The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

ตอบข้อหารือเกี่ยวกับวินัยข้าราชการพลเรือน ตาม พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 (ปี 2563)

กองการเจ้าหน้าที่

Keywords: ด้านทั่วไป

คำนำ

การดาเนินการทางวินัยเป็นกระบวนการที่กฎหมายบัญญัติให้เป็นหน้าท่ีของผู้บังคับบัญชา
ในการรักษาวินัยของผู้ใต้บังคับบัญชา การดาเนินการทางวินัยท่ีจะยุติธรรมและเป็นธรรมเพียงใด ขึ้นอยู่กับ
การดาเนินการในแต่ละข้ันตอนว่า มีการดาเนินการอย่างถูกต้องและเหมาะสมหรือไม่ เร่ิมแต่การตั้งเรื่อง
กล่าวหา การสอบสวน การพิจารณาความผิดและกาหนดโทษ การส่ังลงโทษรวมทั้งการส่ังพักราชการและ
การส่ังให้ออกจากราชการไว้ก่อน นอกจากน้ันในการดาเนินการทางวินัยยังมีกฎหมายอื่น ๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง
ได้แก่ กฎหมายล้างมลทิน กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต เป็นต้น
กองการเจ้าหน้าที่ตระหนักถึงความสาคัญของกระบวนการทางวินัย จึงได้รวบรวมแนวทางในการดาเนินการ
ทางวินัยที่มักเกิดปัญหาในการปฏิบัติงาน ซ่ึงส่วนราชการต่าง ๆ ได้เคยมีการหารือแนวทางปฏิบัติที่ถูกต้องต่อ
สานักงาน ก.พ. ไว้ ระหว่างปี พ.ศ. 2541 - 2555 มาจัดทาเป็นหมวดหมู่การตอบข้อหารือเกี่ยวกับวินัย
ข้าราชการพลเรือน ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 และตามพระราชบัญญัติ
ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 เพ่ือเผยแพร่เป็นแนวทางประกอบการพิจารณาดาเนินการทางวินัย
ให้แกบ่ ุคลากรและหนว่ ยงานในสังกัดกรมทด่ี นิ

กองการเจ้าหน้าที่หวังเป็นอย่างย่ิงว่า หนังสือเล่มน้ีจะก่อให้เกิดประโยชน์แก่บุคลากร
และหน่วยงานในสังกัดกรมท่ีดิน โดยเฉพาะผู้บังคับบัญชาและเจ้าหน้าท่ีผู้มีส่วนเก่ียวข้องกับการดาเนินการ
ทางวินยั ตามสมควร

กองการเจา้ หน้าท่ี กรมท่ีดิน
สงิ หาคม 2563

สำรบัญ

หนำ้

พระรำชบญั ญัตริ ะเบยี บขำ้ รำชกำรพลเรือน พ.ศ. 2551

มำตรำ 36 1
4
1. ถูกสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนขณะใช้บังคับพระราชบัญญัติระเบียบ 6
ข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๑๘ ด้วยเหตุต้องหาว่ากระทาผิดอาญาและตกเป็นบุคคล
ล้มละลายด้วย ต่อมาคดีอาญาถึงที่สุดโดยศาลพิพากษายกฟ้อง และได้พ้นจากล้มละลายแล้ว
ไม่เป็นผู้ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามที่ ก.พ. จะกาหนดการดาเนินการต่อไป
ให้สง่ั กลับเข้ารับราชการ (ที่ นร ๑๐1๑/๑89 ลงวนั ท่ี ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๕๑)

๒. ผู้สอบได้เป็นผู้มีลักษณะต้องห้าม คือ เป็นผู้เคยถูกลงโทษไล่ออกอยู่ก่อน
วันรับสมัครแล้ว แม้ต่อมาผู้น้ันจะได้รับการล้างมลทินก็ไม่มีผลย้อนหลัง ไม่สามารถบรรจุ
บุคคลดังกล่าวเข้าเป็นพนักงานราชการท่ัวไปได้ (ท่ี นร ๑๐๑๑/๓๑๕ ลงวันท่ี 19 สิงหาคม
๒๕๕๑)

๓. ผู้ใดเคยรับราชการเป็นข้าราชการพลเรือนแล้วต่อมาถูกลงโทษทางวินัย
ถึงขั้นออกจากราชการเพราะกระทาผิดอาญา ผู้นั้นสามารถขอกลับเข้ารับราชการ ตามเดิม
ได้โดยขอยกเว้นคุณสมบัติต่อ ก.พ. ตามมาตรา ๓๐ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบ
ข้าราชการพลเรอื น พ.ศ. ๒๕๓๕ สว่ นกรณที ี่เคยต้องโทษจาคุกคดยี าเสพติดนั้นให้ส่วนราชการ
พิจารณาตามมติคณะรัฐมนตรีท่ีให้ความเห็นชอบเร่ืองการให้โอกาสผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติด
ซ่ึงพ้นจากสภาพการใช้ยาเสพติดเข้าทางานหรือรับการศึกษาต่อในหน่วยงานของรัฐ (ท่ี นร
๑๐๑1/๒๗๑ ลงวนั ที่ ๑๔ กันยายน ๒๕4๙)

(เทียบเคียงได้กับมาตรา ๓๖ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน
พ.ศ. ๒๕๕๑)

มำตรำ 8๒ 8

๑. กรณีใดจะเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรงฐานประมาทเลินเล่อในหน้าท่ี
ราชการหรือจงใจไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบของทางราชการ หรือมติคณะรัฐมนตรี
อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรงหรือไม่ จะต้องพิจารณาถึงพฤติการณ์
แห่งการกระทาทั้งเรื่องและผลแห่งความเสียหายที่ทางราชการได้รับควบคู่กันไป กรณีที่
ผลการกระทาก่อให้เกิดความเสียหายแก่ราชการถึงขึ้นร้ายแรง และเป็นความเสียหาย
ท่ีสามารถตีราคาหรือคานวณเป็นเงินได้ แต่ได้มีการชดใช้หรือบรรเทาความเสียหายแล้ว
กรณีก็ไม่อาจปรับบทเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง ส่วนเหตุอันควรลดหย่อนโทษ
กฎหมายมิได้บัญญัติว่าให้พิจารณาจากเหตุใดบ้าง กรณีเป็นดุลพินิจของผู้บังคับบัญชาที่จะ
พิจารณา และต้องอยู่ภายใต้บทบัญญัติมาตรา ๑๐๓ และมาตรา ๑๐๔ ด้วย (ที่ นร ๑๐๑๑/๓๑๑
ลงวนั ที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕4๗)

(2) หน้ำ

(เทียบเคียงได้กับมาตรา ๘๒ (๒) มาตรา ๘๓ (4) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบ 11
ข้าราชการพลเรอื น พ.ศ. ๒๕๕๑)
13
๒. ข้าราชการพลเรือนสามัญละท้ิงหน้าท่ีราชการติดต่อในคราวเดียวกัน 15
เป็นเวลา ๒๘ วัน โดยมีเหตุผลอันสมควร แต่ไม่ยื่นใบลาป่วยในวันแรกท่ีมาปฏิบัติราชการ 17
ผู้บังคับบัญชามีคาส่ังลงโทษทัณฑ์ ฐานไม่ปฏิบัติตามระเบียบและธรรมเนียมของทางราชการ
ตามมาตรา ๙๑ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ ต่อมามีการ
สอบสวนข้อเท็จจริงเพิ่มเติมว่า ข้าราชการผู้น้ีได้ละทิ้งหน้าท่ีราชการติดต่อในคราวเดียวกัน
เป็นเวลา ๕๐ วัน โดยไม่มีเหตุผลอันสมควร ผู้บังคับบัญชาสั่งลงโทษปลดออกจากราชการ
ตามมาตรา ๙๒ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน คาส่ังลงโทษทางวินัยท้ังสองครั้ง
เป็นลงโทษต่างเหตุต่างกรณี มิได้เป็นการลงโทษซ้าในกรณีเดียวกันแต่อย่างใด (ท่ี นร ๑๐๑๑/
ล ๓๐9 ลงวนั ที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕4๗)

(เทียบเคียงได้กับมาตรา ๘๒ (๒) มาตรา ๘๕ (๓) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบ
ขา้ ราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑)

มำตรำ 83

๑. ข้าราชการมีหนังสือร้องเรียนกล่าวโทษข้าราชการอ่ืนต่อผู้บังคับบัญชา
ชั้นเหนือข้ึนไปเพ่ือให้พิจารณาดาเนินการตามอานาจหน้าที่ โดยมิได้เสนอหนังสือร้องเรียน
ผา่ นผ้บู งั คับบัญชาตามลาดับช้ัน ถือว่าเป็นการใช้สิทธิในทางส่วนตัวเพ่ือประโยชน์แก่ราชการ
มิใช่การปฏิบัติหน้าที่ราชการ กรณีจึงไม่เป็นความผิดวินัยฐานกระทาการข้ามผู้บังคับบัญชา
เหนอื ตน (ที่ นร ๐๗๐๙.1/ล ๕๓๑ ลงวันท่ี ๑๔ พฤศจกิ ายน ๒๕4๔)

(เทียบเคียงได้กับมาตรา ๘๓ (๒) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการ
พลเรอื น พ.ศ. ๒๕๕๑)

๒. การประมาทเลินเล่อซึ่งเป็นความผิดทางวินัยจะต้องเป็นการประมาท
เลินเล่อในหน้าที่ราชการ ส่วนความเสียหายท่ีเกิดแก่ราชการกรณีจะร้ายแรงเพียงใดน้ัน
ต้องพิจารณาจากข้อเท็จจริงเป็นเร่ือง ๆ ไป ซ่ึงความเสียหายที่ทางราชการได้รับอาจเป็น
ความเสียหายที่สามารถคานวณเป็นราคา หรือเป็นความเสียหายท่ีเกิดกับภาพพจน์ ชื่อเสียง
ของทางราชการก็ได้ (ที่ นร ๐๗๐๙.๑/๑๗๔ ลงวนั ที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕4๕)

(เทียบเคียงได้กับมาตรา ๘๓ (๔) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการ
พลเรอื น พ.ศ. ๒๕๕๑)

มำตรำ 85

๑. ข้าราชการได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชาให้ปฏิบัติงานอ่ืนของ
ส่วนราชการ (จัดสรรสลากการกุศล และเก็บเงินส่งให้กับสานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล)
ซ่ึงเป็นงานนอกเหนือจากงานในหน้าท่ี ถือว่าข้าราชการผู้น้ันมีหน้าที่ราชการในเรื่อง

(3) หน้ำ

ดังกล่าวด้วย หากนาเงินที่รับไว้ไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวก็จะมีความผิดฐานทุจริตต่อหน้าท่ี 19
ราชการได้ (ที่ นร 0๗09.๑/(ล) ๓ ลงวนั ที่ 1 สงิ หาคม ๒๕4๔) 21
23
(เทียบเคียงได้กับมาตรา ๘๕ (๑) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการ
พลเรอื น พ.ศ. ๒๕๕๑)

๒. กรณขี ้าราชการพลเรือนสามัญได้ละทิ้งหน้าที่ราชการติดต่อในคราวเดียวกัน
เป็นเวลาเกินกว่าสิบห้าวันโดยไม่มีเหตุผลอันสมควรและไม่กลับมาปฏิบัติหน้าท่ีราชการอี ก
แล้วต่อมาได้ยื่นใบลาออกโดยขอลาออกต้ังแต่วันท่ีละทิ้งหน้าท่ีราชการ ผู้บังคับบัญชา
มีอานาจส่ังลงโทษไล่ออกจากราชการย้อนหลังไปตั้งแต่วันละท้ิงหน้าที่ราชการได้ แม้ว่า
ผู้บังคับบัญชาจะมีคาสั่งอนุญาตให้ผู้นั้นลาออกจากราชการหลังจากวันท่ีละทิ้งหน้าท่ี
ราชการแลว้ ก็ตาม (ท่ี นร ๑๐๑๑/๕8๘ ลงวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕4๗)

(เทียบเคียงได้กับมาตรา 85 (๓) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการ
พลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑)

๓. ข้าราชการละทิ้งหน้าที่ราชการติดต่อในคราวเดียวกันเป็นเวลาเกินกว่า
สิบห้าวันโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร ๒ ครั้ง และคร้ังที่ ๒ ไม่กลับมาปฏิบัติหน้าที่ราชการ
อีกเลย การส่ังลงโทษไล่ออกย้อนหลังไปต้ังแต่วันละท้ิงหน้าท่ีครั้งแรกไม่ถูกต้อง กรณีนี้
จะตอ้ งส่ังไล่ออกย้อนหลังไปต้ังแต่วันละทิ้งหน้าท่ีราชการคร้ังที่ ๒ ที่ไม่กลับมาปฏิบัติราชการ
อีกเลยจึงจะถูกต้องตามระเบียบ ก.พ. ว่าด้วยวันออกจากราชการของข้าราชการพลเรือน
สามัญ พ.ศ. ๒๕๓๕ (ที่ นร ๑๐๑๑/๓๒๗ ลงวนั ท่ี ๒๕ กรกฎาคม ๒๕4๘)

(เทียบเคียงได้กับมาตรา ๘๕ (๓) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการ
พลเรอื น พ.ศ. ๒๕๕๑)

๔. การพิจารณาว่าผู้ใดกระทาผิดวินัยฐานประพฤติช่ัว พิจารณาจาก
องค์ประกอบ ๓ ประการ คือ เกียรติของข้าราชการ ความรู้สึกของสังคมและเจตนาท่ีกระทา
หมายถึง พิจารณาการกระทาว่าเป็นการกระทาที่ผิดแบบธรรมเนียมของข้าราชการท่ีดี
อันบุคคลผู้เป็นข้าราชการไม่ควรปฏิบัติหรือไม่ ขณะเดียวกันจะต้องพิจารณาจากความรู้สึก
ของประชาชนทั่วไปหรือของทางราชการว่ามีความรังเกียจต่อการกระทานั้น ๆ หรือไม่
และผู้กระทามีเจตนากระทารู้สึกนึกในการกระทาและเล็งเห็นผลของการกระทาหรือไม่
ส่วนการที่จะพิจารณาความผิดว่าประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงหรือไม่ร้ายแรงจะพิจารณา
เป็นกรณีไป (ท่ี นร ๑๐๑๑/37 ลงวนั ที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕4๘)

(เทียบเคียงได้กับมาตรา ๘๕ (๕) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการ
พลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑)

(4)

มำตรำ 88 หน้ำ

เ มื่ อ ข้ า ร า ช ก า ร พ ล เ รื อ น ส า มั ญ ก ร ะ ท า ผิ ด วิ นั ย แ ล ะ ถู ก ล ง โ ท ษ ท า ง วิ นั ย ห รื อ 25
ถูกทาทัณฑ์บนเป็นหนังสือ ถูกว่ากล่าวตักเตือน หรือยุติเร่ืองไปแล้ว ต่อมาภายหลัง
ข้าราชการพลเรือนสามัญผู้นั้นถูกพิพากษาจาคุกโดยคาพิพากษาถึงท่ีสุดให้จาคุกในเร่ือง
เดียวกันกับเรื่องที่ถูกดาเนินการทางวินัย ผู้บังคับบัญชาก็สามารถลงโทษทางวินัยฐานกระทาผิด
อาญาจนได้รับโทษจาคุกโดยคาพิพากษาถึงท่ีสุดให้จาคุกได้ ไม่เป็นการลงโทษทางวินัยซ้า
เพราะเป็นความผิดคนละฐานกับความผิดท่ีถูกดาเนินการทางวินัย (ที่ นร ๑๐๑๑/๒๙๐
ลงวันที่ ๓๐ กนั ยายน ๒๕4๗)

(เทียบเคียงได้กับมาตรา ๘๘ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน
พ.ศ. ๒๕๕1)

มำตรำ ๙๐ 27
29
1. ระหว่างการสอบสวนทางวินัยอย่างไม่ร้ายแรง ผู้ถูกกล่าวหาได้โอนไปอยู่ 31
นอกบังคับบัญชาของผู้ส่ังแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน จึงมีผลทาให้อานาจในการ 33
ดาเนินการทางวินัยตกเป็นของผู้บังคับบัญชาคนใหม่และต่อมาเมื่อบทบัญญัติลักษณะ ๔
ข้าราชการพลเรือนสามัญ มีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๕๑ ผู้บังคับบัญชาคนใหม่
ซึ่งเป็นผู้มีอานาจส่ังบรรจุตามมาตรา ๕๗ สามารถดาเนินการทางวินัยแก่ผู้นั้นได้ ตามมาตรา 9๐
(ท่ี นร ๑๐๑๑/ล ๒๗๔ ลงวนั ที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๕3)

๒. ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้บังคับบัญชาซ่ึงมีอานาจสั่งบรรจุตามมาตรา ๕๗
สาหรับตาแหน่งประเภทวิชาการ ระดับปฏิบัติการ ชานาญการ และชานาญการพิเศษ
และตาแหน่งประเภททั่วไป ระดับปฏิบัติงาน ชานาญงาน และอาวุโส ตามมาตรา ๕๗ (11)
(ท่ี นร ๑๐๑1/๒๒๔ ลงวนั ที่ ๑๐ มิถนุ ายน ๒๕๕๔)

๓. เมื่อ ก.พ. ได้กาหนดหลักเกณฑ์การมอบหมายอานาจหน้าที่ตามมาตรา ๙๐
วรรคสาม ปรากฏตามหนังสือสานักงาน ก.พ. ที่ นร ๑๐๑๑/ว ๓๕ ลงวันท่ี ๒๘ กันยายน
๒๕๕๓ ซึ่งใช้บังคับตั้งแต่วันท่ี 1 ตุลาคม ๒๕๕๓ แล้ว เมื่อผู้ว่าราชการจังหวัดจะมอบหมาย
อานาจหน้าท่ีให้รองผู้ว่าราชการจังหวัด ก็ต้องมอบตามหลักเกณฑ์ดังกล่าว จะนาเร่ือง
การมอบอานาจตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดินและพระราชกฤษฎีกา
ว่าดว้ ยการมอบอานาจมาใชห้ าได้ไม่ (ที่ นร ๑๐๑๑/๕๔๗ ลงวนั ที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๕๔)

๔. ผู้ว่าราชการจังหวัดผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอานาจดาเนินการทางวินัยแก่
ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตาแหน่งประเภทวิชาการ ระดับปฏิบัติการ ชานาญการ และ
ชานาญการพิเศษ และตาแหน่งประเภททั่วไป ระดับปฏิบัติงาน ชานาญงาน และอาวุโส
หรือจะมอบหมายให้ผู้บังคับบัญชาระดับต่าลงไปปฏิบัติแทนตามหลักเกณฑ์ที่ ก.พ. กาหนด
ตามหนังสือสานกั งาน ก.พ. ที่ นร ๑๐๑๑/ว ๓๕ ลงวันท่ี ๒๘ กนั ยายน ๒๕๕๓ ก็ได้

(5) หนำ้

ขนส่งจังหวัดเป็นตาแหน่งหัวหน้าส่วนราชการประจาจังหวัดและมีกฎหมาย 36
ว่ า ด้ ว ย ร ะ เ บี ย บ บ ริ ห า ร ร า ช ก า ร แ ผ่ น ดิ น บั ญ ญั ติ แ น่ ชั ด ใ ห้ เ ป็ น ผู้ บั ง คั บ บั ญ ช า ข้ า ร า ช ก า ร 38
ฝ่ายบริหารส่วนภูมิภาค ซึ่งสังกัดกรมและไม่ใช่ตาแหน่งประเภทบริหารระดับสูง ไม่อยู่ใน
ตารางท้ายหลักเกณฑ์ อธิบดีจึงไม่อาจมอบหมายอานาจหน้าที่ให้ขนส่งจังหวัดปฏิบัติแทน
ส่วนกรณีน้ีจะต้องมอบอานาจตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดินควบคู่กันด้วย
หมายถึง การมอบให้ผู้ท่ีไม่ได้เป็นผู้บังคับบัญชามีฐานะเป็นผู้บังคับบัญชาแล้วมอบหมายให้
ปฏิบัติหน้าที่แทนตามมาตรา ๙๐ วรรคสาม (ท่ี นร ๑๐๑๑/๓๐๕ ลงวันท่ี ๑๒ ตุลาคม
๒๕๕๕)

๕. กรณีที่ผู้บังคับบัญชาได้ดาเนินการสืบสวนสอบสวนทางวินัยแล้ว วินิจฉัยว่า
ผู้ถูกดาเนินการทางวินัยไม่มีความผิด หรือส่ังยุติเร่ือง หรือสั่งลงโทษทางวินัยอย่างไม่ร้ายแรง
แต่ภายหลังปรากฏพยานหลักฐานชัดเจนว่าเป็นการกระทาผิดวินัยอย่างร้ายแรง ก็สามารถ
แต่งต้ังคณะกรรมการสอบสวนวินัยในเร่ืองเดียวกันนั้นได้อีก โดยไม่ถือเป็นการดาเนินการ
ทางวินัยซ้าและโทษวินัยอย่างไม่ร้ายแรงที่ได้รับไปแล้วยังคงมีผลอยู่จนกว่าจะมีการเปล่ียนแปลง
เปน็ อย่างอน่ื ในภายหลัง (ท่ี นร ๑๐๑๑/ล ๑๐๘๐ ลงวันท่ี 8 ตุลาคม ๒๕4๗)

(เทียบเคียงได้กับมาตรา 9๐ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน
พ.ศ. ๒๕๕๑)

6. เม่ือผู้บังคับบัญชาได้รับเรื่องร้องเรียนกล่าวโทษข้าราชการในเบ้ืองต้นให้ถือเป็น
ความลับของทางราชการ การสืบสวนเรื่องร้องเรียนต้องดาเนินการในทางลับไม่ควรแจ้งให้
ผู้ถูกร้องเรียนทราบ และควรกาชับข้าราชการผู้มาให้ถ้อยคาด้วยว่าการนาเรื่องที่เป็นความลับ
ของทางราชการไปเปิดเผยอาจมีความผิดทางวินัยได้ (ท่ี นร ๑๐๑๑/๓๘๓ ลงวันท่ี ๒๐
ธนั วาคม ๒๕4๗)

เทียบเคียงได้กับมาตรา 90 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน
พ.ศ. 2551)

มำตรำ 9๑ 40

กรณีมีการกล่าวหาหลายครั้งในช่วงเวลาเดียวกันหรือใกล้เคียงกันสามารถ
จะรวมการดาเนินการสืบสวนหรือสอบสวนทางวินัยในคราวเดียวกันได้ ส่วนการสั่งลงโทษ
ในกรณที ก่ี ระทาผดิ วนิ ยั หลายคร้ังต่างวาระกัน ถา้ การกระทาดังกล่าวเป็นผลจากเจตนาในลักษณะ
เดียวกนั ตอ่ เนือ่ งกนั มาก็สามารถรวมการกระทาแลว้ สงั่ ลงโทษสถานใดสถานหนึ่งที่เหมาะสมได้
(ที่ นร ๑๐๑๑/๓๖๓ ลงวนั ท่ี ๒9 กรกฎาคม ๒๕๕๒)

(6)

มำตรำ 92 หนำ้

การดาเนินการทางวินัยอย่างไม่ร้ายแรง ตามมาตรา 9๒ ต้องทาการแจ้ง 42
ข้อกล่าวหา และสรุปพยานหลักฐานท่ีสนับสนุนข้อกล่าวหาให้ผู้ถูกกล่าวหาทราบ ส่วนหลักเกณฑ์
และวิธีการเก่ียวกับการนี้ในระหว่างที่ยังมิได้ออกกฎ ก.พ. ว่าด้วยการนี้ตามพระราชบัญญัติ
ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ จึงต้องดาเนินการตามหนังสือ ท่ี นร ๑๐๑๑/ว ๑๙
ลงวันที่ ๑๔ กรกฎาคม ๒๕4๗ คือ ต้องแจ้งข้อกล่าวหาอยู่ในกรอบของเร่ืองกล่าวหา
ตามคาส่ังเท่าน้ัน การแจ้งข้อกล่าวหานอกเหนือเรื่องกล่าวหา ทาให้การสอบสวนในกรณี
ทีน่ อกเหนอื น้นั เสียไป (ท่ี นร ๑๐๑๑/ล ๔๐๖ ลงวนั ท่ี ๓๑ สงิ หาคม ๒๕๕๓)

