The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by นิอามีรา นิเฮาะ, 2023-10-24 04:46:51

E-book

E-book

จิตวิท วิ ยาสำ หรับครู เสนอ อาจารย์ เขมินต์ธาราภรณ์ บัวเพ็ชร จัดทำ โดย นางสาว นิอามีรา นิเฮาะ รหัสนักศึกษา 6506510125


คำ นำ หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) เล่มนี้จัดทำ ขึ้นเพื่อประกอบการ เรีย รี นการสอนในรายวิช วิ าจิตวิท วิ ยาสำ หรับครู รหัส600-106 ผู้จัดทำ ได้ รวบรวมข้อมูลเพื่อให้เกิดการเรีย รี นรู้ และความเข้าใจในเนื้อหามากขึ้น ดิฉันหวังว่าหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-Book) เล่มนี้จะทำ ให้ทุก ท่านเห็นความตั้งใจถึงการกระทำ ผลงานทุกชิ้นในเล่มนี้ หากผิดพลาด ประการใดต้องขออภัย ณ ที่นี้ด้วย ผู้จัดทำ นางสาว นิอามีรา นิเฮาะ


สารบัญ เรื่อ รื่ ง หน้า ความรู้เบื้องต้นเรื่อ รื่ งจิตวิท วิ ยา ปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรม พัฒนาการของมนุษย์ ความจำ มนุษย์ การคิด,เชาว์ปัญญา การรับรู้ การเรีย รี นรู้ จิตวิท วิ ยาการจัดการเรีย รี นรู้ การจัดการเรีย รี นรู้สำ หรับเด็กปกติ การจัดการเรีย รี นรู้สำ หรับเด็กพิเศษ แรงจูงใจ การแนะแนว การให้คำ ปรึก รึ ษา การศึกษารายกรณี การสร้างแรงบันดาลใจใฝ่เรีย รี น 3 13 22 35 44 55 63 80 90 97 105 112 121 137 147


ความรู้เรู้บื้อ บื้ งต้น ต้ (Psychology) เรื่อ รื่ งจิต จิ วิท วิ ยา บทที่1ที่ 4


จิตวิท วิ ยา คือ วิช วิ าที่ศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมหรือ รื กิริย ริ าอาการของ มนุษย์ รวมถึงความพยายามที่จะศึกษาว่า ว่ มีอะไรบ้างหรือ รื ตัวแปรใด บ้างในสถานการณ์ใดที่เกี่ยวข้องกับการทำ ให้เกิดพฤติกรรมต่างๆ ของบุคคลซึ่งข้อมูลดังกล่าวจะทำ ให้สามารถคาดคะเนหรือ รื พยากรณ์ ได้ซึ่งจะช่วยลดพฤติกรรมเบี่ยงเบนอันอาจจะก่อให้เกิดปัญหาใน อนาคต โดยใช้แนวทางหรือ รื วิธี วิธี การทางวิท วิ ยาศาสตร์เป็นเครื่อ รื่ งมือ ช่วยในการช่วยวิเ วิ คราะห์ มีนักจิตวิท วิ ยาหลายท่านที่ได้รับการยอมรับ และใช้ทฤษฎีของเขามาจนปัจจุบัน ความหมายของจิต จิ วิท วิ ยา 5


ความหมายของจิตวิท วิ ยา ได้มีผู้ให้ความหมายของจิตวิท วิ ยาไว้หลายท่านด้วยกัน วิล วิ เลี่ยม เจมส์ (William James) อธิบายว่า ว่ จิตวิท วิ ยาเป็นวิช วิ าที่ว่า ว่ ด้วยกิริย ริ า อาการ ของมนุษย์ ฮิลการ์ด (HilGard) อธิบายว่า ว่ จิตวิท วิ ยา หมายถึง ศาสตร์ที่ศึกษาในเรื่อ รื่ งที่เกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์ และสัตว์ จอห์น บี.วัต วั สัน ว่า ว่ จิตวิท วิ ยา เป็นวิช วิ าที่ศึกษาเกี่ยว กับพฤติกรรม มอร์แกรน (Morgan) กล่าวว่า ว่ จิตวิท วิ ยาเป็นศาสตร์ที่ ว่า ว่ ด้วยกรรมมนุษย์สัตว์ 6


ความสำ คัญของจิตวิท วิ ยา จิตวิท วิ ยาเป็นศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมมนุษย์ ดังนั้นผู้ศึกษา วิช วิ าจิตวิท วิ ยาจึงสามารถนำ เอาความรู้ไปใช้ได้อย่างกว้า ว้ งขวาง ไม่ว่า ว่ จะเป็น ครอบครัวและ สถานที่ทำ งาน ตลอดจนมีความสำ คัญต่อการประกอบ อาชีพต่างๆ ทั้งนี้เพราะหลักการทางจิตวิท วิ ยาสามารถนำ ไปประยุกต์ใช้ได้ กับงานต่างๆ มากมาย ความสำ คัญและคุณค่าของวิช วิ าจิตวิท วิ ยา เกี่ยวข้องกับชีวิต วิ มนุษย์ในด้านต่างๆ ดังต่อไปนี้ จิตวิท วิ ยาช่วยให้ผู้ศึกษาเกิดความเข้าใจตนเอง โดยธรรมชาติของมนุษย์นั้น มักให้ ความสนใจตนเองมากกว่า ว่ ผู้อื่นและอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับตนเอง การศึกษาจิตวิท วิ ยาซึ่ง ให้คำ ตอบเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์ในแง่มุมต่างๆ จิตวิท วิ ยาช่วยให้ผู้ศึกษาเกิดความเข้าใจตนเอง โดยธรรมชาติของมนุษย์นั้น มักให้ความ สนใจตนเองมากกว่า ว่ ผู้อื่นและอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับตนเอง การศึกษาจิตวิท วิ ยาซึ่งให้คำ ตอบเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์ในแง่มุมต่างๆ จิตวิท วิ ยาช่วยให้ผู้ศึกษาเกิดความเข้าใจผู้อื่น ศาสตร์ทางจิตวิท วิ ยาซึ่งเป็นข้อสรุป ธรรมชาติพฤติกรรมของคนส่วนใหญ่ นอกจากช่วยให้ผู้ศึกษาเกิด ความเข้าใจ พฤติกรรม ของบุคคลทั่วไปแล้ว ยังเป็นแนวทางให้เข้าใจพฤติกรรมของผู้ที่อยู่แวดล้อมด้วยอันอาจจะ เป็นบุคคลในครอบครัว กลุ่มเพื่อน กลุ่มบุคคลภายนอก ความเข้าใจดังกล่าวส่งผลให้เกิด การยอมรับในข้อดีข้อจำ กัดของกันและกัน 7


ประวัติ วั ติ ความเป็นมาของจิตวิท วิ ยา จิตวิท วิ ยาได้เริ่ม ริ่ ขึ้นโดยนักปราชญ์ชาวกรีก รี ชื่อ เพลโต และอริส ริโตเติล เพลโต เชื่อว่า ว่ การคิดและการใช้เหตุผลเท่านั้น ที่ทำ ให้คนเกิดความเข้าใจในสิ่งที่เขา สามารถจะเข้าใจได้ โดยไม่สนใจวิธี วิธี การสังเกตหรือ รื การทดลองใด ๆ แต่อริส ริโตเติล กลับเป็นนักสังเกตสิ่งรอบตัว เขาสนใจสิ่งภายนอกที่มองเห็นได้ การเข้าใจ ปรากฏการณ์ตามธรรมชาติที่เกี่ยวข้องกับคนต้องเริ่ม ริ่ ด้วยการสังเกตอย่างมีระบบ ในคริส ริ ต์ศตวรรษที่ 13 ศาสนาเริ่ม ริ่ เข้ามาเกี่ยวข้อง โดยแนวคิดทางศาสนาเน้นว่า ว่ จิตเป็นส่วนที่แยกออกจากร่างกาย ในคริส ริ ต์ศตวรรษที่ 15 การฟื้นฟูก ฟู ารสืบสวนโดยวิธี วิธี ทางวิท วิ ยาศาสตร์ ซึ่งเป็นการ ละทิ้งความเชื่อแบบเดิม ๆ มีการค้นหาความรู้ใหม่ ๆ วิธี วิธี การก็เริ่ม ริ่ มีลักษณะที่เป็น วิท วิ ยาศาสตร์ ต้นคริส ริ ต์ศตวรรษที่ 17 ฟรานซิส เบคอน กล่าวว่า ว่ “ทฤษฎีให้ แนวทาง การวิจั วิจั ยให้คำ ตอบ” โดยชี้ให้เห็นถึงความสำ คัญระหว่า ว่ งทฤษฎีและการ วิจั วิจั ย กลางคริส ริ ต์ศตวรรษที่ 17 จนถึงกลางคริส ริ ต์ศตวรรษที่ 19 มีกลุ่มแนวคิดที่สำ คัญ เกิดขึ้น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มประจักษ์นิยมชาวบริเ ริ ตน (British Empiricism) ที่เชื่อ ว่า ความรู้ผ่านเข้ามาทางสื่อกลางของความรู้สึก จิตเป็นที่รวมของความคิดเห็น นักจิตวิท วิ ยากลุ่มนี้มีบทบาทสำ คัญต่อการเกิดจิตวิท วิ ยากลุ่มสัมพันธนิยม (Associationistic Psychology) นักจิตวิท วิ ยาอีกกลุ่มหนึ่งกลับสนใจทาง ชีวภาพ เช่น ความแตกต่างระหว่า ว่ งประสาทส่วนรับความรู้สึกกับประสาทส่วนการ เคลื่อนไหว และ ลักษณะทางกายที่แสดงปฏิกิริย ริ าสะท้อน (reflex) นักจิตวิท วิ ยา กลุ่มนี้พยายามอธิบายการกระทำ ของมนุษย์ด้วยหลักการทางฟิสิกส์ คือ จิตฟิสิกส์ ซึ่งเป็นวิธี วิธี ที่ใช้วัดความสัมพันธ์ระหว่า ว่ งลักษณะทางกายภาพของสิ่งเร้ากับ ประสบการณ์รู้สึกที่ผู้ที่ถูกเร้ารายงานออกมา 8


จุดมุ่งหมายของจิตวิท วิ ยา จิตวิท วิ ยาเป็นวิช วิ าที่จัดอยู่ในกลุ่มพฤติกรรมศาสตร์ เพื่อให้ผู้ศึกษาเข้าใจพฤติกรรม (Understanding Behavior) ของ บุคคล เพื่อให้ผู้ศึกษาสามารถอธิบายพฤติกรรม (Explanation Behavior) ทั้ง หลายที่เกิดขึ้นได้ พฤติกรรมทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดขึ้นนั้นต่างมีเหตุจูงใจใน การแสดงพฤติกรรมทั้งสิ้น เพื่อให้ผู้ศึกษาสามารถทำ นายพฤติกรรม (Prediction Behavior) ซึ่ง การทำ นายนั้นหมายถึงการคาดคะเนผลที่ควรจะเกิดขึ้นจากสาเหตุต่าง ๆ ได้ อย่างเหมาะสม เพื่อให้ผู้ศึกษาสามารถควบคุมพฤติกรรม (Control Behavior) ที่ไม่พึง ประสงค์ให้ลดลงหรือ รื หมดไป เพื่อให้ผู้ศึกษานำ ความรู้ไปประยุกต์ใช้ (Application) ในการแก้ปัญหา ต่าง ๆ โดยไม่ว่า ว่ จะเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับตนเอง 9


