133
ท่ี นร ๑๐๑๑/ ล ๗๕๑ สานักงาน ก.พ.
ถนนพษิ ณุโลก กทม. ๑๐๓๐๐
๒๒ กรกฎาคม ๒๕๕๑
เรอ่ื ง การจดั ซ้ือวสั ดุการเกษตรของสานักงานเกษตรจังหวดั สมุทรสาคร
เรยี น ผู้วา่ การตรวจเงินแผ่นดนิ
อา้ งถึง หนังสือสานักงานการตรวจเงินแผ่นดินภูมิภาคท่ี ๓ ลับมาก ท่ี ตผ 00๓๑ นฐ/๑๖๓ ลงวันท่ี
๒๘ เมษายน ๒๕๕๑
ส่ิงท่สี ง่ มาดว้ ย ภาพถ่ายหนังสอื สานักงาน ก.พ. ท่ี นร ๐๗๐๙.๒/ล ๑๖๕ ลงวันท่ี ๕ มถิ ุนายน ๒๕๓๙
จานวน ๓ แผน่
ตามหนังสือท่ีอ้างถึง สานักงานการตรวจเงินแผ่นดินภูมิภาคท่ี ๓ แจ้งว่า จังหวัดสมุทรสาคร
ได้มคี าสง่ั แตง่ ตัง้ คณะกรรมการสอบความรับผิดทางละเมดิ และสอบสวนทางวินัยอย่างร้ายแรง กรณีจัดซื้อวัสดุ
การเกษตรของสานกั งานเกษตรจังหวัดสมทุ รสาคร ตามที่สานกั งานการตรวจเงินแผน่ ดินภมู ิภาคที่ ๓) (จงั หวัดนครปฐม)
แจ้งให้ดาเนินการแล้ว แต่ระหว่างดาเนินการสอบสวนเร่ืองดังกล่าว คณะกรรมการสอบสวนทางวินัยพบว่า
เร่ืองน้ีได้มีการร้องเรียนไปยังกระทรวงมหาดไทยด้วย และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้ส่ังการให้
จังหวัดสมุทรสาครแต่งต้ังคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงและสอบสวนทางวินัยอย่างร้ายแรงโดยคณะกรรมการ
สอบสวนทางวินัยได้เสนอให้ยุติเรื่อง และผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาครได้เห็นชอบให้ยุติเรื่องเช่นเดียวกัน
ต่อมาสานักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ช้ีมูลความผิดอีก จังหวัดสมุทรสาครพิจารณาแล้วเห็นว่าไม่อาจดาเนินการ
ทางวินัยได้ โดยอา้ งหนังสือตอบขอ้ หารอื ทส่ี รุปความไดว้ ่า “หากผู้บังคบั บัญชาดาเนินการทางวินัยอย่างร้ายแรง
แก่ข้าราชการแล้ว ต่อมามีหน่วยงานอื่นช้ีมูลว่าผู้นั้นกระทาผิดวินัยอย่างร้ายแรงอีก ผู้บังคับบัญชาไม่อาจ
ดาเนินการทางวินัยอีกได้” ซึ่งสานักงานการตรวจเงินแผ่นดินเห็นว่า เรื่องน้ีคณะกรรมการสอบสวนทางวินัย
อยา่ งร้ายแรง คณะกรรมการสอบสวนขอ้ เท็จจรงิ และสานักงานการตรวจเงินแผ่นดิน มีความเห็นที่แตกต่างกัน
จงึ หารอื วา่ สานกั งานการตรวจเงนิ แผน่ ดินจะแจ้งให้จังหวัดดาเนินการทางวินัยกับผู้ที่เก่ียวข้องในเร่ืองดังกล่าว
ไดอ้ กี หรอื ไมอ่ ยา่ งใด ดงั ความละเอยี ดแจง้ แล้ว นัน้
สานักงาน ก.พ.พิจารณาแล้ว การดาเนินการทางวินัยแก่ข้าราชการพลเรือนสามัญ ซึ่งเป็น
กระบวนการท่ีบัญญัติไว้ในลักษณะ ๔ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ ขณะน้ียัง
ไม่ใช้บังคับ การพิจารณาเร่ืองน้ีจึงต้องอาศัยมาตรา ๑๓๑ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวเพ่ือนาลักษณะ ๓
แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ มาใช้พลางก่อน และในกรณีที่หารือน้ีเห็นว่า
การดาเนนิ การทางวินัยแก่ข้าราชการพลเรือนสามัญซ่ึงมีกรณีถูกกล่าวหาว่ากระทาผิดวินัย พระราชบัญญัติระเบียบ
134
ข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ ได้กาหนดขั้นตอนและวิธีการไว้ตั้งแต่มาตรา ๑๐๒ ถึงมาตรา ๑๐๙
โดยให้ผู้บังคับบัญชาทาการสอบสวนเม่ือพบว่ากรณีที่กล่าวหามีมูลเป็นการกระทาผิดวินัย และในกรณีที่เป็น
การกล่าวหาวา่ กระทาผดิ วนิ ยั อย่างไม่ร้ายแรง ให้ผู้บังคับบัญชาดาเนินการตามที่เห็นสมควร ส่วนในกรณีที่เป็น
การกล่าวหาวา่ กระทาผิดวินัยอย่างร้ายแรงให้แต่งต้ังคณะกรรมการข้ึนทาการสอบสวน จากนั้นจึงพิจารณาความผิด
และกาหนดโทษตามควรแก่กรณี และรายงานการดาเนินการดังกล่าวไปยังผู้บังคับบัญชาของข้าราชการผู้น้ัน
ตามลาดบั จนถงึ อธิบดี และ อ.ก.พ.กระทรวงซง่ึ ข้าราชการผนู้ ัน้ สังกัดอยู่เพอื่ พจิ ารณา ตามระเบียบ ก.พ. ว่าด้วย
การรายงานการดาเนินการทางวินัยและการออกจากราชการของข้าราชการพลเรือนสามัญ พ.ศ.๒๕๓๙
จากกระบวนการดังกล่าว จึงเห็นเจตนารมณ์ของกฎหมายได้ว่าเมื่อผู้บังคับบัญชาได้ดาเนินการทางวินัยแล้ว
จะต้องรายงานข้ึนไปยังผู้มีอานาจเพื่อพิจารณาตรวจสอบความถูกต้อง มิได้ให้อานาจผู้บังคับบัญชาสามารถ
ดาเนินการซา้ ในเรอื่ งเดียวกบั ทด่ี าเนนิ การไปแลว้ ไดอ้ ีก ประกอบกบั ก.พ. ไดเ้ คยพิจารณาเรื่องทานองเดียวกันน้ี
ไว้ว่า เม่ือผู้บังคับบัญชาได้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรงแก่ข้าราชการ ซึ่งมีกรณีถูกกล่าวหาว่า
กระทาความผิดวินัยและสั่งยุติเรื่อง ถือได้ว่าการดาเนินการของผู้บังคับบัญชาดังกล่าวได้เสร็จแล้ว จึงไม่อาจ
สงั่ แต่งตัง้ คณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างรา้ ยแรงในเรอ่ื งท่ีมีการกล่าวหาเดมิ ได้
ดังน้ัน ตามท่ีสานักงานการตรวจเงินแผ่นดินภูมิภาคท่ี ๓ เห็นว่า เร่ืองน้ีความเห็นของ
คณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรง คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง และสานักงานการตรวจเงินแผ่นดิน
มีความเห็นแตกต่างกัน และจะแจ้งให้จังหวัดสมุทรสาครดาเนินการทางวินัยกับผู้เก่ียวข้องในกรณีท่ีได้มี
การดาเนินการสอบสวนไปแล้วอีกน้ัน ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาครจึงไม่มีอานาจท่ีจะกระทาได้ เพราะเป็น
การดาเนนิ การทางวนิ ัยซา้ ในเรือ่ งเดียวกนั
อนึ่ง สานักงาน ก.พ มีข้อสังเกตว่า ผู้ท่ีมีส่วนเกี่ยวข้องกับเร่ืองนี้ซ่ึงผู้ว่าราชการจังหวัด
สมุทรสาครได้สั่งยุติเร่ืองไปแล้วน้ัน อาจได้รับการล้างมลทินตามมาตรา ๖ แห่งพระราชบัญญัติล้างมลทิน
ในวโรกาสที่พระบาทสมเดจ็ พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมีพระชนมพรรษา ๘๐ พรรษา พ.ศ. ๒๕๕๐ แล้ว
จึงเรยี นมาเพื่อโปรดทราบ พรอ้ มน้ไี ด้จดั สง่ เอกสารมาดว้ ยแลว้
ขอแสดงความนับถือ
(ลงช่ือ) ทศั นยี ์ ธรรมสทิ ธิ์
(นางสาวทัศนยี ์ ธรรมสิทธ)ิ์
รองเลขาธกิ าร ก.พ.
ปฏบิ ตั ิราชการแทนเลขาธกิ าร ก.พ.
สานกั มาตรฐานวนิ ยั
โทรสาร ๐ ๒๕๔๗ ๑๖๓๑
โทร ๐ ๒๕๔๗ ๑๖๓๐
135
ที่ นร ๑๐๑๑/๒๖๘ สานักงาน ก.พ.
ถนนพิษณโุ ลก กทม. ๑๐๓๐๐
๔ สงิ หาคม ๒๕๕๑
เร่อื ง การพิจารณาโทษข้าราชการพลเรอื น
เรียน ผวู้ ่าราชการจงั หวัดอทุ ยั ธานี
อา้ งถึง หนังสือศาลากลางจงั หวดั อุทัยธานี ดว่ นทีส่ ดุ ที่ อน 00๑๖.๕/๓๒๔๖ ลงวันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๕๑
ตามหนังสือท่ีอ้างถึง จังหวัดอุทัยธานีได้รับแจ้งจากสานักงานท่ีดินจังหวัดอุทัยธานีว่า นาย ก.
