The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by นิอามีรา นิเฮาะ, 2023-10-24 04:46:51

E-book

E-book

ทฤษฎีเอกนัยหรือ รื ทฤษฎีองค์ประกอบเดียว ผู้คิดทฤษฎีนี้ อัลเฟรด บิเนต์ มีความเห็นว่า ว่ ว่า ว่ เชาวน์ปัญญาหมาย ถึงผลรวมของความสามารถหลายๆ ด้านของบุคคลที่มีลักษณะ เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันยา รวมกันเข้าเป็นองค์ประกอบเดียว เรีย รี ก ว่า ว่ องค์ประกอบทั่วไป ซึ่งไม่สามารถจะแยกออกจากกันได้ ซึ่งบิ เนต์เชื่อว่า ว่ จะพัฒนาไปตามวุฒิ วุ ฒิ ภาวะของแต่ละบุคคล ทฤษฎีสององค์ประกอบ ผู้คิดทฤษฎี ชาร์ลส์ อี. สเปียร์แมน เชื่อว่า ว่ เชาวน์ปัญญาของคน เราไม่น่าจะมีเพียงองค์ประกอบเดียว แต่ควรประกอบขึ้นจากองค์ ประกอบสองประเภทด้วยกัน คือ องค์ประกอบที่เป็นความสามรถ ทั่วไป เช่น ความจำ ไหวพริบ ริ องค์ประกอบที่เป็นความสามารถ เฉพาะ เช่น ความสามารถทางคณิตศาสตร์ ทางภาษา ทฤษฎีเชาวน์ปัญญา 52


ทฤษฎีเชาวน์ปัญญาของกิลฟอร์ด เจ.พี. กิลฟอร์ด เชื่อว่า ว่ เชาวน์ปัญญาของบุคคลมีโครงสร้างเป็น สามมิติ ซึ่งมีความสัมพันธ์กัน ได้แก่ ด้านเนื้อหา ด้านวิธี วิธี คิด และ ด้านผลที่ได้ ซึ่งทั้งสามมิติหรือ รื สามด้านยังสามารถแยกองค์ ประกอบย่อยได้อีกถึง 120 ส่วน ทฤษฎีเชาวน์ปัญญาของแคตเตลล์ ได้สรุปแนวคิดเกี่ยวกับเชาวน์ปัญญาโดยถือเอาอิทธิพลที่มีต่อ พัฒนาการทางเชาวน์ปัญญาเป็นเกณฑ์ โดยเขาเห็นว่า ว่ เชาวน์ ปัญญาของบุคคลแบ่งองค์ประกอบทั่วไปสองประเภทคือเชาวน์ ปัญญาที่ได้รับจากการถ่ายทอดทาพันธุกรรม หมายถึงองค์ ประกอบทั่วไปของเชาวน์ปัญญาประเภทที่ไม่เกิดจากการเรีย รี นรู้ หรือ รื อาศัยประสบการณ์ เป็นความสามารถพื้นฐานโดยทั่วไปที่ จำ เป็นต้องใช้ในการทำ กิจกรรมต่างๆ เชาวน์ปัญญาที่เป็นผลมา จากการเรีย รี นรู้และประสบการณ์ หมายถึงองค์ประกอบทั่วไปของ เชาวน์ปัญญาที่เป็นผลมาจากการสะสมประสบการณ์ที่ได้เรีย รี นรู้ จากสังคมและสิ่งแวดล้อม ยิ่งมีประสบการณ์และการเรีย รี นรู้มาก เท่าใด พัฒนาการทางเชาวน์ปัญญาก็จะมากขึ้น 53


สรุป เชาวน์ปัญญา คือความสามารถเฉพาะบุคคลในการที่จะคิดอย่าง เป็นนามธรรม มีเหตุผล ตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว เรีย รี นรู้ได้อย่างมี ประสิทธิภาพ และสามารถนำ ประสบการณ์จากการเรีย รี นรู้มาแก้ ปัญหาเฉพาะหน้าได้เป็นอย่างดี ประเมินสถานการณ์ได้ใกล้เคียง ตามความเป็นจริง ริ ทำ เรื่อ รื่ งยากให้เป็นเรื่อ รื่ งง่าย รวมทั้งมีความ สามารถในการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์และสิ่งแวดล้อมได้ อย่างเหมาะสม ความสามารถของบุคคลในการเรีย รี นรู้ การปรับ ตัวต่อปัญหาอย่างเหมาะสมและความสามารถในอันที่จะทำ กิจกรรมต่างๆได้อย่างมีจุดมุ่งหมายและมีคุณค่าทางสังคม สามารถคิดอย่างมีเหตุผลสามารถปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมและ สังคมอย่างมีประสิทธิภาพเชาวน์ปัญญามีความสำ คัญและมีผล ต่อความสำ เร็จทางด้านต่างๆของมนุษย์ แต่มิใช่ว่า ว่ เชาวน์ปัญญา เป็นองค์ประกอบเดียวที่จะทำ ให้มนุษย์ประสบความสำ เร็จ 54


การรับ รั รู้ บทที่6ที่ 55


การรับรู้ (Perception) หมายถึงขบวนการที่เกี่ยวข้องกับการแปล การจัดการ (Organize) และสังเคราะห์(Synthesis) สิ่งเร้าที่ส่งผ่านมาทางขบวนการรับ สัมผัส (Sensation) ดังนั้นการรับรู้จะต้องอาศัยประสบการณ์เดิม และความรู้พื้นฐานเดิมในการแปลสิ่งเร้าออกมาทำ ให้รู้ความหมาย และเข้าใจสิ่งเร้าต่าง ๆ เหล่านั้น นอกจากนี้การรับรู้ขึ้นอยู่กับปัจจัย อื่น ๆ ด้วยเช่น ความจำ ค่านิยม ทัศนคติ และ บุคลิกภาพเดิมของ แต่ละคน 56


ในต้นศตวรรษที่ 20 ได้มีนักจิตวิท วิ ยากลุ่ม Gestalt ได้ค้นพบว่า ว่ การรับรู้ ของคนเรามีแนวโน้มที่จะจัดสิ่งต่างๆที่เห็นออกเป็นกลุ่มเป็นหมวดหมู่มากกว่า ว่ จะ แยกรับรู้เป็นส่วนๆ Perceptual Organization Figure and ground คือ การรับรู้รูปทรงเรขาคณิตต่าง ๆ ได้อย่างชัดเจน ไม่ว่า ว่ จะเป็นรูปทรง สี่เหลี่ยม สามเหลี่ยม หรือ รื วงกลม เพราะว่า ว่ รูปทรงดังกล่าวมีขอบเขตและมีการ ลากเส้นต่าง ๆ อย่างชัดเจนการรับรู้ส่วนที่มีขอบเขตแน่นอนและชัดเจนเรีย รี ก ส่วนนี้ว่า ว่ ภาพ (Figure) ส่วนที่ปรากฏไม่ชัดเจนเราไม่ใส่ใจ หรือ รื มีขอบเขตไม่ ชัดเจนเรีย รี กว่า ว่ พื้น (Ground) การรับรู้ดังกล่าวไม่จำ เป็นต้องเป็น รูปทรง เรขาคณิตเสมอไป โดยทั่วไปแล้วหลักการรับรู้เรื่อ รื่ งภาพและพื้นอาจจะเป็นการ รับรู้ภาพต่างๆ ลวดลายต่าง ๆ หรือ รื สีต่าง ๆ ก็ได้ ในบางครั้งการรับรู้เรื่อ รื่ งภาพและพื้นอาจจะสลับกันไปมาซึ่งอาจเกิดความแตก ต่างในตัวบุคคลหรือ รื ต่างเวลาเรีย รี กปรากฏการณ์นี้ว่า ว่ Reversible figure and ground และอีกปรากฏการณ์หนึ่งคือการรับรู้ภาพและวัต วั ถุเป็นสองแง่ สองมุมเรีย รี กว่า ว่ Ambiguous figures 57


Perceptual Grouping คือ การรับรู้ขึ้นอยู่กับกฎเกณฑ์การจัดระบบบางอย่างและการ จัดเรีย รี งสิ่งเร้าต่างๆ 1. Principle of Nearness or Proximity การรับรู้สิ่งเร้า ใดๆก็ตามถ้าปรากฏในที่ เดียวกันหรือ รื อยู่ใกล้ชิดคนเรามีแนวโน้มที่รับรู้ว่า ว่ เป็นหมวดหมู่ เดียวกันเช่นการเรีย รี งอักษรเป็นชุดๆหรือ รื สิ่งเร้าที่เกิดจากการ ได้ยินเช่นการเกาะจังหวะเป็นชุดๆ 2. Principle of Similarity สิ่งเร้าใดก็ตามที่มีลักษณะ คล้ายคลึงกันหรือ รื เหมือนกันคนเรามีแนวโน้มที่จะรับรู้ว่า ว่ เป็นหมวดหมู่เดียวกัน 3. Principle of continuity or common fate สิ่งเร้าที่มี การเคลื่อนที่ในทิศทาง เดียวกันหรือ รืปรากฏไปในทิศทางเดียวกันคนเรามีแนวโน้มที่จะรับ รู้ว่า ว่ หมวดหมู่เดียวกัน Principle of Closure คนเราสามารถรับรู้ภาพหรือ รื วัต วั ถุที่ขาด หายไปโดย การเติมเต็มส่วนที่ขาดหายไปดังนั้นภาพที่ไม่สมบูรณ์คนเราก็ สามารถรับรู้ได้ว่า ว่ เป็นภาพหรือ รื วัต วั ถุชนิดใด 58


