The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

ตอบข้อหารือเกี่ยวกับวินัยข้าราชการพลเรือน ตาม พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 (ปี 2563)

กองการเจ้าหน้าที่

Keywords: ด้านทั่วไป

83

ท่ี นร 0709.1/ล 858 สานกั งาน ก.พ
ถนนพิษณโุ ลก กทม. 1030๐

28 สิงหาคม 2545

เร่ือง หารือปญั หาการดาเนินการทางวนิ ัยตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรอื น พ.ศ. 2535

เรยี น อธบิ ดีกรมส่งเสรมิ การเกษตร

อ้างถึง หนังสอื กรมส่งเสริมการเกษตร ลบั ที่ กษ 1003/106 ลงวันท่ี 17 มถิ นุ ายน 2545

ตามหนังสือที่อ้างถึง กรมส่งเสริมการเกษตรแจ้งว่า ได้รายงานการดาเนินการทางวินัย
ข้าราชการกรมส่งเสริมการเกษตร คือนาย ก.นักวิชาการเกษตร 7 นาง ข. เจ้าหน้าท่ีบริหารงานการเกษตร 6
นาย ค. เจ้าพนักงานการเกษตร 5 สานักงานเกษตรจังหวัดชัยนาท นาย ง เกษตรจังหวัดนครนายก
สานักงานเกษตรจงั หวัดนครนายก และนาย จ. เกษตรจังหวัดลพบุรี สานักงานเกษตรจังหวัดลพบุรี กรณีจัดซื้อ
เมล็ดพันธุ์ถ่ัวลิสง โครงการปรับโครงสร้างและระบบการเกษตร ในเขตชลประทานลุ่มน้าเจ้าพระยาปี 2537
ไม่ตรงตามพันธ์ุท่ีกาหนดในสัญญาไปยัง อ.ก.พ. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซ่ึงในทางปฏิบัติ อ.ก.พ.
ก ร ะ ท ร ว ง เ ก ษ ต ร แ ล ะ ส ห ก ร ณ์ ไ ด้ แ ต่ ง ตั้ ง ค ณ ะ ก ร ร ม ก า ร ต ร ว จ ส า น ว น ก า ร ส อ บ ส ว น ข้ึ น เ พ่ื อ ใ ห้ มี ห น้ า ที่
ตรวจพิจารณากล่ันกรองและเสนอความเห็นเกี่ยวกับเร่ืองการดาเนินการทางวินัยก่อนนาเสนอ อ.ก.พ.
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณา โดยมีอานาจเรียกเอกสาร เชิญผู้ที่เก่ียวข้องมาช้ีแจงด้วย สาหรับเรื่องน้ี
คณะกรรมการตรวจสานวนการสอบสวนพิจารณาแล้วเห็นควรให้กรมส่งเสริมการเกษตรดา เนินการทางวินัย
แก่นาย ก. นาง ข.และนาย ค. ใหม่ และให้สอบสวนเพ่ิมเติม 3 ประเด็น โดยมิได้นาเสนอ อ.ก.พ. กระทรวง
เกษตรและสหกรณ์พิจารณามีมติก่อนแต่ประการใด ต่อมากองการเจ้าหน้าท่ี สานักงานปลัดกระทรวงเกษตร
และสหกรณ์ได้แจ้งให้กรมส่งเสริมการเกษตร ดาเนินการตามความเห็นของคณะกรรมการตรวจสานวน
การสอบสวนดงั กล่าว ซ่งึ กรมสง่ เสริมการเกษตรเหน็ ว่า การดาเนนิ การทางวินยั แก่ขา้ ราชการทั้ง 3 รายต่อไปได้
นั้น ต้องเป็นการปฏิบัติตามมติ อ.ก.พ.กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงหารือว่า ความเห็นของกรมส่งเสริม
การเกษตรถูกต้องหรอื ไม่ และกรมสง่ เสริมการเกษตรสามารถออกคาส่ังแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัย
แก่ข้าราชการทั้ง 3 รายใหม่ ตามท่ีคณะกรรมการตรวจสานวนการสอบสวน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
สงั่ การได้หรือไม่ ความละเอียดแจ้งแลว้ นั้น

ก.พ. พิจารณาแล้วเห็นว่า เมื่อกรมส่งเสริมการเกษตรได้รายงานการดาเนินการทางวินัย
นาย ก. กับพวก ไปยัง อ.ก.พ. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตามมาตรา 109 แห่ง พระราชบัญญัติระเบียบ
ข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2535 แล้ว การพิจารณาดาเนินการในข้ันต่อไป เป็นอานาจหน้าที่ของ อ.ก.พ.
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ดังนั้น การท่ีกรมส่งเสริมการเกษตร จะดาเนินการทางวินัยแก่ นาย ก. นาง ข.

84

และนาย ค. ต่อไปได้น้ัน ต้องเป็นการปฏิบัติตามมติ อ.ก.พ. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มิใช่ดาเนินการ
ตามความเห็นของคณะกรรมการตรวจสานวนการสอบสวนแต่อย่างใด

จึงเรียนมาเพ่ือโปรดทราบ

ขอแสดงความนับถือ
ทพิ าวดี เมฆสวรรค์
(คุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์)
เลขาธกิ าร ก.พ.

สานักเสรมิ สรา้ งวนิ ยั และรกั ษาระบบคุณธรรม
กล่มุ งานปฏริ ูประบบวนิ ยั อุทธรณ์และร้องทกุ ข์
โทร. 0 2281 8677
โทรสาร 0 2628 6204

85

ท่ี นร 1009.1/ล 1095 สานกั งาน ก.พ.
ถนนพิษณโุ ลก กทม. ๑๐๓๐๐

1 พฤศจิกายน 2545

เร่อื ง หารือเรอ่ื งการลดโทษข้าราชการ

เรียน อธบิ ดกี รมการพัฒนาชมุ ชน

อา้ งถึง หนงั สือกรมการพฒั นาชุมชน ลับ ท่ี มท 0503/375 ลงวันที่ 30 กนั ยายน 2545

ตามหนังสือที่อ้างถึง แจ้งว่า อ.ก.พ. กระทรวงมหาดไทย มีมติให้ลดโทษข้าราชการของ
กรมการพัฒนาชุมชนจานวนสองราย แต่มีรายหนึ่งได้แก่ นาย ก.เจ้าพนักงานพัฒนาชุมชน 5 สานักงาน
พัฒนาชุมชนอาเภอชานุมาน จังหวัดอานาจเจริญ ได้ลาออกจากราชการไปแล้วต้ังแต่ วันท่ี 1 ตุลาคม 2542
จึงไม่มีสภาพเป็นข้าราชการ แต่ อ.ก.พ. กระทรวงมหาดไทยมีมติให้ลดโทษ จากลดข้ันเงินเดือน 1 ข้ัน
เป็นตัดเงินเดือน 5% เป็นเวลา 1 เดือน มติดังกล่าวย่อมเป็นคุณแก่นาย ก. และมีผลต่อจานวนเงินบาเหน็จ
บานาญที่พึงจะได้รับ กรมการพัฒนาชุมชนจึงหารือว่า จะออกคา สั่งลดโทษนาย ก.ตามมติ อ.ก.พ.
กระทรวงมหาดไทย โดยอาศัยอานาจตามนัยมาตรา 109 วรรคส่ี แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการ
พลเรือน พ.ศ. 2535 ไดห้ รือไม่ อย่างไร นน้ั

สานักงาน ก.พ. ขอเรียนว่า ปัญหาทานองเดียวกันนี้ ก.พ. ได้เคยวินิจฉัยเม่ือครั้งใช้
พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2518 ว่า ตามมาตรา 92 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว
ได้บัญญัติให้ผู้บังคับบัญชาชั้นต้น ซึ่งเป็นผู้ส่ังลงโทษต้องรายงานการลงโทษไปยังผู้บังคับบัญชาชั้นเหนือ
และให้ผู้บังคับบัญชาช้ันเหนือมีอานาจสั่งเพิ่มโทษ ลดโทษ หรือยกโทษได้ แสดงให้เห็นว่า คาส่ังลงโทษ
ของผู้บังคับบัญชาช้ันต้นยังไม่เด็ดขาด ผู้บังคับบัญชาช้ันเหนือยังสามารถแก้ไขเปล่ียนแปลงให้ถูกต้องหรือ
เหมาะสมได้ และในกรณที ผี่ บู้ ังคับบญั ชาชั้นเหนือสั่งลดโทษหรือเพิ่มโทษ แสดงว่าคาสั่งลงโทษเดิมไม่เหมาะสม
ประกอบกับการสั่งลดโทษหรือเพิ่มโทษก็มีลักษณะเป็นการแก้ไขคาสั่งเดิม จึงต้องส่ังให้มีผลย้อนหลัง
ไปถึงวันท่ีระบุไว้ในคาสั่งลงโทษเดิม และโดยท่ีมาตรา 109 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน
พ.ศ. 2535 ซึ่งใช้บังคับอยู่ในขณะน้ียังคงบัญญัติกฎหมายทานองเดียวกับมาตรา 92 แห่งพระราชบัญญัติ
ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2518 แต่พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535
ได้บัญญัติเพ่ิมเติมกรณีที่อธิบดีมีความเห็นแย้งกับความเห็นของผู้ว่าราชการจังหวัดเกี่ยวกับการพิจารณา
ข้อเท็จจริง ข้อกฎหมายหรือการอ่ืนใด ตามพระราชบัญญัตินี้ไม่ว่าจะเป็นคุณหรือเป็นโทษแก่ข้าราชการ
พลเรือน ให้ส่งเร่ืองให้ อ.ก.พ. กระทรวงพิจารณา ตามมาตรา 109 วรรคส่ี อ.ก.พ. กระทรวงจึงมีอานาจ
ที่จะพิจารณาเพิ่มโทษ ลดโทษ งดโทษ หรือ ยกโทษได้ ซึ่งเมื่อ อ.ก.พ.กระทรวง มีมติเป็นประการใด
อธิบดีต้องส่ังหรือปฏิบัติให้เป็นไปตามน้ัน ดังนั้น กรณีตามข้อหารือนี้ กรมการพัฒนาชุมชนจึงต้องออกคาสั่ง

86

ลดโทษนาย ก. จากลดข้ันเงินเดือน 1 ขั้น เป็นตัดเงินเดือน 5 % เป็นเวลา 1 เดือน ตามมติ อ.ก.พ. กระทรวง
มหาดไทยดังกล่าว โดยสั่งใหม้ ผี ลยอ้ นหลังไปถงึ วันท่ีระบุไว้ในคาสั่งลงโทษเดมิ

จึงเรียนมาเพ่ือโปรดทราบ

ขอแสดงความนับถือ
บญุ ปลกู ชายเกตุ
(นายบุญปลูก ชายแกตุ)
รองเลขาธิการ ก.พ.
รักษาราชการแทนเลขาธกิ าร ก.พ.

สานักมาตรฐานวนิ ัย
โทร. 0 2281 9451
โทรสาร 0 2628 6204

87

ที่ นร ๑๐๑๑/ล ๒๘๘ สานกั งาน ก.พ.
ถนนพษิ ณุโลก กทม. ๑๐๓๐๐

๒๙ พฤษภาคม ๒๕๕๒

เรอ่ื ง หารือเกีย่ วกับการดาเนนิ การทางวนิ ยั ข้าราชการ

เรยี น ปลดั กระทรวงการพฒั นาสังคมและความม่งั คงของมนุษย์

อ้างถงึ หนังสือสานักงานปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ลับ ท่ี พม ๐๒๐๑/๐๑๘
ลงวันท่ี ๑๖ มกราคม ๒๕๕๒

ตามหนังสือท่ีอ้างถึง ได้หารือกรณีท่ีสานักงานปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคง
ของมนุษย์ได้มีคาส่ังแต่งต้ังคณะกรรมการสอบสวน นางสาว ก. นักพัฒนาสังคม ๔ สังกัดสานักงานพัฒนาสังคม
และความม่ันคงของมนุษย์จังหวัดชลบุรี ปฏิบัติราชการสานักงานส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการ ๓ จังหวัดชลบุรี
กรณีหย่อนความสามารถ ตามมาตรา ๑๑๕ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕
ในระหว่างสอบสวน นางสาว ก. ได้ขาดราชการและไม่กลับมาปฏิบัติราชการอีกเลย สานักงานปลัดกระทรวง
การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยมติ อ.ก.พ. สานักงานปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและ
ความมนั่ คงของมนุษย์ ไดม้ ีคาสั่งลงโทษไล่นางสาว ก. ออกจากราชการ ฐานละทิ้งหน้าที่ราชการติดต่อในคราว
เดียวกันเป็นเวลาเกินกว่าสิบห้าวันโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร ตามมาตรา ๙๒ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติ
ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ สานักงานปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
จึงหารือว่า สามารถยุติเร่ืองการสอบสวนนางสาว ก. กรณีหย่อนความสามารถได้หรือไม่ หากไม่สามารถยุติเร่ืองได้
ตอ้ งดาเนินการอย่างไรต่อไป ความละเอยี ดแจง้ แล้ว นน้ั

สานักงาน ก.พ. เห็นว่าเมื่อนางสาว ก. ได้ถูกสั่งไล่ออกจากราชการแล้ว ผู้นี้จึงไม่มีสถานภาพ
เปน็ ข้าราชการพลเรือนอีกต่อไป และพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ ไม่มีบทบัญญัติ
หรือข้อกาหนดใดให้อานาจผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอานาจส่ังบรรจุตามมาตรา ๕๗ ที่จะดาเนินการเพ่ือส่ังให้ผู้ซ่ึง
ออกจากราชการไปแลว้ ออกจากราชการอีกชั้นหนึ่งได้ เสมือนว่าผู้นั้นยังมิได้ออกจากราชการ ฉะน้ัน สานักงาน
ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จึงไม่มีอานาจท่ีจะพิจารณาดาเนินการในเร่ืองนี้ต่อไป
จึงยุตเิ ร่ืองได้

จึงเรยี นมาเพ่ือโปรดทราบ
ขอแสดงความนบั ถือ
สมโภชน์ นพคณุ
(นายสมโภชน์ นพคณุ )
รองเลขาธิการ ก.พ.

ปฏิบตั ริ าชการแทนเลขาธิการ ก.พ.
สานกั มาตรฐานวนิ ัย
โทร ๐ ๒๕๔๗ ๑๖๓๑
โทรสาร ๐ ๒๕๔๗ ๑๖๓๐

88

ท่ี นร ๑๐๑๑/ล ๖๒๑ สานักงาน ก.พ.
ถนนพิษณุโลก กทม. ๑๐๓๐๐

๘ กันยายน ๒๕๕๒

เร่อื ง หารอื เกยี่ วกับการสอบสวนกรณขี า้ ราชการหย่อนความสามารถ

เรยี น อธบิ ดกี รมบัญชีกลาง

อา้ งถึง หนังสือกรมบัญชกี ลาง ลับ ที่ กค ๐๔๐๒.๓/๐๖๘๕๖ ลงวนั ที่ ๓๑ มนี าคม ๒๕๕๒

ตามหนังสือที่อ้างถึง กรมบัญชีกลางได้หารือโดยแจ้งข้อเท็จจริงว่า ข้าราชการตาแหน่ง
เจ้าพนักงานธุรการชานาญงาน ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ (๑ ตุลาคม ๒๕๕๑ - ๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๑)
ไม่ได้มาทางานสม่าเสมอทุกวัน บางครั้งลาติดต่อกัน ๑ - ๓ วัน โดยไม่ได้รับอนุมัติให้ลา โดยอ้างว่าตนเอง
ไม่มีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน กรมบัญชีกลางเห็นว่ากรณีน่าจะมีมูลเข้าข่ายเป็นผู้หย่อนความสามารถ
ในอันที่จะปฏิบัติราชการ หรือประพฤติตนไม่เหมาะสมกับตาแหน่งหน้าที่ราชการตามมาตรา ๑๑๐
แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ กรมบัญชีกลางจึงหารือว่า กรมบัญชีกลาง
จะดาเนินการแต่งต้ังคณะกรรมการสอบสวนข้าราชการดังกล่าวกรณีหย่อนความสามารถในอันที่จะปฏิบัติ
ราชการหรอื ประพฤติตนไม่เหมาะสมกับตาแหนง่ หนา้ ท่ีราชการ ถ้าให้ผนู้ น้ั รับราชการต่อไป จะเป็นการเสียหาย
ต่อหน้าที่ราชการ ตามมาตรา ๑๑๐ (๖) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑
ได้หรือไม่ อย่างไร และหากไม่สามารถดาเนินการได้กรณีเช่นน้ีควรจะปฏิบัติอย่างไร จึงจะชอบด้วย
กฎ ระเบยี บของทางราชการ ความละเอยี ดแจง้ แลว้ น้นั

ก.พ. ขอเรียนว่า มาตรา ๑๑๐ บัญญัติให้นามาตรา ๙๗ วรรคสอง มาใช้กับมาตรา ๑๑๐ (๖)
กรณีข้าราชการหย่อนความสามารถในอันท่ีจะปฏิบัติหน้าท่ีราชการ บกพร่องในหน้าท่ีราชการ หรือ
ประพฤติตนไม่เหมาะสมกับตาแหน่งหน้าท่ีราชการ โดยมาตรา ๙๗ วรรคสอง เป็นการพิจารณากรณี
ดาเนินการทางวินัยอย่างร้ายแรง ซ่ึงต้องมีการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน ประกอบกับกรณีนี้
ตามมาตรา ๑๑๕ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ ให้ผู้บังคับบัญชาดาเนินการ
โดยแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน จึงเห็นได้ว่ามาตรา ๑๑๐ (๖) มีเจตนารมณ์ให้ผู้บังคับบัญชาดาเนินการ
โดยต้องแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนเช่นเดียวกับการดา เนินการทางวินัยอย่างร้ายแรง ดังน้ัน
ในกรณีน้ีกรมบัญชีกลางจึงต้องดาเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน โดยหลักเกณฑ์และวิธีการ
สวนให้ดาเนินการตาม กฎ ก.พ. ฉบับที่ ๑๘ (พ.ศ. ๒๕๔๐) ทั้งน้ี ตามบทเฉพาะกาล มาตรา ๑๓๒
แห่งพระราชบัญญัตริ ะเบยี บขา้ ราชการพลเรอื น พ.ศ. ๒๕๕๑

จงึ เรียนมาเพื่อโปรดทราบ ขอแสดงความนบั ถือ
สมโภชน์ นพคุณ
สานกั มาตรฐานวินัย (นายสมโภชน์ นพคุณ)
โทร. ๐ ๒๕๕๗ ๑๖๓๑ รองเลขาธิการ ก.พ.
โทรสาร ๐ ๒๕๕๗ ๑๖๓๐ ปฏบิ ัตริ าชการแทนเลขาธกิ าร ก.พ.

89

ที่ นร ๑๐๑๑/ ล ๒๗๖ สานักงาน ก.พ.
ถนนพิษณโุ ลก กทม. ๑๐๓๐๐

๒๒ มิถุนายน ๒๕๕๓

เรื่อง หารอื กรณีขา้ ราชการติดยาเสพตดิ

เรียน อธิบดกี รมป่าไม้

อ้างถึง หนงั สือกรมป่าไม้ ด่วนทสี่ ุด ลบั ที่ ทส ๑๖๐๑.๖/๕๕๙ ลงวนั ท่ี ๒๙ ตลุ าคม ๒๕๕๒

ตามหนังสือที่อ้างถึง กรมป่าไม้หารือว่า นาย ก. เจ้าพนักงานป่าไม้ ๕ เมื่อคร้ังทาหน้าที่หัวหน้า
หน่วยป้องกันรักษาป่าท่ี สข.๕ (ควนเขาวัง) มีพฤติการณ์ติดยาเสพติดและได้เข้ารับการรักษาท่ีโรงพยาบาล
จิตเวชสงขลาราชนครินทร์ ซึง่ แพทยไ์ ดล้ งความเห็นวา่ นาย ก. เป็นโรคจิตจากการเสพยาบ้า และหลังจากรักษา
อาการดีข้ึนบ้าง กรณีนี้จะถือว่านาย ก. เป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๓๐ (๕) แห่งพระราชบัญญัติ
ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ ประกอบ กฎ ก.พ. ฉบับที่ ๓ (พ.ศ. ๒๕๓๕) ออกตามความ
ในพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ ว่าด้วยโรค (๔) โรคติดยาเสพติดให้โทษ หรือไม่
และหากถือว่านาย ก. เป็นผู้ขาดคุณสมบัติดังกล่าว กรมป่าไม้จะต้องมีคาสั่งให้นาย ก. ออกจากราชการเมื่อใด
จึงจะถกู ตอ้ ง ความละเอียดแจง้ แลว้ นนั้

ก.พ. พิจารณาแล้วเห็นว่า การส่ังให้ข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดออกจากราชการตาม
มาตรา ๑๑๔ (๓) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ ด้วยเหตุเป็นผู้ขาดคุณสมบัติ
ตามมาตรา ๓๐ (๕) โดยเป็นโรคติดยาเสพติดให้โทษ นั้น ต้องปรากฏว่าข้าราชการผู้นั้นเป็นโรคดังกล่าว
อยู่ในขณะที่มีคาสั่ง ดังนั้น หากกรมป่าไม้พิจารณาแล้วเห็นว่าปัจจุบันนาย ก. ไม่เป็นผู้เป็นโรคติดยาเสพติด
ให้โทษแลว้ ผู้บงั คับบัญชาซ่ึงมีอานาจสั่งบรรจุตามมาตรา ๕๗ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน
พ.ศ. ๒๕๕๑ ก็ไม่อาจสั่งให้นาย ก. ออกจากราชการตามมาตรา ๑๑๔ (๓) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการ
พลเรอื น พ.ศ. ๒๕๓๕ ประกอบมาตรา ๑๓๓ แห่งพระราชบญั ญัตริ ะเบยี บขา้ ราชการพลเรอื น พ.ศ. ๒๕๕๑ ได้

จึงเรยี นมาเพ่ือโปรดทราบ

ขอแสดงความนบั ถือ
สมโภชน์ นพคณุ
(นายสมโภชน์ นพคุณ)
รองเลขาธกิ าร ก.พ.
ปฏิบัตริ าชการแทนเลขาธกิ าร ก.พ.

