The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by นิอามีรา นิเฮาะ, 2023-10-24 04:46:51

E-book

E-book

การจัดการศึกษาสำ หรับเด็กที่มีความบกพร่อง ทางสติปัญญา( ID) ระดับก่อนวัย วั เรีย รี น เน้นความพร้อมของเด็กทั้งในด้านความคิด ความจำ ร่างกาย อารมณ์ และสังคมของเด็ก ความพร้อมของเด็กเป็นพื้นฐานสำ คัญใน การเรีย รี นในระดับประถมศึกษา การพัฒนาทักษะของเด็กในระดับนี้ ควรเน้น ทักษะที่จะจำ เป็นที่จะช่วยให้เด็กมีความพร้อมในการเรีย รี น ระดับประถมศึกษา เน้นเกี่ยวกับการอ่าน คณิตศาสตร์ ภาษา ส่วนวิช วิ าวิท วิ ยาศาสตร์และ สังคมศึกษานั้นมีความสำ คัญรองลงไป ในหลักสูตรแตกต่างไปจาก หลักสูตรสำ หรับเด็กปกติตลอดจนเอกสารการเรีย รี นการสอนให้ สอดคล้อง ระดับมัธยมศึกษา เน้นความต้องการและความสามารถของเด็กเป็นสำ คัญ หากเด็กมี ความสามารถในการเรีย รี น เด็กควรได้รับการส่งเสริม ริให้เรีย รี นวิช วิ าที่ เหมาะสม ครูผู้สอนต้องมีความอดทนและพยายามอย่างมาก เนื่องจากเด็กที่มี ความบกพร่องทางสติปัญญามีระดับสติปัญญาต่ำ มีความสามารถ ในการเรีย รี นรู้น้อย และมักจะมีความพิการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ความ บกพร่องทางร่างกาย ทางการพูด และปัญหาพฤติกรรมต่าง ๆ 102


เน้นหลักสูตรที่ปรบปรุงเนื้อหาง่ายกว่า ว่ และน้อยกว่า ว่ ของเด็ก ปกติมาก เน้นเนื้อหาทักษะพื้นฐานที่เด็กสามารถนำ ไปใช้ในชีวิต วิประจำ วัน วั ได้ เช่น การเข้าใจสื่อ พัฒนาทักษะการเรีย รี นรู้เพื่อนำ ไปสู่การเรีย รี นร่วมในสังคมได้ เช่น การรู้จักปรับตัวให้เข้ากับคนอื่นได้ สอนในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ เพื่อให้เหมาะสมกับช่วงความ สนใจของเด็ก สอนตามขั้นตอนของงานที่แยกย่อยตามลำ ดับจากง่ายไปหา ยาก และไม่ซับช้อน ในการสอนแต่ละครั้ง ควรสอนเนื้อหาวิช วิ าให้น้อย ครูจึงต้องสร้างแรงจูงใจก่อน หลังจากนั้นใช้เทคนิคอื่นๆ ตามความเหมาะสม ก่อนการสอนครูจำ เป็นต้องเรีย รี นรู้เรื่อ รื่ งพัฒนาการและข้อมูล เกี่ยวกับตัวเด็กก่อ หลักสูตรหรือ รืโปรแกรมการเรีย รี นการสอนสำ หรับเด็กปัญญาอ่อน ควรจะมีลักษณะดังนี้ 1. 2. 3. ครูจึงจำ เป็นต้องใช้หลักการสอนพิเศษกว่า ว่ เด็กปกติ 1. 2. 3. เทคนิคการสอน 103


เน้นหลักสูตรที่ปรบปรุงเนื้อหาง่ายกว่า ว่ และน้อยกว่า ว่ ของเด็ก ปกติมาก เน้นเนื้อหาทักษะพื้นฐานที่เด็กสามารถนำ ไปใช้ในชีวิต วิประจำ วัน วั ได้ เช่น การเข้าใจสื่อ พัฒนาทักษะการเรีย รี นรู้เพื่อนำ ไปสู่การเรีย รี นร่วมในสังคมได้ เช่น การรู้จักปรับตัวให้เข้ากับคนอื่นได้ สอนในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ เพื่อให้เหมาะสมกับช่วงความ สนใจของเด็ก สอนตามขั้นตอนของงานที่แยกย่อยตามลำ ดับจากง่ายไปหา ยาก และไม่ซับช้อน ในการสอนแต่ละครั้ง ควรสอนเนื้อหาวิช วิ าให้น้อย ครูจึงต้องสร้างแรงจูงใจก่อน หลังจากนั้นใช้เทคนิคอื่นๆ ตามความเหมาะสม ก่อนการสอนครูจำ เป็นต้องเรีย รี นรู้เรื่อ รื่ งพัฒนาการและข้อมูล เกี่ยวกับตัวเด็กก่อ หลักสูตรหรือ รืโปรแกรมการเรีย รี นการสอนสำ หรับเด็กปัญญาอ่อน ควรจะมีลักษณะดังนี้ 1. 2. 3. ครูจึงจำ เป็นต้องใช้หลักการสอนพิเศษกว่า ว่ เด็กปกติ 1. 2. 3. เทคนิคการสอน 104


แรงจูงใจ บทที่1ที่1 105


คำ ว่า ว่ “แรงจูงใจ” มาจากคำ กริย ริ าในภาษาละตินว่า ว่ “Movere”(Kidd, 1973:101) ซึ่งมีความหมายตรงกับคำ ใน ภาษาอังกฤษว่า ว่ “to move” อันมีความหมายว่า ว่ “เป็นสิ่งที่โน้มน้าวหรือ รื มักชักนำ บุคคลเกิดการกระทำ หรือ รืปฏิบัติ การ (To move a person to a course of action) ดังนั้น แรงจูงใจจึงได้รับความสนใจมากในทุกๆวงการ สำ หรับโลเวลล์ (Lovell, 1980: 109) ให้ความหมายของแรง จูงใจว่า ว่ ”เป็นกระบวนการที่ชักนำ โน้มน้าวให้บุคคลเกิดความมานะ พยายามเพื่อที่จะสนองตอบความต้องการบางประการให้บรรลุ ผลสำ เร็จ” ไมเคิล คอมแจน (Domjan 1996: 199) อธิบายว่า ว่ การจูงใจ เป็นภาวะในการเพิ่มพฤติกรรมการกระทำ กิจกรรมของบุคคลโดย บุคคลจงใจกระทำ พฤติกรรมนั้นเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ต้องการ สรุปได้ว่า ว่ การจูงใจเป็นกระบวนการที่บุคคลถูกกระตุ้นจากสิ่งเร้า โดยจงใจให้กระทำ หรือ รื ดิ้นรนเพื่อให้บรรลุจุดประสงค์บางอย่าง ซึ่งจะเห็นได้พฤติกรรมที่เกิดจากการจูงใจเป็นพฤติกรรมที่มิใช่ เป็นเพียงการตอบสนองสิ่งเร้าปกติธรรมดา ยกตัวอย่างลักษณะ ของการตอบสนองสิ่งเร้าปกติคือ การขานรับเมื่อได้ยินเสียงเรีย รี ก แต่การตอบสนองสิ่งเร้าจัดว่า ว่ เป็นพฤติกรรมที่เกิดจากการจูงใจ เช่น พนักงานตั้งใจทำ งานเพื่อหวัง วั ความดีความชองเป็นกรณี พิเศษ แรงจูงใจ 106


แรงจูงใจต่อพฤติกรรมของบุคคลในแต่ละสถานการณ์ แรงจูงใจจะทำ ให้แต่ละบุคคลเลือกพฤติกรรมเพื่อตอบสนองต่อสิ่ง เร้าที่เหมาะสมที่สุดในแต่ละสถานการณ์ที่แตกต่างกันออกไป พฤติกรรมที่เลือกแสดงนี้ เป็นผลจากลักษณะในตัวบุคคลสภาพ แวดล้อมดังนี้ 1.ถ้าบุคคลมีความสนใจในสิ่งใดก็จะเลือกแสดงพฤติกรรม 2.ความต้องการจะเป็นแรงกระตุ้นที่ทำ ให้ทำ กิจกรรมต่างๆ 3.ค่านิยมที่เป็นคุณค่าของสิ่งต่างๆ เช่นค่านิยมทางเศรษฐกิจ สังคม ความงาม จริย ริ ธรรม วิช วิ าการ 4.ทัศนคติที่มีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งก็มีผลต่อพฤติกรรมนั้น เช่น ถ้ามี ทัศนคติที่ดีต่อการทำ งาน ก็จะทำ งานด้วยความทุ่มเท 5.ความมุ่งหวัง วั ที่ต่างระดับกัน ก็เกิดแรงกระตุ้นที่ต่างระดับกันด้วย คนที่ตั้งระดับความมุ่งหวัง วัไว้สู ว้ สู งจะพยายามมากกว่า ว่ ผู้ที่ตั้งระดับ ความมุ่งหวัง วัไว้ต่ำ ว้ ต่ำ 6.การแสดงออกของความต้องการในแต่ละสังคมจะแตกต่างกัน ออกไป ตามขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒ วั นธรรมของสังคมของ ตน 7.ความต้องการอย่างเดียวกัน ทำ ให้บุคคลมีพฤติกรรมที่แตกต่าง กันได้ 8.แรงจูงใจที่แตกต่างกัน ทำ ให้การแสดงออกของพฤติกรรมที่ เหมือนกันได้ 9.พฤติกรรมอาจสนองความต้องการได้หลายๆทางและมากกว่า ว่ หนึ่งอย่างในเวลาเดียวกัน เช่นตั้งใจทำ งาน เพื่อไว้ขึ้ ว้ ขึ้ นเงินเดือนและ ได้ชื่อเสียงเกียรติยศ ความยกย่องและยอมรับจากผู้อื่น 107