Perceptual Constancy หมายถึง แนวโน้มที่จะรับรู้วัต วั ถุค่อนข้างคงที่และไม่เปลี่ยนแปลง แม้ว่า ว่ ข้อมูลที่ได้จากการรับสัมผัส (Sensory information) เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ถ้าคนเราไม่มีการรับรู้ที่คงคงจะทำ ให้เกิด ความสับสนวุ่นวุ่ วาย เมื่อเรามีการรับรู้ที่คง ไม่ว่า ว่ วัต วั ถุนั้นจะอยู่ตำ แหน่ง ใด ระยะทางไกลเท่าไร และภายใต้แสงสีใด ๆ เราก็ยังรับรู้วัต วั ถุนั้น เหมือนเดิม ข้อมูลการรับสัมผัสอาจถูกเปลี่ยนแปลงโดยแสงหรือ รื ระยะ ทาง แต่การรับรู้ของคนเราก็ยังคงที่ ความทรงจำ และประสบการณ์ต่าง ๆ มีส่วนสำ คัญอย่างยิ่งในการ รับรู้ความคงที่ของวัต วั ถุ และความคงที่ของวัต วั ถุแบ่งออกดังนี้ Light and color constancy Light constancy หมายถึง แนวโน้มที่จะรับรู้ว่า ว่ วัต วั ถุเดียวกันมีความมืดสว่า ว่ งเท่าเดิม โดยไม่นำ สภาพของแสงสว่า ว่ งขณะนั้นมาเกี่ยวข้องกับการรับรู้ Color constancy หมายถึง แนวโน้มที่จะรับรู้สีของวัต วั ถุงเดิม แม้ว่า ว่ สภาพของสิ่งแวดล้อมจะเปลี่ยนแปลงไป ความคงที่ของสีจะขึ้น อยู่สิ่งแวดล้อมอื่น ๆ 59


ความเข้มของเสียง ( Intensity) การเคลื่อนไหวของศีรษะ (Head movement) Perceptual Illusion Illusion หมายถึงการรับรู้วัต วั ถุ หรือ รื สิ่งเร้าแตกต่างไปจากสภาพที่แท้จริง ริ ซึ่งอาจเกิดจากคุณสมบัติของสิ่งเร้า ส่วนประกอบต่าง ๆ ของสิ่งเร้า รวมถึง ความเชื่อ ความคิดเห็นของแต่ละคนที่มีต่อการรับรู้ Auditory Perception การรับรู้ที่เกิดการได้ยินเสียงต่าง ๆ มากมายนั้นอาศัยตัวชักนำ (Cue) ต่าง ๆ เช่นเดียวกับตา ตัวชักนำ ทำ ให้เราได้ยินนั้นทำ ให้เรารู้แหล่งกำ เนิดเสียง ทิศทางเสียง และระยะทางของแหล่งกำ เนิดเสียง ดังนั้นสามารถแบ่งตัว ชักนำ ออกเป็น 2 ชนิดด้วยกันคือ Monaural Cues เป็นตัวชักนำ ในการ ได้ยินเสียงโดยการใช้อวัย วั วะสัมผัสหูเพียงข้างเดียว ทำ ให้คนเรารับรู้เสียงต่าง ๆ และระยะทางของแหล่งกำ เนิดเสียง แต่หูข้าง เดียวไม่สามารถแยกทิศทางของเสียงได้ จึงไม่สามารถตัดสินได้อย่างแน่ชัด ว่า ว่ เสียงมาจากทิศทางใด หน้า หลัง ซ้าย ขวา อย่างไรก็ตามการรับรู้ทิศทาง ของเสียงเกิดจากการแปลความหมายจากสิ่งต่างๆ Binaural Cues เป็นตัวชักนำ ในการได้ยินโดยใช้การได้ยินจากหูทั้งสองข้างทำ งานประสาน กัน และตัดสินว่า ว่ ทิศทางและระยะของเสียง ทำ ให้กำ หนดทิศทางได้เป็นอย่างดี ซึ่งอาศัยตัวชักนำ 2 ชนิด คือ 1. 2. 60


ทฤษฎีการรับรู้และการทำ ความเข้าใจระหว่า ว่ งบุคคล (Interpersonal Perception and Attribution Theory) อุ่ไรรัตน์ ทองคำ ชื่นวิวั วิ ฒ วั น์(2542) ได้ศึกษาเกี่ยวกับการรับรู้และการ ทำ ความเข้าใจระหว่า ว่ ง บุคคล และได้สรุปไว้ดั ว้ ดั งนี้ การรับรู้ (Perception) เป็นกระบวนการทางจิตวิท วิ ยาที่มีการรับและตีความสิ่งเร้าด้วย ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ของบุคคล การรับรู้เป็นผลเนื่องมาจาการที่ มนุษย์ใช้อวัย วั วะรับสัมผัส (Sensorymotor) ซึ่งเรีย รี กว่า ว่ เครื่อ รื่ งรับ (Sensory) ซึ่งก็คือ คือ ตา หู จมูก ลิ้น และผิวหนัง ได้ว่า ว่ การ รับรู้ ของคนเกิดจากการเห็น 75% จากการได้ยิน 13% การสัมผัส 6% กลิ่น 3% และรส 3% การรับรู้จะเกิดขึ้นมากน้อยเพียงใด ขึ้นอยู่กับสิ่งที่มีอิทธิพล หรือ รื ปัจจัยในการรับรู้ ได้แก่ลักษณะของผู้รับรู้ ลักษณะของสิ่งเร้า เมื่อมีสิ่งเร้าเป็นตัวกำ หนดให้เกิดการเรีย รี นรู้ได้นั้นจะต้องมีการ รับรู้เกิดขึ้นก่อน เพราะการ รับรู้เป็นหนทางที่นำ ไปสู่การแปลความ หมายที่เข้าใจกันได้ ซึ่งหมายถึงการรับรู้เป็นพื้นฐานของการเรีย รี นรู้ ถ้าไม่มีการรับรู้เกิดขึ้น การเรีย รี นรู้ย่อมเกิดขึ้นไม่ได้ การรับรู้จึงเป็น องค์ประกอบสำ คัญที่ทำ ให้เกิดความคิดรวบยอด ทัศนคติของมนุษย์ อันเป็นส่วนสำ คัญยิ่งในกระบวนการเรีย รี นการสอนและการใช้สื่อการ สอนจึงจำ เป็นจะต้องให้เกิดการรับรู้ที่ถูกต้องมากที่สุ 61


โดยทั่วไปแล้วสิ่งต่าง ๆ เช่น วัตถุ บุคคล เหตุการณ์ หรือ รื สิ่ง ที่มีความสัมพันธ์กัน ถูกรับรู้ดีกว่า มันก็ย่อมถูกจดจำ ได้ดีกว่า เช่นกัน ในการเรีย รี นการสอนจำ เป็นต้องหลีกเลี่ยงการรับรู้ที่ผิดพลาด เพราะถ้าผู้เรีย รี นรู้ข้อความหรือ รื เนื้อหาผิดพลาด เขาก็จะเข้าใจ ผิดหรือ รื อาจเรีย รี นรู้บางสิ่งที่ผิดพลาดหรือ รืไม่ตรงกับความเป็น จริง ริ เมื่อมีความต้องการสื่อในการเรีย รี นการสอนเพื่อใช้แทนความ เป็นจริง ริ เป็นเรื่อ รื่ งสำ คัญที่จะต้องรู้ว่าทำ อย่างไร จึงจะนำ เสนอ ความเป็นจริง ริ นั้นได้อย่างเพียงพอที่จะให้เกิดการรับรู้ตาม ความ มุ่งหมาย นอกจากนี้ กระบวนการรับรู้ยังสามารถใช้ประโยชน์ในการเรีย รี น การสอนด้วย มีเหตุผลหลายประการที่นักออกแบบเพื่อการเรีย รี น การสอนจำ ต้องรู้และนำ หลักการของการรับรู้ไปประยุกต์ใช้กล่าว คือ 1. 2. 3. นักจิตวิท วิ ยากลุ่มความรู้ (Cognitive) ที่เน้นความสำ คัญของส่วน รวม มีแนวคิดของการสอน ซึ่งมุ่งให้ผู้เรีย รี นมองเห็นส่วนรวมก่อน โดยเน้นเรีย รี นจากประสบการณ์ (Perceptual experience) 62