สานักมาตรฐานวนิ ัย
โทร. ๐ ๒๕๕๗ ๑๖๓๑
โทรสาร ๐ ๒๕๕๗ ๑๖๓๐

90

ท่ี นร 101๑/ล 954 สานักงาน ก.พ.
ถนนพษิ ณุโลก กทม. 10300

14 พฤศจกิ ายน 2546

เรือ่ ง ช้แี จงวัตถุประสงค์ของมาตรา 116 แห่งพระราชบญั ญัตริ ะเบยี บขา้ ราชการพลเรือน พ.ศ. 2535

เรยี น อธิบดีศาลปกครองกลาง

อา้ งถึง คาสั่งศาลปกครองกลาง คดหี มายเลขดา ที่ 400/2546 ลงวนั ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2546

ส่ิงทีส่ ่งมาดว้ ย ภาพถ่ายสาเนาคาส่ังลงโทษข้าราชการท่ีถูกส่ังให้ออกจากราชการ เพราะมีมลทินหรือ
มวั หมอง จานวน 6 แผ่น

ตามหนังสือที่อ้างถึง ศาลปกครองกลางได้มีคาสั่งให้สานักงาน ก.พ. ชี้แจงเจตนารมณ์
วัตถุประสงค์ของกฎหมายท่ีบัญญัติให้ข้าราชการออกจากราชการเพราะมีมลทินหรือมัวหมองในกรณีที่
ถูกสอบสวน พร้อมทั้งแนวทางปฏิบัติโดยละเอียด ท้ังน้ีมีปัจจัยองค์ประกอบ หรือแนวทางพิจารณา
อย่ า ง ไร ท่ี ใ ช้เ ป็ น แน ว ท าง ใ น กา ร พิ จา ร ณ าใ ห้ ข้ าร า ช กา ร ออกจ า กร า ช กา ร เ พร า ะมีม ล ทิ นห รื อมัว ห ม อง
โดยให้มีตัวอย่างการดาเนินการท่ีผ่านมาประกอบด้วย เพ่ือประโยชน์ในการพิจารณาคดี ความละเอียด
แจ้งแลว้ น้นั

สานักงาน ก.พ. ขอเรียนว่า มาตรา 116 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน
พ.ศ. 2535 เป็นบทบัญญัติท่ีมีการแก้ไขปรับปรุงมาจากมาตรา 98 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการ
พลเรือน พ.ศ. 2518 ซ่ึงเจตนารมณ์ วัตถุประสงค์ของกฎหมายยังคงเป็นไปตามเดิม คือ ไม่สมควรให้
ข้าราชการพลเรือนสามัญซ่ึงถูกต้ังกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรงและผลการสอบสวนไม่ปรากฏ
พยานหลักฐานแน่ชัด แต่พฤติการณ์มีเหตุอันควรสงสัยอย่างยิ่งว่าเป็นผู้กระทาความผิดรับราชการอีก
ต่อไป ทงั้ น้ี โดยมอี งค์ประกอบ ดังน้ี

1. เป็นผู้ท่ีถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรงตามมาตรา 102 แห่งพระราชบัญญัติ
ระเบยี บขา้ ราชการพลเรือน พ.ศ. 2535

2. การสอบสวนไม่ปรากฏพยานหลักฐานอย่างชัดเจนว่า เป็นผู้กระทาผิดวินัยอย่างร้ายแรง
ถึงข้ันถูกลงโทษปลดออก หรือไล่ออกจากราชการ แต่พฤติการณ์ท่ีปรากฏมีเหตุผลอันควรให้สงสัยว่าเป็น
ผกู้ ระทาผดิ วนิ ัยอย่างรา้ ยแรง

๓. หากให้ผนู้ ัน้ รับราชการต่อไปจะเป็นการเสียหายแก่ราชการ
สาหรับกระบวนการในการส่ังให้ข้าราชการพลเรือนสามัญออกจากราชการเพราะมีมลทิน

หรือมัวหมองในกรณีที่ถูกสอบสวนนั้น โดยท่ีการส่ังให้ออกในกรณีน้ีเป็นผลจากการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรง
ตามมาตรา ๑๐๒ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ ดังนั้น กระบวนการในการ

91

ดาเนินการเกี่ยวกับเร่ืองน้ีผู้บังคับบัญชาผู้มีอานาจตามมาตรา ๕๒ จึงต้องส่ังแต่งต้ังคณะกรรมการสอบสวน
ทางวินัยอย่างร้ายแรงแก่ข้าราชการผู้มีกรณีถูกกล่าวหาก่อน และคณะกรรมการสอบสวนจะต้องดาเนินการ
สอบสวนตามกฎ ก.พ. ฉบับที่ ๑๘ (พ.ศ. ๒๕๔๐) ว่าด้วยการสอบสวนพิจารณา เสร็จแล้วจึงรายงานผล
การสอบสวนไปยังผู้ส่ังแต่งต้ังคณะกรรมการสอบสวนเพ่ือพิจารณาตามอานาจหน้าท่ี เมื่อผู้บังคับบัญชา
ผู้มีอานาจพิจารณาผลการสอบสวนดังกล่าวแล้วเห็นว่ากรณีไม่ปรากฏพยานหลักฐานท่ีชัดเจนเพียงพอ
ที่จะรับฟังว่าเป็นการกระทาผิดวินัยอย่างร้ายแรงถึงขั้นท่ีจะลงโทษปลดออก หรือไล่ออกจากราชการ
แต่พฤติการณ์มีเหตุอันควรสงสัยอย่างยิ่งว่าผู้น้ันเป็นผู้กระทาผิดวินัยอย่างร้ายแรงตามที่ถูกกล่าวหา และ
หากให้ข้าราชการผู้นั้นรับราชการต่อไปจะเป็นการเสียหายแก่ราชการ ผู้บังคับบัญชาผู้มีอานาจดังกล่าว
ก็จะต้องส่งเรื่องให้ อ.ก.พ. กระทรวง อ.ก.พ. กรม หรือ อ.ก.พ. จังหวัด แล้วแต่กรณี ซึ่งข้าราชการผู้นั้นสังกัด
อยู่พิจารณา เพ่ือสั่งให้ออกจากราชการตามนัยมาตรา ๑๑๖ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน
พ.ศ. ๒๕๓๕ ต่อไป หรือในกรณีท่ี อ.ก.พ. กระทรวง อ.ก.พ. กรม หรือ อ.ก.พ. จังหวัดแล้วแต่กรณีพิจารณาและ
มีมติว่า กรณีดังกล่าวไม่ปรากฏพยานหลักฐานท่ีชัดเจนเพียงพอท่ีจะรับฟังว่าเป็นการกระทาผิดวินัย
อย่างรา้ ยแรงถงึ ขั้นที่จะลงโทษปลดออกหรอื ไลอ่ อกจากราชการ แตพ่ ฤติการณ์มีเหตุผลอันสมควรสงสัยอย่างย่ิง
ว่าผู้น้ันกระทาผิดวินัยอย่างร้ายแรงตามท่ีถูกกล่าวหา และหากให้ข้าราชการผู้นั้นรับราชการต่อไปจะเป็นการ
เสียหายแก่ราชการ และเมื่อ อ.ก.พ. ดังกล่าวได้พิจารณามีมติให้ผู้นั้นออกจากราชการเพราะมีมลทินหรือ
มัวหมองในกรณีท่ีถูกสอบสวนแล้ว ผู้บังคับบัญชาผู้มีอานาจตามกฎหมายจึงจะสามารถส่ังให้ข้าราชการ
ออกจากราชการตามมาตรา ๑๑๖ แห่งพระราชบญั ญตั ดิ งั กลา่ วได้

สาหรับแนวทางที่จะพิจารณาว่า กรณีใดสมควรท่ีจะสั่งให้ออกจากราชการเพราะมีมลทิน
หรือมัวหมองในกรณีท่ีถูกสอบสวนหรือไม่น้ัน สานักงาน ก.พ. ขอเรียนว่ากรณีเป็นปัญหาที่จะต้องพิจารณา
จากข้อเท็จจริงเป็นเร่ือง ๆ ไป นอกจากนี้ในการพิจารณายังจะต้องคานึงถึงความเสียหายที่จะเกิดแก่ราชการ
ซึ่งหากให้ข้าราชการผู้มีกรณีถูกกล่าวหารับราชการต่อไปด้วย จึงไม่อาจวางแนวทางการพิจารณาเป็นท่ีแน่นอนได้
แต่อย่างไรก็ตามการพิจารณาให้ข้าราชการออกจากราชการเพราะมีมลทินหรือมัวหมอง นอกจากจะยึดถื อ
องค์ประกอบตามที่กฎหมายกาหนดแล้ว ในส่วนของข้อเท็จจริงก็จะถือหลักในการรับฟังพยานหลักฐาน
เปน็ สาคัญตลอดจนเรื่องในลกั ษณะทานองเดยี วกันที่ผ่านมาเป็นแนวทางในการพิจารณา ทั้งน้ี ได้แนบภาพถ่าย
สาเนาคาส่ัง ให้ข้าราชการพลเรือนสามัญออกจากราชการเพราะมี มลทินหรือมัวหมองในกรณีท่ีถูกสอบสวน
มาเพ่อื ประกอบการพิจารณาดังปรากฏตามเอกสารแนบท้ายหนังสอื นี้

จงึ เรยี นมาเพ่ือโปรดทราบ พรอ้ มนี้ได้สง่ เอกสารทเี่ กี่ยวขอ้ งมาดว้ ยแล้ว

ขอแสดงความนับถือ
(นางสาววนดิ า นวลบญุ เรือง)

รองเลขาธกิ าร ก.พ.
ปฏิบัติราชการแทนเลขาธกิ าร ก.พ.

สานกั มาตรฐานวนิ ยั
โทร. 0 2281 8677
โทรสาร ๐ 2628 6204

92

ที่ นร ๑๐๑1/ล ๕๙ สานกั งาน ก.พ.
ถนนพิษณโุ ลก กทม. 10300

๑๕ กมุ ภาพันธ์ ๒๕๕๕

เรอื่ ง ขอหารือแนวทางปฏบิ ัตติ ามคาวินจิ ฉัยอทุ ธรณข์ อง ก.พ.ค.

เรียน ผู้อานวยการสานักงานกิจการสตรแี ละสถาบนั ครอบครวั

อ้างถึง หนงั สอื สานกั งานกิจการสตรแี ละสถาบนั ครอบครัว ลับ ด่วนท่ีสุด ที่ พม ๐4๐๑/๐๒๙
ลงวนั ท่ี 9 พฤษภาคม ๒๕๕๔

ตามหนังสอื ทอ่ี ้างถงึ สานักงานกจิ การสตรีและสถาบันครอบครัวได้หารือไปยังสานักงาน ก.พ.
กรณีท่ีคณะกรรมการพทิ กั ษร์ ะบบคณุ ธรรม (ก.พ.ค.) ไดม้ คี าวินจิ ฉยั ใหย้ กเลกิ คาส่ังปลด นาง ว. นักพัฒนาสังคม
ชานาญการพิเศษ ออกจากราชการ และให้พิจารณาดาเนินการกับผู้น้ีให้ถูกต้องเหมาะสมต่อไป สานักงาน
กิจการสตรแี ละสถาบนั ครอบครัวจงึ ขอหารือในประเดน็ ต่าง ๆ จานวน ๓ ขอ้ ความละเอยี ดแจ้งแลว้ นนั้

สานักงาน ก.พ. พจิ ารณาแลว้ มคี วามเห็นดงั น้ี
ข้อหารือที่ ๑ ที่ว่า การมีคาสั่งให้ นาง ว. กลับเข้ารับราชการตาแหน่งประเภทวิชาการ
ระดับชานาญการพิเศษ (นักพัฒนาสังคมชานาญการพิเศษ) อันเป็นตาแหน่งเดิมในขณะถูกลงโทษปลดออก
จากราชการ จะต้องดาเนินการโดยอธิบดีซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอานาจส่ังบรรจุแต่งตั้งเม่ือได้รับความเห็นชอบ
จากปลัดกระทรวงตามมาตรา ๕๗ (9) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ หรือ
จะต้องดาเนินการตามหนังสือสานักงาน ก.พ. ท่ี นร ๑๐๐๘/ว ๔๖ ลงวันท่ี ๓๐ กันยายน ๒๕๕๓ และ
ในส่วนของคาวินิจฉัยของ ก.พ.ค. กรณีให้พิจารณาดาเนินการกับ นาง ว. ให้ถูกต้องเหมาะสมน้ัน จะต้อง
ดาเนินการตามแนวทาง หรอื มหี ลักเกณฑ์และวธิ ีการดาเนินการอย่างไร
สานักงาน ก.พ. ขอเรียนว่า การส่ังให้ นาง ว. กลับเข้ารับราชการ นั้น เป็นไปตามคาวินิจฉัย
ของ ก.พ.ค. ในเร่ืองการยกเลิกคาส่ังปลดออกจากราชการอันสืบเน่ืองมาจากการดาเนินการทางวินัย
อย่างร้ายแรงกับนาง ว. ซ่ึงเป็นคนละกรณีกับที่ระบุไว้ในหนังสือสานักงาน ก.พ. ที่ นร ๑๐๐๘/ว 46 ลงวันท่ี
30 กันยายน ๒๕๕๓ อันเป็นเรื่องของการดาเนินการกรณี ก.พ.ค. มีคาวินิจฉัยให้ยกเลิกคาสั่งแต่งต้ัง
ข้าราชการพลเรือนสามัญ ดังนั้น กรณีนี้อธิบดีผู้บังคับบัญชาซึ่งเป็นผู้มีอานาจส่ังบรรจุจึงต้องสั่งให้ นาง ว.
กลับเขา้ รับราชการตามมตขิ อง ก.พ.ค. ต่อไป
สาหรับกรณีของคาวินิจฉัยของ ก.พ.ค. ที่ให้พิจารณาดาเนินการกับนาง ว. ให้ถูกต้อง
เหมาะสมต่อไปน้ัน เป็นกรณีท่ีให้สานักงานกิจการสตรีและสถาบันครอบครัวใช้ดุลพินิจพิจารณาว่านาง ว.
กระทาผดิ วนิ ยั กรณีอน่ื หรอื ไม่ ประการใด เพือ่ ใช้ดุลพนิ จิ ในการพจิ ารณาดาเนนิ การตามหน้าทต่ี ่อไป

93

ข้อหารือที่ ๒ และ ๓ ที่ว่า ตามคาวินิจฉัยของ ก.พ.ค. ท่ีให้ยกเลิกคาส่ังลงโทษน้ัน เม่ือได้มี
คาส่ังให้ นาง ว. กลับเข้ารับราชการแล้ว จะต้องพิจารณาโทษในฐานความผิดดังกล่าวใหม่ และจะต้อง
ดาเนินการในส่วนของโทษทางวินัยอย่างไม่ร้ายแรงต่อไปตามมติของ อ.ก.พ. กระทรวงการพัฒนาสังคมและ
ความมัน่ คงของมนษุ ย์หรอื ไม่ อยา่ งไร

สานักงาน ก.พ. ขอเรียนว่า คาวินิจฉัยของ ก.พ.ค. ในส่วนของการยกเลิกคาส่ังลงโทษน้ัน
หมายความว่า ก.พ.ค. มีคาวินิจฉัยให้สานักงานกิจการสตรีและสถาบันครอบครัวซึ่งเป็นคู่กรณีในอุทธรณ์
ยกเลิกคาส่ังลงโทษผู้อุทธรณ์ กรณีที่กล่าวหาว่าผู้อุทธรณ์ส่ังการผู้ใต้บังคับบัญชาระดับหัวหน้ากลุ่มและ
หัวหนา้ ฝา่ ยของสานกั สง่ เสรมิ สถาบนั ครอบครัวในที่ประชุมเม่ือเดือนตุลาคม ๒๕๕๐ ให้ปฏิบัติหน้าท่ีโดยมิชอบ
ในการจัดประชุม อบรม หรือสัมมนาแล้วมีการปฏิบัติตามคาสั่งดังกล่าว โดยเห็นว่าพยานหลักฐานยังไม่
เพียงพอท่ีจะรับฟังได้ว่าผู้อุทธรณ์กระทาความผิดวินัย สมควรยกโทษให้ยกเลิกคาส่ังลงโทษดังกล่าว ดังน้ัน
สานกั งานกจิ การสตรีและสถาบนั ครอบครวั จงึ ไมอ่ าจพิจารณาลงโทษในกรณคี วามผิดเดยี วกนั ใหม่ได้อีก

ส่วนการดาเนินการในส่วนของโทษทางวินัยอย่างไม่ร้ายแรงตามมติของ อ.ก.พ. กระทรวง
การพัฒนาสังคมและความม่ันคงของมนุษย์น้ัน อยู่ในดุลพินิจของสานักงานกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว
ท่ีจะดาเนินการพิจารณาใหถ้ ูกตอ้ งเหมาะสมต่อไป

จงึ เรียนมาเพอ่ื โปรดทราบ

ขอแสดงความนบั ถือ

ปรชี า นศิ ารตั น์
(นายปรีชา นศิ ารัตน์)
รองเลขาธิการ ก.พ.
ปฏบิ ตั ิราชการแทนเลขาธิการ ก.พ.

สานักมาตรฐานวินยั
โทร. ๐ ๒๕4๗ 1631
โทรสาร ๐ ๒๕4๗ 1630

94

ท่ี นร ๑๐๑๑/113 สานักงาน ก.พ.
ถนนพิษณโุ ลก กทม. 10300

23 เมษายน ๒๕๕๕

เรอ่ื ง ขอหารือแนวทางปฏิบัติของต้นสังกัดตามคาวินิจฉัยอุทธรณ์ของ ก.พ.ค.

เรยี น นาง ว.

อ้างถึง ๑. หนังสอื หารอื ของท่าน ลงวันท่ี ๕ ตุลาคม ๒๕๕๔
๒. หนังสือสานักงาน ก.พ. ท่ี นร ๑๐๑๑ / ๕๕๑ ลงวันท่ี ๓๐ ธนั วาคม ๒๕๕๔

สงิ่ ทีส่ ง่ มาดว้ ย ๑. ระเบียบกรมบัญชีกลางว่าด้วยการจ่ายเงินเดือนให้แก่ข้าราชการซึ่งออกจากราชการ
โดยคาสั่งลงโทษทางวินัยหรือคาส่ังให้ออกจากราชการแล้วได้รับการพิจารณายกเลิก
เพกิ ถอนหรอื เปลยี่ นแปลงคาสั่งเปน็ อย่างอน่ื พ.ศ. ๒๕๕๑

๒. หนังสือสานักงาน ก.พ. ที่ นร ๑๐๐๘/ว ๔๖ ลงวนั ที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๓ เร่ือง การดาเนินการ
กรณี ก.พ.ค. มคี าวนิ จิ ฉยั หรือ ก.พ. มีมติใหย้ กเลกิ คาสัง่ แตง่ ตั้งข้าราชการพลเรือนสามญั

ตามหนังสือทอี่ ้างถงึ ทา่ นได้หารือเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติของต้นสังกัดตามคาวินิจฉัยอุทธรณ์
ของ ก.พ.ค. กรณีที่ท่านอุทธรณ์คาส่ังลงโทษปลดออกจากราชการ และคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม
(ก.พ.ค.) ได้มีคาวินิจฉัยให้ยกเลิกคาสั่งปลดท่านออกจากราชการ และให้พิจารณาดาเนินการให้ถูกต้อง
เหมาะสมต่อไป ซ่ึงสานักงาน ก.พ. ได้แจ้งให้ทราบเก่ียวกับการดาเนินการว่า เพื่อความถูกต้อง ชัดเจน
เป็นไปตามเจตนารมณ์ของ ก.พ.ค. และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง สานักงาน ก.พ. จึงได้มีหนังสือสอบถามไปยัง
ก.พ.ค. เก่ียวกับประเด็นตามคาวินิจฉัยเพ่ือประกอบการพิจารณาตอบข้อหารือ และหากสานักงาน ก.พ. ได้รับ
แจง้ ผลเปน็ ประการใดจะแจง้ ใหท้ า่ นทราบตอ่ ไป นน้ั

สานักงาน ก.พ. พิจารณาแลว้ มีความเหน็ ดังนี้
ขอ้ หารือท่ี ๑ ท่วี ่า การทีค่ าสั่งลงโทษปลดออกจากราชการ แจ้งข้อหาท่านเพียงประเด็นเดียว
ทาให้ทา่ นไดใ้ ช้สิทธิอุทธรณ์ในประเด็นดังกล่าว และ ก.พ.ค. ก็ได้วินิจฉัยให้ยกเลิกคาสั่งลงโทษน้ัน ประกอบกับ
ผลการสอบสวนท่านทั้งทางแพ่งและทางอาญาก็ปรากฏว่าท่านไม่มีความผิดตามข้อกล่าวหา กรณีเช่นน้ีถือว่า
เรื่องวินัยของท่านถึงท่ีสุดและสมควรยุติทั้งหมดใช่หรือไม่ และต้นสังกัดได้ดาเนินการอย่างไรเกี่ยวกับประวัติ
ดา้ นวินยั ของทา่ น
สานักงาน ก.พ. ขอเรียนว่า คาวินิจฉัยของ ก.พ.ค. ในส่วนของการยกเลิกคาส่ังลงโทษนั้น
หมายความว่า ก.พ.ค. มีคาวินิจฉัยให้สานักงานกิจการสตรีและสถาบันครอบครัวซึ่งเป็นคู่กรณีในอุทธรณ์
ยกเลิกคาส่ังลงโทษท่าน กรณีท่ีกล่าวหาว่าท่านส่ังการผู้ใต้บังคับบัญชาระดับหัวหน้ากลุ่มและหัวหน้าฝ่าย
ของสานักส่งเสริมสถาบันครอบครัวในท่ีประชุมเมื่อเดือนตุลาคม ๒๕๕๐ ให้ปฏิบัติหน้าท่ีโดยมิชอบในการ

95

จัดประชุม อบรม หรือสัมมนาแล้วมีการปฏิบัติตามคาส่ังดังกล่าว โดยเห็นว่าพยานหลักฐานยังไม่เพียงพอที่จะ
รับฟังได้ว่าท่านกระทาความผิดวินัยอย่างร้ายแรง ฐานประพฤติช่ัวอย่างร้ายแรง ตามมาตรา 98 วรรคสอง
แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ สมควรยกโทษและให้ยกเลิกคาสั่งลงโทษ
ดังกล่าว ดงั น้นั สานักงานกิจการสตรีและสถาบันครอบครัวจึงไม่อาจพิจารณาลงโทษในกรณีความผิดเดียวกันใหม่
ได้อีก อย่างไรก็ตาม ก.พ.ค. ได้มีคาวินิจฉัยให้พิจารณาดาเนินการกับท่านให้ถูกต้องเหมาะสมต่อไปด้วย
กล่าวคือ สานักงานกิจการสตรีและสถาบันครอบครัวสามารถใช้ดุลพินิจพิจารณาว่าท่านได้กระทาผิด
วินัยกรณีอืน่ หรือไม่ ประการใด เพอ่ื ใช้ดลุ พนิ ิจในการพจิ ารณาดาเนนิ การตามหนา้ ทตี่ ่อไป

สาหรับประวัติด้านวินัยของท่านน้ัน ต้นสังกัดจะระบุให้เห็นว่าได้มีคาส่ังยกเลิกคาส่ังลงโทษ
ปลดทา่ นออกจากราชการแล้ว