แรงจูงใจมี 2 ลักษณะดังนี้ 1.แรงจูงใจภายใน (intrinsic motives) แรงจูงใจภายในเป็นสิ่งผลักดันจากภายในตัวบุคคลซึ่งอาจจะเป็น เจตคติ ความคิด ความสนใจ ความตั้งใจ การมองเห็นคุณค่า ความพอใจ ความต้องการฯลฯสิ่งต่างๆดังกล่าวนี้มีอิทธิพลต่อ พฤติกรรมค่อนข้างถาวรเช่นคนงานที่เห็นองค์การคือสถานที่ให้ ชีวิต วิ แก่เขาและครอบครัวเขาก็จะจงรักภักดีต่อองค์การ และ องค์การบางแห่งขาดทุนในการดำ เนินการก็ไม่ได้จ่ายค่าตอบแทน ที่ดีแต่ด้วยความผูกพันพนักงานก็ร่วมกันลดค่าใช้จ่ายและช่วยกัน ทำ งานอย่างเต็มที่ 2.แรงจูงใจภายนอก (extrinsic motives) แรงจูงใจภายนอกเป็นสิ่งผลักดันภายนอกตัวบุคคลที่มากระตุ้น ให้เกิดพฤติกรรมอาจจะเป็นการได้รับรางวัล วั เกียรติยศชื่อเสียง คำ ชม หรือ รื ยกย่อง แรงจูงใจนี้ไม่คงทนถาวร บุคคลแสดง พฤติกรรมเพื่อตอบสนองสิ่งจูงใจดังกล่าวเฉพาะกรณีที่ต้องการ สิ่งตอบแทนเท่านั้น 108


แรงจูงใจมีที่มาจากหลายสาเหตุด้วยกันเช่น อาจจะเนื่องมาจาก ความต้องการหรือ รื แรงขับหรือ รื สิ่งเร้า หรือ รื อาจเนื่องมาจากการคาด หวัง วั หรือ รื จากการเก็บกดซึ่งบางทีเจ้าตัวก็ไม่รู้ตัว จะเห็นได้ว่า ว่ การ จูงใจให้เกิดพฤติกรรมที่ไม่มีกฎเกณฑ์แน่นอนเนื่องจากพฤตกรรม มนุษย์มีความซับซ้อน แรงจูงใจอย่างเดียวกันอาจทำ ให้เกิด พฤติกรรมที่ต่างกัน ความต้องการ (Need) เป็นสภาพที่บุคคลขาดสมดุลทำ ให้เกิดแรงผลักดันให้บุคคลแสดง พฤติกรรมเพื่อสร้างสมดุลให้ตัวเอง สามารถแบ่งความต้องการพื้น ฐานของมนุษย์ได้เป็น 2 ประเภททำ ให้เกิดแรงจูงใจ 1.แรงจูงใจทางด้านร่างกาย (physical motivation) เป็นความต้องการเกี่ยวกับอาหาร น้ำ การพักผ่อน การได้รับความ คุ้มครอง ความปลอดภัย การได้รับความเพลิดเพลิน การลดความ เคร่งเคียด 2.แรงจูงใจทางด้านสังคม (social motivation) แรงจูงใจด้านนี้สลับซับซ้อนมากเป็นความต้องการที่มีผลมาจาก ด้านชีววิท วิ ยาของมนุษย์ในความต้องการอยู่ร่วมกันกับครอบครัว เพื่อนฝูง ฝู ในโรงเรีย รี น เพื่อนร่วมงาน เป็นความต้องการส่วนบุคคลที่ ได้รับอิทธิพลมาจากสิ่งแวดล้อม ความแตกต่างของแรงจูงใจด้านสังคมและแรงจูงใจด้านร่างกาย คือแรงจูงใจด้านสังคม เกิดจากพฤติกรรมที่เขาแสดงออกด้วย ความต้องการของตนเองมากกว่า ว่ ผลตอบแทนจากวัต วั ถุและ สิ่งของ 109


แรงขับ (drives) เป็นแรงผลักดันที่เกิดจากความต้องการทางกายและสิ่งเร้าจาก ภายในตัวบุคคล ความต้องการและแรงขับมักเกิดควบคู่กัน เมื่อ เกิดความต้องการแล้วความต้องการนั้นไปผลักดันให้เกิด พฤติกรรมที่เรีย รี กว่า ว่ เป็นแรงขับ สิ่งล่อใจ (incentives) เป็นสิ่งชักนำ บุคคลให้กระทำ การอย่างใดอย่างหนึ่งไปสู่จุดมุ่งหมาย ที่ตั้งไว้ถื ว้ ถื อเป็นแรงจูงใจภายนอก เช่น ต้องการให้พนักงานมา ทำ งานสม่ำ เสมอก็ใช้วิธี วิธี ยกย่องพนักงานที่ไม่ขาดงานโดยจัดสรร รางวัล วั ในการคัดเลือกพนักงานที่ไม่ขาดงาน การตื่นตัว (arousal) เป็นภาวะที่บุคคลพร้อมที่จะแสดงพฤติกรรม สมองพร้อมที่จะคิด กล้ามเนื้อพร้อมจะเคลื่อนไหว นักกีฬาที่อุ่นเครื่อ รื่ งเสร็จพร้อมที่จะ แข่งขันหรือ รื เล่นกีฬา องค์การที่มีบุคลากรที่มีความตื่นตัวก็ย่อมส่ง ผลให้ทำ งานดี การคาดหวัง วั (expectancy) เป็นการตั้งความปรารถนาที่จะเกิดขึ้นของบุคคลในสิ่งที่จะเกิดขึ้น ในอนาคต เช่น พนักงานคาดหวัง วั ว่า ว่ เขาจะได้โบนัสประมาณ 4-5 เท่าของเงินเดือนในปีนี้ การคาดหวัง วั ทำ ให้พนักงานมีชีวิต วิ ชีวาซึ่ง บางคนอาจสมหวัง วั การตั้งเป้าหมาย (goal setting) เป็นการกำ หนดทิศทางและจุดมุ่งหมายปลายทางของการกระทำ กิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งของบุคคลจัดเป็นแรงจูงใจจากภายใน ของบุคคลผู้นั้นในการทำ งาน 110


ทฤษฎี E.R. G. ของ Alderfer (Existence Relatedness Growth Alderfer ได้ปรับปรุงลำ ดับขั้นความต้องการของ Maslow เป็น ความต้องการ 3 ระดับ ดังนี้ 1. ความต้องการดำ รงชีวิต วิ อยู่ (existence needs) คือ ความ ต้องการทางร่างกายและความปลอดกัย ความต้องการรายได้ สวัส วั ดิการและสภาพแวดล้อมการทำ งาน 2. ความต้องการความสัมพันธ์ (relatedness needs) คือ ความต้องการทุกอย่างที่เกี่ยวพันกับความสัมพันธ์ระหว่า ว่ งบุคคล ภายในสถานที่ทำ งาน 3. ความต้องการเจริญ ริ เติบโต (growth needs) คือ ความ ต้องการภายในเพื่อการพัฒนาส่วนบุคคล ความต้องการของ บุคคลที่จะเจริญ ริ เติบโตพัฒนา และใช้ความสามารถอย่างเต็มที่ ด้วยการแสวงหาโอกาส และการเอาชนะความท้าทายใหม่ ๆ ทฤษฎีนี้เน้นอธิบายการจูงใจของบุคคลที่กระทำ การเพื่อให้ได้มาซึ่ง ความต้องการความสำ เร็จมิได้หวัง วั รางวัล วั ตอบแทนจากการกระทำ ของเขา ซึ่งความต้องการความสำ เร็จนี้ในแง่ของการทำ งานหมายถึง ความต้องการที่จะทำ งานให้ดีที่สุดและทำ ให้สำ เร็จผลตามที่ตั้งใจไว้ เมื่อตนทำ อะไรสำ เร็จได้ก็จะเป็นแรงกระตุ้นให้ทำ งานอื่นสำ เร็จต่อไป หากองค์การใดที่มีพนักงานที่แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์จำ นวนมากก็จะ เจริญ ริ รุ่งเรือ รื งและเติบโตเร็ว 111


