33
ท่ี นร 1011/305 สานักงาน ก.พ.
ถนนติวานนท์ จังหวดั นนทบรุ .ี 11000
1๒ ตลุ าคม ๒๕๕๕
เรื่อง หารอื ประเด็นข้อกฎหมายเรื่องหลกั เกณฑ์การมอบหมายอานาจเก่ียวกบั การดาเนินการทางวินยั
เรียน อธบิ ดีกรมการขนสง่ ทางบก
อ้างถงึ หนังสอื กรมการขนส่งทางบก ท่ี คค ๐๔๐๕.๔/๒๖๗๒ ลงวันที่ ๒๒ กุมภาพนั ธ์ ๒๕๕๔
ตามหนังสือที่อ้างถึง กรมการขนส่งทางบกได้หารือประเด็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับหลักเกณฑ์
การมอบอานาจหนา้ ที่เกี่ยวกบั การดาเนินการทางวินัย ตามมาตรา ๙๐ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติระเบียบ
ข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ และตามหนังสือเวียนสานักงาน ก.พ. ที่ นร ๑๐๑๑/ว ๓๕ ลงวันท่ี
๒๘ กันยายน ๒๕๕๓ ซ่ึงกาหนดหลักเกณฑ์เก่ียวกับการมอบอานาจหน้าที่การดาเนินการทางวินัยของ
ผู้บังคับบัญชา ซ่ึงมีอานาจสั่งบรรจุตามมาตรา ๕๗ ให้ผู้บังคับบัญชาระดับต่าลงไปปฏิบัติแทน โดยแจ้ง
ข้อเท็จจริ งว่า กรมการขน ส่งทางบกมีส่ว นราช การ ทั้งที่สั งกัด ราชการบ ริหาร ส่ วน กลางและส่วนภู มิภา ค
โดยมีขนส่งจังหวัด (ผู้อานวยการระดับต้นและระดับสูง) เป็นผู้บังคับบัญชาในราชการส่วนภูมิภาค ความละเอียด
แจง้ แล้ว นนั้
สานักงาน ก.พ. ได้พจิ ารณาแล้ว ขอเรยี นดังน้ี
1. กรณีท่ีกรมการขนส่งทางบกมีข้อขัดข้องในประเด็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับหลักเกณฑ์
การมอบหมายอานาจหน้าที่เก่ียวกับการดาเนินการทางวินัย ในส่วนที่เก่ียวข้องกับมาตรา ๕๗ (๑๑)
แห่งพระราชบญั ญตั ิระเบียบข้าราชการพลเรอื น พ.ศ. ๒๕๕๑ ท่ีหารือมาจานวน ๒ ประเด็น ดงั น้ี
๑.๑ ตามท่ีมาตรา ๕๗ (๑1) บัญญัติว่า ในราชการบริหารส่วนภูมิภาคให้ผู้ว่าราชการ
จังหวัดเป็นผู้มีอานาจสั่งบรรจุและแต่งต้ังข้าราชการตามมาตรา 5๓ น้ัน หมายถึงเฉพาะการบรรจุและแต่งต้ัง
จากผู้สอบแข่งขันได้ในตาแหน่งตามลาดับที่ในบัญชีผู้สอบแข่งขันได้ (การบรรจุแต่งต้ังข้าราชการบรรจุใหม่)
ใช่หรือไม่ อย่างไร
๑.๒ ตามที่มาตรา ๕๗ (๑๑) บัญญัติว่า ในราชการบริหารส่วนภูมิภาคให้ผู้ว่าราชการ
จังหวัดเปน็ ผู้มอี านาจย้าย โอน หรอื เลือ่ นข้าราชการไปแต่งตั้งให้ดารงตาแหน่งในกรมตามมาตรา ๖๓ หมายถึง
การย้าย โอน หรือการเลอ่ื นข้าราชการไปแต่งตัง้ ใหด้ ารงตาแหน่งในสานักงานขนสง่ จงั หวดั หรือสานักงานขนส่ง
จังหวัด สาขาอาเภอ ให้ดารงตาแหน่งประเภททั่วไป ระดับปฏิบัติงาน ชานาญงาน และอาวุโส และ
ให้ดารงตาแหน่งประเภทวชิ าการระดบั ปฏบิ ตั กิ าร และชานาญการ ใชห่ รอื ไม่ อย่างไร
สานักงาน ก.พ. ขอเรียนว่า มาตรา ๕๗ (๑๑) บัญญัติให้ในราชการส่วนภูมิภาค ผู้ว่าราชการจังหวัด
มีอานาจส่ังบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการจากผู้สอบแข่งขันได้ตามมาตรา ๕3 และ
ย้ายข้าราชการพลเรือนสามัญตามมาตรา ๖๓ ให้ดารงตาแหน่งตาม (9) ซึ่งไม่ใช่ตาแหน่งประเภททั่วไป
34
ระดับทักษะพิเศษ และตาแหน่งตาม (๑๐) ท้ังนี้ ให้เป็นไปตามท่ีกาหนดในกฎ ก.พ. ซึ่งขณะนี้ อยู่ระหว่าง
การพิจารณายกร่างกฎ ก.พ. ว่าด้วยการย้าย การโอน หรือการเล่ือนข้าราชการพลเรือนสามัญ พ.ศ. ....
อยู่ อย่างไรก็ดี เร่ืองนี้เป็นการหารือเก่ียวกับอานาจของผู้บังคับบัญชาในการมอบหมายให้ผู้บังคับบัญชาระดับ
ตา่ ลงไปดาเนนิ การทางวินยั แทน ตามนัยมาตรา ๙๐ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน
พ.ศ. ๒๕๕๑ ซึ่ง ก.พ. เคยมีมติเกี่ยวกับเร่ืองน้ีว่า บทบัญญัติที่กล่าวถึงผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอานาจส่ังบรรจุตาม
มาตรา ๕๗ มีเจตนารมณ์ที่จะดูถึงตัวบุคคลท่ีกฎหมายให้อานาจในการดาเนินการเร่ืองน้ัน โดยไม่เกี่ยวกับ
ข้อจากัดในเร่ืองวิธีการดาเนินการตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๕๗ (๑๑) โดย ก.พ. วางหลักว่า หากมีกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ หรือหลักเกณฑ์ใดท่ีกาหนดให้ผู้บังคับบัญชาซ่ึงมีอานาจสั่งบรรจุตามมาตรา ๕๗ มีอานาจ
พจิ ารณาดาเนินการในเร่ืองใดแล้ว ใหถ้ ือว่าผวู้ ่าราชการจังหวัดซ่ึงเป็นผมู้ ีอานาจสั่งบรรจุและแต่งต้ัง ตามมาตรา
๕๗ (๑๑) มีอานาจพจิ ารณาดาเนนิ การในเรอื่ งนน้ั ๆ ด้วย โดยให้ถือว่าผู้ว่าราชการจังหวัดมีอานาจสั่งบรรจุและ
แต่งตั้งข้าราชการในราชการบริหารส่วนภูมิภาค ให้ดารงตาแหน่งประเภทวิชาการ ระดับปฏิบัติการ ชานาญการ
และชานาญการพเิ ศษ รวมท้ังประเภททั่วไประดบั ปฏิบตั งิ าน ชานาญงาน และอาวุโส ตามนัยกฎหมายน้ี
โดยสรุป เม่ือพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ หมวด ๗ การดาเนินการ
ทางวินัย มาตรา ๙๐ บัญญัติให้ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอานาจส่ังบรรจุตามมาตรา ๕๗ มีหน้าท่ีดาเนินการ
ตามพระราชบัญญัติน้ีกับข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ถูกกล่าวหาหรือมีกรณีเป็นที่สงสัยว่ากระทาความผิดวินัย
และ วรรคสาม บัญญัติให้ผู้บังคับบัญชาซ่ึงมีอานาจส่ังบรรจุตาม มาตรา ๕๗ จะมอบหมายให้ผู้บังคับบัญชา
ระดับต่าลงไปปฏิบัติแทนตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ ก.พ. กาหนดก็ได้ ดังนั้น ผู้ว่าราชการจังหวัดในฐานะ
ผู้บังคับบัญชาในราชการบริหารส่วนภูมิภาคจึงมีอานาจดาเนินการทางวินัยแก่ ข้าราชการพลเรือนสามัญ
ตาแหน่งประเภทวิชาการ ระดับปฏิบัติการ ชานาญการ และชานาญการพิเศษ และตาแหน่งประเภททั่วไป
ระดับปฏิบัติงาน ชานาญงาน และอาวุโส หรือจะมอบหมายให้ผู้บังคับบัญชาระดับต่าลงไปปฏิบัติแทนตาม
หนังสือสานักงาน ก.พ. ท่ี นร ๑๐๑๑/ว ๓๕ ลงวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๕๓ ซ่ึงกาหนดหลักเกณฑ์เก่ียวกับ
การมอบอานาจหน้าทก่ี ารดาเนินการทางวนิ ัยกไ็ ด้
๒. กรณีที่กรมการขนส่งทางบกมีข้อขัดข้องในประเด็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับหลักเกณฑ์
การมอบหมายอานาจหน้าท่ีเก่ียวกับการดาเนินการทางวินัย ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับหนังสือสานักงาน ก.พ.
ที่ นร ๑๐๑๑/ว ๓๕ ลงวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๕๓ ท่ีกาหนดในข้อ ๒ วรรคสอง ว่า “กรณีที่ผู้บังคับบัญชา
ซึ่งมีอานาจสั่งบรรจุตามมาตรา ๕๗ จะมอบหมายอานาจหน้าท่ีให้ผู้ดารงตาแหน่งต่าลงไปที่ไม่มีกฎหมาย
บัญญัติโดยแน่ชัดให้เป็นผู้บังคับบัญชาข้าราชการในส่วนราชการ จะต้องมอบอานาจตามกฎหมายว่าด้วย
ระเบียบบริหารราชการแผ่นดินให้ผู้ดารงตาแหน่งต่าลงไป น้ัน มีอานาจดาเนินการในฐานะผู้บังคับบัญชา
ขา้ ราชการในสว่ นราชการนนั้ ควบคู่กันดว้ ย” โดยหารอื ใน ๒ ประเด็น ดังนี้
35
๒.1 คาว่า “...ผู้ดารงตาแหน่งต่าลงไปท่ีไม่มีกฎหมายบัญญัติโดยแน่ชัด..” หมายความว่า
อยา่ งไร ขนสง่ จงั หวัด (ผู้อานวยการระดับต้น และผู้อานวยการระดับสูง) อยู่ในความหมายน้ีใช่หรือไม่ อย่างไร
และหากอยู่ในความหมายน้ี อธิบดีกรมการขนส่งทางบกจะมอบหมายให้ขนส่งจังหวัดดาเนินการทางวินัย
ข้าราชการในสานักงานขนส่งจังหวัดนน้ั ๆ ไดห้ รอื ไม่ อย่างไร
๒.๒ คาว่า "...จะต้องมอบอานาจตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน
ควบคกู่ ันด้วย” นั้น คาว่า “ควบคูก่ นั ดว้ ย” หมายความวา่ อยา่ งไร
สานักงาน ก.พ. ขอเรียนว่า คาว่า “ผู้ดารงตาแหน่งต่าลงไปที่ไม่มีกฎหมายบัญญัติโดยแน่ชัด”
ซึ่งปรากฏอยู่ในหมายเหตุแนบท้ายหนังสือสานักงาน ก.พ. ท่ี นร ๑๐๑๑/ว ๓๕ ลงวันท่ี ๒๘ กันยายน ๒๕๕๓
ข้างต้นน้ัน ระบุเพียง ตาแหน่ง “รองนายกรัฐมนตรี” “รัฐมนตรีประจาสานักนายกรัฐมนตรี” "รัฐมนตรีช่วย
วา่ การกระทรวง” และ “รองปลัดกระทรวง” ท่ีถือเป็นตาแหน่งท่ียังไม่มีกฎหมายบัญญัติแน่ชัดให้เป็นตาแหน่ง
ผ้บู ังคบั บัญชาสว่ นราชการ ดังน้ัน ตาแหน่งขนส่งจังหวัดตามท่ีกรมการขนส่งทางบกหารือมา จึงมิใช่ผู้ดารงตาแหน่ง
ต่าลงไปที่ไม่มีกฎหมายบัญญัติโดยแน่ชัดในความหมายนี้ อธิบดีกรมการขนส่งทางบกจึงไม่อาจมอบหมาย
อานาจหน้าทีก่ ารดาเนินการทางวนิ ัยใหข้ นส่งจงั หวัดไปปฏบิ ัติแทนได้
สว่ นคาว่า “…จะต้องมอบอานาจตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน...ควบคู่
กันด้วย” น้ัน หมายถึง กรณีท่ีผู้บังคับบัญชาซ่ึงมีอานาจสั่งบรรจุตามมาตรา ๕๗ จะมอบอานาจให้ผู้ดารงตาแหน่ง
ต่าลงไปท่ีไม่มีกฎหมายบัญญัติโดยแน่ชัดให้เป็นผู้บังคับบัญชาข้าราชการในส่วนราชการเป็นผู้รับมอบหมาย
ให้ปฏิบัติหน้าท่ีแทนตามมาตรา ๙๐ วรรคสาม นั้น จะต้องมอบอานาจให้ผู้ดารงตาแหน่งต่าลงไปดังกล่าว
ใหม้ อี านาจดาเนนิ การในฐานะผู้บงั คบั บัญชาข้าราชการในส่วนราชการน้ันควบคู่กันด้วย เพื่อให้ผู้ดารงตาแหน่ง
ตา่ ลงไปน้ันมอี านาจที่จะดาเนนิ การกับข้าราชการในส่วนราชการของตนได้อย่างสมบูรณ์
จงึ เรยี นมาเพ่ือโปรดทราบ
ขอแสดงความนบั ถือ
พนั ธ์ุเรอื ง พันธุหงส์
(นายพนั ธ์ุเรอื ง พันธุหงส)์
รองเลขาธกิ าร ก.พ.
ปฏิบตั ริ าชการแทนเลขาธิการ ก.พ.
สานกั มาตรฐานวนิ ัย
โทร. ๐ ๒๕๔๗ ๑๖๒๘
โทรสาร ๐ ๒๕4๗ 1625
36
ท่ี นร 1011/ล 1080 สานกั งาน ก.พ.
ถนนพิษณุโลก กทม. 10300
8 ตลุ าคม 2547
เรอื่ ง หารอื การดาเนนิ การทางวนิ ัย
เรียน อธิบดีกรมการขนสง่ ทางบก
อ้างถงึ หนังสอื กรมการขนสง่ ทางบก ลบั ท่ี คค 0402/163 ลงวนั ท่ี 6 สิงหาคม 2547
ตามหนังสือที่อ้างถึง กรมการขนส่งทางบกหารือปัญหาเกี่ยวกับการดาเนินการทางวินัย
โดยแจ้งข้อเท็จจริงว่า กรมการขนส่งทางบกได้รับรายงานผลการสืบสวนข้อเท็จจริงว่านาง อ. (เจ้าหน้าท่ีขนส่ง 4)
มีพฤติการณ์ทุจริตยักยอกเงินของทางราชการไปใช้ประโยชน์ส่วนตัว โดยนาง อ. ยอมรับว่าได้กระทาผิด
แต่เพียงผู้เดียว ผู้ทาการสืบสวนข้อเท็จจริงมีความเห็นควรแต่งต้ังคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรง
แก่นาง อ. ส่วนนาย ป. (เจ้าหน้าที่ขนส่ง 5) ซ่ึงมีหน้าท่ีตรวจสอบการรับจ่ายเงินได้ทาการตรวจสอบหลักฐาน
การรับเงินไม่ครบถ้วนจึงไม่พบว่านาง อ. กระทาการทุจริตดังกล่าว ผู้ทาการสืบสวนข้อเท็จจริงเห็นว่า
พฤติการณข์ องนาย ป. เปน็ การกระทาผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรงฐานไม่ตั้งใจปฏิบัติหน้าท่ีราชการให้เกิดผลดีและ
ความก้าวหน้าแก่ราชการตามมาตรา 83 และฐานไม่ปฏิบัติหน้าท่ีให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบของทางราชการ
ตามมาตรา 85 วรรคหนึ่งแห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 สมควรได้รับโทษ
ตัดเงินเดือน 5% เป็นเวลา 1 เดือน กรมการขนส่งทางบกพิจารณาแล้วเห็นชอบตามที่ผู้ทาการสืบสวน
ข้อเท็จจริงมีความเห็นท้ังสองกรณี จากข้อเท็จจริงดังกล่าวกรมการขนส่งทางบกได้หารือไปยังสานักงาน ก.พ.
รวม 4 ขอ้ ความละเอยี ดแจง้ แลว้ น้ัน
สานกั งาน ก.พ. พจิ ารณาแลว้ มคี วามเห็น ดงั นี้
1. สาหรับปัญหาข้อ 1. ท่ีหารือว่า กรมการขนส่งทางบกจะมีคาสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการ
สอบสวนวนิ ัยอย่างรา้ ยแรงแก่นาง อ. และมคี าส่งั ลงโทษตัดเงินเดอื นนาย ป. พร้อมกนั ได้หรอื ไม่ อยา่ งไร น้นั
สานักงาน ก.พ. ขอเรียนว่า มาตรา 99 วรรคสี่ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการ
พลเรือน พ.ศ. 2535 บัญญัติว่า “เม่ือปรากฏกรณีมีมูลท่ีควรกล่าวหาว่าข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดกระทา
ผิดวินยั โดยมพี ยานหลกั ฐานในเบื้องต้นอยู่แล้ว ให้ผู้บังคับบัญชาดาเนินการทางวินัยทันที” ดังนั้นในกรณีตามท่ี
หารือ เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงจากการสืบสวนเพียงพอที่จะพิจารณาได้ว่ากรณีมีมูลเป็นการกระทาผิดวินัย
อย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว อธิบดีกรมการขนส่งทางบกก็จะต้องดาเนินการทางวินัยแก่นาง อ. และนาย ป.
ตามควรแก่กรณี สาหรับนาย ป. หากอธิบดีกรมการขนส่งทางบกพิจารณาพยานหลักฐานแล้วเห็นว่า
กรณีมีมูลเป็นการกระทาผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรง และได้ดาเนินการสอบสวนตามหนังสือสานักงาน ก.พ.
ท่ี นร 1011/ว19 ลงวันที่ 14 กรกฎาคม 2547 เร่ืองวิธีการก่อนดาเนินการทางวินัยและการสอบสวน
ทางวินัยอย่างไม่ร้ายแรงแล้ว อธิบดีกรมการขนส่งทางบกก็สามารถที่จะส่ังลงโทษตัดเงินเดือนนาย ป. และ
สง่ั แตง่ ต้ังคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยอยา่ งรา้ ยแรงแกน่ าง อ. อีกส่วนหนง่ึ พรอ้ มกนั ได้
37
2. สาหรับปัญหาข้อ 2. ที่หารือว่า หากออกคาสั่งตามข้อ 1. พร้อมกันแล้ว ต่ อมา
ในชั้นสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรงปรากฏข้อเท็จจริงว่า นาย ป. มีส่วนร่วมในการทุจริตกับนาง อ. หรือมีมูลว่า
กระทาผิดวินัยอย่างร้ายแรงในเร่ืองอ่ืน กรมการขนส่งทางบกจะสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรงแก่ นาย ป.
ได้หรอื ไม่ อย่างไร น้ัน
สานักงาน ก.พ. ขอเรียนว่า โดยท่ีปัญหาดังกล่าว ก.พ. ได้เคยวินิจฉัยไว้ว่า หากผู้บังคับบัญชา
ได้ดาเนินการสืบสวนสอบสวนทางวินัยแล้ววินิจฉัยว่าไม่มีความผิด หรือส่ังยุติเร่ือง หรือส่ังลงโทษวินัย
อย่างไม่ร้ายแรง แต่ภายหลังปรากฎพยานหลักฐานชัดเจนว่าเป็นการกระทาผิดวินัยอย่างร้ายแรงก็สามารถ
แต่งต้ังคณะกรรมการสอบสวนวินัยในเรื่องเดียวกันน้ันได้อีกโดยไม่มีกฎหมายห้าม สาหรับเร่ืองน้ีหาก
อธิบดีกรมการขนส่งทางบกได้ดาเนินการตามข้อ 1. แล้ว จะต้องรายงานการดาเนินการทางวินัยไปยัง อ.ก.พ.
กระทรวงคมนาคม ตามมาตรา 109 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535
เพ่อื พจิ ารณาตรวจสอบความถกู ต้องและเหมาะสม ตอ่ มาภายหลังปรากฏข้อเทจ็ จริงท่ีเป็นสาระสาคัญชัดเจนว่า
นาย ป. มีส่วนร่วมทุจริตกับนาง อ. หรือมีมูลกระทาผิดวินัยอย่างร้ายแรงในเร่ืองอ่ืนอีก อธิบดีกรมการขนส่ง
ทางบกก็สามารถแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรงแก่นาย ป.ตามมาตรา 102 วรรคสอง
แห่งพระราชบัญญัตดิ ังกลา่ วไดอ้ กี ไม่ถอื เป็นการดาเนนิ ทางวินยั ซา้ แตอ่ ยา่ งใด
3. สาหรับปัญหาขอ้ ที่ 3. ท่ีว่า หากกรมการขนส่งทางบกมีอานาจสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรง
แก่นาย ป. แล้ว คาสั่งที่กรมการขนส่งทางบกได้ลงโทษตัดเงินเดือนนาย ป. 5% เป็นเวลา 1 เดือน จะต้องดาเนินการ
อย่างไร นัน้
สานักงาน ก.พ. ขอเรียนว่า คาส่ังลงโทษตัดเงินเดือนดังกล่าวยังคงมีผลอยู่จนกว่า
จะมีการเปล่ยี นแปลงเป็นอย่างอื่นในภายหลงั
4. สาหรับปัญหาข้อท่ี 4. ท่ีว่า เมื่อการสอบสวนแล้วเสร็จ ปรากฏมีมูลว่ากระทาผิดวินัย
การออกคาสั่งลงโทษนาย ป. ตามรายงานการสอบสวนจะเป็นการลงโทษนาย ป. ซ้าสองในการกระทาความผิด
ครงั้ เดยี วหรอื ไม่ อยา่ งไร
สานกั งาน ก.พ. ขอเรยี นวา่ ปัญหาข้อนี้ได้ชแ้ี จงแลว้ ตามข้อ 1.
จงึ เรยี นมาเพ่ือโปรดทราบ
ขอแสดงความนับถอื
(นางสาววนดิ า นวลบุญเรือง)
รองเลขาธกิ าร ก.พ.
ปฏิบัติราชการแทนเลขาธกิ าร ก.พ.
สานกั มาตรฐานวนิ ัย
โทร. 0 2281 8677
โทรสาร 0 2628 6204
38
ที่ นร 1011/383 สานักงาน ก.พ.
