The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เอกสารวิชาการคำแนะนำการใช้สารป้องกันกำจัดศัตรูพืช 64

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

เอกสารวิชาการคำแนะนำการใช้สารป้องกันกำจัดศัตรูพืช 64

เอกสารวิชาการคำแนะนำการใช้สารป้องกันกำจัดศัตรูพืช 64

Keywords: สารป้องกันกำจัดศัตรูพืช,การป้องกันกำจัดศัตรูพืช

193

คำแนะนำการใช้โปรโตซัวกำจดั หนศู ัตรพู ืช

การปอ้ งกันกำจดั หนโู ดยการใชส้ ารกำจดั หนู (rodenticide) ในปัจจุบนั มีการใช้สารกำจัดหนู 2 ประเภทหลกั คือสาร
กำจดั หนูประเภทออกฤทธเ์ิ รว็ (acute rodenticide หรอื single dose rodenticide) เปน็ กลุ่มทมี่ ีความเปน็ พษิ สงู ทั้งตอ่
มนุษย์และสตั ว์อน่ื และมีขอ้ เสียคอื ทำใหห้ นูเขด็ ขยาดต่อเหย่อื พิษ (bait shyness) และสารกำจัดหนปู ระเภทออกฤทธ์ิช้า
(chronic rodenticide หรือ multiple dose rodenticide) แตถ่ ้าใชเ้ ป็นระยะเวลานานทาให้หนสู ามารถสรา้ งความตา้ นทาน
ขึน้ มาได้ ดงั นั้น วธิ ีการป้องกันกำจัดหนโู ดยใชจ้ ุลนิ ทยี ์ชนิดต่าง ๆ จงึ เป็นทางเลือกหน่งึ ที่ชว่ ยลดปัญหาท่เี กิดจากการใชส้ ารเคมี
ดังกล่าวได้

โปรโตซวั กำจดั หนู Sarcocystis singaporensis

โปรโตซัว Sarcocystis singaporensis เป็นโปรโตซวั ที่มคี วามเฉพาะเจาะจงต่อสตั ว์อาศัยมากและระบาดแพร่หลาย
ทั้งในหนบู ้านและหนศู ตั รูพืชในประเทศแถบเอเชยี ตะวันออกเฉียงใต้ มคี วามรุนแรงสูงในการทำให้หนทู ่ีได้รบั เช้ือโรคชนดิ นปี้ ว่ ย
และตายในที่สุด จงึ เปน็ จลุ ินทรยี ท์ ม่ี ศี ักยภาพสงู เหมาสมต่อการนำไปใช้เปน็ ชีวภณั ฑ์ เพื่อกำจดั หนูทง้ั ในแหลง่ ทาการเกษตรและ
ในบ้านเรือนได้

ผลของโปรโตซวั Sarcocystis singaporensis ตอ่ สตั ว์ชนดิ อนื่ ๆ

ทดสอบการเกิดโรคกบั สตั ว์ชนิดอนื่ ๆ ในหอ้ งปฏิบัตกิ าร ได้แก่ สัตว์ครง่ึ บกครึ่งน้ำ เชน่ กบและคางคก สัตว์เล้อื ยคลาน
อีกหลายชนดิ และนกแสก ฯลฯ รวมไปถึงสัตวใ์ นอันดบั สตั ว์ฟันแทะหลายชนดิ ที่ติดเชอื้ โปรโตซัว S. singaporensis พบวา่ ไม่
มผี ลทำให้สัตว์ทดลองปว่ ยเป็นโรคหรือตาย ยกเว้นหนูสกลุ Rattus และสกุล Bandicota โดยจากการสำรวจซากสัตว์อื่น ๆ ใน
แปลงข้าวทดสอบขนาดใหญป่ ี 2543-2544 และการทดลองการใช้เหยอื่ โปรโตซัวกำจดั หนสู กุล Rattus ในแปลงปาล์มน้ำมนั ใน
ตลอดระยะการทดลอง ไม่พบซากหรืออาการเจ็บปว่ ยของสตั ว์อ่นื ๆ ทไี่ ด้กินเหยือ่ โปรโตซัวโดยตรง เช่น ไก่ สุนัข หรือแม้กระท่งั
สตั ว์กินเนื้อชนดิ อืน่ ทกี่ ินหนปู ่วยเนื่องจากตดิ เช้ือโปรโตซวั เชน่ เหยี่ยวขาว เหย่ยี วทงุ่ นกแสก เหยยี่ วนกเขาซิครา และกระแตที่
กนิ เหยอ่ื โปรโตซวั ในแปลงทดลองอีกด้วย

เรื่องน่าร้ขู องเหยือ่ โปรโตซัวกำจัดหนู

การผลิตเหยอ่ื โปรโตซัวกำจัดหนูสำเรจ็ รูปท่ีใช้ในปัจจบุ ัน ได้ปรับปรุงสว่ นประกอบของอาหารบางชนิดโดยใชว้ สั ดุทม่ี ีใน
ประเทศไทยทดแทนสูตรด้ังเดิม เหยอ่ื โปรโตซัวกำจดั หนสู าเร็จรปู เป็นเหยือ่ แปง้ แบบนุ่ม มสี ว่ นผสมของแป้งสำลี น้ำมันพืช
น้ำตาลทราย ปลายขา้ วและเมล็ดขา้ วโพดบดเป็นส่วนประกอบสำคัญ เม่ือผ่านการนวดอยา่ งดแี ล้วจึงปน้ั เป็นก้อนขนาดประมาณ
1 กรัม มีสารแขวนลอยสปอร์โรซีสต์ของโปรโตซวั S. singaporensis บรรจอุ ยู่ (จานวน 1-2 x 105 สปอร์โรซีสต์ / เหยอื่ 1
กอ้ น)

วธิ กี ารใชเ้ หยือ่ โปรโตซัวเพ่ือกำจัดหนู

ในฟารม์ เลย้ี งสตั ว์ เขตชุมชนเมือง และบา้ นเรอื น
- ควรใช้ภาชนะสำหรบั ใส่เหย่อื (bait station) ทที่ ำดว้ ยไม้หรือพลาสตกิ หรือวัสดเุ หลือใช้ในบ้านท่ีสามารถกนั น้ำ และ
ปอ้ งกนั มิให้สัตว์อน่ื เข้าไปได้ เพอ่ื ใหห้ นูรสู้ ึกปลอดภัยขณะกินเหย่อื จำนวนภาชนะใสเ่ หย่อื ทใ่ี ช้ 1 อันต่อพ้ืนที่ 25 ตารางเมตร
และควรวางบริเวณทางเดนิ หนู แนวกำแพงโรงเรือน หรอื แหลง่ ทีอ่ าศยั ของหนู เช่น ท่อระบายน้ำบรเิ วณทางเขา้ ออก ท่เี ก็บขยะ
ทร่ี กร้าง เป็นตน้
- จำนวนเหย่ือโปรโตซวั ท่ีใช้ประมาณ 1-3 กอ้ น/ทใ่ี ส่เหยอ่ื 1 อนั
- ตรวจการกินเหยือ่ โปรโตซวั ทกุ วนั ถ้าจดุ ใดหนูกนิ เหยอื่ หมดหรือมีการกนิ เหยื่อมากให้วางเหย่อื เพ่ิมเท่าจานวนเดิม
การเตมิ เหย่ือไม่ควรเกนิ 4 ครั้ง

194

ในสภาพไรน่ า และสวน
- วางในรหู นู หรือทางเดนิ หนู หรอื บรเิ วณโคนตน้ ปาล์มน้ำมัน ไร่ละ 20-25 ก้อนตอ่ ไร่ โดยปริมาณของโปรโตซวั ที่
ตอ้ งการใช้จรงิ ขึ้นอยู่กบั ประชากรหนูในบริเวณที่ต้องการกำจัด หรือประมาณ 30x106 สปอร์โรซีสต์ ตอ่ 1 hectar (~ 6.25 ไร่ )
หรือเท่ากับ 4.8 x 106 ต่อไร่

สง่ิ ทค่ี วรคำนึง

- เหยอ่ื โปรโตซวั ที่วางในสภาพธรรมชาติควรถูกหนูกนิ ภายใน 1 สัปดาห์ จึงจะไดผ้ ลสูงสุด
- โดยการนำไปใชค้ วรระวงั ไม่ใหเ้ ปียกน้ำเน่ืองจากเหยื่อจะเสยี ได้งา่ ยและทำใหห้ นูไมก่ นิ เหย่ือ

195

คำแนะนำการพน่ เหยอ่ื พิษโปรตีนกำจดั แมลงวันผลไม้

การพน่ เหย่ือพิษโปรตีนสามารถพ่นได้ 2 วิธี คอื

1. การพ่นเหยื่อพิษโปรตีนแบบเป็นจุด เป็นวิธีที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายทั่วโลก ประหยัด ใช้สารฆ่าแมลงน้อย จึง
ปลอดภัยต่อเกษตรกรผู้ใช้ ผู้บริโภค และสภาพแวดล้อม ตลอดจนช่วยอนุรักษ์ศัตรูธรรมชาติ และแมลงที่มี
ประโยชน์ต่าง ๆ การพ่นใช้เหยื่อโปรตีน ได้แก่ ยีสต์โปรตีนไฮโดรไลเซท หรือยีสต์ออโตไลเซท (แซนซ-ไฟล) อัตรา
200 มิลลลิ ิตร ผสมสารฆา่ แมลงมาลาไทออน 83% EC อัตรา 10 มลิ ลิลติ ร ในนำ้ 5 ลิตร พน่ พชื ตน้ ละ 1-4 จุด จุด
ละ 30 มิลลิลิตร ในเวลาเช้าตรู่ ควรเริ่มพ่น 1 เดือน ก่อนแมลงวันผลไม้เข้าทำลายผลผลิตนั้น ๆ และพ่นไปจนถึง
ระยะเกบ็ เกยี่ วผลผลติ หมด จุดท่ีพน่ เหยอ่ื ควรเปน็ จดุ ทอี่ ยู่ในร่มเงา

2. การพ่นเหยื่อพิษโปรตีนแบบเป็นแถบ เป็นวิธีที่เหมาะกับสภาพแปลงท่ีมีการปลูกเป็นแถวมีระเบียบ และการพ่น
แบบเป็นแถบจะมีแนวพ่นของเหยื่อพิษกว้างกว่าแบบเป็นจุด จึงมีประสิทธิภาพในการดึงดูดแมลงวันผลไม้ได้
มากกว่า โดยใชอ้ ัตราเดียวกับการพ่นแบบเป็นจดุ
สำหรับการติดตามและตรวจสอบปริมาณแมลงวันผลไม้ เพื่อพ่นเหยื่อพิษโปรตีน โดยการใช้สารล่อเมทธิลยูจีนอล
(methyl eugenol) ผสมสารฆ่าแมลงมาลาไทออน 83% EC ในอัตรา 4 : 1 ชุบสำลีนำไปแขวนในกับดักแมลง
แบบสไตเนอร์ (Steiner traps) หรอื กับดกั แบบดัดแปลงดว้ ยขวดน้ำพลาสติก แลว้ นำไปแขวนในแปลงปลูก จำนวน
1 กับดักต่อไร่ ตรวจนับแมลงวันผลไม้ในกับดักทุก ๆ 7 วัน ถ้าพบปริมาณแมลงวันผลไม้เพิ่มมากขึ้นในกับดัก
โดยเฉพาะช่วงที่ใกล้เก็บเกี่ยวควรดำเนินการพน่ เหยือ่ พิษโปรตีน

ตำแหนง่ พืช
จุดทีฉ่ ดี เหยอ่ื พษิ
ทศิ ทางการเดนิ ฉีดเหยอื่ พษิ

รูปท่ี 1 แสดงการเดนิ และตำแหน่งการพน่ เหย่ือพษิ โปรตีนแบบเปน็ จดุ ๆ ต้นละ 4 จดุ

196

พมุ่ ตน้ ไม้

จดุ ทีฉ่ ีดเหย่ือพษิ
ลำต้นพืช
พืน้ ดิน

รปู ท่ี 2 แสดงตำแหน่งการพ่นเหยอ่ื พิษโปรตีนแบบเป็นจดุ บนตน้ พชื จำพวกไมผ้ ล

พืชท่ีพน่ เหยอื่ พษิ

รูปที่ 3 แสดงการเดนิ พ่นเหย่ือพิษโปรตีนแบบเปน็ แถบ ตน้ ละ 2 แถบ ทิศตรงขา้ มกนั

197

พมุ่ ตน้ ไม้
แถบเหย่ือพิษท่ีพน่ บนพชื
กวา้ งประมาณ 6 น้วิ
ลำตน้ พืช
พื้นดิน

รูปที่ 4 แสดงลักษณะการพน่ เหยอ่ื พิษโปรตีนแบบเปน็ แถบบนตน้ พชื จำพวกไม้ผล

198

สถานการณ์ความต้านทานของแมลงและไรตอ่ สารกำจดั ศตั รูพืช

สถานการณค์ วามตา้ นทานต่อสารฆ่าแมลงในหนอนใยผัก (Plutella xylostella L.)

