การศึกษาเปรยี บเทยี บสำนวนจีนกับสำนวนไทยทเ่ี กย่ี วกบั ความเชือ่
พระกฤตานน จุฑาเกียรติ
วทิ ยานพิ นธ์นีเ้ ปน็ สว่ นหน่ึงของการศกึ ษาตามหลกั สูตรปรญิ ญาอักษรศาสตรมหาบัณฑิต
สาขาวชิ าภาษาจีน ภาควิชาภาษาตะวนั ออก
คณะอกั ษรศาสตร์ จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั
ปีการศึกษา 2562
ลิขสทิ ธิข์ องจฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั
A COMPARATIVE STUDY OF IDIOMATIC EXPRESSIONS CONCERNING
BELIEFS IN CHINESE AND THAI
Phra Kittanon Jutakiat
A Thesis Submitted in Partial Fulfillment of the Requirements
for the Degree of Master of Arts Program in Chinese
Department of Eastern Languages
Faculty of Arts
Chulalongkorn University
Academic Year 2019
Copyright of Chulalongkorn University
หัวข้อวิทยานพิ นธ์ การศกึ ษาเปรยี บเทยี บสำนวนจนี กบั สำนวนไทยทเี่ ก่ียวกับ
ความเชอ่ื
โดย พระกฤตานน จุฑาเกียรติ
สาขาวิชา ภาษาจีน
อาจารยท์ ่ีปรึกษาวทิ ยานิพนธ์ ผูช้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.ศศรักษ์ เพชรเชดิ ชู
คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อนุมัติให้นับวิทยานิพนธ์ฉบับน้ีเป็นส่วนหน่ึง
ของการศกึ ษาตามหลักสูตรปริญญามหาบณั ฑติ
................................................................คณบดคี ณะอักษรศาสตร์
(รองศาสตราจารย์ ดร.สุรเดช โชตอิ ุดมพนั ธ)์
คณะกรรมการสอบวิทยานิพนธ์
................................................................ประธานกรรมการ
(ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.ประพณิ มโนมัยวบิ ลู ย์)
................................................................อาจารยท์ ่ปี รึกษาวิทยานิพนธ์
(ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.ศศรกั ษ์ เพชรเชิดชู)
................................................................กรรมการ
(ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.สุรีย์ ชุณหเรอื งเดช)
................................................................กรรมการ
(ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร.ชัญญพร จาวะลา)
................................................................กรรมการภายนอกมหาวิทยาลยั
(รองศาสตราจารย์จาง ลจี่ วนิ )
ง
กฤตานน จุฑาเกียรติ : การศึกษาเปรียบเทียบสำนวนจีนกับสำนวนไทยที่เกี่ยวกับความเชื่อ.
( A COMPARATIVE STUDY OF IDIOMATIC EXPRESSIONS CONCERNING BELIEFS IN
CHINESE AND THAI ) อ.ทีป่ รกึ ษาวิทยานพิ นธ์ : ผศ. ดร. ศศรกั ษ์ เพชรเชิดชู, 169 หนา้ .
วิทยานิพนธ์ฉบับนี้มุ่งศึกษาลักษณะและความหมายสำนวนจีนท่ีเก่ียวกับความเช่ือและ
เปรียบเทียบคติความเชือ่ ของจนี และไทยท่ีสะท้อนผ่านสำนวนที่เกี่ยวกับความเชือ่ ผลการวิจัยพบวา่
มสี ำนวนท่ีสะท้อนความเชอ่ื ของจีนแบ่งออกได้เป็น 12 ประเภทหลกั ไดแ้ ก่ สำนวนท่สี ะทอ้ นความเช่ือ
เรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สำนวนที่สะท้อนความเช่ือเรื่องมาร สำนวนที่สะท้อนความเชื่อเรื่องกรรม สำนวนที่
สะท้อนความเชื่อเรื่องชาติภพ สำนวนที่สะท้อนความเชื่อเรื่องนรก สำนวนที่สะท้อนความเชื่อเรื่อง
สวรรค์ สำนวนจนี ทส่ี ะท้อนความเชอ่ื เรื่องภูตผปี ีศาจ สำนวนท่สี ะทอ้ นความเช่ือเร่อื งฤกษ์ยาม สำนวน
ที่สะท้อนความเชื่อเรื่องของวิเศษ สำนวนที่สะท้อนความเชื่อเรื่องการทำนายพยากรณ์ สำนวนที่
สะท้อนความเชื่อเร่ืองลาง และสำนวนท่ีสะทอ้ นความเชือ่ เรื่องฮวงจยุ้ ซง่ึ สำนวนไทยไมป่ รากฏสำนวน
ที่สะท้อนเรื่องฮวงจุ้ยเพียงเรื่องเดียว อนึ่ง แม้มีสำนวนจีนและสำนวนไทยปรากฏประเภทความเชื่อ
แบบเดียวกัน สะท้อนให้เห็นว่าจีนและไทยมีความเชื่อในประเภทดังกล่าวเหมือนกัน แต่ก็ยังมีความ
แตกต่างทางด้านคติความเช่ือ ทศั นคติ ประเพณีวฒั นธรรมในความเชอ่ื ประเภทนั้น ๆ สำหรับประเภท
ความเชื่อที่ปรากฏในสำนวนจีนและสำนวนไทยมากที่สุด พบว่าทั้งสำนวนจีนและไทยล้วนมีสำนวน
ความเชื่อเรื่องภูติผีปีศาจมากที่สุด กล่าวคือคิดเป็นร้อยละ 38.85 และร้อยละ 33.55 ตามลำดับ
สะทอ้ นให้เห็นว่าชาวไทยและชาวจนี มคี ติความเช่อื เรอื่ งภตู ผปี ีศาจอยไู่ มน่ ้อย
ภาควิชา ภาษาตะวันออก ลายมอื ชอื่ นสิ ติ
สาขาวชิ า ภาษาจนี ลายมอื ชื่อ อ.ที่ปรึกษา
ปกี ารศกึ ษา 2562
จ
## 5980105622 : MAJOR CHINESE
KEYWORDS : IDIOMATIC EXPRESSIONS / COMPARATIVE STUDY / BELIEFS
KITTANON JUTAKIAT : A COMPARATIVE STUDY OF IDIOMATIC EXPRESSIONS
CONCERNING BELIEFS IN CHINESE AND THAI. ADVISOR : ASST. PROF. SASARUX
PETCHERDCHOO, Ph.D., 169 pp.
This study aims to study characteristics and meanings of idiomatic expressions
concerning belief in Chinese and compare belief in Chinese and Thai reflected by
idiomatic expressions concerning belief. The result shows that the influenced Chinese
idiomatic expressions in belief can be classified into 12 groups, namely, holy thing,
Mara, Karma, three planes of existence, hell, heaven, devil, auspice, magic things,
prediction, omen, and Feng Shui. There is no Thai idiomatic expressions that reflect
only “Feng Shui” belief. Although the Chinese and Thai idiomatic expressions make
use of the similar category of belief, it reflects that the belief of China and Thailand
relating to such categories can be either similar to or different regarding belief, attitude,
tradition, and culture of such similar and different categories of belief. Regarding the
category of belief makes use of the Chinese and Thai idiomatic expressions the most,
we find that both Chinese and Thai idiomatic expressions make use of the belief in
devil the most, namely 38.85 percent and 33.55 percent respectively. It reflects that
Thai and Chinese people have much of belief in devil.
Department : Eastern Languages Student's Signature
Field of Study : Chinese Advisor's Signature
Academic Year : 2019
ฉ
กิตตกิ รรมประกาศ
วิทยานิพนธ์ฉบับนี้ สำเร็จลุล่วงตามผลแห่งวิริยะ จึงขอเทิดทูนพระคุณแห่งพระพุทธศาสนา
คณะสงฆ์จีนนิกาย วัดมังกรกมลาวาส พระคณาจารย์จีนธรรมปัญญาจริยาภรณ์ (เย็นเชี้ยวมหาเถระ)
ผู้เป็นพระอุปัชฌายาจารย์ผู้มีพระคุณสุดประเสริฐ ที่อบรมเล้ียงดูด้วยรักและเมตตา ทั้งยังส่งเสริม
การศึกษาให้ศิษย์มีปัญญารอบรู้ในสรรพวิชาการทั้งหลาย อีกทั้งพระอาจารย์อา คือ พระอาจารย์จีน
คณาณัตจิ นี พรต (เย็นง)้ี ผอู้ ุปการะสานต่อสง่ เสรมิ การศกึ ษาของผู้วจิ ยั
ผ้วู จิ ยั รสู้ กึ ซาบซึง้ และระลึกอยูเ่ สมอว่า วิทยานพิ นธฉ์ บบั น้ีจะสำเร็จลลุ ่วงลงไมไ่ ด้ หากไม่ได้รับ
ความกรุณาดูแลเอาใจใส่ ช้ีแนะแนวทาง และแรงผลักดันจากผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ศศรักษ์
เพชรเชิดชู อาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ ที่ได้สละเวลาอันมีค่าในการให้คำปรึกษาทั้งยังช่วยแนะนำ
แนวคิดและข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการวิจัยครั้งนี้ อีกทั้งยังช่วยตรวจทานแก้ไข
ข้อบกพร่องต่าง ๆ โดยไม่เห็นแก่ความเหนื่อยยาก จึงขออนุโมทนาขอบพระคุณเป็นอย่างสูงมา ณ
โอกาสนี้
ขอขอบพระคุณนางสาวณิชารัศม์ อัครวัฒน์โฆษิต นางสาวชวลัน ธรินายางกูร นางสาว
ภัทรนฤน จินต๊ะนา นายธัฐบดินทร์ บุญเนื่อง นายวันณรงค์ สวัสดี ผู้คอยให้ความกรุณาช่วยเหลือ
สนับสนุนในด้านต่าง ๆ และคอยให้กำลังใจผู้วิจัยเสมอมา ตั้งแต่วันแรกที่ผู้วิจัยเข้าศึกษาจนสำเร็จ
การศึกษา
ขอขอบพระคุณบิดามารดา นายเจษฎา จุฑาเกียรติ นางสาวนิสา จุฑาเกียรติ พระกฤตกร
จุฑาเกียรติ และนางสาวศรณ์จันทร์ จุฑาเกียรติ ผู้เป็นเป็นกำลังใจอันมหาศาลคอยผลักดันเพิ่มพูน
กำลังใจให้ผู้วิจัยมีความมุ่งมั่น ขยันหมั่นเพียรบากบ่ัน และคอยช่วยเหลือผู้วิจัยตลอดเวลา ทำให้
วทิ ยานิพนธฉ์ บับน้ีนส้ี ำเรจ็ ลลุ ่วงได้
ท้ายสุดนี้ คุณค่าและประโยชน์จากวิทยานิพนธ์ฉบับนี้ ผู้วิจัยขอมอบเป็นเครื่องบูชา
อาจาริยคุณ พระอุปัชฌายาจารย์ บิดามารดา ครอบครัวของผู้เขียน ตลอดจนครูบาอาจารย์ และผู้มี
พระคุณทกุ ท่าน
สารบัญ หนา้
บทคดั ยอ่ ภาษาไทย ง
บทคัดยอ่ ภาษาองั กฤษ จ
กติ ติกรรมประกาศ 0ฉ
สารบัญ 0ช
บทท่ี 01
01
1 บทนำ 02
1.1 ความเป็นมาและความสำคญั ของปญั หา 02
1.2 วตั ถุประสงค์ของการวิจยั 2
1.3 สมมติฐานการวิจัย 03
1.4 ขอบเขตของการวจิ ยั 3
1.5 วธิ ดี ำเนินการวจิ ยั 04
1.6 ประโยชน์ทค่ี าดวา่ จะไดร้ ับจากการวิจัย
1.7 สัทอักษรท่ใี ชใ้ นการถอดเสยี งภาษาจีน 05
5
2 ปริทัศน์วรรณกรรม 05
2.1 ความหมายของสำนวนเฉิงยหฺ ว่ใี นภาษาจนี กับสํานวนในภาษาไทย 06
2.1.1 ความหมายของสำนวนเฉงิ ยหฺ วีใ่ นภาษาจนี 7
2.1.2 ความหมายของสำนวนในภาษาไทย 07
2.2 ลักษณะโดยทวั่ ไปของสำนวนเฉงิ ยหฺ วี่ในภาษาจนี และสำนวนไทย 08
2.2.1 ลกั ษณะของสำนวนเฉิงยหฺ ว่ี 9
2.2.2 ลักษณะของสำนวนไทย 09
2.3 ที่มาของสำนวนเฉิงยฺหว่ีในภาษาจีนและสำนวนไทย 11
2.3.1 ที่มาของสำนวนเฉิงยฺหว่ี 12
2.3.2 ทมี่ าของสำนวนไทย 12
2.4 ความหมายของคำว่า ความเชื่อ 13
2.4.1 ความหมายของคำวา่ หมซี ิน่ 14
2.4.2 ความหมายของคำวา่ ความเชื่อ 14
2.5 ประเภทความเช่ือของจีนกับความเชื่อของไทย
2.5.1 ประเภทความเชือ่ ของคนจนี
ซ
สารบัญ (ตอ่ )
บทที่ หนา้
2.5.2 ประเภทความเช่อื ของคนไทย 16
2.6 งานวจิ ัยที่เกย่ี วข้องกับความเช่อื ในสำนวนจีนและสำนวนไทย 19
19
2.6.1 งานวจิ ัยที่เกย่ี วขอ้ งกบั ความเชื่อในสำนวนจนี 20
2.6.2 งานวิจยั ทเ่ี ก่ยี วข้องกับความเช่ือในสำนวนไทย
3 สำนวนจีนท่เี กย่ี วกับความเช่ือ 23
3.1 สำนวนจนี ทส่ี ะท้อนความเชอ่ื เร่อื งส่ิงศกั ด์ิสทิ ธิ์ 23
3.1.1 สำนวนจนี ทม่ี ีคำวา่ fó 23
3.1.1.1 สำนวนจนี ที่มคี ำว่า fó ในสำนวนทีส่ ื่อความหมายในแง่บวก 24
3.1.1.2 สำนวนจนี ที่มีคำวา่ fó ในสำนวนที่ส่ือความหมายในแง่ลบ 25
3.1.1.3 สำนวนจีนที่มคี ำวา่ fó ในสำนวนทีส่ ่อื ความหมายกลาง 26
3.1.2 สำนวนจนี ทม่ี ีคำว่า Púsà 29
3.1.2.1 สำนวนจีนท่ีมีคำวา่ Púsà ในสำนวนทีส่ ่ือความหมายในแง่บวก 30
3.1.2.2 สำนวนจนี ทมี่ คี ำวา่ Púsà ในสำนวนทสี่ ื่อความหมายในแง่ลบ 31
3.1.2.3 สำนวนจีนที่มีคำว่า Púsà ในสำนวนท่สี ่ือความหมายกลาง 31
3.1.3 สำนวนจีนท่ีมคี ำว่า shén 34
3.1.3.1 สำนวนจนี ทีม่ คี ำว่า shén ในสำนวนท่ีส่อื ความหมายแงบ่ วก 35
3.1.3.2 สำนวนจีนทีม่ ีคำว่า shén ในสำนวนทีส่ ่ือความหมายแงล่ บ 36
3.1.3.3 สำนวนจนี ที่มคี ำว่า shén ในสำนวนทส่ี ่ือความหมายกลาง 37
3.1.4 สำนวนจีนท่ีมีคำว่า xiān 40
3.1.4.1 สำนวนจนี ทม่ี ีคำว่า xiān ในสำนวนท่สี ื่อความหมายแงบ่ วก 41
3.1.4.2 สำนวนจีนทม่ี ีคำวา่ xiān ในสำนวนท่ีสื่อความหมายแง่ลบ 42
3.1.4.3 สำนวนจีนทีม่ ีคำวา่ xiān ในสำนวนทส่ี ่ือความหมายกลาง 42
3.2 สำนวนจนี ท่สี ะทอ้ นความเชอ่ื เร่ืองมาร 45
3.2.1 สำนวนจีนที่สะท้อนความเชอื่ เร่ืองมารในความหมายแงบ่ วก 45
3.2.2 สำนวนจนี ทส่ี ะท้อนความเชอ่ื เร่อื งมารในความหมายแงล่ บ 45
3.2.3 สำนวนจีนทสี่ ะท้อนความเชอื่ เรอื่ งมารในความหมายกลาง 47
3.3 สำนวนจีนทสี่ ะท้อนความเชื่อเรอ่ื งกรรม 47
3.3.1 สำนวนจนี ท่ีสะท้อนใหเ้ ห็นถงึ ความเช่ือเร่ืองกรรมในความหมายแงบ่ วก 48
3.3.2 สำนวนจนี ท่สี ะทอ้ นให้เห็นถงึ ความเช่ือเรอ่ื งกรรมในความหมายแง่ลบ 48
3.3.3 สำนวนจนี ทส่ี ะทอ้ นให้เหน็ ถึงความเช่ือเรื่องกรรมในความหมายกลาง 49
ฌ
สารบญั (ตอ่ ) หนา้
บทท่ี 50
50
3.4 สำนวนจีนทีส่ ะทอ้ นความเชอ่ื เรื่องชาติภพ 51
3.4.1 สำนวนจีนที่สะท้อนความเชื่อเรอ่ื งชาติภพในความหมายแงบ่ วก 52
3.4.2 สำนวนจนี ทส่ี ะทอ้ นความเชื่อเร่ืองชาติภพในความหมายแงล่ บ 53
3.4.3 สำนวนจีนทีส่ ะทอ้ นความเชื่อเรอ่ื งชาติภพในความหมายกลาง 56
58
3.5 สำนวนจีนทส่ี ะทอ้ นความเชื่อเรือ่ งนรก 59
3.6 สำนวนจีนที่สะทอ้ นความเชอ่ื เรอ่ื งสวรรค์ 59
3.7 สำนวนจีนทส่ี ะท้อนความเชือ่ เรอื่ งภูตผปี ศี าจ
63
3.7.1 สำนวนจนี ทสี่ ะทอ้ นความเชื่อเรอ่ื งผี 69
3.7.1.1 สำนวนจนี ท่ีมคี ำวา่ guǐ
3.7.1.2 สำนวนจนี ทป่ี ระกอบดว้ ยคำวา่ guǐ กับคำทีส่ ะท้อนความ 69
เชอ่ื อ่ืนรวมอยู่ในสำนวนเดยี วกัน
70
3.7.2 สำนวนจีนท่ีสะทอ้ นความเช่อื เรอื่ งภูตผปี ีศาจอน่ื ๆ 71
3.7.2.1 สำนวนจนี ที่สะท้อนความเช่ือเร่ืองภตู ผปี ีศาจอื่น ๆ 71
ในความหมายแงบ่ วก 73
3.7.2.2 สำนวนจีนที่สะท้อนความเชื่อเรือ่ งภูตผปี ีศาจอื่น ๆ 73
ในความหมายแง่ลบ 74
75
3.8 สำนวนจนี ทส่ี ะท้อนความเชื่อเรอื่ งฤกษ์ยาม 75
3.8.1 สำนวนจนี ทส่ี ะทอ้ นความเชื่อเรอื่ งฤกษย์ ามในความหมายแง่บวก 77
3.8.2 สำนวนจนี ทส่ี ะท้อนความเชื่อเร่อื งฤกษย์ ามในความหมายแง่ลบ 77
78
3.9 สำนวนจนี ทส่ี ะท้อนความเชื่อเรอื่ งของวิเศษ 79
3.9.1 สำนวนจีนท่ีสะทอ้ นความเช่อื เรอ่ื งของวิเศษในความหมายแง่บวก 79
3.9.2 สำนวนจีนที่สะทอ้ นความเชื่อเรื่องของวเิ ศษในความหมายกลาง
83
3.10 สำนวนจนี ทส่ี ะท้อนความเช่ือเรอ่ื งการทำนายพยากรณ์ 83
3.11 สำนวนจนี ทส่ี ะทอ้ นความเชอ่ื เร่ืองลาง
3.11.1 สำนวนจีนท่ีสะท้อนความเชอ่ื เรื่องลางในความหมายแงบ่ วก
3.11.2 สำนวนจีนทสี่ ะทอ้ นความเชอ่ื เรอื่ งลางในความหมายแง่ลบ
3.11.3 สำนวนจีนท่ีสะท้อนความเชอ่ื เรื่องลางในความหมายกลาง
3.12 สำนวนจีนที่สะท้อนความเชื่อเร่อื งฮวงจุ้ย
4 การศกึ ษาเปรยี บเทียบสำนวนจีนท่เี กี่ยวกบั ความเชอื่ กบั สำนวนไทย
4.1 สำนวนทีส่ ะท้อนความเชื่อเร่อื งสิง่ ศกั ดสิ์ ิทธ์ิ
สารบัญ (ต่อ) ญ
บทที่ หนา้
4.1.1 สำนวนทส่ี ะทอ้ นความเชอ่ื เร่ืองพระพุทธเจ้า 83
4.1.2 สำนวนท่ีสะท้อนความเชอ่ื เรอ่ื งพระโพธิสตั ว์ 84
4.1.3 สำนวนท่สี ะท้อนความเชอ่ื เร่อื งเทพเจา้ 85
4.1.4 สำนวนทส่ี ะทอ้ นความเชื่อเรือ่ งเซยี น 86
4.2 สำนวนทส่ี ะท้อนความเช่ือเรื่องมาร 88
4.3 สำนวนทส่ี ะทอ้ นความเชื่อเรื่องกรรม 89
4.4 สำนวนทส่ี ะทอ้ นความเช่ือเรอ่ื งชาติภพ 90
4.5 สำนวนที่สะท้อนความเชื่อเรอ่ื งนรก 91
4.6 สำนวนที่สะทอ้ นความเชื่อเรอ่ื งสวรรค์ 92
