The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by paison1515, 2021-08-31 08:54:21

การศึกษาเปรียบเทียบสำนวนจีนกับสำนวนไทยที่เกี่ยวกับความเชื่อ

โดย พระกฤตานน จุฑาเกียรติ

40

เกิดขึ้น คนที่ทำงานไม่เป็นหลักเป็นแหล่ง เร่ร่อนไปทั่ว ดั่งเทพเจ้าที่อยู่ไม่เป็นหลักเป็นแหล่ง ปรากฏ
ตวั ไปทุกที่

กลุ่มที่สาม คำว่า shén สื่อถึงสิ่งเหนือธรรมชาติ การเปลี่ยนแปลงและความลึกลับอัศจรรย์
เช่น การเปลยี่ นแปลงที่เกดิ ข้ึนอย่างรวดเรว็ ไม่แนน่ อน ความลึกลับอัศจรรย์ ซึ่งอาจเปน็ เรอื่ งราวต่าง ๆ
ลึกลับซับซ้อนจนยากจะคาดเดา สถานที่ที่มีความลี้ลับน่าพิศวง รวมไปถึงพลังอำนาจ เป็นต้น สิ่ง
เหล่านี้ล้วนสะท้อนให้เห็นถึงความคิดความเช่ือท่ีคนจีนมีต่อเทพเจ้าว่า เทพเจ้าน้ันสูงส่งเหนือ
ธรรมชาติ มีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์และมีพลังอำนาจในการดลบันดาลสร้างสรรค์เนรมิตสิ่งต่าง ๆ ให้
เกิดขึ้นได้ สามารถควบคุมธรรมชาติ เช่น ฝน ลม สายฟ้า เป็นต้น อีกทั้งเป็นผู้ก่อให้เกิดภัยธรรมชาติ
และปรากฏการณ์แปลกประหลาดตา่ ง ๆ เมอ่ื มนุษย์ไมส่ ามารถอธบิ ายปรากฏการณ์ที่ลึกลับมหัศจรรย์
ปรากฏการณ์แปลกประหลาดหรือการเปล่ียนแปลงท่ีเกิดขึน้ อย่างรวดเรว็ ได้ก็คิดว่าเป็นเพราะเทพเจ้า
ทรงบันดาลให้เกิดให้เป็นไปอย่างนั้น นอกจากนี้เทพยังมีความลี้ลับเพราะเป็นสิ่งที่เห็นตัวตนไม่ได้
พิสูจน์ไม่ได้ว่ามีอยู่จริงหรือไม่ ดังนั้นชาวจีนจึงนำแนวคิดความเชื่อนี้มาเปรียบกับสภาพสภาวะการ
เปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของคนหรือธรรมชาติที่เกิดขึ้นอย่าง
รวดเร็วไม่แน่นอนไมส่ ามารถท่ีจะคาดเดาได้โดยงา่ ยรวมถึงเรือ่ งราวหรอื เหตุการณ์ตา่ ง ๆ ที่บงั เกดิ ข้ึนมี
ความลกึ ลบั ซบั ซ้อนอัศจรรย์ เหมือนด่ังเทพท่ีเนรมติ ใหเ้ กดิ ขน้ึ ตลอดจนสถานทท่ี ี่มคี วามลี้ลับน่าพิศวง
จนยากที่จะคาดเดาเหมอื นกบั เทพเจ้าที่มีความลึกลับพิสูจน์ไม่ไดว้ ่ามีตวั ตนอยูจ่ รงิ หรอื ไม่

3.1.4 สำนวนจีนท่ีมคี ำว่า xiān
ชนชาติจนี มีความเช่ือเร่ือง xiān (仙 เซียน) มาแตโ่ บราณ ดงั จะเหน็ ได้จากการปรากฏความ

เชื่อเรื่องเซียนในวรรณกรรม วรรณคดี หรือมีแม้แต่รูปเคารพบูชาเซียนที่ปรากฏให้เห็นตามศาลเจ้า
เชอ่ื วา่ เซยี นศักดิ์สิทธก์ิ ็คือมนุษย์ผูท้ ่ีบำเพ็ญจนสำเรจ็ เป็นเซียน ในบรรดาเซียนศักด์ิสิทธิ์ท้ังหลายท่ีรู้จัก
กันเปน็ อยา่ งดใี นหม่ชู นผนู้ บั ถอื เซยี นมมี ากมาย อาทิ โป๊ยเซยี นหรอื แปดเซียนนน่ั เอง

พจนานุกรมภาษาจีนกลางปัจจุบัน (Xiàndài Hànyǔ Cídiǎn《现代汉语词典》)
(2002: 1407) ได้ให้ความหมายคำว่า xiān ไว้ว่า “ผู้ที่มีอายุยืนยาว เป็นอมตะไม่ตาย มีพลังอำนาจ
อิทธฤิ ทธเิ์ หนือธรรมชาติ”

ต้วน ลี่เซิง และบุญยิ่ง ไร่สุขสิริ (2543: 32) ได้ให้ความหมายคำว่า เซียน ไว้ว่า “มนุษย์ผู้
บำเพ็ญตนตามแนวทางและบทบัญญัติที่กำหนดไว้ในศาสนาเต๋าจนบรรลุผลแห่งการบำเพ็ญในระดับ
ใดระดบั หน่ึงและมีอิทธิฤทธ์นิ านาประการเรียกวา่ เซียน”

ดังนั้น xiān คือมนุษย์ผู้บำเพ็ญตนตามแนวทางและบทบัญญัติที่กำหนดไว้ในศาสนาเต๋าจน
บรรลุผลแห่งการบำเพ็ญในระดับใดระดับหนึ่งทำให้มีอายุยืนยาว เป็นอมตะไม่ตายและมีอิทธิฤทธิ์
นานาประการ

สำนวนจีนที่มีคำว่า xiān ในสำนวนสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อในเรื่องเซียนมีทั้งหมด 26
สำนวน แบ่งออกเป็น

41

3.1.4.1 สำนวนจนี ที่มคี ำว่า xiān ในสำนวนทีส่ ื่อความหมายแง่บวก
สำนวนจนี ทส่ี ะทอ้ นความเชือ่ เร่ืองเซียนในความหมายแง่บวกมีท้งั สิน้ 20 สำนวน ส่วนใหญ่ใช้
แสดงถึงคนที่มีบุคลิกภาพและอุปนิสยั ทา่ ทางสูงส่ง ผู้หญิงท่ีมอี ากปั กิริยาและรปู โฉมที่งดงาม ดินแดน
ท่ีแสนวิเศษงดงาม เปน็ ต้น เชน่
ตวั อยา่ งที่ 49

仙风道气
xiān fēng dào qì

มีทว่ งทา่ ด่งั เซยี น มีจิตใจอนั หา้ วหาญดง่ั นกั พรต
ใช้เปรยี บเทยี บบรรยายถงึ คนที่มบี คุ ลกิ ภาพและอุปนสิ ยั ทา่ ทางสูงสง่ ไม่เหมือนบคุ คลทั่วไป

ตัวอย่างท่ี 50

仙姿佚貌
xiān zī yì mào

ลักษณะทา่ ทางและรปู โฉมงดงามราวเทพธิดา
ใชเ้ ปรียบเทยี บบรรยายถงึ ผู้หญิงที่มอี ากปั กริ ิยาและรปู รา่ งหน้าตาที่งดงามมาก

ตวั อยา่ งท่ี 51

仙山楼阁
xiān shān lóu gé

หอหยกของเซียนภเู ขา
ใช้บรรยายถึงสถานท่ีอาศัยของเซียนเทพยดาท่ีเล่าต่อกันมาในเทพนิยาย ภายหลังใช้
เปรยี บเทยี บถงึ ดนิ แดนมายาทีแ่ สนวเิ ศษงดงาม

ตวั อยา่ งที่ 52

飘然欲仙
piāo rán yù xiān

ลอ่ งลอยขึน้ ไปราวกับสำเรจ็ เป็นเซียน
ล่องลอยขึ้นไปอย่างสง่าผ่าเผยราวกับสำเร็จเป็นเซียน ใช้เปรียบเทียบถึงคนที่มีกิริยาท่าทาง
การเคล่อื นไหวสงา่ ผ่าเผยมคี วามคล่องแคล่วเปน็ ธรรมชาตแิ ละอ่อนช้อยงดงาม นอกจากนี้ยงั ใชอ้ ธบิ าย
ถึงคนทม่ี ีความรสู้ ึกสดชื่นสบายใจไม่ตงึ เครียด

ตัวอยา่ งที่ 53

八仙过海,各显神通
bā xiān guò hǎi,gè xiǎn shén tōng

แปดเซียนข้ามทะเล ต่างแสดงอทิ ธิฤทธิป์ าฏหิ าริย์แตล่ ะองค์

42

ใช้เปรียบเทียบถึงต่างคนต่างใชค้ วามสามารถของตนเพื่อบรรลุถงึ เปา้ หมายในหน้าทีก่ ารงาน
ของตนเอง เปรียบเสมือนเวลาแปดเซียนข้ามทะเลไม่ต้องใช้เรือ แต่ละคนใช้อิทธิฤทธิ์วิชา
ความสามารถเฉพาะของตนข้ามทะเล

3.1.4.2 สำนวนจนี ท่มี คี ำวา่ xiān ในสำนวนที่สือ่ ความหมายแง่ลบ
สำนวนจนี ท่ีสะท้อนความเชื่อเรื่องเซียนในความหมายแงล่ บ ส่วนใหญใ่ ชแ้ สดงถึงการเสียชีวิต
การถึงแกก่ รรม ถนนหนทางหรอื ระยะทางท่หี ่างไกลกนั มากหรือคนทสี่ ญั จรไปมาไมแ่ นน่ อน มีทัง้ สิน้ 3
สำนวน ไดแ้ ก่
ตัวอย่างท่ี 54

羽化登仙
yǔ huà dēng xiān

เหาะข้ึนสสู่ วรรค์ สำเรจ็ กลายเป็นเซยี น
คนบำเพ็ญเพียรจนบรรลุสำเร็จเป็นเซียนแล้วขี่นกกระเรียนขึ้นสวรรค์ไป ใช้เปรียบเทียบถึง
การเสยี ชีวิต การถึงแกก่ รรม

ตวั อยา่ งที่ 55

仙尘路隔
xiān chén lù gé

แยกห่างกนั ราวสวรรคก์ บั โลกมนุษย์
ใช้เปรียบเทียบบรรยายถึงถนนหนทางหรือระยะทางที่ห่างไกลกันมาก เป็นอุปสรรคกีดขวาง
ให้ไม่สามารถมาพบเจอกันได้ เปรียบเสมอื นคนหน่งึ อยูบ่ นสวรรคอ์ กี คนหนึ่งอย่บู นโลกมนษุ ย์

ตัวอย่างที่ 56

人是地行仙
rén shì dì xíng xiān

คนทเ่ี ปน็ ด่งั เซียนพเนจรบนโลกมนุษย์
ใช้เปรียบเทียบถึงคนที่สัญจรไปมาไม่แน่นอน เปรียบเสมือนเซียนเทพยดาที่เที่ยวเตร่ในโลก
มนษุ ยต์ ามอารมณ์ไปท่วั

3.1.4.3 สำนวนจีนท่มี คี ำว่า xiān ในสำนวนทสี่ ่อื ความหมายกลาง
สำนวนจีนที่สะท้อนความเชื่อเรื่องเซียนในความหมายกลางหมายถึงไม่สื่อทั้งความหมายแง่
ลบและแงบ่ วก สว่ นใหญม่ ักจะกลา่ วถึงการทำเรือ่ งใดเรื่องหนงึ่ โดยเกบ็ เป็นความลบั รู้กนั แคส่ องคน ช่ือ
พระนามของเซยี น ไม่แสดงความหมายแฝงบวกหรือลบ มที ั้งสิ้น 3 สำนวน ไดแ้ ก่

43

ตัวอยา่ งที่ 57

二仙传道
èr xiān chuán dào

เซยี นสององคถ์ ่ายทอดธรรมใหแ้ กก่ นั
ใช้เปรยี บเทยี บถงึ คนสองคนรว่ มมอื กันทำเร่ืองใดเรอื่ งหน่ึงเป็นความลบั รู้กนั แคส่ องคน

ตัวอยา่ งที่ 58

霹雳大仙
pī lì dà xiān

มหาเซยี นเทพสายฟา้ พีลี่
ใชบ้ รรยายถึงเทพเจ้าสายฟ้าทีเ่ ล่าขานกนั ในตำนาน

ตวั อย่างท่ี 59

广寒仙子
guǎng hán xiān zǐ

เซียนเทพยดาทอ่ี าศยั อย่ใู นตำหนกั เหมันต์
ใชบ้ รรยายถึงเทพธิดาฉางเออ๋ รซ์ ่ึงเปน็ เซยี นท่ีอาศยั อย่ใู นตำหนักเหมันต์

นอกจากนี้ยังมีสำนวนจีนที่ประกอบด้วยคำว่า xiān กับ shén รวมอยู่ในสำนวนเดียวกัน
สะทอ้ นให้เหน็ ถงึ ความเชือ่ ในเร่ืองเซยี นและความเชอื่ ในเร่ืองของเทพเจ้ามที ง้ั สิน้ 5 สำนวน ไดแ้ ก่

ตวั อยา่ งที่ 60

林下神仙
lín xià shén xiān

เทพและเซียนเร้นกายในปา่ เขาลึก
ใช้เปรียบเทียบบรรยายถึงคนที่ชอบอยู่อย่างสันโดษตัดขาดจากโลกภายนอก เปรียบเสมือน
เทพและเซยี นเร้นกายเขา้ ในป่าเขาลึกและเงยี บสงบ

ตัวอยา่ งที่ 61

神仙不是凡人作
shén xiān bú shì fán rén zuò

เทพและเซียนไมใ่ ชส่ ่งิ ทีม่ นษุ ย์ปุถชุ นคนธรรมดาจะเปน็ ได้
ใช้เปรียบเทียบบรรยายถึงคนทีไ่ ม่คิดอะไรเกินตัว มกี ารประเมนิ ดูความสามารถตวั เองก่อนคิด
และลงมือทำ

44

ตัวอย่างที่ 62

三个不开口,神仙难下手
sān gè bù kāi kǒu,shén xiān nán xià shǒu

เมื่อคนสามคนไม่เอย่ ปากกลา่ ววาจา เทพและเซียนกย็ ากทจ่ี ะทำอะไรได้
ใช้บรรยายถึงแม้จะต้องตายก็ไม่ยอมเปิดปากกล่าววาจาให้ผู้อื่นรับรู้ต้นปลายสายเหตุ ทำให้
ผู้อื่นไม่สามารถวางแผนหรือลงมือทำอะไรได้ เปรียบเสมือนถ้าคนไม่ยอมเปิดปากกล่าววาจา แม้แต่
เทพและเซียนกไ็ ม่สามารถวางแผนหรอื ทำอะไรได้

ตัวอย่างท่ี 63

八洞神仙
bā dòng shén xiān

แปดถำ้ ภูเขาแตล่ ะชน้ั ของเทพและเซียน
ใช้บรรยายถึงนักพรตลัทธิเต๋ามีความเชื่อว่าเทพยดาและเซียนสถิตอยู่ที่ถ้ำภูเขา โดยแบ่ง
ออกเป็นแปดถ้ำภูเขาช้ันบน แปดถ้ำภูเขาช้ันกลาง แปดถ้ำภูเขาชั้นล่าง แปดถ้ำภูเขาชั้นบนเปน็ ทีส่ ถิต
ของเซียนสวรรค์ แปดถ้ำภูเขาชั้นกลางเป็นที่สถิตของเซียนเทพ แปดถ้ำภูเขาชั้นล่างเป็นที่สถิตของ
เซียนท่ีอาศัยอยูบ่ นโลกมนุษย์

ตวั อย่างที่ 64

神仙中人
shén xiān zhōng rén

เปน็ ด่ังเทพเซยี นทา่ มกลางผคู้ น
ใช้บรรยายถงึ เป็นคำชน่ื ชมยกย่องคนที่มรี ูปรา่ งหน้าตาสวยสดงดงาม มีอากัปกิรยิ าสุภาพและ
สงา่ งาม

จากสำนวนพบว่าคำว่า xiān ส่วนใหญ่มักอุปมาส่ือถึง บุคคลท่ีมีบุคลิกภาพมีอุปนิสัย
คุณธรรมสงู ส่งรวมทั้งมีจติ ใจทส่ี ะอาดบริสุทธ์ิ บุคคลท่ีมีกริ ิยาท่าทาง การเคลอื่ นไหวสง่าผ่าเผยมีความ
คล่องแคล่วเป็นธรรมชาติและอ่อนช้อยงดงาม คนที่มีความรู้สึกสดชื่นสบายใจ ผู้หญิงที่มีอากัปกิริยา
และรูปโฉมทีง่ ดงามเลิศลำ้ บุคคลทม่ี ีความสามารถและสติปัญญายอดเยย่ี มโดดเด่น คนท่ีชอบอยู่อย่าง
สันโดษ นอกจากนคี้ ำว่า xiān ยงั มกั อุปมาส่ือถึงส่ิงเหนือธรรมชาติ ความลบั และดนิ แดนท่ีแสนวิเศษ
งดงาม สงิ่ เหล่านสี้ ามารถแสดงให้เหน็ ถึงความคดิ ความเชอ่ื ท่ีคนจีนมีต่อเซียนว่า เซียนเป็นส่ิงศักดิ์สิทธ์ิ
ท่ีมีอายุยนื ยาว เปน็ อมตะ มพี ลังอำนาจอิทธิฤทธ์เิ หนือธรรมชาติ เซยี นชอบอยู่อยา่ งสันโดษ เร้นกายใน
ป่าเขาลึกหรือถ้ำอันสงบงดงาม ตัดขาดจากโลกภายนอกที่วุน่ วาย เซียนมีความสามารถทีเ่ พียบพรอ้ ม
มีบุคลิกภาพหรืออุปนิสัยคุณธรรมที่สูงส่งรวมทั้งมีจิตใจที่สะอาดบริสุทธิ์หมดจด มีกิริยาท่าทาง การ
เคลื่อนไหวทีส่ งา่ ผา่ เผยมีความคล่องแคลว่ เป็นธรรมชาตแิ ละอ่อนช้อยงดงาม อกี ทัง้ เซียนยังมีรูปโฉมท่ี
งดงามเลิศล้ำ ดังนั้นชาวจีนจึงนำแนวคิดความเชื่อเกี่ยวกับเซียนมาเปรียบกับมนุษย์ที่มีบุคลิกภาพมี

45

อุปนิสัยคุณธรรมสูงส่งดั่งเซียน รวมทั้งมีจิตใจที่สะอาดบริสุทธิ์ บุคคลที่มีกิริยาท่าทาง การเคลื่อนไหว
สง่าผ่าเผย มีความคล่องแคล่วเป็นธรรมชาติและอ่อนช้อยงดงาม ผู้หญิงที่มีอากัปกิริยาและรูปโฉมท่ี
งดงามเลศิ ล้ำด่ังเซียน บคุ คลทมี่ ีความสามารถและสติปัญญายอดเยย่ี มโดดเด่น เป็นต้น

3.2 สำนวนจีนที่สะทอ้ นความเชือ่ เร่ืองมาร
พจนานุกรมพุทธศาสนาฉบับใหญ่ (Fójiào Dàcídiǎn《佛教大辞典》) (2002:

1579) ได้ให้ความหมายของคำวา่ mó (魔 มาร) ไวว้ ่า

mó มาจากรากศัพท์ภาษาสันสกฤต แปลว่า ตาย มารจึงแปลว่า ผู้ทำให้ตาย ใน
พุทธศาสนาได้กล่าวว่า มารสามารถช่วงชงิ ชวี ิตมนุษยแ์ ละคอยทำร้ายการบำเพ็ญเพียรของ
ผูบ้ ำเพ็ญเพยี รใหม้ คี วามทุกข์ใจ จติ ใจปนั่ ป่วนและลุ่มหลงอยู่ในความมวั เมา

สำนวนจีนที่มีคำว่า mó สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อในเรื่องมารมีทั้งหมด 14 สำนวน แบ่ง
ออกเป็น

3.2.1 สำนวนจีนท่สี ะทอ้ นความเชอื่ เรื่องมารในความหมายแง่บวก
สำนวนจีนที่สะท้อนความเชือ่ เรื่องมารในความหมายแง่บวก ส่วนใหญ่ใช้แสดงถึงความดีงาม
ชนะความชัว่ อทิ ธฤิ ทธอิ์ านุภาพทยี่ อดเย่ยี มเหนอื ช้นั มที ้งั ส้นิ 2 สำนวน ได้แก่
ตัวอย่างที่ 65

魔高一尺,道高一丈
mó gāo yī zhàng,dào gāo yī chǐ

มารร้ายสูงหนง่ึ คืบ ธรรมะสงู หนง่ึ ศอก
ใช้เปรยี บเทียบถงึ ธรรมะย่อมชนะอธรรมหรือเรียกอกี อยา่ งนงึ วา่ ความดยี อ่ มชนะความชว่ั

ตวั อยา่ งท่ี 66

道高魔重
dào gāo mó zhòng

มีคุณธรรมสงู สง่ เป่ยี มลน้ ดว้ ยพลังมาร
ใชบ้ รรยายถงึ มอี ิทธฤิ ทธอิ์ านภุ าพยอดเยย่ี มเหนือช้นั

3.2.2 สำนวนจนี ท่สี ะท้อนความเชื่อเร่อื งมารในความหมายแงล่ บ
สำนวนจีนที่สะท้อนความเชื่อเรื่องมารในความหมายแง่ลบ ส่วนใหญ่หมายถึงคนที่ประพฤติ
มิดีมิชอบ คนที่นำพามหาภัยพิบัติและความทุกข์ยากอันร้ายแรงให้กับโลกหรือผู้คน การมีโรคภัย
ไข้เจบ็ รุมเรา้ เป็นต้น มที ้งั สิน้ 11 สำนวน เช่น