ข้อหารือที่ ๒ ท่ีว่า การอุทธรณ์เพื่อขอความเป็นธรรมจนได้รับการบรรจุกลับเข้ารับราชการ
ท่านสมควรได้รับการเยียวยาจากตน้ สงั กดั บา้ ง หรือไม่ และในเร่ืองใดบา้ ง

สานักงาน ก.พ. ขอเรียนว่า เน่ืองจากปัจจุบันยังไม่มีกฎหมายว่าด้วยการเยียวยาใช้บังคับ
แต่ในเรื่องของการจ่ายเงินเดือน หากข้าราชการผู้ใดออกจากราชการโดยคาส่ังลงโทษทางวินัยแล้ว ต่อมาได้มี
การยกเลกิ เพิกถอน หรอื เปล่ยี นแปลงคาส่งั เปน็ อย่างอ่ืนให้จ่ายเงนิ เดือนใหผ้ นู้ นั้ ในระหวา่ งที่มิได้มาปฏิบัติหน้าท่ีราชการ
ตามคาสั่งนั้น โดยพิจารณาจากกรณีมิได้กระทาความผิดหรือกรณีถูกสั่งให้ออกจากราชการที่มิใช่คาส่ังลงโทษ
ทางวินัยให้จ่ายเต็มจานวนของเงินเดือนที่มีสิทธิได้รับ กรณีได้กระทาความผิดให้จ่ายได้ไม่เกินครึ่งหน่ึงของ
เงินเดือนท่ีมีสิทธิได้รับตามที่รัฐมนตรีเจ้าสังกัดกาหนด ท้ังนี้เป็น ไปตามระเบียบกรมบัญชีกลาง
ว่าด้วยการจ่ายเงินเดือนให้แก่ข้าราชการซ่ึงออกจากราชการโดยคาส่ังลงโทษทางวินัยหรือคาส่ังให้ออก
จากราชการแล้วได้รับการพิจารณายกเลิก เพิกถอน หรือเปล่ียนแปลงคาสั่งเป็นอย่างอื่น พ.ศ. ๒๕๕๑
รายละเอยี ดปรากฏตามสง่ิ ทีส่ ่งมาดว้ ย 1

ข้อหารือท่ี ๓ ที่ว่า การปลดท่านออกจากตาแหน่งอานวยการต้น ท้ังที่การสอบสวนยังไม่ได้
ข้อยุติ ไม่มีข้ันตอนนาเรื่องผ่าน อ.ก.พ. กรม และไม่เคยแจ้งคาสั่งดังกล่าวให้ท่านรับทราบตามสิทธิ เป็นการ
ใช้อานาจโดยมิชอบหรือไม่ อีกทั้ง เม่ือ ก.พ.ค. มีคาวินิจฉัยอุทธรณ์ให้ยกเลิกคาสั่งลงโทษท่าน สมควรคืนตาแหน่ง
อานวยการต้นแก่ท่านถกู ตอ้ งหรอื ไม่

สานักงาน ก.พ. ขอเรียนว่า กรณีน้ีรองนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี
เป็นผู้สั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน จึงต้องส่งเร่ืองให้ อ.ก.พ. กระทรวง ซึ่งผู้ถูกกล่าวหาสังกัดอยู่พิจารณา
ทั้งน้ี ตามหนังสือสานักงาน ก.พ. ที่ นร ๑๐๑๑/ว ๒๑ ลงวันท่ี ๑๕ กันยายน ๒๕๕๒ เรื่องการดาเนินการตาม
บทเฉพาะกาล แหง่ พระราชบญั ญัตริ ะเบียบขา้ ราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ ดังนั้น การท่ีสานักงานกิจการสตรี
และสถาบันครอบครัวส่งเร่ืองให้ อ.ก.พ. กระทรวงพิจารณาจึงถูกต้องแล้ว ส่วนการสอบสวนยังไม่ได้ข้อยุติ
และไม่เคยแจ้งคาส่ังให้ท่านรับทราบตามสิทธิ เป็นการใช้อานาจโดยมิชอบหรือไม่ นั้น ไม่มีข้อเท็จจริง
เพียงพอที่จะพจิ ารณาได้

96

สาหรับ กรณีที่ ก.พ.ค. มีคาวินิจฉัยอุทธรณ์ให้ยกเลิกคาส่ังลงโทษท่านแล้ว การส่ังให้ท่าน
กลับเข้ารับราชการจะต้องส่ังแต่งตั้งให้ท่านกลับไปดารงตาแหน่งใดนั้น ให้เป็นไปตามหนังสือสานักงาน ก.พ.
ที่ นร ๑๐๐๘/ว ๔๖ ลงวันท่ี ๓๐ กันยายน ๒๕๕๓ เรื่องการดาเนินการกรณี ก.พ.ค. มีคาวินิจฉัย หรือ ก.พ.
มีมติให้ยกเลิกคาส่ังแต่งต้ังข้าราชการพลเรือนสามัญ โดยหลัก คือ จะต้องส่ังแต่งตั้งท่านกลับไปดารงตาแหน่งเดิม
เว้นแต่ไม่อาจกระทาได้ก็ให้แต่งตั้งให้ดารงตาแหน่งอื่นในประเภทและระดับเดียวกัน หากมิอาจกระทาได้อีก
ก็ให้ อ.ก.พ. กระทรวง เป็นผู้พิจารณากาหนดตาแหน่ง ซึ่งกรณีของท่านตาแหน่งเดิมเป็นตาแหน่งประเภท
อานวยการระดับต้น หากไม่อาจกระทาได้ ก็ให้กาหนดเป็นตาแหน่งประเภทวิชาการ ระดับชานาญการพิเศษ
หรอื ตาแหน่งประเภทท่วั ไประดับอาวโุ ส แล้วแตก่ รณี รายละเอียดปรากฏตามส่งิ ท่ีสง่ มาดว้ ย ๒

จึงเรียนมาเพือ่ โปรดทราบ

ขอแสดงความนบั ถอื

ปรีชา นศิ ารตั น์
(นายปรชี า นศิ ารัตน)์
รองเลขาธกิ าร ก.พ.
ปฏบิ ัตริ าชการแทนเลขาธกิ าร ก.พ.

สานักมาตรฐานวนิ ยั
โทร. ๐ ๒๕4๗ 1631
โทรสาร ๐ ๒๕47 1630

97

ที่ นร ๑๐๑๑/ล ๗๓๑ สานักงาน ก.พ.
ถนนพิษณโุ ลก กทม. 10300

๗ กรกฎาคม ๒๕๕1

เรอื่ ง หารือแนวทางเกยี่ วกบั การดาเนนิ การทางวินัย

เรียน ปลัดกระทรวงแรงงาน

อ้างถงึ หนังสอื กระทรวงแรงงาน ลับมาก ท่ี รง ๐๒๐๑.5/๑๔๑ ลงวนั ที่ ๔ มิถนุ ายน ๒๕๕๑

ตามหนังสือท่ีอ้างถึง กระทรวงแรงงานหารือปัญหาการดาเนินการทางวินัย กรณีข้าราชการ
กระทรวงแรงงานถูกร้องเรียนกล่าวหาว่ากระทาผิดวินัย โดยข้อเท็จจริงตามข้อกล่าวหาเป็นการกระทา
ในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๔๕ ขณะบทบัญญัติเรื่องความผิดวินัยใช้บังคับตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการ
พลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ แต่ผู้กล่าวหาได้อ้างความผิดวินัยตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน
พ.ศ. ๒๕๕๑ จึงมีปัญหาในทางกฎหมายว่าการดาเนินการสอบสวนรวมถึงการพิจารณาฐานความผิดวินัย
จะใช้ตามกฎหมายฉบบั ใด ความละเอียดแจ้งแลว้ นนั้

สานักงาน ก.พ. ขอเรยี นเปน็ ลาดบั ดังนี้
1. ข้อหารือท่ีว่า กระทรวงแรงงานจะต้องดาเนินการตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการ
พลเรือนฉบับใด
สานักงาน ก.พ. ขอเรียนว่า ตามบทเฉพาะกาล มาตรา ๑๓๑ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติ
ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ ได้บัญญัติว่า “ในระหว่างท่ี ก.พ. ยังมิได้จัดทามาตรฐานกาหนด
ตาแหน่งตามมาตรา ๔๘ บทบัญญัติในลักษณะ ๔ ข้าราชการพลเรือนสามัญ... ยังไม่ใช้บังคับ โดยให้นา
บทบัญญัติในลักษณะ ๓ ข้าราชการพลเรือนสามัญ... แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน
พ.ศ. ๒๕๓๕ ...มาใช้บังคับแก่ข้าราชการพลเรือนสามัญ...ไปพลางก่อนจนกว่า ก.พ. จะจัดทามาตรฐาน
กาหนดตาแหน่งเสร็จ... และประกาศให้ทราบ จึงให้นาบทบัญญัติในลักษณะ ๔ ข้าราชการพลเรือนสามัญ...
มาใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ก.พ. ประกาศเป็นต้นไป...” และโดยท่ีปัจจุบัน ก.พ. ยังจัดทามาตรฐานกาหนด
ตาแหน่งยังไม่แล้วเสร็จ จึงต้องนาบทบัญญัติในลักษณะ ๓ ข้าราชการพลเรือนสามัญ แห่งพระราชบัญญัติ
ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ มาใช้บังคับไปพลางก่อน ดังนั้นบทบัญญัติเกี่ยวกับวินัยและการ
ดาเนินการทางวนิ ยั ข้าราชการรายน้ี จึงตอ้ งเปน็ ไปตามพระราชบญั ญตั ริ ะเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕
โดยในคาสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัย จึงต้องอ้างบทบัญญัติมาตรา ๑๓๑ แห่งพระราชบัญญัติ
ระเบยี บข้าราชการพลเรอื น พ.ศ. ๒๕๕๑) ประกอบด้วย
๒. ข้อหารือที่ว่า การพิจารณาฐานความผิดของผู้ถูกกล่าวหา จะใช้ตามพระราชบัญญัติ
ระเบยี บข้าราชการพลเรือนฉบับใด นัน้

98

สานักงาน ก.พ. ขอเรียนว่า การพิจารณาฐานความผิดทางวินัย จะต้องถือวันกระทาผิดเป็นหลัก
ดังน้ัน หากการกระทาท่ีถูกกล่าวหาเป็นความผิดทางวินัยเกิดข้ึนในระหว่างการใช้บังคับพระราชบัญญัติ
ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 กรณีต้องปรับบทความผิดและลงโทษตามพระราชบัญญัติดังกล่าว
ทั้งน้ตี ามนัยมาตรา 131 แห่งพระราชบัญญัตริ ะเบยี บขา้ ราชการพลเรอื น พ.ศ. 2551 ขา้ งตน้

3. ข้อหารือท่ีว่า เร่ืองน้ีผู้กล่าวหาได้ดาเนินการทางอาญากับผู้ถูกกล่าวหาและอยู่ระหว่าง
การดาเนนิ การของศาลอาญา กระทรวงตอ้ งรอผลคดีอาญาก่อนหรือไม่ น้ัน

สานักงาน ก.พ. ขอเรียนว่า เร่ืองนี้มีมติ ตามหนังสือสานักงาน ก.พ. ท่ี สร 0905/ว 5
ลงวันท่ี 18 มีนาคม 2509 และท่ี สร 0905/ว 9 ลงวันท่ี 6 ตุลาคม 2509 เร่ืองการสอบสวนพิจารณาโทษ
ข้าราชการ วางแนวทางว่าการดาเนินการสอบสวนพิจารณาโทษทางวินัย กฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการ
พลเรือนได้กาหนดอานาจหน้าท่ีและวิธีการสอบสวนพิจารณาโทษทางวินัยไว้เป็นส่วนหน่ึงต่างหากจากการ
ดาเนินคดีอาญาอยู่แล้ว การสอบสวนพิจารณาโทษทางวินัยจึงไม่จาเป็นต้องรอฟังผลคดีอาญาให้เร่ืองล่าช้า
เว้นแต่การสอบสวนทางวินัยยังฟังไม่ได้ว่าผู้น้ันกระทาผิดวินัย กรณีเช่นนี้ผู้น้ันก็ยังตกอยู่ในฐานะ ผู้ถูกฟ้อง
คดีอาญาอยู่ ซ่ึงถ้าไม่ใช่คดีความผิดที่เป็นลหุโทษหรือกระทาโดยประมาทแล้ว ผู้บังคับบัญชามีอานาจ
สง่ั พกั ราชการเพ่อื รอฟังผลคดที างอาญาได้

จึงเรยี นมาเพ่อื โปรดทราบ

ขอแสดงความนบั ถือ

ทัศนีย์ ธรรมสทิ ธ์ิ
(นางสาวทศั นยี ์ ธรรมสทิ ธ)์ิ

รองเลขาธิการ ก.พ.
ปฏิบตั ิราชการแทนเลขาธิการ ก.พ.

สานกั มาตรฐานวนิ ยั
โทร. 0 2547 1631
โทรสาร 0 2547 1630

99

ท่ี นร 1011/ล 312 สานักงาน ก.พ.
ถนนพษิ ณโุ ลก กทม. 10300

11 มิถนุ ายน ๒๕๕๒

เรื่อง หารือการลงโทษวินัยข้าราชการพลเรือนสามญั

เรยี น นายแพทย์สาธารณสขุ จงั หวดั เพชรบรู ณ์

อ้างถึง หนงั สือสานกั งานสาธารณสุขจงั หวดั เพชรบูรณ์ ที่ พช. ๐๐๒๗.๐๐๓.๒/0494 ลงวนั ที่ ๑๘ กมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๕๒

ตามหนังสือที่อ้างถึง แจ้งว่าสานักงานสาธารณสุขจังหวัดเพชรบูรณ์ได้แต่งต้ังคณะกรรมการ
สอบสวนนาย ก. เจ้าหน้าที่บริหารงานสาธารณสุข ๖ สถานีอนามัยดงหลง จังหวัดเพชรบูรณ์ ในเร่ือง
ไม่ตั้งใจปฏบิ ตั ิหน้าท่ีราชการและละทิง้ หนา้ ท่ีราชการ และคณะกรรมการสอบสวนเห็นควรลงโทษ ลดเงินเดือน
สานักงานสาธารณสุขจังหวัดเพชรบูรณ์ จึงหารือว่าจะดาเนินการลงโทษลดเงินเดือนอย่างไร ความละเอียดแจ้งแล้ว
น้ัน

สานักงาน ก.พ. ขอเรียนว่า พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑
ในบทบัญญัติลักษณะ ๔ ข้าราชการพลเรือนสามัญ และลักษณะ ๕ ข้าราชการพลเรือนในพระองค์
มีผลใช้บังคับในวันที่ ๑1 ธันวาคม ๒๕๕๑ และมาตรา ๑๓๓ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวบัญญัติให้
ผู้บังคับบัญชาซ่ึงมีอานาจสั่งบรรจุตามมาตรา ๕๗ เป็นผู้มีอานาจส่ังลงโทษตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบ
ข้าราชการพลเรือนที่ใช้อยู่ในขณะน้ัน ซ่ึงนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดไม่มีอานาจสั่งลงโทษในความผิดวินัย
อย่างไม่ร้ายแรงอีกต่อไปตั้งแต่วันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๕๑ ดังนั้น ตามกรณีที่หารือควรรายงานไปยัง
ผู้ว่าราชการจงั หวดั เพชรบรู ณ์เพื่อพจิ ารณาตอ่ ไป

จึงเรียนมาเพ่อื โปรดทราบ

ขอแสดงความนับถือ

สมโภชน์ นพคณุ
(นายสมโภชน์ นพคณุ )
รองเลขาธิการ ก.พ.
ปฏบิ ัตริ าชการแทนเลขาธกิ าร ก.พ.

สานกั มาตรฐานวินยั
โทร. 0 2547 1631
โทรสาร 0 2547 1630

100

ที่ นร 1011/147 สานกั งาน ก.พ.
ถนนพษิ ณุโลก กทม. 10300

๑9 มนี าคม ๒๕๕๓

เรอ่ื ง หารือเกีย่ วกบั การสอบสวนพจิ ารณาโทษทางวินยั

เรยี น กรรมการผู้อานวยการใหญ่ บริษทั ทา่ อากาศยานไทย จากัด (มหาชน)

อ้างถงึ หนงั สือบริษทั ทา่ อากาศยานไทย จากัด (มหาชน) ลบั ท่ี ทอท. 0๕/๒๕๕๓ ลงวันท่ี ๑๘ มกราคม ๒๕๕๓

ตามหนังสือท่ีอ้างถึง บริษัท ท่าอากาศยานไทย จากัด (มหาชน) (ทอท.) ได้หารือปัญหา
เก่ียวกับการสอบสวนพิจารณาโทษทางวินัยพนักงานในสังกัด โดยแจ้งข้อเท็จจริงและส่งเอกสารไปประกอบ
การพิจารณาสรุปได้ว่า ทอท. ได้มีคาส่ังแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนพนักงานในสังกัด กรณีสานักตรวจสอบ
ทอท. ตรวจพบความผิดปกติและความบกพร่องในการปฏิบัติงานของพนักงานท่าอากาศยานหาดใหญ่ (ทหญ.)
จากการสอบสวนคณะกรรมการสอบสวนเห็นว่า มีพนักงานกระทาผิดวินัยโดยเป็นพนักงานระดับสูงจานวน
๒ คน คือ นาวาอากาศโท ก. ผู้อานวยการสานักมาตรฐานและความปลอดภัยท่าอากาศยาน ทอท.
และนาวาอากาศเอก ข. ผู้อานวยการฝ่ายบริหารการขนส่ง ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) กระทาผิดวินัย
อย่างไมร่ า้ ยแรง เหน็ ควรลงโทษตัดเงินเดือน แต่เนื่องจากข้อ ๔๑ แห่งข้อบังคับการท่าอากาศยานแห่งประเทศ
ไทย ฉบับที่ (๒) ว่าด้วย การบรรจุ การแต่งตั้ง การออกจากตาแหน่ง วินัย และการลงโทษของพนักงาน
พ.ศ. ๒๕๒๒ กาหนดให้การสั่งลงโทษลดหรือตัดเงินเดือนพนักงานชั้นที่ปรึกษา ผู้เชี่ยวชาญ ผู้อานวยการฝ่าย
หรือผู้ดารงตาแหน่งเทียบเท่าข้ึนไป ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการการท่าอากาศยานก่อน ทอท.
จึงนาเร่ืองดังกล่าวเสนอคณะกรรมการ ฯ เพ่ือพิจารณาให้ความเห็นชอบ ซึ่งคณะกรรมการฯ พิจารณาเห็นว่า
รายงานการสอบสวนท่ี ทอท. เสนอมาข้อมูลไม่ชัดเจนเพียงพอต่อการพิจารณา จึงมีมติให้ ทอท. หารือ
หน่วยราชการที่รับผิดชอบโดยตรงเกี่ยวกับการพิจารณาโทษทางวินัย เช่น สานักงาน ก.พ. ก่อน ทอท. จึงหารือว่า
การสอบสวน ของคณะกรรมการสอบสวนตามสาเนาสานวนการสอบสวนท่ีส่งไปน้ันชัดเจนเพียงพอท่ีจะ
พิจารณาโทษทางวินัยหรือไม่ อย่างไร การวินิจฉัยโทษของคณะกรรมการสอบสวนเหมาะสมแก่พฤติการณ์
แหง่ กรณีหรือไม่ อยา่ งไร และ ทอท. ควรดาเนินการสาหรบั กรณีนีอ้ ยา่ งไรบา้ ง ความละเอียดแจง้ แล้ว นัน้

สานักงาน ก.พ. ขอเรียน ดงั นี้
1. ตามท่ีหารือว่า การสอบสวนของคณะกรรมการสอบสวนตามสาเนาสานวนการสอบสวน
ท่สี ่งไปมคี วามชัดเจนเพียงพอท่ีจะพิจารณาโทษทางวนิ ยั หรอื ไม่ อยา่ งไร และ ทอท. ควรดาเนนิ การอยา่ งไร น้นั
. ขอเรียนว่า ตามระเบียบการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทยว่าด้วย หลักเกณฑ์และวิธีการ
ลงโทษผู้ซ่ึงต้องหาว่ากระทาผิดวินัยอย่างร้ายแรง พ.ศ. ๒๕๒๘ ข้อ ๑๑ ได้กาหนดว่า “เมื่อคณะกรรมการ
ทาการสอบสวนผู้ถูกกล่าวหา ให้จัดทารายงานการสอบสวนโดยสรุปข้อเท็จจริงของคาให้การ พยานหลักฐาน
พร้อมทั้งแสดงความเห็นว่าผู้ถูกกล่าวหาได้กระทาผิดวินัยอย่างไร หรือไม่ และควรจะได้รับโทษสถานใด”

101

จากระเบียบดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า รายงานการสอบสวนของคณะกรรมการสอบสวนต้องมีสาระสาคัญ คือ
สรุปขอ้ เท็จจรงิ พยานหลักฐานทเ่ี ก่ยี วขอ้ ง และความเห็นของคณะกรรมการสอบสวนว่าผู้ถูกกล่าวหาได้กระทา
ผิดวินัยหรือไม่ อย่างไร และควรได้รับโทษสถานใด ซึ่งในกรณีเช่นนี้ หากเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ
กฎ ก.พ. ฉบับท่ี ๑๘ (พ.ศ. ๒๕๔๐) ว่าด้วยการสอบสวนพิจารณา ข้อ ๓๑ ได้กาหนดให้ต้องมีการวินิจฉัย
เปรียบเทียบพยานหลักฐานที่สนับสนุนข้อกล่าวหากับพยานหลักฐานท่ีหักล้างข้อกล่าวหาด้วย ทั้งน้ี เพื่อให้ได้
ขอ้ เท็จจริงที่ฟงั เปน็ ที่ยุติที่สามารถนามาพิจารณาได้ สาหรับรายงานการสอบสวนที่ ทอท. ส่งไปให้พิจารณาน้ัน
เห็นว่าเป็นรายงานที่มีสาระสาคัญตามท่ีระเบียบฯ กาหนด และมีข้อมูลพอที่จะพิจารณาได้ในระดับหนึ่ง
เพียงแต่ในบางกรณีท่ีมีประเด็นโต้เถียงข้อเท็จจริงกันอยู่ ยังขาดการวินิจฉัยเปรียบเทียบพยานหลักฐาน
ที่สนับสนุนข้อกล่าวหากับพยานหลักฐานท่ีหักล้างข้อกล่าวหา จึงทาให้เกิดข้อสงสัยว่า ข้อ เท็จจริง
ที่คณะกรรมการสอบสวนนามาพิจารณานั้นเป็นข้อเท็จจริงท่ีฟังเป็นท่ียุติแล้วหรือไม่ อย่างไร ดังน้ัน คณะกรรมการ
สอบสวนจงึ ควรทจ่ี ะทาการวนิ ิจฉยั ประเด็นโต้เถยี งดงั กล่าวให้เกิดความชัดเจนก่อน ซ่ึงจะทาให้ผู้มีอานาจทราบ
ถึง เ หตุ ผ ล ใน ก าร พิ จ าร ณ าข อ ง คณ ะ กร ร ม กา ร ส อ บ ส ว น แ ล ะ ส า มา ร ถพิ จ า รณ า ส่ั ง ก า รใ น เรื่ อ ง ดัง ก ล่ า ว ไ ด้
อย่างถกู ตอ้ งและเป็นธรรมยิ่งขึ้น

๒. ตามท่ีหารือว่า การวินิจฉัยโทษของคณะกรรมการสอบสวนเหมาะสมแก่พฤติการณ์
แห่งกรณหี รือไม่ อยา่ งไร น้นั

ขอเรียนว่า โดยท่ีข้อบังคับการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย ฉบับที่ (๒) ว่าด้วยการบรรจุ
การแต่งตั้ง การออกจากตาแหน่ง และการลงโทษของพนักงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ ได้กาหนดให้การพิจารณาความผิด
และกาหนดโทษแกพ่ นกั งาน ทอท. เป็นอานาจของผู้บงั คบั บญั ชาผู้มีอานาจของ ทอท. สานักงาน ก.พ. จึงไม่อยู่
ในฐานะที่จะพิจารณาให้ความเหน็ ในเรอ่ื งดังกลา่ วได้

จงึ เรยี นมาเพอ่ื โปรดทราบ

ขอแสดงความนบั ถอื

สมโภชน์ นพคณุ
(นายสมโภชน์ นพคณุ )
รองเลขาธิการ ก.พ.
ปฏิบัติราชการแทนเลขาธิการ ก.พ.