จิตวิท วิ ยาเป็นวิท วิ ยาศาสตร์ จิตวิท วิ ยาเป็นศาสตร์ที่หลายคนสงสัยว่า ว่ จะสามารถศึกษาพฤติกรรมของคน ได้ถูกต้องลึกซึ้งเพียงใดบางคนถึงขั้นปฏิเสธความเป็นวิท วิ ยาศาสตร์ของ จิตวิท วิ ยาเลยทีเดียวแต่นักจิตวิท วิ ยาพยายามสังเกตพฤติกรรมของมนุษย์ซึ่ง อาจจะไม่สมบูรณ์ทุกขั้นตอนแต่ได้กระทำ อย่างมีกระบวนการสามารถบอก ความสัมพันธ์และความแตกต่างของเหตุการณ์ได้โดยใช้การทดลอง ทำ นายผลที่แน่นอนเช่นเดียวกับการศึกษาเรื่อ รื่ งอะตอมและโมเลกุลรวมทั้ง การเคลื่อนไหวบนโลกแต่จิตวิท วิ ยาก็ไม่สามารถตอบปัญหาได้ทุกประเด็น แต่ก็สามารถบอกได้ว่า ว่ มนุษย์ควรจะทำ อย่างไรหรือ รื ทำ ไมจึงต้องแสดง พฤติกรรมเช่นนั้นออกมา วิธี วิธี การศึกษาทางจิตวิท วิ ยา 1. วิธี วิธี การศึกษาแบบธรรมชาติ เป็นวิธี วิธี การศึกษาทางจิตวิท วิ ยาอย่างง่ายๆ การเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับ พฤติกรรมของบุคคลที่ต้องการจากสภาพที่เป็นอยู่ตามธรรมชาติ 2. วิธี วิธี การศึกษาแบบทดสอบ เป็นวิธี วิธี การศึกษาพฤติกรรมของบุคคลนอกเหนือจากวิธี วิธี การตามธรรมชาติ โดยจะมีการสร้างสถานการณ์ขึ้นในห้องปฏิบัติการแล้วคอยสังเกต พฤติกรรมที่เกิดขึ้นเช่นต้องการศึกษาความแตกต่างของความสามารถใน การท่องจำ ของเด็กชายและเด็กหญิงผู้ทดลองจะต้องจัดสิ่งเร้าเป็นรูป ธรรมต่างๆ จิตวิท วิ ยาเป็นวิท วิ ยาศาสตร์ 10


ทำ ให้ผู้ศึกษาเข้าใจพฤติกรรมของมนุษย์ ทำ ให้ผู้ศึกษาเข้าใจพัฒนาการของมนุษย์ ทำ ให้ผู้ศึกษาเข้าใจและรู้พื้นฐานทางสรีร รี วิท วิ ยาที่ เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมของมนุษย์ ทำ ให้ผู้ศึกษาเข้าใจการรับสัมผัสและการรับรู้ ทำ ให้ผู้ศึกษาเข้าใจทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับแรงจูงใจ ทำ ให้ผู้ศึกษาเข้าใจสิ่งสำ คัญที่เกี่ยวกับ กระบวนการเรีย รี นรู้และการถ่ายโยงการเรีย รี นรู้ ประโยชน์ของจิตวิท วิ ยา 1. 2. 3. 4. 5. 6. 11


สรุป จิตวิท วิ ยาคือวิช วิ าที่ศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมหรือ รื กิริย ริ าอาการของมนุษย์ รวมถึงความพยายามที่จะศึกษาว่า ว่ มีอะไรบ้างหรือ รื ตัวแปรใดบ้างใน สถานการณ์ใดที่เกี่ยวข้องกับการทำ ให้เกิดพฤติกรรมต่างๆของบุคคล ซึ่งข้อมูลดังกล่าวจะทำ ให้สามารถคาดคะเนหรือ รื พยากรณ์ได้ซึ่งจะช่วย ลดพฤติกรรมเบี่ยงเบนอันอาจจะเกิดปัญหาในอนาคตโดยใช้แนวทาง หรือ รื วิธี วิธี การทางวิท วิ ยาศาสตร์เป็นเครื่อ รื่ งมือในการช่วยวิเ วิ คราะห์ มีนัก จิตวิท วิ ยาหลายท่านที่ได้รับการยอมรับและใช้ทฤษฏีของเขามาจน ปัจจุบันนักจิตวิท วิ ยาในยุคปัจจุบันและอนาคตเน้นการผสมผสานมาก ยิ่งขึ้นจิตวิท วิ ยายังเป็นวิช วิ าที่ศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรม โดยใช้วิธี วิธี การ ทางวิท วิ ยาศาสตร์ในการศึกษาค้นคว้า ว้ในปัจจุบันจิตวิท วิ ยาได้แตกออก เป็นสาขาต่างๆมากมายและยังมีการประยุกต์ใช้ในวงการวิช วิ าชีพต่างๆ เพื่อช่วยในการปฏิบัติงานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นและการศึกษาทาง ด้านจิตวิท วิ ยายังมีความเป็นวิท วิ ยาศาสตร์ให้ผลการศึกษาเชื่อถือได้ สามารถนำ ไปใช้ประโยชน์ในสังคมปัจจุบันได้เป็นอย่างดี 12


ปัจ ปั จัย จั ที่มี ที่ ผ มี ลต่อ พฤติกรรม บทที่2 13


1. พฤติกรรมภายนอกหรือ รื การแสดงออกของมนุษย์ (Overt Behaviors) หมายถึง การกระทำ หรือ รื การแสดงออกด้านกิริย ริ าท่าทางต่างๆ ของมนุษย์ เช่น การเดิน การพูด การเล่น การแสดงสีหน้าและ กิจกรรมอื่นๆ ซึ่งบุคคลสามารถใช้เป็นสื่อหรือ รื สัญญาณ ในการสื่อสารให้ผู้อื่นรับรู้และเข้าใจได้ ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ คือ 1.1 พฤติกรรมภายนอกที่ผู้อื่นสามารถสังเกตได้ด้วยประสาทสัมผัสโดยตรง เรีย รี กว่า ว่ พฤติกรรมโมลาร์ (Molar Behavior) เช่น การเดิน การนั่ง การพูด เป็นต้น 1.2 พฤติกรรมภายนอกที่ไม่สามารถสังเกตได้ด้วยประสาทสัมผัสโดยตรง แต่สามารถ สังเกต ได้ด้วยเครื่อ รื่ งมือทางวิท วิ ยาศาสตร์ เรีย รี กว่า ว่ พฤติกรรมโมเลกุล (Molecular Behavior) เช่น การเต้นของ หัวใจ การย่อยอาหารของกระเพาะ การตรวจคลื่นสมอง การตรวจหาปริม ริ าณน้ำ ตาลในเลือด พฤติกรรม (Behaviors) หมายถึง การกระทำ ต่างๆ ของมนุษย์ทั้งทางด้านจิตใจซึ่งไม่สามารถ สังเกตได้ และด้านการแสดงออกซึ่งสามารถสังเกต ได้ ซึ่งการกระทำ ทั้งสองชนิดเกิดจากการควบคุม หรือ รื สั่งการของระบบประสาทส่วนกลางคือ สมอง และไขสันหลัง พฤติกรรมมนุษย์ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้ 14


สมองส่วนที่เรีย รี กว่า ว่ คอร์เทก (Cortex) จะทำ หน้าที่ควบคุมการเรีย รี น รู้ การให้เหตุผล และการมีวิจ วิ ารณญาณ (เมธาวี อุดมธรรมานุภาพ ) สมองส่วนที่เรีย รี กว่า ว่ ระบบลิมปิค (Limbic System) ประกอบด้วย ต่อมไฮโปทา-ลามัส 2. พฤติกรรมภายในหรือ รื จิตใจของมนุษย์ (Invert Behaviors) หมายถึง ความคิด ความรู้สึก จินตนาการ และคำ ศัพท์อื่นๆ ทางด้านจิตวิท วิ ยา เช่น การรับรู้ เจตคติ อารมณ์ ความจำ หรือ รืประสบการณ์ เป็น ต้น พฤติกรรม ภายในมีลักษณะเป็นนามธรรม ซึ่งไม่สามารถสังเกตได้ด้วยตาเปล่าหรือ รื เครื่อ รื่ งมือทาง วิท วิ ยาศาสตร์ ตัวอย่าง พฤติกรรมภายในซึ่งเกิดจากการสั่งการของสมอง เช่น 1. 2. (Hypothalamus) ฮิปโปแคมปัส (Hippocampus) และอมิกดาลา (Amygdala) จะทำ หน้าที่ควบคุมพฤติกรรมทางด้านจิตวิท วิ ยา เช่น แรง จูงใจ อารมณ์ ความจำ และความต้องการทางเพศ 15


นักจิตวิท วิ ยาศึกษาพฤติกรรมของมนุษย์โดยมีความเชื่อว่า ว่ พฤติกรรมภายใน เป็นตัวกำ หนดพฤติกรรมภายนอก กล่าวคือ เมื่อบุคคลมีความรู้สึกนึกคิด ต่อสิ่งเร้าใดในทางบวก ก็จะแสดงออกหรือ รื แสดงกิริย ริ าท่าทางโต้ตอบต่อสิ่ง เร้านั้นในทางบวก ในทำ นองเดียวกัน เมื่อบุคคลมีความรู้สึก นึกคิดต่อสิ่ง เร้าใดในทางลบ ก็จะแสดงกิริย ริ าท่าทางโต้ตอบต่อสิ่งเร้านั้นในทางลบด้วย เช่นกัน เช่น คนที่คิดดีจะมีการประพฤติปฏิบัติในทางที่ดีคนที่คิดชั่ว จะมี การประพฤติปฏิบัติในทางชั่ว หรือ รื คนที่สบายใจมักจะยิ้มแย้มแจ่มใส ส่วน คนที่ทุกข์ใจมักจะเฉื่อยชาหรือ รื ซึมเศร้า เป็นต้น อย่างไรก็ตาม การที่บุคคลแสดงออกเกี่ยวกับพฤติกรรมใดพฤติกรรมหนึ่ง หลายๆ ครั้ง หรือ รื ถูกกดดัน ห้อมล้อมด้วยพฤติกรรมใดพฤติกรรมหนึ่ง หลายๆ ครั้ง การกระทำ ดังกล่าวสามารถส่งผลกระทบให้ผู้นั้นมีความรู้สึก ทางบวกหรือ รื ทางลบต่อพฤติกรรมดังกล่าวได้ เช่น ความใกล้ชิด สนิทสนม ของหนุ่มสาว มีผลให้ทั้งสองฝ่ายมีความรู้สึกทางบวกต่อกัน (พอใจกันและ กัน) และเปลี่ยนความสัมพันธ์จากการเป็นเพื่อนไปเป็น คู่รักได้ หรือ รื การ ประสบความสำ เร็จอย่างต่อเนื่อง ทำ ให้บุคคลเกิดความเชื่อมั่นในตนเอง (ความรู้สึกทางบวก)ในทางตรงกันข้าม การประสบความผิดหวัง วั อย่างต่อ เนื่อง ทำ ให้บุคคลขาดความเชื่อมั่นในตนเอง (ความรู้สึกทางลบ) ได้เช่นกัน เป็นต้น ความสัมพันธ์ของพฤติกรรม ภายในกับพฤติกรรมภายนอก 16