ถนนพิษณุโลก กทม. 10300
20 ธนั วาคม 2547
เรอื่ ง แนวทางปฏบิ ัติในเรอื่ งรอ้ งเรยี นกลา่ วโทษขา้ ราชการ
เรียน ประธานกรรมการสทิ ธิมนษุ ยชนแหง่ ชาติ
อา้ งถงึ 1. หนงั สอื สานกั งาน ก.พ. ที่ นร 1011/ว 26 ลงวันท่ี 17 กันยายน 2547
2. หนังสือคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ท่ี สม 0001/01/292 ลงวันที่ 9 ธันวาคม 2547
ตามหนังสือที่อ้างถึง (1) สานักงาน ก.พ. ได้แจ้งหลักเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับ
การร้องเรียนและการสอบสวนเรื่องราวร้องเรียนกล่าวโทษข้าราชการว่า กระทาผิดวินัยให้ส่วนราชการทราบ
และถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี และ (2) คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติหารือสานักงาน ก.พ.
เกีย่ วกับหนงั สอื ท่ีอ้างถงึ (1) วา่ ในการสืบสวนเรอื่ งราวกล่าวโทษข้าราชการจาเป็นจะต้องดาเนินการในทางลับ
ทุกกรณีหรือไม่ ประการใด น้นั
สานักงาน ก.พ.ขอเรียนว่า โดยที่หนังสือสานักงาน ก.พ. ที่ นร 1011/ว 26 ลงวันที่ 17
กันยายน 2547 ได้ซักซ้อมเก่ียวกับหลักเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติเก่ียวกับการร้องเรียน และการสอบสวน
เร่ืองราวร้องเรียนกล่าวโทษข้าราชการว่ากระทาผิดวินัยตามมติคณะรัฐมนตรี โดยมีแนวทางปฏิบัติในข้อ 1.
และข้อ 2. ว่าเม่ือผู้บังคับบัญชาได้รับเรื่องราวกล่าวโทษข้าราชการในเบื้องต้นให้ถือเป็นความลับของ
ทางราชการ หากเปน็ บตั รสนเท่ห์ให้พิจารณาเฉพาะรายที่ระบุหลักฐาน กรณีแวดล้อมปรากฏชัดแจ้ง ตลอดจน
ชพี้ ยานบุคคลแน่นอนเท่านนั้ แล้วสง่ สาเนาเร่อื งราวกล่าวโทษข้าราชการโดยปิดชื่อผู้ร้องหรือสาเนาบัตรสนเท่ห์
ใหผ้ บู้ ังคับบัญชาของผถู้ ูกกล่าวโทษทาการสืบสวนทางลบั ว่ามีมูลความจริงเพียงใดหรือไม่ ถ้าเห็นว่ากรณีไม่มีมูล
ที่ควรกล่าวหาว่ากระทาผิดวินัยจึงจะยุติเร่ืองได้ ท้ังนี้ ให้รีบดาเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็ว แล้วรายงาน
ให้ผู้บังคับบัญชาท่ีได้รับเรื่องราวทราบต่อไป การท่ีคณะรัฐมนตรีกาหนดแนวทางปฏิบัติดังกล่าวเน่ืองจาก
โดยลักษณะของเรื่องร้องเรียนกล่าวหาและบัตรสนเท่ห์แล้วอาจมีแหล่งที่มาท้ังที่เชื่อถือได้และเช่ือถือ
ไม่ได้ กล่าวคือยังไม่มีข้อเท็จจริงแน่ชัดว่ากรณีมีมูลอันควรกล่าวหาว่าข้าราชการผู้ที่ถูกร้องเรียนกระทาผิดวินัย
หรือไม่ อย่างไร หากมีการสืบสวนในลักษณะท่ีเปิดเผยต่อสาธารณชนแล้วอาจจะเป็นการทาให้ผู้ถูกกล่าวหา
เสื่อมเสียช่ือเสียงท้ังที่ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าผู้ถูกกล่าวหามีพฤติการณ์ตามท่ีถูกร้องเรียนกล่าวโทษจริงหรือไม่
อีกทั้งยังอาจทาให้ภาพลักษณ์ของหน่วยงานนั้นเองถูกมองไปในทางที่เสื่อมเสียได้อีกด้วย อย่างไรก็ดี
การสืบสวนในทางลับน้ัน มีจุดมุ่งหมายในเบ้ืองต้นเพียงเพื่อไม่ให้เร่ืองร้องเรียนดังกล่าวเผยแพร่ออกไปก่อน
ที่จะมีพยานหลักฐานพอท่ีจะพิสูจน์ว่าเร่ืองดังกล่าวมีมูลกรณีท่ีจะดาเนินการทางวินัยได้หรือไม่เท่าน้ัน ดังนั้น
ในการสืบสวนเรื่องราวกล่าวโทษข้าราชการจึงจาเป็นต้องดาเนินการในทางลับ แต่ก็อาจจะเรียกผู้ถูกร้องเรียน
39
หรือพยานบุคคลท่ีเก่ียวข้องมาให้ข้อมูลก็ได้ โดยผู้ดาเนินการสืบสวนไม่ควรแจ้งให้ผู้ถูกร้องเรียนทราบว่า
ถูกร้องเรียนและควรกาชับผู้มาให้ถ้อยคาว่าเร่ืองดังกล่าวยังเป็นความลับของราชการอยู่หากเปิดเผยอาจ
มีความผดิ ทางวินัยได้ด้วย
จึงเรยี นมาเพือ่ โปรดทราบ
ขอแสดงความนบั ถือ
(นางสาววนดิ า นวลบุญเรอื ง)
รองเลขาธิการ ก.พ.
ปฏบิ ตั ริ าชการแทนเลขาธกิ าร ก.พ.
สานักมาตรฐานวนิ ัย
โทร. 0 2281 8677
โทรสาร 0 2628 6204
40
ท่ี นร 1011/363 สานกั งาน ก.พ.
ถนนพิษณุโลก กทม. 10300
๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๒
เรือ่ ง หารอื การดาเนนิ การทางวินยั
เรียน อธิบดีกรมส่งเสรมิ คุณภาพสิ่งแวดลอ้ ม
อา้ งถงึ หนังสือกรมส่งเสริมคุณภาพส่ิงแวดล้อม ด่วนที่สุด ที่ ทส ๐๘๐๑/๖๕๘๗ ลงวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน
๒๕๕1
ตามหนังสือที่อ้างถึง กรมส่งเสริมคุณภาพส่ิงแวดล้อมได้หารือปัญหาการดาเนินการทางวินัย
แก่ข้าราชการรายนาง ก. เจ้าพนักงานธุรการอาวุโส และนางสาว ข. เจ้าพนักงานธุรการชานาญงาน
โดยแจ้งข้อเท็จจริงและส่งเอกสารไปเพื่อประกอบการพิจารณาสรุปได้ว่า สานักงานการตรวจเงินแผ่นดิน
ได้เข้าตรวจสอบงบการเงินของกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อมประจาปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕4๗ ต่อเน่ือง
ถึงปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕49 พบข้อบกพร่องทางการเงินท่ีสาคัญในการปฏิบัติหน้าท่ีของบุคคลทั้งสอง
สานักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้รายงานผลการตรวจสอบดังกล่าวตลอดจนทักท้วงและขอทราบข้อมูล
เกี่ยวกับวิธีปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่มายังกรมส่งเสริมคุณภาพส่ิงแวดล้อมเป็นระยะ ๆ กรมส่งเสริมคุณภาพ
สิง่ แวดล้อมจงึ ทยอยมคี าส่งั แต่งตงั้ คณะกรรมการสืบสวน ตลอดจนคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยหลายคาส่ัง
เพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติต่อไป กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อมจึงหารือว่า ในกรณีเช่นน้ี กรมส่งเสริม
คุณภาพสิ่งแวดล้อมสามารถรวมข้อเท็จจริง ตลอดจนผลการสอบสวนข้อเท็จจริงแต่ละกรณี แล้วแต่งต้ัง
คณะกรรมการสืบสวนหรือคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยเพียง ๑ หรือ ๒ คณะได้หรือไม่ และหากผล
การสอบสวนทางวินัยปรากฏว่าบุคคลท้ังสองกระทาผิด กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อมสามารถรวม
การกระทาผิดวินัยทุกคาสั่งแล้วลงโทษแต่ละคนด้วยโทษสถานสูงสุดเพียงสถานเดียวได้หรือไม่ อย่างไร
ความละเอียดแจง้ แลว้ นัน้
ก.พ.พิจารณาแล้วเหน็ ว่า ในการแต่งต้ังคณะกรรมการสบื สวนหรอื คณะกรรมการสอบสวนนั้น
มาตรา ๙๑ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ ได้บัญญัติว่า “เม่ือได้รับรายงาน
ตามมาตรา 9๐ หรือความดังกล่าวปรากฏต่อผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอานาจส่ังบรรจุตามมาตรา ๕๗
ให้ผู้บังคับบัญชาซ่ึงมีอานาจสั่งบรรจุตามมาตรา ๕๗ รีบดาเนินการหรือส่ังให้ดาเนินการสืบสวนหรือพิจารณา
ในเบ้ืองต้นว่ากรณีมีมูลท่ีควรกล่าวหาว่าผู้น้ันกระทาผิดวินัยหรือไม่ ถ้าเห็นว่ากรณีไม่มีมูลที่ควรกล่าวหาว่า
กระทาผิดวินยั ก็ให้ยุตเิ รือ่ งได้” และมาตรา ๙๑ วรรคสอง ไดบ้ ัญญตั วิ ่า “ในกรณีที่เห็นว่ามีมูลที่ควรกล่าวหาว่า
ข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดกระทาผิดวินัย โดยมีพยานหลักฐานในเบ้ืองต้นอยู่แล้ว ให้ดาเนิ นการต่อไป
ตามมาตรา ๙๒ หรือมาตรา 9๓ แล้วแต่กรณี” สาหรับกรณีที่หารือ การที่สานักงานการตรวจเงินแผ่นดิน
41
ทยอยรายงานผลการตรวจสอบงบการเงินต่อกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อมมาเป็นระยะ ๆ การรายงาน
แต่ละครั้งถือได้ว่าเป็นการกล่าวหาหรือมีกรณีเป็นที่สงสัยว่าข้าราชการกระทาผิดวินัย กรมส่งเสริมคุณภาพ
สิ่งแวดลอ้ มจงึ สามารถทีจ่ ะมคี าสงั่ แต่งต้งั คณะกรรมการสืบสวนในแต่ละคร้ังทีไ่ ด้รบั รายงานและสามารถแต่งต้ัง
คณะกรรมการสอบสวนทางวินัยได้ทุกครั้งที่ปรากฏว่าผลการสืบสวนแต่ละคร้ังมีมูล ส่วนการที่กรมส่งเสริม
คณุ ภาพส่งิ แวดล้อมจะสามารถแต่งตง้ั คณะกรรมการสืบสวนตลอดจนคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยเพียง ๑
หรือ ๒ คณะ ได้หรือไม่น้ันเป็นเรื่องท่ีต้องพิจารณาจากข้อเท็จจริงว่าการรายงานหรือการกล่าวหาดังกล่าว
ได้ดาเนินการมาในช่วงเวลาเดียวกันหรือใกล้เคียงกันหรือไม่ หากเกิดข้ึนในช่วงเวลาเดียวกันหรือใกล้เคียงกัน
กส็ ามารถทีจ่ ะรวมดาเนินการไปในคราวเดยี วกันได้
ส่วนการส่ังลงโทษนั้น มาตรา ๘9 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑
ได้บัญญัติว่า“การลงโทษข้าราชการพลเรือนสามัญให้ทาเป็นคาส่ัง ผู้สั่งลงโทษต้องสั่งลงโทษให้เหมาะสมกับ
ความผิดและต้องเป็นไปด้วยความยุติธรรมและโดยปราศจากอคติ...” ซ่ึงมีจุดมุ่งหมายให้ข้าราชการซึ่งกระทา
ผิดวินัยรู้สึกตัวว่าสิ่งท่ีตนกระทานั้นเป็นความผิดและต้องถูกลงโทษอย่างเหมาะสม การท่ีผู้ถูกกล่าวหากระทาผิด
หลายครั้งหลายหนต่างวาระกันจึงเป็นเร่ืองที่ผู้มีอานาจต้องใช้ดุลพินิจในการพิจารณาสั่งลงโทษให้เหมาะสม
ภายใตก้ รอบกฎหมายดงั กลา่ วด้วย โดยตอ้ งพิจารณาจากการกระทาและเจตนาของผกู้ ระทาเป็นประการสาคัญ
วา่ ผ้กู ระทาประสงค์ต่อผลซึ่งเป็นความผิดต่างกันอย่างไร เพื่อที่จะสามารถแยกผลการกระทาผิดท่ีเกิดขึ้นได้ว่า
สมควรจะรวมพิจารณาและสั่งลงโทษไปในคร้ังเดียวกัน หรือต้องแยกพิจารณาและส่ังลงโทษเป็นเรื่อง ๆ ไป
สาหรับกรณีที่หารือ หากกรมส่งเสริมคุณภาพส่ิงแวดล้อมพิจารณาเห็นว่าการกระทาของผู้ถูกกล่าวหาทั้งสอง
เป็นการกระทาที่เป็นผลจากเจตนาในลักษณะเดียวกันต่อเนื่องกันมา กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม
กส็ ามารถที่จะรวมการกระทาทุกคาส่ังแล้วสั่งลงโทษดว้ ยโทษสถานใดสถานหนึ่งทเ่ี หมาะสมได้
จึงเรยี นมาเพอื่ โปรดทราบ
ขอแสดงความนับถอื
สมโภชน์ นพคณุ
(นายสมโภชน์ นพคณุ )
รองเลขาธิการ ก.พ.
ปฏบิ ัติราชการแทนเลขาธกิ าร ก.พ.
สานกั มาตรฐานวนิ ัย
โทร. ๐ ๒๕47 ๑๖๓๑
โทรสาร ๐ ๒๕๔๗ ๑๖30
42
ท่ี นร 1011/ล 406 สานักงาน ก.พ.
ถนนพิษณุโลก กทม. 10300
31 สงิ หาคม ๒๕๕๓
เรอื่ ง ขอหารือปญั หาการดาเนินการทางวินยั ขา้ ราชการ
เรยี น ปลัดกระทรวงการคลงั
อา้ งถงึ หนงั สือ อ.ก.พ.กระทรวงการคลงั ลับ ท่ี กค ๐๒๐๕.4 (อ.ก.พ.)/9๑ ลงวันที่ ๒ พฤศจกิ ายน ๒๕๕๒
ตามหนังสือที่อ้างถึง แจ้งข้อเท็จจริงว่า ผู้อานวยการสานักงานสรรพสามิตภาคท่ี ๓ ซ่ึงเป็น
ผู้รับมอบอานาจให้ปฏิบัติราชการแทนอธิบดีกรมสรรพสามิตมีคาสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการดาเนินการทางวินัย
นาย ส. โดยระบุรายละเอียดในคาสั่งว่ามีพฤติกรรมไม่มาปฏิบัติหน้าที่ราชการเป็นประจาโดยไม่มีการลาหยุด
ใช้กิริยาวาจาไม่สุภาพ โดยอ้างว่ามีผู้ใหญ่หนุนหลังทาให้ไม่กลัวใคร ปรากฏผลการสอบสวนข้อเท็จจริงมีมูล
กรณเี ดยี วคือ กรณีไม่มาปฏิบัติหน้าท่ีราชการเป็นประจา แต่คณะกรรมการสอบสวนได้ทาการแจ้งข้อกล่าวหา
นาย ส. ดงั น้ี
๑. ไม่ได้ปฏิบัติตามคาส่ังออกตรวจและไม่ได้ออกตรวจร่วมกับสายตรวจของสานักงาน
สรรพสามิตพ้ืนทรี่ อ้ ยเอ็ด ตามคาสั่งของกรมสรรพสามติ
๒. ไมล่ งลายมือช่อื ในสมุดมาปฏิบัตริ าชการ
ทั้งสองกรณีเป็นการดาเนินการท่ีเกินและไม่ตรงกับข้อเท็ จจริงท่ีปรากฏในคาสั่ง
แต่งตั้งคณะกรรมการดาเนินการทางวินัย อ.ก.พ.กระทรวงการคลัง จึงหารือว่า คณะกรรมการดาเนินการ
ทางวินัยจะมีอานาจแจ้งข้อกล่าวหาในลักษณะดังกล่าว และเป็นการแจ้งข้อกล่าวหาโดยชอบด้วยกฎหมาย
ตามนัยมาตรา 9๒ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ หรือไม่ หากการแจ้ง
ข้อกลา่ วหาดังกล่าวไมช่ อบดว้ ยกฎหมายจะตอ้ งดาเนินการอย่างไร ความละเอียดแจ้งแลว้ นั้น
สานักงาน ก.พ. พิจารณาแล้วเห็นว่า การดาเนินการทางวินัยอย่างไม่ร้ายแรง มาตรา 9๒
แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ ได้กาหนดให้ต้องทาการแจ้งข้อกล่าวหา และ
สรุปพยานหลักฐานให้ผู้ถูกกล่าวหาทราบ พร้อมท้ังรับฟังคาช้ีแจงของผู้ถูกกล่าวหา ส่วนหลักเกณฑ์ วิธีการ
จะต้องทาอย่างไรน้ัน ขณะน้ี ก.พ. ยังมิได้ตรากฎ ก.พ. สาหรับกรณีออกมาใช้บังคับ การดาเนินการจึงต้อง
เป็นไปตามหลักเกณฑ์ และวิธีการตามหนังสือสานักงาน ก.พ. ที่ นร ๑๐๑1/ว 19 ลงวันที่ 1๔ กรกฎาคม
๒๕4๗ ประกอบมาตรา ๑๓๒ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ ซึ่งในส่วนของ
การแจ้งข้อกล่าวหา ข้อ ๒.๑ ได้กาหนดว่า “เรียกให้ผู้ถูกกล่าวหามาแจ้งและอธิบายข้อกล่าวหาที่ปรากฏ
ตามเร่ืองกล่าวหาให้ทราบ...” การแจ้งข้อกล่าวหาจึงเป็นรายละเอียดท่ีต้องอยู่ในกรอบของเร่ืองกล่าวหา
หากการดาเนินการทางวินัยพบว่ามีเร่ืองอื่นนอกเหนือไปจากเรื่องกล่าวหา คณะกรรมการดังกล่าวก็ต้อง
43
รายงานให้ผูม้ อี านาจทราบเพือ่ ประกอบการพจิ ารณาดาเนินการต่อไป ไม่อาจพิจารณาแจ้งข้อกล่าวหาเพ่ิมเติม
ไปจากเรื่องที่กล่าวหาได้ เพราะจะเป็นการกระทานอกเหนืออานาจท่ีได้รับมอบหมาย การท่ีคณะกรรมการ
ดาเนินการทางวินัยแจ้งข้อกล่าวหานอกเหนือเรื่องกล่าวหาจึงทาให้การสอบสวนในกรณีน้ันเสียไป ดังน้ัน
เมื่อคาสั่งแต่งต้ังคณะกรรมการดาเนินการทางวินัยนาย ส. ได้ระบุว่าปรากฏผลการสอบสวนข้อเท็จจริงว่า
มีมูลความจริงในกรณีเดียวคือ กรณีไม่มาปฏิบัติหน้าที่ราชการเป็นประจา การแจ้งข้อกล่าวหาก็ต้องแจ้ง
รายละเอียดภายในกรอบของเร่ืองกล่าวหานี้เท่าน้ัน การที่คณะกรรมการดังกล่าวแจ้งข้อกล่าวหา นาย ส.
วา่ ไมไ่ ดป้ ฏิบตั ติ ามคาสงั่ ออกตรวจและไม่ได้ออกตรวจร่วมกับสายตรวจของสานักงานสรรพสามิตพื้นที่ร้อยเอ็ด
ตามคาส่ังของกรมสรรพสามิต จึงเป็นการแจ้งข้อกล่าวหาท่ีเกินข้อเท็ จจริงที่ปรากฏในคาสั่งแต่งต้ัง
คณะกรรมการดาเนินการทางวินัย ดังความเห็นของ อ.ก.พ.กระทรวงการคลัง การแจ้งข้อกล่าวหาดังกล่าว
จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายตามนัยมาตรา 9๒ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑
ซ่ึงถือเป็นสาระสาคัญที่ทาให้การดาเนินการสอบสวนน้ันเสียไป สาหรับการแจ้งข้อกล่าวหากรณีไม่ลงลายมือช่ือ
ในสมุดมาปฏิบัติราชการน้ันเป็นการแจ้งข้อกล่าวหาท่ียังถือได้ว่าอยู่ในกรอบของเรื่องที่กล่าวหา ดังน้ัน
การดาเนินการทางวินัยนาย ส. ในกรณอี ื่นนอกเหนือจากเร่ืองท่ีระบไุ ว้ในคาสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการดาเนินการ
ทางวินยั จึงตอ้ งใหผ้ บู้ ังคับบัญชาซึง่ มอี านาจส่งั บรรจุตามมาตรา ๕๗ ดาเนินการทางวินยั ใหม่
จงึ เรยี นมาเพือ่ โปรดทราบ
ขอแสดงความนบั ถือ
สมโภชน์ นพคณุ
(นายสมโภชน์ นพคุณ)
รองเลขาธกิ าร ก.พ.
ปฏบิ ัตริ าชการแทนเลขาธิการ ก.พ.
สานักมาตรฐานวนิ ัย
โทร. ๐ ๒๕47 ๑๖๓๑
โทรสาร ๐ ๒๕๔๗ ๑๖30
44
ที่ นร 1011/ล 214 สานกั งาน ก.พ.
