i
คำนำ
เอกสาร “คำแนะนำการป้องกันกำจัดแมลง-สัตว์ศัตรูพืช อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยจากงานวิจัย
2564” เป็นเอกสารฉบับที่ 2 ที่มีการปรับปรุงแก้ไขข้อมูลให้มีความเป็นปัจจุบันจากผลงานวิจัยในปี 2563-2564 ของชุด
โครงการวจิ ยั และพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตขยายและการใช้ประโยชน์ของชีวภณั ฑส์ ู่เชงิ พาณชิ ย์ โครงการวจิ ยั และพัฒนาการใช้
สารป้องกันกำจัดศัตรูพืชเพื่อใช้เป็นคำแนะนำในการผลิตพืชบริโภคภายในประเทศและส่งออก โครงการวิจัยการพัฒนาระบบ
การจัดการศัตรูพืชที่ต้านทานต่อสารป้องกันกำจัดศัตรูพืช และโครงการวิจัยเทคนิคเพิ่มประสิทธิภาพการใช้สารป้องกันกำจัด
ศัตรูพชื นอกจากนไี้ ด้แก้ไขปรับปรุงในส่วนของช่ือสามัญและชื่อวิทยาศาสตร์ของแมลงศัตรูพชื ซึง่ ได้ความอนเุ คราะห์ตรวจสอบ
แก้ไขจากกลุ่มงานอนุกรมวิธานแมลง กลุ่มกีฏและสัตววิทยา ตลอดจนการจัดระดับความเป็นพิษของสารฆ่าแมลงและไรโดย
อา้ งอิงข้อมูลองค์การอนามยั โลก (WHO) และได้เพ่ิมเติมเน้ือหาสถานการณ์ความต้านทานของแมลงและไรต่อสารกำจัดศัตรูพืช
ตลอดจนคำแนะนำการใช้สารกำจัดแมลงแบบหมุ นเวียนตามกลุ่มกลไกการออกฤทธิ์เพื่อชะลอปัญหาความต้านทาน ในพืช
เศรษฐกจิ ทส่ี ำคัญบางชนิด เพื่อให้ผู้สนใจนำไปประยุกต์ใช้เพ่ือสนบั สนนุ การผลิตแบบเกษตรดที ี่เหมาะสม (GAP)
อนง่ึ ผลสมั ฤทธขิ์ องการป้องกันกำจัดแมลงศัตรูพืชโดยใชช้ วี ภัณฑ์ หรือสารเคมชี นิดต่าง ๆ อาจมีความแตกต่าง
กันไปตามสภาพแวดล้อม ตลอดจนความชำนาญของเกษตรกรผู้ใช้ ดังนั้นการใช้เทคนิคต่าง ๆ ตามคำแนะนำการป้องกันกำจัด
แมลง-สัตว์ศัตรพู ืชในเอกสารฉบับน้ี อาจต้องนำไปประยุกต์เพ่ือปรับใช้ให้เหมาะสมกบั สภาพการระบาดของแมลงศตั รูพืชในแต่
ละทอ้ งท่ี
เอกสารฉบับนี้จะมีการปรับปรุงแก้ไขตามข้อมูลผลงานวิจัยที่สิ้นสุด เพื่อเผยแพร่ตามช่องทางสื่อสารออนไลน์
ต่าง ๆ โดยคณะผู้จัดทำตลอดจนนักวิจัยที่ได้ดำเนินงานวิจัยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าคำแนะนำต่าง ๆ ในเอกสารฉบับนี้จะเป็น
ประโยชนต์ ่อเกษตรกรและผ้ทู สี่ นใจวิธีการสมยั ใหมใ่ นการปอ้ งกันกำจัดศัตรพู ชื ที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัย
สุภราดา สคุ นธาภิรมย์ ณ พทั ลุง
พฤทธิชาติ ปุญวัฒโท
เสาวนิตย์ โพธพ์ิ ูนศักดิ์
ศรีจำนรรจ์ ศรีจนั ทรา
หัวหนา้ ชดุ โครงการวิจัย/หวั หนา้ โครงการ
กันยายน 2564
ii
คำแนะนำการใช้เอกสาร
1. ช่อื สามญั ของสารกำจัดแมลง-สัตวศ์ ัตรพู ืชทแ่ี นะนำนน้ั ทางคณะผูว้ จิ ยั ไดท้ ำการทดลองแล้วและเรียงลำดบั ชนดิ สารท่ี
เหมาะสมมากท่ีสุดไว้เปน็ อันดับแรก โดยคำนึงถึงประสิทธิภาพ ความประหยัด ความปลอดภยั ต่อผู้ใช้ ผบู้ ริโภคและ
สิ่งแวดลอ้ มเป็นสำคัญ
2. การเขยี นทบั ศพั ทช์ ่ือสามัญภาษาไทยของวตั ถอุ ันตรายทางการเกษตรที่กรมวิชาการเกษตรเปน็ ผู้รบั ผิดชอบ ใชต้ าม
ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เร่อื งบญั ชีรายชอ่ื วตั ถุอนั ตราย (ฉบบั ท่ี 2) พ.ศ.2558
3. ตัวอกั ษรภาษาองั กฤษทีต่ ามหลงั เปอร์เซ็นตส์ ารออกฤทธิ์ของสารกำจดั แมลง ไร สัตว์ ศตั รูพชื แสดงถงึ สตู ร
ดูรายละเอยี ดหน้า 20
4. กล่มุ กลไกการออกฤทธ์ขิ องสารกำจดั แมลง ไรศัตรูพืช อ้างอิงจาก IRAC (Insecticide Resistance Action
Committee) ปี 2021 (https://irac-online.org) เพือ่ เป็นประโยชนใ์ นการใชส้ ารแบบหมุนเวียนตามกลุ่มกลไกการ
ออกฤทธิ์ เพือ่ ชะลอความต้านทานของศตั รูพชื ตอ่ สารกำจัดแมลง และไรศัตรูพชื
5. การจัดระดบั ความเปน็ พิษทใี่ ช้ทางการเกษตรตามขอ้ มูลของ WHO (World Health Organization) (LD50 ของ
สารออกฤทธิ์) โดยอ้างอิงข้อมลู จากเวปไซด์ https://sitem.herts.ac.uk สำหรับผลิตภณั ฑ์ทีข่ น้ึ ทะเบยี นควรดู
จากแถบสกี ำหนดระดับความเป็นพษิ บนบรรจุภัณฑ์
- การจดั ระดบั ความเปน็ พษิ ท่ีใชท้ างการเกษตรตามข้อมูลของ WHO (World Health Organization)
WHO จำแนกสารเคมกี ำจดั ศัตรูพชื (ผลติ ภณั ฑ์) โดยความเป็นอันตรายโดยส่วนใหญ่ โดยจะใช้ข้อมูลความเปน็ พิษ
แบบเฉยี บพลัน และสารทมี่ อี ันตรายอยา่ งเรอ้ื รัง เชน่ สารเกิดมะเรง็ ความเปน็ พษิ ต่อการสืบพันธ์ุ
- ระดบั ความเป็นพิษ (LD50) ของสารออกฤทธิ์ เป็นระดับความเปน็ พิษเฉียบพลนั ทางปากของสารกำจัดแมลง ไร
ศัตรูพชื แต่ละชนิดที่ฆ่าหนตู าย 50%
6. คำแนะนำสารกำจดั แมลงท่ีเป็นสูตรผสมสำเรจ็ รูป (premix) ในเอกสารฉบบั น้ี จะใชส้ ญั ลักษณ์ “ / ”
เชน่ ไทอะมที อกแซม/แลมบด์ า-ไซฮาโลทรนิ ((thiamethoxam)/lambda-cyhalothrin)
7. คำแนะนำสารกำจดั แมลง ไรศัตรูพชื ทีน่ ำมาผสมในถังผสม (tank mix) จะใชส้ ัญลักษณ์ “ + ”
เชน่ อิมดิ าโคลพริด+ไซเพอร์เมทรนิ (imidacloprid+cypermethrin)
8. ในกรณที ี่สารกำจัดแมลงชนิดเดียวกัน แต่มีเปอรเ์ ซ็นต์การออกฤทธติ์ ่างกัน อัตราการใช้ท่ีระบุไวต้ ้องเปลย่ี นแปลงไป
ตามเปอรเ์ ซน็ ตส์ ารออกฤทธิข์ องสารกำจดั แมลงชนดิ น้นั ๆ ซ่ึงมวี ิธกี ารคำนวณตามตวั อย่าง ดงั น้ี
สารกำจัดแมลงชนดิ ก. มเี ปอร์เซน็ ต์สารออกฤทธิ์ 25% EC อัตราการใช้ท่ีแนะนำ 25 มล./นำ้ 20 ลิตร
ถ้าสารกำจดั แมลงชนิด ก. มเี ปอร์เซน็ ตส์ ารออกฤทธ์ิ 1% EC จะมอี ัตราการใช้ 25x25 = 625 มล./นำ้ 20 ลติ ร
ถา้ สารกำจัดแมลงชนดิ ก. มีเปอรเ์ ซ็นต์สารออกฤทธ์ิ 50% EC จะมอี ตั ราการใช้ 25x25 = 12.5 มล./น้ำ 20 ลิตร
50
9. เอกสารฉบบั นี้เรยี งความสำคัญของขอ้ มูลทีค่ วรรกู้ ่อนการใช้ การเลือกใช้สาร และหลังการใชส้ าร ตามลำดับ
สารบัญ iii
คำนำ หน้า
คำแนะนำการใช้เอกสาร i
การป้องกนั อนั ตรายจากสารปอ้ งกนั กำจัดศตั รพู ืช ii
พิษและอันตรายของสารป้องกันกำจัดศัตรพู ืช 1
การเลอื กและการใช้สารป้องกนั กำจัดศัตรูพืช 8
การจัดแบ่งกลุม่ สารฆ่าแมลงและไรตามกลไกการออกฤทธิ์ 15
คำแนะนำการป้องกนั กำจัดแมลง สตั วศ์ ัตรูพชื 21
ขา้ วโพด (Corn)……………………………………………………………………………………………………. 32
ข้าวฟา่ ง (Sorghum)……………………………………………………………………………………………….. 37
อ้อย (Sugarcane)............................................................................................................. 40
มนั สำปะหลงั (Cassava)................................................................................................... 44
ยาสบู (Tobacco)............................................................................................................. 47
ฝา้ ย (Cotton)................................................................................................................... 48
หมอ่ น (Mulberry)........................................................................................................... 50
ถว่ั เหลอื ง (Soybean)....................................................................................................... 51
ถั่วเขยี ว (Mung bean).................................................................................................... 55
ถั่วลสิ ง (Groundnut or peanut)................................................................................... 60
ละหงุ่ (Castor bean)...................................................................................................... 62
งา (Sesame)................................................................................................................... 63
ทานตะวนั (Sunflower).................................................................................................. 65
มะพร้าว (Coconut)........................................................................................................ 68
ปาล์มนำ้ มนั (Oil palm).................................................................................................. 72
กลว้ ย (Banana)………………………………………………………………………………….……………… 75
มะม่วงหมิ พานต์ (Cashew nut)………………………………………………………………………….. 76
โกโก้ (Cocoa.)…………………………………………………………………………………………………… 77
กาแฟ (Coffee)…………………………………………………………………………………………………. 78
แกว้ มังกร (Dragon fruit)…………………………………………………………………………………… 79
ทเุ รียน (Durian)………………………………………………………………………………………………… 80
ฝรงั่ (Guava)…………………………………………………………………………………………………….. 83
องุ่น (Grape)…………………………………………………………………………………………………….. 84
พุทรา (Jujube)…………………………………………………………………………………………………. 86
ลิ้นจี่/ลำไย (Litchi/Longan)………………………………………………………………………………. 87
ลองกอง/ลางสาด (Longkong/Langsaat)…………………………………………………………… 89
มะคาเดเมีย (Macadamia nut) ……………………………………………………………………….. 90
สารบัญ (ต่อ) iv
มะม่วง (Mango)………………………………………………………………………………………………. หน้า
มังคดุ (Mangosteen)……………………………………………………………………………………….. 91
มะละกอ (Papaya)…………………………………………………………………………………………… 93
สบั ปะรด (Pineapple)………………………………………………………………………………………. 95
เงาะ (Rambutan)……………………………………………………………………………………………. 97
ชมพู่ (Rose apple)………………………………………………………………………………………….. 98
สละ (Salacca)…………………………………………………………………………………………………. 99
กระท้อน (Santol)…………………………………………………………………………………………….. 100
สตรอวเ์ บอร์ร่ี (Strawberry)………………………………………………………………………………. 101
น้อยหน่า (Sugar apple)…………………………………………………………………………………… 102
พชื ตระกลู ส้ม (Citrus)………………………………………………………………………………………. 103
หน่อไม้ฝรงั่ (Asparagus)…………………………………………………………………………….. 104
มะเขือ (Brinjal) มะเขือเปราะ (Aubergine) มะเขือยาว (Eggplant)……………………. 109
มะระ (Bitter cucumber)……………………………………………………………………………………… 111
ขนึ้ ฉา่ ย (Celery)……………………………………………………………………………………….. 113
พริก (Chilli)……………………………………………………………………………………………………. 114
พืชตระกูลกะหล่ำ (Cruciferous)…………………………………………………………………….. 115
แตงกวา (Common cucumber) แตงโม (Water melom)…………………………… 119
กะเพรา (Holy basil) โหระพา (Sweet basil)………………………………………. 123
กระเจ๊ยี บเขยี ว (Okra)……………………………………………………………………………….. 125
หอมแดง (Shallot) หอมแบ่ง (Multiplier onion) หอมหัวใหญ่ (Onion) และ 127
กระเทียม (Garlic)…………………………………………………………………………………………
มันฝรั่ง (Potato)……………………………………………………………………………………… 129
ผักชฝี ร่งั (Stink weed)……………………………………………………………………………. 131
มันเทศ (Sweet potato)………………………………………………………………….……… 132
มะเขือเทศ (Tomato)………………………………………………………………………………….. 133
ถว่ั ฝักยาว (Yard-long bean) ถวั่ ลันเตา (Garden pea)………………………………. 134
เห็ดยานางิ (Black mushroom) เห็ดแครง (Common split gill) 136
เห็ดหูหนู (Wood ear mushroom)เหด็ นางรม, เหด็ นางรมฮังการี (Oyster
mushroom) เห็ดเป๋าฮ้ือ (Abalone mushroom) เหด็ เขม็ เงิน (Silver enoki 138
mushroom)……………………………………………………………………………………….. 142
เบญจมาศ (Chysanthemum)……………………………………………………………………. 143
ปทุมมา (Siam tulip)…………………………………………………….…………………………… 144
เยอร์บีร่า(Gerbera)………………………………………………………………..………………….. 144
มะลิ (Jasmine)…………………………………………………………………………………………. 145
กลว้ ยไม้ (Dendrobium)…………………………………………………………………………….
สารบัญ (ตอ่ ) v
กหุ ลาบ (Rose)…………………………………………………………………………………………. หน้า
การใช้สารฆา่ หนู (Rodenticide) 148
150
ข้าวและธัญพชื เมืองหนาว (Rice and temperate cereal)………………………… 150
ข้าวโพด (Corn)……………………………………………………………………………………… 151
ถ่ัวเหลือง (Soybean)…………………………………………………………………………….. 153
ถั่วเขียว (Mung bean)…………………………………………………………………………… 155
อ้อย (Sugarcane)………………………………………………………………………….……. 157
โกโก้ (Cocoa)………………………………………………………………………………………. 159
ปาลม์ นำ้ มัน (Oil palm)………………………………………………………………………… 160
การใช้สารฆ่าหอย 161
ข้าว (Rice)…………………………………………………………………………………..…. 161
พชื ตระกูลกะหล่ำ (Cruciferous)…………………………………………………………. 162
กลว้ ยไม้ (Orchid)……………………………………………………….………………….. 163
นกศัตรูข้าว (Bird rice pest) ………………………………………….…………………. 164
ปนู า (Rice field crab) ………………………………………………….…………………. 164
การใชต้ วั หำ้ ตัวเบยี น เช้อื จุลินทรีย์ 165
คำแนะนำการใชแ้ ตนเบียนไข่ไตรโคแกรมมา (Trichogramma spp.) ควบคุมแมลง
ศัตรูพืช................................................................................................................... 165
คำแนะนำการใช้แตนเบียนเพล้ียแปง้ มนั สำปะหลงั สีชมพู (แตนเบยี นอะนาไกรสั ) ควบคุมเพลีย้
แปง้ มนั สำปะหลงั สีชมพู..................................................................................................................................... 167
คำแนะนำการใช้แตนเบียนแมลงดำหนามมะพร้าว (แตนเบียนอะซโี คเดส และแตนเบียน
เตตระสติคัส) ควบคุมแมลงดำหนามมะพรา้ ว....................................................... 169
คำแนะนำการใชแ้ ตนเบยี นหนอนหัวดำมะพรา้ ว (แตนเบียนโกนิโอซัส) ควบคุมหนอนหัว
ดำมะพรา้ ว................................................................................................................ 172
คำแนะนำการใชม้ วนพฆิ าต Eocanthecona furcellata (Wolff) ควบคุมแมลงศตั รูพชื 175
คำแนะนำการใช้แมลงหางหนีบขาวงแหวน (Ring-legged earwig) ควบคมุ แมลงศัตรูพชื 177
คำแนะนำการใช้แมลงชา้ งปีกใส Plesiochrysa ramburi ควบคมุ แมลงศัตรพู ชื 179
คำแนะนำการใช้เช้อื แบคทเี รยี ควบคมุ แมลงศัตรูพชื ....................................... 181
คำแนะนำการใช้เชือ้ ไวรสั NPV ควบคมุ แมลงศัตรพู ืช..................................... 184
คำแนะนำการใช้ไสเ้ ดอื นฝอยควบคุมแมลงศัตรูพืช......................................... 188
คำแนะนำการใชร้ าเขยี วเมทาไรเซียมควบคุมดว้ งแรด.................................... 191
คำแนะนำการใช้โปรโตซัวกำจัดหนศู ัตรูพชื .................................................... 193
คำแนะนำการพน่ เหยอ่ื พิษโปรตีนกำจัดแมลงวันผลไม้..................................... 195
สถานการณ์ความต้านทานของแมลงและไรตอ่ สารกำจดั ศัตรพู ชื 198
สารบัญ (ตอ่ ) vi
คำแนะนำการใช้สารแบบหมุนเวียนเพื่อแก้ปัญหาความต้านทานต่อสารฆ่าแมลงและไร หนา้
ในพืชเศรษฐกิจบางชนดิ 239
หวั ฉดี และเครื่องพน่ สารป้องกันกำจดั ศตั รพู ืช 251
การทำลายสารปอ้ งกนั กำจดั ศัตรพู ชื ทเี่ หลอื ใชแ้ ละภาชนะบรรจุ 265
วัตถุอนั ตรายกำจัดแมลง ไร และสัตว์ศตั รูพชื ทห่ี า้ มใช้ทางการเกษตร 267
วัตถอุ ันตรายกำจดั แมลง ไร และสัตวศ์ ตั รูพืช ทอี่ ยรู่ ะหวา่ งการตดิ ตามเฝ้าระวัง 272
ดรรชนชี ื่อสามัญของสารฆ่าแมลงและสัตว์ศัตรพู ชื 273
บรรณานกุ รม 276
คณะผู้จดั ทำ/คณะผู้วิจยั 280
ผังการผสมสารปอ้ งกันกำจดั ศัตรูพืชในกลว้ ยไม้-คะน้า
1
การปอ้ งกันอันตรายจากสารปอ้ งกันกำจดั ศัตรพู ชื
1. เส้นทางท่ีสารปอ้ งกันกำจัดศัตรูพืชเขา้ สู่ร่างกายมนษุ ย์
สารปอ้ งกันกำจัดศัตรพู ืชเข้าสู่รา่ งกายมนุษย์ได้ 3 ทาง ได้แก่
1) สารพิษทเี่ ข้าทางปาก เป็นการบรโิ ภคผกั ผลไม้ทีม่ ีสารพิษเจอื ปน
2) สารพิษที่เขา้ ทางระบบหายใจ เปน็ การสูดฝนุ่ ละอองของสารพิษขณะผสมสารเคมี หรือการปฏิบตั งิ านที่
เกี่ยวขอ้ งกบั สารเคมี
3) สารพษิ ทีเ่ ข้าทางผวิ หนงั เปน็ การสมั ผัสกับสารเคมีขณะปฏบิ ัติงาน
2. ปจั จัยที่ทำใหส้ ารปอ้ งกนั กำจัดศตั รูพืชเส่ือมสภาพ