1. พฤติกรรมภายในเป็นตัวกำ หนดพฤติกรรมภายนอก พฤติกรรมปกติ ของมนุษย์มักจะเกิดจากการที่บุคคลมีความรู้สึก ความคิดหรือ รื ความ ต้องการขึ้นมาก่อน จากนั้นจึงแสดงออกเป็นพฤติกรรมภายนอก โดยมีเป้า หมายเพื่อตอบสนองความรู้สึกนึกคิดหรือ รื ความต้องการดังกล่าว ดังคำ สอน ในพระพุทธศาสนาที่ว่า ว่ บุคคลมีจิตเป็นนายและมีกายเป็นบ่าว เช่น ความ หิวทำ ให้บุคคลหาอาหารมารับประทานหรือ รื บุคคลไม่ต้องการเสื่อมเสียชื่อ เสียง จึงประพฤติปฏิบัติตนตามกติกาสังคม นอกจากนั้นพฤติกรรมภายใน กำ หนดพฤติกรรมภายนอก ยังสอดคล้องกับค่านิยมของสังคมไทย คือ คน ที่คิดและไตร่ตรองอย่างรอบคอบแล้ว จึงลงมือทำ จะได้รับการยกย่องว่า ว่ เป็นคนที่มีเหตุผลหรือ รื คนที่มีจิตสำ นึกดี ส่วนคนที่ลงมือกระทำ ก่อนแล้วจึง คิดหาเหตุผลมาสนับสนุนการกระทำ ของตนว่า ว่ เป็นสิ่งที่ถูกต้อง จะถูก สังคมประทับตราว่า ว่ เป็นคนไม่น่าไว้ว ว้ างใจ ไม่ซื่อสัตย์หรือ รื ขาดจิตสำ นึกที่ดี 2. พฤติกรรมภายนอกเป็นตัวกำ หนดพฤติกรรมภายใน มักจะเป็น พฤติกรรมที่ไม่ปกติ เช่น หลังจากบุคคลประสบอุบัติเหตุแล้ว จึงเกิดความกลัวและคิดหาวิธี วิธีป้องกัน อุบัติเหตุดังกล่าว หรือ รื หลังจาก บุคคลกระทำ ความผิดแล้ว จึงสำ นึกได้ว่า ว่ ไม่ควรกระทำ ตลอดจนเมื่อบุคคลกระทำ หรือ รื ถูกกดดันให้กระทำ สิ่งใด สิ่ง หนึ่งอย่างต่อเนื่อง ก็จะทำ ให้เขาเกิดความเคยชินและเปลี่ยนความรู้สึก นึกคิดจากไม่ยอมรับไปเป็นยอมรับและเต็มใจปฏิบัติพฤติกรรมที่ถูกกดดัน นั้น เช่น เมื่อบุคคลบริห ริ ารร่างกายอย่างต่อเนื่อง ก็จะทำ ให้เกิดความเคยชิน และมีจิตศรัทธาที่จะบริห ริ ารร่างกายต่อไปจนติดเป็นนิสัย ในทำ นองเช่น เดียวกับในสมัยก่อนที่สังคมจะยกย่องคนที่มีความประพฤติดีและมีจิตใจ โอบอ้อมอารี ซึ่งมีผลกดดันให้บุคคลในสมัยนั้นมุ่งมั่นประพฤติตนเป็นคนดี เพื่อให้เขาได้รับการยอมรับหรือ รื การยกย่องจากสังคม 3. พฤติกรรมของมนุษย์เป็นกระบวนการต่อเนื่องการแสดงพฤติกรรมชนิดใด ชนิดหนึ่งของมนุษย์ มักจะเกิดจากการสลับกันอย่างต่อเนื่องของพฤติกรรม 1.1 ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งคิดถึงเพื่อนจึงเดินทางไปเยี่ยมเยียน (พฤติกรรมภายในกำ หนดพฤติกรรมภายนอก) 1.2 ทั้งสองฝ่ายพูดคุยกันอย่างสนิทสนมทำ ให้คิดถึงกันมากขึ้น (พฤติกรรมภายนอกกำ หนดพฤติกรรมภายใน) 1.3 ยิ่งคิดถึงมากก็ยิ่งไปเยี่ยมเยียนเพื่อนบ่อยมากขึ้น (พฤติกรรมภายในกำ หนดพฤติกรรมภายนอก) 17


การอธิบาย (Explain) หมายถึง การนำ ข้อมูลเชิงประจักษ์ของพฤติกรรมที่ ศึกษามาจัดระบบและอธิบายตามแนวคิดหรือ รื ทฤษฎีของพฤติกรรมมนุษย์เพื่อให้ ทราบสาเหตุของพฤติกรรม ดังนั้น ข้อมูลเชิงประจักษ์ที่ได้จากเครื่อ รื่ งมือวัด วั ที่มี ความเที่ยงตรง จะช่วยให้การอธิบายสาเหตุของพฤติกรรมมีความชัดเจนและ สามารถใช้เป็นพื้นฐานการทำ นายพฤติกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ การทำ นาย (Predict) หมายถึง การนำ สาเหตุของพฤติกรรมที่ได้จากขั้นการ อธิบายไป วิเ วิ คราะห์และจัดลำ ดับความสำ คัญของสาเหตุที่มีอิทธิพลโดยตรงต่อ การแสดงพฤติกรรม จากนั้นจึงนำ สาเหตุที่คิดว่า ว่ มีอิทธิพลโดยตรงในระดับต้นๆ มากำ หนดเป็นตัวแปรเชิงสาเหตุ และตัวแปรเชิงผลในรูปของสมมติฐานและ รวบรวมข้อมูลที่เชื่อถือได้มาพิสูจน์ให้ได้ว่า ว่ เป็นสาเหตุและผลจริง ริ ตามคำ ทำ นาย ในสมมติฐานหรือ รืไม่ การควบคุม (Control) หมายถึง การนำ ตัวแปรสาเหตุและตัวแปรผล ที่ผ่าน การพิสูจน์แล้ว ว่า ว่ เป็นสาเหตุและผลของพฤติกรรมมาจัดกระทำ หรือ รื กำ หนด สถานการณ์ เพื่อจูงใจ กดดัน หรือ รื ควบคุมให้บุคคลแสดงพฤติกรรมที่พึง ประสงค์หรือ รื เพื่อยับยั้งไม่ให้บุคคลแสดงพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ได้ตามเป้า หมายจากจุดมุ่งหมายดังกล่าว จะเห็นได้ว่า ว่ การศึกษาพฤติกรรมจะเป็นประโยชน์ อย่างยิ่งทั้งแก่ตนเองและ สังคม เพราะจะช่วยให้รู้และบอกได้ถึงสาเหตุที่มาของ พฤติกรรม แล้วนำ ความรู้นั้นมาวิเ วิ คราะห์ให้เกิดความเข้าใจตนเอง เข้าใจผู้อื่น ช่วยทำ นายแนวโน้มของพฤติกรรม และได้แนวทางในการเสริม ริ สร้างพัฒนา พฤติกรรมเพื่อดำ รงชีวิต วิ อย่างมีประสิทธิภาพ และดำ เนินชีวิต วิ อยู่ร่วมกับสังคมได้ อย่างมีความสุข จุดมุ่งหมายของการศึกษาพฤติกรรม การศึกษาพฤติกรรมมนุษย์มีจุดมุ่งหมายที่สำ คัญ 3 ประการ ดังนี้ 1. 2. 3. 18


ความรู้เกี่ยวกับพฤติกรรมช่วยให้ผู้ศึกษาเกิดความเข้าใจตนเอง คือ จากการศึกษาธรรมชาติพฤติกรรมของมนุษย์ในแง่มุมต่างๆ ความรู้เกี่ยวกับพฤติกรรมช่วยให้ผู้ศึกษาเกิดความเข้าใจผู้อื่น คือ ความรู้ ด้านพฤติกรรมอันเป็นข้อสรุปจากคนส่วนใหญ่ ช่วยเป็นแนวทางเข้าใจ บุคคลใกล้ตัวและรอบข้าง ช่วยให้ยอมรับข้อดีข้อเสียของ กันและกัน ความรู้เกี่ยวกับพฤติกรรมช่วยบรรเทาปัญหาสังคม คือ เรื่อ รื่ งปัญหา สังคมอันมีปัจจัยหลายประการนั้น ปัจจัยของปัญหาสังคมที่สำ คัญส่วน มาก ส่วนหนึ่งมาจากปัญหาพฤติกรรมของบุคคลในสังคม เช่น ปัญหา สุขภาพจิต ปัญหาการเบี่ยงเบนทางเพศ ความรู้เกี่ยวกับพฤติกรรมช่วยเสริม ริ สร้างพัฒนาคุณภาพชีวิต วิ คือ จาก ความเข้าใจในอิทธิพลของพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อมต่อพฤติกรรม ช่วย ให้ผู้ศึกษารู้จักเลือกรับปรับเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมอย่างเหมาะสมเพื่อพัฒนา ตนทั้งทางกาย อารมณ์ สังคม สติปัญญา ช่วยให้เข้ามใจธรรมชาติ ภายในตน เข้าใจความแตกต่างระหว่า ว่ งบุคคล ความสำ คัญของการศึกษาพฤติกรรม ความสำ คัญของการศึกษาพฤติกรรมที่สำ คัญมีดังนี้ 1. 2. 3. 4. ขั้นกำ หนดปัญหา หมายถึง การกำ หนดปัญหาของพฤติกรรมที่จะ ศึกษาให้ชัดเจน ขั้นการตั้งสมมติฐาน หมายถึง การคาดคะเนหรือ รื การทำ นายคำ ตอบ ของปัญหา ขั้นรวบรวมข้อมูล หมายถึง การใช้วิธี วิธี การและเครื่อ รื่ งมือที่เชื่อถือได้ ขั้นวิเ วิ คราะห์และสรุปผล หมายถึง การนำ ข้อมูลเชิงคุณภาพ หรือ รื ข้อมูล เชิงประจักษ์ที่รวบรวมได้อย่างเป็นระบบ มาวิเ วิ คราะห์และสรุปผล เพื่อ ตอบคำ ถามในสมมติฐาน ขั้นการนำ ผลไปใช้ หมายถึง การนำ ผลการศึกษาพฤติกรรมไปเผยแพร ให้ผู้เกี่ยวข้องทราบและนำ ไปประยุกต์ใช้ กระบวนการทางวิท วิ ยาศาสตร์ที่นำ มาใช้ในการศึกษาพฤติกรรมมนุษย์มี 5 ขั้นตอน 1. 2. 3. 4. 5. 19