หนอนใยผกั เป็นแมลงศัตรูพืชตระกลู กะหล่ำที่มีการระบาดอย่างรนุ แรงและรวดเรว็ การระบาดของ
แมลงชนิดนที้ ำใหผ้ ลผลติ เสยี หายอย่างมาก เกษตรกรมกั ใช้สารฆ่าแมลงในการป้องกนั กำจดั แมลงชนิดนี้
เนือ่ งจากสารฆา่ แมลงสามารถลดประชากรหนอนใยผกั ได้อยา่ งรวดเรว็ แตเ่ กษตรกรสว่ นมากใช้สารฆา่ แมลง
อย่างไม่ถูกตอ้ งคือมักใชส้ ารชนิดเดิมหรือกลมุ่ เดมิ ซ้ำกนั บ่อยครัง้ โดยไม่มีการหมนุ เวียนสาร จงึ ทำใหห้ นอนใยผัก
มีความตา้ นทานต่อสารฆา่ แมลงหลายชนดิ

Sukonthabhirom and Siripontangmun (2012) ไดร้ ายงานวา่ ในช่วงปี พ.ศ. 2555-2557 พบ
หนอนใยผกั สรา้ งความต้านทานตอ่ สาร สปนิ โนแซด (กล่มุ 5) สูงมากท่ี อ. ศรปี ระจนั ต์ จ. สุพรรณบรุ ี และสรา้ ง
ความต้านทานปานกลางท่ี อ.สารภี จ. เชียงใหม,่ อ. ปากชอ่ ง จ. นครราชสมี า, อ. เมอื งปทุมธานี จ. ปทมุ ธานี,
อ. ไทรน้อย จ. นนทบุร,ี อ. ชะอำ จ. เพชรบรุ ี และ อ. ท่าม่วง จ. กาญจนบรุ ี จงึ ควรลดการใชส้ าร สปินโนแซด
กับหนอนใยผักในพน้ื ทด่ี งั กล่าวเพอื่ ลดการสรา้ งความต้านทานเพ่มิ ขึ้น (ภาพท่ี 1) สว่ นสาร สไปนีโทแรม (กล่มุ
5) นั้นพบวา่ หนอนใยผักสรา้ งความตา้ นทานสงู และสงู มากท่ี อ. ไทรน้อย จ. นนทบุรี, อ. ชะอำ จ. เพชรบรุ ี,
อ. ศรีประจนั ต์ จ. สุพรรณบรุ ี และพบว่าหนอนใยผักสร้างความต้านทานปานกลางท่ี อ. ปากช่อง จ. นครราชสีมา,
อ. เมืองปทมุ ธานี จ. ปทมุ ธาน,ี อ. ไทรน้อย จ. นนทบุรี และ อ. ทา่ ม่วง จ. กาญจนบุรี ดังน้ันควรลดการใชส้ าร
สไปนโี ทแรม กบั หนอนใยผักในพนื้ ทด่ี ังกลา่ วเพื่อปอ้ งกนั การสร้างความตา้ นทานเพม่ิ มากขน้ึ (ภาพท่ี 2)

ในสารอนิ ดอกซาคารบ์ (กล่มุ 22A) นนั้ พบหนอนใยผกั สร้างความต้านทานสูงและสูงมากในหลาย ๆ
พน้ื ท่ี ได้แก่ อ. ปากชอ่ ง จ. นครราชสีมา, อ. เมอื งปทุมธานี จ. ปทมุ ธาน,ี อ. ไทรนอ้ ย จ. นนทบรุ ี, อ. ชะอำ จ. เพชรบรุ ี,
อ. ศรีประจนั ต์ จ. สพุ รรณบุรี และ อ. ท่ามว่ ง จ.กาญจนบรุ ี จงึ ตอ้ งลดการใช้สารอินดอกซาคาร์บกับหนอนใยผัก
ในพนื้ ที่ดังกลา่ วเพ่ือป้องกันการสร้างความต้านทานเพิ่มขน้ึ (ภาพท่ี 3)

พบหนอนใยผักสร้างความต้านทานสูงตอ่ สารอมี าเมกตินเบนโซเอต (กลมุ่ 6) ในพนื้ ท่ี อ. ไทรนอ้ ย
จ. นนทบรุ ี และ อ. ศรีประจนั ต์ จ. สพุ รรณบุรี เทา่ นน้ั แต่ก็พบหนอนใยผักสร้างความต้านทานปานกลางในบาง
พื้นทขี่ อง อ. เมืองปทุมธานี จ. ปทุมธานี, อ. ไทรนอ้ ย จ. นนทบุรี แตใ่ นพื้นท่ีอืน่ ๆ หนอนใยผกั มคี วามต้านทาน
นอ้ ยถงึ น้อยมากต่อสารนี้ ดงั นั้นจึงสามารถใชส้ ารอีมาเมกตนิ เบนโซเอต ในการพน่ แบบหมุนเวียนในพนื้ ท่ีอืน่ ๆ
เพ่อื แกป้ ญั หาความตา้ นทานที่เพม่ิ สงู ขึ้น (ภาพท่ี 4)

ในสารฟิโพรนิล (กลุ่ม 2B) นั้นไม่พบหนอนใยผักสร้างความต้านทานสงู เลย พบแต่สรา้ งความตา้ นทาน
ปานกลางในพื้นท่ี อ. ไทรน้อย จ. นนทบุรี ดงั นนั้ จึงสามารถใช้สารฟโิ พรนลิ พน่ แบบหมุนเวียนเพือ่ แกป้ ัญหา
แมลงสรา้ งความต้านทานท่ีเพ่ิมสงู ข้ึน (ภาพที่ 5)

สำหรบั สารคลอรฟ์ นี าเพอร์ (กลมุ่ 13) พบหนอนใยผกั สรา้ งความตา้ นทานสูงถงึ สูงมากในพืน้ ท่ี
อ. เมืองปทมุ ธานี จ. ปทมุ ธานี, อ. ไทรนอ้ ย จ. นนทบุรี, อ. ชะอำ จ. เพชรบุรี และ อ. ศรีประจนั ต์ จ. สพุ รรณบรุ ี
จงึ ต้องลดการใช้สารคลอร์ฟนี าเพอร์ กับหนอนใยผกั ในพื้นท่ีดงั กลา่ วเพื่อป้องกันการสร้างความตา้ นทานเพ่ิม
สงู ขน้ึ (ภาพท่ี 6)

พบหนอนใยผกั สรา้ งความต้านทานสูงและสูงมากต่อสารโทลเฟนไพแรด (กลมุ่ 21) ในพื้นที่ อ. ปากชอ่ ง
จ. นครราชสีมา, อ. ไทรน้อย จ. นนทบุรี และ อ. ศรปี ระจันต์ จ. สพุ รรณบุรี จึงควรลดการใช้สารโทลเฟนไพ
แรดในพนื้ ท่ีดงั กลา่ ว (ภาพท่ี 7)

199

พบหนอนใยผักสร้างความตา้ นทานสงู มากต่อสารฟลูเบนไดอะไมด์ (กลุ่ม 28) ในหลาย ๆ พน้ื ที่ ไดแ้ ก่
อ. สารภี จ. เชยี งใหม,่ อ. ปากช่อง จ. นครราชสมี า, อ. เมืองปทุมธานี จ. ปทมุ ธาน,ี อ. ไทรนอ้ ย จ. นนทบรุ ี,
อ. ชะอำ จ. เพชรบุรี, อ. ศรปี ระจันต์ จ. สพุ รรณบรุ ี และ อ. ท่ามว่ ง จ. กาญจนบุรี นอกจากนย้ี ังพบหนอนใยผัก
สรา้ งความตา้ นทานสงู มากต่อสารคลอร์แรนทรานลิ โิ พรล (กลุม่ 28) ในหลาย ๆพ้นื ท่ี ได้แก่ อ. แมส่ อด จ. ตาก,
อ. เมืองปทุมธานี จ. ปทุมธาน,ี อ. ไทรน้อย จ. นนทบรุ ี, อ. ชะอำ จ. เพชรบรุ ,ี อ. ศรีประจนั ต์ จ. สุพรรณบรุ ี
และ อ. ท่าม่วง จ. กาญจนบรุ ี ดงั น้นั ควรลดการใช้สารฟลูเบนไดอะไมด์ และสารคลอร์แรนทรานลิ ิโพรลกบั
หนอนใยผักในพ้ืนทด่ี ังกลา่ วเพ่ือป้องกนั การสรา้ งความต้านทานเพ่มิ มากขน้ึ (ภาพที่ 8 และ 9)

ไมพ่ บหนอนใยผักสรา้ งความตา้ นทานสงู ตอ่ เชื้อบาซลิ ลัส ทรู ิงเยนซสิ สายพันธไ์ุ อซาไว (กลุ่ม 11) พบ
แต่สรา้ งความต้านทานปานกลางในพ้นื ท่ี อ. ไทรน้อย จ. นนทบรุ ี และ อ. ศรีประจันต์ จ. สุพรรณบรุ ี ดงั น้นั จงึ
สามารถใช้เชอื้ บาซลิ ลสั ทูรงิ เยนซิส สายพันธุ์ไอซาไว พ่นแบบหมนุ เวยี นเพอื่ แก้ปัญหาแมลงสร้างความต้านทาน
ได้ในพ้ืนทอี่ ่ืน ๆ สว่ นในเช้อื บาซิลลัส ทรู ิงเยนซสิ สายพันธุ์เคอรส์ ตากี้ พบว่าหนอนใยผักสร้างความตา้ นทานสูง
ในพ้ืนที่ อ. ไทรน้อย จ. นนทบรุ ี และตา้ นทานปานกลางในพื้นท่ี อ. ปากช่อง จ. นครราชสีมา, อ. ไทรนอ้ ย จ. นนทบุร,ี
อ. ชะอำ จ. เพชรบรุ ี และ อ. ศรปี ระจันต์ จ. สุพรรณบุรี (ภาพที่ 10 และ 11)

200

RF 0- 10 เทา่
RF > 10 เทา่
RF > 50 เทา่
RF > 100 เท่า

ภาพที่ 1 ความต้านทานต่อสารสปินโนแซด (กลุม่ 5) ในหนอนใยผักจากพน้ื ทต่ี ่าง ๆ ของประเทศ
ไทยในชว่ งปี 2555-2557

RF (Resistance factor) = ค่าความต้านทานตอ่ สารฆา่ แมลงเม่อื เปรียบเทยี บกบั ประชากรแมลงออ่ นแอ

201

RF 0- 10 เทา่
RF > 10 เทา่
RF > 50 เทา่
RF > 100 เท่า

ภาพที่ 2 ความตา้ นทานต่อสารสไปนีโทแรม (กลุ่ม 5) ในหนอนใยผกั จากพ้นื ท่ตี า่ ง ๆ ของประเทศไทย
ในชว่ งปี 2555-2557

RF (Resistance factor) = ค่าความตา้ นทานตอ่ สารฆ่าแมลงเม่อื เปรยี บเทยี บกบั ประชากรแมลงออ่ นแอ

202

RF 0- 10 เท่า
RF > 10 เทา่
RF > 50 เท่า
RF > 100 เท่า

ภาพที่ 3 ความต้านทานต่อสารอนิ ดอกซาคารบ์ (กลุ่ม 22) ในหนอนใยผกั จากพ้ืนทตี่ า่ ง ๆ ของประเทศไทย
ในชว่ งปี 2555-2557

RF (Resistance factor) = ค่าความตา้ นทานตอ่ สารฆา่ แมลงเมื่อเปรยี บเทยี บกบั ประชากรแมลงออ่ นแอ

203

RF 0- 10 เท่า
RF > 10 เทา่
RF > 50 เท่า
RF > 100 เท่า

ภาพที่ 4 ความต้านทานต่อสารอมี าเมกตนิ เบนโซเอต (กลุม่ 6) ในหนอนใยผกั จากพื้นที่ตา่ ง ๆ ของ
ประเทศไทยในชว่ งปี 2555-2557

RF (Resistance factor) = ค่าความตา้ นทานตอ่ สารฆา่ แมลงเมื่อเปรยี บเทยี บกบั ประชากรแมลงออ่ นแอ

204

RF 0- 10 เทา่
RF > 10 เทา่
RF > 50 เท่า
RF > 100 เท่า

ภาพท่ี 5 ความต้านทานต่อสารฟิโพรนลิ (กลุ่ม 2B) ในหนอนใยผักจากพืน้ ท่ตี า่ ง ๆ ของประเทศไทย
ในชว่ งปี 2555-2557

RF (Resistance factor) = ค่าความตา้ นทานตอ่ สารฆา่ แมลงเมอ่ื เปรียบเทยี บกบั ประชากรแมลงออ่ นแอ

205

RF 0- 10 เท่า
RF > 10 เท่า
RF > 50 เทา่
RF > 100 เท่า

ภาพที่ 6 ความต้านทานต่อสารคลอรฟ์ นี าเพอร์ (กลุ่ม 13) ในหนอนใยผักจากพน้ื ทต่ี า่ ง ๆ ของประเทศไทย
ในชว่ งปี 2555-2557