2.1 ระยะเวลาเก็บรักษา ช่วงระยะเวลาเก็บรักษา หมายถึง ช่วงเวลาที่สามารถเก็บสารเคมีไว้ใช้ก่อนที่จะ
เส่อื มสภาพไป สำหรบั สารป้องกนั กำจัดศตั รูพืช โดยทั่วไปเก็บรักษาไว้ได้ 2 ปี ถ้าหากเก็บไวน้ านเกนิ กำหนด อาจจะเกดิ
2.1.1 สารออกฤทธิ์อาจสลายตัวเป็นสารชนิดใหม่ที่มีพิษมากขึ้น หรือทำให้ความเข้มข้นของสารออกฤทธิ์ล ด
ตำ่ ลง
2.1.2 สูตรของสารเคมชี นิดตา่ ง ๆ อาจเปลย่ี นสภาพไปทำใหไ้ มส่ ามารถผสมหรอื พน่ ได้
2.1.3 สารเคมสี ูตรผง และผงละลายน้ำสามารถสลายตวั ไดง้ ่ายเนื่องจากอุณหภมู ิ ความชนื้ แสงมาก และการบรรจุ
หีบห่อ อายุการเก็บรักษาสารปอ้ งกันกำจัดศัตรูพืชจะลดลงเมื่อเปิดใช้แล้ว โดยเฉพาะเมื่อใช้แล้วครึ่งหนึ่ง สารเคมีชนิดผงและ
ละลายน้ำไมค่ วรเก็บไว้นานเกิน 1 ปี
2.2 การชำรุดของภาชนะบรรจุ ภาชนะสำหรับบรรจุสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชจะผุกร่อนโดยสารเคมีที่บรรจุน้ัน
หรือแตก หรือฉีกขาดได้ สารป้องกันกำจัดศัตรูพชื ชนิดน้ำมันเข้มข้น (EC) อาจทำให้รอยต่อรอยเชื่อมของภาชนะบรรจชุ ำรุดได้
ง่าย สารป้องกันกำจดั ศตั รูพชื บางชนดิ เมือ่ เกบ็ ไวจ้ ะมคี วามเปน็ กรดสูงขนึ้ ซ่ึงสามารถทำใหภ้ าชนะบรรจผุ ุกร่อนได้เรว็ ขน้ึ ดว้ ย
ดังนั้น ควรมีการตรวจสอบห้องเก็บสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อดูร่องรอยการสึกกร่อน
การรว่ั ไหล และการเลอ่ื มสภาพของถงั บรรจสุ าร นอกจากนนั้ ควรตรวจการจบั เป็นก้อนของสารเคมชี นิดผง การตกตะกอนของ
สารเคมที ่เี ปน็ ของเหลว หรือการเปียกช้นื ของหีบห่อ
3. ขอ้ ควรพิจารณาในการเก็บรกั ษาสารป้องกันกำจัดศตั รพู ืช
การเก็บรักษาสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชที่ไม่เหมาะสม อาจเป็นการชักนำสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชเข้าสูร่ ่างกายผ้ทู ่ี
เก่ยี วข้องได้ ในการปอ้ งกันอันตรายจากสารป้องกนั กำจัดศัตรูพชื ในกรณนี มี้ ขี ้อควรพิจารณา ดังน้ี
3.1 อา่ นและทำความเขา้ ใจคำแนะนำในฉลากให้ละเอียด
3.2 ควรเกบ็ สารเคมีในถังบรรจเุ ดมิ เสมอ
3.3 อยา่ เกบ็ สารเคมีไวใ้ นภาชนะสำหรับบรรจุอาหารซึง่ อาจเกิดความเข้าใจผิดได้ โดยคดิ ว่าเปน็ อาหาร
3.4 ควรเก็บสารเคมีในหอ้ งเก็บใสก่ ุญแจเรยี บร้อย
3.5 ไม่ควรเก็บสารเคมหี รอื ภาชนะบรรจุสารเคมไี ว้ทเ่ี ดยี วกับอาหารและนำ้ ด่ืม
3.6 ควรแยกเกบ็ สารควบคมุ แมลงและสารควบคมุ วชั พชื เพอ่ื หลีกเลยี่ งการปะปนกัน
3.7 ตรวจหารอยร่ัว รอยฉกี ขาดภาชนะบรรจุสารเคมีเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ
4. การขนสง่ สารป้องกันกำจัดศัตรพู ืช
4.1 อนั ตรายจากการขนส่งสารปอ้ งกนั กำจัดศัตรพู ชื
4.1.1 การรั่วไหล ขณะขนย้าย เกิดจากภาชนะบรรจุชำรุด รอยเย็บตะเข็บชำรุดหรือเกิดจากการทิ่มแทงจาก
ของมีคม หรือภาชนะบรรจแุ ตกหรือฉีกขาด
4.1.2 เกดิ อบุ ตั เิ หตุไฟไหม้ มสี ารเคมที ี่ติดไฟงา่ ยอยู่ในบรเิ วณเดียวกัน
4.1.3 เกิดอุบัตเิ หตุ ทำให้สารเคมีนั้นปนเป้ือนกบั อาหารสง่ิ แวดล้อม และคน
4.2 ข้อควรพจิ ารณากอ่ นทำการขนส่งสารปอ้ งกนั กำจดั ศัตรูพืช
ผรู้ บั ผดิ ชอบตอ้ งทำการตรวจสอบความเรียบรอ้ ยอยา่ งละเอียดก่อน ดงั น้ี
2
4.2.1 การบรรจุหีบห่อ หบี ห่อทบ่ี รรจุสารป้องกันกำจดั ศตั รูพืชต้องได้มาตรฐาน สามารถทนทานต่อการกระแทก
ระหวา่ งการขนสง่ ภาชนะหบี ห่อที่ไมไ่ ดม้ าตรฐานจะทำใหเ้ กดิ อุบัตเิ หตุขณะขนสง่ ได้ง่าย
4.2.2 เครื่องหมายและฉลาก เครื่องหมายและฉลากต้องมีติดไปกับสารป้องกันกำจดั ศตั รูพชื นัน้ โดยทั่วไปหลาย
ประเทศมกี ฎหมายบังคับไว้ จดุ ประสงค์เพอื่ เตอื นใหผ้ ู้ทเี่ กี่ยวขอ้ งรูถ้ งึ อนั ตรายทจี่ ะเกิดเม่ือปฏบิ ตั เิ กี่ยวข้องกับสารเคมีเหล่าน้ี
4.2.3 สภาพดินฟ้าอากาศ สารป้องกันกำจัดศัตรูพืชถ้าอยู่ในสภาพอากาศที่มีความร้อนสูงและความชื้นมาก
เกนิ ไประหวา่ งเกบ็ รักษาหรือขณะขนสง่ จะมกี ารสลายตวั และอาจทำใหว้ ัสดทุ ีท่ ำภาชนะบรรจเุ สอื่ มสภาพได้
4.2.4 วธิ ีการขนย้ายและอปุ กรณ์ท่ีใช้ อปุ กรณ์เคร่ืองใช้ตา่ ง ๆ ทช่ี ว่ ยในการขนย้าย เชน่ ตะขอ สามารถทำให้หีบ
ห่อชำรุดได้ จึงไม่ควรนำมาใช้ คนงานที่เกี่ยวข้องกับการขนย้ายสารเคมีเหล่านี้ต้องได้รับการแนะนำเกี่ยวกับการใช้อุปกรณ์
เหล่านนั้ มากอ่ น การใช้อุปกรณเ์ ครื่องใชไ้ มเ่ หมาะสม อาจทำให้หบี ห่อบรรจุสารป้องกันกำจดั ศตั รพู ชื ชำรุดได้
4.3 การปฏบิ ตั ิเม่อื เกิดเหตฉุ ุกเฉิน
ผู้ที่เกี่ยวข้องควรเตรียมพร้อมเพื่อรับปัญหาที่จะเกิดขึ้น เมื่อเกิดอุบัติเหตุ ต้องลงมือแก้ไขสถานการณ์ทันที โดย
ทำการตรวจหาการร่ัวไหลของสารป้องกันกำจัดศตั รูพชื เพ่ือปอ้ งกนั อันตรายทเ่ี กิดข้นึ ตามมา ซ่งึ มีข้อแนะนำท่คี วรปฏบิ ตั ิ ดังน้ี
4.3.1 เมอ่ื มีอุบัติเหตุขณะทำการขนส่ง ให้ปฏบิ ัติดังต่อไปน้ี
1) ปิดเคร่ืองยนต์
2) หยดุ สบู บุหรี่ และห้ามจดุ ไฟทนั ที
3) เปดิ ดชู ่ือสารเคมี ชนดิ ของสารเคมใี นบญั ชีทบี่ นั ทึกไว้
4) ทำการเตอื นภัยบรเิ วณพนื้ ที่ท่ีเกิดอุบัติเหตุ
5) พยายามควบคมุ การกระจายของวัตถุอนั ตรายโดยกลบดว้ ยดนิ ทราย ปูนขาว หรอื ขเ้ี ล่อื ย
6) กันผู้โดยสารให้อยตู่ ้นลมหรือเหนือทิศทางกระแสลมเพื่อป้องกันการสดู ดมสารพิษ
7) เกบ็ รวบรวมภาชนะและสิ่งปนเปอื้ นต่าง ๆ ฝงั กลบใหห้ มดหรือเผาทำลายเสยี
4.3.2 การปฐมพยาบาล ในกรณีท่ีสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชเปื้อนคน ขจัดสารเคมีทีห่ กเปือ้ นออกให้หมด ด้วยการ
ทำความสะอาดดว้ ยน้ำและสบู่หลาย ๆ ครงั้
4.3.3 การป้องกนั ไฟ ถ้ามไี ฟเกิดขึ้น
1) ดบั ไฟให้หมด เพอ่ื ปอ้ งกนั ไมใ่ หล้ ุกลามไป
2) เมอ่ื มีไฟไหมส้ ารป้องกนั กำจัดศัตรูพชื ใหห้ ลีกเลย่ี งการสูดดมควนั พษิ
5. แนวทางปฏิบัตเิ พอ่ื หลีกเล่ยี งการรับพษิ ของสารเคมี
5.1 อา่ นและทำความเขา้ ใจคำแนะนำการใช้บนฉลากให้ละเอยี ด
5.2 ระมัดระวงั ขณะเขา้ ไปเกีย่ วขอ้ งกบั สารป้องกนั กำจัดศัตรูพืช เช่น รนิ สารเคมี หรือผสมสารเคมี
5.3 ดแู ลอปุ กรณก์ ารพน่ ให้อย่ใู นสภาพพร้อมใช้งาน ไม่มีรอยรัว่ หรอื ชำรุด
5.4 ทำความสะอาดรา่ งกายพรอ้ มกบั ทำความสะอาดชุดป้องกนั ทกุ คร้ังทีเ่ ลิกปฏบิ ตั ิงาน
5.5 ห้ามกนิ ดม่ื และสบู บหุ ร่ขี ณะปฏิบัติงาน
6. อุปกรณป์ อ้ งกนั พิษจากสารปอ้ งกันกำจดั ศตั รูพืช
6.1 ชุดป้องกันอันตราย ชุดป้องกันที่เหมาะสมที่ได้มาตรฐานต้องเป็นชุดในลักษณะที่ปกคลุมทุกส่วนของร่างกาย
(coverall) หรือเป็นชุดที่สามารถป้องกันการซึมผ่านของสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชได้ มีความคงทนและสามารถซักล้างได้ง่าย
(ภาพที่ 1)
3
ภาพท่ี 1 ชดุ ป้องกันอนั ตรายจากสารปอ้ งกันกำจัดศตั รพู ืช
6.2 ถุงมอื ทีจ่ ำหน่ายตามท้องตลาดมหี ลายชนิดและหลายรปู แบบ (ภาพท่ี 2) ถงุ มอื ที่ดจี ะต้องป้องกันตัวทำละลาย
ที่ผสมในสารป้องกันกำจัดศัตรูพืช แต่มีราคาแพง ถุงมือราคาถูกที่จำหน่ายในท้องตลาด ส่วนมากจะไม่ทนทานต่อสารป้องกัน
กำจดั ศัตรูพืชชนิดเข้มขน้ ถุงมอื ที่ทำจากพลาสตกิ ผสมยางจะป้องกันสารป้องกันกำจดั ศัตรพู ชื ไดห้ ลายชนดิ กอ่ นใช้ถุงมือทุกครั้ง
ควรตรวจสอบอย่างละเอียดวา่ มีการชำรุดหรือไม่ โดยเฉพาะตามซอกน้ิวมือ หากชำรุดมีรอยแตกหรือร่วั ควรเปลี่ยนคู่ใหม่ เม่ือ
เสร็จส้ินการปฏิบตั งิ านต้องล้างมือและทำความสะอาดถงุ มือทั้งภายนอกและภายใน ตากใหแ้ หง้ แล้วใช้แปง้ โรยภายในทำให้ง่าย
ต่อการสวมใส่ในคร้ังต่อไป
ภาพที่ 2 ถงุ มอื
4
6.3 รองเท้าหุ้มข้อ หรือที่รู้จักกันทั่ว ๆ ไป คือ รองเท้าบู๊ท (ภาพที่ 3) มีจำหน่ายหลายชนิดและหลายรูปแบบ
เช่นกัน การใช้งานควรเลือกให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ โดยเฉพาะการปฏิบัติงานพ่นสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชในนาข้าว ควร
เลอื กใชร้ องเท้าบู๊ทท่ีมีความสงู ปดิ ถึงคร่ึงน่อง กระชบั และไมม่ ซี ับใน มีความสะดวกต่อการเดินในสภาพนาข้าว เม่ือใช้ต้องสวม
ให้ขากางเกงคลุมไว้ภายนอก เพื่อป้องกันไม่ให้สารป้องกันกำจัดศัตรูพืชไหลซึมลงภายในรองเท้าและสัมผัสกับร่างกายได้ ต้อง
ล้างและทำความสะอาดทุกคร้งั หลังเลกิ งาน และควรตรวจสอบสภาพอย่างสม่ำเสมอ หากชำรุดควรเปลีย่ นคู่ใหมท่ นั ที
ภาพท่ี 3 รองเทา้ ห้มุ ขอ้
6.4 อปุ กรณ์ปกปอ้ งระบบหายใจ สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ชนดิ ได้แก่
6.4.1 หน้ากากชนิดใช้แล้วทิ้ง หน้ากากชนิดใช้แล้วทิ้ง (ภาพที่ 4) ที่เหมาะสมสำหรับพ่นสารควบคุมแมลง
จะต้องประกอบด้วยตัวกรอง 2 ส่วน คือ ชั้นแผ่นกรอง ที่ทำจากเส้นใยไม่ถักทอกรองฝุ่นและละอองยาฆ่าแมลง และชั้นกรอง
คาร์บอน ที่แทรกอยู่ตรงกลางของชั้นแผ่นกรองสำหรับกรองไอระเหยของยาฆ่าแมลง สำหรับผงคาร์บอนนั้นจะทำมาจาก
กะลามะพร้าว โดยนำไปเผาและกระต้นุ เพื่อใหเ้ กิดรูพรุนโดยใช้ไอน้ำอุณหภูมิสูง (800 - 900 องศาเซลเซยี ส) หรือใช้ไนโตรเจน
จนไดผ้ งคารบ์ อนท่ีมรี พู รนุ สงู เพือ่ จับไอระเหยของสารอนิ ทรีย์
ภาพท่ี 4 หนา้ กากชนิดใช้แลว้ ท้ิง
6.4.2 หนา้ กากชนิดเปลยี่ นไสก้ รอง (ภาพที่ 5) หน้ากากชนดิ เปล่ียนไสก้ รองที่เหมาะสมสำหรับ
พน่ สารควบคมุ แมลงจะตอ้ งประกอบด้วยตัวกรอง 2 สว่ น คือแผน่ กรอง และตลบั กรองคาร์บอน (ภาพท่ี 6)
5
ภาพท่ี 5 หน้ากากชนิดเปลี่ยนไส้กรองแบบไส้กรองเดีย่ วและไส้กรองคู่
ภาพที่ 6 แผน่ กรอง และตลบั กรองคาร์บอน
6.5 ครอบตานิรภยั (ภาพที่ 7) เป็นอปุ กรณ์สำหรับชว่ ยปอ้ งกันหรอื เพ่อื ลดอันตรายอันอาจจะเกิดขึ้นในขณะทำงาน
ดังนน้ั จึงควรสวมขณะทำการเตรียมหรือพ่นสารควบคมุ แมลงเพื่อป้องกันการซึมผา่ นบรเิ วณดวงตาและผวิ หนังโดยรอบ
ภาพท่ี 7 ครอบตานิรภัย
สำหรับเกณฑ์ในการเลือกครอบตานริ ภยั มี 5 ประการ ดงั น้ี
1. ควรเลอื กชนดิ ท่มี ีกรอบกระชบั แข็งแรง เหมาะกบั การสวมใส่ในการทำงาน
2. ควรเลือกชนดิ ท่มี ีคุณสมบัตใิ นการป้องกนั อนั ตรายไดส้ ูงสุดและใชง้ านได้ตลอดเวลา ตลอดจนผ่านการทดสอบ
มาตรฐานและแสดงสญั ลักษณ์จากหน่วยงานที่นา่ เช่ือถือ เช่น สญั ลกั ษณ์ Z87+ หมายถึง ผา่ นมาตรฐานทดสอบสำหรับอุปกรณ์
ปกปอ้ งใบหนา้ และดวงตาของสหรัฐอเมรกิ า
6
3. มีขนาดที่กวา้ งใหญ่พอดีกับขนาดของรูปหน้าและจมกู โดยวดั ระยะหา่ งของช่วงตาลบด้วยความกว้างของจมูกจะ
เทา่ กบั เสน้ ผา่ ศนู ย์กลางทย่ี าวของเลนส์ที่จะใช้
4. สามารถทำความสะอาดได้ง่ายเพื่อใหอ้ ยู่ในสภาพพร้อมใชง้ านได้ทนั ทีและไมต่ ดิ เช้ือได้งา่ ย
5. ทนความร้อนไมต่ ิดไฟงา่ ย
6.6 ผา้ กันเป้ือน (ภาพท่ี 8) โดยทัว่ ไปใชใ้ นขณะท่ีผสมหรือถ่ายเทสารป้องกันกำจัดศตั รูพืชลงในภาชนะอ่ืน หรือใช้
ขณะที่ล้างทำความสะอาด ผ้ากันเปื้อนทำด้วยพลาสติก ยาง หรือโพลีเอทธีลีน การป้องกันไม่ให้สัมผัสกับสารป้องกันกำจัด
ศัตรูพืช ควรออกแบบให้ปิดด้านหน้าตั้งแต่คอลงไปถึงหัวเข่า บางท้องที่เกษตรกรใช้ผ้าพลาสติกผูกติดกับหน้าท้องคลุมลงถึง
หน้าแข้งเพื่อป้องกันสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชที่พ่นกับพืชที่มีทรงพุ่มหนาทึบ เช่น การพ่นสารควบคุมแมลงศัตรูฝ้ายและข้าว
จากการทดลองพบวา่ ปริมาณสารป้องกันกำจดั ศัตรูพชื จะตดิ จากสว่ นล่างของร่างกายข้ึนมายังสว่ นบนของรา่ งกายตามความสูง
ของต้นพืช เพื่อปอ้ งกนั การสัมผัสกับสารป้องกันกำจัดศัตรูพชื ถา้ หากเกษตรกรไม่มีชุดเสื้อผา้ ป้องกนั สารพิษ อาจใช้ผ้าพลาสติก
ปกปิดสว่ นของรา่ งกายทีจ่ ะสัมผัสกับสารปอ้ งกันกำจัดศตั รพู ืชได้ตามสมควร
ภาพที่ 8 ผา้ กันเป้ือน
7. ข้อแนะนำสำหรับการพิจารณาเลือกชุดและอปุ กรณ์ปอ้ งกันสารพิษ
ในกรณีที่ไม่มีชุด ผู้ที่เกี่ยวข้องกับสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชควรเลือกใช้วัสดุที่มีในท้องถิ่นแทน อย่างน้อยก็จะช่วยลด
การปนเป้อื นของสารปอ้ งกันกำจัดศัตรพู ชื ได้ระดับหน่ึง มีข้อแนะดังน้ี
7.1 สำหรับชุดปฏบิ ตั งิ าน เมอ่ื ตอ้ งการใชง้ าน ควรเลือกใชช้ ดุ ที่มคี ณุ สมบตั ิ ดงั นี้
1) มคี วามสบายเมื่อสวมใส่ แนะนำให้ใช้ เสื้อแขนยาว กางเกงขายาว ทำดว้ ยผ้าฝ้ายหรือสารสงั เคราะห์อื่น
2) สามารถปกปิดอวัยวะต่าง ๆ ได้มากที่สุด เพื่อป้องกันสารพิษเข้าสู่ร่างกาย และควรสวมหมวกเพื่อป้องกัน
สารเคมีตกลงบนศรี ษะ
3) ชดุ ปฏบิ ัติงานต้องไมห่ นามากเกนิ ไป และมีนำ้ หนกั พอสมควร
4) ชุดปฏิบัติงานตอ้ งอยใู่ นสภาพดี ไมข่ าด
5) ควรแยกทำความสะอาดเส้ือผ้าชุดปฏิบัตงิ าน ไม่ควรปะปนกับเสอื้ ผ้าท่ีใชป้ ระจำวัน
7.2 ชุดผา้ สำหรับปอ้ งกันสารเคมี ควรเลือกใช้ชุดทมี่ ีคณุ สมบัติ ดังน้ี
1) เม่อื ปฏิบัตงิ านเกี่ยวขอ้ งกบั สารเคมี ควรใสช่ ุดทท่ี ำด้วยผ้าฝา้ ยหรือผ้าใยสงั เคราะห์
2) ชุดที่ปกคลุมทุกส่วนของร่างกาย (coveralls) เป็นชุดที่เหมาะสมที่สุด ควรเป็นชุดที่ใช้กระดุมหรือยางยดื ท่ี
บริเวณขอ้ มือและคอ และไมค่ วรมีกระเป๋า
3) ชดุ ปอ้ งกนั ทที่ ำเปน็ 2 ส่วน เสอื้ และกางเกง ควรใชต้ ามเชน่ เดียวกบั ชดุ ปฏบิ ัตงิ าน
7.3 ผา้ กันเปอ้ื น ใช้เพือ่ ป้องกนั สารเคมีบรเิ วณด้านหน้าของรา่ งกาย ตงั้ แต่บริเวณหน้าอกจนถึงหัวเข่า แนะนำให้ใช้
พลาสตกิ แทน
7
7.4 ถงุ มอื ควรใสถ่ งุ มือ เม่ือเทสารเคมี ผสมสารเคมแี ละการขนยา้ ยสารเคมี ถ้าไมม่ ีถุงมือท่ีเหมาะสม สามารถใช้ถุง
มือพลาสติกแทนได้ช่ัวคราว ควรเป็นถุงที่ใสง่ า่ ย สะดวก และหยิบจบั วสั ดไุ ด้ง่าย
7.5 หน้ากากป้องกันหน้า สำหรับป้องกันสารเคมีกระเด็นเข้าหน้าขณะทำการผสมสารเคมี แว่นตาป้องกันสารเคมี
ควรใชแ้ วน่ สายตาแทน
8
พษิ และอันตรายของสารปอ้ งกนั กำจดั ศตั รพู ชื
สารป้องกันกำจัดศัตรูพืชแต่ละชนิดเปรียบเหมือนดาบ 2 คม ด้านหนึ่งจะป้องกันกำจัดศัตรูพืชเป้าหมาย และอีกด้าน
หน่ึงทำใหเ้ กิดอันตรายต่อคนและสัตว์ รวมถึงผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมดว้ ย ดงั นั้น ผู้ท่เี กย่ี วขอ้ งกับสารป้องกันกำจัดศัตรูพืช
ดงั กลา่ ว ควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับความเปน็ พิษและอนั ตรายที่จะเกดิ ขึน้ ใหช้ ัดเจนก่อนการใชง้ าน
1. พษิ ของสารป้องกันกำจัดศตั รูพชื
พิษหรือความเป็นพิษ หมายถงึ ความสามารถของสารป้องกนั กำจัดศัตรูพืชชนิดน้ัน ๆ ทจี่ ะก่อให้เกิดอันตรายหรือ
บาดเจ็บต่อเป้าหมาย ถ้าสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชนั้นมีพิษสูง อันตรายที่บุคคลที่เกี่ยวข้องจะได้รับก็มีสูงด้วย ความเป็นพิษน้ี
ตรวจวัดด้วยค่า LD50 (โดย LD50 หมายถึงปริมาณสารเคมบี รสิ ุทธ์ิที่ทำให้สัตว์ทดลองตาย 50 เปอร์เซ็นต์ มีหน่วยเป็นมิลลกิ รมั
ต่อกโิ ลกรัมของนำ้ หนกั ของสัตวท์ ดลอง
พิษของสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชชนิดเดียวกัน เมื่อเข้าสู่ร่างกายคน ค่า LD50 อาจแตกต่างกันได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ
เส้นทางท่ีสารป้องกนั กำจดั ศัตรูพชื นน้ั เขา้ สู่รา่ งกาย และชนดิ ของสูตรสำเร็จของสารป้องกันกำจัดศตั รูพืชน้ัน ๆ
2. ชนดิ ของความเปน็ พิษ
ความเปน็ พิษของสารป้องกนั กำจัดศตั รพู ืช สามารถแบ่งออกเป็นกลมุ่ ใหญๆ่ ได้ 2 กลุ่ม ดงั น้ี
2.1 พิษเฉียบพลัน (acute toxicity) เมื่อได้รับพษิ จะแสดงอาการทันที แม้จะรับพิษเพียงครั้งเดียว ซึ่งเกี่ยวข้องกับ
การรับหรอื สัมผัสกบั วัตถอุ ันตรายในปรมิ าณมากอยา่ งกระทันหนั เชน่ สารเคมกี รด เป็นตน้
2.2 พษิ เรอื้ รงั (chronic toxicity) เป็นการรับพษิ ครงั้ ละไม่มาก เป็นระยะเวลานาน และได้รบั หลายครัง้ จึงจะแสดง
อาการ
3. ผลเสยี ของสารป้องกันกำจัดศตั รูพืช
ผลเสียที่เกิดขึน้ จากสารพิษนั้นมมี ากมาย ได้แก่ สารพิษอาจตกค้างอยู่ในผลผลิต ในสิ่งแวดล้อม เช่น ตกค้างในดิน
ตามแหล่งน้ำ ซึ่งจะหมุนเวียนกลบั มาสูพ่ ืชที่เปน็ อาหารของคนได้ ดังนั้น จึงควรใช้สารปอ้ งกันกำจัดศตั รูพืชเทา่ ทีจ่ ำเป็นเท่านัน้
และการใช้แตล่ ะครั้งต้องใช้อย่างเหมาะสมดว้ ย ผลเสยี ท่ีเกิดจากสารพิษ แบ่งออกเป็นกลมุ่ ได้ 3 กลุ่ม ดงั น้ี
3.1 ผลเสียต่อสุขภาพ การได้รับสารพิษบ่อยครั้งและติดต่อกันเป็นเวลานาน สารพิษอาจสะสมในร่างกายจนถึง