ปัจจัยพื้นฐานของพฤติกรรม 1. ปัจจัยทางด้านชีววิท วิ ยา จิตวิท วิ ยามีความสัมพันธ์กับสรีร รี วิท วิ ยาอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้เพราะพฤติกรรมภายในทั้ง หลายที่ นักจิตวิท วิ ยาสนใจศึกษาล้วนเป็นกระบวนการทำ งานของระบบร่างกายทั้งสิ้น โดย เฉพาะกระบวนการทำ งานของระบบประสาทซึ่งมีสมองเป็นศูนย์กลาง ดังนั้นการ ศึกษาพฤติกรรมมนุษย์ จึงจำ เป็นต้องศึกษาสรีร รี วิท วิ ยาของระบบประสาทและระบบ อื่นๆ ของร่างกาย จิตวิท วิ ยาแขนงที่ศึกษากระบวนการทางร่างกายนี้ การที่เรารู้สึก ว่า ว่ ในขณะนี้อะไรเกิดขึ้นในสิ่งแวดล้อมทั้งที่อยู่ภายนอก และภายในร่างกาย เช่น ได้ยินเสียง ได้กลิ่น มองเห็นเป็นต้น คนเราจะต้องมีระบบอวัย วั วะรับเสียง ได้กลิ่น มองเห็น เป็นต้น 2.ปัจจัยทางด้านสังคมวิท วิ ยา สังคม หมายถึง มนุษย์ที่รวมกันอยู่เป็นหมู่คณะมีทั้งหญิงและชาย ตั้งภูมิลำ เนาเป็น หลักแหล่ง ณ ที่ใดที่หนึ่ง การอยู่รวมกับผู้อื่นไม่ว่า ว่ จะเป็นกลุ่มใหญ่หรือ รื กลุ่มเล็กก็ตามจะต้องมี การพึ่งพาอาศัยกัน มีสมาชิกประกอบด้วยคนทุกเพศทุกวัย วั ซึ่งมีการติดต่อสัมพันธ์ซึ่ง กันและกัน 3. ปัจจัยพื้นฐานทางจริย ริ ธรรมจรรยา จริย ริ ธรรมเป็นเสมือนบทบัญญัติของความดีและความงามของจิตใจที่ส่งผลให้บุคคล ประพฤติ ดีประพฤติชอบ ปัจจัยพื้นฐานทางจริย ริ ธรรมจึงเป็นองค์ประกอบที่มีความสำ คัญต่อ การประกอบการในวิช วิ าชีพของบุคคลในทุกสาขาอาชีพ การทำ ความเข้าใจกับความรู้ เบื้องต้นเกี่ยวกับคุณธรรมและจริย ริ ธรรมจะทำ ให้ผู้ประกอบวิช วิ าชีพมีความตระหนักถึง คุณประโยชน์และโทษที่เป็นผลสืบเนื่องจากการมีคุณธรรมจริย ริ ธรรมและ - การขาด คุณธรรมและจริย ริ ธรรม 4. ปัจจัยพื้นฐานทางจิตวิท วิ ยา ปัจจัยสำ คัญอีกปัจจัยหนึ่งซึ่งมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมมนุษย์ ได้แก่ ปัจจัยทาง จิตวิท วิ ยา ซึ่งมีปัจจัยย่อยอยู่หลายปัจจัย ปัจจัยทางจิตวิท วิ ยาเป็นกระบวนการทำ งาน ของจิต เป็นพฤติกรรมทางความคิดและความรู้สึกแล้วส่งผลให้เกิดพฤติกรรม ซึ่ง พฤติกรรมดังกล่าวอาจเป็นทั้งพฤติกรรมที่พึงประสงค์และไม่พึงประสงค์ ประกอบ ด้วยแรงจูงใจ และความต้องการของมนุษย์ 20


พฤติกรรมมนุษย์เกี่ยวข้องกับกระบวนการทำ งานทางด้านชีวภาพ พฤติกรรมของมนุษย์มีความแตกต่างระหว่า ว่ งบุคคล พฤติกรรมของมนุษย์เป็นพฤติกรรมที่เกิดจากการเรีย รี นรู้ ทั้งการเรีย รี นรู้จากอิทธิพลของ ปัจจัยทาง สังคมวัฒ วั นธรรม การสืบทอดทางเผ่าพันธุ์ พฤติกรรมของมนุษย์มีลักษณะการเปลี่ยนแปลงและการพัฒนาอย่างเป็นระบบและ เป็นกระบวนการต่อเนื่องนับตั้งแต่แรกเกิดจนถึงวัย วั ชรา พฤติกรรมของมนุษย์เป็นพฤติกรรมที่มีเป้าหมาย เพื่อตอบสนองความต้องการส่วนตัว และความ ต้องการทางสังคม พฤติกรรมของมนุษย์มักจะเกิดจากสาเหตุหลายประการในเวลาเดียวกัน พฤติกรรมของมนุษย์เป็นพฤติกรรมทางสังคม หมายถึง มนุษย์มีความสามารถในการ ทำ งาน ร่วมกับผู้อื่น และมนุษย์เป็นสัตว์ที่ ว์ ที่ ต้องการความรักความเข้าใจจากผู้อื่น พฤติกรรมของมนุษย์เป็นพฤติกรรมที่สร้างสรรค์ขึ้นจากประสบการณ์ของตนเอ ลักษณะของพฤติกรรมมนุษย์ ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับพฤติกรรมมนุษย์ไว้ 8 ประการ 1. 2. 3. 4. 5. 6. 7. 8. สรุป จิตวิท วิ ยาคือวิท วิ ยาศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์และสัตว์ โดยอาศัยการสังเกต หรือ รื การใช้เครื่อ รื่ งมือช่วยในการศึกษาพฤติกรรม และจิตวิท วิ ยาเป็นศาสตร์หนึ่งของการศึกษา พฤติกรรมของมนุษย์ ซึ่งเหมาะสมในการนำ หลักการและทฤษฎีทางด้านจิตวิท วิ ยามาประยุกต์ เพื่อใช้เป็นพื้นฐานในการทำ ความเข้าใจพฤติกรรมของตนเอง ผู้อื่น และสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะนำ ไปสู่กระบวนการในการพัฒนาตนเอง แก้ไข พัฒนา และปรับปรุงตนเองเพื่อการเป็นส่วนหนึ่ง ของสังคมและดำ เนินชีวิต วิได้อย่างมีความสุข และเพื่อทำ ความเข้าใจในพฤติกรรมของมนุษย์ จำ เป็นต้องเรีย รี นรู้ ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับพฤติกรรมมนุษย์ ความหมายของพฤติกรรม ประเภทของพฤติกรรม ความสัมพันธ์ของพฤติกรรมภายในกับพฤติกรรมภายนอก จุดมุ่ง หมายของการศึกษาพฤติกรรม ความสำ คัญของการศึกษาพฤติกรรม การศึกษาพฤติกรรม มนุษย์ วิธี วิธี การศึกษาพฤติกรรมมนุษย์ และลักษณะพฤติกรรมมนุษย์ เพราะสิ่งต่างๆ เหล่านี้จะ ช่วยให้สามารถเข้าใจพื้นฐานความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับพฤติกรรมมนุษย์ เพื่อเตรีย รี มเข้าใจใน เนื้อหาในบทเรีย รี นต่อไป 21


ความคิดรวบยอด พัฒนาการของมนุษย์มีแบบแผน และขั้นตอน การศึกษาแบบแผนและขั้น ตอนของพัฒนาการจะช่วยทำ ให้เราเข้าใจ พฤติกรรมของมนุษย์ในแต่ละช่วงแต่ละ วัย วั และทำ ให้เราสามารถคาดคะเนหรือ รื พยากรณ์พฤติกรรมที่จะเกิดขึ้นต่อไปได้ การเจริญเติบโต การเจริญ ริ เติบโต หมายถึง การเพิ่มหรือ รื การเปลี่ยนแปลงทางด้านปริม ริ าณ เช่น การ เพิ่มของส่วนสูง การเพิ่มของน้ำ หนัก การเพิ่ม ขนาดของอวัย วั วะ เช่น แขน ขา ลำ ตัวหรือ รื ขนาด ของสมองเป็นต้น ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงใน แง่ที่เจริญ ริ ขึ้น ดีขึ้นตามอายุที่เพิ่มขึ้น ตัวอย่างของการเจริญริเติบโต เช่น จากปีก่อนเด็กคนหนึ่งที่สูง 120 เซนติเมตร ในปีต่อไปมี ส่วนสูงเพิ่มขึ้นเป็น 130, 140 เซนติเมตรตามลำ ดับ 23


พัฒ พั นาการ (Development) พัฒนาการ หมายถึง การเพิ่มหรือ รื การเปลี่ยนแปลงทางด้านคุณภาพ เช่น การพัฒนาการตามลำ ดับของการเคลื่อนไหวของทารกจากการที่ทารก สามารถคว่ำ ต่อมาสามารถคลาน สามารถยืน และสามารถเดินได้เป็น พัฒนาการที่สัมพันธ์ต่อเนื่องกันและต้องอาศัยความพร้อมร่วมกันของ ระบบหลายๆ อย่างในร่างกาย เช่นระบบกล้ามเนื้อ ระบบประสาท เป็นต้น พัฒนาการเป็นการเจริญ ริ เติบโตเพื่อนำ ไปสู่การมีวุฒิ วุ ฒิ ภาวะ(Maturation) การเปลี่ยนแปลงเนื่อ นื่ งมาจากพัฒ พั นาการ 1. การเปลี่ยนแปลงด้านขนาด 2. การเปลี่ยนแปลงด้านสัดส่วน 3. การเปลี่ยนแปลงทางด้านความซับซ้อน 4. การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทำ ให้ลักษณะเก่าๆหาย ไปลักษณะใหม่ๆเข้ามาแทนที่ 24