การเรีย รี นรู้ บทที่7ที่ 63


การเรีย รี นรู้ หมายถึง การได้รับความรู้ พฤติกรรม ทักษะ คุณค่า หรือ รื ความพึงใจ ที่เป็นสิ่งแปลกใหม่หรือ รื ปรับปรุงสิ่งที่มีอยู่ และอาจเกี่ยวข้องกับการสังเคราะห์ สารสนเทศชนิดต่างๆ ผู้ประมวลทักษะของการเรีย รี นรู้ เป็นได้ทั้งมนุษย์ สัตว์ และเครื่อ รื่ งจักรบางชนิด ความ ก้าวหน้าในการเรีย รี นรู้เมื่อเทียบกับเวลามีแนวโน้มเป็นเส้น โค้งแห่งการเรีย รี นรู้ (learning curve) นักจิตวิท วิ ยาหลายท่านให้ความหมายของการเรีย รี นรู้ไว้ เช่น คิมเบิล (Kimble, 1964) “การเรีย รี นรู้เป็นการเปลี่ยนแปลง ค่อนข้างถาวรในพฤติกรรม อันเป็นผลมาจากการฝึกที่ได้รับ การเสริม ริ แรง” ฮิลการ์ด และ เบาเวอร์ (Hilgard& Bower, 1981) “การ เรีย รี นรู้ เป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม อันเป็นผล มาจากประสบการณ์และการฝึก ทั้งนี้ไม่รวมถึงการ เปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมที่เกิดจากการตอบสนองตาม สัญชาตญาณ ฤทธิ์ของยา หรือ รื สารเคมี หรือ รืปฏิกิริย ริ า สะท้อนตามธรรมชาติของมนุษย์” ครอนบาค(Cronbach) “การเรีย รี นรู้ เป็นการแสดงให้เห็น ถึงพฤติกรรมที่มีการเปลี่ยนแปลง อันเป็นผลเนื่องมาจาก ประสบการณ์ที่แต่ละบุคคลประสบมา” 64


มีการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ (Systematic problem Solving) โดยอาศัยหลักทางวิท วิ ยาศาสตร์ เช่น การใช้วงจรของ Demming (PDCA : Plan, Do, Check, Action) มีการทดลองปฏิบัติ (Experimental) ในสิ่งใหม่ ๆ ที่ มีประโยชน์ต่อองค์การเสมอ โดยอาจจะเป็น Demonstration Project หรือ รื เป็น Ongoing program มีการเรีย รี นรู้จากบทเรีย รี นในอดีต (Learning from their own experience) มีการบันทึกข้อมูลเป็น case study เพื่อให้สมาชิกในองค์การได้ศึกษาถึง ความสำ เร็จและความผิดพลาดที่เกิดขึ้น เพื่อนำ มา ประยุกต์ใช้ในอนาคต มีการแลกเปลี่ยนความรู้และ ประสบการณ์ของสมาชิก มีการเรีย รี นรู้จากผู้อื่น (Learning from the Others) โดยการใช้การสัมภาษณ์ (Interview), การ สังเกต (Observation) ฯลฯ มีการถ่ายทอดความรู้โดยการทำ Report, Demonstration, Training & Education, Job Rotation ฯลฯ ลักษณะสำ คัญของการเรีย รี นรู้ 1. 2. 3. 4. 5. 65


กระบวนการเรีย รี นรู้ กระบวนการเรีย รี นรู้ของผู้เรีย รี นจะมีความแตกต่างกันไป ในแต่ละบุคคล ความแตกต่างระหว่างบุคคลส่งผลให้ผู้เรีย รี น มีวิธี วิธี การของตนเอง อันเกิดจากสภาวะแวดล้อม บุคลิกภาพ อารมณ์และสังคมของแต่ละบุคคล สิ่งที่ผู้เรีย รี นได้รับการ ถ่ายทอดอย่างเป็นระบบ เป็นขั้นตอนอย่างต่อเนื่องทั้งใน ห้องเรีย รี นและในชีวิต วิประจำ วัน ทำ ให้ผู้เรีย รี นเกิดกระบวนการ ในการเรีย รี นรู้ของตนเอง แบ่งได้ตามกลุ่มของผู้เรีย รี นที่มี ลักษณะและวิธี วิธี การที่เหมือนกันออกได้เป็นหลายแบบ แนวคิดในเรื่อ รื่ งระดับของกระบวนการในการเรีย รี นรู้ที่ เกร็ก และล็อคฮาร์ท (Craik and Lockhart, 1972) ได้เสนอว่า การเรีย รี นรู้เป็นกระบวนการที่มีหลายระดับ เราสามารถเรีย รี น รู้และจำ สิ่งต่าง ๆ ที่มีความหมายกับตัวเราได้ เพราะมีการ เรีย รี นรู้ที่เป็นกระบวนการมากกว่าการกระตุ้นให้เรีย รี นรู้ ความ ลึกของกระบวนการเรีย รี นรู้เป็นความละเอียดของ กระบวนการ การเรีย รี นรู้แบบลึกจะทำ ให้เข้าใจได้ละเอียดและ ระลึกถึงข้อมูลต่าง ๆ ได้มาก 66


การเรีย รี นรู้กับการเรีย รี นการสอน ทฤษฎีการเรีย รี นรู้ต่าง ๆ ได้ถูกรวบรวมเป็นองค์รวมเป็นชุด ของหลักการต่าง ๆ เพื่อ อธิบายเหตุผลการได้มาขององค์ ความรู้ การรักษาไว้และการเรีย รี กใช้องค์ความรู้ในแต่ละ บุคคลได้ อย่างไรทฤษฎีการเรีย รี นรู้ต่าง ๆ เปิดโอกาสให้ท่าน กำ หนดเบ้าหลอมผู้เรีย รี นและกำ หนดคำ ทำ นายเกี่ยวกับผล การเรีย รี นรู้ด้วยตัวท่านเอง สิ่งเหล่านี้สามารถเป็นแนวทาง ช่วยให้เราเลือกใช้เครื่อ รื่ งมือในการเรีย รี นการสอน เทคนิค และ วิธี วิธี การต่างๆ วิธี วิธี การที่ส่งเสริม ริ สนับสนุนการเรีย รี นรู้ และทำ ให้ นักเรีย รี นบรรลุตามจุดประสงค์ในรายวิช วิ าอย่างมี ประสิทธิภาพโดยสมบูรณ์ พวกเราควรจะอภิปรายทฤษฎีการ เรีย รี นรู้ ทั้งสามทฤษฎีเหล่านี้ คือ พฤติกรรมนิยม, การ ประมวลผลสารสนเทศทางปัญญา, และการสร้างสรรค์ ความรู้ ด้วยปัญญา (behaviorism, cognitive information Processing, and Constructivism) ทฤษฎีการเรีย รี นรู้ (Theory of Learning)ทฤษฎี การเรีย รี นรู้มีอิทธิพลต่อการจัดการเรีย รี นการสอนมาก เพราะ จะเป็นแนวทางในการกำ หนดปรัชญาการศึกษาและการจัด ประสบการณ์ เนื่องจากทฤษฎีการเรีย รี นรู้เป็นสิ่งที่อธิบายถึง กระบวนการ วิธี วิธี การและเงื่อนไขที่จะทาให้เกิดการเรีย รี นรู้และ ตรวจสอบว่าพฤติกรรมของมนุษย์ มีการเปลี่ยนแปลงได้ อย่างไรทฤษฎีการเรีย รี นรู้ที่สำ คัญ แบ่งออกได้ 2 กลุ่มใหญ่ๆ 67


ทฤษฎีกลุ่มสัมพันธ์ต่อเนื่อง (Associative Theories) 1) ทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิก (Classical ConditioningTheories)อธิบายถึงการเรีย รี นรู้ที่เกิดจาก การเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้าตามธรรมชาติ และสิ่งเร้าที่วาง เงื่อนไขกับการ ตอบสนอง พฤติกรรมหรือ รื การตอบสนองที่ เกี่ยวข้องมักจะเป็นพฤติกรรมที่เป็นปฏิกิริย ริ าสะท้อน (Reflex) หรือ รื พฤติกรรมที่เกี่ยวข้องอารมณ์ ความรู้สึก บุคคลสำ คัญของทฤษฎีนี้ ได้แก่ 1. Ivan P. Pavlov นักสรีร รี วิท วิ ยาชาวรัสเซีย (1849 – 1936) ได้ทำ การทดลองเพื่อศึกษาการเรีย รี นรู้ที่เกิดขึ้นจาก การเชื่อมโยงระหว่างการตอบสนองต่อสิ่งเร้าตามธรรมชาติที่ ไม่ได้วางเงื่อนไข (Unconditioned Stimulus = UCS) และสิ่งเร้า ที่เป็นกลาง (NeutralStimulus) จนเกิดการ เปลี่ยนแปลงสิ่งเร้าที่เป็นกลางให้กลายเป็นสิ่งเร้าที่วาง เงื่อนไข (ConditionedStimulus = CS) และการตอบ สนองที่ไม่มีเงื่อนไข (Unconditioned Response = UCR) เป็นการตอบสนองที่มีเงื่อนไข (Conditioned Response = CR) 68