4.7 สำนวนทส่ี ะทอ้ นความเชื่อเรอ่ื งภตู ผปี ีศาจ 92
4.8 สำนวนท่สี ะท้อนความเช่ือเร่อื งฤกษย์ าม 93
4.9 สำนวนท่ีสะทอ้ นความเชื่อเรอ่ื งของวิเศษ 94
4.10 สำนวนที่สะท้อนความเชื่อเร่อื งการทำนายพยากรณ์ 95
4.11 สำนวนทีส่ ะท้อนความเช่ือเร่ืองลาง 96
4.12 สำนวนทีส่ ะท้อนความเชือ่ เรอื่ งฮวงจุ้ย 97
5 สรุปผลการวจิ ัย 102
5.1 ประเภทความเช่ือของสำนวนจนี และสำนวนไทย 102
5.2 ความเหมือนและความแตกต่างของคตคิ วามเช่ือของจีนและไทย
ที่สะท้อนผ่านสำนวนทเ่ี ก่ียวกับความเชอ่ื 103
5.2.1 ความเชอื่ เร่ืองพระพทุ ธเจ้า 104
5.2.2 ความเชื่อเรือ่ งพระโพธสิ ัตว์ 105
5.2.3 ความเชอ่ื เรือ่ งเทพเจ้า 106
5.2.4 ความเชื่อเรอื่ งเซียน 106
5.2.5 ความเช่อื เรอื่ งมาร 107
5.2.6 ความเชือ่ เร่ืองกรรม 107
5.2.7 ความเช่อื เรอ่ื งชาติภพ 108
5.2.8 ความเชอื่ เรอื่ งนรก 108
5.2.9 ความเชอ่ื เรื่องสวรรค์ 109
5.2.10 ความเชอ่ื เร่อื งภูตผีปีศาจ 109
5.2.11 ความเชอ่ื เร่อื งฤกษ์ยาม 109
สารบญั (ตอ่ ) ฎ
บทท่ี หนา้
110
5.2.12 ความเชือ่ เรือ่ งของวเิ ศษ 110
5.2.13 ความเชือ่ เรื่องการทำนายพยากรณ์ 110
5.2.14 ความเชื่อเรอ่ื งลาง 111
5.3 ข้อเสนอแนะ
112
รายการอา้ งองิ 117
ภาคผนวก 169
ประวัตผิ เู้ ขยี นวิทยานิพนธ์
บทที่ 1
บทนำ
1.1 ความเป็นมาและความสำคญั ของปญั หา
มนุษย์เกือบทุกชนชาติทุกชนเผ่าล้วนมีความเชื่อ ทั้งความเชื่อส่วนบุคคลหรือความเชื่อหมู่
คณะ ความเชื่อของสังคม รวมไปถึงความเช่ือของประเทศนั้น ๆ ทัศนีย์ ทานตวณิช (2523 : 224) ได้
ใหค้ วามหมายของความเชอ่ื ไว้ว่า
ความเช่ือคือการยอมรับนับถือหรือยึดมั่นในส่ิงใดสิ่งหนึ่งท้ังท่ีมีตัวตนหรือไม่มี
ก็ตาม ว่าเป็นความจริงหรือมีอยู่จริง การยอมรับหรือการยึดมั่นในสิ่งนั้น อาจมีหลักฐาน
เพียงพอที่จะพิสูจน์สิ่งเหล่านั้นให้เห็นจริงได้หรอื อาจไม่มีหลักฐานพิสูจน์สิ่งเหล่านั้นให้เห็น
จริงก็ได้
ความเชื่อน้นั สามารถเกดิ ได้ทุกท่ีทุกเวลา ทุกชนชาติ เมอื่ ความเชื่อเกดิ ณ ท่ีใดย่อมสะท้อนให้
เห็นถึงความคิดและภูมิปัญญาของบรรพชนที่สืบทอดมาตั้งแต่โบราณกาลของชนชาตินั้น ๆ ยิ่งเป็น
ประเทศที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานย่อมมีคติความเชื่อที่มากมายหลากหลาย ซึ่งประเทศหนึ่งที่มี
อารยธรรมและมีประวัติศาสตร์อันยาวนานหลายพันปีอย่างเช่นประเทศจีนก็ย่อมมีความเชื่อไม่น้อย
ปรากฏอยู่ทั่วไปในชีวิตประจำวัน เช่น ความเชื่อเรื่องของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เชื่อในเรื่องพระพุทธเจ้า พระ
โพธิสัตว์ เทพเจ้า เซียน ความเชื่อในเรื่องภูตผีปีศาจ ความเชื่อเรื่องนรกสวรรค์ เป็นต้น ในส่วนของ
ไทยก็มีความเชื่อที่สืบทอดมาตั้งแต่โบราณกาลอันหลากหลายเช่นกัน เช่นความเชื่อเรื่องฤกษ์ยาม
ความเชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด ความเชื่อเรื่องลางดี ลางร้าย ความเชื่อเรื่องเวรกรรม เป็นต้น
ความเชื่อต่าง ๆ ของทั้งสองชาติก่อให้เกิดประเพณีวัฒนธรรมหรือเทศกาลต่างๆ เช่น ประเทศจีนมี
ความเชอ่ื เรื่องภูตผีปีศาจ จึงมีเทศกาลจงหยวน (Zhōngyuán 中元) หรือเรียกวา่ เทศกาลกลางเดือน
เจด็ หรือเรยี กอีกวา่ “เทศกาลอลุ ลัมพนะสงั ฆทาน” ในวันนชี้ าวบ้านจะเช่ือว่าต้องทำการเซ่นไหว้และ
ทำบญุ อุทิศสว่ นกุศลให้กับบรรพบรุ ุษและผที ั้งหลาย ดงั นัน้ เทศกาลนี้จะเรยี กอกี ช่ือวา่ “เทศกาลผี” ใน
ไทยเราจะเรียกเทศกาลนี้ว่า “สารทจีน” ส่วนในไทยก็มีเทศกาลที่เกี่ยวกับความเชื่อเรื่องภูติผีปีศาจ
เช่นกัน อยา่ งเชน่ เทศกาลผีตาโขนทจ่ี ดั ข้ึนเปน็ ประจำทกุ ปีทอี่ ำเภอดา่ นซ้าย จงั หวดั เลย เป็นต้น
ความเชื่อนั้นไม่เพียงมีอิทธิพลต่อประเพณีและวัฒนธรรม แต่ยังส่งอิทธิพลต่อภาษาของชน
ชาตินน้ั ๆ อกี ด้วย เชน่ สำนวนจนี และสำนวนไทยทสี่ ะท้อนใหเ้ ห็นถึงวิถชี วี ิตความเปน็ อยู่และคติความ
2
เชือ่ ดา้ นต่าง ๆ ของชาวจีนและชาวไทยอีกด้วย จากการศึกษาเบื้องต้นพบสำนวนจีนและสำนวนไทยท่ี
สะท้อนให้เห็นคติความเชื่อด้านต่าง ๆ ไม่น้อย ตัวอย่างเช่น สำนวนจีนที่สะท้อนความเชื่อเรื่องพระ
โพธสิ ตั ว์ เช่น púsà dīméi 菩萨低眉 หมายถึง พระโพธสิ ตั วค์ วิ้ โค้งมนตำ่ ลง ใชเ้ ปรียบถึงผู้มีจิตใจ
เมตตากรุณา สำนวนไทยก็มีสำนวนที่สะท้อนความเชื่อเรื่องพระโพธิสัตว์เช่นเดียวกัน เช่น ใจบุญ
เหมือนพระเวสสันดร พระเตมีย์ใบ้ เป็นต้น หรือสำนวนจีนที่สะท้อนความเชื่อเรื่องสวรรค์ เช่น rén
jiān tiāntáng 人间天堂 หมายถึง สวรรค์บนโลกมนุษย์ ใช้เปรียบเทียบถึงดินแดนที่งดงาม
หรือสังคมที่เต็มไปด้วยความสุขบนโลกมนุษย์ สำนวนไทยก็มีสำนวนที่สะท้อนความเชื่อเรื่องสวรรค์
เชน่ เดยี วกัน เชน่ งามราวเหมอื นกบั สวรรค์ เปน็ ตน้ หรือสำนวนจีนที่สะท้อนความเช่ือเรื่องภูตผีปีศาจ
เช่น guǐyù jìliǎng 鬼蜮伎俩 หมายถึง ผีร้ายจอมเจ้าเล่ห์เพทุบาย ใช้เปรียบเทียบถึงคนที่มี
จิตใจโหดเหี้ยมอำมหิตหยาบช้า ใช้กลเล่ห์เพทุบายอันต่ำช้าในการลอบทำร้ายผู้อื่น สำนวนไทยก็มี
สำนวนทีส่ ะท้อนความเชื่อเร่ืองภูตผีปีศาจเช่นเดียวกัน เช่น กระสือดดู ปลกุ ผกี ลางคลอง เปน็ ต้น จาก
ตัวอย่างสำนวนที่ยกตัวอย่างข้างต้น แสดงให้เห็นว่าสำนวนจีนและสำนวนไทยสะท้อนความเชื่อท่ี
เหมือนกันมาก แต่อย่างไรก็ตามก็อาจมีความเชื่อที่เหมือนแต่แตกต่างกันในรายละเอียด เนื่องด้วย
วฒั นธรรมท่ีแตกตา่ งกนั ของท้ังสองชนชาติ หรืออาจจะมีความเช่ือบางอย่างทีป่ รากฏเฉพาะในสำนวน
จนี ไมป่ รากฏประเภทความเชื่อน้นั ในสำนวนไทย
ด้วยเหตุนี้ ผู้วิจัยจึงต้องการศึกษาเปรียบเทียบสำนวนจีนกับสำนวนไทยที่เกี่ยวกับความเช่ือ
เพื่อให้ทราบถึงความคล้ายคลึงและความแตกต่างของคติความเชื่อในสังคมวัฒนธรรมจีนและไทยท่ี
สะท้อนผา่ นสำนวนที่เกย่ี วกบั ความเชื่อ
1.2 วตั ถปุ ระสงค์ในการวิจยั
1) เพ่ือศึกษาลกั ษณะและความหมายสำนวนจีนท่เี กยี่ วกับความเชอ่ื
2) เพื่อเปรียบเทียบคตคิ วามเชอื่ ของจีนและไทยทีส่ ะท้อนผา่ นสำนวนท่เี กี่ยวกบั ความเชื่อ
1.3 สมมตฐิ านการวจิ ยั
1) สำนวนจีนกับสำนวนไทยที่เกี่ยวกับความเช่ือมีลักษณะและความหมายที่เหมือนและ
ต่างกนั
2) สำนวนจีนและสำนวนไทยสะท้อนคติความเชอื่ ที่คลา้ ยคลึงและตา่ งกัน
1.4 ขอบเขตของการวจิ ยั
1) สำนวนจีนทีน่ ำมาศึกษารวบรวมจากพจนานุกรมสำนวนจีนจำนวน 5 เล่ม ดงั นี้
3
ก. หนังสือพจนานุกรมการแบ่งประเภทสำนวนจีนฉบับใหญ่ (Fēnlèi Hànyǔ Chéngyǔ
Dàcídiǎn《分类汉语成语大词典》) ข อ ง ห ว า ง ฉิ น แ ล ะ ค ณ ะ ( Wáng Qín
王勤等,1988)
ข. หนังสือพจนานุกรมสำนวนจีนฉบับใหญ่ (Hànyǔ Chéngyǔ Dàcídiǎn《汉语成语
大词典》) ของจู จู่เหยียน (Zhū Zǔyán 朱祖延,2002)
ค. หนังสือพจนานุกรมสำนวนจีนโบราณ-ปัจจุบันฉบับใหญ่ (Gǔjīn Chéngyǔ
Dàcídiǎn《古今成语大词典》) ของหยางเยน่ิ จือ (Yáng Rènzhī 杨任之,2004)
ง. หนังสือพจนานุกรมศึกษาเรียนรู้สำนวนจีน (Hànyǔ Chéngyǔ Xuéxí Cídiǎn
《汉语成语学习词典》) ของหวาง เย่าหนาน (Wāng Yàonán 汪耀楠,2006)
จ. หนังสือพจนานุกรมสำนวนจีนฉบับนักเรียนเรียนรู้ (Xuéshēng Hànyǔ Chéngyǔ
Xuéxí Cídiǎn《学生汉语成语学习词典》) ของหยาง เหอหมิง (Yáng Hémíng
杨合鸣,2009)
2) สำนวนไทยทน่ี ำมาศกึ ษารวบรวมจาก หนังสือสำนวนไทยจำนวน 5 เล่ม ดังน้ี
ก. หนงั สอื สำนวนไทยของสง่า กาญจนาคพันธ์ุ (2538)
ข. หนังสือสำนวนไทยของประเทือง คล้ายสุบรรณ์ (2529)
ค. หนงั สือภาษิต คำพังเพย สำนวนไทยของราชบัณฑติ ยสถาน (2542)
ง. หนงั สอื สมบรู ณ์ ครบถ้วน สำนวนไทยของขวัญกัลยาณ์ (2548)
จ. สารานุกรมภาษิต คำพังเพย สำนวนไทยของกรองแก้ว ฉายสภาวะธรรม (2551)
1.5 วธิ ีดำเนนิ การวิจัย
1) สำรวจหนังสือ งานวจิ ยั และวทิ ยานพิ นธท์ ง้ั ภาษาจนี และภาษาไทยทเ่ี กี่ยวขอ้ งกับการวจิ ยั
2) เกบ็ รวบรวมสำนวนจนี และสำนวนไทยท่ีเกี่ยวกับความเชอื่ เพอ่ื นำมาวิเคราะหเ์ ปรยี บเทยี บ
3) นำสำนวนทร่ี วบรวมได้มาศึกษาและวิเคราะห์เปรียบเทยี บตามจดุ มุ่งหมายที่กำหนดไว้
4) สรุปผลการวจิ ยั
1.6 ประโยชน์ที่คาดวา่ จะได้รบั จากการวิจยั
1) ทำให้ทราบลกั ษณะและความหมายของสำนวนจีนที่เก่ียวกับความเช่ือ
4
2) ทำให้ทราบความคลา้ ยคลงึ และความแตกตา่ งของคติความเชือ่ ในสงั คมวฒั นธรรมจนี และ
ไทย
3) เป็นแนวทางในการศึกษาสำนวนจนี และสำนวนไทยในแง่มุมอื่น ๆ
1.7 สัทอักษรทใี่ ช้ในการถอดเสียงภาษาจนี
1) การถอดเสียงตัวอักษรจีนในวิทยานิพนธ์เล่มนี้ ใช้เกณฑ์ของราชบัณฑิตยสถานในการทับ
ศัพท์ภาษาจีนตามระบบ 汉语拼音 (Hànyǔ Pīnyīn) ซึ่งสามารถดูรายละเอียดได้ในหนังสือ
หลกั เกณฑ์การทับศพั ทภ์ าษาจีนและภาษาฮนิ ดี ของราชบัณฑติ ยสถาน (2550: 1-10)
2) ในกรณีที่เป็นคำนามเฉพาะภาษาจีนจะนำเสนอโดยให้คำแปลภาษาไทย จากนั้นจะให้
สัทอักษรพนิ อนิ และตวั อักษรจนี
บทท่ี 2
ปรทิ ศั นว์ รรณกรรม
ในบทนีจ้ ะกล่าวถงึ ความหมายของสำนวนเฉิงยฺหวี่ chéngyǔ 成语 ในภาษาจีนกบั สํานวนใน
ภาษาไทย พร้อมทั้งลักษณะโดยทั่วไปของสํานวนและที่มาของสํานวน อีกทั้งคำจำกัดความของความ
เชือ่ และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกบั สำนวนจนี และสำนวนไทยตามลำดบั ดังต่อไปน้ี
2.1 ความหมายของสำนวนเฉงิ ยฺหว่ใี นภาษาจีนกบั สาํ นวนในภาษาไทย
สำนวนจีนแบ่งออกเป็น 5 ประเภท ได้แก่ สำนวนเฉิงยฺหว่ี chéngyǔ 成语 สำนวนเยี่ยน
ยหฺ ว่ี yànyǔ 谚语 สำนวนเซยี โฮ่วยหฺ ว่ี xiēhòuyǔ 歇后语 สำนวนก้วนย่งยหฺ ว่ี guànyòngyǔ 惯用
语 และสำนวนสูยฺหวี่ súyǔ 俗语 (Wáng Qín, 2006: 8) สำนวนเฉิงยฺหว่ีคือ มรดกอันล้ำค่าในคลัง
คําของภาษาจีน ภาษาของสำนวนที่ใช้สั้นกระชับ มีความหมายลึกซึ้ง เต็มไปด้วยพลังในการ สื่อ
ความหมาย สํานวนเม่ือนาํ มาใชไ้ ดอ้ ย่างเหมาะเจาะ จะชว่ ยใหภ้ าษามีสีสัน สํานวนนับเปน็ เคร่ืองมือใน
การสื่อสารทางอารมณ์และถ่ายทอดความคิดของมนุษยใ์ นแต่ละยุคสมัย อีกทั้งยังมีการนํามาใช้อย่าง
แพร่หลายทั้งในภาษาพูดและภาษาเขียน (Wáng Qín Mǎ Guófán Xǔ Zhèngyuán และ Sūn
Yùzhēn, 1988: 1) ขอบเขตในการศึกษาครั้งนี้จะศึกษาสำนวนเฉิงยฺหว่ีในภาษาจีนเท่านั้น เนื่องจาก
เปน็ ท่นี ยิ มใช้และมจี ำนวนมากท่ีสุด
2.1.1 ความหมายของสำนวนเฉงิ ยฺหวใี่ นภาษาจนี
พจนานุกรมภาษาจีนกลางปัจจุบัน (Xiàndài Hànyǔ Cídiǎn《现代汉语词典》)
(1999: 160) ได้ใหค้ วามหมายสำนวนเฉิงยหฺ ว่ีไวว้ า่
สำนวนเฉงิ ยฺหวี่ คือประโยคสั้น ๆ หรอื กลมุ่ คำที่มีการกำหนดรปู แบบที่แน่นอน อีก
ทั้งมีความสั้นกระชับกะทัดรัดได้ใจความ มีความหมายที่ละเอียดลึกซึ้งและครอบคลุม เป็น
ส่งิ ท่ีผคู้ นนิยมใช้สบื ทอดต่อกันมาเปน็ ระยะเวลาอันยาวนาน สำนวนเฉงิ ยหฺ ว่ีส่วนใหญ่มักจะ
ประกอบไปด้วยคำ 4 คำและมีตำนานที่มา บางสำนวนเมื่อดูจากตัวอักษรก็สามารถเข้าใจ
ความหมายของสำนวนได้ไม่ยาก บางสำนวนจำเป็นต้องรู้แหล่งที่มาหรือตำนานเรื่องราว
จากหนังสอื โบราณจึงจะสามารถเข้าใจความหมายได้
สุรีย์ ชุณหเรืองเดช (2551: 234-239) ได้ให้ความหมายของสำนวนเฉิงยฺหวี่ ไว้ว่า สำนวน
เฉงิ ยหฺ วี่เป็นวลีทม่ี ีแบบแผนตายตัว มกั อยูใ่ นรปู ถอ้ ยคำหรือวลีท่ีมีตวั อักษรเรยี งกัน 4 ตัว ปรากฏใช้ใน
6
ภาษาเขียนหรือภาษาที่เป็นลายลักษณ์อักษรของชาวจีนสืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ แหล่งที่มา
ของสำนวนเฉิงยฺหวี่ นอกจากจะมีที่มาจากมุขปาฐะซึ่งสืบทอดกันมาในหมู่ประชาชนทั้งในอดีตและ
ปัจจุบันแล้ว ส่วนใหญ่ยังได้มาจากตําราหรือหนังสือเกี่ยวกับวัฒนธรรมในสมัยโบราณ อาทิ ตํานาน
เทพนิยาย นิทานสุภาษิต เรื่องราวทางประวัติศาสตร์ ตลอดจนภาษาหรือคําพูดที่ใช้ในบทกวีนิพนธ์
เปน็ ตน้
จากคำจำกัดความของสำนวนเฉิงยฺหวี่ขา้ งต้นสรุปได้ว่า สำนวนเฉิงยหฺ วี่คือวลีหรือกลุ่มคำที่มี
แบบแผนตายตัว มักอยู่ในรูปถ้อยคำหรือวลีที่มีตัวอักษรเรียงกันสี่พยางค์ ภาษาของสำนวนที่ใช้ส้ัน
กระชับ มีความหมายครอบคลุมลึกซึ้ง ปรากฏใช้ในภาษาเขียนหรือที่เรียกว่าภาษาที่เป็นลายลักษณ์
อักษรของชาวจนี สืบทอดกนั มาตงั้ แตส่ มยั โบราณ
2.1.2 ความหมายของสำนวนในภาษาไทย
สง่า กาญจนาคพันธุ์ (2538: 1) ได้กล่าวถึง สํานวน ไว้ว่า คําพูดของมนุษย์เราไม่ว่าชาติใด
ภาษาใด แยกออกได้กว้าง ๆ เป็นสองอย่าง อย่างหนึ่งคือพูดตรงไปตรงมาตามภาษาธรรมดา พอพูด
ออกมาก็เข้าใจกันไดท้ ันที อีกอย่างหน่ึงคือพูดเป็นชัน้ เชงิ ไม่ตรงไปตรงมา แต่ให้มีความหมายในคําพดู
นั้น ๆ คนฟังอาจเข้าใจความหมายทันทีถ้าคําพูดนั้นใช้กันแพร่หลายทั่วไปจนอยู่ตัวแล้ว แต่ถ้าไม่
แพร่หลาย คนฟังก็ไม่อาจเข้าใจได้ทันที ต้องคิดจึงเข้าใจ หรือบางทีคิดแล้วเข้าใจไปอย่างอื่นก็ได้
หรือไม่เข้าใจเอาเลยก็ได้ คําพูดเป็นชั้นเชิงนี้ เราเรียกกันว่า สํานวน คือคําพูดเป็นสํานวนอย่าง
ชาวบา้ นเขาเรียกกันวา่ พูดสาํ บดั สาํ นวน
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน (2542: 1187) ได้ให้ความหมายของคำว่า สํานวน ไว้วา่
“บางทีก็ใช้วา่ สํานวนโวหาร เป็นถ้อยคําหรือข้อความที่กล่าวสืบต่อกันมาช้านานแล้ว มีความหมายไม่
ตรงตามตวั หรอื มคี วามหมายอ่ืนแฝงอยู่ เช่น สอนจระเข้ใหว้ ่ายน้ำ ราํ ไม่ดโี ทษปีโ่ ทษกลอง เปน็ ต้น”
นอกจากนี้ ดนัย เมธิตานนท์ (2548: 3) ได้กล่าวว่า สํานวน หมายถึง ภาษาที่พูดออกมาแลว้
สามารถซ่อนความนยั ได้หลายแง่หลายมุม ใช้เป็นคําพูดในเชงิ สง่ั สอน เตือนสติ มุ่งสอนใจหรอื ชีแ้ นะให้
ประพฤติปฏิบัติตาม ไม่ตรงไปตรงมาอย่างเช่นภาษาธรรมดาที่พูดออกมาแล้วก็เข้าใจได้ทันที คนฟัง
จำต้องมีความรอบรู้หรือมีประสบการณ์จึงจะเข้าใจความหมายการพูดโดยมีความหมายแฝงอยู่นี้ เรา
เรียกกนั วา่ “สํานวน”
จากข้างต้นนี้สรุปได้ว่า สํานวนในภาษาไทยหมายถึง ถ้อยคําหรือข้อความที่มีความหมายอื่น
แฝงอยู่หรือมคี วามหมายไม่ตรงไปตรงมาอย่างเชน่ ภาษาธรรมดาที่พูดออกมาแล้วกเ็ ขา้ ใจได้ทันที เช่น
สอนจระเขใ้ หว้ ่ายนำ้ ราํ ไมด่ ีโทษปีโ่ ทษกลอง เป็นตน้ คนฟงั จำต้องมคี วามรอบรหู้ รือมปี ระสบการณ์จึง
จะเข้าใจความหมายการพูดโดยมคี วามหมายแฝงอยู่นี้ ใช้เป็นคําพูดในเชิงสั่งสอน เตือนสติ มุ่งสอนใจ
หรือชี้แนะใหป้ ระพฤตปิ ฏิบัตติ าม
7
2.2 ลกั ษณะโดยทวั่ ไปของสำนวนเฉิงยหฺ วี่ในภาษาจีนและสำนวนไทย
ลกั ษณะโดยทว่ั ไปของสำนวนเฉงิ ยหฺ วี่และสาํ นวนไทยมีความแตกตา่ งกัน ดังนี้
2.2.1 ลกั ษณะของสำนวนเฉิงยฺหวี่
Lú Zhuóqún (1987: 25-27) ไดจ้ าํ แนกลกั ษณะของสำนวนเฉงิ ยหฺ ว่ีไวด้ งั น้ี
1) นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย สืบทอดต่อกันมาตั้งแต่โบราณกาลจนถึงปัจจุบันมักมีที่มาจาก