ถนนพิษณุโลก กทม. 10300
6 มีนาคม 2546
เรอื่ ง หารือการดาเนินการทางวินยั ข้าราชการ
เรยี น อธิบดีกรมสรรพสามติ
อา้ งถึง หนงั สือกรมสรรพสามติ ลบั ท่ี กค 0602/043 ลงวนั ที่ 12 กุมภาพนั ธ์ 2546
สิง่ ทีส่ ง่ มาดว้ ย สาเนารายงานการสอบสวน และเอกสารทีเ่ กีย่ วขอ้ ง จานวน 230 แผ่น
ตามหนังสือท่ีอ้างถึง กรมสรรพสามิตแจ้งว่าจังหวัดเชียงใหม่ได้มีคาส่ังแต่งต้ังคณะกรรมการ
สอบสวนวินัยอย่างร้ายแรงแก่นาย ก. เจ้าพนักงานสรรพสามิต 6 สานักงานสรรพสามิต อาเภอสันกาแพง
จังหวัดเชียงใหม่ ซ่ึงคณะกรรมการสอบสวนได้ทาการสอบสวนแล้วเสนอสานวนรายงานการสอบสวน
ต่อจังหวัดเชียงใหม่เพ่ือพิจารณา ขณะท่ีอยู่ระหว่างการพิจารณาของจังหวัดเชียงใหม่ ได้มีกฎกระทรวง
แบง่ สว่ นราชการกรมสรรพสามิต กระทรวงการคลัง พ.ศ. 2545 และประกาศกระทรวงการคลังเรื่องกาหนด
และแบ่งส่วนราชการตามกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมสรรพสามิต กระทรวงการคลัง พ.ศ. 2545
มีผลใช้บังคับแล้ว โดยกาหนดและแบ่งอานาจหน้าท่ีในเขตท้องท่ีสาหรับสานักงานสรรพสามิตภาค สานักงาน
สรรพสามิตพ้ืนท่ี และสานักงานสรรพสามิตสาขา เป็นส่วนราชการในราชการบริหารส่วนกลางของ
กรมสรรพสามิต ดังนั้น สานักงานสรรพสามิตพื้นที่เชียงใหม่จึงได้ขอถอนเรื่องรายงานการสอบสวนวินัยจาก
จังหวัดเชียงใหม่ แล้วรายงานพร้อมทั้งส่งสานวนการสอบสวนให้กรมสรรพสามิตพิจารณา กรมสรรพสามิต
จึงหารือไปยัง ก.พ. รวม 2 ข้อ พร้อมทั้งได้ส่งสาเนารายงานการสอบสวนและเอกสารท่ีเกี่ยวข้องไปเพื่อ
ประกอบการพจิ ารณาของ ก.พ. ดว้ ย ความละเอยี ดแจ้งแลว้ น้ัน
สานกั งาน ก.พ. ได้พจิ ารณาแล้ว มคี วามเหน็ ดงั น้ี
1. ข้อท่ีหารือว่า กรมสรรพสามิตสามารถใช้สานวนรายงานการสอบสวนวินัยของจังหวัดเชียงใหม่
มาพิจารณาดาเนินการทางวินัยแก่นาย ก. ต่อไปได้หรือไม่ อย่างไร หรือกรมสรรพสามิตจะต้องแต่งต้ัง
คณะกรรมการสอบสวนเพ่ือทาการสอบสวนวนิ ยั ข้าราชการผู้นี้ใหม่อีกคร้ังนั้น
สานักงาน ก.พ. ขอเรียนว่า ในกรณีท่ีได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการข้ึนทาการสอบสวน
ขา้ ราชการพลเรือนที่มีกรณีถูกกล่าวหาว่ากระทาผิดวินัยอย่างร้ายแรงไว้แล้ว ก.พ. ได้เคยพิจารณามีความเห็น
ไว้ว่า พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 ได้กาหนดหลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับ
การสอบสวนและวิธีพิจารณาดาเนินการตามลาดับ ทาให้เห็นเจตนารมณ์ของกฎหมายได้ว่าประสงค์
จ ะ ใ ห้ ค ณ ะ ก ร ร ม ก า ร ส อ บ ส ว น ต ล อ ด จ น ผู้ บั ง คั บ บั ญ ช า ด า เ นิ น ก า ร เ กี่ ย ว กั บ ก า ร ส อ บ ส ว น แ ล ะ พิ จ า ร ณ า
ไปตามลาดับจนเสร็จกระบวนวิธีการ และไม่ได้ให้อานาจผู้บั งคับบัญชาท่ีจะส่ังยกเลิกคาสั่งแต่งต้ัง
45
คณะกรรมการสอบสวนหรือระงับการสอบสวนของคณะกรรมการสอบสวนที่ได้สั่งแต่งต้ังขึ้นโดยชอบด้วย
กฎหมายแล้วแต่อย่างใด แม้ในระหว่างการสอบสวนจะมีการสั่งให้ข้าราชการผู้ถูกกล่าวหาผู้น้ันไปอยู่นอก
บงั คบั บัญชาของผสู้ ั่งแต่งตงั้ คณะกรรมการสอบสวน ก็ใหค้ ณะกรรมการสอบสวนทาการสอบสวนต่อไปจนเสร็จ
แล้วทารายงานการสอบสวนและเสนอสานวนการสอบสวนต่อผู้สั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนเพื่อตรวจสอบ
ความถูกต้องในกระบวนการสอบสวน และให้ผู้ส่ังแต่งต้ังคณะกรรมการสอบสวนส่งเร่ืองให้ผู้บังคับบัญชา
คนใหม่ของผู้ถูกกล่าวหาดาเนินการต่อไป ท้ังนี้ไม่ได้ให้อานาจผู้บังคับบัญชาคนใหม่แต่งตั้งคณะกรรมการ
สอบสวนเพือ่ ทาการสอบสวนทางวินยั ใหมอ่ กี คร้ังแต่อย่างใด ยกเว้นกรณีตามข้อ 34 ของกฏ ก.พ. ฉบับท่ี 18
(พ.ศ. 2540) ว่าด้วยการสอบสวนพิจารณา ซ่ึงได้กาหนดว่า “ในกรณีที่ปรากฏว่าการแต่งตั้งคณะกรรมการ
สอบสวนไม่ถูกต้องตามข้อ 3 ให้การสอบสวนท้ังหมดเสียไป ในกรณีเช่นน้ี ให้ผู้มีอานาจตามมาตรา 102
มาตรา 109 วรรคสาม หรอื มาตรา 115 แลว้ แต่กรณี แต่งตง้ั คณะกรรมการสอบสวนใหมใ่ ห้ถูกตอ้ ง”
สาหรับเร่ืองนี้ จังหวัดเชียงใหม่ได้ส่ังแต่งต้ังคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยอย่างร้ายแรง
แก่นาย ก. โดยอาศัยอานาจตามมาตรา 102 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535
ซ่ึงถือว่าเป็นคาส่ังท่ีชอบด้วยกฎหมาย เม่ือคณะกรรมการสอบสวนได้สอบสวนเสร็จแล้ว และเรื่องอยู่ในระหว่าง
การพจิ ารณาของจังหวดั เชียงใหม่ ข้าราชการผนู้ ไ้ี ดเ้ ปล่ียนฐานะเป็นข้าราชการในราชการบริหารส่วนกลางของ
กรมสรรพสามิต ตามกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมสรรพสามิต กระทรวงการคลัง พ.ศ. 2545 และ
ประกาศกระทรวงการคลงั เรื่องกาหนดและแบ่งส่วนราชการตามกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมสรรพสามิต
กระทรวงการคลัง พ.ศ. 2545 ซึ่งทาให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ไม่ได้เป็นผู้บังคับบัญชาของข้าราชการ
ผู้น้ีต่อไป แต่โดยท่ีข้อ 29 ของกฎ ก.พ. ฉบับที่ 18 (พ.ศ. 2540) ว่าด้วยการสอบสวนพิจารณา ได้กาหนด
ให้ผู้สั่งแต่งต้ังคณะกรรมการสอบสวนมีหน้าที่ตรวจสอบความถูกต้องของสานวนการสอบสวน แล้วส่งเรื่องให้
ผู้บังคับบัญชาคนใหม่ดาเนินการตามอานาจหน้าท่ีต่อไป ดังนั้น กรณีนี้ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ในฐานะ
ผู้สั่งแต่งต้ังคณะกรรมการสอบสวน จึงยังคงมีหน้าท่ีต้องพิจารณาดาเนินการให้ครบถ้วนตามข้อ 29
แล้วจึงส่งเรอ่ื งให้อธิบดกี รมสรรพสามิตดาเนินการต่อไป โดยกรมสรรพสามติ ต้องนาสานวนรายงานการสอบสวน
วินัยของจังหวัดเชียงใหม่มาประกอบการพิจารณาดาเนินการตามท่ีกาหนดไว้ในข้อ 32 ของกฎ ก.พ.
ฉบับดังกล่าว ทั้งนี้ กรมสรรพสามิตไม่มีอานาจแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนเพ่ือทาการสอบสวนวินัย
แก่ข้าราชการผนู้ ีใ้ หม่อีก
2. ข้อที่หารือว่า กรณีท่ีกรมสรรพสามิตสามารถท่ีจะใช้สานวนรายงานการสอบสวนของ
จังหวดั เชียงใหมพ่ จิ ารณาตอ่ ไปไดน้ ั้น ถ้าจะต้องมีการสอบสวนเพิม่ เติม หรือสอบสวนใหม่แล้ว กรมสรรพสามิต
จะดาเนินการอย่างไร ทั้งน้ี กรมสรรพสามิตสามารถท่ีจะแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้ึนทาการสอบสวน
เพ่ิมเติม หรือสอบสวนใหม่ไดห้ รอื ไม่ หรอื จะตอ้ งส่งเรอ่ื งใหจ้ งั หวดั เชียงใหม่เป็นผู้ดาเนินการตอ่ ไป นนั้
สานกั งาน ก.พ. ขอเรียนว่า ตามกฎ ก.พ. ฉบับท่ี 18 (พ.ศ. 2540) ว่าด้วยการสอบสวน
พิจารณา ข้อ 33 วรรคหนึ่ง ได้กาหนดว่า “ในกรณีท่ีผู้สั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนหรือผู้มีอานาจตาม
มาตรา 102 มาตรา 109 วรรคสาม มาตรา 115 หรือ อ.ก.พ. กระทรวง อ.ก.พ.กรม........ แล้วแต่กรณี
46
เห็นสมควรให้สอบสวนเพ่ิมเติมประการใด ให้กาหนดประเด็นพร้อมท้ังส่งเอกสารที่เกี่ยวข้องไปให้คณะกรรมการ
สอบสวนคณะเดมิ เพอื่ ดาเนินการสอบสวนเพิ่มเติมได้ตามความจาเป็น” และวรรคสองได้กาหนดว่า “ในกรณี
ท่ีคณะกรรมการสอบสวนคณะเดิมไม่อาจทาการสอบสวนได้ หรือผู้ส่ังสอบสวนเพ่ิมเติมเห็นเป็นการสมควร
จะแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนคณะใหม่ข้ึนทาการสอบสวนเพิ่มเติมก็ได้ ” ดังน้ัน ตามกรณีท่ีหารือนี้
เม่ืออานาจการดาเนินการทางวินัยแก่ข้าราชการผู้น้ีของจังหวัดเชียงใหม่โอนกลับมาเป็นอานาจของกรม
สรรพสามิตแล้ว หากกรมสรรพสามิตเห็นสมควรให้สอบสวนเพิ่มเติม ก็ให้กาหนดประเด็นส่งเรื่องไปให้
คณะกรรมการสอบสวนคณะเดิมเพ่ือดาเนินการสอบสวนเพิ่มเติมก็ได้ ส่วนในกรณีท่ีคณะกรรมการสอบสวน
คณะเดิมไม่อาจทาการสอบสวนได้ หรือกรมสรรพสามิตซึ่งเป็นผู้ส่ังสอบสวนเพิ่มเติมเห็นเป็นการสมควร
จะแตง่ ต้งั คณะกรรมการสอบสวนคณะใหมข่ ้ึนทาการสอบสวนเพิ่มเติมก็ได้ ทั้งนี้ให้นาข้อ 3 และข้อ 4 ของกฎ
ก.พ. ฉบับที่ 18 (พ.ศ. 2540) มาใช้บังคบั โดยอนุโลม
จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ พร้อมนี้ได้ส่งสาเนารายงานการสอบสวน และเอกสารเกี่ยวข้อง
จานวน 230 แผน่ คืนมาดว้ ยแลว้
ขอแสดงความนับถอื
(นางสุภาวดี เวชศิลป)์
ผูอ้ านวยการสานักมาตรฐานวินัย
แทนเลขาธกิ าร ก.พ.
สานกั มาตรฐานวนิ ยั
โทร. 0 2281 8677
โทรสาร 0 2628 6204
ท่ี นร 1011/ล 564 47
สานกั งาน ก.พ.
ถนนพิษณุโลก กทม. 10300
29 กันยายน 2549
เร่ือง หารือแนวทางปฏบิ ัติเกี่ยวกบั การดาเนินการทางวินยั
เรยี น ปลดั กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
อา้ งถงึ หนงั สอื กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ดว่ นท่สี ุด ที่ กษ 0202/7603 ลงวันท่ี 14 กันยายน 2549
ตามหนังสือที่อ้างถึง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์หารือแนวทางปฏิบัติเก่ียวกับการ
ดาเนนิ การทางวินยั โดยแจง้ ข้อเทจ็ จรงิ วา่ สานกั งานการปฏริ ูปท่ีดินเพ่ือเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) ได้รายงานผลการ
ตรวจสอบข้อเท็จจริงของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณี ส.ป.ก. มอบหมายให้องค์การสงเคราะห์
ทหารผา่ นศึกดาเนินการรงั วัดทด่ี นิ แปลงท่ดี ินชุมชนโดยมชิ อบและไดช้ ม้ี ลู ความผิดวินัยอย่างร้ายแรงข้าราชการ
ในสังกัด จานวน 10 ราย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงมีคาส่ังแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่าง
รา้ ยแรงข้าราชการดังกลา่ ว ตอ่ มาผถู้ ูกกลา่ วหาได้มีหนังสืออุทธรณ์คาส่ังแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน อ้างว่า
ไม่ได้รับความเป็นธรรมเพราะไม่เคยมีโอกาสชี้แจงข้อเท็จจริงในประเด็นท่ีมีการชี้มูลความผิด จึงขอโอกาสได้
ช้ีแจงข้อเท็จจริงต่อคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงท่ี ส.ป.ก. แต่งต้ัง และขอให้ยกเลิกคาส่ังแต่งต้ัง
คณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรงก่อน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้พิจารณาแล้วเห็นว่ากรณี
ดังกล่าวไม่มีกฎหมายหรือระเบียบกาหนดแนวทางการปฏิบัติไว้จึงขอหารือไปยัง ก.พ.ถึงแนวทางปฏิบัติในเรื่องน้ี
ดังนี้
1. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะส่งเรื่องให้ ส.ป.ก. ดาเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง
โดยให้ผู้ถูกกล่าวหาช้ีแจงเพิ่มเติมแล้วให้เสนอความเห็นกลับมายังกระทรวงเกษตรและสหกรณ์อีกคร้ังหน่ึง
ได้หรือไม่ อยา่ งไร
2. หาก ส.ป.ก. รายงานความเห็นการตรวจสอบข้อเท็จจริงเพิ่มเติมตามข้อ 1. โดยมีความเห็น
แตกต่างไปจากการชี้มูลความผิดในครั้งแรก กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะทาการยกเลิกหรือแก้ไขเพ่ิมเติม
คาส่ังแต่งต้ังคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรงดังกล่าวได้หรือไม่เพียงใด ความละเอียดแจ้งแล้ว นั้น
48
สานักงาน ก.พ. ได้พิจารณาปัญหาที่หารือทั้งสองประการดังกล่าวแล้ว ขอเรียนว่า
ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 มาตรา 99 ได้บัญญัติให้ผู้บังคับบัญชามีหน้าที่
ดาเนินการทางวินยั แกผ่ ้ใู ตบ้ ังคบั บญั ชาซ่งึ มีกรณีอันมีมูลที่ควรกล่าวหาว่ากระทาผิดวินัย หากปรากฏกรณีมีมูล
ท่ีควรกล่าวหาโดยมีพยานหลักฐานในเบื้องต้นอยู่แล้ว ให้ผู้บังคับบัญชาดาเนินการทางวินัยทันที แต่หากเป็น
กรณีท่ีมีการกล่าวหาโดยปรากฏตัวผู้กล่าวหา หรือมีกรณีเป็นที่สงสัยโดยไม่มีพยานหลักฐานให้ผู้บังคับบัญชา
รบี ดาเนินการสืบสวน หรือพิจารณาในเบ้ืองต้นว่ากรณีมีมูลที่ควรกล่าวหาว่าผู้นั้นกระทาผิดวินัยหรือไม่...ฯลฯ
โดยวิธกี ารสอบข้อเท็จจรงิ หรอื สืบสวนข้อเท็จจรงิ เพอื่ แสวงหาข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานในการท่ีจะดาเนินการ
ทางวินัยแก่ข้าราชการท่ีถูกกล่าวหาต่อไป และโดยท่ีในการสอบข้อเท็จจริงหรือสืบสวนข้อเท็จจริงน้ีไม่มี
กฎหมายหรือระเบียบใดกาหนดแนวทางปฏิบัติไว้ ผู้บังคับบัญชาจึงอาจจะดาเนินการโดยวิธีการอย่างใดก็ได้
โดยจะดาเนินการเองหรือมอบหมายให้ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาให้ดาเนินการแทนหรือแต่งตั้งคณะกรรมการ
สอบข้อเทจ็ จริงหรือสืบสวนข้อเท็จจริงกไ็ ด้
ส่วนการสอบสวนทางวินัยนั้น พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535
มาตรา 102 วรรคหน่ึง และวรรคสอง ได้บัญญัติให้ผู้บังคับบัญชาต้องดาเนินการสอบสวนเพ่ือให้ได้ความจริง
และยุติธรรม โดยการสอบสวนกรณีกล่าวหาว่ากระทาผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรงให้ดาเนินการตามวิธีการ
ท่ผี ู้บงั คบั บญั ชาเห็นสมควร สว่ นกรณีกลา่ วหาวา่ กระทาผดิ วินยั อย่างร้ายแรงใหแ้ ตง่ ต้งั คณะกรรมการข้ึนทาการ
สอบสวน เว้นแต่ในกรณีที่เป็นกรณีความผิดที่ปรากฏชัดแจ้งตามท่ีกาหนดในกฎ ก.พ.เท่านั้น ผู้บังคับบัญชา
จึงจะดาเนนิ การทางวินัยโดยไม่สอบสวนก็ได้
ในกรณีที่มีการแต่งต้ังคณะกรรมการขึ้นทาการสอบสวนข้าราชการพลเรือนที่มีกรณี
ถูกกลา่ วหาว่ากระทาผิดวนิ ัยอยา่ งร้ายแรงไว้แลว้ ตามพระราชบัญญัติดังกล่าวได้กาหนดหลักเกณฑ์และวิธีการ
เกี่ยวกับการสอบสวนและวิธีพิจารณาดาเนินการตามลาดับ ทาให้เห็นเจตนารมณ์ของกฎหมายได้ว่าประสงค์
จะให้คณะกรรมการสอบสวน ตลอดจนผู้บังคับบัญชาดาเนินการเก่ียวกับการสอบสวนและพิจารณา
ไปตามลาดับจนเสร็จกระบวนวิธีการ และไม่ได้ให้อานาจผู้บั งคับบัญชาที่จะส่ังยกเลิกคาส่ังแต่งต้ัง
คณะกรรมการหรือระงับการสอบสวนของคณะกรรมการสอบสวน แม้ในระหว่างการสอบสวนจะมีการสั่งให้
ข้าราชการผู้ถูกกล่าวหาผู้น้ันไปอยู่นอกบังคับบัญชาของผู้ส่ังแต่งต้ังคณะกรรมการสอบสวนก็ตามก็ยังให้
คณะกรรมการสอบสวนทาการสอบสวนต่อไปจนเสร็จ แล้วทารายงานการสอบสวนและเสนอสานวน
การสอบสวนต่อผู้ส่ังแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน เพื่อตรวจสอบความถูกต้องในกระบวนการสอบสวน และ
ให้ผู้สั่งแต่งต้ังคณะกรรมการสอบสวนส่งเร่ืองให้ผู้บังคับบัญชาคนใหม่ของผู้ถูกกล่าวหาดาเนินการต่อไป ท้ังน้ี
ไม่ได้ให้อานาจผู้บังคับบัญชาคนใหม่แต่งต้ังคณะกรรมการสอบสวนเพ่ือทาการสอบสวนทางวินัยใหม่อีกครั้ง
แต่อย่างใด เว้นแต่กรณีตามข้อ 34 ของกฎ ก.พ. ฉบับที่ 18 (พ.ศ. 2540) ว่าด้วยการสอบสวนพิจารณา
ซ่ึงได้กาหนดว่า “ในกรณีที่ปรากฏว่าการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนไม่ถูกต้องตามข้อ 3. ให้การสอบสวน
ท้ังหมดเสียไป ในกรณีเช่นน้ีให้ผู้มีอานาจตามมาตรา 102 มาตรา 109 วรรคสาม หรือมาตรา 115 แล้วแต่กรณี
แต่งต้ังคณะกรรมการสอบสวนใหมใ่ หถ้ ูกต้อง
49
สาหรับกรณีข้อหารือทั้ง 2 ข้อน้ี ข้อเท็จจริงได้ความว่า ส.ป.ก. ได้มีคาสั่งที่ 818/2548 ลง
วันท่ี 25 พฤศจิกายน 2548 แต่งต้ังคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง กรณี ส.ป.ก. มอบหมายให้องค์การ
สงเคราะห์ทหารผ่านศึกดาเนินการรังวัดที่ดินแปลงท่ีดินชุมชนโดยมิชอบ และได้รายงานผลการสอบ
ข้อเท็จจริงต่อกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยชี้มูลความผิดว่าผู้ถูกกล่าวหากับพวกรวม 10 ราย มีกรณี
ถูกกล่าวหาว่ากระทาความผิดวินัยอย่างร้ายแรง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงได้มีคาส่ังที่ 423/2549
ลงวันที่ 2 สิงหาคม 2549 แต่งตั้งคณะกรรมการข้ึนทาการสอบสวนผู้ถูกกล่าวหากับพวกรวม 10 ราย
ในกรณีดังกลา่ วตามนัยมาตรา 102 แหง่ พระราชบัญญตั ริ ะเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 โดยถูกต้อง
ตามกฎหมายแล้ว ดังน้ัน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงไม่อาจที่จะส่งคาร้องของผู้ถูกกล่าวหา ให้ สปก.
ดาเนินการสอบข้อเท็จจริงเพิ่มเติมแต่ประการใด เพราะการดาเนินการสอบสวนในเร่ืองนี้เป็นอานาจหน้าที่
ของคณะกรรมการสอบสวนที่จะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และวิธีการเก่ียวกับการสอบสวน ตามกฎ ก.พ.
ฉบับท่ี 18 (พ.ศ. 2540) ว่าดว้ ยการสอบสวนพิจารณา ให้เปน็ การถูกตอ้ งตอ่ ไป
จึงเรยี นมาเพอ่ื โปรดทราบ
ขอแสดงความนับถือ
(นางสภุ าวดี เวชศิลป์)
รองเลขาธิการ ก.พ.
ปฏบิ ัตริ าชการแทนแทนเลขาธกิ าร ก.พ.
สานักมาตรฐานวินัย
โทร. 0 2547 1631
โทรสาร 0 2547 1630
50
ท่ี นร 1011/ล. 447 สานกั งาน ก.พ.