ปริมาณที่เป็นพิษ ส่งผลให้ร่างกายอ่อนแอ ทรุดโทรม เกิดการเจ็บป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุ นอกจากนี้ยังมีผลทางอ้อมเช่นกัน
ได้แก่ จะให้รา่ งกายต้านทานต่อโรคภัยไข้เจ็บได้น้อยลง ถา้ หากได้รบั พิษในปริมาณที่สูง รา่ งกายจะแสดงอาการจากการท่ีได้รับ
สารพษิ ชัดเจนภายในเวลาไมน่ าน เช่น อาการออ่ นเพลีย วิงเวยี นศีรษะ อาเจียน ปวดท้อง และท้องร่วง
ในผลผลิตทางการเกษตร โดยเฉพาะผักสด จะมีสารพิษตกค้างมาก เช่น ถั่วฝักยาว คะน้า เป็นต้น เมื่อบริโภค
สารพิษจะเข้าสู่ร่างกายและสะสม ดังนั้น ก่อนบริโภค ควรล้างก่อน การล้างด้วยน้ำไหลนาน 2 นาที จะลดปริมาณสารพิษได้
ประมาณ 54-63 เปอร์เซน็ ต์
3.2 ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ถ้ามีสารพิษสะสมในดินหรือแหล่งน้ำในปริมาณสูง จะทำให้สิ่งมีชีวิตในดิน หรือใน
แหล่งน้ำตาย เช่น ไส้เดือน ปลาซึ่งเป็นแหล่งอาหารโปรตีนของคน ถ้าสารพิษที่ตกค้างอยู่ในสิ่งแวดล้อมเข้าไปในห่วงโซ่อาหาร
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจะมากมาย เกษตรกรพ่นสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชเพื่อฆ่าแมลง เมื่อนกกินแมลงนกก็จะตายด้วย หรือถ้า
สารพษิ สะสมในแหลง่ น้ำ ปลาท่อี าศัยอยู่จะได้รับสารพิษดว้ ย ถา้ คนจบั ปลาจากแหล่งน้ำนั้นมาบริโภค คนกจ็ ะได้รับสารพิษด้วย
เช่นกัน สารพษิ จะสะสมในรา่ งกายคนมากขน้ึ จนในทสี่ ุดจะเป็นอนั ตรายต่อสุขภาพได้
3.3 ผลเสยี ตอ่ เศรษฐกจิ พจิ ารณาเบ้ืองตน้ งา่ ยๆ ถ้าสนิ ค้าเกษตรทสี่ ่งขายมีปริมาณสารพษิ สงู เกนิ ค่ามาตรฐาน คงไม่
มใี ครอยากซอื้ สนิ ค้าน้นั ไปบริโภคแน่นอน การสง่ สนิ คา้ ออกตอ้ งหยุดชะงัก ทำใหร้ ายไดล้ ดลงก็จะเกิดความเสียหายต่อเกษตรกร
และตอ่ เศรษฐกิจของประเทศโดยรวม เปน็ ตน้
ถ้าพิจารณาด้านสุขอนามัยของเกษตรกร หรือบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการใช้สารป้องกันกำจัดศัตรูพืช เมื่อได้รับพิษ
และแสดงอาการเจ็บป่วย จำเปน็ ตอ้ งทำการรกั ษาพยาบาล ซึง่ ต้องเสยี ค่ารกั ษามากมายกวา่ จะหายจากอาการปว่ ย แม้จะรักษา
หายแล้ว บางกรณกี ย็ ังมอี าการแพ้สารพษิ เป็นประจำ
9
4. อนั ตรายของสารป้องกนั กำจดั ศัตรพู ืช
อันตรายหมายถึงการเจ็บปว่ ยทเี่ กิดขึ้นเมอ่ื ได้รับสารปอ้ งกันกำจัดศตั รพู ืช อันตรายที่เกดิ ข้ึนนัน้ จะรุนแรงมากน้อย
ระดับใดขน้ึ กบั ปัจจัยหลายประการดว้ ยกนั ได้แก่ หนทางที่สารพิษเขา้ สรู่ า่ งกาย (ทางการหายใจ ทางผิวหนงั และทางปาก)
อตั ราการใช้ ความถ่ีในการใช้ ระยะเวลาทใ่ี ช้ และสตู รสำเร็จของสารป้องกนั กำจดั ศัตรพู ืช
สำหรับการจัดแบ่งความเป็นพิษของสารป้องกันกำจัดศัตรูพืช องค์การอนามัยโลกได้กำหนดระบบการจัดระดับ
ความเป็นพิษของสารเคมีที่ใช้ทางการเกษตรไว้เพื่อให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน โดยอาศัยข้อมูลจากอันตรายที่เกิดขึ้นต่อคนหรือ
สัตว์ทดลองเมื่อได้รับหรือสัมผัสกับสารป้องกันกำจัดศัตรูพืช องค์การอนามัยโลกได้แบ่งระดับความเป็นพิษออกเป็น 4 กลุ่ม
(ตารางท่ี 1)
ตารางที่ 1 ระดบั ความเปน็ พิษของสารปอ้ งกันกำจัดศตั รพู ชื แบ่งตามองค์การอนามัยโลก
LD50 สำหรับหนูทดลอง (กรมั หรือมลิ ลกิ รมั /กโิ ลกรัมของน้ำหนกั ตัว)
ชน้ั ระดบั ความเปน็ ทางปาก ทางผวิ หนัง ปริมาณสารพษิ ท่ีทำให้เกดิ ปรมิ าณสารพษิ
พิษ อาการกับคน อุปกรณ์ท่ใี ช้สำหรับ
(น้ำหนกั 70 กก.) ตวงยานำ้
ของแขง็ ของเหลว ของแขง็ ของเหลว
< 20 < 10 < 40
I a พิษรา้ ยแรงมาก < 5 20-200 10-100 40-400 < 5 กรัมหรอื 5 มิลลลิ ิตร < 1 ช้อนชา
100-1000 5 กรัมหรือ 5 มิลลิลติ ร 1 ชอ้ นชา
I b พษิ ร้ายแรง 5-50 200-2000 > 1000 400-4000 30 กรัมหรอื 30 มลิ ลลิ ติ ร 2 ช้อนโตะ๊
> 2000 > 4000 > 30 กรมั หรอื 30 มิลลลิ ติ ร > 2 ชอ้ นโต๊ะ
II พษิ ปานกลาง 50-500
III พิษน้อย > 500
ทม่ี า: (WHO, 2009)
จากข้อมลู ในตาราง สรปุ ไดว้ า่ ถ้า LD50 มีคา่ สูง ความเปน็ พษิ ของสารเคมชี นิดน้ันจะต่ำ เช่น สารเทฟลูเบนซูรอน มีค่า
LD50 = 5,000 สารเคมีชนิดนี้มีความเป็นพิษต่อคนและสัตว์ทดลองต่ำมาก ในทางตรงกันข้าม ถ้า LD50 มีค่าต่ำ สารเคมีชนิด
นน้ั จะมีความเป็นพษิ ต่อคนหรือสัตว์ทดลองสงู มาก เช่น สารไตรอะโซฟอส มีค่า LD50 = 82 ซึ่งเป็นสารเคมีที่มีความเป็นพิษต่อ
คนและสตั ว์ทดลองสูง
5. ฉลากสารปอ้ งกนั กำจดั ศัตรพู ชื
ข้อความที่ปรากฏบนฉลากเป็นคำแนะนำในรายละเอียดต่าง ๆ ด้านประสิทธิภาพการป้องกันกำจัด วิธีการใช้ และ
การปอ้ งกันอันตราย รวมทง้ั ขอ้ แนะนำอ่นื ๆ ด้วย ข้อมลู ทง้ั หมดนนั้ ได้ผลมาจากการทดลองทงั้ ในห้องปฏิบัติการและในสภาพไร่
ดงั น้ัน ถา้ ผูท้ ่เี กย่ี วขอ้ งทำความเข้าใจข้อมูลต่าง ๆ เหล่านนั้ การใช้สารป้องกนั กำจดั ศตั รพู ชื ก็จะไดป้ ระโยชนส์ งู สุด
5.1 วัตถุประสงค์ ฉลากสารป้องกันกำจัดศัตรูพืช เป็นข้อกำหนดทางกฎหมาย เพื่อต้องการให้บุคคลที่เกี่ยวข้องได้
ทราบขอ้ มลู ตา่ ง ๆ เหลา่ น้ี
5.1.1 ชนิดของสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชในภาชนะบรรจุนั้น เปน็ สารกำจัดวชั พชื เช่น พาราควอต อาทราซีน
หรือสารปอ้ งกนั กำจดั แมลง เช่น เฟนโิ ตรไธออน หรอื อิมดิ าโคลพรดิ เป็นต้น
5.1.2 เปา้ หมายในการใช้สารป้องกันกำจดั ศตั รูพืช เช่น ใชเ้ พื่อ กำจดั วชั พืช โรคพืช หรอื แมลงศัตรูพชื เป็นต้น
ซง่ึ อาจบ่งบอกข้อมูลเฉพาะได้อีก เช่น เปน็ สารปอ้ งกันกำจดั แมลงท่ีใช้ไดผ้ ลดีกับกลุ่มแมลงปากดูด เช่น คารโ์ บซัลแฟน หรืออิมิ
ดาโคลพรดิ เปน็ ตน้
5.1.3 คำแนะนำวิธีการใช้ เป็นคำแนะนำด้านการผสม ทั่วไปจะแนะนำอัตราการใช้เป็นปริมาณการใช้ (กรัม
หรือ มิลลลิ ติ ร) ตอ่ นำ้ 20 ลิตร เช่น สารคารบ์ าริล อัตราการใช้ 20-30 กรมั ต่อนำ้ 20 ลิตร เปน็ ต้น
5.1.4 อันตรายที่อาจเกิดขึ้นและข้อแนะนำการปฏิบัติเพื่อป้องกัน เมื่อทำการผสม การเก็บรักษา และการใช้
ทั่วไปเป็นคำแนะนำข้อควรปฏิบัติขณะผสมสารป้องกันกำจัดศัตรูพืช ข้อแนะนำการใช้อุปกรณ์ป้องกันสารพิษ หรือคำแนะนำ
วธิ กี ารใช้ เช่น ขณะทำการพน่ ควรเรม่ิ จากด้านใตล้ ม ขณะผสมสารป้องกนั กำจดั ศัตรูพชื ไมค่ วรสูบบุหร่ี เปน็ ต้น
10
5.1.5 คำแนะนำลักษณะอาการเมื่อผู้ที่เกี่ยวข้องได้รับสารพิษ ข้อบ่งชี้ลักษณะเมื่อได้รับสารพิษ รวมถึง
คำแนะนำการปฐมพยาบาลเบ้อื งต้นดว้ ยในกรณีที่ได้รับพิษจนแสดงอาการ เป็นต้น
5.2 ขอ้ ท่คี วรพิจารณาการจัดทำฉลาก เพื่อให้ขอ้ มลู บนฉลากบรรลตุ ามวตั ถุประสงค์ และไดป้ ระโยชน์สงู สุด ฉลาก
ควรมลี ักษณะ ดงั ตอ่ ไปนี้
5.2.1 ลกั ษณะของฉลากต้องชดั เจน เดน่ ชดั ถ้าเป็นเครือ่ งหมายหรือสญั ลักษณ์ ต้องมีความชัดเจน และดึงดูด
ความสนใจไดด้ ี
5.2.2 ข้อความบนฉลากต้องกระชับ สั้น อ่านง่าย เข้าใจได้ทันที ข้อมูลคำแนะนำต่าง ๆ ที่เขียนลงบนฉลาก
น้ัน ต้องให้บคุ คลทวั่ ไปสามารถอ่านและเขา้ ใจได้งา่ ย
5.2.3 ควรใช้ภาษาท้องถ่ิน หรือภาษาที่ใชเ้ ปน็ ทางการไมค่ วรใช้ภาษาอน่ื บนฉลาก
5.2.4 ขนาดของตวั พิมพ์ ตอ้ งมขี นาดโตพอเพื่อใหอ้ ่านได้ง่ายด้วยตาเปลา่
5.2.5 ใช้ตัวอักษรธรรมดาท่ชี ัดเจนและอา่ นงา่ ย
5.2.6 การเนน้ ข้อความสำคัญต้องชดั เจน เชน่ ใช้ตัวหนา พิษรา้ ยแรงย่ิง เปน็ ต้น
5.2.7 การเนน้ ขอ้ มูลดว้ ยสตี ่าง ๆ ต้องใช้สที ีแ่ ตกต่างกันชดั เจน เช่น
1) ขอ้ ความสีดำบนพื้นสเี หลอื ง
2) ขอ้ ความสเี ขียวบนพืน้ สขี าว
3) ขอ้ ความสีแดงบนพื้นสีขาว
4) ขอ้ ความสขี าวบนพนื้ สนี ำ้ เงิน
5) ขอ้ ความสดี ำบนพน้ื สขี าว
5.2.8 ใช้แถบสีกำหนดความแตกต่างของความเป็นพิษ (ภาพที่ 1) ซึ่งองค์การอนามัยโลกได้กำหนดไว้แล้ว
ได้แก่
1) แถบสแี ดง หมายถึง สารปอ้ งกันกำจดั ศตั รพู ืชมพี ษิ รา้ ยแรงมาก
2) แถบสีเหลอื ง หมายถงึ สารปอ้ งกันกำจัดศัตรูพืชมีพิษร้ายแรง
3) แถบสนี ำ้ เงิน หมายถงึ สารปอ้ งกันกำจัดศัตรพู ืชทีค่ วรระวงั
ภาพท่ี 1 แถบสกี ำหนดความเป็นพิษของสารป้องกันกำจัดศัตรพู ืช
การใชเ้ ครือ่ งหมาย สัญลักษณ์ รูปภาพ ในฉลาก เป็นการสง่ ผา่ นคำแนะนำในรปู แบบทเ่ี ข้าใจง่าย โดยเฉพาะผู้ท่ีเกยี่ วท่ี
ไม่สามารถอา่ นขอ้ ความคำแนะนำบนฉลากได้ (ภาพท่ี 2)
11
ให้เกบ็ มิดชดิ พน้ มือเดก็ ให้ชำระลา้ งหลังการใช้
เปน็ อนั ตรายต่อสตั ว์ เป็นอันตรายต่อปลา
เลีย้ ง และสตั ว์น้ำ ห้ามเททิ้ง
ในแหลง่ นำ้
สวมอปุ กรณ์ป้องกันตา สวมอุปกรณ์ป้องกัน
จมกู และปาก
สวมหน้ากากป้องกนั
ไอพิษ สวมถงุ มอื ป้องกันการ
สมั ผัสถกู มือ
สวมผ้ากนั เปื้อน เพื่อ
ป้องกนั อนั ตรายต่อ สวมชุดป้องกันวตั ถุ
ผู้ใช้ อนั ตรายตลอดตัวผใู้ ช้
สวมรอ้ งเทา้ ป้องกัน ขณะฉีดและใช้
เท้า พิษรา้ ยแรงมาก
พิษรา้ ยแรง อันตราย
ภาพท่ี 2 ความหมายของสญั ลักษณบ์ นภาชนะบรรจุสารป้องกนั กำจดั ศัตรูพชื
5.2.9 คำแนะนำหรือข้อความต่าง ๆ บนฉลากตอ้ งสามารถส่ือความหมายตามความเป็นจริงถึงผู้ค้าปลีก หรือ
ผ้ใู ช้ได้ชดั เจน ไมส่ ามารถตีความเปน็ อย่างอื่นได้ และไม่ควรใช้ข้อความในลักษณะของการเปรียบเทียบ เชน่ สารอิมิดาโคลพริด
สามารถควบคมุ แมลงปากดูดดีทสี่ ดุ ควรใช้คำพดู ธรรมดาว่า สารอิมดิ าโคลพริดใชค้ วบคมุ แมลงปากดูดได้ เปน็ ตน้
5.2.10 ฉลากตอ้ งติดกบั ภาชนะบรรจุไมห่ ลุดหรือลอกออกไดง้ ่าย
5.3 ข้อมลู ท่ีควรมีในฉลากของสารป้องกันกำจดั ศตั รูพชื ควรประกอบด้วยข้อมลู ทจ่ี ำเป็น ดังต่อไปนี้
5.3.1 ขอ้ มลู ทางวชิ าการ เปน็ ข้อมลู ที่บ่งบอกรายละเอียดสำคัญตอ่ ไปน้ี
1) สง่ิ ทบี่ รรจุในภาชนะนั้นเป็นสารปอ้ งกนั กำจัดศตั รูพชื ชนดิ ใด มรี ะดบั ความเป็นพษิ ระดับใด เป็นต้น
2) คำแนะนำการใช้ การปอ้ งกันสารพิษ รวมไปถงึ คำแนะนำในการปฐมพยาบาลเบอื้ งตน้
12
3) เทคนิคการใช้สารป้องกันกำจัดศัตรูพืช ใช้อย่างไร (ผสมน้ำพ่น หรือหยอดพร้อมปลูก เป็นต้น)
เมื่อไร (ช่วงเวลาการใช้ที่เหมาะสม ได้แก่ เมื่อพบการระบาดของหนอน 2 ตัวต่อต้น หรือ เหมาะสมสำหรับการพ่นในเวลาเยน็
เช่น การใช้ไวรัส เปน็ ตน้ ) และควรใช้ทีไ่ หน
4) คำแนะนำการผสมสารปอ้ งกันกำจัดศตั รูพืช
5) คำแนะนำวิธีการทำความสะอาดอุปกรณ์การพ่น การจัดการภาชนะบรรจุที่ใช้หมดแล้ว และชุด
ป้องกนั ต่าง ๆ
6) คำแนะนำความเหมาะสมของการผสมสารป้องกันกำจัดศัตรูพืช 2-3 ชนิดพร้อมกันเป็นไปได้
หรือไม่
5.3.2 ขอ้ มูลทางด้านกฎหมายและการผลิต
1) ทะเบียนวตั ถุอนั ตราย
2) ช่ือบริษัทผผู้ ลิต ตวั แทนจำหน่ายหรอื ร้านค้าปลกี
3) วนั ทผ่ี ลิต/สตู รสำเร็จ
5.4 รายละเอียดข้อมูลทั้งหมดที่ต้องพิมพ์ลงบนฉลาก ตามข้อกำหนดของกฎหมายตามที่กล่าวแลว้ นั้น ในแต่ละ
หัวข้อยังมีรายละเอียดย่อย ๆ อีก โดยทั่วไปแล้วข้อมูลย่อย ๆ นี้จะบ่งบอก ชนิด ประสิทธิภาพ และวิธีการใช้ของสารป้องกัน
กำจัดศตั รูพชื นัน้ อยา่ งชัดเจน ซ่ึงจดั กลมุ่ ออกได้ดังนี้
5.4.1 รายละเอยี ดของสารป้องกันกำจดั ศตั รูพืชในภาชนะบรรจุ ประกอบด้วยรายละเอียด ดังตอ่ ไปนี้
1) ชื่อการคา้
2) ชอื่ สามัญ
3) ชื่อวิทยาศาสตร์
4) เปอร์เซ็นต์ความเขม้ ขน้ ของสารออกฤทธ์ิ
5) ชนิดของสูตรสำเรจ็
5.4.2 ความเขม้ ขน้ ของผลิตภณั ฑ์
5.4.3 คำแนะนำ ประโยชน์การใชผ้ ลิตภัณฑ์ ต้องประกอบด้วยรายละเอยี ดต่อไปนี้
1) วิธีการใช้ เป็นข้อความอธิบายวิธีการใช้ที่ชัดเจน ใช้อย่างไร ใช้เมื่อไร และใช้ที่ไหน เพ่ือ
ประสทิ ธภิ าพสูงสดุ และปลอดภยั มคี วามเสยี่ งน้อยที่สดุ ซึ่งควรมีข้อความต่อไปน้ี
- คำเตอื นเพื่อปอ้ งกนั การใชผ้ ิด
- ใชไ้ ดใ้ นพืชอะไร ศัตรพู ืชชนิดไหน
- อตั ราการพ่นตอ่ ไร่ ช่วงเวลาการใชท้ ี่เหมาะสม วิธกี ารใชท้ ่ีถูกตอ้ ง
- ค่าช่วงเวลาที่อนุญาตให้ทิ้งช่วงตั้งแต่การพ่นสารจนถึงวันเก็บเกี่ยวที่เรียกว่า pre-harvest
interval (PHI)
- ข้อหา้ มในการใช้สารป้องกนั กำจดั ศัตรพู ชื
2) คำแนะนำการใช้สารปอ้ งกันกำจัดศัตรพู ืชต้องเป็นรายละเอียดที่สั้นชัดเจนโดยระบุวา่ สารปอ้ งกนั
กำจดั ศัตรูพชื ชนดิ นใี้ ช้ควบคมุ ศตั รูพืชอะไร (โรค แมลง หรือวชั พชื )
3) คำแนะนำการใช้ทว่ั ไป เป็นขอ้ ความชแ้ี นะการใชท้ ่ีถกู ต้องเหมาะสม ได้แก่
- การเตรยี มการ การผสม การใช้ การเกบ็ รักษา รวมถึงการขจัดภาชนะทใี่ ชแ้ ล้ว เป็นตน้
- คำเตือนว่าผลิตภัณฑ์นส้ี ามารถใชร้ ่วมกบั สารชนดิ อน่ื ไดห้ รอื ไม่
- คำเตอื นถงึ อันตรายท่ีอาจสง่ ผลกระทบตอ่ สง่ิ แวดล้อม
4) คำแนะนำด้านความปลอดภัย ข้อความทใ่ี ช้ ควรเป็น
- ภาษา ข้อความ หรอื สัญลกั ษณ์ทเี่ ข้าใจงา่ ย
- ใช้ภาพแสดงความเปน็ พษิ การติดไฟ หรอื สามารถระเบดิ ได้ เปน็ ต้น
- ใชแ้ ถบสี ระบุความเปน็ พษิ ควรใชแ้ ถบสีตามระบบขององคก์ ารอนามัยโลก
13
- ควรพิมพ์ ขอ้ ความ "เก็บให้พน้ มอื เด็ก"
5) การปฐมพยาบาลเบื้องต้นและคำแนะนำแก่แพทย์ต้องมีข้อความระบุวิธีการรักษา เมื่อได้รับ
สารพิษ ได้แก่
- อาการเม่ือไดร้ บั สารพิษ
- การปฐมพยาบาลเบอื้ งตน้
- ขอ้ มลู หรอื คำแนะนำแก่แพทย์
5.4.4 ปรมิ าณ (นำ้ หนกั หรอื ปรมิ าตร) ของผลติ ภณั ฑใ์ นภาชนะบรรจุ
5.4.5 ทะเบียนวตั ถุอนั ตราย
5.4.6 วัน เดอื น ปี ท่ีผลติ
5.4.7 จำนวนล็อตที่ผลิต
กล่าวโดยสรปุ วา่ สารปอ้ งกันกำจดั ศตั รพู ชื น้ัน แมจ้ ะเป็นท่นี ิยมอย่างกว้างขวางในกลุ่มของเกษตรกร เนือ่ งจากมีข้อดีอยู่
หลายประการ ขณะเดยี วกันก็กอ่ ให้เกดิ ผลเสียทต่ี ิดตามมามากมายดว้ ย ดังน้ี
5.5 ข้อดีของสารป้องกันควบคุมศัตรูพืช
5.5.1 ใชไ้ ด้สะดวกและทุกเวลา
5.5.2 ปอ้ งกนั กำจัดศัตรูพืชได้อยา่ งรวดเรว็
5.5.3 ไมต่ อ้ งใชเ้ ทคนิคมาก
5.6 ขอ้ เสียของสารปอ้ งกันกำจัดศตั รพู ชื
5.6.1 ทำให้ศตั รูพชื สรา้ งความต้านทาน เช่น หนอนกระทู้หอม หนอนใยผัก เป็นต้น
5.6.2 ทำให้ปริมาณศัตรูพืชเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม เช่น เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล เนื่องจากศัตรูธรรมชาติถูก
ทำลายไป
5.6.3 ทำให้เกิดปัญหาพิษตกค้างของสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชในพืชสัตว์ และสิ่งแวดล้อมซึ่งอาจเป็น
อนั ตรายต่อมนุษย์
5.6.4 ทำให้เกดิ อนั ตรายโดยตรงต่อผูใ้ ช้
5.6.5 ทำใหส้ ิง่ มีชีวิตอน่ื ทไ่ี ม่ต้องการทำลายต้องตายไปด้วย เชน่ นก ปลา ผงึ้ และแมลงมีประโยชนช์ นิดตา่ ง ๆ
5.6.6 ทำใหเ้ กิดการระบาดของศตั รูพืชชนดิ ใหมๆ่ ซ่ึงแตก่ ่อนไม่ปรากฏว่ามีความสำคัญ
5.6.7 ทำให้สมดุลธรรมชาติและสภาพทางระบบนิเวศที่สลับซับซ้อนเปลี่ยนแปลงไป เกิดการระบาดของ
ศตั รูพชื ไดง้ า่ ย
แมว้ ่าสารป้องกันกำจดั ศตั รูพชื จะมีผลเสยี หลายประการ แต่การใช้สารป้องกนั กำจดั ศตั รพู ชื กเ็ ปน็ วิธกี ารเดยี วที่สามารถ
ลดปรมิ าณการระบาดของศัตรูพืชได้อยา่ งรวดเร็ว ดังนนั้ การเรยี นรรู้ ายละเอียดของสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชชนิดตา่ ง ๆ ทั้งที่มี
อนั ตรายสงู และต่ำ ตลอดจนเทคนคิ ในการใชอ้ ยา่ งถูกต้อง ยอ่ มมีผลดีตอ่ การนำสารป้องกันกำจัดศัตรูพชื ไปใช้ให้ได้ประสทิ ธิภาพ
สงู สุด ประหยัดคา่ ใชจ้ า่ ย และมีอนั ตรายนอ้ ยต่อส่ิงแวดล้อม
ดงั นน้ั เมอื่ ต้องการใช้สารปอ้ งกนั กำจดั ศัตรูพชื ให้มีประสิทธภิ าพและถกู ต้อง ผใู้ ช้ตอ้ งเลือกสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชให้
ถกู กบั ชนดิ ของศัตรูพืช เลอื กใชใ้ ห้เหมาะกับเวลา ใชอ้ ตั ราการทถี่ กู ต้อง และเลือกวธิ ีการใชห้ รอื การพน่ ท่เี หมาะสม
6. การประเมินความเสย่ี งของสารป้องกันกำจัดศัตรพู ชื
ค่าความปลอดภยั Acceptable Daily Intake เรียกยอ่ วา่ ADI หมายถงึ ปริมาณสารท่บี รโิ ภคทุกวนั ตลอดชีวิตแล้ว
ไม่พบความความเสี่ยงที่มีผลกระทบและเป็นต่อสุขภาพของผู้บริโภคค่า ADI มีหน่วยเป็นมิลลิกรัมของสารต่อกิโลกรัมของ
นำ้ หนกั ตวั
เช่น สาร ไดอะซินอนมีค่า ADI = 0.05 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กโิ ลกรมั สมมติผ้บู ริโภคมีน้ำหนักตวั 60 กิโลกรัม
ดงั น้นั จงึ สามารถรับสารหรอื บริโภคได้ 60x0.05 = 3 มิลลกิ รัมตอ่ วนั และเม่อื นำค่ามาคำนวณเพื่อหา
สารพิษตกค้างของสารไดอะซินอน CODEX อนุญาตให้ตกค้างในคะน้า คือ 0.05 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักคะน้า 1