มำตรำ 93 44
47
๑. เมื่อผบู้ งั คับบัญชามีคาสั่งแต่งต้ังคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรงแล้ว
แม้ต่อมาผู้ถูกกล่าวหาได้ย้ายไปอยู่นอกบังคับบัญชา คณะกรรมการสอบสวนก็ต้องสอบสวนต่อไป
จนแล้วเสร็จและรายงานการสอบสวนต่อผู้ส่ังแต่งต้ังคณะกรรมการสอบสวนเพื่อตรวจสอบ
ความถูกต้องของสานวนการสอบสวนแล้ว จึงส่งเรื่องให้ผู้บังคับบัญชาคนใหม่ของผู้ถูกกล่าวหา
ดาเนินการต่อไปตามอานาจหน้าท่ี หากผู้บังคับบัญชาคนใหม่เห็นควรให้สอบสวนเพ่ิมเติม
ก็ให้กาหนดประเด็นให้คณะกรรมการสอบสวนชุดเดิมทาการสอบสวนเพิ่มเติมหรือจะส่ังแต่งตั้ง
คณะกรรมการสอบสวนชุดใหม่ข้ึนทาการสอบสวนเพ่ิมเติมก็ได้โดยผู้บังคับบัญชาคนใหม่
ไม่มีอานาจแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนเพื่อทาการสอบสวนวินัยแก่ผู้ถูกล่าวหาใหม่ (ที่ นร
๑๐๑๑/ล ๒๑๔ ลงวนั ที่ 6 มีนาคม ๒๕46)

(เทียบเคียงได้กับมาตรา 93 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน
พ.ศ. ๒๕๕๑)

๒. เม่ือมีการสอบสวนข้อเท็จจริงและกรณีมีมูลว่าผู้ถูกกล่าวหากับพวก
กระทาผิดวินัยอย่างร้ายแรง ผู้บังคับบัญชามีคาส่ังแต่งต้ังคณะกรรมการสอบสวนวินัย
ผู้ถูกกล่าวหาโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว คณะกรรมการสอบสวนและผู้บังคับบัญชา
จะต้องดาเนินการสอบสวนและพิจารณาไปตามลาดับจนเสร็จกระบวนการ ตามมาตรา ๑๐๒
วรรคหน่ึงและวรรคหก แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕
ประกอบกฎ ก.พ. ฉบับท่ี ๑๘ (พ.ศ. ๒๕4๐) ว่าด้วยการสอบสวนพิจารณา โดยผู้บังคับบัญชา
ไม่อาจสั่งให้ดาเนินการสอบสวนข้อเท็จจริงเพ่ิมเติมในเรื่องน้ันได้อีก (ท่ี นร ๑๐๑๑/ล ๕๖๔
ลงวันท่ี ๒9 กันยายน ๒๕๔9)

(เทียบเคียงได้กับมาตรา ๙๓ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน
พ.ศ. ๒๕๕๑)

(7)

มำตรำ ๙4 หนำ้

๑. การแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน กรณีที่ข้าราชการตาแหน่งต่างกัน 50
ตา่ งกรมหรือต่างกระทรวงถกู กล่าวหาวา่ กระทาผดิ วนิ ยั รว่ มกันที่ให้ดาเนินการ ตามมาตรา 94 น้ัน 52
ใช้ได้ท้ังวินัยอย่างร้ายแรงและไม่ร้ายแรง (หนังสือสานักงาน ก.พ. ที่ นร ๑๐๑๑/ล ๔๔๗
ลงวนั ท่ี ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๕๒) 54

๒. การแต่งต้ังคณะกรรมการสอบสวนกรณีข้าราชการพลเรือนต่างกรม 56
ในกระทรวงเดียวกันและต่างกระทรวงถูกกล่าวหาว่ากระทาผิดวินัยร่วมกัน ซ่ึงปลัดกระทรวงหน่ึง
เป็นผู้มีอานาจตามมาตรา 9๔ (๒) และปลัดกระทรวงอีกกระทรวงหน่ึงเป็นผู้มีอานาจ
ตามมาตรา 9๔ (๓) ทวิ ปลัดกระทรวงท้ังสองควรทาความตกลงร่วมกันเพ่ือกระทรวงทั้งสอง
ต่างมคี าสั่งแตง่ ต้ังคณะกรรมการสอบสวนตามมาตรา 9๔ (๓) ประกอบด้วยบุคคลชุดเดียวกัน
(ท่ี นร ๑๐๑๑/ล ๖4๙ ลงวนั ที่ ๒๕ กนั ยายน ๒๕๕๒)

๓. ในราชการบริหารส่วนภูมิภาค ซ่ึงผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทาผิดวินัยร่วมกัน
คนหนึ่ง ตาแหน่งประเภทอานวยการระดับต้น อธิบดีเป็นผู้บังคับบัญชาซ่ึงมีอานาจส่ังบรรจุ
ตามมาตรา ๕๗ (5) ส่วนอีก ๒ คน ตาแหน่งประเภทวิชาการ ระดับชานาญการ และ
ระดับปฏิบัติการ อธิบดีเป็นผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอานาจสั่งบรรจุตามมาตรา ๕๗ (๑๐) และ
ผู้ว่าราชการจังหวัดก็เป็นผู้บังคับบัญชาซ่ึงมีอานาจส่ังบรรจุตามมาตรา ๕๗ (๑๑) สาหรับ
๒ คนนี้ อธิบดีและผู้ว่าราชการจังหวัดต่างมีอานาจคู่เคียงกัน เรื่องน้ีกรณีปรากฏ ข้ึน
ทางจังหวัดและผู้ถูกกล่าวหาคนที่หนึ่งไม่อยู่ในอานาจของผู้ว่าราชการจังหวัด ทางจังหวัด
จึงรายงานมายังอธิบดี กรณีเช่นนี้อธิบดีย่อมสั่งแต่งต้ังคณะกรรมการสอบสวนผู้ถูกกล่าวหา
ท้งั ๓ คนได้ (ที่ นร ๑๐๑/8๖ ลงวนั ที่ ๙ กมุ ภาพันธ์ ๒๕๕๔)

๔. การแต่งต้ังคณะกรรมการสอบสวนในกรณีที่ข้าราชการตาแหน่งต่างกัน
ในกรมเดียวกันถูกกล่าวหาว่ากระทาผิดวินัยร่วมกันและผู้บังคับบัญชาซ่ึงมีอานาจส่ังบรรจุ
ตามมาตรา ๕๗ ต่างกัน ในระหว่างที่ยังไม่ได้ออกกฎ ก.พ. ว่าด้วยการดาเนินการทางวินัย
มีแนวทางที่อาจดาเนินการเพื่อให้มีคณะกรรมการคณะเดียวทาการสอบสวนได้ ๒ แนวทาง
คือ ผ้บู ังคับบญั ชาซ่งึ มีอานาจส่ังบรรจุตามมาตรา ๕๗ แต่ละคนทาความตกลงกัน เพื่อแต่ละคน
ต่างมีคาส่ังแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนผู้ถูกกล่าวหาท่ีอยู่ในอานาจ ประกอบด้วยบุคคล
ชุดเดียวกันหรืออีกแนวทางผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอานาจสั่งบรรจุตามมาตรา ๕๗ ท่ีตาแหน่ง
ต่ากว่าไม่ใช้อานาจของตนและขอให้ผู้บังคับบัญชาซ่ึงมีอานาจส่ังบรรจุตามมาตรา ๕๗
ระดับเหนือขึ้นไปเป็นผสู้ ่ังแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนผู้ถูกกล่าวหาท้ังหมด (ท่ี นร ๑๐๑๑/
ล ๒๘๔ ลงวนั ที่ ๓๐ มถิ นุ ายน ๒๕๕๔)

(8)

มำตรำ 96 หนำ้

กรณกี ระทาผิดวนิ ัยเล็กนอ้ ย และมีเหตุอันควรงดโทษ ผู้บังคับบัญชาจะงดโทษให้ 58
โดยให้ทาทัณฑ์บนเป็นหนังสือหรือว่ากล่าวตักเตือนก็ได้ การว่ากล่าวตักเตือนนั้น กฎหมาย
ไม่ได้บัญญัติไว้ว่าจะต้องทาด้วยวิธีการใด กรณีจึงสามารถว่ากล่าวตักเตือนด้วยวาจาหรือ
ทาเปน็ ลายลกั ษณอ์ ักษรกไ็ ด้ (ที่ นร ๑๐๑๑/๓๗๓ ลงวนั ท่ี ๑๔ ตุลาคม ๒๕๕๑)

มำตรำ 100 60
62
๑. การกล่าวหาว่าข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดกระทาผิดวินัยร้ายแรง 65
ตามนัยมาตรา ๑๐๖ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ นั้น
จะต้องเป็นการกล่าวหาท่ีระบุโดยชัดแจ้งถึงพฤติการณ์และตัวผู้มีพฤติการณ์แห่งการกระทา 67
หรือการละเว้นการกระทาใดที่พึงเห็นได้ว่าเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง (ท่ี นร ๑๐๑๑/ล ๔9๕
ลงวนั ที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๕๑)

๒. การกล่าวหาข้าราชการผู้ใดว่ากลับก่อนเวลาไม่ลงชื่อกลับในบัญชี ลงเวลา
ปิดสานักงานก่อน ๑๖.๓๐ น. นารถราชการไปใช้ส่วนตัว ถือเป็นเพียงการกล่าวหาว่า
กระทาผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรงเท่านั้น เมื่อผู้ถูกกล่าวหานั้นได้ออกจากราชการไปแล้ว
กไ็ มส่ ามารถดาเนนิ การทางวนิ ยั แกผ่ ู้นัน้ (ท่ี นร ๑๐๑๑/๒๖๖ ลงวนั ที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๕๑)

๓. ผู้ยื่นหนังสือขอลาออกแล้วถอนคืนไปก่อนการลาออกมีผลถือเป็นการระงับ
การขอลาออก ต่อมายื่นหนงั สอื ขอลาออกอีกคร้ังเมื่อวันท่ี ๑๒ ตุลาคม ๒๕๕๐ ระบุวันขอลาออก
ตั้งแต่วันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๕๐ ซ่ึงเป็นการย่ืนล่วงหน้าน้อยกว่า ๓๐ วัน โดยไม่ได้รับอนุญาต
จากผู้มีอานาจ ซึ่งตามระเบียบ ก.พ. ว่าด้วยการลาออกฯ พ.ศ. ๒๕๓๖ ซึ่งใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น
ให้ถือวันถัดจากวันครบกาหนด ๓๐ วัน นับแต่วันที่ยื่นเป็นวันขอลาออก ซ่ึงตรงกับวันที่
๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๐ ถ้าผู้บังคับบัญชาผู้มีอานาจยังมิได้อนุญาตให้ลาออกและมิได้
ยับย้ังการลาออก การลาออกของผู้นี้ก็มีผลตั้งแต่วันท่ี ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๐ เป็นต้นไป
ตามมาตรา ๑๑๓ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕
สว่ นน้ปี รากฏว่า ในระหวา่ งการลาออกยังไมม่ ผี ลผนู้ ไ้ี ม่ได้มาปฏิบัติราชการ หากมีการกล่าวหา
เป็นหนงั สือตอ่ ผูบ้ งั คับบญั ชาวา่ ผ้นู ลี้ ะทง้ิ หน้าทรี่ าชการติดต่อในคราวเดียวกันเปน็ เวลาเกินกว่า
สิบห้าวัน โดยไม่มเี หตอุ นั สมควรอันเป็นการกระทาผิดวินัยอย่างร้ายแรง โดยกล่าวหาก่อนวันท่ี
๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๐ ซึ่งเป็นวันที่การลาออกมีผล ผู้บังคับบัญชาก็สามารถดาเนินการ
ทางวนิ ยั แกผ่ ู้นไี้ ด้ (ท่ี นร ๑๐๑๑/๑๐๓๙ ลงวนั ที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๕1)

๔. มีกรณีถูกร้องกล่าวหาว่ากระทาผิดวินัย ต่อมาได้รับอนุญาตให้ลาออก และ
ในวันเดียวกันได้รับการคัดเลือกและบรรจุเป็นข้าราชการอีกกรมหน่ึง โดยไม่ได้นาอายุราชการ
ในส่วนราชการเดิมมานับต่อ ฐานะการเป็นข้าราชการไม่ต่อเน่ือง และขาดตอนไปแล้ว
อธิบดีกรมใหม่ไม่มีอานาจดาเนินการทางวินัย (ที่ นร ๑๐๑๑/ล ๔๘๐ ลงวันที่ ๓๑ กรกฎาคม
๒๕๕๒)

(9) หนำ้

๕. การท่ีเจ้าหน้าท่ีตรวจสอบของสานักงานการตรวจเงินแผ่นดินเสนอรายงาน 69
ผลการตรวจสอบตอ่ ผอู้ านวยการตรวจเงินแผ่นดิน ระบุตัวข้าราชการผู้มีพฤติการณ์ปฏิบัติหน้าที่ 71
โดยมิชอบ ถือเป็นการกล่าวหาต่อผู้มีหน้าที่สืบสวนสอบสวนหรือตรวจสอบตามกฎหมายหรือ
ระเบียบของทางราชการ และเป็นการกล่าวหาก่อนผู้ถูกกล่าวหาออกจากราชการ ผู้บังคับบัญชา 73
จึงยังมีอานาจดาเนินการทางวินัยแก่ผู้น้ันได้ (ที่ นร ๑๐๑๑/๒๕๗ ลงวันที่ ๒๘ มิถุนายน
๒๕๕๔) 75
77
๖. การกล่าวหาเป็นหนังสือว่าข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดกระทาหรือ
ละเว้นกระทาการใดที่พึงเห็นได้ว่าเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง ตามมาตรา ๑๐๖ น้ัน
จะต้องระบุตัวผู้กระทาหรือละเว้นการกระทา ตลอดจนพฤติการณ์แห่งการกระทาหรือละเว้น
การกระทาที่พึงเห็นได้ว่าเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรงด้วย (ท่ี นร ๐๗๐๙.๑/๒๖๐ ลงวันที่
๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๔)

(เทียบเคียงได้กับมาตรา 100 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน
พ.ศ. 2551)

๗. ข้าราชการซึ่งออกจากราชการไปแล้วย่อมไม่มีสภาพเป็นข้าราชการอีก
ผู้บังคับบัญชาจึงไม่อาจสั่งเพิ่มโทษในกรณีกระทาผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรงกับข้าราชการนั้นได้
และกรณีเช่นนี้ไม่อาจส่ังงดโทษตามมาตรา ๑๐๖ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการ
พลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ ได้เช่นกัน เน่ืองจากเป็นกรณีท่ีมีการกล่าวหาว่ากระทาผิดวินัย
อย่างไมร่ า้ ยแรง (ท่ี นร ๐๗๐๙.๒/ป. ๘๐ ลงวันที่ ๑๗ มนี าคม ๒๕๔๒)

(เทียบเคียงได้กับมาตรา 100 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน
พ.ศ. ๒๕๕๑)

มำตรำ 103

๑. กรณีท่ีอธิบดีผู้บังคับบัญชาได้แต่งต้ังคณะกรรมการสอบสวนทางวินัย
อย่างร้ายแรงและได้สั่งยุติเร่ืองแล้ว การดาเนินการทางวินัยของอธิบดีได้สิ้นสุดลงแล้ว และ
ตอ้ งรายงานการดาเนินการทางวนิ ัยดังกล่าวไปยัง อ.ก.พ. กระทรวง เพ่ือพิจารณาตามมาตรา ๑๐๓
กรณที ่มี ผี ู้ร้องขอใหอ้ ธิบดีสอบสวนใหม่ โดยไม่ปรากฏพยานหลักฐานใหม่ ไม่อาจดาเนินการได้
(ที่ นร ๑๐๑๑/ล ๑๔๕ ลงวันท่ี ๑๖ กุมภาพนั ธ์ ๒๕๕๓)

๒. ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอานาจสั่งบรรจุตามมาตรา ๕๗ บันทึกส่ังให้งดโทษ
ผู้ถูกกล่าวหาโดยให้ทาหนังสือลงทัณฑ์ หลังจากน้ันได้เกษียณอายุไปโดยยังไม่ได้ดาเนินการ
ดังกล่าว ผู้รักษาราชการแทนก็ยังคงต้องดาเนินการให้เป็นไปตามคาส่ังดังกล่าวและรายงาน
ไปยัง อ.ก.พ. กระทรวง ตามมาตรา ๑๐๓ หากผู้รกั ษาราชการแทนมีความเหน็ แตกตา่ งกับความเห็น
ของเลขาธิการคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ ก็สามารถเสนอความเห็นไปเพ่ือประกอบการ
พิจารณาของ อ.ก.พ. กระทรวง ได้ (หนังสือสานักงาน ก.พ. ที่ นร ๑๐๑๑/๓๐๙ ลงวันท่ี ๙
เมษายน ๒๕๕๓)

(10) หน้ำ

๓. คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชมี้ ูลความผดิ วินัยอย่างร้ายแรง ข้าราชการต่างกรม 79
ในกระทรวงเดียวกันถูกกล่าวหาว่ากระทาผิดวินัยร่วมกัน จานวน 6 ราย กรณีเช่นนี้ ถ้าเป็น 81
กรณที จี่ ะต้องสอบสวนก็เป็นอานาจของปลดั กระทรวงท่ีจะต้องแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน 83
แต่เม่ือเป็นกรณีที่ไม่ต้องสอบสวนก็ถือเป็นกรณีที่ปลัดกระทรวงเป็นผู้มีอานาจพิจารณา 85
ตามท่ี ก.พ. ได้กาหนดการดาเนินการตามหนงั สอื สานกั งาน ก.พ. ท่ี นร 1011/ว 21 ลงวันท่ี
15 กันยายน 2552 ข้อ 1 (2) จึงต้องส่งเรื่องให้ อ.ก.พ. กระทรวง เป็นผู้พิจารณา (ท่ี นร 87
1011/ล 247 ลงวนั ท่ี 11 พฤษภาคม 2553)

๔. ผวู้ า่ ราชการจงั หวัดส่งั ลงโทษแล้วรายงาน อ.ก.พ. กระทรวง ตามมาตรา ๑๐๓
เม่ือ อ.ก.พ. กระทรวงมีมติให้ลดโทษ เพิ่มโทษ งดโทษ หรือยกโทษ ผู้บังคับบัญชาที่จะต้อง
สั่งให้เป็นไปตามมติดังกล่าว โดยปกติควรเป็นผู้บังคับบัญชาซ่ึงมีอานาจส่ังบรรจุตามมาตรา ๕๗
ทเี่ ปน็ ผสู้ ่ังลงโทษ (ที่ นร 1011/516 ลงวันท่ี 30 พฤศจิกายน 2554)

๕. เม่ืออธิบดีรายงานการดาเนินการทางวินัยไปยัง อ.ก.พ. กระทรวง ตามมาตรา
๑๐๙ แล้ว การพิจารณาดาเนินการในข้ันต่อไปเป็นอานาจหน้าท่ีของ อ.ก.พ. กระทรวง
(นร ๐๗๐๙.๑/ล ๘๕๘ ลงวนั ที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕4๕)

(เทียบเคียงได้กับมาตรา ๑๐๓ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน
พ.ศ. ๒๕๕๑)

6. การท่ีมาตรา ๑๐๙ บัญญัติให้ผู้บังคับบัญชาชั้นต้นรายงานการดาเนินการ
ทางวินัยไปยังผู้บังคับบัญชาช้ันเหนือข้ึนไปและให้ผู้บังคับบัญชาช้ันเหนือข้ึนไปมีอานาจ
เพิ่มโทษ ลดโทษ หรือยกโทษ ได้ แสดงให้เห็นว่าคาส่ังลงโทษของบังคับบัญชาชั้นต้น
ยังไม่เด็ดขาด การเปล่ียนแปลงโทษดังกล่าวมีลักษณะเป็นการแก้ไขคาสั่งลงโทษ ดังนั้น
การสั่งลงโทษคร้ังหลังจึงต้องส่ังให้มีผลย้อนหลังไปถึงวันท่ีระบุไว้ในคาส่ังเดิม (นร ๑๐๐๙.๑/
ล ๑095 ลงวนั ท่ี 1 พฤศจกิ ายน ๒๕4๕)

(เทียบเคียงได้กับมาตรา ๑๐๓ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน

พ.ศ. ๒๕๕๑)

มำตรำ 110

๑. เม่อื ส่งั ลงโทษไล่ออกแล้ว กรณีกล่าวหาว่าหย่อนความสามารถยังอยู่ระหว่าง
สอบสวน ซึ่งเป็นการดาเนินการเพ่ือสั่งให้ออก ผู้บังคับบัญชาก็ไม่มีอานาจที่จะดาเนินการต่อไป
จึงตอ้ งยุตเิ รอ่ื ง (หนังสือสานักงาน ก.พ. ที่ นร ๑๐๑๑/ล ๒๘๘ ลงวันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๕๒)

๒. การดาเนินการเพื่อสั่งให้ออกกรณีหย่อนความสามารถในอันท่ีจะปฏิบัติราชการ
หรือประพฤติตนไม่เหมาะสมกับตาแหน่งหน้าที่ราชการ ในระหว่างที่ยังมิได้ออกกฎ ก.พ.
ตามมาตรา ๑๑๐ ต้องดาเนินการตาม กฎ ก.พ. ซ่ึงใช้บังคับอยู่เดิมคือกฎ ก.พ. ฉบับที่ ๑๘
(พ.ศ. ๒๕4๐) โดยบัญญัติให้นามาตรา 9๗ วรรคสอง มาใช้กับมาตรา ๑๑0 (6) โดยต้องแต่งต้ัง
คณะกรรมการสอบสวนเช่นเดียวกับการดาเนินการทางวินัยอย่างร้ายแรง แล้วส่งเร่ืองให้

(11) หนำ้

อ.ก.พ. พิจารณา ตามมาตรา ๙๗ วรรคสอง โดยอนุโลม (หนังสือสานักงาน ก.พ. ท่ี นร ๑๐1๑/ 88
ล ๖๒๑ ลงวันที่ 8 กนั ยายน ๒๕๕๒) 89

๓. การส่ังให้ออกด้วยเหตุเป็นโรคติดยาเสพติดให้โทษนั้น ต้องในขณะที่ผู้นั้น 90
เปน็ โรคดังกลา่ วอยู่ หากปรากฏว่าผ้นู ั้นพ้นจากการเป็นโรคติดยาเสพติดให้โทษแล้ว ผู้บังคับบัญชา
ก็ไม่อาจสั่งให้ออกได้ (หนังสือสานักงาน ก.พ. ที่ นร ๑๐๑1/ล ๒๗๖ ลงวันที่ ๒๒ มิถุนายน
๒๕๕๓)