พฤติกรรมแต่ละอย่างจะเปลี่ยนแปลงเมื่อเด็กพัฒนา ขึ้นและ การเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นผลเนื่องมาจากทั้งทางด้าน พันธุกรรม สภาพทางชีววิท วิ ยา ประสบการณ์เดิมประสบการณ์ปัจจุบัน ตลอด จนวัฒ วั นธรรมที่เป็นอยู่ในขณะนั้น 1. พัฒนาการทางร่างกาย 2. พัฒนาการทางอารมณ์ 3. พัฒนาการทางสังคม 4. พัฒนาการทางสติปัญญา พัฒ พั นาการ 4 ด้า ด้ น 1.พัฒนาการทางร่างกาย (Physical development) เป็นการเปลี่ยนแปลงด้านโครงสร้างร่างกายในแต่ละวัย วั ของบุคคล ทั้งการเพิ่มขนาดของ ส่วนสูง น้ำ หนัก กระดูก กล้ามเนื้อ การขยาย ของสัดส่วนสรีร รี ะ ตลอดจนประสิทธิภาพในการทำ งานของอวัย วั วะ ส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย 2.พัฒนาการทางอารมณ์ (Emotional development) เป็นการเปลี่ยนแปลงทางสภาพการเกิดอารมณ์ ความรู้สึกต่าง ๆ การแสดงออกทางอารมณ์และการควบคุมอารมณ์ในแต่ละวัย วั ของ บุคคล 3.พัฒนาการทางสังคม (Social development) เป็นความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับสังคม สถานการณ์และสิ่ง แวดล้อม การสร้าง สัมพันธภาพกับผู้อื่น รวมทั้งการแสดงออกซึ่ง พฤติกรรมทางสังคมที่บุคคลในแต่ละวัย วั ไปปะทะสัมพันธ์ด้ว 4.พัฒนาการทางสติปัญญา (Mental development) เป็นการเปลี่ยนแปลงด้านกระบวนการคิด เชาวน์ปัญญา การ ตัดสินใจ การแก้ปัญหาความมีเหตุผล การมีไหวพริบ ริ การ จินตนาการ การคิดสร้างสรรค์ ความจำ การรับรู้และการเรีย รี นรู้ ของบุคคลในแต่ละวัย วั เป็นต้น (เข้าใจในสิ่งที่เป็นรูปธรรม นามธรรม 25


สรุป รุ พัฒ พั นาการด้า ด้ นต่าง ๆของมนุษ นุ ย์ นับตั้งแต่แรกเกิดถึงวัย วั ชรา ร่างกายจะพัฒนา อย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง คือ ในระยะแรกเกิด อวัย วั วะจะทำ หน้าที่ได้ดี แต่เมื่อถึงวัย วั ชราจะเสื่อม สภาพลงตามธรรมชาติของมนุษย์ที่ว่า ว่ มี เกิด แก่ เจ็บ และตาย พัฒ พั นาการทางร่า ร่ งกาย แรกเกิด ในวัย วั ทารกสมองจะเจริญ ริ ขึ้นเรื่อ รื่ ยๆ สัมผัสและรับรู้ใน สิ่ง แวดล้อมต่างๆ วัย วั เด็ก เกิดอัตมโนทัศน์ว่า ว่ ตนเองสำ คัญ สนใจแต่ตนเอง ช่วงความ สนใจสั้น ไม่รับรู้เหตุผล อยากรู้อยากเห็น วัย วั เด็กตอนปลาย รู้จักใช้เหตุผล รู้คิด สร้างความคิดรวบยอดได้ วัย วั รุ่น สามารถเรีย รี นรู้สิ่งต่างๆที่เป็นรูปธรรมและนามธรรมได้ช่วงความ สนใจยาวขึ้น แต่ยังใช้สติปัญญาได้ไม่ลึกซึ้ง วัย วั ผู้ใหญ่ สามารถใช้สติปัญญาได้อย่างลึกซิ้ง และในวัย วั ชราสามารถ ใช้สติปัญญาได้อย่างลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น ทำ อะไรด้วยความ รอบคอบ พัฒ พั นาการทางสติปัญญา 26


แรกเกิด จะยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง คือรู้จักตนเองและกระทำ เพื่อ ตนเอง วัย วั รุ่น จะยึดเพื่อนเป็นศูนย์กลาง มีความรู้สึกที่ต้องพึ่งพาอาศัย เพื่อนรู้จักคบเพื่อนต่างเพศ รู้จักเลือกคู่ครองเพื่อเตรีย รี มใช้ชีวิต วิ คู่ วัย วั ผู้ใหญ่ เริ่ม ริ่ใช้ชีวิต วิ คู่และสร้างครอบครัวมีบุตรไว้สื ว้ สื บสกุล วัย วั ชรา ต้องสูญเสียความรักในกรณีบุตรไปมีครอบครัว ดังนั้นคน ชราจึงให้ความรักแก่หลานๆ เป็นการทดแทน สรุป รุ พัฒ พั นาการทางสัง สั คม ระยะแรกเกิดถึงวัย วั เด็ก เด็กจะมีอารมณ์ตื่นเต้น พอใจ-ไม่พอใจ กลัว โกรธ เกลียด ยินดี รัก อิจฉาและร่าเริง ริ วัย วั รุ่น จะพัฒนาอารมณ์รัก เป็นรักเพศตรงข้าม อารมณ์ วิต วิ กกังวล อารมณ์ร่วม อารมณ์ชั่วแล่น อารมณ์สุนทรีย รี ภาพ อารมณ์ที่เกิดจากการสัมผัสโดยตรง (อยากรู้อยากเห็นขยะแขยง) และอารมณ์ที่เกิดจากการประเมินตนเอง(ความ ภาคภูมิใจ ละอายใจ สมหวัง วั และผิดหวัง วั) เมื่อถึงวัย วั ผู้ใหญ่และวัย วั ชรา ืื จะมีอารมณ์พัฒนาเพิ่มขึ้นได้แก่ อารมณ์หึง อิจฉาริษ ริ ยาและ อารมณ์เหงา สรุป รุ พัฒ พั นาการทางอารมณ์ 27


โรเบิร์บิต ร์ ฮาวิกวิเฮิร์ส ร์ (Robert Havighurst) งานพัฒนาการ หมายถึง งานที่มนุษย์ทุกคนจะต้องทำ ในแต่ละวัย วั ของ ชีวิต วิ สัมฤทธิผลของงานพัฒนาการแต่ละวัย วั มีความสำ คัญ มากเพราะเป็นรากฐานของการเรีย รี นรู้งานพัฒนาขั้นต่อไป - สามารถที่จะแสดงบทบาททางสังคมได้เหมาะสมกับเพศของตน - เลือกและเตรีย รี มตัวที่จะเลือกอาชีพในอนาคต - พัฒนาทักษะทางเชาวน์ปัญญาและความคิดรวบยอดต่าง ๆ ที่ จำ เป็นสำ หรับสมาชิกของชุมชนที่มีสมรรถภาพ - มีความต้องการที่จะแสดงพฤติกรรมที่มีความ รับผิดชอบต่อ สังคม 28


วัย วั เด็ก ด็ เล็ก - วัย วั เด็ก ด็ ตอนต้น (แรกเกิด - อายุ 6 ปี)ปี -เรีย รี นรู้ที่จะเดิน -เรีย รี นรู้ที่จะรับประทานอาหาร -เรีย รี นรู้ที่จะพูด -เรีย รี นรู้ที่จะควบคุมการขับถ่าย -เรีย รี นรู้ที่จะมองเห็นความแตกต่างระหว่า ว่ งเพศ -รู้จักการทรงตัว เคลื่อนไหวได้สะดวก -เริ่ม ริ่ มีความคิดรวบยอดง่ายๆเกี่ยวกับความจริง ริ ทางสังคม -เรีย รี นรู้ที่จะสร้างความผูกพันตนเองกับพ่อแม่พี่น้องตลอดจนคนอื่นๆ -เรีย รี นรู้ที่จะมองเห็นความแตกต่างระหว่า ว่ งสิ่งที่ปิด -ถูกและเริ่ม ริ่ พัฒนาการทางจริย ริ ธรรม วัย วั เด็กตอนกลาง 29


วัย วั เด็ก ด็ ตอนกลาง (6 - 12 ปี)ปี -เรีย รี นรู้ที่จะใช้ทักษะด้านร่างกายในการเล่นเกมต่างๆ - สร้างเจตกติต่อตนเองในฐานะที่เป็นสิ่งที่มีชีวิต วิ -เรีย รี นรู้ที่จะปรับตนเองให้เข้ากันได้กับเพื่อนรุ่นเดียวกัน -เรีย รี นรู้บทบาททางสังคมที่เหมาะสมของเพศหญิงและเพศชาย - พัฒนาความคิดรวบยอดที่จำ เป็นสำ หรับชีวิต วิประจำ วัน วั - พัฒนาเกี่ยวกับเรื่อ รื่ งศีลธรรมจรรยาและค่านิยม - สามารถช่วยเหลือตนเองได้ - พัฒนาเจตคติต่อกลุ่มสังคมและต่อสถาบันต่างๆ - พัฒนาทักษะพื้นฐานในการ อ่าน เขียน และคำ นวณ 30


วัย วั รุ่น รุ่ ตอนต้นและตอนปลาย (12 - 18 ปี)ปี - สามารถสร้างความสัมพันธ์อันดีและเหมาะสมกับเพื่อนรุ่นราวคราว เดียวกันได้ ทั้งที่เป็นเพื่อนเพศเดียวกันหรือ รื ต่างๆเพศ - สามารถแสดงบทบาททางสังคมได้เหมาะสมกับเพศตนเอง - ยอมรับสภาพร่างกายของตนเอง สามารถปรับตัวให้เข้ากับความ เปลี่ยนแปลงทั้งหลายได้เป็นอย่างดี - รู้จักควบคุมอารมณ์ของตนเองได้ - มีความมั่นใจเกี่ยวกับเรื่อ รื่ งการใช้จ่าย รู้จักการรับผิดชอบต่อการเงิน การใช้จ่ายของตนเองได้เป็นอย่างดี - มีการคบเพื่อนต่างเพศ - มีการเลือกและเตรีย รี มตัวเพื่ออาชีพ - มีการเตรีย รี มตัวเพื่อการแต่งงานและการมีครอบครัว - เริ่ม ริ่ เตรีย รี มตัวที่จะเป็นพลเมืองดี หาทักษะในการใช้ภาษา การสื่อความ หมายการหาความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่อ รื่ งต่างๆ เช่น กฎหมาย รัฐบาล เศรษฐกิจ สังคม - มีความต้องการและรู้จักพัฒนาตนเองให้มีความรับผิดชอบทั้งต่อตนเอง และผู้อื่น - มีความรู้สึกและความเข้าใจในเรื่อ รื่ งค่านิยม ตลอดจนรู้จักตัดสินเลือกเอา ค่านิยมและมาตรฐานที่ตนควรยึดถือเป็นหลักเป็นแนวทางชีวิต วิ 31


วัย วั ผู้ใผู้หญ่ต ญ่ อนต้น (18 - 35 ปี)ปี - มีการเลือกคู่ครอง - เรีย รี นรู้ที่จะมีชีวิต วิ คู่ร่วมกับคู่แต่งงาน - เริ่ม ริ่ ต้นสร้างครอบครัว - รู้จักการอบรมเลี้ยงลูก - รู้จัดการจัดการภารกิจในครอบครัว - เริ่ม ริ่ ต้นประกอบอาชีพ - รู้จักหน้าที่ของพลเมืองดี - สามารถหากลุ่มสังคมที่เป็นพวกเดียวกันได้ 32