RF (Resistance factor) = คา่ ความต้านทานตอ่ สารฆา่ แมลงเมอ่ื เปรียบเทยี บกบั ประชากรแมลงออ่ นแอ

206

RF 0- 10 เท่า
RF > 10 เทา่
RF > 50 เทา่
RF > 100 เท่า

ภาพท่ี 7 ความต้านทานต่อสารโทลเฟนไพแรด (กล่มุ 21) ในหนอนใยผกั จากพื้นทต่ี ่าง ๆ ของประเทศไทย
ในชว่ งปี 2555-2557

RF (Resistance factor) = ค่าความต้านทานตอ่ สารฆา่ แมลงเมอ่ื เปรยี บเทยี บกับประชากรแมลงออ่ นแอ

207

RF 0- 10 เท่า
RF > 10 เทา่
RF > 50 เทา่
RF > 100 เท่า

ภาพที่ 8 ความต้านทานต่อสารฟลเู บนไดอะไมด์ (กลุม่ 28) ในหนอนใยผักจากพืน้ ทต่ี ่าง ๆ ของประเทศไทย
ในช่วงปี 2555-2557

RF (Resistance factor) = คา่ ความต้านทานตอ่ สารฆา่ แมลงเมอ่ื เปรียบเทยี บกบั ประชากรแมลงออ่ นแอ

208

RF 0- 10 เทา่
RF > 10 เท่า
RF > 50 เทา่
RF > 100 เท่า

ภาพที่ 9 ความตา้ นทานต่อสารคลอร์แรนทรานิลิโพรล (กลุ่ม 28) ในหนอนใยผักจากพืน้ ท่ตี ่าง ๆ ของประเทศ
ไทยในช่วงปี 2555-2557

RF (Resistance factor) = คา่ ความตา้ นทานตอ่ สารฆ่าแมลงเมือ่ เปรยี บเทยี บกับประชากรแมลงออ่ นแอ

209

RF 0- 10 เท่า
RF > 10 เท่า
RF > 50 เท่า
RF > 100 เท่า

ภาพที่ 10 ความต้านทานตอ่ แบคทเี รียบาซิลลสั ทูรงิ เยนซิส สายพนั ธุไ์ อซาไว (กลมุ่ 11) ในหนอนใยผกั จาก
พืน้ ทตี่ ่าง ๆ ของประเทศไทยในชว่ งปี 2555-2557

RF (Resistance factor) = คา่ ความตา้ นทานตอ่ สารฆา่ แมลงเม่ือเปรียบเทยี บกบั ประชากรแมลงออ่ นแอ

210

RF 0- 10 เทา่
RF > 10 เท่า
RF > 50 เทา่
RF > 100 เท่า

ภาพท่ี 11 ความตา้ นทานต่อแบคทีเรียบาซลิ ลสั ทรู งิ เยนซิส สายพันธ์ุเคอร์สตาก้ี (กลมุ่ 11) ในหนอนใยผกั จาก
พน้ื ทตี่ า่ ง ๆ ของประเทศไทยในช่วงปี 2555-2557

RF (Resistance factor) = ค่าความตา้ นทานตอ่ สารฆา่ แมลงเมือ่ เปรียบเทยี บกบั ประชากรแมลงออ่ นแอ

211

สถานการณค์ วามต้านทานต่อสารฆ่าแมลงในเพล้ียไฟพริก (Scirtothrips dorsalis Hood) ในพริก

พริกเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศไทย การปลูกพริกประสบปัญหาการทำลายของเพลี้ยไฟ
พริกเป็นประจำโดยเพล้ียไฟพริกจะดูดกินที่บริเวณยอด ดอก และผลพริกอ่อน ทำให้ผลผลิตเสียหายในเวลาที่
รวดเร็ว เกษตรกรมักใช้สารฆ่าแมลงเพื่อป้องกันกำจัดเพลี้ยไฟพริกบ่อยครั้งโดยไม่มีการหมุนเวียนสาร ทำให้
เพล้ียไฟพรกิ ในพริกสร้างความตา้ นทานต่อสารฆ่าแมลงได้อยา่ งรวดเรว็ ในพน้ื ที่ จ. ราชบุรี และ จ. กาญจนบรุ ี

สุภราดา และคณะ (2562ก) พบว่าในช่วงปี พ.ศ. 2560-2561 ในพื้นที่ปลูกพริก อ. วัดเพลง
จ. ราชบุรี สารฆ่าแมลงที่มีผลต่อการตายของเพลี้ยไฟพริกต่ำ คือที่อัตราแนะนำเพลีย้ ไฟตาย 0-20% ซึ่งแสดง
ว่าเพลี้ยไฟมีความต้านทานสูง ได้แก่ สารแลมบ์ดา-ไซฮาโลทริน ส่วนสารฆ่าแมลงที่มีผลต่อการตายสูง คือท่ี
อัตราแนะนำเพลี้ยไฟตาย 60-100% ซึ่งแสดงว่าเพลี้ยไฟยังไม่แสดงความต้านทานมากนัก ได้แก่ อิมิดาโคลพ
ริด สไปนีโทแรม อีมาเมกตินเบนโซเอต และอะบาเมกติน (ภาพที่ 12) ดังนั้นสารฆ่าแมลงที่สามารถใช้แบบ
หมุนเวียนเพื่อลดปัญหาความต้านทานของเพลี้ยไฟพริกในพื้นที่ อ. วัดเพลง จ. ราชบุรี จึงได้แก่สาร อิมิดา-
โคลพรดิ สไปนโี ทแรม อมี าเมกตนิ เบนโซเอต และอะบาเมกติน

ในพนื้ ทีป่ ลูกพริก ต. พระแท่น อ. ทา่ มะกา จ.กาญจนบุรี สารฆ่าแมลงทม่ี ีผลต่อการตายของเพล้ียไฟ
พรกิ สูงคือท่ีอตั ราแนะนำเพลี้ยไฟตาย 60-100% ซง่ึ แสดงวา่ เพลี้ยไฟยงั ไม่แสดงความต้านทานมากนกั ได้แก่
สไปนีโทแรม อีมาเมกตนิ เบนโซเอต และคลอร์ฟนี าเพอร์ ส่วนในพน้ื ที่ ต. ดอนชะเอม อ. ท่ามะกา จ.กาญจนบรุ ี
ได้แก่ สไปนีโทแรม และคลอร์ฟีนาเพอร์ (ภาพที่ 12) ดังนนั้ สารฆา่ แมลงท่ีสามารถใช้แบบหมุนเวยี นเพอื่ ลด
ปัญหาความต้านทานของเพลี้ยไฟพรกิ ในพืน้ ที่ อ. ท่ามะกา จ.กาญจนบรุ ี ได้แก่ สารสไปนโี ทแรม อมี าเมกตนิ
เบนโซเอต และคลอร์ฟนี าเพอร์

212

ต.พระแทน่

ฟโิ พรนลิ
แลมบด์ า-ไซฮาโลทรนิ
อิมิดาโคลพริด
สไปนโี ทแรม
อีมาเมกตนิ เบนโซเอต
อะบาเมกติน
คลอร์ฟนี าเพอร์
โทลเฟนไพแรด
ไซแอนทรานลิ โิ พรล

ต.ดอนชะเอม

ฟโิ พรนลิ
แลมบด์ า-ไซฮาโลทริน
อมิ ิดาโคลพริด
สไปนีโทแรม
อีมาเมกตนิ เบนโซเอต
อะบาเมกติน
คลอร์ฟีนาเพอร์
โทลเฟนไพแรด
ไซแอนทรานิลโิ พรล

ฟิโพรนิล
แลมบด์ า-ไซฮาโลทรนิ
อมิ ิดาโคลพริด
สไปนโี ทแรม
อมี าเมกตินเบนโซเอต
อะบาเมกติน
โทลเฟนไพแรด
ไซแอนทรานิลิโพรล

อัตราการตาย สูง = ทีอ่ ตั ราแนะนำเพล้ยี ไฟตาย 60-100% หรอื ทสี่ องเทา่ ของอตั ราแนะนำเพลยี้ ไฟตาย 80-100%
อตั ราการตาย ปานกลาง = ทอ่ี ัตราแนะนำเพล้ียไฟตาย 21-59% หรือทส่ี องเท่าของอัตราแนะนำเพลี้ยไฟตาย 41-79%
อตั ราการตาย ตำ่ = ทอี่ ัตราแนะนำเพลยี้ ไฟตาย 0-20% หรอื ท่สี องเท่าของอตั ราแนะนำเพลย้ี ไฟตาย 0-40%

ภาพท่ี 12 การตอบสนองต่อสารฆ่าแมลงชนิดตา่ ง ๆ ต่อการตายของเพล้ียไฟพริกท่ที ำลายพริกในแหลง่ ปลกู
จงั หวัดกาญจนบรุ ีและราชบุรี

213

สถานการณ์ความต้านทานต่อสารฆ่าแมลงในเพลี้ยไฟฝา้ ย (Thrips palmi Karny) ในกล้วยไมส้ กุลหวาย

กล้วยไม้เปน็ พืชเศรษฐกจิ ท่ีมีความจำเป็นต้องดแู ลเร่ืองคณุ ภาพของดอกเป็นอยา่ งมาก การทำลายของ
เพลี้ยไฟฝ้ายในกล้วยไม้ส่งผลให้ผลผลิตดอกกล้วยไม้เสียหายและขายไม่ได้ราคา เกษตรกรส่วนใหญ่ใช้ สาร
ฆ่าแมลงในการป้องกันกำจัดเพลี้ยไฟฝ้ายบ่อยครั้งจนพบว่าเพลี้ยไฟฝ้ายสร้างความต้านทานต่อสารฆ่าแมลง
หลายชนิดในพนื้ ทปี่ ลูกกลว้ ยไม้ทส่ี ำคัญใน จ. นครปฐม จ. ปทุมธานี และ จ. นนทบุรี

สภุ ราดา และคณะ (2563ก) พบว่าในแหลง่ ปลกู กล้วยไมส้ กุลหวายในจังหวัดนครปฐม ในช่วงปี พ.ศ.
2561 สารฆา่ แมลงทม่ี ีผลต่อการตายของเพล้ียไฟฝ้ายทีท่ ำลายกลว้ ยไมต้ ำ่ คือที่อัตราแนะนำเพลีย้ ไฟตาย 0-20%
ซ่ึงแสดงวา่ เพล้ียไฟมคี วามตา้ นทานสงู ในพื้นที่ อ. นครชัยศรี ได้แก่ อิมิดาโคลพรดิ อะซีทามิพรดิ อะบาเมกตนิ
โทลเฟนไพแรด และไซแอนทรานลิ โิ พรล ในพ้นื ท่ี อ. พุทธมณฑล ไดแ้ ก่ อิมดิ าโคลพริด อะซีทามพิ ริด และ
ไซแอนทรานลิ ิโพรล ในพน้ื ท่ี อ.สามพราน ได้แก่ อมิ ิดาโคลพริด และอะซีทามพิ รดิ ในพืน้ ที่ อ.เมอื งนครปฐม
จ. นครปฐม ได้แก่ อิมดิ าโคลพรดิ และอะบาเมกติน (ภาพที่ 13) สว่ นสารฆ่าแมลงท่ีมีผลต่อการตายสูงคือท่ี
อัตราแนะนำเพล้ยี ไฟตาย 60-100% ซึ่งแสดงวา่ เพลย้ี ไฟยังไม่แสดงความต้านทานมากนักในพน้ื ที่ อ. นครชัยศรี
ได้แก่ สไปนีโทแรม และอีมาเมกตนิ เบนโซเอต ในพ้ืนที่ อ. สามพราน ไดแ้ ก่ อีมาเมกตินเบนโซเอต และในพนื้ ท่ี
อ. เมอื งนครปฐม ได้แก่ สไปนีโทแรม (ภาพท่ี 13)

ดงั น้ันสารฆ่าแมลงท่ีอาจใชแ้ บบหมนุ เวียนเพ่ือลดปัญหาความตา้ นทานในเพลย้ี ไฟฝา้ ยที่ทำลาย
กลว้ ยไม้ในพนื้ ที่ จ. นครปฐม ควรเลือกใช้สารที่มีผลต่อการตายปานกลาง-สงู ซึ่งไดแ้ ก่ สารฟโิ พรนลิ สไปนโี ทแรม
อมี าเมกตนิ เบนโซเอต และคลอรฟ์ ีนาเพอร์