๔. การสั่งให้ข้าราชการออกจากราชการเพราะมีมลทินหรือมัวหมองในกรณี
ทถี่ กู สอบสวนตามมาตรา ๑๑๖ มเี จตนารมณ์ คือ ผู้ซึ่งถูกต้ังกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรง
และผลการสอบสวนไม่ปรากฏพยานหลักฐานแน่ชัด แต่พฤติการณ์มีเหตุอันควรสงสัยอย่างยิ่ง
ว่าผู้น้ันกระทาผิดวินัยอย่างร้ายแรง จึงไม่สมควรให้รับราชการต่อไป ส่วนกรณีใดสมควร
ใหอ้ อกจากราชการเพราะมีมลทินหรือมัวหมองในกรณีท่ีถูกสอบสวน ต้องพิจารณาจากข้อเท็จจริง
เป็นเร่ือง ๆ ไป และต้องคานึงถึงความเสียหายท่ีจะเกิดแก่ราชการ หากให้ข้าราชการผู้มีกรณี
ถูกกล่าวหารับราชการต่อไปด้วย (ที่ นร ๑๐๑๑/ล 9๕๔ ลงวันท่ี ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕4๖)

(เทียบเคียงได้กับมาตรา ๑๑๐ (๗) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน
พ.ศ. ๒๕๕๑)

มำตรำ ๑๒๐ 92
94
๑. การสอบสวนทางวินัยกล่าวหาว่ากระทาผิดหลายกรณี และส่ังลงโทษปลดออก 97
กรณีเดียว เมื่อ ก.พ.ค. มีคาวินิจฉัยว่าข้อเท็จจริงยังไม่พอฟังลงโทษจึงให้ยกเลิกคาสั่งปลดออก
และให้พิจารณาดาเนินการกับผู้นั้นให้ถูกต้องเหมาะสมต่อไปนั้น หมายถึงว่า เมื่อยกเลิกคาส่ัง
ลงโทษและส่งั ให้ผูน้ นั้ กลับเขา้ รบั ราชการแล้ว กใ็ ห้พจิ ารณาดาเนนิ การสาหรับข้อกล่าวหาอ่ืน ๆ
ใหถ้ กู ต้องเหมาะสมตอ่ ไป (ที่ นร ๑๐๑๑/ล ๕๙ ลงวันท่ี ๑๕ กมุ ภาพันธ์ ๒๕๕๕)

๒. กรณีสั่งยกโทษหรือยกเลิกคาสั่งลงโทษปลดออกและให้กลับเข้ารับราชการ
มีสิทธิได้รับเงินเดือนในระหว่างที่มิได้มาปฏิบัติราชการตามระเบียบกรมบัญชีกลาง (ท่ี นร
๑๐๑๑/๑๑๓ ลงวนั ที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๕๕)

บทเฉพำะกำล

๑. พระราชบัญญัตริ ะเบียบข้าราชการพลเรอื น พ.ศ. ๒๕๕๑ ใช้บังคับต้ังแต่วันที่
๒๖ มกราคม ๒๕๕๑ แต่สาหรับลักษณะ ๔ ข้าราชการพลเรือนสามัญ วินัยและการดาเนินการ
ทางวินยั อยู่ในลักษณะน้ี ยังไม่ได้บังคับทันที เพ่ิงจะใช้บังคับตั้งแต่วันท่ี ๑๑ ธันวาคม ๒๕๕๑
ฉะนั้นกรณีที่ดาเนินการทางวินัยระหว่างวันที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๕๑ ถึง ๑๐ ธันวาคม ๒๕๕๑
จงึ ต้องปรับบทความผดิ สอบสวนพจิ ารณา และลงโทษตามพระราชบัญญตั ิระเบียบข้าราชการ
พลเรอื น พ.ศ. ๒๕๓๕

(12) หนำ้

ส่ ว น ก ร ณี ก ร ะ ท า ผิ ด ต า ม พ ร ะ ร า ช บั ญ ญั ติ ร ะ เ บี ย บ ข้ า ร า ช ก า ร พ ล เ รื อ น 99
พ.ศ. ๒๕๓๕ แต่เพ่งิ ดาเนนิ การทางวนิ ยั ตง้ั แต่วันที่ ๑๑ ธนั วาคม ๒๕๕๑ เปน็ ตน้ ไป หรือดาเนินการ
มาก่อนแล้ว แต่จนถึงวันดังกล่าวยังดาเนินการไม่เสร็จ ต้องปรับบทความผิดและลงโทษ 100
ตามกฎหมายท่ีใช้อยู่ขณะกระทาผิด คือ พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ 102
ส่วนการสอบสวนพิจารณาและดาเนินการเพื่อลงโทษต้องดาเนินการตามพระราชบัญญัติ 104
ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ เว้นแต่กรณีตามมาตรา ๑๓๒ มาตรา ๑๓๓
(๑) (๒) และ (๓) และกรณีท่ี ก.พ. กาหนด ตามมาตรา ๑๓๗ สาหรับกรณีท่ีผู้ถูกกล่าวหาถูกฟ้อง
คดอี าญาอยู่ด้วย การดาเนินการทางวินัยไม่จาเป็นต้องรอฟังผลคดีอาญา เว้นแต่การสอบสวน
ทางวินัยยังฟงั ไมไ่ ด้ว่าผ้นู ้นั กระทาผิดวินัย (ที่ นร ๑๐๑๑/ล ๗๓๑ ลงวันท่ี ๗ กรกฎาคม ๒๕๕1)

๒. เมื่อบทบัญญัติลักษณะ ๔ ข้าราชการพลเรือนสามัญ มีผลใช้บังคับต้ังแต่
วันท่ี ๑๑ ธันวาคม ๒๕๕๑ เป็นต้นไปแล้ว ผู้บังคับบัญชาช้ันต้นที่เคยมีอานาจส่ังลงโทษ
ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ ไม่มีอานาจอีกต่อไป (ท่ี นร
๑๐๑๑/ล ๓๑๒ ลงวนั ท่ี ๑๑ มิถนุ ายน ๒๕๕๒)

กฎ ก.พ. ฉบับท่ี ๑๘ (พ.ศ. ๒๕๔๐)
ออกตำมควำมในพระรำชบัญญัตริ ะเบยี บขำ้ รำชกำรพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕

ว่ำด้วยกำรสอบสวนพิจำรณำ

1. การทารายงานสอบสวน ต้องมีสาระสาคัญประการหนึ่ง คือ วินิจฉัย
พยานหลักฐานแสดงเหตุผลควรหรือไม่ควรรับฟังอย่างไร (ท่ี นร ๑๐๑๑/๑๔๗ ลงวันท่ี ๑๙
มีนาคม ๒๕๕๓)

2. กรณีผู้ถูกกล่าวหาขอคัดสาเนาเอกสาร คณะกรรมการสอบสวนควรถือปฏิบัติ
ตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ พระราชบัญญัติระเบียบวิธีปฏิบัติ
ราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ ระเบียบสานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการรักษาความปลอดภัย
แห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๒ และมติคณะรัฐมนตรีท่ีเกี่ยวข้อง (ท่ี นร ๑๐๑1/ล ๒๑๕ ลงวันท่ี ๒1
เมษายน ๒๕๕๓)

พ.ร.บ. ลำ้ งมลทิน ฯ

๑. ผู้บังคับบัญชาสั่งลงโทษตัดเงินเดือน อ.ก.พ. กระทรวง มีมติให้แต่งต้ัง
คณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรง ต่อมาเมื่อผู้ถูกลงโทษน้ันได้รับการล้างมลทินแล้ว
จึงไม่อาจดาเนินการทางวินัยกับผู้ถูกลงโทษทางวินัยต่อไปได้ (ที่ นร ๑๐๑๑/๒๗ ลงวันที่ ๑๗
มกราคม ๒5๕1)

(13) หนำ้

๒. ผลของการล้างมลทินกฎหมายให้ถือว่าผู้น้ันไม่เคยถูกลงโทษทางวินัย 105
ในกรณีน้ัน ๆ ผู้บังคับบัญชาจึงไม่อาจเปล่ียนแปลงโทษเป็นอย่างอื่นได้ และเม่ือได้รับ 109
การล้างมลทนิ ไปก่อนแล้ว ผู้นัน้ กม็ ีสิทธิไดร้ บั การพิจารณาเลอื่ นเงินเดือน (ที่ นร ๑๐๑1/๑9๕ 111
ลงวันท่ี 4 มถิ ุนายน ๒๕๕๑)
113
๓. ผู้บังคับบัญชาส่ังลงโทษตัดเงินเดือน แต่ยังมิได้ดาเนินการตัดเงินเดือนของ
ผู้ถูกลงโทษ เน่ืองจากรอให้ผู้บังคับบัญชาเหนือขึ้นไปให้ความเห็นชอบก่อน เม่ือผู้ถูกลงโทษ 115
ยังไม่ได้รับโทษเลยย่อมไม่ได้รับการล้างมลทิน (ที่ นร ๑๐๑๑/ล 9๒๑ ลงวันที่ ๒9 สิงหาคม 117
๒๕๕๑)

๔. ผู้ถูกลงโทษที่ได้รับการล้างมลทิน ตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติ
ล้างมลทินในวโรกาสท่ีพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมีพระชนมพรรษา
๘๐ พรรษา พ.ศ. ๒๕๕๐ แล้ว แม้ภายหลังศาลปกครองสูงสุดจะมีคาพิพากษาให้เพิกถอน
คาสั่งลงโทษ ก็ไม่มีผลกระทบต่อการล้างมลทินที่มีผลสมบูรณ์ไปแล้ว ผู้บังคับบัญชาไม่อาจ
ดาเนินการทางวินัยแกผ่ ถู้ ูกลงโทษซึ่งได้รับการลา้ งมลทนิ ในการกระทาเดียวกนั นั้นอีก

เมื่อผู้นั้นได้รับการล้างมลทินแล้ว ก็ไม่เป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา
๓๖ ข. (9) หรือ (๑๐) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ และมีสิทธิ
ที่จะขอกลับเข้ารับราชการได้ตามมาตรา ๖๓ วรรคส่ี แต่ส่วนราชการจะบรรจุผู้นั้นกลับเข้ารับ
ราชการหรือไม่ เป็นดุลพินิจของผู้บังคับบัญชาซ่ึงมีอานาจส่ังบรรจุตามมาตรา ๕๗ ที่จะพิจารณา
(ท่ี นร ๑๐๑1/๖ ลงวันท่ี ๑๓ มกราคม ๒๕๕๓)

๕. การลา้ งมลทินตามพระราชบญั ญตั ิลา้ งมลทินในโอกาสสมโภชน์กรุงรัตนโกสินทร์
๒๐๐ ปี พ.ศ. ๒๕๒๖ กฎหมายมีเจตนารมณ์เพื่อให้ผู้ได้รับการล้างมลทินได้มีสิทธิสมบูรณ์
เช่นเดียวกับบุคคลท้ังหลายซึ่งไม่เคยรับโทษ คือ ล้างท้ังโทษและการกระทา ส่วนพระราชบัญญัติ
ล้างมลทินในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมีพระชนมพรรษา
๘๐ พรรษา พ.ศ. ๒๕๕๐ ล้างให้เฉพาะโทษ โดยให้ถือว่าผู้นั้นมิได้เคยถูกลงโทษเท่าน้ัน
มิได้ล้างการกระทาอันเป็นเหตุให้ถูกลงโทษ ดังน้ันจึงต้องนาเอาการกระทานั้นมาพิจารณาว่า
ผู้นั้นเป็นผู้บกพร่องในศีลธรรมอันดีจนเป็นที่รังเกียจของสังคมตามมาตรา ๓๖ ข. (๔) หรือไม่
(ที่ นร ๑๐๑๑/993 ลงวันท่ี ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๓)

๖. กรณีที่ผู้บังคับบัญชาได้ดาเนินการทางวินัยและสั่งยุติเร่ืองหรืองดโทษ และ
ผ้นู ้นั ไดร้ บั ประโยชนจ์ ากกฎหมายว่าดว้ ยการล้างมลทินแลว้ แม้คณะกรรมการ ป.ป.ช. จะมีมติ
ช้ีมลู ความผดิ วนิ ัยอย่างร้ายแรง ผู้บังคับบัญชาก็ไม่สามารถดาเนินการทางวินัยแก่ผู้นั้นได้อีกต่อไป
(หนังสอื สานกั งาน ก.พ. ท่ี นร ๑๐๑๑/ล ๒78 ลงวันท่ี ๒๓ มิถุนายน ๒๕๕๔)

๗. ผู้ถูกลงโทษไล่ออกและอยู่ในเกณฑ์ได้รับการล้างมลทินตามกฎหมาย
ว่าด้วยการล้างมลทิน แม้ผู้นั้นจะได้ฟ้องคดีต่อศาลปกครองขอให้เพิกถอนคาส่ังลงโทษ
และคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล หามีผลกระทบต่อการล้างมลทินที่สมบูรณ์ไปแล้ว

(14) หนำ้

แต่การล้างมลทนิ นเี้ ป็นเพียงการล้างเฉพาะโทษ โดยให้ถือว่าผู้น้ันมิได้เคยถูกลงโทษ ไม่ได้ล้าง 119
การกระทาอันเป็นเหตุให้ถูกลงโทษ จึงอาจนาเอาการกระทาน้ันมาพิจารณาวินิจฉัยว่า เป็นผู้
มีลกั ษณะต้องหา้ มตามมาตรา ๓๖ ข. (๔) เป็นผู้บกพร่องในศีลธรรมอันดีจนเป็นที่รังเกียจของ 121
สังคมได้ (ท่ี นร ๑๐๑1/ล ๓๙๒ ลงวันที่ ๔ ตลุ าคม ๒๕๕4) 124
125
8. ผู้บังคับบัญชาสั่งลงโทษตัดเงินเดือนข้าราชการ กรณีรับและนาส่งเงิน 127
ไม่เป็นไปตามระเบียบ ในเดือนมีนาคมถึงเมษายน ๒๕4๙ และได้รับการล้างมลทินไปแล้ว
สานักงานการตรวจเงินแผ่นดินช้ีมูลความผิดผู้น้ัน ในกรณีรับและนาส่งเงิน รวมทั้งนาเงิน
ไปหมุนใช้ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕4๘ ถึงมีนาคม ๒๕49 ถือเป็นมูลกรณีเดียวกันกับที่ได้รับ
การล้างมลทินแล้ว ผู้บังคับบัญชาไม่อาจดาเนินการทางวินัยตามที่สานักงานการตรวจเงินแผ่นดิน
ขี้มูลความผิดได้อกี (ที่ นร ๑๐๑๑/ล ๘ ลงวนั ที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๕๕)

พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่ำด้วยกำรป้องกันและปรำบปรำมกำรทุจริต
พ.ศ. ๒๕๔๒

๑. กรณีที่ผู้บังคับบัญชาสั่งลงโทษไล่ออก ฐานทุจริตต่อหน้าท่ีราชการ ตามที่
คณะกรรมการ ปปช. มีมติช้ีมูลความผิด และศาลรัฐธรรมนูญเคยมีคาวินิจฉัยว่าองค์กร
ที่มีอานาจพิจารณาอุทธรณ์ไม่อาจเปล่ียนแปลงฐานความผิดตามท่ีคณะกรรมการ ป.ป.ช.
วินิจฉัยให้เป็นอย่างอื่นได้ ก.พ. เห็นว่ากรณีที่ไม่ได้ความแน่ชัด แม้มิอาจเปลี่ยนฐานความผิด
ตามท่คี ณะกรรมการ ป.ป.ช. วินิจฉัย องค์กรดังกล่าวก็มีอานาจใช้ดุลยพินิจกาหนดระดับโทษ
ลดจากไลเ่ ป็นปลดออกได้ (ท่ี นร ๑๐๑๑/ล ๑๘๘ ลงวันท่ี ๒๘ กมุ ภาพันธ์ ๒๕๕๑)

๒. ผ้บู งั คับบญั ชาได้ดาเนินการทางวินัยและส่ังยุติเรื่องไปแล้ว ต่อมาคณะกรรมการ
ป.ป.ช. มีมติช้ีมูลความผิดวินัยอย่างร้ายแรงก่อนมีพระราชบัญญัติล้างมลทินฯ พ.ศ. ๒๕๕๐
แต่เมื่อมี พ.ร.บ. ดังกล่าว ใช้บังคับ และผู้น้ีได้รับประโยชน์จากมาตรา ๖ ผู้บังคับบัญชา
จึงไม่สามารถดาเนนิ การลงโทษผู้นี้ (ท่ี นร ๑๐๑1/ล ๔๗๔ ลงวันท่ี ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๒)

๓. ผู้บังคับบัญชาได้ดาเนินการทางวินัยและได้ส่ังยุติเรื่องไปแล้ว เมื่อมีพระราชบัญญัติ
ล้างมลทินฯ พ.ศ. ๒๕๕๐ และผู้น้ีได้รับประโยชน์จากมาตรา ๖ แม้ต่อมาคณะกรรมการ
ป.ป.ช. ได้มีมติช้ีมูลความผิดทางวินัยกับผู้นี้ในกรณีเดียวกัน ผู้บังคับบัญชาก็ไม่สามารถ
ดาเนนิ การทางวินัยแกผ่ ู้นไ้ี ดอ้ กี ต่อไป (ท่ี นร ๑๐๑1/ล ๘๒๗ ลงวนั ที่ ๒๗ ตลุ าคม ๒๕๕๒)

พ.ร.บ. วธิ ีปฏบิ ัติรำชกำรทำงปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙

1. ข้าราชการถูกลงโทษและถูกเพ่ิมโทษโดยมิได้อุทธรณ์คาสั่งลงโทษ ภายหลัง
ได้รอ้ งขอความเป็นธรรม อธิบดีมีอานาจยกคาส่ังเพ่ิมโทษข้ึนพิจารณาใหม่ได้ ตามนัยมาตรา ๕๔
แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓9 (ที่ นร ๑๐๑๑/ล ๓๒๒
ลงวนั ที่ 9 เมษายน ๒๕๕1)

(15) หน้ำ

๒. ผลการอุทธรณ์คาสั่งไล่ออก ให้ยกอุทธรณ์ ไปฟ้องศาลปกครอง คดีถึงท่ีสุด 129
โดยศาลพิพากษายกฟ้อง แต่คดีอาญาในเรื่องเดียวกันศาลฎีกาพิพากษายกฟ้อง อาจขอให้มี
การพิจารณาคดีใหม่ได้ ตามมาตรา ๕๔ (๑) แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง 131
พ.ศ. ๒๕๓๙ (ท่ี นร ๑๐๑๑/ล ๒๔๕ ลงวันท่ี 6 มถิ นุ ายน ๒๕๕๔) 133
135
อนื่ ๆ
137
๑. อุทธรณ์คาสั่งลงโทษ และได้รับการลดโทษ แต่ได้ใช้สิทธิย่ืนฟ้องคดีต่อ 138
ศาลปกครองต่อไป กรณีก็จะถือเป็นอันถึงท่ีสุดตามมาตรา ๗๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้ง
ศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ (ท่ี นร ๑๐๑๑/๓๓ ลงวันท่ี ๒๕
มกราคม ๒๕๕๑)

๒. ผู้บังคับบัญชาแต่งต้ังคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรง และ
สั่งยุติเรื่องแล้ว แต่สานักงานการตรวจเงินแผ่นดินมีความเห็นแตกต่างและช้ีมูลความผิด
ให้สอบสวนผู้ถูกกล่าวหาในกรณีเดียวกันนั้นอีก ผู้บังคับบัญชาไม่อาจดาเนินการได้ เพราะ
เปน็ การดาเนนิ การทางวินัยซ้า (ท่ี นร ๑๐๑๑/ ล ๗๕๑ ลงวันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๕๑)

๓. กรณีสานวนการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรงระหว่างการพิจารณาได้สูญหาย
โดยไม่มีเอกสารเพียงพอที่จะยืนยันได้ว่าสานวนท่ีสูญหายมีพยานหลักฐานอย่างไรบ้าง
ก็ควรให้คณะกรรมการสอบสวนทาการสอบสวนใหม่ หรือแต่งต้ังคณะกรรมการขึ้นเพ่ือทาการ
สอบสวนใหม่และพิจารณาดาเนินการให้เสร็จส้ินไปตามกระบวนการของกฎหมาย (ที่ นร
๑๐๑๑/๒๖๘ ลงวันที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๕๑)

๔. ข้าราชการที่ปฏิบัติงานในสหกรณ์ออมทรัพย์ของส่วนราชการที่เป็นการ
จัดสวัสดิการภายในส่วนราชการตามระเบียบ สานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการจัดสวัสดิการภายใน
ส่วนราชการ พ.ศ. ๒๕๔๗ ถือเป็นการปฏิบัติหน้าที่ราชการ (ที่ นร ๑๐๑๑/๕4๗ ลงวันท่ี
๒๖ สงิ หาคม ๒๕๕๒)

๕. การเพิกถอนคาสั่งลงโทษปลดออกหรือไล่ออกตามคาพิพากษาของศาลปกครอง
และการกลับเข้ารับราชการ ผู้บังคับบัญชาจะต้องยกเลิกคาส่ังลงโทษ และมีคาสั่งแต่งตั้ง
ให้ผนู้ ัน้ กลับไปดารงตาแหนง่ เดมิ หรือตาแหน่งอ่ืนในระดับเดียวกันท่ีมีคุณสมบัติเฉพาะสาหรับ
ตาแหน่งนัน้ ทัง้ น้ี ตง้ั แต่วันทมี่ คี าสั่งเปน็ ต้นไป

สาหรับเงินเดือนระหว่างถูกออกจากราชการ ต้องดาเนินการให้เป็นไปตาม
ระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจ่ายเงินเดือนให้แก่ราชการซ่ึงถูกสั่งให้ออก ปลดออก
หรือไล่ออกจากราชการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และข้าราชการซึ่งถูกสั่งให้ออก ปลดออก
หรือไล่ออกจากราชการแล้ว ต่อมาได้รับการพิจารณายกโทษ พ.ศ. ๒๕๓๘ (ที่ นร ๑๐๑๑/๒
ลงวันที่ ๖ มกราคม ๒๕๕๓)

(16) หนำ้

6 กรณีท่ีการสอบสวนพิจารณาโทษทางวินัย ยังฟังไม่ได้ว่าผู้ถูกกล่าวหา 140
กระทาผิดวินัย แต่กรณีเดียวกันผู้น้ันถูกฟ้องคดีอาญาหรือถูกกล่าวหาว่ากระทาผิดอาญา 141141
อยดู่ ว้ ย ในกรณีเช่นน้ีจึงควรรอการส่งั การเดด็ ขาดทางวินัยไว้ก่อน จนกว่าจะทราบผลคดีอาญา
(ที่ นร 1011/ล ๓๖๘ ลงวันที่ ๒ สิงหาคม ๒๕๕๓) 144

7. ผู้บังคับบัญชาได้ดาเนินการทางวินัยอย่างร้ายแรงแล้วสั่งยุติเร่ือง และรายงาน 146
อ.ก.พ. กระทรวง ตามมาตรา ๑๐๓ อ.ก.พ. กระทรวง พิจารณาแล้ว มิได้มีมติให้ดาเนินการ 149
เปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขเป็นอย่างอ่ืน และผู้แทน ก.พ. ซึ่งเป็นกรรมการใน อ.ก.พ. กระทรวง 152
ก็มิได้มีความเห็นเป็นอย่างอ่ืน ไม่มีกรณีท่ีจะต้องรายงาน ก.พ. ตามมาตรา ๑๐๔ ถือได้ว่า
กระบวนการดาเนินการทางวินัยเป็นอันส้ินสุด (ที่ นร ๑๐๑๑/99๑ ลงวันท่ี ๑๐ พฤศจิกายน
๒๕๕๓)