ประวตั ิศาสตร์ ตํานาน ตาํ นานเทพเจ้านยิ ายปรัมปรา นทิ าน วรรณคดี ซ่งึ สํานวนเหล่าน้ีอาจมีอายุนับ
พันปสี ืบทอดจนถึงปัจจุบัน
2) มักมีเรื่องราวแฝงอยู่ในความหมายของสํานวน เนื่องจากสํานวนจีนมักมีที่มาจากเรือ่ งเล่า
ทางประวัติศาสตร์ พงศาวดาร ตํานาน ผู้อ่านจึงจําเป็นจะต้องเข้าใจเรื่องราวด้านนั้น ๆ รวมทั้งทราบ
ทมี่ าของสํานวนเสยี กอ่ น จึงจะเข้าใจความหมายอยา่ งถ่องแท้ของสํานวนได้
3) มีการกําหนดรูปแบบแน่นอน สํานวนจีนส่วนใหญ่จะประกอบด้วยอักษรสี่ตัว มีลําดับการ
เรียงตัวอักษรที่แน่นอน โดยทั่วไปไม่สามารถสลับตําแหน่งตัวอักษร เปลี่ยนเอาส่วนหน้ามา เป็นส่วน
หลัง หรือ ส่วนหลังไปเป็นส่วนหน้าได้ เพราะลําดับของความหมายจะเปลี่ยนไปด้วยและไม่สามารถ
เปลี่ยนแปลงตัวอักษรได้ ตัวอย่างเช่น เช่น wáng yáng bǔ láo 亡羊補牢 หมายถึง แพะหายแล้ว
จึงล้อมคอก เปรียบเหมือนเกิดปัญหาขึ้นแล้วจึงค่อยคิดหาวิธีแก้ไข สํานวนนี้สามารถแบ่งออกได้เป็น
wáng yáng-bǔ láo (แพะหาย–ล้อมคอก) จะเห็นได้ว่ามีเหตุการณ์เกิดขึ้นก่อนแล้วมีเหตุการณ์หลัง
เกิดตามมา แสดงความต่อเนอื่ งกนั ของเหตกุ ารณ์
4) สามารถสะท้อนให้เห็นถึงสภาพแวดล้อม ภูมิประเทศ ภูมิอากาศ สภาพความเป็นอยู่
ขนบธรรมเนยี มประเพณี และวฒั นธรรมต่าง ๆ ของชาวจีน เช่น
ก. สะท้อนภาพด้านประวัติศาสตร์ เช่น lǎo mǎ shí tú 老马识途 หมายถึง ม้าแก่ชํานาญ
ทาง สำนวนนี้มีตำนานเล่ากันมาว่า ปีหนึ่งในฤดูใบไม้ผลิ มีขุนนางผู้ใหญ่ผู้หนึ่งนามว่า กวนจง เป็นขุน
นางผู้ใหญไ่ ดต้ ิดตามพระเจ้าฉีหวนกง (ก่อน ค.ศ. 719 - 696) แห่งรัฐฉี ยกทัพไปตีเผ่ากจู ู๋ ท้ังสองฝ่ายรบ
พงุ่ กนั เป็น เวลานาน จนย่างเขา้ ฤดูหนาวจึงได้ยุติ ในขณะที่ยกทัพกลบั น้นั กองทพั ของรัฐฉีต้องเดินผ่าน
ทะเลทรายที่เวิง้ ว้าง จึงทําให้หลงทาง กวนจงจึงคัดม้าแก่มาหลายตวั ให้เดนิ นําหน้ากองทหาร ในที่สุดก็
มาถงึ เส้นทางทจี่ ะยกทัพกลับได้
ข. สะทอ้ นภาพด้านสภาพแวดล้อม ภมู ปิ ระเทศ เชน่ lóng pán hŭ jù 龙蟠虎踞 หมายถึง
พื้นที่หรือบริเวณที่มีลักษณะเหมือนกับมังกรขดตัวอยู่และเสือนั่งยอง ๆ หมอบอยู่ อุปมาว่าเป็น
ลกั ษณะภูมิประเทศหรือชัยภมู ิท่ีดี เป็นสิง่ ป้องกนั ภัยได้โดยธรรมชาติโดยปกติแล้วหมายถึงเมืองหนาน
จงิ (นานกงิ ) ในประเทศจนี
ค. สะท้อนภาพวัฒนธรรมของชาวจีน เช่น qí féng duì shǒu 棋逢对手 สํานวนนี้มี
ความหมายว่า พบคู่ตอ่ สู้ทมี่ ฝี ีมอื พอกนั สสู กี นั ในสํานวนใชค้ าํ วา่ qí (หมาก อาจหมายถึงหมากรุกหรือ
หมากล้อม) ซง่ึ เปน็ ศิลปะการละเล่นของจีนเปน็ ส่ิงทน่ี ำมาเปรียบเทยี บ
8
2.2.2 ลักษณะของสำนวนไทย
ประเทือง คล้ายสุบรรณ์ (2529: 12–14) ได้กล่าวถึงลักษณะของสำนวนไทยไว้ 4 ลักษณะ
ดงั นี้
1) มีความหมายโดยนัย คือมีความหมายไม่ตรงตามตัว พูดอีกอย่างหนึ่งมีความหมายไปอีก
อย่างหนึ่ง เช่น กินปูนร้อนท้อง หมายถึง รู้สึกเดือดร้อนเพราะมีความผิดอยู่ ชักแม่น้ำทั้งห้า หมายถึง
พูดจาหวา่ นล้อมยกบุญคณุ เพื่อขอสง่ิ ทป่ี ระสงค์ เปน็ ตน้
2) ใช้ถ้อยคําน้อยกินความมาก การใช้ถ้อยคําในสํานวนส่วนใหญ่เข้าลักษณะใช้คําน้อยกิน
ความมากเน้ือความมีความหมายเด่น เชน่ ควาํ่ บาตร ขม้ินกบั ปนู คมในฝัก ใกล้เกลือกินด่าง ซึ่งล้วนมี
ความหมายอธิบายได้ยืดยาว
3) ถ้อยคํามีความไพเราะ การใช้ถ้อยคำในสำนวนไทยมักใช้ถ้อยคําสละสลวยมีสัมผัสคล้อง
จองเน้นการเลน่ เสยี งสัมผัสสระ สัมผสั อกั ษร ให้เสียงกระทบกระท่ังกนั ทำใหเ้ กิดความไพเราะน่าฟังทั้ง
เสียงสมั ผสั ภายในวรรคและระหวา่ งวรรค มีการจัดจังหวะคาํ หลายรปู แบบ เช่น เป็นกลุ่มคําซ้อน 4 คํา
เช่น ก่อกรรมทําเข็ญ ก่อร่างสร้างตัว กลุ่มคําซ้อน 6 คํา เช่น ขิงก็ราข่าก็แรง ยุให้รําตําให้รั่ว หรือ
กลุ่มคาํ ซอ้ น 8 คาํ เช่น ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแตง่ กินอยูก่ บั ปากอยากอยกู่ ับท้อง เป็นต้น
4) สํานวนไทยมักเป็นการเปรียบเปรยหรือมีประวัติที่มา ความเป็นมาส่วนใหญ่มาจากการ
เปรียบเทียบกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ประเพณี ศาสนา นิยายนิทานต่าง ๆ กิริยาอาการและ
ส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น กลับหน้ามือเป็นหลงั มือ นอนตาไม่หลับ ใจดีสู้เสือ ว่าแต่เขาอิเหนาเปน็
เอง
วรวรรณ คงมานสุ รณ์ (2549: 7-9) ไดจ้ าํ แนกลักษณะของสํานวนไทยไว้ดงั นี้
1) มีลักษณะเป็นโวหารและมีเสียงสมั ผัสกนั
สํานวนไทยมกั ใช้ถอ้ ยคําสละสลวย มสี มั ผสั คล้องจอง เนน้ การเล่นเสียงสัมผสั สระสัมผัสอักษร
อกี ทงั้ ยงั มกี ารสมั ผสั ภายในวรรคและระหวา่ งวรรค ก่อให้เกดิ ความไพเราะ ฟังแล้วทำใหเ้ กิดความรู้สึก
รื่นหู และยังมีการจัดจงั หวะคําหลายรูปแบบ เชน่ สกุ เอาเผากนิ กินขา้ วรอ้ น นอนตื่นสาย เปน็ ตน้
2) มลี กั ษณะเปน็ ความเปรียบหรอื ใช้การอปุ มาอุปไมย
อุปมา คือ การเปรียบเทียบระหว่างสองสิ่งหรือข้อความที่ยกมาเปรียบเทียบกับสิ่งหนึ่งว่า
เหมือนอีกสิ่งหนึ่ง และลักษณะที่เปรียบเทียบกับอีกสิ่งหนึง่ น้ันเป็นลกั ษณะเฉพาะ โดยมากมักจะมีคํา
ว่า เปรียบ เหมือนดุจ ดั่ง ประดุจ หรือ เปรียบเสมือน ส่วน อุปไมย คือ สิ่งหรือข้อความที่พึง
เปรียบเทียบกับสิ่งอื่นเพื่อให้เข้าใจแจ่มแจ้ง ใช้คู่กับอุปมา ยกตัวอย่างสํานวนที่ใช้การอุปมาอุปไมย
เช่น กนิ เหมือนหมู อยเู่ หมือนหมา เป็นการกล่าวเปรียบเทยี บถึงลักษณะการกนิ วา่ มมู มาม เลอะเทอะ
3) มีลกั ษณะเป็นคํากลา่ วท่ใี ห้แง่คิดข้อคิดต่าง ๆ
สํานวนมีนัยเชิงสั่งสอนหรือเปรียบเปรยพฤติกรรมต่าง ๆ ให้เกิดแง่คิด ทั้งนี้ยังมีความหมาย
รวม ไปถึง สัจธรรม คําสั่งสอนทีเ่ ป็นความจริงอันเที่ยงแท้ด้วย เช่น ทําดีได้ดี ทําชั่วไดช้ ัว่ ตนเป็นที่พ่ึง
แหง่ ตน เป็นตน้
9
4) ลักษณะสำนวนอาจมี 1 พยางค์ 2 พยางค์ 3 พยางค์ หรือมากกวา่ 3 พยางค์ ตวั อย่างเช่น
1 พยางค์ เชน่ เฮ้ียน 2 พยางค์ เช่น แกว่ ัด 3 พยางค์ เช่น กินส่ถี ว้ ย มากกวา่ 3 พยางค์ เช่น ชี้ช่องให้
คนร้าย
จากท่ไี ดก้ ล่าวมาข้างต้น สามารถสรุปลักษณะของสำนวนเฉิงยฺหว่ีของจีนได้ว่า มีลักษณะเป็น
ถ้อยคําหรือวลีสั้น ๆ ที่มีแบบแผนตายตัว มักอยู่ในรูปถ้อยคำหรือวลีที่มีตัวอักษรเรียงกันสี่ตัว อาจมี
สัมผัสคล้องจอง มีความไพเราะ ใช้คําที่สั้น กระชับและกะทัดรัด มีความหมายไม่ตรงตัว ใช้ตัวอักษร
น้อยแต่กินความหมายกว้างได้ใจความลึกซึ้งและครอบคลุม มีการสืบทอดต่อกันมาตั้งแต่โบราณกาล
จนถึงปัจจุบัน ส่วนใหญ่มีตำนานที่มาจึงทำให้มีเรื่องราวแฝงอยู่ในความหมายของสำนวนตลอดจน
สำนวนสามารถสะท้อนให้เห็นถึงสภาพแวดล้อม ภูมิประเทศ ภูมิอากาศ สภาพความเป็นอยู่
ขนบธรรมเนียมประเพณี และวัฒนธรรมต่าง ๆ ของชาวจีน แต่สํานวนไทยจะมีลักษณะเป็นถ้อยคํา
หรือวลีสัน้ ๆ เน้นสัมผัสคล้องจอง ความไพเราะ มีความหมายไม่ตรงตัว อาจมี 1 พยางค์ 2 พยางค์ 3
พยางค์ หรือมากกว่า 3 พยางค์ และมีการใช้คําในเชิงเปรียบเทียบเพื่อมุ่งสั่งสอน หรือเปรียบเปรย
พฤตกิ รรมต่าง ๆ ให้เกิดแง่คดิ ข้อคิด คติเตอื นใจ ตลอดจนเป็นแนวทางในการประพฤติปฏิบัติตนให้ดี
งาม
2.3 ทม่ี าของสำนวนเฉงิ ยฺหวี่ในภาษาจีนและสำนวนไทย
สำนวนเฉงิ ยหฺ วี่และสำนวนไทยลว้ นมที ีม่ าหลากหลายต่างกันดงั นี้
2.3.1 ทมี่ าของสำนวนเฉงิ ยฺหวี่
Wáng Qín (2006: 238-248) ไดจ้ ำแนกสํานวนเฉงิ ยหฺ ว่ีมีที่มาจากแหลง่ ตา่ ง ๆ ดงั ตอ่ ไปนี้
1) สํานวนเฉิงยฺหวี่ที่มาจากนิทานสุภาษิต เช่น sài wēng shī mǎ 塞翁失马 สํานวนน้ี
แปลวา่ ผูเ้ ฒ่าไซเ่ วิงสูญเสยี มา้ มาจากตอนหน่ึงของนิทานสุภาษติ กล่าวถงึ มชี ายผู้เฒ่าคนหนึ่งอาศัยอยู่
บริเวณชายแดนมีนามว่า ไซ่เวิง sài wēng 塞翁 มีอยู่วันหนึ่งม้าของผู้เฒ่าไซ่เวิงที่เลี้ยงไว้หายไป
เพราะว่าหลงทาง เพื่อนบ้านของผู้เฒ่ารู้สึกเสียดายแทนเขาเป็นอย่างมาก แต่ว่าท่าทีของผู้เฒ่าไซ่เวิง
ไม่ได้เสยี ใจแม้แต่น้อย เขาบอกกับเพ่ือนบ้านว่า “ม้าหายเปน็ เรื่องไม่ดีก็จรงิ แต่ใครจะไปรู้ว่าไม่แน่มัน
อาจจะกลับกลายเป็นเรอ่ื งดีก็ได้ ” เวลาผ่านไปไดไ้ ม่นาน มา้ ฝูงท่ีหายไปไดก้ ลบั มา แถมยงั มาพร้อมกับ
มา้ พนั ธุด์ ีฝูงหนึ่งอกี ดว้ ย พอเพ่ือนบ้านทราบเรื่องตา่ งก็พากันมารว่ มแสดงความยนิ ดีกบั ผ้เู ฒ่าไซ่เวงิ แต่
ผู้เฒ่ากลับก็ไม่ได้ออกอาการยินดีอะไร แถมบอกเพื่อนบ้านไปอีกว่า “ใครจะไปรู้ไม่แน่มันอาจจะนำ
เรื่องไม่ดีมาให้ก็ได้” ผ่านไปไม่กี่วัน ลูกชายของผู้เฒ่าไซ่เวิงก็ขาหักเพราะชอบขี่ม้าพันธุ์ดีนั้นไม่
ระมัดระวังจนเกิดอุบัติเหตุ เมื่อเพื่อนบ้านทราบเรื่อง ต่างก็พากันมาแสดงความเสียใจกับผู้เฒ่าไซ่เวงิ
แต่ผู้เฒ่าไซ่เวิงกลับตอบไปอีกว่า “ใครจะไปรู้ ไม่แน่ที่ลูกชายข้าขาหัก มันอาจจะนำเรื่องดีมาให้กไ็ ด้”
หลังจากนั้นหนึ่งปีก็เกิดศึกสงครามระหว่างประเทศจีนกับชนเผ่าหู พวกเหล่าชายหนุ่มทั้งหลายถูก
เกณฑ์ไปเป็นทหาร มีผู้คนจำนวนมากเสียชีวิตในสงครามเรียกได้ว่าผู้คนที่ถูกเกณฑ์ไปสิบตายเสียเกา้
10
ที่รอดกลับมาก็บาดเจ็บสาหัส แต่ลูกชายของผู้เฒ่าไซ่เวิงไม่ได้ไปออกรบด้วยเนื่องจากพิการขาหักทำ
ใหเ้ ขารอดชีวติ มาได้ สํานวนนีใ้ ชเ้ ปรียบเทียบบรรยายถึงบางคร้ังเรอื่ งไมด่ ีกส็ ามารถกลบั กลายเป็นเรื่อง
ดี เรอ่ื งดีกส็ ามารถกลับกลายเป็นเร่ืองไมด่ ีไดเ้ ชน่ กัน
2) สํานวนเฉิงยฺหว่ีที่มาจากเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ เช่น sì miàn chǔ gē 四面楚歌
สำนวนนแี้ ปลวา่ เสียงเพลงรฐั ฉดู่ ังไปทั่วท้ังส่ีทิศ มีท่มี าจากเร่อื งราวเกิดขนึ้ ในชว่ งสมัยสงครามระหว่าง
เซ่ยี งยฺหว่ี Xiàng Yǔ 项羽 แหง่ แควน้ ฉู่ กับหลวิ ปัง Liú Bāng 刘邦 แหง่ แคว้นฮ่นั ทำสงครามแย่ง
แผ่นดินจีนกัน จนในที่สุดกองทัพของฮั่นได้ล้อมกองทัพฉู่เอาไว้ ฝ่ายเซี่ยงยฺหวี่ตกอยู่ในสภาวะย่ำแย่
ทหารบาดเจ็บล้มตายเป็นอันมาก เสบียงอาหารเริ่มขาดแคลน เมื่อเห็นดังนั้นหาน ซิ่น Hán Xìn
韩信 แม่ทัพของรัฐฮั่นจึงได้คิดกลยุทธ์ทําลายขวัญกําลังใจของทหารฝ่ายศัตรูขึ้น พอตกกลางคืนให้
ทหารแคว้นฮั่นร้องเพลงของชาวฉู่ขึ้น เมื่อเซี่ยงยฺหว่ีและทหารรัฐฉู่ได้ยินเสียงเพลงฉู่ก็ตกใจ เข้าใจผิด
คิดว่าคิดว่าหลิวปงั ยึดครองแคว้นฉู่ได้แล้ว ถึงกับนอนไม่หลับ นั่งดื่มเหล้าจนเมามาย ทหารต่างพากัน
คิดถงึ บ้านของตนเอง ไม่มกี ำลังใจทจี่ ะสู้ต่อไปและพ่ายศึกในทีส่ ดุ ภายหลงั สาํ นวนนใ้ี ช้เปรียบเทียบถึง
การตกอยภู่ ายใต้อนั ตรายรอบด้านไมส่ ามารถพงึ่ พาใครได้ ไม่มีคนคอยช่วยเหลือ
3) สํานวนเฉิงยฺหว่ีที่มาจากเทพนิยายปรัมปราหรือตํานานที่เกี่ยวข้องกับเทพ การกล่าวถึง
เทพนิยายนนั้ ส่วนมากมีความเกี่ยวข้องกับเร่ืองราวของเทพพ้นื เมือง ซง่ึ เกิดจากการที่ผู้คนจินตนาการ
ถึงธรรมชาติในลักษณะต่าง ๆ รวมทั้งทำให้เกิดความเชื่อเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตในสังคม อีกทั้งใน
สมัยกอ่ นท่ีวิทยาศาสตรย์ ังไมเ่ จรญิ กา้ วหนา้ เมื่อมีเหตกุ ารณ์ใดทางธรรมชาตหิ รือในด้านอ่นื ๆ ท่มี นุษย์
ไม่เข้าใจก็จะมีการสร้างเรื่องราวขึน้ ก่อให้เกิดเทพนิยายข้ึน และเทพนิยาย หรือตำนานที่เกี่ยวข้องกบั
เทพจำพวกนี้ก็มีอิทธิพลตอ่ สำนวนจีนเชน่ กันทำให้เกิดสำนวนจีนที่มาจากเทพนิยาย เช่น Cháng’é
bèn yuè 嫦娥奔月 สำนวนนี้แปลว่า เทพธิดาฉางเอ๋อร์เหินสู่ดวงจันทร์ มาจากตอนหนึ่งของ
ตํานานเทพนิยายเทพธิดาฉางเอ๋อเหินสูด่ วงจันทร์ ซึ่งเรื่องเล่าขานกันว่า เมื่อครั้งโบราณกาล โลกของ
เรามีดวงอาทิตย์อยู่ถึงสบิ ดวง ทำให้โลกมนุษยเ์ กิดภยั พิบัติไปทวั่ แผน่ ดินร้อนระอุ น้ำเหือดแห้ง ต่อมา
ได้ปรากฏวีรบุรุษนามว่า โฮ่วอี้ ยิงธนูดับดวงอาทิตย์ถึงเก้าดวง ทำให้เหลือดวงอาทิตย์อยู่เพียงดวง
เดยี ว เป็นการขจัดความทุกขใ์ ห้กับประชาชนท่ัวไป เจา้ แมซ่ หี วังหมจู่ ึงมอบยาอายวุ ฒั นะให้เป็นรางวัล
แต่ฉางเอ๋อผู้เป็นภรรยาแอบขโมยยาอายุวัฒนะนั้นมากิน เมื่อกินเข้าไปแล้วร่างของฉางเอ๋อก็เบาและ
ลอยขึ้นไปสู่ดวงจันทร์ เม่อื เจา้ แมซ่ ีหวังหมู่ทรงทราบจึงลงโทษใหน้ างสำนึกผิดอยู่ในตำหนักเหมันต์บน
ดวงจนั ทร์
4) สาํ นวนเฉิงยฺหวี่ท่ีมาจากพระพุทธศาสนา พุทธศาสนาเป็นศาสนาใหญ่ศาสนาหนงึ่ ในโลก มี
อทิ ธิพลในด้านตา่ ง ๆ อยา่ งมากตอ่ ประเทศตา่ ง ๆ รวมทัง้ ประเทศจีน เม่อื พทุ ธศาสนาเข้าสู่ประเทศจีน
ก็ส่งอิทธิพลอย่างมากต่อเศรษฐกิจ การปกครอง วฒั นธรรม รวมไปถึงคลังคำศพั ท์ สำนวน สุภาษติ คำ
พังเพย ซึ่งล้วนได้รับอิทธิพลของพุทธศาสนาทั้งสิ้น สำนวนที่ได้รับอิทธิพลจากพุทธศาสนาโดยตรง
เช่น สำนวน wàn jié bú fù 万劫不复 แปลวา่ ผ่านไปหมน่ื กลั ปก์ ไ็ ม่หวนกลับ เป็นต้น
11
นอกจากน้ีจากการศึกษายังพบว่ามีการกล่าวถึงสำนวนเฉิงยฺหว่ีที่มาจากศาสนาเต๋าดังเช่น
สำนวน liù shén wú zhǔ 六神无主 แปลว่า เทพหกตนหมดปัญญา ทำอะไรไม่ถูก ใช้บรรยาย
ถึงเป็นภาษาของศาสนาเต๋า ผู้คนที่นับถือศาสนาเต๋าเชื่อว่า อวัยวะร่างกายของคนเราทั้ง 6 คือ ใจ
ปอด ตบั ไต มา้ ม ถุงน้ำดี แตล่ ะสว่ นจะมีเทพเจ้าคอยควบคมุ อยู่ สำนวนใช้เปรียบเทียบถึงการกระวน
กระวาย ต่ืนตระหนกตกใจ สติไมอ่ ยกู่ บั เนอื้ กบั ตัวจนไมร่ ตู้ ้องทำอยา่ งไรดี เป็นต้น (Biān Xīn,2007)
2.3.2 ทม่ี าของสำนวนไทย
ดนยั เมธติ านนท์ (2541: 3-10) กลา่ วว่า คนไทยเราแตเ่ ดมิ มวี ถิ ชี วี ติ ใกลช้ ดิ กบั ธรรมชาติจึงทำ
ให้มีผลสำคญั ทำใหค้ นไทยเราเปน็ คนเจ้าบทเจ้ากลอน ช่างเปรียบเทยี บเปรียบเปรยทำให้ภาษาสำนวน
ไทยมีความลมุ่ ลกึ และมีต้นกำเนดิ จากหลากหลายแหล่งที่มา ตน้ กำเนิดของสาํ นวนชนิดต่าง ๆ อาจจะ
ได้มาจากการสังเกตจดจำเอาจากธรรมชาติ ลัทธิศาสนา ความเป็นมาจากศาสนาหรือเป็นสิ่งที่ใช้
ประพฤติปฏิบัติในกิจของศาสนาเกิดจากมูลเหตุต่าง ๆ จารีตประเพณี การดำรงชีวิต สิ่งแวดล้อมที่
เก้อื กลู ตอ่ การมีชีวิตอยู่ ความประพฤติ การละเล่น นิยาย ตํานาน ตลอดจนประวตั ศิ าสตร์ พงศาวดาร
รวมท้งั มูลเหตอุ นื่ ๆ
เมื่อพิจารณามูลเหตุที่เป็นบ่อเกิดของสํานวนไทย เราสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท
ใหญ่ ๆ ดังน้ี
1) สำนวนท่ีเกิดจากสภาพแวดล้อมทางกายภาพและภูมิศาสตร์ สามารถแยกย่อยได้ 3 กลุ่ม
คือ
ก. สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติในท้องถิ่น เช่น น้ำ ต้นข้าว หรือ กระแสลม จึงเกิดสํานวน
ตา่ ง ๆ ท่มี าจากสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติและภมู ิศาสตร์ เช่น ชกั แม่นำ้ ทงั้ ห้า เขา้ รกเขา้ พง เด็ดบัว
ไม่ไวใ้ ย คลืน่ กระทบฝ่ัง นำ้ พ่ึงเรอื เสือพึ่งป่า ลมเพลมพดั น้ำนอ้ ยแพไ้ ฟ ฝนตกไมท่ ั่วฟ้า