ลำ ดับขั้นตอนการเรีย รี นรู้ที่เกิดขึ้นดังนี้ 1) ก่อนการวางเงื่อนไข UCS (อาหาร) UCR (น้ำ ลายไหล) สิ่งเร้าที่เป็นกลาง (เสียงกระดิ่ง) น้ำ ลายไม่ไหล 2) ขณะวางเงื่อนไข CS (เสียงกระดิ่ง) + UCS (อาหาร) UCR (น้ำ ลายไหล) 3) หลังการวางเงื่อนไข CS (เสียงกระดิ่ง) CR (น้าลายไหล) หลักการเกิดการเรีย รี นรู้ที่เกิดขึ้น คือ การตอบสนองที่เกิด จากการวางเงื่อนไข (CR) เกิดจากการนาเอาสิ่งเร้าที่วาง เงื่อนไข (CS) มาเข้าคู่กับสิ่งเร้าที่ไม่ได้วางเงื่อนไข (UCS) ซ้ากันหลายๆ ครั้ง ต่อมาเพียงแต่ให้สิ่งเร้าที่วางเงื่อนไข (CS) เพียงอย่างเดียวก็มีผลทาให้เกิดการตอบสนองในแบบ เดียวกันผลจากการทดลอง Pavlov 69


สรุปหลักเกณฑ์ของการเรีย รี นรู้ได้ 4 ประการ คือ 1) การดับสูญหรือ รื การลดภาวะ (Extinction) เมื่อให้ CR นานๆ โดยไม่ให้ UCS เลย การตอบสนองที่มีเงื่อนไข (CR) จะค่อยๆ ลดลงและหมดไป 2) การฟื้นกลับหรือ รื การคืนสภาพ (Spontaneous Recovery) เมื่อเกิดการดับสูญของการตอบสนอง (Extinction) แล้วเว้นระยะการวางเงื่อนไขไปสักระยะหนึ่ง เมื่อให้ CS จะเกิด CR โดยอัตโนมัติ 3) การแผ่ขยาย หรือ รื การสรุปความ (Generalization) หลังจากเกิดการตอบสนองที่มีเงื่อนไข (CR) แล้ว เมื่อให้สิ่ง เร้าที่วางเงื่อนไข (CS) ที่คล้ายคลึงกัน จะเกิดการตอบสนอง แบบเดียวกัน 4) การจำ แนกความแตกต่าง (Discrimination) เมื่อให้สิ่ง เร้าใหม่ที่แตกต่างจากสิ่งเร้าที่วางเงื่อนไข จะมีการจำ แนก ความแตกต่างของสิ่งเร้า และมีการตอบสนองที่แตกต่างกัน 70


John B. Watson นักจิตวิท วิ ยาชาวอเมริกั ริกั น (1878 -1958) ได้ทำ การทดลองการวางเงื่อนไขทางอารมณ์กับ เด็กชายอายุประมาณ 11 เดือน โดยใช้หลักการเดียวกับ Pavlov หลังการทดลองเขาสรุปหลักเกณฑ์การเรีย รี นรู้ ได้ ดังนี้วัตสัน ได้ทำ การทดลองโดยให้เด็กคนหนึ่งเล่น กับหนูขาว และขณะที่เด็กกำ ลังจะจับหนูขาว ก็ทำ เสียง ดังจนเด็กตกใจร้องไห้ หลังจากนั้นเด็กจะกลัวและร้องไห้ เมื่อเห็นหนูขาว ต่อมาทดลองให้นำ หนูขาวมาให้เด็กดู โดยแม่จะกอดเด็กไว้ จากนั้นเด็กก็จะค่อย ๆ หายกลัวหนู ขาวจากการทดลองดังกล่าว 71


วัตสันสรุปเป็นทฤษฎีการเรีย รี นรู้ ดังนี้ 1) พฤติกรรมเป็นสิ่งที่สามารถควบคุมให้เกิดขึ้นได้ โดยการ ควบคุมสิ่งเร้าที่วางเงื่อนไขให้สัมพันธ์กับสิ่งเร้าตามธรรมชาติ และการเรีย รี นรู้จะคงทนถาวรหากมีการให้สิ่งเร้าที่สัมพันธ์กัน นั้นควบคู่กันไปอย่างสม่ำ เสมอ 2) เมื่อสามารถทาให้เกิดพฤติกรรมใด ๆ ได้ ก็สามารถลด พฤติกรรมนั้นให้หายไปได้ ลักษณะของทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิก 1. การตอบสนองเกิดจากสิ่งเร้า หรือ รื สิ่งเร้าเป็นตัวดึงการ ตอบสนองมา 2. การตอบสนองเกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ หรือ รืไม่ได้จงใจ 3. ให้ตัวเสริม ริ แรงก่อน แล้วผู้เรีย รี นจึงจะตอบสนอง เช่น ให้ ผงเนื้อก่อนจึงจะมีน้ำ ลายไหล 4. รางวัลหรือ รื ตัวเสริม ริ แรงไม่มีความจาเป็นต่อการวาง เงื่อนไข 5. ไม่ต้องทาอะไรกับผู้เรีย รี น เพียงแต่คอยจนกระทั่งมีสิ่งเร้า มากระตุ้นจึงจะเกิดพฤติกรรม 6. เกี่ยวข้องกับปฏิกิริย ริ าสะท้อนและอารมณ์ ซึ่งมีระบบ ประสาทอัตโนมัติเข้าไปเกี่ยวข้องในแง่ของความแตกต่าง ระหว่างบุคคล 72


การนำ หลักการมาประยุกต์ใช้ในการสอน 1. ครูสามารถนาหลักการเรีย รี นรู้ของทฤษฎีนี้มาทาความ เข้าใจพฤติกรรมของผู้เรีย รี นที่แสดงออกถึงอารมณ์ ความ รู้สึกทั้งด้านดีและไม่ดี รวมทั้งเจตคติต่อสิ่งแวดล้อมต่างๆ เช่น วิช วิ าที่เรีย รี น กิจกรรม หรือ รื ครูผู้สอน เพราะเขาอาจได้รับ การวางเงื่อนไขอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ก็เป็นได้ 2. ครูควรใช้หลักการเรีย รี นรู้จากทฤษฎีปลูกฝังความรู้สึกและ เจตคติที่ดีต่อเนื้อหาวิช วิ า กิจกรรมนักเรีย รี น ครูผู้สอนและสิ่ง แวดล้อมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องให้เกิดในตัวผู้เรีย รี น3.ครูสามารถ ป้องกันความรู้สึกล้มเหลว ผิดหวัง และวิต วิ กกังวลของผู้เรีย รี น ได้โดยการส่งเสริม ริให้กาลังใจในการเรีย รี นและการทากิจกรรม ไม่คาดหวังผลเลิศจากผู้เรีย รี น และหลีกเลี่ยงการใช้อารมณ์ หรือ รื ลงโทษผู้เรีย รี นอย่างรุนแรงจนเกิดการวางเงื่อนไขขึ้น กรณีที่ผู้เรีย รี นเกิดความเครีย รี ด และวิต วิ กกังวลมาก ครูควร เปิดโอกาสให้ผู้เรีย รี นได้ผ่อนคลายความรู้สึกได้บ้างตาม ขอบเขตที่เหมาะสม 73


ทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบการกระทำ (Operant Conditioning Theory ) B.F. Skinnerการเรีย รี นรู้ตามแนวคิดของสกินเนอร์ เกิดจากการ เชื่อมโยงระหว่า ว่ งสิ่งเร้ากับการตอบสนองเช่นเดียวกัน แต่สกินเนอร์ ให้ความสำ คัญต่อการตอบสนองมากกว่า ว่ สิ่งเร้า จึงมีคนเรีย รี กว่า ว่ เป็นทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบ สกินเนอร์ได้สรุปไว้ว่ ว้ า ว่ อัตราการเกิด พฤติกรรมหรือ รื การตอบสนองขึ้นอยู่กับผลของการกระทา คือ การ เสริม ริ แรง หรือ รื การลงโทษทั้งทางบวกและทางลบทฤษฎีการวาง เขื่อนไขแบบการกระทำ ของสกินเนอร์ นักจิตวิท วิ ยาชาวอเมริกั ริกั นได้ทาการทดลองด้านจิตวิท วิ ยาการศึกษา และวิเ วิ คราะห์สถานการณ์การเรีย รี นรู้ที่มีการตอบสนองแบบแสดง การกระทา (Operant Behavior)สกินเนอร์ได้แบ่งพฤติกรรม ของสิ่งมีชีวิต วิไว้ 2 แบบ คือ 1) Respondent Behavior พฤติกรรมหรือ รื การตอบสนองที่เกิด ขึ้นโดยอัตโนมัติ หรือ รื เป็นปฏิกิริย ริ าสะท้อน (Reflex) ซึ่งสิ่งมีชีวิต วิ ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ เช่น การกระพริบ ริ ตาน้าลายไหล หรือ รื การเกิดอารมณ์ ความรู้สึกต่างๆ 2) Operant Behavior พฤติกรรมที่เกิดจากสิ่งมีชีวิต วิ เป็นผู้ กำ หนด หรือ รื เลือกที่จะแสดงออกมา ส่วนใหญ่จะเป็นพฤติกรรมที่ บุคคลแสดงออกในชีวิต วิประจาวัน วั เช่น กิน นอน พูดเดิน ทางาน ขับรถ ฯลฯ. 74


ทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบการกระทำ มีการนำ หลักการมา ประยุกต์ใช้ คือ 1. การเสริม ริ แรงและการลงโทษ 1.1 การเสริม ริ แรง (Reinforcement) คือการทาให้อัตรา การตอบสนองหรือ รื ความถี่ของการแสดงพฤติกรรมเพิ่ม ขึ้นอันเป็นผลจากการได้รับสิ่งเสริม ริ แรง (Reinforce) ที่ เหมาะสม การเสริม ริ แรงมี 2 ทาง ได้แก่ 1) การเสริม ริ แรงทางบวก (Positive Reinforcement )เป็นการให้สิ่งเสริม ริ แรงที่บุคคลพึงพอใจ 2) การเสริม ริ แรงทางลบ (Negative Reinforcement)เป็นการนาเอาสิ่งที่บุคคลไม่พึงพอใจ ออกไป มีผลทาให้บุคคลแสดงพฤติกรรมถี่ขึ้น 1.2 การลงโทษ (Punishment) คือ การทาให้อัตราการ ตอบสนองหรือ รื ความถี่ของการแสดงพฤติกรรมลดลง การลงโทษมี 2 ทาง ได้แก่ 1) การลงโทษทางบวก (Positive Punishment) เป็นการให้สิ่งเร้าที่บุคคลที่ไม่พึงพอใจ มีผลทาให้บุคคล แสดงพฤติกรรมลดลง 2) การลงโทษทางลบ (Negative Punishment) เป็นการนาสิ่งเร้าที่บุคคลพึงพอใจ หรือ รื สิ่งเสริม ริ แรงออก ไป มีผลทาให้บุคคลแสดงพฤติกรรมลดลง 75


2. การปรับพฤติกรรมและการแต่งพฤติกรรม 2.1 การปรับพฤติกรรม (Behavior Modification) เป็นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ มาเป็น พฤติกรรมที่พึงประสงค์ โดยใช้หลักการเสริม ริ แรงและการ ลงโทษการแต่งพฤติกรรม (Shaping Behavior) เป็นการเสริม ริ สร้างให้เกิดพฤติกรรมใหม่ โดยใช้วิธี วิธี การ เสริม ริ แรงกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมทีละเล็กทีละน้อย จน กระทั่งเกิดพฤติกรรมตามต้องการ 3. บทเรีย รี นสำ เร็จรูป (Programmed Instruction) เป็นบทเรีย รี นโปรแกรมที่นักการศึกษา หรือ รื ครูผู้สอนสร้าง ขึ้นประกอบด้วย เนื้อหา กิจกรรม คำ ถามและ คำ เฉลย การสร้างบทเรีย รี นโปรแกรมใช้หลักของ Skinner คือเมื่อ ผู้เรีย รี นศึกษาเนื้อหาและทำ กิจกรรม จบ 1 บท จะมี คำ ถามยั่วยุให้ทดสอบความรู้ความสามารถ แล้วมีคำ เฉลย เป็นแรงเสริม ริให้อยากเรีย รี นบทต่อๆ ไปอีก 1.1.2 ทฤษฎีสัมพันธ์เชื่อมโยง (Connectionism Theories) 1) ทฤษฎีสัมพันธ์เชื่อมโยง (Connectionism Theory) Edward L. Thorndike (1874 – 1949) 76


ทฤษฎีกลุ่มเกสตัลท์ นักจิตวิท วิ ยากลุ่มเกสตัลท์ (Gestalt Psychology) ชาวเยอรมัน ซึ่งมีความสนใจเกี่ยวกับการรับรู้ (Perception) การ เชื่อมโยงระหว่างประสบการณ์เก่าและใหม่ นำ ไปสู่ กระบวนการคิดเพื่อการแก้ปัญหา (Insight)องค์ ประกอบของการเรีย รี นรู้ มี 2 ส่วน คือ 1) การรับรู้ (Perception) เป็นกระบวนการแปลความ หมายของสิ่งเร้าที่มากระทบประสาทสัมผัส ซึ่งจะเน้นความ สำ คัญของการรับรู้เป็นส่วนรวมที่สมบูรณ์มากกว่าการรับรู้ ส่วนย่อยทีละส่วน 2) การหยั่งเห็น (Insight) เป็นการรู้แจ้ง เกิดความคิด ความเข้าใจแวบเข้ามาทันทีทันใดขณะที่บุคคลกาลังเผชิญ ปัญหาและจัดระบบการรับรู้ ซึ่งเดวิส วิ (Davis, 1965) ใช้ คาว่า Aha experienceหลักของการหยั่งเห็นสรุปได้ ดังนี้ 77


ทฤษฎีสนามของเลวิน วิ Kurt Lewin นักจิตวิท วิ ยาชาวเยอรมัน (1890 – 1947) แนวคิดเกี่ยวกับการเรีย รี นรู้เช่นเดียวกับกลุ่มเกสตัลท์ ที่ว่าการ เรีย รี นรู้ เกิดขึ้นจากการจัดกระบวนการรับรู้ และกระบวนการคิด เพื่อการแก้ไขปัญหาแต่เขาได้นาเอาหลักการทางวิท วิ ยาศาสตร์ มาร่วมอธิบายพฤติกรรมมนุษย์ เขาเชื่อว่าพฤติกรรมมนุษย์ แสดงออกมาอย่างมีพลังและทิศทาง (Field of Force) สิ่งที่ อยู่ในความสนใจและต้องการจะมีพลังเป็นบวก ซึ่งเขาเรีย รี กว่า Life space สิ่งใดที่อยู่นอกเหนือความสนใจจะมีพลังเป็น ลบLewin กำ หนดว่า สิ่งแวดล้อมรอบตัวมนุษย์ จะมี 2 ชนิด คือ 1) สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ (Physical environment) 2) สิ่งแวดล้อมทางจิตวิท วิ ยา (Psychological environment) Life space ของบุคคลเป็นสิ่งเฉพาะตัว ความสำ คัญที่มีต่อการจัดการเรีย รี นการสอน คือ ครูต้องหาวิธี วิธี ทำ ให้ตัวครูเข้าไปอยู่ใน Life space ของผู้เรีย รี นให้ได้ การนำ หลักการทฤษฎีกลุ่มความรู้ ความเข้าใจ ไปประยุกต์ใช้ 1) ครูควรสร้างบรรยากาศการเรีย รี นที่เป็นกันเอง และมีอิสระที่ จะให้ผู้เรีย รี นแสดงความคิดเห็นอย่างเต็มที่ทั้งที่ถูกและผิด เพื่อ ให้ผู้เรีย รี นมองเห็นความสัมพันธ์ของข้อมูล และเกิดการหยั่งเห็น 2) เปิดโอกาสให้มีการอภิปรายในชั้นเรีย รี น โดยใช้แนวทางต่อไป นี้ 78