วัย วั กลางคน (35 - 60 ปี)ปี - บรรลุวัย วั ผู้ใหญ่ การเป็นพลเมืองดี ตลอดจนการมีความรับผิดชอบต่อ สังคม - สร้างหลักฐาน ฐานะเศรษฐกิจเพื่อความเป็นปึกแผ่นของครอบครัว - การช่วยเหลือวัย วั รุ่นให้มีความรับผิดชอบ เพื่อจะได้เป็นผู้ใหญ่ที่มีความ สุข - รู้จักการใช้เวลาว่า ว่ งให้เป็นประโยชน์ - สามารถที่จะปรับตัวและทำ ความเข้าใจกู้ชีวิต วิ ของตนเองได้ - เรีย รี นรู้ที่จะยอมรับและปรับตัวให้เข้ากับสภาพการเปลี่ยนแปลงของ ร่างกาย - รู้จักปรับตัวให้เข้ากันได้กับพ่อแม่ที่สูงอายุ 33


- สามารถปรับตัวได้กับสภาพที่เสื่อมถอยลง - ปรับตัวได้กับการที่จะต้องเกษียณอายุ ตลอดจนเงิน เดือนที่ลดลง - ปรับตัวได้กับการตายของคู่ครอง - สามารถสร้างสัมพันธภาพกับคนในวัย วั เดียว กันได้ วัย วั ชรา ( 60 ปีขึ้ ปี ขึ้ น ขึ้ ไป) 34


ความจำของมนุษนุย์ บทที่4ที่ 35


ความจำ ของเราเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ในการที่เราจะสร้างความทรงจำ ใหม่ ข้อมูลที่ได้รับมาจะถูก เปลี่ยนเป็นรูปแบบที่ใช้งานได้ ซึ่งเกิดขึ้นผ่านกระบวนการที่เรีย รี ก ว่า ว่ การเข้ารหัส (encoding) เมื่อเข้ารหัสข้อมูลสำ เร็จแล้ว จะต้อง เก็บไว้ใว้ นหน่วยความจำ เพื่อใช้ในภายหลัง นักวิจั วิจั ยเชื่อกันว่า ว่ ความ ทรงจำ ถูกสร้างขึ้นผ่านการเสริม ริ สร้างความเชื่อมโยงที่มีอยู่หรือ รื การเติบโตของการเชื่อมต่อใหม่ระหว่า ว่ งเซลล์ประสาท ความจำ หมายถึง การบันทึกประสบการณ์ต่าง ๆ ของเราผ่านการเรีย รี นรู้ ไม่ ว่า ว่ เราจะเรีย รี นรู้อะไรมาก็ตามมันจะถูกบันทึกเข้าความทรงจำ ของเรา ความทรง จำ จะประกอบไปด้วยกระบวนการเก็บ ดึงออกมา และ การใช้ข้อมูลที่เกี่ยวกับ สิ่งเร้าต่าง ๆ ไม่ว่า ว่ จะเป็น รูป เหตุการณ์ ไอเดีย หรือ รื สกิลในการทำ อะไรต่าง ๆ หลังจากที่ข้อมูลดั้งเดิมไม่ได้มีอยู่แล้วตรงหน้าเราแล้ว เช่น ความทรงจำ เกี่ยว กับว่า ว่ เมื่อวานตอนเย็นเราทานอะไรเป็นอาหารเย็นหรือ รืไม่ได้ทานเลย หรือ รื เราได้ จอดรถไว้ที่ ว้ ที่ไหน ความทรงจำ ถือเป็นสิ่งหนึ่งที่มีความสำ คัญต่อเรามากในการ ดำ รงชีวิต วิ ถ้าหากไม่มีกลไกที่ทำ ให้เราจำ สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับเรา เราก็จะไม่ สามารถเรีย รี นรู้อะไรได้เลย จากการศึกษาและงานวิจั วิจั ยต่าง ๆ พบว่า ว่ การเปลี่ยนแปลงในการ เชื่อมต่อที่ช่องว่า ว่ งระหว่า ว่ งเซลล์ที่เรีย รี กว่า ว่ “ไซแนปส์” สัมพันธ์กับ การเรีย รี นรู้และการเก็บรักษาข้อมูลใหม่ การเสริม ริ สร้างการเชื่อมต่อ นี้จะช่วยส่งข้อมูลไปยังหน่วยความจำ ซึ่งนี่ก็คือเหตุผลที่อธิบายว่า ว่ ทำ ไมหากเราต้องการที่จะจำ อะไรได้ เราจะต้องมีการทวนซ้ำ ข้อมูล ที่เราต้องการจะจำ เพราะการทวนซ้ำ จะช่วยเพิ่มความสามารถใน การจดจำ ข้อมูลที่เราต้องการจะจำ ได้นั่นเอง ทุกครั้งที่เราทวนซ้ำ จะทำ ให้การเชื่อมต่อระหว่า ว่ งเซลล์ประสาทมีความแข็งแกร่งมาก ขึ้น และทำ ให้เราจำ ข้อมูลนั้นได้นั่นเอง 36


ความจำ ระยะสั้น (short-term memory) : ความจำ ที่เรา ตั้งใจจดจำ ไว้ชั่ ว้ ชั่ วคราว ถ้าไม่มีการทบทวน ความทรงจำ ก็จะลืม ไปได้ ความจำ ระยะยาว (long-term memory) : ความจำ ที่เรา ทบทวนอยู่เสมอ ทำ ให้เปลี่ยนจากความจำ ระยะสั้นมาเป็น ความจำ ระยะยาว ซึ่งอยู่ได้นานเป็นปี หรือ รื ตลอดชีวิต วิ ความทรงจำ มีความสำ คัญอย่างไร ความทรงจำ ช่วยให้เรายึดมั่นกับสิ่งที่เราเรีย รี นรู้และมีประสบการณ์ ได้ ความจำ เริ่ม ริ่ ต้นด้วยกระบวนการที่สมองรับรู้ข้อมูลจำ นวน มหาศาลทั้งเรื่อ รื่ งของตัวเราและเรื่อ รื่ งอื่นๆรอบตัวเรา และกลั่นกรอง ส่วนสำ คัญเพื่อบันทึกในสมองส่วนที่เกี่ยวข้อง และสามารถดึงเอา สิ่งที่บันทึกไว้อ ว้ อกมาใช้ได้เมื่อต้องการ ความทรงจำ แบ่งออกได้ เป็น 2 ระดับดังนี้ 1. 2. ตั้งแต่ช่วงเวลาที่เราลืมตาดูโลก สมองของเราก็เริ่ม ริ่ เปิดรับข้อมูล จำ นวนมหาศาล ซึ่งมีทั้งเรื่อ รื่ งของตัวเราและเรื่อ รื่ งอื่นๆ รอบตัว ดัง นั้นจึงเกิดคำ ถามว่า ว่ เราจะยึดมั่นกับทุกสิ่งที่เราเรีย รี นรู้และมี ประสบการณ์ได้อย่างไร? คำ ตอบคือ ความทรงจำ มนุษย์เก็บความทรงจำ ประเภทต่างๆ สำ หรับช่วงเวลาซึ่งแตกต่าง กันไป ความทรงจำ ระยะสั้นคงอยู่ได้เพียงไม่กี่วิน วิ าทีจนถึงชั่วโมง ขณะที่ความทรงจำ ระยะยาวอยู่กับเราไปนานหลายปี นอกจากนี้ เรายังมี ความจำ เพื่อใช้งาน(Working memory) อีกเช่นกัน ซึ่ง มันช่วยให้เราเก็บข้อมูลเอาไว้ภ ว้ ายในใจด้วยเวลาจำ กัดโดยการเน้น ย้ำ ยกตัวอย่างเช่น เมื่อไรก็ตามที่เรากำ ลังจดจำ หมายเลขโทรศัพท์ ของใครสักคน เราจึงพยายามพูดกับตัวเองซ้ำ แล้วซ้ำ เล่า โดย กระบวนการเหล่านี้ถือเป็นช่วงที่ ความจำ เพื่อใช้งาน กำ ลัง ประมวลอยู่ 37


ประเภทของความทรงจำ สมองมีความสามารถในการจำ ต่างๆ ได้โดยการสร้างทางเชื่อม ระหว่า ว่ งเซลล์ประสาทแต่ละเซลล์เข้าด้วยกัน เมื่อได้ระบบการเชื่อม ต่อแล้ว ความทรงจำ จะจัดถูกเก็บเป็นหมวดหมู่เรีย รี กว่า ว่ เอ็นแกรม โดยจะถูกเก็บไว้ต ว้ ามกลีบสมอง ความทรงจำ แบ่งตามประเด็นหน่วยความจำ ได้เป็น 3 ประเภท ความจำ เชิงประกาศ (Declarative memory) : เป็นความ ทรงจำ ที่เกิดขึ้นในเวลาที่เรารู้ตัวและตั้งใจจดจำ ซึ่งมันจะถูก จัดเก็บไว้ใว้ นจิตสำ นึก เป็นความจำ ที่สร้างขึ้นมาได้ง่ายแต่ก็จะ มีโอกาสที่สูญหายไปได้ง่ายด้วย หากไม่มีการทบทวนนำ มาใช้ บ่อยๆ ยกตัวอย่างเช่น ความรู้ที่เรารับรู้โดยการฟัง อ่าน เขียน เช่น เมืองหลวงของประเทศไทยคือ กรุงเทพมหานคร หรือ รื ประสบการณ์ความประทับใจเวลาเราไปท่องเที่ยวในสถานที่ต่างๆ 1. 38


2. ความจำ เชิงไม่ประกาศ (Nondeclarative memory) : เป็น ความทรงจำ ที่เกิดขึ้นโดยเราไม่ได้ตั้งใจหรือ รื รู้ตัว และไม่สามารถ กำ หนดควบคุมการตอบสนองของร่างกายได้ เป็นความทรงจำ ที่ ถูกจัดเก็บไว้ใว้ ต้จิตสำ นึก เช่น อาการเกร็งเมื่อตกอยู่ในสภาวะ คับขัน อาการขมวดคิ้วเมื่ออยู่ในภาวะสับสน งุนงง 3. ความจำ เชิงกระบวนวิธี วิธี( Procedural memory) : เป็น ความทรงจำ ที่เกิดขึ้นจากการที่เราพยามยามสร้างและฝึกฝน จดจำ ทักษะจากสิ่งที่เรีย รี นรู้มา เป็นความทรงจำ ที่ต้องใช้เวลาใน การสร้างมาก และเกิดขึ้นได้ยากกว่า ว่ ความทรงจำ 2 ประเภทแรก แต่จะถูกจัดเก็บไว้อ ว้ ย่างถาวร ยกตัวอย่าง เช่น การฝึกฝนเล่นเครื่อ รื่ งดนตรีที่ รีที่ ชอบ การฝึกฝนเล่น กีฬาที่ชอบหรือ รื ถนัด การฝึกขับรถยนต์ การฝึกฝนขี่จักรยานต์ เป็นต้น ถ้าเราฝึกฝนจนเชี่ยวชาญ ชำ นาญแล้ว โอกาสที่เราจะลืม แทบไม่มีทางเกิดขึ้นแน่นอน 39