สานักมาตรฐานวินัย
โทร. 0 2547 1631
โทรสาร 0 2547 1630

102

ท่ี นร 1011/ล 215 สานักงาน ก.พ.
ถนนพิษณโุ ลก กทม. 10300

21 เมษายน 2553

เรอื่ ง หารอื การปฏบิ ัติตาม กฎ ก.พ. ฉบบั ที่ ๑๘ (พ.ศ. ๒๕๔๐)

เรยี น เลขาธกิ ารคณะกรรมการ ป.ป.ช.

อา้ งถึง หนงั สือสานกั งาน ป.ป.ช. ลบั ดว่ น ที่ ปช ๐๐๑3/8๐๙ ลงวันท่ี ๗ มกราคม ๒๕๕๓

ตามหนังสือที่อ้างถึง สานักงาน ป.ป.ช. แจ้งว่า ได้รับเร่ืองกล่าวหาร้องเรียนเจ้าหน้าที่ของรัฐ
สังกัดกรุงเทพมหานคร ว่ากระทาความผิดฐานทุจริตต่อหน้าท่ีหรือกระทาความผิดต่อตาแหน่งหน้าท่ี
ราชการ กรณีกล่าวหาคณะกรรมการสอบสวนทางวินัย ซ่ึงมีหน้าท่ีดาเนินการสอบสวนตามกฎ ก .พ.
ฉบับท่ี ๑๘ (พ.ศ. ๒๕๔๐) ไม่อนุญาตให้คัดสาเนาเอกสารในระหว่างการสอบสวน ทั้งที่ไม่มีกฎระเบียบใด
ห้ามมิให้ผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทาความผิดวินัยขอคัดสาเนาเอกสารที่เก่ียวข้องแต่อย่างใด สานักงาน ป.ป.ช.
จึงขอหารือว่า คณะกรรมการสอบสวนมีอานาจหน้าท่ีในการอนุญาตให้ผู้ถูกกล่าวหาขอคัดสาเนาเอกสาร
ในระหว่างการสอบสวน ตามท่ผี ู้ถูกกลา่ วหาร้องขอได้หรือไม่ ความละเอียดแจ้งแลว้ น้ัน

สานักงาน ก.พ. ขอเรียนว่า กฎ ก.พ. ฉบับท่ี ๑๘ (พ.ศ. ๒๕๔๐) ว่าด้วยการสอบสวน
พิจารณา ได้กาหนดหน้าท่ีของคณะกรรมการสอบสวนไว้ใน ข้อ ๑๑ ว่า คณะกรรมการสอบสวนมีหน้าท่ี
สอบสวนตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และระยะเวลาท่ีกาหนดในกฎ ก.พ. น้ี เพ่ือแสวงหาความ จริงในเรื่องที่
กล่าวหา และดูแลให้เกิดความยุติธรรมตลอดกระบวนการสอบสวน ในการนี้ให้คณะกรรมการรวบรวม
ประวัติและความประพฤติของผู้ถูกกล่าวหาท่ีเกี่ยวข้องกับเรื่องที่กล่าวหาเท่าที่จาเป็นเพ่ือประกอบการ
พิจารณา และในการสอบสวนของคณะกรรมการสอบสวนห้ามมิให้บุคคลอื่นเข้าร่วมทาการสอบสวน
สาหรับการเปิดเผยข้อมูลระหว่างการสอบสวน กฎ ก.พ. ฉบับดังกล่าว ให้อานาจคณะกรรมการสอบสวน
กระทาได้เฉพาะกรณีตามข้อ ๑๕ คือ สรุปพยานหลักฐานท่ีสนับสนุนข้อกล่าวหาแจ้งให้ผู้ถูกกล่าวหาทราบ
โดยระบุวัน เวลา สถานท่ี และการกระทาที่มีลักษณะเป็นการสนับสนุนข้อกล่าวหา สาหรับพยานบุคคล
จะระบุหรือไม่ระบุพยานก็ได้ ท้ังน้ี โดยมีเจตนารมณ์เพื่อให้ความเป็นธรรมแก่ผู้ถูกกล่าวหาและคุ้มครอง
พยานมิให้ต้องได้รับความเดือดร้อน ตลอดจนเป็นการป้องกันมิให้การสอบสวนเสียหาย แต่อย่างไรก็ตาม
ทางปฏิบัติเกี่ยวกับการให้ข้อมูลระหว่างการสอบสวนนั้น คณะกรรมการสอบสวนยังถือปฏิบัติตาม
กฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีท่ีเกี่ยวข้อง คือ พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ
พ.ศ. ๒๕๔๐ พระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ ระเบียบสานักนายกรัฐมนตรี

103
ว่าด้วยการรักษาความปลอดภัยแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๒ และมติคณะรัฐมนตรีตามหนังสือสานักเลขาธิการ
คณะรฐั มนตรี ที่ นร ๐๒๐๕/ว ๓๑ ลงวนั ท่ี ๒๕ กมุ ภาพันธ์ ๒๕๔๒ ด้วย

จึงเรยี นมาเพ่อื โปรดทราบ
ขอแสดงความนับถือ
สมโภชน์ นพคณุ
(นายสมโภชน์ นพคุณ)
รองเลขาธกิ าร ก.พ.

ปฏบิ ตั ิราชการแทนเลขาธกิ าร ก.พ.

สานักมาตรฐานวนิ ัย
โทร. 0 2547 1631
โทรสาร 0 2547 1630

104

ที่ นร ๑๐๑๑/๒7 สานกั งาน ก.พ.
ถนนพิษณโุ ลก กทม. ๑๐๓๐๐

17 มกราคม ๒๕๕๑

เรื่อง หารือการดาเนนิ การทางวนิ ัย

เรยี น ผู้อานวยการสานักงบประมาณ

อ้างถึง หนังสือสานักงบประมาณ ท่ี นร ๐๗๐๒/๒๒๐๗ ลงวันท่ี ๒๑ พฤศจกิ ายน ๒๕๕๐

สง่ิ ทส่ี ่งมาดว้ ย สาเนาหนงั สอื สานกั งานคณะกรรมการกฤษฎกี า ปกปดิ ที่ นร ๐601/๑๐๙๒
ลงวนั ท่ี ๑๙ ธันวาคม ๒๕๓๒

ตามหนังสือท่ีอ้างถึง สานักงบประมาณได้หารือกรณีที่มีคาส่ังลงโทษตัดเงินเดือนข้าราชการ
๕% เป็นเวลา ๓ เดือน เม่ือเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๐ ภายหลังสานักงบประมาณ ได้รายงานการดาเนินการ
ทางวินัยดังกล่าวไปยัง อ.ก.พ. ทาหน้าที่ อ.ก.พ. กระทรวงของสานักงบประมาณซ่ึงได้ประชุมเม่ือวันท่ี
๕ พฤศจกิ ายน ๒๕๕๐ และมีมติให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรงแก่ข้าราชการผู้นี้ สานักงบประมาณ
จึงขอหารือว่า พระราชบัญญัติล้างมลทินในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
มพี ระชนมพรรษา ๘๐ พรรษา พ.ศ. ๒๕๕๐ ซึ่งมีผลใช้บังคับต้ังแต่วันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๐ น้ัน จะมีผลต่อการ
ดาเนินการทางวินยั อยา่ งรา้ ยแรงและการลงโทษผู้ถูกกล่าวหา หรือไม่ อย่างไร ความละเอียดแจง้ แลว้ นัน้

สานักงาน ก.พ. ขอเรียนว่าโดยที่มาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติล้างมลทิน ในวโรกาสที่
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมีพระชนมพรรษา ๘๐ พรรษา พ.ศ. ๒๕๕๐ บัญญัติว่า
“ให้ล้างมลทินให้แก่บรรดาผู้ถูกลงโทษทางวินัยในกรณีซึ่งได้กระทา ก่อนหรือในวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๐ และ
ได้รับโทษหรือรับทัณฑ์ทั้งหมดหรือบางส่วนไปก่อน หรือในวันท่ีพระราชบัญญัติน้ีใช้บังคับ โดยให้ถือว่า
ผู้น้ันมิได้เคยถูกลงโทษหรือลงทัณฑ์ทางวินัย ในกรณีน้ัน ๆ” เม่ือปรากฏข้อเท็จจริงว่าข้าราชการผู้นี้
ได้กระทาความผิดก่อนวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๐ และถูกลงโทษตัดเงินเดือน ๕% เป็นเวลา ๓ เดือน เม่ือเดือน
กุมภาพันธ์ ๒๕๕๐ อันเป็นเวลาก่อนวันท่ีพระราชบัญญัติน้ีใช้บังคับ ข้าราชการผู้นี้จึงได้รับการล้างมลทินตาม
พระราชบัญญตั ิลา้ งมลทินดังกลา่ วข้างตน้ ดงั นัน้ สานักงบประมาณจึงไม่อาจดาเนินการทางวินัยกับผู้ถูกลงโทษ
ทางวินัยที่ได้รับการล้างมลทินไปแล้วได้อีก ทั้งนี้เป็นไปตามแนวคาวินิจฉัยของที่ประชุมใหญ่กรรมการ
รา่ งกฎหมาย รายละเอยี ดปรากฏตามส่งิ ท่ีส่งมาด้วย

จงึ เรียนมาเพอื่ โปรดทราบ

ขอแสดงความนับถอื
(ลงช่อื ) ทศั นีย์ ธรรมสทิ ธิ์

(นางสาวทศั นยี ์ ธรรมสทิ ธิ์)
รองเลขาธกิ าร ก.พ.

ปฏิบัติราชการแทนเลขาธกิ าร ก.พ.

สานักมาตรฐานวนิ ัย
โทร. 0 2547 1631
โทรสาร 0 2547 1630

105

ที่ นร ๑๐๑๑/195 สานักงาน ก.พ.
ถนนพิษณุโลก กทม. ๑๐๓๐๐

๔ มิถนุ ายน ๒๕๕๑

เรอ่ื ง หารอื เกย่ี วกับกฎหมายว่าดว้ ยการลา้ งมลทนิ

เรียน ผูว้ ่าการธนาคารแห่งประเทศไทย

อา้ งถงึ หนังสอื ธนาคารแหง่ ประเทศไทย ลงวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๑

สิง่ ทสี่ ่งมาด้วย ๑. สาเนาหนังสือสานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ปกปิด ที่ นร ๐๖๐๑/๑๐9๒ ลงวันที่
19 ธันวาคม ๒๕๓๒

๒. สาเนาบันทึกความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกาเรื่องการตัดเงินเดือนของข้าราชการ
ท่ีถูกลงโทษตัดเงินเดือนและได้รับการล้างมลทินตามพระราชบัญญัติล้างมลทิน ในโอกาสสมโภช
กรุงรตั นโกสนิ ทร์ ๒๐๐ ปี พ.ศ. ๒๕๒๖

ตามหนังสือที่อ้างถึง ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้หารือเกี่ยวกับผลของการ บังคับใช้
พระราชบัญญัติล้างมลทินในวโรกาสท่ีพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระชนมพรรษา
๘๐ พรรษา พ.ศ. ๒๕๕๐ ซึ่งมีต่อกรณีท่ีธนาคารแห่งประเทศไทยมีคาส่ังลงโทษทางวินัยพนักงานก่อนวันท่ี
๕ ธันวาคม ๒๕๕๐ แต่ยังไม่ได้รายงานการส่ังลงโทษต่อผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยตามข้อบังคับ
ธนาคารแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการพนักงาน พ.ศ. ๒๕๓๒ รวม 6 ขอ้ ความละเอียดแจ้งแล้ว น้ัน

สานกั งาน ก.พ. พจิ ารณาแลว้ มีความเหน็ ดังน้ี
๑. ขอ้ หารือที่ ๑ - ๓ ท่วี ่า

(๑) กรณีท่ีมีการรายงานการส่ังลงโทษต่อผู้บังคับบัญชาตามลาดับช้ันแล้ว แต่ยังรายงาน
ไมถ่ ึงผู้วา่ การจะถือวา่ การดาเนินการทางวนิ ัยเสร็จสน้ิ แลว้ หรอื ไม่

(๒) ในกรณีท่ีถือว่าการดาเนินการทางวินัยเสร็จส้ินและผู้ว่าการได้รับรายงาน
การสั่งลงโทษแล้ว ผู้ว่าการมีอานาจเปลี่ยนแปลงแก้ไขระดับโทษได้หรือไม่ หรือต้องส่ังให้ มีการล้างมลทิน
ตามพระราชบัญญตั ลิ ้างมลทนิ

(๓) หากถือว่าการสั่งลงโทษตามข้อ ๑ ยังไม่เสร็จส้ิน พนักงานผู้นั้นจะได้รับการล้างมลทิน
ตามเง่ือนไขในหลักเกณฑ์พระราชบัญญัติดังกล่าว และเป็นไปตามแนวทางเดียวกันกับความเห็นของ
คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะกรรมการรา่ งกฎหมาย คณะที่ ๕) เรื่องเสร็จที่ ๒๘๒/๒๕๔๐ หรอื ไม่

จากข้อหารือท้ังสามข้อข้างต้น สานักงาน ก.พ. ขอเรียนว่า การรายงานการลงโทษตาม
ข้อ ๕๒(๑) ของข้อบังคับธนาคารแห่งประเทศไทยว่าด้วยการพนักงาน พ.ศ. ๒๕๓๒ จะเสร็จสิ้นเมื่อใด นั้น
เป็นแนวทางปฏิบัติของธนาคารแห่งประเทศไทยโดยเฉพาะ สานักงาน ก.พ. ไม่อาจก้าวล่วงให้ความเห็นได้

106

แต่อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการกฎษฎีกาโดยท่ีประชุมใหญ่กรรมการร่างกฎหมาย ได้พิจารณาเม่ือคร้ังบังคับใช้
พระราชบญั ญตั ลิ า้ งมลทินในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงมีพระชนมพรรษา
๖๐ พรรษา พ.ศ. ๒๕5๐ ไว้มีสาระสาคัญว่า การรายงานการลงโทษผู้กระทาผิดวินัยต้องแยกเป็น ๒ กรณี คือ
กรณีปกติที่ไม่มีกฎหมายล้างมลทินใช้บังคับ เมื่อผู้บังคับบัญชาได้สั่งลงโทษผู้กระทาผิดวินัยตามอานาจหน้าท่ี
แล้วจะต้องรายงานการลงโทษไปยังผู้บังคับบัญชาซึ่งมีตาแหน่งเหนือผู้ส่ังลงโทษเพื่อพิจารณา และกรณีท่ีมี
กฎหมายล้างมลทินใช้บังคับ การพิจารณารายงานการลงโทษจะต้องพิจารณากฎหมายล้างมลทินควบคู่กันไปด้วย
ดังนั้น ในกรณีที่ผู้ถูกลงโทษได้กระทาผิดวินัยก่อนหรือในวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๐ และได้รับโทษหรือรับทัณฑ์
ทง้ั หมดหรอื บางส่วนไปกอ่ นหรือในวนั ท่ี ๕ ธันวาคม ๒๕๕๐ อีกทั้งผู้น้ันมิได้โต้แย้งคาส่ังด้วยการใช้สิทธิอุทธรณ์
ย่อมถือได้ว่าผู้ถูกลงโทษทางวินัยดังกล่าวได้รับการล้างมลทิน ซ่ึงผลของการได้รับการล้างมลทินกฎหมาย
ให้ถือว่า ผู้น้ันไม่เคยถูกลงโทษทางวินัยในกรณีนั้นๆ ผู้บังคับบัญชา ซ่ึงมีตาแหน่งเหนือผู้ส่ังลงโทษจึงไม่อาจ
เปล่ียนแปลงโทษเป็นอย่างอ่ืนได้ เพราะไม่มีโทษให้พิจารณา ดังรายละเอียดปรากฏตามส่ิงที่ส่งมาด้วย ๑
ส่วนความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะกรรมการร่างกฎหมายคณะท่ี ๕) เร่ืองเสร็จท่ี ๒๘๒/๒๕๕๐
ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทย หยิบยกขึ้นมาเปรียบเทียบนั้น เป็นกรณีผู้บังคับบัญชาสั่งลงโทษทางวินัย
แก่ผู้กระทาผิดโดยให้มีผลบังคับล่วงหน้า แต่ปรากฏว่าระหว่างนั้นมีกฎหมายล้างมลทินออกใช้บังคับ
จึงทาให้การปฏิบัติตามคาส่ังลงโทษเกิดข้ึนภายหลังวันประกาศใช้กฎหมายดังกล่าวแล้ว ผู้กระทาผิดวินัย
จึงไม่ได้รับประโยชน์จากการล้างมลทินคร้ังนั้น ซึ่งการลงโทษในลักษณะดังกล่าวไม่ตรงกับกรณีที่ธนาคาร
แหง่ ประเทศไทยหารอื

๒. ข้อหารือท่ี ๔ ที่ว่า ผลของการล้างมลทินตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติล้างมลทิน
ในวโรกาสท่ีพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมีพระชนมพรรษา ๘๐ พรรษา พ.ศ. ๒๕๕๐
ธนาคารแห่งประเทศไทยจะนาไปใช้อา้ งองิ ในกรณีอ่ืนทม่ี ิใช่การดาเนินการทางวินัยได้หรือไม่ เช่น การพิจารณา
ไม่ขึ้นเงินเดือนประจาปี ๒๕๕๐ ตามข้อ ๓ (1) ของคาส่ัง ธนาคารแห่งประเทศไทย ท่ี ๗๐/๒๕๓๗ ลงวันที่
๓ มีนาคม ๒๕๓๗ หรือการส่ังให้ออกจากงาน ตามข้อ ๒๔(๖) ของข้อบังคับธนาคารแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพนกั งาน พ.ศ. ๒๕๓๒

สานกั งาน ก.พ. ขอเรียนว่า มาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว บัญญัติว่า “ให้ล้างมลทิน
ให้แก่บรรดาผู้ต้องโทษทางวินัยในกรณีซ่ึงได้กระทาก่อนหรือในวันท่ี ๕ ธันวาคม ๒๕๕๐ และได้รับโทษหรือ
รบั ทัณฑ์ทง้ั หมดหรือบางส่วนไปก่อนหรือในวันท่ีพระราชบัญญัติน้ีใช้บังคับ โดยให้ถือว่าผู้นั้นมิได้เคยถูกลงโทษ
หรือลงทัณฑ์ทางวินัยในกรณีนั้นๆ” จากบทบัญญัติ ดังกล่าวพิจารณาได้ว่า ผู้ถูกลงโทษทางวินัยเมื่อ
ได้รับการล้างมลทินแล้วถือว่าไม่เคยถูกลงโทษ ในกรณีนั้นอีกต่อไป แต่พระราชบัญญัติล้างมลทินฉบับน้ีมิได้
ล้างการกระทาผิดทางวินัยด้วย ดังนั้นผู้ถูกลงโทษทางวินัยจึงสามารถนาผลของการได้รับล้างมลทิน
ตามพระราชบัญญตั ิน้ไี ป ใช้ไดเ้ ฉพาะในเร่ืองการลา้ งโทษทางวนิ ยั เทา่ นัน้

107

๓. ข้อหารือท่ี ๕ ที่ว่า ในกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทยดาเนินการพิจารณาขึ้นเงินเดือน
ประจาปี ๒๕๕๐ ไปกอ่ นวันทพี่ ระราชบัญญัติล้างมลทินมีผลใช้บังคับ โดยผู้ถูกลงโทษทางวินัยบางรายไม่มีสิทธิ
ได้ข้ึนเงินเดือนประจาปีตามหลักเกณฑ์ของคาส่ังธนาคารแห่งประเทศไทยผลของการล้างมลทิน
ตามพระราชบัญญัติดังกล่าวจะทาให้พนักงานผู้น้ันมีสิทธิได้รับการพิจารณาข้ึนเงินเดือนประจาปี และ
ธนาคารแห่งประเทศไทยต้องย้อนกลับมาพิจารณาใหม่หรือไม่ หากการข้ึนเงินเดือนมีผลหลังวันท่ี
พระราชบัญญตั ิลา้ งมลทนิ ฯ มีผลใชบ้ งั คบั

สานักงาน ก.พ. ขอเรียนว่า กระบวนการพิจารณาเล่ือนข้ันเงินเดือนตามคาส่ังธนาคาร
แห่งประเทศไทย ท่ี 7๐/๒๕๓๗ ลงวันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๓๗ เป็นเร่ืองที่อยู่ในอานาจหน้าที่ของธนาคาร
แห่งประเทศไทยท่ีจะพิจารณา และโดยที่กระบวนการดังกล่าวมีหลักการที่แตกต่างจากการเล่ือนขั้นเงินเดือน
ของข้าราชการพลเรือนสามัญตามกฎ ก.พ. ว่าด้วยการเลื่อนข้ันเงินเดือน พ.ศ. ๒๕๔๔ สานักงาน ก.พ.
จึงไม่อาจให้ความเห็นในข้อนี้ได้ แต่อย่างไรก็ตาม ในการพิจารณาเล่ือนข้ันเงินเดือนของข้าราชการพลเรือน
สามัญ ตาม กฎ ก.พ. ดังกล่าว น้ัน ถือหลักวันท่ีคาสั่งเล่ือนข้ันเงินเดือนมีผลบังคับเป็นสาคัญ คือ วันที่ 1
ตุลาคม หรือวันที่ ๑ เมษายน ดังนั้น หากปรากฏว่า ข้าราชการถูกลงโทษทางวินัยซ่ึงหนักกว่าโทษภาคทัณฑ์
ในรอบการพิจารณาเล่ือนขั้นเงินเดือน ครั้งใด แล้วต่อมาได้รับการล้างมลทินตามพระราชบัญญัติล้างมลทินฯ
ก่อนวันที่คาสั่งเลื่อนข้ัน เงินเดือนจะมีผลบังคับ ข้าราชการผู้น้ันก็จะมิใช่เป็นผู้ถูกลงโทษทางวินัยอีกต่อไป
จงึ มีสิทธทิ จี่ ะได้รับการพิจารณาเลอ่ื นขั้นเงนิ เดอื นในคร้งั นัน้ ได้