46

ตวั อยา่ งที่ 67

邪魔外道
xié mó wài dào

มารรา้ ยนอกรีตนอกรอย
เดิมสำนวนนี้เป็นภาษาทางพุทธศาสนา หมายถึง คำสอนหรือแนวคิดทางศาสนาที่ไม่
สอดคล้องกับความคิดด้ังเดมิ ภายหลังหมายถึงพฤตกิ รรมที่ไม่ดหี รือคนท่ีประพฤติมดิ มี ิชอบ และยังมี
การนำมาใชเ้ รียกแทนภูตผปี ีศาจมารร้ายหรือหมายถงึ พวกนอกรตี นอกรอย

ตวั อย่างท่ี 68

混世魔王
hùn shì mó wáng

ราชามารในโลกมนษุ ย์
ใช้เปรียบเทียบถึงคนท่ีก่อความวุ่นวาย นำพามหาภัยพิบัติและความทุกข์ยากอันร้ายแรง
ให้กับโลกหรือผู้คน นอกจากนี้ยังหมายถึงลูกหลานของคนรวยมีอิทธิพลที่เอาแต่ดื่มกิน เที่ยวเล่นไป
วัน ๆ ก่อความว่นุ วายไปทั่ว

ตวั อยา่ งท่ี 69

病魔缠身
bìng mó chán shēn

มารแหง่ โรคภยั ไข้เจบ็ รดั พนั ร่างกาย
ใช้เปรยี บเทียบถึงมีโรคภยั ไขเ้ จ็บรุมเรา้ มอี าการป่วยหนักหรอื ปว่ ยอยู่ตลอดเวลา

ตวั อย่างที่ 70

毒魔狠怪
dú mó hěn guài

มารพิษเหี้ยมโหดอำมหิต
ใชบ้ รรยายถงึ มารร้ายภูตผีปศี าจทโ่ี หดร้ายนา่ กลวั

ตัวอยา่ งที่ 71

群魔乱舞
qún mó luàn wǔ

กล่มุ มารเต้นรำกนั อยา่ งอลหม่านวุน่ ว่าย
ใช้เปรียบเทียบบรรยายถึงการกระทำที่ไม่ดีอย่างมากของกลุ่มคนอันชั่วร้ายหรือผู้ท่ีคอย
ขัดขวางประโยชน์หรอื ผลของบุคคลอ่ืน

47

3.2.3 สำนวนจีนทสี่ ะท้อนความเชือ่ เรือ่ งมารในความหมายกลาง
สำนวนจีนทส่ี ะท้อนความเชื่อเรื่องมารในความหมายกลางหมายถึงไมส่ ่ือทัง้ ความหมายแง่ลบ
และแง่บวก แต่กล่าวถึงอุปสรรคที่มาผจญตามปริมาณของความสำเร็จ ไม่แสดงความหมายแฝงบวก
หรือลบ มีท้ังส้ิน 1 สำนวน ไดแ้ ก่
ตัวอย่างท่ี 72

道高一尺,魔高一丈
dào gāo yī chǐ,mó gāo yī zhàng

ธรรมะสงู หน่ึงคืบ มารรา้ ยสูงหน่ึงศอก
เดิมสำนวนนี้เป็นสำนวนในทางพุทธศาสนา เป็นดังคำสอนเตือนให้ผู้ปฏิบัติระมัดระวังการ
ยว่ั ยวนจากโลกภายนอก ภายหลังหมายถึงการทีจ่ ะคว้าการประสบความสำเร็จใหญเ่ ท่าไหน ย่อมต้อง
มมี ารมาผจญมากขึ้นเท่าน้ัน

จากสำนวนพบว่าคำว่า mó ส่วนใหญ่มักอุปมาส่ือถึงสิ่งช่ัวร้าย สิ่งที่เปน็ อุปสรรคคอยขัดขวาง
หรือคอยยัว่ ยวนผู้บำเพญ็ เพยี ร โรคภยั ไขเ้ จบ็ รุมเร้า คนทปี่ ระพฤติมดิ มี ชิ อบ พวกนอกรตี นอกรอย การ
มีโรคภัยไข้เจ็บรุมเร้า มีอาการป่วยหนักหรือป่วยอยู่ตลอดเวลา สิ่งเหล่านี้สามารถแสดงให้เห็นถึง
ความคิดความเชื่อที่คนจีนมีต่อมารว่า มารเป็นสิ่งท่ีชั่วร้าย มีจิตใจที่ชั่วร้าย ชอบทำสิ่งไม่ดี มาร
สามารถช่วงชงิ ชีวิตมนุษย์ ทำให้เจบ็ ป่วยและคอยทำรา้ ยการบำเพ็ญเพยี รของผบู้ ำเพ็ญเพียรให้มีความ
ทุกข์ใจ จิตใจปั่นป่วนและลุ่มหลงอยู่ในความมัวเมา สะท้อนภาพสัญลักษณ์แห่งความชั่วร้าย ดังน้ัน
ชาวจีนจึงนำลักษณะนิสัยของมารมาเปรยี บเทยี บกับสิ่งไม่ดีและพฤติกรรมทีไ่ ม่ดีของมนุษย์ เช่น สิ่งท่ี
เป็นอุปสรรคคอยขัดขวางหรือคอยยั่วยวนผู้บำเพ็ญเพียร โรคภัยไข้เจ็บหรืออาการป่วยหนักอยู่
ตลอดเวลาเพราะคิดว่าการที่มีโรคภัยไข้เจ็บเกิดจากมีมารมารุมเร้า คนที่ประพฤติมิดีมิชอบหรือพวก
นอกรีตนอกรอยดัง่ พฤติกรรมของมารร้ายทีค่ อยปน่ั ป่วนทำส่งิ ไม่ดีไปท่ัว เป็นต้น

3.3 สำนวนจนี ที่สะท้อนความเช่ือเรื่องกรรม
คำว่า กรรม หรือ กัมม์ เป็นคำสันสกฤตและมคธแปลว่า การกระทำ ในทางพุทธศาสนา

มหายานเรยี ก กรรม วา่ yè 业 (พระอาจารย์จนี วินยานุกร (เย็นเช้ยี ว), 2529: 91) ในคัมภีร์พระสูตร
กฎแห่งกรรม (Yīnguǒjīng《因果经》) ของพุทธศาสนามหายาน อธิบายเรื่องกรรมและผลของ
กรรมไว้ดงั น้ี

สิ่งทั้งหลายนั้นล้วนเกิดจากกรรมเป็นปัจจัย สัตว์โลกทั้งหลายทั้งปวงที่มาเกิดใน
โลกมนุษย์ และในโลกจกั รวาลอื่น ๆ ล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นจาก กรรมในอดีต กรรมเป็นปัจจัย
ให้สัตว์โลกมาเกิด และกรรมย่อมจำแนกสัตว์ทั้งหลายให้แตกต่างกันตามที่อดีตชาติของผู้
นั้นทำกรรมนั้นมา เช่น เป็นผู้มีอายุยืน เป็นผู้มีโรคน้อย เป็นผู้มีรูปโฉมหล่อเหลาสวยงาม
เป็นผู้มีเงินทองร่ำรวย เป็นเพราะในชาติที่แล้วได้สร้างบุญกุศลทำแต่กรรมดี ผู้ที่เกิดมาใน

48

ครอบครัวท่ียากจน รปู โฉมอัปลกั ษณ์ รา่ งกายพิกลพกิ าร โงเ่ ขลา เป็นเพราะชาติที่แล้วได้ทำ
แต่อกุศลกรรม เมื่อเกิดในชาติปัจจุบันจึงได้รับผลกรรมที่ได้ทำมา (พระอาจารย์จีนวินยานุ
กร (เยน็ เช้ียว), 2529: 92)

นอกจากน้ีในคัมภีร์พระสูตรฉคติอาการะวฏั ฏกสตู ร (Qù Lúnhuíjīng liù《趣轮回经
六》) ของพุทธศาสนามหายาน ได้อธิบายเรื่อง กรรม ไว้ว่า กรรมเป็นเหตุปัจจัยนำพาสัตว์ทั้งหลาย
ไปสู่ภพภูมิทั้ง 6 ที่แตกต่างกัน เช่น ผู้ทำกรรมดี เมื่อตายไปแล้วย่อมไปสู่ภพที่ดี เช่น เทวภูมิหรือที่
เรียกว่า สวรรค์ภูมิ ถ้าตอนเป็นมนุษย์ทำอกุศลกรรมกจ็ ะเกิดในภพภูมทิ ี่ตกต่ำ เช่น เดรัจฉานภมู ิ นรก
ภูมิ เปรตภูมิ (พระอาจารย์จีนวินยานุกร (เย็นเชี้ยว), 2529: 109) ดังนั้นสัตว์โลกทั้งหลายย่อมเป็นไป
ตามกฎแหง่ กรรม ผใู้ ดทำกรรมชนิดใดก็ไดผ้ ลของกรรมชนดิ นั้น ทำดีย่อมไดด้ ี ทำชว่ั ยอ่ มไดช้ ่ัว นคี่ อื กฎ
แห่งกรรม กรรมในปัจจุบันที่ได้รับเป็นผลมาจากการกระทำในอดีตชาติ และกรรมที่ก่อไว้ในปัจจุบัน
เป็นเหตุที่จะส่งผลสืบเนื่องต่อไปยังชาติหน้า กรรมใดใครก่อ ตนเองเท่านั้นที่จะได้รับผลของสิ่งที่ตน
กระทำ

สำนวนจีนที่สะทอ้ นใหเ้ หน็ ถงึ ความเชอื่ เรื่องกรรมมที ้งั หมด 21 สำนวน แบง่ ออกเป็น

3.3.1 สำนวนจีนที่สะท้อนใหเ้ ห็นถึงความเชื่อเรือ่ งกรรมในความหมายแง่บวก
สำนวนจีนที่สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อเรื่องกรรมในความหมายแง่บวก แสดงถึงผู้กระทำ
กรรมดยี ่อมไดร้ ับผลกรรมท่ีดี มี 1 สำนวน คือ
ตัวอย่างท่ี 73

善有善报
shàn yǒu shàn bào

ผู้หมั่นสรา้ งแตก่ ุศลกรรมยอ่ มไดร้ บั แตผ่ ลกรรมทีด่ ี
ใช้บรรยายถึงผูก้ ระทำกรรมดี ยอ่ มไดร้ ับผลกรรมทด่ี ี

3.3.2 สำนวนจนี ที่สะท้อนใหเ้ ห็นถงึ ความเชอ่ื เร่ืองกรรมในความหมายแง่ลบ
สำนวนจนี ท่สี ะทอ้ นใหเ้ ห็นถึงความเชือ่ เรื่องกรรมในความหมายแง่ลบ แสดงถึงผู้กระทำกรรม
ชั่วยอ่ มไดร้ บั ผลกรรมช่วั ตามมา มี 2 สำนวน คอื
ตัวอย่างที่ 74

现世现报
xiàn shì xiàn bào

กรรมสนองในชาตนิ ี้
เป็นภาษาทางพุทธศาสนา สื่อถึงคนชั่วที่ทำกรรมชั่วชาตินี้ย่อมได้รับกรรมที่ทำเอาไว้ กรรม
ตามสนองไวทนั ตาเห็น

49

3.3.3 สำนวนจีนทส่ี ะท้อนให้เห็นถงึ ความเชอื่ เรอ่ื งกรรมในความหมายกลาง
สำนวนจีนที่สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อเรื่องกรรมในความหมายกลาง หมายถึง ไม่สื่อทั้ง
ความหมายแงล่ บและแง่บวก สว่ นใหญ่เป็นหลกั ธรรมตามความเป็นจริง มกั จะกล่าวถึงทำส่ิงใดไว้ย่อม
ได้รับสิ่งนั้น ผู้กระทำกรรมดีย่อมได้ผลกรรมที่ดี ผู้ทำกรรมชั่วย่อมได้รับผลกรรมชั่ว สาเหตุที่เกิดและ
ผลลพั ธข์ องเรือ่ งราวเรื่องใดเรือ่ งหน่งึ เป็นต้น มที งั้ ส้นิ 18 สำนวน เช่น
ตัวอยา่ งที่ 75

善恶到头终有报,只争来早与来迟
shàn è dào tóu zhōng yǒu bào,zhǐ zhēng lái zǎo yǔ lái chí

ไมว่ า่ จะทำกรรมดีหรือกรรมชว่ั กรรมกย็ อ่ มตอบสนองแก่คนผ้นู ้ัน เพยี งแต่อยู่ท่ีจะตอบสนอง
ชา้ หรอื เร็วก็เทา่ นั้น

เป็นคำพูดทีไ่ วใ้ ชช้ ักชวนให้คนทำแต่กรรมดมี าตั้งแตส่ มัยโบราณกาล ใช้อธบิ ายถึงคนผู้กระทำ
กรรมดียอ่ มได้รบั ผลกรรมทดี่ ี คนผทู้ ำกรรมชั่วยอ่ มได้รบั ผลกรรมชั่ว

ตวั อยา่ งท่ี 76

恶有恶报,善有善报,若还不报,时辰未到
è yǒu è bào,shàn yǒu shàn bào,ruò hái bú bào,shí chen wèi dào

ผู้ทำกรรมชั่วย่อมได้รับผลกรรมชั่ว ผู้กระทำกรรมดีย่อมได้รับผลกรรมที่ดี ไม่ใช่กรรมไม่ตาม
สนองแต่เมอื่ ถงึ เวลาย่อมไดร้ บั ผลกรรมทีต่ นทำไว้

เป็นคำพูดที่ไว้ใช้ชักชวนให้คนทำแต่กรรมดีมาตั้งแต่สมัยโบราณกาล ใช้อธิบายถึงคนผู้ทำ
กรรมชัว่ ยอ่ มได้รบั ผลกรรมชว่ั คนผ้กู ระทำกรรมดยี ่อมไดร้ บั ผลกรรมท่ีดี

ตัวอยา่ งท่ี 77

善有善报,恶有恶报
shàn yǒu shàn bào,è yǒu è bào

ทำดไี ดด้ ี ทำชวั่ ได้ช่วั
ใชบ้ รรยายถงึ ผกู้ ระทำกรรมดีย่อมได้รับผลกรรมท่ีดี คนผู้ทำกรรมชัว่ ยอ่ มไดร้ บั ผลกรรมช่วั

ตัวอยา่ งที่ 78

前因后果
qián yīn hòu guǒ

ก่อเหตแุ หง่ กรรมอันใด ยอ่ มต้องรับผลของกรรมน้นั
พระพุทธศาสนาเห็นว่า แต่ก่อนทำกรรมใดไว้ ภายหลังย่อมต้องรับผลแห่งกรรมนั้น ปัจจุบัน
ใชห้ มายถงึ สาเหตุที่เกดิ และผลลัพธ์ของเรอื่ งราวน้นั

50

ตวั อย่างท่ี 79

种瓜得瓜,种豆得豆
zhòng guā dé guā,zhòng dòu dé dòu

ปลูกแตงย่อมได้ผลแตง ปลูกถวั่ ยอ่ มได้ถ่วั
เดิมเป็นภาษาของพระพุทธศาสนาในเรื่องของกฎแห่งกรรม ใช้เปรียบเทียบถึงคนผู้กระทำ
กรรมดีย่อมได้รับผลกรรมที่ดี คนผู้ทำกรรมชั่วย่อมได้รับผลกรรมชั่ว ภายหลังใช้เปรียบเทียบถึงทำ
เรือ่ งราวหรือสง่ิ ใดไวย้ อ่ มได้รับผลลัพธ์จากสงิ่ ที่ทำ

3.4 สำนวนจีนท่ีสะท้อนความเช่ือเรือ่ งชาติภพ
พุทธศาสนามีความเชื่อว่า สัตว์โลกทั้งหลาย ต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารทั้ง 6 ภูมิ11

ด้วยอำนาจกิเลส กรรม วิบาก หมุนวนอยู่เช่นนั้นไม่จบสิ้นดั่งล้อที่หมุนไปไม่มีที่สิ้นสุด ตราบเท่าที่ยัง
ตัดกิเลส กรรม วิบากไม่ได้ ดั่งตกอยู่ในหว้ งทะเลแห่งทุกข์ ผู้ที่ทำกรรมดีในอดีตชาติ เมื่อสิ้นลมหายใจ
แลว้ ยอ่ มไปสู่ภพทดี่ ี เช่น เทวภมู ิหรือท่ีเรียกว่า สวรรคภ์ ูมิ ถ้าตอนเปน็ มนุษย์ทำอกุศลกรรมก็จะเกิดใน
ภพภูมิท่ีตกต่ำเช่น เดรัจฉานภมู ิ นรกภมู ิ เปรตภูมิ พุทธศาสนาเช่อื ว่า กรรมในชาติปัจจุบันท่ีได้รับเป็น
ผลมาจากการกระทำในอดีตชาติ และกรรมที่ก่อไว้ในชาติปัจจุบันเป็นเหตุที่จะส่งผลสืบเนื่องต่อไปยงั
ชาติหน้า (พระอาจารย์จีนวินยานุกร (เย็นเชี้ยว), 2529: 107-109) สำนวนจีนที่สะท้อนให้เห็นถึง
ความเชือ่ เรอ่ื งเกีย่ วกับชาติภพ ซ่ึงรวมถงึ การเวียนว่ายตายเกิด มีทั้งหมด 14 สำนวน แบ่งออกเป็น

3.4.1 สำนวนจีนทีส่ ะท้อนความเชื่อเรือ่ งชาตภิ พในความหมายแงบ่ วก
สำนวนจีนที่สะท้อนความเชื่อเรื่องชาติภพในความหมายแง่บวก ส่วนใหญ่ใช้แสดงถึงชีวิตมี
ความโชคดี การพบเจอเหตุการณห์ รือสถานการณ์ที่อนั ตรายแต่กส็ ามารถรอดมาได้ มที งั้ สน้ิ 2 สำนวน
ได้แก่
ตวั อย่างท่ี 80

三生12有幸
sān shēng yǒu xìng

โชคดมี คี วามสขุ ทง้ั สามชาติ
ใช้บรรยายถึงชีวติ มีความโชคดีอย่างมาก

11 ภูมิทัง้ 6 หรือ คติทั้ง 6 ได้แก่ 1. เทวภูมิ (สวรรค์) 2. มนุษย์ภูมิ (โลกมนษุ ย์ ) 3. อสุรภูมิ 4. เดรัจฉานภูมิ 5. เปรตภูมิ 6.
นรกภูมิ ท่ใี นพทุ ธศาสนาเชื่อว่า เป็นภูมิที่สัตวโ์ ลกทั้งหลายผขู้ ้องด้วยกิเลสตอ้ งเวยี นว่ายตามเกิดตามกรรมที่ตนเองได้ทำเอาไว้ตอนยังมี
ชวี ติ ถา้ ในตอนเป็นมนษุ ย์อยทู่ ำกศุ ลกรรมดีเม่ือสน้ิ ลมหายใจแล้วยอ่ มไปสูภ่ พทด่ี เี ช่น เทวภมู หิ รือที่เรียกวา่ สวรรค์ภูมิ ถ้าตอนเป็นมนุษย์
ทำอกุศลกรรมก็จะเกิดในภพภูมิที่ตกต่ำ เช่น เดรัจฉานภูมิ นรกภูมิ เปรตภูมิ เป็นต้น (พระอาจารย์จีนวินยานุกร (เย็นเชี้ยว), 2529:
107-109)

12 三生 sānshēng ในที่น้ีหมายถงึ อดตี ชาติ ปจั จบุ ันชาติ ชาตหิ น้า

51

ตวั อย่างท่ี 81

两世13为人
liǎng shì wéi rén

กลบั มาเกิดเปน็ มนุษยท์ ัง้ สองชาติ
ชาติที่แล้วได้เกิดเป็นมนุษย์ ชาตินี้ก็ยังได้กลับมาเกิดเป็นมนษุ ย์ มักใช้บรรยายถึงการประสบ
พบเจอเหตกุ ารณห์ รอื สถานการณ์ทอ่ี นั ตรายยากลำบากเปน็ อยา่ งย่ิงแต่ก็สามารถรอดมาได้

3.4.2 สำนวนจีนที่สะท้อนความเชือ่ เรอ่ื งชาติภพในความหมายแง่ลบ
สำนวนจีนท่ีสะท้อนความเชื่อเรื่องชาติภพในความหมายแง่ลบ ส่วนใหญ่ใช้แสดงถึงการเวยี น
ว่ายตายเกิดอยู่ในภพภูมทิ ั้ง 6 หมุนวนอยู่เช่นนั้นตราบเท่าที่ยังตดั กิเลส กรรม วิบากไม่ได้ดั่งตกอยู่ใน
ห้วงทะเลแห่งทุกข์หรือเปรียบเสมอื นอยใู่ นค่ำคืนทย่ี าวนานไม่มที ่สี ุด มีทัง้ สิน้ 5 สำนวน ได้แก่
ตวั อยา่ งท่ี 82

六道轮回
liù dào lún huí

เวียนว่ายตายเกิดในวฏั สงสารทง้ั 6 ภูมิ
ใช้บรรยายถึงการเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพภูมิทั้ง 6 ของสัตว์โลกด้วยอำนาจกิเลส กรรม
วบิ าก หมุนวนอย่เู ช่นน้ันตราบเทา่ ที่ยงั ตดั กเิ ลส กรรม วบิ ากไมไ่ ด้

ตวั อยา่ งท่ี 83

生死苦海
shēng sǐ kǔ hǎi

เกดิ และตายในหว้ งทะเลทุกข์
ใช้บรรยายถึงการเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพภูมิทั้ง 6 ของสัตว์โลกด้วยอำนาจกิเลส กรรม
วิบาก หมุนวนอยเู่ ชน่ นั้นไม่จบส้ิน ตราบเทา่ ท่ียังตัดกิเลส กรรม วิบากไม่ได้ ดง่ั ตกอยู่ในห้วงทะเลแห่ง
ทกุ ข์

ตวั อย่างท่ี 84

生死轮回
shēng sǐ lún huí

เกิดและตายในวฏั สงสารท้งั 6 ภมู ิ
ใช้บรรยายถึงการเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพภูมิทั้ง 6 ของสัตว์โลกด้วยอำนาจกิเลส กรรม
วิบาก หมุนวนอยู่เชน่ นั้นตราบเท่าท่ียงั ตดั กเิ ลส กรรมและวบิ ากไม่ได้