กโิ ลกรัม ดังน้นั ผ้บู รโิ ภคมีน้ำหนักตัว 60 กิโลกรมั สามารถบรโิ ภคคะน้าไดไ้ ม่เกิน 3/0.05 = 60 กิโลกรัมต่อวนั โดยไม่ก่อให้เกิด
14
อนั ตรายเมื่อได้รบั ตลอดชวี ติ ซ่งึ เปน็ ไปไม่ไดท้ ผ่ี บู้ รโิ ภคนำ้ หนัก 60 กิโลกรมั จะบริโภคคะน้าทม่ี ีนำ้ หนักเท่าน้ำหนกั ตวั ในแต่ละวัน
อย่างไรก็ตามค่าดังกล่าวเป็นเพียงการคำนวณเท่านั้น อย่างไรก็ตามในความเป็นจริงมีปัจจัยอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องที่อาจก่อให้เกิด
อันตรายจากการบริโภคผกั ท่มี กี ารปนเปอ้ื น ดงั น้ันก่อนบริโภคควรล้างผักตามวิธีการที่กระทรวงสาธารณสขุ แนะนำเป็นกจิ วตั ร
15
การเลอื กและการใช้สารปอ้ งกันกำจัดศตั รูพชื
การใช้สารป้องกันกำจัดศัตรูพืชนั้น มีหลายปัจจัยที่เกี่ยวข้องซึง่ ผูใ้ ช้ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ หากละเลยอาจส่งผล
ทำใหก้ ารควบคุมศัตรูพชื เปา้ หมายน้นั ไม่ได้ผล ทำให้ผลผลติ เสียหาย หรอื ทำให้คุณภาพของผลผลติ ลดลง ราคาลดลงและไมเ่ ป็น
ท่ตี อ้ งการของตลาด
1. การเลือกสารปอ้ งกนั กำจดั ศัตรูพืช
การเลือกสารป้องกนั กำจดั ศตั รพู ชื ให้ได้ประสทิ ธภิ าพสูงสดุ นั้น มีขอ้ ควรพจิ ารณาหลกั ดงั น้ี
1.1 ประสิทธภิ าพของสารป้องกันกำจดั ศัตรูพชื ต้องเฉพาะเจาะจง หรอื แนะนำไวส้ ำหรับการป้องกันกำจัดศัตรูชนิด
นนั้ เทา่ นัน้ ซึง่ เก่ยี วข้องกบั ปจั จยั หลายอยา่ งด้วยกนั เชน่ ระยะการเจริญเติบโตของพืช ค่าใช้จ่ายในการใชส้ าร หรอื พษิ ตกค้าง
ท่ีจะเกดิ กับผลผลติ เปน็ ตน้
1.2 ชนิดของศัตรูพืช ศัตรูพืชที่เกี่ยวข้องกับการเกษตรมี 4 กลุ่ม ได้แก่ โรคพืช แมลงศัตรูพืช หรือวัชพืช ภายใต้
กล่มุ เหลา่ นี้ยงั มีศัตรูพืชอกี หลายประเภท ซง่ึ การใช้สารป้องกนั กำจดั ศตั รพู ชื จะแตกตา่ งกัน ท้งั นขี้ ึ้นกับชนดิ ของศตั รพู ชื ลกั ษณะ
การเข้าทำลายของศัตรูพืช ซึ่งต้องเลือกวิธีการใช้สารให้เหมาะสมด้วย แมลงกลุ่มปากดูด ได้แก่ แมลงหวี่ขาว เพลี้ยไฟ เพลี้ย
จกั จ่ัน หรอื เพลย้ี อ่อน แมลงกลมุ่ นจี้ ะอาศัยดดู กินน้ำเลยี้ งบรเิ วณใต้ใบ ดังนนั้ ถา้ จะใช้สารป้องกันกำจัดศัตรูพืชควรเลือกใช้สาร
ประเภทดูดซมึ ผสมนำ้ พน่ โดยเนน้ การพน่ ทบี่ ริเวณแมลงอาศัยอยู่ สว่ นหนอนผีเสือ้ ต่าง ๆ ซึง่ เป็นแมลงกลุม่ กัดกินทำลายใบ ผล
หรือต้น ควรเลอื กใชส้ ารกลุ่มถูกตัวตาย หรอื กินตาย เปน็ ต้น แมลงศตั รใู นโรงเก็บ เช่น มอดชนิดตา่ ง ๆ ควรใช้ สารรมเมธิลโบร
ไมด์หรือ สารรมฟอสฟีน เป็นต้น การกำจัดวัชพืช ควรพิจารณาการเลือกใช้อย่างเหมาะสมก่อนการใช้ อาจเลือกใช้สารกำจัด
กอ่ นวชั พืชงอก หรือหลังจากวัชพืชงอกแล้ว เป็นต้น
1.3 การใชร้ ว่ มกบั สารชนดิ อืน่ บางครัง้ การระบาดของศัตรูพชื อาจมหี ลายชนดิ อาจมีการระบาดรว่ มกันระหว่างไร
ศัตรูพืชและหนอนผีเสื้อ ซึ่งจำเป็นต้องใช้สาร 2 ชนิดพร้อมกัน สารป้องกันกำจัดศัตรูพืชที่เลือกใช้นั้นต้องผสมกันได้ ไม่จับตัว
เป็นตะกอน
1.4 ความสะดวกในการขนส่งและการเก็บรักษา การขนส่งสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ต้อง
พิจารณาอย่างละเอียด หีบห่อที่ใช้บรรจุ ไม่ว่าจะเป็นสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชในรูปของของเหลวหรือฝุ่นผง ต้องเรียบร้อย
สามารถป้องกันชำรดุ เสยี หายได้
1.5 ไม่เป็นอนั ตรายตอ่ ศัตรูธรรมชาติหรือแมลงทเี่ ป็นประโยชน์
1.6 มีพิษตกค้างสั้น
1.7 ไมเ่ ปน็ พิษตอ่ ตน้ พืช
2. การใชส้ ารป้องกันกำจดั ศตั รูพืช
2.1 การใช้แบบผสมน้ำ สารป้องกันกำจัดศัตรูพืชที่ใช้แบบนี้ เป็นสารเคมีที่ละลายอยู่ในตัวทำละลายในรูปของ
น้ำมันหรือผง ซึ่งมีความเข้มข้นสูง ต้องนำมาผสมกับน้ำก่อนใช้ตามคำแนะนำ บางชนิดอยู่ในสูตรผสมสำเร็จรูปมาจากโรงงาน
ผ้ผู ลติ สามารถใช้ไดท้ นั ทีโดยไม่ตอ้ งผสมนำ้ การใช้สารป้องกันกำจดั ศัตรูพืชแบบผสมน้ำแบง่ ออกได้ 5 วิธี (ตารางท่ี 1) คือ
2.1.1 การใชแ้ บบผสมน้ำมาก เป็นวิธีการทใี่ ช้น้ำผสมกับสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชในอตั รามากกว่า 80 ลิตรต่อ
ไร่สำหรับพชื ไร่ และมากกวา่ 160 ลิตรต่อไรส่ ำหรับไมผ้ ล ซง่ึ เปน็ วธิ กี ารท่ีเกษตรกรนิยมใช้ โดยทำการพน่ ด้วยเคร่ืองพ่นสารชนิด
ใชแ้ รงคน หรอื ชนิดใชเ้ คร่ืองยนต์ การใชแ้ บบน้ีมีขอ้ เสียคือ ละอองสารมีขนาดค่อนขา้ งโต จะรวมตัวไหลลงดินได้งา่ ย เป็นผลให้
สารป้องกันกำจัดศัตรูพืชติดอยู่บนใบพืชเพียงเล็กน้อย ดังนั้น ควรทำการพ่นให้กระจายตามส่วนต่าง ๆ ของต้นพืชอย่างทั่วถึง
ไมใ่ ห้โชกจนเกนิ ไป
2.1.2 การใช้แบบผสมนำ้ ปานกลาง เปน็ วธิ กี ารท่ีใช้น้ำผสมกบั สารป้องกนั กำจัดศัตรพู ชื ในอตั ราการพ่นระหว่าง
30-80 ลติ รต่อไรส่ ำหรับพชื ไร่ และ 80-160 ลติ รต่อไรส่ ำหรับไม้ผล วิธีการน้ีเป็นอกี วิธีหนึ่งท่เี กษตรกรสว่ นมากปฏิบตั ิกัน โดย
พน่ ด้วยเครือ่ งพน่ สารชนดิ ใช้แรงคนหรือชนิดใชเ้ ครื่องยนต์
2.1.3 การใชแ้ บบผสมนำ้ น้อย เป็นวิธีการทลี่ ดปรมิ าณนำ้ ที่ผสมกับสารป้องกนั กำจดั ศตั รพู ชื เหลือเพยี งไรล่ ะ
10-30 ลิตรสำหรบั พืชไร่ และ 30-80 ลติ รตอ่ ไรส่ ำหรบั ไมผ้ ล ตามชนดิ และอายุของพชื โดยใชเ้ ครอื่ งยนต์พน่ สารสะพายหลัง
16
แบบใช้แรงลมและใชห้ ัวฉดี ที่ควบคมุ อัตราการไหลได้ การพ่นสารแบบน้ำน้อยจะมีขนาดละอองสารเล็กและสม่ำเสมอมาก การ
พน่ วธิ ีน้ีสามารถลดค่าใชจ้ ่ายได้มาก ทำงานไดเ้ ร็วขน้ึ แตต่ ้องระมัดระวงั อันตรายที่จะเกิดกับผู้พ่นและผทู้ ่ีอยู่ใกลเ้ คยี งมากยงิ่ ขึ้น
2.1.4 การใช้แบบผสมน้ำน้อยมาก เป็นวิธีการที่น้ำใช้ผสมกับสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชในอัตราการพ่นระหว่าง
1-10 ลติ รต่อไร่สำหรับพชื ไร่ และ 10-30 ลิตรตอ่ ไร่สำหรบั ไมผ้ ล ตามชนดิ และอายขุ องพืช โดยใช้เครอื่ งยนตพ์ น่ สารสะพายหลัง
แบบใช้แรงลมและใชห้ ัวฉีดท่ีควบคมุ อตั ราการไหลได้ การพน่ สารวิธนี ใ้ี ห้ละอองเลก็ มากและค่อนขา้ งสม่ำเสมอ
2.2 การใช้แบบไมผ่ สมน้ำ เป็นการใช้สารปอ้ งกนั กำจดั ศตั รูพชื ท่ีมสี ูตรเฉพาะ เชน่ ULV พ่นโดยเคร่ืองพ่นสารที่มีหัวฉีด
แบบจานหมนุ หรอื เคร่ืองยนต์พน่ สารแบบใช้แรงลมท่ีดัดแปลงหวั ฉีด โดยท่วั ๆ ไป การพน่ สารปอ้ งกันกำจดั ศัตรูพืชด้วยวิธีนี้ใช้
อัตราการพ่นนอ้ ยกว่า 1.0 ลิตรต่อไรส่ ำหรับพชื ไร่ และมากกวา่ 10 ลิตรตอ่ ไร่สำหรบั ไมผ้ ล
ตารางท่ี 1 อัตราการพน่ (ลติ รตอ่ ไร)่ สำหรบั การพน่ สารในพชื ไร่และไม้ผล
วธิ กี ารพ่น อตั ราการพน่ สาร (ลติ รต่อไร่)
1. แบบผสมนำ้ มาก (high volume, HV) พืชไร่ ไมผ้ ล
2. แบบผสมน้ำปานกลาง (medium volume, MV) >96 >160
3.แบบผสมนำ้ น้อย (low volume, LV) 32-96 80-160
4. แบบผสมน้ำนอ้ ยมาก (very low volume, VLV) 8-32 32-80
0.8-8 8-32
5. แบบไม่ผสมน้ำ (ultra low volume, ULV)
<0.8 >8
(Matthews, 2014)
หมายเหตุ : พืชไร่ รวมถงึ พืชไร่ ขา้ ว และผกั
ไมผ้ ล รวมถงึ ไมผ้ ล และไม้ยนื ต้น
2.3 การใชแ้ บบพ่นฝุ่น ผง เม็ด เปน็ การใชโ้ ดยไมผ่ สมนำ้ การใชแ้ บบนส้ี ามารถใช้กับเครื่องพน่ ชนิดเดียวกับการพ่นสาร
ป้องกันกำจัดศัตรูพืชแบบผสมน้ำทั่วไปทีม่ ีอุปกรณ์สำหรับการพ่นแบบฝุ่นผง เช่น เครื่องยนต์พน่ สารสะพายหลังชนิดใชแ้ รงลม
ซ่ึงจะมอี ปุ กรณ์สำหรบั การพน่ ฝุน่ ผงอยูด่ ้วย หรอื ใช้เครือ่ งพ่นทใ่ี ชส้ ำหรบั การพน่ ฝ่นุ ผงเทา่ นน้ั ซ่งึ มจี ำหนา่ ยทั่วไป
การพ่นสารปอ้ งกันกำจัดศัตรพู ืชแบบฝุ่นหรอื ผงโดยไม่ผสมนำ้ เหมาะสำหรับพื้นทีท่ ี่หาน้ำได้ยาก ลมและความช้ืน
เปน็ ปัจจัยสำคัญทีท่ ำให้สารป้องกันกำจัดศัตรูพืชเกาะติดอยู่กับสว่ นต่าง ๆ ของพืชได้มากหรือน้อย การพ่นสารโดยวิธีน้ีควรพ่น
ในขณะที่ลมสงบ และพืชมีความชื้นเล็กน้อย จะช่วยให้สารป้องกันกำจดั ศัตรูพืชเกาะติดกับพืชได้ดขี ึ้น เวลาที่เหมาะในการพน่
สารประเภทนี้ คือเช้ามืดหรือกลางคืน อย่างไรก็ตาม การใช้สารป้องกันกำจัดศัตรูพืชแบบฝุ่นผงนี้ มีประสิทธิภาพการควบคุม
ศตั รพู ืชต่ำกว่าการใชใ้ นแบบผสมนำ้ และเหมาะสำหรบั การใชใ้ นพ้นื ท่ีขนาดเลก็ เทา่ นน้ั
การพ่นสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชแบบฝุ่นหรือผง จะเป็นอันตรายมากต่อระบบการหายใจมากกว่าการพ่นสารวิธี
อ่นื ๆ เพราะละอองสารปลิวฟงุ้ อยู่ตลอดเวลาในขณะทำการพน่ จึงตอ้ งเพ่มิ ความระมดั ระวังเพื่อความปลอดภยั ของผู้พ่นและผู้ที่
อยใู่ กลเ้ คียง ผใู้ ชค้ วรมีหน้ากากกรองละอองปอ้ งกนั ด้วย จากข้อเสียนเี้ องจึงทำให้ไมเ่ ป็นท่ีนยิ มของเกษตรกร
สารป้องกันกำจัดศัตรูพืชนอกจากจะใช้แบบฝุ่นผงโดยไม่ต้องผสมน้ำแล้ว สามารถผลิตออกมาใช้ในรูปของเม็ด ซึ่ง
การผลติ แบบเม็ดจะมสี ว่ นคลา้ ยกับแบบผงมาก ตา่ งกันที่ขนาดของเม็ดซงึ่ มีขนาดใหญ่กวา่ เหมาะสำหรบั การใช้ร่วมกับการปลูก
พืช อาจใช้หว่าน หรือโรยตามแถวพืช การหว่านหรือโรยควรสวมถุงมือและหน้ากาก การใช้สารป้องกันกำจัดศัตรพู ืชในรูปของ
เม็ดนี้ ตัวสารออกฤทธิ์จะละลายออกมาช้า ๆ ช่วยให้สามารถควบคุมศัตรูพืชได้นานขึ้น โดยเฉพาะการใช้สารพวกดูดซึมจะมี
ประสิทธิภาพอยู่ได้ประมาณ 20-30 วัน และสามารถใช้ปอ้ งกันกำจัดได้ทง้ั ศัตรูพชื ที่อยู่ในดินและที่อยู่บนพชื
สารปอ้ งกนั กำจดั ศตั รูพชื ในรปู เม็ดนี้ ไดจ้ ากการเคลอื บสารออกฤทธิ์บนวัสดุอืน่ เช่น เมด็ ทราย หรอื เม็ดดิน เป็นต้น
ทว่ั ไปแลว้ แบ่งออกเปน็ 3 กลมุ่ ดว้ ยกัน
2.3.1 กลมุ่ ทมี่ ขี นาดโต (macro granule: GG): มีขนาดระหว่าง 2,000-6,000 ไมโครเมตร
17
2.3.2 กลมุ่ ทีม่ ขี นาดละเอยี ดปานกลาง (fine granule: FG): มขี นาดระหวา่ ง 300-2,500 ไมโครเมตร
2.3.3 กลุ่มที่มีขนาดละเอียดมาก (micro granule: MG): มีขนาดระหว่าง 100-600 ไมโครเมตร (1 มิลลิเมตร =
1,000 ไมโครเมตร)
อย่างไรกต็ าม ขนาดของเม็ดอาจกำหนดเป็น "mesh" ตามขนาดการเรียกของตะแกรงท่เี ม็ดสารนั้นผ่านได้ การใช้
ในรปู ของเม็ดน้ีมีข้อได้เปรยี บคือ สารพิษจะไมป่ ลวิ ตามกระแสลมเนื่องจากมีขนาดโต ดังน้นั จึงไมเ่ ปน็ อันตรายต่อระบบหายใจ
สามารถใช้ในสภาพลมแรงได้ และไมจ่ ำเปน็ ต้องใชอ้ ุปกรณ์เครอ่ื งพ่น ใชว้ ิธหี วา่ น หรอื หยอดไดเ้ ลย
2.4 การใชแ้ บบกา๊ ซรม สารรม การใชแ้ บบน้ีเกิดจากการท่ีสารป้องกนั กำจดั ศัตรูพืชเปล่ียนสภาพเป็นกา๊ ซ ซ่ึงการเปลี่ยน
สภาพนั้นเกิดขึ้นได้ 2 กรณี ได้แก่ เกิดจากคุณสมบัติของตัวสารเองที่จะเปลี่ยนสภาพเป็นก๊าซเมื่อมีความชื้น เช่น อะลูมิเนียม
ฟอสไฟดจ์ ะเปลย่ี นเปน็ ก๊าซฟอสฟีนซึ่งมีพิษสูงมาก ที่ความชื้นมากกว่า 10 เปอร์เซ็นต์ หรอื เปลี่ยนสภาพเปน็ ก๊าซที่อุณหภูมิห้อง
เช่น เมทิลโบรไมด์ เมื่อเก็บอยู่ภายใต้ความดันจะคงสภาพเป็นของเหลว เมื่อปล่อยออกมาจะเปลี่ยนสภาพเป็นก๊าซทันทีที่
อณุ หภมู ิห้อง เปน็ ต้น
การเปล่ียนสภาพเปน็ ก๊าซอกี กรณี ไดแ้ ก่ การใชค้ วามรอ้ นบงั คบั ให้สารป้องกันกำจัดศัตรูพชื นน้ั ระเหยเป็นกา๊ ซ เช่น
การใช้เครื่องพ่นหมอก โดยการผสมสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชกับตัวทำละลาย เช่น น้ำมันดีเซล เมื่อปล่อยให้สารผสมดังกล่าว
ผา่ นลงในก๊าซร้อนของเครอื่ งยนต์ สารผสมนั้นจะกลายเป็นหมอกควันทันที เป็นต้น
การบังคบั ให้สารป้องกันกำจัดศัตรูพชื เปล่ียนเป็นก๊าซท้ัง 2 กรณีนิยมใช้มากในการรมเพ่ือกำจัดศัตรูพืชตามโรงเก็บ
หรอื โกดังท่เี ก็บผลผลติ เกษตร ปญั หาสำคัญคือ อันตรายทีผ่ ใู้ ช้จะได้รับสูงมาก เช่น เมทิลโบรไมดเ์ มื่อเปลี่ยนสภาพเป็นก๊าซแล้ว
จะไม่มีกล่นิ ไมม่ ีสี ทำใหผ้ ้ใู ชไ้ ม่รู้วา่ บรเิ วณนน้ั มกี ๊าซน้อี ยู่ เปน็ ตน้
สตู รของสารป้องกันกำจดั ศตั รูพชื
สตู รของสารปอ้ งกนั กำจดั ศัตรูพชื เปน็ สภาพหรือรูปแบบของสารเคมี หรือผลติ ภณั ฑ์ที่ได้จากการผสมปรุงแตง่ ระหว่าง
สารสำคัญกับส่วนผสมอื่น เพื่อให้สารผสมปรุงแต่งหรือผลิตภัณฑ์นั้นเหมาะสำหรับการนำไปใช้ การที่ต้องผสมปรุงแต่งให้เป็น
ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับสภาพการใช้นั้น เนื่องจากสารสำคัญมคี ุณสมบตั ิท้ังทางกายภาพและทางเคมีที่แตกต่างกัน เช่น ของแข็ง
ของเหลว หรือความสามารถในการละลายในสารละลายต่าง ๆ และรวมถึงอัตราหรือปริมาณการใช้สารสำคัญที่แนะนำต่อ
เป้าหมายค่อนข้างต่ำ จึงจำเป็นต้องผสมปรุงแต่งกับสารผสมอื่น ๆ เพื่อให้สามารถนำไปใช้ควบคุมศัตรูพืชได้ การผสมปรุงแตง่
สารป้องกันกำจัดศัตรูพืชมีเป้าหมายหลักอยู่ 2 ประการ คือ เพื่อกระจายสาระสำคัญให้ครอบคลุมพื้นที่เป้าหมายอย่างทั่วถึง
และสม่ำเสมอ และเพื่อเสรมิ ประสิทธภิ าพการควบคุมศัตรพู ืชใหส้ ูงขนึ้ เชน่ เพ่ิมความเปน็ พษิ ต่อศัตรูพืช เพิม่ การดูดซึมเข้าสู่ต้น
พืช ความคงทนตอ่ การสลายตัว การจับเกาะเปา้ หมายไดน้ านขน้ึ ลดอันตรายทมี่ ตี ่อผ้ใู ช้ ลดการปลวิ หรือการระเหย เป็นตน้
1. องค์ประกอบหลกั ของสารป้องกันกำจัดศัตรูพชื
โดยทัว่ ไปผลิตภณั ฑ์ สารป้องกันกำจัดศตั รูพืช ประกอบดว้ ยสว่ นผสมหลัก 2 ส่วน ไดแ้ ก่ สารสำคญั และสว่ นผสมอ่ืน
1.1 สารสำคัญ เป็นสารเคมีที่ออกฤทธิ์ทำลายศัตรูพืชได้ โดยทั่วไปเป็นสารอินทรีย์สังเคราะห์ และมีคุณสมบัติที่
แตกต่างกัน ท้งั คณุ สมบัติทางเคมแี ละคุณสมบัติทางกายภาพ
1.2 ส่วนผสมอื่น เป็นสารชนิดอื่นที่ผสมในผลิตภัณฑ์ เพื่อให้ผลิตภัณฑ์นั้นอยู่ในรูปที่สามารถใช้ได้อย่ างมี
ประสิทธิภาพ สารกลุ่มนี้รวมถึงสารตัวทำละลาย สารทำให้เจือจาง หรือสารลดแรงตึงผิว เป็นต้น ซึ่งสารผสมปรุงแต่งที่
นำมาใชผ้ สมควรมีคุณสมบตั ิ ดังน้ี
1.2.1 มีราคาถกู
1.2.2 สามารถนำไปใชไ้ ดง้ า่ ย
1.2.3 สะดวกในการเก็บรักษาและการขนสง่
1.2.4 มีความคงทนและคงสภาพไดน้ านพอสมควร
1.2.5 ทำใหส้ ารเคมที ่ไี ม่ละลายน้ำสามารถรวมกบั น้ำได้
1.2.6 ทำให้สารปอ้ งกนั กำจดั ศตั รูพืชติดกับผิวศัตรูพชื ไดด้ ี
18
1.2.7 ลดแรงตงึ ผิวทำให้สารป้องกนั กำจัดศตั รพู ืชกระจายตามผิวใบพชื ไดด้ ี
2. ประเภทของสูตรผสมของสารปอ้ งกันกำจัดศตั รพู ืช
สูตรผสมของสารปอ้ งกนั กำจัดศตั รพู ืชตามการจัดแบง่ ขององคก์ ารอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ท่มี ี
ในประเทศไทยสรปุ ได้ดงั น้ี
2.1 กลุ่มสารผสมรูปแบบของของเหลว สารเคมีกลุ่มนี้ผสมอยู่ในรูปแบบของของเหลวจำเป็นต้องผสมน้ำก่อน
นำไปใช้ ประกอบดว้ ย
2.1.1 สารผสมน้ำมันข้น (emulsifiable concentrate: EC) เป็น สูตรผสมที่นิยมใช้มากที่สุด สารผสมเป็น
สภาพของเหลวเนื้อเดียว ได้จากการละลายสารสำคัญในตัวทำละลาย และผสมสาร emulsifier เพื่อให้สารออกฤทธิ์สามารถ
รวมกับน้ำได้ สารนี้เมื่อผสมรวมกับน้ำจะได้สารละลายมีสีขาวขุ่น คล้ายน้ำนม เช่น อิมิดาโคลพริด 050 อีซี หรือ คาร์โบซัล
แฟน 20 เปอร์เซน็ ต์ อีซี เปน็ ต้น
2.1.2 สารผสมข้นละลายน้ำ (water soluble concentrate: WSC) เป็นสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชที่มีสภาพ
แบบเดยี วกบั ชนดิ แรก แต่เนือ่ งจากสารสำคัญสามารถละลายนำ้ ได้ จึงไมใ่ ส่สาร emulsifier ดงั น้ัน เวลาผสมกบั นำ้ จะไม่มีสีขาว
ขนุ่
2.1.3 สารผสมของเหลวขน้ (soluble concentrates: SL) เป็นสารปอ้ งกนั กำจดั ศัตรูพชื คล้ายกับ WSC สีใส
ผสมกบั น้ำจะไม่มสี ีขาวขุ่น เชน่ อมิ ิดาโคลพรดิ 100 เอสแอล เปน็ ต้น
2.1.4 สารผสมแขวนลอยขน้ (suspension concentrates: SC หรอื flowable concentrates: F หรอื FL)
เป็นสูตรสำเร็จแบบใหม่คล้ายคลึงกับ wettable powder ซึ่งอยู่ในรูปของครีมหรือของเหลวเข้มข้น สามารถรวมกับน้ำได้ดี
และอนุภาคของสารสามารถแขวนลอยอยู่ได้นานในสารละลาย โดยปกติสารสำคัญไม่ละลายหรือละลายได้น้อยมากในน้ำหรอื
ตัวทำละลาย และตัวสารนั้นถูกบดให้มีขนาดเล็กกว่าขนาดของ wettable จึงทำให้แขวนลอยอยู่ได้นาน เช่น แอสเซ็นต์ 5
เปอรเ์ ซ็นต์ เอสซี เป็นตน้
2.1.5 สารผสมแขวนลอยข้นสำหรับคลุกเมล็ด (flowable concentrate for seed treatment: FS) เป็น
ของเหลวในรูปของสารแขวนลอย ใช้คลกุ เมลด็ หรอื ผสมน้ำพน่
2.1.6 สารผสมแคปซลู แขวนลอย (capsule suspensions: CS) เปน็ สารผสมเหลวที่ไดจ้ ากกระจายแขวนลอย