ข. พฤติกรรมของสัตว์ต่าง ๆ เป็นการเปรียบเปรยพฤติกรรมของสัตว์กับการกระทําและ
ความรสู้ ึกของมนุษย์ เชน่ กินเหมือนหมู อยเู่ หมอื นหมา หมาหยอกไก่ แมวไม่อยหู่ นูรา่ เริง จระเข้ขวาง
คลอง กระต่ายตน่ื ตูม
ค. ลักษณะทางกายภาพของมนุษย์ หมายถึง อวัยวะต่าง ๆ ที่เป็นส่วนประกอบในร่างกาย
ของมนุษย์ เชน่ ขนหวั ลกุ ปากว่าตาขยิบ ขนหน้าแขง้ ไมร่ ่วง ลิ้นกับฟนั
2) สำนวนที่เกิดจากสภาพแวดล้อมทางสังคมและวัฒนธรรม สามารถแยกย่อยได้ 6 กลุ่ม มี
ดงั น้ี
ก. สภาพชีวิตความเป็นอยู่ การกระทํา และความประพฤติของคน เช่น กินข้าวร้อน นอนต่ืน
สาย ทํานาบนหลังคน ตําน้ำพริกละลายแม่นำ้ ตําขา้ วสารกรอกหม้อ พ่อพวงมาลยั ชุบมือเปิบ ถอื ท้าย
ข. ศาสนาหรอื พิธกี รรมทีเ่ กยี่ วข้องกับศาสนา เช่น ขนทรายเขา้ วัด ตักบาตรถามพระ กรวดน้ำ
คว่ำขัน ก่อกรรมทาํ เข็ญ ทาํ บญุ เอาหน้า ชีปลอ่ ยปลาแห้ง เถรส่องบาตร เทศนไ์ ปตามเนือ้ ผา้
12
ค. ประเพณีต่าง ๆ ในสังคม เช่น ฝังรกฝังราก ราชรถมาเกย คนตายขายคนเป็น คลุมถุงชน
กินขนั หมาก ขา้ วใหม่ปลามัน
ง. เหตุการณ์ในนทิ าน ตํานาน วรรณคดี หรอื ประวตั ิศาสตร์ เชน่ กิ้งก่าได้ทอง ชกั แม่น้ำทั้งห้า
งอมพระราม วดั รอยเทา้ ฤาษแี ปลงสาร ดอกพิกลุ ร่วง
จ. วัตถุสิ่งของต่าง ๆ ที่ใช้ในชีวิตประจําวัน เครื่องแวดล้อม เช่น คมในฝัก ฆ้องปากแตก ตัก
น้ำใส่กะโหลกชะโงกดเู งา จวกั ตกั แกง ดดี ลกู คดิ รางแกว้ กระโถนทอ้ งพระโรง
ฉ. การละเล่นพนื้ บ้านตา่ ง ๆ เชน่ งูกนิ หาง รุกฆาต ไก่รองบ่อน ว่าวตดิ ลม เป็นต้น
จากข้อมูลข้างต้น สรุปได้ว่าสํานวนจีนมีท่ีมาหลากหลาย ทั้งจากนิทานสุภาษิต เรื่องราวทาง
ประวัติศาสตร์ เทพนิยายปรัมปรา ความเชื่อทางพุทธศาสนา และความเชื่อทางศาสนาเต๋า ส่วน
สํานวนไทยมีที่มาหลากหลายแตกต่างจากสำนวนจีน เช่น อาจจะได้มาจากการสังเกตจดจำเอาจาก
ธรรมชาติ ลัทธิศาสนา ความเป็นมาจากศาสนา หรือเป็นสิ่งที่ใช้ประพฤติปฏิบัติในกิจของศาสนาเกิด
จากมลู เหตุต่าง ๆ จารตี ประเพณี การดำรงชวี ติ วัตถสุ ่ิงของตา่ ง ๆ ที่ใช้ในชวี ติ ประจาํ วัน ส่งิ แวดล้อมที่
เกอื้ กลู ตอ่ การมชี ีวติ อยู่ ความประพฤติ การละเลน่ นิยาย ตํานาน ตลอดจนประวตั ศิ าสตร์ พงศาวดาร
เป็นตน้
2.4 ความหมายของคำว่า ความเชอ่ื
สำนวนจีนและไทยตา่ งมสี ำนวนทีเ่ กี่ยวกับความเช่ือ ในภาษาจีนได้จัดใหส้ ำนวนเหลา่ น้ีอย่ใู น
หมวดหมู่ที่เรียกว่า หมีซิ่น míxìn 迷信 แปลว่า ความเชื่องมงาย แต่ภาษาไทยเรียกสำนวนที่มี
ลักษณะเดียวกันน้ีว่าอย่ใู นประเภทความเช่อื เทา่ นัน้
2.4.1 ความหมายของคำวา่ หมีซ่นิ
พจนานุกรมภาษาจีนกลางปัจจุบัน (Xiàndài Hànyǔ Cídiǎn《现代汉语词典》)
(2002: 872) ได้ให้ความหมายคำว่า หมีซิ่น ไว้ว่า “มีสองความหมาย ความหมายแรกหมายถึง ความ
เช่อื เลอ่ื มใสศรทั ธาในเทพเจ้า เซยี น ภูตผีปศี าจ เป็นตน้ ความหมายทส่ี องหมายถึง การเล่อื มใสศรัทธา
บูชา ต่อส่ิงใดสงิ่ หนึ่ง แบบไมล่ มื หลู มื ตา ไม่คำนึงว่าสง่ิ ท่เี ช่อื นนั้ จะมอี ยู่จรงิ หรอื ไมม่ ีอยูจ่ รงิ ”
พจนานุกรมซินหัว (Xīnhuá Cídiǎn《新华词典》) (2001: 679) ได้ให้ความหมายคำ
ว่า míxìn ไว้ว่า
มีสองความหมาย ความหมายแรกหมายถึง ความเชื่อเลื่อมใสศรัทธาในเทพเจ้า
เซียน ภูตผีปีศาจ เป็นต้น ตรงกับความหมายในภาษาอังกฤษคำว่า superstition
ความหมายท่ีสองหมายถึง การเล่ือมใสศรทั ธา บชู า ต่อส่งิ ใดสง่ิ หน่ึง โดยไม่คำนงึ ถงึ หลักการ
เหตุผลว่า ส่งิ ทเี่ ชอ่ื น้ันจะมอี ยู่จริงหรอื ไม่มอี ยู่จริง
13
Jiāng Shàoyuán (1989: 4) ได้ใหค้ วามหมายคำวา่ míxìn ไว้วา่ หมายถงึ ความคิด ความ
เชื่อ รวมถึงการกระทำ ทั้งหลายที่ขัดกับหลักวิทยาศาสตร์ ซึ่งความคิดความเชื่อ และการกระทำน้ี
ส่วนมากจะเก่ยี วขอ้ งกบั ความเชื่อในทางศาสนาและเวทมนต์คาถา
Jiāng Shàoyuán และ Chén Yǒngchāo (2003: 12) ได้ให้ความหมายคำว่า míxìn ไว้
วา่ หมายถึงความเชอ่ื ทไี่ ม่มเี หตผุ ล ไมส่ ามารถพสิ ูจนไ์ ด้ว่ามอี ย่จู ริงหรือไม่มีอยู่จริง เปน็ ส่ิงท่อี ย่ตู รงข้าม
กับหลักทางวิทยาศาสตร์ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าสิ่งที่เชื่อนั้นไม่ใช่ความจริง เพราะความรู้ทางด้าน
วิทยาศาสตร์ของคนเรานั้นมีจำกัด บางทีบางความเชื่อที่ถูกมองว่าเป็นความเชื่อที่ไม่มีเหตุผลขัดกับ
หลักวิทยาศาสตร์อาจจะเป็นความจริง ซึ่งถูกค้นพบโดยคนหรือกลุ่มชนนั้น ๆ ผู้มีพรสวรรค์มี
ความสามารถในการสัมผัสรับรู้กับสิ่งนั้น ๆ เช่น ความเชื่อในเรื่องของพลังแสงจันทร์ ซึ่งทาง
วิทยาศาสตร์ได้มีการบอกถึงคุณประโยชน์ของแสงจันทร์ในด้านต่าง ๆ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า แสง
จันทร์จะมีคุณประโยชน์เพียงเท่ากับที่ทางวิทยาศาสตร์ได้กล่าวเอาไว้ เป็นไปได้ว่า อาจจะมี
คุณประโยชน์ของแสงจันทร์ อยา่ งอืน่ ที่ทางวิทยาศาสตร์ยงั ไม่ได้คน้ พบก็เป็นได้
Xuē Fēngpíng และ Chén Hóngquán (2001: 116) ได้ใหค้ วามหมายคำวา่ míxìn ไวว้ า่
หมายถึง ความเชื่อเลื่อมใสศรัทธาในเทพเจ้า เซียน ภูตผีปีศาจ ดูโหงวเฮ้ง การทำนายชะตาชีวิต
ทำนายฝนั ไสยศาสตร์ การเสย่ี งทาย การดูฤกษ์ยาม ดฮู วงจุ้ย ยนั ต์และคาถา การขอฝน เปน็ ต้น รวม
ไปถึงความเชื่อที่ไม่ควรเชื่อ คือความเชื่อที่ไม่มีเหตุผล ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าสิ่งที่เชื่อนั้นมีอยู่จริง
หรอื ไมม่ อี ยจู่ ริง
จากคำจำกัดความของความเชื่อจากนักศึกษาวิจัยทางความเชื่อของจีนข้างต้น สรุปได้ว่า
míxìn หมายถึง ความเชื่อต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยไม่คำนึงถึงหลักการเหตุผลว่าสิ่งที่เชื่อนั้นจะมีอยู่จริง
หรือไม่มีอยู่จริงพิสูจน์ได้หรือพิสูจน์ไม่ได้ก็ตาม เป็นความเชื่อที่ขัดกับหลักวิทยาศาสตร์และยังรวมไป
ถึงความเชื่อเลื่อมใสศรัทธาในเทพเจ้า เซียน ภูตผีปีศาจ ดูโหงวเฮ้ง การทำนายชะตาชีวิต ทำนายฝัน
ไสยศาสตร์ การเสยี่ งทาย การดฤู กษย์ าม ดฮู วงจุ้ย ยันตแ์ ละคาถา การขอฝน เปน็ ตน้
2.4.2 ความหมายของคำว่า ความเชอื่
ทัศนีย์ ทานตวณิช (2523 : 224) ได้ให้ความหมายของความเชื่อไว้ว่า ความเชื่อ คือการ
ยอมรับนบั ถือหรือยดึ มั่นในสิง่ ใดสง่ิ หน่ึงท้ังที่มีตัวตนหรือไม่มีก็ตาม ว่าเป็นความจริงหรือมีอยู่จริง การ
ยอมรบั หรอื การยดึ มน่ั ในสิ่งนั้น อาจมีหลักฐานเพียงพอท่ีจะพิสูจน์ส่ิงเหล่าน้ันให้เหน็ จริงได้หรืออาจไม่
มหี ลกั ฐานพสิ ูจน์สิ่งเหล่านั้นให้เหน็ จรงิ ก็ได้
กง่ิ แก้ว อัตถากร (2519: 91) ไดใ้ ห้ความหมายของความเช่ือไว้ว่า เชือ่ หมายความว่าเห็นจริง
ด้วย เห็นจรงิ ตาม จะเหน็ เช่นนัน้ ด้วยความรู้สึกหรือด้วยความไตรต่ รองโดยเหตุผลกต็ าม
ธวัช ปุณโณทก (2528: 350) อธิบายความหมายความเชื่อไว้ว่า ความเชื่อ หมายถึง การ
ยอมรับอันเกิดอยู่ในจิตสํานึกของมนุษย์ต่อพลงั อํานาจเหนือธรรมชาติทเ่ี ปน็ ผลดีหรือผลร้ายต่อมนุษย์
หรือสังคม แม้ว่าพลังอํานาจเหนือธรรมชาติเหล่านี้ไม่สามารถจะพิสูจน์ได้ว่าเป็นความจริง แต่มนุษย์
14
ในสังคมหนึ่งยอมรับและให้ความเคารพยําเกรงสิ่งเหล่านี้เรียกว่าความเชื่อ ความเชื่อมีขอบเขต
กว้างขวางมากไม่เพยี งแต่จะหมายถึงความเช่ือในภูตผดี วงวิญญาณทั้งหลาย โชคลาง คาถาอาคม ไสย
เวทต่าง ๆ ยังรวมถึงธรรมชาติรอบตัวมนุษย์และส่ิงต่าง ๆ ที่มนุษย์ยอมรับนับถือ เช่น ต้นไม้ (ต้นโพธ์ิ
ต้นไทร) ความมืด ดวงจนั ทร์ ดวงดาว แมน่ ้ำลาํ ธาร เป็นต้น
กลุ่มวิทยาลัยครูภาคใต้ (2526: 23) ได้ให้ความหมายของความเชื่อไว้ว่า ความเชื่อ คือ การ
ยอมรับว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นความจริงหรือเป็นสิ่งที่เราไว้ใจ ความจริงหรือความไว้วางใจที่เป็นรูปของ
ความเชื่อน้ัน ไม่จําเป็นว่าจะต้องเป็นความจริงที่ตรงตามหลักเหตุผลหรอื หลักวิทยาศาสตร์ใด ๆ คนท่ี
เชื่อเครื่องรางของขลังก็จะมีความยึดมั่นว่า เครื่องรางของขลังให้คุณให้โทษแก่ตนได้จริง คนที่เชื่อใน
ฤกษ์ยามก็จะถือว่า วันเวลาการโคจรของดวงดาวจะก่อให้เกิดผลต่อตัวมนุษย์ ตัวอย่างของความเช่ือ
ได้แก่ ผีสาง นางไม้ ไสยศาสตร์ โหราศาสตร์ โชคลาง ของขลัง ความเชื่ออํานาจลึกลับ สิ่งศักดิ์สิทธิ์
อทิ ธฤิ ทธ์ิปาฏิหาริย์ เป็นต้น
จากคำจำกัดความของความเชื่อจากนักวิจัยทางความเชื่อของไทยข้างต้น สรุปได้ว่า ความ
เชื่อ หมายถึงการยอมรับนับถือหรือยึดมั่นในเรื่องใดเรื่องหนึ่งหรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งว่ามีอยู่จริงหรือเป็น
ความจริง แม้ว่าสิ่งที่ยอมรับนับถือนั้นอาจมีหลักฐานพิสูจน์ให้เห็นจริงได้หรืออาจไม่มีหลักฐานพิสูจน์
สิ่งเหล่านั้นให้เห็นจริงได้ก็ตาม ไม่จําเป็นว่าจะต้องเป็นความจริงที่ตรงตามหลักเหตุผลหรือหลัก
วิทยาศาสตร์ใด ๆ ความเชื่อมีขอบเขตกว้างขวางมากไม่เพียงแต่จะหมายถึงความเชื่อในภูตผีดวง
วิญญาณทั้งหลาย โชคลาง คาถาอาคม ไสยเวทต่าง ๆ ยังรวมถึงธรรมชาติรอบตัวมนุษย์และสิ่งต่าง ๆ
ท่ีมนุษย์ยอมรับนบั ถือด้วย
2.5 ประเภทความเชือ่ ของจนี กับความเชือ่ ของไทย
ความเชอื่ ของจนี และไทยย่อมมีความแตกต่างกนั อนั เนอื่ งจากวัฒนธรรมทแ่ี ตกต่างกนั ดงั น้ี
2.5.1 ประเภทความเชื่อของคนจีน
Pān Jiāzhēng (2005: 5-7) ได้แบง่ ประเภทความเช่อื ไว้ 7 ประเภท ได้แก่
(1) ความเชื่อในตัวเลข คือเชื่อว่าตัวเลขนี้เป็นตัวเลขมงคลนำโชค ตัวเลขนี้ไม่เป็นมงคล เช่น
คนจีนเช่อื ว่าเลข 36 เป็นเลขไม่มงคล เพราะฉะนั้นเชื่อกนั วา่ เมือ่ คนครบอายุ 36 ปจี ะเป็นปีที่ไม่ดีจะมี
เคราะห์หนักอุปสรรคใหญ่เกดิ ขึ้น ด้วยเหตุนี้เมื่อผู้ใดอายุครบ 36 ปีจะต้องมีญาติหรือเพื่อนฝูงมาร่วม
เฉลิมฉลองและอวยพรด้วยคำมงคลในวันเกิดเชื่อกันว่าการทำเช่นนี้จะช่วยให้เจ้าของวันเกิดใช้ชีวิต
ผ่านพ้นปีนั้นไปด้วยความราบรื่น หรือชาวจีนเชื่อกันว่าเลข 8 เป็นเลขแห่งความสริ มิ งคลจะนำพาโชค
ลาภมาให้เพราะเลข 8 ที่ออกเสียงว่า ปา bā 八 พ้องเสียงกับ ฟา fā 发 ในคำว่า ร่ำรวย fācái 发
财 ดงั น้ันคนจีนจงึ เชอ่ื วา่ ถ้าเจอเลข 8 บนวตั ถุส่งิ ของหรือท่ีไหนก็ตามต่อใหจ้ า่ ยเงินมากเทา่ ไรก็จะต้อง
หาซื้อมาครอบครองให้ได้ ในทางกลับกัน คนจีนจะเชื่อว่าเลข 4 เป็นเลขอวมงคลของจีนเพราะเสียง
ของเลข 4 ที่ออกเสียงว่า ซื่อ sì 四 พ้องเสียงกับ สื่อ sǐ 死 ที่แปลว่า ตาย ดังนั้นคนจีนส่วนใหญ่จะ
15
หลีกเลี่ยงไม่ต้องการสิง่ ของวตั ถุหรือสิ่งอืน่ ๆ ที่มีหมายเลข 4 อยู่ด้วยแม้ว่าสิ่งนั้นจะราคาถูกแค่ไหนก็
ตาม
(2) ความเช่ือเรอ่ื งลางดี ลางร้าย เชน่ คนจีนจะเชอ่ื กันวา่ ถ้าได้ยินเสยี งนกสาลกิ าร้อง จะต้อง
มีเรื่องมงคลเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นเวลาที่ผู้คนได้ยินเสียงนกสาริการ้องจิตใจก็จะเต็มไปด้วยความปิติ
ยินดี ดีอกดีใจ แต่ในทางกลับกันเชื่อกันวา่ ถ้าได้ยินเสียงอีการ้อง หรือได้ยินเสียงนกฮูกร้องเช่ือกันว่า
เป็นลางรา้ ยจะตอ้ งเกดิ เร่อื งไมด่ ขี ้ึน
(3) ความเชื่อเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เทพเจ้าและเซียน ชาวจีนเชื่อว่าในโลกมนุษย์มีเทพเจ้าและ
เซียนอาศัยอยู่เช่น ภูเขาก็จะมีเทพภูเขาอาศัยอยู่ แม่น้ำก็จะมีเทพแห่งแม่น้ำคอยดูแลอยู่ เชื่อกันว่า
เทพและเซียนจะมีอิทธิฤทธิ์ในการควบคุมธรรมชาติเช่น ฝน ลม สายฟ้า เป็นต้น และยังสามารถ
ควบคุมชะตาชีวิตมนุษย์ทั้งการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ได้ เพราะฉะนั้นถ้าทำการกราบไหว้เทพและเซียน
ท่านก็จะประทานพรให้ชีวิตมคี วามมั่งคั่งร่ำรวย ฝนฟ้าตกตามฤดูกาล เมื่อบ้านใดมีคนเจ็บไข้ไดป้ ่วยก็
ไปขอพรต่อเทพให้ประทานพรให้สุขภาพร่างกายกลับมาแข็งแรงดังเดิมและถ้าบ้านเมืองเกิดภัยแล้ง
ฝนฟ้าไม่ตกตามฤดกู าลก็เชื่อกันว่าเป็นเพราะมีคนทำใหเ้ ทพทรงพิโรธทำใหอ้ งค์ท่านไม่ประทานใหฝ้ น
ตกลงมาหรอื จา้ วแหง่ มงั กรโดนลงโทษจงึ ไม่ไดท้ ำหน้าทีบ่ นั ดาลให้ฝนตก
(4) ความเชอ่ื เร่อื งมาร ภตู ผี ปีศาจ ชาวจีนบางกลมุ่ เช่อื กันวา่ สรรพส่งิ ล้วนมวี ิญญาณอยใู่ นตัว
และบนโลกมภี ูตผิ ปี ศี าจสงิ สถิตอยู่ตามท่ีต่าง ๆ อีกท้งั ยงั สามารถทำร้ายผู้คนได้ เช่น เมื่อมีคนเจ็บไข้ได้
ป่วยกเ็ ชื่อกนั ว่า คนผ้นู ั้นโดนภูตผปี ศี าจสิงร่างจึงต้องไปหาหมอผหี รือแม่มดให้ชว่ ยขับไล่ผีมารร้ายออก
จากร่าง
(5) ความเชื่อเรื่องผู้มีพลังพิเศษเหนือธรรมชาติ เช่น เชื่อว่ามีคนสามารถทำนายอนาคต รู้
อนาคตได้ รู้ได้ว่าภัยพิบัติ แผ่นดินไหวจะเกิดตอนไหนที่ไหน รู้อนาคตของผู้อื่น สามารถมองทะลุ
สิ่งของ มองเห็นสิ่งของที่อยู่ระยะไกลได้ สามารถเดินผ่านทะลุกำแพงได้ สามารถเคลื่อนยา้ ยสิ่งของท่ี
อยไู่ กลพันล้ไี ด้ เป็นต้น
(6) ความเชื่อเรื่องทำนายพยากรณ์ เช่น การดดู วงชะตาชวี ิต การดูลายมือ ดโู หงวเฮง้ เปน็ ตน้
(7) ความเชื่อเรื่องฮวงจยุ้
Lǐ Dān Sūn Yánjūn และ Léi Lì (2006: 81) ได้แบ่งประเภทความเชื่อไว้ 8 ประเภท
ได้แก่
(1) ความเชื่อเรื่อง ฤกษ์ ยาม วันศิริมงคล คือเชื่อว่าถ้าทำการสิ่งใดในเวลามงคล ชีวิตก็จะ
บังเกดิ ความโชคดี
(2) ความเชอื่ เรื่องมาร ภูตผี ปีศาจ
(3) ความเชื่อในเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คือ เชื่อว่าพระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ เทพเซียน มีจริง เช่น
ถ้าอยากให้มีการค้าขายร่ำรวยมีโชคลาภก็ทำการอัญเชิญองค์เทพเจา้ แห่งโชคลาภไฉ่ซิงเอี๊ยมาตั้งบชู า
16
ไว้ที่ร้าน หรือทำการอัญเชิญองค์พระพุทธรูป พระโพธิสัตว์ มาประดิษฐานไว้ที่บ้านเพื่อที่จะทำการ
กราบไหวบ้ ชู า ขอพร หรือขอบุตร ตอ่ พระพทุ ธเจ้าและพระโพธิสตั ว์
(4) ความเชอื่ เรอื่ งนรก
(5) ความเชื่อเร่ืองสวรรค์
(6) ความเชอ่ื เร่อื งกรรม
(7) ความเช่อื เรอื่ งการเวียนว่ายตายเกดิ ชาตภิ พ
(8) ความเชื่อเรื่องของวิเศษ คือ เชื่อว่าสิ่งของต่าง ๆ มีพลังอํานาจหรือมีอิทธิฤทธิ์ในตัวใน
ดา้ นต่าง ๆ เชน่ ยันต์ ยาวเิ ศษ เปน็ ตน้
Xuē Fēngpíng และ Chén Hóngquán (2001: 116) ไดแ้ บง่ ประเภทความเชือ่ ไวด้ งั นี้
(1) ความเชอ่ื เรอ่ื ง พระโพธิสตั ว์ เทพเจา้ และเซยี น เช่น เชือ่ ว่าพระโพธสิ ตั ว์ เทพเจา้ สามารถ
สำแดงอิทธิฤทธิ์ชว่ ยเหลือผู้คนได้
(2) ความเช่ือเรื่อง ภูตผี ปศี าจ วิญญาณ
(3) ความเชือ่ เรอ่ื งบคุ คลผู้มพี ลงั เหนอื ธรรมชาติ
(4) ความเช่อื เรอ่ื งเลขมงคล เชน่ เชือ่ วา่ เบอรโ์ ทรศัพท์ เบอร์มือถือ ป้ายทะเบยี นรถยนต์ ควร
มีเลขมงคลนำโชคอย่างเลข 6 8 9 10 อยู่ด้วยเชื่อกันว่าเมื่อใช้ของพวกนีโ้ ดยมีเลขมงคลอยู่ก็จะทำให้