การแนะแนว บทที่1ที่2 112


ความหมายของการแนะแนว การแนะแนว หมายถึง กระบวนการทางการศึกษา ที่ช่วยให้ บุคคลรู้จัก และเข้าใจตนเองและสิ่ง แวดล้อม สามารถนำ ตนเองได้ แก้ปัญหาได้ด้วย ตนเอง และพัฒนาตนเองได้ตามศักยภาพ ปฏิบัติ ตนให้เป็นสมาชิกที่ดีของสังคม การแนะแนวไม่ใช่การแนะนำ อาจ กล่าวได้ว่า ว่ การแนะแนวเป็นการช่วยเหลือ ให้เขา สามารถช่วยตนเองได้ ประเภทของการแนะแนว 1. การแนะแนวการศึกษา (Education Guidance) 2. การแนะแนวอาชีพ (Vocational Guidance) 3. การแนะแนวส่วนตัวและสังคม (Personal and Social Guidance) 113


มนุษย์มีความแตกต่างกันทั้งบุคลิกภาพ สติปัญญา ความสามารถ ความสนใจและเจตคติ พฤติกรรมของมนุษย์ย่อมมีสาเหตุมีรูปแตกต่างกันไป มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมออาจเป็นไปได้ทั้ง ด้านดีและ ด้านไม่ดี มนุษย์ทุกคนย่อมมีปัญหา ต้องการความช่วยเหลือ มนุษย์เป็นทรัพยากรที่มีคุณค่าสูงยิ่งมีศักยภาพอยู่ใน ตัวจะมีความสุขก็ต่อเมื่อมีโอกาสได้ความรู้สติปัญญา ความสามารถอย่างเต็มที่ หากได้รับการแนะแนวที่ถูก ต้องจะสามารถใช้ศักยภาพให้เป็นประโยชน์สูงสุดต่อ ตนเองและส่วนรวม การแนะแนวยึดหลักเมตตาธรรมอาศัยความรักและ ความหวัง วั ดีต่อกันยึดมั่นในความเป็นประชาธิปไตยโดย เคารพกันตามเหตุผลร่วมมือประสานงานกัน การแนะแนวเน้นการให้คำ ปรึก รึ ษาเป็นหัวใจสำ คัญของ การแนะแนวโดย ยืดหลักว่า ว่ ให้รู้จักการปรับตัวและ สามารถช่วยเหลือตนเองได้ในโอกาสต่อไป ปรัชญาของการแนะแนว "ปรัชญา" คือ แนวความคิดหรือ รื ทัศนคติ ความคิดเห็น (Point of View) ซึ่งได้รับการพิจารณาไตร์ตรองแล้วว่า ว่ เป็นสิ่งมีคุณค่า มีประโยชน์สมควรยึดถือเป็นหลักในการ ดำ เนินงาน สำ นักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (2559) กำ หนดปรัชญาของการแนะแนวไว้ดั ว้ ดั งนี้ 1. 2. 3. 4. 5. 6. 114


การแนะแนวคืออะไร การแนะแนวคือจิตวิท วิ ยาประยุกต์ แขนงหนึ่งที่ว่า ว่ ด้วย กระบวนการพัฒนาคนให้รู้จักตนเองอย่างถ่องแท้ รู้จัก ความถนัด ความชอบ สติปัญญา ภูมิหลังของ ตนเอง วิเ วิ คราะห์ตนเองได้ถูกต้อง รู้จักเลือกและตัดสินใจได้ ปรับตนเองได้อย่างเหมาะสม และสามารถด าเนินชีวิต วิได้อย่างเป็นสุข ช่วยตนเองหรือ รื พึ่งตนเองได้ เป็นกระบวนการที่ส่งเสริม ริ ให้บุคคลได้มีบทบาทเต็มที่ในการเรีย รี นรู้เพื่อที่จะพัฒนา ศักยภาพนั้นต้องสอดคล้องกับสภาพแวดล้อม ความ พร้อมในการเรีย รี นรู้ความถนัด ความสนใจและความ ต้องการของผู้เรีย รี น การแนะแนวเป็นกระบวนการหนึ่ง ของการศึกษาที่จะพัฒนามนุษย์ให้เป็นพลเมืองดี มี ความรู้ในทักษะกระบวนการต่างๆ สามารถอยู่ร่วมกับผู้ อื่นได้และมีความสุขในการด ารงชีวิต วิ 115


การแนะแนวสำ หรับอาจารย์และผู้บริห ริ ารสถานศึกษา 1. ความหมายของการแนะแนว 2. การแนะแนว VS การแนะนำ 3. การแนะนำ 3 ด้าน การศึกษา อาชีพ ส่วนตัว 4. บริก ริ ารที่จัดในโรงเรีย รี น 5 บริก ริ าร 5. บริก ริ ารให้คำ ปรึก รึ ษาเป็นหัวใจของการบริก ริ ารแนะแนว 6. ความหมายของการให้คำ ปรึก รึ ษา 7. Individual Counseling and Group Counseling 8. การเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์และการแสดงออก 9. การเข้าใจธรรมชาติของปัญหา (3 kinds of problem 7 cells) 10. จรรยาบรรณของการให้คำ ปรึก รึ ษา 11. ขั้นตอนในการให้คำ ปรึก รึ ษา 12. เทคนิคการให้คำ ปรึก รึ ษา และ Role Play 116


กิจกรรมแนะแนวเป็นกระบวนการพัฒนาและช่วยเหลือผู้ เรีย รี นด้วยการจัดบริก ริ าร และกิจกรรมที่หลากหลายทั้ง เป็นรายบุคคลและเป็นกลุ่ม โดยมุ่งให้ผู้เรีย รี นสามารถ จัดการชีวิต วิ ของตนได้ตามความสนใจ ความถนัด และ ความสามารถบนพื้นฐานของความเชื่อว่า ว่ คนเป็น ทรัพยากรที่มีคุณค่า สามารถพัฒนาให้เจริญ ริ งอกงามได้ เต็มตามศักยภาพของแต่ละบุคคล จุดมุ่งหมาย เพื่อให้บุคคลรู้จักตนเอง รู้จักโลกแวดล้อม สามารถ ตัดสินใจ แก้ปัญหา รู้จักเลือกและวางแผนชีวิต วิ การเรีย รี น อาชีพ และสามารถปรับตนเองได้อย่างเหมาะสม สามารถ พัฒนาตนเต็มศักยภาพ อันจะนำ ไปสู่การมีชีวิต วิ ที่มีความ สุข ความสำ เร็จ และเป็นประโยชน์ สรุปการแนะแนวมีจุดมุ่งหมายหลัก 3 ประการคือ 1. ป้องกัน 2.แก้ไข 3.พัฒนา 117


แนะแนวด้านการเรีย รี นหรือ รื การศึกษา ซึ่งมีขอบข่าย งานตั้งแต่ การสร้างเจตคติที่ดีต่อการเรีย รี นการ ฝึก ทักษะหรือ รื เทคนิคการเรีย รี นที่มีประสิทธิภาพ การ วางแผนการเรีย รี นที่ดี การรู้ช่องทางการศึกษาและ การเลือกทางศึกษาต่อ ตลอดทั้งการสร้างนิสัยเรีย รี น รู้ตลอดชีวิต วิ แนะแนวอาชีพ ซึ่งมีขอบข่ายงานตั้งแต่การสร้าง เจตคติที่ดีต่อการทำ งาน และการประกอบอาชีพการ สร้างความตระหนัก รับรู้เกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลง ของโลกอาชีพ การสำ รวจอาชีพ การตัดสินใจและ วางแผนด้านอาชีพ การเตรีย รี มตัวเพื่ออาชีพ การเข้า สู่อาชีพ และการพัฒนาตัวเองเพื่อความก้าวหน้าใน อาชีพตลอดทั้งการปรับตนในการทำ งาน บริก ริ ารแนะแนวมี 3 ประเภท 1. 2. 3. แนะแนวด้านชีวิต วิ และสังคม ซึ่งมีขอบข่ายงานตั้งแต่ การรู้จักตนเอง รู้จักชีวิต วิ และสังคมที่เปลี่ยนแปลงอยู่ ตลอดเวลา การู้จักตนเองและรู้คุณค่าของตน การรู้จัก ปรับตัวและแก้ปัญหา การพัฒนาตนเอง การฝึกทักษะ ชีวิต วิ และทักษะทางสังคม เพื่อให้มีบุคลิกภาพ สุขภาพกาย สุขภาพจิตที่ดี 118