ถนนพิษณุโลก กทม. 10300
๒๗ กรกฎาคม ๒๕๕๒
เรอ่ื ง หารอื กรณขี า้ ราชการต่างกรมกระทาผิดวนิ ยั ร่วมกนั
เรยี น ผอู้ านวยการสานกั งานเศรษฐกิจการคลงั
อา้ งถงึ หนังสือสานักงานเศรษฐกจิ การคลงั ลับ ด่วนท่ีสุด ที่ กค 1001/ล.๓ ลงวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒
และ ลับ ดว่ นท่ีสุด ท่ี กค ๑๐๐๑/ล.๑๓ ลงวันที่ ๒ เมษายน ๒๕๕๒
ตามหนังสือท่ีอ้างถึง สานักงานเศรษฐกิจการคลังได้หารือโดยแจ้งข้อเท็จจริงว่าสานักงาน
การตรวจเงินแผ่นดินได้มีหนังสือถึงผู้อานวยการสานักงานเศรษฐกิจการคลัง แจ้งให้ดาเนินการทางวินัยกับ
ข้าราชการสานักงานเศรษฐกิจการคลังและกรมธนารักษ์ ซ่ึงร่วมกันปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้ควบคุมงาน
คณะกรรมการตรวจรับพัสดุ และคณะกรรมการกาหนดราคากลางตามสัญญาเลขท่ี ๓๐/๒๕๕๐ ลงวันท่ี ๓๐
สิงหาคม ๒๕๕0 และสัญญาเลขที่ ๓๔/๒๕๕๐ ลงวันท่ี ๒๑ กันยายน ๒๕๕๐ โดยไม่ปฏิบัติหน้าท่ีให้เป็นไป
ตามระเบียบสานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ และท่ีแก้ไขเพ่ิมเติม พ.ศ. ๒๕๔๕ สานักงาน
เศรษฐกิจการคลังจึงหารือว่า กรณีความผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรงท่ีข้าราชการพลเรือนสามัญต่างกรม
ในกระทรวงเดียวกนั ถกู กล่าวหาวา่ กระทาผิดวินยั รว่ มกันจะมีแนวทางการดาเนินการอย่างไร และอาศัยอานาจ
ตามกฎหมายใด มาตรา 9๔ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน ๒๕๕๑ จะใช้บังคับได้ทั้งกรณี
ความผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรงและร้ายแรงหรือไม่ และคาส่ังสานักงานเศรษฐกิจการคลัง ท่ี ๒/๒๕๕๒ ลงวันที่
๗ มกราคม ๒๕๕๒ สามารถใช้ดาเนินการสอบสวนกรณีดังกล่าวได้หรือไม่ เนื้อหาสาระของคาส่ังยังขาด
สาระสาคัญท่ีจะต้องมีการปรบั ปรงุ อยา่ งไร เพือ่ ใหเ้ กดิ ความถูกตอ้ งครบถว้ น ความละเอยี ดแจง้ แล้ว นัน้
ก.พ. ขอเรียนว่า มาตรา 9๔ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑
ใช้บังคับกับกรณีความผิดวินัยอย่างร้ายแรงและไม่ร้ายแรง และกรณีท่ีสานักงานเศรษฐกิจการคลังหารือ
มาเป็นกรณีท่ีข้าราชการต่างกรมกระทาผิดวินัยร่วมกันตามมาตรา ๙๔ (๒) ดังน้ันคาสั่งสานักงานเศรษฐกิจการคลัง
ท่ี ๒/๒๕๕๒ ลงวันท่ี ๗ มกราคม ๒๕๕๒ ซ่ึงออกโดยอาศัยอานาจอาศัยอานาจตามมาตรา ๙๒ ประกอบ
มาตรา ๑๓๒ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ จึงไม่ถูกต้อง สานักงานเศรษฐกิจ
การคลงั ต้องออกคาส่งั แต่งต้ังคณะกรรมการสอบสวนวนิ ัยฉบบั ใหม่ยกเลกิ คาสั่งฉบบั เดิม โดยคาสั่งฉบบั ใหม่
51
ต้องอาศัยอานาจตามมาตรา ๙๔ ประกอบมาตรา ๑๓๒ และมาตรา ๑๓๓ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบ
ขา้ ราชการ พลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑
จงึ เรยี นมาเพือ่ โปรดทราบ
ขอแสดงความนับถือ
ลงช่อื สมโภชน์ นพคุณ
(นายสมโภชน์ นพคุณ)
รองเลขาธิการ ก.พ.
ปฏิบตั ริ าชการแทนเลขาธิการ ก.พ.
สานกั มาตรฐานวนิ ยั
โทร. ๐ ๒๕๔๗ ๑๖๓๑
โทรสาร ๐ ๒๕๔๗ 1630
52
ที่ นร 1011/ล 649 สานกั งาน ก.พ.
ถนนพิษณุโลก กทม. 10300
๒๕ กนั ยายน ๒๕๕๒
เร่อื ง หารอื การดาเนนิ การทางวินยั
เรยี น อธบิ ดกี รมศุลกากร
อา้ งถงึ หนังสอื กรมศลุ กากร ลบั ที่ กค ๐๕๑๖/ล ๗๒ ลงวนั ที่ ๒9 มถิ ุนายน ๒๕๕๒
ตามหนงั สือทอี่ ้างถึง กรมศุลกากรหารือโดยแจ้งข้อเท็จจริงว่าสานักงานการตรวจเงินแผ่นดิน
แจ้งผลการตรวจสอบการดาเนินการขายทอดตลาดรถยนต์ของกลางของกรมศุลกากร โดยให้กรมศุลกากร
ดาเนินคดีตามกฎหมายและดาเนินการทางวินัยกับผู้ที่เก่ียวข้อง ซึ่งกระทรวงการคลังได้ขอให้กรมศุลกากร
ดาเนินการตามมาตรา ๑๓๒ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ และตามหนังสือ
สานักงาน ก.พ. ท่ี น.ว. ๓/๒49๔ ลงวันที่ ๒๙ มกราคม ๒49๔ เรื่องการสอบสวนพิจารณาโทษข้าราชการ
ตา่ งสังกัด กรม กระทรวงทก่ี ระทาผดิ ร่วมกนั กรมศลุ กากรจึงไดจ้ ัดประชุมร่วมกันระหว่างหน่วยงานท่ีเกี่ยวข้อง
คือ สานักงานอัยการสูงสุด กระทรวงยุติธรรม กระทรวงการคลัง และกรมบัญชีกลาง ในการประชุมร่วม
ดังกล่าว ผู้แทนสานักงานอัยการสูงสุดเห็นว่าการดาเนินการทางวินัยข้าราชการฝ่ายอัยการต้องปฏิบัติตาม
พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ พ.ศ. ๒๕๒๑ ท่ีบัญญัติให้ประธาน ก.อ. และ/หรืออัยการสูงสุด
แต่งต้ังคณะกรรมการสอบสวนข้าราชการอัยการและกรรมการสอบสวนต้องเป็นข้าราชการอัยการเท่าน้ัน
สานักงานอัยการสูงสุดจึงไม่สามารถแต่งตั้งคณะกรรมการดาเนินการทางวินัยรวมกับหน่วยงานอ่ืนได้ กรมศุลกากร
จึงขอหารือว่า สานักงาน ก.พ. จะกาหนดแนวทางปฏิบัติในการดาเนินการทางวินัยกรณีดังกล่าวอย่างไร
เพ่ือกรมศุลกากรจะได้ดาเนินการทางวินัยให้ถูกต้องตามกฎหมายและระเบียบต่อไป ความละเอียดแจ้งแล้ว นั้น
สานักงาน ก.พ. ขอเรียนว่าโดยท่ีข้าราชการอัยการได้มีพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการ
ฝ่ายอัยการ พ.ศ. ๒๕๒๑ ใช้บังคับเป็นการเฉพาะอยู่แล้ว ดังน้ัน กรณีที่ข้าราชการอัยการเป็นผู้ถูกกล่าวหา
จงึ ไม่อยู่ในบังคับของกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือน ส่วนผู้ถูกกล่าวหาท่ีเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ
สังกัดกรมศุลกากร กรมบัญชีกลาง สานักงานปลัดกระทรวงการคลัง และสานักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม
รวมท้ังอธิบดีกรมศุลกากรรวม ๑๖ คน ที่ถูกกล่าวหาว่ากระทาผิดวินัยร่วมกัน เป็นกรณีที่จะต้องดาเนินการ
ตามมาตรา 9๔ (๓) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ โดยอาจนามติ ก.พ.
ตามหนังสือสานักงาน ก.พ. ท่ี น.ว. ๓/๒49๔ ลงวันที่ ๒9 มกราคม ๒49๔ เร่ืองการสอบสวนพิจารณาโทษ
ข้าราชการต่างสังกัด กรม กระทรวงท่ีกระทาผิดร่วมกันมาเป็นแนวทางปฏิบัติได้ สาหรับรายอดีตอธิบดีกรมศุลกากร
ถ้าไม่เป็นกรณีตามมาตรา 100 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ กล่าวคือ
ผู้นไี้ ด้ออกจากราชการไปกอ่ นมีการกล่าวหาเป็นหนังสือ หรือได้พ้นจากราชการไปเกินหน่ึงร้อยแปดสิบวันแล้ว
53
ก็ไม่อาจดาเนินการทางวินัยกับผู้นี้ได้ ส่วนการดาเนินการร่วมกันแต่งต้ังคณะกรรมการสอบสวนน้ัน โดยท่ี
ปลัดกระทรวงการคลังเป็นผู้มีอานาจแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนผู้ถูกกล่าวหาที่เป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ
สังกัดกรมศุลกากร กรมบัญชีกลาง และสานักงานปลัดกระทรวงการคลัง ตามมาตรา 9๔ (๒) แห่งพระราชบัญญัติ
ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ ดังน้ัน ปลัดกระทรวงการคลังกับปลัดระทรวงยุติธรรมจึง
ควรทาความตกลงร่วมกันแต่งต้ังคณะกรรมการสอบสวนตามมาตรา 9๔ (๓) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว
ประกอบด้วยบุคคลชุดเดียวกัน และถ้าเห็นเป็นการสมควรท่ีจะขอให้ข้าราชการอัยการที่เป็นกรรมการ
สอบสวนข้าราชการอัยการท่ีถูกกล่าวหาในเรื่องเดียวกันน้ีมาหารือร่วมเป็นคณะกรรมการสอบสวนข้าราชการ
พลเรือนสามัญท่ีถูกกล่าวหาด้วย ก็อาจขอทาความตกลงกับสานักงานอัยการสูงสุดเพื่อดาเนินการตามควร
แกก่ รณีได้
จึงเรียนมาเพือ่ โปรดทราบ
ขอแสดงความนบั ถอื
ลงชอ่ื สมโภชน์ นพคุณ
(นายสมโภชน์ นพคุณ)
รองเลขาธกิ าร ก.พ.
ปฏิบตั ริ าชการแทนเลขาธกิ าร ก.พ.
สานกั มาตรฐานวนิ ัย
โทร. ๐ ๒๕๔๗ ๑๖28
โทรสาร ๐ ๒๕๔๗ 1625
54
ท่ี นร 1011/86 สานักงาน ก.พ.
ถนนพิษณุโลก กทม. 10300
9 กมุ ภาพันธ์ ๒๕๕๔
เรอ่ื ง ขอ้ หารือเก่ยี วกบั อานาจในการดาเนนิ การทางวินัยของผบู้ งั คบั บญั ชาซ่ึงมอี านาจส่งั บรรจุและแต่งตง้ั
ตามมาตรา ๕๗ แหง่ พระราชบญั ญัตริ ะเบียบข้าราชการพลเรอื น พ.ศ. ๒๕๕๑
เรยี น ผ้อู านวยการสานกั งานสถติ แิ ห่งชาติ
อ้างถึง หนงั สือสานกั งานสถิตแิ ห่งชาติ ที่ ทก o๕๐๑/๑๔๖๘ ลงวันที่ ๒๕ มิถนุ ายน ๒๕๕๓
ตามท่ีสานักงานสถิติแห่งชาติได้หารือปัญหาข้อกฎหมายเก่ียวกับอานาจในการดาเนินการ
ทางวินัยโดยแจ้งข้อเท็จจริงว่า ผู้ว่าราชการจังหวัดได้รับแจ้งจากศูนย์ดารงธรรมว่ามีการร้องเรียนกล่าวหา
ข้าราชการในสังกัดสานักงานสถิติจังหวัด ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดได้ดาเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว
และรายงานผลการดาเนินการพร้อมพยานหลักฐานในเบื้องต้นไปยังผู้อานวยการสานักงานสถิติแห่งชาติ
ซึ่งผู้อานวยการสานักงานสถิติแห่งชาติได้พิจารณาในเบ้ืองต้นแล้วเห็นว่า กรณีมีมูลเป็นความผิดวินัย
อย่างไม่ร้ายแรง แต่เนื่องจากเป็นการกล่าวหาสถิติจังหวัดซ่ึงเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญตาแหน่งประเภท
อานวยการระดับต้น ซึ่งผู้อานวยการสานักงานสถิติแห่งชาติเป็นผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอานาจส่ังบรรจุและแต่งตั้ง
ตามมาตรา ๕๗ ร่วมกระทาผิดกับข้าราชการพลเรือนสามัญตาแหน่งประเภทวิชาการ ระดับชานาญการและ
ระดับปฏิบัติการในราชการบริหารส่วนภูมิภาค ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอานาจส่ังบรรจุ
และแต่งตงั้ ตามมาตรา ๕๗ สานักงานสถิติแห่งชาติจึงหารือว่ากรณีข้าราชการพลเรือนสามัญตาแหน่งประเภท
วิชาการ ระดับชานาญการและระดับปฏิบัติการ ในราชการบริหารส่วนภูมิภาคท่ีถูกกล่าวหาว่าร่วมกระทา
ความผิดวินัยจะอยู่ในอานาจของผู้อานวยการสานักงานสถิติแห่งชาติ ที่จะดาเนินการทางวินัยและสั่งลงโทษ
ได้หรือไม่ ความละเอยี ดแจง้ แล้ว นั้น
สานักงาน ก.พ. ขอเรียนว่า แม้มาตรา ๕๗ (๑๐) บัญญัติให้อธิบดีเป็นผู้บังคับบัญชา
ซึ่งมีอานาจส่ังบรรจุและแต่งต้ังข้าราชการพลเรือนสามัญตาแหน่งประเภทวิชาการ ระดับชานาญการลงมา
แต่มาตรา ๕๗ (๑๑) เองก็บัญญัติให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอานาจส่ังบรรจุและแต่งต้ัง
ข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดารงตาแหน่งตามมาตรา ๕๗ (๑๐) ในราชการบริหารส่วนภูมิภาคได้เช่นกัน
จึงมผี ลให้อธิบดีและผู้ว่าราชการจังหวัดต่างมีอานาจคู่เคียงท่ีจะพิจารณาหรือดาเนินการตามบทบัญญัติต่าง ๆ
ท่ีกาหนดให้เป็นอานาจของผู้มีอานาจส่ังบรรจุและแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ ดารงตาแหน่งประเภท
วิชาการ ระดับชานาญการลงมา ในราชการบริหารส่วนภูมิภาคซึ่งหมายรวมถึงอานาจในการดาเนินการตาม
หมวด ๗ การดาเนินการทางวินัยด้วย ดังน้ัน ผู้อานวยการสานักงานสถิติแห่งชาติจึงมีอานาจแต่งตั้ง
55
คณะกรรมการสอบสวนขา้ ราชการพลเรอื นสามัญตาแหน่งประเภทวิชาการ ระดับชานาญการลงมา ในรายการ
บริหารสว่ นภูมภิ าคได้
จึงเรยี นมาเพอ่ื โปรดทราบ
ขอแสดงความนบั ถอื
ลงชือ่ ปรีชา นิศารตั น์
(นายปรชี า นิศารัตน์)
รองเลขาธิการ ก.พ.
ปฏิบัตริ าชการแทนเลขาธิการ ก.พ.
สานกั มาตรฐานวินัย
โทร ๐ ๒๕4๗ ๑๖๓1
โทรสาร ๐ ๒๕๔๗ ๑๖๓0
56
ท่ี นร 1011/ล 284 สานักงาน ก.พ.
ถนนพิษณุโลก กทม. 10300
30 มิถนุ ายน ๒๕๕4
เรื่อง หารอื ปัญหาขอ้ กฎหมายเกยี่ วกับการดาเนินการทางวินยั
เรยี น ปลดั กระทรวงสาธารณสขุ
อา้ งถึง หนังสือสานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ลับ ด่วน ที่ สธ ๐๒๐๑.๐๕๓/๕๘ ลงวันท่ี 8 มีนาคม ๒๕๕๓
ส่ิงทสี่ ่งมาด้วย สาเนาหนังสอื สานกั งาน ก.พ. ที่ น.ว. ๓/๒๔๙4 ลงวนั ที่ ๒9 มกราคม ๒49๔
ตามหนังสือท่ีอ้างถึง สานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขได้หารือปัญหาข้อกฎหมาย
เกี่ยวกับการดาเนินการทางวินัย โดยแจ้งข้อเท็จจริงสรุปได้ว่า จังหวัดยโสธรได้มีคาส่ังแต่งต้ังคณะกรรมการ
สืบสวนข้อเท็จจริง กรณีขา้ ราชการตาแหนง่ ประเภทวชิ าการระดบั ชานาญการ ประเภททั่วไประดับชานาญงาน
ลูกจ้างประจา และพนักงานโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชเลิงนกทา ถูกกล่าวหาว่ากระทาผิดวินัย กรณีที่
โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชเลิงนกทาได้จ่ายค่าน้ามันเชื้อเพลิงโดยมียอดเงินสูงกว่าบิลต้นข้ัวท่ีส่ังซ้ือ
เน่ืองจากมีการแก้ไขจานวนเงินให้สูงกว่าต้นขั้ว และจากการตรวจสอบข้อเท็จจริงเบ้ืองต้นปรากฏว่า
ผู้อานวยการโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชเลิงนกทา (นายแพทย์เช่ียวชาญ ด้านเวชกรรม) ในฐานะ
ผู้บังคับบัญชาอาจมีส่วนบกพร่องในการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดยโสธรไม่อาจดาเนินการทางวินัย
แกผ่ ูอ้ านวยการโรงพยาบาลดงั กล่าวได้ สานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขพิจารณาแล้วเห็นว่า กรณีดังกล่าว
เป็นการกล่าวหาข้าราชการหลายรายซึ่งมีตาแหน่งและระดับต่างกันว่ากระทาผิดร่วมกัน ซึ่งอานาจในการ
ดาเนินการทางวินัยเป็นของผู้บังคับบัญชาซ่ึงมีอานาจสั่งบรรจุคนละคนกัน กล่าวคือ สาหรับข้าราชการ
ตาแหน่ง ประเภทวิชาการระดับชานาญการ และประเภทท่ัวไประดับชานาญงาน เป็นอานาจของผู้ว่าราชการ
จังหวัดยโสธร และสาหรับข้าราชการตาแหน่งประเภทวิชาการระดับเชี่ยวชาญ เป็นอานาจของปลัดกระทรวง
สาธารณสุข สานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขจึงหารือว่า ในการแต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนสอบสวน
แก่ข้าราชการที่มีตาแหน่งและระดับต่างกันดังกล่าว ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอานาจสั่งบรรจุข้าราชการระดับ
เชี่ยวชาญ จะเป็นผู้ดาเนินการทางวินัยแก่ข้าราชการระดับชานาญงาน และระดับชานาญการ ไปพร้อมกัน
หรือโดยแต่งต้ังคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนในคาส่ังเดียวกนั ได้หรือไม่ อย่างไร ความละเอียดแจง้ แลว้ น้นั
สานักงาน ก.พ. ขอเรียนว่า ก.พ. เคยพิจารณาเรื่องทานองนี้แล้วเห็นว่า กรณีข้าราชการ
ตาแหนง่ ต่างกันในกรมเดียวกันถูกกล่าวหาว่ากระทาผิดวินัยร่วมกัน แต่หากมิได้เป็นภารกล่าวหาว่ากระทาผิด
วินยั รว่ มกับอธบิ ดีหรือปลดั กระทรวงแลว้ กรณีไม่เข้าเง่ือนไขทจี่ ะดาเนินการตามมาตรา 9๔ (๑) แห่งพระราชบัญญัติ
ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ แต่ถือเป็นกรณีอ่ืนตามมาตรา 94 (๔) ที่จะต้องดาเนินการให้เป็นไป
ตามที่กาหนดในกฎ ก.พ. ซึ่งขณะน้ี ก.พ. ยังไม่ได้กาหนดกรณีดังกล่าว จึงไม่อาจที่จะดาเนินการตามมาตรา 9๔ ได้
57
อย่างไรก็ตาม เม่ือพิจารณาถึงเจตนารมณ์ของมาตรา ๙๔ ท่ีบัญญัติให้กรณีที่ข้าราชการพลเรือนสามัญ
ข้าราชการพลเรือนสามัญตาแหน่งต่างกัน หรือต่างกรมหรือต่างกระทรวงกันถูกกล่าวหาว่า กระทาผิดร่วมกัน
ต้องดาเนินการสอบสวนโดยคณะกรรมการสอบสวนชุดเดียวกัน หรือให้ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอานาจสั่งบรรจุ
แต่ละคนแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนร่วมกัน ก็เน่ืองจากต้องการให้การดาเนินการเป็นไปในมาตรฐาน
เดียวกัน เกดิ ความเปน็ ธรรมแก่ทกุ ฝา่ ย ดงั นน้ั เพ่ือให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ดังกล่าว สานักงาน ก.พ. จึงเห็นว่า
เรื่องนี้อาจดาเนินการได้ ๒ แนวทาง คือ
๑) ดาเนินการตามแนวทางท่ี ก.พ. เคยมีมติไว้เก่ียวกับการสอบสวนพิจารณาโทษข้าราชการ
ต่างสังกัดกรมกระทรวงที่กระทาผิดร่วมกันตามส่ิงที่ส่งมาด้วยโดยอนุโลม กล่าวคือ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข
ปรึกษาหารือกับผู้ว่าราชการจังหวัดยโสธร เพื่อปลัดกระทรวงและผู้ว่าราชการจังหวัดต่างมีคาส่ังแต่งต้ัง
คณะกรรมการสอบสวนผู้ถกู กลา่ วหาทอี่ ยู่ในอานาจ โดยคณะกรรมการดังกล่าวประกอบด้วยบุคคลชุดเดียวกัน
เพื่อให้การสอบสวนพิจารณาเป็นไปในแนวทางเดียวกัน ตามแนวทางตามหนังสือเวียนสานักงาน ก.พ. ที่
น.ว. ๓/๒49๔ ลงวนั ที่ ๒๙ มกราคม ๒49๔ ท่ี ก.พ. ได้กาหนดไวเ้ ดมิ
๒) ดาเนินการตามมาตรา ๙๓ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน
พ.ศ. ๒๕๕๑ คือ ผู้ว่าราชการจังหวัดยโสธรในฐานะผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอานาจส่ังบรรจุตามมาตรา ๕๗ สาหรับ
ผู้ถูกกล่าวหาระดับชานาญงาน และระดับชานาญการ ไม่ใช้อานาจตามมาตรา 9๓ วรรคหน่ึง โดยมีเหตุผล
อันสมควร เสนอขอให้ปลัดกระทรวงสาธารณสุขซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาซ่ึงมีอานาจสั่งบรรจุตามมาตรา ๕๗
สาหรบั ผถู้ กู กล่าวหาที่ดารงตาแหน่งระดับเช่ียวชาญ และเป็นผู้บังคับบัญชาตามมาตรา ๕๗ ระดับเหนือข้ึนไป
เป็นผดู้ าเนนิ การแตง่ ต้งั คณะกรรมการสอบสวนผ้ถู ูกกลา่ วหาท้ังหมดตามมาตรา 9๓ วรรคหนงึ่
อนึ่ง สาหรับการแต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ อาจนาแนวทาง
การดาเนินการขา้ งตน้ มาใชบ้ ังคับเพื่อใหเ้ ปน็ ไปในมาตรฐานเดยี วกนั
จงึ เรยี นมาเพอ่ื โปรดทราบ
ขอแสดงความนบั ถือ
ลงชอ่ื ปรชี า นศิ ารตั น์
(นายปรีชา นิศารตั น์)
รองเลขาธิการ ก.พ.