สรุป การทำ ให้มนุษย์เกิดการเรีย รี นรู้หมายถึง การทำ ให้ผู้เรีย รี นเกิด การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมหรือ รื ศักยภาพในตนเอง โดย ให้การฝึกฝนหรือ รื มีการจัดประสบการณ์ที่สัมพันธ์กับสิ่ง แวดล้อมอย่างเหมาะสมให้กับผู้เรีย รี น กระบวนการเรีย รี นรู้ของ ผู้เรีย รี นจะมีความแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ความแตกต่าง ระหว่างบุคคลส่งผลให้ผู้เรีย รี นมีวิธี วิธี การของตนเอง อันเกิดจาก สภาวะแวดล้อม บุคลิกภาพ อารมณ์และสังคมของแต่ละ บุคคล สิ่งที่ผู้เรีย รี นได้รับการถ่ายทอดอย่างเป็นระบบ เป็นขั้น ตอนอย่างต่อเนื่องทั้งในห้องเรีย รี นและในชีวิต วิประจำ วันทฤษฎี การเรีย รี นรู้ซึ่งมีอิทธิพลต่อการจัดการเรีย รี นการสอนมากเช่น เดียวกัน เพราะจะเป็นแนวทางในการกำ หนดปรัชญาการ ศึกษาและการจัดประสบการณ์ เนื่องจากทฤษฎีการเรีย รี นรู้ เป็นสิ่งที่อธิบายถึงกระบวนการ วิธี วิธี การและเงื่อนไขที่จะทำ ให้ เกิดการเรีย รี นรู้และตรวจสอบว่าพฤติกรรมของมนุษย์ มีการ เปลี่ยนแปลงได้อย่างไร 79


จิต จิ วิท วิ ยา การจัด จั การเรีย รี นรู้ บทที่8ที่ 80


การจัดการเรีย รี นรู้ สุมน อมรวิวั วิวั ฒน์ ได้ให้ความหมายของการจัดการเรีย รี นรู้ คือ สถานการณ์อย่างหนึ่งที่มีสิ่งต่อไปนี้เกิดขึ้น ได้แก่ 1. มีความสัมพันธ์และปฏิสัมพันธ์เกิดขึ้น ระหว่างผู้สอนกับผู้ เรีย รี น ผู้เรีย รี นกับผู้เรีย รี น ผู้เรีย รี นกับสิ่งแวดล้อม และ ผู้สอนกับสิ่ง แวดล้อม 2. ความสัมพันธ์และการมีปฏิสัมพันธ์ก่อให้เกิดการเรีย รี นรู้ และประสบการณ์ใหม่ 3. ผู้เรีย รี นสามารถนำ ประสบการณ์ใหม่นั้นไปใช้ได้ 81


การจัดการหลักสูตร การจัดการเรีย รี นการสอน การวัดผล การประเมินผลการเรีย รี นรู้ ฮู และ ดันแคน ได้ให้ความหมายว่า กิจกรรมที่ บุคคลได้ใช้ความรู้ของตนเองอย่างสร้างสรรค์เพื่อ สนับสนุนให้ผู้อื่นเกิดการเรีย รี นรู้และมีความผาสุข การจัดการเรีย รี นรู้จึงเป็นกิจกรรมในแง่มุมต่างๆ 4 ด้านดังนี้ 1. 2. 3. 4. 82


ผเรีย รี น บรรยากาศทางจิตวิท วิ ยาที่เอื้อต่อการเรีย รี นรู้ ปฏิสัมพันธ์ระหว่า ว่ งผู้เรีย รี น บรรยากาศทาง จิตวิท วิ ยาในชั้นเรีย รี น องค์ประกอบของการจัดการเรีย รี นรู้ ผู้สอน จำ เป็นจะต้องศึกษาจากข้อมูลหลาย ประการ เพื่อนำ มาช่วยเสริม ริ สร้างการจัดการเรีย รี นรู้ ของตน และการเรีย รี นรู้ของผู้เรีย รี น การจัดการเรีย รี นรู้ไม่ว่า ว่ ระดับใดจะขึ้นอยู่กับองค์ ประกอบ 3 ประการ ดังต่อไปนี้ 1. 2. 3. สมอง ความถนัด ความสนใจ พัฒนาการทางร่างกาย ความต้องการพื้นฐานหรือ รื เรีย รี กอีกอย่างหนึ่งว่า ว่ "ศักยภาพ" องค์ประกอบของการจัดการเรีย รี นรู้ ผู้เรีย รี น ธรรมชาติของผู้เรีย รี นเป็นสิ่งที่ครูผู้สอนจะ ต้องคำ นึงถึงเป็นอันดับแรก เกี่ยวกับความสามารถของ 83


รูปแบบ เครื่อ รื่ งมือ เทคโนโลยี บรรยากาศทางจิตวิท วิ ยาที่เอื้อต่อการเรีย รี นรู้ บรรยากาศใฝ่รู้ใฝ่เรีย รี นถือเป็นบรรยากาศทาง จิตวิท วิ ยาที่สำ คัญที่เอื้อต่อการเรีย รี นรู้ของผู้เรีย รี น ครูผู้ สอน ต้องมีทักษะประสบการณ์และจิตวิท วิ ยาในการ สร้างบรรยากาศดังกล่าวได้โดยเลือก เพื่อเสริม ริสร้างบรรยากาศที่เร้าให้ผู้เรีย รี นใฝ่รู้ใฝ่เรีย รี น มากยิ่งขึ้น หลักการพื้นฐานในการจัดการเรีย รี นรู้ ในการจัดการเรีย รี นรู้สมัยใหม่ ผู้สอนจำ เป็นต้องมี ความรู้ความสามารถหลายอย่างในการจัดการเรีย รี นรู้ ให้มีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผลสูงสุด หลักการรู้จักผู้เรีย รี น ถือเป็นสิ่งแรกที่ผู้สอนต้อง วิเ วิ คราะห์ศักยภาพ ผู้เรีย รี นได้ว่าเป็นอย่างไร ซึ่ง สามารถแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม 84


1.กลุ่มสติปัญญาค่อนข้างอ่อน/เรีย รี นรู้ช้า กลุ่มนี้สามารถเรีย รี นรู้ได้ต่อเมื่อได้รับการช่วยเหลือหรือ รื สอนจากครูอย่างค่อยเป็นค่อยไปจึงจะเรีย รี นรู้สำ เร็จ 2.กลุ่มสติปัญญาปานกลาง กลุ่มนี้มีความสามารถในการเรีย รี นรู้ด้วยตนเอง แต่ ต้องได้รับคำ ชี้แนะ รูปแบบ วิธี วิธี การ จากครูผู้สอนภาย ใต้การให้กำ ลังใจการเรีย รี นรู้จึงจะประสบผลสำ เร็จ 3.กลุ่มสติปัญญาสูง กลุ่มนี้เป็นความหวัง วั ของสังคมประเทศชาติในการ ช่วยเหลือให้เกิดความเจริญ ริ ก้าวหน้าทางวิช วิ าการและ วิช วิ าชีพในอนาคตกลุ่มนี้มีความสามารถที่จะเรีย รี นรู้ได้ ด้วยตนเองโดยต่อยอดจากการเรีย รี นรู้จากครู 85


ต้องการวัด วั องค์ความรู้และทักษะปฏิบัติเบื้อง ต้นว่า ว่ มีเท่าใดควรใช้รูปแบบใด ต้องการรู้ว่า ว่ ผู้เรีย รี นเกิดการเรีย รี นรู้มากน้อยแค่ ไหนจากการเรีย รี นรู้ด้วยตนเอง ต้องการทราบว่า ว่ ผู้เรีย รี นได้พัฒนาองค์ความรู้ ใหม่ ด้วยความคิดสร้างสรรค์จนเกิดประโยชน์ ด้วยการประเมินแบบมีส่วนรวมจากการยอมรับ ชื่นชมและให้รางวัล วั หลักการวางแผนและเตรีย รี มจัดการเรีย รี นรู้ ครูผู้สอนต้องมีความรู้ความสามารถในการ วางแผน การจัดการเรีย รี นรู้และ วิธี วิธี การเรีย รี นรู้ที่หลาก หลาย ทั้งนี้กระบวนการวัด วั และประเมินผลการเรีย รี นรู้ ที่เหมาะสม สอดคล้องต่อการเรีย รี นรู้ของแต่ละกลุ่มผู้ เรีย รี นเป็นปัจจัยสำ คัญต่อการเลือกวิธี วิธี การจัดการเรีย รี น รู้ด้วย หลักการใช้จิตวิท วิ ยาการเรีย รี นรู้ การจะจัดการเรีย รี นรู้อย่างไรกับกลุ่มผู้เรีย รี นใด ครู ผู้สอน ต้องมีพื้นฐานความรู้ทางด้านจิตวิท วิ ยาการ เรีย รี นรู้จิตวิท วิ ยาพัฒนาการ ทฤษฎีสมอง จิตวิท วิ ยา แนะแนวและการให้คำ ปรึก รึ ษาเพื่อประกอบการตัดสิน ใจในการจัด กิจกรรมการเรีย รี นรู้ต่างๆได้อย่างเหมาะ สม หลักการวัด วั และประเมินผลการเรีย รี นรู้ การที่ครูผู้สอนจะเลือกรูปแบบการวัด วั และประเมินผล การเรีย รี นรู้รูปแบบใดต้องมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยว กับวิธี วิธี การวัด วั และประเมินผลว่า ว่ มีวัต วั ถุประสงค์อย่างไร เช่น 1. 2. 3. 86