ประโยชน์ต่อนักเรีย รี น การแนะแนวช่วยให้นักเรีย รี น เกิดความเข้าใจตนเองอย่างถูกต้อง รู้ถึง ข้อ บกพร่องและความสามารถพิเศษของตน มีความรู้ ความเข้าใจในเรื่อ รื่ งราวต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ ซึ่งจะ ช่วยให้นักเรีย รี นสามารถพิจารณาตัดสินใจได้อย่างถูก ต้อง สามารถปรับตัวได้อย่างเหมาะสมและดำ เนิน ชีวิต วิใน สังคมได้อย่างมีความสุข ประโยชน์ต่อครูอาจารย์และโรงเรีย รี น บริก ริ ารต่าง ๆ ในงานแนะแนวจะช่วยให้ครูอาจารส์เข้าใจ นักเรีย รี น ได้ดีขึ้นทุกด้าน สามารถปรับปรุงการเรีย รี นการสอน และการปกครองให้เหมาะสม สามารถจัดแบ่ง นักเรีย รี นตามความสามารถและจัดบทเรีย รี นได้อย่างมี ประสิทธิภาพ และจะช่วยให้โรงเรีย รี นสามารถจัด กิจกรรมและบริก ริ ารต่าง ๆ ได้เหมาะสมกับความ ต้องการของนักเรีย รี น ซึ่งจะเป็นการช่วยลดปัญหา เรื่อ รื่ งความประพฤติของนักเรีย รี น ประโยชน์ต่อผู้ปกครอง การแนะแนวจะช่วยให้ผู้ ปกครองมีความเข้าใจเด็กของตนเองดีขึ้น เข้าใจ ถึง แนวทางและโอกาสในการศึกษาต่อและการประกอบ อาชีพ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ปกครองสามารถชี้แนะช่องทาง แก่เด็กของตนได้ดีขึ้น ประโยชน์ของการแนะแนว ประโยชน์ของการแนะแนวมีความสำ คัญทั้งต่อนักเรีย รี น ครูอาจารย์ สถานศึกษาและผู้ปกครองรายละเอียดดังนี้ 1. 2. 3. 119


สรุปการแนะแนว การแนะแนว หมายถึง กระบวนการทางการศึกษาที่ช่วย ให้บุคคลรู้จัก และเข้าใจตนเองและ สิ่งแวดล้อม สามารถ นำ ตนเองได้ แก้ปัญหาได้ด้วยตนเอง และพัฒนาตนเอง ได้ตามศักยภาพ ปฏิบัติตนให้เป็นสมาชิกที่ดีของสังคม ซึ่งการแนะแนวไม่ใช่การแนะนำ แต่การแนะแนวเป็นการ ช่วยเหลือ ให้เขาสามารถช่วยตนเองได้ โดยมีจุดหมาย ของการแนะแนวคือการแก้ไขปัญหา การป้องกันปัญหา และพัฒนาส่งเสริม ริให้ทุกคนไปสู่จุดหมายของชีวิต วิ ที่ ต้องการ 120


การให้คำ ปรึกษา บทที่1ที่3 121


ความหมายของการให้การปรึก รึ ษาและบริก ริ ารให้การปรึก รึ ษา การให้การปรึก รึ ษา (Counseling) เป็นกระบวนการให้ ความช่วยเหลือแก่ผู้ขอรับการปรึก รึ ษาในปัญหาทางด้านการ ศึกษา อาชีพ ส่วนตัว และสังคมโดยผู้ให้คำ ปรึก รึ ษาซึ่งเป็นผู้ ที่มีความเชี่ยวชาญจะให้เทคนิควิธี วิธี การเพื่อกระตุ้นและสะท้อน ให้ผู้ขอรับการปรึก รึ ษาเข้าใจตน เข้าใจปัญหาที่เกิดขึ้นและ สามารถจะตัดสินใจหรือ รื วางแผน การแก้ปัญหาในอนาคตได้ ด้วยตนเอง ส่วน การจัดบริก ริ ารให้การปรึก รึ ษา (Counseling Service) เป็นบริก ริ ารที่จัดขึ้นเพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ นักเรีย รี น ในการแก้ปัญหาทางด้านการศึกษา ด้านอาชีพ การวางโครงการในอนาคตการกำ หนดเป้าหมายของชีวิต วิ การปรับพฤติกรรมและการปรับตัว ตลอดจนการรู้จักแบ่ง เวลา และใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่น บริก ริ ารให้การปรึก รึ ษาจะช่วยให้นักเรีย รี น สามารถเลือกวาง โครงการ และปรับตัวได้เหมาะสมตรงกับความต้องการของ เขา บริก ริ ารให้การปรึก รึ ษาจึงถือว่าเป็นหัวใจสำ คัญของการ จัดบริก ริ ารแนะแนว 122


ช่วยให้บุคคลรู้จักและเข้าใจตนเอง ชวยให้บุคคลสามารถเข้าใจผู้อื่นและเข้าใจปัญหาต่าง ๆ ได้ตามความเป็นจริง ริ ได้เรีย รี นรู้และค้นหาเหตุแห่งปัญหาด้วยตนเอง และ สามารถตัดสินใจหาทางเลือกในการแก้ไขปัญหาได้ด้วย ตนเอง ช่วยให้สามารถค้นหาแนวทางในการแก้ปัญหา ปรับ เปลี่ยนพฤติกรรม แก้ไขข้อผิดพลาดเกี่ยวกับตนเองและ สิ่งแวดล้อม และสามารถวางพื้นฐานในการดำ เนินชีวิต วิ ที่ มีคุณค่าและความหมาย ความสำ คัญของบริก ริ ารให้การปรึก รึ ษา การให้คำ ปรึก รึ ษาปรึก รึ ษาเป็นศาสตร์ที่เอื้อเฟื้อให้บุคคลที่มา ขอรับการปรึก รึ ษาได้เห็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาของตน เกิดการพัฒนาตนเองด้วยความงอกงามภายในจิตใจ ความ สำ คัญของการปรึก รึ ษาเชิง จิตวิท วิ ยานี้จะช่วยให้บุคคลเกิด ภาวะ ดังนี้ 1. 2. 3. 4. 123


จุดมุ่งหมายของการให้การปรึก รึ ษา จุดมุ่งหมายของการให้บริก ริ ารปรึก รึ ษามีทั้งจุดหมายในระยะ สั้นและจุดมุ่งหมายระยะยาวในอนาคต จุดมุ่งหมายระยะสั้น จุดมุ่งหมายของการให้บริก ริ ารปรึก รึ ษาระยะสั้นว่าครอบคลุม สิ่งต่างๆ ดังต่อไปนี้คือ 1. ส่งเสริม ริ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม จุดมุ่งหมายของการให้บริก ริ ารปรึก รึ ษา คือการส่งเสริม ริให้ผู้รับ บริก ริ ารเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไปสู่แนวทางที่พึงปรารถนา เป็นต้นว่าให้เรีย รี นได้ดีขึ้น 2. ส่งเสริม ริ ความสามารถของผู้รับบริก ริ ารในการตัดสินใจและ วางโครงการอนาคต 3. ส่งเสริม ริ การปรับปรุงสัมพันธภาพ มนุษย์ต้องอยู่ในสังคม ดังนั้น จึงต้องมีการปะทะสัมพันธ์กับ บุคคลอื่นอยู่ตลอด เวลา หลายคนมีปัญหาด้านสัมพันธภาพ 4. ส่งเสริม ริ ทักษะของผู้รับบริก ริ ารในการแก้ปัญหาและ อุปสรรคต่างๆ ในชีวิต วิในพัฒนาการของชีวิต วิ มีน้อยคนที่จะ แก้ปัญหาและเอาชนะอุปสรรคต่างๆ ในชีวิต วิได้โดยสมบูรณ์ 124


มีการตระหนักรู้ คือ ตระหนักในส่วนดีและส่วนบกพร่อง ตระหนักในแรงจูงใจ ความเชื่อ ค่านิยมและความรู้สึกของ ตนเอง มีพฤติกรรมที่สม่ำ เสมอ ไม่ใช่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ควบคุมตนเองได้ ไม่รู่วาม หรือ รื วิต วิ กกังวลเกินกว่าเหตุ ไม่ ท้อแท้สิ้นหวัง สงสารตนเอง และปล่อย ชีวิต วิ ตาม ยถากรรม มีความสามารถที่จะดำ เนินการกับสภาพการณ์ที่เป็น ปัญหาได้อย่างมีเหตุผล ไม่ใช้อารมณ์ ไม่หนี 5. มีความมุ่งมั่นในการกระทำ ไม่จับจด เมื่อตัดสินใจที่จะทำ สิ่งใดแล้วก็มีใจจดจ่อและมุ่งมั่นในการกระทำ จนสำ เร็จลุล่วง จุดมุ่งหมายระยะยาว สำ หรับจุดประสงค์ระยะยาวในอนาคตคือ ให้ผู้รับบริก ริ าร สามารถพัฒนาตนเองอย่างเต็มที่ ช่วยให้ผู้รับบริก ริ ารเป็น บุคคลที่มีประสิทธิภาพ (the fully functioning person) รอเจอร์ส (Rogers, 1961 อ้างในวัชรี ทรัพย์มี, 2549) ประมวลลักษณะของบุคคลที่มีประสิทธิภาพไว้ ดังนี้คือ 1. 2. 3. 4. ปัญหา 125