ในแหล่งปลกู กลว้ ยไมส้ กลุ หวายในจังหวดั ปทมุ ธานี และนนทบรุ ี ในชว่ งปี พ.ศ. 2561 พบวา่ สารฆา่
แมลงทมี่ ีผลต่อการตายของเพลย้ี ไฟฝ้ายท่ีทำลายกลว้ ยไม้ต่ำคอื ที่อตั ราแนะนำเพลี้ยไฟตาย 0-20% ซงึ่ แสดงว่า
เพลย้ี ไฟมีความตา้ นทานสงู ในพ้นื ที่ อ. ลาดหลมุ แกว้ จ. ปทมุ ธานี ได้แก่ อิมดิ าโคลพริด และอะบาเมกติน ส่วน
ในพ้ืนท่ี อ. บางใหญ่ จ. นนทบรุ ี ไดแ้ ก่ อิมิดาโคลพรดิ และอะซีทามพิ ริด (ภาพท่ี 14) ส่วนสารฆ่าแมลงท่มี ผี ล
ตอ่ การตายสงู คือที่อตั ราแนะนำเพลีย้ ไฟตาย 60-100% ซง่ึ แสดงวา่ เพล้ยี ไฟยังไม่แสดงความตา้ นทานมากนัก
ในพน้ื ท่ี อ. ลาดหลมุ แกว้ จ. ปทมุ ธานี ได้แก่ สไปนโี ทแรม อมี าเมกตนิ เบนโซเอต และคลอรฟ์ ีนาเพอร์ และใน
พ้นื ที่ อ. บางใหญ่ จ. นนทบรุ ี ไดแ้ ก่ ฟโิ พรนิล สไปนโี ทแรม อีมาเมกตินเบนโซเอต และคลอร์ฟนี าเพอร์ (ภาพที่ 14)

ดังนั้นสารฆา่ แมลงท่อี าจใชแ้ บบหมนุ เวยี นเพอื่ ลดปัญหาความต้านทานในเพลี้ยไฟฝา้ ยท่ีทำลาย
กล้วยไม้ในพืน้ ที่ อ. ลาดหลุมแกว้ จ. ปทุมธานี ควรเลือกใชส้ ารท่ีมีผลต่อการตายปานกลาง-สูง ซ่ึงได้แก่ ฟิโพรนิล
อะซีทามิพรดิ สไปนโี ทแรม อีมาเมกตินเบนโซเอต คลอร์ฟีนาเพอร์ โทลเฟนไพแรด ไซแอนทรานลิ โิ พรล และใน
พ้ืนที่ อ. บางใหญ่ จ. นนทบรุ ี ได้แก่ สาร ฟิโพรนิล สไปนีโทแรม อีมาเมกตินเบนโซเอต อะบาเมกตนิ คลอรฟ์ ีนาเพอร์
โทลเฟนไพแรด และ ไซแอนทรานลิ ิโพรล

214

ฟโิ พรนลิ
อมิ ิดาโคลพรดิ
อะซที ามิพรดิ
สไปนโี ทแรม
อีมาเมกตินเบนโซเอต
อะบาเมกตนิ
คลอรฟ์ ีนาเพอร์
โทลเฟนไพแรด
ไซแอนทรานลิ โิ พรล

ฟิโพรนลิ ฟโิ พรนลิ
อมิ ดิ าโคลพรดิ อมิ ดิ าโคลพริด
อะซีทามิพรดิ อะซที ามพิ ริด
สไปนโี ทแรม สไปนีโทแรม
อมี าเมกตนิ เบนโซเอต อีมาเมกตนิ เบนโซเอต
อะบาเมกติน อะบาเมกตนิ
คลอร์ฟนี าเพอร์ คลอรฟ์ นี าเพอร์
โทลเฟนไพแรด โทลเฟนไพแรด
ไซแอนทรานลิ ิโพรล ไซแอนทรานลิ โิ พรล

ฟิโพรนิล
อิมิดาโคลพรดิ
อะซีทามพิ รดิ
สไปนีโทแรม
อีมาเมกตินเบนโซเอต
อะบาเมกตนิ
คลอร์ฟีนาเพอร์
โทลเฟนไพแรด
ไซแอนทรานลิ ิโพรล
fipronil

อตั ราการตาย สูง = ท่อี ัตราแนะนำเพลยี้ ไฟตาย 60-100% หรือท่ีสองเทา่ ของอตั ราแนะนำเพลย้ี ไฟตาย 80-100%
อตั ราการตาย ปานกลาง = ทอ่ี ัตราแนะนำเพล้ียไฟตาย 21-59% หรอื ท่สี องเทา่ ของอตั ราแนะนำเพลยี้ ไฟตาย 41-79%
อัตราการตาย ตำ่ = ทีอ่ ตั ราแนะนำเพลย้ี ไฟตาย 0-20% หรอื ท่สี องเทา่ ของอตั ราแนะนำเพลย้ี ไฟตาย 0-40%

ภาพท่ี 13 การตอบสนองต่อสารฆ่าแมลงชนิดตา่ ง ๆ ต่อการตายของเพลี้ยไฟฝา้ ยท่ีทำลายกล้วยไม้
สกุลหวาย ในแหล่งปลกู จังหวดั นครปฐม

215



จังหวัดปทมุ ธานี

จังหวัดนนทบรุ ี ฟโิ พรนลิ
อิมิดาโคลพริด
อะซที ามพิ รดิ
สไปนโี ทแรม
อีมาเมกตินเบนโซเอต
อะบาเมกติน
คลอรฟ์ นี าเพอร์
โทลเฟนไพแรด
ไซแอนทรานิลโิ พรล

ฟิโพรนิล
อมิ ิดาโคลพรดิ
อะซที ามิพรดิ
สไปนีโทแรม
อีมาเมกตินเบนโซเอต
อะบาเมกตนิ
คลอร์ฟนี าเพอร์
โทลเฟนไพแรด
ไซแอนทรานิลโิ พรล

อตั ราการตาย สูง = ท่อี ัตราแนะนำเพลีย้ ไฟตาย 60-100% หรอื ที่สองเท่าของอตั ราแนะนำเพลยี้ ไฟตาย 80-100%
อัตราการตาย ปานกลาง = ทอ่ี ตั ราแนะนำเพลย้ี ไฟตาย 21-59% หรือทีส่ องเท่าของอัตราแนะนำเพลย้ี ไฟตาย 41-79%
อตั ราการตาย ต่ำ = ทอ่ี ตั ราแนะนำเพลย้ี ไฟตาย 0-20% หรือท่ีสองเท่าของอตั ราแนะนำเพลย้ี ไฟตาย 0-40%

ภาพที่ 14 การตอบสนองต่อสารฆ่าแมลงชนิดต่าง ๆ ต่อการตายของเพลย้ี ไฟฝา้ ยท่ีทำลายกล้วยไม้
สกลุ หวาย ในแหล่งปลกู จังหวดั ปทุมธานี และนนทบุรี

216

สถานการณค์ วามต้านทานต่อสารฆ่าแมลงในเพล้ียไฟพริก (Scirtothrips dorsalis Hood) ในกุหลาบพวง

กหุ ลาบสำหรบั ร้อยพวงมาลัยหรอื ที่เรียกว่ากุหลาบพวงเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญชนิดหน่ึงท่ีมีแมลงศัตรู
ทำลายมากโดยเฉพาะเพลีย้ ไฟพริก แมลงชนดิ นท้ี ำความเสียหายโดยดูดกินน้ำเลี้ยงกหุ ลาบท่ียอดอ่อนและดอก
อ่อนทำให้ดอกมีรอยทำลายเสียหายและขายไม่ได้ การทำลายของเพลี้ยไฟพริกรวดเร็วมากโดยเฉพาะช่วงแลง้
ฝนทง้ิ ชว่ ง เกษตรกรจำเปน็ ต้องพ่นสารฆ่าแมลงเพ่ือป้องกันกำจัดเพลย้ี ไฟให้ทันเวลา โดยเกษตรกรมักเลือกพ่น
สารชนิดเดิมซ้ำกันบ่อยครั้งเพราะมั่นใจในประสิทธิภาพของสาร แต่การพ่นสารชนิดเดิมซ้ำกันบ่อยครั้งเป็น
สาเหตุทำให้เพลี้ยไฟพริกที่ทำลายกุหลาบพวงสร้างความต้านทานต่อสารฆ่าแมลง โดยเฉพาะในพื้นที่ปลูก
สำคัญใน จ. นครปฐม

โดย สภุ ราดา และคณะ (2562ข) พบวา่ ในพ้ืนท่ี อ. เมืองนครปฐม และ อ. กำแพงแสน จ. นครปฐม ซึ่ง
เปน็ แหลง่ ปลูกกุหลาบพวงแหลง่ ใหญ่ของประเทศ สารฆ่าแมลงที่มีผลต่อการตายต่ำคือที่อตั ราแนะนำเพล้ยี ไฟ
ตาย 0-20% หรือที่สองเท่าของอัตราแนะนำเพลย้ี ไฟตาย 0-40% ซ่ึงแสดงวา่ เพลยี้ ไฟมีความต้านทานสูง ในช่วง
ปี พ.ศ. 2560-2561 ได้แก่ แลมบด์ า-ไซฮาโลทริน และอิมดิ าโคลพริด (ภาพที่ 15)

สว่ นสารฆ่าแมลงท่ีมผี ลต่อการตายสงู คือที่อัตราแนะนำเพลีย้ ไฟตาย 60-100% และทีส่ องเทา่ ของอัตรา
แนะนำเพลีย้ ไฟตาย 80-100% ซง่ึ แสดงวา่ เพลี้ยไฟยงั ไม่ต้านทาน ในพื้นท่ี อ. เมอื งนครปฐม ได้แก่ ฟิโพรนิล
สไปนีโทแรม อีมาเมกตนิ เบนโซเอต และไซแอนทรานลิ โิ พรล ส่วนในพืน้ ที่ อ. กำแพงแสน จ. นครปฐม ไดแ้ ก่
สไปนโี ทแรม อีมาเมกตนิ เบนโซเอต และคลอร์ฟีนาเพอร์ (ภาพที่ 15)

สารฆา่ แมลงท่ีมผี ลตอ่ การตายปานกลางคืออัตราแนะนำเพลี้ยไฟตาย 21-59% หรือท่ีสองเท่าของ
อัตราแนะนำเพลยี้ ไฟตาย 41-79% ซึง่ คาดว่าเพลย้ี ไฟสร้างความตา้ นทานน้อย ในพ้นื ท่ี อ. เมืองนครปฐม ไดแ้ ก่
อะบาเมกตนิ และโทลเฟนไพแรด สว่ นในพ้นื ที่ อ. กำแพงแสน จ. นครปฐม ไดแ้ ก่ ฟิโพรนิล อะบาเมกติน
โทลเฟนไพแรด และไซแอนทรานิลิโพรล (ภาพที่ 15)

ดังน้ันเพื่อลดปญั หาเพล้ียไฟสร้างความตา้ นทานตอ่ สารฆ่าแมลงในเพล้ยี ไฟพริกทท่ี ำลายกุหลาบพวง
ในพืน้ ที่ อ. เมืองนครปฐม และ อ. กำแพงแสน จ. นครปฐม จึงควรใช้สารฆ่าแมลงกล่มุ ตา่ ง ๆ แบบหมนุ เวียน
โดยใชส้ ารท่มี ีผลตอ่ การตายของเพลี้ยไฟปานกลาง-สงู ไดแ้ ก่ สาร ฟโิ พรนิล สไปนีโทแรม อีมาเมกตินเบนโซเอต
อะบาเมกตนิ คลอร์ฟีนาเพอร์ โทลเฟนไพแรด และไซแอนทรานลิ โิ พรล โดยพ่นสารแต่ละชนิดหรอื แตล่ ะกล่มุ
ติดตอ่ กนั ได้ไม่เกิน 3 คร้งั ในช่วงเวลา 15 วัน แลว้ ตอ้ งเปลี่ยนไปพน่ สารกลุ่มอ่ืน

217

ฟโิ พรนลิ
แลมบด์ า-ไซฮาโลทริน
อิมิดาโคลพริด
สไปนีโทแรม
อมี าเมกตนิ เบนโซเอต
อะบาเมกติน
คลอร์ฟีนาเพอร์
โทลเฟนไพแรด
ไซแอนทรานลิ ิโพรล

ฟิโพรนลิ
แลมบด์ า-ไซฮาโลทริน
อิมดิ าโคลพริด
สไปนีโทแรม
อีมาเมกตินเบนโซเอต
อะบาเมกตนิ
โทลเฟนไพแรด
ไซแอนทรานิลโิ พรล

อัตราการตาย สงู = ทอ่ี ัตราแนะนำเพลย้ี ไฟตาย 60-100% หรือท่สี องเทา่ ของอัตราแนะนำเพลยี้ ไฟตาย 80-100%
อัตราการตาย ปานกลาง = ทอี่ ตั ราแนะนำเพล้ียไฟตาย 21-59% หรือทส่ี องเทา่ ของอัตราแนะนำเพลยี้ ไฟตาย 41-79%
อตั ราการตาย ต่ำ = ท่ีอตั ราแนะนำเพลี้ยไฟตาย 0-20% หรือทีส่ องเท่าของอัตราแนะนำเพลยี้ ไฟตาย 0-40%

ภาพที่ 15 การตอบสนองต่อสารฆ่าแมลงชนดิ ต่าง ๆ ต่อการตายของเพลี้ยไฟพริกที่ทำลายกหุ ลาบพวงใน
แหลง่ ปลูก จังหวดั นครปฐม