เจ้าหน้าท่ีท่ีดิน ๓ สานักงานที่ดินอาเภอบ้านไร่ ถูกกล่าวหาว่ากระทาผิดวินัยอย่างร้ายแรง กรณีปฏิบัติหน้าท่ี
โดยมิชอบและทุจริต โดยเป็นเจ้าหน้าท่ีรับผิดชอบในการดาเนินการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม ประเภท
การขายและจานองท่ีดนิ ตาม น.ส.๓ ในพ้นื ทตี่ าบลบา้ นไร่ อาเภอบ้านไร่ จงั หวัดอุทยั ธานี ไมน่ าเรื่องลงบัญชีรับ
ทาการ (ท.อ.๑๔) ไม่เรียกเก็บค่าธรรมเนียม และค่าภาษีอากร ซึ่งจังหวัดอุทัยธานีได้มีคาสั่งท่ี ๒๐๘๑/๒๕๓๖
ลงวันท่ี ๒๙ กันยายน ๒๕๓๖ และคาสั่งท่ี ๓๑๙๙/๒๕๔๒ ลงวนั ท่ี ๒๘ เมษายน ๒๕๔๒ แต่งต้ังคณะกรรมการ
สอบสวนนาย ก ในฐานความผิดดังกล่าว โดยจังหวัดอุทัยธานีเห็นชอบให้นาเข้าสู่การประชุม อ.ก.พ.จังหวัดอุทัยธานี
เพื่อพิจารณาในการประชุมครั้งท่ี ๑/๒๕๔๓ วันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๔๓ แต่การตรวจสอบไม่พบเอกสาร
ทเี่ ปน็ ตน้ เรื่องของการดาเนนิ การ และการประชมุ ครั้งดังกล่าวองค์ประชุมไม่ครบ จึงมีมติให้เล่ือนการพิจารณา
โทษทางวินัยกรณีข้าราชการที่ถูกกล่าวหาว่า กระทาความผิดวินัยอย่างร้ายแรงไปในคร้ังถัดไป ซึ่งก็ไม่ปรากฏ
รายงานการประชุมคร้ังถัดมาในปี ๒๕๔๓ และตามรายงานการประชุม อ.ก.พ. จังหวัดอุทัยธานี คร้ังที่ ๑/๒๕๔๔
เม่อื วนั ที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๔๔ กไ็ มม่ วี าระการพิจารณาโทษทางวนิ ยั รายนาย ก. ในความผิดฐานละทิ้งหน้าท่ี
ราชการตดิ ตอ่ ในคราวเดยี วกันเป็นเวลาเกินกวา่ สบิ หา้ วัน และเนอื่ งจากกรมท่ีดนิ ไดข้ อให้จังหวัดอุทัยธานีจัดส่ง
รายงานการประชุมพิจารณาโทษทางวินัยข้าราชการรายดังกล่าวในความผิดฐานเป็นเจ้าหน้าท่ีของรัฐกระทา
หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและทุจริต จังหวัดอุทัยธานีจึงขอหารือว่าในกรณีท่ีไม่สามารถค้นหาเอกสารท่ีเกี่ยวกับ
การพิจารณาโทษทางวินัยนาย ก. ได้ จังหวัดอุทัยธานีควรจะต้องดาเนินการต่อไปอย่างไร และจะสามารถยุติเร่ือง
ได้หรือไม่ เน่ืองจากจังหวัดอุทัยธานีได้มีคาสั่งที่ ๙๖๙/๒๕๓๓ ลงวันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๓๓ และแก้ไข
โดยคาสัง่ ที่ ๑๕๘๖/๒๕๔๐ ลงวันท่ี ๑๑ สงิ หาคม ๒๕๔๐ ลงโทษไล่นาย ก. ออกจากราชการ ฐานละท้ิงหน้าท่ี
ราชการติดต่อในคราวเดียวกันเป็นเวลาเกินกว่าสิบห้าวันโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร ต้ังแต่วันที่ ๑๒ ตุลาคม
๒๕๓๒ เป็นตน้ ไป ความละเอยี ดแจง้ แล้ว น้ัน
136
สานักงาน ก.พ. ขอเรียนว่า เรื่องทานองน้ี ก.พ. ได้เคยพิจารณาโดยมีความเห็นว่า กรณีที่
ข้าราชการพลเรือนถูกกล่าวหาวา่ กระทาผดิ วินัยอย่างร้ายแรงน้ัน กฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือน
ไดบ้ ญั ญัติให้แตง่ ตงั้ คณะกรรมการข้ึนทาการสอบสวนและพิจารณาให้เสร็จส้ินไปตามข้ันตอนของกฎหมาย ดังน้ัน
ในกรณีท่ีสานวนการสอบสวนได้สูญหายโดยที่ผู้มีอานาจยังมิได้พิจารณาวินิจฉัยส่ังการให้เสร็จส้ินไป ถ้าไม่มี
สานวนการสอบสวน หรือสาเนารายงานการสอบสวน หรือเอกสารใด ๆ ท่ีพอจะยืนยันได้ว่าสานวนการสอบสวน
ท่ีสูญหายไปนั้นมีพยานหลักฐานอย่างไรบ้างที่พอจะวินิจฉัยได้เหลืออยู่เลย ก็ควรให้คณะกรรมการสอบสวน
ทาการสอบสวนใหม่หรือแต่งต้ังคณะกรรมการข้ึนทาการสอบสวนใหม่และพิจารณาดาเนินการให้เสร็จสิ้นไป
ตามกระบวนการของกฎหมายต่อไป ส่วนการสอบสวนจะมีพยานหลักฐานและสามารถรับฟังข้อเท็จจริง
ได้เพียงใดหรือไม่ เป็นเร่ืองท่ีผู้มีอานาจจะต้องใช้ดุลพินิจเป็นเรื่อง ๆ ไป อย่างไรก็ตามกรณีท่ีจังหวัดอุทัยธานี
ได้มีคาสั่งไล่นาย ก. ออกจากราชการ ฐานละทิ้งหน้าที่ราชการติดต่อในคราวเดียวกันเป็นเวลาเกินกว่า
สบิ หา้ วนั โดยไมม่ เี หตุผลอนั สมควร ตง้ั แตว่ นั ที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๓๒ เป็นตน้ ไป น้ัน เปน็ กรณีกระทาความผิดอีก
ฐานความผิดหนึ่งนอกเหนือไปจากความผิดฐานเป็นเจ้าหน้าท่ีของรัฐปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ซึ่งนาย ก.
ได้ถูกกล่าวหาว่ากระทาผิดวินัยอย่างร้ายแรงต่อผู้บังคับบัญชาก่อนถูกไล่ออกจากราชการ และกรณีดังกล่าว
ตามมาตรา ๑๓๑ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ ประกอบมาตรา ๑๐๖
แหง่ พระราชบญั ญตั ริ ะเบยี บข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ ได้บัญญัติกรณีที่ข้าราชการพลเรือนถูกกล่าวหา
ว่ า ก ร ะ ท า ก า ร ใ ด ที่พึ ง เ ห็ น ได้ ว่ า เ ป็ น ก า ร ก ร ะท า ผิ ด วิ นั ย อ ย่ า ง ร้ า ย แ ร ง แ ล ะ เ ป็ น กา ร กล่ า ว ห า เ ป็ น ห นั ง สื อ
ตอ่ ผู้บงั คบั บญั ชาของผนู้ นั้ แมภ้ ายหลงั ผ้นู ั้นจะออกจากราชการไปแล้ว ผู้มีอานาจตามมาตรา ๑๐๒ วรรคสาม
วรรคส่ี วรรคห้า หรือมาตรา ๑๐๔ วรรคสาม แล้วแต่กรณี มีอานาจดาเนินการสืบสวนหรือพิจารณาตามมาตรา ๙๙
และดาเนินการทางวินัยท่ีบัญญัติในหมวดน้ีต่อไปได้เสมือนผู้น้ันยังมิได้ออกจากราชการ สาหรับกรณีน้ี
ถึงแม้จังหวัดอทุ ัยธานจี ะลงโทษไล่ นาย ก. ออกจากราชการฐานละทิ้งหน้าท่ีราชการไปแล้วก็ตาม แต่ได้มีการ
กล่าวหานาย ก. เป็นหนังสือต่อผู้บังคับบัญชากรณีความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ราชการไว้ก่อนที่จะมีคาสั่ง
ไล่ออกจากราชการ ดังนั้น ผู้บังคับบัญชาจึงสามารถดาเนินการทางวินัยนาย ก. ในกรณีดังกล่าวตามขั้นตอน
ต่อไปได้
จงึ เรียนมาเพ่ือโปรดทราบ
ขอแสดงความนับถือ
(ลงชือ่ ) ทัศนีย์ ธรรมสทิ ธ์ิ
(นางสาวทัศนีย์ ธรรมสิทธ์)ิ
รองเลขาธิการ ก.พ.
ปฏิบตั ิราชการแทนเลขาธิการ ก.พ.
สานกั มาตรฐานวนิ ยั
โทร. ๐ ๒๕๔๗ ๑๖๓๑
โทรสาร ๐ ๒๕๔๗ ๑๖๓๐
137
ที่ นร ๑๐๑๑/๕๔๗ สานักงาน ก.พ.
ถนนพิษณโุ ลก กทม. ๑๐๓๐๐
๒๖ สิงหาคม ๒๕๕๒
เรื่อง หารอื ข้อกฎหมาย
เรยี น นาย ก. และนาย ข.
อ้างถึง หนังสือหารือของท่าน ลงวันที่ ๙ เมษายน ๒๕๕๒
ส่ิงท่สี ง่ มาด้วย สาเนาระเบียบสานกั นายกรัฐมนตรีวา่ ด้วยการจัดสวัสดิการภายในส่วนราชการ
พ.ศ. ๒๕๔๗
ตามหนังสือที่อ้างถึง ท่านได้หารือว่า การท่ีข้าราชการปฏิบัติงานเป็นกรรมการดาเนินการ
ในสหกรณ์ออมทรัพย์ต่าง ๆ ตามพระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ. ๒๕๔๒ ถือว่าเป็นการปฏิบัติหน้าท่ีราชการ
ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดทางวินัยของข้าราชการซึ่งไปปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยงานท่ีมิใช่ส่วนราชการ
พ.ศ. ๒๕๓๔ หรอื ไม่ ความละเอยี ดแจ้งแลว้ น้ัน
สานักงาน ก.พ. ขอเรียนว่า การท่ีจะถือว่าการปฏิบัติงานในสหกรณ์ของข้าราชการเป็นการปฏิบัติ
หนา้ ทีร่ าชการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดทางวินัยของข้าราชการซึ่งไปปฏิบัติหน้าท่ีในหน่วยงานท่ีมิใช่
ส่วนราชการ พ.ศ. ๒๕๓๔ หรือไม่ ต้องได้ความว่าสหกรณ์นั้น กระทรวง ทบวง กรม ได้ร่วมทุนหรือให้เงินอุดหนุน
หรือดาเนนิ กจิ การของสหกรณ์ด้วย อย่างไรกต็ าม กจิ การของสหกรณ์ออมทรัพย์สาธารณสุขมหาสารคาม จากัด
มีลักษณะการดาเนินงานท่ีเป็นไปเพื่อประโยชน์ของสมาชิก ซึ่งเป็นข้าราชการ พนักงานของรัฐ หรือลูกจ้างประจา
ในหน่วยงานสังกดั กระทรวงสาธารณสขุ จังหวัดมหาสารคาม พนักงานและลูกจ้างประจาของสหกรณ์ออมทรัพย์
สาธารณสุขมหาสารคาม ซ่งึ ถอื ได้วา่ เป็นสวัสดิการภายในส่วนราชการตามระเบียบสานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วย
การจัดสวัสดิการภายในส่วนราชการ พ.ศ. ๒๕๔๗ โดยข้อ ๑๖ ของระเบียบดังกล่าวได้กาหนดให้การปฏิบัติหน้าท่ี
ของข้าราชการ ตามระเบียบถือเป็นการปฏิบัติราชการ ดังนั้น การที่ข้าราชการปฏิบัติงานเป็นกรรมการ
ในสหกรณ์ออมทรัพย์สาธารณสุขมหาสารคาม จากัด จึงถือเป็นการปฏิบัติหน้าท่ีราชการตามระเบียบ
สานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการจัดสวัสดิการภายในส่วนราชการ พ.ศ. ๒๕๔๗ รายละเอียดปรากฏตามสิ่ง
ทส่ี ่งมาด้วย
จงึ เรียนมาเพื่อโปรดทราบ
ขอแสดงความนบั ถือ
สมโภชน์ นพคณุ
(นายสมโภชน์ นพคณุ )
รองเลขาธิการ ก.พ.
