The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by paison1515, 2021-08-31 08:54:21

การศึกษาเปรียบเทียบสำนวนจีนกับสำนวนไทยที่เกี่ยวกับความเชื่อ

โดย พระกฤตานน จุฑาเกียรติ

90

4.4 สำนวนท่ีสะท้อนความเชือ่ เร่อื งชาติภพ
สำนวนจีนท่สี ะท้อนความเชื่อเร่ืองชาตภิ พในความหมาย สว่ นใหญใ่ ช้แสดงถึงชีวิตมีความโชค

ดีอย่างมาก การพบเจอเหตุการณ์หรือสถานการณ์ที่อันตรายแต่ก็สามารถรอดมาได้ มีจำนวนทั้งสิ้น
14 สำนวน ไดแ้ ก่

ตวั อยา่ งท่ี 25

两世3为人
liǎng shì wéi rén

กลบั มาเกิดเปน็ มนษุ ยท์ งั้ สองชาติ
ชาติที่แล้วได้เกิดเป็นมนุษย์ ชาตินี้ก็ยังได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ มักใช้บรรยายถงึ การประสบ
พบเจอเหตุการณ์หรอื สถานการณ์ที่อันตรายยากลำบากเปน็ อยา่ งย่ิงแต่ก็สามารถรอดมาได้

ตวั อย่างที่ 26

生死轮回
shēng sǐ lún huí

เกดิ และตายในวัฏสงสารทงั้ 6 ภูมิ
ใช้บรรยายถึงการเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพภูมิทั้ง 6 ของสัตว์โลกด้วยอำนาจกิเลส กรรม
วิบาก หมนุ วนอยู่เชน่ นนั้ ตราบเท่าทย่ี งั ตดั กเิ ลส กรรม วิบากไมไ่ ด้

สำนวนไทยมสี ำนวนท่สี ะทอ้ นความเชอ่ื เร่ืองชาตภิ พเช่นกัน มจี ำนวนทง้ั ส้นิ 13 สำนวน เชน่
ตวั อย่างท่ี 27
คู่แล้วไมแ่ คลว้ คลาด
หมายถงึ ตามคตนิ ยิ มมีความเช่ือกนั ว่า มนษุ ย์นเ้ี กิดมาตายหลายชาติ ชายหญิงใดที่เคยเป็นคู่
คือเป็นสามีภรรยากันมาในชาตกิ ่อนแลว้ เม่อื เกิดในชาติใหม่กต็ ้องมาเปน็ คู่กนั อีก ไมแ่ คล้วคลาดกันไป
ได้

ตวั อย่างท่ี 28
ใส่บาตรร่วมขัน เดด็ ดอกไมร้ ่วมต้น
หมายถงึ ชาติกอ่ นเคยใส่บาตรรว่ มขันกนั เวลาแต่งงานหรอื เด็ดดอกไมห้ รอื เก็บดอกไม้ร่วมต้น
กันมา ดังนั้นชาตินี้ก็ต้องมาเป็นคู่อยู่ร่วมกันอีก เช่นในกาพย์พระรถว่า “ข้าคิดอันโพนใส เราเก็บ
ดอกไม้สมปองพิศถาน ต่างองคต์ า่ งไกล บุญหลังส่งให้ มาสมนอ้ งนงคราญ อยา่ คดิ อนื่ บ เป็นการอันน้ี
บุญสมภาร หากชกั ชวนถงึ ” (สง่า กาญจนาคพันธ์, 2538: 123)

3 两世 liǎngshì ในทีน่ ี้หมายถงึ อดีตชาตกิ บั ปจั จบุ ันชาติ

91

4.5 สำนวนที่สะทอ้ นความเชือ่ เรอื่ งนรก
สำนวนจีนที่สะท้อนความเชื่อเร่ืองนรกล้วนแสดงความหมายถึงสถานท่ีทุกข์ทรมานแสน

สาหสั มจี ำนวนทั้งส้ิน 16 สำนวน ได้แก่
ตวั อยา่ งท่ี 29

阿鼻地狱
ā bí dì yù

อเวจมี หานรก
ชื่อขุมนรกอเวจีมหานรก หมายถึงสังคมสถานที่หรือคุกที่เลวร้ายทารุณ และยังหมายถึงการ
ตกอย่ใู นฐานะหรอื สถานการณท์ ี่ไมด่ ี ยากลำบาก ซงึ่ ยากทจ่ี ะหลุดพน้ ไปได้

ตัวอย่างที่ 30

十八层地狱
shí bā céng dì yù

นรก 18 ขุม
ใช้บรรยายถึงทางพุทธศาสนาเชื่อว่าบุคคลผู้ทำอกุศลกรรม เมื่อตายไปแล้วย่อมตกนรกที่มี
18 ขุมใหญ่ ขุมใดขุมหนึ่งแล้วแต่อกุศลกรรมที่ได้ทำไว้ สำนวนใช้เปรียบเทียบถึงการได้รับผลกรรม
หรือชดใชก้ รรมอยา่ งแสนสาหัส

สำนวนไทยมสี ำนวนท่สี ะท้อนความเชือ่ เรอื่ งนรกเชน่ กนั มจี ำนวนทั้งส้นิ 11 สำนวน เชน่
ตัวอย่างท่ี 31
ขึ้นต้นง้ิว
หมายถึง การลงโทษชายหญิงที่เป็นชู้กัน เม่ือตายไปแล้วจะต้องตกนรกชั้นโลหสิมพลีนรก
ได้รับความเดือดร้อนแสนสาหัสช่ัวกัปชั่วกัลป์ โดยนรกชั้นโลหสิมพลีจะเป็นนรกที่มีต้นงิ้วเหล็ก มี
หนามแหลมยาวถึง 16 องคลุ ี ลกุ โชนเป็นไฟ หญงิ ชายที่ลว่ งประเวณเี ป็นชู้กนั จะต้องถูกลงโทษพร้อม
กันในนรกงิ้วเหล็กนี้ โดยการถูกแทงด้วยหอกให้ขึ้นไปบนต้นงิ้วเพื่อไปพบชู้ของตน สวนทางกันขึ้น ๆ
ลง ๆ และถกู กาปากเหล็กจกิ ตี ไดร้ ับความทุกข์ทรมานชัว่ กาลนาน (ศกั ด์ิศรี แยม้ นัดดา, 2553: 26)

ตวั อยา่ งที่ 32
ตกนรกหมกไหม้
หมายถึง ตกอยู่ในความทุกข์ขนาดหนัก จนเปรียบเสมือนตกอยู่ในนรก ซึ่งว่ากันว่าในนรกมี
ไฟคอยเผาผลาญอย่ดู ว้ ย

92

4.6 สำนวนที่สะทอ้ นความเชอ่ื เรอื่ งสวรรค์
สำนวนจีนที่สะท้อนความเช่ือเรื่องสวรรค์ล้วนส่ือถึงความหมายถึงสถานท่ีมีแต่ความสุข

สวยงาม มจี ำนวนท้งั สิน้ 7 สำนวน เช่น
ตวั อย่างท่ี 33

人间天堂
rén jiān tiān táng

สวรรค์บนโลกมนุษย์
ใช้เปรยี บเทยี บถึงดนิ แดนที่งดงามหรือสังคมทเี่ ต็มไปดว้ ยความสขุ บนโลกมนุษย์

ตัวอย่างที่ 34

上有天堂,下有苏杭
shàng yǒu tiān táng,xià yǒu sū háng

หากบนฟากฟา้ มสี รวงสวรรค์ บนพ้ืนปฐพีก็มีซูหงั
ใช้บรรยายถงึ ทิวทัศนแ์ ละบรรยากาศท่สี วยงดงามของของเมืองซโู จวและหังโจว

สำนวนไทยมสี ำนวนทส่ี ะท้อนความเชือ่ เรอ่ื งสวรรค์เช่นกัน มจี ำนวนทั้งสน้ิ 12 สำนวน เชน่
ตัวอยา่ งท่ี 35
งามราวเหมือนกบั สวรรค์
หมายถึง งามล้ำเลศิ ประเสรฐิ นัก งามวจิ ิตรตระการตา

ตวั อยา่ งที่ 36
ไปไหว้พระจฬุ ามณี
หมายถึง กำลงั จะสิ้นชีวิตในโลกนแ้ี ละเดินทางไปสู่สวรรค์ หรือกล่าวสั้น ๆ ว่า ไปสวรรค์ เป็น
การปลอบใจญาติพี่น้องว่าไม่ไปสู่ที่อันตกต่ำแน่นอน เพราะพระจุฬามณีเจดีย์นั้นอยู่ในสวรรค์ช้ัน
ดาวดึงส์ของพระอินทร์ เป็นท่ีสักการะบูชาของพวกพรหมและเทวดาทั้งหลาย (ศักดิ์ศรี แย้มนัดดา,
2553: 84)

4.7 สำนวนที่สะทอ้ นความเช่อื เร่อื งภูตผปี ีศาจ
สำนวนจนี ทส่ี ะท้อนความเช่ือเร่ืองภูตผีปีศาจส่วนใหญใ่ ช้แสดงถงึ การมฝี ีมือล้ำเลิศเหนือชน้ั ผู้

ชำนาญสันทัดในการพูด การทำความดีอันใหญ่หลวงจนสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน เป็นต้น มีจำนวน
ทงั้ สน้ิ 202 สำนวน เช่น

ตวั อย่างที่ 37

鬼工雷斧
guǐ gōng léi fǔ

93

คลา้ ยกบั ผีหรอื เทพสรา้ งหรือทำขนึ้ มา
ใชบ้ รรยายถงึ การมฝี มี ือล้ำเลิศเหนอื ชน้ั ไม่ใชส่ ่ิงทมี่ นุษย์จะสามารถทำได้

ตวั อยา่ งท่ี 38

见人说人话,见鬼说鬼话
jiàn rén shuō rén huà,jiàn guǐ shuō guǐ huà

เม่ือพบเจอคนก็คุยภาษาคน เม่อื พบเจอผีก็คุยภาษาผี
ใชบ้ รรยายถึงการใช้ภาษาทเ่ี หมาะสมกบั ผู้ที่จะพูดด้วยหรือการใชภ้ าษาทเ่ี หมาะสมกับการพูด
จดั การเรื่องราวต่าง ๆ ใชอ้ ธบิ ายถึงผูช้ ำนาญสนั ทดั ในการพูด

สำนวนไทยมีสำนวนที่สะท้อนความเชื่อเรื่องภูตผีปีศาจเช่นกัน มีจำนวนทั้งสิ้น 102 สำนวน
เชน่

ตัวอยา่ งท่ี 39
ปลำ้ ผลี ุก ปลกุ ผนี งั่
หมายถึง พยายามทำให้มีเร่ืองหรือเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมา ทั้ง ๆ ที่เรื่องน้ันสงบไปแล้ว
สำนวนนี้ได้เค้ามาจากพวกหมอผีทางไสยศาสตร์ที่ใช้เวทยม์ นต์ปลกุ ผีหรอื คนตายแล้วใหล้ ุกขึ้นมาเพือ่
ใช้งานหรือต้องการอย่างหนึ่งอย่างใดจากตัวผี เช่น เอาเทียนลนใต้คางผีเพ่ือเอาน้ำเหลืองมาทำ
นำ้ มันพราย (พงจนั ทร์ ศรทั ธา, 2518: 85-86)

ตวั อย่างที่ 40
กระสือดูด
หมายถงึ กระสอื คอื ผีจำพวกหนึง่ ที่เรียกกันวา่ ผีกระสือ โบราณกาลเชือ่ กันว่าผกี ระสือจะออก
หากินในเวลากลางคืน เวลาไปไหนก็ปรากฏเป็นดวงไฟแวบ ๆ เคลื่อนลอยไปต่ำ ๆ เหนือพื้นดิน ถ้า
ของอะไรในบ้านที่เป็นอาหารมีลักษณะผิดปรกติเชื่อกันว่ากระสือมากิน คนโบราณถือว่าไม่ให้ตากผ้า
ทง้ิ คา้ งคนื ไว้ เพราะถา้ ตากผา้ ท้ิงเอาไว้ กระสอื กจ็ ะใช้ผ้านั้นมาเช็ดปาก วธิ ีจบั กระสอื ทำได้โดย ถ้าเห็น
ผ้าท่ตี ากทงิ้ ไว้มรี อยเปื้อนผิดปรกติใหเ้ อาผา้ นั้นมาต้ม ใครเปน็ ผกี ระสือท่ใี ช้ผา้ น้ันเช็ดปากก็จะกรีดร้อง
ขึน้ มา เนอื่ งจากผกี ระสือชอบเท่ยี วหาของกินในตอนกลางคืนทำให้ของน้นั เสยี ดงั นั้นของอะไรท่ีเหี่ยว
แห้งซูบลงไปผิดปรกติจึงเรียกว่ากระสือดูด สำนวนนี้ส่วนมากใช้กับผลไม้ที่เหี่ยวแห้งไม่น่ากิน เช่น
มะม่วง ก็จะพดู วา่ มะม่วงกระสอื ดดู (สงา่ กาญจนาคพันธ์, 2538: 17-18)

4.8 สำนวนทีส่ ะทอ้ นความเชอ่ื เรือ่ งฤกษย์ าม
สำนวนจนี ทีส่ ะท้อนความเชือ่ เรื่องฤกษย์ าม มีทั้งแสดงฤกษด์ ี วันดีมีความสิริมงคล ทำสิ่งใดก็

เป็นเรื่องง่ายสมความปรารถนา วันและเวลามงคลเหมาะกับวันจดั งานแต่งงาน วันเวลาที่มีดาวมงคล
ปรากฏขนึ้ และฤกษ์ไมด่ ี มชี ะตาชีวิตท่ไี มด่ ี เป็นต้น มจี ำนวนทัง้ ส้นิ 8 สำนวน เชน่

94

ตวั อย่างท่ี 41

良辰吉日
liáng chén jí rì

ฤกษง์ ามยามดี วนั ศิรมิ งคล
ใชบ้ รรยายถงึ ฤกษ์ดี วันดมี ีความศิริมงคล ภายหลงั มักจะใช้วันและเวลามงคลนเ้ี ป็นวันจัดงาน
แตง่ งาน

ตวั อย่างท่ี 42

生不逢辰
shēng bù féng chén

เกดิ มาในฤกษย์ ามอปั มงคล
ใชบ้ รรยายถงึ การเกดิ มาในฤกษ์ยามท่ีไม่ดี ในสมัยก่อนใชส้ ื่อถึงการมีชะตาชวี ิตท่ีไม่ดี

สำนวนไทยมสี ำนวนทส่ี ะท้อนความเชื่อเรือ่ งฤกษ์ยามเชน่ กนั มีจำนวนทัง้ สิ้น 11 สำนวน เช่น
ตวั อย่างท่ี 43
ฤกษบ์ น4
หมายถึง ฤกษ์ทพ่ี ระจันทร์เสวยประจำวนั มี 27 ฤกษ์

ตวั อยา่ งท่ี 44
ฤกษ์งามยามดี
หมายถึง เวลาดี เวลาเหมาะ เวลาสมควร โอกาส เป็นต้น มูลของสำนวนเกิดจากตำรา
โหราศาสตรท์ ี่มีวธิ คี ำนวณดวู ันเวลาฤกษ์ยามท่เี หมาะเป็นชัยมงคลสำหรบั ทำการงานตา่ ง ๆ

4.9 สำนวนที่สะทอ้ นความเชื่อเรอื่ งของวิเศษ
สำนวนจีนท่ีสะท้อนความเชื่อเรื่องของวิเศษ ส่วนใหญ่ใช้แสดงถึงวิธีการที่ดีที่สามารถ

แก้ปัญหาได้ทุกอย่าง ข้าราชการขุนนางพิพากษาตัดสินคดีด้วยความเที่ยงตรงยุติธรรม คนที่อายุมาก
หรอื หา่ งหายจากอาชพี หลักทท่ี ำแตเ่ ดิมไปนานแต่พละกำลังหรือฝีมือความสามารถไม่ได้ลดลงตามอายุ
ท่ีเพ่มิ ขึน้ เปน็ ต้น มีจำนวนท้ังสน้ิ 9 สำนวน เช่น

4 ฤกษ์บน คือเวลาซึ่งเหมาะเป็นชัยมงคลทางเบือ้ งสูง กล่าวถึงการโคจรของพระจันทร์ผ่านกลุ่มดาวนักษัตรต่าง ๆ โดยถือ
เวลาเป็นหลักกำหนดตำแหน่งดาวเคราะห์ที่จะส่งกระแสอิทธิพล ซ่ึงเป็นกำลังโดยตรงจากดาวเคราะห์เหมือนกับเวลาที่เกิดจาก
แสงอาทิตย์ ทางโหราศาสตร์กำหนดไวเ้ ป็น 9 ฤกษ์ คือ 1. ทลิทโท 2. มหัทธโน 3. โจโร 4. ภูมิปาโล 5. เทศาตรี 6. เทวี 7. เพชฌฆาต
8. ราชา 9. สมโณ (สิงหโ์ ต สรุ ิยาอารกั ษ์, 2510: 175-205)

95

ตัวอยา่ งที่ 45

秦镜高悬
qín jìng gāo xuán

กระจกแขวนวเิ ศษของฉนิ ซีฮ่องเต้
เดิมหมายถึงกระจกแขวนวิเศษของฉินซีฮ่องเต้ที่สามารถส่องเห็นอวัยวะภายในร่างกายของ
คนได้ ภายหลงั ใช้เปรยี บเทียบถึงขา้ ราชการขุนนางพิพากษาตัดสนิ คดีดว้ ยความเดด็ ขาดเท่ียงตรงและ
ยุติธรรม

ตัวอยา่ งที่ 46

灵丹妙药
líng dān miào yào

ยาวิเศษ
ใชบ้ รรยายถงึ เม็ดยาวิเศษที่นักพรตลัทธิเตา๋ สรา้ งขึ้นมา เชือ่ กนั วา่ สามารถรกั ษาโรคได้ทุกโรค
ภายหลังใช้เปรียบเทียบถงึ วิธีการท่ีดที ่ีสามารถแกป้ ัญหาได้ทุกอย่าง

สำนวนไทยมสี ำนวนที่สะท้อนความเชื่อเรอ่ื งของวิเศษเช่นกัน มีจำนวนทั้งสิ้น 14 สำนวน เชน่
ตวั อย่างที่ 47
แก้วสารพัดนกึ
หมายถึง แก้วทีเ่ ชอื่ กนั ว่า ถ้าผใู้ ดมอี ยู่แลว้ นกึ อะไรกไ็ ด้อยา่ งใจนึก

ตวั อย่างท่ี 48
อมพระมาพดู
หมายถึง ต่อให้อมพระมาพูดก็ไม่เชื่อ เป็นสำนวนปรามาสแสดงว่า พูดอย่างไรก็ไม่เชื่อ คำว่า
“พระ” ในที่นี้หมายถึงพระเครื่องที่ใช้เป็นเครื่องราง ซึ่งปกติเราใช้แขวนคอหรือบางทีก็ใช้อม โดยถือ
ว่าพระนั้นมีคุณในการป้องกันอันตรายได้และทำอะไรก็สำเร็จ ทำให้ผู้บูชาอยู่ยงคงกระพันมหาเสน่ห์
มหาละลวย มีคุณด้านเมตตามหานยิ ม (สงา่ กาญจนาคพนั ธ์, 2538: 661)