13两世 liǎngshì ในทีน่ ี้หมายถงึ อดีตชาตกิ บั ปัจจบุ ันชาติ

52

ตัวอยา่ งที่ 85

六趣轮回
liù qù lún huí

เวียนวา่ ยตายเกิดในวฏั สงสารทงั้ 6 ภูมิ
ใช้บรรยายถึงการเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพภูมิทั้ง 6 ของสัตว์โลกด้วยอำนาจกิเลส กรรม
วิบาก หมนุ วนอย่เู ชน่ นั้นตราบเทา่ ทย่ี งั ตดั กิเลส กรรมและวบิ ากไม่ได้

ตวั อยา่ งที่ 86

生死长夜
shēng sǐ cháng yè

เกดิ และตายหมุนวนไปไม่จบส้ินเปรยี บเสมือนคำ่ คนื ที่ยาวนานไม่มีท่ีสดุ
เป็นภาษาทางพุทธศาสนา ทางพุทธศาสนาเชื่อว่าสัตว์โลกที่ยังข้องอยู่ในกิเลสต้องเวียนว่าย
ตายเกดิ อยใู่ นภพภูมิท้ัง 6 ดว้ ยอำนาจกเิ ลส กรรมและวิบาก หมุนวนอยู่เช่นน้ัน ตราบเท่าทยี่ งั ตัดกิเลส
กรรมและวิบากไมไ่ ด้ เปรียบเสมอื นอยูใ่ นค่ำคนื ทยี่ าวนานไมม่ ที ่สี ดุ

3.4.3 สำนวนจนี ท่ีสะท้อนความเชอื่ เรื่องชาติภพในความหมายกลาง
สำนวนจีนที่สะท้อนความเชื่อเรื่องชาติภพในความหมายกลางหมายถึงไม่สื่อทั้งความหมาย
แง่ลบและแง่บวก ส่วนใหญ่มักจะกล่าวถึงทกุ ภพทุกชาตติ ราบจนช่ัวนริ ันดร์ ชาติภพหนา้ ความรู้สึกถึง
สิ่งต่าง ๆ หรือสภาพการณ์เหตุการณ์ต่าง ๆ มีการเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างมาก ไม่แสดงความหมาย
แฝงบวกหรอื ลบ มีทง้ั ส้ิน 7 สำนวน เช่น
ตวั อยา่ งที่ 87

生生世世
shēng shēng shì shì

ทกุ ภพทกุ ชาติ
ใช้บรรยายถึงชาตนิ ี้ภพนี้ ชาตหิ น้าภพหน้า และทกุ ภพทุกชาติตราบจนช่ัวนริ ันดร์

ตัวอยา่ งท่ี 88

一生一世
yī shēng yī shì

หนึง่ ภพหน่ึงชาติ
ใชบ้ รรยายถึงตลอดชวี ิตหรอื ช่วั ชวี ิต

ตวั อย่างที่ 89

今生今世
jīn shēng jīn shì

53

ภพนีช้ าตินี้
ใช้บรรยายถงึ ชัว่ ชวี ติ ในชาตนิ หี้ รอื ตลอดชีวติ ชาติน้ี

ตัวอยา่ งท่ี 90

来生来世
lái shēng lái shì

ชาติภพหนา้
ใชบ้ รรยายถึงชาติหน้า

ตัวอย่างท่ี 91

恍如隔世
huǎng rú gé shì

เสมือนอยู่อกี ชาติภพหน่งึ
ใช้บรรยายถงึ มีความร้สู กึ ถึงสิง่ ต่าง ๆ หรอื สภาพการณเ์ หตกุ ารณต์ ่าง ๆ มกี ารเปล่ยี นแปลงไป
เปน็ อยา่ งมากเสมือนอย่อู กี โลกอีกชาตภิ พหนึ่ง

3.5 สำนวนจนี ท่ีสะทอ้ นความเชือ่ เร่อื งนรก
พจนานุกรมพุทธศาสนาฉบับใหญ่ (Fójiào Dàcídiǎn《佛教大辞典》) (2002: 30)

ได้ให้ความหมายของคำวา่ dìyù (地狱 นรก) ไวว้ า่

มาจากรากศัพท์ภาษาสันสกฤต เป็นดินแดนหนึ่งซึ่งตามศาสนาพุทธเชื่อกันว่าเปน็
แดนหรือภูมิที่จองจำลงโทษ บุคคลเมื่อครั้งเป็นมนุษย์ได้กระทำอกุศลกรรมบาป ครั้นเม่ือ
ตายไปจึงกลายเปน็ วญิ ญาณตอ้ งตกนรกรับทกุ ข์ทรมาน ชดใช้ตามผลกรรมที่ได้เคยทำไว้

พุทธศาสนามีความเชื่อว่า นรก เป็นแดนหรือภูมิที่จองจำลงโทษบุคคลเมื่อครั้งเป็นมนุษย์ได้
กระทำอกุศลกรรมบาป ครั้นเมื่อตายไปจึงกลายเป็นวญิ ญาณต้องตกนรกรับทุกข์ทรมานชดใช้ตามผล
กรรมทไี่ ด้เคยทำไว้ นรกนั้นมี 18 ขมุ ใหญ่ เชน่ นรกอเวจี นรกกระทะทองแดง นรกปีนต้นงิว้ นรกหอก
ดาบปกั เสยี บ เป็นต้น (พระอาจารยจ์ นี วินยานกุ ร (เยน็ เชย้ี ว), 2529: 122)

สำนวนจีนทีม่ ีคำวา่ dìyù มีทั้งหมด 10 สำนวน ลว้ นสอื่ ถงึ ความหมายในแงล่ บ ไดแ้ ก่
ตัวอย่างที่ 92

阿鼻14地狱
ā bí dì yù

14 阿鼻ā bí แปลมาจากภาษาสันสกฤตคำว่า "อวีจิ" ซึ่งแปลว่า ไม่มีการหยุดพัก (ลงโทษไม่มีการพัก) (พระอาจารย์จีน
วนิ ยานุกร (เยน็ เช้ียว), 2529: 113)

54

อเวจมี หานรก15
ชื่อขุมนรกอเวจีมหานรก หมายถึง สถานที่หรือคุกที่เลวร้ายทารุณและยังหมายถึงการตกอยู่
ในฐานะหรือสถานการณ์ทีไ่ มด่ ีและยากลำบากซงึ่ ยากทีจ่ ะหลุดพ้นไปได้

ตัวอย่างที่ 93

十八层地狱
shí bā céng dì yù

นรก 18 ขุม
ใช้บรรยายถึงทางพุทธศาสนาเชื่อว่าบุคคลผู้ทำอกุศลกรรม เมื่อตายไปแล้วย่อมตกนรกที่มี
18 ขุมใหญ่ ขุมใดขุมหนึ่งแล้วแต่อกุศลกรรมที่ได้ทำไว้ สำนวนใช้เปรียบเทียบถึงการได้รับผลกรรม
หรือชดใชก้ รรมอยา่ งแสนสาหสั

ตัวอยา่ งที่ 94

拔舌地狱
bá shé dì yù

ตกนรกดึงล้ิน
ใช้เปรียบเทียบกับผู้ที่ชอบพูดจาไม่ดีหยาบคาย เหน็บแนมผู้อื่น พูดใส่ร้ายป้ายสี ทำให้ผู้อ่ืน
ทุกข์ใจกบั คำพูดน้นั ๆ ใช้ว่ากล่าวคนทำบาปทางวจกี รรม ว่าถา้ ทำบาปทางวจกี รรมจะต้องนรก

ตัวอย่างท่ี 95

酒食地狱
jiǔ shí dì yù

ตกนรกด่มื สุรา
ใช้เปรียบเทียบบรรยายถึงการตกอยู่ในสภาพเป็นทุกข์ทรมานต้องวิ่งลอกทำงานอย่างเหน็ด
เหนอ่ื ยเพราะการตดิ เหล้าตดิ สรุ า

15 อเวจีมหานรก คอื ชอ่ื ขมุ นรกขมุ หน่งึ เป็นที่ลงโทษสัตว์โลกทีม่ ีบาปหนักท่ีสดุ ซึ่งเป็นหนึ่งใน มหานรก 8 ขุม มปี รากฏเป็น
บันทึกในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา คำว่า อเวจี มาจากรากศัพท์ภาษาสันสกฤตคือ “อวีจิ” ที่แปลว่า ไม่มีการหยุดพัก เปรียบเสมือน
การลงโทษในขุมนรกนี้ที่ลงโทษหนักโดยไม่มผี ่อนผันหรอื หยุดพักใด ๆ เลยแม้แต่วินาทีเดียว อเวจีมหานรกนัน้ เป็นขุมนรกที่ลกึ ที่สุดที่
ผูก้ ระทำอนันตรยิ กรรมจะไปเกิด อนันตริยกรรมหรอื ครุกรรมที่ทำใหเ้ กิดในนรกภมู ิน้ี ได้แก่ 1. ฆ่ามารดา 2. ฆ่าบดิ า 3. ฆ่าพระอรหันต์
4. ทำร้ายพระพุทธเจ้าจนถงึ พระโลหิตห้อ 5. ยุยงหมู่สงฆ์ให้แตกกัน สัตว์นรกที่ตกขุมนรกนี้จะได้รับความทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัส
และเปน็ เวลายาวนานท่ไี มอ่ าจจะนับไดเ้ ลยหรอื เรยี กวา่ ตกนรกเป็นกัลป์ (พระอาจารย์จนี วนิ ยานุกร (เยน็ เช้ียว), 2529: 113-114)

55

ตัวอย่างที่ 96

人间地狱
rén jiān dì yù

นรกในโลกมนุษย์
ใช้เปรยี บเทียบถึงความช่วั ร้ายมดื มนของสังคมหรือความโหดรา้ ยทารุณของสงั คม สภาพชีวิต
มีแต่ความทุกข์ยาก

นอกจากนี้ยังมีสำนวนจีนที่ไม่มีคำว่า dìyù แต่ปรากฏชื่อขุมนรกของพุทธศาสนาในสำนวน
ซ่งึ สามารถสะท้อนให้เหน็ ถงึ ความเชอื่ ในเร่อื งนรกมีทัง้ หมด 6 สำนวน ลว้ นเป็นสำนวนในแง่ลบ ไดแ้ ก่

ตวั อย่างที่ 97

刀山剑树
dāo shān jiàn shù

นรกภเู ขามดี ปา่ ไม้ใบดาบ
ชอ่ื ขมุ นรกภูเขามดี และปา่ ไม้ใบดาบ หมายถึง ไดร้ บั การลงโทษอยา่ งเหี้ยมโหดทารุณ และยงั
หมายถึงสถานท่ีที่เลวรา้ ยเส่อื มโทรม

ตัวอย่างท่ี 98

剑树刀山
dāo shān jiàn shù

นรกป่าไมใ้ บดาบ ภเู ขามีด
ชื่อขุมนรกป่าไม้ใบดาบและภูเขามีด หมายถึง ได้รับการลงโทษอย่างเหี้ยมโหดทารณุ และยัง
หมายถงึ สถานท่ที ่เี ลวร้ายเสื่อมโทรม

ตัวอยา่ งที่ 99

刀山剑林
dāo shān jiàn lín

นรกภูเขามดี ป่าไมใ้ บดาบ
ชื่อขุมนรกภเู ขามีดและป่าไมใ้ บดาบ หมายถึง ได้รับการลงโทษอย่างเหี้ยมโหดทารณุ และยัง
หมายถงึ สถานท่ีท่เี ลวรา้ ยเสือ่ มโทรม

ตัวอย่างที่ 100

刀山火海
dāo shān huǒ hǎi

นรกภูเขามดี ทะเลไฟ
ชือ่ ขมุ นรกภูเขามดี และทะเลไฟ หมายถึง สถานทท่ี ย่ี ากลำบากและอันตราย

56

ตัวอย่างที่ 101

火海刀山
huǒ hǎi dāo shān

นรกทะเลไฟ ภูเขามีด
ชอ่ื ขุมนรกทะเลไฟ และภเู ขามีด หมายถงึ สถานท่ีท่ยี ากลำบากและอนั ตราย

ตวั อยา่ งที่ 102

刀山油锅
dāo shān yóu guō

นรกภูเขามีด ลงหมอ้ นำ้ มันเดือด
ชื่อขุมนรกภูเขามีด และลงหม้อน้ำมันเดอื ด หมายถงึ สถานท่ที ่ยี ากลำบากและอนั ตราย

จากสำนวนพบว่าคำว่า dìyù สว่ นใหญ่มกั อปุ มาสื่อถึง ความชัว่ ร้ายมดื มนหรือความโหดร้าย
ทารุณของสังคม สภาพชวี ิตทีม่ ีแต่ความทุกข์ยากลำบาก คุกหรือสถานท่ีท่ีเลวร้ายทารุณ การตกอยู่ใน
ฐานะหรือสถานการณ์ที่เลวร้าย รวมถึงการได้รับผลกรรมหรือชดใช้กรรมอย่างแสนสาหัส สิ่งเหล่านี้
สามารถแสดงใหเ้ ห็นถึงความคิดความเชือ่ ทีค่ นจีนมีต่อนรกว่า นรกเป็นเป็นดนิ แดนหรือภูมิหนึง่ ทีจ่ อง
จำลงโทษบุคคลเมื่อครั้งเป็นมนุษย์ได้กระทำอกุศลกรรมบาป ครั้นเมื่อตายไปจึงต้องตกนรกรับทุกข์
ทรมานอันแสนสาหสั เพื่อชดใช้กรรมท่ีไดเ้ คยกระทำไว้ โดยอาศยั รา่ งที่เป็นกายหยาบรับโทษซ้ำแล้วซ้ำ
เล่าจนกว่าจะหมดกรรม เช่น ถูกเลื่อยกาย ถูกหั่นร่างเป็นชิน้ ๆ ถูกไฟครอก ถูกตำด้วยสาก ถูกโยนใส่
กระทะน้ำเดือด ปีนต้นงิ้ว เป็นต้น ดังน้ันชาวจีนจึงนำแนวคิดความเชื่อเกี่ยวกับนรกนี้มาเปรียบกับ
สภาพชีวิตที่มีแต่ความทุกข์ยากลำบากดั่งตกอยู่ในขุมนรก คุกหรือสถานที่ที่เลวร้ายทารุณ ความชั่ว
รา้ ยมดื มนหรอื ความโหดรา้ ยทารุณของสงั คมดง่ั ตกอยู่ในนรก เปน็ ตน้

3.6 สำนวนจนี ทสี่ ะทอ้ นความเช่อื เรือ่ งสวรรค์
พจนานุกรมพุทธศาสนาฉบับใหญ่ (Fójiào Dàcídiǎn《佛教大辞典》) (2002: 203)

ได้ให้ความหมายของคำวา่ tiāntáng (天堂 สวรรค์) ไวว้ า่ “เปน็ ดินแดนหนง่ึ ซง่ึ ตามศาสนาพุทธเชื่อ
ว่าเป็นดินแดนแสนสุขเกษมไร้ซึ่งความทุกข์ เป็นที่สำหรับบุคคลเมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์สร้างบุญสร้าง
กุศล หลีกเล่ียงการกอ่ กรรมทำเขญ็ คร้ันเมือ่ สนิ้ ชีวติ แล้วจงึ ไดข้ ึ้นไปเกิดที่ดินแดนสวรรค์”

ดินแดนสวรรคน์ น้ั ในคมั ภีรพ์ ระสูตรได้กลา่ วไวว้ า่ เปน็ แดนแสนสขุ เกษม มวี มิ านวิจิตรงดงาม
ประดับด้วยแก้วนพรัตน์นานาประการ มีบ่อเงิน บ่อทอง บรรดาทวยเทพเสวยแต่ความสุขความ
สำราญในวมิ านทพิ ย์ไร้ซึ่งความทุกข์ (พระอาจารย์จนี วนิ ยานุกร (เย็นเชย้ี ว), 2529: 120)

สำนวนจนี ทีม่ ีคำว่า tiāntáng สะท้อนความเชื่อเรือ่ งสวรรค์มีทัง้ หมด 2 สำนวน ล้วนส่ือถึง
ความหมายในแง่บวก ได้แก่

57

ตัวอยา่ งท่ี 103

人间天堂
rén jiān tiān táng

สวรรค์บนโลกมนุษย์
ใชเ้ ปรยี บเทยี บถึงดินแดนท่งี ดงามหรือสังคมทเี่ ต็มไปด้วยความสขุ บนโลกมนษุ ย์

ตวั อยา่ งที่ 104

上有天堂,下有苏杭
shàng yǒu tiān táng,xià yǒu sū háng

หากบนฟากฟา้ มีสรวงสวรรค์ บนพื้นปฐพีกม็ ีซโู จวและหังโจว
ใชบ้ รรยายถึงทิวทศั น์และบรรยากาศทีส่ วยงดงามของของเมอื งซูโจวและหังโจว

นอกจากนี้ยังมีสำนวนจีนที่ไม่มีคำว่า tiāntáng แต่ปรากฏชื่อสวรรค์หรือคำที่ใช้เรียกขาน
สวรรค์ในสำนวนซึ่งสามารถสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อในเรื่องสวรรค์มีทั้งหมด 4 สำนวน ล้วนเป็น
สำนวนในแง่บวก และยังพบสำนวนจีนที่ประกอบด้วยคำว่า tiāntáng กับ dìyù รวมอยู่ในสำนวน
เดยี วกันสะท้อนใหเ้ หน็ ถึงความเชื่อเรอ่ื งสวรรคแ์ ละนรกจำนวน 1 สำนวน สื่อความหมายกลาง ไดแ้ ก่

ตวั อยา่ งที่ 105

极乐世界
jí lè shì jiè

แดนสุขาวดี
แดนสุขาวดีหรือสุขาวดีพุทธเกษตรเป็นแดนพุทธเกษตรของพระอมิตาภพุทธเจ้า ตั้งอยู่ทาง
ทิศตะวันตกแห่งโลกธาตุน้ี เป็นดินแดนสวรรค์ที่สงบสุขไร้ซึ่งความทุกข์ ภายหลังใช้เปรียบเทียบถึง
ดนิ แดนหรอื สถานทีท่ ี่มแี ตค่ วามสงบและเต็มไปดว้ ยความสุข

ตวั อย่างท่ี 106

洞天福地
dòng tiān fú dì

ถำ้ สวรรค์ ชยั ภมู ิทีอ่ ยู่อนั สริ ิมงคลของเทพ
เดิมเป็นภาษาของนักพรตลัทธิเต๋า หมายถึง สถานที่ที่มีภูเขาอันเลื่องช่ือลือนาม และมี
ทิวทศั น์ทีม่ ีชอ่ื เสียงซ่ึงเปน็ สถานท่ีประทบั ของเทพเซียนลัทธิเต๋า ภายหลังใช้เปรียบเทียบถึงสถานที่ที่มี
ทิวทัศน์อันสวยสดงดงาม

ตัวอยา่ งที่ 107

地上天宫
dì shàng tiān gong

58

วมิ านสรวงสวรรคบ์ นโลกมนุษย์
ใช้บรรยายถึงสภาพแวดล้อมในการดำรงชีวิตมีแต่สิ่งดีงามราวกับอาศัยอยู่ในวิมานบนสรวง
สวรรค์

ตวั อยา่ งที่ 108

钧天16广乐
jūn tiān guǎng yuè

เสยี งดนตรอี นั ไพเราะจากสรวงสวรรค์
ใช้บรรยายถงึ เสยี งดนตรีอันไพเราะจากสรวงสวรรค์ ปัจจบุ นั ใช้เปรียบเทยี บถึงบทประพันธ์
เพลงทีม่ ีท่วงทํานองอนั ไพเราะอีกท้งั เมอ่ื ฟังตัวเพลงยังทำให้เกดิ ความรู้สึกเข้มแข็ง ห้าวหาญฮึกเหิม

ตัวอยา่ งที่ 109

天堂地狱
tiān táng dì yù

สวรรคก์ ับนรก
เป็นภาษาทางพุทธศาสนาพูดถึงคนทำความดีเมื่อตายแล้วก็จะขึ้นไปสวรรค์ คนทำความชั่ว
ตายไปแล้วก็จะตกนรก ภายหลังใช้เปรียบเทียบถึงสภาพความเป็นอยู่หรือดวงชะตาชีวิตที่มีความสุข
กับสภาพความเป็นอยู่หรือดวงชะตาชีวิตที่มีความโศกเศร้าเวทนา ชะตาชีวิตสองแบบที่แตกต่างกัน
อยา่ งสิ้นเชิง

จากสำนวนพบว่าคำว่า tiāntáng สว่ นใหญม่ กั อปุ มาสื่อถงึ ดินแดนหรือทวิ ทัศน์บรรยากาศ
ทงี่ ดงามและสังคมท่ีเตม็ ไปด้วยความสุขบนโลกมนุษย์ ส่ิงเหลา่ นีส้ ามารถแสดงให้เห็นถึงความคิดความ
เชื่อที่คนจีนมีต่อสวรรค์ว่า สวรรค์เป็นเป็นดินแดนหรือภูมิหนึ่งที่แสนสุขเกษมไร้ซึ่งความทุกข์ เป็นท่ี
สำหรับบุคคลเม่ือครั้งยงั เป็นมนุษย์สรา้ งบญุ สร้างกศุ ล หลีกเลี่ยงการกอ่ กรรมทำเขญ็ ครั้นเมื่อสิ้นชีวติ
แล้วจึงได้ขึ้นไปเกิดที่ดนิ แดนสวรรค์ ซึ่งดินแดนสวรรค์นั้น เป็นแดนแสนสุขเกษม มีวิมานวิจิตรงดงาม
ประดับด้วยแก้วนพรัตน์นานาประการ มีบ่อเงิน บ่อทอง บรรดาทวยเทพเสวยแต่ความสุขความ
สำราญในวิมานทิพย์ไร้ซึ่งความทุกข์ ดังนั้นชาวจีนจึงนำแนวคิดความเชื่อเกี่ยวกับสวรรค์นี้มาเปรียบ
กบั ดนิ แดนหรือทวิ ทัศนบ์ รรยากาศท่ีงดงามและสังคมทีเ่ ต็มไปด้วยความสุขบนโลกมนษุ ย์ราวกับอยู่บน
สวรรค์