ปฏบิ ัตริ าชการแทนเลขาธิการ ก.พ.
สานกั มาตรฐานวินยั
โทร. ๐ ๒๕๔๗ ๑๖๓๑
โทรสาร 0 ๒๕๔๗ ๑๖๓๐
138
ท่ี นร ๑๐๑๑/๒ สานักงาน ก.พ.
ถนนพิษณโุ ลก กทม. ๑๐๓๐๐
๖ มกราคม ๒๕๕๓
เรอื่ ง ขอพระราชทานความเปน็ ธรรม
เรียน เลขาธกิ ารคณะรฐั มนตรี
อ้างถึง หนงั สอื สานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ที่ นร ๐๕๐๘/ท ๗๙๙๔ ลงวนั ท่ี ๑๙ พฤศจกิ ายน ๒๕๕๒
สงิ่ ท่ีสง่ มาด้วย ระเบยี บกระทรวงการคลังว่าด้วยการจา่ ยเงินเดือนใหแ้ ก่ข้าราชการ ซ่ึงถูกสัง่ ใหอ้ อก ปลดออก
หรือไลอ่ อกจากราชการโดยไมช่ อบดว้ ยกฎหมายและข้าราชการซึ่งถกู สงั่ ใหอ้ อก ปลดออก
หรอื ไล่ออกจากราชการแล้วตอ่ มาได้รับการพิจารณายกโทษ พ.ศ. ๒๕๓๘ จานวน ๒ แผน่
ตามหนังสือที่อ้างถึง สานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี แจ้งว่า นาย ก. ได้ทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาว่า
เดิมรับราชการในตาแหน่งปลัดองค์การบริหารส่วนตาบล ต่อมาถูกสั่งลงโทษปลดออกจากราชการ จึงได้ยื่นฟ้องคดี
ตอ่ ศาลปกครองกลางและศาลปกครองสงู สดุ และศาลดังกล่าวได้มีคาพิพากษาให้เพิกถอนคาสั่งลงโทษ จากน้ัน
จึงได้รับการบรรจุกลับเข้ารับราชการในตาแหน่งเจ้าหน้าท่ีบริหารงานท่ัวไป ระดับ ๔ ซ่ึง นาย. ก. เห็นว่าไม่ได้
รบั ความเป็นธรรมจากการดาเนินการดังกล่าว สานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีจึงขอทราบแนวทางปฏิบัติในการ
บรรจุกลับในกรณีเช่นน้ีของข้าราชการพลเรือนสามัญ เพ่ือประกอบพระบรมราชวินิจฉัยต่อไป ความละเอียด
แจ้งแลว้ นั้น
สานักงาน ก.พ. ขอเรียนวา่ ในสว่ นของข้าราชการพลเรือนสามญั มแี นวทางปฏบิ ัติ ดงั น้ี
๑. การเพิกถอนคาส่ังทางปกครองตามคาพิพากษาของศาลและการกลับเข้ารับราชการ
ในทางปฏิบัติ อ.ก.พ. วิสามัญเกี่ยวกับกฎหมายและระเบียบข้าราชการซ่ึงทาหน้าท่ีแทน ก.พ. ได้เคยพิจารณาปัญหา
ในทานองเดียวกันไว้ว่า ผู้บังคับบัญชาผู้มีอานาจจะต้องดาเนินการยกเลิกคาสั่งลงโทษเพื่อให้เป็นไปตาม
คาพพิ ากษาของศาลปกครองสงู สุด และมีคาสัง่ แตง่ ต้ังผู้ถูกลงโทษให้กลับไปดารงตาแหน่งเดิม หรือตาแหน่งอื่น
ในระดับเดียวกนั ท่ีมีคุณสมบัตเิ ฉพาะสาหรบั ตาแหนง่ น้ัน ทั้งนี้ ตงั้ แต่วันทีม่ ีคาสั่งเป็นตน้ ไป
๒. สาหรับเงินเดือนระหว่างถูกออกจากราชการ โดยที่ระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วย
การจ่ายเงินเดือนให้แก่ข้าราชการซึ่งถูกสั่งให้ออก ปลดออก หรือไล่ออกจากราชการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
และข้าราชการซึ่งถูกส่ังให้ออก ปลดออก หรือ ไล่ออกจากราชการแล้วต่อมาได้รับการพิจารณายกโทษ พ.ศ. ๒๕๓๘
กาหนดใน ข้อ ๔ (๑) วา่ “...ขา้ ราชการผ้ใู ดถกู สัง่ ให้ออก ปลดออก หรอื ไล่ออกจากราชการแล้วต่อมาผู้มีอานาจ
139
พิจารณาตามกฎหมายได้พิจารณาวินิจฉัยว่า คาสั่งที่สั่งให้ออก ปลดออก หรือไล่ออกจากราชการดังกล่าว
เป็นคาส่ังท่ีไมช่ อบดว้ ยกฎหมาย หรอื ข้าราชการผ้ใู ดถกู สั่งให้ออก ปลดออก หรือไล่ออกจากราชการ แล้วต่อมา
ผู้มีอานาจพิจารณาตามกฎหมายได้พิจารณาวินิจฉัยว่าข้าราชการผู้นั้น ไม่ได้กระทาผิด จึงสั่งยกโทษและ
ให้กลับเข้ารับราชการ ทั้งนี้ โดยกรณีถึงท่ีสุดแล้ว ให้ข้าราชการดังกล่าวได้รับเงินเดือนในระหว่างที่มิได้มา
ปฏบิ ัติราชการ ดงั นี้
(๑) ถ้าปรากฏว่าข้าราชการผู้นั้นมิได้กระทาความผิดและไม่มีมลทิน หรือมัวหมอง ให้จ่าย
ให้ตามท่ีผู้มีอานาจพิจารณาตามกฎหมายตามวรรคหน่ึงกาหนด ในกรณีที่มิได้กาหนดให้จ่ายให้เต็ม...
รายละเอียดปรากฏตามสง่ิ ทส่ี ง่ มาดว้ ย
ดังน้ัน ข้าราชการท่ีถูกลงโทษและได้กลับเข้ารับราชการอีก จึงมีสถานภาพการเป็น
ข้าราชการต่อเนอ่ื งและสามารถรบั เงนิ เดือนในช่วงท่ีถูกออกจากราชการไดต้ ามระเบยี บดังกลา่ ว
อนง่ึ โดยท่ีพนักงานสว่ นทอ้ งถน่ิ มกี ฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่นบังคับ
ไว้เปน็ การเฉพาะ ดังนน้ั การดาเนินการตามกฎหมายหรือแนวทางปฏิบัติสาหรับเรื่องน้ีอาจมีความแตกต่างจาก
ขา้ ราชการพลเรือนสามัญได้
จงึ เรยี นมาเพ่ือประกอบการพิจารณา
ขอแสดงความนับถือ
เบญจวรรณ สร่างนิทร
(นางเบญจวรรณ สรา่ งนทิ ร)
เลขาธกิ าร ก.พ.
สานกั มาตรฐานวินยั
โทร ๐ ๒๕๔๗ ๑๖๓๑
โทรสาร ๐ ๒๕๔๗ ๑๖๓๐
140
ท่ี นร ๑๐๑๑/ล ๓๖๘ สานกั งาน ก.พ.
ถนนพิษณุโลก กทม. ๑๐๓๐๐
๒ สิงหาคม ๒๕๕๓
เรอื่ ง ขอหารือเกี่ยวกับการดาเนินการทางวินัย
เรยี น เลขาธกิ ารคณะกรรมการ ป.ป.ช.
อา้ งถึง หนังสอื สานกั งาน ป.ป.ช. ลับ ที่ ปช 00๑๔/๑๗๙๐ ลงวนั ที่ ๑๐ มนี าคม ๒๕๕๓
สง่ิ ที่ส่งมาดว้ ย หนังสอื สานักงาน ก.พ. ท่ี สร ๐๙๐๕/ว ๙ ลงวันท่ี 6 ตุลาคม ๒๕๐๙
ตามหนังสอื ทอี่ ้างถงึ สานักงาน ป.ป.ช. แจ้งว่าสานักงาน ป.ป.ช. ได้รับเร่ืองร้องเรียนกล่าวหา
นาย ช. ผู้เช่ียวชาญวิชาชพี เฉพาะดา้ นวิศวกรรมชลประทาน(ด้านจัดสรรน้าและบารุงรักษา) สังกัดกรมชลประทาน
กับพวก ว่าเมื่อคร้ังดารงตาแหน่งประธานกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง นาย ช. และคณะกรรมการสอบสวน
ข้อเท็จจริง ได้พิจารณาเสนอความเห็นให้ยุติเร่ืองโดยไม่รอผลคดีอาญา ซึ่งผู้ร้องเรียนอ้างว่าการดาเนินการดังกล่าว
ขัดต่อหนังสือสานักงาน ก.พ. ที่ สร ๐๙๐๕/ว ๙ ลงวันท่ี ๖ ตุลาคม ๒๕๐๙ เร่ือง การสอบสวนพิจารณาโทษ
ขา้ ราชการสานักงาน ป.ป.ช. จงึ ขอทราบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายในกรณีดังกล่าว พร้อมท้ังขอเอกสารหลักฐาน
ท่ีเก่ียวขอ้ ง ความละเอียดแจ้งแลว้ น้นั
สานักงาน ก.พ. ขอเรยี นว่า ตามหนงั สอื สานักงาน ก.พ. ท่ี สร ๐๙๐๕/ว ๙ ลงวันท่ี ๖ ตุลาคม
๒๕๐9 เป็นกรณที ่ีผู้บังคบั บัญชาดาเนินการสอบสวนเพื่อพิจารณาโทษทางวินัยแก่ข้าราชการแล้วการสอบสวน
ทางวินัยยังฟังไม่ได้ว่าข้าราชการผู้ถูกสอบสวนกระทาผิดวินัย ซ่ึงผู้นั้นถูกฟ้องคดีอาญาหรือถูกกล่าวหาว่า
กระทาผิดอาญาในเร่ืองท่ีถูกสอบสวนอยู่ด้วย ในกรณีเช่นนี้จึงสมควรรอการส่ังการเด็ดขาดทางวินัยไว้ก่อน
จนกว่าจะทราบผลคดีอาญา (รายละเอียดตามเอกสารแนบท้าย) สาหรับการสอบสวนข้อเท็จจริงเพื่อทราบว่า
กรณีมีมูลท่ีควรกล่าวหาว่าข้าราชการผู้ถูกกล่าวหากระทาผิดวินัยหรือไม่น้ัน ไม่ใช่การสอบสวนพิจารณาโทษ
ทางวินัยแก่ข้าราชการ จึงไม่ต้องปฏิบัติตามหนังสือสานักงาน ก.พ. ที่ สร ๐๙๐๕/ว๙ ลงวันที่ 6 ตุลาคม ๒๕๐๙
จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ
ขอแสดงความนบั ถือ
สมโภชน์ นพคุณ
(นายสมโภชน์ นพคุณ)
รองเลขาธิการ ก.พ.