218

สถานการณ์ความต้านทานตอ่ สารฆา่ แมลงในเพล้ียไฟพริก (Scirtothrips dorsalis Hood) ในมะมว่ ง

มะม่วงเป็นพืชเศรษฐกิจที่ปลูกเพื่อขายภายในประเทศและเพื่อส่งออกเป็นจำนวนมาก ในระยะท่ี
มะมว่ งให้ผลผลิตมกั พบการทำลายของเพลี้ยไฟพรกิ ทบ่ี ริเวณยอดอ่อน ชอ่ ดอกและผล การทำลายของเพล้ียไฟ
พริกทำให้ผลมะม่วงอ่อนหลุดร่วงหรือผลมีรอยทำลาย ขายไม่ได้ราคา เพลี้ยไฟพริกสามารถเข้าทำลายมะม่วง
อย่างรวดเรว็ ดงั นนั้ ในการผลิตมะม่วงให้ได้คุณภาพสูงปราศจากการทำลายของเพลย้ี ไฟจึงมีความจำเปน็ ต้องใช้
สารฆ่าแมลงเพื่อหยุดยั้งการระบาดทำลายของเพลี้ยไฟได้ทันท่วงที เกษตรกรส่วนใหญ่มักใช้สารฆ่าแมลงชนดิ
เดิมหรือกลุ่มเดิมเพื่อป้องกันกำจัดเพลี้ยไฟบ่อยครั้ง ทำให้เพลี้ยไฟสร้างความต้านทานต่อสารฆ่าแมลงหลาย
ชนดิ ในพืน้ ท่ปี ลูกมะมว่ งหลายแหง่

โดย สุภราดา และคณะ (2563ข) พบว่าในพื้นที่ปลูกมะม่วง จ. สุพรรณบุรี ในช่วงปี พ.ศ. 2562 สาร
ฆา่ แมลงท่ีมผี ลต่อการตายของเพลยี้ ไฟพริกท่ีทำลายมะมว่ งต่ำ คอื ทอ่ี ัตราแนะนำเพลี้ยไฟตาย 0-20% ซึ่งแสดง
ว่าเพลี้ยไฟมีความต้านทานสูง ในพื้นที่ อ. เมืองสุพรรณบุรี ได้แก่ แลมบ์ดา-ไซฮาโลทริน และ ไซแอนทรานิลิ
โพรลในพื้นที่ อ. สามชุก ได้แก่ แลมบ์ดา-ไซฮาโลทริน อิมิดาโคลพริด อะซีทามิพริด อะบาเมกติน และ
ไซแอนทรานิลิโพรล ในพื้นที่ อ. เดิมบางนางบวช ได้แก่ แลมบ์ดา-ไซฮาโลทริน อะซีทามิพริด ส่วนสารฆ่า
แมลงที่มีผลต่อการตายสูงคือที่อัตราแนะนำเพลี้ยไฟตาย 60-100% ซึ่งแสดงว่าเพลี้ยไฟยังไม่แสดงความ
ต้านทานมากนัก ในพื้นที่ อ. เมืองสุพรรณบุรี และ อ. เดิมบางนางบวช ได้แก่ ได้แก่ ฟิโพรนิล สไปนีโทแรม
อีมาเมกตินเบนโซเอต และคลอร์ฟีนาเพอร์ ในพื้นที่ อ. สามชุก ได้แก่ ฟิโพรนิล สไปนีโทแรม อีมาเมกตินเบน
โซเอต (ภาพท่ี 16)

ดังนั้นสารฆ่าแมลงที่สามารถใชแ้ บบหมนุ เวียนเพ่อื ลดปัญหาความต้านทานในเพลย้ี ไฟพริกที่ทำลาย
มะม่วงในพ้ืนที่ จ. สุพรรณบุรี นั้นสามารถใช้สารท่มี ผี ลต่อการตายของเพลี้ยไฟปานกลาง-สงู เช่น ฟิโพรนิล
สไปนีโทแรม อีมาเมกตนิ เบนโซเอต และคลอร์ฟนี าเพอร์

ในพน้ื ทป่ี ลูกมะมว่ งใน จ. สโุ ขทยั พิษณุโลก และพิจติ ร ในช่วงปี พ.ศ. 2562 - 2563 พบว่าสารฆ่าแมลง
ทมี่ ีผลต่อการตายของเพลี้ยไฟพรกิ ท่ีทำลายมะม่วงต่ำ คือที่อตั ราแนะนำเพล้ียไฟตาย 0-20% ซ่ึงแสดงวา่ เพลีย้
ไฟมีความต้านทานสูง ในพืน้ ท่ี อ. ศรีนคร จ. สุโขทัย ได้แก่ แลมบด์ า-ไซฮาโลทริน และอะซีทามพิ ริด ในพน้ื ที่
อ. วังทอง จ. พิษณุโลก ไดแ้ ก่ แลมบ์ดา-ไซฮาโลทริน อะซีทามิพริด อะบาเมกติน และไซแอนทรานลิ ิโพรล ใน
พน้ื ท่ี อ. สากเหลก็ จ. พจิ ติ ร ไดแ้ ก่ แลมบ์ดา-ไซฮาโลทริน สว่ นสารฆา่ แมลงทม่ี ผี ลต่อการตายสงู คือท่ีอัตรา
แนะนำเพลย้ี ไฟตาย 60-100% ซ่งึ แสดงว่าเพลยี้ ไฟยังไม่แสดงความต้านทานมากนัก ในพื้นที่ อ. ศรนี คร
จ. สโุ ขทยั ได้แก่ ฟโิ พรนิล สไปนีโทแรม อีมาเมกตินเบนโซเอต อะบาเมกตนิ คลอร์ฟีนาเพอร์ และ ไซแอนทรา-
นิลโิ พรล ในพ้ืนท่ี อ. วังทอง จ. พิษณุโลก ได้แก่ อีมาเมกตินเบนโซเอต และคลอร์ฟีนาเพอร์ ในพ้นื ท่ี อ. สากเหล็ก
จ. พจิ ติ ร ไดแ้ ก่ ฟโิ พรนิล สไปนีโทแรม อมี าเมกตินเบนโซเอต และคลอร์ฟีนาเพอร์ (ภาพที่ 17)

ดงั นน้ั สารฆ่าแมลงท่สี ามารถใชแ้ บบหมุนเวยี นเพอ่ื ลดปัญหาความตา้ นทานในเพล้ยี ไฟพริกที่ทำลาย
มะม่วง ในพืน้ ที่ จ. สโุ ขทยั จ. พษิ ณโุ ลก จ. พจิ ิตร น้นั สามารถใชส้ ารทม่ี ีผลต่อการตายของเพล้ียไฟปานกลาง-
สงู เช่น ฟิโพรนิล สไปนีโทแรม อมี าเมกตินเบนโซเอต และคลอรฟ์ นี าเพอร์

ในพน้ื ทป่ี ลูกมะมว่ ง จ. ฉะเชงิ เทรา และ จ. นครราชสมี า ในชว่ งปี พ.ศ. 2562 พบว่าสารฆา่ แมลงท่ีมี
ผลต่อการตายของเพลยี้ ไฟพริกที่ทำลายมะม่วงต่ำ คือท่ีอัตราแนะนำเพลีย้ ไฟตาย 0-20% ซ่งึ แสดงว่าเพลี้ยไฟมี
ความตา้ นทานสูง ในพ้ืนที่ อ. บางคลา้ จ. ฉะเชิงเทรา ไดแ้ ก่ แลมบด์ า-ไซฮาโลทรนิ และอะบาเมกตนิ สว่ นใน
พืน้ ที่ อ. ปากชอ่ ง จ. นครราชสมี า ไดแ้ ก่ แลมบ์ดา-ไซฮาโลทรนิ และอะซที ามิพรดิ ส่วนสารฆ่าแมลงที่มีผลต่อ
การตายสงู คือท่ีอตั ราแนะนำเพล้ียไฟตาย 60-100% ซง่ึ แสดงวา่ เพล้ียไฟยังไม่แสดงความตา้ นทานมากนัก ใน

219

พน้ื ที่ อ. บางคลา้ จ. ฉะเชงิ เทรา ได้แก่ ฟโิ พรนลิ อีมาเมกตนิ เบนโซเอต และคลอร์ฟนี าเพอร์ ส่วนในพืน้ ท่ี
อ. ปากชอ่ ง จ. นครราชสมี า ไดแ้ ก่ สไปนีโทแรม อีมาเมกตนิ เบนโซเอต และคลอร์ฟนี าเพอร์ สารเหล่าน้เี หมาะ
ในการใช้แบบหมนุ เวียนเพ่อื ป้องกนั ปัญหาความตา้ นทานต่อสารฆา่ แมลงในเพลี้ยไฟในพื้นที่ดงั กล่าว(ภาพท่ี 18)

ฟิโพรนิล 220
แลมบด์ า-ไซฮาโลทรนิ
อมิ ดิ าโคลพริด ฟิโพรนลิ
อะซที ามพิ รดิ แลมบด์ า-ไซฮาโลทริน
สไปนีโทแรม อิมดิ าโคลพริด
อมี าเมกตนิ เบนโซเอต อะซีทามิพรดิ
อะบาเมกตนิ สไปนโี ทแรม
คลอร์ฟีนาเพอร์ อมี าเมกตินเบนโซเอต
ไซแอนทรานิลโิ พรล อะบาเมกตนิ
คลอรฟ์ นี าเพอร์
ไซแอนทรานิลโิ พรล

ฟิโพรนิล
แลมบด์ า-ไซฮาโลทริน
อิมดิ าโคลพรดิ
อะซีทามพิ ริด
สไปนีโทแรม
อีมาเมกตินเบนโซเอต
อะบาเมกตนิ
คลอรฟ์ นี าเพอร์
ไซแอนทรานลิ โิ พรล

อตั ราการตาย สงู = ที่อัตราแนะนำเพลย้ี ไฟตาย 60-100% หรือทส่ี องเท่าของอัตราแนะนำเพลยี้ ไฟตาย 80-100%
อตั ราการตาย ปานกลาง = ทอี่ ตั ราแนะนำเพล้ียไฟตาย 21-59% หรือที่สองเท่าของอตั ราแนะนำเพลี้ยไฟตาย 41-79%
อตั ราการตาย ต่ำ = ที่อตั ราแนะนำเพล้ียไฟตาย 0-20% หรอื ท่สี องเท่าของอตั ราแนะนำเพลยี้ ไฟตาย 0-40%

ภาพที่ 16 การตอบสนองต่อสารฆ่าแมลงชนิดตา่ ง ๆ ต่อการตายของเพล้ียไฟพริกทำลายมะม่วงในแหลง่ ปลูก
จงั หวดั สุพรรณบุรี

221

ฟโิ พรนลิ
แลมบด์ า-ไซฮาโลทรนิ
อิมิดาโคลพริด
อะซีทามพิ ริด
สไปนโี ทแรม
อีมาเมกตินเบนโซเอต
อะบาเมกติน
คลอร์ฟีนาเพอร์
ไซแอนทรานลิ โิ พรล

ฟิโพรนิล ฟโิ พรนลิ
แลมบด์ า-ไซฮาโลทริน แลมบด์ า-ไซฮาโลทริน
อิมดิ าโคลพรดิ อิมิดาโคลพริด
อะซที ามพิ ริด อะซที ามพิ ริด
สไปนโี ทแรม สไปนโี ทแรม
อมี าเมกตนิ เบนโซเอต อมี าเมกตนิ เบนโซเอต
อะบาเมกติน อะบาเมกติน
คลอร์ฟีนาเพอร์ คลอร์ฟีนาเพอร์
ไซแอนทรานิลโิ พรล ไซแอนทรานิลโิ พรล

อตั ราการตาย สูง = ทอี่ ตั ราแนะนำเพลีย้ ไฟตาย 60-100% หรอื ท่สี องเทา่ ของอัตราแนะนำเพลยี้ ไฟตาย 80-100%
อัตราการตาย ปานกลาง = ทอ่ี ัตราแนะนำเพล้ียไฟตาย 21-59% หรือทสี่ องเทา่ ของอัตราแนะนำเพล้ยี ไฟตาย 41-79%
อัตราการตาย ต่ำ = ที่อตั ราแนะนำเพล้ยี ไฟตาย 0-20% หรอื ที่สองเท่าของอัตราแนะนำเพลยี้ ไฟตาย 0-40%

ภาพท่ี 17 การตอบสนองต่อสารฆ่าแมลงชนิดต่าง ๆ ต่อการตายของเพลี้ยไฟพริกท่ีทำลายมะมว่ งในแหล่งปลูก
จงั หวดั สุโขทัย พิษณโุ ลก และพจิ ิตร

222

ฟโิ พรนลิ
แลมบด์ า-ไซฮาโลทริน
อิมดิ าโคลพริด
อะซที ามิพรดิ
สไปนโี ทแรม
อีมาเมกตนิ เบนโซเอต
อะบาเมกติน
คลอร์ฟีนาเพอร์
ไซแอนทรานิลิโพรล