3.7 สำนวนจนี ท่สี ะท้อนความเชอื่ เรื่องภูตผปี ศี าจ
ชาวจีนได้มีความเชื่อเรื่องภูตผีปีศาจมาตั้งแต่ยุคสมัยโบราณจนถึงปัจจุบันดังจะเห็นได้จาก

การปรากฏความเชื่อเรื่องภูตผีปีศาจในนวนิยาย วรรณกรรมต่าง ๆ ของจีนตัวอย่างเช่น วรรณกรรม

16 ดินแดนท่ีเปน็ ศูนยก์ ลางของสรวงสวรรคท์ ี่ปรากฏในเทพนยิ ายโบราณ (Yáng Rènzhī, 2004: 791)

59

จีนโบราณเรื่อง คัมภีร์ชานไห่จิง (Shānhǎijīng《山海经》) ซึ่งเป็นหนังสือโบราณสมัยก่อน
ราชวงศ์ฉนิ ท่ีบันทึกเรื่องราวของเทพนยิ าย ปีศาจ สตั วป์ ระหลาดและนิทานปรัมปราในยุคโบราณของ
จีนไว้อย่างละเอียด นอกจากนี้ยังมีวรรณกรรมจีนเรื่องบันทึกชุมนุมเทพปกรณัมโซวเ ฉินจี้
(Sōushénjì《搜神记》) ที่ได้กล่าวถึง ภูตผีปีศาจ เทพเซียนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของจีน อนึ่ง ความเช่ือ
เรื่องภูตผีปีศาจยงั ปรากฏอยู่ในสำนวนจีนสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อความเชือ่ เรือ่ งภูตผีปีศาจของคน
จีนได้เป็นอย่างดี สำนวนจีนที่สะท้อนความเชื่อเรื่องภูตผีปีศาจสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท
ดงั ต่อไปน้ี

3.7.1 สำนวนจีนท่ีสะท้อนความเช่อื เรอื่ งผี
ความเช่อื มน่ั และความศรัทธาเรอ่ื ง guǐ (鬼 ผี) แฝงอยใู่ นความคดิ ของคนจนี โบราณตลอดมา
จนกลายเป็นวฒั นธรรมความคดิ ตกทอดมาถึงปจั จุบัน ดังจะเห็นได้จากการปรากฎความเชื่อเรื่องผีใน
วรรณกรรมหรือนวนิยายที่ได้จินตนาการเล่าเขียนเกี่ยวกับผีไปต่าง ๆ นานา อาทิ ความดุร้ายของผี
ความแปลกประหลาดของผี ลักษณะรปู รา่ งของผี รวมถึงการตงั้ ช่ือเรยี กผนี ้ัน ๆ เชน่ ผีกงกอยซึ่งเป็นผี
ดิบดูดเลือด หน้าขาวมีเขี้ยวยาว ใส่ชุดและสวมหมวกขุนนางสมัยโบราณของจีน เคลื่อนไหวด้วยการ
กระโดดไปข้างหน้าพร้อมแขนสองข้างที่ยืดออกไปด้านหน้า อยู่รอดด้วยการดูดเลือดมนุษย์ในเวลา
กลางคืน เวลากลางวนั มกั นอนในโลงศพเพราะกลวั แสงอาทิตย์ เปน็ ตน้ สำนวนจีนทส่ี ะท้อนความเช่ือ
เร่ืองผีสามารถแบ่งประเภทได้ 2 ประเภทหลัก ไดแ้ ก่ สำนวนจนี ทมี่ ีคำวา่ guǐ กบั สำนวนจนี ท่สี ะท้อน
ความเช่ือเรื่องภูติผีปีศาจอ่นื ๆ และยังปรากฏสำนวนจีนท่ีมีคำว่า guǐ ในสำนวนมกั ปรากฏร่วมกับคำ
ว่า shén (เทพเจา้ ) mó (ปศี าจ) xiān (เซียน) ในสำนวนเดยี วกนั อีกดว้ ย

3.7.1.1 สำนวนจีนท่ีมีคำวา่ guǐ
พจนานุกรมภาษาจีนกลางปัจจุบัน (Xiàndài Hànyǔ Cídiǎn《现代汉语词典》)
(2002: 491) ได้ให้ความหมายคำว่า guǐ ท่แี ปลวา่ ผี ไวว้ ่า “เป็นสิง่ ทค่ี นมีความเช่ืองมงายเช่ือว่า คน
เมือ่ ตายไปแล้ววญิ ญาณจะไม่ดบั สญู แล้วกลายเปน็ ผี”
Tāng Kějìng (1997: 1246) ได้ใหค้ วามหมายคำว่า guǐ ไว้ว่า

เมื่อคนตายไปแล้วเรียกว่า ผีเป็นสิ่งที่กลายสภาพมาจากดวงวิญญาณของคน
หลังจากที่ตายไปแล้ว คำว่า guǐ จัดเป็นอักษรภาพ ปรากฏตั้งแต่ยุคอักษรกระดองเต่า
(jiǎgǔwén 甲骨文) ส่วนล่างของอักษรเป็นสัญลักษณ์ที่สื่อถึงคน ส่วนบนลักษณะ
คลา้ ยสมองผีที่สยดสยองน่ากลวั ผีมพี ลังหยนิ ทส่ี ่งผลร้ายต่อมนุษยไ์ ด้

จากคำจำกัดความของข้างต้น สรุปได้ว่า guǐ ที่แปลว่า ผี คือ สิ่งที่กลายสภาพมาจากดวง
วิญญาณของคนหลังจากที่ตายไปแล้ว เชื่อว่าคนเมื่อตายไปแล้ววิญญาณจะไม่ดับสูญ แต่จะกลาย
สภาพเป็นผี

60

สำนวนจีนที่มีคำว่า guǐ สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อในเรื่องผีมีทั้งหมด 92 สำนวน แบ่ง
ออกเปน็

3.7.1.1.1 สำนวนจนี ทีม่ ีคำว่า guǐ ในสำนวนท่สี ื่อความหมายแงบ่ วก
สำนวนจีนที่มีคำว่า guǐ ในสำนวนที่ส่ือความหมายในแง่บวกมีทั้งสิน้ 8 สำนวน ส่วนใหญ่ใช้
แสดงถึงการมีฝีมอื ล้ำเลิศเหนอื ช้ัน ผู้ชำนาญสนั ทัดในการพูด การทำความดีอันใหญ่หลวงจนสะเทือน
ฟา้ สะเทือนดนิ เป็นต้น เช่น
ตัวอย่างที่ 110

鬼工雷斧
guǐ gōng léi fǔ

คลา้ ยกบั ผีหรือเทพสร้างหรือทำขึ้นมา
ใช้บรรยายถึงการมฝี ีมือมีความสามารถล้ำเลศิ เหนือชั้น ไม่ใช่ส่งิ ทม่ี นษุ ยจ์ ะสามารถทำได้

ตวั อยา่ งท่ี 111

见人说人话,见鬼说鬼话
jiàn rén shuō rén huà,jiàn guǐ shuō guǐ huà

เม่ือพบเจอคนก็คยุ ภาษาคน เม่อื พบเจอผกี ็คุยภาษาผี
ใชบ้ รรยายถึงการใช้ภาษาท่เี หมาะสมกบั ผ้ทู จี่ ะพูดดว้ ยหรือการใชภ้ าษาทเ่ี หมาะสมกับการพดู
จดั การเรอ่ื งราวตา่ ง ๆ ใช้อธิบายถงึ ผูช้ ำนาญสันทดั ในการพูด

ตัวอย่างที่ 112

钟馗捉鬼
zhōng kuí zhuō guǐ

เทพจงขุยจบั กุมผี
ใช้เปรียบเทยี บถงึ การกำจดั ถอนรากถอนโคนคนชัว่

ตวั อยา่ งที่ 113

鬼哭粟飞
ɡuǐ kū sù fēi

ผีร้องไหฟ้ มู ฟาย ขา้ วฟา่ งร่วงหล่นจากทอ้ งฟ้าปลิวว่อน
ตามตำนานเล่าว่า ในตอนท่ีชางเจ๋ียผู้ประดิษฐ์อักษรจนี ประดิษฐ์อักษรจีนขึ้น คุณความดีที่ได้
ทำสะเทือนไปถึงฟ้าดิน เมลด็ ขา้ วฟา่ งจำนวนมากรว่ งหล่นด่งั สายฝนตกจากท้องฟา้ ภตู ผรี อ้ งไห้ยามค่ำ
คืน

61

ตัวอยา่ งที่ 114

有钱能使鬼推磨
yǒu qián néng shǐ guǐ tuī mò

มเี งินสามารถใชผ้ ดี ันโมไ่ ด้
ใช้บรรยายถึงถ้ามีเงินก็สามารถใช้ภูตผีโม่แป้งได้ เปรียบดังเงินทองมีอำนาจมหาศาล มีเงิน
สามารถทำอะไรก็ได้

3.7.1.1.2 สำนวนจนี ทีม่ คี ำวา่ guǐ ในสำนวนทส่ี อ่ื ความหมายแง่ลบ
สำนวนจีนที่มีคำว่า guǐ ในสำนวนที่สือ่ ความหมายในแง่ลบมีทั้งส้ิน 75 สำนวน ส่วนใหญ่ใช้
แสดงถึงคนที่มีจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิต เสียงร้องไห้อันโศกเศร้าเวทนา คนที่มีรูปร่างหน้าตาน่าเกลียด
อัปลักษณ์ เป็นตน้ เชน่
ตวั อยา่ งท่ี 115

鬼蜮伎俩
guǐ yù jì liǎng

ผรี ้ายจอมเจา้ เล่ห์เพทบุ าย
ใช้เปรียบเทียบถึงคนที่มีจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิตหยาบช้า ใช้กลเล่ห์เพทุบายอันต่ำช้าในการ
ลอบทำร้ายผู้อ่นื

ตวั อยา่ งที่ 116

国贼禄鬼
guó zéi lù guǐ

โจรขายชาติ ผีละโมบเงินเดอื นของขุนนาง
ใช้บรรยายถึงคนท่ีไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติ มุ่งแต่หาลาภยศแสวงหา
ผลประโยชนใ์ หก้ ับตัวเองเท่านั้น

ตัวอย่างที่ 117

鬼哭狼嗥
ɡuǐ kū lánɡ háo

ผรี อ้ งไหส้ ะอ้นื หมาปา่ หอนโหยหวน
ใชบ้ รรยายถงึ เสยี งร้องไห้ท่ีโศกเศรา้ เวทนาอนั เกิดมาจากความเสียใจ นอกจากนีย้ งั ใชบ้ รรยาย
ถงึ เสยี งอึกทกึ โครมคราม สร้างความตนื่ ตระหนกและโกลาหลวนุ่ วายแก่ผูค้ น

ตวั อย่างที่ 118

鬼话连篇
ɡuǐ huà lián piān

62

พดู คำพดู ผี ๆ ออกมาครัง้ แลว้ คร้งั เล่า
ใชบ้ รรยายถึงคำพูดทอ่ี อกมาแต่ละครัง้ ล้วนเป็นคำพูดทโี่ ป้ปดโกหกหลอกลวงคน

ตวั อยา่ งท่ี 119

三分像人,七分似鬼
sān fēn xiàng rén,qī fēn sì guǐ

มแี ค่สามส่วนเหมือนคน ทเ่ี หลือเจ็ดสว่ นคล้ายผี
ใช้เปน็ คำบริภาษคนทีร่ ูปร่างหน้าตานา่ เกลยี ดอัปลกั ษณ์

3.7.1.1.3 สำนวนจนี ท่ีมคี ำวา่ guǐ ในสำนวนท่สี ่ือความหมายกลาง
สำนวนจีนที่มีคำว่า guǐ ในสำนวนที่สื่อความหมายกลางหมายถึงไม่สื่อทั้งความหมายแง่ลบ
และแง่บวก ส่วนใหญ่มักจะกล่าวถึงเร่ืองท่ีไม่สามารถเป็นไปได้หรือเร่ืองที่ไม่ได้คาดคิด อยู่
นอกเหนือจากการคาดการณ์ การกระทำที่ลึกลับไม่มีใครสามารถล่วงรู้ได้ และเหรียญเงินตรา
ต่างประเทศที่มีรูปร่างลวดลายเหมือนหัวของผี เป็นต้น ไม่แสดงความหมายแฝงบวกหรือลบ มีทั้งสิน้
9 สำนวน เชน่
ตวั อยา่ งที่ 120

白日见鬼
bái rì jiàn guǐ

มองเหน็ ผีในชว่ งกลางวนั แสก ๆ
ในอดีตใช้เปรียบเทียบถึงจวนว่าราชการที่เงียบเหงา ไม่คึกคัก ในปัจจุบันใช้เปรียบเทียบถึง
เร่ืองทไี่ มส่ ามารถเป็นไปไดห้ รือเรอ่ื งที่ไม่ได้คาดคดิ อยนู่ อกเหนอื จากการคาดการณ์

ตวั อยา่ งที่ 121

花边鬼头
huā biān guǐ tóu

หัวผีมีลายทขี่ อบ
เป็นชื่อเรยี กอีกชื่อหนึ่งของเหรียญกษาปณ์ซึ่งเป็นเงินตราของต่างประเทศ เนื่องจากในช่วงท่ี
เหรียญกษาปณ์ต่างประเทศเข้าสู่ประเทศจนี ในระยะแรกนัน้ ตรงกลางของตัวเหรียญกษาปณ์จะมีรปู
คนครึ่งท่อนบนอยู่ ขอบด้านนอกของตัวเหรียญจะมีลวดลายอยู่ คล้ายกับหัวผีที่มลี ายท่ีขอบ ด้วยเหตุ
นจ้ี ึงใช้ชือ่ นีเ้ ป็นอีกช่อื หนงึ่ ในการเรียกเหรียญกษาปณต์ า่ งประเทศ

ตวั อยา่ งท่ี 122

人不知,鬼不觉
rén bù zhī,guǐ bù jué

63

คนไม่รู้ ผไี ม่ทราบ
ใช้บรรยายถงึ การกระทำทีล่ ึกลับมาก ไมม่ ีใครสามารถลว่ งร้ไู ด้

ตวั อย่างท่ี 123

鬼出电入
ɡuǐ chū diàn rù

ผีออก กระแสไฟฟ้าเข้า
ใช้เปรียบเทียบถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่แน่นอนไม่สามารถที่จะคาดเดา
ได้โดยงา่ ย

ตวั อย่างท่ี 124

画鬼容易画人难
huà guǐ róng yì huà rén nán

วาดผีนั้นง่าย แตจ่ ะวาดคนนนั้ ยาก
ใช้เปรียบเทียบถึงอาศัยเอาแต่พูดม่ัวสะเปะสะปะอย่างเดียวนั้นง่าย ถ้าอยากให้สิ่งที่พูด
กลายเปน็ จริงไดต้ อ้ งอาศยั การลงมือทำ

3.7.1.2 สำนวนจีนท่ีประกอบด้วยคำว่า guǐ กับคำท่ีสะท้อนความเชื่ออื่นรวมอยู่ใน
สำนวนเดียวกัน

สำนวนจีนที่ประกอบด้วยคำว่า guǐ กับคำที่สะท้อนความเชื่ออื่นรวมอยู่ในสำนวนเดียวกัน
หมายถึงสำนวนจีนที่ประกอบด้วยคำว่า guǐ กับคำที่สะท้อนความเชื่ออื่นรวมอยู่ในสำนวนเดียวกัน
สะท้อนให้เหน็ ถงึ ความเช่อื 2 ประเภทมีทงั้ หมด 92 สำนวน สามารถแบ่งออกเปน็ 3 กลมุ่ ใหญด่ ังนี้

3.7.1.2.1 สำนวนจีนทีป่ ระกอบด้วยคำว่า guǐ กบั shén รวมอยูใ่ นสำนวนเดียวกัน
สำนวนจีนทป่ี ระกอบด้วยคำว่า guǐ กับ shén รวมอยูใ่ นสำนวนเดยี วกัน หมายถงึ สำนวนจีน
ที่ประกอบด้วยคำว่า guǐ กับ shén รวมอยู่ในสำนวนเดียวกันสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อในเรื่องผี
และความเชื่อในเร่ืองของเทพเจา้ มีทั้งหมด 89 สำนวน สามารถแบง่ ออกเป็น 3 กลุม่ ใหญด่ งั นี้

ก. สำนวนจีนที่ประกอบด้วยคำว่า guǐ กับ shén รวมอยู่ในสำนวนเดียวกัน ที่ส่ือ
ความหมายในแงบ่ วก

สำนวนจนี ที่ประกอบดว้ ยคำวา่ guǐ กบั shén รวมอยู่ในสำนวนเดยี วกนั ท่สี ือ่ ความหมายใน
แง่บวกมีทั้งสิ้น 20 สำนวน ส่วนใหญ่ใช้แสดงถึงการมีศิลปะฝีมือในงานศิลป์ที่เยี่ยมยอดเหนือชั้น บท
กวีที่ประณีตงดงามยิ่งดุจเป็นสิ่งท่ีเทพประทาน ผีบันดาลให้เกิดขึ้น เหตุการณ์หรือเรื่องราวที่ตราตรงึ
ใจทำใหเ้ กิดความรู้สึกท่นี า่ ประทบั ใจ เป็นต้น เชน่

64

ตวั อยา่ งที่ 125

鬼斧神工
guǐ fǔ shén gōng

คล้ายกับผหี รือเทพเจ้ารงั สรรค์
ใช้เปรียบเทียบถึงการมีศิลปะฝีมือในงานศิลป์ที่เยี่ยมยอดเหนือชั้น ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์จะสร้าง
ข้ึนได้ ราวดังผหี รอื เทพสรา้ งมา

ตวั อย่างที่ 126

惊神泣鬼
jīnɡ shén qì ɡuǐ

เทพตะลงึ ผีร่ำไห้
ใช้เปรียบเทียบบรรยายถึงการถูกกระทบจากเหตุการณ์หรือเรื่องราวที่ตราต รึงใจอย่างหนัก
ทำให้เกิดความรสู้ กึ ท่นี า่ ประทับใจซาบซง้ึ ใจเป็นอย่างยิง่

ตวั อยา่ งท่ี 127

神施鬼设
shén shī ɡuǐ shè

เทพประทาน ผีบันดาลให้เกดิ ข้ึน
ใชเ้ ปรียบเทยี บถึงบทกวีท่ีประณตี งดงามยิ่งดจุ เปน็ สง่ิ ที่เทพประทาน ผบี นั ดาลให้เกิดขึ้น

ตัวอย่างที่ 128

感天地,泣鬼神
gǎn tiān dì,qì guǐ shén

ฟา้ ดนิ เกดิ ความตื้นตนั ซาบซ้ึงใจ เทพและผตี ้องหลัง่ น้ำตา
ใช้บรรยายถึงเรื่องราวการสรา้ งคุณงามความดอี ันยิ่งใหญ่หรอื ผลงานทางศิลปะและวรรณคดี
ทีย่ อดเยยี่ มโดดเด่นจนทำให้ผู้คนเกดิ ความรูส้ ึกซาบซ้ึงประทบั ใจอย่างยง่ิ

ตัวอย่างที่ 129

神惊鬼怕
shén jīng guǐ pà

ทำใหเ้ ทพตื่นตระหนกตกใจ ทำใหผ้ หี วาดกลัว
ใช้บรรยายถึงมีทักษะในศิลปะการต่อสู้ที่เต็มไปด้วยพละกำลังและความกล้าหาญเหนือกว่า
บคุ คลทัว่ ไป นอกจากนยี้ งั ใช้บรรยายถงึ การมีศลิ ปะฝมี อื ในงานศลิ ป์ที่ล้ำเลศิ เหนือช้นั

65

ข. สำนวนจีนที่ประกอบด้วยคำว่า guǐ กับ shén รวมอยู่ในสำนวนเดียวกัน ท่ีส่ือ
ความหมายในแงล่ บ

สำนวนจีนที่ประกอบดว้ ยคำว่า guǐ กับ shén รวมอยู่ในสำนวนเดยี วกัน ท่ีสอ่ื ความหมายใน
แง่ลบมีด้วยกัน 48 สำนวน ส่วนใหญ่ใช้แสดงถึงบาปกรรมที่หนักหนาจนทำให้คนและเทพยดาโกรธ
เคืองเคียดแค้นชิงชัง การใช้เล่ห์เหลี่ยมกลอุบายหลอกลวงผู้อื่น เสียงร้องร่ำไห้อันน่าโศกเศร้าเวทนา
เป็นต้น เช่น

ตวั อย่างท่ี 130

神怒鬼怨
shén nù guǐ yuàn

เทพและผีล้วนโกรธเคอื งเคียดแค้น
ใช้บรรยายถึงความชั่วความเลวร้าย บาปกรรมที่หนักหนาทำให้คนและเทพยดาโกรธเคือง
เคยี ดแค้นชิงชงั

ตวั อยา่ งท่ี 131

装神弄鬼
zhuānɡ shén nònɡ ɡuǐ

พรางตวั เปน็ เทพ เสแสร้งเป็นผี
ใช้เปรยี บเทยี บถงึ การใชเ้ ล่หเ์ หลีย่ มกลอุบายเลน่ ยัว่ ยวนหลอกลวงตม้ ตนุ๋ ผูอ้ ืน่

ตัวอย่างที่ 132

神鬼怕愣人
shén guǐ pà lèng rén

เทพและผีกลัวคนนิสยั บมุ่ บ่ามมทุ ะลุ
ใช้บรรยายถึงมีนิสัยดุดัน กล้าพูดกล้าทำ ชอบทำอะไรอย่างหุนหันพลันแล่นหรือทำสิ่งใดส่ิง
หน่งึ ลงไปอยา่ งไมค่ ํานงึ ถงึ เหตผุ ล ขาดสติ ปราศจากความย้งั คิด ทำใหท้ กุ คนตา่ งพากนั หวาดกลัว