ปฏิบัติราชการแทนเลขาธิการ ก.พ.
สานกั มาตรฐานวนิ ัย
โทร. ๐ ๒๕๔๗ ๑๖๓๑
โทรสาร ๐ ๒๕๔๗ ๑๖๓๐
141
ที่ นร ๑๐๑๑/๙๙๑ สานกั งาน ก.พ.
ถนนพษิ ณโุ ลก กทม. ๑๐๓๐๐
๑๐ พฤศจกิ ายน ๒๕๕๓
เร่อื ง หารือแนวปฏิบตั ิในการจ่ายเงินเดือนระหว่างพักราชการ
เรยี น อธบิ ดีกรมสอบสวนคดพี ิเศษ
อา้ งถึง หนังสือกรมสอบสวนคดีพิเศษ ด่วนทส่ี ดุ ลับ ที่ ยธ ๐๘๑๔/๒๒๐ ลงวนั ท่ี ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๕๓
ตามหนังสือที่อ้างถึง กรมสอบสวนคดีพิเศษ ขอหารือแนวปฏิบัติในการจ่ายเงินเดือนระหว่าง
พักราชการ ดงั นี้
๑. กรณีท่ีพันตารวจเอก อ. ถูกกล่าวหาว่ากระทาผิดวินัยอย่างร้ายแรง กรณีมีพฤติการณ์ในการ
เบกิ จา่ ยเงินให้แหลง่ ขา่ วโดยไมถ่ กู ต้อง โดยจดั ทาเอกสารการเบิกจ่ายไม่ตรงกับความจริง ซ่ึงผลการสอบสวนทางวินัย
ของกรมสอบสวนคดีพิเศษเห็นว่าพันตารวจเอก อ. ไม่ได้กระทาผิดวินัยตามข้อกล่าวหา โดย อ.ก.พ. กระทรวงยุติธรรม
มีมติเม่ือวันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๕๒ ให้ผู้บังคับบัญชากาชับพันตารวจเอก อ. ให้ปฏิบัติตาม ระเบียบของทาง
ราชการอย่างต่อเนื่องและเคร่งครัด และระมัดระวังอย่าให้เกิดเหตุการณ์ทานองนี้อีก กรมสอบสวนคดีพิเศษ
ได้แจ้งให้ผู้บังคับบัญชาทราบและรายงานการสอบสวนให้สานักงาน ก.พ. ทราบแล้ว จึงถือว่าการดาเนินการ
ทางวินัยอย่างร้ายแรงได้ถึงท่ีสุดต้ังแต่ อ.ก.พ. กระทรวงยุติธรรมได้มีมติดังกล่าวแล้ว ตามพระราชบัญญัติ
ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ มาตรา ๑๐๓ ประกอบกับมาตรา ๙๗ ถึงแม้ว่าเป็นกรณีดาเนินการ
คาบเกี่ยวกับพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ ก็ไม่ต้องรอให้สานักงาน ก.พ. ตอบรับ
ผลการดาเนินการทางวินัยดังกล่าว ความเห็นของกรมสอบสวนคดีพิเศษถูกต้องหรือไม่ อย่างไร และ
กรมสอบสวนคดพี เิ ศษจะตอ้ งปฏบิ ตั ิใหเ้ ป็นไปตามกฎหมายใด
๒. กรณีท่ีพันตารวจเอก อ. ถูกสั่งพักราชการตามกรณีดังกล่าวข้างต้นตามข้อ ๑ จึงถือได้ว่า
พันตารวจเอก อ. ไมไ่ ด้ถกู ลงโทษทางวินัยตามข้อกล่าวหาท่ีเป็นเหตุให้ถูกส่ังพักราชการ กรมสอบสวนคดีพิเศษ
จึงต้องจ่ายเงนิ เดอื นระหวา่ งพักราชการให้พันตารวจเอก อ. เต็มจานวนตามมาตรา ๗ (๑) แห่งพระราชบัญญัติ
เงินเดือนของข้าราชการผู้ถูกสั่งพักราชการ พ.ศ. ๒๕๐๒ ความเห็นของกรมสอบสวนคดีพิเศษถูกต้องหรือไม่
อย่างไร และกรมสอบสวนคดีพิเศษจะต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามระเบียบ กฎหมายใด ความละเอียด
แจ้งแลว้ นั้น
สาหรับกรณีที่ ๑ สานักงาน ก.พ. ขอเรียนว่า พระราชบัญญัติเงินเดือนของข้าราชการผู้ถูกสั่ง
พักราชการ พ.ศ. ๒๕๐๒ มาตรา ๕ บญั ญัติว่า “ขา้ ราชการผู้ใดถูกส่ังพักราชการ ให้งดเบิกจ่ายเงินเดือนสาหรับ
ข้าราชการผู้น้ันตั้งแต่วันพักราชการเป็นต้นไป” และมาตรา ๗ บัญญัติว่า “เงินเดือนระหว่างพักราชการนั้น
142
เมื่อคดหี รือกรณีถึงที่สุด (๑) ถ้าปรากฏว่าข้าราชการผู้ถูกสั่งพักราชการมิได้กระทาความผิดและไม่มีมลทินหรือ
มัวหมอง ให้จ่ายเต็ม..” ดังนั้น การจ่ายเงินเดือนระหว่างพักราชการให้แก่ข้าราชการผู้ถูกสั่งพักราชการจึงต้อง
พจิ ารณาวา่ กรณกี ารดาเนนิ การทางวนิ ัยที่เปน็ เหตุให้ข้าราชการถูกส่ังพักราชการได้ถึงท่ีสุดแล้วหรือไม่ ซึ่งกรณี
ถึงท่ีสุดของกระบวนการดาเนินการทางวินัยนั้นมีแนวตอบข้อหารือของ ก.พ. ว่าพระราชบัญญัติระเบียบ
ข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ ไม่มีบทบัญญัติว่ากรณีถึงที่สุดเม่ือใด แต่ตามมาตรา ๑๐๒ ถึงมาตรา ๑๐๙
ได้บัญญัติกระบวนการดาเนินการทางวินัยต้ังแต่เร่ิมต้นจนถึงการรายงานการดาเนินการทางวินัยไปยัง อ.ก.พ. กระทรวง
หรือ ก.พ. แล้วแต่กรณีไว้ตามระเบียบ ก.พ. ว่าด้วยการรายงานเก่ียวกับการดาเนินการทางวินัยและการออกจาก
ราชการของขา้ ราชการพลเรอื นสามญั พ.ศ. ๒๕๓๙ วา่ ในกรณที ี่ ก.พ. เห็นว่าการดาเนินการทางวินัยไม่ถูกต้อง
หรือไม่เหมาะสม จะรายงานนายกรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาสั่งการให้กระทรวง ทบวง กรม ปฏิบัติให้ถูกต้องหรือ
เหมาะสมตามมาตรา ๘ (๘) และมาตรา ๙ ในกรณีกระทรวง ทบวง กรม รายงานการ ดาเนินการทางวินัยไปยัง
ก.พ. และ ก.พ. ตอบรับทราบโดยไม่มีการดาเนินการเป็นอย่างอ่ืน ในทางปฏิบัติถือว่า กระบวนการดาเนินการ
ทางวนิ ยั เปน็ อนั ส้นิ สดุ สว่ นกรณที ผ่ี ู้ถูกลงโทษทางวินยั ได้อุทธรณ์คาสั่งลงโทษ ให้ถือว่า กระบวนการดาเนินการ
ทางวินัยเสร็จสิ้นเมื่อการพิจารณาช้ันอุทธรณ์ถึงท่ีสุดโดยนายกรัฐมนตรีได้สั่งการตามมติ ก.พ. หรือคณะรัฐมนตรี
มมี ติและได้มีการดาเนินการตามน้นั แล้ว
ในเรื่องน้ีผลการสอบสวนทางวินัยของกรมสอบสวนคดีพิเศษเห็นว่าพันตารวจเอก อ. ไม่ได้
กระทาผิดตามข้อกล่าวหา ผู้บังคับบัญชาเห็นว่ามิได้กระทาความผิดวินัยและไม่มีกรณีท่ีต้องออกจากราชการ
จงึ สงั่ ยตุ ิเรือ่ ง และได้รายงาน อ.ก.พ. กระทรวงยุติธรรม ในคราวประชุมครั้งท่ี ๘/๒๕๕๑ เมื่อวันท่ี ๓ ธันวาคม
๒๕๕๑ คร้ังแรก แต่พิจารณายังไม่แล้วเสร็จ และรายงาน อ.ก.พ.กระทรวงยุติธรรมพิจารณาครั้งสุดท้าย
ในการประชุม อ.ก.พ. กระทรวงยุติธรรม ในคราวประชุมครั้งท่ี ๕/๒๕๕๒ เมื่อวันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๕๒
พจิ ารณาแล้วมมี ติใหผ้ ้บู ังคับบัญชากาซบั พันตารวจเอก อ. ใหป้ ฏิบตั ิตามระเบียบของทางราชการอย่างต่อเนื่อง
และเคร่งครัด และระมัดระวังอย่าให้เกิดเหตุการณ์ทานองดังกล่าวเกิดขึ้นอีก ซึ่งกรมสอบสวนคดีพิเศษ
ได้แจง้ ใหผ้ ู้บงั คบั บัญชาปฏบิ ตั ติ ามมติ อ.ก.พ. กระทรวงยุติธรรม และไดร้ ายงานการสอบสวนให้สานักงาน ก.พ.