4.10 สำนวนทส่ี ะท้อนความเชือ่ เร่ืองการทำนายพยากรณ์
สำนวนจีนที่สะท้อนให้เหน็ ถึงความเชื่อเรื่องการทำนายพยากรณ์มักหมายถึงการทำนายดว้ ย

สง่ิ ของตา่ ง ๆ ทำให้ลว่ งรู้ถึงอนาคต มีจำนวนทั้งส้นิ 7 สำนวน เชน่
ตัวอย่างที่ 49

龟5厌不告

5 龟 guī ในทน่ี ้หี มายถึง กระดองเตา่

96

guī yàn bù gào

กระดองเตา่ ไมย่ อมบอกคำทำนาย
ใช้บรรยายถึงของที่มีคุณภาพเมื่อใช้ไปเป็นเวลานาน ประสิทธิภาพย่อมเส่ือม เกิดความ
ขดั ขอ้ งเปรยี บเสมือน คนสมยั โบราณที่มีความงมงายมักจะใชก้ ระดองเต่าในการพยากรณ์เสยี่ งทาย ถ้า
ใช้กระดองเต่าในการพยากรณ์ เสี่ยงทายโดยไม่หยุดพักเทพเจ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในกระดองเต่า ย่อม
เออื มระอาและเบือ่ หน่ายไม่บอกคำทำนายร้ายดี

ตัวอย่างท่ี 50

求签问卜
qiú qiān wèn bǔ

เส่ยี งเซยี มซเี พื่อขอคำทำนาย
ใช้บรรยายถึงการภาวนาขอพรต่อเทพเจ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อให้ช่วยประทานคำทำนายถึงสิ่งท่ี
อยากรู้

สำนวนไทยมีสำนวนที่สะท้อนความเชื่อเรื่องการทำนายเช่นกัน มีจำนวนทั้งสิ้น 6 สำนวน
เช่น

ตัวอยา่ งท่ี 51
นง่ั เทยี น
หมายถึง การเพ่งดูเทียนเพื่อให้จิตนิ่งแล้วทำนายเหตุการณ์ เป็นวิธีการทำนายของพระภิกษุ
อย่างหนึ่งโดยการจุดเทียนแล้วเพ่งดูเปลวเทียนเพื่อให้จิตนิ่งแล้วทำนายเหตุการณ์ บางแห่งจุดเทียน
ติดไว้ที่ขอบปากบาตรแล้วนั่งเพ่งทำนายเหตุการณ์จะเพ่งที่เทียนหรือเพ่งมองน้ำในบาตรก็ได้ เป็น
สำนวนหมายถึง การนึกคิดไปเองหรือคาดเดาเหตุการณ์ไปเอง ทำนองหลับตานึกดูแล้วสรุปเรื่องเอา
เอง (ดนัย เมธติ านนท์, 2548: 235)

ตวั อยา่ งท่ี 52
เส่ียงทาย
หมายถึง การหาคำทำนายโชคชะตา

4.11 สำนวนทีส่ ะท้อนความเช่อื เรอ่ื งลาง
สำนวนจีนที่สะท้อนความเชื่อเรื่องลาง ส่วนใหญ่ใช้แสดงถึงลางดีที่บอกว่าจะมีฮ่องเต้ถือ

ประสูตขิ ึน้ ลางดบี ่งบอกถึงผู้เปน็ เจ้านายจะได้ผู้มีความรู้ความสามารถยดึ ถือในศีลธรรมมาเป็นลูกน้อง
ลางมงคลทีบ่ ่งบอกว่าจะมีสิง่ มงคลเกิดขึ้น แต่ก็มีบา้ งที่บอกถงึ ลางรา้ ย มจี ำนวนท้ังสิ้น 22 สำนวน เชน่

97

ตัวอย่างที่ 53

黄旗紫盖
huáng qí zǐ gài

เมฆทีม่ ีรูปร่างเปน็ ธงสเี หลอื งปกคลุมไปด้วยสีม่วง
ใช้บรรยายถึงถา้ บนท้องฟ้าปรากฏเมฆที่มีรปู ร่างเป็นธงสีเหลอื งปกคลุมไปดว้ ยสีมว่ ง ชาวจนี
ในโบราณกาลเชื่อกนั วา่ เปน็ ลางดที บี่ อกว่าจะมีฮ่องเต้ถอื ประสตู ขิ น้ึ

ตัวอย่างที่ 54

野鸟入庙
yě niǎo rù miào

นกปา่ บินพ่งุ ถาโถมเข้าสศู่ าลบรรพชน
ใช้บรรยายถึงถ้านกป่าบินพุ่งถาโถมเข้าสู่ศาลบรรพชน ชาวจีนในโบราณกาลเชื่อกันว่า เป็น
ลางรา้ ยทีบ่ อกว่าประเทศชาตจิ ะลม่ สลาย

สำนวนไทยมสี ำนวนทส่ี ะทอ้ นความเช่ือเรอ่ื งลางเช่นกนั มีจำนวนทงั้ สน้ิ 3 สำนวน เชน่
ตัวอยา่ งที่ 55
ไมม่ ีเงาหัว
หมายถึง จะประสบเคราะห์ร้าย ที่มาของสำนวนมาจากการถือลางที่เรียกว่า “ไม่มีเงาหัว”
ของคนโบราณ คือถ้ามองเหน็ ใครหัวขาด เหน็ แตต่ ัวไม่เหน็ หัวหรือศรี ษะ คนโบราณเช่ือวา่ เป็นลางไม่ดี
ท่ีบง่ บอกว่าบุคคลนัน้ จะประสบเคราะห์รา้ ยแรง

ตัวอย่างท่ี 56
จ้งิ จกทกั
หมายถึง มีใครตักเตือนควรจะรับฟังไว้บ้าง ที่มาของสำนวนมาจากความเช่ือของชาวไทยที่มี
มาตั้งแต่โบราณกาล คือเมื่อจะเดินทางออกจากบ้าน หากได้ยินเสียงจิ้งจกร้อง ถือว่าเป็นลางร้าย ไม่
ควรออกเดินทาง ความเชื่อนี้จึงมาปรากฏเป็นสำนวนสื่อถึงแม้จิ้งจกทักยังต้องฟัง ใช้เปรียบเทียบถึง
เมอ่ื มกี ารทักท้วงข้ึนมากค็ วรฟงั และคิดพจิ ารณาดู อย่าประมาท

4.12 สำนวนทสี่ ะท้อนความเชอ่ื เร่อื งฮวงจุ้ย
สำนวนจีนที่สะท้อนให้เหน็ ถึงความเช่ือเรอ่ื งฮวงจ้ยุ มที ้ังหมด 2 สำนวน ไดแ้ ก่
ตวั อยา่ งท่ี 57

来龙去脉
lái lóng qù mài

แนวเทือกเขาท่มี ีลกั ษณะรูปร่างคล้ายมังกร

98

เดิมหมายถึงเป็นหนึ่งในหลักการอย่างหนึ่งของศาสตร์ฮวงจุ้ยที่ว่า ถ้ามีแนวเทือกเขารูปร่าง
เป็นแนวยาวและข้ึน ๆ ลง ๆ ทอดยาวเหยียดเช่อื มโยงตดิ ต่อกนั มีลักษณะรูปรา่ งคล้ายตวั มังกร เชื่อกัน
ว่าพ้นื ทแี่ หง่ น้ันเป็นชยั ภูมิมงคลจะให้ความโชคดสี ริ ิมงคล ความสงบสขุ และความเจริญรุ่งเรืองแก่ผู้อยู่
อาศัย ปัจจุบันใช้เปรียบเทียบถึง ที่มา ภูมิหลังความเป็นมาของบุคคลหรือสิ่งของและใช้เปรียบเทียบ
ถงึ มูลเหตแุ ละผลลพั ธ์ของเรือ่ งใดเร่ืองหนง่ึ

ตัวอยา่ งท่ี 58

牛眠龙绕
niú mián lóng rào

ลักษณะพน้ื ที่ววั หลบั มังกรพันลอ้ มรอบ
ใชบ้ รรยายถงึ เป็นหน่งึ ในหลกั การอย่างหนงึ่ ของศาสตร์ฮวงจุ้ยที่ว่า ถ้าสุสานทเ่ี อาไว้ฝังศพของ
บรรพบุรุษมลี กั ษณะพืน้ ท่ีคลา้ ยววั ตงั้ ท่ากำลงั หลับหรอื มมี ังกรพันล้อมรอบถือว่าเป็นทำเลที่ตั้งท่ีดีถ้าใช้
พื้นที่นี้ในการฝังศพบรรพบุรุษเชื่อวา่ จะทำให้ลูกหลานอยู่เยน็ เป็นสุขมีชีวิตที่ดีและเจริญในหน้าที่การ
งาน
จากการศึกษา ผู้วิจัยพบว่าสำนวนไทยไม่มีสำนวนที่สะท้อนความเชื่อเรื่องฮวงจุ้ย โดยอาจ
เป็นเพราะความแตกต่างทางด้านประเพณีวัฒนธรรมที่ทางจีนมีความเชื่อเรื่องฮวงจุ้ยแต่ทางไทยไม่มี
จึงทำให้ไม่มีการสะท้อนความเชื่อเรื่องฮวงจุ้ยในสำนวนไทย ถึงแม้ในปัจจุบันสังคมไทยจะมีการใช้
ศาสตร์ฮวงจุ้ยมาใช้กับการจดั วางของตกแต่งในบ้าน ร้านค้า หรือการเลือกทำเลท่ีอยู่อาศัย รวมไปถึง
การเลือกทำเลเปิดกิจการร้านค้า เพื่อเสริมโชคลาภหนุนเสริมปรับชะตาชีวิตหรือกิจการให้ดีขึ้น แต่
ความเชอ่ื เร่อื งฮวงจุย้ กไ็ ม่ไดเ้ ปน็ ของไทยทส่ี บื ทอดมาต้งั แตโ่ บราณกาลโดยตรง
ความเชอ่ื เรื่องฮวงจยุ้ ของประเทศจนี ได้มีอิทธพิ ลแผข่ ยายความเชื่อน้เี ข้ามาท่ีประเทศไทย จน
มีผู้สนใจเรียนหรือประกอบอาชีพการดูฮวงจุ้ยหรือที่เราเรียกว่า ซินแสฮวงจุ้ย ขึ้นมา ดังที่ วรเทพ
บุณฑริกมาศ (2555) ได้อธิบายถึง ความเชื่อเรื่องฮวงจุ้ยที่มีอิทธิพลต่อประเทศไทยไว้ว่า ศาสตร์ฮวง
จุ้ย (Fengshui) เป็นศาสตร์จีนโบราณท่ีถูกคิดค้นขึ้นโดยชาวจีนเพื่อหาวิธีเปลี่ยนช่องทางการ
เคลื่อนไหวควบคุม เหนี่ยวรั้งและสร้างความกลมกลืนกับพลงั ตา่ ง ๆ ที่ดำรงอยู่ในสภาพแวดลอ้ ม เช่น
พลังงานลมและนำ้ เพื่อปรับปรุงสภาพภูมปิ ระเทศโดยรวมให้ดขี น้ึ
ฮวงจุ้ยได้เข้ามามีอิทธิพลต่อสังคมไทยผ่านทางการค้าขาย และการขยายแสนยานุภาพทาง
การทหารของจีนที่มีการแฝงความรู้เรื่องฮวงจุ้ยมาด้วย ประเทศไทยจึงเป็นประเทศหนึ่งที่ได้รับอารย
ธรรมจีนเรื่องฮวงจุ้ยที่ก้าวโพ้นทะเลมาสู่สังคมไทย ดังจะเห็นได้จากสภาพสิ่งปลูกสร้างในอดีตที่ถูก
บันทึกไว้ในเอกสารทางประวัตศิ าสตร์ ทก่ี ารสรา้ งบ้านเรือนท่ีอยู่อาศัย ศาสนสถาน ทไ่ี ด้ปลูกสร้างโดย
อาศัยหลกั การของศาสตร์ฮวงจุ้ย
นอกจากนี้ยังเห็นได้ชัดว่า กลุ่มคนไทยเชื้อสายจีนที่ประกอบอาชีพค้าขาย โดยการประพฤติ
ตามหลักฮวงจุ้ยอย่างเคร่งครัดได้ประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจกิจการร้านค้ามากมาย จึงทำให้
ปัจจุบันในสังคมไทยได้มีการนำเอาศาสตร์ฮวงจุ้ยมาใช้อย่างมาก โดยเฉพาะการปลูกสร้างบ้าน

99

สถานที่ทำงานและหลุมฝังศพ แต่อย่างไรก็ดี การท่ีสังคมไทยเริ่มนำเอาศาสตร์ฮวงจุ้ยมาใช้ก็ไม่ได้
บ่งบอกว่า คนไทยทุกคนจะยอมรับในศาสตร์ฮวงจยุ้ เพราะมที ัง้ คนเหน็ ดว้ ยและไม่เหน็ ด้วย

จากการเปรียบเทียบข้างต้นเห็นได้ว่าสำนวนที่สะท้อนความเชื่อของจีนทั้ง 12 ประเภทหลัก
น้นั มสี ำนวนไทยในประเภทเดียวกันถึง 11 ประเภท ไดแ้ ก่ สำนวนที่สะท้อนความเชอ่ื เร่ืองสิ่งศักดิ์สิทธิ์
สำนวนที่สะท้อนความเชื่อเรื่องมาร สำนวนที่สะท้อนความเชื่อเรื่องกรรม สำนวนที่สะท้อนความเช่ือ
เรื่องชาติภพ สำนวนที่สะท้อนความเชื่อเรื่องนรก สำนวนที่สะท้อนความเชื่อเรื่องสวรรค์ สำนวนท่ี
สะท้อนความเชือ่ เรือ่ งภตู ผีปีศาจ สำนวนทีส่ ะท้อนความเชือ่ เรื่องฤกษ์ยาม สำนวนที่สะทอ้ นความเชอื่
เรื่องของวิเศษ สำนวนที่สะท้อนความเชื่อเรื่องการทำนายพยากรณ์ สำนวนที่สะท้อนความเชื่อเรื่อง
ลาง ยกเว้นสำนวนทส่ี ะท้อนความเช่อื เรื่องฮวงจุ้ยที่ไม่ปรากฏมีสำนวนไทยทส่ี ะท้อนเร่ืองน้ี ซึง่ สามารถ
สรุปเป็นตารางไดด้ ังนี้

ตารางท่ี 4.1 สำนวนจนี และสำนวนไทยที่เกีย่ วกบั ความเชือ่

ประเภทความเช่ือของสำนวน สำนวนจีน คิดเป็น สำนวนไทย คดิ เป็น
(จำนวน) ร้อยละ (จำนวน) ร้อยละ

1.ความเช่ือเร่ืองสงิ่ ศักด์ิสิทธ์ิ

1.1 ความเชื่อในเร่ืองพระพุทธเจา้ 72 11

1.2 ความเชอ่ื ในเรอ่ื งพระโพธิสัตว์ 16 4

1.3 ความเชือ่ ในเรอ่ื งเทพเจา้ 79 39

1.4 ความเชื่อในเรือ่ งเซยี น 31 6

รวม 198 38.08 60 19.74

2. ความเช่ือเรื่องมาร 14 2.69 10 3.29

3. ความเชื่อเร่ืองกรรม 21 4.04 62 20.39

4. ความเชอ่ื เรอ่ื งชาติภพ 14 2.69 13 4.28

5. ความเชื่อเรื่องนรก 16 3.08 11 3.62

6. ความเช่ือเรื่องสวรรค์ 7 1.35 12 3.95

7. ความเชือ่ เรอ่ื งภูตผีปีศาจ 202 38.85 102 33.55

100

ประเภทความเชื่อของสำนวน สำนวนจีน คิดเป็น สำนวนไทย คดิ เปน็
(จำนวน) ร้อยละ (จำนวน) ร้อยละ
8. ความเชือ่ เรือ่ งฤกษย์ าม 3.62
9. ความเช่อื เรือ่ งของวเิ ศษ 8 1.54 11 4.61
10. ความเช่ือเร่ืองการทำนาย 1.97
9 1.73 14
พยากรณ์ 0.99
11. ความเชือ่ เรอ่ื งลาง 7 1.35 6 0.00
12. ความเชอื่ เรอ่ื งฮวงจุ้ย 100
22 4.23 3
รวม
2 0.38 0

520 100 304

ตารางข้างต้นแสดงให้เห็นวา่ จากสำนวนจีนที่เกี่ยวกับความเชื่อ 520 สำนวน ปรากฏสำนวน
จนี ทเ่ี กย่ี วกับความเชอื่ ดา้ นตา่ งๆ ดังน้ี สำนวนจนี ท่ีเกย่ี วกบั ความเช่อื ดา้ นความเชื่อในเรื่องส่ิงศักด์ิสิทธ์ิ
จำนวน 198 สำนวน คิดเป็นร้อยละ 38.08 สำนวนจีนที่เกี่ยวกับความเชื่อด้านความเชื่อในเรื่องมาร
จำนวน 14 สำนวน คิดเป็นร้อยละ 2.69 สำนวนจีนที่เกี่ยวกับความเชื่อด้านความเชื่อในเรื่องกรรม
จำนวน 21 สำนวน คิดเป็นร้อยละ 4.04 สำนวนจีนท่ีเกี่ยวกบั ความเชื่อดา้ นความเช่ือในเรื่องชาติภพ
จำนวน 14 สำนวน คิดเป็นร้อยละ 2.69 สำนวนจีนที่เกี่ยวกับความเชื่อด้านความเชื่อในเรื่องนรก
จำนวน 16 สำนวน คิดเป็นร้อยละ 3.08 สำนวนจีนที่เกี่ยวกับความเชื่อด้านความเชื่อในเรื่องสวรรค์
จำนวน 7 สำนวน คิดเป็นร้อยละ 1.35 สำนวนจนี ทเี่ กี่ยวกับความเชื่อในเร่ืองภูตผีปีศาจ จำนวน 202
สำนวน คดิ เป็นร้อยละ 38.85 สำนวนจนี ที่เก่ยี วกบั ความเชื่อด้านความเชอ่ื ในเรื่องฤกษย์ าม จำนวน 8
สำนวน คิดเป็นร้อยละ 1.54 สำนวนจีนที่เกี่ยวกบั ความเชือ่ ด้านความเชื่อในเรื่องของวิเศษ จำนวน 9
สำนวน คิดเป็นรอ้ ยละ 1.73 สำนวนจีนท่เี ก่ยี วกบั ความเชื่อด้านความเช่ือในเรื่องการทำนายพยากรณ์
จำนวน 7 สำนวน คิดเป็นร้อยละ 1.35 สำนวนจีนที่เกี่ยวกับความเชื่อด้านความเชื่อในเรื่องลาง
จำนวน 22 สำนวน คิดเป็นร้อยละ 4.23 และสำนวนจีนที่เกีย่ วกับความเช่ือดา้ นความเชื่อในเรือ่ งฮวง
จยุ้ จำนวน 2 สำนวน คิดเป็นร้อยละ 0.38