๔. ข้อหารือที่ 6 ท่ีว่า กรณีท่ีมีการลงโทษทางวินัย โดยกรณีแรกพนักงานได้รับโทษ
ตัดเงินเดือน ๓ เดือน หรือลดอัตราเงินเดือน แต่การลงโทษตัดเงินเดือนหรือลดอัตราเงินเดือนมีผลหลังวันที่
พระราชบัญญัติล้างมลทินฯ มีผลใช้บังคับ หรือกรณีหลังมีผลตัดเงินเดือนบางส่วน หรือลดอัตราเงินเดือน
ไปก่อนวันท่ีพระราชบัญญัติล้างมลทินฯ มีผลใช้บังคับ ท้ังสองกรณีน้ีจะต้องดาเนินการตัดเงินเดือนหรือ
ลดอตั ราเงินเดือนอยา่ งไร มคี วามแตกตา่ งกันระหว่างการตัดเงนิ เดือนกับการลดอัตราเงนิ เดือนหรือไม่

สานักงาน ก.พ. ขอเรียนว่า สาหรับกรณีแรกเป็นการส่ังลงโทษโดยผลของคาสั่งเกิดภายหลัง
วันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๐ อันเป็นวันท่ีพระราชบัญญัติล้างมลทินในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทร
มหาภูมิพลอดุลยเดชมีพระชนมพรรษา ๘๐ พรรษา พ.ศ. ๒๕๕๐ ใช้บังคับจึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ที่จะได้รับ
การล้างมลทินตามท่ีบัญญัติไว้ในมาตรา ๕ ซ่ึงเป็นกรณีทานองเดียวกับคณะกรรมการกฤษฎีกาได้พิจารณาไว้
ตามเรื่องเสร็จที่ ๒๘๐/๒๕๔๐ ส่วนกรณีหลังคณะกรรมการกฤษฎีกาได้เคยพิจารณาวางแนวทางปฏิบัติไว้
มีสาระสาคัญว่า การลงโทษตัดเงินเดือนแก่ผู้กระทาผิดวินัยในกรณีได้รับการล้างมลทินตามกฎหมาย
ว่าด้วยการล้างมลทิน ให้กระทาได้จนถึงวันก่อนวันที่กฎหมายดังกล่าวจะมีผลใช้บังคับ เม่ือผู้กระทาผิด
ได้รับการล้างมลทินแล้วไม่สามารถลงโทษผู้กระทาผิดได้อีก ตัวอย่างเช่น ผู้กระทาผิดวินัยถูกสั่ งลงโทษ
ตัดเงินเดือน เป็นเวลา ๓ เดือน ตั้งแต่เดือนตุลาคม ๒๕๕๐ เป็นต้นไป กรณีเช่นน้ีการตัดเงินเดือนตามคาสั่ง
ลงโทษจะกระทาได้ต้ังแต่เดือนตุลาคม เดือนพฤศจิกายน และวันที่ ๑ – ๔ ของเดือนธันวาคม ๒๕๕๐

108

เท่านั้น เพราะหลังจากผู้กระทาผิดวินัยได้รับการล้างมลทินตามพระราชบัญญัติดังกล่าวแล้วจะไม่มีโทษ
ให้ต้องดาเนินการอีกต่อไป ส่วนการลดอัตราเงินเดือน โดยผลของคาส่ังจะบังคับเสร็จสิ้นทันทีในวันสั่งลงโทษ
จึงมิได้เป็นปัญหาเช่นการตัดเงินเดือน เมื่อมีการส่ังลงโทษลดอัตราเงินเดือนแล้วต่อมาพระราชบัญญัติ
ล้างมลทินฯ ใช้บังคับ โทษลดอัตราเงินเดือนท่ีผู้กระทาผิดได้รับก็จะถูกล้างมลทินไปตามมาตรา ๕
โดยผกู้ ระทาผดิ ไม่สามารถเรยี กร้องอัตราเงนิ เดือนท่ีถกู ลด ไปแล้วคนื ได้ รายละเอียดปรากฏตามสงิ่ ที่ส่งมาด้วย ๒

อน่ึง โดยที่ข้อหารือข้างต้นเป็นปัญหาเกี่ยวกับพระราชบัญญัติล้างมลทินในวโรกาสที่
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมีพระชนมพรรษา ๘๐ พรรษา พ.ศ. ๒๕๕๐ ซ่ึงนายกรัฐมนตรี
เป็นผู้รักษาการตามพระราชบัญญัติดังกล่าว ดังนั้น หากธนาคารแห่งประเทศไทยมีความเห็นหรือมีข้อสงสัย
เปน็ ประการอ่ืนก็สามารถหารือไปยงั คณะกรรมการกฤษฎกี าไดโ้ ดยตรงต่อไป

จึงเรยี นมาเพอ่ื โปรดทราบ

ขอแสดงความนบั ถอื

(ลงช่อื ) ทัศนยี ์ ธรรมสทิ ธิ์
(นางสาวทศั นีย์ ธรรมสทิ ธ์ิ)
รองเลขาธกิ าร ก.พ.

ปฏบิ ัตริ าชการแทนเลขาธกิ าร ก.พ.

สานกั มาตรฐานวนิ ัย
โทร. 0 2547 1631
โทรสาร 0 2547 1630

109

ที่ นร ๑๐๑๑/ล 9๒๑ สานักงาน ก.พ.
ถนนพิษณุโลก กทม. 10300

๒9 สงิ หาคม ๒๕๕๑

เร่อื ง หารอื ปญั หากรณีการล้างมลทินขา้ ราชการที่มีคาส่งั ลงโทษทางวินัย

เรยี น อธบิ ดกี รมราชทัณฑ์

อ้างถึง หนังสอื กรมราชทณั ฑ์ ลับ ที่ ยธ ๐๗๐๒/๑๘๘๘ ลงวนั ที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๕๑

สงิ่ ท่สี ง่ มาดว้ ย สาเนาหนงั สือสานักงาน ก.พ. ที่ นร ๐๗๐๙.๒/๗๐๔ ลงวันที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๕๒

ตามหนังสือท่ีอ้างถึง กรมราชทัณฑ์หารือปัญหาเก่ียวกับการปรับใช้พระราชบัญญัติล้างมลทิน
ในวโรกาสท่ีพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมีพระชนมพรรษา ๘๐ พรรษา พ.ศ. ๒๕๕๐
โดยแจ้งข้อเท็จจริงและจัดส่งเอกสารไปประกอบ การพิจารณาสรุปได้ว่า เรือนจากลางเชียงรายได้มีคาสั่ง
ท่ี ๓๘/๒๕๕๐ ลงวันท่ี ๑๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๐ ลงโทษตัดเงินเดือน นาย ก. เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ ๓
สังกัดเรือนจาพิเศษธนบุรี รักษาการเรือนจากลางเชียงราย และนาง ข. นักทัณฑวิทยา ๔ สังกัดเรือนจากลาง
เชียงราย จานวน ๕% เป็นเวลา ๑ เดือน จากนั้นได้รายงานผลการสอบสวนทางวินัยให้กรมราชทัณฑ์ทราบ
โดยยังมิได้ดาเนินการตัดเงินเดือนบุคคลทั้งสองให้เป็นไปตามคาสั่ง เนื่องจากเข้าใจว่าต้องรอความเห็นชอบ
จากกรมราชทณั ฑ์กอ่ น จนกระทงั่ ตอ่ มาพระราชบัญญัติล้างมลทินในวโรกาสท่ีพระบาทสมเด็จพระปรมินทมหา
ภูมพิ ลอดุลยเดชมีพระชนมพรรษา ๘๐ พรรษา พ.ศ. ๒๕๕๐ มีผลใช้บังคับ กรณีจึงมีปัญหาว่า ข้าราชการผู้นั้น
อยู่ในเกณฑ์ที่จะได้รับการล้างมลทิน ตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวหรือไม่ ความละเอียดแจ้งแล้ว น้ัน

สานักงาน ก.พ. ขอเรียนว่า โดยที่มาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติล้างมลทินในวโรกาส
ที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมีพระชนมพรรษา ๘๐ พรรษา พ.ศ. ๒๕๕๐ ได้บัญญัติ
ให้ล้างมลทินให้แก่บรรดาผู้ถูกลงโทษทางวินัยในกรณีซ่ึงได้กระทาก่อนหรือในวันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๐
และได้รบั โทษหรือรบั ทณั ฑท์ ั้งหมดหรือบางสว่ นไปกอ่ นหรือในวันที่พระราชบัญญัติน้ีใช้บังคับ โดยให้ถือว่าผู้น้ัน
มไิ ดเ้ คยถกู ลงโทษหรอื ลงทัณฑท์ างวนิ ยั ในกรณีน้ันๆ สาหรับกรณีที่หารือ แม้ข้อเท็จจริงปรากฏว่า นาย ก. และ
นาง ข. ได้กระทาผิดก่อน วันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๐ และเรือนจากลางเชียงรายได้มีคาสั่ง ท่ี ๓๘/๒๕๕๐
ลงวันที่ ๑๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๐ ลงโทษตัดเงินเดือนบุคคลทั้งสองจานวน ๕ % เป็นเวลา 1 เดือน ไปแล้วก็ตาม
แต่โดยที่คาสั่งลงโทษดังกล่าวไม่ได้ระบุวันท่ีคาสั่งมีผลใช้บังคับให้ปรากฏ ประกอบกับข้อเท็จจริงปรากฏว่า
ก่อนหรือในวันที่พระราชบัญญัติล้างมลทินฯ มีผลใช้บังคับ เรือนจากลางเชียงรายไม่ได้ดาเนินการตัดเงินเดือน
บุคคลทง้ั สองแต่อย่างใด กรณีจึงถือไม่ได้ว่าบุคคลท้ังสองเป็นผู้ได้รับโทษหรือรับทัณฑ์ท้ังหมดหรือบางส่วนไปก่อน
หรอื ในวันทพ่ี ระราชบญั ญตั ลิ ้างมลทินฯ ใชบ้ งั คบั บุคคลทงั้ สองจึงไม่ไดร้ บั การล้างมลทินตามพระราชบัญญัติดังกล่าว
ซ่ึงปัญหาในทานองเดียวกันนี้ สานักงาน ก.พ. ได้เคยพิจารณาตอบข้อหารือของสานักงานคณะกรรมการ

110

พนักงานเทศบาล (ก.ท.) เมื่อคร้ังใช้พระราชบัญญัติล้างมลทินในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทร
มหาภูมิพลอดุลยเดชทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๕๐ ปี พ.ศ. ๒๕๓๙ ว่าการท่ีเทศบาลเมืองนครศรีอยุธยา
มีคาสั่งลงโทษตัดเงินเดือนพนักงานผู้กระทาผิดก่อนหรือในวันที่พระราชบัญญัติล้างมลทินฯ ฉบับดังกล่าว
ใช้บังคับแต่มิได้มีการตัดเงินเดือนตามคาส่ังดังกล่าว เมื่อพระราชบัญญัติล้างมลทินฯ มีผลใช้บังคับ
ผู้นั้นจงึ ไมไ่ ด้รับการลา้ งมลทนิ (รายละเอียดปรากฏตามเอกสารแนบท้ายท่ีสง่ มาดว้ ย)

อย่างไรก็ตาม สานักงาน ก.พ. เห็นว่า การพิจารณาตีความพระราชบัญญัติล้างมลทิน
ในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมีพระชนมพรรษา ๘๐ พรรษา พ.ศ. ๒๕๕๐
เป็นเร่ืองท่ีอยู่ในอานาจหน้าที่ของคณะกรรมการกฤษฎีกาท่ีจะพิจารณา ดังนั้นเพื่อความรอบคอบ
กรมราชทณั ฑ์ควรหารือเรื่องน้ีไปยังคณะกรรมการกฤษฎีกาโดยตรงอีกทางหน่งึ ด้วย

จึงเรยี นมาเพ่อื โปรดทราบ

ขอแสดงความนบั ถือ

(ลงชอ่ื ) ทศั นีย์ ธรรมสิทธ์ิ
(นางสาวทศั นีย์ ธรรมสิทธิ์)
รองเลขาธกิ าร ก.พ.

ปฏบิ ัตริ าชการแทนเลขาธกิ าร ก.พ.

สานกั มาตรฐานวนิ ัย
โทร. 0 2547 1631
โทรสาร 0 2547 1630

111

ที่ นร ๑๐๑๑/๖ สานกั งาน ก.พ.
ถนนพษิ ณโุ ลก กทม. 10300

13 มกราคม ๒๕๕3

เรื่อง หารอื การบรรจุกลับเข้ารับราชการ

เรียน อธิบดกี รมโรงงานอตุ สาหกรรม

อา้ งถึง หนงั สอื กรมโรงงานอุตสาหกรรม ดว่ นที่สุด ท่ี อก ๐๓๑๗/๕๕9๗ ลงวันท่ี ๒๔ มถิ นุ ายน ๒๕๕๒

สิ่งที่สง่ มาด้วย ๑. สาเนาบนั ทกึ ความเหน็ สานกั งานคณะกรรมการกฤษฎกี าเรือ่ งเสรจ็ ท่ี 777/๒๕๕๒ จานวน ๔ ฉบับ
๒. สาเนาหนังสือสานักงาน ก.พ. ท่ี นร ๑๐๐๖/ว ๗ ลงวันท่ี 6 มีนาคม ๒๕๕๒ จานวน 8 ฉบับ
๓. สาเนาหนงั สอื สานักงาน ก.พ. ที่ สร ๐๗๑๑/ว 8 ลงวนั ที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๒๓

จานวน ๕ ฉบบั

ตามหนังสือท่ีอ้างถึง กรมโรงงานอุตสาหกรรมได้หารือไปยัง ก.พ. ว่า นาย พ. ผู้ถูกสั่งลงโทษ
ทางวินัยท่ีขอบรรจุกลับเข้ารับราชการเนื่องจากได้รับการล้างมลทินตามพระราชบัญญัติล้างมลทินในวโรกาส
ที่พระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหาภมู พิ ลอดลุ ยเดชมีพระชนมพรรษา ๘๐ พรรษา พ.ศ. ๒๕๕๐ แต่อยู่ระหว่าง
ฟ้องร้องดาเนินคดีท่ีถูกลงโทษทางวินัยอย่างร้ายแรงต่อศาลปกครองสงขลา จะถือว่านาย พ. ได้รับการ
ล้างมลทินหรือไม่ และการขอบรรจุกลับเข้ารับราชการเน่ืองจากได้รับการล้างมลทินในกรณีกระทาผิดวินัย
อยา่ งรา้ ยแรงฐานทุจริตต่อหนา้ ท่รี าชการ มแี นวทางในการพจิ ารณาอย่างไรบ้าง ความละเอยี ดแจง้ แลว้ นัน้

สานักงาน ก.พ. ขอเรียนว่า ปัญหาว่า นาย พ. จะได้รับการล้างมลทินในขณะท่ีอยู่ระหว่าง
ฟ้องร้องดาเนินคดีต่อศาลปกครองสงขลาหรือไม่ นั้น ปัญหาน้ีความเห็นของสานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
ตามส่งิ ท่ีสง่ มาดว้ ย ๑ ไดม้ แี นววนิ จิ ฉยั ไวว้ า่ ผูถ้ กู ลงโทษท่ไี ด้รับการล้างมลทนิ ตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติ
ล้างมลทินในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมีพระชนมพรรษา ๘๐ พรรษา
พ.ศ. ๒๕๕๐ ในระหว่างการพจิ ารณาของศาลปกครองสูงสุด แม้ศาลปกครองสูงสุดจะมีคาพิพากษาให้เพิกถอน
คาส่ังลงโทษ แต่เป็นเวลาภายหลังท่ีพระราชบัญญัติล้างมลทินใช้บังคับแล้ว จึงไม่มีผลกร ะทบต่อการ
ล้างมลทินท่ีมีผลสมบูรณ์ไปแล้ว ผู้บังคับบัญชาจึงไม่อาจมีคาส่ังให้ดาเนินการสอบสวนทางวินัยแก่ผู้ถูกลงโทษ
ซึ่งได้รับการล้างมลทินในการกระทาเดียวกันนั้นได้อีก กรณีของ นาย พ. จึงได้รับการล้างมลทิน
ตามผลคาวินิจฉยั ดงั กลา่ ว

ส่วนปัญหาเร่ืองแนวทางการขอบรรจุกลับเข้ารับราชการในกรณีกระทาผิดวินัยฐานทุจริต
ต่อหน้าท่ีราชการ น้ัน พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ มาตรา ๖๓ วรรคสี่ บัญญัติไว้ว่า
“การบรรจุข้าราชการพลเรือนสามัญท่ีได้ออกจากราชการไปที่มิใช่เป็นการออกจากราชการในระหว่าง
ทดลองปฏิบัติหน้าท่ีราชการกลับเข้ารับราชการในกระทรวงหรือกรม ตลอดจนจะส่ังบรรจุและแต่งต้ัง
ให้ดารงตาแหน่งประเภทใด สายงานใด ระดับใด และให้ได้รับเงินเดือนเท่าใด ให้กระทาได้ตามหลักเกณฑ์

112

และวิธีการที่ ก พ. กาหนด” ซึ่ง ก พ. ได้กาหนดหลักเกณฑ์และวิธีการบรรจุผู้ออกจากราชการไปแล้ว
กลับเข้ารับราชการ ตามสิ่งที่ส่งมาด้วย ๒ และ ๓ ซึ่งตามหลักเกณฑ์ดังกล่าวได้กาหนดเง่ือนไขไว้ข้อหน่ึงว่า
“ผู้สมัครกลับเข้ารับราชการต้องมีคุณสมบัติท่ัวไปหรือได้รับการยกเว้นในกรณีท่ีขาดคุณสมบัติ ” กรณีน้ี
เม่ือ นาย พ. ได้รับการล้างมลทินจึงถือได้ว่าไม่เป็นผู้ขาดคุณสมบัติตามมาตรา ๓๖ (9) หรือ (๑๐)
แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ และมีสิทธิที่จะขอกลับเข้ารับราชการได้ตาม
นัยมาตรา ๖๓ วรรคส่ี ดังกลา่ ว สว่ นการทสี่ ว่ นราชการจะบรรจุ นาย พ. กลับเข้ารับราชการหรือไม่เพียงใด นั้น
เป็นดุลพินิจของผู้บังคับบัญชาซ่ึงมีอานาจส่ังบรรจุตามมาตรา ๕๗ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการ
พลเรอื น พ.ศ. ๒๕๕๑

จึงเรยี นมาเพ่อื โปรดทราบ

ขอแสดงความนบั ถอื

สมโภชน์ นพคณุ
(นายสมโภชน์ นพคุณ)
รองเลขาธิการ ก.พ.
ปฏิบตั ริ าชการแทนเลขาธกิ าร ก.พ.