ฟิโพรนิล
แลมบด์ า-ไซฮาโลทริน
อมิ ิดาโคลพริด
อะซีทามพิ ริด
สไปนโี ทแรม
อมี าเมกตินเบนโซเอต
อะบาเมกตนิ
คลอร์ฟนี าเพอร์
ไซแอนทรานิลโิ พรลฟิโพรล
นิล

อัตราการตาย สูง = ที่อัตราแนะนำเพลยี้ ไฟตาย 60-100% หรอื ทีส่ องเท่าของอตั ราแนะนำเพลยี้ ไฟตาย 80-100%
อตั ราการตาย ปานกลาง = ทอ่ี ตั ราแนะนำเพลี้ยไฟตาย 21-59% หรือทีส่ องเทา่ ของอัตราแนะนำเพลีย้ ไฟตาย 41-79%
อัตราการตาย ตำ่ = ทอี่ ัตราแนะนำเพลยี้ ไฟตาย 0-20% หรอื ท่ีสองเท่าของอตั ราแนะนำเพลยี้ ไฟตาย 0-40%

ภาพท่ี 18 การตอบสนองต่อสารฆ่าแมลงชนิดต่าง ๆ ต่อการตายของเพลี้ยไฟพริกท่ีทำลายมะม่วงในแหล่งปลูก
จังหวดั ฉะเชงิ เทรา และนครราชสีมา

223

สถานการณค์ วามต้านทานตอ่ สารฆ่าแมลงในเพล้ียไฟพริก (Scirtothrips dorsalis Hood) ในมะนาว

มะนาวเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญ การปลูกมะนาวมักมีปัญหาเนื่องจากมีศัตรูพืชเข้าทำลายหลายชนิด
เพลี้ยไฟพริกเป็นแมลงศัตรูที่สำคัญชนิดหนึ่งที่ทำให้ได้ผลผลิตมะนาวลดลง ทำให้ผลเป็นขี้กลาก แคระแกร็น
ร่วงหลน่ และขายไม่ไดร้ าคา การระบาดทำลายของเพลี้ยไฟเกดิ ไดร้ วดเรว็ มากโดยเฉพาะในชว่ งแล้ง ฝนทิ้งชว่ ง
เกษตรกรมักใช้สารฆ่าแมลงเพื่อป้องกันการระบาดทำลายของเพลี้ยไฟพริกโดยเกษตรกรมักใช้สารชนิดเดิม ๆ
บอ่ ยครั้งจนทำให้เพลย้ี ไฟสร้างความต้านทานตอ่ สารฆา่ แมลงในหลายพ้นื ที่

โดย สุภราดา และคณะ (2563ค) พบว่าในพืน้ ทปี่ ลกู มะนาวของ จ. กำแพงเพชร และ จ. พิจติ ร ในช่วง
ปี พ.ศ. 2561-2562 สารฆ่าแมลงที่มีผลต่อการตายของเพลี้ยไฟพริกที่ทำลายมะนาวต่ำ คือที่อัตราแนะนำ
เพลี้ยไฟตาย 0-20% ซึ่งแสดงว่าเพลี้ยไฟมีความต้านทานสูง ในพื้นที่ อ. เมืองกำแพงเพชร จ. กำแพงเพชร
ได้แก่ แลมบ์ดา-ไซฮาโลทริน และ อะบาเมกติน ส่วนในพื้นท่ี อ. โพทะเล จ. พิจิตร ได้แก่ แลมบ์ดา-ไซฮาโลทริน
และ อะซที ามิพรดิ สว่ นสารฆา่ แมลงท่ีมผี ลต่อการตายสูงคือท่ีอตั ราแนะนำเพลี้ยไฟตาย 60-100% ซึ่งแสดงว่า
เพลี้ยไฟยังไม่แสดงความต้านทานมากนัก ในพืน้ ท่ี อ. เมอื งกำแพงเพชร จ. กำแพงเพชร ได้แก่ ฟโิ พรนิล สไปนีโทแรม
อมี าเมกตนิ เบนโซเอต และคลอรฟ์ ีนาเพอร์ ส่วนในพ้ืนท่ี อ. โพทะเล จ. พิจิตร ไดแ้ ก่ สไปนีโทแรม อีมาเมกติน
เบนโซเอต และคลอรฟ์ ีนาเพอร์ สารเหล่าน้ีเหมาะในการใช้แบบหมุนเวียนเพ่ือป้องกนั ปญั หาความต้านทานต่อ
สารฆ่าแมลงในเพลี้ยไฟในพนื้ ท่ีดงั กลา่ ว (ภาพที่ 19)

ในพื้นทปี่ ลูกมะนาวใน จ. สพุ รรณบุรี และ จ. ชยั นาท ในช่วงปี พ.ศ. 2561 พบวา่ สารฆ่าแมลงท่ีมีผล
ต่อการตายของเพล้ยี ไฟพรกิ ที่ทำลายมะนาวต่ำ คือที่อตั ราแนะนำเพลีย้ ไฟตาย 0-20% ซ่ึงแสดงวา่ เพลย้ี ไฟมี
ความต้านทานสงู ในพ้ืนที่ อ. ศรีประจนั ต์ จ. สพุ รรณบุรี ได้แก่ อะบาเมกติน ส่วนในพนื้ ท่ี อ. เดิมบางนางบวช
จ. สพุ รรณบรุ ี และในพนื้ ท่ี อ. เมืองชยั นาท จ. ชัยนาท ได้แก่ แลมบด์ า-ไซฮาโลทริน สว่ นสารฆ่าแมลงที่มผี ลตอ่
การตายสูงคือที่อตั ราแนะนำเพล้ยี ไฟตาย 60-100% ซ่ึงแสดงว่าเพลยี้ ไฟยงั ไม่แสดงความต้านทานมากนัก ใน
พ้นื ท่ี อ. ศรปี ระจันต์ จ. สุพรรณบรุ ี ได้แก่ สไปนีโทแรม อมี าเมกตินเบนโซเอต และคลอร์ฟีนาเพอร์ ส่วนในพ้นื ท่ี
อ. เดมิ บางนางบวช จ. สพุ รรณบุรี ได้แก่ ฟโิ พรนลิ สไปนโี ทแรม อีมาเมกตินเบนโซเอต และคลอร์ฟนี าเพอร์ และ
ในพ้นื ที่ อ. เมืองชัยนาท จ. ชัยนาท ไดแ้ ก่ ฟโิ พรนิล อีมาเมกตินเบนโซเอต สไปนีโทแรม อีมาเมกตินเบนโซเอต
และคลอร์ฟนี าเพอร์ สารเหล่านเ้ี หมาะในการใชแ้ บบหมนุ เวียนเพื่อป้องกนั ปัญหาความต้านทานต่อสารฆ่า
แมลงในเพลย้ี ไฟในพืน้ ที่ดงั กล่าว (ภาพที่ 20)

224

ฟโิ พรนิล ฟิโพรนิล
แลมบด์ า-ไซฮาโลทรนิ แลมบด์ า-ไซฮาโลทรนิ
อมิ ดิ าโคลพรดิ อิมิดาโคลพริด
สไปนโี ทแรม อะซีทามิพริด
อมี าเมกตินเบนโซเอต สไปนโี ทแรม
อะบาเมกตนิ อีมาเมกตินเบนโซเอต
คลอรฟ์ ีนาเพอร์ อะบาเมกตนิ
ไซแอนทรานลิ โิ พรล คลอรฟ์ ีนาเพอร์
ไซแอนทรานลิ โิ พรล

อัตราการตาย สูง = ท่ีอัตราแนะนำเพลีย้ ไฟตาย 60-100% หรือทสี่ องเทา่ ของอตั ราแนะนำเพลยี้ ไฟตาย 80-100%
อัตราการตาย ปานกลาง = ทอี่ ตั ราแนะนำเพลย้ี ไฟตาย 21-59% หรือทสี่ องเทา่ ของอตั ราแนะนำเพล้ยี ไฟตาย 41-79%
อตั ราการตาย ตำ่ = ที่อัตราแนะนำเพล้ยี ไฟตาย 0-20% หรือทสี่ องเท่าของอตั ราแนะนำเพลย้ี ไฟตาย 0-40%

ภาพที่ 19 การตอบสนองต่อสารฆ่าแมลงชนิดตา่ ง ๆ ต่อการตายของเพลี้ยไฟพริกที่ทำลายมะนาวในแหล่งปลูก
จังหวัดกำแพงเพชร และจงั หวดั พิจิตร

225

ฟิโพรนิล
แลมบด์ า-ไซฮาโลทริน
อิมิดาโคลพริด
สไปนีโทแรม
อีมาเมกตนิ เบนโซเอต
อะบาเมกตนิ
คลอร์ฟนี าเพอร์
ไซแอนทรานลิ โิ พรล

ฟิโพรนิล
แลมบด์ า-ไซฮาโลทรนิ
อิมดิ าโคลพรดิ
สไปนีโทแรม
อมี าเมกตินเบนโซเอต
อะบาเมกตนิ
คลอรฟ์ นี าเพอร์
ไซแอนทรานิลิโพรล

ฟโิ พรนิล
แลมบด์ า-ไซฮาโลทริน
อิมดิ าโคลพรดิ
สไปนโี ทแรม
อมี าเมกตนิ เบนโซเอต
อะบาเมกตนิ
คลอรฟ์ ีนาเพอร์
ไซแอนทรานิลโิ พรล

อัตราการตาย สงู = ทอ่ี ัตราแนะนำเพล้ยี ไฟตาย 60-100% หรือที่สองเท่าของอัตราแนะนำเพลย้ี ไฟตาย 80-100%

ออตััตรราากกาารรตตาายยกตปำ่าานร=กตลทาอ่ีองัตบร=าสทแนอ่ีนะัตอนราำงแเพตนละอ่ ี้ยนไสำฟเพาตาลรยี้ยฆไ0ฟ่า-ต2แา0ย%ม2ลห1ร-ง5อื 9ชท%ส่ี นอหดิงเรทตือา่ทา่ขี่สององงอๆเตัทรา่ าขตแออ่นงอะกนตั ารำาเรพแตลนย้ีะาไนฟยำตเขพายลอีย้ 0งไ-ฟ4เตพ0%ายล4้ยี 1ไ-7ฟ9%พรกิ

ภาพท่ี 20 การตอบสนองต่อสารฆ่าแมลงชนิดตา่ ง ๆ ต่อการตายของเพลี้ยไฟพริกท่ีทำลายมะนาวในแหล่งปลูก
จังหวัดสพุ รรณบุรี และจังหวดั ชัยนาท

226

สถานการณ์ความต้านทานต่อสารฆ่าแมลงในเพล้ียไฟฝา้ ย (Thrips palmi Karny) ในเมล่อน

เมล่อนเป็นพืชเศรษฐกิจชนิดใหม่ท่ีมีการปลูกอยา่ งแพร่หลายและมีราคาสูง การปลูกเมล่อนมีศัตรูพืช
ทำลายมากโดยเฉพาะเพลี้ยไฟซึ่งสามารถทำลายผลผลิตโดยดูดกินน้ำเลี้ยงที่ใบยอด ดอก ผลอ่อน ทำให้ ผลมี
รอยทำลายและขายไม่ได้ราคา จงึ ต้องมีการป้องกนั กำจัดศัตรูพืชอย่างดี เน่อื งจากเมล่อนเป็นผลไม้ท่ีมีราคาสูง
เกษตรกรจึงนิยมใช้สารฆ่าแมลงในการป้องกันกำจัดเพลี้ยไฟฝ้ายที่ทำลายเมล่อนเนื่องจากสามารถป้องกัน
กำจัดได้อย่างรวดเร็ว แต่การใช้สารฆ่าแมลงของเกษตรกรมักไม่มีการหมุนเวียนสารที่ถูกต้อง ทำให้เกิดปัญหา
เพลี้ยไฟสร้างความต้านทานต่อสารฆ่าแมลงโดยเฉพาะในพื้นที่ปลูกเมล่อนใน จ.สุพรรณบุรี จ.กาญจนบุรี และ
จ.พระนครศรีอยุธยา