จากสำนวนไทยที่เกี่ยวกับความเชื่อจำนวน 304 สำนวน ปรากฏสำนวนไทยที่เกี่ยวกับความ
เชือ่ ดา้ นความเชอื่ ในเร่อื งสิ่งศักดิส์ ทิ ธ์ิ จำนวน 60 สำนวน คิดเป็นรอ้ ยละ 19.74 สำนวนไทยท่ีเกี่ยวกับ
ความเชื่อด้านความเชื่อในเรื่องมาร จำนวน 10 สำนวน คิดเป็นร้อยละ 3.29 สำนวนไทยที่เกี่ยวกับ
ความเชอื่ ดา้ นความเชื่อในเร่ืองกรรม จำนวน 62 สำนวน คิดเปน็ รอ้ ยละ 20.39 สำนวนไทยที่เก่ียวกับ
ความเช่อื ด้านความเชื่อในเรื่องชาตภิ พ จำนวน 13 สำนวน คิดเป็นรอ้ ยละ 4.28 สำนวนไทยที่เกย่ี วกับ
ความเชื่อด้านความเชื่อในเรื่องของนรก จำนวน 11 สำนวน คิดเป็นร้อยละ 3.62 สำนวนไทยท่ี

101

เกี่ยวกบั ความเช่ือดา้ นความเช่ือในเร่ืองสวรรค์ จำนวน 12 สำนวน คิดเปน็ ร้อยละ 3.95 สำนวนไทยท่ี
เก่ียวกบั ความเช่ือด้านความเชื่อในเรื่องภูตผีปีศาจจำนวน 102 สำนวน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 33.55 สำนวน
ไทยที่เกี่ยวกับความเชื่อด้านความเชื่อในเรื่องฤกษ์ยาม จำนวน 11 สำนวน คิดเป็นร้อยละ 3.62
สำนวนไทยที่เกี่ยวกับความเชื่อด้านความเชื่อในเรื่องของวิเศษ จำนวน 14 สำนวน คิดเป็นร้อยละ
4.61 สำนวนไทยทเ่ี กย่ี วกบั ความเชื่อด้านความเช่ือในเรื่องการทำนายพยากรณ์ จำนวน 6 สำนวน คิด
เป็นรอ้ ยละ 1.97 และสำนวนไทยที่เกีย่ วกับความเช่ือดา้ นความเช่ือในเร่ืองลาง จำนวน 3 สำนวน คิด
เป็นร้อยละ 0.99 ไม่พบสำนวนไทยทเ่ี กี่ยวกบั ความเชือ่ ดา้ นฮวงจุ้ย

อนงึ่ แม้มใี นประเภทเดียวกันสะท้อนให้เหน็ วา่ มีความเช่ือในประเภทดังกล่าวเหมือนกัน แต่ก็
ยงั มีความแตกต่างอยู่เช่นกัน เช่น แม้วา่ ไทยและจนี ล้วนมีสำนวนสะท้อนความเช่ือเร่ืองลางเหมือนกัน
แตก่ เ็ ป็นลางท่ีต่างกัน จีนมีสำนวนกล่าวถึงนกป่าบินเข้าสู่ศาลบรรพชน (ตวั อยา่ งท่ี 54) เป็นลางร้ายที่
บอกว่าประเทศชาติจะล่มสลาย แต่ไทยไม่มีความคิดเร่ืองลางเช่นน้ี ไทยมีความคิดเร่ืองลางยามจิ้งจก
ทัก (ตัวอย่างที่ 56) ซึ่งจีนก็ไม่มีความคิดว่าจิ้งจกทักจะเป็นลางร้าย เป็นต้น นอกจากนี้แม้ไทยไม่มี
สำนวนสะท้อนเร่ืองฮวงจุ้ย ไม่ใช่ศาสตร์ดั้งเดมิ ที่สืบทอดมาตัง้ แต่โบราณกาลของไทย แต่ก็พบว่ามีคติ
ในการสร้างบ้านเรือน สร้างส่ิงก่อสร้างของคนไทยคล้ายการวางฮวงจุ้ยเช่นกัน เช่น การมีความเชื่อว่า
จะไม่นิยมสร้างเรือนขวางตะวัน หรือมีพิธีกรรมอันสะท้อนความเชือ่ เรื่องการสร้างบ้าน ได้แก่ การตั้ง
เสาเอกเสาโท การใส่ของมงคลไว้ท่ีก้นหลุมของเสาเอก การหาฤกษ์สำหรับตั้งเสาเอก หรือแม้แต่การ
เลือกทศิ ทางตำแหนง่ ของเสาเอกใหถ้ กู โฉลกกบั เจ้าของบ้าน เป็นต้น

บทท่ี 5

สรปุ ผลการวิจยั

จากการศึกษาเปรยี บเทียบสำนวนจีนกบั สำนวนไทยทีเ่ ก่ียวกับความเช่ือ ทำให้ทราบถงึ ความ
คล้ายคลึงและความแตกต่างของคติความเชื่อในสังคมวัฒนธรรมจีนและไทยท่ีสะท้อนผ่านสำนวนที่
เกี่ยวกับความเช่อื ผลการวิจัยสรปุ ไดด้ ังน้ี

5.1 ประเภทความเชอื่ ของสำนวนจนี และสำนวนไทย
จากตาราง 4.1 สรุปไดว้ ่า จากสำนวนจีนท่ีเกี่ยวกับความเช่ือ 520 สำนวน ปรากฏสำนวนจีน

ที่เกี่ยวกับความเช่ือด้านความเช่ือในเรื่องภูตผีปีศาจมากที่สุดเป็นจำนวนถึง 202 สำนวน คิดเป็นร้อย
ละ 38.85 สะทอ้ นให้เหน็ ถึงคนจนี มีความเชื่อเร่ืองภูตผปี ีศาจเปน็ อย่างมาก รองลงมาคือ สำนวนจีนที่
เกีย่ วกับความเชอ่ื ดา้ นความเช่ือในเร่ืองส่ิงศักดิ์สิทธิ์ จำนวน 198 สำนวน คิดเปน็ รอ้ ยละ 38.08 ลำดับ
ที่สามคือ สำนวนจีนที่เกี่ยวกับความเชื่อด้านความเชือ่ ในเรื่องลาง จำนวน 22 สำนวน คิดเป็นร้อยละ
4.23 ลำดับที่สี่คือ สำนวนจีนที่เกี่ยวกับความเชื่อด้านความเชื่อในเรื่องกรรม จำนวน 21 สำนวน คิด
เป็นร้อยละ 4.04 ลำดับที่ห้าคือ สำนวนจีนที่เกี่ยวกับความเชื่อด้านความเชื่อในเรื่องนรก จำนวน 16
สำนวน คิดเป็นร้อยละ 3.08 ลำดับที่หกคือ สำนวนจีนที่เกี่ยวกับความเชื่อด้านความเชื่อในเรื่องมาร
จำนวน 14 สำนวน และสำนวนจีนที่เกี่ยวกับความเชื่อด้านความเชื่อในเรื่องชาติภพ จำนวน 14
สำนวน คิดเป็นร้อยละ 2.69 ลำดับที่เจ็ดคือ สำนวนจีนที่เกี่ยวกับความเชื่อด้านความเชื่อในเรื่องของ
วเิ ศษ จำนวน 9 สำนวน คิดเป็นรอ้ ยละ 1.73 ลำดบั ที่แปดคอื สำนวนจนี ทเ่ี กีย่ วกบั ความเชอื่ ดา้ นความ
เชอ่ื ในเรื่องฤกษย์ าม จำนวน 8 สำนวน คดิ เปน็ ร้อยละ 1.54 ลำดับทเี่ กา้ คือ สำนวนจีนทเ่ี กยี่ วกบั ความ
เชื่อด้านความเชื่อในเรื่องการทำนายพยากรณ์ จำนวน 7 สำนวน และสำนวนจีนที่เกี่ยวกับความเชื่อ
ด้านความเช่ือในเรื่องสวรรค์ จำนวน 7 สำนวน คิดเป็นร้อยละ 1.35 ลำดับสุดท้ายคือสำนวนจีนที่
เกย่ี วกับความเชอ่ื ดา้ นความเช่ือในเรอ่ื งฮวงจยุ้ จำนวน 9 สำนวน คิดเปน็ ร้อยละ 1.73

จากสำนวนไทยที่เกี่ยวกับความเชื่อจำนวน 304 สำนวนพบว่า ปรากฏสำนวนไทยที่เกี่ยวกับ
ความเชื่อด้านความเชื่อในเรื่องภูตผีปีศาจมากที่สุดเป็นจำนวนถึง 102 สำนวน คิดเป็นร้อยละ 33.55
สะท้อนให้เห็นถงึ คนไทยมีความเชือ่ เร่ืองภูตผีปีศาจเป็นอย่างมาก รองลงมาคือ สำนวนไทยที่เกี่ยวกับ
ความเช่ือด้านความเชื่อในเร่ืองกรรม จำนวน 62 สำนวน คิดเป็นร้อยละ 20.39 ลำดับที่สามคือ
สำนวนไทยที่เกี่ยวกับความเชื่อด้านความเชื่อในเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จำนวน 60 สำนวน คิดเป็นร้อยละ
19.74 ลำดับทส่ี ค่ี อื สำนวนไทยที่เกี่ยวกับความเช่ือดา้ นความเชอ่ื ในเรื่องของวิเศษ จำนวน 14 สำนวน
คิดเป็นร้อยละ 4.61 ลำดับที่ห้าคือ สำนวนไทยที่เกี่ยวกับความเชื่อด้านความเชื่อในเรื่องชาติภพ
จำนวน 13 สำนวน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 4.28 ลำดบั ทีห่ กคือ สำนวนไทยที่เก่ียวกับความเช่ือด้านความเชื่อ

103

ในเรื่องสวรรค์ จำนวน 12 สำนวน คิดเป็นร้อยละ 3.95 ลำดับที่เจ็ดคือ สำนวนไทยที่เกี่ยวกับความ
เชื่อด้านความเชื่อในเรือ่ งของนรก จำนวน 11 สำนวน และสำนวนไทยที่เกี่ยวกับความเช่ือด้านความ
เชื่อในเรื่องฤกษ์ยาม จำนวน 11 สำนวน คิดเป็นร้อยละ 3.62 ลำดับที่แปดคือ สำนวนไทยที่เกี่ยวกับ
ความเชื่อด้านความเชื่อในเรื่องมาร จำนวน 10 สำนวน คิดเป็นร้อยละ 3.29 ลำดับที่เก้าคือ สำนวน
ไทยที่เก่ียวกับความเชื่อด้านความเชื่อในเรื่องการทำนายพยากรณ์ จำนวน 6 สำนวน คิดเป็นร้อยละ
1.97 ลำดับสุดท้ายคือสำนวนไทยท่ีเก่ยี วกับความเชื่อด้านความเชื่อในเร่ืองลาง จำนวน 3 สำนวน คิด
เป็นรอ้ ยละ 0.99

จากข้อมลู ขา้ งต้นจะเห็นได้ว่า สำนวนจนี ทเี่ ก่ยี วกับความเชื่อด้านความเช่ือในเรื่องภูตผีปีศาจ
มากที่สุดเป็นจำนวนถึง 202 สำนวน คิดเป็นร้อยละ 38.85 ซ่ึงเหมือนกับในฝั่งของสำนวนไทยก็
ปรากฏสำนวนที่เก่ียวกับความเช่ือด้านความเชื่อในเรื่องภูตผีปีศาจมากท่ีสุดเป็นจำนวนถึง 102
สำนวน คิดเป็นร้อยละ 33.55 สะท้อนให้เห็นถึงคนจีนและคนไทยมีความเชื่อเรื่องภูตผีปีศาจเป็น
อย่างมาก

5.2 ความเหมือนและความแตกต่างของคติความเช่ือของจีนและไทยท่ีสะท้อนผ่านสำนวนที่
เก่ยี วกับความเชื่อ

จากการศึกษาเปรียบเทียบสำนวนจีนที่เก่ียวกับความเช่ือกับสำนวนไทย พบว่าสำนวนที่
สะท้อนความเชื่อของจีนทั้ง 12 ประเภทหลักน้ันมีสำนวนไทยในประเภทเดียวกันถึง 11 ประเภท
ได้แก่ สำนวนท่ีสะท้อนความเชื่อเรื่องส่ิงศักดิ์สิทธิ์ สำนวนที่สะท้อนความเช่ือเรื่องมาร สำนวนท่ี
สะท้อนความเชื่อเรื่องกรรม สำนวนที่สะท้อนความเชื่อเรื่องชาติภพ สำนวนที่สะท้อนความเชื่อเรื่อง
นรก สำนวนที่สะท้อนความเชื่อเรื่องสวรรค์ สำนวนท่ีสะท้อนความเช่ือเรื่องภูตผีปีศาจ สำนวนท่ี
สะท้อนความเชื่อเรื่องฤกษ์ยาม สำนวนที่สะท้อนความเชื่อเรื่องของวิเศษ สำนวนที่สะท้อนความเชื่อ
เรื่องการทำนายพยากรณ์ สำนวนที่สะท้อนความเชื่อเร่ืองลาง ยกเว้นสำนวนที่สะท้อนความเชื่อเรื่อง
ฮวงจยุ้ ที่ไมป่ รากฏมสี ำนวนไทยที่สะทอ้ นเร่อื งน้ี ซ่ึงสามารถสรปุ ไดเ้ ป็นตารางดงั นี้

ตารางที่ 5.1 ประเภทความเช่อื ทป่ี รากฏในสำนวนจนี และสำนวนไทยทเี่ ก่ยี วกับความเชื่อ

ประเภทความเช่ือของสำนวน สำนวนจีน สำนวนไทย
1.ความเช่ือเร่ืองสิง่ ศักด์สิ ิทธ์ิ
√ √
1.1 ความเชื่อในเร่ืองพระพทุ ธเจา้ √ √
1.2 ความเชื่อในเร่อื งพระโพธิสตั ว์ √ √
1.3 ความเชือ่ ในเร่ืองเทพเจ้า

104

ประเภทความเชื่อของสำนวน สำนวนจีน สำนวนไทย
1.4 ความเชือ่ ในเรอ่ื งเซียน √ √
2. ความเชอ่ื เร่อื งมาร √ √
√ √
3. ความเชือ่ เร่อื งกรรม √ √
√ √
4. ความเชื่อเรื่องชาตภิ พ √ √
√ √
5. ความเชอื่ เรื่องนรก √ √
√ √
6. ความเช่อื เรอ่ื งสวรรค์ √ √

7. ความเชอ่ื เรือ่ งภตู ผปี ีศาจ √ √
√ -
8. ความเชอื่ เรือ่ งฤกษย์ าม

9. ความเชือ่ เรอ่ื งของวเิ ศษ

10. ความเชอ่ื เร่อื งการทำนาย
พยากรณ์

11. ความเชอื่ เรื่องลาง

12. ความเชอื่ เรอ่ื งฮวงจุ้ย

อน่ึง แม้มใี นประเภทเดียวกันสะท้อนใหเ้ หน็ วา่ มีความเชื่อในประเภทดังกล่าวเหมือนกัน แต่ก็
ยังมีความแตกต่างอยู่เช่นกัน ซึ่งสามารถสรุปความแตกตา่ งกันในแต่ละประเภทความเชือ่ ที่ปรากฏใน
สำนวนจนี และสำนวนไทยท่ีเกีย่ วกับความเชื่อได้ดังน้ี

5.2.1 ความเชอ่ื เรอ่ื งพระพทุ ธเจา้

จากการศึกษาพบว่าสำนวนจีนและสำนวนไทยมีการสะท้อนความเชื่อเรื่องพระพุทธเจ้า
เช่นเดียวกัน แสดงให้เห็นว่าชาวจีนและชาวไทยมีความเชื่อเรื่องพระพุทธเจ้าเหมือนกันซึ่งอาจเป็น
เพราะชาวจีนและชาวไทยมีการนับถือพระพุทธศาสนาเหมือนกัน จึงทำให้ปรากฏพระนามของ
พระพุทธเจ้าหรือคำที่หมายถึงองค์สมเดจ็ พระสัมมาสมั พุทธเจา้ ในหลายสำนวน แตด่ ้วยความแตกต่าง
ทางด้านประเพณี วฒั นธรรม คตคิ วามเชอื่ รวมถึงสภาพแวดลอ้ มท่ตี ่างกันจงึ ทำใหค้ ตคิ วามเช่ือของชน
ชาติทั้งสองที่สะท้อนผ่านสำนวนจีนและไทยแตกต่างกันเช่นกัน เช่น จีนและไทยนับถือพระพุทธเจ้า
ต่างกัน เช่น ปรากฏพระนามของพระพุทธเจ้าของพระพุทธศาสนาอุตรนิกายสายจีนหรือเรียกอีกช่ือ

105

หนึ่งว่าพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานในสำนวนจีน อย่างเช่น Ēmítuófó 阿弥陀佛1 ซึ่งแปลว่าเป็น
พระนามของพระอมติ าภะพุทธเจา้ ซง่ึ ในพุทธศาสนาไทยนบั ถือพระศากยมนุ ีพทุ ธเจา้ เท่าน้นั เปน็ ต้น

นอกจากน้ียงั พบประเด็นทีน่ ่าสนใจคือ สำนวนไทยท่สี ะท้อนความเช่อื เรอื่ งพระพทุ ธเจ้าน้ันจะ
ไมม่ กี ารนำพระนามของพระพุทธเจ้ามาใส่ในสำนวนแบบทางจีน แตท่ างไทยจะมกี ารนำคำว่า พระ มา
ใส่ไวใ้ นสำนวนไทยซ่ึงส่ือความหมายถงึ พระพุทธเจ้า ซงึ่ คำว่า พระ ในที่นีเ้ มื่ออยู่ในสำนวนสามารถสื่อ
ความหมาย 4 ประเภท ไดแ้ ก่ 1) พระพทุ ธเจ้า เช่น จงไหว้พระกราบหมอนก่อนนอนหนา พระ ในท่ีนี้
หมายถึง พระพุทธเจ้า 2) ภิกษุสงฆ์ เช่น มากับพระ แมวพึ่งพระ ตักบาตรอย่าถามพระ พระ ในที่นี้
หมายถึง ภิกษุสงฆ์ 3) พระพุทธรูป เช่น ลอกทองพระ ปิดทองหลังพระ พระอิฐพระปูน พระ ในที่น้ี
หมายถงึ พระพุทธรูป 4) ผูท้ ีม่ ีเมตตากรณุ าทรงคุณงามความดีเหมือนพระ เช่น สำนวน แมพ่ ระ แต่ใน
งานวิจัยนี้จะคัดเลือกเฉพาะสำนวนที่มีคำวา่ พระ ที่มีความหมายสื่อถงึ พระพุทธเจ้าและพระพุทธรูป
มาศกึ ษาเท่าน้ันเพ่อื สะท้อนให้เห็นถงึ ความเชื่อเร่ืองสง่ิ ศักดิ์สิทธ์ิ