ของสารสำคญั ในรูปแคปซูลขนาดเลก็ ต้องผสมน้ำก่อนใช้
2.1.7 สารผสมน้ำมันแขวนลอยในน้ำ (aqueous suspo-emulsion: SE) เป็นสารผสมเหลว ที่ได้จากการ
กระจายแขวนลอยของอนุภาคของสารสำคญั ในน้ำ
2.1.8 สารเข้มข้นผสม organic solvent (OD Oil-based suspension concentrates: OD) เช่น โมเวนโต
โอดี
2.1.9 สารผสมแขวนลอยข้นผสมสารผสมแคปซลู แขวนลอย (microcapsule / suspension combinations:
ZC) เช่น เอฟโฟเรีย 247 แซดซี
2.2 กล่มุ สารผสมรูปแบบของผงหรือฝนุ่ สารปอ้ งกนั กำจดั ศตั รูพชื ในกลุ่มนผ้ี ลติ ออกมาจำหน่ายในลักษณะต่าง ๆ
กนั คือ
2.2.1 สารผสมชนิดผงละลายน้ำ (wettable powder: WP) ประกอบด้วยสารสำคญั และสารที่ทำให้เจือจาง
ซึ่งเป็นสารผสมอื่น โดยปกติจะเป็นดินหรือ synthetic silica (hydrate silicon dioxide) และนิยมผสมสารทำให้เปียก
(wetting agent) และตัวกระจาย (dispersing agent) สารปอ้ งกนั กำจดั ศตั รูพชื ชนิดนอ้ี ย่ใู นรปู ผง การบรรจุควรมิดชิดไมใ่ ห้ถูก
ความชื้นจะทำใหส้ ารผสมรวมตวั กันเปน็ ก้อน สารออกฤทธ์ิอาจเส่อื มได้ เชน่ คารบ์ าริล 85 ดบั บลวิ พี เป็นต้น
2.2.2 สารผสมชนิดผง (dust: D หรือ dustable power: DP) เป็นผงแห้ง ประกอบด้วยสารสำคัญและสาร
ผสมอน่ื ซึง่ อาจเป็นผงของหนิ บางชนิด เชน่ talc และ bentonite สารชนดิ น้ีมีความเขม้ ข้นตำ่ สามารถใช้ไดท้ นั ทีโดยเคร่ืองพ่น
ผง ไมต่ ้องผสมน้ำ
19
2.2.3 สารผสมชนิดเม็ด (granules: G หรือ GR) คล้ายๆ ชนิดผง แต่มีขนาดของผงหรือเม็ดใหญ่กว่า เป็นสาร
ปอ้ งกนั กำจดั ศัตรูพืชที่มีสารสำคัญเคลือบอยู่ดา้ นนอก สารผสมอืน่ ทนี่ ิยมใช้คือ ดิน และทราย เปน็ ต้น การใช้สารป้องกันกำจัด
ศัตรพู ืชกระทำได้โดยการหว่านบนดินหรอื ในนำ้ คลา้ ยกับใสป่ ุ๋ย เชน่ ฟรู าดาน 3 เปอรเ์ ซน็ ต์ จี หรือ คูราแทร์ 3 จี เปน็ ตน้
2.2.4 สารผสมแคปซลู ขนาดเลก็ (microcapsule) เปน็ สตู รสำเร็จใหม่ โดยการใช้สารท่ไี ม่ระเหย เช่น สารผสม
ของ gelatin เคลอื บสารป้องกนั กำจดั ศตั รูพชื ทำให้ตวั สารสำคญั ไม่ซึมผ่านออกมาจึงไม่มีพษิ ในทางสัมผัส แต่จะมีพิษเม่ือกินเข้า
ไป ในกรณีที่ต้องการให้สารป้องกันกำจัดศัตรูพืชนั้นมีฤทธิ์ทางสัมผัสด้วยจะเคลือบด้วยสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชอีกชนิดหนึ่ง
เช่น ในรูปของ juvenile hormone mimic "Altosid" สามารถออกฤทธิ์ได้นานเพียง 1-2 วัน แต่ถ้าเคลือบด้วยสาร
polyurethane จะสามารถออกฤทธิ์ไดน้ านถงึ 53 วัน เป็นตน้
2.2.5 สารผสมเหย่อื พิษ (bait: B) หมายถึง เหย่อื พษิ โดยการผสมสารป้องกันกำจัดศัตรูพชื กับอาหารหรือสาร
ดงึ ดดู แมลง ทำให้แมลงเขา้ หาเหย่ือพิษในปริมาณมาก เชน่ สะตอม 0.005 เปอร์เซ็นต์ เป็นตน้
2.3 กลุ่มสารผสมรปู แบบของสารรม สารเคมีในกลุ่มนีจ้ ะเปลยี่ นสถานะเป็นก๊าซที่อุณหภูมิต่ำหรืออุณหภูมิห้องได้ดี
มคี วามเข้มข้นสงู พอที่จะกำจัดศตั รูพืช อตั ราการใชจ้ ะกำหนดเป็นน้ำหนักของสารต่อปริมาตรที่จะทำการรมสาร เช่น สารเมทิล
โบรไ์ มด์ จะกำหนดอัตราการใชเ้ ป็น 24 กรัมต่อลกู บาศก์เมตร เป็นตน้ สารรมทด่ี ีต้องสามารถแทรกกระจายตัวได้ดี กลุ่มสารรม
นปี้ ระกอบด้วย
2.3.1 สารรมชนดิ พ่นฝอย (aerosol) สารควบคมุ แมลงในรปู แบบนี้จะมีขนาดของละอองเล็กมาก สามารถลอย
อยูใ่ นอากาศได้นาน ตวั สารจะอยูใ่ นสภาพที่รวมตัวกับกา๊ ซเหลวในกระป๋องทปี่ ดิ สนิท หรอื ให้ตวั สารโดนความร้อนจะเปลี่ยนเป็น
ควนั โดยใช้เครอื่ งพ่นเฉพาะเรยี กว่าเครอื่ งพน่ หมอก ขนาดของละอองจะอยูร่ ะหว่าง 0.1-50 ไมโครเมตร (ไมครอน)
2.3.2 สารรม (fumigant) เป็นสารรมควันที่ออกฤทธิ์ในรูปของก๊าซพิษ จำเป็นต้องใช้ในสถานที่ปิดสนิท โดย
ปกตใิ ช้ในการฆา่ ศตั รูพืชในโรงเกบ็ หรือเปน็ สารรมดิน สารน้อี าจอยใู่ นรูปของเหลวหรือของแข็งก็ได้ แตม่ ีคณุ สมบัตริ ะเหยตัวได้ดี
ทอ่ี ณุ หภมู หิ อ้ ง จะมีพิษโดยเข้าทำลายทางระบบหายใจ เช่น สารเมทลิ โบรไมด์ หรอื สารฟอสฟีน เป็นต้น
20
สูตรผสมของสารป้องกนั กำจัดศัตรพู ชื ตามการจดั แบง่ ขององค์การอาหารและเกษตรแหง่ สหประชาชาติ (FAO)
ท่มี ีในประเทศไทย
คำย่อ (code) ชือ่ เต็ม (term) คำจำกดั ความ (definition)
CS
EC capsule suspension สารแขวนลอยแคปซลู ในของเหลว ต้องผสมนำ้ ก่อนพ่น
F emulsifiable concentrate สารผสมเข้มข้น สารออกฤทธิ์ (active ingredient) ละลายอยู่
FS ใ น ต ั ว ท ำ ล ะ ล า ย (solvents) ผ ส ม เ ป ็ น เ น ื ้ อ เ ด ี ย ว กั น
G, GR (homogeneous formulation) ต้องผสมน้ำก่อนพ่น เมื่อผสม
GB นำ้ มลี กั ษณะสขี าวขุน่
OD
flowable concentrates สารผสมแขวนลอยข้นอยู่ในรูปของครีมหรือของเหลวเข้มข้น
SC
สามารถรวมกับนำ้ ได้ดี
SG
flowable concentrate for seed สารผสมแขวนลอยทม่ี ีสภาพคงท่ี พรอ้ มใชก้ บั เมล็ดไดท้ ันที หรือ
SL
SP treatment หลังจากผสมนำ้
WDG, WG
WP granular สารผสมชนิดเม็ด ประกอบด้วยขนาดต่าง ๆ ได้แก่ 100-600
WS
300-2,500 และ 2,000-6,000 ไมโครเมตร
ZC
granular bait เหยื่อพษิ ชนิดเมด็
oil-based suspension สารเข้มขน้ ผสม organic solvent
concentrates
suspension concentrate สารผสมแขวนลอยในสภาพคงที่ สารออกฤทธิ์อาจไม่ละลายใน
(= flowable concentrate) น้ำมันหรือในน้ำ เมอื่ ผสมนำ้ ได้สารละลายสขี าวข่นุ
water soluble granule สารผสมเหลว เมื่อละลายน้ำจะได้สารละลายของสารออกฤทธิ์
ในนำ้
soluble concentrate สารผสมเหลว มสี ใี สหรอื ขาวขนุ่ ต้องผสมน้ำก่อนพ่น
water soluble power สารผสมชนดิ ผง ตอ้ งผสมนำ้ ก่อนพ่น
water dispersible granule สารผสมชนดิ เม็ด ต้องผสมน้ำกอ่ นพน่
wettable powder สารผสมชนิดผง ต้องผสมนำ้ ก่อนพน่
water dispersible power for สารผสมชนิดผง ต้องผสมน้ำในอัตราความเข้มข้นสูงก่อนใช้กับ
slurry seed treatment เมลด็
microcapsule / suspension สารผสมแขวนลอยขน้ ผสมสารผสมแคปซูลแขวนลอย
combinations
21
การจดั แบ่งกลุ่มสารฆ่าแมลงและไรตามกลไกการออกฤทธิ์
ข้อมลู จาก IRAC (2021) (http://www.irac-online.org)
และ BASF (2020)
(https://www.researchgate.net/publication/275959530_BASF_Insecticide_Mode_of_Action_Technical_Training_Manual)
กลมุ่ 1. สารกลมุ่ ยบั ยง้ั เอนไซมอ์ ะเซทลิ โคลนิ เอสเทอเรส
กลไกการออกฤทธิ์: สารกลุ่มนี้ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท กลุ่มย่อย 1A สารคาร์บาเมท (Carbamates)
โดยเป็นตัวยับยั้งการทำงาน (inhibitor) ของเอนไซม์ ชื่อสามัญ : alanycarb, Aldicarb, bendiocarb,
อะเซทิลโคลินเอสเทอเรส ซึ่งทำหน้าที่ย่อยสารสื่อประสาท benfuracarb, butocarboxim, butoxycarboxim,
ชนิด acetyl choline ที่ทำหน้าที่ถ่ายทอดกระแสประสาท carbaryl, carbofuran, carbosulfan, ethiofencarb,
ที่บริเวณปลายประสาท (synapse) จากเซลล์ประสาทหน่งึ fenobucarb, formetanate, furathiocarb, isoprocarb,
ไปสู่อีกเซลล์ประสาทหน่ึงในระบบประสาทส่วนกลางของ methiocarb, methomyl, metolcarb, oxamyl,
แมลง (central nervous system, CNS) การยับยั้งการ pirimicarb, propoxur, thiodicarb, thiofanox,
ทำงานของเอนไซม์อะเซทิลโคลินเอสเทอเรสทำให้มีการคง่ั triazamate, trimethacarb, XMC, xylylcarb
ของสารสื่อประสาท acetyl choline ที่บริเวณปลาย
ประสาทในปริมาณมาก ส่งผลให้เกิดการถ่ายทอดกระแส กลุ่มยอ่ ย 1B สารออร์แกโนฟอสเฟต
ประสาทไม่หยดุ และเกิดมากเกนิ ไป (hyperexcitation) จน (Organophosphates)
ทำให้แมลงตาย
ชอื่ สามญั : acephate, azamethiphos, azinphos-
ethyl, azinphosmethyl, cadusafos, chlorethoxyfos,
chlorfenvinphos, chlormephos, chlorpyrifos,
chlorpyrifos-methyl, coumaphos, cyanophos,
demeton-S-methyl, diazinon, dichlorvos/ DDVP,
dicrotophos, dimethoate, dimethylvinphos,
disulfoton, EPN, ethion, ethoprophos, famphur,
fenamiphos, fenitrothion, fenthion, fosthiazate,
heptenophos, imicyafos, isofenphos, isopropyl O-
(methoxyaminothio-phosphoryl) salicylate,
isoxathion, malathion, mecarbam,
methamidophos, methidathion, mevinphos,
monocrotophos, naled, omethoate, oxydemeton-
methyl, parathion, parathion-methyl, phenthoate,
phorate, phosalone, phosmet, phosphamidon,
phoxim, pirimiphos- methyl, profenofos,
propetamphos, prothiofos, pyraclofos,
pyridaphenthion, quinalphos, sulfotep,
tebupirimfos, temephos, terbufos,
tetrachlorvinphos, thiometon, triazophos,
trichlorfon, vamidothion
กลมุ่ 2. สารกลุ่มทห่ี ยุดการทำงานของช่องคลอไรด์ทีท่ ำงานโดยกรดแกมมา อะมโิ นบิวไทรคิ
(GABA)
กลไกการออกฤทธ์ิ: สารกลุ่มน้ีออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท กลุ่มยอ่ ย 2A สารไซโคลไดอนี (Cyclodiene)
โดยไปขัดขวาง (block) การทำงานของช่องคลอไรด์ที่ ชื่อสามญั : chlordane, endosulfan
ทำงานโดยกรดแกมมาอะมิโนบิวไทริค (GABA-gated กลมุ่ ย่อย 2B สารฟีนลี ไพราโซล (Phenylpyrazoles)
chloride channel) ทำให้ไม่สามารถลดระดับการส่ง ช่ือสามัญ : ethiprole, fipronil
22
กระแสประสาทได้ นอกจากน้สี ารกลมุ่ น้ีบางชนดิ ยงั สามารถ
ขัดขวางการทำงานของช่องคลอไรด์ที่ทำงานโดยกลูตาเมท
(Glutamate-gated chloride channel) ได้ด้วย เช่นสาร
ฟิโพรนิล ซึ่งจะทำให้ chloride ion ไม่สามารถไหลเข้าไป
ภายในเซลล์ประสาทเพื่อลดระดับกระแสประสาท
(potential) ทำให้มีการส่งกระแสประสาทมากผิดปกติ
(hyperexitation)
กลุ่ม 3. สารกลมุ่ ทปี่ รบั การทำงานของชอ่ งโซเดียม
กลไกการออกฤทธิ์: สารกลุ่มนี้ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท กลมุ่ ยอ่ ย 3A สารไพรที รนิ (Pyrethrins) และไพรี
โดยจะไปปรับ (modulator) ของ voltage-gated sodium ทรอยด์ (Pyrethroids)
channel ที่บริเวณผิว axon ของเซลล์ประสาท ทำให้การ ชื่อสามญั : acrinathrin, allethrin, d-cis-trans
ปดิ ของ voltage-gated sodium channel ชา้ กว่าปกติ ทำ allethrin, d-trans allethrin, bifenthrin, bioallethrin,
ให้ช่วงการถ่ายทอดกระแสประสาทเกิดยาวนาน bioallethrin S-cyclopentenyl isomer ,
(hyperexitation) สารกลุ่มนี้ออกฤทธ์ิได้รวดเร็วมาก ทำให้ bioresmethrin, cycloprothrin, cyfluthrin, beta-
แมลงตายทันทีเมื่อแมลงได้รับสาร โดยเรียกอาการตายทัน cyfluthrin, cyhalothrin, lambda-cyhalothrin,
ทน่ี ้ีวา่ “knockdown”
gamma-cyhalothrin, cypermethrin,alpha-
cypermethrin, beta-cypermethrin,
thetacypermethrin, zeta-cypermethrin,
cyphenothrin , (1R)-trans- isomers], deltamethrin,
empenthrin (EZ)-(1R)- isomers], esfenvalerate,
etofenprox, fenpropathrin, fenvalerate,
flucythrinate, flumethrin,
tau-fluvalinate, halfenprox, imiprothrin, kadethrin,
permethrin, phenothrin [(1R)-trans- isomer],
prallethrin, pyrethrins (pyrethrum), resmethrin,
silafluofen, tefluthrin, tetramethrin, tetramethrin
[(1R)-isomers], tralomethrin, transfluthrin,
กลุ่มย่อย 3B สารดดี ที ี (DDT) และเมท็อกซคี ลอร์
(Methoxychlor)
ชื่อสามญั : DDT, methoxychlor
ถกู ประกาศหา้ มใชท้ างการเกษตรเมื่อปี 2526
กลุ่ม 4. สารกลมุ่ ทปี่ รับการทำงานของตัวรบั สารอะเซทิลโคลีนชนิดนิโคตินกิ โดยการจบั แบบ
แข่งขัน
กลไกการออกฤทธิ์: สารกำจัดแมลงกลุ่มนี้เป็นสารที่ออก กลุ่มย่อย 4A สารนโี อนโิ คตนิ อยด์ (Neonicotinoids)
ฤทธิ์ต่อระบบประสาทคล้ายกับสารนิโคตินที่พบในใบยาสบู ชือ่ สามัญ : acetamiprid, clothianidin, dinotefuran,
โดยสารจะเลียนแบบ (agonist) การทำงานของสารสื่อ imidacloprid, nitenpyram, thiacloprid,
ประสาท acetylcholine สารกลุ่มนีจ้ ะไปแข่งขัน (แย่งกัน) thiamethoxam
กับสารอะเซทิลโคลีนในการจับที่ตัวรับสารอะเซทิลโคลีน กลุ่มยอ่ ย 4B
ช น ิ ด น ิ โ ค ต ิ น ิ ก (nicotinic acetylcholine receptor, nicotine สารสกดั จากพืชตระกูลยาสูบ
nAChR) ที่ผิวของปลายเซลล์ประสาทบริเวณ synapse กล่มุ ยอ่ ย 4C
แล้วกระตุ้นให้ nAChRs ทำงานในการส่งกระแสประสาทท่ี Sulfoximines
มากผิดปกติ (overstimulation) ในระยะแรก ส่วนระยะ กลุ่มยอ่ ย 4D สารบูทโี นไลด์ (Butenolides)
ต่อมาเมอื่ สารกำจัดแมลงกลุ่มนีจ้ บั ที่ตวั รบั สารอะเซทิลโคลนี ชื่อสามัญ : flupyradifurone
23
ชนิดนิโคตินิกนานๆ จะทำให้ตัวรับเปลี่ยนรูปทรงไปเป็น กลุ่มยอ่ ย 4E สารเมโสไอโอนกิ ส์ (Mesoionics)
รปู ทรงทไ่ี ม่สามารถทำงานได้ (desensitized) หรือ nAChD ชือ่ สามญั : triflumezopyrim
สารกำจัดแมลงกลุ่มนี้มีพิษสูงมากต่อผึ้ง จึงไม่ควรใช้ในพืช กลุ่มยอ่ ย 4F สารไพริไดลดิ นี ส์ (Pyridylidenes)
ช่วงท่ีพืชกำลังออกดอกและมีผ้ึงมาชว่ ยผสมเกสร
ชอ่ื สามัญ : flupyrimin
กลมุ่ 5. สารกล่มุ ทปี่ รับการทำงานของตัวรับสารอะเซทิลโคลนิ ชนดิ นโิ คตินกิ โดยการจบั ที่
ตำแหนง่ แอลโลสเตอริกทตี่ ำแหน่งท่ี 1
กลไกการออกฤทธ์ิ: สารกำจัดแมลงกลุ่มนี้ออกฤทธิ์ต่อ ชื่อสามัญ : spinetoram, spinosad
ระบบประสาท โดยจะไปจบั ท่ีตวั รับสารอะเซทลิ โคลินชนดิ นิ
โคตินิก (nicotinic acetylcholine receptors, nAChRs)
ที่ตำแหน่งแอลโลสเตอริกที่ตำแหน่งที่ 1 ที่ผิวของปลาย
เซลล์ประสาทบริเวณ synapse ซึ่งจะแตกต่างจากสารกลุ่ม
32 โดยสารกำจัดแมลงในกลุ่ม 5 จะไปจับที่ nAChRs ใน
ตำแหน่ง macrocyclic lactone site ซึ่งอยู่ห่างจาก
ตำแหนง่ ทสี่ ารกำจัดแมลงท่ีอยู่ในกลมุ่ 4 จับ (สารฆา่ กลุ่ม 4
จับท่ี nAChRs ในตำแหน่งที่ acetylcholine จับ) การจับ
ของสารกำจัดแมลงในกล่มุ 5 จะกระต้นุ ให้ nAChRs ทำงาน
ในการส่งกระแสประสาทมากผิดปกติ (hyperexcitation)
คล้ายๆ กบั สารกำจัดแมลงท่อี ยู่ในกลมุ่ 4
กลุ่ม 6. สารกลมุ่ ทป่ี รับการทำงานของช่องคลอไรด์ทีท่ ำงานโดยกลตู าเมตโดยการจับท่ี
ตำแหน่งแอลโลสเตอรกิ
กลไกการออกฤทธ์ิ: สารกำจดั แมลงกลุ่มนอ้ี อกฤทธต์ิ ่อ ช่ือสามญั : abamectin, emamectin benzoate,
ระบบประสาทและกลา้ มเน้ือ โดยจะไปยับยั้งการนำกระแส lepimectin, milbemectin
ประสาทระหว่างเซลลป์ ระสาทและเซลล์กลา้ มเน้อื โดยสาร
กล่มุ อะเวอเมคตินจะไปกระตุ้นการจับของ glutamate ที่
Glutamate-gated chloride channels (GluCls) บรเิ วณ
ปลายเซลลป์ ระสาททีเ่ ชื่อมต่อกบั เซลล์กล้ามเนือ้ ทำใหค้ ลอ
ไรดไ์ อออนจำนวนมากไหลผา่ นช่องคลอไรด์เขา้ ไปในเซลล์
ประสาท จงึ เกดิ การยบั ยัง้ กระแสประสาท หรือเกดิ
hyperpolarization ข้ึน และทำใหก้ ลา้ มเนอ้ื แมลงเปน็
อมั พาต
กลมุ่ 7. สารกลุ่มเลยี นแบบฮอร์โมนจูวไี นล์
กลไกการออกฤทธิ์: สารกำจดั แมลงกลมุ่ น้ีออกฤทธ์ิขัดขวาง กลมุ่ ย่อย 7A สารจวู ไี นลฮ์ อรโ์ มนอานาล็อก
ก ร ะ บ ว น ก า ร เ ป ล ี ่ ย น แ ป ล ง ร ู ป ร ่ า ง ข อ ง แ ม ล ง (Juvenile hormone analogues
(metamorphosis) จากตัวอ่อน (larval stage) ไปเป็นตัว ชอ่ื สามัญ : hydroprene, kinoprene, methoprene
เต็มวัย (adult stage) โดยสารกลุ่มนี้จะไปเลียนแบบการ ยังไมม่ กี ารขนึ้ ทะเบยี นในประเทศไทย
ทำงานของฮอร์โมนจูวีไนล์ (Juvenile hormone, JH) โดย กลุ่มยอ่ ย 7B
การเข้าไปจับที่ juvenile hormone receptor ทำให้เกิด ช่ือสามัญ : fenoxycarb
การยับยั้งการแสดงออกของยีน (gene expression) ต่างๆ กลมุ่ ย่อย 7C
ที่จำเป็นในขบวนการเปลี่ยนแปลงรูปร่างของแมลง ชอ่ื สามัญ : pyriproxyfen
(metamorphosis) ส่งผลให้แมลงมีการลอกคราบที่ไม่
สมบูรณ์ สภาพเป็นตัวอ่อนผิดปกติ และไม่สามารถเจริญ
24
เป็นตัวเต็มวัยได้ นอกจากนี้สารกำจัดแมลงกลุม่ นีย้ งั มีผลใน
การฆ่าไขข่ องแมลง (ovicidal effect) อกี ด้วย
กลุ่ม 8. สารกลุม่ ที่ยบั ย้ังกลไกการทำงานของร่างกายแบบไม่เฉพาะเจาะจง (ยับยงั้ หลายจดุ )
กลไกการออกฤทธิ์: สารกำจดั แมลงกลุ่มน้ีเปน็ สารท่ีว่องไว กลุ่มยอ่ ย 8A แอลคลิ เฮไลด์ (Alkyl halides)