การให้การปรึก รึ ษาเป็นรายบุคคล (Individual Counseling) เป็นการสร้างความสัมพันธ์แบบตัว ต่อตัว โดยมีจุดมุ่งหมาเฉพาะระหว่างบุคคล 2 คน มีการดำ เนิน การตามความต้องการของผู้ขอรับการปรึก รึ ษาและสิ่งที่ รวมกันระหว่างผู้มาขอรับการปรึก รึ ษาและผู้ให้คำ ปรึก รึ ษา ในที่นี้ผู้มาขอรับการปรึก รึ ษาได้แก่นักเรีย รี นซึ่งจะต้องมีการ สำ รวจและเข้าใจตนเอง ปัจจุบันการให้คำ ปรึก รึ ษากลุ่มให้ความสำ คัญกับการให้คำ ปรึก รึ ษาครอบครัวด้วยสอดคล้องกับ ลักษณา สริวั ริวั ฒน์ (2543) ซึ่งได้แบ่งรูปแบบการให้การปรึก รึ ษาออกเป็น 2 ประเภท คือ 1. 126


2. การปรึก รึ ษากลุ่ม (Group Counseling) เป็นการช่วย ให้นักเรีย รี นที่กำ ลังเจริญ ริ เติบโตได้รู้จักแสวงหาประสบการณ์ ทางสังคม เป็นการเพิ่มพูนความรู้ความเข้าใจในเรื่อ รื่ งการ เป็นสมาชิกกลุ่ม ซึ่งจะช่วยให้บุคคลได้พัฒนาความสามารถ ในการที่เข้าไปมีปฏิสัมพันธ์กับกลุ่ม สมาชิกในกลุ่มของการ ให้การปรึก รึ ษาย่อมมีอิสระที่จะ พูดคุยในหมู่ของตนเอง กลุ่ม ให้การปรึก รึ ษาที่มีประสิทธิภาพย่อมช่วยให้บุคคลได้เข้าใจถึง ความรู้สึกที่ตนกำ ลังเป็นอยู่ในปัจจุบัน สามารถเรีย รี นรู้ทักษะ และแสวงหาข้อสนเทศที่ต้องการเพื่อแก้ปัญหาของตนเอง รวมทั้ง พัฒนาสมรรถภาพที่จำ เป็นต่อการปฏิบัติการแก้ ปัญหานั้นๆ ด้วย 127


รู้จัก และยอมรับตนเอง อดทน ใจเย็น จริง ริใจ และตั้งใจช่วยเหลือผู้อื่น มีท่าที่ที่เป็นมิตร และมองโลกในแง่ดี ไวต่อความรู้สึกของผู้อื่น และช่างสังเกต ใช้คำ พูดได้เหมาะสม เป็นผู้รับฟังที่ดี มีบุคลิกภาพที่ดี รักษาความลับ มีวุฒิภาวะทางอารมณ์ สบายใจที่อยู่กับผู้อื่น มีความเมตตากรุณา มีกิริย ริ ามารยาทเรีย รี บร้อย มีความมั่นใจในตนเองและให้เกียรติผู้อื่น มีสุขภาพและสุขภาพจิตดี ร่าเริง ริ ยิ้มแย้มแจ่มใส เป็นมิตร ลักษณะของครูผู้ให้คำ ปรึก รึ ษา 1. 2. 3. 4. 5. 6. 7. 8. 9. ในด้านคุณสมบัติของครูผู้ให้คำ ปรึก รึ ษา ควรประกอบด้วย คุณสมบัติดังนี้ด้านบุคลิกภาพ 1. 2. 3. 4. 5. 6. 128


มีความไว้วางใจและมีทัศนคติที่ดีต่อผู้ให้คำ ปรึก รึ ษาและการ ปรึก รึ ษา เข้าใจปัญหา สาเหตุของปัญหาและความต้องการของตัว เอง แสวงหาและแนวทางการปรับเปลี่ยนการคิด การรู้สึกและ การปฏิบัติตนเพื่อให้มีชีวิต วิ ที่ดีขึ้น นักจิตวิท วิ ยาด้านการ ปรึก รึ ษานำ เสนอทักษะการให้คำ ปรึก รึ ษาที่แตกต่างกันออกไป แต่โดยรวมแล้ว ทักษะการให้คำ ปรึก รึ ษาที่เป็นทักษะพื้นฐาน เบื้องต้นในการสื่อสารจะประกอบด้วยทักษะ ทักษะการให้คำ ปรึก รึ ษา ทักษะการให้คำ ปรึก รึ ษา คือความสามารถหรือ รื ความชำ นาญใน การสื่อสาร ทั้งการใช้ภาษาท่าทางและภาษาพูด ซึ่งเป็นเครื่อ รื่ ง มือสำ คัญของผู้ให้คำ ปรึก รึ ษาในการช่วยเหลือบุคคลที่มีความ ทุกข์หรือ รื ผู้รับคำ ปรึก รึ ษาให้ 1. 2. 3. 1. ทักษะการใส่ใจ (Attending Skill) ความหมาย การใส่ใจเป็นพฤติกรรมของผู้ให้คำ ปรึก รึ ษาที่แสดงออกด้วย ภาษาพูดหรือ รื ภาษาท่าทาง ซึ่งบอกถึงความกระตือรือ รื รันที่จะ ช่วยเหลือผู้รับคำ ปรึก รึ ษา โดยการแสดงความสนใจ การเห็น ความสำ คัญ และการให้เกียรติเพื่อช่วยให้ผู้รับคำ ปรึก รึ ษาเกิด ความอบอุ่นใจและไม่รู้สึกห่างเหิน 129


กระตุ้นให้ผู้รับคำ ปรึก รึ ษากล้าที่จะพูดคุยกมากขึ้น เปิดประเด็นปัญหาของผู้รับคำ ปรึก รึ ษา ให้ผู้รับคำ ปรึก รึ ษาเลือกประเด็นปัญหาที่ต้องการปรึก รึ ษา กระตุ้นให้ผู้รับคำ ปรึก รึ ษาสำ รวจปัญหาและนำ เสนอความ รู้สึกของตัวเองมากขึ้น แนวทางปฏิบัติ กำ หนดวัตถุประสงค์ของการนำ ให้ชัดเจน ว่าต้องการนำ โดยให้อิสระแก่ผู้รับคำ ปรึก รึ ษาในการพูด ใช้ประโยคบอกเล่าเพื่อเป็นการนำ ให้ผู้รับคำ ปรึก รึ ษาพูด ใช้การถามเพื่อให้ผู้รับคำ ปรึก รึ ษาแสดงความรู้สึกหรือ รื ความ คิดเห็นหรือ รื รายละเอียดเพิ่มเติม 2. ทักษะการนำ (Leading Skill) ความหมาย เป็นการที่ผู้ให้คำ ปรึก รึ ษาพูดนำ ผู้รับคำ ปรึก รึ ษาไปในทิศทางที่ผู้ให้ คำ ปรึก รึ ษาคิดว่าจะทำ ให้ผู้รับคำ ปรึก รึ ษาได้ประโยชน์สูงสุดในการ มาขอรับคำ ปรึก รึ ษา วัตถุประสงค์ 1. 2. 3. 4. 5. 6. 7. 130


เพื่อให้โอกาสผู้รับคำ ปรึก รึ ษาได้บอกถึงความรู้สึกและเรื่อ รื่ ง ราวต่างๆ ที่ต้องการจะปรึก รึ ษา เพื่อให้ผู้รับคำ ปรึก รึ ษาได้สำ รวจและคิดคำ นึงเรื่อ รื่ งราวของ ตัวเองเพื่อเข้าใจตัวเองมากขึ้น เพื่อให้ได้ข้อมูล แนวทางแก้ไขปัญหาและแผนการปฏิบัติ ตามแนวทางดังกล่าวแนวทางปฏิบัติ 3. ทักษะการถาม (Question Skil) ความหมาย การถาม เป็นการให้ผู้รับคำ ปรึก รึ ษาได้เล่าเรื่อ รื่ งราวที่ต้องการ ปรึก รึ ษา รวมทั้งความรู้สึกนึกคิดตลอดจนความเชื่อของผู้รับคำ ปรึก รึ ษา วัตถุประสงค์ 1. 2. 3. 1) กำ หนดวัตถุประสงค์ของการถามว่าต้องการข้อมูลแบบใด จากผู้รับคำ ปรึก รึ ษาแล้วการตั้งคำ ถาม ซึ่ง มีอยู่ 2 แบบ คือการถามเปิดและการถามปิด การถามเปิด เมื่อต้องการให้ผู้รับคำ ปรึก รึ ษาได้พูดเล่าความรู้สึก หรือ รื เรื่อ รื่ งราวของเขาอย่างอิสระ มักจะลงท้ายประโยคด้วย "อะไร อย่างไร" 131