ชวี ิตประสบความสำเรจ็ เกดิ ความมงคลข้ึนในชวี ิตแตไ่ มค่ วรมหี มายเลขอวมงคลอยา่ งเลข 3 และ 4 อยู่
ด้วยเพราะเชือ่ วา่ จะส่งผลใหผ้ ใู้ ชไ้ มป่ ระสบผลสำเร็จในชวี ติ ตดิ ๆ ขดั ๆ ในเร่ืองตา่ ง ๆ
(5) ความเชือ่ ในวันดี ฤกษ์งามยามดี วันศิริมงคล วนั เวลาทไ่ี ม่ดี ปที ่ีชะตาชวี ติ จะมเี คราะห์
(6) ความเชื่อในตัวบุคคล เช่น การเลื่อมใสศรัทธาบุคคลที่มีชื่อเสียงในสังคม ถ้าบุคคลผู้นั้น
พดู อะไรก็เชือ่ และยอมทำตามไปหมด เปน็ ตน้
(7) ความเชื่อในตัวเอง คือ เชื่อในสิ่งท่ีตัวเองคิดและรูส้ ึกเท่าน้ัน เช่น เชื่อว่าสิ่งทีต่ ัวเองทำนั้น
ถูกต้องโดยไม่ได้พิสจู นพ์ จิ ารณาตรวจดสู ่ิงท่ีตัวเองทำวา่ ถกู ต้องหรือไม่ เป็นตน้
2.5.2 ประเภทความเชอ่ื ของคนไทย
ก่งิ แก้ว อตั ถากร (2519: 93–94) ไดป้ ระมวลความเช่ือต่าง ๆ และจัดแยกประเภทไว้ ซ่ึงสรุป
ไดด้ งั น้ี
(1) ความเชื่อเรื่องบุคคล เช่น การตั้งชื่อ วิญญาณ การตายแล้วเกิดใหม่ในรูปต่าง ๆ ตามผล
กรรม การเขา้ ทรง การเผาตัว เปน็ ต้น
(2) ความเชอ่ื เกี่ยวกบั ส่ิงแวดล้อม เหตุการณ์ เชน่ ขวานฟา้ ลายแทง ลางสงั หรณ์ ปรอททําให้
เหาะได้ อย่าปลูกเรอื นครอ่ มหวั ต้นโปย๊ เซียน เป็นต้น
(3) ความเชื่อเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธ์ิ เช่น แห่นางแมวขอฝน เทพเจ้า เสน่ห์ยาแฝดยาสั่ง เวทมนต์
คาถา พระภูมเิ จ้าท่ี ศาลเพยี งตา เป็นต้น
17
(4) ความเชื่อเรื่องเพศ เช่น หญิงสาวที่มีทรวงอกใหญ่แสดงว่ามีความรู้สึกทางเพศหรือ
กามารมณม์ าก ถ้าพ่อเป็นคนเจ้าชู้ ลกู ชายกม็ กั จะเป็นคนเจ้าชู้เหมือนพอ่
(5) ความเชอ่ื เร่อื งสขุ ภาพและสวัสดิภาพ เช่น ตอนเป็นฝีหา้ มรับประทานข้าวเหนยี ว คนท่ีถูก
งแู สงอาทติ ยก์ ดั ถา้ เห็นแสงอาทติ ย์เมอ่ื ไรจะตาย คนท่ีมหี ยู าน (ยาว) จะเปน็ คนท่ีมีอายยุ ืน
(6) ความเช่อื เรื่อง ฤกษ์ โชค ลาง เช่น คนท่เี กดิ วนั เสาร์เป็นคนใจแข็ง จ้ิงจกทกั นิมติ และลาง
เป็นต้น
(7) ความเช่อื เรอ่ื งความฝนั เช่น ฝันเห็นงู หรืองกู ัด ฝันเหน็ นกยงู ทํานายความฝันตามวนั
(8) ความเชื่อเรื่องเครื่องรางของขลัง ไสยศาสตร์ เช่น ผ้ายันต์ ตะกรุด ผ้าประเจียด พระ
เคร่อื ง ว่าน กมุ ารทอง เขยี้ วหมตู นั นางกวัก เป็นต้น
(9) ความเชื่อเรื่องภูตผีปีศาจ วิญญาณ เช่น ผีปู่ย่าตายาย ผีฟ้า ผีกระสือกระหัง ผีกล้วยตานี
ผหี ลวง ผีโขน เป็นต้น
(10) ความเชอื่ เรอื่ งนรก สวรรค์
(11) ความเชื่อเรื่องโหราศาสตร์ หมอดู ลักษณะของอวัยวะบอกวาสนาได้ เช่น วันห่าม
ประกอบการมงคล วันฤกษ์มงคล คุณสมบัติของคนที่เกิดในวันต่าง ๆ ชะตาชีวิตเกี่ยวกับเทวดาทาง
โหร ซึ่งมี เช่น พระราหู พระเสาร์ ในราศตี า่ ง ๆ ลักษณะสมพงษ์ค่ผู ัวเมยี เป็นตน้
บุปผา ทวีสุข (2526: 159–169) ได้ประมวลความเชื่อพร้อมทั้งแบ่งรูปแบบของความเช่ือ
ออกเปน็ 15 ประเภท ดงั น้ี
(1) ความเชอื่ ท่ีเก่ยี วกบั การเกิดและการตาย เช่น เวลาไปเผาศพให้ล้างเท้าก่อนเขา้ บ้าน หญิง
ท้องแก่ไมใ่ ห้ไปงานศพ ถ้าแมวดํากระโดดขา้ มศพถอื ว่าศพนั้นจะฟ้ืนข้นึ มาหลอก เปน็ ตน้
(2) ความเชื่อเกี่ยวกับโชคลาง เช่น ถ้าเขม่นตาขวาจะเกิดลางร้าย ถ้าเขม่นตาซ้ายจะได้ลาภ
ถ้านกแร้งเกาะที่บ้านใครจะเกิดความวิบัติ เวลาออกจากบ้านถ้าจิ้งจกร้องเชื่อว่าไม่ควรออกจากบ้าน
เพราะเปน็ ลางร้าย เป็นต้น
(3) ความเชอื่ เกย่ี วกับความฝันและการทํานายฝัน เช่น ถ้าฝันว่าฟันหัก แสดงว่าญาตพิ ีน่ ้องพ่อ
แมจ่ ะเจบ็ ป่วยหรือเสียชีวิต ถา้ ฝันว่าได้แหวนหรือได้สร้อยเชื่อว่าจะได้ลูก ถา้ ฝันว่าเหาะหรือหายตัวได้
เช่อื ว่าจะมโี ชคลาภเกดิ ขึ้น
(4) ความเชื่อเกี่ยวกับฤกษ์ยาม (ฤกษ์ คือ เวลาที่เหมาะเป็นชัยมงคล ส่วนยาม คือ ส่วนแห่ง
วันที่ดีและร้าย) เช่น ถ้าจะทําการมงคลให้ทำวันขึ้น 1 ค่ำ เพราะเป็นวันมงคลดีมีลาภ หรือ การปลูก
เรือนควรทำในวนั จันทร์ วนั พุธหรือวนั พฤหัสบดีจะดนี กั แล
(5) ความเชื่อเรือ่ ง เวทมนต์คาถา เครื่องราง ของขลงั เสน่หแ์ ละไสยศาสตร์อนื่ ๆ เช่น การสัก
ลงคาถาตามตวั เชื่อกันว่าสามารถช่วยให้หนงั เหนียว การทำเสน่ห์ให้ใช้นำ้ เหลืองท่ีลนจากคางผีตายทั้ง
กลม เป็นต้น
18
(6) ความเช่อื เร่ือง การดลู กั ษณะดี ชัว่ ของคนสตั ว์ต่าง ๆ เช่น หญงิ ใดมีนิ้วตีนยาวและหัวนม
ยาว เชื่อว่า จะเข็ญใจได้ทุกข์แล ถ้าหญิงใดหน้าผากงอกเป็นผู้มีสติปัญญามาก หญิงใดมีขอบตาแดง
และหนังตาย่นจะชนะศัตรูเป็นแน่แท้ หรือหญิงใดมีไฝใต้นมเชื่อว่าเป็นมหาเสน่ห์ดีนักแลจะมีคนใกล้
ไกลนาํ เอาลาภมาใหอ้ ยเู่ สมอ เปน็ ตน้
(7) ความเชอ่ื เรอ่ื งสิ่งศกั ดสิ์ ิทธ์ิ เช่น เทวดา เทพารกั ษ์ เจ้าพ่อ เจา้ ท่ี เจ้าแม่ เปน็ ต้น
(8) ความเชื่อเรื่องเคล็ดและการแก้เคล็ดต่าง ๆ เคล็ดเป็นการแก้เหตุการณ์ร้ายที่จะเกิดใน
อนาคต หรือเป็นการสร้างเหตุการณ์ขึ้นเพื่อให้เกิดกําลังใจ เป็นการสร้างโดยนัยและต้องแก้ไข เช่น
การเอาเคล็ด โดยทําบุญด้วยเงินทีข่ ึน้ ต้นและลงท้ายดว้ ยเลข 9 เพื่อเอาเคล็ดเร่ืองเสียงว่า เก้า ซึ่งพ้อง
เสียงกบั คำวา่ กา้ วหนา้ ทำใหเ้ ช่อื ว่าเมอื่ ทำบุญเชน่ นี้แลว้ ชวี ติ จะมคี วามก้าวหน้า เปน็ ตน้
(9) ความเชื่อเรื่องมงคลและอัปมงคล มงคล คือ สิ่งที่นำมาซึ่งความสุขความเจริญ อัปมงคล
คือ สิ่งที่ตรงกันข้ามกับมงคล เช่น ถ้าจะเดินทางไปที่ไหนแล้ว ท้องฟ้าแจ่มใส ดอกไม้บานหอมรวยรนิ
เชือ่ วา่ เป็นมงคล (มงคลนิมิต) วนั แตง่ งานหา้ มเจา้ สาวเหยยี บธรณปี ระตูจะเป็นอปั มงคล เปน็ ตน้
(10) ความเชอื่ เกย่ี วกบั จำนวนนบั จำนวนตวั เลขต่าง ๆ เช่น ถ้าสวดศพตอ้ งนิมนต์พระจํานวน
4 รปู ถา้ ทํางานมงคลให้นิมนตพ์ ระเลขคี่ เปน็ ต้น
(11) ความเชื่อเก่ียวกับปรากฏการณ์ธรรมชาติ เช่น ถ้าท้องฟ้าสีแดงจะมีพายุ ถ้ามดแดงคาบ
ไขจ่ ากรังแสดงว่าฝนจะตกหนกั ถา้ ฟ้าร้อง คือ เมฆขลาล่อแก้ว รามสรู ขว้างขวาน เปน็ ตน้
(12) ความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องยากลางบ้าน เช่น คนมีประจําเดือนห้ามกินน้ำมะพร้าว คนป่วย
หา้ มกินกล้วยนำ้ ว้าหรอื ฝรงั่ เพราะจะแสลง เปน็ ตน้
(13) ความเชื่อเรื่องนรก สวรรค์ ชาติใหม่ ภพใหม่ เช่น คนเราเมื่อทำความดีไว้มากตายไป
แล้วจะได้ขึ้นสวรรค์ ถ้าอยากกินดินท่านว่าพระพรหมลงมาเกิด ถ้าตักบาตรร่วมขันกันในชาตินี้จะพบ
กันในชาตหิ น้า
(14) ความเชื่อเกี่ยวกับอาชีพ เช่น ถ้าต้องการให้มะละกอเป็นตัวเมียให้เอาผ้าถุงไปพันรอบ
โคนต้น ก่อนทำนาต้องเลย้ี งผตี าแฮกเสยี ก่อนจะทำให้ได้ข้าวมาก เป็นต้น
(15) เบ็ดเตล็ดอื่น ๆ ที่นอกเหนือไปจากทั้ง 14 ข้อที่ได้กล่าวมา เช่น ห้ามเล่นข้าวสารมือจะ
ด่าง ขห่ี มาแล้วฟา้ จะผา่ ถา้ ร้องเพลงในครวั จะไดผ้ ัวแก่ เปน็ ต้น
ยมนา ทองใบ (2550: 4-6) ไดท้ ำการแบง่ ประเภทความเชือ่ ไว้ 13 ประเภท ไดแ้ ก่
(1) ความเชื่อเร่ืองเครอื่ งรางของขลัง เวทมนตร์ คาถาและไสยศาสตร์
(2) ความเชอ่ื เกย่ี วกับวิญญาณ ภตู ผี ปศี าจ
(3) ความเชอ่ื เร่อื งอํานาจส่ิงศักดิ์สทิ ธิ์ เทพเจ้า เทวดา
(4) ความเชื่อเรอ่ื งโชคลาง ลางดี ลางรา้ ย
(5) ความเชอื่ เรื่องเคล็ดและการแก้เคล็ด
(6) ความเชื่อเรื่องขวัญ ดวงชะตา ราศี และเคราะห์
19
(7) ความเชือ่ เร่ืองฤกษ์ยาม
(8) ความเชอื่ เรอ่ื งการเวยี นว่ายตายเกิด ชีวิตหลังความตาย ชาติภพ
(9) ความเชื่อเร่ืองเวรกรรม บญุ บาป นรกสวรรค์
(10) ความเชือ่ เกี่ยวกับคน ลกั ษณะของคน ลักษณะใดควรคบหา ลักษณะใดไม่ควรคบหา
(11 ความเชอื่ เกย่ี วกับสตั ว์มงคล สัตวไ์ มม่ งคล
(12) ความเช่อื เกย่ี วกับความฝัน
(13) ความเช่อื เกีย่ วเนอื่ งกบั ศาสนา
2.6 งานวจิ ัยท่เี กี่ยวขอ้ งกบั ความเชื่อในสำนวนจนี และสำนวนไทย
ที่ผ่านมามีนักวิจัยสนใจเรื่องสำนวนจีนและสำนวนไทยที่เกี่ยวกับความเชื่อไม่น้อย ท้ัง
การศึกษาเปรียบเทยี บและศึกษาเฉพาะสำนวนภาษาจนี หรือภาษาไทย ดงั นี้
2.6.1 งานวจิ ยั ทเี่ กี่ยวขอ้ งกบั ความเช่อื ในสำนวนจีน
พิริยา สุรขจร (2558) ได้ศึกษาเปรียบเทียบสำนวนจีนและสำนวนไทยในวิทยานิพนธ์ระดับ
ปริญญาดุษฎีบัณฑิต เรื่อง การศึกษาเปรียบเทียบสำนวนจีนทางพุทธศาสนากับสำนวนไทยที่มี
ความหมายใกลเ้ คียงกนั มีจุดมงุ่ หมายเพ่ือศกึ ษาเปรยี บเทียบสำนวนจีนที่ได้รบั อทิ ธิพลจากพุทธศาสนา
กับสำนวนไทยที่มีความหมายใกล้เคียงกัน โดยศึกษาเปรียบเทียบการแบ่งประเภทตามเนื้อหาและ
กลวิธีทางวาทศาสตร์ที่พบในสำนวนจีนทางพุทธศาสนากับสำนวนไทยที่มีความหมายใกล้เคียงกัน
และนำเสนอบทบาทหนา้ ท่ีของสำนวนจนี ทางพุทธศาสนาที่มตี ่อสังคมจีน ผลการศกึ ษาพบว่า สำนวน
จีนทางพทุ ธศาสนาสามารถแบ่งประเภทตามเนื้อหาได้ 5 ประเภทสะทอ้ นให้เหน็ ถึงอิทธิพลของการใช้
คำทางพทุ ธศาสนาหรือแนวคิดหลักธรรมทางพทุ ธศาสนาในฝ่ายอุตรนิกายสายจีน สว่ นสำนวนไทยที่มี
ความหมายใกล้เคียงกัน พบวา่ มีการใช้คำทางพุทธศาสนาทั้งทเ่ี หมือนกันและต่างกันกับสำนวนจีน ใน
บางกรณีก็ไม่มีคำทางพุทธศาสนาหรือหลักธรรมคำสอนทางพุทธศาสนาปรากฏอยู่ในสำนวนเลย
สำหรับกลวิธีทางวาทศาสตร์ที่พบในสำนวนจีนทางพุทธศาสนาเปรียบเทียบกับสำนวนไทยที่มี
ความหมายใกล้เคียงกัน สามารถแบ่งได้ 4 ประเภท คือ การอุปมา การเปรียบอุปลักษณ์ การเปรียบ
อติพจน์ และการเปรียบวภิ าษ การใช้คำอุปมาเปรียบเทยี บที่ปรากฏในวธิ ีทางวาทศาสตร์เหล่านี้มีทั้งที่
เหมือนกันและต่างกัน ซึ่งสามารถสะท้อนให้เห็นถึงอัตลักษณ์อันเป็นเอกลักษณ์ในแต่ละสังคมหรือ
วฒั นธรรมได้ นอกจากน้ี หลักธรรมและขอ้ คิดตา่ ง ๆ ทแี่ ฝงอยู่ในสำนวนจนี ทางพทุ ธศาสนากับสำนวน
ไทยท่ีมคี วามหมายใกลเ้ คียงกันยังมีบทบาทสำคัญในการเปน็ เคร่ืองมือสร้างบรรทัดฐานทางพฤติกรรม
และจรยิ ธรรมในสงั คมอย่างหน่งึ อกี ด้วย
บุรินทร์ ศรีสมถวิล (2552) ได้ศึกษาวิเคราะห์สำนวนจีนที่รับอิทธิพลจากพุทธศาสนาใน
พจนานุกรมภาษาจีนปัจจุบัน (Xiàndài Hànyǔ Cídiǎn《现代汉语词典》) โดยทำการ
คัดเลือกสำนวนท่ีมีที่มาหรือได้รับอิทธิพลจากพุทธศาสนาในพจนานุกรมภาษาจีนปัจจุบัน ผล
20
การศึกษาพบว่ามีสำนวนที่มีที่มาหรือได้รับอิทธิพลจากพุทธศาสนาในพจนานุกรมภาษาจีนปัจจุบัน
ทั้งหมด 170 สำนวน สามารถจำแนกประเภทได้ 7 ประเภท คือ 1) สำนวนจีนท่ีมีคำศัพท์
พระพุทธศาสนาแฝงอยู่ในสำนวนเช่นมีคำว่า fó 佛 (พระพุทธเจ้า) fǎ 法 (พระธรรม) sēng 僧
(พระสงฆ)์ zhòngshēng 众生 (สรรพสัตว์) เป็นตน้ สำนวนท่มี ีคำว่า 佛 อยูใ่ นสำนวนยกตวั อย่างเช่น
สำนวน jiè huā xiàn fó 借花献佛 แปลว่า ยืมดอกไม้ของคนอื่นมาถวายพระ หรอื สำนวน fàng
xià tú dāo,lì dì chéng fó 放下屠刀,立地成佛 แปลว่า วางดาบที่ใช้ฆ่าคน ย่อมบรรลุ
พุทธะได้ในพลัน เป็นต้น 2) สำนวนจีนที่มาจากพระธรรมคำสอนในพุทธศาสนา 3) สำนวนจีนที่มา
จากหลักปฏิบัติบำเพ็ญตนตามหลักพุทธศาสนา 4) สำนวนจีนที่มาจาก นิทานชาดก ตำนานเรื่องเล่า
ในพุทธศาสนา 5) ประเพณี พิธีกรรม ธรรมเนียมปฏิบัติในพุทธศาสนา 6) สำนวนที่มีที่มาจากคัมภีร์
พระไตรปิฎกโดยตรง 7) งานประพันธ์ต่าง ๆ ทางพระพุทธศาสนาที่มีชื่อเสียงของประเทศจีน ซึ่งใน
170 สำนวนทั้งหมดน้ี มากกว่าร้อยละ 90 เป็นโครงสร้างคำ 4 พยางค์ นอกจากนี้ยังแบ่งกลวิธีการ
อธิบายความหมายออกเป็น การอุปมาอุปไมย การพรรณนา การบ่งช้ี รวมไปถึงสำนวนที่ใช้กลวิธีการ
อธิบายไดห้ ลายแบบพร้อมแจกแจงการเปลี่ยนแปลงรปู แบบของสำนวน
Biān Xīn (2007) ได้ศึกษาวิเคราะห์สำนวนจีนในวิทยานิพนธ์ระดับปริญญามหาบัณฑิต
เรื่อง การวิจัยสำนวนจีนที่มาจากคัมภีร์จวงจื่อ (Zhuāngzǐ de Chéngyǔ Yánjiū《庄子的
成语研究》) มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาวิจัยสำนวนที่มีที่มาจากคัมภีร์จวงจื่อ จำนวนทั้งหมด 172
สำนวนในด้านต่าง ๆ ได้แก่ การวิเคราะห์และอธิบายถึงลักษณะพิเศษของสำนวนที่มาจากคัมภีร์
จวงจื่อ ที่อยใู่ นยคุ สมยั ก่อนราชวงศ์ฉินและมีการแบ่งประเภทตามทม่ี า รปู แบบโครงสร้างสำนวน และ
ความหมายของสำนวน รวมท้ังมีการศึกษาอทิ ธิพลของสำนวนท่ีมรี ูปแบบโครงสร้างอันพิเศษท่ีปรากฏ
อยู่ในยุคสมัยก่อนราชวงศ์ฉินสืบทอดจนมาถึงสมัยปัจจุบัน ผลการศึกษาพบว่า สำนวนที่มีท่ีมาจาก
คมั ภีร์จวงจอ่ื แมม้ ีโครงสร้างท่ีเรยี บง่ายกระทัดรัดแต่แฝงไปดว้ ยความคิดและภูมปิ ัญญาอันลึกซ้ึง มีการ
แบ่งกลวิธีการอธบิ ายความหมายออกเป็น การเปรยี บอปุ ลักษณ์ การอุปมาอุปไมย บ่งบอกถึงลักษณะ
พิเศษของสำนวนที่มาจากคมั ภรี ์จวงจอื่ ซงึ่ เป็นคัมภีรท์ ่ีอยู่ในยุคสมยั ก่อนราชวงศฉ์ ิน
2.6.2 งานวจิ ยั ท่ีเก่ยี วข้องกบั ความเชอื่ ในสำนวนไทย
ยมนา ทองใบ (2550) ได้ศึกษาวิเคราะห์สำนวนไทยในสารนิพนธ์ระดับปริญญามหาบัณฑิต
เรื่อง การศึกษาสํานวนไทยทีเ่ กี่ยวข้องกับความเชื่อ มีจุดมุ่งหมายเพ่ือศกึ ษาสํานวนไทยที่เกี่ยวข้องกบั
ความเชื่อโดยศึกษาถึงความหมาย ที่มาและบริบท พร้อมทั้งจัดประเภทของความเชื่อในสํานวนไทย
ออกเป็นหมวดหมู่โดยค้นคว้าจากหนังสือสํานวน ซึ่งรวบรวมความหมาย ที่มาและบริบทของสํานวน
ไทยได้ทั้งหมด 133 สํานวน จัดเป็นประเภทของความเชื่อในสํานวนไทยได้ทั้งสิ้น 13 ประเภท ผล
การศึกษาพบว่า สํานวนไทยส่วนใหญ่เกิดจากวิถีการดํารงชีวิตประจําวันและสิ่งแวดล้อมที่อยู่ใกล้ ๆ
ตัวของมนุษย์ ซึ่งสํานวนไทยท่ีเก่ียวข้องกับความเชื่อน้ันมคี วามเชื่อเรือ่ งเครือ่ งรางของขลัง เวทมนตร์
21
คาถาและไสยศาสตร์มากที่สุด รองลงมาคือความเชื่อเรื่องอํานาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ วิญญาณ ภูตผี ปีศาจ
และความเช่ือในเร่อื งบุญบาป นรกสวรรค์
จุฬาภรณ์ คนคง (2547) ได้ศึกษาสํานวน สุภาษิตและคําพังเพยในสารนิพนธ์เรื่อง ศึกษา
วิเคราะห์ สํานวน สุภาษิต คําพังเพย ที่สะท้อนความเชื่อในเรื่องผี ซึ่งมีจุดหมาย 4 ประการ คือ เพ่ือ
ศกึ ษาท่ีมา ภมู ปิ ญั ญา อิทธิพลความเชอื่ ท่ปี รากฏในสํานวน สภุ าษิต คําพังเพย ทีส่ ะท้อนความเชื่อใน
เรื่องผีและเพื่อศึกษาความเปลี่ยนแปลงในความเชื่อเรื่องผีที่สะท้อนในสํานวน สุภาษิตและคําพังเพย
ผลการวิจัยสรปุ ได้ว่า ท่ีมาของสํานวน สภุ าษติ คําพงั เพย ท่สี ะทอ้ นความเชื่อในเร่ืองผีเกิดจากส่ิงที่อยู่
รอบตัวเราดังเช่นธรรมชาติ ดอกไม้ ต้นไม้ สิ่งแวดล้อม ลมฟ้าอากาศ การกระทํา กิริยาอาการ ความ
ประพฤติ ระเบียบแบบแผนประเพณี ลัทธิศาสนา ความเชื่อ การเล่นอาชีพ ส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
และยารักษาโรค ล้วนเป็นที่มาของการเกิดสํานวน สุภาษิต คําพังเพยที่สะท้อนความเชื่อทั้งสิ้น ภูมิ
ปัญญาที่ปรากฏคือ การใช้ภาษาที่มีการเลือกใช้คำ การเล่นคำ จังหวะ การใช้คำที่สัมผัสสระ สัมผัส