ทราบแล้ว จึงเป็นกรณีดาเนินการคาบเกี่ยวกับพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕
และพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ คือ กรณีที่ได้มีการรายงานหรือส่งเรื่องหรือ
นาสานวนเสนอ หรือส่งเร่ืองให้ อ.ก.พ. สามัญใดพิจารณาโดยถูกต้องตามกฎหมายท่ีใช้อยู่ขณะนั้น และ
อ.ก.พ. สามัญพิจารณาเรื่องน้ันยังไม่เสร็จ ก็ให้ อ.ก.พ. สามัญ พิจารณาตามกฎหมายนั้นต่อไปจนกว่า
จะแล้วเสร็จตามมาตรา ๑๓๓ (๓) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ และเมื่อ
อ.ก.พ. กระทรวงยุติธรรม พิจารณาแล้วเสร็จขณะพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑
ใชบ้ งั คบั การดาเนินการทางวินยั ตอ่ ไปต้องดาเนินการตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑
ตามมาตรา ๑๐๓ และมาตรา ๑๐๔ คือ เม่ือผู้บังคับบัญชาได้ส่ังลงโทษหรือส่ังยุติเรื่อง หรืองดโทษแล้ว
143
ให้รายงาน อ.ก.พ. กระทรวง หาก อ.ก.พ. กระทรวงไมม่ ีมตเิ ปลยี่ นแปลงหรือแกไ้ ขเปน็ อย่างอื่น และหากผู้แทน
ก.พ. ซ่งึ เป็นกรรมการใน อ.ก.พ. กระทรวง เห็นว่าการดาเนินการของผู้บังคับบัญชาหรือ มติ อ.ก.พ. กระทรวง
ถูกต้องแล้วโดยไม่มีความเห็นแย้ง โดยปกติถือว่ากระบวนการดาเนินการทางวินัยเป็นอันส้ินสุด ดังนั้น
ความเห็นของกรมสอบสวนคดพี เิ ศษดงั กลา่ วจึงถูกตอ้ งแลว้
ส่วนกรณีที่ ๒ เม่ือผลการสอบสวนทางวินัยปรากฏว่า พันตารวจเอก อ. ผู้ถูกส่ังพักราชการ
ไม่ได้ถูกลงโทษทางวินัยอย่างร้ายแรงตามข้อกล่าวหา กรณีมีพฤติการณ์ในการเบิกจ่ายเงินให้แหล่งข่าวโดยไม่ถูกต้อง
โดยจัดทาเอกสารการเบิกจ่ายไม่ตรงกับความจริงที่เป็นเหตุให้ถูกส่ังพักราชการน้ัน กรมสอบสวนคดีพิเศษ
จึงตอ้ งจ่ายเงินเดือนระหวา่ งพกั ราชการใหพ้ นั ตารวจเอก อ. เต็มจานวนตามมาตรา ๗ (๑) แห่งพระราชบัญญัติ
เงินเดือนของข้าราชการผู้ถูกสั่งพักราชการ พ.ศ. ๒๕๐๒ ดังน้ัน ความเห็นของกรมสอบสวนคดีพิเศษดังกล่าว
จึงถกู ต้องแลว้
จงึ เรียนมาเพื่อโปรดทราบ
ขอแสดงความนบั ถือ
ปรีชา นศิ ารัตน์
(นายปรีชา นศิ ารัตน์)
ที่ปรกึ ษาระบบราชการ
รกั ษาราชการแทนรองเลขาธิการ ก.พ.
ปฏบิ ัติราชการการแทนเลขาธิการ ก.พ.
สานักมาตรฐานวินยั
โทร. ๐ ๒๕๔๗ ๑๖๓๑
โทรสาร ๐ ๒๕๔7 ๑๖๓๐
144
ที่ นร ๑๐๑๑/๗๖ สานกั งาน ก.พ.
ถนนพิษณุโลก กทม. ๑๐๓๐๐
๔ กมุ ภาพันธ์ ๒๕๕๔
เรอ่ื ง หารอื การลงโทษทางวนิ ัยขา้ ราชการ
เรยี น ผู้วา่ ราชการจังหวัดนครพนม
อ้างถึง หนงั สือศาลากลางจังหวัดนครพนม ที่ นพ ๐๐๑๖.๕/๕๘๒๑ ลงวันท่ี ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๕๓
และท่ี นพ ๐๐๑๖.๕/๘๐๒๘ ลงวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๓
ตามหนังสือท่ีอ้างถึง จังหวัดนครพนมได้หารือปัญหาเกี่ยวกับการสั่งลงโทษตัดเงินเดือน นาง ส.
เจ้าพนักงานสาธารณสุขชานาญงาน กลุ่มงานเวชกรรมสังคม โรงพยาบาลนครพนม สานักงานสาธารณสุข
จังหวัดนครพนม จานวน ๕ % เป็นเวลา ๓ เดือน ตั้งแต่เดือนสิงหาคม ๒๕๕๒ กรณีรับรองบุคคลในเอกสารประกอบ
การเพ่ิมช่ือในทะเบียนบ้านท่ีสานักทะเบียนอาเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม อันเป็นเท็จทาให้มีการเพิ่มช่ือ
บุคคลต่างด้าวให้มีสญั ชาตไิ ทยโดยมชิ อบ จานวน ๔ ราย เมือ่ วนั ที่ ๒๗ มถิ ุนายน ๒๕๔๘ และวันที่ ๔ มีนาคม ๒๕๔๙
จนเกิดความเสียหายแก่ทางราชการ ต่อมาจังหวัดนครพนมได้ตรวจสอบเพิ่มเติมพบว่า นาง ส. ได้ลงลายมือชื่อรับรอง
บุคคลโดยมิชอบ เมื่อวนั ที่ ๗ กรกฎาคม ๒๕๔๙ อีกจานวน ๔ ราย ซึ่งจังหวัดนครพนมได้แต่งตั้งคณะกรรมการ
สอบสวนแล้วพบวา่ เปน็ การรบั รองบุคคลโดยมิชอบเช่นเดียวกับคร้ังก่อนท่ีได้ลงโทษไปแล้ว แต่มาตรวจสอบพบ
เพิ่มเติมในภายหลัง คณะกรรมการสอบสวนจึงมีความเห็นว่า เป็นการกระทาผิดต่างกรรมต่างวาระ จึงได้เสนอ
ผวู้ า่ ราชการจังหวัดให้พิจารณาลงโทษตัดเงินเดือน ๕ % เป็นเวลา ๓ เดือน ดังน้ี ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม
จะพิจารณาลงโทษตดั เงนิ เดือน ๕ % เป็นเวลา ๓ เดอื น เปน็ ครง้ั ที่สองได้หรือไม่ นนั้
ก.พ. พิจารณาแล้วเห็นว่า เร่ืองทานองเดียวกันน้ี ก.พ. เคยตอบข้อหารือไปยังกรมการปกครอง
โดยเห็นว่า การท่ีจะพิจารณาว่าการดาเนินการทางวินัยในเรื่องใดเป็นการดาเนินการซ้าในเร่ืองที่มีการกล่าวหา
เดียวกันหรือไม่ น้ัน ควรยึดหลักเจตนาของผู้กระทาและข้อเท็จจริงที่เกิดข้ึนเป็นเรื่องๆ ไป หากเป็นเร่ืองกล่าวหา
ที่มกี ารกระทาหลายคร้ัง โดยแต่ละครั้งมีเพียงเจตนาเดียวต่อเน่ืองกัน ก็ต้องถือว่าการกระทาท้ังหลายที่เกิดข้ึน
ท้ังหมดอยู่ในเร่ืองเดียวกัน ซ่ึงหากมีการดาเนินการทางวินัยกับผู้กระทาผิดในการกระทาครั้งใด และได้มีการ
สั่งลงโทษผู้กระทาผิดอย่างถูกต้องเหมาะสมไปแล้ว การดาเนินการทางวินัยและการสั่งลงโทษ ผู้กระทาผิด
ในการกระทานั้น ย่อมมีผลเป็นการผูกพันว่าการกระทาผิดแต่ละคร้ังในเรื่องท่ีกล่าวหานั้น ได้มีการดาเนินการ
ทางวนิ ยั แล้ว กรณเี ชน่ นจี้ ึงไมส่ ามารถท่ีจะนาเอาการกระทาผิดในเร่ืองท่ีกล่าวหาซ่ึงยังไม่ได้ดาเนินการทางวินัย
มากล่าวหาเปน็ เรือ่ งกลา่ วหาใหมอ่ กี ได้ เพราะจะเป็นการดาเนินการทางวินยั ซ้าในเรอ่ื งเดียวกัน
145
ดังน้ัน เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ในวันท่ี ๒๗ มิถุนายน ๒๕๔๘ และวันท่ี ๔ มีนาคม ๒๕๔๙
นาง ส. ได้ลงลายมือช่ือรับรองบุคคลในเอกสารประกอบการเพิ่มชื่อในทะเบียนบ้านที่สานักทะเบียนอาเภอ
เมอื งนครพนม โดยมิชอบ จานวน ๔ ราย โดยจังหวัดนครพนมได้แต่งต้ังคณะกรรมการสอบสวนและสั่งลงโทษ
ตัดเงินเดือน นาง ส. ในกรณีดังกล่าว จานวน ๕ % เป็นเวลา ๓ เดือน ต้ังแต่เดือนสิงหาคม ๒๕๕๒ แล้ว แม้
ต่อมาจะตรวจสอบเพิ่มเติมแล้วพบว่า นาง ส. ได้รับรองบุคคลโดยมิชอบในลักษณะเดียวกันอีกจานวน ๔ ราย
โดยได้กระทาเมื่อวันที่ ๗ กรกฎาคม ๒๕๔๙ ก็ตาม ก็เป็นเรื่องท่ีมีพฤติการณ์ในลักษณะเดียวกันกับกรณีท่ีได้
ดาเนินการทางวินัยไปแล้ว เพียงแต่โอกาสท่ีจะกระทาผิดต่างกันเท่านั้น ประกอบกับการกระทาผิดดังกล่าว
เกิดข้ึนก่อนที่จะมีการสอบสวนและสั่งลงโทษ นาง ส. เม่ือเดือนสิงหาคม ๒๕๕๒ การดาเนินการทางวินัย
ดงั กล่าวข้างตน้ จงึ ครอบคลุมถงึ การกระทาผดิ ทต่ี รวจพบเพ่ิมเติมในภายหลังด้วยแล้ว กรณีจึงเป็นการพิจารณา
การกระทาความผิดในเรื่องเดียวกัน ซ่ึงไม่สามารถดาเนินการทางวินัยได้อีก เพราะเป็นการดาเนินการทางวินัยซ้า
อย่างไรก็ตาม ก.พ. มีข้อสังเกตว่า จังหวัดนครพนมควรรายงานการกระทาผิดที่ตรวจสอบพบเพ่ิมเติมดังกล่าว
ไปยัง อ.ก.พ. กระทรวงมหาดไทย ตามมาตรา ๑๐๓ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน
พ.ศ. ๒๕๕๑ เพอ่ื ประกอบการพิจารณาความเหมาะสมของสถานโทษและอัตราโทษต่อไป
จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ
ขอแสดงความนบั ถือ
ปรชี า นิศารตั น์
(นายปรีชา นศิ ารตั น์)
รองเลขาธกิ าร ก.พ.
ปฏบิ ตั ริ าชการแทนเลขาธกิ าร ก.พ.
สานกั มาตรฐานวินยั
โทร ๐ ๒๕๔๗ ๑๖๓๑
โทรสาร ๐ ๒๕๔๗ ๑๖๓๐
146
ที่ นร ๑๐๑๑/ล ๒๒๒ สานักงาน ก.พ.