ปฏิบตั ริ าชการแทนเลขาธกิ าร ก.พ.
สานักมาตรฐานวนิ ยั
โทร. ๐ ๒๕4๗ ๑๖๓1
โทรสาร ๐ ๒๕๔๗ ๑๖๓0
58
ท่ี นร ๑๐๑๑/๓๗๓ สานกั งาน ก.พ.
ถนนพษิ ณุโลก กทม. ๑๐๓๐๐
๑๔ ตุลาคม ๒๕๕๑
เร่อื ง หารือปัญหาข้อกฎหมายเกย่ี วกับวนิ ยั ขา้ ราชการ
เรยี น อธบิ ดกี รมป่าไม้
อ้างถึง หนงั สือกรมป่าไม้ ที่ ทส ๑๖๐๑.๕/๑๔๘๒๐ ลงวันท่ี ๑๑ สงิ หาคม ๒๕๕๑
ส่ิงทีส่ ่งมาดว้ ย สาเนาแนวทางการลงโทษ จานวน ๔ แผ่น
ตามหนังสือท่ีอ้างถึง กรมป่าไม้หารือปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับโทษทางวินัย โดยแจ้ง
ข้อเท็จจริงสรุปได้ว่า นาย ก. ข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดสานักวิจัยการจัดการป่าไม้และผลิตผลป่าไ ม้
กรมป่าไม้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้รับเชิญจากมหาวิทยาลัยในต่างประเทศ
ให้เข้าร่วมประชุมสัมมนา ในการขออนุมัติเดินทางไปราชการต่างประเทศดังกล่าวสานักวิจัยการจัดการป่าไม้
และผลิตผลป่าไม้ได้มีหนังสือถึงอธิบดีกรมป่าไม้ ผ่านผู้อานวยการกองแผนงานซ่ึงเสนอความเห็นให้นาย ก.
ขอรับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายสาหรับการเดินทางจากหน่วยงานผู้จัดการประชุมโดยตรง ต่อมาสานักวิจัย
การจัดการป่าไม้และผลิตผลป่าไม้ได้มีหนังสือถึงกองแผนงานแจ้งว่า สานักงบประมาณได้อนุมัติแผนและ
วงเงินค่าใช้จา่ ยในการเดนิ ทางไปราชการต่างประเทศชั่วคราวไว้แล้ว แต่กองแผนงานยังคงยืนยันความเห็นเดิม
และทักท้วงถึงเหตุผลที่นาย ก. ไม่ดาเนินการของบประมาณจากหน่วยงานที่จัดประชุมโดยตรง ซึ่งรองอธิบดี
กรมป่าไม้ ลาดับที่ ๑ รักษาราชการแทน อธิบดีกรมป่าไม้ได้ส่ังการให้นาย ก. ช้ีแจงข้อทักท้วงดังกล่าว
แต่นาย ก. ไม่ได้ชี้แจงกลับทาเร่ืองเสนอ ผ่านรองอธิบดีกรมป่าไม้ ลาดับที่ ๒ ให้ลงนามในหนังสือ
ถึงปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมเพ่ือขออนุมัติการเดินทาง และหนังสือถึงผู้จัดการ
ฝ่ายขายภาครัฐ บริษัท การบินไทย จากัด (มหาชน) เพื่อขอซ้ือบัตรโดยสารเงินเช่ือ และใช้เลขท่ีหนังสือของ
ฝ่ายวิเทศสัมพันธ์ กองแผนงานซ่ึงเป็นหน่วยงานท่ีมีหน้าที่รับผิดชอบในการร่างหนังสือข้างต้นโดยท่ีหน่วยงาน
ดงั กล่าวไม่ได้รบั ทราบ ต่อมานาย ก. ได้ยกเลิกการเดินทาง ทาให้บริษัท การบินไทย จากัด (มหาชน) มีหนังสือ
ทวงถามมายังกองแผนงานให้ชาระค่าธรรมเนียมยกเลิกบัตรโดยสารจานวน ๒,000 บาท กองแผนงาน
จงึ มหี นังสือ ให้นาย ก. ชแี้ จงเร่ืองดังกล่าว ซ่ึงได้รับคาช้ีแจงว่าเหตุท่ีร่างหนังสือแทนกองแผนงานน้ัน เน่ืองจาก
ต้องการลดงานให้กองแผนงานและเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่เคยทามาก่อนหน้านี้อย่างต่อเน่ือง ทั้งที่ตลอดระยะเวลา
ท่ีผ่านมากองแผนงานจะเป็นผู้ดาเนินการมาโดยตลอด กรมป่าไม้พิจารณาแล้วเห็นว่า พฤติการณ์ของนาย ก.
เป็นการไม่ปฏิบัติตามระเบียบและแบบธรรมเนียมของทางราชการตามมาตรา ๑๓๑ แห่งพระราชบัญญัติ
ระเบียบขา้ ราชการพลเรอื น พ.ศ. ๒๕๕๑ ประกอบมาตรา ๙๑ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน
พ.ศ. ๒๕๓๕ ซึ่งเป็นการกระทาผิดวินัยเล็กน้อยจึงให้งดโทษ ถือว่าเป็นการวางโทษที่เหมาะสมแก่กรณีแล้ว
หรือไม่ ประการใด แต่เพ่ือให้ข้าราชการดังกล่าวพึงสังวรและยึดถือเป็นแนวทางในการปฏิบัติราชการ
59
จึงหารือวา่ หากกรมปา่ ไม้จะทาการวา่ กล่าวตกั เตือนดว้ ยวาจา จะเป็นการสมควรหรอื ไม่ หรือควรจะว่ากล่าวตักเตือน
เป็นลายลักษณ์อักษร สานักงาน ก.พ. มีแนวทางปฏิบัติหรือกรณีตัวอย่างตามมาตรฐานการลงโทษในกรณีน้ี
อย่างไร ความละเอยี ดแจ้งแล้ว นน้ั
สานักงาน ก.พ. ขอเรียนว่า การพิจารณาโทษข้าราชการท่ีกระทาผิดวินัยเป็นดุลพินิจของ
ผู้บังคับบัญชาที่จะต้องส่ังลงโทษให้เหมาะสมกับความผิด ทั้งน้ี ตามมาตรา ๑๓๑ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบ
ข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ ประกอบมาตรา ๑๐๑ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน
พ.ศ. ๒๕๓๕ สาหรับกรณีกระทาผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรง ซึ่งเป็นการกระทาผิดวินัยเล็กน้อย และมีเหตุอันควร
งดโทษนั้น มาตรา ๑๐๓ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติฉบับเดียวกัน ได้บัญญัติให้ผู้บังคับบัญชางดโทษ
โดยให้ทาทัณฑ์บนเป็นหนังสือหรือว่ากล่าวตักเตือนก็ได้ซ่ึงการว่ากล่าวตักเตือนนั้นกฎหมายไม่ได้บัญญัติ
ไวว้ ่าจะตอ้ งทาดว้ ยวิธกี ารใด เพราะฉะน้ันสาหรบั กรณีทีห่ ารือน้ี กรมป่าไม้จึงสามารถงดโทษโดยว่ากล่าวตักเตือน
นาย ก. ดว้ ยวาจาหรือทาเปน็ ลายลกั ษณอ์ กั ษรเพอื่ ใหป้ รากฏหลกั ฐานก็ได้
จึงเรียนมาเพ่ือโปรดทราบ พร้อมนี้ได้ส่งแนวทางการลงโทษในเรื่องลักษณะทานองเดียวกันน้ี
มาดว้ ยแล้ว
ขอแสดงความนบั ถือ
(ลงช่อื ) สมโภชน์ นพคณุ
(นายสมโภชน์ นพคณุ )
รองเลขาธกิ าร ก.พ.
ปฏบิ ตั ริ าชการแทนเลขาธกิ าร ก.พ.
สานักมาตรฐานวนิ ัย
โทร. ๐ ๒๕๔๗ ๑๖๓๑,
โทรสาร ๐ ๒๕๕๗ ๑๖๓๐
60
ท่ี นร ๑๐๑/ล ๔๙๕ สานักงาน ก.พ.
ถนนพิษณโุ ลก กทม. ๑๐๓00
๒๗ พฤษภาคม ๒๕๕1
เร่อื ง หารอื เพ่ิมเติมเกี่ยวกับการดาเนนิ การทางวินัย
เรยี น ปลดั กระทรวงคมนาคม
อ้างถึง หนังสอื กระทรวงคมนาคม ลับมาก ท่ี คค ๐๒๐๒/๙๙๔ ลงวนั ท่ี ๕ กุมภาพนั ธ์ พ.ศ. ๒๕๕๑
ตามหนังสือที่อ้างถึง กระทรวงคมนาคมแจ้งว่าตามที่สานักงาน ก.พ. มีหนังสือลับมาก ท่ี
นร ๑๐๑๑/ล ๗๙๔ ลงวันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๕๐ ตอบข้อหารือเกี่ยวกับการดาเนินการทางวินัย นาย ศ. นาย ท.
และคณะกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคา กรณีดาเนินการโครงการจ้างเหมาทาการติดตั้งระบบควบคุม
การจัดเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางด้วยคอมพิวเตอร์บนทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข ๗ ตอนกรุงเทพ - ชลบุรี
และหมายเลข ๙ ตอนบางปะอิน - บางพลี ว่าสานักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ชี้มูลความผิดนาย ศ. และ
นาย ท. หลังจากที่บุคคลท้ังสองเกษียณอายุราชการ กรณีจึงเป็นการกล่าวหาว่าบุคคลทั้งสองกระทาผิดวินัย
อย่างร้ายแรงภายหลังจากท่บี คุ คลทั้งสองออกจากราชการไปแล้ว กระทรวงคมนาคมไม่อาจดาเนินการทางวินัย
กับบคุ คลทงั้ สองตามนัยมาตรา ๑๐๖ แห่งพระราชบญั ญัตริ ะเบยี บข้าราชการพลเรอื น พ.ศ. ๒๕๓๕
กระทรวงคมนาคมพิจารณาแล้วขอหารือเพิ่มเติมว่า เร่ืองนี้กระทรวงคมนาคมเป็นผู้แต่งต้ัง
คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง โดยคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงเสียงส่วนน้อย (จานวน ๒ เสียง)
มีความเห็นว่าผู้บริหารระดับสูงมีส่วนต้องรับผิดชอบด้วย และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมได้มีบัญชา
สั่งการให้ส่งเร่ืองให้ ป.ป.ช. และให้กรมทางหลวงดาเนินการทางวินัยกับคณะกรรมการพิจารณา
ผลการประกวดราคา นอกจากนี้ให้ตรวจสอบด้วยว่าผู้บังคับบัญชาระดับสูงขึ้นไปมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่
ต่อมากรมทางหลวงได้รายงานผลการดาเนินการสรุปว่า ไม่มีผู้ใดต้องรับผิดทางแพ่งและวินัย ซึ่ง อ.ก.พ.
กระทรวงคมนาคมพิจารณาแล้วเห็นชอบด้วย กรณีดังกล่าวจะถือได้หรือไม่ว่าเป็นการกล่าวหาว่า นาย ท.
ผู้อานวยการสานักก่อสร้างที่ 4 รักษาการวิศวกรใหญ่ และนาย ศ. อธิบดีกรมทางหลวง ในขณะน้ัน
กระทาผิดวินัยอย่างร้ายแรงก่อนออกจากราชการ และสามารถดาเนินการทางวินัยกับบุคคลท้ังสอง
ตามข้อกล่าวหาท่ีสานักงานการตรวจเงินแผ่นดินชี้มูลความผิด ตามนัยมาตรา ๑๐๖ แห่งพระราชบัญญัติ
ระเบียบขา้ ราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ ได้ ความละเอยี ดแจง้ แลว้ น้นั
ก.พ. พิจารณาแล้วเห็นว่า การกล่าวหาว่าข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดกระทาหรือละเว้น
กระทาการใด ท่ีพึงเห็นได้ว่าเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง ตามนัยมาตรา ๑๐๖ นั้น การกล่าวหา
จะต้องระบุโดยชัดแจ้งถึงพฤติการณ์แห่งการกระทาหรือละเว้นการกระทาใดที่พึงเห็นได้ว่าเป็นความผิดวินัย
อย่างร้ายแรง และต้องระบุด้วยว่าข้าราชการผู้นั้นเป็นผู้กระทาหรือละเว้นการกระทาการเช่นว่านั้น สาหรับเร่ืองนี้
ความเห็นของคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงเสียงส่วนน้อยที่ปรากฏตามรายงานการสอบสวน
ข้อเท็จจริงเพียงแต่ระบุว่า ผู้ที่พิจารณาและอนุมัติควรมีส่วนรับผิดชอบด้วย เน่ืองจากเป็นผู้บังคับบัญชา
61
ที่ได้รับเสนอเรื่องจากคณะกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคา แต่ไม่ได้ระบุให้เห็นโดยชัดแจ้งว่า นาย ท.
และนาย ศ. มีพฤติการณ์แห่งการกระทาอย่างไรที่พึ่งเห็นได้ว่าเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง ประกอบกับ
คณะกรรมการสอบสวนข้อเทจ็ จริงเสยี งส่วนน้อยสรุปความเห็นในตอนท้ายเสนอกระทรวงคมนาคมเช่นเดียวกับ
คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงเสียงส่วนใหญ่ว่าควรแต่งต้ังคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยร้ายแรงกับ
คณะกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคาทั้งคณะ โดยไม่ได้เสนอให้แต่งต้ังคณะกรรมการสอบสวนวินัย
ร้ายแรงแก่บุคคลท้ังสองแต่อย่างใด ดังน้ันจึงไม่อาจดาเนินการทางวินัยกับบุคคลทั้งสองตามข้อกล่าวหาท่ี
สานักงานการตรวจเงินแผ่นดินชี้มูลความผิด ตามนัยมาตรา ๑๐๖ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการ
พลเรอื น พ.ศ. ๒๕๓๕ ได้
จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ
ขอแสดงความนบั ถือ
(ลงชือ่ ) ทศั นีย์ ธรรมสิทธ์ิ
(นางสาวทัศนีย์ ธรรมสิทธิ์)
รองเลขาธิการ ก.พ.
ปฏิบตั ริ าชการแทนเลขาธกิ าร ก.พ.
สานกั มาตรฐานวินยั
โทร. ๐ ๒๕๔๗ ๑๖๒๘
โทรสาร ๐ ๒547 ๑๖๒๕
62
ที่ นร 1011 /๒๖๖ สานักงาน ก.พ.
ถนนพษิ ณุโลก กทม. ๑๐๓๐๐
๔ สิงหาคม ๒๕๕๑
เรอ่ื ง หารอื การดาเนินการทางวนิ ยั
เรยี น อธบิ ดีกรมบงั คบั คดี
อ้างถึง หนังสือกรมบังคบั คดี ท่ี ยธ ๐๕๐๑/๑๑๔๓9 ลงวันที่ ๒๖ มถิ นุ ายน ๒๕๕๑
ตามหนังสือที่อ้างถึง หารือปัญหาเก่ียวกับการดาเนินการทางวินัยแก่ข้าราชการที่ออกจาก
ราชการไปแล้ว ตามมาตรา ๑๐๖ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ โดยแจ้ง
ข้อเท็จจริงสรุปได้ว่า รองอธิบดีกรมบังคับคดี (ฝ่ายพัฒนา) ได้ตรวจสอบกรณีท่ีมีหนังสือร้องเรียนเกี่ยวกับ
การปฏบิ ัตงิ านของเจ้าหนา้ ที่บางคนในสานกั งานบังคับคดีจังหวัดสมุทรสาครว่า ออกจากสานักงานไปก่อนเวลา
เลิกงาน และมีการปิดอาคารสานักงานก่อนเวลา ๑๖.๓๐ น. หลายคร้ัง และได้รายงานผลการตรวจสอบ
ดังกล่าวต่ออธิบดีกรมบังคับคดีว่า ผู้อานวยการสานักงานและเจ้าหน้าท่ีในสานักงานหลายคนไม่อยู่ปฏิบัติงาน
ในหน้าที่จนหมดเวลาปฏิบัติราชการ และมิได้ลงลายมือชื่อกลับในบัญชีทา การ นอกจากน้ันได้มีการ
ปิดสานักงานก่อนเลิกเวลาปฏิบัติราชการ รวมทั้งมีการนารถยนต์ของทางราชการไปใช้เป็นการส่วนตัวและ
นาออกนอกพ้ืนท่ีโดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้บังคับบัญชา อธิบดีกรมบังคับคดีจึงมีคาสั่งที่ ๑๕๕/๒๕๕๑
ลงวันท่ี ๑๘ เมษายน ๒๕๕๑ แต่งต้ังคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าว ตามมาตรา ๙๙
แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ ต่อมาคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงได้มี
บันทึกที่ ยธ ๐๕๒๑/๑๖๖ ลงวันท่ี ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๑ ถึงอธิบดีกรมบังคับคดี รายงานผลการ
สอบข้อเท็จจริงโดยมีความเห็นว่าควรดา เนินการทางวินัยแก่ข้าราชการและพนักงานราชการของสา นักงาน
บงั คบั คดีจังหวัดสมุทรสาคร จานวน ๔ ราย รวมท้ังนาง ก ผู้อานวยการสานักงาน ซึ่งมีพฤติการณ์ไม่อุทิศเวลา
ของตนให้แก่ทางราชการ ละทิ้งหน้าท่ีราชการ อาศัยอานาจหน้าท่ีราชการของตนหาประโยชน์ให้แก่ตนเอง
และไมป่ ฏบิ ตั ิตามระเบยี บและแบบธรรมเนยี มของทางราชการดว้ ย แตโ่ ดยทป่ี รากฏว่าเมื่อวันที่ ๑๔ พฤษภาคม
๒๕๕๑ นาง ก ได้รับอนุญาตให้ลาออกจากราชการ กรมบังคับคดีจึงหารือไปยังสานักงาน ก.พ. รวม ๒ ข้อ
ความละเอยี ดแจ้งแลว้ น้นั
สานกั งาน ก.พ. ได้พิจารณาแล้ว ขอเรยี นให้ทราบ ดังน้ี
๑. ข้อที่หารือว่า ตามรายงานการตรวจสอบและความเห็นของรองอธิบดีกรมบังคับคดี
(ฝ่ายพัฒนา) ท่ีเสนอต่ออธิบดีกรมบังคับคดีจะถือเป็นกรณีกล่าวหาเป็นหนังสือต่อผู้บังคับบัญชาว่า
นาง ก. กระทาผิดวินยั อย่างร้ายแรงก่อนออกจากราชการตามมาตรา ๑๐๖ หรอื ไม่น้ัน
63
ขอเรียนว่า การร้องเรียนกล่าวหาอันพึงเห็นได้ว่าเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรงตามมาตรา ๑๐๖
แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ นั้น ต้องเป็นการร้องเรียนที่ระบุถึงการกระทา
และความผิดของผู้ถูกกล่าวหาอย่างแน่ชัดว่าได้มีการกระทา อันเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรงแล้วเท่าน้ัน
ผู้บังคับบญั ชาจึงจะสามารถดาเนินการทางวินยั แก่ผนู้ ัน้ ตอ่ ไปได้ สาหรับกรณที หี่ ารือนป้ี รากฏข้อเท็จจริงว่า ตาม
บันทึกรายงานการตรวจสอบการปฏิบัติงานของสานักงานบังคับคดีจังหวัดสมุทรสาคร ลงวันที่ ๑๑ เมษายน
๒๕๕๑ ที่รองอธิบดีกรมบังคับคดี (ฝ่ายพัฒนา) มีถึงอธิบดีกรมบังคับคดี ได้รายงานผลการตรวจสอบว่า
ผู้อานวยการสานักงานและเจ้าหน้าท่ีในสานักงานหลายคนไม่ได้อยู่ปฏิบัติงานในหน้าท่ีจนหมดเวลา
ปฏิบัติราชการ และมิได้ลงลายมือชื่อกลับในบัญชีทาการ และนารถยนต์ของทางราชการไปใช้เป็นการส่วนตัว
และนาออกนอกพื้นท่ีโดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้บังคับบัญชา โดยไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าพฤติการณ์ดังกล่าว
ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการอย่างร้ายแรง อันจะเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรงแต่อย่างใด กรณี
มีมูลเป็นเพียงความผิดฐานละท้ิงหน้าที่ราชการ อาศัยอานาจหน้าท่ีราชการของตนหาประโยชน์ให้แก่ตนเอง
และไม่ปฏิบัติตามระเบียบแบบธรรมเนียมของทางราชการ ตามมาตรา ๙๒ วรรคหน่ึง มาตรา ๘๒ วรรคสอง
และมาตรา ๘๕ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ ซึ่งเป็นเพียงความผิดวินัย
อย่างไม่ร้ายแรง การรายงานผลการตรวจสอบดังกล่าวจึงเป็นเพียงการกล่าวหาว่านาง ก. และพวก ได้กระทาการ
อันเป็นความผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรงเท่านั้น ต่อมาเมื่อปรากฏว่า นาง ก. ได้รับอนุญาตให้ลาออกจากราชการ
กรณีจึงไม่เขา้ เงื่อนไขตามมาตรา ๑๓๑ แหง่ พระราชบัญญตั ริ ะเบยี บขา้ ราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ ประกอบ
มาตรา ๑๐๖ แหง่ พระราชบญั ญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ ดังนั้น ผู้บังคับบัญชาจึงไม่สามารถ
ดาเนนิ การทางวินัยแกผ่ ูน้ ี้ได้อกี ต่อไป
๒. ส่วนข้อหารือท่ีว่า หากกรมบังคับคดีจะไม่ดาเนินการสอบสวนนาง ก. เพราะไม่เข้าหลักเกณฑ์
ตามมาตรา ๑๐๖ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ โดยดาเนินการสอบสวน
เฉพาะผู้ทย่ี งั ไม่ได้ลาออกจากราชการ จะมีปญั หาในทางปฏิบัติรวมถึงกระบวนการสอบสวนและความเป็นธรรม
หรือไม่ มผี ลดี ผลเสียอยา่ งไรบ้าง นนั้
ขอเรียนว่า การดาเนินการทางวินัยเป็นกระบวนการท่ีกฎหมายกาหนดให้ต้องกระทา
เม่ือปรากฏกรณีมีมูลท่ีควรกล่าวหาว่าข้าราชการกระทาผิดวินัย การท่ีข้าราชการคนใดจะถูกดาเนินการ
ทางวินัยหรือไม่ จึงเป็นเรื่องเฉพาะแต่ละบุคคล โดยหากปรากฏว่าข้าราชการผู้ใดมีพฤติการณ์หรือการกระทา
ทม่ี มี ลู เป็นความผิดวินัย ข้าราชการผู้น้ันก็จะต้องถูกดาเนินการทางวินัย ซึ่งในเรื่องของการดาเนินการทางวินัย
นั้น กฎหมายได้กาหนดหลักการว่า ผู้บังคับบัญชาสามารถจะดาเนินการทางวินัยตลอดจนส่ังลงโทษ
แก่ผู้ใต้บังคับบัญชาที่ถูกกล่าวหาว่ากระทาผิดวินัยได้ก็ต่อเม่ือ ผู้น้ันยังมีสภาพเป็นข้าราชการอยู่เท่านั้น
และมาตรา ๑๐๖ ถือเป็นข้อยกเว้นท่ีให้อานาจแก่ ผู้บังคับบัญชาในอันท่ีจะดาเนินการทางวินัยแก่ผู้ใต้บังคับบัญชา
ที่ออกจากราชการไปแล้วได้ แต่ท้ังน้ีต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขท่ีกฎหมายกาหนด สาหรับกรณีท่ีหารือ เม่ือปรากฏว่า
นาง ก. ได้รับอนุญาต ให้ลาออกจากราชการไปแล้ว ซ่ึงมีผลทาให้พ้นสภาพการเป็นข้าราชการไป และกรณี
ไม่อยู่ในเง่ือนไขตามมาตรา ๑๐๖ ที่ผู้บังคับบัญชาจะสามารถดาเนินการทางวินัยแก่ผู้นี้ได้ (ตามที่ได้กล่าว
64
ไปแล้วในข้อ ๑) การที่กรมบังคับคดีจะดาเนินการเฉพาะกับข้าราชการหรือพนักงานราชการท่ียังไม่ได้ลาออก
จากราชการ จึงเปน็ เรือ่ งทีเ่ ป็นไปตามบทบญั ญัตขิ องกฎหมาย ไม่ถือเป็นเรื่องที่จะก่อให้เกิดปัญหาในทางปฏิบัติ
หรือมผี ลกระทบต่อกระบวนการสอบสวน และความเปน็ ธรรมแตอ่ ย่างใด
จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ
ขอแสดงความนบั ถือ
(ลงช่ือ) ทัศนยี ์ ธรรมสทิ ธิ์
(นางสาวทศั นยี ์ ธรรมสทิ ธ์ิ)
รองเลขาธิการ ก.พ.