อักษร ทัง้ ยงั แสดงออกถึงความรู้สกึ นึกคิด จิตใจ อารมณ์ของผูค้ นในสมยั ตา่ ง ๆ รวมไปถึงเรื่องราวและ
วิถีชีวิตของคนในท้องถิ่น การให้คติและคำสั่งสอนทางตรงและทางอ้อม ด้านอิทธิพลความเชื่อพบว่า
ได้มีการรับอิทธิพลความเชื่อมาจาก คนสมัยโบราณที่มีความเชื่อเรื่องดิน ฟ้า อากาศ ธรรมชาติ ยา
รักษาโรค และศาสนา ในด้านความเปลี่ยนแปลงในความเชื่อเรื่องผีที่พบในสํานวน สุภาษิตและคํา
พังเพยที่สะท้อนความเชื่อในเรื่องผี คือ ความนับถือผีที่ถูกเปลี่ยนจากทางบวกไปสู่ทางลบ สังเกตได้
จากสำนวนในยุคเกา่ เน้นการให้ความเคารพและเชื่อถือในอำนาจผี แต่ในยุคปัจจุบัน สำนวนที่เกิดข้ึน
ใหมจ่ ะเป็นสำนวนทม่ี ีความหมายในทางลบและปราศจากความเชื่อถือเชน่ ในอดีต
สมใจ เดชบำรุง และ สิริวันทน์ ชัยญาณะ (2559) ได้ศึกษาวิจัยความเชื่อเหนือธรรมชาติที่
ปรากฏในสำนวนไทยโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสำนวนไทยซึ่งมีที่มาจากความเชื่อในสิ่งเหนือ
ธรรมชาติและวิเคราะห์ความหมายของสำนวนไทยที่เกี่ยวขอ้ งกับความเชือ่ เหนือธรรมชาติ โดยศึกษา
และวิเคราะห์สำนวนไทยในหนังสือสำนวนไทย 5 เล่ม ผลการวิจัยพบว่า มีสำนวนไทยที่เกี่ยวข้องกับ
ความเชื่อเหนือธรรมชาติรวมทั้งสิ้น 133 สำนวน และที่มาของสำนวนไทยอันเกิดจากความเชื่อเหนอื
ธรรมชาติ 8 ประเภท ซึ่งพบความเชื่อด้านสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสำนวนไทยมากที่สุด รองลงมาคือเรื่องภูตผี
วิญญาณ และนรกสวรรค์
ฐติ ิวัฒน์ จตรุ วิธวงศ์ (2546) ไดศ้ ึกษาสํานวนไทยในสารนิพนธ์เร่อื ง การวิเคราะห์ลักษณะและ
ภาพสะทอ้ นจากสํานวนไทย โดยมจี ุดมงุ่ หมายเพ่ือศึกษาลักษณะของสํานวนไทยและภาพสะท้อนทาง
สังคมและวฒั นธรรมที่ปรากฏในสาํ นวนไทย โดยใชข้ ้อมลู จากหนงั สอื สำนวนไทยจำนวน 5 เล่ม รวมได้
250 สำนวน ซึ่งจากการศึกษาพบว่าลักษณะของสํานวนไทยเป็นคํากล่าวท่ีมีลักษณะไม่กล่าว
ตรงไปตรงมา ต้องตีความเสียก่อนจึงจะเข้าใจนัยที่ซ่อนไว้ มีลักษณะเป็นคําอุปมา มักเปรียบเทียบ
ธรรมชาติของสัตว์ พืชและสิง่ แวดล้อมกับพฤติกรรมของมนษุ ย์ นอกจากน้ีสาํ นวนไทยยงั มลี กั ษณะเล่น
เสียงสมั ผัสคล้องจอง ท้งั สัมผัสสระและสมั ผสั พยัญชนะ มีการจดั จงั หวะคาํ หลายรูปแบบ ตง้ั แตก่ ลุ่มคํา
22
4 คําจนถึง 16 คํา กลุ่มคําตั้งแต่ 8 คําขึ้นไปสามารถแยกเป็น 2 วรรคได้ ส่วนภาพสะท้อนด้านสังคม
และวัฒนธรรมนั้นพบว่า ด้านสังคม สํานวนไทยได้สะท้อนให้เห็นถึงวถิ ีชวี ิตความเป็นอยู่ที่ใกล้ชิดและ
พึ่งพาธรรมชาติ การดํารงชีวิตที่ใช้ปัจจัยสี่ คือ อาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค การ
ประกอบอาชีพซึ่งส่วนใหญ่เป็นอาชีพเกษตรกรรม การใช้เครื่องมือเครื่องใช้และอาวุธ เช่น พร้า หอก
ดาบ ขวาน เป็นต้น ด้านวัฒนธรรม พบว่า คนไทยมีค่านิยมด้านการเลือกคู่ครอง ยกย่องนับถือผู้มี
อาํ นาจ ผู้อาวโุ สและครูบาอาจารย์ นิยมความสภุ าพอ่อนโยนมีมารยาทดี มีความกตัญญตู อ่ ผู้มีพระคุณ
นิยมความสันโดษใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย มีความเชื่อในเรื่องบุญกรรม เรื่องผี เรื่องไสยศาสตร์และ
ศาสนาสะท้อนให้เห็นว่า คนไทยสมัยก่อน ใช้วัดเป็นศูนย์กลางในการพบปะของประชาชนเพื่อทําบญุ
บวช และศกึ ษาหาความรู้
สิริวรรณพิชา ธนจิราวัฒน์ (2558) ได้ศึกษาวิจัยเปรียบเทียบภาพสะท้อนทางวัฒนธรรมผ่าน
สํานวนไทย จีน และอังกฤษโดยมีวตั ถุประสงค์ คือ ศึกษาเปรียบเทียบความเหมือนของภาษาภาพจน์
ที่สะท้อนความนึกคิด วัฒนธรรมความเชื่อและวิถีชีวิตระหว่างคนไทย คนจีนและคนอังกฤษและ
สํานวนไทย สํานวนจีน และสํานวนอังกฤษนั้น สะท้อนความนึกคิด วัฒนธรรม ความเชื่อและวิถีชีวิต
ของคนท้ังสามชาติ คอื คนไทย คนจนี และคนองั กฤษอย่างไร ผลการศึกษาพบว่า สาํ นวนไทย สํานวน
จีน และสํานวนอังกฤษที่สะท้อนความนึกคิด วัฒนธรรม ความเชื่อและวิถีชีวิตของคนทั้งสามชาติ
พบว่า ประเภทที่พบมากที่สุด คือ คนกับการกระทํา ที่สะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมการนับถือศาสนา
และความเชื่อของท้ังชาวไทย ชาวจีนและชาวอังกฤษ ที่มีจุดมุ่งหมายหลักคือ สอนให้คนกระทําความ
ดี ซง่ึ การกระทาํ น้นั คนเรากส็ ามารถกระทาํ ได้ทั้งดีและชั่ว จงึ มีส่งผลให้มีสาํ นวนเกีย่ วกับการกระทํามี
มากที่สุด สําหรับประเภทของการดํารงชีวิต การคบคนและประสบการณ์ชีวิต พบว่าทั้งสามประเภท
จะต้องดําเนินร่วมกันไปกับการกระทําของคน นอกจากนี้ จากสภาพทางสังคมในปัจจุบันท่ี
เปลี่ยนแปลงไป เงินเป็นสิ่งที่สําคัญ หรือเรียก อีกอย่างว่าเป็นปัจจัยที่สําคัญมากในการดํารงชีวิตใน
ปจั จุบนั
บทที่ 3
สำนวนจนี ทเ่ี กยี่ วกับความเชอ่ื
จากการสุ่มเก็บรวบรวมสำนวนจีนที่เกี่ยวกับความเชื่อจากพจนานุกรมสำนวนจีน 5 เล่มมา
ทั้งหมด 520 สำนวนและจัดประเภทความเชื่อด้วยหลักเกณฑ์การแบ่งประเภทความเชื่อจีนของ Lǐ
Dān Sūn Yánjūn และ Léi Lì (2006: 81) เป็นหลัก สามารถจัดหมวดหมู่ของสำนวนจีนท่ี
เกี่ยวกบั ความเชอ่ื ได้ท้งั หมด 12 ประเภทหลกั ดงั ต่อไปน้ี
3.1. สำนวนจีนทสี่ ะทอ้ นความเชอ่ื เรอ่ื งสงิ่ ศักดิ์สิทธิ์
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน (2542: 1247) ได้ให้ความหมายของคำว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์
ไว้ว่า “สิ่งหรือภาวะที่เชื่อว่ามีอำนาจเหนือธรรมชาติ สามารถบันดาลให้เป็นไปหรือให้สำเร็จได้ดัง
ปรารถนา เชน่ การขอให้สิง่ ศักดสิ์ ทิ ธบิ์ ันดาลให้หายจากโรคร้าย”
นวรัตน์ ภักดีคำ (2553: 2-3) ได้ให้ความหมายของคำว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไว้ว่า สิ่งหรือภาวะที่
เช่อื วา่ มอี ภนิ หิ ารอำนาจเหนือธรรมชาติ สามารถดลบันดาลใหเ้ กดิ เหตุการณต์ า่ ง ๆ และให้ผลดผี ลร้าย
แก่สิ่งต่าง ๆ ได้ เช่น พระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ เจ้าแม่กวนอิน เทพเซียน เป็นต้น ถ้าทำการเคารพ
บูชากราบไหว้มอบเครื่องเซ่นสังเวยเป็นเครื่องบูชา จะได้รับการคุ้มครองและขอสิ่งใดก็จะได้สม
ปรารถนา
ดังนั้นคำว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ในที่นี้จึงหมายถึง สิ่งหรือภาวะที่เชื่อว่ามีอภินิหารอำนาจเหนือ
ธรรมชาติ สามารถดลบันดาลให้เกิดเหตุการณ์ต่าง ๆ และให้ผลดี ความสำเร็จได้ดังปรารถนาหรือให้
ผลรา้ ยแก่สง่ิ ต่าง ๆ ได้ เชน่ พระพุทธเจ้า พระโพธิสตั ว์ เจา้ แม่กวนอิน เทพเซยี น เป็นต้น
ในที่นี้จะศึกษาสำนวนจีนที่สะท้อนความเชื่อเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ส่ีประเภทใหญ่ด้วยกัน ได้แก่
สำนวนจีนที่มคี ำว่า fó (佛 พุทธะ) สำนวนจีนที่มีคำว่า Púsà (菩萨 พระโพธิสัตว์) สำนวนจีนที่มีคำ
ว่า shén (神 เทพเจา้ ) และสำนวนจีนทมี่ ีคำวา่ xiān (仙 เซยี น) ดงั น้ี
3.1.1 สำนวนจนี ที่มคี ำว่า fó
สำนวนจนี ท่มี ีคำว่า fó (佛 พทุ ธะ) ในสำนวนสะท้อนใหเ้ ห็นถงึ ความเชื่อเกีย่ วกับพระพทุ ธเจ้า
พจนานุกรมพุทธศาสนาฉบับใหญ่ (Fójiào Dàcídiǎn《佛教大辞典》) (2002: 625) ได้ให้
ความหมายของคำวา่ fó ไว้วา่
fó มาจากคำว่า พุทธะ ในภาษาสันสกฤต ซึ่งแปลว่า ผู้ตรัสรู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ใช้
เฉพาะเป็นพระนามของพระบรมศาสดาแห่งพระพุทธศาสนา เรียกเป็นสามัญว่า
24
พระพุทธเจ้า โดยทั่วไปจะหมายถึง พระศากยมุนีพุทธเจ้า1 (Běnshī Shìjiāmóunífó
本师释迦牟尼佛) พระพทุ ธเจ้าองค์ปัจจุบัน ในบางครงั้ ยังหมายถงึ พระพุทธเจ้าทั่วหมื่น
โลกธาตุ พระพทุ ธเจ้าทง้ั 7 ในอดีต2 พระอมติ าภะพุทธเจา้ พระพทุ ธเจ้าในอนาคต คอื พระ
ศรอี ริยเมตไตรย เปน็ ตน้
ในทางพทุ ธศาสนามหายานมีความเชื่อว่า พระพทุ ธเจ้าและพระโพธิสัตวม์ ีจำนวนมากมายดุจ
เม็ดทรายในแม่น้ำคงคา3 และในจักรวาลอันเวิ้งว้างนี้ก็มีโลกธาตุที่มีพระพุทธเจ้ามาอุบัติแสดงพระ
สัทธรรมเทศนาอยู่ทั่วไปนับประมาณมิได้ ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต แม้ในโลกธาตุนี้พระ
สัมมาสัมพุทธเจ้าจะดับขันธปรินิพพานไปแล้ว แต่ในขณะน้ี ณ โลกธาตุอื่นก็มีพระพุทธเจ้าองค์อื่น ๆ
ทรงดำรงพระชนม์อยู่ และกำลังสั่งสอนสรรพสัตว์อยู่ สำนวนจีนที่มีคำว่า fó เป็นส่วนประกอบ
สะทอ้ นให้เห็นถึงความเชือ่ ในเรอ่ื งพระพทุ ธเจ้ามีทง้ั หมด 72 สำนวน แบง่ ออก 3 กลุ่มใหญด่ งั น้ี
3.1.1.1 สำนวนจีนทมี่ ีคำว่า fó ในสำนวนท่ีส่ือความหมายในแง่บวก
สำนวนจีนท่ีมีคำวา่ fó ในสำนวนที่สื่อความหมายในแง่บวกมีทั้งส้ิน 27 สำนวน ส่วนใหญ่ใช้
แสดงถึงความเมตตาดังพุทธะ บุคคลหรือขุนนางอันเป็นท่ีรักนับถือจากประชาชน การได้รับ
ความสำเร็จท่ยี อดเยย่ี ม เป็นตน้ เชน่
ตัวอยา่ งท่ี 1
佛眼相看
fó yǎn xiāng kàn
พระพทุ ธองค์ทรงทอดพระเนตรมองลงมาด้วยความเมตตา
ใชเ้ ปรยี บเทยี บบรรยายถึงผ้ทู ่ีจิตใจดมี ีเมตตา ปฏิบตั ิตอ่ ผ้อู ่ืนด้วยความดไี ม่ทำร้ายใคร
1 พระศากยมุนีพุทธเจา้ คอื พระพทุ ธเจา้ แหง่ ภทั รกปั ปจั จุบนั นี้ ทางฝา่ ยมหายานไดม้ ีการออกเสยี งพระนามทับศัพท์ว่า เสก
เกีย (釋迦) คือ ศากยะ และ เมานี (牟尼) คือ มุนี รวมเป็นศากยมุนี ซึ่งก็คือพระมหาสมณโคดม หรือเจ้าชายสิทธตั ถะ เป็นพระโอรส
ของพระเจ้าสุทโธทนะและพระนางสิริมหามายา ประสูติในราชตระกูลศากยวงศ์ แห่งกรุงกบิลพัสดุ์ พระองค์ทรงออกผนวชเม่ือ
พระชนมายุ 29 พรรษา บำเพ็ญเพียรอยู่ 6 ปี จึงตรัสรู้เมื่อพระชนมายุ 35 พรรษา และทรงประกาศพระศาสนาอยู่ 45 ปี จึงเสด็จ
ปรินพิ พานเม่อื พระชนมายุได้ 80 พรรษา พระองคเ์ ปน็ องค์เดยี วกันกบั พระพุทธเจา้ ทางฝา่ ยเถรวาทคือ พระพุทธเจา้ สมณะโคดม (พระ
อาจารยจ์ ีนวนิ ยานกุ ร (เย็นเชี้ยว), 2529: 2-4)
2 พระพุทธเจ้าทั้งเจ็ดพระองค์ในอดีต ได้แก่ 1. พระรัตนสัมภวะตถาคตสัมมาสัมพุทธเจ้า 2. พระอภยังกรตถาคตสัมมาสมั
พุทธเจา้ 3. พระวปิ ลุ ยกายตถาคตสมั มาสมั พทุ ธเจ้า 4. พระสรุ ปู กายตถาคตสมั มาสมั พุทธเจา้ 5. พระประภตู รัตนะตถาคตสมั มาสัมพุทธ
เจ้า 6. พระอมติ าภสมั มาสมั พทุ ธเจ้า 7. พระโลกวีสตรี นเตชอีศวรประภาตถาคตสัมมาสัมพุทธเจา้ (คณะสงฆจ์ ีนนิกายแห่งประเทศไทย,
2536: 21)
3 ในคัมภีร์ของทางมหายานนั้นได้ระบนุ ามของพระพุทธเจา้ ไว้เป็นจำนวนมาก มีทั้งพระพทุ ธเจ้า 35 พระองค์ พระพุทธเจ้า
53 พระองค์ และที่มากที่สุดคือพระพุทธเจ้า 3,000 พระองค์ โดยแบ่งเป็น 1. พระพุทธเจ้าในกัปอดีตซึ่งระบุนามไว้ในคัมภีร์อดีตสมยั
อลังการกัลป์สหัสพุทธนามสูตร 1,000 พระองค์ 2. พระพทุ ธเจ้าในกัปปจั จบุ ันซึง่ ระบุนามไวใ้ นคมั ภรี ์ปจั จบุ ันสมัยภทั รกัลป์สหัสพทุ ธนาม
สูตร 1,000 พระองค์ 3. พระพุทธเจ้าในกัปอนาคตซึ่งระบุนามไว้ในคัมภีร์อนาคตสมัยนักษัตรกัลป์สหัสพุทธนามสูตร 1,000 พระองค์
(พระภิกษุจีนวิศวภัทร, 2549: 44)
25
ตวั อย่างที่ 2
万家生佛
wàn jiā shēng fó
พระผมู้ ชี ีวติ ของหม่ืนบ้านเรือน
ใช้เปรียบเทียบถึงข้าราชการหรือขุนนางที่เป็นที่รักนับถือจากประชาชนมากมาย หรือบุคคล
คนหนึง่ ที่ได้รบั ความเคารพรักจากผคู้ นจำนวนมาก
ตัวอยา่ งท่.ี 3
佛眼佛心
fó yǎn fó xīn
มีดวงตาดั่งพระ มีใจด่ังพุทธะ
ใช้เปรยี บเทียบบรรยายถึงผู้มเี จตนาที่ดี ปฏิบตั ิต่อผูอ้ น่ื ด้วยความหวังดีมเี มตตา
ตวั อยา่ งท่ี 4
成佛作祖
chéng fó zuò zǔ
สำเร็จพทุ ธะเป็นบรมครู
ใชเ้ ปรียบเทียบบรรยายถงึ ได้รับความสำเรจ็ ที่ยอดเยีย่ ม เปรยี บเสมือนการบำเพญ็ เพียรปฏิบัติ
จนบรรลธุ รรมสำเร็จพุทธะจนไดช้ ่อื ว่า บรมครู
ตวั อย่างท่ี 5
佛口圣心
fó kǒu shèng xīn
พูดจาไพเราะด่ังพระพทุ ธเจ้า ใจสูงสง่ ดง่ั นักปราชญ์
ใช้เปรียบเทยี บบรรยายถึงผู้พูดจาอ่อนโยนไพเราะน่าฟัง และจติ ใจดมี ีความเมตตา
3.1.1.2 สำนวนจีนท่ีมีคำว่า fó ในสำนวนทีส่ อ่ื ความหมายในแง่ลบ
สำนวนจีนที่มีคำว่า fó ในสำนวนที่สื่อความหมายในแง่ลบมดี ้วยกัน 33 สำนวน ส่วนใหญ่ใช้
แสดงถึงเมื่อเดือดร้อนลำบากขอให้พระพุทธเจ้ามาช่วยเหลือ หรือภายนอกเสแสร้งเป็นคนดีมีเมตตา
แตภ่ ายในหยาบชา้ เป็นต้น เชน่
ตัวอยา่ งที่ 6
临时抱佛脚
lín shí bào fó jiǎo
เร่อื งจวนตวั แล้วจึงมากอดพระบาทพระพทุ ธ
26
ใช้บรรยายถึงในเวลาปกติไม่มาให้พบเจอ พอพบเจอความลำบากหรือมีเรื่องเดือดร้อนถึงจะ
มาขอความช่วยเหลือหรือในเวลาปกติไม่ได้เตรียมการไว้ก่อนพอจวนตัวก็รีบหาวิธีการแก้ไขรับมือ
อย่างร้อนรน
ตัวอย่างท่ี 7
佛口蛇心
fó kǒu shé xīn
พูดจาไพเราะดง่ั พระพุทธเจา้ แตใ่ จกลบั เหมือนงูพิษ
ใช้เปรียบถึงการพูดจาไพเราะน่าฟัง แต่ภายในจิตใจกลบั โหดเหีย้ มอำมหติ
ตวั อยา่ งท่ี 8
佛面刮金
fó miàn guā jīn
ขูดทองจากหนา้ ของพระพุทธรปู
ใช้เปรียบถึงการขูดหารีดไถจากสถานที่ที่ไม่ควรบุกรุกหรือขูดรีดเอาทรัพย์สินเงินทองหา
ผลประโยชนโ์ ดยวธิ กี ารทม่ี ิดีมชิ อบจากทรพั ย์สินทมี่ ีอยู่อย่างจำกัด
ตัวอยา่ งท่ี 9
老虎戴佛珠,假善人
lǎo hǔ dài fó zhū,jiǎ shàn rén
เสอื หอ้ ยประคำพทุ ธะ แกล้งเสแสรง้ เปน็ คนดี
ใชเ้ ปรยี บถึงคนไม่ดแี กล้งปลอมแปลงสวมรอยเปน็ คนดมี เี มตตา
ตัวอยา่ งที่ 10
佛头着粪
fó tóu zhuó fèn
พระเศยี รของพระพุทธรปู แปดเป้ือนไปด้วยมลู สัตว์
ใชบ้ รรยายถึงของหรือสิง่ ดี ๆ ไดร้ ับส่งิ ทไ่ี ม่ดี ทำใหด้ ่างพร้อยสกปรกไม่สะอาด นอกจากน้ียังมี
ความหมายถงึ ได้รบั การดหู ม่นิ สบประมาท
3.1.1.3 สำนวนจนี ที่มีคำว่า fó ในสำนวนที่สื่อความหมายกลาง
สำนวนจีนที่มีคำว่า fó ในสำนวนที่สื่อความหมายกลางหมายถึงไม่สื่อทั้งความหมายแง่ลบ
และแงบ่ วก ส่วนใหญ่มักจะกลา่ วถงึ พระนามพระพุทธเจา้ โดยตรงหรือหลักธรรมในพุทธศาสนาหรือชื่อ
บทพระสตู รในพุทธศาสนา เปน็ ต้น ไม่แสดงความหมายแฝงบวกหรือลบ มีท้งั ส้นิ 12 สำนวน เชน่
27
ตวั อยา่ งที่ 11
无量寿佛
wú liàng shòu fó
พระพุทธเจ้าผู้มีอายขุ ยั อนั ประมาณกาลมไิ ด้
เป็นหนึ่งในพระนามของพระอมิตาภพุทธเจ้าที่ชาวพุทธศาสนิกชนนิยมเรียกขานซึ่งเป็นพระ
นามที่มาจากการถอดความแปลความหมายมาจากพระนามของพระองค์คือ อมิตายุ มีความหมายวา่
มีอายุอันหาประมาณมิได้ พระองค์ทรงเป็นพระพุทธเจ้าผู้ก่อต้ังและปกครองดินแดนพุทธเกษตรอยู่ใน
โลกธาตุทางทิศตะวันตก เรียกชื่อว่า สุขาวดีพุทธเกษตรอันเป็นแดนที่ไม่มีทุกข์มีแต่สุข (Yáng
Rènzhī, 2004: 1129)
ตวั อยา่ งที่ 12
即心是佛
jí xīn shì fó
จิตก็คอื พุทธะ
พทุ ธศาสนานิกายฉานจงเห็นว่า เดิมแทแ้ ล้วมนุษย์ทุกคนล้วนมีพุทธภาวะอยู่ในตัว เพียงแต่มี
อาสวกิเลสมาบดบัง ทำให้ไม่เห็นพุทธภาวะที่อยู่ในตัว ขอเพียงกำจัดอาสวกิเลสพิจารณาชี้ดูที่จิตใจ
