงค์ ให้เรียบร้อย๕๘ ได้ เป็นตน้

ปกปิดกายให้ดีไปในละแวกบ้าน๕๙ ปกปิดกาย
ให้ดี น่ังในละแวกบ้าน๖๐ สำรวมดี ไป ใน
ละแวกบ้าน สำรวมดี น่ังในละแวกบ้าน๖๑
ทอดจักษลุ ง ไปในละแวกบา้ น๖๒ มจี กั ษุทอดลง
น่ังในละแวกบ้าน๖๓ ไม่เวิกผ้า ไปในละแวก

บ้าน๖๔ ไม่นงั่ เวกิ ผา้ ในละแวกบา้ น๖๕ ไมห่ ัวเราะ
ดัง ไปในละแวกบ้าน๖๖ ไม่น่ังหัวเราะดังใน
ละแวกบ้าน๖๗ พูดเสียงเบาในละแวกบ้าน๖๘
น่ังพดู เสียงเบาในละแวกบ้าน๖๙ เป็นตน้








200

การพฒั นาอินทรยี สงั วร
สุภีร์ ทุมทอง


Click to View FlipBook Version