เพื่อให้ผู้รับคำ ปรึก รึ ษาได้คิดทบทวนเรื่อ รื่ งราวของตัวเอง และทำ ความเข้าใจในสิ่งที่เขาพูดหรือ รื รู้สึก เพื่อให้ผู้รับคำ ปรึก รึ ษาได้หยุดพักหลังจากแสดงอารมณ์ โกรธ เสียใจ เช่น บ่น ร้องไห้ เพื่อแสดงความใส่ใจและร่วมรับรู้และเข้าใจในอารมณ์และ ความรู้สึกของผู้รับคำ ปรึก รึ ษาที่เกิดขึ้นในขณะนั้น 5. ทักษะการสะท้อนกลับ (Reflection Skill) เพื่อกระตุ้นให้ผู้รับคำ ปรึก รึ ษาแสดงความรู้สึกและเปิดเผย เรื่อ รื่ งราวของตนเองให้มากขึ้นหรีชั รีชั ดเจน เพื่อให้ผู้รับคำ ปรึก รึ ษาเข้าใจปัญหา รวมทั้งสาเหตุและผลก ระทบที่เกิดขึ้น ตลอดจนเกิดความเข้าใจความรู้สึกของตัว เองมากขึ้น 4. ทักษะการเงียบ ( Silence Skil) ความหมาย การเงียบเป็นช่วงระยะเวลาระหว่างการปรึก รึ ษาที่ไม่มีการสื่อสาร ด้วยวาจาระหว่างผู้ให้คำ กับผู้รับคำ ปรึก รึ ษา แต่ยังคงมีการ สื่อสารทางอารมณ์และความรู้สึ วัตถุประสงค์ 1. 2. 3. ความหมาย การสะท้อนกลับ เป็นการบอกความเข้าใจของผู้ให้คำ ปรึก รึ ษาที่มี ต่อสิ่งที่ผู้รับคำ ปรึก รึ ษารู้สึก รับรู้หรือ รื สนใจที่เป็นปัจจุบันขณะให้ คำ ปรึก รึ ษา การสะท้อนกลับจะรวมความรู้สึกของผู้รับคำ ปรึก รึ ษา และเนื้อหาที่ผู้รับคำ ปรึก รึ ษาพูดถึง หรือ รื สิ่งที่ผู้ให้คำ ปรึก รึ ษา สังเกตเห็นจากกริย ริ าท่าทางของผู้รับคำ ปรึก รึ ษา และเนื้อหาที่ ผู้รับคำ ปรึก รึ ษาให้ความสำ คัญ โดยใช้คำ พูดของผู้ให้คำ ปรึก รึ ษา และที่ชัดเจนเข้าใจได้ง่ายขึ้น วัตถุประสงค์ 1. 2. 132


สื่อให้ผู้รับคำ ปรึก รึ ษารู้ว่าผู้ให้คำ ปรึก รึ ษาเข้าใจในเนื้อหาที่ เขาพูดได้ถูกต้อง การเน้นข้อความที่ควรเน้น เพื่อแสดงถึงความใส่ใจ ความเข้าใจของผู้ให้คำ ปรึก รึ ษาที่ มีต่อผู้รับคำ ปรึก รึ ษา เพื่อให้ผู้รับคำ ปรึก รึ ษาเปิดเผยตัวเองมากขึ้น เพื่อย้ำ ให้ผู้รับคำ ปรึก รึ ษาเข้าใจในสิ่งที่ตัวเองพูดได้ชัดเจน ยิ่งขึ้นจากการฟังสิ่งที่ตัวเองพูดอีกครั้ง ช่วยให้ผู้รับคำ ปรึก รึ ษาชัดเจนและตรงประเด็นในสิ่งที่เขา ต้องการพูด เพื่อตรวจสอบความเข้าให้ตรงกันของผู้ให้และผู้รับคำ ปรึก รึ ษาในสิ่งที่ผู้รับคำ ปรึก รึ ษากำ ลังพูดถึง 6. ทักษะการซ้ำ ความ/การทวนความ (Paraphrasing Skil) ความหมาย เป็นการที่ผู้ให้คำ ปรึก รึ ษาพูดซ้ำ ในเรื่อ รื่ งที่ผู้รับคำ ปรึก รึ ษาบอกอีก ครั้งหนึ่ง โดยคงสาระสำ คัญของเนื้อหาหรือ รื ความรู้สึกไว้ตาม เดิม แต่ใช้คำ พูดน้อยลงการทวนความ จุดมุ่งหมายของการทวนความ คือ วัตถุประสงค์ 1. 2. 3. 4. 5. 133


กระตุ้นให้ผู้รับคำ ปรึก รึ ษากระตือรือ รื รันและมั่นใจในตนเอง รวมทั้งตระหนักใน ความสามารถและ คุณค่าในตัวเอง กระตุ้นให้ผู้รับคำ ปรึก รึ ษากล้าที่จะคิดและทำ ในสิ่งที่ไม่เคย คิด หรือ รื ทำ มาก่อน เพื่อย้ำ ประเด็นสำ คัญให้มีความชัดเจนในกรณีที่มีการพูด คุยกันหลายประเด็น เพื่อให้ผู้รับคำ ปรึก รึ ษาเข้าใจเรื่อ รื่ งราวและความรู้สึกของ ตัวเอง เพื่อให้การให้คำ ปรึก รึ ษาแต่ละครั้งมีความต่อเนื่องกัน 7. ทักษะการให้กำ ลังใจ (Encouragement skill) ความหมาย เป็นการแสดงความสนใจ เข้าใจในสิ่งที่ผู้รับคำ ปรึก รึ ษาพูดและ สนับสนุนให้เขาพูดต่อไป โดยใช้คำ พูดหรือ รื ท่าทาง วัตถุประสงค์ 1. 2. 8. ทักษะการสรุปความ (Summarizing Skill) ความหมาย เป็นการรวบรวมใจความสำ คัญทั้งหมดของความคิด อารมณ์ ความรู้สึกของผู้รับคำ ปรึก รึ ษาที่เกิดขึ้นในระหว่างให้คำ ปรึก รึ ษา หรือ รืในแต่ละครั้ง โดยใช้คำ พูดสั้น ๆ ให้ได้ใจความสำ คัญ ทั้งหมด วัตถุประสงค์ 1. 2. 3. 134


เพื่อให้ความรู้ ข้อมูลและรายละเอียดต่าง ๆ ที่จำ เป็นแก่ ผู้รับคำ ปรึก รึ ษา เพื่อให้ผู้รับคำ ปรึก รึ ษาเข้าใจปัญหาของตนเองและใช้ เพื่อให้ผู้รับคำ ปรึก รึ ษารับรู้ถึงผลดีและผลเสียของการคิด การตัดสินใจ การวางแผนและการปฏิบัติของเขาเองทั้ง ในทางลบและทางบวก เพื่อให้ผู้รับคำ ปรึก รึ ษาตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ มากขึ้น 9. ทักษะการให้ข้อมูลและคำ แนะนำ (Giving Information and Advising Skill) ความหมาย การให้ข้อมูล เป็นการสื่อสารทางวาจาเกี่ยวกับข้อมูลหรือ รื ราย ละเอียดต่าง ๆ ที่จำ เป็นแก่ผู้รับคำ ปรึก รึ ษา การให้คำ แนะนำ เป็นการชี้แนะแนวทางปฏิบัติในการแก้ไข ปัญหาให้แก่ผู้รับคำ ปรึก รึ ษา วัต วั ถุประสงค์ 1. 2. 10. ทักษะการชี้ผลที่ตามมา (Pointing Outcome Skill ) ความหมาย การชี้ผลที่ตามมา เป็นการชี้ให้ผู้รับคำ ปรึก รึ ษาได้เห็นผลที่อาจ ตามมาจากการคิด การตัดสินใจ การวางแผนและการปฏิบัติ ของเขาเองทั้งในทางลบและทางบวก ผลที่ตามมานี้อาจเป็นได้ ทั้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในใจเขาหรือ รื เหตุการณ์ภายนอก ซึ่ง ทำ ให้พฤติกรรมที่เป็นปัญหาคงอยู่รุนแรงขึ้นหรือ รื ลดลง วัต วั ถุประสงค์ 1. 2. 135