ถนนพิษณโุ ลก กทม. ๑๐๓๐๐
๑๘ พฤษภาคม ๒๕๕๔
เรือ่ ง หารือแนวทางการลงโทษ
เรยี น อธิบดกี รมโรงงานอุตสาหกรรม
อ้างถึง หนงั สอื กรมโรงงานอุตสาหกรรม ลบั ดว่ นทส่ี ุด ท่ี อก ๐๓๑๗/๒๓๔๘ ลงวันที่ ๒๒ กมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๕๔
สง่ิ ทสี่ ง่ มาด้วย ตัวอยา่ งแนวทางการลงโทษ จานวน ๓ แผน่
ตามหนังสือที่อ้างถึง กรมโรงงานอุตสาหกรรมได้หารือแนวทางการลงโทษ กรณีข้าราชการ
กรมโรงงานอุตสาหกรรมถูกเจ้าหน้าท่ีตารวจจับกุมพร้อมของกลางเป็นยาเสพติดให้โทษประเภทที่ ๕ (กัญชา)
ไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย บริเวณหน้ากรมโรงงานอุตสาหกรรมภายในกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งเป็น
สถานที่ราชการ หลงั การจบั กุม เจา้ หน้าที่ตารวจไดท้ าการตรวจพบอาวุธปืนพร้อมแมกกาซีน และเคร่ืองกระสุนปืน
ในรถยนต์ และเม่อื ฟอ้ งคดตี อ่ ศาลขา้ ราชการรายนีไ้ ดใ้ ห้การว่าเป็นผู้ป่วยที่ติดยาเสพติด สมควรได้รับการบาบัด
ซึ่งศาลอาญาได้มีคาพิพากษาว่าพฤติการณ์เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒
ให้ลงโทษจาคุก ๓ เดือน และปรับ ๓,000 บาท มีเหตุบรรเทาโทษ จึงลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงลงโทษจาคุก ๑
เดือน ๑๕ วัน และปรับ ๑,๕๐๐ บาท โดยโทษจาคุกให้รอการลงโทษไว้มีกาหนด ๒ ปี และผลแห่งคดีถึงท่ีสุด
กรมโรงงานอตุ สาหกรรมจึงหารือเกีย่ วกับแนวทางการลงโทษในเร่ืองดังกล่าวรวม ๓ ข้อ ความละเอียดแจง้ แลว้ นนั้
สานักงาน ก.พ. พิจารณาเร่ืองนีแ้ ลว้ ขอเรียน ดงั น้ี
๑. ตามทห่ี ารอื วา่ มตคิ ณะรัฐมนตรี เม่อื วันที่ ๒๑ มกราคม ๒๕๔๖ ใหเ้ ข้มงวดกวดขันเก่ียวกับ
เรื่องยาเสพติด หากพบว่าผู้ใดกระทาผิดให้พิจารณาลงโทษอย่างเด็ดขาด จริงจัง เพื่อเป็นตัวอย่างแก่ผู้อื่น
ดังนั้น การที่ข้าราชการกรมโรงงานอุตสาหกรรมได้กระทาผิดกรณีมีกัญชาไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย
จะถอื ว่าขา้ ราชการผูน้ ีก้ ระทาผิดวินยั อยา่ งรา้ ยแรง หรอื ไม่ นน้ั
สานักงาน ก.พ. ขอเรียนว่า การลงโทษอย่างเด็ดขาดกับข้าราชการท่ีเกี่ยวข้องกับยาเสพติด
ตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวน้ัน จะต้องพิจารณาจากข้อเท็จจริงเป็นเร่ือง ๆ ไปว่า กรณีเป็นความผิดวินัย
อย่างร้ายแรงหรือไม่ร้ายแรง โดยพิจารณาจากประเภทของยาเสพติดและพฤติกรรมแห่งการกระทาที่เข้าไป
เกี่ยวข้องกบั ยาเสพตดิ นั้น เช่น หากขา้ ราชการผู้ใดเสพยาเสพติด หรือมียาเสพติดให้โทษประเภทท่ี ๑ (ยาบ้า)
ไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย พฤติการณ์ถือว่าเป็นความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ฐานประพฤติช่ัว
147
อยา่ งรา้ ยแรง ตามมาตรา ๘๕ (๔) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ แต่หากข้าราชการ
ผูใ้ ดเสพยาเสพตดิ หรือมียาเสพติดให้โทษประเภทท่ี ๕ (กัญชา) ไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย พฤติการณ์
อาจเป็นความผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรง ฐานไม่รักษาช่ือเสียงและเกียรติศักดิ์ของตาแหน่งหน้าท่ีราชการ
ตามมาตรา ๘๒ (๑๐) หรืออาจเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง ฐานประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง มาตรา ๘๕ (๔)
แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวได้ โดยจะต้องพิจารณาจากข้อเท็จจริงและพฤติการณ์แห่งการกระทาเป็นเรื่อง ๆ ไป
ทงั้ น้ี ก.พ. ได้วางแนวทางการพิจารณาลกั ษณะความผดิ ดงั กล่าวไว้ ๓ ประการ ดังน้ี
(๑) เป็นการกระทาท่ีทาให้เสื่อมเสียเกียรติศักดิ์ของตาแหน่งหน้าที่ราชการ โดยพิจารณาจาก
ตาแหน่งหน้าท่ีราชการของผู้กระทากับพฤติการณ์ในการกระทาของผู้นั้นประกอบกันโดยมีแนวคิดที่ว่า
ข้าราชการสมควรประพฤตปิ ฏิบัตติ นใหเ้ ป็นตัวอย่าง เป็นที่ยกย่อง นับถือ ศรัทธา แก่ประชาชน เนื่องจากข้าราชการ
เป็นตัวแทนและเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐในการปฏิบัติหน้าท่ีราชการ ตามนโยบายของรัฐบาล ซ่ึงต้องประพฤติปฏิบัติ
ตนใหอ้ ยใู่ นความดีงาม และเหมาะสมกบั เกียรตศิ กั ดขิ์ องตาแหนง่ หนา้ ท่รี าชการของตน
(๒) เป็นการกระทาท่ีสังคมรู้สึกรังเกียจหรือเป็นท่ีรังเกียจของสังคม โดยพิจารณาจาก
ความร้สู ึกของประชาชนหรือของข้าราชการทวั่ ไป
(๓) เป็นการกระทาโดยเจตนา
ดังปรากฏตัวอยา่ งแนวทางการลงโทษตามสงิ่ ทีส่ ่งมาดว้ ย
๒. ตามทห่ี ารือว่า ข้าราชการรายนีใ้ ห้การว่าตนเป็นบุคคลทีน่ ่าสงสาร เนอื่ งจากเปน็ ผู้ป่วยที่ติด
ยาเสพติด ควรท่ีจะได้รับการบาบัด รักษา โดยอ้างมติคณะรัฐมนตรี เร่ือง การปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเก่ียวกับ
เร่ืองการให้โอกาสผู้ติดเช้ือเอดส์ คนพิการ และผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติด ซ่ึงพ้นจากสภาพการใช้ยาเสพติด
เข้าทางานหรอื รบั การศึกษาตอ่ ในหน่วยงานภาครัฐ เม่อื วนั ท่ี ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๐ ไดห้ รอื ไม่ น้ัน
สานักงาน ก.พ. ขอเรียนว่า มติคณะรัฐมนตรีฉบับดังกล่าว มุ่งเน้นการให้โอกาสกับผู้เสพหรือ
ผู้ติดยาเสพติดซึ่งพ้นจากสภาพการใช้ยาเสพติด โดยมิให้อ้างเหตุดังกล่าวเป็นการลิดรอนสิทธิในการ
เข้ารับการศึกษา การรับทุนการศึกษา หรือเข้าทางาน ตลอดจนความก้าวหน้า การให้ออกจากการศึกษา หรือ
ให้ออกจากงาน ซ่ึงหมายความว่า ข้าราชการผู้เสพหรือติดยาเสพติดซึ่งพ้นจากสภาพการใช้ยาเสพติดแล้ว
สว่ นราชการจะพิจารณาใหข้ า้ ราชการผนู้ ้ันออกจากราชการไม่ได้ สาหรับกรณีตามท่ีหารือดังกล่าว หากปรากฏ
ว่าข้าราชการผู้เสพหรือติดยาเสพติดน้ันยังไม่พ้นจากสภาพการใช้ยาเสพติด ย่อมไม่อาจนามติคณะรัฐมนตรี
ฉบับดังกล่าวมาใชบ้ ังคบั ได้ การพิจารณาลงโทษจึงต้องเปน็ ไปตามแนวทางการพจิ ารณา ในขอ้ ๑
๓. ตามท่ีหารือว่า ข้าราชการรายน้ีได้ให้การต่อศาลว่าตนเองมีปริมาณกัญชาเพียงเล็กน้อยและ
ได้หาซื้อมาไว้เพื่อนามาผสมกับบุหร่ีเพ่ือสูบ เน่ืองจากสูบบุหรี่มาเป็นเวลานานแล้ว จึงถือว่าเป็นเพียงผู้ป่วยคนหน่ึง
ไม่ได้เป็นผู้ขายหรือจาหน่าย หากแต่เป็นบุคคลที่น่าสงสาร เนื่องจากเป็นผู้ท่ีติดยาเสพติด ควรอย่างยิ่งที่จะได้รับ
การบาบัด รักษา และการท่ีข้าราชการรายนี้ถูกจับกุมในข้อหามีกัญชาไว้ในครอบครอง โดยผิดกฎหมายในบริเวณ
สถานที่ทางาน แสดงให้เห็นว่าอาจมีพฤติกรรมเสพยาเสพติดในท่ีทางานได้ พฤติกรรมดังกล่าวจะถือว่า
เปน็ ความผิดวินยั อย่างร้ายแรง ฐานประพฤตชิ ั่วอย่างร้ายแรงหรือไม่ นน้ั
148
สานักงาน ก.พ. ขอเรยี นวา่ ตามทีห่ ารือนี้เป็นปัญหาทานองเดียวกับในข้อ ๑. ดังนั้น การจะพิจารณา
ว่าข้าราชการผู้ใดมีพฤติกรรมที่เข้าข่ายเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง ฐานประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงหรือไม่
ควรพิจารณาตามแนวทางที่ ก.พ. กาหนดไว้ดังกลา่ วขา้ งต้น
จงึ เรียนมาเพ่ือโปรดทราบ
ขอแสดงความนับถือ
ปรีชา นิศารัตน์
(นายปรีชา นิศารตั น์)
รองเลขาธิการ ก.พ.
ปฏบิ ัตริ าชการแทนเลขาธิการ ก.พ.
สานักมาตรฐานวนิ ัย
โทร ๐ ๒๕๔๗ ๑๖๓๑
โทรสาร ๐ ๒๕๔๗ ๑๖๓๐
ที่ นร ๑๐๑๑/๔0๘ 149
สานักงาน ก.พ.