8. นาง ส. ได้ถูกลงโทษตัดเงินเดือน กรณีลงลายมือช่ือรับรองบุคคลในเอกสาร
ประกอบการเพิ่มชื่อในทะเบียนบ้านโดยมิชอบ จานวน ๔ ราย ต่อมาตรวจพบว่าก่อนถูกลงโทษ
นาง ส. มีพฤติการณ์ในลักษณะเดียวกันกับท่ีได้ถูกดาเนินการทางวินัยไปแล้วอีกหลายราย
การกระทาผิดในกรณีทตี่ รวจพบเพม่ิ เติมน้ัน ถือเป็นเร่อื งเดียวกนั กบั เร่ืองเดมิ ไม่สามารถนามา
ดาเนินการทางวนิ ยั ไดอ้ กี เพราะจะเปน็ การดาเนินการทางวินัยซ้า (ท่ี นร ๑๐๑๑/๗๖ ลงวันที่
๔ กมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๕4)

9. ข้าราชการท่ีเก่ียวข้องกับยาเสพติดตามกฎหมายว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ
อาจเป็นความผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรงหรืออย่างร้ายแรง โดยพิจารณาจากประเภทของยาเสพติด
และพฤติกรรมแห่งการกระทาเป็นเรื่อง ๆ ไป (ท่ี นร ๑๐๑๑/ล ๒๒๒ ลงวันที่ ๑๘ พฤษภาคม
๒๕๕๔)

10. แนวทางการพิจารณาโทษข้าราชการผู้เสพหรือติดยาเสพติด ซ่ึงพ้นจาก
สภาพการใช้ยาเสพติดแล้ว ไม่ควรลงโทษถึงไล่ออกหรือปลดออกหรือส่ังให้ออกจากราชการ
เน่ืองจากจะเป็นการขัดต่อเจตนารมณ์ของมติคณะรัฐมนตรี ตามหนังสือ นร ๐๕๐๕/ว ๓๘
ลงวันท่ี ๒๘ กมุ ภาพันธ์ ๒๕๕๐ (ท่ี นร ๑๐11/4๐๘ ลงวันท่ี 6 พฤศจกิ ายน ๒๕๕๕)

11. การส่ังเพิ่มโทษจากภาคทัณฑ์เป็นลดข้ันเงินเดือน 1 ขั้น ต้องสั่งให้มีผล
ย้อนหลังไปถึงวันที่คาสั่งเพ่ิมโทษเดิมใช้บังคับ โดยการสั่งย้อนหลังดังกล่าวไม่มีผลกระทบ
ถึงสิทธิและประโยชน์ท่ีข้าราชการผู้น้ันได้รับไปแล้ว ตามระเบียบ ก.พ. ว่าด้วยการออกคาส่ัง
เกี่ยวกับการลงโทษข้าราชการพลเรือนสามัญ พ.ศ. ๒๕๓๙ คาสั่งเพ่ิมโทษดังกล่าวจึงไม่มี
ผลกระทบถึงคาส่ังเล่ือนขนั้ เงนิ เดือนที่ได้เล่อื นให้ไปก่อนแล้ว เน่ืองจากเป็นสิทธิและประโยชน์
ท่ีผู้ถูกลงโทษได้รับไปแล้ว แต่กรมจะต้องงดเลื่อนขั้นเงินเดือนผู้น้ีตามนัยข้อ ๗ (๒) ของกฏ
ก.พ. ว่าด้วยการเล่ือนขั้นเงินเดือน พ.ศ. ๒๕๔๔ ในปีท่ีมีการเพ่ิมโทษ พร้อมท้ังดาเนินการ
แก้ไขอัตราเงินเดือนที่คลาดเคล่ือนไปให้ตรงกับความเป็นจริง (ท่ี นร ๑๐๑๑/๔๕ ลงวันท่ี
8 กรกฎาคม ๒๕4๖)

1

ท่ี นร ๑๐๑๑/๑๘9 สานกั งาน ก.พ.
ถนนพิษณุโลก กทม. ๑๐๓๐๐

๒9 พฤษภาคม ๒๕๕1

เร่อื ง หารือกรณนี างสาว ส. ขอกลับเข้ารับราชการ

เรียน ปลดั กระทรวงเกษตรและสหกรณ์

อ้างถึง หนังสอื กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ท่ี กษ 0๒๐๒/9๐๒๑ ลงวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๐

ตามหนงั สอื ทอ่ี ้างถึง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์หารือปัญหากรณีนางสาว ส. ขอกลับเข้ารับ
ราชการ โดยแจ้งข้อเท็จจริงว่า สานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีคาส่ังพักราชการนางสาว ส.
เจ้าหน้าที่ธุรการ ๓ สังกัดสานักงานปฏิบัติการฝนหลวง (ชื่อเดิม) เพ่ือรอฟังผลคดีอาญา ต้ังแต่วันท่ี ๒๓ มกราคม
๒๕๓๒ กรณตี อ้ งหาว่าออกเช็คโดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค และถูกคุมขังที่สถานีตารวจต้ังแต่วันที่
๒๓ มกราคม ๒๕๓๒ เป็นเหตุให้ไม่สามารถมาปฏิบัติหน้าท่ีราชการได้เป็นเวลาติดต่อกันเป็นเวลาเกินกว่า
สิบห้าวัน ต่อมาวันที่ 1 มีนาคม ๒๕๓๔ ได้ส่ังให้นางสาว ส. ออกจากราชการในกรณีเดียวกัน โดยเห็นว่า
คดีอาญาดังกล่าวไม่อาจแล้วเสร็จโดยเร็ว ประกอบกับได้รับรายงานเพ่ิมเติมว่า ผู้นี้ได้ถูกศาลแพ่งมีคาส่ังให้
พิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดในคดีล้มละลายด้วย ซ่ึงคดีอยู่ระหว่างอุทธรณ์คาพิพากษาและคาส่ัง ต่อมานางสาว ส.
ได้มีหนังสือลงวันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๕๐ ถึงผู้อานวยการกองการเจ้าหน้าที่ สานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและ
สหกรณ์แจ้งว่าคดีอาญาท่ีเป็นเหตุให้มีการส่ังพักและส่ังให้ออกจากราชการไว้ก่อนได้ถึงท่ีสุด และได้มีประกาศ
เจ้าพนกั งานพทิ ักษ์ทรัพย์ กรมบังคับคดี ปลดตนพ้นจากการล้มละลายแล้ว จึงประสงค์ท่ีจะขอกลับเข้ารับราชการ
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงหารือไปยังสานักงาน ก.พ. พร้อมทั้งส่งเอกสารท่ีเก่ียวข้องไปเพื่อประกอบ
การพจิ ารณา ความละเอยี ดแจ้งแล้ว นน้ั

ก.พ. ไดพ้ จิ ารณาแลว้ มีความเห็น ดงั นี้

๑. ตามท่ีหารือว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะต้องบรรจุนางสาว ส. กลับเข้ารับราชการ
หรือไม่ เม่ือใด อย่างไร และจะต้องให้นางสาว ส. ออกจากราชการเพราะเหตุขาดคุณสมบัติในการเข้ารับ
ราชการ เนื่องจากเป็นผู้มีหน้ีสินล้นพ้นตัวหรือเคยเป็นบุคคลล้มละลาย ตามมาตรา ๒๔ (๘) และ (9)
แห่งพระราชบัญญัติระเบยี บขา้ ราชการพลเรอื น พ.ศ. ๒๕๑๘ หรอื ไม่ อย่างไร น้ัน

ก.พ. เห็นว่า โดยท่ีมาตรา ๙๐ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๑๘
ได้บัญญัติในกรณีที่ผู้มีอานาจได้สั่งให้ข้าราชการคนใดออกจากราชการไว้ก่อนเพื่อรอฟังผลการสอบสวน
พิจารณาแล้ว ถ้าต่อมาผลการสอบสวนพิจารณาปรากฏว่าผู้น้ันมิได้กระทาผิดหรือกระทาผิดไม่ถึงกับต้อง
ถูกลงโทษถึงออกจากราชการ และผู้นั้นไม่มีกรณีท่ีจะต้องออกจากราชการด้วยเหตุอื่น ผู้มีอานาจจะต้องสั่ง
ให้ผู้นั้นกลับเข้ารับราชการในตาแหน่งเดิม สาหรับกรณีที่หารือ เม่ือปรากฎว่า ผลการพิจารณาในคดีอาญา

2

ท่ีนางสาว ส. เป็นผู้ต้องหา ได้ถึงที่สุด โดยศาลมีคาพิพากษาว่าผู้นี้ไม่ได้กระทาผิด อีกทั้งไม่ปรากฏว่ามีเหตุอื่น
ทีจ่ ะตอ้ งออกจากราชการ ถงึ แม้ผู้นี้จะถูกฟ้องเป็นคดีแพ่ง และศาลแพ่งได้มีคาพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย
แต่เมื่อสานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ไม่ได้พิจารณาหรือส่ังการในเร่ืองดังกล่าว เม่ือพระราชบัญญัติ
ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ มีผลใช้บังคับ โดยให้ยกเลิกพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการ
พลเรือน พ.ศ. ๒๕๑8 ผู้มีอานาจส่ังบรรจุจึงไม่สามารถที่จะสั่งให้นางสาว ส. ออกจากราชการตามพระราชบัญญัติ
ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๑๘ ได้ และต่อมานางสาว ส. ได้ถูกปลดจากการล้มละลาย จึงคงมีฐานะ
เพียงเคยเป็นบุคคลล้มละลาย ซ่ึงพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ ไม่ได้บัญญัติ
ให้การเคยเป็นบุคคลล้มละลาย เป็นลักษณะต้องห้ามในคุณสมบัติทั่วไปของการเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ
นางสาว ส. จึงไม่ใช่ผู้ขาดคุณสมบัติเพราะเป็นบุคคลล้มละลาย จึงไม่มีกรณีที่จะต้องออกจากราชการด้วยเหตุอื่น
ผู้บังคับบัญชาต้องสั่งให้นางสาว ส. กลับเข้ารับราชการในตาแหน่งเดิม หรือตาแหน่งอื่นในระดับเดียวกัน
ทตี่ ้องใช้คุณสมบัตเิ ฉพาะทผ่ี ู้นนั้ มอี ยู่ต่อไป

สาหรับการส่ังให้กลับเข้ารับราชการ โดยท่ีพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน
พ.ศ. ๒๕๓๕ มาตรา ๑๔๒ และพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ มาตรา ๑๓๗ ซึ่งเป็น
บทเฉพาะกาลได้บัญญัติความไว้ในทานองเดียวกันว่า การใดท่ีอยู่ระหว่างดาเนินการหรือเคยดาเนินการได้
ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับก่อนในวันท่ีพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชก ารพลเรือน
ฉบับใหม่ใช้บังคับ หรือเป็นกรณีที่มิได้บัญญัติไว้ หรือมีกรณีท่ีไม่อาจดาเนินการได้พระราชบัญญัติระเบียบ
ขา้ ราชการพลเรอื นฉบบั ใหม่ การดาเนนิ การต่อไปในเรอื่ งน้นั ให้เป็นไปตามที่ ก.พ. กาหนด ซ่ึงการส่ังให้ออกจาก
ราชการไว้ก่อนมีลักษณะเป็นการสั่งให้ข้าราชการออกจากราชการเป็นการช่ัวคราว โดยผู้บังคับบัญชายังคง
มีหน้าที่ท่ีจะต้องสั่งการอย่างใดอย่างหน่ึงเมื่อการสอบสวนพิจารณาเสร็จส้ิน จึงถือเป็นกรณีท่ีอยู่ระหว่าง
ดาเนินการที่ ก.พ. สามารถจะกาหนดการดาเนินการต่อไป ตามบทเฉพาะกาลมาตรา ๑๔๒ และมาตรา ๑๓๗
ดังกล่าวได้ ก.พ. จึงเหน็ ควรกาหนดการดาเนินการตอ่ ไปในกรณนี ้ีว่า “กรณที มี่ กี ารสั่งใหอ้ อกจากราชการไว้ก่อน
ตามมาตรา ๙๐ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๑๘ จนกระท่ังพระราชบัญญัติ
ระเบียบข้าราชการพลเรือนพ.ศ. ๒๕๓๕ และพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑
ใช้บังคับตามลาดับ การดาเนินการต่อไปสาหรับการส่ังให้ออกจากราชการไว้ก่อนให้เป็นไปตามมาตรา ๑๐๗
แหง่ พระราชบญั ญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕” ดังน้ัน จึงต้องออกคาส่ังให้นางสาว ส. กลับเข้า
รับราชการโดยอาศัยอานาจตามมาตรา ๑๓๑ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑
ประกอบมาตรา ๑๐๗ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ กฎ ก.พ. ฉบับท่ี ๑๑
(พ.ศ. ๒๕๓๘) ออกตามความในพระราชบญั ญตั ิระเบยี บขา้ ราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ ว่าด้วยการส่ังพักและ
การส่ังให้ออกจากราชการไว้ก่อน และกฎ ก.พ. ฉบับที่ ๒๙ (พ.ศ. ๒๕4๘) ออกตามความในพระราชบัญญัติ
ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ ว่าด้วยการสั่งพักและการส่ังให้ออกจากราชการไว้ก่อน (ฉบับแก้ไข
เพ่มิ เติม)

3

๒. ตามที่หารือว่า การท่ีนางสาว ส. ถูกศาลพิพากษาว่าเป็นบุคคลล้มละลาย จะถือว่าเป็น
ผู้ขาดคุณสมบัติ เน่ืองจากเป็นบุคคลล้มละลาย ตามมาตรา ๓๐ (๙) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการ
พลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ หรือไม่ และหากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะให้นางสาว ส. กลับเข้ารับราชการ
จะต้องให้ ก.พ. พิจารณายกเว้นคุณสมบัติตามมาตรา ๓๐ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการ
พลเรอื น พ.ศ. ๒๕๓๕ หรอื ไม่ หรือต้องดาเนนิ การอย่างไร นั้น

ก.พ. เห็นว่า เร่ืองนี้ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นที่ยุติว่า ศาลแพ่งได้มีคาพิพากษาให้นางสาว ส.
เป็นบุคคลล้มละลาย แต่สานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ไม่ได้พิจารณาส่ังการในเร่ืองดังกล่าว
ต่อมาเมอ่ื เจา้ พนักงานพทิ ักษ์ทรัพย์ได้มปี ระกาศปลดนางสาว ส. จากการล้มละลาย ดังนั้น นางสาว ส. จึงไม่ใช่
ผ้ขู าดคณุ สมบตั ิเพราะเป็นบคุ คลล้มละลายอีกต่อไป การท่ีจะส่ังให้นางสาว ส. กลับเข้ารับราชการ จึงไม่ต้องให้
ก.พ. พิจารณายกเวน้ คุณสมบัตแิ ต่อย่างใด

อน่ึง ก.พ. มขี อ้ สังเกตเก่ียวกบั การดาเนนิ การในกรณีนว้ี ่า เมื่อศาลมีคาส่ังพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด
ย่อมถือว่านางสาว ส. เป็นผู้ขาดคุณสมบัติทั่วไปในการรับราชการ ผู้บังคับบัญชาต้องส่ังให้ออกจากราชการ
โดยพลนั ต่อมาแมค้ ดีอาญาจะถงึ ทส่ี ุดโดยศาลพิพากษาว่านางสาว ส. ไมไ่ ด้กระทาผดิ ตอ้ งถือว่าผู้น้ีมีกรณีที่ต้อง
ออกจากราชการด้วยเหตุอื่น ผู้บังคับบัญชาไม่ต้องส่ังให้กลับเข้ารับราชการ แต่ปรากฏว่ากระทรวงเกษตรและ
สหกรณ์ไม่ได้ดาเนินการใดในเรอ่ื งดงั กลา่ ว จนกระท่ังผู้น้ีพ้นสภาพจากการล้มละลาย นางสาว ส. จึงไม่ใช่ผู้ขาด
คุณสมบัติเพราะเป็นบุคคลล้มละลาย จึงไม่มีกรณีที่ต้องออกจากราชการด้วยเหตุอื่น ผู้บังคับบัญชาต้องสั่งให้
กลับเข้ารับราชการ และเป็นผลทาให้ทางราชการต้องจ่ายเงินเดือนและสิทธิประโยชน์อ่ืน ๆ แก่นางสาว ส.
ระหวา่ งถูกส่ังให้ออกจากราชการเพ่ือรอฟังผลคดีอาญา ดังน้ัน เพ่ือป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาในทานองเดียวกันน้ี
ก.พ. จึงมีมติให้แจ้งข้อสังเกตดังกล่าวมายังกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพ่ือประกอบการพิจารณาในเร่ือง
ต่อ ๆ ไป

จงึ เรียนมาเพอ่ื โปรดทราบ

ขอแสดงความนับถือ
ทัศนีย์ ธรรมสิทธิ์
(นางสาวทัศนีย์ ธรรมสิทธิ)์
รองเลขาธกิ าร ก.พ.
ปฏบิ ัตริ าชการแทนเลขาธกิ าร ก.พ.

สานักมาตรฐานวนิ ัย
โทร. ๐ ๒๕๔๗ ๑๖๓๑
โทรสาร ๐ ๒๕๔๗ ๑๖๓๐

4

ที่ นร 1011/315 สานกั งาน ก.พ.
ถนนพิษณุโลก กทม. 92300

19 สงิ หาคม 2551

เรอื่ ง หารือกรณเี กี่ยวกบั คุณสมบตั พิ นกั งานราชการ

เรียน อธบิ ดกี รมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน

อ้างถึง หนังสือกรมพินิจและคมุ้ ครองเด็กและเยาวชน ท่ี ยธ ๐๖๑๐๐/๓๕๗๑ ลงวันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๕๑

ตามหนังสือที่อ้างถึง กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนได้หารือเกี่ยวกับคุณสมบัติของ
พนักงานราชการเพ่ือบรรจุเข้ารับราชการเป็นพนักงานราชการทั่วไป โดยแจ้งข้อเท็จจริงว่า กรมพินิจและ
คุ้มครองเด็กและเยาวชน มีประกาศลงวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๕๐ รับสมัครบุคคลเพื่อเลือกสรรเป็นพนักงาน
ราชการทั่วไป โดยได้ดาเนินการสอบข้อเขียนวันที่ ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๕๐ สอบสัมภาษณ์วันที่ 4 สิงหาคม
๒๕๕๐ และประกาศรายชื่อผู้ผ่านการเลือกสรรวันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๕๐ ภายหลังจากการประกาศ รายชื่อผู้
ผ่านการเลือกสรรเป็นพนักงานราชการท่ัวไปแล้ว กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนได้ ตรวจสอบพบว่า
นาย ก. ผู้ผา่ นการเลือกสรรเป็นพนักงานราชการท่ัวไปในลาดับที่ ๕ ตาแหน่งนักวิชาการ อบรมและฝึกวิชาชีพ
(ด้านพ่อบ้าน) เคยเป็นลูกจ้างประจาตาแหน่งพนักงานพินิจ(พนักงานควบคุม) และถูกลงโทษไล่ออกจาก
ราชการตามคาส่ังกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน ท่ี ๖๐๖/๒๕๔๖ ลงวันท่ี ๒๔ ธันวาคม ๒๕๕๖
กรณีละท้ิงหน้าที่ราชการติดต่อกันเป็นเวลาเกินกว่าสิบห้าวันโดยไม่มีเหตุผลอันสมควรและมีพฤติการณ์จงใจ
ไม่ปฏิบัติตามระเบียบของทางราชการ ดังน้ัน ในการเรียกบรรจุพนักงานราชการเมื่อวันที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๕๑
กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน จึงได้เรียกบรรจุผู้ผ่านการเลือกสรรพนักงานราชการ ลาดับท่ี 4 และ
ท่ี 6 โดยข้ามลาดับที่ ๕ ไป เป็นเหตุให้นาย ก. ผู้ผ่านการเลือกสรรลาดับท่ี ๕ ร้องขอความเป็นธรรม
กรมพนิ จิ และคุม้ ครองเด็กและเยาวชน ขอหารือว่า เมื่อพระราชบัญญัติล้างมลทินในวโรกาสที่ พระบาทสมเด็จ
พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมีพระชนมพรรษา ๘๐ พรรษา พ.ศ. ๒๕๕๐ มีผลใช้บังคับแล้ว นาย ก.
จะได้รบั การล้างมลทนิ และมีสทิ ธไิ ดร้ ับการบรรจเุ ป็นพนกั งานราชการทวั่ ไปหรอื ไม่ ความละเอียดแจ้งแลว้ นนั้

สานักงาน ก.พ. ขอเรียนว่า กรณีที่หารือนี้เป็นเร่ืองพนักงานราชการ ซึ่งตามข้อ 8 ของ
ระเบียบสานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยพนักงานราชการ พ.ศ. ๒๕๔๗ ได้กาหนดว่า “ผู้ซ่ึงจะได้รับการจ้าง
เป็นพนักงานราชการต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามดังต่อไปน้ี... (๗) ไม่เป็นผู้เคยถูกลงโทษให้ออก
ปลดออก หรือไล่ออกจากราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานอ่ืนของรัฐ” กรณีนี้ กรมพินิจและคุ้มครองเด็ก
และเยาวชนได้ประกาศรับสมัครบุคคลเพื่อเลือกสรรเป็นพนักงานราชการทั่วไปเม่ือวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๕๐
โดยประกาศดังกล่าวกาหนดคุณสมบัติทั่วไปของผู้มีสิทธิสมัครประการหน่ึงว่าไม่เป็นผู้ท่ีเคยถูกลงโทษให้ออก
ปลดออก หรือไล่ออกจากราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานอื่นของรัฐ และระบุเง่ือนไขว่า ผู้สมัครเข้ารับ

5

การเลือกสรรจะต้องรับผิดชอบในการตรวจสอบและรับรองตนเองว่าเป็นผู้มีคุณสมบัติท่ัวไปและคุณสมบัติเฉพาะ
สาหรับตาแหน่งตรงตามประกาศรับสมัครจริง นาย ก. ได้ยื่นใบสมัครเพื่อขอรับการเลือกสรรตามประกาศ
ดงั กล่าว และเจา้ หน้าท่ีผู้รับผิดชอบได้รบั สมคั รไว้เมอ่ื วันที่ 6 กรกฎาคม ๒๕๕๐ โดยได้รบั รองตนเองในใบสมัคร
ว่าเป็นผู้มีคุณสมบัติครบถ้วนตามที่ระบุไว้ในข้อ 8 ของระเบียบสานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยพนักงานราชการ
พ.ศ. ๒๕๔๗ ทาให้ผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติ ต่อมากรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน ได้ตรวจสอบ
พบวา่ นาย ก. เคยถูกลงโทษไล่ออกจากราชการก่อนวนั รบั สมคั รบคุ คลเพอื่ เลอื กสรรเป็นพนักงานราชการท่ัวไป
กรณีจึงถือว่า นาย ก. เป็นผู้ขาดคุณสมบัติอยู่ก่อนวันรับสมัครตามข้อ ๘ ของระเบียบสานักนายกรัฐมนตรี
วา่ ดว้ ยพนกั งานราชการ พ.ศ. ๒๕๔๗ แม้ภายหลงั จะได้มีพระราชบัญญัติล้างมลทินในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จ
พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมีพระชนมพรรษา ๘๐ พรรษา พ.ศ. ๒๕๕๐ ออกมาใช้บังคับเมื่อวันที่ ๕
ธันวาคม ๒๕๕๐ แล้วกต็ าม กฎหมายล้างมลทินฉบับนี้ก็ไม่มีผลใช้บังคับย้อนหลังไปถึงวันที่รับสมัครแต่อย่างใด
กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจึงไม่อาจนาผลการเลือกสรรบุคคลเพื่อเป็นพนัก งานราชการทั่วไปน้ัน
มาบรรจผุ นู้ ้เี ข้าเป็นพนกั งานราชการท่ัวไปได้

จึงเรียนมาเพ่ือโปรดทราบ

ขอแสดงความนบั ถือ
ทัศนยี ์ ธรรมสทิ ธิ์
(นางสาวทศั นีย์ ธรรมสิทธิ)์
รองเลขาธิการ ก.พ.
ปฏิบัติราชการแทนเลขาธิการ ก.พ.