สรุป บริก ริ ารให้การปรึก รึ ษา ถือว่า ว่ เป็นหัวใจและเป็นบริก ริ ารที่สำ คัญ ที่สุดในบริก ริ ารแนะแนว แบ่งเป็น 2ประเภท คือ การให้การ ปรึก รึ ษารายบุคคลและการปรึก รึ ษากลุ่ม โดยครูผู้ที่จะทำ หน้าที่ ให้การปรึก รึ ษาได้อย่างมีประสิทธิภาพควรมีลักษณะส่วนตัว ได้แก่ ด้านบุคลิกภาพ ด้านมนุษยสัมพันธ์ ด้านองค์ความรู้และ ความสามารถ ด้านจรรยาบรรณ ขั้นตอนที่จะเอื้ออำ นวยให้ นักเรีย รี นผู้รับคำ ปรึก รึ ษาได้สำ รวจตนเองอย่างรอบ ด้าน ตระหนักรู้ เข้าใจและยอมรับตนเองในสิ่งที่เป็นปัญหาและ สามารถแสวงหาแนวทางแก้ไขปัญหาได้ด้วยตนเอง ประกอบ ด้วย 5 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นสร้างสัมพันธภาพ ขั้นสำ รวจปัญหา ขั้นหาแนวทางการแก้ไข ขั้นวางปฏิบัติและขั้นยุติการให้การ ปรึก รึ ษา โดยมีเครื่อ รื่ งมือสำ คัญของผู้ให้คำ ปรึก รึ ษาในการช่วย เหลือบุคคลที่มีความทุกข์หรือ รื ผู้รับคำ ปรึก รึ ษาให้เข้าใจปัญหา และหาแนวทางแก้ได้ด้วยตนเอง เครื่อ รื่ งมือที่กล่าวมานั้นคือ ทักษะการให้การปรึก รึ ษา ได้แก่ ทักษะการใส่ใจ ทักษะการนำ ทักษะการถาม ทักษะการเงียบ ทักษะการสะท้อนกลับ ทักษะ การซ้ำ ความ/ทวนความทักษะการให้กำ ลังใจ ทักษะการสรุป ความ ทักษะการให้ข้อมูลและให้คำ แนะนำ ทักษะการชี้ผลที่ ตามมา 136


การศึกษา รายกรณี บทที่1ที่4 137


การศึกษาบุคคลเป็นรายกรณี(Case study) กระบวนการศึกษาบุคคลอย่างละเอียดต่อเนื่อง โดย ใช้เทคนิคหลายๆ อย่างในการเก็บรวบรวมข้อมูล และนำ ข้อมูลที่ได้มาวิเ วิ คราะห์ สังเคราะห์ และวินิ วินิ จฉัย ปัญหาเพื่อทำ ความเข้าใจ ถึงสาเหตุหรือ รื ที่มาของสิ่ง ที่ศึกษา อันจะนำ ไปสู่การดำ เนินการหรือ รื การให้ข้อ เสนอแนะที่เป็นประโยชน์ในการให้ความช่วยเหลือ แก้ไข ป้องกันปัญหาหรือ รื ส่งเสริม ริ พัฒนาการของ บุคคลต่อไป ความหมายของการศึกษารายกรณี การศึกษารายกรณี (Case Study) หมายถึง กระบวนการศึกษา บุคคลใดบุคคลหนึ่ง กลุ่มบุคคลใด บุคคลหนึ่ง ชุมชนใดชุมชนหนึ่งหรือ รื สถาบันใดสถาบัน หนึ่งอย่างละเอียดต่อเนื่อง โดยใช้เครื่อ รื่ งมือ สเราะห์ เคราะห์ และว่นดับทสาเห็ดของพฤติกรม เพื่อ ดำ เนินการช่วยเหลือ แก้ไข ป้้องกัน หรือ รื ส่งเสริม ริ พัฒนาการของบุคคลกลุ่มคน ชุมชน และสถาบันนั้น ต่อไป 138


จุดมุ่งหมายของการศึกษารายกรณี ศึกษานักเรีย รี นที่มีปัญหาพิเศษเพื่อช่วยเหลือ แก้ไข ศึกษานักเรีย รี น ที่มีความสามารถพิเศษเพื่อส่ง เสริม ริ พัฒนานักเรีย รี นอย่างเต็มศักยภาพ ช่วยให้นักเรีย รี นเข้าใจและยอมรับความเป็น จริง ริ ของตน ช่วยให้บุคคลที่เกี่ยวข้องเกิดความเข้าใจและให้ ความร่วมมืออย่างเหมาะสม เพื่อการค้นคว้า ว้ วิจั วิจั ย 139


การศึกษาบุคคลเป็นรายกรณี (Case Study) 140


ครูแนะแนว ครูประจำ ชัน ครูประจำ วิช วิ า นักจิตวิท วิ ยาประจำ โรงเรีย รี น ครูฝ่ายปกครองหรือ รื ผู้บริห ริ าร จิตแพทย์ แพทย์สาขาอื่น ๆ นักจิตวิท วิ ยา นักสังคมสงเคราะห์ พยาบาล ใครควรเป็นผู้ทำ Case Study ในทางทฤษฎี - ผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับการฝึกฝนอบรมมาโดย เฉพาะ ในทางปฏิบัติ - ใช้บุคลากรที่พอจะทำ ได้ สถาบันการศึกษา สถาบันทางการแพทย์ 141


ระเบียนสะสม สังเกต สัมภาษณ์ผู้ส่งมา ระเบียนสะสม ตรวจสุขภาพจิต สังเกต สมภาษณ์ การคัดเลือกนักเรีย รี นเพื่อทำ การศึกษารายกรณี 1. นักเรีย รี นที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษหรือ รื รีบ รี ด่วน 2. นักเรีย รี นที่มีความสามารถพิเศษ 3. นักเรีย รี นที่มีพฤติกรรมดีเด่นสมควร เป็นแบบอย่าง แก่สังคม การได้ข้อมูลจาก Case 1. หาเอง 2. มีผู้ส่งมา 3. มาหาเอง 142


กระบวนการศึกษาบุคคลเป็นรายกรณี การกำ หนดปัญหาและการตังสมมติฐาน การเก็บรวบรวมข้อมูล การสังเคราะห์ข้อมูล การวินิ วินิ จฉัย การช่วยเหลือ ส่งเสริม ริ พัฒนา การติดตามผล การให้ข้อเสนอแนะ 143


การสังเกต (Observation) การสัมภาษณ์ (Interview) การเยี่ยมบ้าน (Home-Visit) อัตชีวประวัติ บันทึกประจำ วัน (Autobiography and Diary) สังคมมิติ (Sociometry) แบบสอบถาม (Questionaire) แบบทดสอบ (Testing) ระเบียนสะสม (Cumulative Record) ขั้นตอนที่ 1 การกำ หนดปัญหาและการตั้งสมมติฐาน การที่ผู้ศึกษากำ หนดเป้าหมายว่าจะทำ การศึกษาอะไรและ คาดคะเนว่าปัญหานั้นๆเกิดจากสาเหตุอะไร ได้บ้าง โดย อาศัยความรู้และประสบการณ์ที่ผ่านมาในการคาดคะเน เพื่อ เป็นแนวทางในการเก็บรวบรวมข้อมูล การทดสอบหรือ รื ค้นหา ข้อเท็จจริง ริ ด้วยวิธี วิธี การต่างๆ ขั้นตอนที่ 2 การเก็บรวบรวมข้อมูล การรวบรวมข้อมูลหรือ รื ข้อเท็จจริง ริ ของบุคคลที่เราทำ การ ศึกษาเพื่อช่วยให้ผู้ศึกษามองเห็นภาพของบุคคลในทุกด้าน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการวิเ วิ คราะห์ตีความพฤติกรรมที่เป็น ปัญหา การ ค้นหาสาเหตุและที่มาของพฤติกรรม ผู้ศึกษา ควรเก็บรวบรวม ข้อมูลจากแหล่งข้อมูลหลายๆแหล่งที่เชื่อถือ ได้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำ ได้เพื่อตรวจสอบความเที่ยงตรงของ ข้อมูล 144