ปฏบิ ตั ริ าชการแทนเลขาธิการ ก.พ.
สานกั มาตรฐานวนิ ยั
โทร. ๐ ๒๕๔๗ ๑๖๓๑
โทรสาร ๐ ๒๕๔๗ ๑๖๓๐
65
ที่ นร ๑๐๑๑/๑๐๓๙ สานกั งาน ก.พ.
ถนนพษิ ณุโลก กทม. ๑๐๓๐๐
เรื่อง หารือการดาเนินการทางวนิ ัย
เรยี น อธบิ ดกี รมควบคุมมลพษิ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๕๑
อ้างถึง หนังสอื กรมควบคุมมลพิษ ที่ ทส ๐๓๐๑/๕๗๒๓ ลงวนั ท่ี ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๕๑ และ
หนงั สอื กรมควบคมุ มลพษิ ท่ี ทส 0๓๐๑/๙๕๐๕ ลงวนั ที่ ๓ กนั ยายน ๒๕๕๑
ตามหนังสือท่ีอ้างถึง กรมควบคุมมลพิษหารือโดยแจ้งข้อเท็จจริงว่า นางสาว ก. ตาแหน่ง
นักวิชาการส่ิงแวดล้อม ๕ กองแผนงานและประเมินผล กรมควบคุมมลพิษ ได้ย่ืนหนังสือขอลาออกจาก
ราชการจานวน ๒ ฉบับ โดยฉบับแรกลงวันท่ี ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๐ ยื่นต่อผู้อานวยการกองแผนงาน
และประเมินผลขอลาออกต้ังแต่วันท่ี ๓ สิงหาคม ๒๕๕๐ แต่ผู้บังคับบัญชายังไม่ได้พิจารณาดาเนินการใด ๆ
นางสาว ก. กไ็ ด้ขอหนงั สอื ลาออกจากราชการคืนและภายหลังได้มาปฏิบัติราชการตามปกติ ฉบับท่ีสองลงวันท่ี
๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๐ ยื่นต่ออธิบดีกรมควบคุมมลพิษผ่านผู้อานวยการกองแผนงานและประเมินผลขอลาออก
ตั้งแต่วันท่ี ๑๖ ตุลาคม ๒๕๕๐ และขอลาพักผ่อนตั้งแต่วันท่ี ๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๐ ถึงวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๐
ผู้บังคับบัญชาอนุญาตการลาพักผ่อน หลังจากวันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๕๐ เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบันนางสาว ก.
ไม่มาปฏิบัติหน้าท่ีราชการอีกเลย กรมควบคุมมลพิษได้รับหนังสือขอลาออกจากราชการของนางสาว ก.
ทั้งสองฉบับพร้อมกันเม่ือวันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๕๐ และไม่ได้อนุญาตการลาออกหรือยับยั้งการลา แต่ได้สั่ง
ใหต้ รวจสอบหนงั สือขอลาออกฉบบั ลงวันท่ี ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๐ ว่ามีผลทางกฎหมายหรือไม่และให้ดาเนินการ
ทางวินัย กรมควบคุมมลพิษจึงได้หารือว่า กรมควบคุมมลพิษจะสามารถดาเนินการทางวินัยกับนางสาว ก.
ได้หรอื ไมอ่ ย่างไร ความละเอยี ดแจง้ แลว้ นน้ั
สานักงาน ก.พ. ได้พิจารณาเอกสารประกอบการหารือแล้วขอเรียนดังนี้โดยที่พระราชบัญญัติ
ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ มาตรา ๑๓๑ ประกอบพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน
พ.ศ. ๒๕๓๕ มาตรา ๑๑๓ บัญญัติไว้มีสาระสาคัญว่า ข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดประสงค์จะลาออกจาก
ราชการ ให้ย่ืนหนังสือลาออกต่อผู้บังคับบัญชาเพ่ือให้ผู้มีอานาจสั่งบรรจุตามมาตรา ๕๒ เป็นผู้พิจารณาอนุญาต
ในกรณีที่ผู้มีอานาจสั่งบรรจุตามมาตรา ๕๒ พิจารณาเห็นว่าจาเป็นเพ่ือประโยชน์แก่ราชการจะยับย้ัง
การอนุญาตให้ลาออกไว้เป็นเวลาไม่เกินเก้าสิบวันนับตั้งแต่วันขอลาออกก็ได้ เมื่อครบกาหนดเวลาที่ยับย้ังแล้ว
ให้การลาออกมีผลต้ังแต่วันถัดจากวันขอลาออก ถ้าผู้มีอานาจสั่งบรรจุตามมาตรา ๕๒ ไม่ได้อนุญาตให้ลาออก
และไม่ยับยั้งการอนุญาตให้ลาออก ให้การลาออกน้ันมีผลต้ังแต่วันขอลาออก และตามระเบียบ ก.พ.ว่าด้วย
การลาออกจากราชการของข้าราชการพลเรอื นสามญั พ.ศ. ๒๕๓๖ ข้อ ๓ กาหนดไว้มีสาระสาคัญว่าข้าราชการ
พลเรือนสามัญผใู้ ดประสงค์จะลาออกจากราชการใหย้ ่ืนหนงั สอื ขอลาออกล่วงหน้าก่อนวันขอลาออกไม่น้อยกว่า
๓๐ วัน หนังสือขอลาออกจากราชการท่ียื่นล่วงหน้าก่อนวันขอลาออกน้อยกว่า ๓๐ วัน โดยไม่ได้รับอนุญาต
66
เป็นลายลักษณ์อักษรจากผู้มีอานาจอนุญาตการลาออก หรือที่มิได้ระบุวันขอลาออกให้ถือวันถัดจากวัน
ครบกาหนด ๓๐ วัน นับแต่วนั ท่ียนื่ เป็นวนั ขอลาออก
กรณีตามข้อหารือ ได้ปรากฏข้อเท็จจริงว่านางสาว ก. ย่ืนหนังสือขอลาออกจากราชการ
ฉบับแรกลงวันท่ี ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๐ ขอลาออกต้ังแต่วันท่ี ๓ สิงหาคม ๒๕๕๐ เป็นกรณียื่นหนังสือขอลาออก
ต่อผู้บังคับบัญชาล่วงหน้าก่อนวันขอลาออกไม่น้อยกว่า ๓๐ วัน ซึ่งหากผู้บังคับบัญชามีได้ยับยั้งการลาออก
ผลตามกฎหมายจะทาให้นางสาว ก. ออกจากราชการตั้งแต่วันที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๕๐ ซ่ึงเป็นวันที่ระบุ
ไว้ในหนังสือขอลาออกเป็นต้นไป ตามนัยข้อ ๓ ของระเบียบ ก.พ. ว่าด้วยการลาออกจากราชการของ
ข้าราชการพลเรือนสามัญ พ.ศ. ๒๕๓๖ และโดยที่ผู้บังคับบัญชามิได้พิจารณาเกี่ยวกับการขอลาออกดังกล่าว
ประกอบกับนางสาว ก. ได้ถอนหนังสือขอลาออกจากราชการก่อนการลาออกมีผล จึงเป็นผลให้การลาออก
จากราชการครั้งน้ีระงับเพราะผู้ขอลาออกไม่มีความประสงค์จะออกจากราชการอีกต่อไป เมื่อปรากฏว่า
หลังจากท่ีนางสาว ก. ยื่นหนังสือขอลาออกจากราชการแล้ว ยังคงมาปฏิบัติราชการตามปกติ จึงไม่มีกรณี
ทจ่ี ะต้องดาเนนิ การทางวินยั กบั นางสาว ก. แต่อย่างใด
สาหรับการยื่นหนังสือขอลาออกฉบับท่ีสอง ได้ปรากฏข้อเท็จจริงว่านางสาว ก. ยื่นหนังสือ
ลงวันท่ี ๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๐ ขอลาออกตั้งแต่วันท่ี ๑๖ ตุลาคม ๒๕๕๐ โดยกองแผนงานและประเมินผล
ลงรับไว้เม่ือวันท่ี ๑๒ ตุลาคม ๒๕๕๐ เป็นกรณีย่ืนหนังสือขอลาออกจากราชการน้อยกว่า ๓๐ วัน
เม่ืออธิบดีกรมควบคุมมลพิษผู้มีอานาจพิจารณาอนุญาตการลามิได้อนุญาตให้ลาออกจากราชการน้อยกว่า ๓๐ วัน
การลาออกจากราชการของนางสาว ก. ตามหนังสือฉบับนี้จึงมีผลให้ออกจากราชการได้ตั้งแต่วันท่ี ๑๒
พฤศจิกายน ๒๕๕๐ ซึ่งเป็นวันถัดจากวันครบกาหนด ๓๐ วัน นับแต่วันยื่นหนังสือขอลาออกเป็นต้นไป
ตามนัยข้อ ๓ ของระเบียบ ก.พ. ดังกล่าว การที่นางสาวก. ได้รับอนุญาตให้ลาพักผ่อนต้ังแต่วันท่ี ๑๐ ตุลาคม
๒๕๕๐ ถึงวันท่ี ๑๖ ตุลาคม ๒๕๕๐ จากน้ันไม่ได้มาปฏิบัติราชการอีกเลย กรณีจึงถือได้ว่านางสาว ก.
ได้ละทิ้งหน้าท่ีราชการระหว่างวันท่ี ๑๗ ตุลาคม ๒๕๕๐ ถึงวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๐ รวม ๒๖ วัน
เข้าลักษณะเป็นการกระทาความผิดวินัยอย่างร้ายแรงตามมาตรา ๙๒ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติ
ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ ซึ่งการละท้ิงหน้าที่ราชการดังกล่าวหากกรมควบคุมมลพิษ
ตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้วได้ความว่า มีการกล่าวหาเป็นหนังสือตามหลักเกณฑ์ที่กาหนดในมาตรา ๑๐๖
แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ กรมควบคุมมลพิษก็สามารถดาเนินการ
ทางวนิ ยั แกน่ างสาว ก. ในกรณีนตี้ ่อไปได้
จงึ เรยี นมาเพ่ือโปรดทราบ
ขอแสดงความนบั ถือ
(ลงชอื่ ) สมโภชน์ นพคุณ
(นายสมโภชน์ นพคุณ)
รองเลขาธิการ ก.พ.
ปฏิบัติราชการแทนเลขาธิการ ก.พ.
สานกั มาตรฐานวนิ ยั
โทร ๐ ๒๕๔๗ ๑๖๓๑
โทรสาร ๐ ๒๕47 ๑๖๓๐
67
ที่ นร ๑๐๑๑/ล. ๔๘0 สานักงาน ก.พ.
ถนนพิษณโุ ลก กทม. ๑0๓00
๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๒
เรอ่ื ง หารอื เกยี่ วกับผ้มู ีอานาจดาเนินการทางวินยั
เรยี น อธิบดกี รมศุลกากร
อา้ งถงึ หนังสือกรมศุลกากร ลับ ท่ี กค ๐๕๒๔/ล ๖๐ ลงวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๑ และ ลับ ที่ กค
๐๕๒๔(ศ)/๔๐๐ ลงวันท่ี ๙ กรกฎาคม ๒๕๕๑
ตามหนังสือท่ีอ้างถึง กรมศุลกากรได้หารือปัญหาเกี่ยวกับผู้มีอานาจดาเนินการทางวินัย
สรุปได้ว่า สานักงานศาลปกครอง ได้ส่งเรื่องร้องเรียนกล่าวโทษ นาย ก. นิติกร ๔ ให้กรมศุลกากรพิจารณา
ดาเนินการสอบสวนทางวินัย ฐานกระทาการอันได้ช่ือว่าเป็นผู้ประพฤติชั่ว ซ่ึงเดิม นาย ก. เป็นข้าราชการ
ฝ่ายศาลปกครอง ตาแหน่งพนักงานคดีปกครอง ๔ ได้ถูกนางสาว ข. มีหนังสือร้องเรียน ต่อสานักงาน
ศาลปกครอง เมื่อวันท่ี ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๑ กล่าวหาว่า นาย ก. มีพฤติการณ์ประพฤติช่ัว ต่อมานาย ก.
ได้ลาออกจากการเป็นข้าราชการสานักงานศาลปกครองต้ังแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๑ และในวันเดียวกัน
ได้รับการบรรจุแต่งตั้งเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญสังกัดกรมศุลกากร สานักงานศาลปกครองเห็นว่า
กรณีดังกล่าวไม่อยู่ในอานาจหน้าที่ของสานักงานศาลปกครองท่ีจะดาเนินการสอบสวนทางวินัย จึงส่งเร่ืองให้
กรมศุลกากรดาเนินการทางวินัย กรมศุลกากรจึงหารือว่า กรมศุลกากรหรือสานักงานศาลปกครองเป็น
ผู้มีอานาจในการสืบสวนข้อเท็จจริง ดาเนินการทางวินัย และลงโทษทางวินัยข้าราชการรายนี้ ความละเอียด
แจง้ แล้ว นั้น
ก.พ. พิจารณาแล้วเห็นว่า นาย ก. ได้ลาออกจากการเป็นข้าราชการสานักงานศาลปกครอง
ตั้งแต่วันท่ี ๑ เมษายน ๒๕๕๑ และในวันเดียวกัน นาย ก. ได้รับคัดเลือก และบรรจุแต่งต้ังเป็นข้าราชการ
พลเรือนสามัญ ตาแหน่งนิติกร ๔ กรมศุลกากร รับเงินเดือนในอัตรา ๙,๗๐๐ บาท ซึ่งเป็นข้ันแรกของ
ผู้ท่ีเข้ารับราชการโดยใช้วุฒิปริญญาโท ซ่ึงไม่ได้นาอายุราชการขณะเป็นข้าราชการสานักงานศาลปกครอง
มานบั อายุต่อเนอ่ื ง แตเ่ ร่มิ นบั อายรุ าชการใหม่ ผู้น้จี ึงไมไ่ ด้สทิ ธแิ ละได้รับประโยชน์จากการปฏิบัติหน้าท่ีราชการ
ท่ีสานักงานศาลปกครอง เพราะกรณีน้ีไม่ใช่เป็นการโอนหรือบรรจุกลับเข้ารับราชการพลเรือนสามัญ และ
ไม่ใช่การออกจากราชการแล้วกลับเข้ารับราชการใหม่ ฐานะการเป็นข้าราชการของนาย ก. ไม่ต่อเน่ือง
จึงไม่อาจนับระยะเวลาต่อเน่ืองกันได้ เม่ือฐานะการเป็นข้าราชการของนาย ก. ขาดตอนลง อธิบดีกรมศุลกากร
จึงไม่มีอานาจที่จะนากรณีที่นาย ก. ถูกกล่าวหาว่ากระทาผิดวินัยเม่ือครั้งเป็นข้าราชการสังกัดสานักงาน
ศาลปกครองกลาง ซ่ึงได้ลาออกจากราชการขาดตอนไปแล้ว มาพิจารณาดาเนินการทางวินัยได้ สาหรับ
68
กรณที ่ีนางสาว ข. ได้มีหนังสือร้องเรียนกล่าวหานาย ก. ต่อสานักงานศาลปกครองกลาง เม่ือวันท่ี ๓๑ มีนาคม
๒๕๕๑ ซึ่งเป็นการกล่าวหาก่อนนาย ก. ออกจากราชการ จึงอยู่ในอานาจของสานักงานศาลปกครองกลาง
ท่ีจะพิจารณาว่าเป็นกรณีตามมาตรา ๑๐๖ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕
ประกอบมาตรา ๑๓๙ แหง่ พระราชบญั ญตั ริ ะเบยี บข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ หรอื ไม่ ต่อไป
จงึ เรียนมาเพ่ือโปรดทราบ
ขอแสดงความนับถือ
สมโภชน์ นพคณุ
(นายสมโภชน์ นพคุณ)
รองเลขาธิการ ก.พ.
ปฏบิ ัติราชการแทน เลขาธกิ าร ก.พ.
สานกั มาตรฐานวนิ ยั
โทร. ๐๒ ๕๔๗ ๑๖๓๑
โทรสาร ๐๒ ๕๔๗ ๑๖๓๐
69
ที่ นร ๑๐๑๑/๒๕๗ สานักงาน ก.พ.
ถนนพิษณุโลก กทม. ๑๐๓00
๒๘ มถิ นุ ายน ๒๕๕๔
เร่อื ง หารอื ปญั หาการดาเนนิ การทางวินัยกบั ขา้ ราชการทเี่ กษยี ณอายุราชการหรอื ลาออกจากราชการ
เรยี น ปลดั กระทรวงพลงั งาน
อ้างถึง หนังสือกระทรวงพลงั งาน ด่วนที่สุด ท่ี พน ๐๒๐๑/๔๒๙๒ ลงวนั ท่ี ๒๕ สงิ หาคม ๒๕๕๓
ตามหนังสือท่ีอ้างถึง กระทรวงพลังงานได้หารือปัญหาเกี่ยวกับการดาเนินการทางวินัย
รายนาย ป. อดีตเจ้าหน้าที่บริหารงานช่าง ๔ สังกัดสานักงานพลังงานภูมิภาคท่ี ๓ ซ่ึงออกจากราชการไปแล้ว
โดยแจ้งข้อเท็จจริงและส่งเอกสารไปประกอบการพิจารณาสรุปได้ว่า นาย ป . เดิมรับราชการสังกัด
กรมโยธาธิการ ต่อมาเม่ือวันท่ี ๙ ตุลาคม ๒๕๔๕ ได้โอนมารับราชการสังกัดกรมธุรกิจพลังงาน และได้ลาออก
จากราชการตามโครงการเกษียณอายุราชการก่อนกาหนดเมื่อวันที่ 6 เมษายน ๒๕๔๗ หลังจากนั้น สานักงาน
คณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐานได้มีหนังสือถึงกรมธุรกิจพลังงาน แจ้งว่าจากการตรวจสอบสืบสวนของ
สานักงานการตรวจเงินแผ่นดินภูมิภาคที่ ๒ จังหวัดชลบุรี พบว่า ในการก่อสร้างอาคารโรงเรียน
เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทร์ ระยอง ผู้ที่เกี่ยวข้องมีพฤติการณ์ท่ีมิชอบหลายประการ
รวมถึงพฤติการณ์ของคณะกรรมการจัดจ้างโดยวิธีพิเศษที่มี นาย ป. ร่วมเป็นกรรมการ ซ่ึงมีพฤติการณ์ส่อ
ไปในทางทจุ รติ สานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐานจึงขอให้กรมธุรกิจพลังงานดาเนินการตามอานาจ
หน้าที่ต่อไป กรมธุรกิจพลังงานจึงมีคาส่ังท่ี ๖/๒๕๕๑ ลงวันที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๕๑ แต่งต้ังคณะกรรมการ
สอบสวนวินัยอย่างร้ายแรงแก่ นาย ป. ซ่ึงต่อมาคณะกรรมการสอบสวนได้เสนอความเห็นต่ออธิบดีว่า
ไม่อาจดาเนินการทางวินัยแก่ นาย ป. ได้ เนื่องจากกรมธุรกิจพลังงานได้รับเรื่องกล่าวหาจากสานักงาน
คณะกรรมการการศึกษาขน้ั พ้นื ฐานภายหลังจากที่ นาย ป. ได้ลาออกจากราชการไปแล้ว ซึ่งอธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน
ไดพ้ ิจารณา เห็นชอบใหย้ ุตกิ ารสอบสวนเมื่อวันที่ ๒๒ สงิ หาคม ๒๕๕๑ จึงขอหารือปัญหารวม ๓ ขอ้ ดังนี้
๑. การแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนร้ายแรงของกรมธุรกิจพลังงานถูกต้องหรือไม่ อย่างไร
หากข้อเท็จจริงปรากฏว่า สานักงานการตรวจเงินแผ่นดินภูมิภาคที่ ๒ จังหวัดชลบุรี ได้รับหนังสือร้องเรียน
เมือ่ ปี พ.ศ. ๒๕๔๓ ซึ่งไม่ได้ระบุช่ือและพฤติการณ์ในการกระทาผิดของ นาย ป. ไว้อย่างชัดเจน โดยเจ้าหน้าท่ี
ตรวจสอบของสานักงานการตรวจเงนิ แผน่ ดินได้เสนอรายงานผลการตรวจสอบต่อผู้อานวยการตรวจเงินแผ่นดิน เมื่อ
วันที่ ๒๒ มกราคม ๒๕๔๔ เสนอต่อสานักงานการตรวจเงินแผ่นดิน เมื่อวันท่ี ๓๐ มกราคม ๒๕๔๔ และ
คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินได้พิจารณาเมื่อวันที่ ๖ สิงหาคม ๒๕๔๗ โดยมีมติให้ดาเนินการแจ้งหน่วยงาน
ทเ่ี ก่ียวข้อง แต่กรมธรุ กิจพลังงานไม่ไดร้ ับหนังสือแจง้ จากสานกั งานการตรวจเงินแผ่นดิน แตอ่ ย่างใด
๒. หากกรมธุรกิจพลังงานสามารถแต่งต้ังคณะกรรมการสอบสวน นาย ป. ได้ คณะกรรมการ
สอบสวนทางวินัยที่เสนอความเห็นต่ออธิบดีให้ยุติการสอบสวน สามารถกลับมาดาเนินการสอบสวนใหม่
โดยท่ีไมต่ อ้ งแต่งตง้ั คณะกรรมการสอบสวนชดุ ใหม่ได้หรือไม่
70
๓. หากกรมธุรกิจพลังงานไม่สามารถแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนตามข้อ ๒. ได้ การแต่งตั้ง
คณะกรรมการสอบสวนท่ีไดด้ าเนินการไปแล้ว และทาให้ นาย ป. ได้รับความเสียหาย ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ ของ
กรมธรุ กิจพลงั งานตอ้ งรบั ผิดหรือไม่ อย่างไร ความละเอยี ดแจง้ แล้ว น้นั
ก.พ. พิจารณาแล้วเห็นว่า กรณีนี้สานักงานการตรวจเงินแผ่นดินภูมิภาคที่ ๒ จังหวัดชลบุรี
ได้รับหนังสือร้องเรียนซึ่งมิได้มีการระบุชื่อและพฤติการณ์ในการกระทาผิดของ นาย ป. ให้ปรากฏจนกระทั่ง
เม่ือเจา้ หน้าที่ตรวจสอบของสานกั งานการตรวจเงินแผ่นดนิ ภูมภิ าคที่ ๒ เข้าทาการตรวจสอบ และเสนอรายงาน
ผลการตรวจสอบต่อผู้อานวยการตรวจเงินแผ่นดิน และสานักงานการตรวจเงินแผ่นดิน เมื่อวันท่ี ๒๒ และ
๓๐ มกราคม ๒๕๔๔ ตามลาดับ จึงปรากฏข้อเท็จจริงว่า คณะกรรมการจัดจ้างโดยวิธีพิเศษที่มี นาย ป.