5.2.2 ความเช่อื เรอ่ื งพระโพธิสัตว์

จากการศึกษาพบว่าสำนวนจีนและสำนวนไทยมีการสะท้อนความเช่ือเร่ืองพระโพธิสัตว์
เช่นเดียวกัน แสดงให้เห็นว่าชาวจีนและชาวไทยมีความเชื่อเรื่องพระโพธิสัตว์เหมือนกัน ซึ่งอาจเป็น
เพราะชาวจนี และชาวไทยนับถอื พระพุทธศาสนาเชน่ กนั แม้คนละนกิ าย จงึ ปรากฏการนำพระนามของ
พระโพธิสตั วห์ รือคำท่สี ื่อหมายถึงพระโพธิสัตว์ในสำนวน แตถ่ ึงแม้วา่ ไทยและจีนล้วนมีสำนวนสะท้อน
ความเชื่อเร่ืองพระโพธิสัตว์เหมือนกัน แต่ก็พบว่าเป็นพระโพธิสัตว์ที่ต่างกัน ดังเช่น จีนมีสำนวน
กล่าวถึงพระนามของพระโพธิสัตว์กวนอิน หรือพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ ซึ่งเป็นพระโพธิสัตว์ทาง
พุทธศาสนาฝ่ายมหายาน เช่น shuǐ yuè Guānyīn 水月观音 ซึ่งแปลว่า พระโพธิสัตว์กวนอิน
ปางทอดพระเนตรมองเงาจันทร์ในน้ำ ซ่ึงเป็นสำนวนท่ีใช้บรรยายถึงพระโพธิสัตว์กวนอินปาง
ทอดพระเนตรมองเงาจนั ทร์ในน้ำ เปน็ หน่ึงใน 33 ปางของพระโพธิสตั วก์ วนอิน ซงึ่ ไทยไมม่ กี ารปรากฏ
ช่ือพระโพธิสัตว์กวนอินในสำนวนไทย อาจเป็นเพราะแต่เดิมมาคนไทยมิได้นับถือหรือรู้จักพระ
โพธิสัตว์กวนอินซึ่งเป็นพระโพธิสัตว์ในพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน ถึงแม้ในปัจจุบันทางไทยจะบูชาหรอื
ตั้งประดิษฐานรูปประติมากรรมองค์พระโพธิสัตว์กวนอินตามวัดจีนหรือศาลเจ้าในประเทศไทยหรือ
ตามสถานที่ตา่ ง ๆ สมพงศ์ สกุ ใส (2535: 85) ไดก้ ล่าวถึงเจ้าแม่กวนอินไวว้ า่ ในบรรดาพระโพธิสัตว์ท่ี
ชาวไทยเชื้อสายจีนให้ความเคารพนับถือมากที่สุดองค์หนึ่งคือ พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรหรือพระ

1阿弥陀佛 Ēmítuófó คือ พระอมิตาภะพุทธเจ้า ทรงเป็นพระพุทธเจ้าที่พุทธศาสนิกชนฝ่ายมหายานบูชาแพร่หลายมาก
ที่สดุ พระองคท์ รงประทับและปกครองดินแดนพุทธเกษตรอยใู่ นโลกธาตุทางทศิ ตะวนั ตก เรยี กช่อื ว่า สขุ าวดีพุทธเกษตรอันเป็นแดนท่ไี ม่
มีทุกขม์ ีแต่สุข พระสตู รของพุทธศาสนาฝา่ ยมหายานมีกลา่ วถึงพระองคท์ ่านหลายสูตรเช่น “สุขาวดีวยูหสูตร” เป็นต้น พระสูตรเหล่าน้ี
ชาวพุทธฝ่ายมหายานเชื่อกันว่าหากผู้ที่หมัน่ เจริญภาวนา สวดพระนามของพระองค์ท่านด้วยคำว่า “นำโมออมีถอ่ ฮุก” ในภาษาจีน ผู้
ปฏิบัติดังนเ้ี ม่อื หมดอายขุ ยั ถึงแกก่ รรม พระองคท์ ่านจะมารับไปเกิด ณ แดนสุขาวดีพุทธเกษตร (นวรตั น์ ภักดคี ำ, 2553: 89)

106

โพธิสัตว์กวนอนิ ซง่ึ มีความเชือ่ กนั ว่า ความศกั ด์ิสิทธิข์ องเจ้าแมก่ วนอนิ จะสามารถดลบลั ดาลให้อยู่เย็น
เปน็ สุข ปกปอ้ งใหพ้ ้นจากภัยอันตรายทั้งปวงได้

ในดา้ นสำนวนไทยพบวา่ ปรากฏชอ่ื พระโพธสิ ัตวใ์ นพระพุทธศาสนาฝา่ ยเถรวาทแต่ไม่ปรากฏ
ในนิกายฝ่ายจีนมหายาน เช่น ใจบุญเหมือนพระเวสสันดร หรือ พระเตมีย์ใบ้ พระนามพระเวสสันดร
และพระเตมีย์ล้วนเป็นพระนามของพระโพธิสัตว์ในมหาชาติหรือที่คนไทยเรียกกันว่า ทศชาติ ซึ่งเป็น
การกล่าวถึงการบำเพ็ญบารมีใน 10 ชาติสุดท้ายของพระโพธิสัตว์ ก่อนจะเสวยพระชาติมาเกิดเป็น
พระโคตมพุทธเจา้ หรือเจ้าชายสทิ ธัตถะแห่งศากยวงศ์ หรอื พระศากยมนุ ีพุทธเจ้า

นอกจากนยี้ งั พบวา่ สำนวนไทยทีม่ คี วามเช่ือเกี่ยวกับพระโพธิสตั วน์ ้ันจะมีแต่สำนวนที่นำพระ
นามของพระโพธิสัตว์ในพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทมาใส่ประกอบในสำนวน ไม่พบสำนวนไทยที่นำ
คำว่า พระโพธิสัตว์ มาประกอบในสำนวน ต่างจากสำนวนจีนที่มีทั้งนำพระนามของพระโพธิสัตว์มา
ประกอบในสำนวนและนำคำ púsà 菩萨 ท่แี ปลวา่ พระโพธิสัตว์มาประกอบในสำนวนด้วย

5.2.3 ความเชื่อเรอ่ื งเทพเจ้า

จากการศึกษาพบว่าสำนวนจีนและสำนวนไทยสะท้อนความเชื่อเรื่องเทพเจ้าเช่นเดียวกัน
แสดงให้เห็นว่าชาวจีนและชาวไทยมีความเชื่อเรื่องเทพเจ้าเหมือนกัน แต่ถึงแม้ว่าไทยและจีนล้วนมี
สำนวนสะทอ้ นความเชอ่ื เร่ืองเทพเจา้ เหมอื นกันก็พบว่าเป็นเทพเจา้ ที่ต่างกัน ดังเชน่ จนี มสี ำนวน yuè
xià lǎorén 月下老人 แปลว่า ผู้เฒา่ จนั ทรา เป็นชอ่ื เทพเจ้าท่ีดูแลเรื่องความรักและการแต่งงาน
ท่ีเป็นความเชื่อในเทพนิยายจีน ซ่ึงจะมีหน้าท่ีคอยเป็นพ่อสื่อดูแลเรื่องความรักชักนำคนรักให้กับ
มนุษย์โลก ซึ่งไทยไม่มีเทพเจ้าองค์นี้ แต่ในด้านของไทยก็จะมีเทพเจ้าหรือเทวดาที่ทางจีนไม่มีอย่าง
พระอินทร์ เช่น พระอินทร์มาเขียว ๆ ซึ่งพระอินทร์หรือท้าวอมรินทร์เทวาธิราช ถือว่าเป็นเทพองค์
สำคัญของศาสนาพราหมณ์ มีตำแหน่งเป็นพระราชาผู้เป็นใหญ่แห่งเทพทั้งปวงในสรวงสวรรค์ชั้น
ดาวดงึ ส์ เปน็ เทพท่ีคนไทยนับถือเปน็ อย่างมาก

5.2.4 ความเชื่อเรือ่ งเซยี น

จากการศึกษาพบว่าสำนวนจีนและสำนวนไทยมีการสะท้อนความเชื่อเรื่องเซียนเหมือนกัน
ซึ่งคำว่า เซียน นั้นเดิมทีเป็นความเชื่อของจีน โดยแปลว่า มนุษย์ผู้บำเพ็ญตนตามแนวทางและ
บทบัญญัติที่กำหนดไว้ในศาสนาเต๋าจนบรรลุผลแห่งการบำเพ็ญในระดับใดระดับหนึ่งทำให้มีอายุยืน
ยาว เปน็ อมตะไมต่ าย และมีอิทธิฤทธ์นิ านาประการ ภายหลงั ความเชื่อเรอ่ื งเซยี นน้ีได้แผ่อิทธิพลมาถึง
ประเทศไทยจึงทำให้มีความเชื่อเรื่องเซยี นปรากฏในสำนวนไทย เชน่ เป็นเซียน หมายถงึ เซียนเป็นคำ
ภาษาจีน แปลว่าเทวดาหรือผู้วิเศษ มีกล่าวถึงในเรื่องพงศาวดารจีนมากมาย เป็นสำนวนหมายความ
ว่า เก่งช่ำชองที่สุด เปรียบเสมือนเก่งอย่างเซียน แต่ส่วนใหญ่มักใช้ในทางไม่ดี เช่น โกงเป็นเซียน
หมายความว่า คดโกงที่สุด (สง่า กาญจนาคพันธ์, 2538: 348) จึงเห็นได้ว่าความเช่ือเรื่องเซียนท่ี

107

ปรากฏในสำนวนจีนและสำนวนไทยนั้นจึงเป็นเซียนที่ความหมายและชนิดเหมือนกันเพราะไทยน้ัน
ไดร้ ับอิทธิพลความเช่ือเรื่องเซยี นจากประเทศจีน

การทสี่ าํ นวนไทยบางสาํ นวนได้รับอทิ ธิพลและมคี ำมาจากภาษาจีนประกอบในสำนวนนั้นเป็น
เพราะจีนและไทยมีความสัมพันธ์กนั มายาวนานนับแตโ่ บราณกาล จากบนั ทกึ ทางประวตั ิศาสตร์กล่าว
ว่า ชาวจีนเป็นชนชาติแรกทีม่ ีความสัมพันธ์กับไทยมาตั้งแต่สมัยกรงุ สุโขทัยเป็นราชธานีและเป็นผู้ที่มี
บทบาทและอิทธิพลเกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจ สังคม ศิลปกรรม รวมไปถึงวรรณกรรมและภาษาของไทย
มาโดยตลอด ชาวจีนที่เข้ามาในไทย แบ่งเป็น 5 กลุ่มใหญ่ คือ จีนแต้จิ๋ว จีนฮกเกี้ยน จีนแคะ จีน
ไหหลํา และจีนกวางตุ้ง (มัลลิกา เรืองระพี, 2518: 7) ด้วยเหตุน้ีไทยจึงเป็นประเทศหน่ึงท่ีได้รับ
อารยธรรมวัฒนธรรมประเพณี รวมไปถึงความคิด วิถีชีวิต ศิลปะและความรู้ด้านต่าง ๆ ของจีน มา
ผสมผสานอยใู่ นประเพณีวฒั นธรรม รวมไปถงึ ภาษา สำนวน วรรณกรรมอยา่ งมากมาย

5.2.5 ความเชอ่ื เรอ่ื งมาร

จากการศึกษาพบว่ามีสำนวนจีนและสำนวนไทยสะท้อนความเช่ือเรื่องมารเช่นเดียวกัน
แสดงให้เหน็ ว่าชาวจีนและชาวไทยมีความเชื่อเร่ืองมารเหมือนกัน ซ่งึ คำวา่ มาร ทีป่ รากฏในสำนวนจีน
และสำนวนไทยนั้นมีความหมายที่เหมือนกัน ซึ่งอาจเป็นเพราะคนจีนและคนไทยนับถือศาสนาพุทธ
เหมือนกันเพราะคำว่า มาร นั้นมาจากพระพุทธศาสนา ซึ่งมีรากศัพท์มาจากภาษาสันสกฤต แปลว่า
ตาย มารจึงแปลว่า ผู้ทำให้ตาย ในพุทธศาสนาได้กล่าวว่า มารสามารถช่วงชิงชีวิตมนุษย์และคอยทำ
รา้ ยการบำเพญ็ เพยี รของผูบ้ ำเพญ็ เพยี รให้มีความทุกขใ์ จ จิตใจปั่นป่วนและลมุ่ หลงอย่ใู นความมวั เมา

ถึงแม้คำว่า มาร ในสำนวนจีนและสำนวนไทยมีความหมายที่เหมือนกันและมีที่มาจาก
พระพุทธศาสนาเหมอื นกนั แต่คนจนี ก็มกี ารนำคำว่า มาร ไปประกอบเปน็ สำนวนท่ีมีความหมายเฉพาะ
ในสำนวนจีน ไม่มีในสำนวนไทย เช่น bìng mó chán shēn 病魔缠身 แปลวา่ มารแห่งโรคภัยไข้
เจ็บรัดพันร่างกาย จะเห็นได้ว่าคนจีนมีการนำคำว่า มาร มาใช้เปรียบเทียบถึงการมีโรคภัยไข้เจ็บ
รุมเร้า ซึ่งในสำนวนไทยไม่มี แต่สำนวนไทยก็มีการนำคำว่า มาร มาใช้เปรียบเทยี บถงึ ความโลภ โกรธ
หลง เชน่ สำนวน บว่ งมาร ซึ่งไม่ปรากฏในสำนวนจนี

5.2.6 ความเชื่อเรอื่ งกรรม
จากการศึกษาพบว่ามีสำนวนจีนและสำนวนไทยท่ีสะท้อนความเชื่อเรื่องกรรมเช่นเดียวกัน
แสดงให้เห็นวา่ ชาวจนี และชาวไทยมีความเช่ือเรอื่ งกรรมเหมอื นกัน ซึง่ คติความเชอ่ื เรอ่ื งกรรมที่ปรากฏ
ใ น ส ำ น ว น จ ี น แ ล ะ ส ำ น ว น ไ ท ย นั้ น เ ป ็ น ค ติ ค ว า ม เ ช่ื อ เ รื่ อ ง ก ร ร ม ท่ี เ ป็ น ห ลั ก ธ ร ร ม ค ว า ม เ ช่ื อ ใ น
พระพุทธศาสนาเหมือนกันคือเชื่อว่า ผู้กระทำกรรมดีย่อมได้รับผลกรรมที่ดี ผู้กระทำกรรมชั่วย่อม
ได้รบั ผลกรรมช่วั เช่น shàn yǒu shàn bào,è yǒu è bào 善有善报,恶有恶报 หมายถงึ
ผู้ทำกรรมดี ย่อมได้รับผลกรรมที่ดี คนผู้ทำกรรมชั่วย่อมได้รับผลกรรมชั่ว ในส่วนของสำนวนไทยก็มี
คติความเชื่อเรื่องกรรมที่คล้ายกัน เช่น ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว จึงจะเห็นได้ว่าคติความเชื่อเรื่องกรรมท่ี

108

ปรากฏในสำนวนจีนและสำนวนไทยนั้นเหมือนกัน ซึ่งการที่คติความเชื่อเรื่องกรรมที่เป็นหลักธรรม
ของพระพุทธศาสนาปรากฏในสำนวนจีนและสำนวนไทยเหมือนกันนั้น อาจเป็นเพราะคนจีนและคน
ไทยมีการนับถือศาสนาพุทธเหมือนกัน จึงได้นำคติความเชื่อเรื่องกรรมที่เป็นแก่นหลักธรรมคำสอน
ของพระพทุ ธศาสนามาใส่ในสำนวน

5.2.7 ความเชอ่ื เรือ่ งชาติภพ
จากการศึกษาพบว่ามีสำนวนจีนและสำนวนไทยสะท้อนความเชื่อเรื่องชาติภพเช่นเดียวกัน
แสดงใหเ้ หน็ วา่ ชาวจนี และชาวไทยมีคติความเชือ่ เร่อื งชาติภพเหมือนกัน ซึ่งคตคิ วามเชอื่ เรอื่ งชาติภพท่ี
ปรากฏในสำนวนจีนและสำนวนไทยนั้นเป็นคติความเช่ือเรื่องชาติภพที่เป็นหลักธรรมความเชื่อใน
พระพุทธศาสนาเหมือนกันคือ เชื่อว่ามีชาติอดีต ชาติปัจจุบัน และชาติอนาคต และเชื่อว่าสัตว์โลก
ท้งั หลาย ตอ้ งเวียนวา่ ยตายเกิดในวัฏสงสารทัง้ 6 ภมู ิ ดว้ ยอำนาจกเิ ลส กรรม วบิ าก หมนุ วนอย่เู ชน่ น้ัน
ไม่จบสิ้นด่ังหมุนวงล้อที่หมุนวนไปไม่มีที่สิ้นสุด ตราบเท่าที่ยังตัดกิเลส กรรม วิบากไม่ได้ หรือเชื่อว่า
กรรมในชาตปิ จั จุบันที่ได้รบั เปน็ ผลมาจากการกระทำในอดีตชาติ และกรรมที่ก่อไว้ในชาติปัจจุบันเป็น
เหตุที่จะส่งผลสืบเนื่องต่อไปยังชาติหน้า ซึ่งความเชื่อในเรื่องชาติภพเหล่านีส้ ะท้อนในสำนวนจีนและ
สำนวนไทยเหมือนกัน เช่น lái shēng lái shì 来生来世 แปลว่า ชาติภพหน้า สำนวนไทย
เช่น ชาติหน้าตอนบ่าย ๆ เป็นต้น ซึ่งการที่คติความเชื่อเรื่องชาติภพท่ีเป็นหลักธรรมใน
พระพทุ ธศาสนาปรากฏในสำนวนจีนและสำนวนไทยเหมือนกันน้ัน อาจเปน็ เพราะคนจนี และคนไทยมี
การนับถือศาสนาพุทธเหมือนกัน จึงได้นำคติความเช่ือเรื่องชาติภพที่เป็นหลักธรรมคำสอนของ
พระพุทธศาสนามาใส่ในสำนวนเช่นเดยี วกัน