ถนนติวานนท์ จังหวัดนนทบุรี ๑๑๐๐๐
๖ พฤศจกิ ายน ๒๕๕๕
เรื่อง หารอื แนวทางปฏบิ ตั ิตามกฎ ก.พ. ฉบบั ที่ ๑๘ (พ.ศ. ๒๕๔๐)
เรยี น อธิบดีกรมควบคุมโรค
อ้างถึง หนงั สอื กรมควบคุมโรค ที่ สธ ๐๔๐๒.๕/๓๕ ลงวนั ที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๕
สิง่ ท่สี ง่ มาด้วย ๑. สาเนาหนังสือสานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ท่ี นร ๐๕๐๕/ว ๓๘ ลงวันท่ี ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๐
๒. สาเนาหนงั สือสานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ท่ี นร ๐๕๐๕/ท ๘๓๐๔ ลงวันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๕๕
ตามหนังสือที่อ้างถึง กรมควบคุมโรคได้หารือโดยแจ้งข้อเท็จจริงพร้อมท้ังส่งเอกสาร
ไปประกอบการพจิ ารณาวา่ กรมควบคุมโรคไดม้ คี าส่ังแต่งต้ังคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรงแก่ข้าราชการ
กรมควบคุมโรค กรณีศาลมีคาพิพากษาถึงท่ีสุดว่าข้าราชการดังกล่าวกระทาผิดอาญา ฐานเสพเมทแอมเฟตามีน
(ยาบ้า) และมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยโทษจาคุกให้รอการลงโทษไว้มีกาหนด ๒ ปี
ซึ่งคณะกรรมการสอบสวนได้แจ้งข้อกล่าวหาและสรุปพยานหลักฐานที่สนับสนุนข้อกล่าวหาให้ผู้ถูกกล่าวหาทราบ
(สว.๓) คร้ังแรกว่า การกระทาของผู้ถูกกล่าวหาเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง ต่อมาได้แจ้งข้อกล่าวหาและ
สรุปพยานหลักฐานท่ีสนับสนุนข้อกล่าวหาในครั้งท่ี ๒ ว่าเป็นความผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรง ซึ่งการแจ้งข้อกล่าวหา
และสรปุ พยานหลกั ฐานท่สี นับสนนุ ข้อกลา่ วหา (สว.๓) ทั้ง ๒ ครัง้ ใชพ้ ยานหลักฐานเดียวกัน และได้ทารายงาน
การสอบสวนเสนออธิบดีกรมควบคุมโรคว่าพฤติการณ์ของข้าราชการรายน้ีเป็นความผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรง
ฐานไม่รักษาช่ือเสียงและเกียรติศักดิ์ของตาแหน่งหน้าท่ีราชการของตนมิให้เส่ือมเสีย ตามมาตรา ๘๒ (๑๐)
แห่งพระราชบญั ญตั ิระเบียบขา้ ราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ กรมควบคุมโรคจึงหารือเก่ียวกับการดาเนินการ
ทางวินัยและแนวทางการลงโทษกรณีข้าราชการเกี่ยวข้องกับยาเสพติดมายัง ก.พ. รวม ๒ ข้อ ความละเอียด
แจ้งแล้ว นัน้
สานกั งาน ก.พ. พิจารณาเร่อื งนี้แล้ว ขอเรยี นดังนี้
๑. ตามที่หารือว่า หนังสือสานักงาน ก.พ. ท่ี นร ๐๗๐๙.๑/ป ๕๓๑ ลงวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๔๓
วางแนวทางการลงโทษข้าราชการที่กระทาผิดเก่ียวกับยาเสพติด กรณีเสพเมทแอมเฟตามีน (ยาบ้า) ว่าเป็น
การกระทาผดิ วินัยอยา่ งร้ายแรง และต้องถูกลงโทษถึงปลดออกหรือไล่ออกจากราชการ หากมีเหตุลดหย่อนให้
นามาประกอบการพิจารณาได้ แต่ห้ามมิให้ลดโทษลงต่ากว่าปลดออกจากราชการถูกต้อง หรือไม่ หากถูกต้อง
150
กรมควบคุมโรคสามารถนาเร่ืองเข้า อ.ก.พ. กรมควบคุมโรค เพื่อพิจารณาในเรื่องฐานความผิดและระดับโทษ
และดาเนินการตามมติ อ.ก.พ. ได้เลยหรือไม่ หรือต้องแจ้งข้อกล่าวหาและสรุปพยานหลักฐานที่สนับสนุน
ข้อกล่าวหา (สว.๓) ให้ผู้ถูกกล่าวหาทราบอีกคร้ังว่าการกระทาของผู้ถูกกล่าวหา เป็นการกระทาผิดวินัย
อย่างรา้ ยแรง โดยอา้ งกฎหมายทใ่ี ชข้ ณะผถู้ กู กลา่ วหากระทาผดิ ก่อนทจี่ ะลงโทษข้าราชการรายนี้ นน้ั
สานักงาน ก.พ. ขอเรียนว่า ตามหนังสอื สานักงาน ก.พ. ท่ี นร ๐๗๐๙.๑/ป ๕๓1 ลงวันท่ี ๒๑
กันยายน ๒๕๔๓ เคยวางแนวทางการลงโทษข้าราชการท่ีเสพหรือมีเมทแอมเฟตามีน (ยาบ้า) ไว้ในครอบครอง
ว่าเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง และต้องถูกลงโทษถึงปลดออกหรือไล่ออกจากราชการ หากมีเหตุอันควร
ลดโทษ หา้ มมใิ หล้ ดโทษลงต่ากว่าปลดออกนั้น ปัจจุบันได้มีมติคณะรัฐมนตรี ท่ี นร ๐๕๐๕/ว ๓๘ ลงวันที่ ๒๘
กุมภาพันธ์ ๒๕๕๐ เรื่องการปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเก่ียวกับเรื่องการให้โอกาสผู้ติดเชื้อเอดส์ คนพิการ และ
ผู้เสพยาเสพติด ซึ่งพ้นสภาพจากการใช้ยาเสพติดเข้าทางาน หรือรับการศึกษาต่อในหน่วยงานภาครัฐ
โดยมติคณะรัฐมนตรีฉบับน้ีมุ่งเน้นการให้โอกาสกับผู้เสพหรือผู้ติดยาเสพติดซ่ึงพ้นสภาพ จากการใช้ยาเสพติด
โดยมิให้อ้างเหตุดังกล่าวเป็นการลิดรอนสิทธิในการเข้ารับการศึกษา การรับทุนการศึกษาหรือเข้าทางาน
ตลอดจนความก้าวหน้า การให้ออกจากการศึกษาหรือให้ออกจากงาน ซึ่งหมายรวมถึง ข้าราชการ ผู้เสพ
หรือติดยาเสพติดซ่ึงพ้นจากสภาพการใช้ยาเสพติดแล้ว ส่วนราชการจะพิจารณาให้ผู้น้ันออกจากราชการ
ด้วยเหตุดังกล่าวมิได้ (รายละเอียดปรากฏตามสิ่งท่ีส่งมาด้วย) ดังนั้น กรณีที่หารือ หากปรากฏว่าข้าราชการ
รายน้ี พน้ จากสภาพการใช้ยาเสพตดิ แล้ว ส่วนราชการจะพิจารณาลงโทษไล่หรือปลดข้าราชการรายน้ีออกจาก
ราชการมิได้ เนื่องจากจะเป็นการขัดต่อเจตนารมณ์ของมติคณะรัฐมนตรีฉบับดังกล่าว แต่ถ้าข้าราชการรายนี้
ยังไม่พ้นสภาพจากการใช้ยาเสพติด ก็ย่อมไม่อาจนามติคณะรัฐมนตรีฉบับดังกล่าวมาใช้บังคับได้ ทั้งน้ี
ต้องพจิ ารณาจากขอ้ เท็จจริงและพฤตกิ ารณ์ของขา้ ราชการรายนโ้ี ดยละเอียดตอ่ ไป
อย่างไรก็ดี หากอธบิ ดีกรมควบคุมโรคซ่ึงเป็นผู้ส่ังแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนพิจารณาแล้ว
เหน็ วา่ พฤติการณข์ องข้าราชการรายนเ้ี ป็นความผดิ วนิ ยั อยา่ งร้ายแรง ก็ต้องส่งเรื่องให้ อ.ก.พ. กรมควบคุมโรค
พิจารณา ตามมาตรา ๙๗ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ โดยไม่ต้อง
แจ้งข้อกล่าวหาและสรุปพยานหลักฐานที่สนับสนุนข้อกล่าวหา (สว.๓) ในความผิดวินัยอย่างร้ายแรงแก่ผู้ถูก
กล่าวหาอีก เนื่องจากคณะกรรมการสอบสวนได้ดาเนินการดังกล่าวไปแล้ว และผู้ถูกกล่าวหาได้ให้ถ้อยคารับสารภาพ
ทุกข้อกล่าวหา ส่วนการที่คณะกรรมการสอบสวนได้ดาเนินการดังกล่าวโดยปรับบทความผิด ว่าเป็นความผิด
วินัยอย่างร้ายแรง ตามมาตรา ๘๕ (๔) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ ซ่ึงไม่ใช่
กฎหมายท่ีใชอ้ ยใู่ นขณะกระทาผิดน้ัน ก็ไม่ใช่สาระสาคัญที่จะทาให้เสียความเป็นธรรม อ.ก.พ. กรมควบคุมโรค
มีอานาจพิจารณาและมมี ติให้ปรับบทความผิดใหถ้ ูกต้องตามกฎหมายที่ใช้อยู่ ในขณะกระทาผดิ ได้
๒. ตามท่ีหารือว่า การดาเนินการของคณะกรรมการสอบสวนในการแจ้งข้อกล่าวหา และ
สรุปพยานหลักฐานท่ีสนับสนุนข้อกล่าวหา (สว.๓) คร้ังที่ ๒ โดยมิได้มีพยานหลักฐานใหม่ แต่อ้างหนังสือ
สานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ท่ี นร ๐๕๐๔/ ว ๒๙ ลงวันท่ี ๓๑ มกราคม ๒๕๔๖ เร่ือง การป้องกันและ
151
ปราบปรามยาเสพติด แล้วมีมติว่า การกระทาของผู้ถูกกล่าวหาเป็นการกระทาผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรง
พร้อมทั้งแจ้งให้ผู้ถูกกล่าวหารับทราบ ส่วนราชการจะต้องถือเป็นแนวทางในการลงโทษว่าข้าราชการ
ผู้เสพยาเสพตดิ เปน็ ความผิดวนิ ัยอย่างไมร่ ้ายแรงใชห่ รอื ไม่ นัน้
สานักงาน ก.พ. ขอเรียนว่า มติคณะรัฐมนตรีฉบับดังกล่าว ให้ส่วนราชการลงโทษอย่างเด็ดขาด
กบั ข้าราชการที่เก่ยี วข้องกับยาเสพตดิ แตก่ ารจะพิจารณาโทษข้าราชการผู้เสพหรือติดยาเสพติดว่ากรณีจะเป็น
ความผิดวินยั อย่างร้ายแรงหรือไมร่ า้ ยแรงนนั้ สานกั งาน ก.พ. ได้ใหค้ วามเห็นไวแ้ ล้ว ตามขอ้ หาท่ี ๑
จงึ เรียนมาเพ่ือโปรดทราบ
ขอแสดงความนบั ถือ
พันธ์ุเรอื ง พนั ธุหงส์
(นายพันธเ์ุ รอื ง พนั ธหุ งส์)
รองเลขาธกิ าร ก.พ.