ตัวอยา่ งที่ 133

鬼泣神嚎
ɡuǐ qì shén háo

ผสี ะอนื้ ไห้ เทพรอ้ งไห้โฮ
ใช้บรรยายถึงเสียงร้องรำ่ ไห้อนั นา่ โศกเศร้าเวทนา

ตวั อย่างท่ี 134

神头鬼脸
shén tóu ɡuǐ liǎn

66

หัวเทพเจ้า หน้าผี
ใช้บรรยายถึงสีหน้าที่ไม่มีความสุข ไม่สบายอกสบายใจ และยังใช้อธิบายถึงผมเผ้าที่ยุ่งเหยิง
กระเซอะกระเซงิ ไม่จัดแต่งให้เรียบร้อย

ค. สำนวนจีนที่ประกอบด้วยคำว่า guǐ กับ shén รวมอยู่ในสำนวนเดียวกัน ที่สื่อ
ความหมายกลาง

สำนวนจีนที่ประกอบด้วยคำว่า guǐ กับ shén รวมอยู่ในสำนวนเดียวกันที่สื่อความหมาย
กลาง หมายถึง ไม่สื่อทั้งความหมายแง่ลบและแง่บวก ส่วนใหญ่มักจะกล่าวถึงสถานที่ลี้ลับน่าพิศวง
เรือ่ งราวลีล้ บั มหัศจรรย์ การเปลย่ี นแปลงท่ีไม่แนน่ อน เปน็ ตน้ ไม่แสดงความหมายแฝงบวกหรือลบ มี
ทัง้ ส้ิน 21 สำนวน เชน่

ตวั อย่างท่ี 135

神区鬼奥
shén qū ɡuǐ ào

พ้นื ทีเ่ ทพ มคี วามลกึ ลับอยา่ งผี
ใช้บรรยายเปรยี บเทยี บถงึ สถานที่ที่มคี วามล้ีลบั น่าพศิ วง

ตวั อย่างท่ี 136

鬼神莫测
guǐ shén mò cè

แมแ้ ตผ่ ีสางเทวดา ยังไมอ่ าจคาดเดาได้
บรรยายถงึ เรื่องราวลลี้ บั มหัศจรรย์ ไมม่ ใี ครสามารถล่วงร้ตู น้ื ลึกหนาบางได้

ตวั อย่างท่ี 137

敬鬼神而远之
jìng guǐ shén ér yuǎn zhī

เคารพผแี ละเทพแต่ไม่กล้าเขา้ ใกล้
บรรยายถงึ มีความเคารพแต่ไมไ่ ด้ใกลช้ ิดสนิทกนั ส่อื ถึงเปน็ ทา่ ทกี ารปฏบิ ัติต่อบุคคลใดบุคคล
หนงึ่ มีความเคารพเกรงใจต่อผู้นนั้ แต่ก็ไม่กลา้ สนใจใยดเี อาใจใส่ ไมก่ ลา้ เขา้ ใกล้ชิดสนทิ สนมเพราะกลัว
จะลว่ งเกนิ ทำให้ผูน้ ัน้ ไม่พอใจ

ตวั อยา่ งที่ 138

神藏鬼伏
shén cánɡ ɡuǐ fú

เทพหลบซ่อน ผีหลบซมุ่
ใชเ้ ปรียบเทียบถึงการเปล่ียนแปลงทีไ่ มแ่ น่นอน ยากท่ีจะคาดเดา

67

ตวั อยา่ งที่ 139

神哗鬼叫
shén huá ɡuǐ jiào

เทพเสยี งดังอึกทกึ ผตี ะโกนเสียงดงั
บรรยายถึงเสยี งตะโกนรอ้ งเรียกอันดงั ก้อง

3.7.1.2.2 สำนวนจีนทปี่ ระกอบด้วยคำว่า guǐ กบั mó รวมอยูใ่ นสำนวนเดยี วกัน
สำนวนจีนที่ประกอบด้วยคำว่า guǐ กับ mó รวมอยู่ในสำนวนเดยี วกัน หมายถึงสำนวนจนี ที่
ประกอบด้วยคำว่า guǐ กับ mó รวมอยู่ในสำนวนเดียวกันสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อในเรื่องภูตผี
ปศี าจและความเช่ือในเรอ่ื งของมารมที ั้งหมด 2 สำนวน ลว้ นเป็นสำนวนในแง่ลบ ได้แก่
ตัวอย่างที่ 140

鬼怪妖魔
guǐ guài yāo mó

ภูตผปี ีศาจมารร้าย
ใชบ้ รรยายถึงมารปีศาจร้ายชนดิ ต่าง ๆ และยังใช้เปรยี บเทยี บหมายถงึ บรรดาคนเลว คนช่วั

ตัวอย่างท่ี 141

妖魔鬼怪
yāo mó guǐ guài

มารรา้ ยภตู ผีปีศาจ
ใชบ้ รรยายถึงมารปีศาจรา้ ยชนดิ ต่าง ๆ และยังใชเ้ ปรยี บเทยี บหมายถงึ บรรดาคนไม่ดี คนช่ัว

3.7.1.2.3 สำนวนจีนทป่ี ระกอบดว้ ยคำวา่ guǐ กบั xiān รวมอยู่ในสำนวนเดียวกัน
สำนวนจีนท่ีประกอบดว้ ยคำวา่ guǐ กับ xiān รวมอยู่ในสำนวนเดียวกนั หมายถงึ สำนวนจนี
ที่ประกอบดว้ ยคำว่า guǐ กบั xiān รวมอยใู่ นสำนวนเดยี วกนั สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อในเร่ืองภูตผี
ปีศาจและความเชอ่ื ในเรอื่ งของเซียนมีท้ังหมด 1 สำนวน เป็นสำนวนในแง่บวก คอื
ตัวอย่างที่ 142

仙才鬼才
xiān cái guǐ cái

เซยี นอจั ฉรยิ ะ ผอี จั ฉริยะ
ใช้เปรียบเทียบถึงบุคคลที่มีความสามารถและสติปัญญายอดเยี่ยมโดดเด่นเหนือบุคคลทั่วไป
มักใช้สอ่ื ถึงนักกวีผู้ย่งิ ใหญ่อย่างหล่ีไป๋และหลี่เฮ่อทม่ี ีความสามารถและสติปัญญาอัจฉริยะเหนือบุคคล
ทั่วไป

68

จากสำนวนพบวา่ คำว่า guǐ ส่วนใหญ่มักอุปมาสื่อถึงส่ิงต่าง ๆ ในแง่ท่ีแตกต่างกนั ออกไป ซึ่ง
สามารถสรุปได้ 3 กลุ่มใหญ่ ดังน้ี

กลมุ่ แรก คำว่า guǐ ส่อื ถงึ สิ่งไมด่ ี มคี วามหมายในแงล่ บคือ คนไมด่ ี ลักษณะนิสยั พฤติกรรมท่ี
ไม่ดีของมนุษย์ เชน่ คนท่มี ีจติ ใจโหดเหี้ยมอำมหติ หยาบชา้ หมายปองรา้ ยผู้อื่น พฤติกรรมที่ลบั ๆ ล่อ ๆ
มลี ับลมคมนยั ไม่เปดิ เผย ความอจิ ฉาริษยา การวิตกกงั วลขรี้ ะแวง คำพูดท่โี กหกหลอกลวง นอกจากนี้
คำว่า guǐส่วนใหญ่ยังสื่อถึง คนที่ไร้ที่พึ่งพาอาศัยมีความเป็นอยู่อย่างลำบากยากแค้น ความทุกข์
ยากลำบาก ความโศกเศร้ากลัดกลุ้มใจ แผนการอันชั่วร้ายสกปรกมีเล่ห์เหล่ียมคดโกงมากมาย สิ่ง
เหล่านี้สามารถแสดงให้เห็นถงึ ความคดิ ความเชื่อทคี่ นจีนมีต่อผวี ่า ผเี ปน็ สง่ิ ที่ช่วั รา้ ย มีจติ ใจท่ชี ว่ั ร้าย มี
ความอิจฉาริษยาและจ้องที่จะทำร้ายผู้คน นำมาซึ่งความหายนะหรือความทุกข์ยากแก่มนุษย์ได้ และ
คอยหลอกหลอนคนให้หวาดกลัวได้ด้วยวิธีการที่ไม่เปิดเผยโดยตรง เช่นมาด้วยเสียง มาด้วยกลิ่น มา
ด้วยเงา หรือแบบลับ ๆ ล่อ ๆ เดี๋ยวปรากฏตัวเดี๋ยวหายตัว ทำให้ผู้คนเกิดความหวาดกลวั พรัน่ พรึง ผี
จึงเป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่กล้าพบ ไม่อยากเจอ เป็นสิง่ ท่ีไม่นา่ ไว้ใจ สะท้อนภาพสัญลักษณ์แห่งความชั่วรา้ ย
ชาวจีนจงึ นำลักษณะนิสยั รปู รา่ งลักษณะของผีมาเปรียบเทียบกับพฤติกรรมและอารมณ์ความรู้สึกนึก
คิดที่ไม่ดีของมนุษย์ เช่น การที่มนุษย์มีจิตใจที่อิจฉาริษยาผู้อื่น มีพฤติกรรมที่ชั่วร้ายดื้อดึง การใช้กล
อุบายเล่ห์เหลี่ยมต่าง ๆ ในการปิดบังอำพรางหลอกลวงทำร้ายผู้อื่น การมีลูกไม้ต่าง ๆ นานาในการ
กระทำส่ิงไมด่ ี รวมไปถึงการกระทำผิดกฎหมายเช่นการหนีภาษี เป็นต้น

กลุ่มสอง คำว่า guǐ สื่อถึงสิ่งที่ดี มีความหมายในแง่บวกคือ ความมีฝีมือมีความสามารถใน
งานศิลป์ที่ล้ำเลิศเหนือชั้น เช่น ส่ิงก่อสร้าง สถาปัตยกรรม ผลงานการประดิษฐ์คิดค้นที่ย่ิงใหญ่
นอกจากนี้ยังรวมไปถึง บทกวีหรือตำราพิชัยสงครามท่ีประณีตงดงามอย่างยิ่งหรือความรู้สึกที่น่า
ประทับใจซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่ง สิ่งเหล่านี้ล้วนสะท้อนให้เห็นถึงแนวคิดความเชื่อที่คนจีนมีต่อผีว่า
นอกจากผีจะเป็นสิ่งที่ชั่วร้ายแล้วแต่ผีนั้นก็เป็นสิ่งที่มีอิทธิฤทธิ์และมีพลังอำนาจในการดลบันดาล
สร้างสรรค์เนรมิตสิ่งต่าง ๆ ให้เกิดขึ้นได้ เช่น เนรมิตสิ่งก่อสร้างที่สวยงามประณีตหรือเนรมิต
สิ่งประดิษฐ์คิดค้นที่ยิ่งใหญ่ เนรมิตผลงานที่เยี่ยมยอดขึ้นมา เป็นต้น ดังนั้นชาวจีนจึงนำแนวคิดความ
เชื่อนี้มาเปรียบกับส่ิงก่อสร้างที่ยิง่ ใหญ่ราวกับไม่ใช่สิง่ ที่มนุษยจ์ ะสรา้ งขึ้นได้ สถาปัตยกรรมอันเลิศล้ำ
ราวดังผีสร้างขึ้นมา บทกวีหรือตำราพิชัยสงครามท่ีประณีตงดงามเป็นอย่างย่ิง ผลงานการประดิษฐ์
คิดค้นที่ยง่ิ ใหญ่ รวมไปถึงฝีมือเทคนคิ ลำ้ เลศิ อันเหนือชั้น

กลุ่มสาม คำว่า guǐ สอ่ื ถึงสงิ่ เหนือธรรมชาติ การเปลยี่ นแปลงและความลึกลบั อัศจรรย์ เช่น
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วไม่แน่นอน ความลึกลับอัศจรรย์ ซึ่งอาจเป็นเรื่องราวต่าง ๆ ที่
บังเกิดขึ้นมีความลึกลับซับซ้อนจนยากที่จะคาดเดา สถานที่ที่มีความลี้ลับน่าพิศวง รวมไปถึงพลัง
อำนาจ เป็นต้น สิง่ เหลา่ นล้ี ว้ นสะท้อนใหเ้ หน็ ถึงความคิดความเช่ือท่ีคนจนี มตี ่อผีว่า ผีนั้นมีพลังอำนาจ
สามารถล่องหนหายตัวได้อย่างรวดเร็วอีกทั้งสามารถเปลี่ยนแปลงรูปร่างของตัวเองด้วยระยะเวลา
รวดเร็วฉับไวและผีเป็นสิ่งที่มีความลึกลับยากที่จะคาดเดา มนุษย์ไม่สามารถที่จะพิสูจน์ได้ว่ามีจริง
หรอื ไมจ่ ริง ดังนน้ั ชาวจีนจงึ นำแนวคิดความเชื่อน้ีมาเปรยี บกับสภาพสภาวะการเปลี่ยนแปลงที่เกิดข้ึน

69

อย่างรวดเร็ว ทั้งการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของคนหรือธรรมชาติที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วไม่แน่นอนไม่
สามารถที่จะคาดเดาได้โดยง่ายเหมือนดั่งผีที่ปรากฏหรือหายวับไปได้ในทันควัน หรือเรื่องราวหรือ
เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่บังเกิดขึ้นมีความลึกลับซับซ้อน รวมไปถึงสถานที่ที่มีความลี้ลับน่าพิศวงจนยากท่ี
จะคาดเดาเหมือนกับผีที่มีความลึกลับ มีพฤติกรรมที่คาดเดาได้ยากและพิสูจน์ไม่ได้ว่ามีตัวตนอยู่จริง
หรือไม่

3.7.2 สำนวนจนี ทีส่ ะทอ้ นความเชอ่ื เรือ่ งภูตผปี ีศาจอนื่ ๆ
สำนวนจีนทสี่ ะท้อนความเชื่อเร่ืองภตู ผีปีศาจอ่นื ๆ หมายถงึ สำนวนจีนท่มี ีชื่อภูตผีปีศาจหรือ
เนื้อหาของสำนวนกล่าวถึงชื่อภูตผีปีศาจเป็นส่วนประกอบปรากฏอยู่ในสำนวน เช่น ภูตปีศาจร้ายที่
อาศยั อยใู่ นป่า ภตู ผปี ีศาจที่อาศัยอยู่ในนำ้ ชื่อปีศาจทหารผีในนรกท่ีมีศรี ษะเป็นวัว มีหน้าเป็นม้า เป็น
ต้น สำนวนจนี ทสี่ ะทอ้ นความเชื่อเรือ่ งภตู ผีปีศาจอืน่ ๆ มที ้งั หมด 18 สำนวน แบ่งออกเปน็

3.7.2.1 สำนวนจนี ทส่ี ะทอ้ นความเชื่อเร่ืองภูตผีปีศาจอ่ืน ๆ ในความหมายแงบ่ วก
สำนวนจีนที่สะท้อนความเชื่อเรื่องภูตผีปีศาจอื่น ๆ ในความหมายแง่บวก ส่วนใหญ่ใช้แสดง
ถึงการใชพ้ ลังอำนาจหรือความสามารถท่ีแข็งแกร่งเอาชนะคนช่วั ร้ายหรือศัตรู สงิ่ ดีงามย่อมชนะส่ิงชั่ว
รา้ ย การปราบหรือพิชติ ขา้ ศกึ ศัตรทู โ่ี หดร้ายน่ากลัว เป็นต้น มีทั้งสน้ิ 4 สำนวน ได้แก่
ตัวอยา่ งที่ 143

降妖捉怪
xiáng yāo zhuō guài

กำราบปีศาจจับกมุ ภูต
เดมิ หมายถึง ผู้ท่ีมวี ชิ าอาคมเวทมนตรค์ าถาสามารถกำราบพิชิตปีศาจจับกุมภูติผีได้ ภายหลัง
ใช้เปรียบเทียบถึงการใช้พลังอำนาจหรือความสามารถที่แข็งแกร่งและยิ่งใหญ่เอาชนะคนชั่วร้ายหรือ
ศตั รู

ตวั อยา่ งท่ี 144

断怪除妖
duàn guài chú yāo

ขดุ รากถอนโคนภูต กำราบปีศาจ
ใชบ้ รรยายถงึ การขดุ รากถอนโคนกำจัดภตู ผีปีศาจ

ตัวอย่างท่ี 145

妖不胜德
yāo bù shèng dé

70

มารร้ายย่อมไม่สามารถเอาชนะส่ิงทด่ี ีงามมคี ุณธรรม
ใชเ้ ปรยี บเทียบถงึ สงิ่ ทช่ี ่วั รา้ ยย่อมไม่สามารถเอาชนะส่งิ ทีด่ ีงามมีคุณธรรม

ตวั อย่างที่ 146

降妖除怪
xiáng yāo chú guài

สยบปีศาจ กำจดั สัตวป์ ระหลาด
ใชเ้ ปรียบเทียบถงึ การปราบหรือพชิ ติ ข้าศกึ ศัตรทู โ่ี หดรา้ ยนา่ กลัวจนอย่หู มัด

3.7.2.2 สำนวนจีนทีส่ ะท้อนความเชือ่ เรื่องภูตผีปีศาจอืน่ ๆ ในความหมายแงล่ บ
สำนวนจนี ที่สะท้อนความเชือ่ เรือ่ งภูตผปี ีศาจอื่น ๆ ในความหมายแงล่ บ ส่วนใหญ่ใชแ้ สดงถงึ
บรรดาคนชั่วร้ายน่ากลัว คนที่หน้าตาดูใจดีมีเมตตาแต่ใจคอกลบั ดุร้ายโหดเหี้ยมอำมหิต คนที่ชอบก่อ
เรอ่ื งกอ่ ความว่นุ วาย เป็นต้น มที ้งั ส้ิน 14 สำนวน เชน่
ตัวอย่างที่ 147

魑魅魍魉
chī mèi wǎng liǎng

ปีศาจร้ายในป่า ผีพรายนำ้
เดิมหมายถึงพวกผีปีศาจร้ายมากมายหลายชนิด ในปัจจุบันใช้เปรียบเทียบถึงบรรดาคนชั่ว
รา้ ยหรอื พวกคนท่โี หดรา้ ยนา่ กลวั

ตวั อย่างท่ี 148

牛头阿旁
niú tóu ā páng

ผีองครกั ษห์ วั วัวที่อยู่ขา้ งกายพระยมนามว่า อาผาง
ใชเ้ ปรยี บเทยี บถงึ หนา้ ตาดใู จดีมเี มตตาแตใ่ จคอกลบั ดรุ า้ ยโหดเห้ียมอำมหิต

ตัวอยา่ งที่ 149

妖言惑众
yāo yán huò zhòng

คำพูดมารรา้ ยหลอกลวงผคู้ น
หมายถงึ การใชค้ ำพูดข่าวลอื ทโี่ กหกกล่าววาจาเท็จลวงหลอกผูอ้ ื่น

ตัวอย่างท่ี 150

妖由人兴
yāo yóu rén xīng

71

ปศี าจเกดิ จากนำ้ มือมนษุ ย์
ใช้บรรยายถึงเรื่องราวหรือสิ่งไม่ดีที่เกิดขึ้นล้วน เกิดจากการท่ีมนุษย์ไม่ซ่ือสัตย์หรือทำการ
ปลอ่ ยปละละเลย ไม่เอาจรงิ เอาจัง

ตวั อย่างท่ี 151

兴妖作怪
xīng yāo zuò guài

มารร้ายก่อเร่ืองกอ่ ความว่นุ วาย
เดิมหมายถึงภูตผีปีศาจร้ายที่ทำร้ายผู้คน ภายหลังใช้เปรียบเทียบถึงคนที่ชอบก่อเรื่องก่อ
ความวนุ่ วายหรือความคดิ ความอา่ นที่ไม่ดแี ผ่ขยายเป็นวงกวา้ ง

3.8 สำนวนจนี ทส่ี ะท้อนความเชอื่ เรือ่ งฤกษย์ าม
ชนชาติจีนมีความเชื่อเรื่องฤกษ์งามยามดีมาตั้งแต่โบราณกาลจนถึงปัจจุบัน โดยเชื่อว่า หาก

จะทำการมงคลอันใดให้ราบรืน่ และประสบความสำเรจ็ ได้นั้น ฤกษ์มงคล หรือ ช่วงเวลาท่ีดี ถือว่าเป็น
สิ่งสำคญั สำหรบั การเริ่มต้นแทบทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นฤกษ์ออกรบ ฤกษ์ขุดดินก่อสร้าง ฤกษ์ขึ้นบ้านใหม่
ย้ายบ้านใหม่ ฤกษจ์ ัดงานมงคลสมรส ฤกษเ์ ปิดร้านเปดิ กิจการ ฤกษต์ ้งั ศาลเจ้าในบ้าน เป็นต้น

พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน (2542: 1240) ได้ให้ความหมายของคำว่า ฤกษ์ ไว้ว่า
“คราวหรือเวลาที่กำหนดหรือคาดว่าจะให้ผล เช่น ฤกษ์ดี ฤกษ์ร้าย มักนิยมใช้ในทางดี เช่น หาฤกษ์
แต่งงาน หาฤกษ์ยกเสาเอก เปน็ ตน้ ”

บุปผา ทวีสุข (2526: 160) ไดใ้ ห้ความหมายของคำว่า ฤกษย์ าม ไวว้ า่ “เวลาที่เหมาะเป็นชัย
มงคล ส่วนยาม คือ ส่วนแห่งวันที่ดีและร้าย เช่น ถ้าจะทําการมงคลให้ทำวันขึ้น 1 ค่ำ เพราะเป็นวัน
มงคลดมี ลี าภ หรือ การปลกู เรอื นควรทำในวันจันทร์ วนั พธุ หรอื วันพฤหัสบดีจะดีนักแล”