5.2.8 ความเชื่อเรอ่ื งนรก
จากการศึกษาพบว่ามีสำนวนจีนและสำนวนไทยสะท้อนความเชื่อเรื่องนรกเช่นเดียวกัน
แสดงให้เห็นว่าชาวจีนและชาวไทยมีคติความเชื่อเร่ืองนรกเหมือนกนั นอกจากนย้ี งั พบว่า ช่ือขุมนรกท่ี
ปรากฏในสำนวนจีนและสำนวนไทยล้วนเป็นชื่อขุมนรกของทางพระพุทธศาสนาทั้งสิ้น เช่น สำนวน
จีนท่ีปรากฏชื่อขุมนรกของทางพระพุทธศาสนาคือ ā bí dìyù 阿鼻地狱 อเวจีมหานรก สำนวน
ไทย เช่น ขนึ้ ตน้ งิ้ว แปลว่า ชายหญงิ ทเี่ ปน็ ชกู้ ัน เมือ่ ตายไปแลว้ จะต้องตกนรกชั้นโลหสิมพลีนรกได้รับ
ความเดือดร้อนแสนสาหสั ชั่วกัปชั่วกัลป์ นรกชั้นโลหสมิ พลีเป็นนรกทีม่ ีต้นงิ้วเหล็ก มีหนามแหลมยาว
ถึง 16 องคุลี ลุกโชนเป็นไฟ หญิงชายที่ล่วงประเวณีเป็นชู้กัน จะต้องถูกลงโทษพร้อมกันในนรกง้ิว
เหล็กน้ี โดยการถกู แทงดว้ ยหอกให้ขึ้นไปบนตน้ งว้ิ เพื่อไปพบชู้ของตน สวนทางกันข้ึน ๆ ลง ๆ และถูก
กาปากเหล็กจิกตี ได้รับความทุกข์ทรมานชั่วกาลนาน (ศักดิ์ศรี แย้มนัดดา, 2553: 26) จะเห็นได้ว่า
สำนวนจีนและสำนวนไทยปรากฏความเชื่อเร่ืองนรกที่มาจากพระพุทธศาสนาเหมือนกัน ซึ่งอาจเป็น
เพราะชาวจีนและชาวไทยมีการนับถือในพระพุทธศาสนาเหมือนกัน จึงปรากฏคติความเช่ือเรื่องนรก
ที่มาจากพระพุทธศาสนาในสำนวนเชน่ เดียวกัน

109

5.2.9 ความเชอ่ื เรือ่ งสวรรค์

จากการศึกษาพบว่ามีสำนวนจีนและสำนวนไทยสะท้อนความเชื่อเรื่องสวรรค์เช่นเดียวกัน
แสดงให้เห็นว่าชาวจีนและชาวไทยมีความเชื่อเรื่องสวรรค์เหมือนกัน แม้ว่าไทยและจีนล้วนมีสำนวน
สะท้อนความเชื่อเรื่องสวรรค์เหมอื นกนั แต่ก็พบว่าเปน็ สวรรค์ที่ต่างกัน เช่น จีนมีสำนวน jí lè shì
jiè 极乐世界 แปลว่า แดนสุขาวดี ความหมายของสำนวนอธิบายไว้ว่า แดนสุขาวดีหรือสุขาวดี
พุทธเกษตรเป็นแดนพุทธเกษตรของพระอมิตาภพุทธเจ้า ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกแห่งโลกธาตุนี้ เป็น
ดินแดนสวรรค์ที่สงบสุขไร้ซึ่งความทกุ ข์ ซ่งึ ไทยไม่มสี วรรค์ตามคติน้ี แต่ไทยมีสวรรค์ช้นั ดาวดงึ ส์ทจ่ี ีนไม่
มี ดังสำนวนไทยที่ว่า ไปไหว้พระจุฬามณี ซึ่งพระจุฬามณีในที่นี้สื่อถึงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพราะพระ
จุฬามณีเจดีย์นั้นตั้งอยู่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ของพระอินทร์ เป็นที่สักการะบูชาของพวกพรหมและ
เทวดาทั้งหลาย ซ่ึงจีนไมม่ สี วรรค์น้ี

5.2.10 ความเช่ือเรือ่ งภูตผปี ีศาจ

จากการศกึ ษาพบว่ามีสำนวนจีนและสำนวนไทยสะท้อนความเชือ่ เรื่องภูตผปี ีศาจเชน่ เดียวกัน
แสดงใหเ้ ห็นวา่ ชาวจนี และชาวไทยมคี วามเชอ่ื เร่ืองภูตผีปีศาจเหมือนกนั แตถ่ ึงแม้วา่ ไทยและจีนล้วนมี
สำนวนสะทอ้ นความเชอ่ื เรือ่ งภตู ผปี ีศาจเหมือนกันแตก่ ็พบวา่ เปน็ ภตู ผีปีศาจที่ตา่ งกนั เช่น จนี มสี ำนวน
niú tóu ā páng 牛头阿旁 บรรยายถึงผีองครักษ์หัววัวที่อยู่ข้างกายพระยมนามว่า อาผาง แต่
ไทยไมม่ ีผีเช่นนี้ ไทยมีผีท่จี นี ไมม่ เี ชน่ กัน เชน่ ผเี ปรต ดงั สำนวน สูงเปน็ เปรต เปน็ ต้น

5.2.11 ความเชือ่ เรอื่ งฤกษ์ยาม

จากการศึกษาพบว่ามีสำนวนจีนและสำนวนไทยสะท้อนความเชื่อเรื่องฤกษ์ยามเช่นเดียวกัน
แสดงให้เห็นว่าชาวจีนและชาวไทยมีความเชื่อเรื่องฤกษ์ยามเหมือนกัน แต่ถึงแม้ว่าไทยและจีนล้วนมี
สำนวนสะท้อนความเช่อื เรื่องฤกษ์ยามเหมือนกันแต่ก็พบวา่ เป็นฤกษ์ยามที่ต่างกนั ดังเช่น จนี มีสำนวน
ที่กล่าวถึงฤกษ์ยามวันเวลาที่มีดาวมงคลมังกรเขียว ดาวมงคลหีบทองปรากฏขึ้น เช่น qīng lóng
jīn kuì 青龙金匮 ใชบ้ รรยายถึงวันและเวลาอนั เป็นมงคล ในโบราณกาลนกั โหราศาสตรจ์ ีนเชื่อว่า
ถ้าดาวมงคลทั้ง 6 เช่น ดาวชิงหลง (Qīnglóng 青龙) ดาวหมิงถัง (Míngtáng 明堂) ดาวจินคุ่ย
(Jīnkuì 金匮) ดาวเทียนเต๋อ (Tiāndé 天德) ดาวซือมิ่ง (Sīmìng 司命) เป็นต้น ปรากฏขึ้น ณ
วันหรือชว่ งเวลาใด วันเวลาน้นั จะถือวา่ เป็นวันเวลามหามงคล ทำการส่งิ ใดก็จะประสบความสำเรจ็ ซึ่ง
ไทยไม่มีฤกษ์ยามเช่นนี้ ไทยมีการดูฤกษ์ยามวันสำคัญต่าง ๆ โดยการใช้ฤกษ์บน เช่นสำนวนไทยที่ว่า
ฤกษ์บน เป็นฤกษท์ ีพ่ ระจันทร์เสวยประจำวนั มี 27 ฤกษ์ ซ่งึ คนจนี ไมม่ ีคติเก่ยี วกับฤกษย์ ามเช่นนี้

110

5.2.12 ความเชอ่ื เรอ่ื งของวเิ ศษ
จากการศึกษาพบว่ามีสำนวนจีนและสำนวนไทยสะท้อนความเชื่อเร่ืองของวิเศษเชน่ เดียวกนั
แสดงให้เห็นวา่ ชาวจีนและชาวไทยมีความเชื่อเรื่องของวิเศษเหมือนกัน แต่ถึงแม้ว่าไทยและจีนล้วนมี
สำนวนสะท้อนความเช่ือเรื่องของวิเศษเหมือนกันแต่ก็พบว่าเป็นของวิเศษท่ีต่างกัน ดังเช่น จีนมี
สำนวนท่กี ล่าวถึงกระจกแขวนวิเศษของจ๋ินซีฮ่องเต้ เช่น qín jìng gāo xuán 秦镜高悬 ซึ่งเป็น
กระจกแขวนวิเศษของจิ๋นซีฮ่องเต้ที่สามารถส่องเห็นอวัยวะภายในร่างกายของคนได้ ซึ่งไทยไม่มีของ
วิเศษเช่นนี้ ไทยมีของวิเศษแก้วสารพัดนึก เช่น แก้วสารพัดนึก เป็นแก้วที่เชื่อกันว่า ถ้าผู้ใดมีอยู่แล้ว
นกึ อะไรกไ็ ด้อย่างใจนกึ ซ่งึ คนจีนไม่มีของวิเศษเช่นน้ี

5.2.13 ความเชือ่ เรอ่ื งการทำนายพยากรณ์
จากการศึกษาพบว่ามีสำนวนจีนและสำนวนไทยสะท้อนความเชื่อเรื่องการทำนายพยากรณ์
เช่นเดียวกันแสดงให้เห็นว่าชาวจีนและชาวไทยมีความเชื่อเรื่องการทำนายพยากรณ์เหมือนกัน แต่
ถึงแมว้ ่าไทยและจีนล้วนมสี ำนวนสะทอ้ นความเชื่อเรื่องการทำนายพยากรณเ์ หมือนกัน แต่ก็พบวา่ เป็น
การทำนายพยากรณ์ที่ต่างกัน เช่น จีนมีสำนวนที่กล่าวถึงการใช้เซียมซีในการทำนายพยากรณ์ เช่น
qiú qiān wèn bǔ 求签问卜 เป็นการเสี่ยงเซียมซีเพื่อขอคำทำนายต่อเทพเจ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้
ประทานคำทำนายถงึ สง่ิ ทอี่ ยากรู้ ซ่ึงไทยไม่มกี ารพยากรณ์ดว้ ยการเสี่ยงเซยี มซีเช่นนี้ ไทยมกี ารทำนาย
พยากรณ์ในลักษณะอื่น เช่น การเพ่งดูเทียนเพื่อให้จิตนิ่งแล้วทำนายเหตุการณ์ ดังสำนวน นั่งเทียน
เป็นวิธีการทำนายของพระภิกษุอย่างหน่ึงโดยการจุดเทียนแล้วเพ่งดูเปลวเทียนเพ่ือให้จิตนิ่งแล้ว
ทำนายเหตุการณ์ บางแห่งจุดเทียนติดไวท้ ี่ขอบปากบาตรแล้วนัง่ เพ่งทำนายเหตุการณ์ จะเพ่งที่เทียน
หรอื เพง่ มองน้ำในบาตรกไ็ ด้ ซงึ่ จีนไมม่ กี ารทำนายพยากรณโ์ ดยใชว้ ธิ ีการแบบน้ี

5.2.14 ความเชอื่ เร่อื งลาง
จากการศกึ ษาพบว่ามสี ำนวนจีนและสำนวนไทยสะท้อนความเชื่อเรื่องลางเช่นเดียวกัน แสดง
ให้เห็นว่าชาวจีนและชาวไทยมีความเชื่อเรื่องลางเหมือนกัน แต่ถึงแม้ว่าไทยและจีนล้วนมีสำนวน
สะท้อนความเชื่อเรื่องลางเหมือนกัน แต่ก็พบว่าเป็นลางที่ต่างกัน เช่น จีนมีสำนวน xióng jī yè
míng 雄鸡夜鸣 ไก่ตัวผู้ขันร้องยามราตรี เป็นเรื่องผิดปกติ ชาวจีนในโบราณกาลเชื่อกันว่าเป็นลาง
รา้ ยบ่งบอกถึงจะเกดิ ศึกสงคราม แตไ่ ทยไมม่ ีความคิดเร่ืองลางเชน่ น้ี ไทยมีความคิดเรื่องลางยามจิ้งจก
ทกั เช่น จงิ้ จกทกั เป็นความเช่ือของชาวไทยท่ีมีมาตัง้ แต่โบราณกาลเม่ือจะเดินทางออกจากบ้าน หาก
ได้ยินเสยี งจงิ้ จกรอ้ ง ถือว่าเป็นลางร้าย ไมค่ วรออกเดนิ ทาง ซ่ึงจนี ก็ไม่มีความคิดว่าจ้งิ จกทักจะเป็นลาง
รา้ ย เปน็ ต้น

111

5.3 ข้อเสนอแนะ
จากการศึกษาค้นคว้าทำวิทยานิพนธ์หัวข้อเรื่อง การเปรียบเทียบสำนวนจีนกับสำนวนไทยที่

เกี่ยวกับความเชื่อ ระหว่างที่ทำการศึกษาวิจัยนี้ ผู้วิจัยพบว่า สำนวนจีนและสำนวนไทยที่สะท้อน
ความเชื่อเกี่ยวกับผีน้ันมีเป็นจำนวนมาก เช่น สำนวนจีนมีคำว่า guǐ (鬼 ผี) สำนวนไทยมีคำว่า ผี
และชื่อของผีที่ปรากฏในสำนวนจีนและสำนวนไทย บ่งบอกได้ถึงวัฒนธรรมและประเพณีความเชื่อที่
เกี่ยวกับผีของทั้งสองชาติที่มีมาแต่โบราณกาลได้เป็นอย่างดี จึงอาจจะศึกษาต่อไปถึงสำนวนจีนและ
สำนวนไทยทส่ี ะท้อนความเชื่อเรื่องผี เชน่ รวบรวมสำนวนจนี มีคำว่า guǐ และสำนวนไทยที่มีคำว่า ผี
ปรากฏอยู่ในสำนวน รวมไปถึงสำนวนที่ปรากฏช่ือผีจีนและไทย นำมาศึกษาเปรียบเทียบกัน โดยอาจ
ศึกษาแหล่งที่มาของคำ โครงสร้างการประกอบคำ ความหมายตรงและความหมายแฝงของคำ การ
เปรียบเทียบมโนทัศน์ที่สะท้อนผ่านสำนวนจีนและสำนวนไทยที่เกี่ยวกับผี ตลอดจนถึงการศึกษา
เปรียบเทียบความเหมือนและต่างกันของวัฒนธรรมประเพณีความเชือ่ เกี่ยวกับผขี องทั้งสองชนชาติที่
สะทอ้ นผ่านสำนวนออกมา เปน็ ตน้ หัวข้อเหลา่ นนี้ ่าจะมีการศกึ ษาวิจัยเพิ่มเติม เพอ่ื เป็นการสร้างองค์
ความรทู้ างวฒั นธรรมท่ีมีความคลา้ ยคลึงกนั หรือแตกต่างกนั ตลอดจนการเช่อื มโยงทางวัฒนธรรมของ
ท้ังสองชาตไิ ดใ้ นอนาคต

รายการอา้ งองิ

ภาษาไทย

กรองแกว้ ฉายสภาวะธรรม. 2551. สารานุกรม ภาษติ คำพงั เพย และสำนวนไทย. กรงุ เทพมหานคร:
สำนกั พิมพต์ น้ ธรรม.

กลุ่มวทิ ยาลัยครภู าคใต้. 2526. ความเข้าใจเกย่ี วกับสังคม. กรงุ เทพมหานคร: กรงุ สยามการพิมพ์.
กวี บูรพาสายัณห์. 2554. ความเชื่อศาสตร์ฮวงจุ้ยที่มีผลต่อพฤติกรรมการตัดสินใจซื้อคอนโดมิเนียม

ของผบู้ รโิ ภค ในย่านถนนพระราม 3. สารนพิ นธ์ปรญิ ญาการศึกษามหาบัณฑติ . สาขาวชิ าการ
จดั การ.บัณฑติ วทิ ยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครนิ ทรวโิ รฒ.

กิง่ แกว้ อัตถากร. 2519. คตชิ นวทิ ยา. กรงุ เทพมหานคร: โรงพิมพส์ หสยามพัฒนา.
เกตมาตุ ดวงมณี. 2552. ภาษาจีนกับวัฒนธรรมความเชื่อ“เทพเจ้า” และ “ภูตผี”.วารสารวิชาการ

มหาวิทยาลัยฟาร์อีสเทอร์น 2 (ธันวาคม-พฤษภาคม) : 34-40.

ขวญั กัลยาณ์. 2548. สมบูรณ์ ครบถ้วน สำนวนไทย. กรุงเทพมหานคร: หา้ งหนุ้ ส่วนจำกัด ครีเอทบ๊คุ ส์.

คณะสงฆจ์ ีนนิกาย. 2536. พระพทุ ธศาสนามหายาน. ม.ป.ท.
จุฬาภรณ์ คนคง. 2547. ศึกษาวเิ คราะห์สำนวน สภุ าษิต คำพังเพยท่ีสะท้อนความเชื่อในเร่ือง ผี. สาร

นพิ นธ์ปริญญาศลิ ปศาสตรมหาบณั ฑติ . สาขาวชิ าไทยศกึ ษา. มหาวทิ ยาลยั รามคำแหง.

ฐิติวัฒน์ จตุรวิธวงศ์. 2546. การวิเคราะห์ลักษณะและภาพสะท้อนจากสำนวนไทย. สารนิพนธ์
ปริญญาการศึกษามหาบัณฑิต. สาขาวิชาภาษาไทย.บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัย
ศรีนครินทรวิโรฒ.

ณัฐธิดา สุขมนัส. 2539. ความเชื่อเรื่องฮวงจุ้ยในวิถีชีวิตของชาวไทยเชื้อสายจีนในกรุงเทพมหานคร.
วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต. สาขาวิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา. คณะรัฐศาสตร์
จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั .

ดนัย ไชยโยธา. 2551. รู้รกั ษภ์ าษาไทย : สำนวนโวหาร. กรงุ เทพมหานคร: โอเดียนสโตร์.
ดนยั เมธติ านนท.์ 2548. บอ่ เกดิ สำนวนไทย ฉบบั รวมเล่ม. กรงุ เทพมหานคร: มติ ิใหม่.
ต้วน ลี่ เซิง และบุญยิ่ง ไร่สุขสิริ. 2543. ความเป็นมาของวัดจีนและศาลเจ้าจีนในประเทศไทย.

กรงุ เทพมหานคร: คณะกรรมการศาสนาเพื่อการพัฒนา.
ทัศนีย์ ทานตวณิช. 2523. คติชาวบ้าน. ชลบุรี: ภาควิชาภาษาไทยและภาษาตะวันออก คณะ

มนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลยั ศรนี ครินทรวิโรฒ บางแสน.

113

ธวัช ปุณโณทก. 2528. วัฒนธรรมพ้ืนบ้าน คติความเชื่อ. กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์แห่ง
จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย.

นวรตั น์ ภกั ดคี ำ. 2553. เทพเจ้าและส่งิ ศักด์ิสิทธิ์จีน. กรุงเทพมหานคร: อมรินทร์.
บปุ ผา ทวีสขุ . 2526. คติชาวบ้าน. กรุงเทพมหานคร: มหาวิทยาลัยรามคำแหง.
บุรินทร์ ศรีสมถวิล. 2552. การวิเคราะห์สำนวนจีนที่รับอิทธิพลจากพุทธศาสนาในพจนานุกรม

ภาษาจนี ปจั จุบนั . วารสารจนี ศกึ ษา 2 (กุมภาพันธ์) : 75-87.

ประเทอื ง คลา้ ยสุบรรณ์. 2529. สำนวนไทย. กรุงเทพมหานคร: สทุ ธสิ ารการพิมพ.์

พงจันทร์ ศรัทธา. 2518. สำนวนไทยและคำพังเพย (สุภาษิต). กรุงเทพมหานคร: เสริมวิทย์
บรรณาคาร.

พระอาจารยจ์ นี วนิ ยานุกร (เยน็ เชี้ยว). 2529. สารัตถธรรมมหายาน. ม.ป.ท.
พริ ิยา สุรขจร. 2558. การศึกษาเปรียบเทยี บสำนวนจีนทางพุทธศาสนากับสำนวนไทยท่ีมีความหมาย

ใกล้เคียงกัน. วิทยานิพนธ์ปริญญาดุษฎีบัณฑิต. สาขาวิชาภาษาจีน.ภาควชิ าภาษาตะวันออก
คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลยั .

ภิกษุจีนวิศวภัทร. 2549. พระพทุ ธเจ้าและพระธรรมสูตรฝ่ายมหายาน. กรงุ เทพมหานคร: คณะศึกษา
ปฏบิ ตั ิ เผยแผ่ธรรม หม่ืนคุณธรรมสถาน.

มัลลิกา เรืองระพ.ี 2518. บทบาทของชาวจนี ในด้านเศรษฐกิจ สงั คมและศิลปกรรมไทย สมัยรัชกาลที่
1 ถึงรัชกาลท่ี 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์. วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต. สาขาวิชา
ประวตั ศิ าสตร์. คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย.

ยมนา ทองใบ. 2550. การศึกษาสำนวนไทยที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อ. สารนิพนธ์ปริญญาการศึกษา
มหาบัณฑติ . สาขาวชิ าภาษาไทย.บัณฑติ วทิ ยาลยั มหาวิทยาลยั ศรีนครินทรวิโรฒ.

ราชบณั ฑิตยสถาน. 2542. พจนานุกรมฉบับราชบณั ฑติ ยสถาน. กรุงเทพมหานคร: ราชบัณฑิตยสถาน.

_________. 2542. ภาษติ คาํ พังเพย สํานวนไทย. พิมพ์คร้งั ที่ 12. นนทบุรี: อนิ เตอร์ อารต์ กรุ๊ป.

_________. 2550. หลกั เกณฑก์ ารทบั ศัพทภ์ าษาจนี และภาษาฮินดี. กรงุ เทพมหานคร: อมรนิ ทร์พร้ิน
ตง้ิ แอนดพ์ ับลิชช่ิง.

วรเทพ บุณฑริกมาศ. 2555. ความเชื่อเรื่องฮวงจุ้ยที่มีอิทธิพลต่อการประกอบธุรกิจของคนไทยเชื้อ
สายจีน เขตเทศบาลเมืองบ้านโปง่ จังหวัดราชบรุ ี. วิทยานิพนธ์ปรญิ ญามหาบัณฑิต. สาขาวิชา
การประกอบการ.บณั ฑติ วทิ ยาลยั มหาวิทยาลยั ศลิ ปากร.

วรวรรณ คงมานุสรณ์. 2545. รถู้ ว้ นสำนวนไทย. กรุงเทพมหานคร: อักษรเจรญิ ทัศน์.
ศกั ดิศ์ รี แย้มนัดดา. 2553. สำนวนไทยทมี่ าจากวรรณคดี. กรงุ เทพมหานคร: โครงการเผยแพรผ่ ลงาน

วิชาการ คณะอกั ษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั .

114

สง่า กาญจนาคพนั ธ์ุ. 2538. สำนวนไทย. กรุงเทพมหานคร: สมาคมส่งเสรมิ เทคโนโลยี (ไทย-ญ่ปี นุ่ ).
สมใจ เดชบำรุง และสิริวันทน์ ชัยญาณะ. 2559. ความเชื่อเหนือธรรมชาติที่ปรากฏในสำนวนไทย.

วารสารศกึ ษาศาสตร์ มมร 4 (กรกฎาคม-ธนั วาคม) : 207-213.
สมพงศ์ สกุ ใส. 2535. ความเช่ือของชาวไทยเชื้อสายจนี ในอำเภอหาดใหญ่ จงั หวดั สงขลา : ศกึ ษาจาก

จิตรกรรมฝาผนังศาสนสถานจีน. วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต. สาขาวิชาไทยคดีศึกษา.
คณะศลิ ปศาสตร์ มหาวิทยาลยั ศรีนครินทรวโิ รฒ.
สมาคมสรา้ งคุณคา่ ในประเทศไทย. 2542. สัทธรรมปุณฑริกสตู ร. กรุงเทพมหานคร: สุภา.
สิงห์โต สุริยาอารักษ์. 2510. โหราศาสตร์ไทยชั้นสูง การให้ฤกษ์ การคำนวณดวงพิชัยสงคราม.
กรงุ เทพมหานคร: โรงพมิ พ์เลี่ยงเชียงธรรมประทีป.
สิริวรรณพิชา ธนจิราวัฒน์. 2558. การศึกษาเปรียบเทียบภาพสะท้อนทางวัฒนธรรมผา่ นสำนวนไทย
จีน และองั กฤษ. วทิ ยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต. คณะศลิ ปศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยี
ราชมงคลรัตนโกสินทร์.
สุรีย์ ชุณหเรืองเดช. 2551. สถานภาพหญิงชายในครอบครัวจีน : มุมสะท้อนจากภาษิต สำนวน และ
คำพังเพยจีน.รวมบทความ ภาษิต สำนวน คำพังเพย : บทศึกษาครอบครัวและคุณธรรมใน
วฒั นธรรมนานาชาติ. กรงุ เทพมหานคร : โครงการเผยแพร่ผลงานวิชาการ คณะอักษรศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั .
สุวิญ รกั สตั ย์. 2555. พระพุทธศาสนามหายาน. กรงุ เทพมหานคร: บา้ นบำเพ็ญ.
อำนวยชัย ปฏพิ ัทธเ์ ผ่าพงศ์. 2556. ฮวงจยุ้ รบั โชคลาภ. กรงุ เทพมหานคร: สถาพรบคุ๊ ส์.

ภาษาอังกฤษ

Simon, G. B. 1997. Essential Feng Shui: Your Practical Guide to Health, Wealth and
Happiness. London: Ward Lock.

ภาษาจีน

Biān,Xīn 边馨. 2007. Zhuāngzǐ de Chéngyǔ Yánjiū 庄子的成语研究. (การ
ศึกษาวิจัยสำนวนจีนทีม่ าจากคมั ภีรจ์ วงจ่ือ) Shuòshì Xuéwèi Lùnwén 硕士学位论
文 (วิทยานิพนธป์ รญิ ญามหาบัณฑติ ) Hànyǔyán Wénzìxué 汉语言文字学
(สาขาวิชาการศกึ ษาอักษรภาษาจนี ) Héběi Shīfàn Dàxué 河北师范大学(Hebei

Normal University).

115

Jiāng,Shàoyuán 江绍原. 1989. Zhōngguó Lǐsú Míxìn 中国礼俗迷信. (ประเพณี
ความเชอ่ื ทงี่ มงายของประเทศจีน). Tiānjīn 天津: Bóhǎiwān Chūbǎn Gōngsī
渤海湾出版公司.

Jiāng,Shàoyuán and Chén,Yǒngchāo 江绍原和陈泳超. 1989. Mínsú yǔ Míxìn
民俗与迷信. (ประเพณีพื้นบ้านกับความเชื่อท่ีงมงาย). Běijīng 北京: Běijng
Chūbǎnshè 北京出版社.

Lǐ,Dān,Sūn,Yánjūn,and Léi,Lì 李丹,孙延军,和雷雳. 2006. Dàxuéshēng

Míxìn Xīnlǐ de Xíngchéng jíqí Yǐngxiǎng Yīnsù 大学生迷信心理的

形成及其影响因素. (การก่อตัวและปัจจัยท่ีมีอิทธพิ ลตอ่ ความเช่ือทีง่ มงายของนักศึกษา
วิทยาลยั ) Xīnlǐ Kēxué jìnzhǎn 心理科学进展 (วารสารความกา้ วหนา้ ทาง
วทิ ยาศาสตร์จติ วิทยา) 14(01): 80-86.

Lú,Zhuóqún 卢卓群. 1987. Chéngyǔ de Tèdiǎn jíqí Biànshì 成语的特点及其
变式. (ลักษณะเดน่ และการผันแปรของสำนวน) Yǔwén Jiànshè 语文建设 (วารสาร
สรา้ งสรรคภ์ าษาและงานประพนั ธ)์ 3: 25-27.

Pān,Jiāzhēng 潘家铮. 2005. Tòushì Xiàndài Míxìn 透视现代迷信. (มองความ
เชื่อที่งมงายในยุคปัจจุบันได้อย่างทะลุปรุโปร่ง). Běijīng 北京: Kēxué Chūbǎnshè
科学出版社.

Rèn,Jìyù 任继愈. 2002. Fójiào Dàcídiǎn 佛教大辞典. (พจนานุกรมพุทธศาสนาฉบับ
ใหญ)่ . Nánjīng 南京: Jiāngsū Gǔjí Chūbǎnshè 江苏古籍出版社.

Shāngwù Yìnshguǎn Císhū Yánjiū Zhōngxīn 商务印书馆辞书研究中心.2001.
Xīnhuá Cídiǎn (Xiūdìngbǎn)新华词典(修订版). (พจนานุกรมซินหัวฉบบั
ปรบั ปรุง). Běijīng 北京: Shāngwù Yìnshūguǎn 商务印书馆.

Tāng,Kějìng 汤可敬. 1997. Shuōwén Jiězì Jīnshì 说文解字今释. (อรรถาธิบาย
อกั ษรานุกรม). Húnán 湖南: Yuèlù Shūshè 岳麓书社.

Wáng,Qín 王勤. 2006. Hànyǔ ShúyǔLùn 汉语熟语论. (วิเคราะห์และอธิบายสำนวนจนี ).
Jǐnán 济南: Shāndōng Jiàoyù Chūbǎnshè 山东教育出版社.

Wáng,Qín; Mǎ,Guófán; Xǔ,Zhèngyuán and Sūn,Yùzhēn 王勤,马国凡,许

正元,和孙玉溱. 1988. Fēnlèi Hànyǔ Chéngyǔ Dàcídiǎn 分类汉语成语大

116

词典. (พจนานุกรมแบ่งประเภทสำนวนภาษาจีนเล่มใหญ่ ). Jǐnán 济南: Shāndōng
Jiàoyù Chūbǎnshè 山东教育出版社.

Wāng,Yàonán 汪耀楠. 2006. Hànyǔ Chéngyǔ Xuéxí Cídiǎn 汉语成语学习词典.
(หนังสือพจนานุกรมศึกษาเรียนรู้สำนวนจีน). Běijīng 北京: Wàiyǔ Jiàoxué yú
Yánjiū Chūbǎnshè 外语教学与研究出版社.

Xuē,Fēngpíng and Chén,Hóngquán 薛风平和陈洪泉. 2001. Kēxué、Wěikēxué
yú Míxìn 科学、伪科学与迷信. (วทิ ยาศาสตร์และวิทยาศาสตร์จอมปลอมกบั ความ
เช่ือท่งี มงาย) Hāěrbīn Gōngyè Dàxué Xuébào Shèhuì Kēxuébǎn 哈尔滨工
业 大 学 学 报 ( 社 会 科 学 版 ) (วารสารสถาบันเทคโนโลยีฮารบ์ นิ ฉบบั สังคมและ
วิทยาศาสตร์) 3(2):114-119.

Yáng,Hémíng 杨合鸣. 2009. Xuéshēng Hànyǔ Chéngyǔ Xuéxí Cídiǎn 学生汉语
成语学习词典. (หนังสือพจนานุกรมสำนวนจีนฉบับนักเรียนเรียนรู้). Gānsù 甘肃:
Gānsù Jiàoyù Chūbǎnshè 甘肃教育出版社.

Yáng,Rènzhī 杨任之. 2004. Gǔjīn Chéngyǔ Dàcídiǎn 古今成语大词典. (หนงั สือ
พจนานุกรมสำนวนจีนโบราณ-ปัจจุบันฉบับใหญ่). Běijīng 北京: Běijīng Gōngyè
Dàxué Chūbǎnshè 北京工业大学出版社.

Zhōngguó Shèhuì Kēxuéyuàn Yǔyán Yánjiūsuǒ 中国社会科学院语言研究

所.2002. Xiàndài Hànyǔ Cídiǎn 现代汉语词典. (พจนานุกรมภาษาจีนกลาง
ปัจจบุ ัน). 3rded. Běijīng 北京: Shāngwù Yìnshūguǎn 商务印书馆.

Zhū,Ruìmín 朱瑞玟. 2006. Fójiào Chéngyǔ 佛教成语. (สำนวนทางพุทธศาสนา).
1sted. Huìtúběn Tōngsú Fóxué Cóngshū 绘图本通俗佛学丛书 (หนังสือรวม
ชุดพุทธศาสนศาสตร์ทั่วไปฉบับภาพประกอบ). Shànghǎi 上海: Hànyǔ Dàcídiǎn
Chūbǎnshè 汉语大词典出版社.

Zhū,Zǔyán 朱祖延. 2002. Hànyǔ Chéngyǔ Dàcídiǎn 汉语成语大词典. (หนังสือ
พจนานุกรมสำนวนจีนฉบบั ใหญ่). Běijīng 北京: Zhōnghuá Shūjú 中华书局.

ภาคผนวก

การแปลสรปุ ความวิทยานิพนธ์เปน็ ภาษาจนี

汉泰与迷信相关成语的对比研究

摘要:本文旨在研究与迷信相关的汉语成语的特征和含义,并对通过与迷信相
关的成语反映出来的中泰迷信思想进行比较。研究成果发现与迷信相关的汉语

成语可以分为 12 个主要类别,包括反映关于圣物迷信的成语,反映关于魔的 迷

信的成语,反映关于业的迷信的成语,反映关于生世迷信的成语,反映关于地
狱迷信的成语,反映关于天堂迷信的成语,反映关于妖魔鬼怪迷信的成语,反
映关于择吉迷信的成语,反映关于神秘事物迷信的成语,反映关于算测迷信的
成语,反映关于兆头迷信的成语,反映关于风水迷信的成语;而泰语成语几乎
拥有相同的类别,只是没有发现反映关于风水迷信的成语这一类。另外,虽然
汉泰成语中出现的迷信类别几乎相同,反映出中国和泰国在这些类别上有着几
乎相同的迷信,但是在那些相同类别的迷信中,仍然或相似或不同的存在着在
观念、态度、习俗文化方面的差异。就在汉泰成语中出现最多的迷信类别而言,

我们发现汉泰成语都是反映妖魔鬼怪迷信的成语最多,既分别为百分之 38.85 和
百分之 33.55,这反映了泰国人和中国人都存在不少的关于妖魔鬼怪的迷信观念。

关键词: 迷信 ; 妖魔鬼怪 ;汉泰成语;对比研究

118

第一章

引言

1.1 研究背景

人类几乎所有的民族或部落都有迷信,既有个人的迷信,也有群体的迷

信,社会的迷信,以及国家的迷信。ทศั นีย ทานตวณชิ (Thatsani Thanotwanit1)

(2523:224)给迷信下过如下的定义:

“迷信是接受崇拜或坚持某种无论是否客观存在的东西是真的或真实存
在的;接受或坚持该种东西可能有充足的证据证明其真实可见,也可能没有充
足的证据证明其真实可见。”

无论在任何时间,任何地点,任何国家都能产生迷信,当迷信诞生于某
地时,它必然可以反映出该民族自远古以来流传下来的祖先的思想和智慧,越
是拥有悠久历史的国家,拥有的迷信思想就越丰富多彩;而像中国这样一个历
史绵延数千年的古老文明国家,自然会有不少的迷信活动出现在人们的日常生
活当中,比如:圣物迷信、崇拜佛祖、菩萨、神仙、鬼魂、相信天堂和地狱等
等;至于泰国,同样也有自远古时代就流传下来的各种各样的迷信,比如:对
吉时的迷信、生死轮回的迷信、好兆头坏兆头的迷信、因果报应的迷信等等。
两个国家的各种各样的迷信导致形成了各种各样的文化习俗或传统节日,比如:
中国有关于鬼魂的迷信,于是就有“中元节”,或又称为“七月半”“盂兰胜
会”,人们相信要在节日当天供奉祭祀自己已逝的先祖及各类鬼魂,因此这个

节日还会被叫作另一个名字为“鬼节”,而在泰国我们把这个节日叫做“สารท
จีน” ; 至 于 泰 国 也 同 样 拥 有 与 鬼 魂 迷 信 有 关 的 节 日 , 如 在 黎 府 “ด่านซา้ ย
(Dansai)”县举办的一年一度的“เทศกาลผตี าโขน(thetsakan phi ta khon)

(鬼面节)”。
迷信不仅对风俗和文化有影响,而且还对该民族的语言有很大影响,比

如像那些反映了中国人和泰国人各种生活方式和迷信思想的汉语成语和泰语成
语。通过初步研究,笔者发现不少的反映了各种迷信思想的汉语成语和泰语成
语,比如反映菩萨迷信的汉语成语“菩萨低眉”,意思是像菩萨那样低眉看人,

形容人的面貌慈祥善良;泰语成语中同样有反映菩萨迷信的成语如“ใจบญุ เหมอื น
พระเวสสันดร(caibun muean phra wetsandon)(心善如威善达菩萨)”“พระเต
มียใ์ บ(้ phra te mi bai)(哑巴德弥菩萨)”等。还比如反映天堂迷信的汉语

1 การถอดเสียงอ่านอักษรไทยเป็นอักษรโรมันในภาคผนวก ก นี้ใช้หลักเกณฑ์การถอดอักษรไทยเป็นอักษรโรมันแบบถ่าย
เสียงของราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 (本研究所使用的转写系统是按照 1999 年皇家泰语转写通用系统来把泰语转写为拉

丁字母的。)

119

成语“人间天堂”,意思是人类世界的天堂,形容人世间极美好的地方或充满

幸福的社会;泰语成语中同样也有反映天堂迷信的成语如“งามราวเหมือนกบั สวรรค์

(ngam rao mueankap sawan)(美如天堂)”意为极其美丽而崇高。还比如反
映鬼魂迷信的汉语成语“鬼蜮伎俩”,意思是恶鬼使用的花招,比喻用心险恶,

暗中伤人的卑鄙手段;泰语成语中同样也有反映鬼魂迷信的成语如“กระสอื ดดู
(krasuedut)(嘎瑟鬼吸血)”“ปลุกผีกลางคลอง(plukphi klang khlong)

(河中叫醒鬼)”等;但不管怎样也可能会有迷信相同而具体细节各异的情况,
由于两个国家之间文化的差异,同样也可能存在某些迷信只在汉语成语中出现,
而没有出现在泰语成语中的情况。

综上所述,笔者于是想要对汉泰与迷信相关的成语进行对比研究,以了
解通过与迷信相关的成语所反映出来的中泰社会和文化中蕴含的迷信思想之异
同。

1.2 研究目的

(1)为了研究与迷信相关的汉语成语的特征和含义;
(2)为了对比通过与迷信相关的成语所反映出来的中泰迷信思想。

1.3 研究假定
(1)汉泰与迷信相关的成语之特征和含义有异同;
(2)汉泰成语反映了相似和各异的迷信思想。

1.4 研究范围

(1)用来研究的汉语成语从以下 5 本汉语成语词典中收集而来:
《分类汉语成语大词典》(王勤等,1988)
《汉语成语大词典》(朱祖延,2002)
《古今成语大词典》(杨任之,2004)
《汉语成语学习词典》(汪耀楠,2006)
《学生汉语成语学习词典》(杨合鸣,2009)