ในการทำปฏกิ ริ ยิ า สารจะไปจบั ทโ่ี ปรตีนต่างๆ ในร่างกาย
แมลงแล้วเปลี่ยนแปลงโครงสรา้ งความจำเพาะเจาะจงของ ชอ่ื สามัญ : methyl bromide ใชใ้ นการรมสนิ คา้ เกษตร
โปรตนี นั้นๆ ทำใหโ้ ปรตีนในอวัยวะตา่ งๆ มโี ครงสรา้ ง กลุ่มยอ่ ย 8B
ผดิ ปกตแิ ละไมส่ ามารถทำงานตามหน้าท่ไี ด้ สารกำจดั แมลง ชอ่ื สามญั : chlorpicrin ยงั ไมม่ กี ารขนึ้ ทะเบียนวตั ถุ
กลมุ่ นจ้ี ึงมผี ลในการยับย้งั กลไกการทำงานของร่างกายอยา่ ง อันตรายทางการเกษตรในประเทศไทย
ไมจ่ ำเพาะเจาะจงได้ในหลายๆ จุด กล่มุ ยอ่ ย 8C ฟลูออไรด์ (Fluorides)
ช่อื สามัญ : cryolite (Sodium aluminum fluoride),
sulfuryl fluoride
กลมุ่ ยอ่ ย 8D โบเรต (Borates)
ชื่อสามัญ : borax, boric acid, disodium octaborate,
sodium borate, sodium metaborate ยังไมม่ ีการขึ้น
ทะเบยี นวตั ถุอนั ตรายทางการเกษตรในประเทศไทย
กลุ่มยอ่ ย 8E ตาตา อมี ีตกิ
ชอ่ื สามัญ : tatar emetic ยังไมม่ กี ารขน้ึ ทะเบียนวตั ถุ
อันตรายทางการเกษตรในประเทศไทย
กลมุ่ ย่อย 8F สารท่ีทำใหเ้ กดิ เมธลิ ไอโซไธโอไซยาเนท
(Methyl isothiocyanate generators)
ช่ือสามัญ : dazomet, metam
กลุม่ 9. สารกลมุ่ ทป่ี รบั การทำงานของช่อง TRPV ท่ี Chordotonal organ
กลไกการออกฤทธิ์: สารกำจัดแมลงกลุ่มนี้ออกฤทธ์ิต่อ กลมุ่ ยอ่ ย 9B สารอนุพนั ธข์ องไพริดนี อะโซเมธนี
ระบบประสาท โดยไปปรับการทำงานของช่อง Transient (Pyridine azomethine)
receptor potential vanilloid (TRPV channel) ใ น ช่อื สามัญ : pymetrozine, pyrifluquinazon
chordotonal organ ซึ่ง chordotonal organ เปน็ อวัยวะ กลุ่มยอ่ ย 9D สารไพโรพีน (Pyropenes)
รับความรู้สึกทีม่ ีกระจายทั่วร่างกายแมลง มีหน้าที่สำคัญใน ช่อื สามัญ : afidopyropen
การรับความรู้สึกต่างๆ เช่น การสัมผัสและประสานงาน
เก่ียวกับการเคลื่อนไหวส่วนต่างๆ ของร่างกายให้เป็นไป
ตามปกติ ในแมลงพวกมวน (Hemiptera) การทำงานของ
chordotonal organ จะช่วยให้แมลงเคลื่อนไหวส่วนตา่ งๆ
ของปากในการดูดกินน้ำเลี้ยงพืชอย่างเป็นปกติ สารกำจัด
แมลงกลุ่มนี้เมื่อเข้าสู่ร่างกายของแมลงจะไปรบกวนการ
ทำงานของ chordotonal organ จึงทำให้แมลงไม่สามารถ
ดูดกินน้ำเลี้ยงจากพชื ได้ เกดิ การหยดุ ดดู กินพชื อยา่ งรวดเร็ว
ในปัจจุบันมักใช้สารกำจัดแมลงกลุ่มนี้ในการป้องกันกำจัด
เพลี้ยจักจั่น เพลี้ยอ่อน และแมลงหวี่ขาว สารกำจัดแมลง
กลุ่มนี้มีพิษน้อยต่อแมลงที่มีประโยชน์ จึงนิยมใช้ในการ
บรหิ ารศัตรพู ชื
25
กลมุ่ 10. สารกลุ่มทยี่ ับยง้ั การเจรญิ เติบโตของไรโดยไปจบั ท่ีเอนไซม์ chitin synthase
(CHS1)
กลไกการออกฤทธิ์: สารกลมุ่ นย้ี บั ย้ังการเจรญิ เตบิ โตของไร กลุ่มยอ่ ย 10A
ศัตรูพชื โดยสารจะไปจับท่เี อนไซม์ chitin synthase ชื่อสามญั : hexythiazox, clofentezin, diflovidazin
(CHS1) ทำให้ยับย้งั การสังเคราะหส์ ารไคติน (chitin) ซึ่ง กลุ่มย่อย 10B
เปน็ องคป์ ระกอบสำคญั ของผนังลำตวั ของไร สารชนดิ น้ีมี ชอ่ื สามญั : etoxazole
ประสิทธภิ าพในการฆา่ ไข่ และตัวออ่ นไร ไดด้ ี แต่ไม่มี
ประสิทธภิ าพในการฆา่ ตวั เตม็ วยั ไร
กลมุ่ 11. สารกลมุ่ จลุ นิ ทรยี ์ทที่ ำลายผนงั เนอ้ื เยือ่ ลำไส้สว่ นกลางของแมลง
กลไกการออกฤทธิ์: สารกำจัดแมลงกลุ่มนี้ออกฤทธิ์ที่ลำไส้ กลุ่มยอ่ ย 11A
ส่วนกลางของแมลง โดยแบคทีเรียบาซิลลัส ทูริงเจนซิส ซึ่ง Bacillus thuringiensis และโปรตนี สารพษิ ทสี่ ร้างข้นึ มา
เป็นแบคทีเรียแกรมบวกที่สามารถสร้างผลึกโปรตีนสารพิษ ของ
ในตัว เมื่อแมลงกินผลึกโปรตีนของเชื้อชนิดนี้ผลึกก็จะ Bacillus thuringiensis subsp. israelensis
ละลายภายใต้สภาพด่างของทางเดินอาหารของแมลง และ Bacillus thuringiensis subsp. aizawai
ปลดปล่อยสารพิษ (Cry toxins) ออกมา สารพิษที่ถูก Bacillus thuringiensis subsp. kurstaki
ปลดปล่อยออกมาตอนแรกยังอยู่ในสภาพที่ไม่เป็นพิษ Bacillus thuringiensis subsp. tenebrionis
(protoxin) ต่อมานำ้ ยอ่ ยภายในทางเดนิ อาหารของแมลงจะ กล่มุ ย่อย 11B
ย่อยสารพิษทอ่ี ยูใ่ นสภาพทไ่ี ม่เปน็ พิษจนกลายเป็นสารทเ่ี ปน็ Bacillus sphaericus และโปรตนี สารพษิ ทส่ี รา้ งข้นึ มา
พิษ (toxin) ต่อแมลง สารพิษนี้จะไปจับกับcadherin ท่ี
บริเวณผิวของทางเดินอาหารสว่ นกลาง ทำให้เกิดการสร้างรู
(pores) ที่ผนังทางเดินอาหารของแมลง ทำให้เกิดการ
สูญเสียสมดุลของร่างกาย เช่น สมดุลของไอออนต่างๆ
แมลงเกิดอาการป่วยและติดเชื้อในกระแสโลหิตตาย
(septicemia)
กลมุ่ 12. สารกลมุ่ ทยี่ บั ยงั้ เอนไซมเ์ อทีพี ซนิ เธส ในไมโตคอนเดรีย
กลไกการออกฤทธ์ิ: สารกำจัดแมลงกลุ่มน้ีออกฤทธ์ิกับ กลมุ่ ยอ่ ย 12A ไดอะเฟนไธยูรอน
ระบบผลิตพลังงาน โดยยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ ATP ชอ่ื สามญั : diafenthiuron
synthase ใน mitochondria เอนไซม์นี้ทำหน้าที่ในการ
สังเคราะห์ ATP ซึ่งเป็นสารท่ีเซลล์ใช้เป็นแหล่งพลังงานใน กลุม่ ยอ่ ย 12B ออร์แกนโนติน ไมตไิ ซด์ (Organotin
การทำกิจกรรมต่างๆ ดังนั้นสารกำจัดแมลงกลุ่มนี้จึงทำให้ miticides)
เซลล์ต่างๆ ของแมลงขาดพลงั งาน
ช่อื สามัญ : azocyclotin, cyhexatin, fenbutatin oxide
กลมุ่ ย่อย 12C โพรพาไกต์
ชื่อสามญั : propagite
กลมุ่ ย่อย 12D เตตราไดฟอน
ชอ่ื สามญั : tetradifon
กลุ่ม 13. สารกลมุ่ อนั คับเพล่อ (uncouplers) ทร่ี บกวนการเกดิ ปฏกิ ิรยิ าเติมหมฟู่ อสเฟต
(การสร้าง ATP) โดยขดั ขวางการเกิดความตา่ งระดบั ของโปรตอน
กลไกการออกฤทธิ์: สารกำจัดแมลงกลุ่มน้ีออกฤทธิ์กับ ช่ือสามัญ : chlorfenapyr, DNOC, sulfluramid
ระบบผลิตพลงั งาน โดยสารจะเขา้ ไปรบั โปรตอนจากบรเิ วณ
กลางๆ ของผนังชีวภาพภายในไมโตคอนเดรีย (inner
membrane) ที่มีโปรตอนปริมาณมากๆ และส่งโปรตอน
26
ข้ามผนังชีวภาพเข้าไปตรงบริเวณช่องว่าง (matrix) ด้านใน
สุดของไมโตคอนเดรีย จากนั้นสารกำจัดแมลงกลุ่มนี้ก็จะ
ขา้ มผนังชวี ภาพกลับเข้ามาอีกเพอื่ ไปรับโปรตอนจากบริเวณ
กลางๆ ของผนังชีวภาพภายในไมโตคอนเดรียอีก แล้วส่ง
โปรตอนเข้าไปภายในบริเวณช่องว่างของไมโตคอนเดรยี อกี
ทำเช่นนี้ซ้ำกันเรื่อยๆ จึงเป็นการขัดขวางการเกิดความต่าง
ระดับของโปรตอนภายในไมโตคอนเดรีย ทำให้ไม่สามารถ
สังเคราะห์ ATP ได้ แมลงจงึ ขาดพลังงานและตายในทส่ี ดุ
กลุ่ม 14. สารกลุ่มทขี่ วางช่องของตวั รบั สารอะเซทิลโคลินชนิดนโิ คตนิ กิ
กลไกการออกฤทธ์ิ: สารกำจัดแมลงกลมุ่ น้ีออกฤทธ์ิกบั ชอื่ สามัญ : bensultap, cartap hydrochloride,
ระบบประสาท สารกลมุ่ นไ้ี ด้แก่ สารพวก thiocarbamate thiocyclam, thiosultap-sodium
หรือ สารเนรีสทอ็ กซิน อานาลอ็ ก (nereistoxin analogues)
เช่น bensultap, cartap hydrochloride, thiocyclam,
thiosultap-sodium สารกล่มุ นเี้ ป็น proinsecticides
ทั้งหมด หมายความว่าสารกลมุ่ นไ้ี ม่มพี ษิ ตอ่ แมลงโดยทันที
แตเ่ มือ่ แมลงไดร้ บั สารกลุ่มน้ีเข้าสรู่ า่ งกาย สารจะถกู
เปลย่ี นแปลงโครงสรา้ งทางเคมจี นกลายเป็นสารอีกชนดิ
หนึ่งทีเ่ รยี กว่า เนรสี ทอ็ กซนิ (nereistoxin) ซง่ึ จะมพี ิษสงู ต่อ
แมลงโดยจะไปขวาง (block) ทชี่ อ่ งทางผา่ นของไอออนของ
ตัวรบั สารอะเซทิลโคลนิ ชนิดนโิ คตนิ กิ (nicotinic
acetylcholine receptors) ทำใหไ้ มส่ ามารถสง่ กระแส
ประสาทได้ และเปน็ อมั พาต
กลุ่ม 15. สารกลุ่มทยี่ บั ยง้ั การสงั เคราะห์ไคตนิ โดยไปจับที่เอนไซม์ chitin synthase
(CHS1)
กลไกการออกฤทธ์ิ: สารกำจัดแมลงกลุ่มนี้ออกฤทธิ์ต่อ ช่ือสามญั : bistrifluron, chlorfluazuron,
ระบบการเจริญเตบิ โต สารกลุ่มน้ีได้แก่ สารกลุ่มเบนโซอิลยู diflubenzuron,
เรีย ซึ่งเป็นสารอนพุ ันธ์ของยเู รีย (H2NCONH2) มีคุณสมบัติ flucycloxuron, flufenoxuron, hexaflumuron,
ในการควบคุมการเจริญเติบโตของแมลงในระยะหนอน lufenuron, novaluron, noviflumuron,
ผีเสื้อ โดยสารจะไปจับกับเอนไซม์ chitin synthase teflubenzuron, triflumuron
(CHS1) ทำให้ยับยั้งการสังเคราะห์สารไคติน (chitin) ซึ่ง
เป็นองค์ประกอบสำคัญของผนังลำตัวของหนอนผีเสื้อ เม่ือ
แมลงไม่มีสารไคตินทีผ่ นงั ลำตัวจึงทำให้แมลงตายในข้ันตอน
การลอกคราบเนื่องจาก ผนังลำตัวที่สร้างขึ้นมาใหม่จะไม่
แข็งแรงเปราะบางผิดปกติ ปริแตกง่าย ทำให้น้ำระเหยออก
จากลำตัวแมลงได้ง่ายภายหลังการลอกคราบ แมลงจึงขาด
น้ำตาย นอกจากนี้ผนังลำตัวที่สร้างขึ้นมาใหม่จะอ่อนนิ่ม
เกนิ ไป ไม่สามารถพยงุ โครงสร้างรปู ทรงของอวัยวะตา่ งๆ ได้
ทำให้แมลงพกิ าร
กลมุ่ 16. สารกลมุ่ ทย่ี บั ยงั้ การสงั เคราะหไ์ คตนิ ชนิด 1
กลไกการออกฤทธิ์: สารกำจัดแมลงกล่มุ นอี้ อกฤทธติ์ อ่ ชื่อสามญั : buprofezin
ระบบการเจรญิ เตบิ โตคล้ายกบั สารกำจดั แมลงกลมุ่ 15 คือ
ยับยัง้ การสงั เคราะหส์ ารไคติน แตส่ ารกลมุ่ 16 จะออกฤทธิ์
27
เฉพาะเจาะจงกบั แมลงปากดูดในอนั ดับ Hemiptera ไดแ้ ก่
เพลย้ี อ่อน เพลีย้ แป้ง เพลีย้ หอย เพลี้ยจักจั่น เพลย้ี กระโดด
และแมลงหวข่ี าว จึงแตกต่างกับสารกลมุ่ 15 ซ่งึ จะออกฤทธิ์
เฉพาะเจาะจงกบั หนอนผเี ส้อื และหนอนดว้ งเทา่ นั้น
กล่มุ 17. สารกลุม่ ทขี่ ดั ขวางการลอกคราบในพวกหนอนแมลงวัน
กลไกการออกฤทธ์ิ: สารกำจดั แมลงกลุม่ น้ีออกฤทธต์ิ ่อ ช่ือสามญั : cyromazine
ระบบการเจรญิ เติบโต โดยขัดขวางการเจรญิ เตบิ โตและ
พฒั นาของหนอนแมลงในอนั ดับ Diptera ซง่ึ ได้แก่ หนอน
แมลงวันชนดิ ตา่ งๆ โดยการรบกวนการทำงานของระบบ
ฮอรโ์ มนที่ควบคมุ การลอกคราบ ทำใหไ้ ม่สามารถลอกคราบ
ตามปกตไิ ด้
กลมุ่ 18. สารกลุ่มทที่ ำให้ตวั รบั ฮอร์โมนเอคไดโซนทำงาน
กลไกการออกฤทธ์ิ: สารกำจัดแมลงในกลุ่มนี้ออกฤทธิ์ต่อ ชื่อสามญั : chromafenozide, halofenozide,
ระบบการเจรญิ เตบิ โต สารกลุ่มนี้ไดแ้ ก่ สารกลมุ่ ไดเอซิลไฮด methoxyfenozide, tebufenozide
ราซีน (diacylhydrazines) ซึ่งเป็นสารอนุพันธ์ของไฮดรา
ซีน (H2N-NH2) สารกำจัดแมลงกลุ่มน้ีออกฤทธิ์ควบคุมการ
เจริญเติบโตของแมลง โดยจะไปเหนี่ยวนำให้แมลงเกิดการ
ลอกคราบก่อนเวลาที่สมควร กลไกการออกฤทธิ์ของสาร
กำจัดแมลงกลุ่มนี้คือการเลียนแบบการทำงานของฮอร์โมน
เอ็คไดโซน (ecdysone) ที่ทำหน้าที่ในการลอกคราบ โดย
โมเลกุลของสารกำจัดแมลงจะไปจบั กบั ตัวรับฮอรโ์ มนเอค็ ไดโซน
(ecdysone receptors) ทำใหต้ ัวรบั ฮอร์โมนเอ็คไดโซนเกิด
การกระตุ้นและทำงานโดยส่งสัญญาณให้ยีนต่างๆ ที่
เกี่ยวข้องกับการลอกคราบทำงาน (gene expression)
ในชว่ งจงั หวะเวลาท่ไี มเ่ หมาะสม ผลทไ่ี ดค้ ือแมลงมกี ารสรา้ ง
ผนังลำตัวใหม่ที่ผิดปกติ ไม่สมบูรณ์ แมลงไม่สามารถลอก
คราบเก่าออกจากลำตัวได้ ทำให้การลอกคราบผิดปกตแิ ละ
แมลงจะตายในทส่ี ุด สารกลุ่มนีอ้ อกฤทธก์ิ ับหนอนผีเส้ือและ
หนอนด้วง
กลุม่ 19. สารกลุ่มทท่ี ำให้ตัวรบั สารอ็อกโตปามนี ทำงาน
กลไกการออกฤทธิ์: สารกำจัดแมลงกลุ่มน้ีออกฤทธ์ิต่อ ชื่อสามญั : amitraz
ระบบประสาท โดยการทำหน้าที่คล้ายสารสื่อประสาท
ชนิดอ็อกโตปามีน (octopamine) ของแมลง ซึ่งสารสื่อ
ประสาทชนิดอ็อกโตปามีนในแมลงนี้จะทำหน้าที่คล้าย
ฮอร์โมนอะดรีนาลีนในคน คือทำให้เกิดอาการตื่นตัว และมี
พละกำลังมากเพื่อหนีหรือต่อสู้เอาชีวิตรอดจากภยั อันตราย
เมื่อแมลงได้รับสารกำจัดแมลงกลุ่มนี้เข้าไปในร่างกาย สาร
จะไปจับที่ตัวรับ สารอ็อกโตปามีน (octopamine
receptor) แล้วกระตุ้นให้เกิดการผลิตสาร cAMP ใน
ปริมาณที่สูงมากในเซลล์ สาร cAMP ที่ผลิตขึ้นมาจะไป
กระตุ้นให้ร่างกายแมลงเกิดการตื่นตัวในระดับที่สูงมาก
(hyperexcitation) จนเกิดอาการสั่น ควบคุมตัวเองไม่ได้
และไมส่ ามารถกนิ อาหารได้
28
กลุ่ม 20. สารกลมุ่ ทยี่ บั ยงั้ การขนส่งอเิ ลกตรอนที่คอมเพล็กซ์ 3 ในไมโตคอนเดรยี
กลไกการออกฤทธิ์: สารกำจัดแมลงกลุ่มนี้ออกฤทธิ์ต่อ กลุ่มย่อย 20A ไฮดราเมธิลนอน
ระบบการผลิตพลังงาน โดยการยับยัง้ การขนส่งอิเลกตรอน ชอ่ื สามญั : hydramethylnon
ทีโ่ ปรตนี คอมเพลก็ ซ์ 3 ในไมโตคอนเดรยี ของเซลล์ จึงยบั ย้ัง กลุ่มยอ่ ย 20B อะซคี วโิ นซลิ
ขบวนการผลิตพลังงานในรูป ATP และแมลงจะตาย ชื่อสามัญ : acequinocyl ยังไม่มกี ารข้นึ ทะเบียนวตั ถุ
เนอ่ื งจากการขาดพลังงาน
อนั ตรายทางการเกษตรในประเทศไทย
กลุม่ ยอ่ ย 20C ฟลอู ะไครไพริม
ช่ือสามัญ : fluacrypyrim ยงั ไม่มีการขนึ้ ทะเบยี นวัตถุ
อันตรายทางการเกษตรในประเทศไทย
กลมุ่ ยอ่ ย 20D ไบฟนี าเซท
ชอ่ื สามัญ : bifenazate
กลุ่ม 21. สารกลุ่มทย่ี ับยง้ั การขนสง่ อิเลกตรอนท่ีคอมเพล็กซ์ 1 ในไมโตคอนเดรีย
กลไกการออกฤทธิ์: สารกลุ่มนอี้ อกฤทธ์ติ ่อระบบการผลิต กลมุ่ ยอ่ ย 21A เอม็ อที ีวนั อะคารไิ ซด์ (METI
พลงั งาน สารกลมุ่ นสี้ ามารถฆา่ แมลงและไร โดยสารจะไป acaricides)
ยับยงั้ ขบวนการถา่ ยทอดอเิ ลคตรอนทีโ่ ปรตนี คอมเพลก็ ซ์ I ชอ่ื สามัญ : fenazaquin, fenpyroximate, pyridaben,
ซ่ึงอยู่ภายในไมโตคอนเดรยี (mitochondrial complex I pyrimidifen, tebufenpyrad, tolfenpyrad
electron transport inhibitors, MET I) จงึ ยับยัง้ ขบวนการ กลุ่มยอ่ ย 21B โรติโนน (Rotinone)
ผลติ พลงั งานในรปู ATP ทำใหแ้ มลงและไรเป็นอมั พาต (paralysis) rotenone (Derris) สารสกดั จากพืชตระกูลหางไหล อาจมี
และตายเน่อื งจากการขาดพลังงาน สารกลมุ่ น้มี ฤี ทธ์ิกวา้ ง ช่ือเรยี กแตกตา่ งกันตามท้องถนิ่ เช่น โลต่ นิ๊ อวดนำ้ ไหลน้ำ
และออกฤทธเ์ิ รว็ ตอ่ แมลงทั้งปากกดั และปากดูด
กะลำเพาะ เปน็ ต้น
กล่มุ 22. สารกลุ่มที่เปน็ ตวั ขวางชอ่ งโซเดียมทที่ ำงานโดยความตา่ งศักย์ไฟฟ้า
กลไกการออกฤทธิ์: สารกำจัดแมลงกลุ่มน้ีออกฤทธ์ิต่อ กลมุ่ ยอ่ ย 22A ออ๊ กซาไดอะซีน (Oxadiazines)
ระบบประสาท โดยการไปขวาง (block) ทช่ี ่องทางผ่านของ ชื่อสามัญ : indoxacarb
โซเดียม (sodium channels) ท่ีเซลล์ประสาท จึงทำให้ไม่ กลมุ่ ยอ่ ย 22B เซมิคาร์บาโซน (Semicarbazones)
เกิดการถ่ายทอดกระแสประสาท และแมลงเป็นอัมพาต ชอ่ื สามัญ : metaflumizone
(paralyze)
กลุ่ม 23. สารกลมุ่ ทย่ี ับยงั้ เอ็นไซม์อะเซทลิ โคเอ คาร์บ็อกซเิ ลส
กลไกการออกฤทธิ์: สารกำจัดแมลงกลุ่มน้ีออกฤทธ์ิต่อ ชื่อสามญั : spirodiclofen, spiromesifen, spiropidion,
ระบบการเจริญเติบโต โดยยับยั้งเอนไซม์ acetyl spirotetramat
coenzyme A carboxylase (ACCase) ซึ่งมีหน้าที่ในการ
สงั เคราะหก์ รดไขมนั (fatty acids) เพื่อนำไปสร้างผนงั เซลล์
ของแมลงในกระบวนการเจริญเติบโตและพัฒนา แมลงท่ี
ได้รับสารกลุ่มนี้จึงไม่สามารถสังเคราะห์กรดไขมันได้ ทำให้
ตวั อ่อนแมลงหยดุ การเจรญิ เตบิ โต
กลมุ่ 24. สารกลมุ่ ท่เี ปน็ ตวั ยับยัง้ การขนสง่ อเิ ลคตรอนทคี่ อมเพลก็ ซ์ 4 ในไมโตคอนเดรีย
กลไกการออกฤทธิ์: สารกำจัดแมลงกลุ่มนี้ออกฤทธิ์ต่อ กลมุ่ ยอ่ ย 24A ฟอสไฟด์ (Phosphides)
ระบบการผลิตพลังงาน ได้แก่ แก๊สฟอสฟีน (phosphine)
และไซยาไนด์ ซึ่งออกฤทธิ์โดยสารจะไปยับยั้งขบวนการ
29
ถ่ายทอดอิเลคตรอนที่โปรตีนคอมเพล็กซ์ IV ซึ่งอยู่ภายใน ชอ่ื สามัญ : aluminium phosphide, calcium
ไมโตคอนเดรีย (mitochondrial complex IV electron phosphide, phosphine, zinc phosphide เป็นสาร
transport inhibitors, MET IV) จึงยับยั้งขบวนการผลิต สำหรับรมแมลงศัตรูในโรงเกบ็
พลังงานในรูป ATP ทำให้แมลงตายเนื่องจากการขาด กลมุ่ ยอ่ ย 24B ไซยาไนด์ (Cyanides)
พลงั งาน
ช่ือสามัญ : calcium cyanide, potassium cyanide,
sodium cyanide
กลุ่ม 25. สารกลุ่มท่เี ปน็ ตวั ยบั ย้งั การขนสง่ อเิ ลคตรอนที่คอมเพลก็ ซ์ 2 ใน
ไมโตคอนเดรยี
กลไกการออกฤทธิ์: สารกำจัดแมลงกลุ่มนี้ออกฤทธิ์ต่อ กลุ่มยอ่ ย 25A อนพุ นั ธุข์ อง Beta-ketonitrile
ระบบการผลิตพลังงาน โดยการยับยั้งขบวนการถ่ายทอด ชื่อสามัญ : cyenopyrafen, cyflumetofen
อิเลคตรอนที่โปรตีนคอมเพล็กซ์ II ซึ่งอยู่ภายในไมโตคอน-
เดรีย (mitochondrial complex II electron transport กลุ่มย่อย 25B คาร์บอกซานิไลด์ (Carboxanilides)
inhibitors, MET II) จึงยับยั้งขบวนการผลิตพลังงานในรูป ชอ่ื สามญั : pyflubumide