มนุษย์สร้าง จัดเก็บ และระลึกถึงความทรงจำ ได้อย่างไร? เนื่องจากนักวิท วิ ยาศาสตร์ในปี 1940 สันนิษฐานถึงความทรงจำ ซึ่งจัดขึ้น ภายในกลุ่มของเซลล์ประสาท หรือ รื ที่เรีย รี กว่า ว่ ส่วนประกอบของเซลล์ โดย เซลล์เหล่านี้เป็นตัวตอบสนองเพื่อไปกระตุ้นความทรงจำ ต่างๆ ไม่ว่า ว่ จะ เป็นใบหน้าของเพื่อนที่เรารู้จัก หรือ รื กลิ่นของขนมปังอบใหม่ๆ และยิ่ง เซลล์ประสาททำ งานร่วมกันมากเท่าไร การเชื่อมต่อระหว่า ว่ งกันของเซลล์ ก็ยิ่งมีประสิทธิภาพมากขึ้นเท่านั้น ข้อมูลมากมายที่สมองรับเข้ามาในตอนแรกยังคงเป็น ความจำ ระยะสั้น (short-term memory) อยู่ ดังนั้นเราต้องเรีย รี กใช้ข้อมูลนั้นซ้ำ ไปซ้ำ มา มันจึงค่อยๆ เปลี่ยนเป็น ความจำ ระยะยาว (long-term memory) ภายหลัง โดยผ่านกระบวนการที่มีชื่อว่า ว่ การสร้างเสถียรภาพแก่ความ ทรงจำ (Memory consolidation)อย่างไรก็ตาม ความจำ ระยะยาวนั้น ไม่จำ เป็นต้องเริ่ม ริ่ จากความจำ ระยะสั้นเสมอไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเรื่อ รื่ งราว และเหตุการณ์ ซึ่งอาจมีความสำ คัญแตกต่างกัน เมื่อใดก็ตามที่เราหวนระลึกถึง ส่วนต่างๆ ของสมองจะประสานงานกัน อย่างทันท่วงที รวมถึงบริเ ริ วณเยื่อหุ้มสมองที่ประมวลผลข้อมูลระดับสูง บริเ ริ วณที่จัดการกับข้อมูลดิบ และบริเ ริ วณสมองกลีบขมับส่วนใน (medial temporal lobe) ซึ่งมีส่วนช่วยประสานระบบการทำ งาน ผล งานวิจั วิจั ยล่าสุดค้นพบว่า ว่ ช่วงเวลาที่คนเราระลึกถึงความทรงจำ ที่เพิ่งสร้าง ขึ้นมาใหม่นั้น เส้นประสาทหลากหลายแขนงที่อยู่บริเ ริ วณสมองกลีบขมับ ส่วนในจะเชื่อมต่อกับคลื่นต่างๆ ในเยื่อหุ้มสมองโดยทันที 40


เยื่อหุ้มสมองชั้นนอก ( Dura mater) จะมีความเหนียว แข็งแรงมาก โดยมีหน้าที่ ป้องกันการกระทบกระเทือน เยื่อหุ้มสมองชั้นกลาง (Arachoid mater) เป็นเยื่อ บางๆ เยื่อหุ้มสมองชั้นใน (Pia mater) มีเส้นเลือดแทรก มากมาย ทำ หน้าที่ส่งอาหารเลี้ยงสมอง เนื้อสมองจะมีเยื่อหุ้ม 3 ชั้น ดังนี้ ในระหว่า ว่ งเยื่อหุ้มสมองชั้นกลางและเยื่อหุ้มสมองชั้นใน จะมี ของเหลวบรรจุแทรกอยู่ เรีย รี กว่า ว่ น้ำ เลี้ยงสมองไขสันหลัง ทำ หน้าที่ให้สมองและไขสันหลังเปียกชื้นอยู่เสมอ Grey Matter เป็นเนื้อสมองส่วนนอก มีสีเทา เป็นที่รวมของเซลล์ ประสาท White Matter เป็นเนื้อสมองชั้นในมีสีขาว เป็นที่รวมของเส้นประสาท ที่ถูกหุ้มด้วยเยื่อไมอีลิน (Myelin) โครงสร้างของสมอง มนุษย์เป็นสัตว์ที่ ว์ ที่ มีสมองใหญ่ และมีคุณภาพมากที่สุด สมองมีน้ำ หนักเฉลี่ย 1,300-1,400 กรัม มีโครงสร้างป้องกันคือ กะโหลกศีรษะ ซึ่งมีความหนา และแข็งแรงมาก เนื้อสมองแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ 41


สมองส่วนหน้า มีความสำ คัญมากที่สุด ประกอบด้วย ซีรีบ รี รัม (cerebrum) , ไฮโปธาลามัส (hypothalamus) , ทาลามัส ( thalamus) สมองส่วนกลาง เป็น OPTIC LOBE ทำ หน้าที่ควบคุมการ เคลื่อนไหวของตา ศีรษะ และ ลำ ตัว เพื่อตอบสนองต่อ แสง เสียง และประมวลผลเสียงที่ได้ยิน สมองส่วนหลัง ประกอบด้วย ซีรีเ รี บลลัม (cerebellum), พอน ด์(pons),เมดัลลาออบลองกาตา(medulla oblongata) สมองคนแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ ส่วนหน้า(forebrain), ส่วนกลาง (midbrain), และส่วนหลัง (hindbrain) แต่ละส่วนมีการควบคุมการ ทำ งานของร่างกายแตกต่างกันดังนี้ 1. 2. 3. 42


ยาบางชนิดมีผลข้างเคียงต่อสมอง การดื่มแอลกอออล์ที่มากเกินไป การได้รับอุบัติเหตุอย่างรุนแรงบริเ ริ วณศรีษ รี ะ มีภาวะเครีย รี ดเป็นประจำ มีโรคประจำ ตัวเช่น ซึมเศร้า โรคจิตเภท เป็นต้น ปัจจัยเสี่ยงที่ทำ ให้เกิดอาการคล้ายสมองเสื่อม มีดังนี้ ภาวะสูญสียความทรงจำ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้ 1.ภาวะการสูญเสียความทรงจำ ย้อนหลัง (Retrograde amnesia) : จะเกิดขึ้นเมื่อสมองได้รับแรงกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง อาจจะส่งผล ให้คุณหลงลืมเรื่อ รื่ งราวต่างๆในอดีตหรือ รื เรื่อ รื่ งราวก่อนหน้านี้ไปแทบทั้งสิ้น 2. ภาวะการสูญเสียความทรงจำ แบบไปข้างหน้า (Anterograde amnesia) : จะเกิดขึ้นในช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงพยาธิสภาพในสมอง เช่น การเกิดโพรงน้ำ ในสมอง โรคเกี่ยวกับ เช่น หลอดเลือดสมองตีบ การเกิดเส้นเลือดสมองแตก จะทำ ให้สมองทำ งานได้ไม่ดีเท่าเดิมคือไม่ สามารถจดจำ เรื่อ รื่ งราวใหม่ๆได้ ซึ่งทำ ให้มีปัญหาการใช้ชีวิต วิประจำ วัน วั 43


การคิดเชาวน์ปัน์ ญ ปั ญา บทที่5ที่ 44


ความหมายของเชาวน์ปัญญา ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถาน ปี พ.ศ.2493 ให้ความหมายของคำ ว่า ว่ “เชาว์ปัว์ ปั ญญา” คือ ความสำ เร็จของปัญญาและความคิด Dictionary of Education ให้ความหมายว่า ว่ “เชาว์ปัว์ ปั ญญา (Intelligence) คือ ความสามารถในการปรับตัว ให้เข้าสถานการณ์ ใหม่ๆ ได้อย่างรวดเร็วและเป็นผลสำ เร็จ” Lewis Terman ให้ความหมายของเชาว์ปัว์ ปั ญญาว่า ว่ เป็นความสามารถใน การคิดเกี่ยวกับนามธรรมของแต่ละบุคคล George D. Stoddrd ได้ให้ความหมายว่า ว่ เชาว์ปัว์ ปั ญญา คือ ความ สามารถที่จะเข้าใจและทำ กิจกรรม David Wechsler (1958) กล่าวว่า ว่ เชาวน์ปัญญาคือ ความสามารถโดย รวมของบุคคลที่แสดงออกอย่างมีเป้าหมาย คิดอย่างมีเหตุผล และจัดการ กับสิ่งแวดล้อมอย่างมีประสิทธิภาพ 45


วิธี วิธี การคิด สิ่งที่ก่อให้เกิดเป็นความคิด เช่น ภาพ สัญลักษณ์ หรือ รื เรื่อ รื่ งราวต่าง ๆ ผลของความคิด สามารถดัดแปลงนำ ไปใช้ใน กิจกรรมต่าง ๆ J.P. Gilford กล่าวว่า ว่ เชาวน์ปัญญามีองค์ ประกอบ 3 มิติ ด้วยกันคือ 1. 2. 3. ความสามารถทั่วไป เช่นเข้าใจความสัมพันธ์ ของเหตุการณ์ต่าง ๆ การวางแผนและการคิด อย่างมีเหตุผล ความสามารถพิเศษ เช่น ความสามารถด้าน กีฬา ศิลปะ ดนตรี Charles Spearman กล่าวถึง เชาวน์ปัญญา ซึ่งประกอบด้วย 2 โครงสร้างคือ 1. 2. นิยามเชาวน์ปัน์ ปั ญญา ด้านองค์ประกอบ (componential aspect) เน้นในเรื่อ รื่ งองค์ ประกอบของความคิด ที่เกี่ยวข้องในการวิเ วิ คราะห์ข้อมูลต่าง ๆ ใน การแก้ปัญหา โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับกระบวนการของความ คิดหรือ รื ทักษะ(mental process or skill) เมื่อบุคคลแสดง พฤติกรรมที่มีเหตุผล ด้านประสบการณ์ (experiential aspect) เน้นประสบการณ์ซึ่ง เป็นประโยชน์ต่อภูมิปัญญาของมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประสบการณ์ในอดีตที่ช่วยในการแก้ปัญหาเมื่อเผชิญกับสถาณ การณ์ต่าง ๆ เช่นการปรับตัวกับงานใหม่ ความขัดแย้งกับเพื่อนร่วม งาน เป็นต้น ด้านบริบ ริ ท (contextual aspect) ทุกวัน วั นี้มนุษย์ต้องเผชิญกับ สิ่ง แวดล้อมที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา บุคคลต้องใช้ความ สามารถเชิงเชาวน์ปัญญาชนิดนี้เข้าจัดการแก้ไขปัญหาใน สถานการณ์ต่าง ๆที่เปลี่ยนแปลงไป Sternberg (1985, 1991) พัฒนาทฤษฎีทางเชาวน์ปัญญา 3 มิติ (Triarchic theory of intelligence) 3 ด้านของเชาวน์ปัญญา คือ 1. 2. 3. 46