โดย สุภราดา และคณะ (2563ง) พบว่าในช่วงปี พ.ศ. 2562 สารฆ่าแมลงที่มีผลต่อการตายของเพลี้ย
ไฟฝ้ายที่ทำลายเมล่อนต่ำ คือที่อัตราแนะนำเพลี้ยไฟตาย 0-20% ซึ่งแสดงว่าเพลี้ยไฟมีความต้านทานสูง ใน
พื้นที่ อ. หนองหญ้าไซ จ.สุพรรณบุรี ได้แก่ แลมบ์ดา-ไซฮาโลทริน ส่วนในพื้นที่ อ. พนมทวน จ.กาญจนบุรี
ได้แก่ แลมบ์ดา-ไซฮาโลทริน และ อะบาเมกติน และในพื้นท่ี อ. ลาดบัวหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา ได้แก่
แลมบ์ดา-ไซฮาโลทริน อิมิดาโคลพริด และอะซีทามิพริด ส่วนสารฆ่าแมลงที่มีผลต่อการตายสูงคือที่อัตรา
แนะนำเพลยี้ ไฟตาย 60-100% ซ่งึ แสดงวา่ เพลี้ยไฟยังไม่แสดงความตา้ นทานมากนัก ในพนื้ ที่ อ. หนองหญ้าไซ
จ.สุพรรณบุรี ได้แก่ สไปนีโทแรม อีมาเมกตินเบนโซเอต คลอร์ฟีนาเพอร์ และไซแอนทรานิลิโพรล ในพื้นที่
อ. พนมทวน จ.กาญจนบุรี ได้แก่ ฟิโพรนิล สไปนีโทแรม อีมาเมกตินเบนโซเอต และคลอร์ฟีนาเพอร์ และใน
พื้นที่ อ. ลาดบัวหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา ได้แก่ สไปนีโทแรม อีมาเมกตินเบนโซเอต และคลอร์ฟีนาเพอร์
สารเหล่านี้เหมาะในการใช้แบบหมุนเวียนเพื่อป้องกันปัญหาความต้านทานต่อสารฆ่าแมลงในเพลี้ยไฟในพื้นที่
ดงั กล่าว (ภาพท่ี 21)

227



ฟิโพรนิล
แลมปด์ า-ไซฮาโลทรนิ
อิมดิ าโคลพรดิ
อะซที ามพิ ริด
สไปนีโทแรม
อมี าเมกตนิ เบนโซเอต
อะบาเมกติน
คลอรฟ์ นี าเพอร์
ไซแอนทรานลิ ิโพรล

ฟิโพรนิล ฟิโพรนิล
แลมปด์ า-ไซฮาโลทรนิ แลมปด์ า-ไซฮาโลทริน
อิมิดาโคลพริด อิมดิ าโคลพรดิ
อะซที ามิพริด อะซที ามิพริด
สไปนีโทแรม สไปนโี ทแรม
อีมาเมกตินเบนโซเอต อีมาเมกตินเบนโซเอต
อะบาเมกตนิ อะบาเมกตนิ
คลอรฟ์ นี าเพอร์ คลอรฟ์ ีนาเพอร์
ไซแอนทรานิลิโพรล ไซแอนทรานิลโิ พรล
cyantraniliprole cyantraniliprole
cyantraniliprole

อตั ราการตาย สูง = ท่อี ัตราแนะนำเพลี้ยไฟตาย 60-100% หรือทส่ี องเท่าของอัตราแนะนำเพลย้ี ไฟตาย 80-100%
อตั ราการตาย ปานกลาง = ทอ่ี ตั ราแนะนำเพลยี้ ไฟตาย 21-59% หรอื ท่สี องเทา่ ของอตั ราแนะนำเพล้ยี ไฟตาย 41-79%
อัตราการตาย ตำ่ = ทอ่ี ตั ราแนะนำเพล้ียไฟตาย 0-20% หรือที่สองเทา่ ของอตั ราแนะนำเพลย้ี ไฟตาย 0-40%

ภาพที่ 21 การตอบสนองต่อสารฆ่าแมลงชนิดต่าง ๆ ต่อการตายของเพลี้ยไฟฝา้ ยท่ีทำลายเมลอ่ นในแหลง่ ปลูก
จงั หวัดสพุ รรณบรุ ี กาญจนบุรี พระนครศรีอยธุ ยา

228

สถานการณ์ความตา้ นทานตอ่ สารฆา่ ไรในไรสองจุด (Tetranychus urticae Koch) ในสตรอวเ์ บอรร์ ี

สตรอวเ์ บอร์รีเป็นพชื ทนี่ ยิ มปลกู มากทางภาคเหนือ ปัญหาสำคญั ในการปลกู สตรอวเ์ บอรร์ ีคือมักพบ
การทำลายของไรสองจดุ อยูเ่ สมอ โดยไรสองจดุ จะดูดกนิ นำ้ เล้ียงทบ่ี รเิ วณใตใ้ บ เม่ือตน้ สตรอว์เบอร์รีถูกไร
ทำลายมากใบจะเปลยี่ นเปน็ สีน้ำตาลและรว่ งในทส่ี ุด ทำให้ต้นสตรอวเ์ บอรร์ ีหยุดการเจริญเติบโตและใหผ้ ลผลติ
นอ้ ย เนอ่ื งจากผลผลิตสตรอว์เบอร์รีสามารถขายได้ราคาดี เกษตรกรจึงมกี ารดูแลเอาใจใสใ่ นการป้องกนั กำจดั
ไรสองจดุ เปน็ อย่างดี เกษตรกรหลายรายมักใชส้ ารเคมีกำจัดศตั รูพชื ในการป้องกนั กำจัดไรสองจุดเน่ืองจาก
สะดวกและให้ผลรวดเร็วในการป้องกนั กำจัด แต่เกษตรกรมักใช้สารฆา่ ไรชนดิ เดิมหรือกลุ่มเดมิ ซ้ำ ๆ กนั ทำให้
ไรสองจดุ สรา้ งความตา้ นทานขนึ้ ในแหลง่ ปลกู สตรอว์เบอร์รีหลายแหง่

ณพชรกร และคณะ (2563) ได้รายงานว่าในปี พ.ศ. 2562 พบไรสองจดุ ในสตรอว์เบอรร์ ีในพ้ืนท่ี อ. แม่ริม
จ. เชียงใหม่ มีความต้านทานสูงมากต่อสารฆ่าไรไพริดาเบน (กลมุ่ 21A) จงึ ควรหยดุ พักการใชส้ ารชนิดน้ีและใช้
สารในกล่มุ อื่น และพบไรสองจุดในสตรอวเ์ บอร์รีในพ้นื ท่ีอืน่ ที่มีความตา้ นทานปานกลางต่อไพรดิ าเบน คือที่
อ. จอมทอง จ. เชยี งใหม่ ดังนั้นการใช้สารนใี้ นพน้ื ทีด่ งั กล่าวจงึ ไม่ควรใช้บ่อยครงั้ เพราะอาจทำใหไ้ รสองจุดเกิด
ความตา้ นทานสูงขน้ึ (ภาพท่ี 22)

ในพื้นที่ อ. แม่ริม จ. เชียงใหม่ พบไรสองจุดในสตรอว์เบอร์รีมีความต้านทานสูงมากต่อสารฆ่าไร
โพรพาไกต์ (กลุ่ม 12C) จงึ ควรหยดุ พักการใชส้ ารชนดิ นี้และเลอื กใชส้ ารกลุ่มอืน่ สว่ นไรสองจุดในสตรอว์เบอร์รี
ที่พบในพื้นที่อื่นที่มีความต้านทานปานกลางต่อโพรพาไกต์ คือที่ อ. เวียงสา จ. น่าน, อ. สะเมิง, อ. จอมทอง
จ. เชียงใหม,่ อ. เขาค้อ จ. เพชรบรู ณ์, อ. เชยี งคาน จ. เลย และ อ. แมส่ าย จ. เชยี งราย เนือ่ งจากสารชนิดน้ีมี
ความตา้ นทานหลายพ้นื ที่ ดังนน้ั จึงตอ้ งระมดั ระวงั ในการใช้โดยไม่ควรใชบ้ ่อยครั้งเพราะอาจทำให้ไรสองจุดเกิด
ความต้านทานสูงข้นึ ในอนาคต (ภาพที่ 23)

พบไรสองจุดในสตรอว์เบอร์รีมีความต้านทานปานกลางต่อสารเฟนไพรอกซิเมต (กลุ่ม 21A) ในพื้นที่
อ. สะเมงิ อ. จอมทอง จ. เชยี งใหม่ สว่ นในพน้ื ที่ อ. เวยี งสา จ. นา่ น และ อ. จอมทอง จ. เชียงใหม่ พบไรสอง
จุดในสตรอว์เบอรร์ มี คี วามตา้ นทานปานกลางต่อสารทีบเู ฟนไพแรด (กลมุ่ 2 1A) นอกจากนี้ในพน้ื ท่ี อ. เวยี งสา
จ. นา่ น, อ. แม่รมิ จ. เชยี งใหม่ ยงั พบไรสองจุดในสตรอวเ์ บอร์รมี ีความต้านทานปานกลางตอ่ สารสไปโรมีซิเฟน
(กลุ่ม 23) แต่ในพื้นที่บางแห่งของ อ. สะเมิง จ. เชียงใหม่ พบไรสองจุดในสตรอว์เบอร์รีมคี วามต้านทานสูงตอ่
สารสไปโรมซี ิเฟน (กลุ่ม 23) จึงควรหยุดพกั การใช้สารกลุ่มที่ไรสองจุดมีความต้านทานสูงและเปล่ียนไปใช้สาร
กลมุ่ อ่ืน นอกจากน้ียงั พบไรสองจุดในสตรอว์เบอร์รมี ีความต้านทานปานกลางต่อสารอะบาเมกติน (กลุม่ 6) ใน
พื้นที่บางแห่งของ อ. สะเมิง และ อ. จอมทอง จ. เชียงใหม่ ดังนั้นจึงต้องระมัดระวังการใช้สารเหล่านี้โดยไม่
ควรใช้บอ่ ยครัง้ เพราะอาจทำใหไ้ รสองจดุ สร้างความต้านทานสูงข้ึน (ภาพท่ี 24-27)

229

RF 0- 10 เทา่
RF 11- 40 เท่า
RF 41-60 เทา่
RF > 60 เทา่

ภาพท่ี 22 ความต้านทานตอ่ สารไพริดาเบน (กลมุ่ 21A) ในไรสองจดุ สตรอว์เบอรร์ จี ากพนื้ ทต่ี ่าง ๆ ของ
ประเทศไทยในช่วงปี 2562

RF (Resistance factor) = คา่ ความตา้ นทานตอ่ สารฆา่ ไรเมื่อเปรยี บเทยี บกบั ประชากรไรออ่ นแอ

230

RF 0- 10 เทา่
RF 11- 40 เทา่
RF 41-60 เทา่
RF > 60 เท่า

ภาพท่ี 23 ความตา้ นทานตอ่ สารโพรพาไกต์ (กลุ่ม 12C) ในไรสองจดุ สตรอวเ์ บอรร์ จี ากพ้ืนทีต่ ่าง ๆ ของ
ประเทศไทยในชว่ งปี 2562

RF (Resistance factor) = คา่ ความต้านทานตอ่ สารฆ่าไรเมื่อเปรยี บเทยี บกบั ประชากรไรออ่ นแอ

231

RF 0- 10 เทา่
RF 11- 40 เทา่
RF 41-60 เท่า
RF > 60 เทา่

ภาพที่ 24 ความต้านทานต่อสารเฟนไพรอกซิเมต (กลมุ่ 21A) ในไรสองจุดสตรอว์เบอร์รจี ากพ้ืนที่ตา่ ง ๆ ของ
ประเทศไทยในช่วงปี 2562

RF (Resistance factor) = คา่ ความต้านทานตอ่ สารฆ่าไรเมอื่ เปรยี บเทยี บกบั ประชากรไรออ่ นแอ

232

RF 0- 10 เทา่
RF 11- 40 เทา่
RF 41-60 เท่า
RF > 60 เท่า

ภาพท่ี 25 ความต้านทานต่อสารทีบเู ฟนไพแรด (กลมุ่ 21A) ในไรสองจุดสตรอวเ์ บอรร์ จี ากพืน้ ท่ีตา่ ง ๆ ของ
ประเทศไทยในช่วงปี 2562

RF (Resistance factor) = คา่ ความต้านทานตอ่ สารฆา่ ไรเมือ่ เปรยี บเทยี บกบั ประชากรไรอ่อนแอ

233

RF 0- 10 เท่า
RF 11- 40 เทา่
RF 41-60 เทา่
RF > 60 เท่า

ภาพที่ 26 ความตา้ นทานตอ่ สารสไปโรมซี เิ ฟน (กลุ่ม 23) ในไรสองจดุ สตรอว์เบอรร์ จี ากพื้นท่ีต่าง ๆ ของ
ประเทศไทยในช่วงปี 2562

RF (Resistance factor) = ค่าความต้านทานตอ่ สารฆ่าไรเมื่อเปรยี บเทยี บกบั ประชากรไรอ่อนแอ

234

RF 0- 10 เท่า
RF 11- 40 เทา่
RF 41-60 เท่า
RF > 60 เท่า

ภาพที่ 27 ความตา้ นทานต่อสารอะบาเมกติน (กล่มุ 6) ในไรสองจุดสตรอว์เบอรร์ จี ากพ้ืนท่ีตา่ ง ๆ ของ
ประเทศไทยในชว่ งปี 2562

RF (Resistance factor) = คา่ ความต้านทานตอ่ สารฆา่ ไรเมื่อเปรยี บเทยี บกบั ประชากรไรอ่อนแอ

235

สถานการณค์ วามต้านทานต่อสารฆา่ แมลงในหนอนกระทู้ขา้ วโพดลายจดุ (Spodoptera frugiperda
J.E. Smith)