วิธี วิธี สอน การฝึกฝน เชื่อฟัง ครูจะเป็นศูนย์กลางการจัดการเรีย รี นรู้ รูปแบบการจัดการเรีย รี นรู้ รูปแบบการจัดการเรีย รี นรู้ จำ แนกตามวิธี วิธี การจัดการ เรีย รี นรู้ได้ 3 รูปแบบ ดังนี้ ดังนี้ 1.การถ่ายทอดความรู้ เป็นการจัดการเรีย รี นการสอนที่ใช้กันมานานเป็นเป้า หมายเพื่อสืบทอดความรู้ วัฒ วั นธรรมประเพณี ทักษะ ฝีมือเพื่อให้คงอยู่ต่อไป จึงเน้นความเก่ง คนเก่ง การ ถ่ายทอดใช้รูปแบบ 87


สื่อ นวัต วั กรรม เทคโนโลยี 2.การสร้างสรรค์องค์ความรู้ เป็นการจัดการเรีย รี นรู้ที่คาดหวัง วั ว่า ว่ จะยกระดับศักยภาพ ของประชาชนให้พึ่งพาตนเองได้ โดยพยายามจะให้ผู้ เรีย รี นลดการเรีย รี นรู้ที่ต้องพึ่งพาครู โรงเรีย รี น หรือ รื สถาบันไปสู่การพึ่งพาตนเองในการแสวงหาความรู้ โดย เน้นการเรีย รี นรู้ผ่าน 3. การพัฒนาองค์ความรู้ใหม่สู่สติปัญญาภิวัฒ วั น์ด้วย การแลกเปลี่ยนเรีย รี นรู้ที่หลากหลาย ผลการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีสารสนเทศและ ดิจิตอล ทำ ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงความ สัมพันธ์และ วิถี วิถี ชีวิต วิในศตวรรษที่ 21 เป็นอย่างยิ่งและรวดเร็ว ศักยภาพของประชาชนต้องได้รับการพัฒนาทักษะและ วิถี วิถี การดำ เนินชีวิต วิใหม่ ในสังคมแห่งชีวะคุณธรรม การ ศึกษาถึงเวลา ต้องปรับเปลี่ยน มุมมอง ที่เปิดโอกาสให้ ผู้เรีย รี นได้พัฒนาศักยภาพของตน โดยรูปแบบที่พัฒนา เน้นการใช้ นวัต วั กรรมและเทคโนโลยีสู่สังคม 4.0 88


แนวคิดทฤษฎีการจัดการเรีย รี นรู้ Maslow(1970)ได้ให้แนวคิดว่า ว่ แนวคิดทฤษฎีการ จัดการเรีย รี นรู้เป็นทฤษฎีเรีย รี นรู้ซึ่งมีความเชื่อว่า ว่ ความรู้ที่ ได้มาเป็น กระบวนการของการสร้างความรู้ด้วยตัวของ มันเองอย่างต่อเนื่องหลักการสำ คัญ คือ ทฤษฎีลำ ดับ ขันความต้องการ นักจิตวิท วิ ยามนุษยเสนอว่า ว่ มนุษย์มี ความต้องการ5ขันซึ่ง จะ ความต้องการในขั้นต่อไปนี้ความต้องการขั้นพื้นรานขอ มนุษยตามจะเกิด แนวคิดของ Maslow มี 5 ขั้นดังนี้ ขั้นที่ 1 ความต้องการด้านสรีร รี ะ ขั้นที่ 2 ความต้องการด้านความมั่นคงปลอดภัย ขั้นที่ 3 ความต้องการด้านความรักและความเป็น เจ้าของ ขั้นที่ 4 ความต้องการด้านศักดิ์ศรีแ รี ละความภาคภูมิใจ ขั้นที่ 5 ความต้องการพัฒนาศักยภาพของตนเองอย่าง สมบูรณ์ 89


การจัด จั การเรีย รี นรู้ สำ หรับ รั เด็ก ด็ ปกติ บทที่9ที่ 90


ด้านหลักสูตร (Curriculum) หมายถึง การศึกษา จุดมุ่งหมายของการศึกษา ความเข้าใจใน จุดประสงค์ รายวิช วิ า และการตั้งจุดประสงค์การจัดการเรีย รี นรู้ที่ ชัดเจน ตลอดจนเลือกเนื้อหาได้เหมาะสมสอดคล้องกับ ท้องถิ่น ด้านการจัดการเรีย รี นรู้ (Instruction) หมายถึง การเลือกวิธี วิธี สอนและเทคนิคการจัดการเรีย รี นรู้ที่เหมาะ สม เพื่อช่วยให้ผู้เรีย รี นบรรลุจุดประสงค์การเรีย รี นรู้ที่ วางไว้ ด้านการวัด วั ผล (Measuring) หมายถึง การเลือกวิธี วิธี การวัด วั ผลที่เหมาะสมและสามารถ วิเ วิ คราะห์ผลได้ ด้านการประเมินผลการจัดการเรีย รี นรู้ (Evaluation) หมายถึง ความสามารถในการประเมินผลของการ จัดการจัดการเรีย รี นรู้ทั้งหมดได้ ( การจัดการเรีย รี นรู้จึงเป็นกิจกรรมในแง่มุมต่าง ๆ 4 ด้านดังนี้ 1. 2. 3. 4. 91


การจัดการเรีย รี นรู้ช่วยให้ผู้เรีย รี นเปลี่ยนแปลง พฤติกรรมไปในทางที่ดีงาม ในการจัดการเรีย รี นรู้ แต่ละครั้งโดยทั่วไป ผู้สอนจะกำ หนดจุดประสงค์ ในการเรีย รี นรู้เอาไว้ การจัดการเรีย รี นรู้ช่วยทำ ให้จุดมุ่งหมายการ จัดการศึกษาบรรลุผลตามเป้าหมาย ทั้งนี้การ กำ หนดจุดมุ่งหมายของการจัดการศึกษาไว้ใว้ น หลักสูตรแต่ละระดับการศึกษาของสังคมไทยอาจ จะมีทั้งความเหมือนกันและต่างกัน แ การจัดการเรีย รี นรู้ช่วยเสริม ริ สร้างทักษะต่าง ๆ ให้ ผู้เรีย รี นสามารถที่จะนำ ไปใช้ในการดำ รงชีวิต วิ อย่าง มีความสุข การจัดการเรีย รี นรู้ช่วยพัฒนาผู้เรีย รี นให้เป็นคนดี มี คุณธรรม จริย ริ ธรรม ทำ ให้ผู้เรีย รี นเป็นคนที่ สามารถแยกดีชั่วถูกผิดออกอย่างมีเหตุผล การจัดการเรีย รี นรู้ เป็นกระบวนการที่สำ คัญใน การพัฒนาผู้เรีย รี นให้มีคุณภาพ ทำ ให้ผู้เรีย รี นมี พัฒนาการที่เจริญ ริ งอกงามทั้งทางด้านร่างกาย อารมณ์สังคม และสติปัญญา โดยภาพรวมการจัดการ เรีย รี นรู้มีความสำ คัญหลายประการดังนี้ 1. 2. 3. 4. 92


กระบวนการเรีย รี นรู้ การจัดการเรีย รี นรู้ที่เน้นผู้เรีย รี นเป็นสำ คัญ ผู้เรีย รี น จะต้องอาศัยกระบวนการเรีย รี นรู้ที่หลากหลายเป็น เครื่อ รื่ งมือที่จะนำ พาตนเองไปสู่เป้าหมายของหลักสูตร กระบวนการเรีย รี นรู้ที่จำ เป็นสำ หรับ ผู้เรีย รี น อาทิ กระบวนการเรีย รี นรู้แบบบูรณาการ กระบวนการสร้าง ความรู้ กระบวนการคิด กระบวนการทางสังคม กระบวนการเผชิญสถานการณ์และแก้ปัญหา กระบวนการเรีย รี นรู้จากประสบการณ์จริง ริ กระบวนการ ปฏิบัติลงมือทำ จริง ริ กระบวนการจัดการ กระบวนการ วิจั วิจั ย กระบวนการเรีย รี นรู้ของตนเองกระบวนการ พัฒนาลักษณะนิสัย 93