ของตนเองจนเหน็ จิตเดมิ แทข้ องตนคือเหน็ พุทธภาวะจิตทม่ี ีอยใู่ นตนเองกส็ ำเรจ็ เป็นพทุ ธะได้
ตวั อย่างท่ี 13
见性成佛
jiàn xìng chéng fó
เห็นพทุ ธภาวะจติ ทมี่ อี ยู่ในตนเองแล้วสำเรจ็ เป็นพุทธะ
พทุ ธศาสนานิกายฉานจงเห็นวา่ เดิมแทแ้ ล้วมนุษย์ทุกคนล้วนมีพุทธภาวะอยู่ในตัว เพียงแต่มี
อาสวกิเลสมาบดบัง ทำให้ไม่เห็นพุทธภาวะท่ีอยู่ในตัว ขอเพียงกำจัดอาสวกิเลส ก็ย่อมเห็นพุทธภาวะ
ทอี่ ยู่ในตัวสำเรจ็ เปน็ พทุ ธะได้
ตวั อย่างที่ 14
千佛名经
qiān fó míng jīng
บทพระสตู รพทุ ธนาม 1000 พระองค์
เดิมสำนวนนี้หมายถึงชื่อคัมภีร์พระสูตรของทางพุทธศาสนา ภายหลังใช้เปรียบเทียบถึงป้าย
ประกาศรายชื่อผู้ที่สอบติดบัณฑิตหรือสอบเป็นขุนนางได้ โดยอาศัยการสอบติดบัณฑิตหรือสอบเป็น
ขนุ นางได้เปรียบเสมือนการสำเรจ็ ธรรมบรรลพุ ุทธะ
28
ตวั อยา่ งที่ 15
一佛出世
yī fó chū shì
พระพทุ ธเจ้าทรงประสูติ
เดิมหมายถึง การเสด็จอุบัติขึ้นของพระพุทธเจ้านั้น จะมีปรากฏขึ้นได้ในโลกแต่ละครั้งแต่ละ
หน ยอ่ มเปน็ ไปโดยยาก ตอ่ มาหมายถึง สิ่งท่ีเปน็ ไปได้ยาก เรอ่ื งทเ่ี กิดข้ึนได้ยากมาก เกดิ ขน้ึ ไมบ่ อ่ ย
ตวั อย่างท่ี 16
纶音佛语
lún yīn fó yǔ
พระราชโองการของกษตั ริย์ คำพูดทีพ่ ระพุทธเจา้ ทรงตรสั
ใช้เปรียบเทียบถงึ คำพูดที่ตอ้ งเชื่อฟัง ต้องยอมปฏิบัติตาม เปรียบเสมือนพระราชโองการของ
กษตั ริย์ คำพดู ทีพ่ ระพุทธเจ้าทรงตรัส
อนึ่งจากการศึกษาสำนวนจีนที่มีคำว่า fó ในสำนวนที่ใช้สื่อความหมายในแง่ลบนั้น พบว่า
ความหมายของคำว่า fó ที่ปรากฏอยู่ในสำนวนยังคงเป็นความหมายดีทัง้ หมด เช่น สำนวน fó kǒu
shé xīn 佛口蛇心 ทีแ่ ปลวา่ พูดจาไพเราะดั่งพระพุทธเจ้า แตใ่ จกลับเหมือนงูพิษ คำว่า 佛口 น้ัน
หมายความถึง พูดจาไพเราะดั่งพระพุทธเจ้า สื่อความหมายไปทางด้านดี แต่เมื่อมีคำว่า 蛇心 ที่
แปลวา่ มใี จดง่ั งพู ิษ ซงึ่ มคี วามหมายในเชิงลบประกอบอยใู่ นสำนวนจงึ ทำใหส้ ำนวนมคี วามความหมาย
ไปในเชงิ ลบคอื แปลวา่ ใชเ้ ปรียบถงึ การพดู จาไพเราะน่าฟัง แตภ่ ายในจิตใจกลบั โหดเหี้ยมอำมหติ หรือ
สำนวน fó miàn guā jīn 佛面刮金 ที่แปลว่า ขูดทองจากหน้าของพระพุทธรูป คำว่า 佛面
นั้นหมายความถึง พระพักตร์ของพระพุทธเจ้า สื่อความหมายไปทางด้านดี แต่เมื่อมีคำว่า 刮金 ที่
แปลว่า การขูดทอง ซึ่งมีความหมายในเชิงลบประกอบอยู่ในสำนวน จึงทำให้สำนวนมีความหมายไป
ในเชิงลบคือแปลว่า ใช้เปรียบถึงการขูดหารีดไถจากสถานที่ที่ไม่ควรบุกรกุ หรือขูดรีดเอาทรัพย์สินเงิน
ทองหาผลประโยชนโ์ ดยวิธีการทมี่ ิดีมชิ อบจากทรพั ย์สนิ ทีม่ ีอยู่อย่างจำกดั จะเห็นได้วา่ คำว่า fó ถึงแม้
จะปรากฏอยใู่ นสำนวนท่มี ีความหมายสื่อไปในด้านลบ แต่คำว่า fó ในสำนวนน้ันยงั คงเป็นความหมาย
ดที ั้งหมด และเพราะมคี ำศพั ท์จีนที่สื่อความหมายในดา้ นลบประกอบอยใู่ นสำนวนจึงทำใหค้ วามหมาย
ของสำนวนสื่อไปในด้านลบ นอกจากนี้จากสำนวนยังพบว่าคำว่า fó ล้วนอุปมาสื่อถึงสิ่งที่ดีอื่นๆ อีก
เช่น ผู้ที่จิตใจดีมีเมตตา ปฏิบัติต่อผู้อืน่ ด้วยความดีไม่ทำร้ายใคร ข้าราชการหรือขุนนางที่เปน็ ที่รักนับ
ถือจากประชาชนมากมายหรือบุคคลคนหนึ่งที่ได้รับความเคารพรักจากผู้คนจำนวนมาก และผู้พูดจา
ออ่ นโยนไพเราะน่าฟงั สงิ่ เหลา่ น้สี ามารถแสดงใหเ้ ห็นถงึ ความคดิ ความเชื่อทค่ี นจนี มตี ่อพระพุทธเจ้าว่า
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงมีจิตใจท่ีเปี่ยมล้นไปด้วยมหาเมตตามหากรุณาอัน
ยิ่งใหญ่ไพศาล ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ มีพระปัญญาธิคุณ พระบริสุทธิคุณต่อมวลมนุษย์และเหล่า
สรรพสัตว์ทั้งหลาย อีกทั้งทรงบำเพ็ญพุทธกิจคอยสั่งสอนและโปรดเหล่าเวไนยสัตว์ให้ได้รู้ถึงธรรมะ
29
ทั้งหลายทั้งปวงดว้ ยพระองคเ์ องเพ่ือใหส้ รรพสัตว์มีดวงตาเห็นธรรม จนสามารถชำระกิเลส ความโลภ
ความโกรธ ความหลงให้หมดสิ้นไปจากจิตใจ เข้าสู่พระนิพพาน หลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวงไม่ต้อง
มาเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป พระองค์จึงทรงเป็นที่เคารพนับถือของเหล่าเทวดาและเหลา่ มวลเวไนย
สตั ว์ท้ังหลายอกี ทั้งพระองคท์ รงมพี ระสุรเสียงด่ังนกการเวกเป็นผู้มีวาจาไพเราะน่าฟัง ดังน้ันชาวจีนจึง
นำจิตใจที่เปี่ยมล้นไปด้วยมหาเมตตามหากรุณาอันยิ่งใหญ่ไพศาล คอยสั่งสอนและโปรดเหล่าเวไนย
สัตว์และมีวาจาไพเราะนา่ ฟงั ขององคส์ มเด็จพระสัมมาสมั พุทธเจ้า รวมถึงเป็นท่ีเคารพนบั ถือของเหล่า
เทวดาและเวไนยสัตว์ มาเปรียบเทียบกับผู้ที่จิตใจดีมีเมตตา ปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความดีไม่ทำร้ายใคร
ข้าราชการหรือขุนนางที่เป็นที่รักนับถือจากประชาชนมากมายหรือบุคคลคนหน่ึงที่ได้รับความเคารพ
รักจากผคู้ นจำนวนมาก และผูพ้ ดู จาออ่ นโยนไพเราะนา่ ฟงั
3.1.2 สำนวนจนี ทมี่ ีคำว่า Púsà
สำนวนจีนที่มีคำว่า Púsà (菩萨 พระโพธิสัตว์) ในสำนวน สะท้อนความเชื่อเรื่องพระ
โพธสิ ตั วใ์ นพุทธศาสนา มีจำนวนท้งั สิน้ 11 สำนวน
พจนานุกรมพุทธศาสนาฉบับใหญ่ (Fójiào Dàcídiǎn《佛教大辞典》) (2002: 625)
ไดใ้ หค้ วามหมายของคำวา่ Púsà ไวว้ ่า “มาจากภาษาสนั สกฤต แปลว่า พระโพธสิ ัตว์ หมายถึง ผู้ข้อง
อย่ใู นโพธิ คอื ผทู้ ีจ่ ะไดต้ รสั รเู้ ป็นพระพทุ ธเจา้ ”
คัมภีร์พระสูตรสัทธรรมปุณฑริกสูตร4 (Miàofǎ liánhuájīng《妙法莲华经》) ใน
พุทธศาสนามหายาน ได้ให้ความหมายของ Púsà ไว้ว่า “ผู้มุ่งมั่นเพื่อโพธิญาณ ผู้ซึ่งปรารถนาความ
เปน็ พระสัมมาสัมพุทธเจา้ หรือกลา่ วไดว้ ่าคือบคุ คลทีบ่ ำเพญ็ บารมีเพอ่ื จะเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต”
ชาวพุทธมหายานเชื่อว่าพระโพธิสตั ว์มีจำนวนมากมายมหาศาลดุจดังเม็ดทรายในมหาสมุทร5
ในบรรดาพระโพธิสัตว์เหล่านั้น ชาวพุทธมหายานได้พากันยกย่องพระโพธิสัตว์ 5 พระองค์เป็นพิเศษ
และมีบทบาทสำคัญมาก ดังมีพระนามดังน้ี (1) พระมัญชุศรี หรือ มัญชุโฆษโพธิสัตว์ (Wénshū
Shīlì Púsà 文殊师利菩萨) (2) พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ (Guānshìyīn Púsà 观世音
菩萨) (3) พระมหาสถามปราปต์โพธิสตั ว์ (Dàshìzhì Púsà 大势至菩萨) (4) พระอริยเมตไตรย
โพธิสัตว์ (Mílè Púsà 弥勒菩萨) (5) พระคุรุนาคารชุนโพธิสัตว์ (Lóngshù Púsà 龙树菩萨)
ปัจจุบันพระโพธิสัตว์กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งศรัทธาและความหวังของพระพุทธศาสนามหายาน
ประชาชนที่ขาดที่พึ่งทางใจก็จะมาอ้อนวอนขอความช่วยเหลือต่อพระโพธิสัตว์ให้ทรงประทานพรให้
4 คัมภีร์พระสูตรสัทธรรมปุณฑริกสูตร (Saddharmapundarika-sutra) เป็นพระสูตรที่สำคัญในพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน
ชื่อพระสูตรแปลว่า พระสูตรว่าด้วยบัวขาวแห่งธรรมอันล้ำเลิศ (“ปุณฑรีก” หมายถึง บัวขาว) (สมาคมสร้างคุณค่าในประเทศไทย,
2542: 6-7)
5 หลักฐานที่ระบุถึงจำนวนพระโพธิสัตว์ไว้ในคัมภีร์สัทธรรมปุณฑริกสูตรและคัมภีร์อื่น ๆ ที่อยู่ในยุคเดียวกัน เช่น คัมภีร์
ปรัชญาปารมิตาสูตร สูตราลังการ มหาวัสตุ เป็นต้น แต่เป็นจำนวนที่เข้ามาร่วมฟังธรรม ในขณะท่ีพระพุทธเจ้ากำลังแสดง หรือร่วม
สังคายนา ดังเช่นข้อความในคมั ภีร์สัทธรรมปุณฑริกสูตรว่า “เมื่อครั้งท่ีพระพุทธองคป์ ระทับอยู่ทีเ่ ขาคิชฌกูฏ มีพระอรหันต์ 1,200 รูป
ล้อมรอบ มีพระเสขบุคคลอีก 2,000 รูป มีภิกษุณี 6,000 รูป มีพระโพธิสัตว์ 80,000 องค์ และมีพระประเสริฐอีก 16 องค์ ล้อมรอบ”
(สมาคมสรา้ งคณุ คา่ ในประเทศไทย, 2542: 1-3)
30
ความช่วยเหลือ (สุวิญ รักสัตย์, 2555: 104-105) สำนวนจีนที่สะท้อนความเชื่อเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธ์ิ
เกย่ี วกบั พระโพธิสตั วส์ ามารถแบ่งประเภทได้ 3 ประเภทใหญ่ดงั นี้
3.1.2.1 สำนวนจนี ที่มีคำว่า Púsà ในสำนวนทสี่ ื่อความหมายในแงบ่ วก
สำนวนจีนที่มีคำว่า Púsà ในสำนวนที่สื่อความหมายในแง่บวก ส่วนใหญ่มักใช้เปรียบเป็น
บุคคลท่ีมีเมตตาดง่ั พระโพธสิ ตั ว์ ผทู้ ช่ี อบชว่ ยเหลอื ผอู้ ื่นท่กี ำลังตกทุกข์ไดย้ าก มีท้ังส้ิน 5 สำนวน เช่น
ตัวอย่างที่ 17
菩萨低眉
púsà dī méi
พระโพธิสตั ว์ค้ิวโค้งมนต่ำลง
ใช้เปรยี บถึงผู้มีจติ ใจเมตตากรณุ า
ตวั อย่างท่ี 18
救苦菩萨
jiù kǔ púsà
พระโพธสิ ตั ว์ผชู้ ว่ ยปลดทกุ ข์ภยั
ใช้เปรียบเทียบถึงผทู้ ช่ี อบชว่ ยเหลือผอู้ นื่ ท่ีกำลังตกทุกข์ไดย้ าก
ตวั อย่างท่ี 19
菩萨心肠
púsà xīncháng
จิตใจพระโพธิสัตว์
ใชเ้ ปรียบถึงผทู้ ีม่ ีจิตใจดมี เี มตตากรณุ า
ตวั อยา่ งที่ 20
救命菩萨
jiù mìng púsà
พระโพธสิ ัตวผ์ ชู้ ่วยชีวิต
ใชเ้ ปรยี บเทยี บถึงผู้ทีช่ อบช่วยเหลือผูอ้ ่นื ท่ีกำลังตกทุกข์ได้ยาก
ตวั อยา่ งที่ 21
小庙堂装不下大菩萨
xiǎo miàotáng zhuāng bú xià dà púsà
ศาลเจา้ เลก็ คงไม่สามารถนำพระมหาโพธสิ ัตว์มาตงั้ บูชาได้
31
ใช้บรรยายถึงกลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้รับความเป็นธรรม เป็นคำพูดท่ีแสดงถึงความ
เกรงอกเกรงใจกัน
3.1.2.2 สำนวนจีนทีม่ ีคำวา่ Púsà ในสำนวนทส่ี อ่ื ความหมายในแง่ลบ
สำนวนจีนที่มีคำว่า Púsà ในสำนวนที่สื่อความหมายในแง่ลบ ส่วนใหญ่หมายถึงการเอาตัว
ไม่รอด มีท้ังสิ้น 3 สำนวน เช่น
ตัวอย่างที่ 22
泥菩萨过江,自身难保
ní púsà guò jiāng,zì shēn nán bǎo
พระโพธสิ ัตวร์ ูปปนั้ ดินเหนยี วเมอื่ เวลาข้ามแมน่ ้ำก็ยงั เอาตวั เองไม่รอด
ใช้บรรยายถึงตัวเองยังช่วยตัวเองไม่ได้ แล้วจะไปช่วยคนอื่นได้อย่างไร เปรียบเหมือน พระ
โพธิสัตว์ท่ีป้ันด้วยดินนัน้ เมื่อลุยข้ามแมน่ ้ำ ตัวเองก็จะถูกน้ำเซาะละลายไป แล้วจะไปชว่ ยคนอ่ืนที่ตก
นำ้ ไดอ้ ยา่ งไร
ตัวอยา่ งที่ 23
泥菩萨落水,自身难保
ní púsà luò shuǐ,zì shēn nán bǎo
เมือ่ พระโพธสิ ตั วร์ ูปป้นั ดินเหนยี วตกแมน่ ำ้ กย็ งั เอาตวั เองไมร่ อด
ใช้บรรยายถึงการเอาตัวเองไม่รอด ไม่สามารถปกป้องหรือดูแลตัวเองได้ เปรียบเหมือน พระ
โพธิสัตว์ที่ปั้นด้วยดินนั้น เมื่อลุยข้ามแม่น้ำ ตัวเองก็จะถูกน้ำเซาะละลายไป ไม่สามารถปกป้องหรือ
ดูแลตวั เองได้
ตัวอยา่ งท่ี 24
泥菩萨过河,自身难保
ní púsà guò hé,zì shēn nán bǎo
เมื่อพระโพธสิ ัตวร์ ูปป้นั ดินเหนียวข้ามแม่น้ำก็ยังเอาตวั เองไมร่ อด
ใช้บรรยายถึงการเอาตัวเองไม่รอด ไม่สามารถปกป้องหรือดูแลตัวเองได้ เปรียบเหมือน พระ
โพธิสัตว์ที่ปั้นด้วยดินนั้น เมื่อลุยข้ามแม่น้ำ ตัวเองก็จะถูกน้ำเซาะละลายไป ไม่สามารถปกป้องหรือ
ดแู ลตวั เองได้
3.1.2.3 สำนวนจนี ท่ีมีคำว่า Púsà ในสำนวนทีส่ อื่ ความหมายกลาง
สำนวนจีนท่มี คี ำวา่ Púsà ในสำนวนที่สอ่ื ความหมายกลางหมายถึงไม่สื่อทง้ั ความหมายแง่ลบ
และแง่บวก ส่วนใหญ่มกั จะกล่าวถึงสิ่งที่ไม่ควรกระทำ คำเรียกที่ใชแ้ สดงถึงความสนิทสนมใกล้ชิดกัน
มาก คนทีน่ ่ิงเงยี บไม่เอย่ เปิดปากพูดจา มีทงั้ สน้ิ 3 สำนวน เช่น
32
ตัวอยา่ งท่ี 25
真菩萨面前,莫要烧假香
zhēn púsà miàn qián,mò yào shāo jiǎ xiāng
อยูต่ ่อหน้าพระโพธิสตั ว์ตวั จริง อยา่ จุดธูปปลอม
ใช้บรรยายถึงหา้ มพูดคำโกหกเม่ืออยู่ต่อหน้าคนท่ีมีวชิ าความรู้มีประสบการณ์หรือคนท่ีเข้าใจ
รูจ้ ักตวั เราอยา่ งแจม่ แจง้ เพราะจะทำให้ถูกมองทะลุปรโุ ปร่งได้โดยงา่ ย
ตวั อย่างท่ี 26
菩萨哥儿
púsà gē ér
พี่พระโพธสิ ัตว์
ใชบ้ รรยายถงึ เป็นคำที่ผู้หญงิ ใช้เรยี กผู้ชายทสี่ นิทสนมใกลช้ ิดกนั มาก
ตวั อย่างที่ 27
泥菩萨,不开腔
ní púsà,bù kāi qiāng
พระโพธสิ ตั ว์รปู ปั้นดนิ เหนียว นิง่ เงียบไมพ่ ดู จา
ใชเ้ ปรียบเทยี บถึงคนทนี่ ่งิ เงียบ ไมย่ อมเอย่ เปดิ ปากพดู จา หรอื คนที่ไมค่ อ่ ยพดู พดู จานอ้ ย
นอกจากนี้ยังมีสำนวนจีนที่ไม่ปรากฏคำว่า Púsà แต่ปรากฏพระนามของพระโพธิสัตว์ใน
สำนวนโดยตรง เช่น พระโพธิสัตว์กวนอิน6 หรือพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ (Guānshìyīn Púsà
观世音菩萨) พระองค์ทรงเป็นพระโพธิสัตว์แห่งความเมตตากรุณา เดิมมีพระนามว่า กวนซื่ออิน
(Guānshìyīn 观世音) แต่เนื่องจากในสมัยจักรพรรดิถงั ไท่จงแห่งราชวงศ์ถัง ตัวอักษร “ซื่อ”(shì
世) พ้องกับพระนามเดิมของจักรพรรดิถังไท่จงซึ่งมีพระนามว่า “หลี่ซื่อหมิน” (Lǐ Shìmín 李世
民) ดังนั้นจึงตัดคำว่า “ซื่อ”(shì 世) ออก เหลือเพียงแต่คำว่า “กวนอิน” (Guānyīn 观音) ตั้งแต่
นั้นมาจนถึงปัจจุบัน พุทธศาสนิกชนจึงเรียกขานพระนามท่านว่า พระโพธิสัตว์กวนอิน7 (นวรัตน์
ภักดคี ำ, 2553: 97) สำนวนจนี ท่มี พี ระนามพระโพธิสัตว์กวนอินปรากฏอยู่ในสำนวนซ่ึงสะท้อนให้เห็น
6 กวนอนิ ถอดเสียงตามการออกเสียงสำเนียงภาษาจนี กลาง ในภาษาถิน่ ท่เี ป็นท่ีรู้จกั ในประเทศไทยคือ กวนอมิ
7 พระโพธิสตั วก์ วนอิน (Guānyīn púsà 观音菩萨) พระองค์ทรงเป็นพระโพธสิ ตั ว์องค์สำคัญของพระพุทธศาสนามหายาน ที่
มีผู้เคารพศรัทธามากท่ีสุด พระองค์ท่านมีความเมตตากรุณาต่อสรรพสัตว์ อันหาประมาณมิได้ สมดังพระนามขององค์ท่าน “กวน ซือ
อิม”(观世音) “กวน” (观) แปลว่า มองเหน็ ดว้ ยญาณแห่งปัญญา“ ซอื ” (世) แปลว่า โลก “ อิม ” (音) แปลว่า เสียง รวมความหมาย
ของคำวา่ “กวน ซือ อิม” คอื ผสู้ ดบั เสียงและแลเหน็ ความเปน็ ไปของโลก ซึ่งหมายถงึ เฝ้าดูแลสรรพสตั ว์ทต่ี กอยใู่ นหว้ งทุกขน์ ัน่ เอง ท่าน
ทรงมปี ณธิ านท่ยี ิ่งใหญค่ ือ “ท่านจะทรงโปรดสรรพสตั วท์ ัง้ หลายทงั้ มวลใหพ้ ้นจากความทกุ ข์ และตราบใดทยี่ ังช่วยสรรพสัตว์ท้ังหลายไม่
พ้นจากกองทุกข์ พระองค์จะไมข่ อสำเรจ็ เป็นพระพุทธเจา้ ” (นวรตั น์ ภักดีคำ, 2553: 97-98)
33
ถึงความเชื่อในเรื่องพระโพธิสัตว์กวนอิน มีสื่อความหมายในแง่บวก 4 สำนวน แง่ลบ 1 สำนวน รวม
ทัง้ สิ้น 5 สำนวน ไดแ้ ก่
ตัวอย่างที่ 28
水月观音
shuǐ yuè Guānyīn
พระโพธิสตั วก์ วนอินปางทอดพระเนตรมองเงาจนั ทรใ์ นนำ้
ใชบ้ รรยายถงึ พระโพธิสัตวก์ วนอนิ ปางทอดพระเนตรมองเงาจันทรใ์ นนำ้ เป็นหน่งึ ใน 33 ปาง
ของพระโพธสิ ัตวก์ วนอิน ภายหลงั ใชเ้ ปรียบเทยี บ คนท่มี จี ิตใจดี รูปลกั ษณภ์ ายนอกงดงาม
ตัวอยา่ งท่ี 29
观音大士
Guānyīn dàshì
พระมหาโพธิสตั วก์ วนอนิ
ใช้บรรยายถึงเป็นพระนามอีกนามหนง่ึ ท่ีใชก้ ล่าวถึง พระโพธสิ ตั ว์กวนอิน
ตัวอย่างที่ 30
送子观音
sòng zǐ Guānyīn
พระโพธสิ ัตว์กวนอินปางประทานบุตร
ใช้บรรยายถึงพระโพธิสัตว์กวนอินปางประทานบุตร เป็นหนึ่งใน 33 ปางของพระโพธิสัตว์
กวนอิน ที่พุทธศาสนิกชนเชื่อกันว่า บ้านใดไม่มีลูกหลาน ขอเพียงจุดธูปอธิษฐานต่อองค์พระโพธสิ ัตว์
กวนอินทา่ นกจ็ ะประทานให้ผู้นัน้ มีลูกหลาน
ตวั อย่างที่ 31
观音菩萨,年年十八
Guānyīn púsà,nián nián shí bā
พระมหาโพธิสัตวก์ วนอนิ ทรงมพี ระสิริโฉมท่งี ดงามด่ังสตรีอายุ 18 ตลอดกาล