สานกั มาตรฐานวินยั
โทร. 0 2547 1631
โทรสาร 0 2547 1630

113

ที่ นร ๑๐1๑/99๓ สานักงาน ก.พ.
ถนนพษิ ณุโลก กทม. 10300

11 พฤศจิกายน ๒๕๕๓

เรื่อง หารอื เกีย่ วกับการบรรจุผเู้ คยเป็นขา้ ราชการพลเรอื นสามัญกลับเขา้ รบั ราชการ

เรียน อธบิ ดกี รมศลุ กากร

อ้างถงึ หนังสอื กรมศุลกากร ท่ี กค ๐๕๑๖/๑๑๕4๑ ลงวันท่ี ๒9 กนั ยายน ๒๕๕๓

ตามหนังสือท่ีอ้างถึง หารือกรณี นาย ถ. อดีตข้าราชการพลเรือนสามัญสังกัดกรมศุลกากร
ซ่ึงถูกกรมศุลกากรลงโทษไล่ออกจากราชการ ฐานไม่ปฏิบัติตามระเบียบและแบบธรรมเนียมของทางราชการ
และฐานกระทาการใด ๆ อนั ได้ชอ่ื วา่ เปน็ ผูป้ ระพฤติชว่ั อยา่ งร้ายแรง ตามมาตรา 91 และมาตรา 98 วรรคสอง
แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ และต่อมาได้รับการล้างมลทินตาม
พระราชบัญญัติล้างมลทินในวโรกาสท่ีพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมีพระชนมพรรษา
๘๐ พรรษา พ.ศ.๒๕๕๐ นาย ถ. จึงได้ย่ืนแบบคาร้องขอบรรจุกลับเข้ารับราชการที่กรมศุลกากร กรมศุลกากร
จึงหารือว่า นาย ถ. เป็นผู้มีคุณสมบัติท่ัวไปและไม่มีลักษณะต้องห้าม หรือได้รับการยกเว้นกรณีที่มีลักษณะ
ต้องห้ามตามมาตรา ๓๖ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ แล้วหรือไม่ เพราะ
แนวการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกาและ ก.พ. ตามกฎหมายว่าด้วยการล้างมลทินในปี พ.ศ. ๒๕๒๖
กับปี พ.ศ. ๒๕๕๐ แตกต่างกัน และหากเป็นกรณีท่ีได้รับการยกเว้นกรณีที่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๓๖
แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ แล้ว จะต้องดาเนินการบรรจุ นาย ถ. กลับ
เข้ารับราชการตามแนวทางของพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ หรือพระราชบัญญัติ
ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ เนื่องจาก นาย ถ. ได้ออกจากราชการเม่ือวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน
พ.ศ. ๒๕๕๐ ความละเอียดแจง้ แลว้ นั้น

สานักงาน ก.พ. ขอเรียนว่า ตามเหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติล้างมลทินในโอกาส
สมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ ๒๐๐ ปี พ.ศ. ๒๕๒๖ ระบุว่า “สมควรให้มีการล้างมลทินให้แก่ผู้ต้องโทษ... ผู้ถูกลงโทษ
ทางวินัย... เพื่อให้บุคคลเหล่านี้ได้มีสิทธิสมบูรณ์เช่นเดียวกับบุคคลทั้งหลายซึ่งไม่เคยรับโทษ …”
ซึ่งตามเจตนารมณ์ของกฎหมายฉบับนี้ ไม่อาจถือว่าผู้ถูกลงโทษทางวินัยที่ได้รับการล้างมลทินไปแล้ว
เป็นผู้บกพร่องในศีลธรรมอันดีจนเป็นที่รังเกียจของสังคม อันจะมีผลให้เป็นผู้ขาดคุณสมบัติทั่วไป
ที่จะเข้ารับราชการเป็นข้าราชการพลเรือน ซึ่งแตกต่างจากเหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติล้างมลทิน
ในวโรกาสท่ีพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมีพระชนมพรรษา ๘๐ พรรษา พ.ศ.๒๕๕๐
ที่ระบวุ ่า “สมควรลา้ งมลทนิ ใหแ้ กผ่ ตู้ ้องโทษ...ผถู้ กู ลงโทษทางวินัย...ให้ผู้น้ันไม่ต้องถูกพิจารณาเพิ่มโทษในกรณีน้ัน ๆ
ต่อไป” ทาให้การที่ นาย ก. ได้รับการล้างมลทินตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว มีผลทางกฎหมาย

114

เพยี งว่า เปน็ ผไู้ มเ่ คยได้รับโทษทางวินยั เท่านน้ั กลา่ วคอื นาย ถ. ไม่เปน็ ผ้ขู าดคณุ สมบัติท่ัวไปตามมาตรา ๓๖ ก.
(๑๐) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ แต่อย่างไรก็ดี กฎหมายฉบับน้ี
ล้างเฉพาะโทษทางวินัย ไม่ได้ล้างการกระทาอันเป็นเหตุให้ถูกลงโทษ ผู้บังคับบัญชาซ่ึงมีอานาจสั่งบรรจุ
อาจนาพฤติกรรมที่เคยกระทาผิดวินัยมาวินิจฉัยว่าเป็นการขาดคุณสมบัติท่ัวไปตามมาตรา ๓๖ ข. (๔) ในกรณี
เป็นผู้บกพร่องในศีลธรรมอันดีจนเป็นที่รังเกียจของสังคมได้ ดังนั้นกรณีของ นาย ถ ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอานาจ
สั่งบรรจุยังอาจยกเอาเหตุว่าการกระทาอันเป็นเหตุให้ถูกลงโทษไล่ออกจากราชการน้ันถือว่าเป็นผู้บกพร่อง
ในศีลธรรมอันดีจนเป็นท่ีรังเกียจของสังคมหรือไม่ มาประกอบในการพิจารณารับหรือไม่รับกลับเข้ารับราชการได้
โดยดาเนินการตามระเบยี บ ก.พ. ว่าด้วยการขอยกเว้นให้เข้ารับราชการกรณีมีลักษณะต้องห้ามเป็นข้าราชการ
พลเรอื น พ.ศ. ๒๕๕๒

อน่ึง หากเป็นกรณีที่ นาย ก. ได้รับการยกเว้นกรณีท่ีมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๓๖
แหง่ พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรอื น พ.ศ. ๒๕๕๑ การดาเนินการบรรจุ นาย ถ. กลับเข้ารับราชการ
ต้องปฏิบัติตามมาตรา ๖๕ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ ประกอบหนังสือ
สานักงาน ก.พ. ท่ี นร ๑๐๐๖/ว ๓๗ ลงวันที่ ๒9 กันยายน ๒๕๕๓ เรื่องการบรรจุพนักงานส่วนท้องถ่ินและ
ข้าราชการทีไ่ มใ่ ชข่ ้าราชการพลเรือนสามัญกลับเข้ารับราชการเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ เนื่องจาก นาย ถ.
เป็นข้าราชการพลเรือนสามัญตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ ศ. ๒๕๓๕ ซ่ึงถูกระบุไว้
ในบัญชีรายช่ือพนักงานส่วนท้องถ่ินและข้าราชการท่ีไม่ใช่ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตามพระราชบัญญัติ
ระเบยี บขา้ ราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ ตามสิง่ ทีส่ ง่ มาด้วย ๑ ของหนงั สอื เวียนสานกั งาน ก.พ. ฉบับดังกล่าว

จึงเรียนมาเพือ่ โปรดทราบ

ขอแสดงความนับถอื

ปรชี า นิศารตั น์
(นายปรีชา นศิ ารตั น์)
ทปี่ รึกษาระบบราชการ
รักษาราชการแทนรองเลขาธิการ ก.พ.
ปฏบิ ตั ิราชการแทนเลขาธกิ าร ก.พ.

สานกั มาตรฐานวนิ ัย
โทร. 0 2547 1631
โทรสาร 0 2547 1630

115

ท่ี นร ๑๐๑1/ล ๒78 สานกั งาน ก.พ.
ถนนพษิ ณุโลก กทม. 90100

๒๓ มิถุนายน ๒๕๕๔

เร่ือง หารืออานาจในการดาเนนิ การทางวนิ ยั ข้าราชการ

เรยี น ปลัดกระทรวงแรงงาน

อ้างถงึ หนงั สือกระทรวงแรงงาน ลับ ด่วนทสี่ ุด ที่ รง ๐๒๐๑.๕/๐๒๙ ลงวนั ที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๕๔

ส่งิ ทีส่ ่งมาด้วย สาเนาหนังสือสานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ท่ี นร ๐9๐๑/0444
ลงวนั ท่ี ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๕๒ รวม ๗ แผน่

ตามหนังสือที่อ้างถึง กระทรวงแรงงานได้หารือโดยแจ้งข้อเท็จจริงว่า สานักงานปลัด
กระทรวงแรงงานได้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรงแก่นาย ส. กรณีเม่ือครั้งดารงตาแหน่ง
แรงงานและสวัสดิการจังหวัด (เจ้าหน้าที่วิเคราะห์นโยบายและแผน ๘) สานักงานแรงงานและสวัสดิการ
จังหวัดเชียงราย สานักงานตรวจเงินแผ่นดินภูมิภาคท่ี 8 จังหวัดเชียงใหม่ ได้ตรวจสอบสืบสวนเร่ืองการจ้าง
ก่อสร้างอาคารที่ทาการสานักงานแรงงานและสวัสดิการจังหวัดเชียงราย ปรากฏว่าผู้รับจ้างได้ขอเปลี่ยนแปลง
เสาเข็มอาคารท่ีทาการสานักงานแรงงานและสวัสดิการจังหวัดเชียงราย โดยผู้รับจ้างยินยอมให้ปรับลดค่าจ้าง
ซ่ึงจังหวัดเชียงรายได้เปลี่ยนแปลงและปรับลดค่าจ้างไปแล้ว ต่อมาในวันที่ผู้รับจ้างส่งมอบงานตามสัญญา
งวดสุดท้าย ผู้ควบคุมงาน ได้มีหนังสือเสนอผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายเพ่ือให้พิจารณาปรับลดค่าเสาเข็มอีก
แต่นาย ส. ในฐานะหัวหน้าส่วนราชการมีหน้าที่รับผิดชอบในการดาเนินการเก่ียวกับการจ้างดังกล่าว
ไมด่ าเนินการเสนอผวู้ ่าราชการจงั หวดั เชยี งรายเพ่ือพิจารณาปรับลดค่าเสาเข็มตามอานาจหน้าท่ีก่อนที่จะมีการ
จา่ ยเงนิ ค่าจา้ งงวดสุดทา้ ย ทาใหท้ างราชการไดร้ ับความเสยี หายเป็นเงนิ 895,494.๗๐ บาท

ปลัดกระทรวงแรงงานพิจารณาผลการสอบสวนแล้ว ได้สั่งยุติเร่ืองในกรณีดังกล่าวเม่ือวันท่ี
๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๗ และได้รายงานการดาเนินการทางวินัยไปยัง อ.ก.พ. กระทรวงแรงงาน ซ่ึง อ.ก.พ.
พจิ ารณาแล้วมีมติว่าไม่เห็นชอบด้วยท่ีจะยุติเร่ืองในประเด็นการปรับลดค่าเสาเข็มดังกล่าวเน่ืองจากเป็นเรื่องท่ี
สานักงาน ป.ป.ช. กาลังดาเนินการสืบสวนเพ่ือดาเนินคดีอาญากับนาย ส. เห็นควรให้คณะกรรมการสอบสวน
วินัยอย่างร้ายแรงที่จะแต่งตั้งเพื่อสอบสวนนาย ก. และนาย บ. ผู้ควบคุมงาน ได้สอบสวนเพื่อให้ปรากฏ
ข้อเท็จจริงว่านาย ส. มีส่วนรู้เห็นเกี่ยวกับการขอปรับลดเงินค่าเสาเข็มท่ีผู้ควบคุมงานนาเรื่องเสนอต่อผู้ว่าจ้าง
ให้หักเงินค่าจ้างงวดสุดท้ายหรือไม่ หากการสอบสวนปรากฏว่ามีส่วนเกี่ยวข้องก็ให้รายงานปลัดกระทรวง
แรงงานเพื่อพิจารณาส่ังการต่อไป ต่อมาเมื่อวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ สานักงาน ป.ป.ช. ได้มีหนังสือ
แจ้งให้ปลัดกระทรวงแรงงานพิจารณาโทษทางวินัยแก่นาย ส. ตามมติคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในกรณีเดียวกันอีก
กระทรวงแรงงานจึงหารือว่าในกรณีนี้นาย ส. ได้รับการล้างมลทินตามพระราชบัญญัติล้างมลทิน ในวโรกาสที่

116

พระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหาภูมพิ ลอดุลยเดชมีพระชนมพรรษา ๘๐ พรรษา พ.ศ. ๒๕๕๐ หรือไม่ อย่างไร
และปลัดกระทรวงแรงงานซ่ึงเป็นผู้บังคับบัญชาผู้มีอานาจส่ังบรรจุและแต่งต้ังจะต้องดาเนินการต่อไปอย่างไร
ความละเอียดแจง้ แล้ว นัน้

สานักงาน ก.พ. ขอเรียนว่า คณะกรรมการกฤษฎีกา (ท่ีประชุมร่วมกรรมการกฤษฎีกาคณะท่ี ๑
คณะที่ ๒ และคณะที่ 1๑) ได้วินิจฉัยในประเด็นดังกล่าวไว้ว่า “การที่ผู้บังคับบัญชาได้ดาเนินการทางวินัย
แกข่ ้าราชการผ้ใู ตบ้ ังคับบัญชาและมีคาสง่ั ... ให้ยุติเร่ืองหรืองดโทษ ก่อนหรือในวันที่พระราชบัญญัติล้างมลทิน
ในวโรกาสท่ีพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมีพระชนมพรรษา ๘๐ พรรษา พ.ศ. ๒๕๕๐
มีผลใช้บังคับ ผู้นั้นย่อมได้รับประโยชน์จากการล้างมลทินเพราะเป็นไปตามเง่ือนไขท่ีบัญญัติไว้ในมาตรา ๖
แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว ซึ่งมีผลให้ผู้นั้นไม่ต้องถูกเพ่ิมโทษหรือถูกดาเนินการทางวินัยในกรณีนั้นๆ ต่อไป
อันเป็นผลท่ีกฎหมายรองรับไว้ ดังน้ัน แม้ว่าคณะกรรมการ ป.ป.ช. จะมีมติว่าเป็นการกระทาความผิดวินัย
อย่างร้ายแรง ตามมาตรา 92 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปราม
การทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่เม่ือผู้น้ันได้รับการล้างมลทินตามมาตรา ๖ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวไปแล้ว
ผู้บังคับบัญชาจึงไม่สามารถดาเนินการทางวินัยแก่ผู้นั้นได้อีกต่อไป” ดังนั้น เมื่อปลัดกระทรวงแรงงาน
ได้สอบสวนและส่งั ยุตเิ รื่องการดาเนินการทางวินัยนาย ส. ในวันท่ี ๑๘ กุมภาพนั ธ์ ๒๕๔๗ ซงึ่ เปน็ การส่ังยุติเรื่อง
ก่อนวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๐ นาย ส. ย่อมได้รับประโยชน์จากมาตรา ๖ แห่งพระราชบัญญัติล้างมลทิน
ในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมีพระชนมพรรษา ๘๐ พรรษา พ.ศ. ๒๕๕๐
และไม่ต้องถูกเพิ่มโทษหรือถูกดาเนินการทางวินัยในกรณีน้ัน ๆ ต่อไป ท้ังน้ี ตามคาวินิจฉัยของคณะกรรมการ
กฤษฎกี าดังกลา่ ว รายละเอยี ดปรากฏตามสิง่ ที่ส่งมาดว้ ย

จงึ เรียนมาเพอ่ื โปรดทราบ

ขอแสดงความนบั ถอื

ปรีชา นศิ ารตั น์
(นายปรชี า นิศารัตน)์
รองเลขาธิการ ก.พ.
ปฏิบตั ิราชการแทนเลขาธิการ ก.พ.

สานกั มาตรฐานวินยั
โทร. 0 2547 1631
โทรสาร 0 2547 1630

117

ที่ นร ๑๐11/ล 392 สานกั งาน ก.พ.
ถนนพิษณุโลก กทม. 10300

4 ตุลาคม ๒๕๕4

เรื่อง หารือเก่ียวกับคณุ สมบตั ิของผ้ทู ่จี ะเขา้ รับราชการเปน็ ข้าราชการพลเรอื น

เรยี น อธบิ ดกี รมพนิ ิจและค้มุ ครองเดก็ และเยาวชน

อ้างถงึ หนังสือกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน ลับ ด่วนที่สุด ท่ี ยธ ๐6๐๑/316 ลงวันที่ ๒๒ สิงหาคม
๒๕๕๔

สง่ิ ท่ีส่งมาด้วย บันทึกสานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่องเสร็จท่ี ๑๖/๒๕๕๔ เรื่องการบรรจุข้าราชการ
ซึ่งถูกคาสั่งไล่ออกกลับเข้ารับราชการในกรณีที่พระราชบัญญัติล้างมลทินในวโรกาสที่
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมีพระชนมพรรษา ๘๐
พรรษา พ.ศ. ๒๕๕๐ ประกาศใช้บังคับ ซ่ึงต่อมาศาลปกครองกลางมีคาพิพากษาให้เพิกถอน
คาสั่งลงโทษ

ตามหนังสือท่ีอ้างถึง กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนได้หารือไปยังสานักงาน ก.พ.
ในกรณีตรวจสอบพบว่า นาย ก. ซ่ึงเป็นผู้สอบผ่านภาคความรู้ความสามารถท่ีใช้เฉพาะตาแหน่ง (ภาค ข.)
และมีสิทธิเข้ารับการประเมินภาคความเหมาะสมกับตาแหน่ง (ภาค ค.) เพื่อบรรจุเข้ารับราชการในตาแหน่ง
นักวิชาการอบรมและฝึกวิชาชีพปฏิบัติการ กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน เคยถูกลงโทษไล่ออก
จากราชการ ฐานทจุ รติ ตอ่ หนา้ ทีร่ าชการ ฐานจงใจไมป่ ฏบิ ัติตามระเบียบของทางราชการอันเป็นเหตุให้เสียหาย
แก่ราชการอย่างร้ายแรง และฐานกระทาการอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ตามมาตรา ๘๒ วรรคสาม
มาตรา ๘๕ วรรคสอง และมาตรา 98 วรรคสองแห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕
กรณีอาศัยโอกาสท่ีได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ครูเวร รับฝากเงินและส่ิงของจากเด็กและเยาวชน
แล้วไม่บันทึกรายการรับฝากลงในสมุตรับฝากเงินและสิ่งของของเด็กไว้เป็นหลักฐาน รวมทั้งไม่ส่งมอบเงินสด
ให้กับเจ้าหน้าที่การเงินในวันรุ่งขึ้น รวม ๑๗ ราย โดยมีเจตนาทุจริตเบียดบังเงินสดดังกล่าวไว้เป็นประโยชน์
ส่วนตน โดยนาย ก. ได้อุทธรณ์คาสั่งลงโทษทางวินัยต่อ ก.พ. และยื่นฟ้องอธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็ก
และเยาวชนต่อศาลปกครองกลาง ซึ่ง ก.พ. พิจารณาอุทธรณ์แล้วมีคาส่ังยกอุทธรณ์ และศาลปกครองกลาง
พิพากษายกฟ้อง นาย ก. จึงได้อุทธรณ์คาพิพากษาของศาลปกครองกลางต่อศาลปกครองสูงสุด กรมพินิจ
และคุ้มครองเด็กและเยาวชนจึงขอหารือเก่ียวกับคุณสมบัติ และลักษณะต้องห้ามท่ีจะเข้ารับราชการของ
บุคคลดังกลา่ ว จานวน ๓ ขอ้ ความละเอยี ดแจง้ แล้ว นน้ั

สานกั งาน ก.พ. พิจารณาแล้ว มคี วามเหน็ ดงั นี้
ข้อหารือที่ ๑ ที่ว่า การท่ีนาย ก. ซ่ึงเคยถูกลงโทษไล่ออกจากราชการเพราะกระทาผิดวินัย
ตามพระราชบัญญัติระเบียบขา้ ราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ และได้อทุ ธรณค์ าพิพากษาของศาลปกครองกลาง
ต่อศาลปกครองสูงสุดเพ่ือเพิกถอนคาส่ังลงโทษไล่ออกจากราชการ ซึ่งขณะนี้คดีอยู่ระหว่างการพิจารณา จะได้รับ

118

การล้างมลทินตามพระราชบัญญัติล้างมลทินในวโรกาสท่ีพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
มีพระชนมพรรษา ๘๐ พรรษา พ.ศ. ๒๕๕๐ หรอื ไม่

สานักงาน ก.พ. ขอเรียนว่า เมื่อนาย ก. ได้กระทาความผิดและถูกลงโทษไล่ออกจากราชการ
ไปก่อนวันท่ี ๕ ธันวาคม ๒๕๕๐ นาย ก. จึงได้รับล้างมลทินตามพระราชบัญญัติ ล้างมลทินฯ ดังกล่าวแล้ว
การท่ีนาย ก. จะฟ้องคดีไปยังศาลปกครอง และขณะนี้การดาเนินการอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลปกครอง
สูงสุดก็ตาม การดาเนินการนี้ก็หามีผลกระทบต่อการล้างมลทินที่มีผลสมบูรณ์ไปแล้วแต่อย่างใดไม่ ท้ังน้ี
เปน็ ไปตามความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎกี า (รายละเอยี ดปรากฏตามส่งิ ท่ีสง่ มาดว้ ย)

ขอ้ หารอื ที่ ๒ ที่ว่า หากนาย ก. ได้รับการล้างมลทินดังกล่าว การท่ีผู้น้ีเคยกระทาผิดวินัยกรณี
ที่เก่ียวกับการปฏิบัติหน้าท่ีในการควบคุม ดูแลและการฝึกอบรมเด็กหรือเยาวชน ในขณะที่เคยรับราชการ
ในตาแหน่งเดียวกันนี้ในหน่วยงานกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน จะถือว่าผู้น้ีมีลักษณะต้องห้าม
ตามความในมาตรา ๓๖ ข. (๔) ของพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ โดยเป็นผู้บกพร่อง
ในศลี ธรรมอันดีจนเป็นที่รังเกยี จของสงั คม หรอื ไม่

สานักงาน ก.พ. ขอเรียนว่า การประกาศใช้พระราชบัญญัติล้างมลทินในวโรกาสที่พระบาท
สมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมีพระชนมพรรษา ๘๐ พรรษา พ ศ. ๒๕๕๐ ที่ระบุว่า “สมควร
ล้างมลทินให้แก่ผู้ต้องโทษ...ผู้ถูกลงโทษทางวินัย...ให้ผู้นั้นไม่ต้องถูกพิจารณาเพิ่มโทษ.ในกรณีน้ัน ๆ ต่อไป”
มีผลทางกฎหมายเพียงว่าเป็นผู้ไม่เคยได้รับโทษทางวินัยเท่าน้ัน กรณีเป็นเพียงการล้างเฉพาะโทษทางวินัย
ไม่ได้ล้างการกระทาอันเป็นเหตุให้ถูกลงโทษ ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอานาจส่ังบรรจุ ตามมาตรา ๕๗
แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ อาจนาพฤติกรรมที่ข้าราชการผู้นั้นเคยกระทาผิดวินัย
มาวินิจฉัยว่า เป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามตามความในมาตรา ๓๖ ข. (๔) โดยเป็นผู้บกพร่องในศีลธรรมอันดี
จนเปน็ ท่ีรังเกียจของสังคมได้

ข้อหารือที่ ๓ ที่ว่า นาย ก. เป็นผู้มีคุณสมบัติที่จะเข้ารับราชการ และไม่มีลักษณะต้องห้าม
ตามความในมาตรา ๓๖ ของพระราชบญั ญัติระเบยี บข้าราชการพลเรอื น พ.ศ. ๒๕๕๑ หรอื ไม่

สานักงาน ก พ. ขอเรียนว่า เรื่องนี้เป็นเร่ืองการใช้ดุลพินิจของผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอานาจ
สั่งบรรจุตามมาตรา ๕๗ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ ว่าพฤติกรรมการ
กระทาผิดวนิ ัยในครง้ั ก่อนของนาย ก. เป็นผบู้ กพรอ่ งในศลี ธรรมอนั ดีจนเป็นที่รังเกยี จของสงั คมหรอื ไม่

จงึ เรียนมาเพื่อโปรดทราบ ขอแสดงความนับถือ
ปรีชา นิศารตั น์
สานักมาตรฐานวินยั
โทร. 0 2547 1631 (นายปรีชา นิศารตั น์)
โทรสาร 0 2547 1630 รองเลขาธกิ าร ก.พ.
ปฏบิ ัติราชการแทนเลขาธิการ ก.พ.