สานกั มาตรฐานวนิ ยั
โทร. ๐ ๒๕๔๗ ๑๖๓๑
โทรสาร ๐ ๒๕๕๗ 1630

6

ที่ นร 1011/271 สานกั งาน ก.พ.
ถนนพิษณุโลก กทม. 10300

14 กนั ยายน 2549

เร่อื ง ลกู จา้ งช่วั คราวเคยถกู จาคกุ ในคดยี าเสพติด

เรยี น นาย ก.

อา้ งถึง หนงั สือของท่าน ลงวันท่ี 31 สงิ หาคม 2549

ส่ิงท่ีส่งมาดว้ ย หนังสอื สานกั เลขาธิการคณะรัฐมนตรี ดว่ นทสี่ ุด ที่ นร 0504/ว 208
ลงวนั ที่ 15 สิงหาคม2546 จานวน 3 แผน่

ตามหนังสือท่ีอ้างถึง ท่านได้แจ้งข้อเท็จจริงว่าปัจจุบันทางานเป็นลูกจ้างเงินบารุงของส่วน
ราชการแห่งหน่ึง (สัญญาปีต่อปี) เป็นเวลา 2 เดือนแล้ว และส่วนราชการท่ีปฏิบัติงานอยู่จะเลิกจ้างในเดือน
กนั ยายน 2549 เนื่องจากทราบประวัติจากการพิมพ์ลายน้ิวมือว่า เมื่อปี พ.ศ. 2546 ก่อนท่ีจะมาปฏิบัติงาน
ดังกลา่ วได้เคยต้องโทษจาคกุ คดียาเสพติดเปน็ เวลา 1 ปี และขอถามปัญหาดงั น้ี

1. ระเบียบ ก.พ. ซงึ่ ใชก้ ับขา้ ราชการสามารถนามาใชก้ ับลูกจ้างช่วั คราวไดห้ รือไม่
2. ตามมาตรา 30 (10) และมาตรา 30 วรรคสอง ท่ีว่า อาจจะเข้ารับราชการได้ น้ัน ในกรณี
ของลูกจา้ งชวั่ คราวจะไดร้ ับสทิ ธิ และมีโอกาสในการจา้ งตอ่ มากน้อยเพียงใด
3. กรณที ่มี ีโทษทางอาญาไม่วา่ จะเป็นข้าราชการ หรือลกู จา้ งจะไม่มีโอกาสแก้ตัว หรือ ทางาน
ให้กับภาครัฐเลยหรือไม่ อย่างไร
สานกั งาน ก.พ.ขอเรียนช้ีแจงดังน้ี
1. สาหรับปัญหาข้อที่ 1. ขอเรียนว่า พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535
เป็นกฎหมายท่ีบัญญัติข้ึนเพื่อใช้บังคับกับข้าราชการพลเรือน ดังนั้น กฎ ก.พ. และระเบียบ ก.พ. ซ่ึงออกตาม
กฎหมายดงั กล่าวจงึ ใชบ้ ังคบั กบั ข้าราชการพลเรือนโดยตรง
2. สาหรับปัญหาข้อท่ี 2. ขอเรียนว่า กรณีตามมาตรา 30 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติ
ระเบียบขา้ ราชการพลเรอื น พ.ศ. 2535 เป็นกรณีท่ี ก.พ. อาจพิจารณายกเว้นคุณสมบัติให้แก่ผู้ขาดคุณสมบัติ
ทั่วไปในการที่จะเข้ารับราชการเป็นข้าราชการพลเรือน ส่วนผู้ที่จะเข้าเป็นลูกจ้างช่ัวคราว ก.พ. ไม่อยู่ในฐานะ
ทจี่ ะพจิ ารณายกเวน้ คุณสมบัติตามนยั มาตราดังกล่าวได้
3. สาหรับปัญหาข้อที่ 3. ขอเรียนว่า กรณีท่ีผู้ใดเคยรับราชการเป็นข้าราชการพลเรือนแล้ว
ต่อมาถูกลงโทษทางวินัยถึงข้ันออกจากราชการเพราะกระทาผิดอาญา ผู้นั้นสามารถขอกลับเข้ารับราชการ
ตามเดิมได้โดยขอยกเว้นคุณสมบัติต่อ ก.พ. ตามที่กล่าวแล้วในข้อ 2. สาหรับลูกจ้างชั่วคราว ส่วนราชการจะจ้าง

7

หรือไม่ขึ้นอยู่กับความต้องการของส่วนราชการนั้นเป็นสาคัญ แต่อย่างไรก็ตาม เกี่ยวกับเร่ืองน้ี สานักเลขาธิการ
คณะรฐั มนตรี ไดม้ หี นังสอื ด่วนทีส่ ดุ ที่ นร 0504/ว 208 ลงวนั ท่ี 15 สิงหาคม 2546 แจ้งมติคณะรัฐมนตรี
ที่ให้ความเห็นชอบในเร่ือง การให้โอกาสผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติดซ่ึงพ้นจากสภาพ การใช้ยาเสพติดเข้าทางาน
หรือรับการศึกษาต่อในหน่วยงานภาครัฐเพื่อให้ส่วนราชการต่าง ๆ ทราบ และถือปฏิบัติท่ัวกันแล้ว ดังนั้น
ท่านอาจขอให้ส่วนราชการท่ที า่ นปฏบิ ตั ิงานอยู่พจิ ารณาตามหนังสอื ดังกล่าวได้

จึงเรียนมาเพื่อทราบ พร้อมนไ้ี ด้จดั สง่ เอกสารทเ่ี ก่ียวข้องมาดว้ ยแล้ว

ขอแสดงความนับถือ

(นางสุภาวดี เวชศลิ ป)์
รองเลขาธิการ ก.พ.
ปฏบิ ตั ริ าชการแทนเลขาธกิ าร ก.พ.

สานกั มาตรฐานวินยั
โทร. 0 2547 1631
โทรสาร 0 2547 1630

8

ที่ นร 1011/311 สานกั งาน ก.พ.
ถนนพษิ ณุโลก กทม. 10300

18 ตุลาคม 2547

เรอื่ ง หารือเกีย่ วกบั การดาเนนิ การทางวินยั และการลงโทษทางวนิ ยั ข้าราชการ

เรียน อธิบดกี รมศลุ กากร

อา้ งถึง หนังสือกรมศลุ กากร ท่ี กค 0514/5536 ลงวนั ท่ี 18 สิงหาคม 2547

ตามหนังสือที่อ้างถึง แจ้งว่ากรมศุลกากร ได้มีคาสั่งแต่งต้ังคณะกรรมการสอบสวนนาย ก.
นายตรวจศลุ กากร 5 และนาย ข. ศุลการักษ์ 3 กรณีเมื่อครั้งปฏิบัติหน้าที่ด่านศุลกากรคลองใหญ่ ถูกกล่าวหา
ว่ากระทาผิดวินัยอย่างร้ายแรง โดยนาย ก. ได้รับมอบหมายให้ตรวจปล่อยและควบคุมการบรรทุกสินค้า
เหล็กส่งออกของบริษทั แห่งหน่ึงจานวน 9 ใบขน แต่รับรองการตรวจปล่อยสินค้าเหล็กส่งออกโดยมิได้ไปตรวจ
ปล่อยจริง ส่วนนาย ข. เป็นผู้ช่วยนายตรวจแต่มิได้ไปร่วมตรวจปล่อยสินค้าจานวน 9 ใบขนดังกล่าว
ซง่ึ คณะกรรมการสอบสวนเหน็ วา่ นาย ก. กระทาผิดวนิ ยั ไม่ร้ายแรงตามมาตรา 85 วรรคหน่ึง แห่งพระราชบัญญัติ
ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 ควรลงโทษภาคทัณฑ์ ส่วนนาย ข. ไม่ได้กระทาผิด ให้ยุติเร่ือง
แต่สานักบริหารและพัฒนาบุคคลเห็นว่า เน่ืองจากความเสียหายได้ถูกระงับยับยั้งไว้โดยเจ้าหน้าท่ีจับกุมสินค้า
ตามใบขนสินค้าขาออกได้เสียก่อน เห็นควรลงโทษลดข้ันเงินเดือนนาย ก. 1 ข้ัน และภาคทัณฑ์นาย ข.
สว่ นกรณกี รมศุลกากร ได้มคี าสัง่ แต่งต้ังคณะกรรมการสอบสวนนาย ค. นายตรวจศุลกากร 6ว กรณีถูกกล่าวหาว่า
กระทาผิดวินัยอย่างร้ายแรงโดยได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ตรวจปล่อยสินค้าตามใบขนสินค้าขาเข้าท่ีสาแดงว่า
เป็นกีต้าร์โปร่ง แล้วมิได้ไปทาการตรวจปล่อยสินค้า ทั้งยังได้สลักหลังใบขนสินค้าขาเข้ารับรองการเปิดตรวจ
และปล่อยสินค้าไป แต่เจ้าหน้าท่ีจับกุมสินค้าได้และเปิดตรวจสอบพบว่าไม่ตรงตามที่สาแดง กลับเป็นสินค้า
นา้ หอม อะไหลร่ ถยนต์ และจักรยานยนต์ ไวน์ และอ่ืนๆ หลายรายการ คณะกรรมการสอบสวนเห็นว่านาย ค.
กระทาผิดวินัยตามมาตรา 85 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535
ควรลงโทษลดขั้นเงินเดือน 1 ข้ัน แต่สานักบริหารและพัฒนาบุคคลเห็นว่าเป็นความผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรง
ตามมาตรา 84 วรรคหนึ่ง และมาตรา 85 วรรคหนึ่งแห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535
แต่ไม่เกิดความเสียหายแก่ทางราชการ เนื่องจากเจ้าหน้าที่ได้จับกุมสินค้าได้เสียก่อน และบริษัทยินยอมชาระ
คา่ ปรบั และค่าภาษีอากรทข่ี าดในชั้นศลุ กากร ควรลงโทษลดขน้ั เงนิ เดือน 1 ข้นั

กรมศุลกากรพิจารณาทัง้ สองกรณีแลว้ จงึ หารอื วา่
1. การที่เจ้าหน้าท่ีสานักสืบสวนและปราบปราม และสานักงานศุลกากร ได้ร่วมกันจับกุม
สินค้าท่ีลักลอบหนีศุลกากรกลับคืนมาได้ จะถือว่าไม่มีความเสียหายเกิดข้ึนและจะเป็นเหตุแห่งการลดโทษ
ใหแ้ ก่เจ้าหน้าท่ที ก่ี ระทาผดิ วินยั ไดห้ รือไม่ อย่างไร

9

2. การท่ีเจ้าหน้าที่สานักสืบสวนและปราบปรามจับกุมสินค้ากลับคืนมาได้ และบริษัทตกลง
ชาระคา่ ภาษอี ากรทขี่ าดจะถอื วา่ กรณีน้เี กิดความเสยี หายแก่ทางราชการหรือไม่ อย่างไร

สานักงาน ก.พ. พิจารณาปัญหาทั้ง 2 ข้อแล้ว ขอเรียนว่า โดยท่ี ก.พ. ได้เคยพิจารณา
ให้ความเห็นไว้ว่า กรณีใดจะเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรงฐานประมาทเลินเล่อในหน้าที่ราชการหรือจงใจ
ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบของทางราชการ หรือมติคณะรัฐมนตรี อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการ
อย่างร้ายแรงหรือไม่นั้น จะต้องพิจารณาถึงพฤติการณ์แห่งการกระทาท้ังเร่ืองและผลแห่งความเสียหายท่ี
ทางราชการได้รับควบคู่กันไปเป็นประการสาคัญ เช่น หากข้อเท็จจริงตามเรื่องรับฟังได้เป็นท่ียุติว่าเป็นการ
กระทาผิดฐานประมาทเลินเล่อในหน้าที่ราชการ หรือจงใจไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบของทางราชการ
และผลของการกระทาน้ันก่อให้เกิดความเสียหายแก่ราชการถึงข้ันร้ายแรงแล้วไม่ว่าความเสียหายนั้นจะคิด
ราคาเปน็ เงนิ ได้หรือไมก่ ต็ าม กรณียอ่ มปรับบทเป็นความผิดวินยั ตามมาตรา 68 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติ
ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2518 (มาตรา 84 วรรคสอง หรือมาตรา 85 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติ
ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535) ส่วนในกรณีที่ความเสียหายที่ทางราชการได้รับจากผลของ
การกระทาในเร่ืองนั้นลดน้อยลง หรือหมดไปแล้ว เช่น ความเสียหายที่สามารถตีราคาหรือคานวณเป็นเงินได้
และได้มีการชดใช้หรือบรรเทาความเสียหายแล้ว กรณีย่อมไม่อาจปรับบทเป็นความผิดตามมาตรา 68 วรรคสอง
(มาตรา 84 วรรคสอง หรอื มาตรา 85 วรรคสอง) ได้ แต่มิใช่ว่าผู้น้ันจะพ้นผิดไปเลยทีเดียว กรณียังต้องรับผิด
อยู่ตามมาตรา 68 วรรคหนึ่ง (มาตรา 84 วรรคหนึ่ง และมาตรา 85 วรรคหนึ่ง) เพราะว่าผู้นั้นยังปฏิบัติราชการ
โดยประมาทเลินเล่อหรือไม่ต้ังใจปฏิบัติหน้าที่ราชการอยู่ ส่วนความเสียหายท่ีไม่อาจคิดราคาเป็นเงินได้ เช่น
ความเสยี หายท่ีมีต่อระบบราชการ หรือโครงการต่างๆ หรือภาพพจน์ชอ่ื เสียงของทางราชการ แม้จะมีการชดใช้
ค่าเสียหายแก่ทางราชการแล้ว ก็ไม่เป็นเหตุที่จะบรรเทาความเสียหายได้ ซ่ึงในการพิจารณาเรื่องดังกล่าว
อยู่ในดุลพินิจของผู้บังคบั บญั ชาผ้มู ีอานาจตามกฎหมายทีจ่ ะต้องพิจารณาตามข้อเท็จจริงเปน็ ราย ๆ ไป

สาหรับเร่ืองเหตุแห่งการลดโทษน้ัน ก.พ. ได้เคยพิจารณาให้ความเห็นไว้ว่า พระราชบัญญัติ
ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2518 บัญญัติเกี่ยวกับเหตุลดหย่อนโทษไว้ในมาตรา 85 (มาตรา 103
แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535) ว่า “ข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดกระทาผิด
ทย่ี งั ไม่ถึงขน้ั เปน็ การกระทาผิดวินยั อยา่ งรา้ ยแรง ใหผ้ ูบ้ ังคับบัญชาสง่ั ลงโทษภาคทัณฑ์ ตัดเงินเดือน หรือ ลดข้ัน
เงินเดือน ตามควรแก่กรณีให้เหมาะสมกับความผิด ถ้ามีเหตุอันควรลดหย่อนจะนามาประกอบการพิจารณา
ลดโทษก็ได้ แต่สาหรับการลงโทษภาคทัณฑ์ให้ใช้กรณีกระทาผิดวินัยเล็กน้อย หรือมีเหตุอันควรลดหย่อน
ซึ่งยังไม่ถึงกับจะต้องถูกลงโทษตัดเงินเดือน” และบัญญัติไว้ในมาตรา 86 (มาตรา 104 แห่งพระราชบัญญัติ
ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535)ว่า “ข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดกระทาผิดวินัยอย่างร้ายแรง
จะต้องได้รับโทษให้ออก ปลดออก หรือไล่ออก ตามความร้ายแรงแห่งกรณี ถ้ามีเหตุอันควรลดหย่อยจะนามา
ประกอบการพิจารณาลดโทษก็ได้ แต่ห้ามมิให้ลดโทษต่ากว่าให้ออก” ซ่ึงเห็นได้ว่ากฎหมายมิได้บัญญัติ
รายละเอียดของเหตุอันควรลดหย่อนโทษว่าควรจะเปน็ เหตุใดบา้ งไวแ้ ตป่ ระการใด ดังน้ันเหตุอันควรลดหย่อนท่ี
ผู้บังคับบัญชาจะนามาประกอบการพิจารณาลดโทษทางวินัยให้แก่ข้าราชการพลเรือนสามัญผู้กระทาผิดนั้น

10

จึงขึน้ อยูก่ ับการใช้ดลุ พินิจของผ้บู ังคบั บัญชาผมู้ อี านาจส่ังลงโทษเป็นสาคัญว่าจะพิจารณาลดโทษด้วยเหตุผลใด
และเพยี งใด ทั้งน้ี การใช้ดลุ พินิจพจิ ารณาเหตอุ ันควรลดหยอ่ นเมอื่ นามาประกอบการพิจารณาลดหย่อนโทษน้ัน
จะตอ้ งอยภู่ ายใต้บทบญั ญตั ิของกฎหมายดงั กลา่ วขา้ งตน้ ดว้ ย

ดังน้ัน เมื่อพิจารณาตามความเห็นของ ก.พ. ดังกล่าวข้างต้นประกอบข้อเท็จจริงดังกล่าวแล้ว
จะเห็นได้ว่าการท่ีจะพิจารณาว่ากรณีใดก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการ และจะมีเหตุลดหย่อนโทษ
หรือไม่ เพียงใด เป็นเร่ืองที่อยู่ในดุลพินิจของผู้บังคับบัญชาผู้มีอานาจตามกฎหมาย คือ อธิบดีกรมศุลกากร
ทจ่ี ะพจิ ารณาจากเร่อื งและผลท่เี กิดขน้ึ และทางราชการไดร้ บั เปน็ สาคัญ โดยพจิ ารณาจากขอ้ เท็จจริงเป็นเรื่องไป
ภายใต้บทบัญญตั ขิ องกฎหมายดงั กลา่ วขา้ งต้น

จงึ เรยี นมาเพ่ือโปรดทราบ

ขอแสดงความนบั ถือ

(นางสาววนิดา นวลบญุ เรอื ง)
รองเลขาธิการ ก.พ.

ปฏิบตั ริ าชการแทนเลขาธกิ าร ก.พ.

สานกั มาตรฐานวินยั
โทร. 0 2281 8677
โทรสาร 0 2628 6204

11

ท่ี นร 1011/ล 309 สานกั งาน ก.พ.
ถนนพิษณุโลก กทม. 10300

16 มนี าคม 2547

เรอื่ ง หารือปญั หาการดาเนนิ การทางวนิ ัย

เรยี น ปลดั กระทรวงการคลงั

อ้างถงึ หนังสือกระทรวงการคลัง ลับ ที่ กค 0204.5/ล 780 ลงวนั ท่ี 29 ธนั วาคม 2546

ตามหนังสือท่ีอ้างถึง กระทรวงการคลังหารือปัญหาการดาเนินการทางวินัย โดยแจ้งข้อเท็จจริง
ไปประกอบการพิจารณาว่า สรรพากรภาค 3 ปฏิบัติราชการแทนอธิบดีกรมสรรพากรได้มีคาสั่งลงโทษ
ภาคทัณฑ์นาง ว. เจ้าหน้าท่ีสรรพากร 3 สานักงานภาษีสรรพากรพ้ืนที่ 14 กรณีหยุดราชการไปต้ังแต่วันที่
3 มิถนุ ายน 2540 ถึงวนั ที่ 30 มิถนุ ายน 2540 จานวน 28 วัน โดยมีเหตุผลอันสมควร และไม่ย่ืนใบลาป่วย
ในวันแรกที่กลับมาปฏิบัติราชการ อันเป็นการกระทาผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรงฐานไม่ปฏิบัติตามระเบียบและ
แบบธรรมเนียมของทางราชการตามมาตรา 91 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535
และกรมสรรพากรได้พิจารณารายงานการลงโทษดังกล่าวแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงบางส่วนยังคลาดเคลื่อนและ
รับฟังไม่เป็นท่ียุติ จึงได้แจ้งให้สานักงานสรรพากรภาค 3 ดาเนินการสอบสวนเพิ่มเติม ซึ่งสานักงานสรรพากร
ภาค 3 ได้ดาเนินการสอบสวนข้อเท็จจริงเพ่ิมเติม และรายงานกรมสรรพากรว่านาง ว. ได้ละท้ิงหน้าท่ีราชการ
ไปต้งั แต่วันที่ 23 พฤษภาคม 2540 ถงึ วนั ที่ 11 กรกฎาคม 2540 จานวน 50 วนั โดยไม่มีเหตุผลอนั สมควร
พฤติการณ์เป็นการละทิ้งหน้าท่ีราชการติดต่อในคราวเดียวกันเป็ นเวลาเกินกว่าสิบห้าวันโดยไม่มี เหตุผล
อันสมควร เป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรงตามมาตรา 92 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการ
พลเรือน พ.ศ. 2535 ต้องรับโทษไล่ออกจากราชการ แต่นาง ว. ได้กลับมาปฏิบัติราชการอีกครั้งอันเป็นเหตุ
ควรปรานีลดหย่อนผ่อนโทษลงเป็นปลดออกจากราชการ กรมสรรพากร และ อ.ก.พ.กรมสรรพากร พิจารณา
แล้วเห็นชอบด้วย สรรพากรภาค 3 ปฏิบัติราชการแทนอธิบดีกรมสรรพากร โดยมติ อ.ก.พ. กรมสรรพากร
จึงมีคาสัง่ ลงโทษปลดนาง ว. ออกจากราชการ กระทรวงการคลังจึงหารือว่าการที่กรมสรรพากร โดยสานักงาน
สรรพากรภาค 3 ได้มีคาส่ังลงโทษนาง ว.ท้ัง 2 ครั้ง ในมูลกรณีความผิดเร่ืองเดียวกันดังกล่าวเป็นการ
ดาเนินการถูกต้องหรอื ไม่ อย่างไร ความละเอยี ดแจง้ แลว้ น้นั

ก.พ.พิจารณาแล้วเห็นว่า คาสั่งลงโทษภาคทัณฑ์ตามคาส่ังกรมสรรพากร ท่ี(สภ.3) 15/2542
ลงวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2542 ระบุเหตุแห่งการลงโทษว่า ไม่จัดส่งใบลาป่วยในวันแรกที่มาปฏิบัติหน้าท่ีราชการ
แต่คาส่ังลงโทษปลดออกจากราชการตามคาส่ังกรมสรรพากรที่ (สภ.3) 202/2543 ลงวันท่ี 13 ตุลาคม
2543 ระบุเหตุแห่งการลงโทษว่า ละท้ิงหน้าท่ีราชการติดต่อในคราวเดียวกันเกินกว่าสิบห้าวันโดยไม่มีเหตุผล

12

อันสมควร คาสั่งลงโทษทางวินัยสองคร้ังดังกล่าวจึงเป็นการลงโทษข้าราชการผู้น้ีต่างเหตุและต่างกรณีกันมิได้
เป็นการลงโทษซ้าในกรณีเดียวกันแต่อย่างใด ดังนั้น คาสั่งลงโทษทางวินัยข้าราชการผู้น้ีท้ังสองคาสั่งดังกล่าว
จงึ เป็นการดาเนินการโดยถูกต้องตามกฎหมายแลว้

จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ

ขอแสดงความนับถือ

(นางสาววนิดา นวลบญุ เรอื ง)
รองเลขาธกิ าร ก.พ.

ปฏบิ ตั ริ าชการแทนเลขาธกิ าร ก.พ.