ร่วมเป็นกรรมการ มีพฤตกิ ารณป์ ฏิบตั หิ น้าที่โดยมิชอบ ซึ่งการรายงานดังกล่าวถือเป็นการกล่าวหาต่อผู้มีหน้าที่
สืบสวนสอบสวนหรือตรวจสอบตามกฎหมายหรือระเบียบของทางราชการ ตามมาตรา ๑๐๖ แห่งพระราชบัญญัติ
ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ อันเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะน้ันแล้ว และเป็นการกล่าวหา
ก่อนท่ี นาย ป. จะออกจากราชการไปเม่ือวันท่ี ๑ เมษายน ๒๕๔๗ ดังน้ัน อธิบดีกรมธุรกิจพลังงานจึงมีอานาจ
ดาเนินการทางวินัยแก่ นาย ป. ได้ การที่อธิบดีกรมธุรกิจพลังงานมีคาสั่งแต่งต้ังคณะกรรมการสอบสวน นาย ป.
จึงเป็นการดาเนินการและเป็นคาสั่งท่ีชอบด้วยกฎหมายแม้ต่อมาอธิบดีกรมธุรกิจพลังงานจะได้พิจารณา
เห็นชอบและสั่งยุติการสอบสวนตามความเห็นของคณะกรรมการสอบสวนก็ถือว่าเป็นการพิจารณา สั่งการ
โดยสาคัญผิดหามีผลเป็นการยกเลิกคาส่ังแต่งต้ังคณะกรรมการสอบสวนที่ส่ังไปโดยชอบด้วยกฎหมายไม่
อธิบดีกรมธุรกิจพลังงานย่อมที่จะสั่งการให้คณะกรรมการสอบสวนชุดเดิมกลับมาดาเนินการสอบสวนต่อไปได้
โดยไม่จาตอ้ งแตง่ ตง้ั คณะกรรมการสอบสวนชดุ ใหมข่ ้นึ ทาการสอบสวนแต่อย่างใด
สาหรับข้อหารือท่ีว่า หากกรมธุรกิจพลังงานไม่สามารถแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน นาย ป.
ได้การแตง่ ตัง้ คณะกรรมการสอบสวนทด่ี าเนนิ การไปแล้วและทาให้ นาย ป. ได้รับความเสียหายข้าราชการและ
เจ้าหน้าท่ีของกรมธุรกิจพลังงานต้องรับผิดชอบหรือไม่ อย่างไร น้ัน เม่ือปรากฏว่า การแต่งต้ังคณะกรรมการ
สอบสวนของกรมธรุ กิจพลงั งานเป็นการดาเนินการที่ถูกต้องตามกฎหมาย ปัญหาดังกล่าวจึงไม่จาต้องพิจารณา
อีกตอ่ ไป
จงึ เรียนมาเพื่อโปรดทราบ
ขอแสดงความนับถือ
ปรีชา นศิ ารตั น์
(นายปรีชา นิศารัตน์)
รองเลขาธกิ าร ก.พ.
ปฏบิ ัตริ าชการแทนเลขาธกิ าร ก.พ.
สานักมาตรฐานวินยั
โทร. ๐ ๒๕๔๗ ๑๖๓๑
โทรสาร ๐ ๒๕๔๗ ๑๖๓๐
71
ท่ี นร 0709.1/260 สานกั งาน ก.พ.
ถนนพษิ ณุโลก กท 10300
14 พฤศจกิ ายน 2544
เรอ่ื ง หารือปัญหาการดาเนินการทางวินยั
เรยี น ปลดั กระทรวงสาธารณสขุ
อ้างถึง หนังสือสานักงานปลดั กระทรวงสาธารณสุข ดว่ นมาก ที่ สธ 0203/72/26084
ลงวันที่ 15 ธนั วาคม 2543
ตามหนังสือท่ีอ้างถึง สานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขหารือว่า เมื่อวันท่ี 5 มิถุนายน
2541 สานักงานตรวจเงินแผ่นดินภูมิภาคท่ี 5 จังหวัดอุบลราชธานี ได้มีหนังสือแจ้งให้นายแพทย์สาธารณสุข
จังหวัดศรีสะเกษทราบว่า ได้ทาการตรวจสอบการเงินและบัญชี สานักงานสาธารณสุขจังหวัดศรีสะเกษ
ประจาปีงบประมาณ 2540 เพียงวันท่ี 31 มีนาคม 2540 แล้ว พบว่ามีการเบิกจ่ายเงินไม่ถูกต้อง
ตามระเบียบหลายรายการ เป็นเหตุให้เงินขาดบัญชีจานวน 45,861 บาท และให้เรียกเงินจากเจ้าหน้าที่
ผู้รับผิดชอบนาเข้าบัญชีเงินสดโดยเร็วพร้อมทั้งแต่งตั้งกรรมการสอบสวน หากพบว่าเป็นการทุจริต
ให้ดาเนินการตามกฎหมายโดยด่วน แต่ปรากฏว่าในเร่ืองเดียวกันน้ี สานักงานสาธารณสุขจังหวัดศรีสะเกษ
มีคาสั่งท่ี 216/2540 ลงวันที่ 16 ธันวาคม 2540 แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยอย่างไม่ร้ายแรง
แก่นาง ก. เจ้าพนักงานการเงินและบัญชี 5 และมคี าสงั่ ท่ี 1431/2541 ลงวันที่ 30 มถิ ุนายน 2541 ลงโทษ
ลดข้ันเงินเดือนนาง ก. 1 ขั้น ฐานไม่ปฏิบัติหน้าท่ีราชการด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ไม่ปฏิบัติหน้าที่ราชการ
ด้วยความอุตสาหะ เอาใจใส่ ระมัดระวังประโยชน์ของทางราชการ และไม่ปฏิบัติหน้าที่ราชการ
ให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบของทางราชการ ตามมาตรา 82 วรรคหน่ึง มาตรา 84 วรรคหนึ่ง และ
มาตรา 85 วรรคหน่ึง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 อีกท้ังได้รายงาน
การลงโทษให้สานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขพิจารณาดาเนินการไปก่อนแล้ว ต่อมานาง ก. ขอลาออก
จากราชการและได้รับอนุญาตให้ลาออกจากราชการตามคาส่ังจังหวัดศรีสะเกษ ท่ี 2326/2541 ลงวันที่ 7
กนั ยายน 2541 โดยมผี ลตงั้ แต่วันท่ี 2 ตุลาคม 2541 หลังจากนั้นเมอื่ วนั ที่ 21 พฤษภาคม 2542 สานักงาน
ตรวจเงินแผ่นดินภูมิภาคที่ 5 จังหวัดอุบลราชธานี ได้รายงานสานักงานสาธารณสุขจังหวัดศรีสะเกษ ว่า จากการ
ตรวจสอบบญั ชขี องสานกั งานสาธารณสขุ จังหวัดศรีสะเกษประจาปี พ.ศ. 2540 เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2540
พบว่านาง ก. มีพฤติการณ์น่าเชื่อว่า กระทาการทุจริตต่อหน้าที่ราชการ จากข้อเท็จจริงดังกล่าว กรณีจะถือว่า
นาง ก.มีกรณีถูกกล่าวหาว่ากระทาหรือละเว้นกระทาการท่ีพึงเห็นได้ว่าเป็นความผิดวินัยร้ายแรงก่อน
ทีจ่ ะลาออกจากราชการตามมาตรา 106 แห่งพระราชบญั ญัติระเบียบขา้ ราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 หรือไม่
อย่างไร ความละเอียดแจง้ แล้ว นน้ั
72
ก.พ. พิจารณาแล้วเห็นว่า การกล่าวหาข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดกระทาหรือละเว้น
การใดที่พึงเห็นได้ว่าเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง ตามนัยมาตรา 106 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบ
ข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 นั้น การกล่าวหาจะต้องระบุโดยชัดแจ้งถึงพฤติการณ์แห่งการกระทาหรือ
ละเว้นการกระทาใดที่พึงเห็นได้ว่าเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง และต้องระบุด้วยว่าข้าราชการผู้ใด
เป็นผกู้ ระทาหรอื ละเว้นการกระทาการเชน่ ว่านน้ั ดังนั้น หนังสือสานักงานตรวจเงินแผ่นดินภูมิภาคท่ี ๕ จังหวัด
อุบลราชธานี ลงวันท่ี 5 มิถุนายน 2541 ซึ่งรายงานผลการตรวจบัญชีของสานักงานสาธารณสุขจังหวัด
ศรีสะเกษว่า เงินขาดบัญชี จานวน 45,861 บาท และขอให้สานักงานสาธารณสุขจังหวัดศรีสะเกษแต่งต้ัง
คณะกรรมการสอบสวน หากพบว่าเป็นการทุจริตให้ดาเนินการตามกฎหมายโดยด่วน โดยไม่ได้ระบุว่า
เงินขาดบัญชีดังกล่าวอยู่ในความรับผิดชอบของเจ้าหน้าท่ีผู้ใด จึงยังถือไม่ได้ว่าเป็นการกล่าวหาว่านาง ก .
มีกรณีถูกกล่าวหาว่ากระทาหรือละเว้น กระทาการใดที่จะพึงเห็นได้ว่าเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง
อยกู่ ่อนออกจากราชการ ตามมาตรา 106 แหง่ พระราชบัญญัตริ ะเบยี บขา้ ราชการพลเรือน พ.ศ. 2535
จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ
ขอแสดงความนบั ถือ
(ลงช่ือ) บุญปลกู ชายเกตุ
(นายบญุ ปลูก ชายเกต)ุ
รองเลขาธกิ าร ก.พ.
รกั ษาการในตาแหน่งเลขาธิการ ก.พ.
สานักเสริมสร้างวินัยและรักษาระบบคุณธรรม
กลมุ่ งานปฏริ ูประบบวนิ ยั อุทธรณ์ และร้องทกุ ข์
โทร. 0 2281 8677
โทรสาร 0 2628 6204
73
ที่ นร 0709.2/ป 80 สานกั งาน ก.พ.
ถนนพิษณุโลก กท 10300
17 มนี าคม 2542
เร่อื ง หารือการสั่งเพ่มิ โทษข้าราชการ
เรียน อธบิ ดกี รมการปกครอง
อา้ งถึง หนงั สอื กรมการปกครอง ปกปิด ที่ มท 0303/3047 ลงวนั ท่ี 24 กรกฎาคม 2541
ตามหนังสือที่อ้างถึง กรมการปกครองหารือปัญหาการส่ังเพ่ิมโทษนาย ก เจ้าหน้าที่ปกครอง 3
ที่ทาการปกครองอาเภอท่าหลวง จังหวัดลพบุรี ซึ่งถูกนายอาเภอท่าหลวง สั่งลงโทษภาคทัณฑ์ กรณีขาดราชการ
ระหว่างวันท่ี 31 กรกฎาคม ถึงวันท่ี 6 สิงหาคม 2539 และจังหวัดลพบุรีเห็นชอบด้วยแล้ว แต่กรมการปกครอง
เห็นควรส่ังเพิ่มโทษเป็นตัดเงินเดือน 5% เป็นเวลา 3 เดือน จึงได้เสนอความเห็นต่อ อ.ก.พ. กระทรวงมหาดไทย
ระหว่างน้ีปรากฏว่าจังหวัดลพบุรี ได้มีคาส่ังลงโทษปลดผู้น้ีออกจากราชการต้ังแต่วันท่ี 22 ธันวาคม 2540
กรณีละท้ิงหน้าท่ีราชการติดต่อในคราวเดียวกันเป็นเวลาเกินกว่า 15 วัน โดยไม่มีเหตุผลอันสมควร
ต่อมาภายหลัง อ.ก.พ. กระทรวงมหาดไทยได้พิจารณามีมติให้เพ่ิมโทษนาย ก. ตามท่ีกรมการปกครองเสนอ
กรมการปกครองจึงหารือว่าจะมีคาสั่งเพ่ิมโทษให้เป็นไปตามมติ อ.ก.พ. กระทรวงมหาดไทย ดังกล่าวได้หรือไม่
โดยจะต้องอาศัยเหตุผลตามบทกฎหมายใด ถ้าไม่สามารถเพ่ิมโทษได้ กรมการปกครองจะต้องขอทบทวนมติ
อ.ก.พ. กระทรวงมหาดไทยเป็นให้งดโทษตามนัยมาตรา 106 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน
พ.ศ. 2535 ไดห้ รอื ไม่ ดงั ความละเอียดแจ้งแล้ว นนั้
สานักงาน ก.พ. ขอเรียนว่า พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535
มาตรา 80 และมาตรา 100 ได้บัญญัติให้ข้าราชการพลเรือนสามัญต้องรักษาวินัย ตามท่ีบัญญัติเป็นข้อห้าม
และข้อปฏิบัติในหมวด 4 โดยเคร่งครัดอยู่เสมอ หากผู้ใดฝ่าฝืน ข้อห้ามหรือไม่ปฏิบัติตามข้อปฏิบัติทางวินัย
ผู้น้ันเป็นผู้กระทาผิดวินัยและจักต้องได้รับโทษทางวินัย ซ่ึงหมายความว่า ผู้ที่ตกอยู่ในบังคับแห่งความข้างต้น
จะต้องมีสภาพเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ ทั้งในขณะกระทาผิดและในขณะถูกลงโทษ เว้นแต่จะเป็นกรณี
ตามมาตรา 106 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว ท่ีบัญญัติให้ผู้บังคับบัญชามีอานาจสืบสวนและดาเนินการทางวินัย
แก่ข้าราชการพลเรือนสามัญท่ีออกจากราชการไปแล้วได้ หากผู้น้ันมีกรณีถูกกล่าวหาว่ากระทาหรือละเว้น
กระทาการใดที่ถึงเห็นได้ว่าเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรงอยู่ก่อนออกจากราชการซ่ึงผู้บังคับบัญชาจะต้องส่ัง
งดโทษ หากผลการสอบสวนพจิ ารณาปรากฏวา่ ผูน้ นั้ กระทาผิดวนิ ัยอยา่ งไมร่ ้ายแรง
สาหรับกรณีที่หารือน้ี ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจังหวัดลพบุรี ได้มีคาส่ังลงโทษปลด นาย ก.
ออกจากราชการต้ังแต่วันท่ี 22 ธันวาคม 2540 แล้ว ผู้นี้จึงไม่มีสภาพเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ
อันจะต้องได้รับโทษทางวินัยอีกต่อไป ประกอบกับกรณีที่ อ.ก.พ. กระทรวงมหาดไทยมีมติให้เพ่ิมโทษ
74
จากภาคทัณฑ์เป็นตัดเงินเดือนตามความเห็นของกรมการปกครองน้ัน ก็ไม่ต้องด้วยเงื่อนไขของมาตรา 106
ทจ่ี ะใช้เป็นเหตงุ ดโทษ เน่อื งจากกรณีดังกล่าวเป็นกรณีท่ีมีการกล่าวหาว่ากระทาผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรง ดังนั้น
กรมการปกครองจึงไม่สามารถสั่งเพิ่มโทษ นาย ก. และไม่อาจรายงาน อ.ก.พ. กระทรวงมหาดไทย เพื่อขอให้
ทบทวนมติที่ให้เพิ่มโทษเป็นให้งดโทษได้ โดยอาศัยเหตุผลตามมาตรา 80 มาตรา 100 และมาตรา 106
แห่งพระราชบญั ญตั ิระเบียบขา้ ราชการพลเรือน พ.ศ.2535 ท่ีไดก้ ล่าวแล้วข้างต้น
อยา่ งไรก็ตาม เพื่อความชัดเจนในทางปฏิบัติ กรมการปกครองควรรายงาน อ.ก.พ. กระทรวงมหาดไทย
วา่ กรณีเช่นนี้ กรมการปกครอง ไม่สามารถดาเนนิ การส่งั เพ่มิ โทษนาย ก. ตามมติ อ.ก.พ.กระทรวงมหาดไทย ได้
เนอ่ื งจากผนู้ ้ไี ด้ออกจากราชการไปแล้ว และควรหมายเหตุให้ปรากฏไวใ้ นรายงานการลงโทษด้วย
จึงเรียนมาเพ่ือโปรดทราบ
ขอแสดงความนับถือ
อดุล จนั ทรศักดิ์
(นายอดลุ จันทรศักดิ์)
ผอู้ านวยการสานกั เสรมิ สร้างวินัยและรักษาระบบคุณธรรม
แทนเลขาธิการ ก.พ.
สานกั เสริมสร้างวินยั และรกั ษาระบบคุณธรรม
กล่มุ รกั ษามาตรฐานวนิ ยั
โทร. 2818677
โทรสาร 6286204
75
ที่ นร ๑๐๑๑/ล ๑๔๕ สานักงาน ก.พ.
ถนนพิษณโุ ลก กทม. ๑๐๓๐๐
1๖ กมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๕๓
เรอ่ื ง หารอื การแตง่ ตง้ั คณะกรรมการสอบสวน
เรียน อธิบดกี รมทรพั ยากรทางทะเลและชายฝงั่
อ้างถงึ หนงั สอื กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝงั่ ด่วนมาก ท่ี ทส ๐๔๐๖/๑๐๖๕ ลงวันท่ี ๒๙ กันยายน ๒๕๕๒
ตามหนังสือที่อ้างถึง กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝ่ังแจ้งว่า ได้แต่งต้ังคณะกรรมการ
สอบสวนวนิ ัยอย่างรา้ ยแรงแก่ นาย ธ. เจ้าหน้าท่ีบริหารงานป่าไม้ ๖ หัวหน้าสถานีพัฒนาทรัพยากรป่าชายเลน
ที่ ๔ (น้าเชี่ยว ตราด) สังกัดส่วนบริหารจัดการทรัพยากรป่าชายเลน ที่ ๑ สานักอนุรักษ์ทรัพยากรป่าชายเลน
ในเรื่องดาเนินการปลูกป่าชายเลน แปลงที่ สน. ๔ ปส. ๑/๒๕๕๐ (ตราด) เน้ือท่ี ๓๐๕ ไร่ ในพื้นที่ป่าสงวน
แห่งชาติป่าปากคลองบางพระ ป่าเกาะเจ้า และป่าเกาะลอย ตาบลหนองคันทรง อาเภอเมืองตราด จังหวัดตราด
ซึ่งพื้นท่ีมีสภาพเป็นป่าพรุอยู่นอกภารกิจที่กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งรับผิดชอบ และปลอมแปลงเอกสาร
ราชการเพ่ือจูงใจให้ผู้บังคับบัญชาเชื่อว่ามีการประสานงานกับผู้นาชุมชนและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแล้ว
โดยระหว่างการสอบสวน นาย ธ. ได้ขอความเป็นธรรมให้พิจารณากรณี นาย ส. นาย ท. นาย ว. และ นาย ช.