ATP ทำใหแ้ มลงตายเนอ่ื งจากการขาดพลังงาน
กลุม่ 26. (วา่ ง)
กลมุ่ 27. (วา่ ง)
กลุ่ม 28. สารกลมุ่ ท่ีเปน็ ตวั ปรับการทำงานของตัวรับชนดิ ไรยาโนดนี
กลไกการออกฤทธ์ิ: สารฆา่ กลุ่มนี้เป็นสารท่ีมีกลไกการออก ช่ือสามัญ : chlorantraniliprole, cyantraniliprole,
ฤทธิ์ต่อระบบประสาทและกล้ามเนื้อ โดยสารจะเข้าไป cyclaniliprole, flubendiamide, tetraniliprole
ภ ายใน เ ซล ล์ กล ้ามเ นื้อแมล ง แล ้วไ ปที่บร ิเ วณ
sarcoplasmic reticulum ซึ่งเป็นที่เก็บสะสม calcium
ion แล้วสารจะไปจับตรง ryanodine receptors ที่อยู่
บริเวณผิวของ sarcoplasmic reticulum ทำให้เกิดการ
กระตุ้นการปลดปล่อย calcium ion ออกมาภายในเซลล์
กล้ามเน้ือ ซึ่ง calcium ion จะไปเหนี่ยวนำทำให้กล้ามเนอื้
แมลงเกิดการหดตัว กล่าวได้ว่าสารฆ่ากลุ่มนี้ไปจับและ
กระตุ้นท่ี ryanodine receptors ทำให้เกิดการปลดปล่อย
calcium ion ออกมาเรื่อยๆ จึงทำให้กล้ามเนื้อแมลงเกิด
การหดตัวอยู่ตลอดเวลา ไม่เกิดการคลายตัว กล้ามเนื้อ
แมลงจึงไม่สามารถทำงานเป็นปกติได้ เช่น กล้ามเนื้อส่วน
ปากไม่สามารถทำงานในการกัดกินใบพืชได้ แมลงไม่
สามารถเดินหรอื เคล่อื นไหวส่วนต่างๆ ของรา่ งกาย และเป็น
อมั พาต
กลมุ่ 29. สารกลมุ่ ท่ีปรบั การทำงานท่ี Chordotonal organ - ยังไมท่ ราบจุดจบั ทีช่ ดั เจน
กลไกการออกฤทธ์ิ: สารกำจัดแมลงกลุ่มนี้ออกฤทธิ์ที่ระบบ ชื่อสามญั : flonicamid
ประสาท โดยไปปรับการทำงานของ chordotonal organ
โดยสารไปจบั ที่จุดจับอ่ืนซ่ึงเป็นคนละจุดกับสารกำจัดแมลง
ในกลุ่ม 9 ซึ่ง chordotonal organ เป็นอวัยวะรับ
ความรู้สึกท่ีมีกระจายอยู่ทัว่ ร่างกายแมลง มีหน้าที่สำคัญใน
30
การรับความรู้สึกต่างๆ เช่น การสัมผัสและประสานงาน
เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวส่วนต่างๆ ของร่างกายให้เป็นไป
ตามปกติ ในแมลงพวกมวน (Hemiptera) การทำงานของ
chordotonal organ จะช่วยให้แมลงเคลื่อนไหวส่วนตา่ งๆ
ของปากในการดูดกินน้ำเลี้ยงพืชอย่างเป็นปกติ สารกำจัด
แมลงกลุ่มนี้เมื่อเข้าสู่ร่างกายของแมลงจะไปรบกวนการ
ทำงานของ chordotonal organ จึงทำให้แมลงไมส่ ามารถ
ดดู กนิ นำ้ เลีย้ งจากพชื ได้
กลมุ่ 30. สารทป่ี รบั การทำงานของ GABA-gated chloride channel ทต่ี ำแหนง่ แตกต่าง
จากสารกล่มุ 2
กลไกการออกฤทธิ์: สารกลุ่มน้ีออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท ชอื่ สามญั : broflanilide, fluxametamide
โดยไปปรับการทำงาน (modulate) การทำงานของช่อง
คลอไรด์ที่ทำงานโดยกรดแกมมาอะมิโนบิวไทริค (GABA-
gated chloride channel) ท ำ ใ ห ้ ก า ร ก า ร ส ่ งกร ะ แ ส
ประสาทผดิ ปกติ
กลุ่ม 31. สารกลุม่ Baculoviruses ทม่ี ีความจำเพาะในการเกิดโรคต่อแมลง
กลไกการออกฤทธ์ิ: สารกำจัดแมลงกลุ่มนี้เป็นไวรัสที่ออก สารกำจดั แมลงกล่มุ น้ี ไดแ้ ก่ Granuloviruses (GVs) ซึ่ง
ฤทธิ์ที่ลำไส้ของแมลง ไวรัส baculovirus ชนิดต่าง ๆ จะ ไดแ้ ก่ Cydia pomonella GV, Thaumatotibia
ทำลายแมลงต่าง order ต่าง ๆ ได้แตกต่างกัน เนื่องจาก leucotreta GV และ Nucleopolyhedrosis Viruses
baculovirus แ ต ่ ล ะ ช น ิ ด จ ะ ม ี baculovirus-unique (NPVs) ซ่ึงไดแ้ ก่ Anticarsia gemmatalis MNPV,
Peros Infectivity Factor (PIF) protein Complex ซึ่งจะ Helicoverpa armigera NPV
ช่วยในการจับกับ PIF targets ที่เซลล์ลำไส้ส่วนกลางของ
แมลงไดต้ า่ งกนั
กลุ่ม 32. สารกล่มุ ที่ปรับการทำงานของตวั รับสารอะเซทิลโคลนิ ชนดิ นโิ คตินิกโดยการจับท่ี
ตำแหนง่ แอลโลสเตอริกทตี่ ำแหนง่ ที่ 2
กลไกการออกฤทธ์ิ: สารกำจัดแมลงกลุ่มนอี้ อกฤทธ์ิต่อระบบ สารกำจดั แมลงกลุม่ นี้ ไดแ้ ก่ GS-omega/kappa HXTX-
ประสาท โดยจะไปจับท่ีตัวรับสารอะเซทิลโคลินชนิดนิโคตินิก Hv1a ซึ่งเปน็ peptide ทไ่ี ด้จากพษิ ของแมงมุม
(nicotinic acetylcholine receptors, nAChRs) ที่ผิวของ
ปลายเซลล์ประสาท ที่ตำแหน่งที่ 2 ซึ่งจะแตกต่างจากสาร
กลมุ่ 5
กลุม่ 33. สารกลุ่มท่ีปรับการทำงานของช่องโปแตสเซยี มทท่ี ำงานโดยแคลเซยี ม (KCa2)
กลไกการออกฤทธ์ิ: สารกลุ่มนี้ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท ชอ่ื สามัญ : acynonapyr เปน็ สารกำจัดไร ยังไมม่ กี ารขึน้
และกล้ามเนื้อ โดยไปปรับการทำงาน (modulate) ของ ทะเบียนวตั ถุอนั ตรายทางการเกษตรในประเทศไทย
ช่องโปแตสเซียมที่ทำงานโดยแคลเซี่ยม (Calcium-
activated potassium channel, KCa2) ทำให้การสง่ กระแส
ประสาทผดิ ปกติ
กลมุ่ 34. สารกลมุ่ ทย่ี บั ยง้ั การขนส่งอเิ ลกตรอนทค่ี อมเพลก็ ซ์ 3 ตำแหนง่ Qi ใน
ไมโตคอนเดรีย
31
กลไกการออกฤทธ์ิ: สารกำจัดแมลงกลุ่มนี้ออกฤทธิ์ต่อ ช่ือสามญั : flometoquin ยังไมม่ ีการขึ้นทะเบยี นวตั ถุ
ระบบการผลิตพลังงาน โดยการยับยั้งการขนส่งอิเลกตรอน อนั ตรายทางการเกษตรในประเทศไทย
ที่โปรตีนคอมเพล็กซ์ 3 ตำแหน่ง Qi ในไมโตคอนเดรียของ
เซลล์ จงึ ยบั ย้ังขบวนการผลิตพลงั งานในรูป ATP และแมลง
จะตายเนือ่ งจากการขาดพลังงาน
กลุม่ UN (Unknown) ทกี่ ลไกการออกฤทธยิ์ ังไมท่ ราบแนช่ ดั
สารกำจดั แมลงกลมุ่ น้ียังไม่ทราบกลไกการออกฤทธิ์ท่ี ได้แก่ สาร azadirachtin (สารสกดั จากสะเดา) สาร
แน่นอน benzoximate สาร bromopropylate สาร
chinomethionat สาร dicofol สาร pyridalyl สาร
sulfur สาร lime sulfur และสาร mancozeb
กล่มุ UNB (Unknown B) เป็นแบคทีเรีย (ท่ีไมใ่ ช่ Bt) ซ่ึงกลไกการออกฤทธิ์ยงั ไม่ทราบแนช่ ดั
สารกำจดั แมลงกลมุ่ น้ียังไมท่ ราบกลไกการออกฤทธิ์ที่ ไดแ้ ก่ เชอ้ื แบคทีเรยี Burkholderia spp. และ Wolbachia
แน่นอน pipientis (Zap)
กลุ่ม UNE (Unknown E) เปน็ สารจากพืช ได้แก่ สารสังเคราะห์ สารสกดั และสารพวก
น้ำมัน ซงึ่ กลไกการออกฤทธยิ์ งั ไม่ทราบแน่ชดั
สารกำจดั แมลงกลมุ่ น้ียังไมท่ ราบกลไกการออกฤทธ์ทิ ี่ ได้แก่ สารสกดั จากพชื Chenopodium ambrosioides
แนน่ อน near ambrosioides extract, สาร Fatty acid
monoesters with glycerol หรอื propanediol จากพชื
และสารพวกน้ำมันจากสะเดา (neem oil)
กลุ่ม UNF (Unknown F) เปน็ สารจากเช้อื รา ซ่งึ กลไกการออกฤทธิ์ยงั ไมท่ ราบแน่ชดั
สารกำจดั แมลงกลุ่มนย้ี ังไม่ทราบกลไกการออกฤทธ์ิที่ ไดแ้ ก่ เชอ้ื รา Beauveria bassiana strains,
แน่นอน Metarhizium anisopliae strain F52 และ
Paecilomyces fumosoroseus Apopka strain 97
กลมุ่ UNM (Unknown M) เป็นสารท่ีไปขดั ขวางการทำงานของโปรตีนทว่ั ไปทีไ่ มจ่ ำเพาะ
เจาะจงโดยวธิ กี ลและวิธที างกายภาพ ซึ่งกลไกการออกฤทธยิ์ ังไมท่ ราบแน่ชัด
สารกำจดั แมลงกลุ่มนย้ี งั ไม่ทราบกลไกการออกฤทธท์ิ ่ี ไดแ้ ก่ Diatomaceous earth, mineral oil
แน่นอน
กล่มุ UNP (Unknown P) เปน็ เปป็ ไตล์ของโปรตนี ซ่ึงกลไกการออกฤทธยิ์ งั ไมท่ ราบแนช่ ัด
สารกำจดั แมลงกลมุ่ น้ียังไม่ทราบกลไกการออกฤทธทิ์ ่ี ได้แก่ สารพวกเปป็ ไทล์ของโปรตนี ซึ่งเป็นพษิ ต่อแมลง
แนน่ อน
กลุม่ UNV (Unknown V) เปน็ ไวรัส (ทีไ่ มใ่ ช่ Baculovirus) ซึง่ กลไกการออกฤทธ์ยิ งั ไม่
ทราบแนช่ ัด
สารกำจดั แมลงกลมุ่ นยี้ งั ไมท่ ราบกลไกการออกฤทธิ์ที่ ได้แก่ ไวรสั ทไ่ี มใ่ ช่ Baculovirus ซึ่งเป็นพษิ ต่อแมลง
แน่นอน
32
ขา้ วโพด (Corn)
การพ่นสารฆ่าแมลงด้วยเครื่องพ่นสารแบบสูบโยกสะพายหลัง (knapsack sprayer) ระยะข้าวโพดอายุ 1-2 สัปดาห์
ใชน้ ำ้ ไรล่ ะ 30-40 ลติ ร อายุ 3-4 สปั ดาห์ ใชน้ ้ำไร่ละ 40-50 ลิตร อายุ 5 สัปดาห์ขนึ้ ไป ใช้น้ำไรล่ ะ 60-80 ลติ ร หลังขา้ วโพดออก
ฝักหรอื ใกลเ้ กบ็ เก่ยี วพน่ เฉพาะฝกั ใช้นำ้ ไรล่ ะ 60-80 ลติ ร
สารปอ้ งกนั กำจดั ศัตรพู ืช
ศัตรูพืช ช่ือสามญั % กล่มุ ระดบั อัตรา วิธกี ารใช้ หมายเหตุ
สารออกฤทธ์ิ กลไกการ ความเป็น การใช้
และสูตร ออกฤทธิ์ พษิ -WHO
(LD50)
หนอนกระทู้ สไปนโี ทแรม 12% SC 5 ไมม่ ีพษิ 20 มล./ พ่นสารกลมุ่ ใดกลมุ่ หนึง่ ตาม
ข้าวโพดลายจดุ (spinetoram) เฉียบพลัน น้ำ 20 คำแนะนำ พน่ คร้งั แรกเมอ่ื
(Spodoptera (>5,000) ลิตร ข้าวโพดอายุ 6-7 วนั หลงั
frugiperda ) 25% WG 10 กรมั งอก หรือ พิจารณาจาก
/นำ้ 20 สภาพการระบาดในแตล่ ะ
ลิตร ฤดูซ่งึ มีความรุนแรงแตกตา่ ง
- 20 มล./ กัน ตอ้ งสลับกลมุ่ สารทุก 30
อมี าเมกตินเบนโซเอต 1.92% EC 6 (76) น้ำ 20 วันตามวงรอบชีวิต เพอ่ื ลด
(emamectin ลิตร ความตา้ นทานต่อสารกำจดั
benzoate) 10 กรัม แมลง
5% WG
/น้ำ 20
ลติ ร
คลอร์ฟนี าเพอร์ 10%SC 13 ปาน 30 มล./
(chlorfenapyr) กลาง น้ำ 20
(441) ลิตร
อนิ ดอกซาคารบ์ 15%EC 22A ปาน 30 มล./
(indoxacarb) กลาง น้ำ 20
(179) ลติ ร
เมทอกซีฟีโนไซด์/ 30%/6% 18/5 ไมม่ ีพิษ 30 มล./
สไปนโี ทแรม SC เฉยี บพลัน นำ้ 20
(methoxyfenozide/ (>5,000)/ ลิตร
spinetoram) ไมม่ ีพษิ
เฉยี บพลนั
(>5,000)
คลอแรนทรานลิ ิโพรล 5.17% 28 ไมม่ พี ษิ 30 มล./
(chlorantraniliprole) SC เฉียบพลัน น้ำ 20
(>5,000) ลติ ร
ฟลูเบนไดอะไมด์ 20% WG 28 น้อย 10
(flubendiamide) (≥2,000) กรัม/น้ำ
20 ลิตร
บาซิลลสั ทรู ิงเยนซสิ SC 11 - 80 มล./ พน่ เมอ่ื พบหนอนขนาดเล็กท่ี
(Bacillus น้ำ 20 เพ่งิ ฟกั จากไข่
thuringiensis) ลติ ร
เพลี้ยไฟ ไทอะมที อกแซม 35% FS 4A - 5 มล./ คลุกเมลด็ กอ่ นปลกู
ข้าวโพด (thiamethoxam) (1,563) เมลด็ 1
(Frankliniella กก.
Williamsi)
33
ศตั รพู ืช ชอ่ื สามัญ สารปอ้ งกนั กำจัดศตั รพู ชื ระดบั อตั รา วิธกี ารใช้ หมายเหตุ
% กลุม่ ความเป็น การใช้
เพลยี้ ไฟถ่ัว อิมดิ าโคลพรดิ พิษ-WHO เพลีย้ ไฟข้าวโพด
(Caliothrips (imidacloprid) สารออกฤทธิ์ กลไกการ (LD50) 10 มล./ และเพล้ยี ไฟ ระบาด
sp.) และสตู ร ออกฤทธ์ิ เมลด็ 1 ในระยะขา้ วโพดตน้
เพลี้ยไฟดอกไม้ คารบ์ ารลิ 60% FS 4A ปาน กก. เลก็ และเมื่อเกดิ ฝน
ฮาวาย (carbaryl) กลาง 5 กรัม/ แล้ง
(Thrips 70% WS เมลด็ 1
hawaiiensis) (131) กก. เพลี้ยไฟดอกไม้
ฮาวายระบาดใน
ปาน ระยะขา้ วโพดออก
กลาง ฝัก แมลงชอบ
(131) ทำลายทีไ่ หม ทำให้
ฝกั ไมต่ ิดเมลด็ ให้
85% WP 1A ปาน 40 พ่นเม่ือเพลีย้ ไฟระบาด พ่น พ่นเฉพาะบริเวณ
กลาง กรมั /น้ำ ซ้ำตามความจำเปน็ ปลายฝัก
(614) 20 ลิตร ควรหลีกเลี่ยงการ
พ่นสารเมือตรวจพบ
อมิ ิดาโคลพรดิ 10% SL 4A ปาน 30 มล./ ด้วงเตา่ และแมลง
(imidacloprid) กลาง นำ้ 20 หางหนีบ ซึง่ เป็นตวั
(131) ลติ ร ห้ำของเพลี้ยออ่ น
ฟิโพรนลิ หลงั จากข้าวโพดติด
(fipronil) 5% SC 2B ปาน 15 มล./ ฝักแล้ว
กลาง นำ้ 20
(92) ลิตร มพี ษิ ตอ่ ผงึ้ สูง
เพลยี้ ออ่ น คาร์บารลิ 85% WP 1A ปาน 50 กรัม ระยะก่อนออกดอก พ่น มีพษิ ตอ่ ผึ้งสูง
ข้าวโพด (carbaryl) กลาง /น้ำ 20 เฉพาะจดุ เม่ือพบความ มีพิษต่อผง้ึ สงู
(Rhopalosiphum (614) ลติ ร หนาแนน่ ของเพลยี้ อ่อน
maidis) เบตา-ไซฟลทู ริน 2.5% EC 3A ร้าย 40 มล./ มากกว่า 25% ของพ้นื ท่ีใบ
เพลย้ี อ่อนอ้อย (beta-cyfluthrin) แรง น้ำ 20 ท้ังตน้ ระยะออกดอก พ่น
(Melanaphis (>14.3) ลติ ร เฉพาะจุด เม่ือพบความ
sacchari) หนาแน่นของเพลี้ยอ่อน
ไดอะซินอน 60% EC 1B ปาน 15 มล./ มากกว่า 25% ของชอ่
(diazinon) กลาง น้ำ 20
(1,139) ลิตร
เพลี้ยไฟ อมิ ิดาโคลพรดิ 70% WG 4A ปาน 10 กรมั พ่นเมือ่ พบการระบาดของ
ข้าวโพด (imidacloprid)
(Frankliniella กลาง /น้ำ 20 เพลี้ยไฟ และ/หรอื เพลยี้
Williamsi) ไทอะมีทอกแซม
เพล้ยี ไฟ (thiamethoxam) (131) ลิตร อ่อน
(Caliothrips
sp.) โคลไทอะนดิ นิ 25% WG 4A - 10 กรัม
เพล้ยี ไฟดอกไม้ (clothianidin)
ฮาวาย (Thrips (1,563) /น้ำ 20
hawaiiensis)
ลิตร
16%SG 4A - 15 กรัม
(>500) /น้ำ 20
ลิตร
34
ศตั รูพชื ชื่อสามัญ สารป้องกันกำจดั ศตั รูพืช ระดบั วธิ ีการใช้ หมายเหตุ
% กลมุ่
เพล้ียออ่ น อีมาเมกตนิ เบนโซเอต ความเป็น อัตรา พน่ เมื่อพบหนอนเฉลี่ย 2-3 ทำลายในข้าวโพด
ข้าวโพด (emamectin สารออกฤทธ์ิ กลไกการ พษิ -WHO การใช้ ตวั /ต้น พน่ ซ้ำตามความ อายุ 1-2 สัปดาห์
(Rhopalosiphu benzoate) และสตู ร ออกฤทธิ์ จำเปน็ หลังจากน้ันจะมี
maidis) 1.92% EC 6 (LD50) แตนเบยี น
เพล้ียออ่ นออ้ ย เบตา-ไซฟลูทริน Apanteles sp.
(Melanaphis (beta-cyfluthrin) 2.5% EC 3A - 10 มล./ ช่วยควบคมุ หนอน
sacchari) ฟลูเฟนนอกซรู อน (76) น้ำ 20 จึงไม่จำเปน็ ตอ้ งใช้
หนอนกระทู้ (flufenoxuron) 5% EC 15 สารฆ่าแมลง
หอม ลิตร
(Spodoptera
exigua) รา้ ย 40 มล./
แรง น้ำ 20
ลิตร
(>14.3)
30 มล./
น้อย น้ำ 20
ลิตร
(>3,000)
คลอรฟ์ ลูอาซรู อน 5% EC 15 ไมม่ พี ษิ 30 มล./
(chlorfluazuron) เฉียบพลัน นำ้ 20
(>8,500) ลติ ร
นิวเคลียรโ์ พลฮี ีโดรซสี - UNV - 20 มล./
ไวรัส หรือ เอน็ พีวี นำ้ 20
หนอนกระทหู้ อม ลิตร
(Nucleopolyhedrosis
virus or NPV)
หนอนกระทคู้ อ คาร์บารลิ 85% WP 1A ปาน 45 พน่ เม่อื พบหนอนทำลาย สำหรบั แหลง่ ทม่ี ี
รวง หรอื หนอน (carbaryl) กลาง กรมั /น้ำ ขา้ วโพดเฉลย่ี 3-4 ตวั /ต้น แมลงศัตรูธรรมชาติ
กระทู้ (614) 20 ลติ ร พ่นซำ้ ตามความจำเปน็ จำพวกแตนเบียน
ควายพระอินทร์ จำนวนมากไมค่ วรใช้
(Mythimna เพราะมพี ษิ ตอ่ แตน
separata) เบียนสูง
ดว้ งกุหลาบ คารบ์ ารลิ 85% WP 1A ปาน 40 กรมั พ่นเมอื่ พบใบถูกทำลาย พน่ เฉพาะบรเิ วณ
(Adoretus (carbaryl) กลาง /นำ้ 20 มากกว่า 25% ของพ้ืนที่ใบ รอบแปลงทม่ี กี าร
compressus) (614) ลิตร ทง้ั ตน้ ระบาดและควรพน่
ตอนเย็น
หนอนเจาะลำ เดลทาเมทริน 3% EC 3A ปาน 10 มล./ หนอนเจาะลำต้นทำลาย 2 ปกติในขา้ วโพดฝัก
ต้นข้าวโพด (deltamethrin) กลาง นำ้ 20 ระยะ อ่อนพบปริมาณ
(Ostrinia (87) ลิตร ก. ระยะก่อนออกดอก แมลงทำลายน้อย
furnacalis) - ขา้ วโพดเล้ียงสตั ว์ พ่นเม่ือ จงึ ไมจ่ ำเป็นต้องใช้
พบยอดข้าวโพดถกู ลำลาย สารฆา่ แมลง
มากกว่า 50 ต้น จาก
ขา้ วโพด 100 ตน้
35
ศตั รพู ชื ชอื่ สามัญ สารป้องกันกำจดั ศัตรพู ืช ระดบั อัตรา วธิ กี ารใช้ หมายเหตุ
% กลมุ่ ความเป็น การใช้
ไตรฟลมู รู อน พิษ-WHO - ขา้ วโพดหวาน พน่ เมื่อพบ มีพิษรา้ ยแรงตอ่
(triflumuron) สารออกฤทธิ์ กลไกการ (LD50) 30 กรัม ยอดข้าวโพดถูกทำลาย แมลงหางหนบี
และสูตร ออกฤทธ์ิ /นำ้ 20 มากกวา่ 30 ต้น จาก
เทฟลูเบนซรู อน 25% WP 15 ไมม่ พี ษิ ลติ ร ข้าวโพด 100 ต้น สำหรับขา้ วโพดเลีย้ ง
(teflubenzuron) เฉียบพลัน 25 มล./ ข. ระยะออกดอก สัตว์ เมอื่ ฝักติดเมล็ด
5% EC 15 นำ้ 20 - ขา้ วโพดเลี้ยงสตั ว์ พน่ เมอ่ื แล้ว ไมจ่ ำเป็นตอ้ ง
คลอรฟ์ ลอู าซรู อน (>5,000) ลติ ร พบหนอน 2 ตัว/ตน้ หรือ ใช้สารฆ่าแมลง
(chlorfluazuron) 5% EC 15 25 มล./ รเู จาะ 2 ร/ู ต้น มีพิษร้ายแรงตอ่
ไมม่ พี ิษ นำ้ 20 - ขา้ วโพดหวาน พน่ เมื่อพบ แมลงหางหนบี
ฟิโพรนิล 5% SC 2B เฉยี บพลัน ลิตร หนอนมากกว่า 50 ตัว หรือ
(fipronil) 20 มล./ รูเจาะ 50 รู จากข้าวโพด บางครง้ั พบเพลี้ย
5% EC 15 (>5,038) น้ำ 20 100 ตน้ กระโดดดำระบาด
หนอนเจาะสมอ ฟลเู ฟนนอกซูรอน ลติ ร พน่ เฉพาะฝักท่ีหนอนลง เฉพาะบริเวณรอบ
ฝา้ ย (flufenoxuron) ไมม่ พี ษิ 20 มล./ ทำลายไหมพน่ ซำ้ ตามความ แปลงที่ติดชายเขา
หนอนเจาะฝัก เฉยี บพลัน น้ำ 20 จำเปน็ พน่ เฉพาะบรเิ วณท่ี
ข้าวโพด ฟโิ พรนลิ ลติ ร แมลงระบาด
(Helicoverpa (fipronil) (>8,500) พ่นเมอื่ มีแมลงทำลายเฉลี่ย มอดดนิ ระบาด
armigera) 3-4 ตวั /ต้น รนุ แรงช่วงเดอื น
ปาน ส.ค.-ก.ย. ในแหล่ง
กลาง คลกุ เมล็ดพนั ธก์ุ อ่ นปลูก ปลกู ทีม่ ีการระบาด
ประจำคอื จังหวดั
(92) สระบรุ ี ลพบรุ ี
นครราชสมี า ควรใช้
นอ้ ย สารฆา่ แมลง
ประเภทคลกุ เมลด็
(>3,000) พันธ์ุก่อนปลกู ซึ่ง
ใหผ้ ลในการปอ้ งกัน
เพลย้ี กระโดดดำ คาร์บารลิ 5% SC 2B ปาน 20 มล./ กำจัดดที ่ีสดุ ถ้าพบ
(Callitettix (carbaryl) 85% WP 1A กลาง นำ้ 20 การระบาดจึงพ่น
versicolor) (92) ลิตร ด้วยสารฆ่าแมลง
ชนิดผสมนำ้
ปาน 40
กลาง กรมั /น้ำ
(614) 20 ลติ ร
มอดดิน อิมิดาโคลพริด 70% WS 4A ปาน 5 กรมั /
กลาง เมลด็ 1
(Calomycterus (imidacloprid) (131) กก.
sp.)