การจัดการเรีย รี นรู้เป็นกระบวนการปฏิสัมพันธ์ ระหว่างผู้สอนกับผู้เรีย รี น หมายความว่า ว่ การ จัดการเรีย รี นรู้จะเกิดขึ้นได้นั้นทั้งผู้สอนและผู้ เรีย รี นต้องมีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน และเป็น ปฏิสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นไปตาม ลำ ดับขั้นตอนเพื่อทำ ให้ผู้เรีย รี นเกิดการเรีย รี นรู้ การจัดการเรีย รี นรู้มีจุดประสงค์ให้ผู้เรีย รี นเกิด การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมตามจุดประสงค์ที่ กำ หนดไว้ซึ่งการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมมี้เป็น พฤติกรรม การจัดการเรีย รี นรู้จะบรรลุจุดประสงค์ได้ดีต้อง อาศัยทั้งศาสตร์และศิลป์ของผู้สอน หมายถึง การจัดการเรีย รี นรู้จะบรรลุผลตามจุดประสงค์ได้ หรือ รืไม่ขึ้นอยู่กับความรู้ความสามารถของผู้สอน ทั้งด้าน วิช วิ าการ วิช วิ าชีพ (ศาสตร์) รวมทั้ง ทักษะและเทคนิคการจัดการเรีย รี นรู้ (ศิลป์) การจัดการเรีย รี นรู้ เป็นกระบวนการจัดสภาพ การณ์ให้ผู้เรีย รี นได้มีประสบการณ์ ซึ่งต้องอาศัย ปฏิสัมพันธ์ระหว่า ว่ งผู้สอนกับผู้เรีย รี น เพื่อให้ผู้เรีย รี นได้ เกิดการพัฒนาตนในทุก ๆ ด้าน การจัดการเรีย รี นรู้มี ลักษณะที่เด่นชัดอยู่ 3 ประการ 1. 2. 3. 94


หลักสูตร คือ มวลประสบการณ์ต่าง ๆ ที่จัดไว้ อย่างเป็นระบบเพื่อนำ ไปใช้พัฒนาผู้เรีย รี น ดังนั้น ในการจัดการเรีย รี นรู้ผู้สอนจำ เป็นจะต้องศึกษา รายละเอียดทั้งหมดในหลักสูตรเพื่อทำ ความ เข้าใจ จุดประสงค์ การจัดการเรีย รี นรู้เริ่ม ริ่ ต้นจะต้องมี การกำ หนดจุดประสงค์การเรีย รี นรู้ทุกครั้งเพราะ จะทำ ให้เป็นการจัดการเรีย รี นรู้ที่มีเป้าหมาย สามารถทราบว่า ว่ ผู้เรีย รี นจะเกิดพฤติกรรมใดบ้าง การจัดการเรีย รี นรู้ เป็นองค์ประกอบที่สำ คัญ เช่นเดียวกัน เพราะจะทำ ให้ผู้สอนทราบว่า ว่ จะ จัดการเรีย รี นรู้อย่างไร ใช้วิธี วิธี การใดบ้าง โดยการ จัดการเรีย รี นรู้จะต้องเลือกวิธี วิธี การที่น่าสนใจมี ความเหมาะสม กับเนื้อหา องค์ประกอบของการจัดการเรีย รี นรู้ที่สำ คัญซึ่ง สามารถสรุปได้ดังนี้ 1. 2. 3. 95


เป็นการจัดการเรีย รี นรู้ที่มองเห็นได้ (Visible Learning) โดยผู้สอนอาจใช้วิธี วิธี การหรือ รื มาตรการต่าง ๆ มาช่วยในการจัดการเรีย รี นรู้ให้ มีประสิทธิภาพที่สูง ใช้หลักจิตวิท วิ ยาในการจัดการเรีย รี นรู้ กล่าวคือ การจัดการเรีย รี นรู้ที่ดีต้องคำ นึงถึงหลักจิตวิท วิ ยา และปัจจัยต่าง ๆ จัดการเรีย รี นรู้โดยเน้นผู้เรีย รี นเป็นสำ คัญ การ จัดการเรีย รี นรู้ที่ดีจะต้องเปิดโอกาสให้ผู้เรีย รี นมี ส่วน ร่วมในการจัดการเรีย รี นรู้ เทคนิคการจัดการเรีย รี นรู้ที่หลากหลายทันสมัย มีการวัด วั ผลและประเมินผล การจัดการเรีย รี นรู้ที่ ดีจะต้องสามารถบรรลุผลตามจุดประสงค์ที่ กำ หนดไว้ ซึ่งปัจจุบันการวัด วั ผลประเมินผล สามารถใช้วิธี วิธี การได้หลายรูปแบบ การจัดการเรีย รี นรู้ที่ดี ดังนี้ 1. 2. 3. 4. 5. 96


การจัด จั การเรีย รี นรู้ สำ หรับ รั เด็ก ด็ พิเ พิ ศษ บทที่1ที่0 97


ความหมาย หมายถึงเด็กที่มีความต้องการพิเศษต่างไปจากเด็กปกติ การให้การศึกษาสำ หรับเด็กเหล่านี้จึงควรมีลักษณะแตก ต่างไปขากเด็กปกติ ในด้านเนื้อหา วิธี วิธี การ และการ ประเมินผล บุคคลที่มีความต้องการพิเศษ หมายถึง ใครก็ตามที่ไม่ สามารถปฏิบัติเหมือนคนปกติ และหรือ รื ชีวิต วิ สังคมทั่วไป ต้องทำ เพียงส่วนใดส่วนหนึ่งหรือ รืไม่สา มารถทำ ทั้งหมดได้ ด้วยตนเอง ซึ่งเป็นผลมาจากความบกพร่องทางร่างกาย หรือ รื สมอง โดยเป็นมาแต่กำ เนิดหรือ รืไม่ก็ได้ เด็กที่มีความต้องการพิเศษ หมายถึง เด็กที่มีสภาพ ความบกพร่องใน ลักษณะต่างๆ ไม่ว่า ว่ จะทางด้าน พัฒนาการทางร่างกาย อารมณ์ สังคม ภาษา ห รือ รื สติ ปัญญา และไม่สามารถปฏิบัติงานในชีวิต วิประจำ วัน วั ได้ดัง เช่น เด็กปกติทั่วๆไป รวมถึงทางด้านการจัดการศึกษาซึ่ง ต้องจัดให้มีการเรีย รี นการสอนที่ต่างไปจากเด็กปกติ เพื่อ ให้สอดคล้องและเหมาะสมกับสภาพของความบกพร่อง ของเด็กและประเภทด้วย 98


เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา เด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน เด็กที่มีความบกพร่องทางการเห็น เด็กที่มีความบกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ เด็กที่มีความบกพร่องทางการพูดและภาษา เด็กที่มีปัญหาทางพฤติกรรมและอารมณ์ เด็กที่มีปัญหาทางการเรีย รี นรู้ เด็กพิการซ้อน เด็กออทิสติก ประเภทของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ สำ นักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ได้กล่าวถึง ลักษณะของเด็กที่มีความต้องการพิเศษหรือ รื ผิดปกติทาง ร่างกาย สติปัญญา และทางจิตใจ แบ่งออกเป็นประเภท ต่างๆ 9 ประเภทคือ 1. 2. 3. 4. 5. 6. 7. 8. 9. 99


การจัดการเรีย รี นการสอนสำ หรับเด็กบกพร่อง ทางสติปัญญา 95% มีความผิดปกติเป็น trisomy 21 4% มีtranslocationของโครโมโซมคู่ที่ 21 1% เป็นmosaic Down syndrome มีปัญหาการควบคุมอารมณ์เป็นผลจากพัฒนาภาษา ไม่ดี ความเข้าใจกฎเกณฑ์ไม่ดีเพราะปัญหาด้านภาษา มีลักษณะเพ้อฝัน พูดมาก พูดกับตัวเอง เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาสามารถพบสภาวะที่ การพัฒนาของสมองหยุดชะงักหรือ รื พัฒนาไม่สมบูรณ์ ซึ่งมี ลักษณะเฉพาะ คือ มีความบกพร่องของทักษะต่างๆในช่วง ระยะพัฒนาการทักษะต่างๆ พื้นฐานทางพันธุกรรม ปัญหาพฤติกรรมที่พบ 100


ด้านการเรีย รี น ต้องแยกย่อยเนื้อหา สอนที่ละขั้นตอน ด้านสังคม ฝึกให้เล่นกับเพื่อน ด้านพฤติกรรม หากมีปัญหาก้าวร้าว เกเร ฯลฯ ต้อง ชี้แนะ เน้นให้เด็กได้ฝึกปฏิบัติจริง ริ ทำ บัตรคำ หรือ รื สัญลักษณ์ติดในที่ต่างๆ การจัดสิ่งแวดล้อม สอนให้ปฏิบัติตามระเบียบ จัดให้นั่งแถวหน้าด้านใน เลือกเด็กปกติที่ไม่เกเรนั่งคู่ การมอบงาน ให้ทำ กิจกรรมกับเพื่อน ให้กำ ลังใจ ให้อยู่กลุ่มเพื่อนที่เข้าใจ กระตุ้นทักษะที่ขาด เด็กบกพร่องทางสติปัญญาและเด็กดาวน์ การจัดกิจกรรม การช่วยเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา 1. 2. 3. 4. 5. 101


Click to View FlipBook Version