สานกั มาตรฐานวินยั
โทร. 0 2281 8677
โทรสาร 0 2628 6204

13

ที่ นร 0709.1/ล 531 สานกั งาน ก.พ.
ถนนพิษณุโลก กทม. 10300

14 พฤศจิกายน 2544

เรอื่ ง หารือปัญหาการปรับบทกฎหมาย

เรยี น อธบิ ดกี รมศลุ กากร

อ้างถึง หนงั สือกรมศลุ กากร ลบั ที่ กค 0603/ล 93 ลงวนั ท่ี 27 กรกฎาคม 2544

ตามหนังสือท่ีอ้างถึง กรมศุลกากรได้หารือกรณีนายณรงค์ เมื่อคร้ังดารงตาแหน่งสารวัตรศุลกากร 7
(หัวหน้างานพิธีการ) สังกัดด่านศุลกากรระนอง สานักงานศุลกากรภาคท่ี 5 ออกคาสั่งงานพิธีการท่ี 1/2540
ลงวันท่ี 6 ตุลาคม 2540 เรื่อง การเพิ่มประสิทธิภาพงานพิธีการด่านศุลกากรระนอง โดยมีวัตถุประสงค์
เพื่อลดข้ันตอนระบบงานให้เกิดความคล่องตัวรวดเร็ว อันเป็นการอานวยความสะดวกต่อผู้ส่งออกทุกระดับ
ให้ ส อ ด คล้ อง กับ น โ ย บ า ย ส่ ง เ ส ริ มกา ร ส่ ง ออกแ ล ะเ พ่ิ มป ร ะสิ ท ธิ ภ า พ ใน ก า ร จั ด เ ก็บ ภ า ษีต า ม น โ ย บ า ย ขอ ง
อธิบดีกรมศุลกากร และได้เสนอให้นายชวลิต พรหมรา สารวัตรศุลกากร 8 (นายด่านศุลกากรระนอง)
ผู้บังคับบัญชาทราบแล้ว ต่อมาเมื่อวันท่ี 6 ตุลาคม 2540 เวลา 11.00 น. นายณรงค์ หัวหน้างานพิธีการ
ได้เรียกเจ้าหน้าท่ีงานพิธีการรวมท้ังนายเอกชัย เจ้าหน้าท่ีประเมินอากร 5 ผู้ใต้บังคับบัญชาโดยตรงของ
นายณรงค์ เข้าร่วมประชุม แต่ได้รับการปฏิเสธและไม่ได้รับความร่วมมือ นายณรงค์ จึงทาบันทึก ลงวันท่ี 9
ตุลาคม 2540 รายงานพฤติกรรมของนายเอกชัย ต่อผู้บังคับบัญชาว่า นายเอกชัย กระด้างกระเดื่อง
ขาดระเบียบวินัย ขาดจรรยาบรรณของการเป็นข้าราชการที่ดี ไม่ปฏิบัติตามคาส่ังของผู้บังคับบัญชาและ
ปฏิเสธท่ีจะปฏิบัติตามคาส่ังงานพิธีการ อันเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายต่อทางราชการอย่างร้ายแรง อีกท้ัง
ไม่ปฏบิ ตั ิตามคาสัง่ ของผูบ้ ังคบั บญั ชาซง่ึ สัง่ ในหน้าท่ีราชการโดยชอบด้วยกฎหมายและระเบียบของทางราชการ
และเสนอให้ปฏิบัติตามคาส่ังท่ัวไป กรมศุลกากรที่ 18/2538 ลงวันที่ 2 มิถุนายน 2538 เร่ืองการส่ัง
งดปฏบิ ัติงานล่วงเวลาแก่นายเอกชยั แต่นายด่านศุลกากรระนองเมื่อรับรายงานแล้วมิได้ดาเนินการตามท่ีเสนอ
แต่อย่างใด นายณรงค์ จึงได้ทาบันทึกรายงานพฤติการณ์ของนายเอกชัย ถึงรองอธิบดีฝ่ายนโยบายและแผน
ซึ่งไม่ใช่รองอธิบดีตามสายงาน โดยข้อความในบันทึกได้กล่าวถึงพฤติกรรมต่าง ๆ ของนายเอกชัย ในลักษณะ
แตกต่างไปจากท่ีเคยบันทึกเสนอนายด่านศุลกากรระนอง จึงหารือว่าบันทึกฉบับท่ีสองของนายณรงค์ ที่มีถึง
รองอธบิ ดฝี า่ ยนโยบายและแผนเปน็ การรอ้ งทุกข์ หรือเป็นการปฏิบัติราชการตามหน้าที่อันจะเป็นความผิดฐาน
กระทาการข้ามผู้บังคับบัญชาเหนือตน ตามมาตรา 89 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน
พ.ศ. 2535 หรอื ไม่ ความละเอียดแจง้ แล้ว น้ัน

สานักงาน ก.พ. ขอเรียนว่า สาหรับปัญหาในกรณีที่นายณรงค์ ทาบันทึกรายงานพฤติการณ์
ของนายเอกชัย ถึงรองอธิบดีฝ่ายนโยบายและแผน เป็นการร้องทุกข์หรือไม่ น้ัน เป็นกรณีท่ีจะต้องพิจารณา
จากบทบัญญัติมาตรา 129 และมาตรา 130 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535

14

ซง่ึ บัญญัตสิ าระสาคัญไว้ว่า ข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดจะใช้สิทธิร้องทุกข์ได้นั้น จะต้องปรากฏว่าข้าราชการ
พลเรือนสามัญผู้นั้นเป็นผู้ท่ีถูกผู้บังคับบัญชามีคาสั่งให้ออกจากราชการ หรือเห็นว่าผู้บังคับบัญชาใช้อานาจ
หน้าท่ปี ฏิบตั ติ ่อตนโดยไม่ถูกต้อง หรอื ไม่ปฏิบัติต่อตนให้ถูกต้องตามกฎหมาย หรือมีความคับข้องใจอันเกิดจาก
การปฏิบัติของผู้บังคับบัญชา ซึ่งล้วนเป็นเรื่องที่ข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใต้บังคับบัญชาซึ่งได้รับผลกระทบ
จากการกระทาของผู้บังคับบัญชาของตนเห็นว่าไม่ชอบธรรมท้ังสิ้น แต่กรณีของนายณรงค์ น้ีไม่มีกรณีท่ี
เข้าเงื่อนไขตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวแต่อย่างใด ดังนั้น การที่นายณรงค์ ทาบันทึ กรายงาน
พฤติการณ์ต่าง ๆ ของนายเอกชัย ไปยังรองอธิบดีฝ่ายนโยบายและแผน จึงไม่ใช่การร้องทุกข์ตามกฎหมาย
ว่าดว้ ยระเบยี บข้าราชการพลเรือน

สาหรับปัญหาท่ีหารือว่า การที่นายณรงค์ ทาบันทึกรายงานพฤติการณ์ของนายเอกชัย ถึงรองอธิบดี
ฝ่ายนโยบายและแผน กรมศุลกากร เป็นการปฏิบัติราชการตามหน้าที่หรือไม่นั้น สานักงาน ก.พ. ขอเรียนว่า
มาตรา 89 แห่งพระราชบัญญตั ริ ะเบียบขา้ ราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 บัญญัติว่า ข้าราชการพลเรือนสามัญ
ต้องปฏิบัติราชการโดยมิให้เป็นการกระทาการข้ามผู้บังคับบัญชาเหนือตน เว้นแต่ผู้บังคับบัญชาเหนือข้ึนไป
เป็นผู้สั่งให้กระทาหรือได้รับอนุญาตเป็นพิเศษช่ัวคร้ังคราว จากบทบัญญัติดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าสาระสาคัญ
ประการหน่ึงท่ีจะเข้าเงื่อนไขเป็นการกระทาผิดวินัยตามมาตรานี้ คือการกระทาท่ีเป็นการปฏิบัติราชการ ซึ่งคาว่า
“ปฏิบัติราชการ” ตามนัยมาตราดังกล่าวหมายถึงการปฏิบัติราชการในตาแหน่งหน้าที่ตามกฎหมายหรือ
ระเบียบของทางราชการ เท่าน้ัน แต่โดยที่ข้อเท็จจริงท่ีเกี่ยวกับการปฏิบัติราชการในตาแหน่งหัวหน้างานพิธี
การของนายณรงค์ ยงั ไม่มีความชดั เจนเพียงพอ สานักงาน ก.พ. จึงไมอ่ าจให้ความเห็นในปัญหานี้ได้ แต่อย่างไร
ก็ตาม ก.พ. ได้เคยพิจารณากรณีข้าราชการพลเรือนสามัญมีหนังสือร้องเรียนกล่าวโทษข้าราชการพลเรือนสามัญ
ผู้อ่ืนไปยังนายกรัฐมนตรี เพื่อให้พิจารณาดาเนินการตามอานาจหน้าท่ีโดยมิได้เสนอหนังสือร้องเรียนกล่าวโทษ
ผ่านผู้บังคับบัญชาตามลาดับชั้นไว้ว่าการร้องเรียนกล่าวโทษเป็นการใช้สิทธิในทางส่วนตัวเพื่อปกป้อง
ผลประโยชน์ของทางราชการมิใช่การปฏิบัติราชการในตาแหน่งหน้าที่ของข้าราชการผู้นั้น การร้องเรียน
กล่าวโทษในกรณีดังกล่าวจึงไม่เป็นการกระทาผิดวินัยฐานปฏิบัติราชการ โดยกระทาการข้ามผู้บังคับบัญชา
เหนือตนแต่อยา่ งใด

จงึ เรียนมาเพือ่ โปรดทราบ
ขอแสดงความนับถอื

(ลงชือ่ ) สุภาวดี เวชศลิ ป์
(นางสุภาวดี เวชศลิ ป์)

ผูอ้ านวยการสานักเสริมสรา้ งวินยั และรกั ษาระบบคณุ ธรรม
แทนเลขาธกิ าร ก.พ.

สานักเสริมสร้างวนิ ัยและรกั ษาระบบคณุ ธรรม
กลุ่มงานปฏิรูประบบวินัย อทุ ธรณ์ และรอ้ งทุกข์
โทร. 0 2281 8677
โทรสาร 0 2628 6204

15

ท่ี นร 0709.1/174 สานกั งาน ก.พ.
ถนนพิษณุโลก กทม. 10300

28 พฤษภาคม 2545

เร่อื ง หารือปญั หาเกีย่ วกบั การประมาทเลนิ เล่อในหน้าที่ราชการ

เรียน ผบู้ ญั ชาการศึกษา สานกั งานตารวจแหง่ ชาติ

อา้ งถึง หนังสือกองบัญชาการศกึ ษา สานกั งานตารวจแหง่ ชาติ ที่ ตช 0027/(อก.).012/1352
ลงวันท่ี 23 เมษายน 2545

สงิ่ ทส่ี ง่ มาด้วย 1. แนวทางการพจิ ารณาตามมาตรา 84 แห่งพระราชบัญญตั ริ ะเบยี บขา้ ราชการพลเรอื น
พ.ศ.2535

2. แนวทางการพิจารณาเร่ืองการดาเนนิ การทางวินัยสาหรบั อ.ก.พ.สามญั

ตามหนังสือที่อ้างถึง แจ้งว่าคณะกรรมการกลั่นกรองงานด้านวินัย กองบัญชาการศึกษา
สานักงานตารวจแห่งชาติ พิจารณาสานวนการสอบสวนทางวินัยอย่างร้ายแรงในเร่ืองที่กล่าวหาว่า พันตารวจเอก ส
รองผู้บังคับการ หัวหน้าส่วนวิชาบริหารงานตารวจ สถาบันพัฒนาข้าราชการตารวจ ซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการ
ออกข้อสอบ ในการสอบคัดเลือกข้าราชการตารวจเข้ารับการอบรมหลักสูตรผู้กากับการ รุ่นท่ี 38 – 40
ประจาปี 2544 มสี ่วนเกย่ี วขอ้ งกบั การร่ัวไหลของข้อสอบที่ใช้ในการสอบคัดเลือกคร้ังน้ี โดยในการดาเนินการ
ออกข้อสอบ ได้จัดพิมพ์ร่างข้อสอบไม่รอบคอบ และละเลยในการควบคุมข้อมูล ทาให้ร่างข้อสอบของ
ผู้ถูกกล่าวหาทั้งหมดจานวน 50 ข้อ เผยแพร่ออกไปถึงผู้เข้าสอบบางนาย ก่อนวันสอบข้อเขียน ซึ่งระหว่าง
การสอบสวนทางวินัย สานักงานตารวจแห่งชาติอนุมัติให้ผู้ที่มีคุณสมบัติและเข้าสอบคัดเลือกเข้ารับการอบรม
หลักสตู รผู้กากบั การท้งั หมดได้เขา้ รบั การอบรมทุกนาย และต่อมาศาลปกครองมีคาวินิจฉัยให้การสอบคัดเลือก
ดังกล่าวเป็นโมฆะ แต่คณะกรรมการกลั่นกรองงานด้านวินัยของกองบัญชาการศึกษาได้พิจารณาสานวน
การสอบสวนทางวินัยเร่ืองน้ีแล้ว ไม่สามารถที่จะกาหนดขอบเขตของการประมาทเลินเล่อในหน้าที่ราชการ
อันเป็นเหตใุ ห้เสยี หายแก่ราชการอย่างร้ายแรง และมีปัญหาขัดข้องในการใช้ดุลพินิจดังกล่าวว่าการกระทาของ
ผู้ถูกกล่าวหา ซึ่งไม่ได้ใช้ความระมัดระวังเท่าท่ีควรและทาให้ร่างปัญหาข้อสอบรั่วไหลน้ัน ก่อให้เกิดความเสียหาย
แกร่ าชการอย่างร้ายแรงหรือไม่ อย่างไร ดังน้ัน เพ่ือให้เกิดความเป็นธรรมกับผู้ถูกกล่าวหาและผลการพิจารณา
ในเร่ืองดังกล่าวของผู้สั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน อาจเป็นเหตุให้ผู้ถูกกล่าวหาถูกลงโทษถึงออกจาก
ราชการ จึงขอหารือปัญหาเก่ียวกับการประมาทเลินเล่อในหน้าท่ีราชการ อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการ
อยา่ งร้ายแรง ตามมาตรา 84 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2535 ความละเอียด
แจง้ แล้วนั้น

16

สานักงาน ก.พ. ขอเรียนว่า มาตรา 84 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการ
พลเรือน พ.ศ.2535 ซึ่งบัญญัติว่า “การประมาทเลินเล่อในหน้าท่ีราชการ อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการ
อย่างร้ายแรงเปน็ ความผิดวินัยอย่างร้ายแรง” สามารถแยกองค์ประกอบ ความผิดคือ (1) มีหน้าท่ีราชการ (2)
ประมาทเลินเลอ่ ในหน้าที่ราชการ (3) เป็นเหตุใหเ้ สยี หายแก่ราชการอย่างรา้ ยแรง ส่วนการกระทาอย่างไรจึงจะ
เป็นการประมาทเลินเล่อในหน้าท่ีราชการนั้น พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2535 มิได้ให้
คาจากัดความคาว่า “ประมาทเลินเล่อ” ไว้ จึงต้องอาศัยเทียบเคียงความหมายของคาว่า “ประมาทเลินเล่อ”
ตามความหมายท่ีใช้อยู่โดยทั่วไป ซ่ึงหมายถึงการกระทาท่ีไม่รอบคอบ ขาดความระมัดระวังหรือกระทาโดย
พลง้ั เผลอ หลงลมื ซงึ่ ขา้ ราชการผู้มหี น้าทเี่ ชน่ นน้ั ควรจะต้องมคี วามรอบคอบระมัดระวังอย่างท่ีผู้มีหน้าที่เช่นนั้น
จะพงึ กระทา เช่น ควรจะต้องตรวจสอบดูว่ามีกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี หรือคาสั่งในเร่ือง
นั้นไว้อยา่ งไร แตไ่ มต่ รวจสอบดูใหร้ อบคอบเสียกอ่ น เปน็ ตน้

การประมาทเลินเล่อนี้ ต้องเป็นเรื่องในหน้าท่ีราชการของผู้น้ัน จึงจะเป็นความผิดวินัย
ตามมาตรา 84 แหง่ พระราชบญั ญตั ริ ะเบยี บขา้ ราชการพลเรอื น พ.ศ.2535 ถ้าไม่ใช่เรื่องในหน้าท่ีราชการของ
ผู้น้ัน ก็ไม่ผิดตามมาตราน้ี และการประมาทเลินเล่อในหน้าท่ีราชการนั้นมีได้ท้ังการกระทาและการละเว้น
การกระทา การพิจารณาความเสียหายแก่ราชการว่าร้ายแรงเพียงใดหรือไม่นั้น ต้องพิจารณาจากข้อเท็จจริง
เป็นเร่อื ง ๆ ไป ความเสยี หายท่วี ่ารา้ ยแรงนั้นไมจ่ าเปน็ ตอ้ งตรี าคาเป็นทรัพย์สินเงินทองเสมอไป อาจจะเป็นการ
เสียหายแก่ชื่อเสียงของทางราชการ หรือเสียหายในด้านความเช่ือถือที่ประชาชนมีต่อทางราชการ ก็นับเป็น
ความเสียหายอย่างร้ายแรงได้ เพราะฉะนั้น ในการพิจารณาส่ังลงโทษทางวินัยแก่ข้าราชการผู้กระทาผิดวินัย
ในข้อน้ี จึงต้องวิเคราะห์ถึงความเสียหายของทางราชการ เพ่ือจักได้กาหนดความหนักเบาของระดับโทษ
ใหไ้ ดม้ าตรฐานเหมาะสมกับการกระทาความผิดน้ัน ดังแนวทางการลงโทษทแ่ี นบทา้ ยนี้

จึงเรียนมาเพ่ือโปรดทราบ และได้ส่งแนวทางการพิจารณาเร่ืองการดาเนินการทางวินัย
สาหรับ อ.ก.พ.สามญั คืนมาพรอ้ มนีด้ ว้ ยแลว้

ขอแสดงความนับถอื
(ลงชอื่ ) สภุ าวดี เวชศลิ ป์

(นางสุภาวดี เวชศิลป)์
ผอู้ านวยการสานักเสรมิ สร้างวินยั และรกั ษาระบบคุณธรรม

แทนเลขาธกิ าร ก.พ.

สานกั เสริมสร้างวนิ ัยและรักษาระบบคุณธรรม
กลุ่มงานปฏิรูประบบวินัย อุทธรณ์ และร้องทุกข์
โทร. 0 2281 8677
โทรสาร 0 2628 6204

17

ท่ี นร 0709.1/(ล) 3 สานักงาน ก.พ.
ถนนพิษณุโลก กทม. 10300

1 สงิ หาคม 2544

เรอ่ื ง การปฏบิ ัตหิ นา้ ที่ราชการ

เรียน อธิบดกี รมบญั ชกี ลาง

อา้ งถึง หนังสอื กรมบัญชีกลาง ลบั มาก ดว่ นทส่ี ดุ ที่ กค 0503.4/747 ลงวันที่ 29 มนี าคม 2544

ตามหนังสอื ท่ีอา้ งถึง แจง้ วา่ กรมบญั ชีกลางได้นาเรือ่ งเสนอ อ.ก.พ.กรมบัญชีกลาง พิจารณาผล
การสอบสวนทางวินัยอย่างร้ายแรง กรณีนายนิกร ขณะดารงตาแหน่งเจ้าหน้าที่บริหารงานท่ัวไป 7 สานักงาน
เลขานกุ ารกรม ถกู กล่าวหาว่ามีหน้าที่รับผิดชอบในการโอนเงินค่าจาหน่ายสลากการกุศลเข้าบัญชีเงินฝากออม
ทรัพย์ที่กรมบัญชีกลางเปิดบัญชีไว้กับธนาคารกรุงไทย จากัด สาขาย่อยกระทรวงการคลัง แต่ปรากฏหลักฐาน
วา่ นายนิกร มิได้นาเงนิ คา่ จาหน่ายสลากการกศุ ลส่งเขา้ บัญชีดังกล่าว ตามหลกั เกณฑ์เก่ยี วกบั การจาหน่ายสลาก
การกศุ ลของกรม เป็นเหตุให้เงินขาดบญั ชีเป็นจานวน 13,001,885.40 บาท คณะกรรมการสอบสวนเห็นว่า
การกระทาของนายนกิ ร เป็นความผดิ ตามพระราชบญั ญตั ริ ะเบยี บขา้ ราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 มาตรา 82
มาตรา 90 และมาตรา 91 อันเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง เห็นสมควรลงโทษไล่ออกจากราชการ อ.ก.พ.
กรมบัญชีกลาง ได้พิจารณากรณีดังกล่าวแล้วเห็นว่า เพื่อให้การวินิจฉัยเป็นไปอย่างถูกต้อง และรอบ คอบ
ในประเด็นท่ีผู้ถูกกล่าวหาโต้แย้งเร่ืองการปฏิบัติหน้าที่ราชการตามความหมายของมาตรา 82 แห่งพระราชบัญญัติ
ระเบียบขา้ ราชการพลเรอื น พ.ศ. 2535 จึงมีมตใิ หห้ ารอื รวม 2 ประการ ความละเอียดแจ้งแล้ว นน้ั

สานักงาน ก.พ.พิจารณาแลว้ ขอเรียน ดงั นี้ "
1. ตามปัญหาที่หารือว่า การท่ี กรมบัญชีกลางรับจัดสรรสลากการกุศลให้แก่ผู้จาหน่าย
ในส่วนภูมิภาคผ่านสานักงานคลังจังหวัดสุราษฎร์ธานี ให้กับสานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ตามมติของ
คณะกรรมการสลากกินแบ่งรฐั บาล ซ่ึงมีรองปลัดกระทรวงการคลัง ปฏิบัติราชการ แทนปลัดกระทรวงการคลัง
เป็นประธานกรรมการ และรองอธิบดีกรมบัญชีกลาง(ผู้แทนกรมบัญชีกลาง) เป็นกรรมการ จะถือเป็นการ
ปฏบิ ตั ิราชการของกรมบัญชกี ลางหรอื ไม่ นัน้
สานกั งาน ก.พ.ขอเรียนวา่ เรอื่ งนี้มบี ทบญั ญัตขิ องกฎหมายที่เกีย่ วข้อง คอื
1) มาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยความรับผิดทางวินัยของข้าราชการ ซึ่งไปปฏิบัติ
หน้าที่ในหน่วยงานท่ีมิใช่ส่วนราชการ พ.ศ. 2534 บัญญัติให้ข้าราชการที่ได้รับมอบหมายโดยคาส่ังของ
ผู้บังคับบัญชาให้เป็นประธานกรรมการ รองประธานกรรมการ กรรมการหรือเลขานุการ หรือผู้ช่วยเลขานุการ
ของคณะกรรมการ หรือได้รับแต่งตั้ง หรือได้รับมอบหมายให้ไปปฏิบัติหน้าท่ีอ่ืนใดในหน่วยงานท่ีมิใช่
สว่ นราชการ ให้ถอื ว่าเป็นการปฏบิ ตั หิ นา้ ท่ีราชการ
2) มาตรา 4 และมาตรา 6 แห่งพระราชกฤษฎีการแบ่งสว่ นราชการกรมบัญชกี ลาง กระทรวงการคลัง
พ.ศ. 2538 กาหนดให้ กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง มีอานาจหน้าที่ประการหน่ึงคือ ปฏิบัติการอื่นใด
ตามที่กฎหมายกาหนดให้เป็นอานาจหน้าที่ของกรม หรือตามท่ีกระทรวง หรือคณะรัฐมนตรีมอบหมาย

18

และสานักงานเลขานุการกรมมีอานาจหน้าท่ีเก่ียวกับราชการท่ัวไปของกรม และราชการท่ีมีได้แยกให้เป็น
หนา้ ทีข่ องสว่ นราชการใดโดยเฉพาะ และปฏิบตั ิงานตามทไ่ี ด้รับมอบหมาย