ดังนั้น ฤกษ์ จึงหมายถึง คราวหรือเวลาที่กำหนดหรือคาดว่าจะให้ผล เช่น ฤกษ์ดี ฤกษ์ร้าย
มักนิยมใชใ้ นทางดี เช่น หาฤกษ์แต่งงาน หาฤกษ์ยกเสาเอก เป็นต้น ส่วนยาม คือ ส่วนแห่งวันที่ดแี ละ
ร้าย เช่น ถ้าจะทําการมงคลให้ทำวันขึน้ 1 ค่ำ เพราะเป็นวันมงคลดีมีลาภ สำนวนจนี ที่สะท้อนให้เหน็
ถงึ ความเช่ือเรอ่ื งฤกษ์ยามมที ัง้ สน้ิ 8 สำนวน แบง่ ออกเป็น

3.8.1 สำนวนจนี ทสี่ ะท้อนความเชอ่ื เรื่องฤกษย์ ามในความหมายแง่บวก
สำนวนจีนที่สะท้อนความเชื่อเร่ืองฤกษ์ยามในความหมายแง่บวก ส่วนใหญ่ใช้แสดงถึงฤกษ์ดี
วันดมี ีความศิริมงคล ทำสิ่งใดกเ็ ป็นเร่ืองง่ายสมความปรารถนา วันและเวลามงคลเหมาะกับวันจัดงาน
แตง่ งาน วนั เวลาท่มี ดี าวมงคลปรากฏข้ึน เปน็ ตน้ มีทง้ั สิ้น 6 สำนวน ได้แก่
ตวั อยา่ งที่ 152

黄道吉日
huáng dào jí rì

72

ฤกษง์ ามยามดี วันศิรมิ งคล
ใช้บรรยายถึงวนั ดมี คี วามศิริมงคล คนโบราณเชอ่ื กันวา่ เป็นวันดีที่สมควรทำกจิ กรรมตา่ งๆ
จะทำสง่ิ ใดก็เปน็ เรื่องง่ายสมความปราถนา เช่น แต่งงาน เปิดกิจการค้าขาย เป็นต้น

ตัวอยา่ งที่ 153

青龙金匮
qīng lóng jīn kuì

วนั เวลาท่ีมดี าวมงคลมังกรเขยี ว ดาวมงคลหบี ทองปรากฏขึ้น
ใช้บรรยายถึงวันและเวลาอันเป็นมงคล ในโบราณกาลนักโหราศาสตรจ์ ีนเชือ่ วา่ ถ้าดาวมงคล
ทั้ง 6 เช่น ดาวชิงหลง (qīnglóng 青龙) ดาวหมิงถัง (míngtáng 明堂) ดาวจินคุ่ย (jīnkuì 金
匮) ดาวเทียนเต๋อ (tiāndé 天德) ดาวซือมิ่ง (sīmìng 司命) เป็นต้น ปรากฏขึ้น ณ วันหรือ
ช่วงเวลาใด วันเวลานั้นจะถอื วา่ เปน็ วนั เวลามหามงคล ทำการสิ่งใดก็จะประสบความสำเร็จ

ตัวอย่างที่ 154

良辰吉日
liáng chén jí rì

ฤกษง์ ามยามดี วันศริ มิ งคล
ใชบ้ รรยายถึงฤกษ์ดี วันดีมคี วามศิริมงคล ภายหลงั มกั จะใชว้ นั และเวลามงคลน้เี ป็นวันจัดงาน
แตง่ งาน

ตัวอย่างที่ 155

吉日良辰
jí rì liáng chén

วันศริ มิ งคล ฤกษง์ ามยามดี
ใชบ้ รรยายถึงฤกษ์ดี วนั ดมี คี วามศิริมงคล ภายหลงั มักจะใช้วนั และเวลามงคลน้เี ปน็ วันจัดงาน
แตง่ งาน

ตัวอยา่ งที่ 156

良时吉日
liáng shí jí rì

ฤกษง์ ามยามดี วันศริ มิ งคล
ใชบ้ รรยายถึงฤกษด์ ี วันดีมีความศิริมงคล ภายหลังมกั จะใชว้ ันและเวลามงคลน้เี ป็นวันจัดงาน
แตง่ งาน

73

ตวั อยา่ งที่ 157

吉日良时
jí rì liáng shí

วนั ศิริมงคล ฤกษ์งามยามดี
ใช้บรรยายถึงฤกษด์ ี วันดีมคี วามศิริมงคล ภายหลังมกั จะใชว้ นั และเวลามงคลนีเ้ ป็นวันจัดงาน
แต่งงาน

3.8.2 สำนวนจนี ท่ีสะทอ้ นความเชื่อเรอ่ื งฤกษย์ ามในความหมายแง่ลบ
สำนวนจนี ทส่ี ะท้อนความเช่ือเรื่องฤกษ์ยามในความหมายแงล่ บ สว่ นใหญห่ มายถึงการเกิดมา
ในฤกษ์ยามทไ่ี มด่ ี การมชี ะตาชีวติ ท่ีไม่ดี เปน็ ต้น มีทง้ั สน้ิ 2 สำนวน ไดแ้ ก่
ตวั อย่างท่ี 158

生不逢辰
shēng bù féng chén

เกิดมาในฤกษย์ ามอัปมงคล
ใช้บรรยายถึงการเกดิ มาในฤกษ์ยามที่ไม่ดี ในสมัยก่อนใช้ส่ือถงึ การมีชะตาชีวติ ทีไ่ ม่ดี

ตวั อยา่ งท่ี 159

生不逢时
shēng bù féng shí

เกิดมาในฤกษย์ ามอัปมงคล
ใช้บรรยายถึงการเกดิ มาในฤกษ์ยามที่ไม่ดี ในสมัยก่อนใช้ส่ือถึงการมชี ะตาชีวิตที่ไมด่ ี

3.9 สำนวนจนี ที่สะท้อนความเช่ือเรื่องของวิเศษ
คนจีนมีความเช่อื เรื่องของวเิ ศษมาตั้งแต่โบราณกาลจนถึงปัจจุบันดงั จะเหน็ ได้จากการปรากฏ

ความเชื่อเรื่องของวิเศษในวรรณกรรมหรือนวนิยายที่ได้จินตนาการเล่าเขียนเกี่ยวกับของวิเศษไป
ต่าง ๆ นานา อาทิ อำนาจหรืออิทธิฤทธิ์ในตัว ชื่อสิ่งของวิเศษ ลักษณะรูปร่างของวิเศษนั้น ๆ เช่น
กระบี่วิเศษท่ีมีอิทธิฤทธิ์ในการพิชิตมารร้ายและกำราบปราบปีศาจหรือสิ่งอัปมงคล น้ำมนต์ศักดิ์สิทธ์ิ
ยันต์วิเศษที่มีอิทธิฤทธิ์สะกดวิญญาณ ป้องกันภูตผีปีศาจ กันอาถรรพ์ชั่วร้ายนานัปการ หรือแม้แต่
กระจกวิเศษทส่ี ามารถส่องเหน็ อวัยวะภายในร่างกาย เปน็ ตน้

พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน (2542: 376) ได้ให้ความหมายของคำว่า วิเศษ ไว้ว่า
“ยอดเยี่ยม มีอำนาจหรืออิทธิฤทธิ์ในตัว เช่น พรมวิเศษ ของวิเศษ ดาบวิเศษ ดังนั้นของวิเศษคือ
สิ่งของตา่ ง ๆ ท่มี ีพลังอํานาจหรอื มหี รืออทิ ธิฤทธใิ์ นตัวในด้านต่าง ๆ”

สำนวนจนี ที่สะท้อนใหเ้ ห็นถงึ ความเชื่อเรื่องของวเิ ศษมีท้งั สนิ้ 9 สำนวน แบ่งออกเปน็

74

3.9.1 สำนวนจีนที่สะทอ้ นความเชอื่ เรือ่ งของวเิ ศษในความหมายแงบ่ วก
สำนวนจีนท่สี ะทอ้ นความเช่ือเรือ่ งของวิเศษในความหมายแงบ่ วก ส่วนใหญใ่ ชแ้ สดงถึงวิธีการ
ที่ดีที่สามารถแก้ปัญหาได้ทุกอย่าง ข้าราชการขุนนางพิพากษาตัดสินคดีด้วยความเที่ยงตรงยุติธรรม
คนที่อายุมากหรือห่างหายจากอาชีพหลักทที่ ำแต่เดิมไปนานแต่พละกำลังหรือฝีมือความสามารถไม่ได้
ลดลงตามอายุทีเ่ พิม่ ขน้ึ เป็นต้น มีท้งั สิน้ 8 สำนวน เช่น
ตัวอย่างท่ี 160

灵丹妙药
líng dān miào yào

ยาวิเศษ
ใช้บรรยายถึงเม็ดยาวเิ ศษที่นักพรตลัทธเิ ตา๋ สรา้ งขน้ึ มา เช่ือกันว่าสามารถรักษาโรคได้ทุกโรค
ภายหลงั ใช้เปรียบเทียบถึงวิธีการที่ดีทส่ี ามารถแกป้ ญั หาได้ทกุ อย่าง

ตัวอย่างท่ี 161

秦镜高悬
Qín jìng gāo xuán

กระจกห้อยแขวนจากท่สี งู ของฉินซีฮ่องเต้
เดิมหมายถึงกระจกแขวนวิเศษของฉินซีฮ่องเต้ที่สามารถส่องเห็นอวัยวะภายในร่างกายของ
คนได้ ภายหลังใช้เปรยี บเทียบถึงขา้ ราชการขุนนางพิพากษาตัดสินคดดี ้วยความเดด็ ขาดเที่ยงตรงและ
ยตุ ิธรรม

ตวั อยา่ งท่ี 162

灵丹圣药
líng dān shèng yào

ยาวิเศษ
ใช้บรรยายถึงเม็ดยาวเิ ศษท่ีนกั พรตลทั ธิเต๋าสร้างข้ึนมา เชื่อกันว่าสามารถรักษาโรคได้ทุกโรค
ภายหลงั ใชเ้ ปรยี บเทยี บถึงวธิ ีการทด่ี ที ีส่ ามารถแกป้ ญั หาไดท้ ุกอยา่ ง

ตวั อยา่ งที่ 163

秦庭朗镜
Qín tíng lǎng jìng

กระจกวิเศษใสสว่างของฉินซฮี อ่ งเต้
เดิมหมายถึงกระจกวิเศษของฉินซีฮ่องเต้ที่สามารถส่องเห็นอวัยวะภายในร่างกายของคนได้
ภายหลังใช้เปรียบเทียบถึงข้าราชการขุนนางพิพากษา ตัดสินคดีด้วยความเด็ดขาด เที่ยงตร งแล ะ
ยุติธรรม

75

3.9.2 สำนวนจีนท่ีสะท้อนความเชือ่ เรื่องของวิเศษในความหมายกลาง
สำนวนจนี ที่สะทอ้ นความเชือ่ เรื่องของวิเศษในความหมายกลางหมายถงึ ไม่ส่ือทั้งความหมาย
แง่ลบและแง่บวก กล่าวถึงการร่ายเวทมนตร์ร่ายคาถาของนักพรตลทั ธิเต๋าในการประกอบพิธกี รรม มี
ทั้งสนิ้ 1 สำนวน ไดแ้ ก่
ตัวอยา่ งที่ 164

书符咒水
shū fú zhòu shuǐ

เขยี นยนั ต์และทำนำ้ มนต์
ใช้บรรยายถึงการรา่ ยเวทมนตร์ร่ายคาถาของนักพรตลัทธิเตา๋ ในการประกอบพธิ ีกรรม

3.10 สำนวนจนี ทีส่ ะทอ้ นความเช่อื เรอื่ งการทำนายพยากรณ์
อารยธรรมจีนหลายพันปี ชนชาติจีนได้มีการสั่งสมวัฒนธรรมความเชื่อทั้งจากตำนานและ

ความเชื่อที่เล่าขานผ่านยุคบรรพกาลสืบทอดมาจนถึงยุคปัจจุบัน ความเชื่ออย่างหนึ่งที่เห็นได้เด่นชัด
ว่าปรากฏอยู่ทุกหนทุกแห่ง คือความเช่ือเร่ืองการทำนายพยากรณ์ สังเกตได้จากศาสตร์ทำนาย
พยากรณ์ต่าง ๆ ทส่ี งั่ สมและสบื ทอดมาต้งั แตโ่ บราณกาลจนถึงปจั จบุ นั เช่น ศาสตรพ์ ยากรณ์ดดู วงดาว
เพื่อทำนายโชคชะตาในอนาคตของบุคคล ทำนายดวงชะตาของบ้านเมือง เป็นต้น นอกจากนี้ศาสตร์
การทำนายพยากรณ์ยังมีปรากฏอยู่ในวรรณกรรมและนวยายจีนเร่ืองต่าง ๆ อย่างมากมาย
ตัวอย่างเช่น หนึ่งในสี่สดุ ยอดวรรณกรรมจีนเร่ือง สามก๊ก ที่ได้กล่าวถึง ตัวละครกุนซอื คนสำคัญอย่าง
ขงเบ้ง ผู้หยั่งรู้ฟ้ารู้ดินได้ใช้วิชาพยากรณ์ศาสตร์ต่าง ๆ ทำนายชะตาชีวิตคน ชะตาชีวิตเหตุการณ์
บ้านเมือง เปน็ ต้น สะทอ้ นใหเ้ หน็ ถึงความเชื่อเรื่องการทำนายพยากรณไ์ ด้เปน็ อย่างดี

พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ได้ให้ความหมายของคำว่า ทำนาย และ พยากรณ์ ไว้
ดังนี้ ทำนาย หมายถึง “การทายบอกเหตุการณ์หรือความเป็นไปที่จะเกิดในเบ้ืองหน้า” (2542: 577)
พยากรณ์ หมายถงึ “ทำนายหรอื คาดการณ์โดยอาศยั หลักวิชา” (2542: 1467)

ดังน้นั การทำนายพยากรณ์ คอื การคาดการณเ์ หตกุ ารณห์ รือความเปน็ ไปทีจ่ ะเกดิ ในเบ้ืองหน้า
โดยอาศัยหลักวิชาใดวิชาหน่ึง สำนวนจีนท่ีสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อเรื่องการทำนายพยากรณ์สื่อ
ความหมายแงบ่ วก 3 สำนวน แงล่ บ 1 สำนวน ไม่บวกและไมล่ บ 3 สำนวน รวมทงั้ สน้ิ 7 สำนวน เช่น

ตัวอยา่ งที่ 165

不待蓍17龟18
bù dài shī guī

ไมต่ ้องรอกา้ นสมนุ ไพรซือและกระดองเต่าทำนาย

17 ชื่อพืชสมุนไพรชนิดหนึ่งของจีน รากตั้งตรง ใบเกิดคู่ลักษณะขนนกแตกลึก ดอกสีขาว ในสมัยโบราณจีนใช้ก้านพืช
สมนุ ไพรนม้ี าใช้ในการเสยี่ งทาย

18 龟 guī ในที่นหี้ มายถงึ กระดองเตา่

76

ใช้บรรยายถึงไม่ต้องรอให้มีการทำนายเส่ียงทายก็ทราบถึงเรื่องดีร้ายเพราะเรื่องที่รู้เห็น
ค่อนขา้ งเดน่ ชัด

ตวั อย่างที่ 166

龟厌不告
guī yàn bù gào

กระดองเตา่ ไม่ยอมบอกคำทำนาย
ใช้บรรยายถึงสิ่งของที่มีคุณภาพเม่ือใช้ไปเป็นเวลานานย่อมเสื่อมประสิทธิภาพ เกิดความ
ขัดข้องเปรียบกับคนในสมัยโบราณที่มีความงมงายมักจะใช้กระดองเต่าในการพยากรณ์เสี่ยงทาย ถ้า
ใช้กระดองเต่าในการพยากรณ์ เสี่ยงทายโดยไม่หยุดพักเทพเจ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในกระดองเต่า ย่อม
เอือมระอาและเบอื่ หนา่ ยไมบ่ อกคำทำนายให้ทราบ

ตัวอย่างท่ี 167

求签问卜
qiú qiān wèn bǔ

เสี่ยงเซียมซีเพ่อื ขอคำทำนาย
ใช้บรรยายถึงการภาวนาขอพรต่อเทพเจ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อให้ช่วยประทานคำทำนายถึงสิ่งท่ี
อยากรู้

ตวั อย่างท่ี 168

老医少卜
lǎo yī shào bǔ

หมอมากประสบการณ์ นักพยากรณ์หนุ่ม
ใชบ้ รรยายถงึ หมอท่ีมีอายุมากและส่งั สมประสบการณ์มาอยา่ งยาวนาน นกั พยากรณ์ถึงแม้จะ
หน่มุ แต่มกี ารตดั สินใจได้อย่างเด็ดขาด ใชเ้ ปรียบเทียบถึงส่งิ ต่าง ๆ ลว้ นมขี ้อดหี รอื จดุ เด่นในตวั ไม่ควร
ให้ความสำคัญอย่างใดอย่างหน่ึงจนเกินไปจนละเลยใหค้ วามสำคญั อีกสง่ิ หน่งึ

ตัวอยา่ งท่ี 169

未卜先知
wèi bǔ xiān zhī

ยงั ไม่เสย่ี งทายก็หยัง่ รู้
ใช้บรรยายถึงคนสมัยโบราณจะใช้ไฟลนเผากระดองเตา่ และดูลายรอยเส้นแตกจากการถูกไฟ
ลนบนกระดองเต่าเพอื่ ทำนายเรอ่ื งดีรา้ ย ใช้สือ่ ถงึ การคาดการณค์ าดเดาไดล้ ว่ งหน้า

77

3.11 สำนวนจนี ทส่ี ะท้อนความเชอื่ เรอื่ งลาง
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน (2542: 1005) ได้ให้ความหมายของคำว่า ลาง ไว้ว่า

“สิ่งหรือปรากฏการณท์ ี่เชื่อกันว่าจะบอกเหตดุ หี รือเหตรุ ้าย เช่น ผ้งึ ทำรงั ทางทศิ ตะวันออกของอาคาร
เชอื่ กันวา่ เป็นลางดี แมงมมุ ตีอกเชอ่ื กันว่าเปน็ ลางร้าย เป็นตน้ ”

สำนวนจีนที่สะทอ้ นให้เห็นถงึ ความเช่ือเรื่องลางมีทัง้ หมด 22 สำนวน แบง่ ออกเปน็

3.11.1 สำนวนจนี ทสี่ ะท้อนความเชือ่ เรอ่ื งลางในความหมายแง่บวก
สำนวนจีนทีส่ ะท้อนความเชื่อเร่ืองลางในความหมายแง่บวก ส่วนใหญ่ใชแ้ สดงถึงลางดีที่บอก
ว่าจะมีฮ่องเต้ถือประสูติขึ้น ลางดีบ่งบอกถึงผู้เป็นเจ้านายจะได้ผู้มีความรู้ความสามารถมีศีลธรรมมา
เป็นลูกน้อง ลางมงคลทีบ่ ง่ บอกวา่ จะมสี ่ิงมงคลเกิดขึ้น มที ้งั สิน้ 16 สำนวน เช่น
ตวั อยา่ งที่ 170

凤鸣朝阳
fèng míng zhāo yáng

นกฟีนกิ ซเ์ ปล่งเสยี งร้องตอนพระอาทิตยข์ ้นึ
เดิมหมายถึงว่า ถ้านกฟีนิกซ์เปล่งเสียงร้องตอนพระอาทิตย์ขึ้น ชาวจีนในโบราณกาลเชื่อว่า
เป็นลางดี ประเทศจะมีความสันตสิ งบร่มเยน็ ภายหลงั ใชเ้ ปรียบเทียบถึงคนผู้มีความรู้ความสามารถท่ี
สงู ส่งไดม้ โี อกาสแสดงความรู้ความสามารถออกมา

ตัวอย่างท่ี 171

黄旗紫盖
huáng qí zǐ gài

ธงสเี หลืองปกคลมุ ไปด้วยสีมว่ ง
ใชบ้ รรยายถึงถา้ บนท้องฟ้าปรากฏเมฆท่ีมรี ปู ร่างเปน็ ธงสเี หลอื งปกคลมุ ไปด้วยสีม่วง ชาวจนี
ในโบราณกาลเชอ่ื กนั ว่า เป็นลางดีทบี่ อกว่าจะมีฮ่องเต้ถอื ประสตู ขิ ึ้น

ตวั อยา่ งที่ 172

紫气东来
zǐ qì dōng lái

ทอ้ งฟ้าทางทศิ ตะวันออกมีแสงสมี ว่ งปรากฏให้เห็น
ตามตำนานเล่าว่า จอมปราชญ์เล่าจื๊อก่อนที่จะเดินทางมาผ่านด่านหานกู่ มีชายนามว่าอิ๋นส่ี
ไดเ้ ห็นทอ้ งฟา้ ทางทิศตะวนั ออกมีแสงสมี ่วงปรากฏใหเ้ ห็นจึงทราบว่า จะมนี กั ปราชญ์มาผ่านด่าน แล้ว
ก็เป็นไปอย่างที่คิดไว้ จอมปราชญ์เล่าจื๊อได้ขี่วัวมาที่ด่านหานกู่จริง ใช้เปรียบเทียบถึงเป็นลางมงคลที่
บ่งบอกวา่ จะมสี ่งิ มงคลเกดิ ขึน้

78

ตวั อยา่ งท่ี 173

祥云瑞彩
xiáng yún ruì cǎi

เมฆมงคลอันเรืองรองหลากสีสัน
ใช้บรรยายถึงคนจีนในโบราณกาลเชื่อกันว่า ถ้าบนท้องฟ้ามีเมฆอันเรืองรองทอสีสันต่าง ๆ
เป็นลางดจี ะมเี รือ่ งมงคลเกดิ ขึ้น