ใช้บรรยายถึงพระมหาโพธิสัตว์กวนอินทรงเป็นหนึ่งในพระโพธิสัตว์ของพุทธศาสนามหายาน
เนื่องจากพระองค์ทรงเป็นผู้เปี่ยมล้นไปด้วยมหาเมตตามหากรุณาอันยิ่งใหญ่ไพศาล คอยช่วยเหลือ
โปรดสรรพสัตว์ทั่วไตรภูมิให้หลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวง พุทธศาสนิกชนจึงยกย่องให้พระองค์เป็น
สัญลักษณ์ของพระโพธิสัตว์ผู้เปี่ยมไปด้วยมหาเมตตามหากรุณา รูปประติมากรรมและรูปวาด
จิตรกรรมของพระองค์ท่านจะมีรูปลักษณ์เป็นสตรีอายุ 18 ปีที่มีรูปโฉมงดงาม สำนวนนี้จึงใช้
เปรียบเทียบถึงคนที่ยังดูอ่อนเยาว์เปน็ หนมุ่ สาว ไม่มที ่าทวี า่ จะแกล่ งไม่วา่ จะผา่ นไปกป่ี ีกต็ าม
34
ตวั อยา่ งท่ี 32
铁观音,又冷又硬
tiě Guānyīn,yòu lěng yòu yìng
รปู ประตมิ ากรรมพระโพธสิ ตั ว์กวนอินทที่ ำจากเหล็ก ทั้งเย็นท้ังแข็ง
ใชบ้ รรยายถึงคนทม่ี ีท่าทีเย็นชา มีความเฉยเมยไมส่ นใจส่ิงใด เปรียบเสมอื นรูปประติมากรรม
พระโพธสิ ตั วก์ วนอินทีท่ ำจากเหลก็ ทั้งเย็นท้ังแข็ง
จากสำนวนพบว่าคำว่า Púsà ส่วนใหญ่มักอุปมาสื่อถึง ผู้มีจิตใจดีมีเมตตากรุณา ผู้ที่ชอบ
ช่วยเหลือผูอ้ ื่นที่กำลังตกทุกข์ได้ยาก ผู้ที่มีวิชาความรู้มปี ระสบการณ์ สิ่งเหล่าน้ีลว้ นสะท้อนให้เห็นถงึ
แนวคิดความเชื่อที่คนจีนมีต่อพระโพธิสัตว์ว่า พระโพธิสัตว์ทรงเป็นผู้ที่มจี ิตใจอนั เปี่ยมล้นไปด้วยมหา
เมตตามหากรุณาอันไม่มีประมาณ ทรงมีมหาปณิธานท่ีจะคอยช่วยเหลือโปรดเหล่าสรรพสัตว์ทั่วไตร
ภูมิให้หลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวง เมื่อทรงพบเห็นผู้ใดเผชิญกบั ความทุกข์ยากลำบากก็ทรงเสด็จไปโปรด
ช่วยเหลือผู้นั้นให้พ้นจากความทุกข์ทันที ดังนั้นชาวจีนจึงนำจิตใจที่มีเมตตาและคอยโปรดช่วยเหลือ
เหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลายของพระโพธิสัตว์มาเปรียบเทียบกับบุคคลที่มีจิตใจดีมีเมตตากรุณาหรือผู้ที่
ชอบชว่ ยเหลอื ผูอ้ น่ื ท่กี ำลังตกทุกขไ์ ดย้ าก
3.1.3 สำนวนจนี ที่มีคำวา่ shén
สำนวนจีนที่มีคำว่า shén (神 เทพเจ้า) ในสำนวน สะท้อนความเชื่อเรื่องเทพเจ้าของจีน มี
จำนวนท้งั สน้ิ 56 สำนวน
เกตมาตุ ดวงมณี (2552: 35) ได้นิยามคำว่า เทพเจ้า ไว้ว่า คือผลรวมความคิดด้านจิตใจที่
เหนอื ธรรมชาติ โดยมีความเช่อื ว่า เทพเจา้ ไมไ่ ด้เป็นเพยี งสง่ิ ทีม่ คี วามสามารถเพยี บพรอ้ มเทา่ น้ัน แต่ยัง
มีพลังที่ครอบงำชะตาของมนุษย์โลก มีอิทธิพลต่อโชคชะตาของมนุษย์สามารถให้คุณและให้โทษได้
ดังน้นั เทพเจ้าจงึ ได้รับความนับถอื ศรัทธาจากผูค้ นท่เี ชื่อถือ
ความเชื่อเทพเจ้านั้นเกิดขึ้นตั้งแต่มนุษย์รวมตัวกันเป็นสังคม ในสมัยก่อนนั้นไม่มีเครื่องมือ
วทิ ยาศาสตรท์ ันสมัยดังเช่นปัจจุบนั เมื่อมนษุ ยไ์ ม่สามารถอธบิ ายปรากฏการณ์มหัศจรรย์แต่ละอย่างท่ี
เกดิ ขน้ึ ตามธรรมชาติได้ จงึ คิดว่าเปน็ เพราะเทพเจ้าทรงบันดาลใหเ้ กดิ ใหเ้ ป็นไปอย่างนน้ั ชาวจนี เช่ือว่า
ในโลกมนุษย์มเี ทพเจ้าอาศัยอยู่เช่น ภูเขากจ็ ะมเี ทพภเู ขาอาศยั อยู่ แมน่ ้ำกจ็ ะมเี ทพแห่งแม่น้ำคอยดูแล
ซึง่ มหี ลักฐานความเช่ือทช่ี ัดเจนจากการขุดพบโบราณสถานและโบราณวตั ถุ เช่น การขุดพบสสุ านท่ีอยู่
ในยุคต้นนิยมซึ่งมีการสลักหินเป็นภาพเทพเจ้าและตำน านที่เล่าเขียนทิ้งทอดต่อมาถึงปัจจุบัน
นอกจากน้ีคนจนี ยังเช่ือว่าเทพจะมีอิทธิฤทธิ์ในการควบคุมธรรมชาติเช่น ฝน ลม สายฟ้า เป็นต้น และ
ยังสามารถควบคุมชะตาชีวิตมนุษย์ทั้งการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ได้ เพราะฉะนั้นถ้าทำการกราบไหว้เทพ
เจ้า ท่านก็จะประทานพรให้ชีวิตมีความมั่งคั่งร่ำรวย ฝนฟ้าตกตามฤดูกาล เมื่อบ้านใดมีคนเจ็บไข้ได้
ป่วยก็ไปขอพรตอ่ เทพใหป้ ระทานพรใหส้ ุขภาพรา่ งกายกลบั มาแข็งแรงดังเดิมและถ้าบ้านเมืองเกิดภยั
แล้ง ฝนฟ้าไม่ตกตามฤดูกาลก็เชื่อกันว่าเป็นเพราะมีคนทำให้เทพทรงพิโรธทำให้องค์ท่านไม่ประทาน
35
ให้ฝนตกลงมาหรือจ้าวแห่งมังกรโดนลงโทษจึงไม่ได้ทำหน้าที่บันดาลให้ฝนตก ในปัจจุบันชาวจีนสว่ น
ใหญย่ ังคงใหค้ วามเคารพนับถือเทพผ้มู ีคุณในดา้ นต่าง ๆ ผา่ นพิธีกรรม การสร้างศาสนสถาน การสร้าง
รูปไวเ้ คารพบชู า ดงั ท่ีเหน็ ไดจ้ ากทีว่ ดั และตามสถานทีต่ า่ ง ๆ ในประเทศจนี (Pān Jiāzhēng, 2005:
5-7)
พจนานุกรมภาษาจีนกลางปัจจุบัน (Xiàndài Hànyǔ Cídiǎn《现代汉语词典》)
(2002: 1155) ได้ใหค้ วามหมายคำว่า shén ไว้ว่า “ในทางศาสนาหมายถึง เทพเจา้ เป็นผู้สร้างฟ้าดิน
รวมทั้งสรรพสิ่งต่าง ๆ ส่วนคนที่มีความเชื่อถือที่งมงาย จะหมายถึง ผู้ที่หมั่นทำความดีสร้างกุศลเมื่อ
ตายไปแลว้ กจ็ ะกลายเปน็ เทพเจ้า”
สำนวนจีนที่มีคำว่า shén8 สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อในเรื่องเทพเจ้ามีทั้งหมด 56 สำนวน
แบ่งออกเปน็
3.1.3.1 สำนวนจนี ทม่ี ีคำว่า shén ในสำนวนทส่ี ่ือความหมายแงบ่ วก
สำนวนจีนที่มีคำว่า shén ในสำนวนที่สื่อถึงความหมายแง่บวก ส่วนใหญ่กล่าวถึงคนท่ี
คาดการณ์คาดเดาเร่ืองราวเหตุการณ์ได้อยา่ งแม่นยำ ความสามารถเหนือมนุษย์ทัว่ ไป บุคคลผู้มีความ
สนั ทัดมีฝีมือด้านการเขียนบทความบทประพันธ์ เปน็ ต้น มที ้งั ส้นิ 29 สำนวน เช่น
ตวั อยา่ งที่ 33
料事如神
liào shì rú shén
คาดการณ์ได้อยา่ งแมน่ ยำราวกับเทพเจา้
ใช้เปรยี บเทียบบรรยายถึงคนทค่ี าดการณค์ าดเดา เรอ่ื งราวเหตุการณ์ไดอ้ ย่างแมน่ ยำ
ตัวอย่างท่ี 34
下笔如有神
xià bǐ rú yǒu shén
เขียนบทความบทประพนั ธเ์ หมอื นกบั มีเทพยดาคอยชว่ ยเหลือ
ใช้เปรียบเทียบบรรยายถึงบุคคลผู้มีความสันทัดมีฝีมือด้านการเขียนบทความบทประพันธ์
อยา่ งมาก นอกจากนยี้ ังหมายถงึ บทความบทประพันธน์ นั้ เขียนไดด้ มี าก
ตวั อย่างที่ 35
神工意匠
shén gōng yì jiàng
เทพเนรมิต ช่างบนั ดาล
8 การคัดเลือกสำนวนจีนที่มีคำว่า shén เป็นส่วนประกอบจะคัดเลือกเฉพาะสำนวนจีนที่มีคำว่า shén ที่แปลว่า เทพเจ้า
เปน็ ส่วนประกอบเท่านน้ั เพ่อื สะท้อนให้เห็นถงึ ความเชอ่ื เรือ่ งเทพเจ้า
36
ใช้เปรียบเทียบบรรยายถึงการก่อสร้างหรือการวาดรูปท่ีมีเค้าโครงแบบแผนและมีความ
ประณตี วจิ ิตรสวยงาม
ตวั อย่างที่ 36
用兵如神
yòng bīng rú shén
บญั ชาการทหารด่งั เทพเจ้า
ใช้เปรียบเทยี บถึงบคุ คลผ้เู ชย่ี วชาญในการบญั ชาการทหาร เชี่ยวชาญในการส้รู บทำสงคราม
ตัวอยา่ งที่ 37
拘神遣将
jū shén qiǎn jiàng
ควบคมุ เทพ สง่ ขุนพลสวรรค์ออกรบ
ใช้บรรยายถึงการมีพละกำลังความสามารถที่ยิ่งใหญ่มหัศจรรย์ไร้ขอบเขต เปรียบเสมือน
สามารถบัญชาการกองทัพกองกำลังทหารและนายพลทหารช้ันสงู บนสวรรคไ์ ด้
3.1.3.2 สำนวนจีนทม่ี ีคำว่า shén ในสำนวนท่ีส่อื ความหมายแง่ลบ
สำนวนจีนที่มีคำว่า shén ในสำนวนที่สื่อถึงความหมายแง่ลบ ส่วนใหญ่หมายถึงคนดุร้าย
ความโกรธแคน้ ท่ีแม้เทพเจ้ายังโกรธ การเคารพนับถือศรัทธาบุคคลใดบคุ คลคนนงึ มากเกินไปจนไม่ลืม
หลู ืมตา เป็นต้น มที ั้งส้ิน 25 สำนวน เช่น
ตัวอย่างท่ี 38
正月十五贴门神,晚了半月
zhēng yuè shí wǔ tiē mén shén,wǎn le bàn yuè
วัน 15 คำ่ เดอื น 1 ถึงจะติดภาพเทพเจา้ ที่ประตูเพื่อขบั ไลภ่ ตู ผปี ีศาจ ติดชา้ ไปแล้วคร่งึ เดอื น
ใช้เปรียบเทียบบรรยายถึงการกระทำหรือการดำเนินการที่ทำให้พลาดจังหวะหรือโอกาสที่ดี
เปรียบเสมือนในวันตรุษจีนคือวันที่ 1 ค่ำ เดือน 1 ตามปฏิทินจันทรคติ ชาวจีนจะมีประเพณีติดภาพ
เทพเจ้าที่ประตูเพื่อขับไล่ภูตผีปีศาจ ถ้าวันที่ 15 ค่ำ เดือน 1 ถึงจะติดภาพเทพเจ้าที่ประตูเพื่อขับไล่
ภตู ผีปศี าจ ถอื วา่ ติดช้าไปแล้วครึง่ เดอื น
ตวั อย่างท่ี 39
神人共愤
shén rén gòng fèn
เทพและคนล้วนโกรธเคืองและเคียดแค้น
ใช้บรรยายถึงความชั่วความเลวร้ายและบาปกรรมที่หนักหนาจนทำให้คนและเทพยดาโกรธ
เคอื งเคยี ดแค้นชิงชงั
37
ตัวอยา่ งท่ี 40
神作祸作
shén zuò huò zuò
เทพเจา้ ก่อ ภัยพบิ ัติสรา้ ง
ใช้บรรยายถงึ ชวี ติ พบเจอเทพยดาท่ีดุรา้ ยนา่ กลัวและยงั เจอกับมหันตภยั อนั เลวรา้ ย
ตวั อย่างที่ 41
敬如神明
jìng rú shén míng
เคารพนบั ถือราวกับนบั ถอื บูชาเทพเจ้าสิง่ ศักดิ์สิทธิ์
ใช้บรรยายถึงการเคารพนับถือศรัทธาบุคคลคนหนึ่งมาก ราวกับเคารพนับถือบูชาเทพเจ้าส่งิ
ศักดส์ิ ิทธิ์ สว่ นมากใช้ในความหมายในทางไมด่ ี คอื การเคารพนบั ถือศรัทธาบคุ คลใดบุคคลคนหนึ่งมาก
เกนิ ไปจนไมล่ ืมหลู มื ตา
ตวั อยา่ งที่ 42
凶神恶煞
xiōng shén è shà
เทพยดาที่ดุร้ายน่ากลัว
เดิมสำนวนน้ีหมายถึงเทพยดาท่ีดุรา้ ย นา่ กลวั ภายหลังหมายถงึ คนทโี่ หดร้ายและน่ากลวั
3.1.3.3 สำนวนจนี ทม่ี คี ำวา่ shén ในสำนวนทสี่ อ่ื ความหมายกลาง
สำนวนจนี ที่มคี ำว่า shén ในสำนวนที่ส่ือความหมายกลางหมายถึงไมส่ ื่อทง้ั ความหมายแง่ลบ
และแง่บวก ส่วนใหญ่มักจะกล่าวถึงถ้อยคำที่มักใช้ในตอนกล่าวคำสาบาน การวิงวอนขอร้องให้องค์
เทพช่วยเหลอื หรืออาศยั การเส่ยี งทายในการแก้ไขปัญหา ไมแ่ สดงความหมายแฝงบวกหรอื ลบ มีทัง้ ส้ิน
2 สำนวน ได้แก่
ตัวอยา่ งที่ 43
神人鉴知
shén rén jiàn zhī
เทพยดาและมนษุ ย์รบั รูแ้ ละวนิ ิจฉัย
ใช้บรรยายถึงถอ้ ยคำทีม่ ักใชใ้ นตอนกลา่ วคำสาบาน
ตวั อยา่ งท่ี 44
求神问卜
qiú shén wèn bǔ
วิงวอนร้องขอเทพเจ้าให้ชว่ ยและขอคำทำนายเพื่อแกป้ ัญหา
38
ใช้บรรยายถึงคนที่มีความเช่ืองมงายเมื่อพบเจอปัญหาที่ยากจะแก้ไขหรือพบเจอความ
ยากลำบากกจ็ ะวงิ วอนขอรอ้ งให้องค์เทพชว่ ยเหลอื หรืออาศยั การเส่ียงทายในการแก้ไขปัญหา
นอกจากนี้ยังมีสำนวนจีนที่ไมม่ คี ำวา่ shén แตป่ รากฏช่อื เทพเจ้าหรอื คำทใี่ ช้เรียกขานเทพเจ้า
ในสำนวนซึ่งสามารถสะท้อนให้เห็นถึงความเช่ือเรื่องเทพเจ้าได้อีก 23 สำนวนแบ่งออกเป็นสื่อ
ความหมายในแง่บวก 14 สำนวน แงล่ บ 7 สำนวน ไม่บวกและไมล่ บ 2 สำนวน เช่น
ตัวอยา่ งท่ี 45
大水冲了龙王庙,一家人不认得一家人
dà shuǐ chōng le lóng wáng miào,yī jiā rén bú rènde yī jiā rén
นำ้ ทว่ มเข้าศาลเจา้ เทพมังกร คนพวกเดยี วกนั ไม่สนใจคนกันเอง
ใช้เปรียบเทียบถึงคนพวกเดียวกันทำร้ายกันเอง เปรียบด่ังจ้าวแห่งมังกรท่ีเป็นเทพ
ควบคุมดูแลนำ้ แตน่ ำ้ กลบั บกุ ทะลวงทำลายศาลเจ้าของเทพมังกร9
ตวั อย่างที่ 46
月下老人
yuè xià lǎo rén
ผเู้ ฒ่าจันทรา
ผเู้ ฒา่ จันทรา เปน็ ชือ่ เทพเจ้าที่ดูแลเรื่องความรักและการแต่งงานที่เปน็ ความเช่ือในเทพนิยาย
จีน ซึ่งจะมีหน้าที่คอยเป็นพ่อสื่อดูแลเรื่องความรักชักนำคนรักให้กับมนุษย์โลก ภายหลังใช้หมายถึง
คนทเี่ ป็นพอ่ ส่ือแม่ส่ือชกั นำใหค้ นรักกัน
ตัวอยา่ งที่ 47
月里嫦娥10
yuè lǐ Cháng'é
เทพธดิ าแห่งดวงจันทร์ฉางเอ๋อ
ฉางเอ๋อ เป็นชื่อเทพธิดาแห่งดวงจันทร์ของจีน ใช้เปรียบเทียบถึงสตรีที่มีเสน่ห์และมีรูปร่าง
หนา้ ตาสวยงาม
ตัวอย่างที่ 48
太岁头上动土
Tàisuì tóu shàng dòng tǔ
ทบุ พ้ืนขดุ ดินก่อสร้างบนหวั องค์เทพไท่ซยุ่
9 เทพมงั กร lóng wáng 龙王 เปน็ เทพเจา้ ของจนี ทสี่ ำคัญองค์หนึ่ง
10 ฉางเอ๋อร์ Cháng’é 嫦娥 เป็นเทพธิดาแหง่ ดวงจนั ทรข์ องจีน
39
เทพไท่ซุ่ยเป็นเทพเจ้าในตำนาน คนโบราณเชื่อกันว่าถ้าองค์เทพไท่ซุ่ยประทับอยู่ทิศใด ห้าม
ทำการทุบพื้นหรือขุดดินก่อสร้างทิศนั้น มิฉะนั้นจะประสบภัยพิบัติหายนะ ใช้เปรียบเทียบถึงการ
ลว่ งเกินผู้ทม่ี อี ำนาจมอี ิทธพิ ล
จากการศึกษาคำว่า shén ในสำนวนพบว่าสามารถสื่อความหลากหลาย สามารถแบ่งออกได้
เป็นสามกลุ่มใหญ่ ดังน้ี
กล่มุ ท่ีหน่ึง คำวา่ shén อุปมาถึงคนท่มี ีฝีมอื มีความสามารถล้ำเลิศหรือมีความถนดั ชำนาญใน
ด้านใดดา้ นหน่งึ เชน่ บุคคลท่คี าดการณ์เรอ่ื งราวหรือเหตุการณ์ได้อยา่ งแมน่ ยำ บคุ คลผ้มู ีฝมี อื ด้านการ
เขียนบทความบทประพันธ์อย่างมาก บุคคลผู้เชี่ยวชาญในการบัญชาการทหาร เชี่ยวชาญในการสู้รบ
ทำสงคราม บคุ คลท่มี ีพละกำลังท่ียิ่งใหญ่มหัศจรรย์ บุคคลผูม้ ีความอัจฉริยะมคี วามโดดเด่น บุคคลที่มี
ฝีมอื มีความสามารถในงานศิลปท์ ลี่ ้ำเลิศเหนอื ช้ัน เช่น สงิ่ ก่อสร้าง สถาปตั ยกรรม ผลงานการประดิษฐ์
คดิ ค้นทีย่ งิ่ ใหญ่ จึงเชือ่ มโยงไปอปุ มาถึงผลงานทย่ี อดเยยี่ ม เช่น บทกวีหรือตำราพิชัยสงครามท่ีประณีต
งดงามอย่างยิ่งหรือความรู้สึกที่น่าประทับใจซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่ง ความมหัศจรรย์ยอดเยี่ยมเลิศล้ำ
ที่สุด หรือสิ่งที่ยิ่งใหญ่สูงส่งน่าเกรงขามห้ามล่วงเกิน บุคคลที่มีฐานะสูงส่ง เช่น ลูกหลานเชื้อพระวงศ์
แสดงให้เห็นถึงความคิดความเชื่อที่คนจีนมีต่อเทพเจ้าว่า เทพเจ้าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธ์ิ เป็นสิ่งท่ียิ่งใหญ่
สูงสง่ มีอิทธิฤทธิ์และมพี ลังอำนาจในการดลบนั ดาลสร้างสรรคเ์ นรมติ ส่ิงต่างๆ ให้เกิดขน้ึ ได้ มอี ิทธิฤทธ์ิ
พลังอำนาจที่ครอบงำชะตาของมนุษย์โลก มีอิทธิพลต่อโชคชะตาของมนุษย์ สามารถให้คุณและให้
โทษได้ มนุษย์จึงต้องยึดเทพเจ้าเป็นที่พึ่ง โดยเชื่อว่าถ้าทำการกราบไหว้บูชาต่อเทพเจ้า เทพก็จะ
ประทานพรให้ชีวิตมีความมั่งคั่งร่ำรวย ฝนฟ้าตกตามฤดูกาล เมื่อบ้านใดมีคนเจ็บไข้ได้ป่วยก็ไปขอพร
ต่อเทพ เทพก็จะประทานพรให้สุขภาพร่างกายกลับมาแข็งแรงดังเดิม ดงั นั้นชาวจีนจงึ นำแนวคิดความ
เชื่อเกี่ยวกบั เทพเจ้านี้มาเปรยี บกบั มนษุ ย์ทีม่ ฝี ีมือมีความสามารถลำ้ เลิศหรือมีความถนดั ชำนาญในด้าน
ใดด้านหนึ่งเป็นอย่างดีราวกับเป็นเทพเจ้า บุคคลที่คาดการณ์เรื่องราวหรือเหตุการณ์ได้อย่างแม่นยำ
ราวกับเทพยดา บุคคลผู้เชี่ยวชาญในการบัญชาการทหาร เชี่ยวชาญในการสู้รบทำสงครามดั่งเทพเจา้
ที่บัญชาการรบ บุคคลที่มีพละกำลังทีย่ ่ิงใหญ่มหัศจรรย์ราวกบั พละกำลงั ของเทพเจ้า บทกวีหรือตำรา
พชิ ยั สงครามทปี่ ระณตี งดงามอย่างย่งิ ดง่ั เทพเจา้ เป็นผเู้ นรมติ สรา้ งสรรค์ขึ้นมา เป็นต้น
กลุ่มท่ีสอง คำว่า shén สื่อถึงคนที่โหดร้ายและน่ากลัว การประสบภัยพิบัติ คนที่ทำงานไม่
เป็นหลักเปน็ แหล่ง เร่ร่อนไปทั่ว สิ่งเหลา่ นี้สามารถแสดงให้เห็นถึงความคดิ ความเชือ่ ที่คนจีนมีต่อเทพ
เจา้ วา่ นอกจากเทพเจ้าจะสามารถบันดาลส่ิงต่าง ๆ ใหก้ ับผทู้ ่เี คารพนับถือแลว้ แต่ถ้ามนุษย์ทำให้เทพ
เจา้ ทรงพิโรธ เทพเจ้ากส็ ามารถเปลี่ยนเป็นส่ิงที่นา่ กลัวและโหดร้ายได้ เชน่ เทพทำให้บา้ นเมืองเกิดภัย
พิบัติ บ้านเมืองเกิดภัยแล้ง ฝนฟ้าไม่ตกตามฤดูกาล ไฟไหม้ป่า เป็นต้น นอกจากนี้ชาวจีนยังเห็นว่า
เทพเจา้ นนั้ มอี ิทธิฤทธิส์ ามารถย้ายหายตัวได้ดง่ั ใจนึก สามารถปรากฏตวั ไปทใ่ี ดก็ได้ อยู่ไม่เป็นหลักเป็น
แหล่ง ดังนั้นชาวจีนจึงนำแนวคิดความเชื่อนี้มาเปรียบกับคนที่โหดร้ายและน่ากลัวดั่งเทพเจ้าที่ทรง
พิโรธมีหน้าดุดันบึ้งตึงและทำการลงโทษมนุษย์ การพบเจอภัยพิบัติเพราะเทพเจ้าทรงบันดาลให้