ตามปัญหาที่หารือข้อเท็จจริงได้ความว่า ปลัดกระทรวงการคลังได้มอบหมายให้
รองปลดั กระทรวงการคลัง เป็นประธานกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล และมีรองอธิบดีกรมบัญชีกลางในฐานะ
ผู้แทนกรมบัญชีกลาง เป็นกรรมการด้วย เม่อื คณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาลที่มีรองปลัดกระทรวง ซ่ึงได้รับ
มอบหมายจากปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธานกรรมการ มีมติมอบหมายให้กรมบัญชีกลางจาหน่ายสลาก
การกุศลโดยจัดสรรสลากการกุศลผ่านสานักงานคลังจังหวัด จึงถือได้ว่ากรมบัญชีกลางได้รับมอบหมายให้
ดาเนนิ การเร่อื งนี้แลว้ กรมบญั ชกี ลางกไ็ ด้มอบหมายให้สานักงานเลขานุการกรม เป็นผรู้ ับผิดชอบ ดังน้ัน กรณีน้ี
จงึ ถอื ได้ว่าการจดั สรรสลากการกุศลดังกล่าวเปน็ หนา้ ทรี่ าชการของกรมบัญชีกลางแล้ว

2. ตามปัญหาที่หารือว่า การท่ีนายนิกร ได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชาให้รับผิดชอบ
เก่ียวกับการจัดสรรสลากการกุศล เมื่อได้รับเงินค่าสลากการกุศลจากผู้ค้าสลากแล้วไม่นาส่งกรมบัญชีกลาง
เพ่ือให้กรมบัญชีกลางจัดส่งเงินให้สานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลตามข้อตกลง เป็นเหตุให้เงินขาดบัญชี
เป็นจานวน 13,001,885.40 บาท จะเข้าข่ายเป็นการกระทาผิดฐานทุจริตต่อหน้าท่ีราชการตามมาตรา 82
วรรคสาม หรอื ไม่ นน้ั

สานักงาน ก.พ.ขอเรียนว่า โดยท่ีมาตรา 82 วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติระเบียบ
ข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 บัญญัติว่า “การปฏบิ ัตหิ รือละเวน้ การปฏิบัติหน้าที่ราชการ โดยมิชอบ เพ่ือให้
ตนเองหรือผู้อ่ืนได้ประโยชน์ทม่ี ิควรได้ เป็นการทุจริตต่อหน้าที่ราชการ” สาหรับปัญหาท่ีหารือน้ีเม่ือข้อเท็จจริง
ได้ความว่า นายนิกร ได้รับมอบหมายจากเลขานุการกรม ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาให้จัดสรรสลากการกุศลให้แก่
สานักงานคลังจังหวัดต่าง ๆ และนายนิกร ได้กันสลากการกุศลส่วนหน่ึง จานวน 400 เล่ม ให้กับ พ่อค้า
จาหน่ายสลาก เมอื่ พ่อคา้ จาหนา่ ยสลากได้โอนเงินค่าสลากการกุศลเข้าบัญชีส่วนตัวของนายนิกร ครบถ้วนแล้ว
แต่นายนิกร กลับมิได้นาเงินค่าสลากการกุศลดังกล่าวส่งกรมบัญชีกลาง เพ่ือให้กรมบัญชีกลางจัดส่งเงินให้
สานกั งานสลากกินแบ่งรัฐบาลต่อไป แล้วนาเงินค่าสลากการกุศลดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ส่วนตัว กรณีของนาย
นกิ ร ถอื ได้วา่ เขา้ ข่ายเป็นการกระทาผิดวินัย ฐานทุจริตต่อหน้าที่ราชการแล้ว ปรากฏตามตัวอย่างการลงโทษที่
แนบมาท้ายหนังสือนี้

จงึ เรียนมาเพอ่ื โปรดทราบ

(ลงชอ่ื ) ขอแสดงความนบั ถอื
ทิพาวดี เมฆสวรรค์
สานักเสริมสร้างวินยั และรกั ษาระบบคณุ ธรรม (คณุ หญงิ ทิพาวดี เมฆสวรรค์)
กลมุ่ ปฏริ ูประบบวนิ ัย อุทธรณ์ และรอ้ งทกุ ข์ เลขาธกิ าร ก.พ.
โทร. 0 2281 8677
โทรสาร 0 2628 6204

19

ท่ี นร 1011/588 สานักงาน ก.พ.
ถนนพิษณุโลก กทม. 10300

31 พฤษภาคม 2547

เรื่อง หารอื ปญั หาเก่ียวกบั วนั ละทง้ิ หน้าทรี่ าชการ

เรยี น อธิการบดมี หาวิทยาลัยสงขลานครินทร์

อ้างถึง หนงั สอื มหาวิทยาลยั สงขลานครินทร์ ดว่ นท่สี ดุ ท่ี ศธ 0521/0112 ลงวนั ท่ี 13 มกราคม 2547
ดว่ นท่สี ดุ ที่ ศธ 0521.02/042 ลงวันที่ 19 มกราคม 2547 และ ที่ ศธ 0521.02/125 ลงวันที่
9 มนี าคม 2547

ตามหนังสือที่อ้างถึง มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์แจ้งว่านาง อ. พนักงานห้องสมุด 4
งานบริการการศึกษา สานักวิทยบริการ ละทิ้งหน้าท่ีราชการตั้งแต่วันท่ี 4 กันยายน 2546 เป็นต้นไป ติดต่อ
ในคราวเดียวกันเป็นเวลาเกินกว่า 15 วัน ต่อมาวันเสาร์ที่ 27 กันยายน 2546 นาง อ. ได้ย่ืนใบลาออกจาก
ราชการโดยขอลาออกต้ังแต่วันที่ 4 กันยายน 2546 และหน่วยงานเจ้าหน้าที่คณะทันตแพทย์ศาสตร์ได้ลงรับ
ในวันดังกล่าว ต่อมา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ได้มีคาสั่งมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ที่ 2250/2546
ลงวันที่ 13 พฤศจิกายน 2546 อนุญาตให้นาง อ. ลาออกจากราชการ โดยให้มีผลต้ังแต่วันที่ 30 ตุลาคม
2546 จึงหารือว่า หากมหาวิทยาลัยมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์เห็นควรสั่งลงโทษไล่ออกจากราชการ
ยอ้ นหลังไปตง้ั แต่วนั ที่ 4 กันยายน 2546 จะชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ หากมีคาสั่งลงโทษไล่ออกจากราชการ
ย้อนหลังไปต้ังแต่วันท่ี 4 กันยายน 2546 จะต้องยกเลิกคาส่ังอนุญาตให้ลาออกก่อนหรือไม่อย่างไร
ความละเอยี ดแจ้งแลว้ นนั้

ก.พ. พิจารณาแล้ว ขอเรียนช้ีแจง ดังนี้ โดยท่ีระเบียบ ก.พ. ว่าด้วยวันออกจากราชการของ
ข้าราชการพลเรือนสามัญ พ.ศ. 2535 ข้อ 6 (8) กาหนดว่า การส่ังลงโทษปลดออกหรือไล่ออกจากราชการ
ห้ามมิให้ส่ังปลดออกหรือไล่ออกย้อนหลังไปก่อนวันออกคาส่ัง เว้นแต่กรณีใดมีเหตุสมควรสั่งปลดออก
หรือไล่ออกจากราชการย้อนหลังก็ให้สั่งปลดออกหรือไล่ออกย้อนหลังไปถึงวันที่ควรต้องออกจากราชการ
ตามกรณีนั้น แต่ท้ังนี้ต้องไม่เป็นการทาให้เสียประโยชน์ตามสิทธิโดยชอบธรรมของผู้ถูกสั่งลงโทษนั้น สาหรับ
เร่ืองน้ีข้อเท็จจริงปรากฏว่านาง อ. ละท้ิงหน้าท่ีราชการต้ังแต่วันท่ี 4 กันยายน 2546 เป็นต้นไปติดต่อ
ในคราวเดียวกันเป็นเวลาเกินกว่า 15 วัน โดยไม่มีเหตุผลอันสมควร และไม่กลับมาปฏิบัติราชการอีก ดังน้ัน
หากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์เห็นควรส่ังลงโทษไล่ออกจากราชการ ย้อนหลังไปต้ังแต่วันท่ี 4 กันยายน
2546 ซึ่งเป็นวันท่ีละท้ิงหน้าที่ราชการ โดยไม่กลับมาปฏิบัติราชการอีกเลยน้ัน ความเห็นของมหาวิทยาลัย
สงขลานครินทร์จึงชอบด้วยระเบียบ ก.พ. ดังกล่าวแล้ว เพราะไม่ทาให้ผู้ถูกส่ังลงโทษเสียประโยชน์ตามสิทธิ

20

โดยชอบธรรมแต่อย่างใด ส่วนประเด็นอ่ืนน้ัน เมื่อมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์จะส่ังลงโทษไล่นาง อ.
ออกจากราชการย้อนหลงั ไปตั้งแตว่ นั ที่ 4 กนั ยายน 2546 แล้ว กรณีจึงไม่มีเหตุท่ีจะต้องพิจารณาในประเด็นน้ีอีก

จงึ เรยี นมาเพื่อโปรดทราบ

ขอแสดงความนบั ถอื

(นางสาววนิดา นวลบุญเรอื ง)
รองเลขาธิการ ก.พ.

ปฏบิ ัตริ าชการแทนเลขาธิการ ก.พ.

สานกั มาตรฐานวนิ ยั
โทร. 0 2281 8677
โทรสาร 0 2628 6204

21

ท่ี นร 1011/327 สานกั งาน ก.พ.
ถนนพิษณุโลก กทม. 10300

25 กรกฎาคม 2548

เร่ือง หารอื เก่ียวกบั วันออกจากราชการของข้าราชการพลเรือนสามัญ

เรียน ผูอ้ านวยการสานักงานนโยบายและแผนพลงั งาน

อา้ งถึง หนงั สอื สานักงานนโยบายและแผนพลงั งาน ด่วนทส่ี ดุ ท่ี พน 0601.2/1880
ลงวันท่ี 22 มถิ ุนายน 2548

ตามหนังสือท่ีอ้างถึง สานักงานนโยบายและแผนพลังงานได้หารือปัญหาเก่ียวกับวันออกจาก
ราชการของขา้ ราชการพลเรือนสามัญโดยแจง้ ข้อเท็จจริงวา่ ข้าราชการในสังกัดได้ละท้ิงหน้าที่ราชการตั้งแต่วันท่ี
2 กุมภาพันธ์ 2548 และกลับมาปฏิบัติราชการวันที่ 21 เมษายน 2548 โดยไม่ทราบสาเหตุและไม่ชี้แจง
เหตุผลให้ผู้บังคับบัญชาทราบ ต่อมาเม่ือวันที่ 9 พฤษภาคม 2548 ผู้น้ีได้ละทิ้งหน้าที่ราชการไปอีกและ
มิไดก้ ลบั มาปฏบิ ตั ิราชการอกี เลย จึงหารือปญั หารวม 2 ขอ้ ความละเอียดแจ้งแล้วน้นั

สานกั งาน ก.พ. พิจารณาแล้วขอเรยี นดังน้ี
1. สาหรับปัญหาข้อท่ี 1 ที่หารือว่า ในช่วงระหว่างวันท่ี 2 กุมภาพันธ์ 2548 ถึงวันท่ี 20
เมษายน 2548 จะลงโทษข้าราชการดงั กลา่ วในฐานความผิดตามมาตรา 92 วรรคสอง ในลักษณะใดน้ัน

ขอเรียนว่า โดยที่มาตรา 92 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน
พ.ศ. 2535 บัญญัติโดยสรุปว่า การละทิ้งหน้าที่ราชการติดต่อในคราวเดียวกันเป็นเวลาเกินกว่าสิบห้าวัน
โดยไม่มีเหตุผลอันสมควร เป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง ซ่ึงต้องลงโทษปลดออกหรือไล่ออกจากราชการ
แต่คณะรัฐมนตรีได้มีมติกาหนดแนวทางการลงโทษในกรณีดังกล่าวไว้ให้ไล่ออกจากราชการหากปรากฏว่า
ผูน้ ้ันไมไ่ ดก้ ลบั มาปฏิบัติหนา้ ที่ราชการอกี เลย

สาหรับกรณีที่หารือปรากฏว่า ข้าราชการรายน้ีได้ละทิ้งหน้าท่ีราชการติดต่อในคราว
เดียวกนั เป็นเวลาเกินกว่าสบิ หา้ วนั โดยไมม่ เี หตผุ ลอนั สมควร รวม 2 คร้ัง คือ ครั้งแรก ตั้งแต่วันท่ี 2 กุมภาพันธ์
2548 ถึงวันท่ี 20 เมษายน 2548 และครั้งที่สอง ตั้งแต่วันท่ี 9 พฤษภาคม 2548 โดยมิได้กลับมาปฏิบัติ
ราชการอีก กรณีจึงเข้าเง่ือนไขตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวข้างต้นผู้บังคับบัญชาจึงต้องสั่งลงโทษไล่ผู้นี้
ออกจากราชการเพยี งสถานเดียว

2. ส่วนข้อหารือข้อท่ี 2 ท่ีว่า การสั่งลงโทษไล่ผู้น้ีออกจากราชการ โดยให้คาส่ังมีผลย้อนหลัง
ไปตั้งแต่วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2548 เป็นต้นไป จะชอบด้วยระเบียบ ก.พ. ว่าด้วยวันออกจากราชการของ
ขา้ ราชการพลเรอื นสามญั พ.ศ. 2535 ข้อ 6 (2) หรือไม่ ประการใด นัน้

22

ขอเรียนว่า โดยที่ระเบียบ ก.พ. ว่าด้วยวันออกจากราชการของข้าราชการพลเรือนสามัญ
พ.ศ. 2535 ข้อ 6 (2) กาหนดว่า “การส่ังลงโทษปลดออก หรือไล่ออกจากราชการในกรณีกระทาผิดวินัย
โดยละทิ้งหน้าท่ีราชการติดต่อในคราวเดียวกันเป็นเวลาเกินกว่าสิบห้า วันและไม่กลับมาปฏิบัติราชการอีก
ให้ส่ังปลดออกหรือไล่ออกต้ังแต่วันละท้ิงหน้าที่ราชการน้ัน” ซึ่งหมายความว่า ในกรณีละทิ้งหน้าท่ีราชการ
ติดต่อในคราวเดยี วกันเปน็ เวลาเกินกว่าสบิ หา้ วนั โดยไม่กลับมาปฏิบัติราชการอีกเลยจนถึงวันออกคาส่ังลงโทษ
ก็ให้สั่งให้มีผลย้อนหลังไปต้ังแต่วันละท้ิงหน้าท่ีราชการในคราวนั้น แต่ถ้าเป็นกรณีละท้ิงหน้าที่ราชการติดต่อ
ในคราวเดียวกันเป็นเวลาเกินกว่าสิบห้าวันหลายครั้ง และครั้งสุดท้ายไม่กลับมาปฏิบัติราชการอีกเลยจนถึง
วันออกคาสั่งลงโทษก็ให้สั่งให้มีผลย้อนหลังไปได้ต้ังแต่วันละทิ้งหน้าที่ราชการครั้งสุดท้ายที่ไม่กลับมาปฏิบัติ
ราชการอีกเลย สาหรับกรณีน้ี เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าผู้น้ีได้ละท้ิงหน้าที่ราชการติดต่อในคราวเดียวกันเป็น
เวลาเกินกว่าสิบห้าวันสองครั้ง โดยครั้งสุดท้ายได้ละทิ้งหน้าท่ีราชการไปตั้งแต่วันท่ี 9 พฤษภาคม 2548
โดยมิได้กลบั มาปฏิบตั ริ าชการอกี เลยจนถึงวนั ออกคาสั่ง ผบู้ ังคบั บัญชากจ็ ะตอ้ งส่งั ลงโทษไล่ผู้น้ีออกจากราชการ
โดยให้มีผลย้อนหลังไปตั้งแต่วันที่ 9 พฤษภาคม 2548 ซ่ึงเป็นวันละทิ้งหน้าท่ีราชการครั้งสุดท้ายเท่าน้ัน
มิใช่วันท่ี 2 กุมภาพันธ์ 2548 แต่อย่างใด ดังนั้น การที่จะส่ังลงโทษไล่ผู้น้ีออกจากราชการ โดยให้มีผล
ตั้งแต่วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2548 จึงเป็นการไม่ชอบด้วยระเบียบ ก.พ. ว่าด้วยวันออกจากราชการของ
ขา้ ราชการพลเรือนสามญั พ.ศ. 2535 ข้อ 6(2) ดังกลา่ วข้างต้น

จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ

ขอแสดงความนบั ถอื

(นางสาววนิดา นวลบุญเรือง)
รองเลขาธิการ ก.พ.

ปฏบิ ตั ิราชการแทนเลขาธิการ ก.พ.

สานักมาตรฐานวนิ ัย
โทร. 0 2281 8677
โทรสาร 0 2628 6204

23

ท่ี นร 1011/37 สานักงาน ก.พ.
ถนนพิษณุโลก กทม. 10300

8 กุมภาพันธ์ 2548

เรอื่ ง ขอหารอื เรอ่ื งการดาเนินการทางวินัย

เรียน นางสาว ก.

อ้างถึง หนงั สอื ของท่าน ฉบบั ลงวนั ที่ 24 มกราคม 2548

ตามหนังสือที่อ้างถึง ขอหารือเร่ืองการดาเนินการทางวินัยมายัง ก.พ. โดยแจ้งข้อเท็จจริงว่า
เมื่อวันอาทิตย์ที่ 17 ตุลาคม 2547 เวลาประมาณ 24.30 น. นาย ข. ได้กระทาการล่วงเกินนางสาว ค.
โดยบังอาจเปิดเส้ือนอก ปลดเสื้อช้ันใน หอมแก้ม ใช้มือลูบหลัง จูบและลูบคลาหน้าอก และพยายามปลด
กระดุมกางเกงของนางสาว ค. โดยปราศจากความยินยอม และในคืนเดียวกัน เวลาประมาณ 01.50 น.
นาย ข. ได้ลักลอบถ่ายภาพนางสาว ก. ขณะอยู่ในห้องน้า ซึ่งเป็นภาพเปลือยด้านหลังของนางสาว ก.
และบันทึกภาพถ่ายดังกล่าวลงแผ่น ซี.ดี. ทาให้นางสาว ก. ได้รับความเสียหาย อับอาย เส่ือมเสียชื่อเสียงและ
เกียรติยศ ซ่ึงกรมส่งเสรมิ สหกรณ์ได้แต่งตั้งคณะกรรมการดาเนินการทางวินัยนาย ข. แล้ว และท่านได้หารือว่า
กรณีใดถือว่าเป็นการกระทาผิดวินัยอย่างร้ายแรงหรือไม่ เพียงใด หากท่านเห็นว่ายังไม่ได้รับความยุติธรรม
จะสามารถใช้สทิ ธิอุทธรณ์ผลการพิจารณาการลงโทษไดห้ รือไม่ นน้ั

สานักงาน ก.พ.พิจารณาแล้วเห็นว่า โดยท่ีพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน
พ.ศ. 2535 ได้บัญญัติข้อวินัยไว้ให้ข้าราชการพลเรือนยึดถือเป็นแบบแผนในการควบคุมความประพฤติ
โดยมาตรา 98 บัญญัติมีสาระสาคัญว่า ข้าราชการพลเรือนสามัญต้องรักษาชื่อเสียงของตน และรักษาเกียรติศักดิ์
ของตาแหน่งหน้าท่ีราชการของตนมิให้เส่ือมเสีย โดยไม่กระทาการใด ๆ อันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติช่ัว และ
ก.พ. ไดว้ างหลกั การพิจารณาเรอ่ื งการประพฤตชิ ว่ั ไว้ว่า การท่ีจะพิจารณาว่าผู้ใดกระทาผิดวินัยฐานประพฤติช่ัวน้ัน
ให้พิจารณาจากองค์ประกอบ 3 ประการ คือ เกียรติของข้าราชการ ความรู้สึกของสังคมและเจตนาท่ีกระทา
หมายถึงพิจารณาการกระทาว่า เป็นการกระทาท่ีผิดแบบธรรมเนียมของข้าราชการท่ีดีอันบุคคลผู้เป็นข้าราชการ
ไม่ควรปฏิบัติหรือไม่ ขณะเดียวกันจะต้องพิจารณาวิเคราะห์จากความรู้สึกของประชาชนทั่วไปหรือของ
ทางราชการว่ามีความรังเกียจต่อการกระทานั้น ๆ หรือไม่ และผู้กระทามีเจตนากระทา รู้สานึกในการกระทา
และเล็งเหน็ ผลของการกระทาหรือไม่ สว่ นการท่จี ะพจิ ารณาความผดิ และกาหนดโทษว่าผู้ถูกกล่าวหากระทาผิด
วินัยฐานประพฤติช่ัวอย่างร้ายแรงหรือประพฤติชั่วอย่างไม่ร้ายแรง และมีกาหนดโทษระดับใด น้ัน จะกระทา
ไดต้ อ่ เมอ่ื ได้ทราบขอ้ เท็จจรงิ ของเรื่องที่กล่าวหาโดยกระจา่ งชัดเพียงพอทจ่ี ะพิจารณาความผิดไดเ้ ปน็ กรณีไป

อย่างไรก็ตาม ก.พ. มีแนวทางการลงโทษฐานประพฤตชิ ว่ั กรณีกระทาอนาจาร ดังนี้

24

1. เจ้าหน้าที่พัฒนาชุมชน 2 ได้เสพสุรามีอาการมึนเมาข้ึนไปบนบ้านพักของนางสาว ว.
นักพัฒนาชุมชน 3 แล้วเข้าไปกอดนางสาว ว. ทางด้านหลัง แต่นางสาว ว. สะบัดลิ้นหลุดออกมาได้ (ลงโทษ
ลดข้นั เงนิ เดือน 1 ขนั้ )

2. สาธารณสุขอาเภอ ได้ใช้ตาแหน่งหน้าท่ีไปตรวจงานท่ีสานักงานผดุงครรภ์และนอนค้างคืน
ได้เก้ียวพาราสีจับมือถือแขน เข้าไปในห้องนอน ปลุกปล้าอนาจารนางสาว ป. เจ้าหน้าท่ีสาธารณสุข 1
ผู้ใต้บังคับบัญชา (ลงโทษ ลดข้นั เงินเดือน 1 ข้นั )

3. เจา้ พนักงานปกครอง ปลกุ ปล้าทาอนาจารหญิงชาวบ้าน เป็นการกระทาผิดวินัยอย่างร้ายแรง
(ลงโทษ ปลดออกจากราชการ)

สาหรับสิทธิการอุทธรณ์ผลการพิจารณาลงโทษน้ัน ตามกฎ ก.พ. ฉบับท่ี 16 (พ.ศ. 2539)
ออกตามความในพระราชบัญญตั ิระเบยี บขา้ ราชการพลเรอื น พ.ศ. 2535 ว่าด้วยการอุทธรณ์และการพิจารณา
อุทธรณ์ ได้ให้สิทธิเฉพาะผู้ถูกลงโทษทางวินัยเท่าน้ัน กรณีนี้ท่านอยู่ในฐานะผู้เสียหายไม่ได้อยู่ในฐานะ
ผู้ถกู ลงโทษจึงไม่อาจใช้สิทธิอุทธรณ์ผลการดาเนินการทางวินัยได้ แต่ท่านอาจใช้สิทธิร้องขอความเป็นธรรมต่อ
องค์กรกลางบริหารงานบุคคลในกรณีนั้น หรือใช้สิทธิดาเนินคดีอาญาแก่นาย ข. ต่อไปได้ภายในกาหนด
อายคุ วาม

จึงเรียนมาเพ่ือทราบ

ขอแสดงความนบั ถอื

(นางสาววนดิ า นวลบุญเรือง)
รองเลขาธกิ าร ก.พ.

ปฏิบัตริ าชการแทนเลขาธิการ ก.พ.