36
ศัตรูพชื ช่ือสามญั สารป้องกนั กำจัดศตั รพู ืช ระดบั อตั รา วธิ ีการใช้ หมายเหตุ
ความเปน็ การใช้
ต๊กั แตนปาทังกา้ คาร์บารลิ % กลุ่ม พษิ -WHO วางเหย่ือพษิ ช่วงเวลา การเตรียมเหย่อื พิษ
(Patanga (carbaryl) สารออกฤทธิ์ กลไกการ (LD50) 125 กลางวนั เปน็ แนวกวาง 1 ผสมคาร์บารลิ 125
succincta) และสูตร ออกฤทธิ์ กรัม/นำ้ เมตร แตล่ ะแนวห่างกัน กรัม หรอื 210 กรัม
ตกั๊ แตนไฮโรไกล ปาน 20 ลิตร ประมาณ 40 เมตร เร่ิมตน้ น้ำ 20 ลติ ร
ฟสั 85% WP 1A กลาง ด้านเหนือลมในชว่ งเดือน กากนำ้ ตาล 2 ลติ ร
(Hieroglyphus ก.พ.-กลางเดือน เม.ย. เพ่ือ แกลบ 60 ลติ ร ซงั
banian (614) กำจัดตัวเตม็ วยั ท่ีออกจาก ขา้ วโพด 30 ลิตร
H. annulicornis การพกั ตวั หรือใช้มันสำปะหลงั
Hi. concolor สดสบั เป็นชิ้นขนาด
H. tonkinensis) 1-5 ลูกบาศก์
ตัก๊ แตนโลคสั ตา้ เซนตเิ มตร 50 ลติ ร
(Locusta แทนซงั ข้าวโพด
migratoria (เตมิ น้ำใหช้ ุม่ ถ้า
manilensis) จำเปน็ )
ตก๊ั แตนคอนด
ราครสิ 85% WP 1A ปาน 25 พน่ สารฆ่าแมลงเฉพาะ ถา้ วัชพชื บรเิ วณนน้ั
(Chondracris
rosea) กลาง กรัม/นำ้ บรเิ วณทม่ี ตี ๊ักแตน พยายาม มีตกั๊ แตนอาศยั ควร
ตั๊กแตนคลอรไิ ซ
นา่ (614) 20 ลิตร ใหถ้ ูกตวั ตก๊ั แตนโดยตรง พ่นเพอื่ กนั ไม่ให้
(Chlorizeina
feae) 50% WP 1B ปาน 20 อพยพไปทำลาย
ตวั อ่อนของ คาร์บารลิ
ตั๊กแตนทกุ ชนิด (carbaryl) กลาง กรัม/น้ำ ขา้ วโพด
เฟนโิ ตรไทออน (330) 20 ลติ ร
(fenitrothion)
60% EC 1B ปาน 20 มล./
ไดอะซนิ อน
(diazinon) กลาง น้ำ 20
(1,139) ลิตร
40% WP 20 กรมั
/นำ้ 20
ลิตร
37
ข้าวฟ่าง (Sorghum)
การพน่ สารฆา่ แมลงด้วยเครอ่ื งพน่ สารแบบสูบโยกสะพายหลงั (knapsack sprayer) ระยะกลา้ ใชน้ ำ้ ไรล่ ะ 40 ลติ ร อายุ
2-5 สัปดาห์ พน่ เฉพาะมชี อ่ แล้วหรือใชน้ ้ำไร่ละ 60 ลิตร ระยะออกดอกพน่ ท้งั ตน้ ใชน้ ้ำไรล่ ะ 80-100 ลติ ร
สารปอ้ งกนั กำจดั ศัตรพู ืช
ศัตรูพืช ชอ่ื สามัญ % กล่มุ ระดบั อัตรา วธิ กี ารใช้ หมายเหตุ
เพลีย้ ออ่ น แลมบด์ า-ไซฮาโลทริน สารออกฤทธิ์ กลไกการ ความเป็น การใช้ พน่ เพียงครั้งเดยี วเฉพาะ ปกตไิ มแ่ นะนำให้ใช้
และสูตร ออกฤทธ์ิ พิษ-WHO
(LD50) 10 มล./
2.5% EC 3A
ปาน
- เพลี้ยออ่ น (lambda- กลาง นำ้ 20 บริเวณท่พี บแมลงระบาด สารฆ่าแมลง เพราะ
ขา้ วโพด cyhalothrin) (56) ลิตร พืชมคี วามทนทาน
(Rhopalosi- ตอ่ การทำลายของ
phum maidis) ไตรอะโซฟอส 40% EC 1B ร้าย 40 มล./ เพลีย้ อ่อนพอสมควร
- เพลี้ยอ่อนออ้ ย (triazophos) แรง น้ำ 20 และมศี ตั รธู รรมชาติ
(Melanaphis (66) ลติ ร หลายชนดิ ช่วย
sacchari) ควบคมุ ปรมิ าณ
เพลี้ยออ่ น ดงั น้ัน
ควรใชส้ ารฆา่ แมลง
เมอ่ื พบการระบาด
ในระยะขา้ วฟ่างเรม่ิ
ตดิ เมลด็ และฝนท้ิง
ชว่ งเท่านนั้
หนอนแมลงวัน อมิ ดิ าโคลพริด 70% WS 4A ปาน 3-5 คลกุ เมล็ดกอ่ นปลกู คำแนะนำสำหรบั
เจาะยอดขา้ ว (imidacloprid) กลาง กรมั / เกษตรกร
ฟ่าง (131) เมลด็ 1 1. ปลกู ข้าวฟ่างพันธ์ุ
(Atherigona กก. ดที ี่แนะนำใหป้ ลูก
soccata) เช่น สุพรรณบรุ ี 60,
อู่ทอง 1, เค.ยู 439,
เค.ยู 630 และเค.ย.ู
804
2. กำหนดวันปลูก
ขา้ วฟา่ งในแตล่ ะ
ทอ้ งที่ใหใ้ กลเ้ คยี งกนั
ขา้ วฟ่างท่ีปลกู ล่าจะ
ถกู แมลงรุ่นที่สอง
ทำลายมาก
3. ในแหล่งท่พี บ
แมลงระบาดเป็น
ประจำควรใชเ้ มลด็
พันธเ์ุ พ่มิ ขนึ้ เพื่อ
ชดเชยความเสยี หาย
และถอนต้นทถ่ี กู
ทำลายเผาทง้ิ เมอ่ื
ขา้ วฟา่ งอายุ 2
สัปดาห์
38
ศตั รูพืช ช่อื สามัญ สารป้องกนั กำจดั ศัตรพู ืช ระดบั อตั รา วธิ ีการใช้ หมายเหตุ
ความเป็น การใช้
หนอนกระทคู้ อ % กลุ่ม พษิ -WHO พน่ เพียงครง้ั เดยี วในระยะ 4. กอ่ นฤดูปลกู ดัก
รวง หรือหนอน สารออกฤทธิ์ กลไกการ (LD50) 50 ก่อนทข่ี ้าวฟ่างจะออกชอ่ ตัวเตม็ วยั ดว้ ยกับดกั
กระทู้ และสตู ร ออกฤทธิ์ กรัม/นำ้ เฉพาะบรเิ วณทแี่ มลงระบาด ปลาปน่ ชนดิ ไม่สกดั
ควายพระอนิ ทร์ ปาน 20 ลติ ร น้ำมนั ซ่งึ ใช้อาหาร
(Mythimna คารบ์ ารลิ 85% WP 1A กลาง พน่ เพยี งคร้ังเดียวใน ไก่เปน็ เหยือ่ ล่อและ
separata) (carbaryl) 20 เวลาเย็นให้ทวั่ ไร่ เมอ่ื พบ ทำลายท้งิ
มวนอ้อย (614) กรัม/นำ้ แมลงระบาดมากกวา่ 20 5. ใชส้ ารฆ่าแมลง
(Phaenacantha คารบ์ ารลิ 85% WP 1A 20 ลติ ร ตัว/ต้น ในระยะขา้ วฟา่ งเรม่ิ เฉพาะแหล่งท่ีพบ
saccharicida) (carbaryl) ปาน 10 มล./ ตดิ เมล็ด การระบาดอย่าง
กลาง น้ำ 20 รนุ แรงเป็นประจำ
มวนเขียวข้าว แลมบ์ดา-ไซฮาโลทริน 2.5% EC 3A น้อย ลิตร พ่นเพียงครั้งเดยี วเฉพาะช่อ มักจะพบแมลงศตั รู
(Nezara (lambda- 40% EC 1B 30 มล./ ขา้ วฟ่าง บริเวณที่พบแมลง ธรรมชาติคอย
viridula) cyhalothrin) 1A (614) นำ้ 20 ระบาด ควบคมุ ปรมิ าณ
ลิตร หนอนชนดิ นีอ้ ยู่
หนอนเจาะสมอ ไตรอะโซฟอส ปาน 25 เสมอ โดยทัว่ ไปจึง
ฝา้ ย (triazophos) กลาง กรมั /น้ำ ไมม่ จี ำเป็นตอ้ งใช้
(Helicoverpa 20 ลิตร สารฆ่าแมลง
armigera) ไทโอดิคาร์บ 75% WP (56)
(thiodicarb) 20-30 มักระบาดในพ้นื ท่ี
ร้าย กรมั /นำ้ ปลกู ขา้ วฟา่ งลา่
ไทโอดิคารบ์ 75% WP 1A แรง 20 ลิตร เกษตรกรควรปลกู
(thiodicarb) ข้าวฟ่างพันธทุ์ ี่มชี ่อ
(66) รวงไมแ่ น่นมาก
เกษตรกรควรเลอื ก
ปาน ปลกู ขา้ วฟา่ งพันธ์ุที่
กลาง ชอ่ รวงไมแ่ นน่ ถ้า
พบหนอนจำนวน
(50) เลก็ น้อยควรเก็บ
ทำลาย
ปาน
กลาง
(50)
ศัตรูพชื ชื่อสามญั สารป้องกันกำจดั ศตั รูพชื ระดบั อตั รา วิธกี ารใช้ 39
% กล่มุ ความเปน็ การใช้
หนอนใยขา้ ว คารบ์ ารลิ พิษ-WHO หมายเหตุ
ฟ่าง (carbaryl) สารออกฤทธ์ิ กลไกการ (LD50) 50
(Stenachroia และสูตร ออกฤทธ์ิ กรมั /นำ้ มกั จะพบระบาดใน
elongella) ไทโอดคิ ารบ์ 85% WP 1A ปาน 20 ลติ ร ข้าวฟา่ งพันธ์ทุ ่มี ีช่อ
(thiodicarb) กลาง 25 รวงใหญ่และแนน่
75% WP 1A กรัม/นำ้ และให้ช่อขณะท่ียัง
(614) 20 ลติ ร มฝี นตกชุก
ปาน
กลาง
(50)
40
ออ้ ย (Sugarcane)
การพ่นสารฆ่าแมลงด้วยเครื่องพ่นสารแบบสูบโยกสะพายหลัง (knapsack sprayer) อ้อยอายุ 1-4 เดือน (ระยะแตก
กอ) ใช้น้ำไร่ละ 60-70 ลิตร อ้อยอายุ 5 เดือนขึ้นไป พ่นด้วยเครื่องยนต์พ่นสารแบบแรงดันน้ำสูง (high pressure pump
sprayer) อ้อยอายุ 5-8 เดือน ใชน้ ้ำไรล่ ะ 80-100 ลติ ร ออ้ ยอายุ 9-11 เดือน ใชน้ ำ้ ไร่ละ 110-120 ลติ ร
สารป้องกนั กำจัดศตั รูพืช
ศตั รพู ืช ชอื่ สามัญ % กลุ่ม ระดบั วธิ ีการใช้ หมายเหตุ
สารออกฤทธ์ิ กลไกการ เมอ่ื อ้อยอายุ 1 เดือน หรือ ใช้ในกรณเี กิดภาวะ
หนอนกอออ้ ย อินดอกซาคาร์บ และสูตร ออกฤทธิ์ ความเปน็ อตั รา
พิษ-WHO การใช้
15%EC 22A
(LD50)
ปาน 15 มล./
- หนอนกอลาย (indoxacarb) กลาง นำ้ 20 เม่ืออ้อยแสดงอาการยอด แห้งแล้งความชนื้ ใน
จุดเลก็ (Chilo (179) ลติ ร เหยี่ ว 10% พน่ 2-3 ครง้ั ดนิ ไมพ่ อหรอื มหี นอ่
infuscatellus) อมี าเมกตนิ เบนโซเอต 1.92% EC 6 - 10 มล./ ห่างกัน 14 วนั ในช่วงเดือน ออ้ ยแตกใหมห่ ลงั
- หนอนกอสีขาว (emamectin (76) น้ำ 20 ม.ี ค.-มิ.ย. เกบ็ เกย่ี ว
(Scirpophaga benzoate) ลิตร
excerptalis) คลอแรนทรานลิ โิ พรล 5.17% 28 ไมม่ ีพษิ 20 มล./
- หนอนกอสี (chlorantraniliprole) SC
ชมพู(Sesamia เฉียบพลนั น้ำ 20
inferens) (>5,000) ลติ ร
เดลทาเมทรนิ 3% EC 3A ปาน 10 มล./
(deltamethrin) กลาง นำ้ 20
(87) ลิตร
หนอนกอลาย ปิโตรเลียมสเปรย์ 83.9% UNE - 100 พ่นใหท้ ัว่ ต้นอ้อยเมือ่ พบไข่ ใช้ในระยะออ้ ยเปน็
จุดใหญ่ (Chilo ออยล์ EC (4,300) มล./นำ้ 0.2-1.0 กลุม่ /ตน้ ลำและพ่นตอนเย็น
tumidicostalis) (petrolium spray 20 ลติ ร
oil)
เดลทาเมทรนิ 3% EC 3A ปาน 10 มล./ พ่นเม่ือพบตวั เตม็ วัย 1-5
(deltamethrin) กลาง น้ำ 20 ตวั /กอ
(87) ลิตร
แมลงนนู หลวง ฟิโพรนลิ 5% SC 2B ปาน 80 มล./ ในแหล่งทมี่ แี มลงนนู หลวง ในแหลง่ ทม่ี แี มลงนูน
(Lepidiota (fipronil) กลาง น้ำ 20 ระบาด พ่นตามรอ่ งออ้ ย หลวงระบาด ระยะ
stigma) (92) ลติ ร ตอนปลกู แล้วกลบดิน ท่เี หมาะสมในการ
สำหรับตออ้อยใหพ้ ่นทงั้ 2 ปอ้ งกนั กำจดั คอื
ดา้ น ของกออ้อย ห่างจาก ระยะที่หนอนเริม่ ฟัก
กออ้อยประมาณ 20 ออกจากไขห่ รอื
เซนติเมตร แล้วกลบดนิ ประมาณกลางเดอื น
ม.ิ ย.
ดว้ งหนวดยาว ฟโิ พรนลิ 5% SC 2B ปาน 80 มล./ ในแหลง่ ทม่ี ีด้วงหนวดยาว
อ้อย (fipronil) กลาง น้ำ 20 อ้อยระบาด พน่ บนทอ่ น
(Dorysthenes (92) ลติ ร พนั ธุ์ตอนปลูกเพยี งครงั้ เดยี ว
buqueti) แลว้ กลบดิน ในอ้อยตอช่วง
ระยะแตกกอ เมอ่ื พบการ
ระบาดของหนอนดว้ งหนวด
ยาวออ้ ยมากกว่า 7% ให้พ่น
สารฆ่าแมลงทง้ั 2 ดา้ นของ
กอออ้ ยแลว้ กลบดิน
41
ศตั รูพืช ชื่อสามัญ สารป้องกนั กำจดั ศตั รูพชื ระดบั อัตรา วธิ ีการใช้ หมายเหตุ
ความเป็น การใช้
ปลวกอ้อย ฟิโพรนลิ % กลุม่ พิษ-WHO พืน้ ท่ที ่มี ปี ลวกอ้อยระบาด
- ชนิดรงั ปลวก (fipronil) สารออกฤทธิ์ กลไกการ (LD50) 80 มล./ พน่ บนท่อนพนั ธุ์ตอนปลูก
ใต้ดิน และสตู ร ออกฤทธิ์ นำ้ 20 เพยี งครง้ั เดียว แลว้ กลบดนิ
(Odontotermes ปาน ลติ ร ในอ้อยตอเม่ือพบการทำลาย
takensis, 5% SC 2B กลาง ของปลวกใหพ้ ่นข้างกอออ้ ย
Microtermes ทง้ั 2 ดา้ น เพยี งครัง้ เดียวใน
obesi) (92) ระยะแตง่ ตอแลว้ กลบดนิ
- ชนดิ จอม เมื่อพบจอมปลวกใหเ้ จาะรู
ปลวก ตรงกลาง แลว้ ราดสารฆ่า
(Macrotermes แมลงผสมน้ำอตั รา 3-5 ลิตร
annandalei, ต่อจอมปลวก (ขึน้ อยู่กับ
Coptotermes ขนาดของจอมปลวก)
havilandi)
85% WP 1A ปาน 50 พน่ เมอื่ พบการระบาดทง้ั
ด้วงงวงอ้อย คาร์บารลิ
(Sepiomus (carbaryl) กลาง กรัม/น้ำ แปลงในแปลงอ้อยและพืช
sp.)
(614) 20 ลิตร อาศัยในบริเวณนั้น
ตกั๊ แตนปาทังกา้ คาร์บารลิ
(Patanga (carbaryl) 85% WP 1A ปาน 125 วางเหยือ่ พิษช่วงเวลา การเตรียมเหยอ่ื พิษ
succincta)
ตก๊ั แตนโลคสั ตา้ กลาง กรมั /นำ้ กลางวันเปน็ แนวกวา้ ง 1 ผสมคารบ์ าริล 125
(Locusta
migratoria (614) 20 ลิตร เมตร แตล่ ะแนวหา่ งกัน กรัม หรือ 210 กรมั
manilensis)
ประมาณ 40 เมตร เรม่ิ ต้น น้ำ 20 ลิตร
ดา้ นเหนือลมในช่วงเดือน กากนำ้ ตาล 2 ลติ ร
ก.พ.-กลางเดือน เม.ย. เพื่อ แกลบ 60 ลติ ร ซงั
กำจัดตัวเตม็ วยั ที่ออกจาก ขา้ วโพด 30 ลติ ร
การพักตวั หรือใช้มนั สำปะหลงั
สดสบั เป็นชนิ้ ขนาด
1-5 ลกู บาศก์
เซนตเิ มตร 50 ลติ ร
แทนซงั ขา้ วโพด
(เติมนำ้ ให้ชมุ่ ถา้
จำเป็น)
ต๊ักแตนไฮโรไกล คลอรฟ์ ลอู าซูรอน 5% EC 15 ไมม่ ีพษิ 20 มล./ แนะนำให้พน่ เฉพาะช่วง ใช้กบั ดกั เหยอ่ื พิษ
ฟสั (chlorfluazuron) เฉียบพลนั น้ำ 20 ระยะตัวออ่ นเทา่ นัน้ ในช่วงทตี่ ัก๊ แตนเปน็
(Hieroglyphus (>8,500) ลิตร ตัวเต็มวัย ตก๊ั แตน
banian ลูเฟนนรู อน 5% EC 15 - 20 มล. ต้องการสารเคมี
H. annulicornis (lufenuron) (>2,000) /น้ำ 20 บางอยา่ งโดยเฉพาะ
H. concolor ลติ ร ตกั๊ แตนเพศเมยี ให้
H. tonkinensis) โนวาลูรอน 10% EC 15 ไมม่ พี ษิ 20 มล. ผสมเหยื่อพิษโดยมี
(novaluron) เฉียบพลัน /นำ้ 20 อัตราสว่ นดงั น้ี น้ำ 1
(>5,000) ลติ ร ลติ ร: เกลอื แกง 30
42
ศตั รพู ืช ชอ่ื สามัญ สารปอ้ งกันกำจดั ศัตรูพชื ระดบั วธิ กี ารใช้ หมายเหตุ
เพลีย้ อ่อนสำลี ไดฟลเู บนซรู อน % กลมุ่ ความเปน็ อัตรา พ่นเมือ่ พบการทำลายใบ กรมั : แอมโมเนยี ม
(Ceratovacun (diflubenzuron) สารออกฤทธิ์ กลไกการ พษิ -WHO การใช้ 5-20% เนน้ พ่นบริเวณใต้ใบ ไบคาร์บอเนต
a lanigera) และสูตร ออกฤทธ์ิ พ่นเมอ่ื พบการระบาด ควร (เบคกิ้งโซดาหรอื
เพล้ยี แปง้ อ้อยสี (LD50) ลอกกาบใบออ้ ยกอ่ นพ่นสาร โซดาทำขนม) 30
ชมพู 25%WP 15 กรัม : สารกำจัด
(Saccharicoc- นอ้ ย 30 แมลงคาร์แทปไฮโดร
cus sacchari) เมทอกซีฟีโนไซด์ 24% SC 18 (>4,640) กรมั /น้ำ คลอรไ์ รด์ 50% SP
(methoxyfenozide) 30 กรัม หลงั จาก
20 ลิตร ละลายสารดังกล่าว
ไมม่ ีพษิ 20 มล./ เรยี บร้อยแล้ว ตดั
เฉียบพลนั นำ้ 20 กระดาษขนาด เอ 4
(>5,000) ลติ ร ท่ีใชแ้ ล้วเป็น 4 สว่ น
แช่ในสารละลาย
ปาน 10 นานประมาณ 10
กลาง กรัม/น้ำ วินาที ผง่ึ ให้พอ
(614) 20 ลิตร หมาด นำไปเสยี บไว้
น้อย 10 ตามซอกใบอ้อย สูง
(1,778) กรัม/นำ้ จากพ้นื ประมาณ
1.50 เมตร วางกับ
20 ลติ ร ดกั 150 – 200 จุด
น้อย 15 มล./ ต่อไร่ ห่างกัน
(1,778) น้ำ 20 ประมาณ 3 เมตร
แบบสลบั ฟันปลา
ลติ ร (วางแถวด้านซา้ ยมือ
เดนิ ไป 3 เมตร แลว้
วางแถวขวามอื
ถัดไป 3 เมตร วาง
ด้านซา้ ย เป็นตน้ )
วางกบั ดกั ซ้ำทุก 3
วนั จนกว่าตวั เตม็ วัย
จะลดลง
คาร์บารลิ 85% WP 1A
(carbaryl) 83% EC 1B
83% EC 1B
มาลาไทออน
(malathion)
มาลาไทออน
(malathion)