119

ที่ นร ๑๐1๑/ล ๘ สานักงาน ก.พ.
ถนนพษิ ณโุ ลก กทม. ๑๐๓๐๐

๒๐ มกราคม ๒๕๕๕

เรอ่ื ง หารอื การดาเนินการทางวินยั

เรียน ผวู้ า่ การตรวจเงินแผน่ ดนิ

อ้างถึง หนังสือสานักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ลับ ที่ ตผ 000๔/๑ ลงวันท่ี ๑๑ มกราคม ๒๕๕๓ ลับ ด่วน
ท่ี ตผ 000๔/๑๕๘ ลงวันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ และ ลับ ด่วน ที่ ตผ ๐๐๐๔/๑๘๕ ลงวันที่
๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๔

ตามหนังสือท่ีอ้างถึง สานักงานการตรวจเงินแผ่นดินหารือปัญหาเกี่ยวกับการดาเนินการ
ทางวนิ ยั กรณีท่สี านักงาน ก.พ. ได้ตอบข้อหารือของกรมสรรพสามิตเกี่ยวกับการดาเนินการทางวินัยกับนาง ย. ว่า
กรมสรรพสามิตได้ดาเนินการทางวินัยอย่างไม่ร้ายแรงกับนาง ย. กรณีการรับและนาส่งเงินไม่เป็นไปตาม
ระเบยี บว่าดว้ ยวธิ ีการนาเงินสง่ คลัง พ.ศ. ๒๕๒๐ และการจัดทาบัญชีต่าง ๆ ไม่เป็นปัจจุบัน และมีคาส่ังลงโทษ
ตัดเงินเดือนไปแล้ว นาง ย. จึงได้รับการล้างมลทินตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติล้างมลทินในวโรกาส
ท่ีพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมีพระชนมพรรษา ๘๐ พรรษา พ.ศ. ๒๕๕๐ ต่อมา
สานักงานการตรวจเงินแผ่นดินภูมภิ าคท่ี 1๓ (จังหวัดสุราษฎร์ธานี) แจ้งให้กรมสรรพสามิตดาเนินการทางวินัย
อย่างร้ายแรงกับ นาง ย. ในเร่ืองเดียวกันอีก กรมสรรพสามิตจึงไม่อาจดาเนินการทางวินัยกับนางย. ได้ น้ัน
สานักงานการตรวจเงินแผ่นดินเห็นว่า กรณีท่ีกรมสรรพสามิตลงโทษทางวินัยกับนาง ย เม่ือวันที่ ๑๔
พฤศจิกายน ๒๕๕๐ นั้น เป็นการตรวจสอบการปฏิบัติหน้าท่ีของนาง ย. เฉพาะในเดือนมีนาคมถึงเดือน
เมษายน ๒๕4๙ โดยพบว่านาง ย. รับและนาส่งเงินไม่เป็นไปตามระเบียบว่าด้วยวิธีการนาเงินส่งคลัง
พ.ศ. ๒๕๒๐ และจัดทาบัญชีต่างๆ ไม่เป็นปัจจุบัน แต่สาหรับกรณีที่สานักงานการตรวจเงินแผ่นดินภูมิภาค
ที่ ๑๓ (จงั หวัดสุราษฎร์ธานี) ได้แจ้งให้กรมสรรพสามิตดาเนินการทางวินัยอย่างร้ายแรงกับนาง ย. ในภายหลัง
นั้น เป็นมูลกรณีท่ีนาง ย. ได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชาให้ทาหน้าท่ีรับและนาเงินส่งคลัง เมื่อรับเงินมาแล้ว
ขณะที่ยังไม่นาเงินส่งคลังย่อมมีหน้าที่รักษาเงินด้วย แต่นาง ย. ได้นาเงินไปใช้ส่วนตัวแล้วจัดทา
รายการเงินคงเหลือประจาวันเสนอต่อคณะกรรมการเก็บรักษาเงิน และรายงานการรับและนาส่งหรือนาฝาก
เงินเป็นเท็จต่อผู้บงั คบั บัญชาวา่ ไดน้ าเงินฝากธนาคารและนาส่งคลังครบถ้วน ซ่ึงเป็นความผิดตามนัยกฎหมายอาญา
และเป็นความผิดสาเร็จในแต่ละครั้งท่ีได้กระทาความผิด กรณีดังกล่าวจึงเป็นการกระทาผิดวินัยอย่างร้ายแรง
ตามมาตรา ๘๕ และมาตรา ๙๐ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕35 การปฏิบัติหน้าที่
โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายของนาง ย. ในระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕4๘ ถึงเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕49 จึงไม่ใช่มูล

120

กรณีเดียวกันกับที่กรมสรรพสามิตได้ลงโทษทางวินัยนาง ย. ไปแล้ว ดังน้ัน จึงไม่ตกอยู่ในบังคับแห่งพระราชบัญญัติ
ล้างมลทินในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระชนมพรรษา ๘๐ พรรษา
พ.ศ. ๒๕๕๐ สานักงานการตรวจเงินแผ่นดินจึงหารือว่า กรมสรรพสามิตจะต้อง ดาเนินการทางวินัยกับนาง ย.
ตามทสี่ านกั งานการตรวจเงินแผ่นดินภูมิภาคที่ ๑๓ (จังหวัดสุราษฎร์ธานี) แจ้งให้ดาเนินการใช่หรือไม่ อย่างไร
ความละเอียดแจ้งแลว้ นัน้

ก.พ. พิจารณาแล้วเห็นว่า กรมสรรพสามิตได้ตรวจสอบการปฏิบัติงานของนาง ย. ตั้งแต่
เดือนตุลาคม ๒๕4๘ ถึงเดือนเมษายน ๒๕4๙ และพบว่าในระหว่างเดือนมีนาคม ๒๕4๙ ถึงเดือนเมษายน
๒๕4๙ นาง ย. ได้รับและนาส่งเงินรายได้แผ่นดินล่าช้าไม่เป็นไปตามระเบียบของทางราชการ และจัดทาบัญชีต่างๆ
ไม่ถูกต้องเป็นปัจจุบัน จึงได้ดาเนินการทางวินัยอย่างไม่ร้ายแรงกับนาง ย. ในกรณีรับและนาส่งเงินรายได้
แผ่นดินไม่เป็นไปตามระเบียบว่าด้วยวิธีการนาเงินส่งคลัง พ.ศ. ๒๕๒๐ และจัดทาบัญชีต่างๆ ในเดือนมีนาคม
๒๕49 ถึงเดือนเมษายน ๒๕๔9 ไม่ถูกต้องเป็นปัจจุบัน และมีคาส่ังลงโทษตัดเงินเดือน ๕ % เป็นเวลา
๓ เดือน ต้ังแต่วันท่ี 14 พฤศจิกายน ๒๕๕๐ โดย นาง ย. ได้รับการล้างมลทินตามพระราชบัญญัติ
ล้างมลทินในวโรกาสท่ีพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมีพระชนมพรรษ ๘๐ พรรษา
พ.ศ. ๒๕๕๐ ไปแล้ว ดังนั้น การที่สานักงานการตรวจเงินแผ่นดินภูมิภาคที่ ๑๓ (จังหวัดสุราษฎร์ธานี)
ชี้มูลความผิดให้กรมสรรพสามิตดาเนินการทางวินัยอย่างร้ายแรงกับนาง ย. ในกรณีได้รับเงินค่าธรรมเนียม
ใบอนุญาต ภาษี ค่าปรับ และอ่ืนๆ จากงานจัดเก็บภาษีเพ่ือนาส่งคลังแต่กลับนาไปหมุนใช้ส่วนตัว และจัดทา
รายงานการรับและนาส่งหรือนาฝากเงินเป็นเท็จในระหว่างวันที่ 3 ตุลาคม ๒๕4๘ ถึงวันท่ี ๒๑ มีนาคม
๒๕49 จึงเป็นมูลกรณีเดียวกันกับกรณีที่กรมสรรพสามิตได้ดาเนินการทางวินัยกับนาง ย. ไปแล้วและได้รับ
การล้างมลทิน กรมสรรพสามิตจึงไม่อาจดาเนินการทางวินัยกับนาง ย. ตามท่ีสานักงานการตรวจเงินแผ่นดิน
ภูมิภาคที่ ๑๓ (จังหวดั สุราษฎรธ์ านี) ชมี้ ูลความผิดไดอ้ กี

จึงเรียนมาเพอ่ื โปรดทราบ

ขอแสดงความนบั ถอื
พันธเุ์ รือง พนั ธุหงส์
(นายพนั ธุ์เรือง พนั ธุหงส)์
รองเลขาธกิ าร ก.พ.
ปฏบิ ตั ิราชการแทนเลขาธิการ ก.พ.

สานักมาตรฐานวินัย
โทร. 0 2547 1631
โทรสาร 0 2547 1630

121

ท่ี นร ๑๐๑1/ล ๑๘๘ สานักงาน ก.พ.
ถนนพษิ ณโุ ลก กทม. ๑๐๓๐๐

๒๘ กมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๕๑

เรอ่ื ง หารอื ข้อกฎหมาย

เรยี น ปลัดสานกั นายกรัฐมนตรี

อา้ งถึง หนังสอื สานักนายกรฐั มนตรี ลบั ดว่ นที่สุด ท่ี นร ๐๑๐๖/๑๘ ลงวนั ที่ ๗ กุมภาพนั ธ์ ๒๕๕๑

ตามหนังสือที่อ้างถึง หารือข้อกฎหมายโดยแจ้งข้อเท็จจริงว่า พระราชบัญญัติระเบียบ
ข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ ได้มีผลบังคับใช้ต้ังแต่วันท่ี ๒๖ มกราคม ๒๕๕๑ ซึ่งพระราชบัญญัติ
ดังกล่าวกาหนดให้คณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม (ก.พ.ค.) หรือผู้บังคับบัญชาชั้นเหนือขึ้นไป
เป็นผู้พิจารณาเร่ืองอุทธรณ์ร้องทุกข์ของข้าราชการพลเรือน แล้วแต่กรณี โดยมิได้กาหนดให้นายกรัฐมนตรี
เป็นผู้มีอานาจส่ังพิจารณาสั่งการในเร่ืองอุทธรณ์และร้องทุกข์ของข้าราชการพลเรือนอีกต่อไป ประกอบกับ
การพิจารณาอุทธรณ์บางกรณี ก.พ. ได้พิจารณาลดระดับการลงโทษซึ่งไม่สอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรี
ท่ีเก่ียวข้องกับการกระทาผิดฐานทุจริตต่อหน้าท่ีราชการ และไม่ปรากฏเป็นข้อพิจารณาไว้ในสานวนอุทธรณ์
แต่อย่างใด สานักงานปลดั นายกรฐั มนตรีจึงหารอื ไปยงั สานกั งาน ก.พ. รวม ๒ ขอ้ ความละเอียดแจง้ แลว้ น้ัน

ก.พ. ได้พจิ ารณาแลว้ มีความเหน็ ดงั นี้
๑. ข้อที่หารือว่า อานาจในการส่ังการของนายกรัฐมนตรีเร่ืองอุทธรณ์และร้องทุกข์ใน
ขณะนี้ จะสามารถสั่งการได้หรือไม่ อย่างไร และดว้ ยเหตุผลใด นัน้
ก.พ. เห็นวา่ โดยท่มี าตรา ๑๓๑ แหง่ พระราชบัญญตั ริ ะเบยี บข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑
บัญญัติว่า ในระหว่างที่ ก.พ. ยังมิได้จัดทามาตรฐานกาหนดตาแหน่งตามมาตรา ๔๘ บทบัญญัติในลักษณะ ๔
ข้าราชการพลเรือน และลักษณะ ๕ ข้าราชการพลเรือนในพระองค์ยังไม่ใช้บังคับ โดยให้นาบทบัญญัติในลักษณะ ๓
ข้าราชการพลเรือนสามัญ และลักษณะ ๔ ข้าราชการพลเรือนในพระองค์ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการ
พลเรอื น พ.ศ. ๒๕๓๕ มาใช้บงั คบั แก่ข้าราชการพลเรือนและข้าราชการพลเรือนในพระองค์ไปพลางก่อนจนกว่า ก.พ.
จะจัดทามาตรฐานกาหนดตาแหน่งเสร็จและจัดตาแหน่งข้าราชการพลเรือนสามัญของทุกส่วนราชการเข้าประเภท
ตาแหนง่ สายงาน และระดบั ตาแหนง่ ตามมาตรฐานกาหนดตาแหน่ง และประกาศให้ทราบ จึงให้นาบทบัญญัติ
ในลักษณะ ๔ ข้าราชการพลเรือนสามัญ และลักษณะ ๕ ข้าราชการพลเรือนในพระองค์ แห่งพระราชบัญญัติ
ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ มาใช้บังคับต้ังแต่วันที่ ก.พ.ประกาศเป็นต้นไป ดังน้ันนายกรัฐมนตรี
จึงมีอานาจพิจารณาสั่งการเร่ืองอุทธรณ์และร้องทุกข์ได้ตามมาตรา ๑๓๑ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการ
พลเรอื น พ.ศ. ๒๕๕๑ และมาตรา ๑๒๖ แห่งพระราชบญั ญัตริ ะเบยี บขา้ ราชการพลเรอื น พ.ศ. ๒๕๓๕

122

๒. ขอ้ หารือที่วา่ ศาลรฐั ธรรมนูญได้วินิจฉัยว่าองค์กรท่ีมีอานาจพิจารณาอุทธรณ์จะพิจารณา
เปล่ียนแปลงฐานความผิดทางวินัยท่ีคณะกรรมการ ป.ป.ช. วินิจฉัยไม่ได้ พิจารณาได้เฉพาะระดับโทษเท่าน้ัน
เม่ือองค์กรที่มีอานาจพิจารณาอุทธรณ์พิจารณาแล้วเห็นว่าการกระทาของผู้อุทธรณ์ไม่เป็นความผิดตามที่
คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้วินิจฉัยไว้ แต่เนื่องจากคณะรัฐมนตรีได้มีมติแจ้งตามหนังสือสานักเลขาธิการ
คณะรัฐมนตรี ท่ี นร ๐๒๐๕/ว ๒๓๔ ลงวันท่ี ๒๔ ธันวาคม ๒๕๓๖ ว่าการลงโทษผู้กระทาผิดวินัยฐานทุจริต
ต่อหน้าท่ีราชการควรลงโทษเป็นไล่ออกจากราชการ ดังนั้น องค์กรท่ีมีอานาจพิจารณาอุทธรณ์จะกาหนด
ระดับโทษเป็นเพียงปลดออกจากราชการในความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ราชการ ทั้งที่คณะรัฐมนตรีได้วาง
แนวทางการลงโทษให้ไล่ออกจากราชการเท่านนั้ ได้หรอื ไม่ อย่างไร และดว้ ยเหตุผลใด น้ัน

ก.พ. เหน็ วา่ ความผิดทางวนิ ยั ท่ีคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไต่สวนและวินิจฉัยว่าเจ้าหน้าท่ีของรัฐ
กระทาผดิ วินัยฐานทจุ รติ ตอ่ หนา้ ทีร่ าชการน้ัน ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคาวินิจฉัยว่า องค์กรท่ีมีอานาจพิจารณาอุทธรณ์
ไม่อาจพิจารณาเปล่ียนแปลงฐานความผิดทางวินัยตามท่ี คณะกรรมการ ป.ป.ช. วินิจฉัยยุติแล้วให้เป็นประการอ่ืน
ได้อีก ซ่ึงแสดงว่าองค์กรที่มีอานาจพิจารณาอุทธรณ์จะพิจารณาได้เฉพาะดุลพินิจในการส่ังลงโทษตามมาตรา ๙๖
แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ ที่บัญญัติให้
ผู้ถูกกล่าวหาที่ถูกลงโทษตามมาตรา ๙๓ จะใช้สิทธิอุทธรณ์ดุลพินิจในการสั่งลงโทษของผู้บังคับบัญชา
ตามกฎหมาย ระเบียบ หรือข้อบังคับว่าด้วยการบริหารงานบุคคลสาหรับผู้ถูกกล่าวหาน้ัน ๆ ก็ได้ ดังน้ันเม่ือ
ผู้ถูกลงโทษใช้สิทธิ์อุทธรณ์ดุลพินิจในการสั่งลงโทษของผู้บังคับบัญชาที่สั่งตามมติคณะกรรมการ ป.ป.ช. แล้ว
องค์กรที่มีอานาจพิจารณาอุทธรณ์ ย่อมมีอานาจพิจารณาดุลพินิจในการส่ังลงโทษได้ ถ้าองค์กรท่ีมีอานาจพิจารณา
อทุ ธรณ์ไม่มีอานาจพิจารณาดุลพินิจในการส่ังลงโทษ บทบัญญัติมาตราน้ีก็จะไม่เกิดผลในทางปฏิบัติและไม่เป็นธรรม
แก่ผู้ลงโทษ นอกจากน้ันพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญดังกล่าว ประกาศใช้ภายหลังมติคณะรัฐมนตรี
(แจ้งตามหนังสือสานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ที่ นร ๐๒๐๕/ว ๒๓๔ ลงวันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๓๖) และ
เป็นกฎหมายย่อมอยู่เหนือมติคณะรัฐมนตรี ถึงแม้มติคณะรัฐมนตรีจะได้วางแนวทางการลงโทษในความผิด
ฐานทุจริตต่อหน้าที่ราชการถึงไล่ออกจากราชการก็ตาม ก็เป็นเพียงนโยบายของรัฐบาลที่ใช้ในกรณีปกติท่ัวไป
ท่ีข้อเท็จจริงได้ความแน่ชัดว่า เป็นความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ราชการเท่าน้ัน จึงลงโทษไล่ออกจากราชการ
แต่ในกรณที อี่ งค์กรท่ีมีอานาจพิจารณาอุทธรณ์เห็นว่า การกระทาของผู้อุทธรณ์ไม่ได้ความชัดเจนพอที่จะรับฟังว่า
กระทาผิดวินัย ตามฐานความผิดที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้วินิจฉัย องค์กรที่มีอานาจพิจารณาอุทธรณ์
ก็มีอานาจใช้ดุลพินิจที่จะกาหนดระดับโทษได้ แต่ไม่อาจเปล่ียนแปลงฐานความผิดทางวินัยให้เป็นประการอ่ืน
ได้อีกตามที่ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคาวินิจฉัย และเม่ือต้องถือฐานความผิดตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. วินิจฉัยว่า
เป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง มาตรา ๑๐๔ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕
บัญญัติให้ลงโทษอย่างน้อยปลดออกจากราชการ ดังน้ัน องค์กรที่มีอานาจพิจารณาอุทธรณ์จึงกาหนดระดับโทษ

123

ปลดออกจากราชการได้ ซ่ึงเร่ืองทานองน้ี ก.พ. ได้เคยพิจารณาเรื่องนาย ว. อดีตอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์
สานักนายกรัฐมนตรีและนาย ช. อดีตผู้อานวยการศูนย์สารสนเทศการประชาสัมพันธ์ กรมประชาสัมพันธ์
ได้อุทธรณ์คาสั่งต่อ ก.พ. ในการท่ีถูกปลัดสานักนายกรัฐมนตรีและรองอธิบดีรักษาราชการแทนอธิบดี
กรมประชาสัมพันธ์ ส่ังลงโทษไล่ออกจากราชการตามผลการไต่สวนข้อเท็จจริงและมติของคณะกรรมการ ป.ป.ช.
ซึ่ง ก.พ. เห็นว่า การกระทาของนาย ว. และนาย ช. ไม่เป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง อีกท้ังบุคคล
ทั้งสองไม่เคยกระทาผิดวินัยมาก่อน และเป็นความผิดครั้งแรกรวมทั้งเคยทาคุณงามความดี และทาประโยชน์
แก่ทางราชการ เป็นเหตุอันควรลดหย่อนโทษให้ผู้อุทธรณ์ท้ังสอง ก.พ. จึงลงมติให้รายงานนายกรัฐมนตรี
เพื่อพิจารณาสั่งการให้สานักนายกรัฐมนตรี และกรมประชาสัมพันธ์ดาเนินการสั่งงดโทษนาย ว. และนาย ช.
จากไล่ออกจากราชการ เป็นปลดออกจากราชการตามลาดับ และนายกรัฐมนตรีได้พิจารณาสั่งการให้
ดาเนินการตามมติ ก.พ. จากกรณีดังกล่าว แสดงให้เห็นว่าแม้องค์กรที่มีอานาจพิจารณาอุทธรณ์ไม่สามารถเปลี่ยน
ฐานความผดิ ตามท่ีคณะกรรมการ ป.ป.ช. วินจิ ฉยั แต่กส็ ามารถเปลยี่ นระดับโทษได้

จงึ เรยี นมาเพื่อโปรดทราบ

ขอแสดงความนบั ถือ
(ลงชือ่ ) ทัศนยี ์ ธรรมสทิ ธ์ิ

(นางสาวทัศนยี ์ ธรรมสทิ ธ์ิ)
รองเลขาธกิ าร ก.พ.

รักษาราชการแทนเลขาธิการ ก.พ.

สานักมาตรฐานวนิ ยั
โทร. ๐ ๒๕๕๗ ๑๖๒๘
โทรสาร ๐ ๒๕๔๗ ๑๖๒๕

124

ที่ นร ๑๐๑๑/ล 4๗๔ สานักงาน ก.พ.
ถนนพษิ ณโุ ลก กทม. ๑๐๓๐๐.

๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๒

เรอ่ื ง ขอให้พจิ ารณาโทษทางวินัย

เรียน ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอ้ ม

อา้ งถึง หนงั สอื สานักงานปลดั กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม ลับ ด่วนที่สดุ
ท่ี ทส ๐๒๐๑.๑/๑๗ ลงวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๑ ลับ ด่วนที่สุด ที่ ทส ๐๒๐๑.1/๑๐๔ ลงวันที่
๒๓ กรกฎาคม ๒๕๕๑ และลับ ดว่ นที่สุด ท่ี ทส ๐๒๐๑.๑/๘๕ ลงวันท่ี ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๕๒

ตามหนังสือท่ีอ้างถึง สานักงานปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม แจ้งว่า
ประธานกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีหนังสือ ลับ ท่ี ปช. ๐๐๐๕/สคด./๕๑๓๒ ลงวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๐
เรื่องขอให้พิจารณาโทษทางวินัยอย่างร้ายแรงแก่นาย ก. นักวิชาการป่าไม้ ๘ ว สานักอนุรักษ์สัตว์ป่า
กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช (เกษียณอายุราชการท่ีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช)
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมกระทาความผิดกับนาย ข. ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี
ฝ่ายข้าราชการประจา (นักบริหาร ๑๑) สานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี สานักนายกรัฐมนตรี กรณีร่วมกัน
พิจารณาอนุญาตให้จัดส่งเสือโคร่ง จานวน ๑๐๐ ตัว ไปยังสวนสัตว์สาธารณรัฐ Sanya Maiterr Co., Ltd.
ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจนี และส่ังยตุ ิเร่อื ง ต่อมาพระราชบัญญัติล้างมลทินในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จ
พระปรมนิ ทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมีพระชนมพรรษา ๘๐ พรรษา พ.ศ. ๒๕๕๐ มีผลใช้บังคับแล้ว จึงหารือว่า
กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช สามารถพิจารณาโทษตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติในความผิดวินัย
อย่างร้ายแรงได้หรือไม่ ถ้าสามารถดาเนินการได้ส่วนราชการใดเป็นผู้ส่งเรื่องให้ อ.ก.พ. กระทรวงพิจารณา
และ อ.ก.พ. กระทรวงใดเปน็ ผพู้ จิ ารณาโทษตามมติ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ความละเอียดแจ้งแลว้ น้นั

ก.พ. พิจารณาแล้วเห็นว่า เม่ือนาย ก. ได้รับประโยชน์จากการล้างมลทิน เพราะเป็นไปตาม
เงื่อนไขที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๖ แห่งพระราชบัญญัติล้างมลทินในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทร
มหาภูมิพลอดุลยเดชมีพระชนมพรรษา ๘๐ พรรษา พ.ศ. ๒๕๕๐ แล้ว กรณีของนาย ก. ตามเรื่องนี้ จึงไม่
สามารถนามาดาเนินการทางวินยั ไดอ้ ีก

จึงเรยี นมาเพื่อโปรดทราบ
ขอแสดงความนบั ถือ
สมโภชน์ นพคณุ
(นายสมโภชน์ นพคุณ)

รองเลขาธิการ ก.พ. ปฏบิ ตั ริ าชการ
แทนเลขาธิการ ก.พ.