สานกั มาตรฐานวินัย
โทร. 0 2281 8677
โทรสาร 0 2628 6204

25

ที่ นร 1011/290 สานกั งาน ก.พ.
ถนนพิษณุโลก กทม. 10300

30 กนั ยายน 2547

เรื่อง หารอื ปัญหาการสอบสวนพิจารณาโทษขา้ ราชการ

เรียน นาย ส.

อา้ งถึง หนงั สอื หารือของท่านลงวันที่ 1 กันยายน 2547

ส่ิงท่ีส่งมาดว้ ย หนงั สือสานักงาน ก.พ. ท่ี นร 1011/ว 13 ลงวนั ท่ี 23 มิถนุ ายน 2547

ตามหนังสือที่อ้างถึง แจ้งว่าสานักงานตารวจแห่งชาติได้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัย
อย่างร้ายแรงรวมทั้งดาเนินคดีอาญากับท่าน ซ่ึงขณะนี้คดีอาญาอยู่ในระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการ
ป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ส่วนการสอบสวนทางวินัยคณะกรรมการสอบสวนได้สรุปสานวน
การสอบสวนทางวินัยโดยเห็นควรยุติเร่ืองแต่ผู้บังคับบัญชายังไม่ได้พิจารณาให้แล้วเสร็จ โดยให้เหตุผลว่า
ควรรอฟังผลคดีอาญา จึงหารือมายังสานักงาน ก.พ.ว่า กรณีของท่านเป็นกรณีที่ควรดาเนินการสอบสวน
พิจารณาให้เสร็จส้ินโดยเร็ว โดยไม่จาเป็นท่ีต้องรอฟังผลคดีอาญาก่อน ตามหนังสือสานักงาน ก.พ. ที่ สร 0905/ว 4
ลงวันที่ 18 มีนาคม 2509 หรือเป็นกรณีท่ีควรจะรอการส่ังเด็ดขาดทางวินัยไว้ก่อนจนกว่าจะทราบผลทาง
คดอี าญา ตามหนงั สอื สานกั งาน ก.พ. ท่ี สร 0905/ว 9 ลงวันที่ 6 ตุลาคม 2509 ความละเอียดแจ้งแลว้ นั้น

สานักงาน ก.พ. ขอเรียนว่า หนังสือสานักงาน ก.พ. ที่ สร 0905/ว 4 ลงวันท่ี 18 มีนาคม
2509 ได้วางแนวทางปฏิบัติสาหรับส่วนราชการในการพิจารณาโทษทางวินัยข้าราชการซึ่งการกระทาผิด
ทางวนิ ัยเขา้ ลักษณะเปน็ ความผดิ ทางอาญาไว้ว่า การสอบสวนพิจารณาโทษทางวินัยไม่จาเป็นท่ีจะต้องรอฟังผล
ทางคดีอาญาก่อน เพราะกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือนได้กาหนดอานาจหน้าที่และวิธีการ
สอบสวนทางวินัยไว้เป็นส่วนหน่ึงต่างหากจากคดีอาญา และหนังสือสานักงาน ก.พ. ที่ สร 0905/ว 9 ลงวันท่ี 6
ตุลาคม 2509 วางแนวทางปฏิบัติเพ่ิมเติมว่า ในกรณีที่การสอบสวนทางวินัยมีพยานหลักฐานฟังได้ว่าข้าราชการ
ผู้ถูกกล่าวหากระทาผิดวินัยแล้ว ก็ควรพิจารณาโทษทางวินัยให้เสร็จส้ินไปโดยไม่ชักช้า แต่ถ้าการสอบสวน
ทางวินัยยังฟังไม่ได้ว่าผู้น้ันกระทาผิดวินัย หรือไม่ปรากฏชัดว่าผู้น้ันมีมลทินหรือมัวหมองในเรื่องที่ถูกสอบสวน
แต่ผู้น้ันยังถูกดาเนินคดีอาญาอยู่ด้วย ซ่ึงไม่ใช่คดีความผิดลหุโทษ หรือความผิดที่มีกาหนดโทษขั้นลหุโทษ
หรอื ความผิดอนั ได้กระทาโดยประมาท กรณีเช่นน้ีผู้บังคับบัญชาก็สมควรรอการสั่งการเด็ดขาดทางวินัยไว้ก่อน
จนกว่าจะทราบผลทางคดีอาญา และกรณีเช่นนี้กฎหมายก็ยังให้อานาจผู้บังคับบัญชาที่จะสั่งพักราชการ
เพอ่ื รอฟังผลทางคดอี าญาได้ ดังนัน้ การทท่ี า่ นเขา้ ใจวา่ ตามหนังสือเวียนฉบับน้ี กรณีที่ควรจะรอฟังผลคดีอาญา
คือกรณีท่ีผู้บังคับบัญชาส่ังพักราชการเพื่อรอฟังผลทางคดีอาญาเท่านั้น จึงเป็นความเข้าใจท่ีไม่ถูกต้องและ

26

ปัจจุบัน ก.พ. ได้วางแนวทางให้ส่วนราชการถือเป็นหลักปฏิบัติอีกว่า เมื่อข้าราชการกระทาผิดวินัยและ
ถูกลงโทษทางวินัยหรือถูกทาทัณฑ์บนเป็นหนังสือ ถูกว่ากล่าวตักเตือน หรือยุติเร่ืองไปแล้ว ต่อมาผู้น้ันถูกศาล
พิพากษาจาคุกโดยคาพิพากษาถึงทสี่ ดุ ใหจ้ าคุกในภายหลัง แม้คดีอาญาจะเป็นเรื่องเดียวกับวินัย ผู้บังคับบัญชา
กส็ ามารถลงโทษทางวนิ ัยฐานกระทาผิดอาญาจนได้รับโทษจาคุกโดยคาพิพากษาถึงท่ีสุดให้จาคุกได้ ไม่เป็นการ
ลงโทษทางวินัยซ้า เพราะเป็นความผิดคนละฐานกับความผิดที่ถูกดาเนินการทางวินัย ความปรากฏตาม
ส่ิงที่ส่งมาด้วย

ขอแสดงความนบั ถือ

(นางสาววนดิ า นวลบญุ เรือง)
รองเลขาธกิ าร ก.พ.

ปฏบิ ัติราชการแทนเลขาธิการ ก.พ.

สานักมาตรฐานวินัย
โทร. 0 2281 8677
โทรสาร 0 2628 6204

27

ที่ นร 1011/ล 274 สานกั งาน ก.พ.
ถนนพิษณุโลก กทม. 10300

22 มิถุนายน 2553

เรอื่ ง หารืออานาจในการดาเนินการทางวินยั ข้าราชการ

เรยี น ปลัดกระทรวงแรงงาน

อา้ งถึง หนงั สอื กระทรวงแรงงาน ลับ ที่ รง ๐๒๐๑.๕/๐๓๔ ลงวนั ที่ ๗ เมษายน ๒๕๕๓

ตามหนังสือท่ีอ้างถึง กระทรวงแรงงานได้หารือปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับอานาจในการ
ดาเนินการทางวินัย กรณีสานักงานประกันสังคมรายงานการดาเนินการทางวินัยข้าราชการในสังกัด
รายนางสาว ก. นักวิชาการเงินและบัญชี ๓ สานักงานประกันสังคมจังหวัดสมุทรปราการ มายัง อ.ก.พ.
กระทรวงแรงงาน เพ่ือพจิ ารณาตามมาตรา ๑๐๓ แหง่ พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑
โดยแจ้งขอ้ เทจ็ จรงิ สรปุ ได้วา่ เดมิ นางสาว ก. รบั ราชการที่กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ได้ถูกร้องเรียนกล่าวหา
ว่าทาร้ายร่างกายเพ่ือนข้าราชการ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ จึงมีคาส่ังที่ ๖๒๗/๒๕๕1 ลงวันที่ ๒9
กันยายน ๒๕๕๑ แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างไม่ร้ายแรง หลังจากน้ัน เมื่อวันท่ี ๒ ตุลาคม ๒๕๕๑
นางสาว ก. ได้โอนไปรับราชการท่ีสานักงานประกันสังคม ในตาแหน่งนักวิชาการเงินและบัญชี ๓ สานักงาน
ประกันสังคมจังหวัดสมุทรปราการ เมื่อการสอบสวนแล้วเสร็จ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ได้มีหนังสือ
ที่ ๐7๐๑.8๐/๖๐ ลงวันที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๕๒ ส่งรายงานการสอบสวนไปยังสานักงานประกันสังคม
เพ่อื พิจารณาดาเนินการต่อไป เลขาธิการสานักงานประกันสังคมได้พิจารณาเห็นว่า พฤติการณ์ของนางสาว ก.
เป็นความผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรง ให้งดโทษโดยว่ากล่าวตักเตือนเป็นหนังสือ และได้มีหนังสือว่ากล่าวตักเตือน
นางสาว ก. จากข้อเท็จจริงที่ปรากฏ กระทรวงแรงงานเห็นว่า เร่ืองดังกล่าวยังมีปัญหาข้อกฎหมายเก่ียวกับ
ผู้มีอานาจดาเนินการทางวินัย เพื่อความถูกต้องชัดเจน จึงหารือว่าผู้บังคับบัญชาคนใดมีอานาจดาเนินการ
ทางวินัยนางสาว ก. ความละเอียดแจง้ แลว้ นั้น

สานักงาน ก.พ. ขอเรียนว่า กรณีท่ีหารือเป็นเร่ืองท่ีเกิดขึ้นก่อนวันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๕๑
ซึ่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ ลักษณะ ๔ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ยังไม่มีผล
ใช้บังคับ และมาตรา ๑๓๑ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ ได้บัญญัติ
ให้นาบทบัญญัติในลักษณะ ๓ ข้าราชการพลเรือนสามัญ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน
พ.ศ.๒๕๓๕ มาใช้บังคับไปพลางก่อน ซ่ึงมาตรา ๑๐๒ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวได้บัญญัติให้ผู้บังคับบัญชา
มีหน้าท่ีดาเนินการทางวินัยแก่ผู้ใต้บังคับบัญชา สาหรับกรณีที่หารือ ข้อเท็จจริงปรากฏว่าขณะท่ีอธิบดี
กรมสนับสนุนบริการสุขภาพมีคาสั่งแต่งต้ังคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างไม่ร้ายแรงน้ัน นางสาว ก.

28

ยังรับราชการ สังกัดกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพจึงมีฐานะเป็นผู้บังคับบัญชา
ผมู้ ีอานาจดาเนนิ การทางวินัยตามมาตรา ๑๐๒ จึงสามารถแต่งต้ังคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างไม่ร้ายแรง
แก่นางสาว ก. ได้

แต่อย่างไรก็ตาม โดยที่ปรากฏว่าเม่ือวันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๕๑ หลังการแต่งต้ังคณะกรรมการ
สอบสวน นางสาว ก. ได้โอนไปรับราชการท่ีสานักงานประกันสังคม จึงมีผลทาให้อานาจในการดาเนินการ
ทางวินัยแก่ผู้นี้ตกเป็นของเลขาธิการสานักงานประกันสังคมผู้บังคับบัญชาคนใหม่ที่จะเป็นผู้พิจารณาดาเนินการต่อ
และแม้ต่อมาพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ ลักษณะ ๔ ข้าราชการพลเรือนสามัญ
มีผลใชบ้ ังคับเม่ือวันที่ ๑๑ ธนั วาคม ๒๕๕๑ เลขาธิการสานักงานประกันสังคมก็ยังคงมีฐานะเป็นผู้บังคับบัญชา
ซึ่งมีอานาจส่ังบรรจุตามมาตรา ๕๗ ที่สามารถดาเนินการทางวินัยแก่นางสาว ก. ได้ต่อไป ตามนัยมาตรา ๙๐
ประกอบมาตรา ๑๓๓ แห่งพระราชบัญญตั ดิ ังกล่าว

จงึ เรยี นมาเพอื่ โปรดทราบ

ขอแสดงความนับถือ
สมโภชน์ นพคุณ
(นายสมโภชน์ นพคุณ)
รองเลขาธิการ ก.พ.
ปฏิบตั ริ าชการแทนเลขาธกิ าร ก.พ.

สานกั มาตรฐานวนิ ัย
โทร ๐ ๒๕๔๗ ๑๖๓๑
โทรสาร ๐ ๒๕๔๗ 1630

29

ท่ี นร 1011/224 สานักงาน ก.พ.
ถนนพิษณุโลก กทม. 10300

10 มิถนุ ายน ๒๕๕๔

เรือ่ ง หารือเก่ียวกับอานาจของผู้ว่าราชการจังหวัดตามมาตรา ๕๗ (๑๑) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบ
ข้าราชการพลเรอื น พ.ศ. ๒๕๕๑

เรียน ปลดั กระทรวงสาธารณสขุ

อา้ งถงึ หนงั สอื กระทรวงสาธารณสุข ดว่ นท่ีสุด ที่ สธ ๐๒๐๑.๐๓๖/๓๐๒๕ ลงวันที่ ๙ มีนาคม ๒๕๕๔

ตามหนังสือท่ีอ้างถึง กระทรวงสาธารณสุขหารือเกี่ยวกับอานาจบรรจุและแต่งต้ังของ
ผู้ว่าราชการจังหวัด ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ ว่าเหตุใดสานักงาน ก.พ.
เคยตอบข้อหารือตามหนังสือสานักงาน ก.พ. ท่ี นร ๑๐๐๑/๗๖ ลงวันท่ี ๒๓ มีนาคม ๒๕๕๓ ว่าผู้ว่าราชการ
จังหวัด เป็นผู้มีอานาจส่ังบรรจุและแต่งต้ังให้ดารงตาแหน่งประเภทวิชาการ ระดับปฏิบัติการ ชานาญการ
ตาแหน่งประเภททั่วไป ระดับปฏิบัติงาน ชานาญงาน และอาวุโส ในราชการบริหารส่วนภูมิภาค แต่ต่อมา
ไดต้ อบข้อหารอื เรอ่ื งทานองเดยี วกนั ตามหนงั สือสานกั งาน ก.พ. ที่ นร ๑๐๑๑/95 ลงวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔
ว่า ผู้ว่าราชการจังหวัดมีอานาจหน้าที่ในการส่ังพักราชการและสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนตามมาตรา 101
การอนุญาตให้ขา้ ราชการพลเรือนสามญั ลาออกจากราชการตามมาตรา 109 และการสั่งให้ข้าราชการพลเรือน
สามัญลาออกจากราชการ ตามมาตรา ๑๑๐ และการส่ังให้ข้าราชการพลเรือนสามัญไปรับราชการทหาร
ตามมาตรา 111 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ สาหรับข้าราชการพลเรือน
สามัญตาแหน่งประเภทวิชาการ ระดับปฏิบัติการ ชานาญการ และชานาญการพิเศษ และตาแหน่งประเภททั่วไป
ระดบั ปฏิบัตงิ าน ชานาญงาน และอาวุโส ในราชการบรหิ ารส่วนภมู ภิ าค ความละเอยี ดแจ้งแลว้ นน้ั

สานักงาน ก.พ. ขอเรียนว่า การตอบข้อหารือในกรณีแรกนั้น เป็นการหารือเกี่ยวกับอานาจ
ของผู้ว่าราชการจังหวัดในการส่ังให้ข้าราชการตาแหน่งนายแพทย์ระดับปฏิบัติการออกไปรับราชการทหาร
ตามมาตรา ๑๑๑ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ ซ่ึง ก.พ. เห็นว่า เร่ืองดังกล่าว
เป็นอานาจของผู้ว่าราชการจังหวัดในฐานะผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอาน าจสั่งบรรจุที่จะสั่งให้นายแพทย์ ระดับ
ปฏบิ ตั กิ ารออกไปรับราชการทหารได้ ทั้งนีต้ ามมาตรา ๕๗ (๑๑) ประกอบมาตรา ๕๗ (๑๐) เท่าน้ัน โดยหนังสือ
ตอบขอ้ หารือดังกล่าวไม่ได้กล่าวถึงมาตรา ๕๗ (9) ซึ่งอาจทาให้เข้าใจได้ว่าข้าราชการพลเรือนสามัญ ประเภท
วิชาการ ระดับชานาญการพิเศษ ตามมาตรา ๕๗ (9) มิได้อยู่ในอานาจสั่งบรรจุและแต่งต้ังของผู้ว่าราชการ
จงั หวดั เมือ่ เปรียบเทียบกับความเห็นของสานกั งาน ก.พ. ในการตอบข้อหารือในกรณที ี่สอง

ก.พ. ได้พิจารณาในประเด็นเร่ืองการเป็นผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอานาจส่ังบรรจุตามมาตรา ๕7
ของผู้ว่าราชการจังหวัดแล้ว มีมติให้ถือเป็นหลักการว่า ผู้ว่าราชการจังหวัดในฐานะผู้บังคับบัญชาในราชการ
บริหารส่วนภูมิภาคมีอานาจสั่งบรรจุและแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ ตาแหน่งประเภทวิชาการ ระดับ

30

ปฏิบัติการ ชานาญการ และชานาญการพิเศษ และตาแหน่งประเภททั่วไป ระดับปฏิบัติงาน ชานาญงาน
และอาวุโส ตามมาตรา ๕๗ (๑๑) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ ดังนั้น
หากมีกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ หรือหลักเกณฑ์ใดที่กาหนดให้ผู้บังคับบัญชาซ่ึงมีอานาจสั่งบรรจุตามมาตรา ๕๗
มีอานาจพิจารณาดาเนินการในเรื่องใดแล้ว ให้ถือว่าผู้ว่าราชการจังหวัดซึ่งเป็นผู้มีอานาจส่ังบรรจุตามมาตรา
๕๗ (๑๑) มอี านาจพิจารณาดาเนินการในเร่อื งนน้ั ๆ ด้วย

จึงเรยี นมาเพ่ือโปรดทราบ

ขอแสดงความนับถือ
ปรีชา นิศารัตน์

(นายปรีชา นิศารัตน)์
รองเลขาธิการ ก.พ.
ปฏบิ ัติราชการแทนเลขาธกิ าร ก.พ.

สานกั มาตรฐานวินัย
โทร ๐ ๒๕4๗ ๑631
โทรสาร ๐ ๒๕4๗ 1630

31

ท่ี นร 1011/547 สานักงาน ก.พ.
ถนนพิษณุโลก กทม. 10300

๒๘ ธนั วาคม ๒๕๕๔

เร่อื ง หารอื การมอบอานาจเก่ียวกบั การดาเนินการทางวินัย

เรียน ปลัดกระทรวงสาธารณสขุ

อ้างถงึ หนังสือสานกั งานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ที่ สธ ๐๒๐๑.๐๕๕/๘ ลงวนั ที่ ๑๑ มกราคม ๒๕๕๔

สิ่งทสี่ ง่ มาด้วย สาเนาเอกสารหนังสอื สานักงาน ก.พ. ท่ี นร ๑๐1๑/ว ๓๕ ลงวนั ที่ ๒๘ กนั ยายน ๒๕๕๓

ตามหนังสือท่ีอ้างถึง สานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขได้หารือการมอบอานาจเก่ียวกับ
การดาเนินการทางวินัยไปยังสานักงาน ก.พ. โดยแจ้งข้อเท็จจริงว่า ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ได้มีคาส่ัง
จังหวัดเพชรบูรณ์ที่ ๑๗๙๒/๒๕๕๓ ลงวันที่ 1 ตุลาคม ๒๕๕๓ โดยอาศัยอานาจตามพระราชบัญญัติระเบียบ
บริหารราชการแผ่นดนิ พ.ศ. ๒๕๓๔ และพระราชกฤษฎกี าวา่ ด้วยการมอบอานาจ พ.ศ. ๒๕๕๐ มอบอานาจให้
นาย ก. รองผ้วู า่ ราชการจงั หวัดเพชรบูรณ์ ปฏิบตั ริ าชการแทน ในการดาเนินการทางวนิ ยั แกข่ ้าราชการพลเรือน
สามัญในสังกัดสานักงานสาธารณสุขจังหวัดเพชรบูรณ์ ซ่ึงเป็นราชการบริหารส่วนภูมิภาคของสานักงาน
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และต่อมานาย ก. ได้มีคาส่ังแต่งต้ังคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงกรณี
มีผรู้ อ้ งเรียนนาย น. แตเ่ ปน็ การมอบอานาจหลงั วันท่ี 1 ตุลาคม ๒๕๕๓ ซึ่งเป็นวันที่หลักเกณฑ์การมอบอานาจ
หน้าท่ีเก่ียวกับการดาเนินการทางวินัยไว้เป็นการเฉพาะให้เริ่มใช้บังคับ จึงหารือว่าคาสั่งจังหวัดเพชรบูรณ์
ท่ีมอบอานาจให้นาย ก. รองผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ ปฏิบัติราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์
ในเรอื่ งเกย่ี วกับการดาเนินการทางวนิ ยั ตามพระราชบญั ญตั ริ ะเบียบขา้ ราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ ชอบด้วย
กฎหมายและยังมีผลบังคับใช้อยู่หรือไม่ และหากชอบด้วยกฎหมายและยังมีผลบังคับใช้อยู่ แต่ในคาสั่ง
มอบอานาจระบุไว้แต่เพียงกว้าง ๆ ว่า “การดาเนินการทางวินัย” โดยไม่ได้ระบุรายละเอียดของเร่ืองท่ีจะมอบหมาย
อานาจไว้ คาสั่งจังหวัดเพชรบูรณ์ท่ีแต่งต้ังคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงจะชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
ความละเอียดแจ้งแล้ว นั้น

ก.พ. พิจารณาแลว้ เหน็ ว่า การท่ผี ู้ว่าราชการจงั หวัดในฐานะผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอานาจส่ังบรรจุ
ตามมาตรา ๕๗ (๑๑) มอบอานาจการดาเนินการทางวินัยให้แก่ผู้บังคับบัญชาระดับต่าลงไปปฏิบัติราชการแทน
ถือเป็นกรณีที่มีกฎหมายบัญญัติเร่ืองการมอบอานาจไว้เป็นอย่างอ่ืน จึงไม่อาจนาเร่ืองของการมอบอานาจ
ตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดินตามมาตรา ๓๘ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบ
บริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติมมาใช้ได้ ดังน้ัน กรณีท่ีหารือน้ี จึงเห็นควรให้
จงั หวัดเพชรบูรณ์ดาเนินการแก้ไขคาสั่งท่ีออกภายหลังจากที่ ก.พ. ได้กาหนดหลักเกณฑ์การมอบอานาจหน้าที่

32

เกี่ยวกับการดาเนินการทางวินัยไปแล้ว โดยเปลี่ยนการอ้างอิงกฎหมายท่ีจะใช้ประกอบในการออกคาส่ัง
ดังกล่าวจาก “พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ และพระราชกฤษฎีกาว่าด้วย
การมอบอานาจ พ.ศ. ๒๕๕๐” เป็น “มาตรา ๙๐ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน
พ.ศ. ๒๕๕๑ ประกอบหนังสือสานักงาน ก.พ. ท่ี นร ๑๐๑๑/ว ๓๕ ลงวันท่ี ๒๘ กันยายน ๒๕๕๓ เรื่อง
หลกั เกณฑ์การมอบอานาจท่เี ก่ียวกับการดาเนนิ การทางวนิ ยั ” (ตามสง่ิ ทสี่ ง่ มาด้วย)

จงึ เรยี นมาเพอื่ โปรดทราบ

ขอแสดงความนบั ถือ
ปรีชา นิศารตั น์

(นายปรชี า นศิ ารัตน)์
รองเลขาธกิ าร ก.พ.
ปฏิบัตริ าชการแทนเลขาธกิ าร ก.พ.

สานกั มาตรฐานวินัย
โทร ๐ ๒๕4๗ ๑๖๓๑
โทรสาร ๐ ๒๕4๗ ๑๖๓๐


Click to View FlipBook Version