(2)用来研究的泰语成语从以下 5 本泰语成语书籍中收集而来:

1.《สำนวนไทย(Samnuan Thai)》(泰语成语)(สง่า กาญจนาคพันธุ์ [Sa-nga
Kanchanakphan], 2538)

2.《ส ำ น ว น ไ ท ย (Samnuan Thai)》(泰语成语)(ป ร ะ เ ทื อ ง ค ล้ า ย สุ บ ร ร ณ์
[Prathueang Khlaisuban], 2529)

120

3.《ภาษิต คำพังเพย สำนวนไทย(Phasit Kham phangphoei Samnuan Thai)》
(俗语、成语词典)(ราชบัณฑิตยสถาน [Ratchabandittayasathan], 2542)

4.《สมบูรณ์ ครบถ้วน สำนวนไทย(Sombun Khropthuan Samnuan Thai)》(泰
语成语大全)(ขวัญกัลยาณ์ [Khwan Kan-ya], 2548)

5.《ส า ร า นุ ก ร ม ภ า ษิ ต ค ำ พั ง เ พ ย ส ำ น ว น ไ ท ย (Saranukrom Phasit Kham
phangphoei Samnuan Thai)》(俗语、成语词典)(กรองแก้ว ฉายสภาวะธรรม [Krong
kaeo Chai Saphawa Tham], 2551)

1.5 研究方法
(1)查看汉语和泰语相关的研究书籍和研究论文;
(2)从各种成语词典和成语书籍中收集汉泰与迷信相关的成语以进行比较
研究;
(3)将收集来的成语按照设定的研究目的进行研究和对比分析;
(4)总结研究成果。

1.6 预期的研究成果
(1)使了解汉语与迷信相关的成语的特征和含义;
(2)使了解中泰社会和文化中蕴含的迷信思想之异同;
(3)提供一种从其他角度研究汉泰成语的方式。

121

第二章

文献综述

本章将阐述汉语中的“成语”和泰国中的“สาํ นวน(samnuan)(成语)”

的含义以及成语的来源,并界定“迷信”的含义,具体顺序如下:

2.1 汉语成语和泰语成语的定义

汉语中的熟语包括成语、谚语、歇后语、惯用语和俗语 (王勤, 2006: 8) 汉

语成语是汉语词汇中的瑰宝。它的语言精炼,结构严谨,含义深刻,富有表现力。
一条成语用得好可使语言生色,文笔增辉。它是历代人民群众喜闻乐见的表情达

意的工具,广泛地运用于口语和书面语之中。(王勤,马国凡,许正元,和孙玉
溱, 1988: 1) 由于“汉语成语”比较常用而且数量也最多的缘故,本次的研究范

围将只针对“汉语成语”进行研究。

2.1.1 汉语成语的定义

在《现代汉语词典》(1999: 160) “成语”一词的解释为:

成语是人们长期以来习用的、形式简洁而意思精辟的、定型的词组或短
句。汉语的成语大多由四个字组成,一般都有出处。有些成语从字面上不难理
解,如‘小题大做’、‘后来居上’等。有些成语必须知道来源或典故才能懂
得意思,如‘朝三暮四’、‘杯弓蛇影’等。

2.1.2 泰语成语的定义

สง่า กาญจนาคพันธุ์ (Sa-nga Kanchanakphan) (2538: 1) 作了泰语成语的解释
说:

任何国家的语言,大体上可分为两类,直意话和比喻话。所谓“直意话”
就是一说就能容易理解,听者不需要太多的思考,而比喻话却是往往透过字面
意义,必须进一步深入理解,才能掌握真正的意思,有时此话会使听者弄不清
或误解说者需要表达的真正意义。

122

《พ จ น า นุ ก ร ม ฉ บั บ ร า ช บั ณ ฑิ ต ย ส ถ า น ( Photcananukrom Chabap
Ratchabandittayasathan)》(泰国皇家学会官方泰语字典) (2542: 1187) “成语”

一词的解释为:

成语是一种定型的词组,是从古代继承下来的。有些不能字面理解,有些
成语也有含义,如“教鳄鱼游泳”、“舞蹈不好责怪笛鼓”等。

2.2 汉语成语和泰语成语的来源

汉语成语和泰语成语的来源都非常丰富,各有不同如下:

2.2.1 汉语“成语”的来源

王勤(2006:238-248)根据来源的不同将成语分为以下几类:

1 ) 来源于寓言故事的成语,如:塞翁失马、画蛇添足、掩耳盗铃、亡羊

补牢、买椟还珠等。

2 ) 来源于历史典故的成语,如:四面楚歌、势如破竹、草木皆兵、卧薪

尝胆、初出茅庐等。

3 ) 来源于神话传说的成语,如:嫦娥奔月、补天浴日、开天辟地、夸父

追日、女娲补天等。

4) 来源于佛教的成语,佛教是世界上最重要的宗教之一,公元前三世纪,

佛教就传遍全部印度并开始往世界各国各地扩散传播,它也传到了中国。佛教中
的许多词汇被吸收到汉语的词汇中,产生了大量的新词,其中就有许多成语、俗
语或典故,丰富了汉语词汇宝库,如:六根清净、现身说法、大彻大悟、前因后
果、自作自受等。

此外,通过研究还发现有的中国成语是来源于道教的,如:六神无主,
意思是道家认为人的心、肺、肝、肾、脾、胆各有神灵主宰,称为六神。形容

惊慌着急,没了主意,不知如何才好。(Biān Xīn,2007)

2.2.2 泰语成语的来源
ดนัย เมธิตานนท์(Danai Methitanon) (2541:3-10) 说道:我们最初始的泰

国人的生活方式十分亲近自然,这对泰国人成为诗人骚客有十分重要的影响,
泰国人擅于使用比喻手法使得泰语成语异常深刻,且来源也很丰富多彩;各类
成语的起源可能来自对自然界、宗教教义、宗教背景或宗教实践中使用的事物
的观察记录;来源依据于各种风俗传统、生活方式、大自然对生物的馈赠、行
为举止、游戏项目、小说、传说乃至历史、年鉴等,也包括其它的依据。

123

2.3 迷信的含义

汉泰成语中都有与迷信相关的成语,在汉语中将这些成语归类为“迷
信”,意思是迷失自性而盲目地信从;而泰语中则将有相同特征的成语都归类

于“ความเชื่อ(khwamchuea)”(信仰)

2.3.1 “迷信”的含义

《现代汉语词典》(2002:872)给“迷信”下的定义是:

迷信是信仰神仙鬼怪等不存在的事物,泛指盲目的信仰崇拜。

薛风平,陈洪泉(2001:116)认为迷信是指非理性的,无根据地盲目相
信和崇拜神仙、妖魔鬼怪、看相、算命、解梦、巫术、占卜、择吉、看风水、
符咒、求雨等等,包括相信不该相信的东西,是一种无理由的相信,且不能够
证明所相信的东西是否真实存在。

根据上述中国有关迷信的研究学者对迷信给出的定义,可以总结出“迷
信”是无根据地盲目崇拜某种事物而不管所相信的事物是否真实存在或是否可
以被证明,是一种违背科学原理的信仰,还包括对神仙、妖魔鬼怪、看相、算
命、解梦、巫术、占卜、择吉、看风水、符咒和求雨等的盲目相信和崇拜。

2.3.2 “ความเชือ่ (khwamchuea)(迷信)”的含义
ทศั นยี ์ ทานตวณชิ (Thatsani Thanotwanit)(2523:224)给迷信下过如下

的定义:迷信是接受崇拜或坚信某种无论是否客观存在的东西是真的或真实存
在的;接受或坚信该种东西可能有充足的证据证明其真实可见,也可能没有充
足的证据证明其真实可见。

南部师范学院联盟(2526:23)给迷信下定义说:迷信是接受某种东西是

一种真实的或是我们可以信任的东西,迷信所谓的真实或信任感之形象不一定
非得是符合任何逻辑或科学原理的真相不可。相信附身符的人会坚信附身符真
的可以为自己祛邪免灾,相信黄道吉日的人会认为星辰的轨道周期会对人体造
成影响,迷信思想的例子包括鬼魂、女树鬼、巫术、占星术、附身符及相信所
谓神秘、圣物或超自然的力量等等。

根据上述泰国有关迷信的研究者对迷信给出的定义,可以总结出“迷信”
意思是接受崇拜或坚信某种无论是否客观存在的东西是真的或真实存在的;接
受或坚信该种东西可能有充足的证据证明其真实可见,也可能没有充足的证据
证明其真实可见;且不一定非得是符合任何逻辑或科学原理的真相不可,迷信

124

的范围非常宽泛,不仅仅局限于对各类鬼魂、凶吉预兆、护符咒语、巫术占星
等的迷信,还包括对人类周遭环境及人类所接受崇拜的各种事物的迷信。

2.4 中国的迷信和泰国迷信的类别

由于中泰两国之间文化的差异必然导致两国中迷信思想的差异:

2.4.1 中国人的迷信类别

李丹,孙延军和雷雳(2006:81)将迷信分为如下 8 个类别:
(1) 关于良辰吉时、黄道吉日的迷信,即相信如果在吉时做某事,会给生

活带来好运;
(2) 关于妖魔鬼怪的迷信;
(3) 关于圣物的迷信,即相信有佛祖、菩萨、神仙存在,比如说如果想要

让生意兴隆财源广进就请尊财神爷供奉在店内敬拜,或者将佛像、菩
萨请到家中供奉敬拜以向佛祖和菩萨求福求子;
(4) 关于地狱的迷信;
(5) 关于天堂的迷信;
(6) 关于因果报应的迷信;
(7) 关于生死轮回,有来世的迷信;
(8) 关于神秘现象的迷信,相信有各种各样的神秘力量或超自然力量,如:
护身符、大力丸等。

2.4.2 泰国人的迷信类别
ยมนา ทองใบ (Yommana Thongbai)(2550:4-6)将迷信分为如下 13 种类

别:

(1) 关于护身符、魔力、咒语和巫术的迷信;
(2) 关于灵魂、妖魔鬼怪的迷信;
(3) 关于圣力神仙的迷信;
(4) 关于凶吉预兆的迷信;
(5) 关于消灾避祸的迷信;
(6) 关于魂魄、命运、星座、运势的迷信;
(7) 关于良辰吉日的迷信;
(8) 关于生死轮回、死后的生活、来世的迷信;
(9) 关于因果报应、罪孽积德、天堂地狱的迷信;
(10)关于人、人的特征的迷信,即应该与怎样特征的人交往而不应该与怎

样特征的人交往;
(11)关于瑞兽和凶兽的迷信;
(12)关于解梦的迷信;

125

(13)关于宗教的迷信。

126

第三章

与迷信相关的汉语成语

从 5 本汉语成语词典中随机收集汇总的与迷信相关的汉语成语总共有 520
个,我们主要使用李丹,孙延军,和雷雳(2006:81)对与迷信相关的成语进
行分类的规则将这些成语进行分类,可以将与迷信相关的汉语成语共分为以下
12 种主要类别。

3.1.反映关于圣物的迷信的汉语成语
นวรัตน์ ภักดีคำ(Nawarat Pakdikam)(2553:2-3)认为“圣物”的意思

是:
“被认为是某种具有超自然力量的事物或存在,可以保佑发生各种各样

的事,并能对各种东西产生好的或坏的影响,例如:佛祖、菩萨、观音、神仙
等,如果供奉祭品恭敬地祭拜,将会受到圣物的庇佑且有求必应。”

在这里,我们将研究以下反映关于圣物迷信的四个大类的汉语成语:即
含“佛”字的汉语成语,含“菩萨”的汉语成语,含“神”字的汉语成语和含
“仙”字的汉语成语。

3.1.1 含“佛”字的汉语成语

反映了关于佛祖的迷信,含“佛”字作为组成部分的汉语成语共有 72 个,
分为以下 3 个大类:

3.1.1.1 褒义的含“佛”字的汉语成语

词性为褒义的含“佛”字的汉语成语共有 27 个,大部分用来表达如佛陀
般慈悲为怀,形容那些受人们尊重爱戴的人员或贵族,或者获得无与伦比的成
就等,如:

例 1:
佛眼相看
意思是用佛的眼光去看。比喻好意对待,不加伤害。2

例 2:
万家生佛
意思是指修成佛道,成为祖师。比喻获得杰出成就。

2 汉语成语的意思都从 《分类汉语成语大词典》,《汉语成语大词典》,《古今成语大词典》,《汉语成语
学习词典》,《学生汉语成语学习词典》中收集出来的。

127

3.1.1.2 贬义的含“佛”字的汉语成语

词性为贬义的含“佛”字的汉语成语共有 33 个,大部分用来表达平时不
往来,遇有急难才去求恳求,形容那些嘴甜心毒的人,或者恶人伪装成好人等,
如:

例 3:
临时抱佛脚
原意为年老信佛,以求保佑,有临渴掘井之意。后因称平时无准备而事
急时仓猝张罗为“临时抱佛脚”。

例 4:
佛口蛇心
意思是佛的嘴巴,蛇的心肠;比喻话虽说得好听,心肠却极狠毒。

3.1.1.3 中性的含“佛”字的汉语成语

词性为中性的含“佛”字的汉语成语意思是其既不表达贬义也不表达褒
义,大多数为直接提及佛祖的名讳或佛教教义或佛经的名称等,没有褒义或贬
义的内涵,此类成语共有 12 个,如:

例 5:
无量寿佛
意思是阿弥陀佛的意译。西方净土的教主,佛教净土宗的信仰对象。

例 6:
见性成佛
意思是佛教禅宗认为只要“识自本心,见自本性”,就可以成佛。

另外,从对含有“佛”字且表达贬义色彩的汉语成语的研究中,我们发
现这类成语中的“佛”字的含义仍都是正面的;如“佛口蛇心”,意思是话说
得如佛陀般好听,但心却如毒蛇一样,这里的“佛口”意思是说话说得如佛陀
般好听,表达的是正面的意思,但当有“蛇心”这个意为心如毒蛇而带贬义的
词出现在成语中的时候,就使得整个成语带有了贬义的色彩,比喻话虽说得好
听,但心肠却极狠毒。还有如“佛面刮金”,意思是从佛像脸上搜刮金子,这
里的“佛面”意思是佛的脸面,表达得是正面的意思,但当有“刮金”这个意
为搜刮金子而带有贬义的词出现在成语中的时候,就使得整个成语带有了贬义
的色彩,比喻从不该侵犯的地方或从有限的一点油水中竭力搜刮掠取。由此可
见,“佛”字即便出现在带有贬义色彩的成语中,但其仍都具有正面的含义,
只是因为有其它表达贬义色彩的词汇同时出现在该成语中,才导致该成语带有
贬义。从对这类成语的研究中发现“佛”都被用来比喻成美好的事物,即:善
良慈悲、善待他人且不伤害他人的人,受广大百姓爱戴的官吏或贵族,或受到

128

人民大众敬爱的人士,以及说话温柔动听的人。这些可以反映出中国人对佛祖
的迷信思想,即释迦牟尼佛祖对众生万物拥有着大慈大悲之心,雍容华贵,充
满着睿智与圣洁;佛陀亲身修行而教化众生了解所有佛法,以使众生拥有慧眼,
直至有能力从心中洗净一切贪嗔痴的欲望,进入涅槃境界,从所有苦难中脱离,
不再需要生死轮回,佛陀因此受到众神万物的尊崇敬仰;而且佛陀还拥有如天
堂鸟般的悦耳动听的声音,所以中国人将佛陀的大慈大悲、教化众生万物之心,
以及佛陀悦耳动听的话语,乃至受众神万物尊崇敬仰的形象,来比喻那些善良
慈悲、善待他人且不伤害他人的人,受广大百姓爱戴的官吏或贵族,或受到人
民大众敬爱的人士,以及说话温柔动听的人。

3.1.2 含“菩萨”的汉语成语

反映了关于佛教菩萨的迷信,含“菩萨”的汉语成语共有 11 个。

“菩萨”一词在《佛教大辞典》(2002: 625) 中的解释为:

“佛家语。梵语的音译,也是菩提萨埵的省略,菩提是觉悟的意思,萨埵是
有情的意思。又译为大道心众生;佛教指修行到了一定程度、地位仅次于佛的人;
特指大乘佛教中作为神而加以崇拜者。”

反映与菩萨圣物有关的迷信的汉语成语可分为以下 3 个大类:

3.1.2.1 褒义的含“菩萨”字的汉语成语

词性为褒义的含“菩萨”字的汉语成语共有 5 个,大部分用来表达如菩
萨般慈悲为怀,形容心地仁慈的人,或拯救在苦难中的人等,如:

例 7:
菩萨心肠
意思是菩萨的慈悲胸怀。比喻心地仁慈。

例 8:
救苦菩萨
意思是解救众人的痛苦和灾难。

3.1.2.2 贬义的含“菩萨”字的汉语成语

词性为贬义的含“菩萨”字的汉语成语共有 3 个,大部分用来表达连自
己都保护不了,如:

例 9:
泥菩萨过江,自身难保
泥塑的泥菩萨在水中会被浸坏。比喻连自己都保护不了,更顾不上帮助
别人。

129

例 10:
泥菩萨落水,自身难保
泥塑的泥菩萨在水中会被浸坏。比喻连自己都保护不了,更顾不上帮助
别人。

3.1.2.3 中性的含“菩萨”字的汉语成语

词性为中性的含“菩萨”字的汉语成语意思是其既不表达贬义也不表达
褒义,大多数为直接提及不应该做的事情或女子对男子的亲昵称呼或人沉默寡
言等,没有褒义或贬义的内涵,此类成语共有 3 个,如:

例 11:
真菩萨面前,莫要烧假香
比喻在有识别力,深知底细的人面前,不可弄虚作假。

例 12:
菩萨哥儿
指女子对男子的亲昵称呼。

此外,还有不包含“菩萨”但直接出现菩萨的名讳如“观世音”的汉语
成语,出现观世音菩萨名讳的汉语成语而反映了关于观世音菩萨的迷信的成语
中词性为褒义的有 4 个,贬义的有 1 个,共计 5 个,如:

例 13:
水月观音
佛经谓观音菩萨有三十三个不同形象的法身,画作观水中月影状的称水
月观音。后用以喻人物仪容清。

例 14:
观音大士
指观世音的别称。

从成语中可以发现“菩萨”一词通常情况下用来比喻拥有慈悲善良之心
的人,乐于帮助正遭受苦难之人的人,有知识和经验的人。这些可以反映出中
国人对菩萨的迷信概念,即菩萨拥有无量慈悲之心,拥有普度遍及三界众生脱
离苦难的誓愿,当菩萨看到有人遭受困难时就会立即降临将其救出苦海,所以
中国人将菩萨的慈悲为怀、救苦救难之心,拿来比喻那些拥有慈悲善良之心的
人士,或乐于帮助正遭受苦难之人的人士。

130

3.1.3 含“神”的汉语成语

反映了关于神的迷信,含“神”的汉语成语共计 56 个。

在《现代汉语词典》(2002: 1155) “神”一词的解释为:

“迷信的人指天地万物的创造者和统治者或神话传说中的人物,有超人
的能力。”

反映了关于神的迷信,含“神”的汉语成语可分为以下 3 个大类:

3.1.3.1 褒义的含“神”字的汉语成语

词性为褒义的含“神”字的汉语成语共有 29 个,大部分用来表达预料事
情象神仙一样准确,形容有超人的能力,或者善于写文章如有神力相助等,如:

例 15:
料事如神
预料事情象神仙一样准确。形容预料事情非常准确。

例 16:
下笔如有神
指写起文章来,文思奔涌,如有神力。形容文思敏捷,善于写文章或文
章写得很好。

3.1.3.2 贬义的含“神”字的汉语成语

词性为贬义的含“神”字的汉语成语共有 25 个,大部分用来表达凶恶的
人,形容民愤极大,或者对某人或某物崇拜到了极点等,如:

例 17:
敬若神明
像敬重神一样敬重对方。形容对某人或某物崇拜到了极点。多用作贬义。

例 18:
凶神恶煞
原指凶恶的神,后用来形容非常凶恶的人。

3.1.3.3 中性的含“神”字的汉语成语

词性为中性的含“神”字的汉语成语意思是其既不表达贬义也不表达褒
义,大多数为直接提及起誓时表白之辞或求神帮助,或靠卜卦解决,没有褒义
或贬义的内涵,此类成语共有 2 个,如下:

例 19:
神人鉴知
天神和凡人都察知。多用为起誓时表白之辞。

131

例 20:
求神问卜
意思是迷信的人遇有疑难,求神鬼帮助,或靠卜卦解决。

此外,还有成语中没有“神”字,但出现神的名称或神的俗称可以反映

出关于神的迷信的成语共 23 个,分为褒义的成语 14 个,贬义的 7 个,不褒不
贬的 2 个,如:

例 21:
月下老人
原指主管婚姻的神仙。后泛指媒人。

例 22:
太岁头上动土
旧时迷信,认为太岁每年所在方位为凶方,这一年如在这一方位动土建
筑,便要发生祸事。比喻触犯强暴有力的人。

从对成语中“神”字的研究可以发现其表达了丰富的含义,可以分为以
下三个大类:

第一类,“神”用来比喻具有精湛技能或在某一特定领域具有卓越才能
的人,如能够准确预测事件预知未来的人,具有极强吟诗作赋能力的人,拥有
熟练军事指挥才能、善于作战的人,拥有十分强大力量的人,智慧超群的人,
或在艺术方面有卓越才能的人,如在建筑物、建筑艺术、伟大的发明等方面。
从而进一步联想将其用来比喻卓越的艺术作品,如无比精美细腻、无比深刻感
人、无比奇妙优美的诗歌或军事著作;或将其用来比喻那些庄严威武、不容冒
犯的事物,以及拥有崇高地位的人,如皇室的子孙。这些都反映了中国人对神
的迷信思想,即神是一种神圣、崇高的存在,拥有恩赐、创造、发明各种各样
事物的超自然法术,拥有支配人类世界的超自然力量,能影响人类命运,能赏
可罚,所以人类才必须依靠神的庇佑,人们相信如果拜神供神,神就会保佑他
们的生活富贵荣华、风调雨顺,一旦谁家有人患病染疾就会去求神,神就会保
佑患者身体健康如初。因此,中国人就将关于神的这种迷信概念拿来比喻具有
精湛技能或在某一特定领域具有卓越才能的人神乎其技;能够准确预测事件预
知未来的人料事如神;拥有熟练军事指挥才能、善于作战的人用兵如神,拥有
十分强大力量的人如有神力,精妙绝伦的诗歌或军事著作如神来之笔等等。

第二类,“神”代表那些凶残可怕的人,遭遇到的祸事,工作出没无常,
四处奔波的人。这些则反映了中国人对神的另一种迷信思想,神除了可以给尊
崇神的人恩赐各种的事物以外,倘若人类使神发怒的话,神也可以变成十分可
怕而凶残的东西,如灾神使得国家遭受灾害、旱灾、风不调雨不顺、森林大火
等祸事;此外,中国人还认为神拥有可以随心所欲的隐身法术,想要出现在哪

132

儿都行,飘忽不定;所以中国人将这种迷信概念拿来比喻凶残可怕的人犹如面
目可憎的凶神恶煞;人类遭受祸事是因为神作祸作;工作出没无常,四处奔波
的人如神出鬼没般到处可见他的身影。

第三类,“神”字代表了某种超自然的、多变的及高深奇异的存在;如
不可预测的迅速变化的事物,高深奇异的事物,可能由于发生的各种事情太过
高深复杂而导致难以预料,神秘惊人的地方,以及神奇的力量等等。这些都反
映出中国人对神的另一种迷信概念,即神无比崇高而超自然,拥有神奇的法术,
拥有恩赐、创造、发明各种事物的神奇力量,能够操控自然界,如雨、风、雷
等,而且神还能造成自然灾害及各种奇观。当人类无法对神秘奇特怪异的景观
和迅速的变化作出解释的时候,就会认为是神施法而形成的。此外,神还非常
诡异,因为神还是一种看不见摸不着的无法印证其是否真实存在的东西,因此
中国人将对神的这种迷信概念拿来比喻快速变换的状态,既包括难以预料瞬息
万变的人或自然现象,也包括各种奇闻异事,如同神施法形成的一样;甚至包
括神秘惊人的地方,如同诡异而无法印证其是否真实存在的神一样神秘莫测。

3.1.4 含“仙”的汉语成语
在《现代汉语词典》(2002: 1407) “仙”一词的解释为:

“神话和童话里指长生不老并且有种种神通的人。”

反映了关于仙的迷信,含“仙”的汉语成语共计 26 个,分为:

3.1.4.1 褒义的含“仙”字的汉语成语

词性为褒义的含“仙”字的汉语成语共有 20 个,大部分用来表达人的风
骨神采与众不同,形容女子姿态容貌都美,或者形容奇异不凡或美妙空幻的境
界或景象等,如:

例 23:
仙风道气
仙人的风度,道长的气概。形容人的风骨神采与众不同。

例 24:
仙山楼阁
指仙人所居住的仙境。多用于形容奇异不凡或美妙空幻的境界或景象等。

3.1.4.2 贬义的含“仙”字的汉语成语

词性为贬义的含“仙”字的汉语成语共有 3 个,大部分用来表达指去世,
形容道路远隔,或者人的行踪不定等,如:

例 25:
羽化登仙

133

指修行的人成道时骑鹤升天而去。指去世。

例 26:
仙尘路隔
一个在天上,一个在人间。比喻道路远隔,阻碍重重,难以相见。

3.1.4.3 中性的含“仙”字的汉语成语

词性为中性的含“仙”字的汉语成语意思是其既不表达贬义也不表达褒
义,大多数为直接提及两从秘密地配合做成某件事或仙的名讳,没有褒义或贬
义的内涵,此类成语共有 3 个,如下:

例 27:
二仙传道
两位神仙一起传授道法。比喻两从秘密地配合做成某件事。

例 28:
霹雳大仙
指传说中指雷电之神仙。

此外,还有汉语成语中同时出现“仙”和“神”,反映出关于仙和神的

迷信的成语共 5 个,如:

例 29:
神仙中人
意思是对容貌端美,神态飘逸者的美称。

例 30:
八洞神仙
道家谓神仙所居之洞天分上八洞﹑中八洞﹐下八洞。上八洞为天仙﹐中
八洞为神仙﹐下八洞为地仙﹐总谓之“八洞神仙”。民间则专以汉钟离﹑张果
老﹑铁拐李﹑韩湘子﹑曹国舅﹑吕洞宾﹑蓝采和﹑何仙姑等八仙为“八洞神
仙”。

从成语中可以发现“仙”字通常情况下用来形容气质超脱世俗,品格清
高,乃至具有纯洁的心灵之人,行为举止灵动飘逸、秀美多姿之人,容光焕发
之人,婀娜多姿、面容姣好的女子,具有高超才能、智慧超群之人,喜欢独来
独往的人。此外,“仙”字还往往拿来比喻超越自然的东西,秘密的事物和风
景绝美的地方。这些可以反映出中国人对仙的迷信概念,即仙是一种长生不老,
具有超自然的法术的神圣存在。仙喜欢独来独往,隐居于深山老林或美丽幽静
的洞穴之中,过着与喧嚣的外部世界隔绝的生活。仙无所不能,气质超凡脱俗,

134

品格清高,心灵纯净,举止飘逸灵动,秀美多姿,而且仙还有英俊潇洒的外貌。
因此,中国人将关于仙的这些迷信概念拿来比喻为气质超脱世俗,品格清高,
乃至具有纯洁心灵之人,行为举止灵动飘逸、秀美多姿之人,婀娜多姿、美若
天仙的女子,具有高超才能、智慧超群之人等等。

3.2 反映关于魔的迷信的汉语成语
在《佛教大辞典》(2002: 1579) “魔”一词的解释为:

“魔字来源于佛教,词根源于梵文,本意为死亡,夺人生命者。佛教认
为,魔能够夺人生命,并能阻碍修行,使修行者产生痛苦、不安和痴迷等烦
恼。”

反映了关于魔的迷信,含“魔”的汉语成语共有 14 个,分为:

3.2.1 褒义的含“魔”字的汉语成语

词性为褒义的含“魔”字的汉语成语共有 2 个,大部分用来表达正义始
终压倒邪恶,形容法力高强等,如:

例 31:
魔高一尺,道高一丈
原是道教告诫修行人警惕外界诱惑的话,意思是修行到一定阶段,就会
有魔障干扰破坏而可能前功尽弃。后来比喻取得一定成就后遇到的障碍会更大。
也比喻正义终将战胜邪恶。

例 32:
道高魔重
形容法力高强。

3.2.2 贬义的含“魔”字的汉语成语

词性为贬义的含“魔”字的汉语成语共有 11 个,大部分用来表达恶人猖
狂作坏事,形容扰乱世界、给人们带来严重灾难的人,或者形容长期身患重病
等,如:

例 33:
混世魔王
比喻扰乱世界、给人们带来严重灾难的人。有时也指成天吃喝玩乐、到
处胡闹的有钱有势人家的子弟。

例 34:
群魔乱舞
成群的魔鬼乱蹦乱跳。比喻一批坏人在政治舞台上猖狂活动。

135

3.2.3 中性的含“魔”字的汉语成语

词性为中性的含“魔”字的汉语成语意思是其既不表达贬义也不表达褒
义,大多数为直接提及取得一定成就以后往往面临新的更大的困难,没有褒义
或贬义的内涵,此类成语共有 1 个,如下:

例 35:
道高一尺,魔高一丈
原意是宗教家告诫修行的人要警惕外界的诱惑。后比喻取得一定成就以
后往往面临新的更大的困难。

从成语中可以发现“魔”字通常情况下用来形容邪恶的事物,阻碍或诱
惑修行者的障碍,缠身的病痛,行为不端之人,离经叛道之徒,患病虚弱的状
态,重病或顽疾的症状。这些可以反映出中国人对魔的迷信概念,即魔是一种
邪恶的事物,心肠狠毒,喜欢干坏事儿,魔可以篡夺人类的生命,使人类生病,
阻碍修行,使修行者产生内心的痛苦、不安和迷茫等烦恼。这些都反映了魔的
邪恶的形象,因此,中国人将魔的这种形象特征拿来形容不好的事物和人类不
端的行为,如阻碍或诱惑修行者的障碍,缠身的病痛或顽疾等症状,因为人们
认为生病是病魔缠身引起的,行为不端的人或离经叛道之徒就如同走邪魔外道
的混世魔王到处惹是生非等等。

3.3 反映关于业的迷信的汉语成语
反映了关于业的迷信的汉语成语共有 21 个,分为:

3.3.1 反映关于业的迷信的褒义的汉语成语

反映关于业的迷信的褒义的汉语成语共有 1 个,大部分用来表达做好事
必有好的报答,如下:

例 36:
善有善报
意思是做好事必有好的报答。

3.3.2 反映关于业的迷信的贬义的汉语成语

反映关于业的迷信的贬义的汉语成语共有 2 个,大部分用来表达做坏事
终究会有坏的报应,如:

例 37:
现世现报
意思是指人做了恶事,今生就会得到报应。

136

3.3.3 反映关于业的迷信的中性的汉语成语

反映关于业的迷信的中性的汉语成语意思是其既不表达贬义也不表达褒
义,大多数为直接提及因果报应,做好事终究有好的回报,做坏事终究会有坏的
报应。,没有褒义或贬义的内涵,此类成语共有 18 个,如:

例 38:
善有善报,恶有恶报
指行善和作恶到头来都有报应。 做好事终究有好的回报,做坏事终究会
有坏的报应。就是说因果报应,规劝人要做好事。

例 39:
前因后果
佛教讲;先前种什么因;后来就结什么果;指事情发生的起因和它的结

果。

3.4 反映关于生世的迷信的汉语成语
反映了关于生世,包括关于生死轮回的迷信的汉语成语共有 14 个,分为:

3.4.1 反映关于生世的迷信的褒义的汉语成语

反映关于生世的迷信的褒义的汉语成语共有 2 个,大部分用来表达非常
幸运,形容在非常危险的情况中幸存下来等,如:

例 40:
三生有幸
三生都很幸运。形容极为幸运或难得的好境遇。

例 41:
两世为人
好象重新来到人间。形容在非常危险的情况中幸存下来。

3.4.2 反映关于生世的迷信的贬义的汉语成语

反映关于生世的迷信的贬义的汉语成语共有 5 个,大部分用来表达众生
轮回六道,生生死死,茫无涯际,有如大海,如:

例 42:
六道轮回
佛教语,六道:天道、人道、阿修罗道、畜生道、饿鬼道和地狱道。指
众生轮回的六大去处,即在这六道中轮回生死。

137

例 43:
生死苦海
佛教语。指众生轮回六道,生生死死,茫无涯际,有如大海。

3.4.3 反映关于生世的迷信的中性的汉语成语

反映关于生世的迷信的中性的汉语成语意思是其既不表达贬义也不表达
褒义,大多数为直接提及今生、来世以至永世或一种因人事或景物变化很大而
引起的感触,没有褒义或贬义的内涵,此类成语共有 7 个,如:

例 44:
生生世世
指今生、来世以至永世。

例 45:
恍如隔世
意思是仿佛隔了一个时代。 指一种因人事或景物变化很大而引起的感

触。

3.5 反映关于地狱的迷信的汉语成语

含有“地狱”的汉语成语共有 10 个,全部都带有贬义,如:
例 46:
拔舌地狱
佛教称人生前毁谤佛法,死后堕入受拔舌刑罚的地狱。 后用来泛指因口
舌罪过而堕入的地狱。

例 47:
十八层地狱
迷信认为人在生时为非作恶,死后进入十八层地狱,不得翻身。比喻悲
惨的报应。

此外,还有成语中不含“地狱”,但出现了佛教的地狱名称可以反映出
关于地狱的迷信的成语共 6 个,如:

例 48:
刀山剑树
意思是佛教所说的地狱之刑,形容极残酷的刑罚。

例 49:
刀山火海
比喻极其艰险的地方。

138

从成语中可以发现“地狱”这个词通常情况下用来形容社会的邪恶、阴
郁或残酷,艰难困苦的生活条件,监狱或阴森恐怖的场所,堕入糟糕的地位或
处境,包括遭受业报或偿还严重的恶报。这些可以反映出中国人对地狱的迷信
概念,即地狱是当人类犯下罪业时被监禁接受惩罚的阴间场所,当人类死后就
必须堕入地狱遭受沉痛的苦难,以偿还生前种下的业报,通过依靠粗鄙不堪的
身躯反反复复的遭受惩罚,直至业报终结,如被锯身,被碎尸万段,被火烤,
被杵舂,被扔入沸水锅,上铁刺树等等。因此,中国人将关于地狱的这种迷信
概念,拿来比喻艰难困苦的生活条件如同坠入人间地狱;监狱或阴森恐怖的场
所,社会的邪恶、阴郁或残酷如同地狱变相。

3.6 反映关于天堂的迷信的汉语成语
反映了关于天堂的迷信,含“天堂”的汉语成语共有 2 个,如下:

例 50:
人间天堂
意思是指人世间极美好的地方。

例 51:
上有天堂,下有苏杭
指苏州、杭州比天堂还要美好。

此外,还有成语中不含“天堂”,但出现了天堂名称或用来称呼天堂的
字眼可以反映出关于天堂的迷信的成语共 4 个;还发现“天堂”和“地狱”同
时出现,反映了关于天堂和地狱的迷信的汉语成语 1 个,如:

例 52:
极乐世界
佛教指阿弥陀佛成道时所居住的乐土;是一块可以摆脱人间一切烦恼的
净土。 后泛指无忧无虑、快乐如意的理想境界。

例 53:
天堂地狱
原为佛家语。指善人死后升入天堂,恶人死后堕入地狱。佛家用以劝善
惩恶。后常用以比喻幸福和凄苦两种截然相反的生活境遇。

从成语中可以发现“天堂”一词通常情况下用来形容美丽的地方或风景,
人世间充满幸福的社会,这些可以看出中国人对天堂的迷信概念,即天堂是一
个只有幸福没有痛苦的地方,只有那些生前行善积德,避免为非作歹的人,死
后才能上天堂。天堂是一个极其幸福的地方,有用各种各样宝石装饰的而成的

139

华丽精美的宫殿,有金池银池,众神在天堂上享受只有幸福,没有痛苦的生活。
因此,中国人于是将这种关于天堂的迷信概念,拿来比喻美丽的地方或风景以
及人世间充满幸福的社会如同在天堂一样。

3.7 反映关于妖魔鬼怪的迷信的汉语成语

反映关于妖魔鬼怪的迷信的汉语成语可以分为以下两种类别:

3.7.1 反映关于鬼的迷信的汉语成语

反映关于鬼的迷信的汉语成语可以分为以下两种主要类别,即:含“鬼”
字的汉语成语和其它反映关于妖魔鬼怪的成语,值得一提的是还有含“鬼”与
“神”“魔”“仙”这些字同时出现的汉语成语。

3.7.1.1 含“鬼”字的汉语成语

反映了关于鬼的迷信,含“鬼”字的汉语成语共有 92 个,分为:

3.7.1.1.1 褒义的含“鬼”字的汉语成语
词性为褒义的含“鬼”字的汉语成语共有 8 个,大部分用来表达艺术技

巧高超,形容人善于说话,或者惊天动地的好事等,如:
例 54:
鬼工雷斧
意思是形容艺术技巧高超,不是人力所能达到的。

例 55:
见人说人话,见鬼说鬼话
指看人说话与处事。形容人善于说话

3.7.1.1.2 贬义的含“鬼”字的汉语成语

词性为贬义的含“鬼”字的汉语成语共有 75 个,大部分用来表达用心险
恶,暗中伤人的卑劣手段,形容哭叫悲惨凄厉,或者形容人长得丑陋或骂人长
相难看,没有人味等,如:

例 56:
鬼蜮伎俩
意思是比喻用心险恶,暗中伤人的卑劣手段。

例 57:
三分像人,七分似鬼


Click to View FlipBook Version