เข้าไปรื้อค้นเอกสารในห้องทางานของตน และลักเอาเอกสารทางราชการไป อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเล
และชายฝั่งจึงได้มีคาสัง่ แตง่ ต้งั คณะกรรมการสืบสวนขอ้ เท็จจริงในกรณขี อความเปน็ ธรรมดังกล่าว ระหว่าง การ
สืบสวนข้อเท็จจริง นาย ส. กับพวก ได้ขอให้ยกเลิกคาสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง และ
ให้แตง่ ต้ังคณะกรรมการสอบสวนชุดใหมท่ เี่ ปน็ กลางเพอื่ สอบสวน นาย ธ. ในเรื่องปลอมแปลงเอกสารการตรวจ
สภาพปา่ รว่ มกับคณะ อบต. หนองคันทรง เม่ือวันท่ี ๒๑ ธันวาคม ๒๕๔๙ ในพ้ืนที่พรุน้าจืด น้ากร่อย กรณีจึงมี
ปัญหาท่ีขอหารือว่า เร่ืองการปลอมแปลงเอกสาร อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝ่ังจะสามารถยกขึ้น
พิจารณาเพือ่ มีคาส่ังแต่งตัง้ คณะกรรมการชดุ ใหม่ไดอ้ ีกหรือไม่ ความละเอียดแจง้ แล้ว นัน้
สานักงาน ก.พ. พิจารณาแล้วขอเรียนว่า เรื่องน้ีอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝ่ัง
ได้มีคาสง่ั ที่ ๗/๒๕๕๑ ลงวันที่ ๒ เมษายน ๒๕๕๑ แต่งต้ังคณะกรรมการสอบสวน นาย ธ. ในกรณีถูกกล่าวหา
ว่ากระทาผิดวินัยอย่างร้ายแรง เร่ือง ดาเนินการปลูกป่าชายเลนแปลงที่สน.๔ ปส ๑/๒๕๕๐ (ตราด) เน้ือท่ี
๓๐๕ ไร่ ในพื้นท่ีป่าสงวนแห่งชาติป่าปากคลองบางพระ ป่าเกาะเจ้าและป่าเกาะลอย ตาบลหนองคันทรง
อาเภอเมอื งตราด จังหวดั ตราด ในพื้นท่ีสภาพเป็นปา่ พรุ ซ่งึ เป็นการใช้เงินงบประมาณท่ีผิดวัตถุประสงค์และ ไม่
ปฏบิ ัตติ ามระเบียบกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝงั่ วา่ ด้วยการปลูกและบารุงป่าชายเลน พ.ศ. ๒๕๔๙ โดยมี
การปลอมแปลงเอกสารราชการเพ่ือจูงใจให้ผู้บังคับบัญชาเช่ือว่ามีการประสานงานกับผู้นา ชุมนุมและ
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแล้ว โดยผลการสอบสวนพิจารณา อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝ่ัง
76
ได้พิจารณาเห็นชอบให้ยุติเรื่องเมื่อวันที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๕๑ ดังน้ัน การดาเนินการทางวินัยของอธิบดี
กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝ่ังจึงส้ินสุดลงแล้ว ทางปฏิบัติต่อไปสาหรับเร่ืองนี้อธิบดีกรมทรัพยากร
ทางทะเลและชายฝั่งจะต้องรายงานการดาเนินการทางวินัยดังกล่าว ไปยัง อ.ก.พ. กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ
และสง่ิ แวดล้อม เพอ่ื พจิ ารณาตามมาตรา ๑๐๓ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการ พลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑
การท่ีอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝ่ังจะหยิบยกเหตุที่ นาย ส. กับพวก ขอให้แต่งต้ังคณะกรรมการ
สอบสวนชุดใหม่ เพื่อทาการสอบสวนในเร่ืองปลอมแปลงเอกสารซึ่งได้ส่ังยุติไปแล้วขึ้นใหม่ โดยข้อเท็จจริง
มิได้เปล่ียนแปลงไปจากเดิม จึงเป็นเร่ืองท่ีไม่ชอบด้วยทางปฏิบัติดังกล่าว ซึ่งเร่ือง ทานองน้ี ก.พ. ได้เคย
พิจารณาวางหลักการไว้ว่า การกระทาผิดวินัยท่ีผู้บังคับบัญชาได้พิจารณาดาเนินการแล้ว เห็นว่าไม่มีความผิด
หรอื สงั่ ยุติเรื่อง แต่ภายหลังปรากฏพยานหลกั ฐานขึน้ ใหม่วา่ เปน็ การกระทาผดิ วนิ ยั ผู้บังคับบัญชาจึงจะสามารถ
ดาเนินการสอบสวนในเร่ืองเดียวกันนั้น เพื่อแก้ไขเปล่ียนแปลงคาสั่งให้ถูกต้องตามข้อเท็จจริงได้ ซึ่งหลักการ
ของ ก.พ. ดังกล่าวน้ี สอดคล้องกับหลักการมาตรา ๕๔ (๑) แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง
พ.ศ. ๒๕๓๙
จงึ เรยี นมาเพ่ือโปรดทราบ
ขอแสดงความนับถือ
สมโภชน์ นพคณุ
(นายสมโภชน์ นพคุณ)
รองเลขาธกิ าร ก.พ.
ปฏิบัตริ าชการแทนเลขาธิการ ก.พ.
สานักมาตรฐานวินัย
โทร ๐ ๒๕๔๗ ๑๖๓๑
โทรสาร ๐ ๒๕๔๗ ๑๖๓0
77
ที่ นร ๑๐๑๑/๓๐๙ สานกั งาน ก.พ.
ถนนพิษณโุ ลก กทม. ๑๐๓๐๐
๙ เมษายน ๒๕๕๓
เร่อื ง หารือการออกคาสัง่ ลงโทษ
เรยี น เลขาธกิ ารคณะกรรมการวิจยั แหง่ ชาติ
อา้ งถึง หนังสอื สานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ ที่ วช ๐00๑.๓/๘๘๗๑ ลงวนั ที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๒
ตามหนังสือที่อ้างถึง หารือปัญหาเก่ียวกับการออกคาสั่งลงโทษโดยแจ้งข้อเท็จจริงและ
สง่ เอกสารไปประกอบการพิจารณาสรุปได้ว่า สานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติได้มีคาส่ัง ที่ ๑๒๐/๒๕๕๐
ลงวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๕๐ และท่ี ๓๑๑/๒๕๕๐ ลงวันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๕๐ แต่งต้ังคณะกรรมการสอบสวน
นาง ก. ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการวิจัยทางสังคมศาสตร์ (นักวิเคราะห์นโยบายและ
แผนเชีย่ วชาญ) ซึ่งถูกกล่าวหาว่ากระทาผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรง และคณะกรรมการสอบสวนได้รายงานผลการ
สอบสวนต่อเลขาธิการคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ เม่ือวันท่ี ๒๓ มิถุนายน ๒๕๕๑ โดยเห็นสมควรลงโทษ
ลดขน้ั เงนิ เดอื น แต่เลขาธิการคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติได้พิจารณาเมื่อวันท่ี ๒๙ กันยายน ๒๕๕๒ ให้งดโทษ
โดยให้ทาหนังสือลงทัณฑ์ ต่อมาวันท่ี ๓๐ กันยายน ๒๕๕๒ เลขาธิการคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ
ได้เกษียณอายุราชการ โดยยังมิได้มีการทาหนังสือลงทัณฑ์ สานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ จึงขอทราบ
แนวทางปฏิบัติว่า รองเลขาธิการคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ รักษาราชการแทนเลขาธิการคณะกรรมการวิจัย
แห่งชาติ สามารถพิจารณาลงโทษลดข้ันเงินเดือนผู้น้ีตามความเห็นของคณะกรรมการสอบสวนได้หรือไม่
หรือต้องดาเนินการตามที่เลขาธิการสานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติได้พิจารณาไว้ และการดาเนินการ
ดังกล่าว ต้องรายงาน อ.ก.พ. กระทรวง เพ่ือพิจารณาก่อนออกคาส่ังหรือต้องออกคาสั่งก่อนแล้วจึงรายงาน
อ.ก.พ. กระทรวง เพอ่ื พจิ ารณา ความละเอยี ดแจง้ แลว้ น้ัน
สานักงาน ก.พ. ขอเรียนว่า มาตรา ๑๓๓ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน
พ.ศ. ๒๕๕๑ บัญญัติว่า “ข้าราชการพลเรือนผู้ใดมีกรณีกระทาผิดวินัย...อยู่ก่อนวันที่พระราชบัญญัติ
ในลักษณะ ๔ ข้าราชการพลเรือนสามัญ…..แห่งพระราชบัญญัติน้ีใช้บังคับ ให้ผู้บังคับบัญชาตาม
พระราชบัญญัตินี้มีอานาจสั่งลงโทษผู้นั้น.... ตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือนท่ีใช้อยู่ในขณะนั้น
สว่ นการสอบสวนการพิจารณาและการดาเนินการเพ่ือลงโทษ... ให้ดาเนินการตามพระราชบัญญัติน้ี...” สาหรับ
กรณีที่หารือ เลขาธิการคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติได้มีคาสั่งแต่งต้ังคณะกรรมการสอบสวนวินัย
อย่างไม่ร้ายแรงแก่นาง ก. และคณะกรรมการสอบสวนได้รายงานผลการสอบสวนก่อนที่บทบัญญัติในลักษณะ ๔
ข้าราชการพลเรือนสามัญ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ จะมีผลใช้บังคับ
แต่เลขาธิการคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติในฐานะผู้สั่งแต่งต้ังคณะกรรมการสอบสวนไม่ได้พิจารณาสั่งการใด
จนกระทั่งบทบัญญัติในลักษณะ ๔ ข้าราชการพลเรือนสามัญ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน
พ.ศ. ๒๕๕๑ มีผลใช้บังคับเม่ือวันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๕๑ จึงเป็นผลให้การดาเนินการต่อไปต้องเป็นไปตาม
78
พระราชบัญญัติดังกล่าว โดยมาตรา ๙๐ วรรคหนึ่ง บัญญัติให้การดาเนินการทางวินัยตามพระราชบัญญัตินี้
เป็นอานาจหน้าท่ีของผู้บังคับบัญชาซ่ึงมีอานาจสั่งบรรจุตามมาตรา ๕๗ และมาตรา ๕๗ (๘) บัญญัติว่า “การบรรจุ
และแต่งตั้งให้ดารงตาแหน่งประเภทวิชาการระดับเช่ียวชาญ ให้ปลัดกระทรวงหรือหัวหน้าส่วนราชการระดับ
กรมท่ีอยู่ในบังคับบัญชาหรือรับผิดชอบการปฏิบัติราชการขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรีหรือต่อรัฐมนตรี แล้วแต่กรณี
เป็นผู้มีอานาจสั่งบรรจุแต่งต้ัง” ดังนั้นเลขาธิการคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติจึงมีฐานะเป็นผู้บังคับบัญชาซึ่งมี
อานาจส่งั บรรจขุ องนาง ก. ตามมาตรา ๕๗ (๘) และมีอานาจท่ีจะพิจารณาสั่งการในเรื่องท่ีสอบสวนดังกล่าวได้
การท่ีเลขาธิการคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ ได้พิจารณาเรื่องนี้แล้วสั่งให้งดโทษนาง ก. โดยให้ทาหนังสือลงทัณฑ์ไว้
จึงเป็นการสั่งการท่ีชอบด้วยกฎหมาย แม้ต่อมาเลขาธิการคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ จะเกษียณอายุราชการ
ไปก่อนท่จี ะมกี ารทาหนงั สือลงทณั ฑ์ สานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติก็ยังคงต้องดาเนินการให้เป็นไปตาม
คาสั่งดังกล่าว จากน้ันจึงรายงานการดาเนินการทางวินัยไปยัง อ.ก.พ. สานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ
ปฏิบัติหน้าที่ อ.ก.พ. กระทรวง เพื่อพิจารณาตามนัยมาตรา ๑๐๓ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการ
พลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ ต่อไป
สาหรับความเห็นของรองเลขาธกิ ารคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ รักษาราชการแทนเลขาธิการ
คณะกรรมการวิจัยแห่งชาติท่ีเห็นควรลงโทษลดข้ันเงินเดือนตามความเห็นของคณะกรรมการสอบสวนน้ัน
สานกั งานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติสามารถนาความเห็นดังกล่าวเสนอพร้อมรายงานการดาเนินการทางวินัย
ไปเพ่ือประกอบการพจิ ารณาของ อ.ก.พ. กระทรวงได้
จงึ เรียนมาเพ่ือโปรดทราบ
ขอแสดงความนบั ถือ
สมโภชน์ นพคุณ
(นายสมโภชน์ นพคุณ)
รองเลขาธกิ าร ก.พ.
ปฏิบตั ิราชการแทนเลขาธิการ ก.พ.
สานักมาตรฐานวนิ ยั
โทร ๐ ๒๕๔๗ ๑๖๓๑
โทรสาร ๐ ๒๕๔๗ ๑๖๓0
79
ท่ี นร ๑๐๑๑/ล ๒๔๗ สานกั งาน ก.พ.
ถนนพิษณุโลก กทม. ๑๐๓00
๑๑ พฤษภาคม ๒๕๕๓
เร่อื ง หารือปัญหาข้อกฎหมายในการดาเนินการทางวินยั
เรียน ปลดั กระทรวงสาธารณสุข
อ้างถึง หนังสือสานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ลับ ด่วนที่สุด ที่ สธ ๐๒๐๑.๐๕/๓๔ ลงวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์
๒๕๕๓ และ ลับ ดว่ นมาก ที่ สธ ๐๒๐๑.๐๕/๙๖ ลงวนั ที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๕๓
ตามหนังสือท่ีอ้างถึง แจ้งว่าประธานกรรมการ ป.ป.ช. ส่งรายงานการไต่สวนข้อเท็จจริง
ไปยงั ปลดั กระทรวงสาธารณสุขเพื่อพิจารณาลงโทษทางวินัยแก่ข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดสานักงานปลัด
กระทรวงสาธารณสุขและกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ รวม ๖ ราย ซ่ึงกระทาผิดวินัยร่วมกันตามฐานความผิด
ที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีมติ การดาเนินการต่อไปต้องดาเนินการตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการ
พลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ โดยสง่ เร่ืองให้ อ.ก.พ. จงั หวดั อ.ก.พ. กรม หรือ อ.ก.พ. กระทรวง แล้วแต่กรณีพิจารณา
ประกอบกับหนังสือสานักงาน ก.พ. ท่ี นร ๑๐๑๑/ว ๑๓ ลงวันท่ี ๑๑ ธันวาคม ๒๕๕๑ และหนังสือสานักงาน ก.พ.
ท่ี นร ๑๐๑๑/ว ๒๑ ลงวันท่ี ๑๕ กันยายน ๒๕๕๒ กาหนดไว้ไม่ชัดเจนว่าจะต้องส่งเรื่องให้ อ.ก.พ. ใดเป็น
ผู้พิจารณา จึงหารือว่ากรณดี ังกล่าวจะตอ้ งสง่ เรอื่ งให้ อ.ก.พ. ใด เป็นผพู้ จิ ารณา ความละเอยี ดแจ้งแล้ว นนั้
ก.พ. พิจารณาแล้วเห็นว่า ตามท่ี ก.พ. ได้มีมติกาหนดการดาเนินการตามบทเฉพาะกาล
มาตรา ๑๓๒ และมาตรา ๑๓๗ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ ตามหนังสือ
สานักงาน ก.พ. ที่ นร ๑๐๑๑/ว ๒๑ ลงวันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๕๒ ข้อ ๑ (๒) กาหนดให้การดาเนินการ
เพื่อลงโทษในกรณีกระทาผิดวินัยอย่างร้ายแรง ในกรณีท่ีได้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน หรือในกรณี
ที่เป็นกรณีความผิดท่ีปรากฏชัดแจ้ง ในกรณีที่ปลัดกระทรวงเป็นผู้สั่งแต่งต้ังคณะกรรมการสอบสวน หรือ
เป็นผู้มีอานาจพิจารณา ให้ส่งเร่ืองให้ อ.ก.พ. กระทรวงซ่ึงผู้ถูกกล่าวหาสังกัดอยู่ พิจารณา แต่สาหรับกรณี
ตามเร่ืองนี้ เป็นกรณีท่ีข้าราชการพลเรือนสามัญต่างกรมในกระทรวงเดียวกันถูกกล่าวหาว่ากระทาผิดวินัย
ร่วมกัน ซ่ึงตามมาตรา ๙๔ (๒) บัญญัติให้ปลัดกระทรวงเป็นผู้ส่ังแต่งต้ังคณะกรรมการสอบสวน
แม้ตามเรื่องน้ีเป็นกรณีท่ีคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติช้ีมูลความผิด และตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและ
ป ร า บ ป ร า ม ก า ร ทุ จ ริ ต บั ญ ญั ติ ใ ห้ ผู้ มี อา น า จ พิ จ า ร ณ า ล ง โ ท ษ โ ด ย ไ ม่ ต้ อ ง แ ต่ ง ตั้ ง ค ณ ะ ก ร ร ม ก า ร ส อ บ ส ว น
80
แต่ถือได้ว่าปลัดกระทรวงสาธารณสุขเป็นผู้มีอานาจพิจารณา จึงต้องส่งเร่ืองให้ อ.ก.พ. กระทรวงสาธารณสุข
ซงึ่ ผู้ถูกกลา่ วหาสังกดั อยูเ่ ปน็ ผพู้ จิ ารณา ตามหนังสอื สานักงาน ก.พ. ที่ นร ๑๐๑๑/ว ๒๑ ลงวันที่ ๑๕ กันยายน
๒๕๕๒ ข้อ ๑ (๒)
จงึ เรียนมาเพื่อโปรดทราบ
ขอแสดงความนบั ถือ
สมโภชน์ นพคุณ
(นายสมโภชน์ นพคุณ)
รองเลขาธกิ าร ก.พ.
ปฏิบตั ริ าชการแทนเลขาธกิ าร ก.พ.
สานกั มาตรฐานวินยั
โทร ๐ ๒๕๔๗ ๑๖๓๑
โทรสาร ๐ ๒๕๔๗ ๑๖๓0
81
ท่ี นร ๑๐๑๑/๕๑๖ สานักงาน ก.พ.
ถนนพิษณุโลก กทม. ๑๐๓00
๓๐ พฤศจกิ ายน ๒๕๕๔
เรื่อง หารอื กรณีความหมายของคาว่า “ผบู้ งั คบั บัญชา” ตามมาตรา ๑๐๓ แห่งพระราชบัญญตั ิระเบียบ
ขา้ ราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑
เรยี น ปลดั กระทรวงสาธารณสุข
อา้ งถึง หนงั สือสานกั งานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ด่วนท่สี ุด ที่ สธ ๐๒๐๑.๐๕๕/๔๔ ลงวันที่ ๒๑ มนี าคม
๒๕๕๔ และ ด่วนที่สุด สธ ๐๒๐๑.๐๕๕/๗๕ ลงวันที่ ๘ มถิ นุ ายน ๒๕๕๔
ตามหนังสือท่ีอ้างถึง สานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขได้หารือพร้อมท้ังส่งเอกสาร
มาประกอบการพิจารณา กรณีความหมายของคาว่า “ผู้บังคับบัญชา” และผู้ที่จะต้องดาเนินการทางวินัยไปยัง
ก.พ. เพ่ือประโยชน์เกี่ยวกับการทะเบียนประวัติของข้าราชการพลเรือน ตามความในมาตรา ๑๐๓ แห่ง
พระราชบัญญัติระเบยี บขา้ ราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ ความละเอยี ดแจ้งแลว้ น้นั
ก.พ. พิจารณาแล้วมีความเห็น ดังนี้
๑. ข้อท่หี ารอื วา่ คาว่า “ผูบ้ ังคบั บัญชา” ตามความในมาตรา ๑๐๓ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติ
ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ หมายถึง ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอานาจส่ังบรรจุตามมาตรา ๕๗ เท่านั้น
หรอื ผู้บงั คับบญั ชาตาแหน่งใดก็ได้
ก.พ. เหน็ ว่าคาว่า “ผู้บังคับบัญชา” ตามมาตรา ๑๐๓ หมายถึง ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอานาจ
ส่งั บรรจุตามมาตรา ๕๗
๒. ข้อที่หารือว่า กรณีที่ผู้ว่าราชการจังหวัดส่ังลงโทษทางวินัยแก่ข้าราชการประเภทวิชาการ
ระดับชานาญการ แล้วรายงานให้ อ.ก.พ. กระทรวงสาธารณสุขพิจารณา หาก อ.ก.พ. พิจารณาแล้วเห็นว่า
การดาเนินการทางวินัยดังกล่าวเป็นการไม่ถูกต้องหรือไม่เหมาะสม มีมติให้ลดโทษ เพิ่มโทษ งดโทษ หรือ
ยกโทษ ผู้บังคับบัญชาที่จะต้องเป็นผู้ออกคาสั่งหรือปฏิบัติให้เป็นไปตามมติดังกล่าว ตามความในมาตรา ๑๐๓
วรรคสอง นั้น จะเป็นปลัดกระทรวงสาธารณสุขในฐานะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวง หรือปลัดกระทรวง
สาธารณสุขในฐานะอธิบดี หรือผู้ว่าราชการจังหวดั ทเ่ี ป็นผู้ออกคาสัง่ ลงโทษ
ก.พ. เห็นว่า ผู้บังคับบัญชาที่จะต้องคาสั่งหรือปฏิบัติให้เป็นไปตามมติของ อ.ก.พ. กระทรวง
ตามมาตรา ๑๐๓ วรรคสอง โดยปกตคิ วรเป็นผู้บงั คบั บัญชาซ่ึงมีอานาจสง่ั บรรจุตาม มาตรา ๕๗ ทีเ่ ป็นผสู้ ง่ั ลงโทษ
๓. ขอ้ ทห่ี ารือว่า ผ้รู ายงานผลการดาเนินการตามมติ อ.ก.พ. กระทรวงสาธารณสุขไปยัง ก.พ.
เพอ่ื ประโยชนเ์ กยี่ วกบั การทะเบียนประวตั แิ ละการอน่ื ๆ นนั้ จะเป็นสานักงานปลดั กระทรวงสาธารณสขุ หรอื
จังหวดั ท่ีเปน็ ผ้ดู าเนนิ การทางวินยั
82
ก.พ. เห็นว่า เนื่องจากขณะน้ี ก.พ. ยังมิได้ออกระเบียบ ก.พ. เกี่ยวกับการรายงานการดาเนินการ
ทางวินัย ตามมาตรา ๑๐๓ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ ดังน้ัน
สานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขจึงเป็นผู้ท่ีจะต้องรายงานการดาเนินการทางวินัยไปยัง ก.พ. โดยอาศัย
อานาจตามข้อ ๑๖ แห่งระเบียบ ก.พ. ว่าด้วยการรายงานเก่ียวกับการดาเนินการทางวินัยและการออกจาก
ราชการของข้าราชการพลเรือนสามัญ พ.ศ. ๒๕๓๙ ประกอบบทเฉพาะกาลมาตรา ๑๓๒ แห่งพระราชบัญญัติ
ระเบียบขา้ ราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑
จงึ เรียนมาเพ่ือโปรดทราบ
ขอแสดงความนบั ถือ
ปรีชา นศิ ารตั น์
(นายปรีชา นศิ ารัตน์)
รองเลขาธกิ าร ก.พ.
ปฏิบัตริ าชการแทนเลขาธิการ ก.พ.
สานกั มาตรฐานวนิ ยั
โทร ๐ ๒๕๔๗ ๑๖๓๑
โทรสาร ๐ ๒๕๔๗ ๑๖๓๐