ข้อมูลส่วนตัวโดยทั่วไป สุขภาพและลักษณะทางร่างกาย ประวัติครอบครัว ประวัติการศึกษา และผลสัมฤทธิ์ทางการเรีย รี น ผลการทดสอบทางจิตวิท วิ ยาและการแปลความหมาย ข้อมูลด้านส่วนตัวและสังคม พัฒนาการทางสังคม อารมณ์ ความนึกคิดเกียวกับ ตนเอง การวางแผนอนาคต ทำ ด้วยตนเอง ส่งต่อ ปรึก รึ ษาผู้เชี่ยวชาญ ชั้นตอนที่ 3 การสังเคราะห์ข้อมูล การนำ ข้อมูลที่ได้มาเรีย รี บเรีย รี งเป็นหมวดหมู่เพื่อสะดวกในการ ตีความหมายข้อมูล และช่วยให้ผู้ศึกษามองเห็นภาพของ บุคคลในแต่ละด้าน ชัดเจนขึ้น ขั้นตอนที่ 4 การวินิ วินิ จฉัย การนำ ข้อมูลที่รวบรวมมาได้จากหลายแหล่งและหลาย วิธี วิธี การมาพิจารณาดูว่าผลการวิเ วิ คราะห์ที่สอดคล้องกันส่วน ใหญ่มีแนวโน้มไปทางใดมากที่สุด ก็จะวินิ วินิ จฉัยถึงที่มาหรือ รื สาเหตุของพฤติกรรมไปในแนวนั้น โดยพิจารณาจาก สมมติฐานที่ตังไว้เป็นหลัก ขั้นตอนที่ 5 การช่วยเหลือ ป้องกัน ส่งเสริม ริ 145


ดูผลการช่วยเหลือ ดูพัฒนาการของ Case หมดเวลาที่จะศึกษาCase ช่วยเหลือจนปัญหาหมดไป ชั้นที่ 6 การติดตามผล การติดตามผลที่เกิดขึ้นกับบุคคลหลังจากที่ได้รับการ ช่วย เหลือ ส่งเสริม ริ หรือ รื พัฒนาไปแล้ว ว่ามีการเปลี่ยนแปลง พฤติกรรมไปในทางใด การดำ เนินการให้ความช่วยเหลือ ส่ง เสริม ริ และพัฒนามีประสิทธิภาพเพียงใด ถ้าผลที่ได้ไม่ดีแสดง ว่าวิธี วิธี การที่ใช้อาจยังไม่เหมาะสม จะต้องมีการทบทวน ปรับปรุงและแก้ไขต่อไป ขั้นที่ 7 การให้ข้อเสนอแนะ การปิด Case การสรุปรายงานการศึกษาบุคคลเป็นรายกรณี ผู้ศึกษาควร สรุปผลว่าได้มีการดำ เนินการอย่างไรไปแล้วบ้าง และให้ข้อ เสนอแนะถึงสิ่งที่ควรดำ เนินการต่อไปในการศึกษา หรือ รื การ ให้ความช่วยเหลือ ส่งเสริม ริ และพัฒนาผู้รับการศึกษารายนี ต่อไป 146


การสร้า ร้ ง แรงบัน บั ดาลใจ ใฝ่เรีย รี น บทที่1ที่5 147


แรงบันดาลใจ (Inspiration) หมายถึง พลังอำ นาจใน ตนเองชนิดหนึ่ง ที่ใช้ในการขับเคลือนการคิดและ การกระทำ ใด ๆ ที่พึงประสงค์ เพื่อให้บรรลุผลสำ เร็จได้ตามต้องการ โดย ไม่ต้องอาศัยสิงจูงใจภายนอกก่อให้เกิด แรงจูงใจ ขึ้นภายใน จิตใจเสียก่อน เพื่อที่จะกระตุ้นให้เกิดการคิดและการกระทำ ใน สิ่ง ที่พึงประสงค์เหมือนเช่นปกติวิสั วิสั ยของมนุษย์ส่วนใหญ่ ไม่ ว่าสิ่งที่ตนกระทำ นั้นจะยากสักเพียงใด ตนก็พร้อมที่จะฝ่าฟัน อุปสรรคทั้งหลายสู่ความสำ เร็จที่ต้องการให้จงได้ แม้จะต้อง เสียสละบางสิ่งของตนเองไปบ้าง ก็พร้อมที่จะเสียสละได้เสมอ ถ้าจะช่วยนำ มาซึ่งผลสำ เร็จที่ต้องการนั้นได้จริง ริ การสร้า ร้ งแรงบัน บั ดาลใจใฝ่เรีย รี น 148


สร้างความประทับใจในแง่บวก ถ้าคุณอยากสร้างแรงบันดาลใจให้นักเรีย รี น คุณก็ต้อง พิสูจน์ให้พวกเขาเห็นว่า ว่ คุณมีค่าพอที่จะรับฟัง วัน วั แรกพวกเขาอาจจะระแวงคุณแต่คุณก็สามารถสร้าง ความไว้ว ว้ างใจและความเคารพจากพวกเขาได้โดยการ ทำ ตัวให้โดดเด่นออกมาจากพวกเขา คุณไม่สามารถ สร้างความเคารพและความไว้ใว้ จได้ถ้าตัวคุณทำ ตัว กลมกลืนไปในภูมิหลัง ชีวิต วิ ที่มืดมัว คุณต้องโดดเด่น เพื่อให้ได้รับและดึงความสนใจของพวกเขาไว้ วิธี วิธี การ สร้างความประทับใจแง่บวก ช่วยเหลือนักเรีย รี นเป็นพิเศษ ทำ มากกว่า ว่ ที่คนคาดหวัง วั จากครูทั่วไป ในกรณีที่ นักเรีย รี นส่งงานไม่ตรงเวลาครั้งต่อไปถ้าส่งงานช้าอีก หมดคาบให้เรีย รี กนักเรีย รี นมาพบและทำ งานที่สั่งทั้งชิ้น ไปพร้อม ๆ กับเขา ช่วยนักเรีย รี นเขียน ทำ ให้เขาดูว่า ว่ งานวิจั วิจั ยต้องทำ อย่างไรและให้เขาดูรายงานที่นักเรีย รี น คนอื่นเขียนมาส่ง วิธี วิธี นี้เป็นวิธี วิธี ที่ดีเพราะมันช่วยกำ จัด ปัญหาไปได้หลายอย่าง เช่น ถ้าการส่งงานช้ามาจาก ทัศนคติของนักเรีย รี น วิธี วิธี นี้จะช่วยคุณกำ จัดขอแก้ตัว ของพวกเขา แต่ถ้าพวกเขาพยายามแล้วจริง ริ ๆ ทีนี้ พวกเขาก็จะรู้แล้วว่า ว่ งานชิ้นนั้นต้องทำ อย่างไ 149


มีความเชื่อมั่นในตัวเอง มีความเชื่อมันในตนเองสูงพอ ผู้นำ ต้องเชื่อมันใน ตนเองว่า ผลสำ เร็จที่ต้องการจะได้รับจากการคิดหรือ รื จาก การกระทำ นั้น สามารถพิชิตมันได้อย่างแน่นอน โดยต้องไม่มีความวิต วิ กกังวล ความลังเลใจ ความ สับสนสงสัย และความไม่มั่นใจในตนเองเข้ามาสอด แทรกในระหว่างการคิดคำ นึงหรือ รืในขณะที่กำ ลังลงมือ กระทำ สิ่งนั้นอยู่โดยเด็ดขาดเพราะ มันจะเป็นตัวการ ลดทอนหรือ รื บ่อนทำ ลายความเชื่อมั่นในตนเองจนหมด สิ้น เมื่อพลังแห่งความเชื่อมั่นสูญสิ้นพลังความคิด พลังจิต และพลังกายก็จะพลอยถดถอยตามไปด้วย ผู้นำ ที่มีพลังอำ นาจในการกระทำ สิงใด ๆ ได้สำ เร็จ 150


ความมุ่งมั่นในการลงมือทำ เมื่อมีความเชื่อมั่นในตนเองสูงจนเป็นที่น่าพอใจได้ แล้ว ก่อนที่จะก้าวสู่ขั้นที่สอง บันไดขั้นที่สอง คือ "ความมุ่งมั่น" ความมุ่งมัน หมายถึง ความตั้งใจล้นเปียม ในอันที่จะ ทำ สิ่งใด ๆ ให้บรรลุผลสำ เร็จให้จงได้ ไม่ว่าจะต้อง ทุ่มเทแรงกาย แรงใจ และกำ ลังสติปัญญามากน้อย แค่ไหน ไม่ว่ามันจะต้องเปลืองเวลาเนิ่นนานสักเท่าใด และ ไม่ว่าจะยากสักปานใด ก็จะไม่ย่อท้อโดยเด็ดขาด พลังอำ นาจแห่งความมุ่งมัน จะแสดงตัวออกมา ภายนอกผ่านพฤติกรรม ของการมีมานะพยายาม ความบากบันหมั่นเพียร ความอดทนต่อความเหนื่อยล้าและความกล้าหาญต่อ การฟันฝ่าอุปสรรค ปัญหา ซึ่งมันจะช่วยให้คุณ สามารถทำ งานใด ๆ ได้อย่างต่อเนื่อง จนกว่าจะ ประสบผลสำ เร็จได้ 151


Click to View FlipBook Version