ตวั อยา่ งท่ี 174

飞熊入梦
fēi xióng rù mèng

หมีบินมาเข้าฝัน
เดิมสื่อถึงครั้งหนึ่งพระเจ้าโจวเหวินหวังได้ทรงพระสุบินเห็นหมี หลังจากนั้นจึงได้เจียงไท่กง
มาเป็นอุปราชคนสำคัญ ภายหลังใช้เปรียบเทียบถึงเมื่อฝันเห็นหมีจะเป็นลางมงคลบ่งบอกถึงผู้เป็น
เจ้านายจะได้ผู้มคี วามร้คู วามสามารถยึดถือในศลี ธรรมมาเปน็ ลูกน้อง

3.11.2 สำนวนจนี ท่สี ะทอ้ นความเช่ือเรอื่ งลางในความหมายแง่ลบ
สำนวนจีนทสี่ ะทอ้ นความเชื่อเรือ่ งลางในความหมายแง่ลบ สว่ นใหญใ่ ชแ้ สดงถึงลางร้ายที่บอก
วา่ ประเทศชาตจิ ะล่มสลาย ลางร้ายบง่ บอกถึงจะเกิดศึกสงคราม ลางอันไม่เป็นมงคล เป็นต้น มีทั้งส้ิน
4 สำนวน เชน่
ตัวอย่างท่ี 175

野鸟入庙19
yě niǎo rù miào

นกปา่ บินเข้าสศู่ าลบรรพชน
ใช้บรรยายถึงถ้านกป่าบินเข้าสู่ศาลบรรพชน ชาวจีนในโบราณกาลเชื่อกันว่า เป็นลางร้ายท่ี
บอกว่าประเทศชาติจะล่มสลาย

ตัวอย่างที่ 176

雄鸡夜鸣
xióng jī yè míng

ไกต่ ัวผู้ขันรอ้ งยามราตรี
ใช้บรรยายถงึ ไก่ตัวผูข้ นั รอ้ งตอนกลางคนื เป็นเรอื่ งผิดปกติ ชาวจีนในโบราณกาลเช่อื กันวา่ เป็น
ลางร้ายบง่ บอกถึงจะเกดิ ศกึ สงคราม

19 庙 miào ในท่ีน้ีหมายถงึ ศาลบรรพชน

79

ตวั อย่างท่ี 177

不祥之兆
bù xiáng zhī zhào

ลางไมเ่ ปน็ มงคล
ใชบ้ รรยายถึงลางร้าย ลางอันไม่เปน็ มงคล

ตวั อย่างที่ 178

不祥之征
bù xiáng zhī zhēng

ใช้บรรยายถึงลางร้าย ลางอนั ไม่เปน็ มงคล

3.11.3 สำนวนจีนทส่ี ะท้อนความเชื่อเรอื่ งลางในความหมายกลาง
สำนวนจีนทส่ี ะท้อนความเชื่อเร่ืองลางในความหมายกลางหมายถึงไม่สื่อท้ังความหมายแง่ลบ
และแงบ่ วก กล่าวถงึ ลางทีบ่ ่งบอกถึงจะมกี ารเปล่ยี นแปลงครั้งใหญท่ ีส่ ำคัญเกิดข้ึน ไมแ่ สดงความหมาย
แฝงบวกหรือลบ มที ง้ั ส้ิน 2 สำนวน ได้แก่
ตวั อยา่ งท่ี 179

山崩川竭
shān bēng chuān jié

ขุนเขาพังทลาย สายน้ำแหง้ ขอด
ใช้บรรยายถึงชาวโบราณกาลเชื่อว่าถ้าขุนเขาพังทลาย สายน้ำแห้งขอด เป็นลางที่บ่งบอกถึง
จะมีการเปล่ียนแปลงครั้งใหญ่ที่สำคญั เกิดขึน้

ตวั อย่างท่ี 180

山崩水竭
shān bēng shuǐ jié

ขนุ เขาพังทลาย แม่นำ้ ลำธารแหง้ ขอด
ใช้บรรยายถึงชาวโบราณกาลเชื่อว่าถ้าขุนเขาพังทลาย แม่น้ำลำธารแห้งขอด เป็นลางท่ี
บ่งบอกถงึ จะมีการเปล่ยี นแปลงคร้ังใหญ่ท่สี ำคญั เกดิ ข้นึ

3.12 สำนวนจีนทส่ี ะท้อนความเชอ่ื เรื่องฮวงจยุ้
Brown (1997: 1) ไดก้ ล่าวว่า ฮวงจุ้ย เกดิ ข้นึ ในประเทศจนี มากกวา่ 6,000 ปี หรอื 3,000 ปี

ก่อนคริสต์กาล เป็นศาสตร์โบราณความรู้ภูมิปัญญาดั้งเดิมของจีนที่เป็นศิลปะการเลือกทำเลที่ตั้ง
รวมท้ังการออกแบบท่ีอยู่อาศัยใหม้ ีความเหมาะสมตอ่ เจ้าของบ้านหรือผู้อยู่อาศยั โดยเชื่อว่าถ้าทำการ
ออกแบบและเลือกท่ีอยู่ตามหลักฮวงจุ้ยแล้วจะสามารถดลบันดาลให้เกิดความก้าวหน้า ได้เลื่อน
ตำแหนง่ ในอาชพี เสริมสร้างสุขภาพทด่ี ี ทรัพยส์ ินเพิ่มพูน และทำใหเ้ จ้าของบา้ นมชี วี ติ ที่มีความสขุ ได้

80

ณัฐธิดา สขุ มนัส (2539: 108) ได้กลา่ ววา่ ฮวงจยุ้ เปน็ ศาสตร์ในการเลือกทำเลที่ตั้งของสถานท่ี
ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภทคือ การเลือกทำเลที่ตั้งของสถานที่สำหรับคนมีชีวิตอยู่ เช่น บ้าน
หรือสถานที่ทำงาน และการเลือกทำเลที่ตั้งของสถานที่สำหรับคนตายก็คือ สุสาน โดยฮวงจุ้ยเป็น
ภาษาแต้จิ๋ว ฮวง แปลว่า ลม จุ้ย แปลว่า น้ำ เมื่อนำคำสองคำมารวมกันจึงออกเสียงเป็นฮวงจุ้ยใน
ภาษาแต้จิว๋ และ เฟิงสุ่ย ในภาษาจีนกลาง ซึ่งเมื่อแปลตามตัวหนงั สอื จีนจงึ แปลว่า ลม-น้ำ ทั้งกระแส
ล ม แ ล ะ ก ร ะ แ ส น้ ำ ท่ี ไ ห ล ว น ต า ม ธ ร ร ม ช า ติ ล้ ว น มี อิ ท ธิ พ ล ใ น ก า ร แ ป ร เ ป ล่ี ย น ภู มิ ป ร ะ เ ท ศ แ ล ะ
สภาพแวดล้อมตา่ ง ๆ ดงั น้ันคนจีนจงึ เชือ่ วา่ ถ้าเลือกทำเลที่ตงั้ ของสสุ านบรรพบรุ ุษตามหลักฮวงจุ้ยท่ีดี
จะส่งผลใหล้ กู หลานมชี วี ติ ความเป็นอยู่ท่ีดเี จริญรุ่งเรืองและการสร้างบ้านหรือเลือกทำเลที่ถูกต้องตาม
หลักฮวงจุ้ยเมื่ออยู่แล้วจะทำให้ผู้อยู่อาศัยเจริญรุ่งเรือง มีสุขภาพดีท้ังร่างกายและจิตใจ มีความเจริญ
ในหน้าทก่ี ารงานและความปลอดภัยในทรพั ย์สนิ

จากข้อมูลข้างต้นที่ได้กล่าวมา สามารถสรุปความหมายของ ฮวงจุ้ย ได้ว่า ฮวงจุ้ย เกิดขึ้นใน
ประเทศจีน เป็นศาสตร์ความรู้ดั้งเดิมของจีนท่ีเกิดขึ้นมามากกว่า 6,000 ปี หรือ 3,000 ปีก่อน
คริสตกาล ซึ่งเป็นศิลปะการเลือกสถานที่ทำเลที่ตั้งรวมทั้งการออกแบบที่อยู่อาศัยซึ่งสามารถแบ่งได้
เป็น 2 ประเภทคือ การเลือกทำเลที่ตั้งของสถานที่สำหรับคนมีชีวิตอยู่ เช่น บ้านหรือสถานที่ทำงาน
และการเลอื กทำเลทต่ี ้ังของสถานทส่ี ำหรบั คนตายก็คือ สุสาน โดยฮวงจยุ้ เปน็ ภาษาแต้จ๋วิ ฮวง แปลว่า
ลม จุ้ย แปลว่า น้ำ เมื่อนำคำสองคำมารวมกันจึงออกเสียงเป็นฮวงจุ้ยในภาษาแต้จิ๋วและเฟิงสุ่ยใน
ภาษาจีนกลาง ทงั้ กระแสลมและกระแสน้ำท่ีไหลวนตามธรรมชาติล้วนมีอิทธิพลในการแปรเปลี่ยนภูมิ
ประเทศและสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ดังนั้นคนจีนจึงเชื่อว่า ถ้าเลือกทำเลที่ตั้งของสุสานบรรพบุรุษตาม
หลักฮวงจุ้ยที่ดีจะส่งผลให้ลูกหลานมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีเจริญรุ่งเรือง และการสร้างบ้านหรือเลือก
ทำเลที่ถูกต้องตามหลักฮวงจุ้ยเมื่ออยู่แล้วจะสามารถดลบันดาลให้ผู้อยู่อาศัยเกิดความก้าวหน้า มี
สขุ ภาพดีท้ังร่างกายและจิตใจ ไดเ้ ลื่อนตำแหน่งในอาชพี และมคี วามปลอดภัยในทรัพย์สิน สำนวนจนี ท่ี
สะทอ้ นให้เห็นถงึ ความเชอื่ เร่อื งฮวงจ้ยุ มที ั้งหมด 2 สำนวน ไดแ้ ก่

ตัวอยา่ งท่ี 181

来龙去脉
lái lóng qù mài

แนวเทอื กเขาท่ีมีลักษณะรูปร่างคล้ายมงั กร20
เดิมหมายถึงเป็นหนึ่งในหลักการอย่างหนึ่งของศาสตร์ฮวงจุ้ยที่ว่า ถ้ามีแนวเทือกเขารูปร่าง
เป็นแนวยาวและขึน้ ๆ ลง ๆ ทอดยาวเหยียดเชือ่ มโยงติดตอ่ กันมลี ักษณะรปู รา่ งคลา้ ยตวั มงั กร เชื่อกัน
วา่ พืน้ ท่ีแห่งน้ันเป็นชัยภูมิมงคลจะให้ความโชคดีสิริมงคล ความสงบสุขและความเจริญรุ่งเรืองแก่ผู้อยู่

20 ในการดูฮวงจุ้ย รูปร่างของพื้นดิน การไหลของแม่น้ำ และรูปแบบต่าง ๆ ที่เกิดจากแสงสว่างและลมเชื่อมโยงกับรูปร่าง
ของสัตว์หลายชนิด สัตว์เหล่านี้แสดงถึงคุณสมบัตติ ่าง ๆ ของพื้นดิน ซึ่งอาจเต็มไปด้วยพลังงานและอันตราย แต่ในบรรดาสัตวท์ ั้งมวล
รูปร่างของมังกรเป็นธรณีสัณฐานที่สำคัญที่สุด พบได้ในภูมิประเทศทุกแบบและอยู่ในรูปต่าง ๆ ทั้งที่เป็นเส้นตรง สันเขา ยอดเนินเขา
ลาดเขา เนินเขา และหุบเขา ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเส้นเลือดมังกรและแหล่งท่ีมาของลมหายใจมังกร (อำนวยชัย ปฏิพัทธ์เผ่าพงศ์, 2556:
25-27)

81

อาศัย ปัจจุบันใช้เปรียบเทียบถึงภูมิหลังความเป็นมาของบุคคลหรือสิ่งของและใช้เปรียบเทียบถึง
มลู เหตุและผลลพั ธข์ องเรื่องใดเร่อื งหนง่ึ

ตัวอยา่ งที่ 182

牛眠龙绕

niú mián lóng rào

ลักษณะพ้นื ทวี่ ัวนอนมังกรโอบ
ใชบ้ รรยายถึงเป็นหนงึ่ ในหลกั การอย่างหนง่ึ ของศาสตร์ฮวงจุ้ยท่ีว่า ถา้ สุสานท่เี อาไว้ฝังศพของ
บรรพบุรุษมีลักษณะพื้นที่คล้ายวัวตั้งท่ากำลังหลับ หรือมีมังกรพันล้อมรอบถือว่าเป็นทำเลทีต่ ั้งท่ีดีถา้
ใช้พื้นที่นี้ในการฝังศพบรรพบุรุษเชื่อว่าจะทำให้ลูกหลานอยู่เย็นเป็นสุขมีชีวิตที่ดี และเจริญในหน้าท่ี
การงาน
จากการเก็บรวบรวมสำนวนจีนแบบสุ่มตัวอย่างที่เกี่ยวกับความเชื่อจากพจนานุกรมสำนวน
จีน 5 เล่มมาทั้งหมด 520 สำนวนสามารถจัดหมวดหมู่ของสำนวนจีนที่เกี่ยวกับความเชื่อได้ทั้งหมด
12 ประเภทหลักได้แก่ 1. ความเชื่อเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธ์ิ ซึ่งประกอบไปด้วยความเชื่อเรื่องพระพุทธเจ้า
พระโพธิสัตว์ เทพเจ้า เซียน 2. ความเชื่อเรื่องมาร 3. ความเชื่อเรื่องกรรม 4. ความเชื่อเรื่องชาติภพ
5. ความเชอ่ื เร่ืองนรก 6. ความเชอื่ เรื่องสวรรค์ 7. ความเช่ือเรื่องภตู ผีปีศาจ 8.ความเชอ่ื เร่ืองฤกษ์ยาม
9. ความเชอื่ เร่อื งของวิเศษ 10. ความเชอื่ เรอื่ งการทำนายพยากรณ์ 11. ความเช่อื เรอื่ งลาง 12. ความ
เชือ่ เรื่องฮวงจ้ยุ สามารถสรุปเป็นตารางไดด้ งั นี้

ตารางท่ี 3.1 ประเภทสำนวนจีนทีเ่ ก่ียวกบั ความเชือ่

ประเภทความเชื่อของสำนวน จำนวน คิดเป็น %
(สำนวนจีน)
1.ความเชอ่ื เร่ืองส่ิงศกั ด์สิ ิทธิ์ 38.08 %
1.1 ความเช่ือในเร่ืองพระพทุ ธเจ้า 72 2.69 %
1.2 ความเชื่อในเร่อื งพระโพธสิ ตั ว์ 16 4.04 %
1.3 ความเชอ่ื ในเร่อื งเทพเจา้ 79 2.69 %
1.4 ความเชอ่ื ในเรอ่ื งเซยี น 31 3.08 %
198 1.35 %
รวม 14
2. ความเชื่อเร่อื งมาร 21
3. ความเชือ่ เร่ืองกรรม 14
4. ความเชอื่ เร่ืองชาตภิ พ 16
5. ความเช่ือเรอ่ื งนรก 7
6. ความเช่อื เรอ่ื งสวรรค์

82

ประเภทความเชื่อของสำนวน จำนวน คดิ เปน็ %
(สำนวนจนี )
7. ความเชอื่ เรือ่ งภูตผีปีศาจ 38.85 %
8. ความเช่ือเรื่องฤกษ์ยาม 202 1.54 %
9. ความเชื่อเรือ่ งของวิเศษ 8 1.73 %
10. ความเชอ่ื เร่ืองการทำนาย 9 1.35 %
7
พยากรณ์ 4.23 %
11. ความเชอ่ื เรือ่ งลาง 22 0.38 %
12. ความเชือ่ เร่ืองฮวงจุ้ย 2 100 %
520
รวม

จากตาราง 3.1 พบว่า จากสำนวนจีนที่เกี่ยวกับความเชื่อ 520 สำนวน พบว่าปรากฏสำนวน
จีนที่เกี่ยวกับความเช่ือด้านความเช่ือในเรื่องภูตผีปีศาจมากที่สุดจำนวน 202 สำนวน คิดเป็น
38.85 % รองลงมาคือ สำนวนจีนที่เกี่ยวกับความเชื่อด้านความเชื่อในเรื่องส่ิงศักดิ์สิทธิ์ จำนวน 198
สำนวน คิดเป็น 38.08 % ลำดับที่สามคือ สำนวนจีนที่เกี่ยวกับความเชื่อด้านความเชื่อในเรื่องลาง
จำนวน 22 สำนวน คดิ เป็น 4.23 % ลำดบั ท่ีสค่ี ือ สำนวนจนี ทเี่ กย่ี วกบั ความเชื่อด้านความเช่ือในเรื่อง
กรรม จำนวน 21 สำนวน คิดเป็น 4.04 % ลำดบั ทีห่ ้าคือ สำนวนจนี ที่เกยี่ วกับความเชือ่ ดา้ นความเชื่อ
ในเรื่องนรก จำนวน 16 สำนวน คิดเป็น 3.08 % ลำดับที่หกคือ สำนวนจีนที่เกี่ยวกับความเชื่อด้าน
ความเชือ่ ในเรอื่ งมาร จำนวน 14 สำนวน และสำนวนจีนทเ่ี ก่ยี วกบั ความเชื่อด้านความเชื่อในเร่ืองชาติ
ภพ จำนวน 14 สำนวน คิดเป็น 2.69 % ลำดับที่เจ็ดคือ สำนวนจนี ที่เกี่ยวกับความเชือ่ ด้านความเชือ่
ในเรื่องของวิเศษ จำนวน 9 สำนวน คิดเป็น 1.73 % ลำดับที่แปดคือ สำนวนจีนที่เกี่ยวกับความเช่ือ
ดา้ นความเชอื่ ในเรอื่ งฤกษ์ยาม จำนวน 8 สำนวน คิดเป็น 1.54 % ลำดบั ที่เกา้ คือ สำนวนจนี ทเ่ี กี่ยวกบั
ความเชือ่ ดา้ นความเช่ือในเรื่องการทำนายพยากรณ์ จำนวน 7 สำนวน และสำนวนจีนท่เี ก่ยี วกับความ
เชื่อด้านความเชื่อในเรือ่ งสวรรค์ จำนวน 7 สำนวน คิดเป็น 1.35 % ลำดับที่น้อยทีส่ ดุ คือสำนวนจนี ท่ี
เกย่ี วกบั ความเชอ่ื ดา้ นความเช่อื ในเรือ่ งฮวงจุ้ย จำนวน 2 สำนวน คดิ เปน็ 0.38 %

บทที่ 4

การศึกษาเปรยี บเทียบสำนวนจนี ที่เก่ียวกบั ความเชอื่ กับสำนวนไทย

จากบทที่ 3 ที่ได้จัดแบ่งสำนวนจีนท่ีเก่ียวกับความเชื่อทั้งหมด 520 สำนวนออกเป็น 12
ประเภทหลัก ในบทนี้จะได้นำมาเปรียบเทียบกับสำนวนไทยที่เกี่ยวกับความเชื่อที่รวบรวมมาทั้งหมด
304 สำนวน โดยการสุ่มเก็บรวบรวมสำนวนไทยที่เก่ียวกับความเชื่อจากพจนานุกรมสำนวนไทย
5 เลม่

4.1 สำนวนทส่ี ะท้อนความเชือ่ เร่ืองสิ่งศักดสิ์ ิทธิ์
สำนวนจีนท่สี ะท้อนความเชือ่ เรอื่ งสง่ิ ศกั ดส์ิ ิทธแิ์ บ่งออกเป็น 4 ประเภทย่อย ดังนี้

4.1.1 สำนวนทส่ี ะท้อนความเชื่อเรอื่ งพระพุทธเจ้า
สำนวนจีนที่มีคำว่า fó สะท้อนความเชื่อเรื่องพระพุทธเจ้าส่วนใหญ่ใช้แสดงถึงความเมตตา
ดังพุทธะ บุคคลหรือขุนนางอันเป็นท่ีรักนับถือจากประชาชน การได้รับความสำเร็จที่ยอดเย่ียม
เป็นต้น มีจำนวนทั้งสนิ้ 72 สำนวน เชน่
ตัวอยา่ งที่ 1

佛眼佛心
fó yǎn fó xīn

มีดวงตาดั่งพระ มใี จดั่งพุทธะ
ใช้เปรยี บเทียบบรรยายถงึ ผู้มเี จตนาที่ดี ปฏิบัติต่อผอู้ ่ืนด้วยความหวังดมี ีเมตตา

ตวั อย่างที่ 2

佛口圣心
fó kǒu shèng xīn

พูดจาไพเราะดั่งพระพทุ ธเจ้า ใจสงู สง่ ดงั่ นกั ปราชญ์
ใช้เปรียบเทียบบรรยายถึงผู้พดู จาอ่อนโยนไพเราะน่าฟงั และจติ ใจดมี ีความเมตตา

สำนวนไทยมีสำนวนที่กล่าวถึงพระพุทธเจ้าเช่นกัน ในที่นี้ไม่รวมถึงพระสงฆ์ มีจำนวนทั้งสิ้น
11 สำนวน เช่น

84

ตัวอยา่ งที่ 3
ตรัสรู้
หมายถึง คำนี้แปลตามตัวว่า รู้แจ้งเห็นจริง เป็นคำที่ใช้กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ตอนออกมหาภิเนษกรมณ์1 แล้วสำเร็จพระโพธิญาณเรียกว่า “ตรสั รู้” คือรทู้ างทจี่ ะทำใหพ้ น้ จากความ
ทุกข์ ไดม้ รรคผลนพิ พานดว้ ยพระองค์เอง เราเอาคำว่า “ตรัสรู้” มาใชเ้ ปน็ สำนวนหมายความว่า รู้เอา
เองว่าเป็นอย่างน้ันอย่างนี้ เช่นพูดว่า ใครจะไปตรัสรู้ได้ แปลว่าจะไปรู้เองได้อย่างไร (สง่า กาญจนาค
พนั ธ์, 2538: 201-202)