เชาวน์ปัญญาทางด้านดนตรี (Musical intelligence) ได้แก่ ทักษะที่เกี่ยวข้องกับการดนตรี เชาวน์ปัญญาที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวของร่างกาย (Bodily kinesthetic intelligence) ได้แก่ทักษะที่ใช้ส่วนต่าง ๆ ของ ร่างกายในการแสดง หรือ รื แก้ไขปัญหาเช่น นักกรีฑ รี า นักแสดง นัก เต้นรำ และ ศัลยแพทย์ เชาวน์ปัญญาในด้านตรรก และการคำ นวณ (Logical and mathematic intelligence) ได้แก่ทักษะในการใช้เหตุและผล รวม ทั้งหมดการคิดคำ นวณ และความคิดเชิงวิท วิ ยาศาสตร์ในการแก้ไข ปัญหา เชาวน์ปัญญาทางด้านการใช้ภาษา (Linguistic intelligence) ได้แก่ทักษะซึ่งเป็นผลจากการใช้ภาษา เชาวน์ปัญญาเกี่ยวกับที่ว่า ว่ ง (Spatial intelligence) ได้แก่ทักษะ ที่ใช้ในการแก้ปัญหาเกี่ยวกับโครงสร้าง รูปพรรณสัณฐาน องค์ ประกอบ มักพบในกลุ่มที่เป็นศิลปิน หรือ รื สถาปนิก เชาวน์ปัญญาเชิงปฏิสัมพันธ์ (Interpersonal intelligence) ได้แก่ทักษะที่ใช้ในการติดต่อสัมพันธ์กับผู้อื่น เช่นมีความไวในการรับ หรือ รื ส่งอารมณ์ ความรู้สึก แรงจูงใจ หรือ รื มีความเข้าใจในผู้อื่น ข้อนี้ น่าจะคล้ายกับเรื่อ รื่ งของ EQ. เชาวน์ปัญญาในด้านความรู้ความเข้าใจที่เกี่ยวข้องกับตนเอง (Intrapersonal intelligence) ได้แก่ความเข้าใจถึงอารมณ์ความ รู้สึกที่ตนเองมีอยู่ เชาวน์ปัญญา 7 ชนิดคือ 1. 2. 3. 4. 5. 6. 7. 47


ทฤษฎีพหุปัญญาของโฮวาร์ด การ์ดเนอร์ การ์ดเนอร์ได้เสนอว่า ว่ เชาวน์ปัญญามนุษย์มี 8 ด้าน แต่ละด้านเหล่านี้ ไม่ได้ ทำ งานแยกจากกัน ทำ งานร่วมกัน โดยเฉพาะในผู้ใหญ่ที่มีบทบาท ที่สลับซับ ซ้อน จะมีการผสมผสานการใช้สติปัญญาด้านต่าง ๆ เข้าด้วยกัน ในการ ปฏิบัติบทบาทของตน เชาวน์ปัญญาทั้ง 8 ด้านประกอบด้วย 1. ปัญญาด้านภาษา (Linguistic Intelligence) บุคคลผู้มีความสามารถด้านนี้จะไวกับความหมายของคำ เล่นคำ มีความ สามารถ ใช้ภาษาได้อย่าง ถูกต้องตามหลักไวยกรณ์และบางครั้งก็ออกนอก กฎเมื่อไตร่ตรองดีแล้ว 2. ปัญญาด้านการใช้เหตุผลเชิงตรรกะและคณิตศาสตร์ (Logical Mathematical Intelligence) ผู้มีปัญญาด้านนี้สูง จะสามารถจัดเก็บ ตัวแปรหลาย ๆ ตัวแปรและสร้าง สมมุติฐานได้มากมาย สามารถประเมินและยอมรับหรือ รืปฏิเสธสมมุติฐาน แต่ละข้อได้อย่างรวดเร็ว ความสามารถจะรวม ทั้งคณิตศาสตร์และ วิท วิ ยาศาสตร์ 3. ปัญญาทางด้านมิติสัมพันธ์ (Spatial Intelligence) ปัญญาด้านนี้เป็นความสามารถที่จะเข้าใจโลกที่เรามองเห็นอยู่ได้อย่างถูกต้อง เป็นเรื่อ รื่ งที่จำ เป็นในการเดินทางการเดินเรือ รื และการใช้แผ่นที่ ผู้มีความ สามารถด้านนี้สูงจะสามารถนำ เสนอข้อมูลด้านมิติให้ออกมาเป็นภาพได้ 4. ปัญญาทางด้านการเคลื่อนไหวร่างกายและกล้ามเนื้อ (BodilyKinesthetic Intelligence) ผู้มีปัญญาด้านนี้สูงจะค้นพบความสามารถของตน ทันทีที่เข้าไปอยู่ใน สถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวนั้น ๆ โดยยังไม่ทันได้รับการฝึกมาก นัก มีความสามารถในการหยิบจับวัต วั ถุต่าง ๆ ได้อย่างคล่องแคล่ว ทฤษฎีเชาวน์ปัน์ ปั ญญา 48


ทฤษฎีพหุปัญญาของโฮวาร์ด การ์ดเนอร์ การ์ดเนอร์ได้เสนอว่า ว่ เชาวน์ปัญญามนุษย์มี 8 ด้าน แต่ละด้านเหล่านี้ ไม่ได้ ทำ งานแยกจากกัน ทำ งานร่วมกัน โดยเฉพาะในผู้ใหญ่ที่มีบทบาท ที่สลับซับ ซ้อน จะมีการผสมผสานการใช้สติปัญญาด้านต่าง ๆ เข้าด้วยกัน ในการ ปฏิบัติบทบาทของตน เชาวน์ปัญญาทั้ง 8 ด้านประกอบด้วย 1. ปัญญาด้านภาษา (Linguistic Intelligence) บุคคลผู้มีความสามารถด้านนี้จะไวกับความหมายของคำ เล่นคำ มีความ สามารถ ใช้ภาษาได้อย่าง ถูกต้องตามหลักไวยกรณ์และบางครั้งก็ออกนอก กฎเมื่อไตร่ตรองดีแล้ว 2. ปัญญาด้านการใช้เหตุผลเชิงตรรกะและคณิตศาสตร์ (Logical Mathematical Intelligence) ผู้มีปัญญาด้านนี้สูง จะสามารถจัดเก็บ ตัวแปรหลาย ๆ ตัวแปรและสร้าง สมมุติฐานได้มากมาย สามารถประเมินและยอมรับหรือ รืปฏิเสธสมมุติฐาน แต่ละข้อได้อย่างรวดเร็ว ความสามารถจะรวม ทั้งคณิตศาสตร์และ วิท วิ ยาศาสตร์ 3. ปัญญาทางด้านมิติสัมพันธ์ (Spatial Intelligence) ปัญญาด้านนี้เป็นความสามารถที่จะเข้าใจโลกที่เรามองเห็นอยู่ได้อย่างถูกต้อง เป็นเรื่อ รื่ งที่จำ เป็นในการเดินทางการเดินเรือ รื และการใช้แผ่นที่ ผู้มีความ สามารถด้านนี้สูงจะสามารถนำ เสนอข้อมูลด้านมิติให้ออกมาเป็นภาพได้ 4. ปัญญาทางด้านการเคลื่อนไหวร่างกายและกล้ามเนื้อ (BodilyKinesthetic Intelligence) ผู้มีปัญญาด้านนี้สูงจะค้นพบความสามารถของตน ทันทีที่เข้าไปอยู่ใน สถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวนั้น ๆ โดยยังไม่ทันได้รับการฝึกมาก นัก มีความสามารถในการหยิบจับวัต วั ถุต่าง ๆ ได้อย่างคล่องแคล่ว ทฤษฎีเชาวน์ปัน์ ปั ญญา 49


5. ปัญญาทางด้านดนตรี (Musical Intelligence) คนทุกคนล้วนมีความสามารถทางดนตรีใรี นระดับหนึ่ง ทุกคนสามารถสนุกไป กับเสียงดนตรี ได้แก่ จังหวะ ท่วงทำ นอง ระดับเสียง ซึ่งบางคนจะมีทักษะ ด้านนี้มากกว่า ว่ คนอื่น สามารถพัฒนาได้อย่างรวดเร็วในการเล่นเครื่อ รื่ งดนตรี ปัญญาด้านนี้ครอบคลุมความสามารถทุกด้านที่เกี่ยวข้องกับดนตรี 6. ปัญญาทางด้านการเข้ากับผู้อื่น (Inter-Personal Intelligence) ปัญญาด้านนี้เป็นความสามารถที่จะมองไปที่ผู้อื่นหรือ รื บุคคลที่อยู่ภายนอก ผู้ใหญ่ที่มีความชำ นาญด้านนี้จะสามารถรับรู้ความตั้งใจและความปรารถนา ของผู้อื่นได้ แม้เขาจะไม่แสดงออกให้เห็นหรือ รืปิดบังไว้ก็ ว้ ก็ ตาม จะมีความไวต่อ อารมณ์และความรู้สึกของผู้อื่น 7. ปัญญาทางด้านการเข้าใจตนเอง (Intra-Personal Intelligence) ปัญญาด้านนี้คือการเข้าใจความรู้สึกของตนเองทุกแง่ทุกมุม รู้จักระดับและ ขอบเขตอารมณ์ของตนเอง สามารถระบุอารมณ์นั้นได้และใช้เป็นเครื่อ รื่ งมือใน การควบคุมพฤติกรรมของตน ปรับปรุงการกระทำ ของตน 8. ปัญญาทางด้านความเข้าใจธรรมชาติ (Naturalistic Intelligence) ปัญญาด้านนี้เป็นการปรับตัวเพื่อความอยู่รอดในสภาพแวดล้อม ผู้ที่มีปัญญา ด้านนี้สูงจะรู้จักจำ แนกชนิด และสายพันธุ์ของพืชและสัตว์ สามารถแยกแยะ ความแตกต่าง จัดหมวดหมู่ จัดประเภทของสิ่งที่มีอยู่ในธรรมชาติของโลกได้ ดีบุคคลในกลุ่มนี้ได้แก่ นักเดินทาง นักพฤกษศาสตร์ นักวิท วิ ยาศาสตร์ สัตวแพทย์ และเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่า ทฤษฎีเชาวน์ปัน์ ปั ญญา 50


ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อเชาวน์ปัญญา 1. พันธุกรรมกับเชาวน์ปัญญา พันธุกรรมเป็นปัจจัยสำ คัญอันดับแรกต่อเชาวน์ปัญญาของบุคคล การที่เด็กจะมีระดับเชาวน์ปัญญาเช่นไรขึ้นอยู่กับพันธุกรรมของ ฝ่ายพ่อและฝ่ายแม่เป็นสำ คัญ กล่าวคือ ถ้าพ่อแม่ฉลาด ลูกจะ ฉลาดเหมือนพ่อแม่ ถ้าพ่อแม่โง่ ลูกจะโง่เหมือนพ่อแม่ 2. สิ่งแวดล้อมกับเชาวน์ปัญญา สิ่งแวดล้อมที่แตกต่างกันจะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงระดับเชาวน์ ปัญญาของบุคคลได้ไม่มากนัก กล่าวคือ ไม่ว่า ว่ เราจะจัดสิ่ง แวดล้อมให้ครบถ้วนสมบูรณ์เพียงใดก็จะไม่สามารถทำ ให้เด็กที่มี เชาวน์ปัญญาต่ำ ที่ไม่สามารถดูแลตัวเองได้ให้มีระดับเชาวน์ ปัญญาที่สูงขึ้นเป็นระดับปานกลางได้เลย 51


Click to View FlipBook Version