สานักมาตรฐานวินยั
โทร. ๐ ๒๕๔๗ ๑๖๓๑
โทรสาร ๐ ๒๕๔๗ ๑๖๓๐

125

ท่ี นร ๑๐๑๑/ล ๘๒๗ สานักงาน ก.พ.
ถนนพษิ ณโุ ลก กทม. ๑๐๓๐๐

๒๗ ตลุ าคม ๒๕๕๒

เรือ่ ง หารอื ปญั หาเก่ียวกบั การดาเนินการทางวินัย

เรียน ปลดั กระทรวงการท่องเท่ยี วและกฬี า

อา้ งถึง หนังสอื สานักงานปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ด่วน ท่ี กก ๐๒๐๑/๒๙๗
ลงวันท่ี ๙ กันยายน ๒๕๕๑

สงิ่ ที่สง่ มาดว้ ย สาเนาหนังสือสานกั งานคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่ นร ๐๙๐๑/๐๔๔๔ ลงวันที่ ๑๓
พฤษภาคม ๒๕๕๒ และบนั ทึกสานกั งานคณะกรรมการกฤษฎีกา จานวน ๗ ฉบบั

ตามหนังสือที่อ้างถึง สานักงานปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาหารือปัญหาเก่ียวกับ
การดาเนินการทางวินัย โดยแจ้งว่าผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราชได้ดาเนินการทางวินัยกับนาย ส.
เจา้ หนา้ ที่วิเคราะห์นโยบายและแผน ๘ว เม่ือครั้ง นาย ส. ปฏิบัติหน้าท่ีผู้อานวยการศูนย์การท่องเท่ียวและกีฬา
จังหวัดนครศรีธรรมราชและผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราชได้ส่ังยุติเร่ืองเม่ือวันที่ ๕ กันยายน ๒๕๕๐
แล้ว ต่อมาเมื่อวันท่ี ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๑ สานักงานคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้แจ้งให้สานักงานปลัดกระทรวง
การท่องเที่ยวและกีฬา ดาเนินการทางวินัยกับ นาย ส. ในกรณีเดียวกันอีก สานักงานปลัดกระทรวง
การท่องเท่ียวและกีฬาจึงหารือไปยัง ก.พ. ว่าจะดาเนินการทางวินัย นาย ส. ได้อีกหรือไม่ หรือสมควร
ดาเนินการอยา่ งไร ความละเอียดแจง้ แล้ว น้ัน

สานักงาน ก.พ. ขอเรียนว่า คณะกรรมการกฤษฎีกา (ท่ีประชุมร่วมกรรมการกฤษฎีกา คณะท่ี ๑
คณะท่ี ๒ และคณะที่ ๑๑) ได้วินิจฉัยว่า “การท่ีผู้บังคับบัญชาได้ดาเนินการทางวินัยแก่ข้าราชการ
ผูใ้ ตบ้ ังคับบัญชาและมีคาสั่ง......ให้ยุติเร่ืองหรืองดโทษก่อนหรือในวันที่พระราชบัญญัติล้างมลทินในวโรกาสท่ี
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมีพระชนมพรรษา ๘๐ พรรษา พ.ศ. ๒๕๕๐ มีผลใช้บังคับ
ผู้นั้นย่อมได้รับประโยชน์จากการล้างมลทิน เพราะเป็นไปตามเงื่อนไขท่ีบัญญัติในมาตรา ๖ แห่งพระราชบัญญัติ
ดังกล่าว ซ่ึงมีผลให้ผู้น้ันไม่ต้องถูกเพ่ิมโทษหรือถูกดาเนินการทางวินัยในกรณีนั้น ๆ ต่อไป อันเป็นผลที่
กฎหมายบัญญัติรับรองไว้ ดังนั้น แม้คณะกรรมการ ป.ป.ช. จะมีมติว่าเป็นการกระทาผิดวินัยอย่างร้ายแรง
ตามมาตรา ๙๒ แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
พ.ศ. ๒๕๔๒ แตเ่ มอื่ ผู้นนั้ ได้รับการลา้ งมลทินตามมาตรา ๖ แหง่ พระราชบัญญัติดังกล่าวไปแล้ว ผู้บังคับบัญชา
จึงไม่สามารถดาเนินการทางวินัยแก่ผู้น้ันได้อีกต่อไป” ดังน้ัน กรณีนี้เม่ือผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช

126

ไดส้ อบสวนและไดส้ ั่งยตุ ิเรื่องการดาเนินการทางวินัย นาย ส. เม่ือวันที่ ๕ กันยายน ๒๕๕๐ ซ่ึงเป็นการสั่งยุติเร่ือง
ก่อนวันท่ี ๕ ธันวาคม ๒๕๕๐ นาย ส. ย่อมได้รับประโยชน์จากมาตรา ๖ แห่งพระราชบัญญัติล้างมลทินในวโรกาสท่ี
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมีพระชนมพรรษา ๘๐ พรรษา พ.ศ. ๒๕๕๐ และไม่ต้อง
ถูกเพิ่มโทษหรือถูกดาเนินการทางวินัยในกรณีน้ัน ๆ ต่อไป ท้ังน้ี ตามการวินิจฉัยของคณะกรรมการกฤษฎีกา
ที่พจิ ารณาแนวทางการดาเนนิ การตามพระราชบัญญตั ิดังกล่าว รายละเอยี ดปรากฏตามสงิ่ ที่ส่งมาด้วย

จึงเรยี นมาเพ่ือโปรดทราบ

ขอแสดงความนบั ถือ
สมโภชน์ นพคุณ

(นายสมโภชน์ นพคุณ)
รองเลขาธิการ ก.พ.

ปฏิบัตริ าชการแทนเลขาธิการ ก.พ.

สานกั มาตรฐานวนิ ัย
โทร. ๐ ๒๕๔๗ ๑๖๒๘
โทรสาร ๐ ๒๕๔๗ ๑๖๒๕

127

ท่ี นร ๑๐๑๑/ล ๓๒๒ สานกั งาน ก.พ.
ถนนพิษณุโลก กทม. ๑๐๓๐๐

๙ เมษายน ๒๕๕๑

เรือ่ ง ตอบข้อหารอื กรณีข้าราชการรอ้ งขอความเปน็ ธรรม

เรยี น อธบิ ดีกรมการจัดหางาน

อ้างถึง ๑.หนังสอื กรมการจดั หางาน ที่ รง ๐๓๑๐/๒๑๐๐๑ ลงวันท่ี ๒๓ พฤศจกิ ายน ๒๕๔๙
๒.หนงั สอื สานกั งาน ก.พ. ลับ ที่ นร ๑๐๑๑/ล ๓๓๔ ลงวนั ที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๕๐
๓. หนงั สอื กรมการจัดหางาน ลบั ท่ี รง ๐๓๑๐/๐๘๖ ลงวนั ที่ ๒๘ มถิ ุนายน ๒๕๕๐

สิ่งที่สง่ มาดว้ ย สานวนการสอบสวนทางวนิ ัยนางสาว ป. จานวน ๓๘๙ แผน่

ตามหนังสือท่ีอ้างถึง กรมการจัดหางานได้หารือไปยัง ก.พ. โดยแจ้งข้อเท็จจริงว่านางสาว ป.
นักวิชาการแรงงาน ๘ ว กรมการจัดหางาน ร้องขอความเป็นธรรมต่ออธิบดีกรมการจัดหางานให้ทบทวนคาส่ัง
กรมการจัดหางานที่ ๔๕๕/๒๕๔๗ ลงวันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๔๗ ที่สั่งเพิ่มโทษนางสาว ป. จากตัดเงินเดือน
๕ % เป็นเวลา ๒ เดือน เป็นลดข้ันเงินเดือน ๑ ขั้น ซ่ึง อ.ก.พ. กระทรวงแรงงานพิจารณาแล้วเห็นว่า นางสาว ป.
มิได้อุทธรณ์คาสั่งลงโทษภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันทราบคาสั่ง จึงไม่อาจรับเรื่องร้องขอความเป็นธรรมดังกล่าวไว้
พิจารณาได้ แต่คาส่ังลงโทษทางวินัยเป็นคาสั่งทางปกครองอาจนาเรื่องสิทธิการอุทธรณ์ตามมาตรา ๔๔
แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ มาใช้แก่กรณีนี้ได้ อ.ก.พ. กระทรวงแรงงาน
จึงมมี ติให้อธิบดีกรมการจดั หางานในฐานะเจ้าหน้าท่ีผูท้ าคาสั่งทางปกครองพิจารณาทบทวนคาสั่งลงโทษ นางสาว ป.
โดยให้เป็นไปตามแนวทางการวินิจฉัยกรณีที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ปฏิบัติราชการแทน
นายกรฐั มนตรีส่ังการให้ยกโทษเรื่องนาย ว. อุทธรณ์คาส่ังลงโทษ ท้ังนี้ เพ่ือเป็นขวัญและกาลังใจแก่ข้าราชการ
กรมการจัดหางานขอหารือว่ากรมการจัดหางานจะพิจารณาทบทวนเพิกถอนคาส่ังลงโทษ นางสาว ป.
ได้หรือไม่ อย่างไร ซึ่ง ก.พ. ได้ขอให้กรมการจัดหางานจัดส่งสานวนการสอบสวนพร้อมเอกสารที่เกี่ยวข้องกับ
การดาเนินการทางวินัยนางสาว ป. ไปเพ่ือประกอบการพิจารณาในเรื่องนี้ และกรมการจัดหางานได้จัดส่ง
สานวนการสอบสวนนางสาว ป. ไปยัง ก.พ. แลว้ นั้น

ก.พ. ได้พิจารณาแล้วเห็นว่า เร่ืองนี้เป็นกรณีที่นางสาว ป. ได้ย่ืนคาขอให้พิจารณาคดีใหม่
และ อ.ก.พ. กระทรวงแรงงานได้มีมติให้อธิบดีกรมการจัดหางานพิจารณาทบทวนการลงโทษทางวินัย นางสาว ป.

128

ในกรณีดังกล่าวแล้ว ดังน้ันอธิบดีกรมการจัดหางานจึงมีอานาจยกเร่ืองนางสาว ป. ขึ้นพิจารณาใหม่ได้
ตามมาตรา ๕๔ แห่งพระราชบญั ญัติวธิ ปี ฏบิ ัตริ าชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙

จึงเรียนมาเพ่ือโปรดทราบ พร้อมกันน้ีได้ส่งสานวนการสอบสวนนางสาว ป. และเอกสาร
ท่เี กี่ยวข้องคืนมาด้วยแลว้

ขอแสดงความนับถือ
ทัศนยี ์ ธรรมสิทธิ์
(นางสาวทัศนยี ์ ธรรมสิทธิ์)
รองเลขาธกิ าร ก.พ.
ปฏิบตั ิราชการแทนเลขาธกิ าร ก.พ.

สานกั มาตรฐานวนิ ยั
โทร. ๐ ๒๕๔๗ ๑๖๓๑
โทรสาร ๐ ๒๕4๗ ๑๖๓๐

129

ที่ นร ๑๐1๑/ล ๒๔๕ สานกั งาน ก.พ.
ถนนพิษณุโลก กทม. ๑๐๓๐๐

๖ มิถุนายน ๒๕๕๔

เรอ่ื ง หารือเก่ยี วกบั ผลแหง่ คดีอาญา

เรยี น อธิบดกี รมท่ีดนิ

อา้ งถึง หนงั สอื กรมที่ดนิ ลบั ท่ี มท ๐๕๐๒.๕/๓๕๒ ลงวนั ที่ ๑๙ เมษายน ๒๕๕๓

ตามหนังสอื ทอ่ี า้ งถึง กรมท่ีดินได้หารือปัญหาเก่ียวกับผลแห่งคดีอาญา กรณีกรมท่ีดิน โดยมติ
อ.ก.พ. กระทรวงมหาดไทยมีคาส่ังลงโทษไล่นาย ป. ออกจากราชการ ต่อมานาย ป. ได้อุทธรณ์คาสั่งลงโทษ
ต่อ ก.พ. และ ก.พ. มีมติเห็นควรยกอุทธรณ์ และนายกรัฐมนตรีพิจารณาสั่งการให้ยกอุทธรณ์ตามมติของ ก.พ.
จากน้ันนาย ป. ได้ย่ืนฟ้องต่อศาลปกครองกลางขอให้เพิกถอนคาส่ังลงโทษและคาสั่งยกอุทธรณ์ดังกล่าว
ซึ่งศาลปกครองกลางได้พิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง คดีถึงท่ีสุด และในผลส่วนคดีอาญากรณีเดียวกันนี้
พนักงานอัยการได้เป็นโจทก์ฟ้องนาย ป. ซึ่งต่อมาศาลฎีกามีคาพิพากษายกฟ้อง โดยฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์นาสืบ
ยังไม่พอรบั ฟังไดว้ า่ นาย ป. กระทาความผิดทางอาญา ดังน้ันนาย ป. จึงได้ร้องขอให้กรมที่ดินเบิกจ่ายเงินเดือน
ในระหว่างที่ถูกลงโทษไล่ออกจากราชการจนถึงวันเกษียณอายุราชการ รวมท้ังเงินบาเหน็จด้วยเหตุเกษียณ
อายุราชการ เนื่องจากเห็นว่าการลงโทษทางวินัยนั้นได้อาศัยเหตุจากการกล่าวหาว่ากระทาผิดทางอาญา
เมื่อศาลฎีกามีคาพิพากษายกฟ้อง แสดงว่าตนไม่ได้กระทาผิด การลงโทษไล่ตนออกจากราชการจึงขัดต่อ
คาพิพากษาศาลฎีกา ดงั น้ัน กรมท่ดี นิ จึงขอหารือวา่ คาพพิ ากษาหรือข้อเท็จจริงท่ีปรากฏในคดีอาญาท่ีศาลฎีกา
รบั ฟังในทางทีเ่ ปน็ คณุ แก่นาย ป. ดังกล่าว กรมท่ีดินจะนามาดาเนินการเพิกถอนหรือเปลี่ยนแปลงคาสั่งลงโทษ
นาย ป. ได้หรือไม่ ความละเอยี ดแจง้ แล้ว นัน้

สานักงาน ก.พ. ขอเรียนว่า ก.พ. เคยพิจารณาเรื่องทานองน้ีแล้ว เห็นว่าการดาเนินการ
สอบสวนพิจารณาโทษทางวินัย กฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือนได้กาหนดอานาจหน้าที่และ
วิธกี ารสอบสวนพจิ ารณาโทษทางวินัยไว้เป็นส่วนหน่ึงต่างหากจากการดาเนินคดีอาญา การสอบสวน พิจารณา
ทางวินัยไม่จาเปน็ ท่ีจะต้องรอฟงั ผลคดอี าญา แม้ภายหลังศาลฎีกาจะพิพากษายกฟ้องก็ไม่ได้ทาให้การพิจารณา
ดาเนนิ การทางวินัยเปลี่ยนแปลงไป แตอ่ ยา่ งใด

อย่างไรกด็ ี โดยท่ีพระราชบญั ญัติวิธปี ฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๕ มาตรา ๕๔ บัญญัติ
ว่า “เมื่อคู่กรณีมีคาขอ เจ้าหน้าที่อาจเพิกถอนหรือแก้ไขเพ่ิมเติมคาสั่งทางปกครองท่ีพ้นกาหนดอุทธรณ์....ได้
ในกรณีดังต่อไปนี้ (๑) มีพยานหลักฐานใหม่ อันอาจทาให้ข้อเท็จจริงที่ฟังเป็นยุติแล้วนั้น เปล่ียนแปลงไป
ในสาระสาคัญ...การยื่นคาขอให้พิจารณาใหม่ต้องกระทาภายในเก้าสิบวันนับแต่ผู้นั้นได้รู้ถึงเหตุซ่ึงอาจขอให้

130

พิจารณาใหม่ได้” ดังน้ัน หากผู้ถูกลงโทษเห็นว่ามีข้อเท็จจริงเพ่ิมเติมข้ึนมาที่อาจทาให้ผลการพิจารณา
มีการเปล่ียนแปลงไปในสาระสาคัญ ผู้ถูกลงโทษก็อาจมีคาขอเพื่อให้มีการพิจารณาใหม่ได้ ตามมาตรา ๕๔
แหง่ พระราชบัญญตั วิ ธิ ีปฏิบตั ริ าชการทางปกครอง พ.ศ.๒๕๓๙ ข้างตน้

จึงเรยี นมาเพ่ือโปรดทราบ

ขอแสดงความนับถือ
ปรีชา นิศารตั น์

(นายปรชี า นศิ ารตั น์)
รองเลขาธิการ ก.พ.
ปฏิบัตริ าชการแทนเลขาธกิ าร ก.พ.

สานกั มาตรฐานวนิ ัย
โทร. ๐ ๒๕๔๗ ๑๖๓๑
โทรสาร 0 ๒๕๔๗ ๑๖๓๐

131

ที่ นร ๑๐๑๑/๓๓ สานกั งาน ก.พ.
ถนนพิษณุโลก กทม. ๑๐๓๐๐

๒๕ มกราคม ๒๕๕๑

เรือ่ ง ตอบข้อหารอื เกย่ี วกับกระบวนการดาเนนิ การทางวินยั

เรียน อธิบดีกรมบัญชีกลาง

อ้างถึง หนงั สือกรมบัญชีกลาง ดว่ นมาก ที่ กค ๐๔๓๐.๗/๓๓๔๒๖ ลงวันที่ ๒๑ ธนั วาคม ๒๕๕๐

ตามหนังสือท่ีอ้างถึง หารือกรณีข้าราชการอุทธรณ์คาส่ังในการท่ีถูกลงโทษไล่ออกจากราชการ
และผลการพิจารณาอุทธรณ์ได้รับการลดโทษเป็นปลดออกจากราชการ แต่ข้าราชการรายนี้ ได้ย่ืนฟ้องคดีต่อ
ศาลปกครองกลางขอให้เพิกถอนคาส่ังลงโทษดังกล่าว คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลปกครองกลาง
กรณีดังกล่าวจะถือว่าการดาเนินการทางวินัยถึงท่ีสุดเมื่อได้ลดโทษเป็นปลดออกจากราชการแล้ว หรือถึงที่สุด
เม่ือมคี าพพิ ากษาของศาลปกครอง ความละเอยี ดแจ้งแล้ว น้ัน

สานักงาน ก.พ. ขอเรียนว่า เร่ืองการดาเนินการทางวินัยตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการ
พลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ ไม่มีบทบัญญัติโดยตรงว่ากรณีถึงท่ีสุดเม่ือใด แต่ตามหมวด ๕ ว่าด้วยเร่ืองการดาเนินการ
ทางวนิ ยั มาตรา ๑๐๒ ถึง มาตรา ๑๐๙ ได้บญั ญตั ิกระบวนการดาเนนิ การทางวินยั ตง้ั แต่เริ่มต้นการดาเนินการ
ทางวินัยโดยผู้บังคับบัญชาและมีการรายงานการดาเนินการทางวินัยไปยัง อ.ก.พ. กระทรวง หรือ ก.พ.
แล้วแต่กรณี ตามระเบียบ ก.พ. ว่าด้วยการรายงานเก่ียวกับการดาเนินการทางวินัยและการออกจากราชการ
ของข้าราชการพลเรือนสามัญ พ.ศ. ๒๕๓๙ ซ่ึงในกรณีที่ ก.พ. พิจารณาเห็นว่าการดาเนินการทางวินัย
ไมถ่ กู ตอ้ งหรือไม่เหมาะสมจะรายงานนายกรัฐมนตรเี พ่อื พจิ ารณาสั่งการให้กระทรวง ทบวง กรม ปฏิบัติให้ถูกต้อง
หรือเหมาะสมตามมาตรา ๘ (๘) และมาตรา ๙ และในกรณีที่ ก.พ. พิจารณาตอบรับทราบการดาเนินการ
ทางวินัยท่ีกระทรวง ทบวง กรม รายงานไป โดยไม่มีการดาเนินการเป็นอย่างอื่น ในทางปฏิบัติก็ถือว่า
กระบวนการดาเนนิ การทางวินยั เปน็ อนั สนิ้ สุด

ในกรณีที่ผู้ถูกลงโทษอุทธรณ์คาส่ังลงโทษต่อ ก.พ. ตามมาตรา ๑๒๕ (๔) และมาตรา ๑๒๖
ก.พ. จะพิจารณาอุทธรณน์ ้ันและพจิ ารณาเร่ืองรายงานการดาเนินการทางวินัยรายนั้นควบคู่กันไปด้วย และในกรณี
ที่มีการอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ ก็ไม่มีบทบัญญัติว่ากรณีถึงที่สุด
เมื่อใดเช่นเดียวกัน ในทางปฏิบัติกระบวนการดาเนินการทางวินัยและการพิจารณาอุทธรณ์เสร็จส้ิน
โดยนายกรัฐมนตรีได้สั่งการตามมติ ก.พ. หรือคณะรัฐมนตรีมีมติ และกระทรวง ทบวง กรม ได้ดาเนินการ
ตามน้ันแล้ว ซ่ึงอาจจะส่ังให้ยกอุทธรณ์ หรือให้เพิ่มโทษ ลดโทษ หรือยกโทษก็ได้ เช่นน้ีถือว่ากระบวนการ
ตามกฎหมายวา่ ด้วยระเบยี บข้าราชการพลเรือน ก็เปน็ อันสน้ิ สดุ

132

อย่างไรก็ดี ปัจจุบันเม่ือมีพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง
พ.ศ. ๒๕๔๒ ใช้บังคับ และให้สิทธิผู้อุทธรณ์ท่ีได้อุทธรณ์คาสั่งลงโทษตามกฎหมายว่าด้วย ระเบียบ
ข้าราชการพลเรือนแล้วฟ้องคดีต่อศาลปกครองได้อีก กรณีก็จะถือว่าคดีน้ันเป็นอันถึงท่ีสุด ตามมาตรา ๗3
แห่งพระราชบัญญัตดิ ังกลา่ ว

จงึ เรียนมาเพื่อโปรดทราบ

แส ขอแสดงความนบั ถือ
ลงชอ่ื ทศั นีย์ ธรรมสิทธิ์
(นางสาวทัศนีย์ ธรรมสทิ ธ์ิ)
รองเลขาธิการ ก.พ.
ปฏิบัติราชการแทนเลขาธิการ ก.พ.

สานกั มาตรฐานวินัย
โทร. ๐ ๒๕๔๗ ๑๖๓๑
โทรสาร ๐ ๒๕๔๗ ๑๖๓๐


Click to View FlipBook Version