ตัวอยา่ งที่ 4
ปิดทองหลังพระ2
หมายถึง การทำสิง่ สำคัญที่ไม่ปรากฏให้คนเห็นหรือคนไมเ่ ห็นคณุ ค่า ย่อมไม่ได้รับการยกย่อง
นับถือเท่าที่ควร มูลเหตุของสำนวนนี้มาจากการปิดทองคำเปลวที่พระพุทธรูป คือ พระพุทธรูปที่ทำ
เสร็จแล้ว ถึงเวลาจะปิดทองคำเปลวย่อมจะทำเป็นงานใหญโ่ ตให้ประชาชนมารว่ มปดิ ทอง คนสว่ นมาก
ถือกันว่า ปิดทองที่องค์พระด้านหน้าสำคัญกว่าปิดทองด้านหลัง เพราะคนมองเห็นและได้บุญแรง แต่
ความจรงิ คอื พระพทุ ธรูปนั้นต้องปิดทองทั่วองค์จะปิดด้านไหนก็ได้บุญเท่ากัน แต่คนกน็ ิยมปิดด้านหน้า
และถือว่าปิดด้านหลังไม่ดี ไม่มีหน้ามีตาเหมือนปิดด้านหน้า ดังนั้นเมื่อใครทำอะไรที่ดีและสำคัญแต่
ผู้คนไม่ค่อยเห็นและรับรู้หรือผู้คนมารูถ้ ึงความดที ี่ทำในภายหลังก็จะพูดกันเป็นสำนวนว่าปิดทองหลัง
พระ (สง่า กาญจนาคพนั ธ์, 2538: 342)

4.1.2 สำนวนท่ีสะทอ้ นความเชอื่ เรือ่ งพระโพธิสัตว์
สำนวนจีนที่มีคำว่า Púsà (菩萨 พระโพธิสัตว์) ในสำนวน สะท้อนความเชื่อเร่ืองพระ
โพธิสัตว์ในพุทธศาสนา ส่วนใหญ่มักใช้เปรียบเป็นบุคคลที่มีเมตตาดั่งพระโพธิสัตว์ ผู้ที่ชอบช่วยเหลือ
ผูอ้ น่ื ทกี่ ำลงั ตกทุกขไ์ ด้ยาก มีจำนวนทั้งส้ิน 16 สำนวน เชน่
ตวั อยา่ งท่ี 5

救苦菩萨
jiù kǔ púsà

พระโพธิสตั วผ์ ู้ช่วยปลดทกุ ข์ภยั
ใช้เปรียบเทยี บถงึ ผทู้ ช่ี อบชว่ ยเหลือผูอ้ ่นื ทก่ี ำลังตกทกุ ขไ์ ดย้ าก

ตัวอย่างท่ี 6

菩萨心肠
púsà xīn cháng

1 มหาภิเนษกรมณ์ แปลวา่ การเสดจ็ ออกบรรพชาของพระพุทธเจา้
2 ในกรณีท่มี คี ำว่า “พระ” ในสำนวนไทย จะคัดเลือกเฉพาะสำนวนที่มีคำวา่ “พระ” ท่มี คี วามหมายสอื่ ถึง พระพทุ ธเจ้าและ
พระพทุ ธรูปเทา่ นัน้ เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงความเช่อื เร่ืองพระพทุ ธเจา้

85

จติ ใจพระโพธิสัตว์
ใช้เปรยี บถึงผู้ท่มี จี ติ ใจดมี เี มตตากรณุ า

สำนวนไทยมสี ำนวนที่กลา่ วถึงพระโพธสิ ัตวเ์ ช่นกัน ลว้ นแลว้ แต่เปน็ สำนวนท่ปี รากฏพระนาม
ของพระโพธสิ ัตว์ไทยในสำนวนโดยตรง สะทอ้ นให้เห็นถึงความเชื่อเรื่องพระโพธิสัตว์ในพุทธศาสนา มี
จำนวนทงั้ สนิ้ 4 สำนวน เช่น

ตวั อย่างท่ี 7
ใจบญุ เหมอื นพระเวสสันดร
หมายถึง มีใจเอ้อื เฟ้ือเผื่อแผ่ ใครขออะไรก็ใหห้ มด

ตัวอย่างที่ 8
พระเตมยี ์ใบ้
หมายถงึ นิง่ เฉย วางเฉย ไมต่ อบโต้ ไมพ่ ดู ไม่จา ไม่แสดงออก

4.1.3 สำนวนที่สะทอ้ นความเชื่อเร่ืองเทพเจ้า
สำนวนจนี ทม่ี ีคำว่า shén (神 เทพเจา้ ) ในสำนวนสะท้อนความเช่ือเร่ืองเทพเจ้าของจีน ส่วน
ใหญ่กล่าวถึงคนที่คาดการณ์คาดเดาเรื่องราวเหตุการณ์ได้อย่างแม่นยำ ความสามารถเหนือมนุษย์
ทั่วไป บุคคลผู้มีความสันทัดมีฝีมือด้านการเขียนบทความบทประพันธ์ เป็นต้น มีจำนวนท้ังสิ้น 79
สำนวน เช่น
ตัวอยา่ งที่ 9

下笔如有神
xià bǐ rú yǒu shén

เขียนบทความบทประพนั ธ์เหมอื นกับมเี ทพยดาคอยชว่ ยเหลอื
ใช้เปรียบเทียบบรรยายถึงบุคคลผู้มีความสันทัดมีฝีมือด้านการเขียนบทความบทประพันธ์
อยา่ งมาก นอกจากนยี้ งั หมายถึงบทความบทประพันธ์นน้ั เขยี นได้ดีมาก

ตวั อย่างท่ี 10

神工意匠
shén gōng yì jiàng

เทพเนรมติ ช่างบนั ดาล
ใช้เปรียบเทียบบรรยายถึงการก่อสร้างหรือการวาดรูปที่มีเค้าโครงแบบแผนและมีความ
ประณตี วจิ ิตรสวยงาม

86

สำนวนไทยมีสำนวนทีก่ ล่าวถงึ เทพเจ้าหรือเทพยดาเช่นกัน มีจำนวนทงั้ ส้นิ 39 สำนวน เชน่
ตัวอย่างท่ี 11
พระภูมิเจ้าท่ี
หมายถึง ผู้มีอำนาจในท้องท่ี เปรียบเสมือนพระภูมิ ซึ่งถือว่าเป็นเทวดารกั ษาที่ เช่น พระภูมิ
ในบ้านหรือสถานทีใ่ ดกต็ าม ถอื วา่ เปน็ ผรู้ กั ษาบ้านหรอื สถานทนี่ ้ัน ๆ จึงใช้เปรยี บเทียบถงึ ผู้ใดมีอำนาจ
อยู่ในท้องที่หรือในแขวงตำบลนัน้ ๆ ก็จะพูดกันเป็นสำนวนว่า “พระภูมิเจ้าที่” (สง่า กาญจนาคพันธ์,
2538: 385)

ตัวอยา่ งที่ 12
ตอ้ งศรกามเทพ
หมายถึง บังเกิดความรักขึ้นโดยกะทันหันหรือลุ่มหลงในความรักจนถอนตัวไม่ขึ้นราวกับถูก
ศรกามเทพทิ่มแทงเข้าไปในใจฉะนน้ั จะสงั เกตไดว้ า่ คนไทยมีความรูเ้ กยี่ วกับกามเทพมิใช่น้อยเพราะมี
การอ้างถึงศรกามเทพ เรื่องราวของกามเทพมีที่มาจากวรรณคดีสันสกฤตโบราณตั้งแต่ยุคพระเวท
4,000 ปีเรื่อยมาจนถึงสมัยมหากาพย์และปุราณะ (กอ่ นครสิ ตศ์ ตวรรษเล็กน้อย)
ในหนังสือเรื่องสำนวนไทยที่มาจากวรรณคดีของ ศักดิ์ศรี แย้มนัดดา (2553: 63-64) ได้
กล่าวถึง กามเทพ ไว้ว่า ในสมัยพระเวทเริ่มแต่ฤคเวทสํหิตา กล่าวว่า กาม เป็นนามธรรมไม่มีรูปร่าง
และเกิดมาพร้อมกับการสร้างโลก กามเทพจึงได้ชื่อว่าเป็นเทพที่เก่าแก่ที่สุดเพราะเกิดมาพร้อมกับ
จกั รวาลโลก และในขณะเดียวกนั ก็เป็นเทพทห่ี นุ่มท่ีสุดเพราะความรักเกิดขึ้นทุกวนั ไม่มวี ันเส่ือมคลาย
กามเทพนั้นเป็นเทพแห่งความรัก เป็นชายหนุ่มรูปงาม มีนกแก้วเป็นพาหนะ มีคณะนางอัปสรเป็น
บรวิ ารแวดลอ้ มโดยรอบ นางหนงึ่ ถอื ธงแดงมรี ปู ปลามังกรอย่ตู รงกลาง ตวั กามเทพนัน้ ถือคันศรที่ทำมา
จากลำอ้อยมีสายธนูเป็นตัวผึ้งต่อกัน มีลูกศรอันมีคมเสียบดอกไม้ห้าชนิดอันมี ชื่อว่า บุษปศร
ประกอบด้วย ดอกอรวินทะ (บัวขาว ) ดอกอโศก ดอกมะม่วง (จตู ะหรอื อามระ) ดอกมะลิ (นวมัลลกิ า)
ดอกนลิ ุบล หรอื นโี ลตบล (บวั สีน้ำเงิน)

4.1.4 สำนวนทส่ี ะทอ้ นความเช่อื เรอ่ื งเซียน
สำนวนจีนทม่ี คี ำว่า xiān สะทอ้ นความเช่ือเร่ืองเซยี น สว่ นใหญใ่ ช้แสดงถึงคนท่ีมีบุคลิกภาพ

และอปุ นิสัยท่าทางสูงสง่ ผูห้ ญิงทม่ี อี ากปั กริ ิยาและรปู โฉมท่ีงดงาม ดินแดนท่ีแสนวเิ ศษงดงาม เป็นต้น
มีจำนวนทั้งสน้ิ 31 สำนวน เชน่

ตัวอย่างที่ 13

仙姿佚貌
xiān zī yì mào

ลกั ษณะทา่ ทางและรูปโฉมงดงามราวเทพธิดา
ใชเ้ ปรยี บเทยี บบรรยายถึงผหู้ ญิงท่มี ีอากัปกริ ิยาและรปู รา่ งหน้าตาที่งดงามมาก

87

ตวั อยา่ งท่ี 14

仙山楼阁
xiān shān lóu gé

หอหยกของเซยี นภเู ขา
ใช้บรรยายถึงสถานท่ีอาศัยของเซียนเทพยดาที่เล่าต่อกันมาในเทพนิยาย ภายหลังใช้
เปรยี บเทยี บถงึ ดนิ แดนมายาท่แี สนวเิ ศษงดงาม

สำนวนไทยมีสำนวนที่สะท้อนความเชื่อเรอื่ งเซียนเชน่ กัน มจี ำนวนท้งั สิ้น 6 สำนวน เช่น
ตวั อย่างท่ี 15
เซียน
หมายถึง คำว่า เซียน เอามาจากภาษาจีนและวรรณคดีจีนมากมาย พอมาใช้เป็นสำนวนจะ
หมายถึง คนเก่งระดับยอดหรือคนที่มีความชำนาญพิเศษในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เช่น เซียนม้า (ม้าแข่ง),
เซียนพนัน, เซียนพระ (พระเครื่อง), เซียนคณิตศาสตร์ เป็นต้น การที่จะเรียกใครว่าเซียนนั้น จะต้อง
หมายถงึ คนเหนอื คน หรอื คนทม่ี ีความชำนาญเป็นพเิ ศษเทา่ นน้ั (ศักด์ิศรี แย้มนัดดา, 2553: 57)
ในหนังสือเรื่องสำนวนไทยที่มาจากวรรณคดีของ ศักดิ์ศรี แย้มนัดดา (2553: 57-58) ก็ได้
กล่าวถงึ เซยี นไว้ว่าเร่ืองราวของเซียนทปี่ รากฏการอ้างองิ ครั้งแรกคือ เมื่อประมาณ 4,000 ปกี ่อน พระ
เจ้าหวงตี้ทรงเสด็จไปยังเขาคงท้งซัว ไปพบเซียนชื่อกวางเส่งจื้อ เพื่อสมัครเป็นศิษย์ หลังจากนั้นก็ได้
พบในหนังสือต่าง ๆ เรื่อยมา ถ้าจะเทียบกับวรรณคดีไทยและบาลี-สันสกฤต ลักษณะของเซียนดูจะ
คล้ายกับฤาษีมากกว่าอย่างอื่นเพราะเซียนนั้นเป็นผู้สละกิเลส มุ่งบำเพ็ญเพียรภาวนาหาสัจธรรมตาม
ลัทธิเต๋า เพื่อความมีชีวิตนิรันดรไม่รู้จักตาย โดยสามารถแบ่งประเภทของเซียนออกเป็น 3 ประเภท
ใหญ่ คือ 1. เทียนเซียน เป็นเซียนที่มีฤทธิ์มาก อาศัยอยู่บนสวรรค์มีสภาพเป็นเทพ 2. ตี้เซียน เป็น
เซียนท่ียงั เปน็ มนษุ ย์ มอี ทิ ธิฤทธ์ินอ้ ยกว่าเทยี นเซยี น 3. ก่ยุ เซยี น เปน็ นกั พรตท่ีปฏิบตั ติ นเพื่อเป็นเซียน
แตต่ ายเสียก่อนท่ีจะบรรลคุ วามเป็นเซียน มีอทิ ธิฤทธิ์เหนอื กว่าผีธรรมดา เซยี นท่ีปัจจุบันรู้จักกันทั่วไป
คือ โป๊ยเซียน หรือแปดเซียน อันประกอบไปด้วย ทิก๋วยลี้ ฮั่นเจงหลี ลื่อท่งปิน เจียงกั๋วเล้า น่าไชหัว
ฮอ่ เซยี นโกว (เป็นผหู้ ญิง) ฮน่ั เซียงจ๊ือ และเช่ากก๊ กู๋

ตวั อยา่ งที่ 16
เป็นเซยี น
หมายถึง เซียนเป็นคำภาษาจีน แปลว่าเทวดาหรือผู้วิเศษ มีกล่าวถึงในเรื่องพงศาวดารจีน
มากมาย เป็นสำนวนหมายความว่า เก่งช่ำชองที่สุด เปรียบเสมือนเก่งอย่างเซียน แต่ส่วนใหญ่มักใช้
ในทางไมด่ ี เชน่ โกงเปน็ เซียน หมายความวา่ คดโกงทส่ี ุด (สง่า กาญจนาคพันธ์, 2538: 348)

88

4.2 สำนวนทสี่ ะทอ้ นความเชือ่ เรอ่ื งมาร
สำนวนจีนทีส่ ะท้อนความเชื่อเรื่องมารส่วนใหญใ่ ช้แสดงถึงความดงี ามชนะความชั่ว อิทธิฤทธ์ิ

อานุภาพที่ยอดเยย่ี มเหนอื ชน้ั มจี ำนวนทง้ั สนิ้ 14 สำนวน ได้แก่
ตวั อยา่ งท่ี 17

魔高一尺,道高一丈
mó gāo yī chǐ,dào gāo yī zhàng

มารร้ายสงู หนึ่งคบื ธรรมะสงู หนง่ึ ศอก
ใชเ้ ปรียบเทยี บถงึ ธรรมะย่อมชนะอธรรมหรอื เรียกอีกอย่างนึงว่า ความดยี ่อมชนะความชวั่

ตวั อยา่ งที่ 18

道高魔重
dào gāo mó zhòng

มคี ุณธรรมสูงส่ง เปี่ยมลน้ ด้วยพลงั มาร
ใช้บรรยายถงึ มอี ิทธฤิ ทธิ์อานุภาพยอดเยี่ยมเหนือช้ัน

สำนวนไทยมีสำนวนทสี่ ะทอ้ นความเช่อื เร่อื งมารเชน่ กัน มีจำนวนท้ังส้นิ 10 สำนวน เชน่
ตัวอยา่ งท่ี 19
มารผจญ
หมายถึง มีผู้ขัดขวางมิให้เป็นผลสำเร็จหรือมีคนคอยต่อต้านอยู่เสมอ คำว่ามารนั้นโดย
ความหมายกว้าง ๆ กค็ ือ อปุ สรรค เพราะฉะนัน้ ถ้าแปลความหมายโดยตรงของ มารผจญ กจ็ ะแปลได้
ว่า มีอุปสรรคขัดขวาง เป็นสำนวนที่ใช้กันทั่วไป แต่ว่าโดยรูปศัพท์ของมารจะมีความหมายที่ลึกซึ้ง
ยิ่งกว่านั้นคือ แปลว่า ผู้ทำให้ตายหรือผู้ฆ่า ผู้คนส่วนมากมักจะเข้าใจว่าเป็นยักษ์ จึงนิยมเรียกกันว่า
ยักษ์มาร
ในหนังสือเรื่องสำนวนไทยที่มาจากวรรณคดีของ ศักดิ์ศรี แย้มนัดดา (2553: 103-104) ได้
กล่าวถึงมารไว้ว่า ในพุทธศาสนามีกล่าวถึงมารที่คอยตามผจญสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าเป็น
พญามารชนิดเทพบุตรมาร เป็นเจ้าสวรรค์ชั้นที่ 6 คือ ชั้นปรนิมมิตวัสวตีกึ่งหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งเป็น
ของปรนิมมิตวัสวตีเทพบุตร พญาวัสวดีมารนั้นติดตามผจญพระพุทธเจ้าต้ังแต่ก่อนออกผนวช หรือ
พยายามตามกอ่ กวนอย่างหนักในวนั ตรสั รู้เพอื่ มใิ ห้เจ้าชายสิทธัตถะได้บรรลพุ ระโพธญิ าณ โดยพญาวัส
วดีมารได้ยกกองทัพมารมีรูปร่างหน้าตาต่าง ๆ ถืออาวุธต่าง ๆ เข้ามาล้อมโพธิบัลลังก์ไว้และขู่เข็ญ
คุกคามอา้ งตนเป็นเจา้ ของรัตนบัลลังกน์ ้ัน และอา้ งพวกสมุนบรวิ ารเป็นพยาน แต่เจ้าชายสิทธัตถะทรง
อ้างพระธรณีเป็นพยาน พระธรณีจึงปรากฏเบื้องหน้าพระพักตร์และบีบมวยผมทำให้เกิดน้ำท่วม พัด
พากองทพั มารไปออกทะเลทำให้พญาวสั วดมี ารและบริวารต้องพา่ ยแพใ้ นทสี่ ุด

89

ตวั อยา่ งท่ี 20
มารคอหอย
หมายถงึ ใช้เปรยี บเทยี บถึงผู้ทีข่ ดั ผลประโยชน์ที่ผ้อู ื่นจะพึงมพี งึ ได้

4.3 สำนวนท่ีสะทอ้ นความเช่ือเรื่องกรรม
สำนวนจีนที่สะท้อนให้เห็นถึงความเช่ือเรื่องกรรม ส่วนใหญ่ใช้แสดงถึงกฎแห่งกรรมน้ัน

ยตุ ธิ รรมเท่ียงตรงเสมอ คนทีท่ ำกรรมชั่วย่อมได้รับผลกรรมท่ีตัวเองสร้างไว้ ผู้กระทำกรรมดีย่อมได้รับ
ผลกรรมทด่ี ี คำพูดที่ชกั ชวนให้คนทำแต่กรรมดี เป็นต้น มีจำนวนทั้งสน้ิ 21 สำนวน เช่น

ตวั อย่างที่ 21

善恶到头终有报,只争来早与来迟
shàn è dào tóu zhōng yǒu bào,zhǐ zhēng lái zǎo yǔ lái chí

ไม่วา่ จะทำกรรมดหี รือกรรมช่วั กรรมก็ยอ่ มตอบสนองแกค่ นผนู้ ั้น เพียงแต่อยู่ที่จะตอบสนอง
ชา้ หรอื เร็วก็เทา่ น้นั

เปน็ คำพดู ทไ่ี วใ้ ช้ชักชวนให้คนทำแต่กรรมดมี าต้ังแตส่ มัยโบราณกาล ใช้อธิบายถึงคนผู้กระทำ
กรรมดยี อ่ มไดร้ บั ผลกรรมท่ดี ี คนผู้ทำกรรมช่ัวย่อมไดร้ ับผลกรรมช่ัว

ตัวอย่างที่ 22

善有善报
shàn yǒu shàn bào

ผ้หู มัน่ สรา้ งแต่กศุ ลกรรมย่อมได้รบั แต่ผลกรรมทดี่ ี
ใชบ้ รรยายถึงผูก้ ระทำกรรมดี ยอ่ มไดร้ ับผลกรรมทด่ี ี

สำนวนไทยมีสำนวนท่ีสะทอ้ นความเชอ่ื เร่ืองกรรมเช่นกัน มจี ำนวนทัง้ สิน้ 62 สำนวน เช่น
ตวั อย่างที่ 23
สัตว์โลกยอ่ มเป็นไปตามกรรม
หมายถึง พระพุทธศาสนาเห็นวา่ สงิ่ ทีม่ ชี วี ติ ท้ังมนษุ ยแ์ ละสัตว์ไปจนกระทั่งแมลง มแี มลงสาบ
และหนอน เปน็ ตน้ รวมลงเรียกว่า สัตว์ทั้งนัน้ สัตว์โลกทุกจำพวกมีกรรมเปน็ ของตัว มีกรรมบัญชาให้
เป็นไป หากทำกรรมดไี ว้ก็จักไดร้ ับผลดตี อบแทน หากทำกรรมชั่วไว้ก็จกั ได้รบั ผลชวั่ ตอบแทน ไมม่ ีสตั ว์
โลกชนิดไหนหนีกรรมพ้น เพราะว่ากรรมจะติดตามไปเหมือนล้อเกวียนหมุนไปตามรอยเท้าของโค
(ดนยั ไชยโยธา, 2551: 177)

ตัวอย่างท่ี 24
วงั วนเวรกรรม
หมายถึง เวรสนองเวร กรรมสนองกรรม กฎแหง่ กรรมทใ่ี ครทำกรรมใดไว้ก็ย่อมไดร้ บั ผลกรรม
น้ัน


Click to View FlipBook Version