ปฏิบตั ิราชการแทนเลขาธิการ ก.พ.
สานักมาตรฐานวินัย
โทร ๐ ๒๕๔๗ ๑๖28
โทรสาร ๐ ๒๕๔๗ ๑๖25
152
ที่ นร 1011/45 สานักงาน ก.พ.
ถนนพิษณโุ ลก กทม. 10300
8 กรกฎาคม 2546
เรอื่ ง หารอื การกระทาผดิ วนิ ัยของข้าราชการ
เรียน ผวู้ า่ ราชการจังหวัดปทมุ ธานี
อา้ งถึง หนังสอื จงั หวดั ปทุมธานี ที่ ปท 0016.3/10142 ลงวนั ท่ี 20 มิถนุ ายน 2546
ตามหนงั สอื ท่อี า้ งถงึ จังหวัดปทมุ ธานีแจ้งวา่ สานกั งานสาธารณสขุ จังหวดั ปทุมธานีได้สั่งแต่งตั้ง
คณะกรรมการข้ึนทาการสอบสวนนางสาว ก. ซึ่งถูกกล่าวหาว่ากระทาผิดวินัยอย่างร้ายแรงในเร่ืองมีความสัมพันธ์
ฉันชู้สาวกับสามีของผู้อื่น และคณะกรรมการสอบสวนพิจารณาแล้วเห็นว่านางสาว ก. มีพฤติกรรมตามท่ี
ถูกกล่าวหาจริงเป็นความผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรงฐานประพฤติชั่วตามมาตรา 98 วรรคหน่ึง แห่งพระราชบัญญัติ
ระเบียบข้าราชการพลเรอื น พ.ศ. 2535 ควรลงโทษลดข้ันเงินเดือนนางสาว ก. 1 ขนั้ จงั หวัดปทุมธานีจึงหารือ
ปัญหาเกย่ี วกับเรอื่ งข้างต้นไป รวม 3 ข้อ ความละเอยี ดแจ้งแล้ว นนั้
สานักงาน ก.พ. พิจารณาเรือ่ งนี้แลว้ ขอเรียนดงั นี้
1. ตามทหี่ ารอื วา่ กรณมี ูลเหตุดังกลา่ วขา้ งต้นเปน็ ความผดิ วินยั อยา่ งร้ายแรงหรืออย่างไมร่ ้ายแรง น้นั
สานักงาน ก.พ. ขอเรียนว่า โดยที่กรณีตามท่ีหารือเป็นเร่ืองการกระทาผิดวินัยฐานประพฤติชั่ว
ตามมาตรา 98 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 ซึ่ง ก.พ. ได้กาหนดแนวทาง
การพิจารณาการกระทาผิดวินยั ฐานประพฤติช่ัวน้ไี ว้ โดยให้พิจารณาถึง
เกียรติของข้ำรำชกำร ซ่ึงพิจารณาจากแนวความคิดที่ว่า ข้าราชการสมควรประพฤติปฏิบัติ
ตนให้เป็นตัวอย่าง เป็นที่ยกย่อง นับถือ ศรัทธาแก่ประชาชนท่ัวไป เน่ืองจากข้าราชการเป็นตัวแทนและ
เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐในการปฏิบัติหน้าท่ีราชการตามนโยบายของรัฐบาล จึงต้องประพฤติปฏิบัติตนให้อยู่ใน
ความดีงาม และเหมาะสมกบั เกียรติศักดขิ์ องตาแหน่งหนา้ ท่ีราชการของตน
ควำมรู้สึกของสังคม ซึ่งพิจารณาจากรายละเอียดและข้อเท็จจริงของลักษณะและพฤติการณ์
แห่งการกระทาว่า พฤติการณ์เช่นไรที่เม่ือประชาชนหรือผู้บังคับบัญชาได้ทราบแล้วรู้สึกว่าเป็นการกระทา
ท่ไี มเ่ หมาะสม ยอมรบั ไม่ได้ ซง่ึ เป็นการกระทาที่บคุ คลท่วั ไปเหน็ วา่ เป็นการประพฤตชิ ว่ั หรือไม่เพียงใด
เจตนำในกำรกระทำ ซ่ึงพิจารณาโดยคานึงถึงพฤติการณ์ท่ีเกิดขึ้นว่า เป็นการกระทาหรือละเว้น
การกระทาโดยประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทาหรือละเว้นการกระทานั้น หรือไม่ ดังน้ัน
การทจ่ี ะพิจารณาว่าขา้ ราชการหญิงท่มี ีความสัมพันธฉ์ นั ชสู้ าวกบั สามีของผอู้ ่นื จะเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง
หรือไม่ จึงเป็นหน้าที่ของผู้บังคับบัญชาซึ่งต้องพิจารณาตามแนวทางข้างต้น ตลอดจนรายละเอียดของ
การกระทาในเรื่องดังกล่าว เหตุและผลของการกระทาว่า กระทบต่อภาพพจน์ช่ือเสียงของตนและราชการหรือไม่
เพยี งใด เป็นกรณี ๆ ไป
153
2. ตามทห่ี ารอื ว่า โทษลดข้นั เงนิ เดอื น 1 ข้ัน จะสมควรแก่กรณีข้างต้นหรอื ไม่ น้นั
สานักงาน ก.พ. ขอเรียนว่า โดยที่พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535
ได้บัญญัติไว้โดยสรุปว่า ข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดกระทาผิดวินัยอย่างร้ายแรง จะต้องถูกลงโทษปลดออก
หรือไล่ออกตามมติของ อ.ก.พ.กระทรวง อ.ก.พ.กรม หรือ อ.ก.พ.จังหวัด แล้วแต่กรณี แต่หากกระทาผิดวินัย
อย่างไม่ร้ายแรง จะต้องถูกลงโทษภาคทัณฑ์ ตัดเงินเดือน หรือลดข้ันเงินเดือน ตามควรแก่กรณีให้เหมาะสม
กับความผิด ถ้ามีเหตุอันควรลดหย่อนโทษ จะนามาประกอบการพิจารณาลดโทษก็ได้ และในการลงโทษ
ผู้บังคับบัญชาจะต้องสั่งลงโทษให้เหมาะสมกับความผิด และไม่ลงโทษผู้ท่ีไม่มีความผิด ตามนัยมาตรา 101
มาตรา 103 และมาตรา 1๐4 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 ดังน้ัน ตามกรณี
ที่หารือ จึงเป็นหน้าท่ีของผู้บังคับบัญชาที่จะต้องพิจารณาว่าการกระทาดังกล่าว เป็นการกระทา ผิดวินัย
อย่างร้ายแรงหรืออย่างไม่ร้ายแรง แล้วส่ังลงโทษให้เหมาะสมกับความผิด โดยพิจารณาตามความร้ายแรงแห่ง
กรณีเป็นกรณี ๆ ไป
3. ตามที่หารือว่า กรณีความผิดวินัยอย่างร้ายแรงหรืออย่างไม่ร้ายแรง มีหลักเกณฑ์ในการ
พจิ ารณาอย่างไรบ้าง น้นั
สานักงาน ก.พ. ขอเรียนว่า โดยที่พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535
หมวดที่ว่าด้วยวินัยและการรักษาวินัย ได้บัญญัติถึงการกระทาใดเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรงหรือ
อย่างไม่ร้ายแรงไว้ ซึ่งจะต้องพิจารณาความในแต่ละวรรคของแต่ละมาตราในหมวดนั้นว่าได้บัญญัติไว้หรือ
ไม่ว่าเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง หากมาตราใด วรรคใด มิได้บัญญัติไว้ว่าเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง
ก็เท่ากับว่าการกระทาที่เข้าเกณฑ์ตามมาตราน้ัน วรรคน้ัน เป็นความผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรง ซึ่งความผิดวินัย
ฐานประพฤติชั่วได้บัญญัติไว้ในมาตรา 98 และ ก.พ. ได้กาหนดแนวทางการพิจารณาความผิดฐานน้ีไว้แล้ว
ดังทไ่ี ดก้ ลา่ วมาในขอ้ หารอื ที่ 1
จงึ เรยี นมาเพื่อโปรดทราบ
ขอแสดงความนบั ถือ
(นายปรีชา วัชราภยั )
รองเลขาธิการ ก.พ.
ปฏบิ ตั ริ าชการแทนเลขาธิการ ก.พ.
สานกั มาตรฐานวนิ ยั
โทร. 0 2281 8677
โทรสาร 0 2628 6204
154
บรรณำนกุ รม
สานกั มาตรฐานวนิ ัย สานักงาน ก.พ. (ธนั วาคม 2552) ตอบขอ้ หารือเก่ยี วกบั วนิ ัยขา้ ราชการ
พลเรอื น ตามพระราชบญั ญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 (ตงั้ แตป่ ี พ.ศ. 2541 - 2545)
• สานักมาตรฐานวนิ ยั สานกั งาน ก.พ. (มีนาคม 2553) ตอบขอ้ หารือเกีย่ วกับวนิ ัยข้าราชการ
พลเรือน ตามพระราชบญั ญัติระเบียบขา้ ราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 (ตัง้ แต่ปี พ.ศ. 2546 - 2556)
• สานกั มาตรฐานวนิ ัย สานักงาน ก.พ. (มนี าคม 2557) ตอบข้อหารือเกี่ยวกับวนิ ยั ขา้ ราชการ
พลเรอื น ตามพระราชบญั ญตั ิระเบยี บข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 (ต้งั แต่ปี พ.ศ. 2551 - 2555)
1. นางพนิตาวดี ปราชญน์ คร 155
2. นางอรชร เทยี่ งแชม่
3. นางสาวอุดมพันธุ์ จนั ทนะ คณะผจู้ ดั ทำ
4. นายสหภาพ เลารัตน์
5. นางสาวณชิ าภา ภวู รีตน้ สกลุ ผ้อู านวยการกองการเจา้ หนา้ ที่
6. นายธนชัย ตระการเอ่ียม หวั หนา้ กล่มุ งานวินยั
7. นางสาวตณุ ระญา ชัยชนะ นติ กิ รชานาญการพิเศษ
8. นายสหรฐั ราชสีห์ นิติกรปฏบิ ตั กิ าร
เจา้ พนักงานธรุ การปฏบิ ตั งิ าน
พนกั งานพมิ พ์ ระดับ 1
นกั จัดการงานทัว่ ไป
เจา้ พนักงานธรุ การ