หนอนกระทู้ข้าวโพดลายจุดเป็นแมลงศัตรูพืชชนิดใหม่ที่เพิ่งมีการระบาดทำลายข้าวโพดในประเทศ
ไทยเมื่อไม่นานมานี้ การระบาดทำลายของแมลงชนิดนี้รวดเร็วและรุนแรงมากจนทำให้ข้าวโพดไม่ได้ผลผลิต
เนอ่ื งจากแมลงชนิดนี้มีการระบาดทร่ี ุนแรงและทำความเสยี หายได้มาก เกษตรกรมักใช้สารฆา่ แมลงเพื่อป้องกัน
กำจัดแมลงชนิดนี้ได้ทันเวลา แต่การใช้สารฆ่าแมลงชนิดเดิมซ้ำกันบ่อยครั้งทำให้แมลงเกิดความต้านทานได้
ดังนั้นเพื่อป้องกันการเกิดปัญหาความต้านทานต่อสารฆ่าแมลงในหนอนกระทู้ข้าวโพดลายจุด จึงต้องมีการ
เลือกชนิดกลุ่มสารฆ่าแมลงเพื่อวางแผนการใช้สารฆ่าแมลงแบบหมุนเวียนตามกลุ่มกลไกการออกฤทธิ์อย่าง
เหมาะสม จึงจำเป็นต้องทราบข้อมูลความต้านทานของแมลงต่อสารฆ่าแมลงชนิดต่าง ๆ เพื่อเลือกใช้สารที่
หนอนกระทู้ขา้ วโพดลายจดุ ยงั ไม่เกิดความตา้ นทาน

สุภางคนา และคณะ (2563) ไดศ้ ึกษาผลของสารฆ่าแมลงชนิดตา่ ง ๆ ตอ่ การตายของหนอนกระทู้
ขา้ วโพดลายจุดในพนื้ ท่ปี ลกู ข้าวโพด อ. ท่าม่วง จ. กาญจนบรุ ี และศึกษาความต้านทานของสารอมี าเมกตนิ
เบนโซเอต 1.92% EC ในหนอนกระทู้ขา้ วโพดลายจุดในพื้นที่ปลูกขา้ วโพด อ.บึงสามพัน จ.เพชรบูรณ์ และ อ.ท่าม่วง
จ.กาญจนบรุ ี

ข้อมูลในปี พ.ศ. 2562 ชี้วา่ สารฆ่าแมลงที่มีพษิ สงู ต่อหนอนกระทขู้ ้าวโพดลายจดุ จาก อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี
โดยทำให้แมลงชนิดนี้ตาย 100% ในอัตราที่แนะนำและสามารถใช้ในการพ่นสารแบบหมุนเวียน ได้แก่ สไปนี
โทแรม 12% SC คลอร์ฟีนาเพอร์ 10% SC อีมาเมกตินเบนโซเอต 5% WG, เมทอกซีฟีโนไซต์/สไปนีโทแรม
30%/6% SC สไปนีโทแรม 25% WG, อินดอกซาคาร์บ15% SC และอีมาเมกตินเบนโซเอต 1.92% EC
(สุภางคนา และคณะ 2563) นอกจากนี้ยังพบว่าประชากรหนอนกระทู้ข้าวโพดลายจุดจากพื้นที่ปลูกข้าวโพด
ขนาดใหญใ่ น อ.บึงสามพนั จ.เพชรบรู ณ์ และ อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี มีความตา้ นทานต่อสาร อีมาเมกตินเบน
โซเอต ในระดับท่ตี ่ำมาก จึงยงั สามารถใชส้ ารนี้ในการพน่ สารแบบหมนุ เวียนได้ (ภาพท่ี 28-29)

236

ฟิโพรนิล 12% SC
คลอรฟ์ ีนาเพอร์
อมี าเมกตินเบนโซเอต 5% WG
เมทอกซฟี ีโนไซต์/สไปนโี ทแรม
สไปนีโทแรม 25% WG
อมี าเมกตนิ เบนโซเอต 1.92% EC
อนิ ดอกซาคาร์บ
ลูเฟนนรู อน
อะบาเมกติน/คลอรแ์ รนทรานิลิโพรล
ฟลูเบนไดอะไมด์/ไทอะโคลพริด
คลอร์แรนทรานิลโิ พรล
ฟลเู บนไดอะไมด์

อตั ราการตาย สูง = ที่อตั ราแนะนำหนอนตาย 60-100% หรือทส่ี องเท่าของอัตราแนะนำหนอนตาย 80-100%
อตั ราการตาย ปานกลาง = ทอ่ี ัตราแนะนำหนอนตาย 21-59% หรอื ท่สี องเท่าของอตั ราแนะนำหนอนตาย 41-79%
อตั ราการตาย ต่ำ = ท่อี ตั ราแนะนำหนอนตาย 0-20% หรือทสี่ องเทา่ ของอตั ราแนะนำหนอนตาย 0-40%

ภาพที่ 28 การตอบสนองต่อสารฆา่ แมลงชนดิ ต่าง ๆ ต่อการตายของหนอนกระทู้ข้าวโพดลายจุดท่ที ำลาย
ขา้ วโพดในแหลง่ ปลกู จงั หวดั กาญจนบรุ ี

237

RF < 1 เทา่
RF > 1- 10 เท่า
RF > 10-20 เท่า
RF > 20-50 เทา่
RF > 50-100 เทา่
RF > 100 เท่า

ภาพท่ี 29 ความต้านทานต่อสารอีมาเมกตนิ เบนโซเอต (กล่มุ 6) ในหนอนกระทขู้ า้ วโพดลายจุดที่
อ.บึงสามพนั จ.เพชรบรู ณ์ และ อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบรุ ีปี 2563-2564

RF (Resistance factor) = คา่ ความตา้ นทานตอ่ สารฆ่าแมลงเม่อื เปรียบเทยี บกับประชากรแมลงออ่ นแอ

238

บทสรปุ
ข้อมูลสถานการณ์ความต้านทานของศัตรูพืชชนิดต่าง ๆ เช่น ในหนอนใยผักที่ทำลายพืชตระกูล

กะหล่ำ เพลี้ยไฟที่ทำลายพริก กล้วยไม้ กุหลาบพวง มะม่วง มะนาว เมล่อน ไรสองจุดที่ทำลายสตรอวเ์ บอรร์ ี
และหนอนกระทู้ข้าวโพดลายจุดท่ีทำลายข้าวโพดในพื้นที่ต่าง ๆ นั้นสามารถนำมาใช้เป็นข้อมูลเบื้องต้นในการ
วางแผนการใช้สารแบบหมุนเวยี นเพ่ือแกป้ ญั หาความต้านทานต่อสารกำจัดศัตรูพชื สว่ นในพืน้ ที่ท่ีศัตรูพืชยังไม่
มีความต้านทานก็ควรใช้สารแบบหมุนเวียนได้เลยเพื่อเป็นการป้องกันการเกิดปัญหาในอนาคต จากข้อมูล
สถานการณ์ความต้านทานของศัตรูพืชชนิดต่าง ๆ ชีว้ า่ สารฆ่าแมลงและไรชนดิ ใดบ้างและกลุ่มใดบ้างที่ศัตรูพืช
มีความต้านทานสูงและควรงดใช้ หรือสารฆ่าแมลงและไรชนดิ ใดบ้างและกลุ่มใดบ้างท่ีศตั รูพืชมีความต้านทาน
น้อย และไม่มีความต้านทาน เพื่อให้นักวิชาการ เกษตรกร และผู้สนใจทั่วไป สามารถเลือกใช้ในการพ่นสาร
แบบหมุนเวียนตามกลุ่มกลไกการออกฤทธิ์หรือใช้ปรับปรุงแผนการใช้สารแบบหมุนเวียนเพื่อป้องกันและ
แก้ปญั หาศัตรพู ืชตา้ นทานตอ่ สารกำจัดศัตรพู ชื อยา่ งมีประสทิ ธิภาพ

239

คำแนะนำการใชส้ ารแบบหมุนเวยี นเพอ่ื แก้ปญั หาความต้านทาน
ตอ่ สารฆา่ แมลงและไรในพชื เศรษฐกจิ บางชนิด

บทนำ

การใช้สารแบบหมุนเวียนตามกลุม่ กลไกการออกฤทธข์ิ องสารฆา่ แมลงและไรเปน็ วิธีท่งี า่ ยท่สี ุดในการ
แก้ปญั หาความตา้ นทานต่อสารฆา่ แมลงและไร หลักในการใช้สารแบบหมุนเวยี นก็คือการใช้สารกล่มุ ใดกลุ่ม
หน่ึงในช่วงเวลาใดเวลาหนงึ่ เชน่ ชว่ งเวลา 1 ชั่วอายขุ ัยของแมลงหรือไร แล้วการใชส้ ารในชว่ งเวลาถัดมาจะต้อง
หลกี เลยี่ งการใช้สารกลมุ่ เดิมซ้ำกันกับสารที่ใช้ในช่วงอายุขัยแรก ในขณะนม้ี ีขอ้ มลู จากงานวจิ ัยหลาย ๆ งานท่ี
ทำให้สามารถวางแผนการใช้สารแบบหมุนเวียนเบื้องต้นเพื่อป้องกนั และแกป้ ัญหาความต้านทานในศัตรูพชื
หลายชนดิ ได้แก่ หนอนใยผกั ในพืชตระกูลกะหล่ำ เพล้ยี ไฟพริกในพริก กหุ ลาบพวง มะม่วง มะนาว เพลี้ยไฟ
ฝา้ ยในกลว้ ยไม้ และไรสองจดุ ในสตรอวเ์ บอรร์ ่ี

การออกแบบการใช้สารฆ่าแมลงและไรแบบหมุนเวียนกลุมกลไกการออกฤทธ์ิ

การออกแบบการใช้สารฆ่าแมลงหรอื ไรแบบหมนุ เวียนกลมุ่ กลไกการออกฤทธ์ิ ต้องเขา้ ใจหลักการใช้
สารแบบหมุนเวยี นอย่างแมน่ ยำ กล่าวคือการใชส้ ารกลุม่ ใดกลุ่มหนงึ่ ในช่วงเวลาใดเวลาหนึง่ เช่น ช่วงเวลา 1 ชวั่
อายขุ ยั ของแมลง ใช้สารกล่มุ ใดกลุม่ หน่งึ ไมเ่ กิน 3 คร้ัง แล้วในชว่ งเวลาถดั มาจะตอ้ งหลีกเลีย่ งการใช้สารกลุ่ม
เดมิ ซ้ำกนั กับสารทใ่ี ช้ในช่วงอายขุ ัยแรก นอกจากนั้นต้องมีความรู้และความเข้าใจในหลายศาสตร์ ได้แก่ ความรู้
เกย่ี วกบั ชวี วทิ ยาของแมลง นิเวศวิทยาของแมลง การเจรญิ เตบิ โตของพชื ชนดิ ต่างๆ ความรู้เก่ยี วกบั กลมุ่ กลการ
ออกฤทธิ์ และศลิ ปะในการออกแบบการใช้สารฆ่าแมลงและไรให้ลงระยะเวลาตามรอบอายขุ ัยของแมลงและไร
ศัตรพู ชื เพ่ือใหม้ ีประสิทธภิ าพในการรกั ษาระดบั ประชากรใหม้ รี ะดับตำ่ ทไี่ มก่ ่อให้เกดิ ความเสียหายทาง
เศรษฐกิจ โดยมรี ายละเอียดต่อไปน้ี

1. ต้องทราบสถานการณค์ วามต้านทานของแมลงและไรศัตรูพืชตอ่ สารฆา่ แมลงและไรในแต่ละพื้นที่
เพ่อื หลีกเลย่ี งการใช้สารเคมีในกลุ่มหรือชนดิ สารฆ่าแมลงและไรที่เกดิ ความต้านทาน และไมน่ ำมาใช้
ในการออกแบบการใช้สารฆา่ แมลงและไรแบบหมนุ เวียนกล่มุ กลไกการออกฤทธิ์กลุ่มกลไกการออก
ฤทธิ์

2. ต้องทราบวงจรชีวติ ของศตั รูพืชเปา้ หมายเพ่ือใชก้ ำหนดรอบการพ่นสาร เช่น เพลย้ี ไฟมีวงจรชวี ติ
ประมาณ 12-20 วนั ซ่งึ วงจรชวี ติ ของแมลงและไรข้นึ อยู่กับอุณหภูมขิ องสภาพแวดล้อม และเพอ่ื
สะดวกต่อการนำไปใช้ในการพน่ สารฆ่าแมลงและไร ดังนน้ั จึงกำหนดระยะวงจรชวี ติ ของเพล้ียไฟโดย
เฉล่ยี ท่ี 14 วนั หนอนผีเสอ้ื ขนาดกลาง เชน่ หนอนกระทู้ หนอนเจาะสมอฝ้าย มวี งจรชีวติ ประมาณ
25-40 วนั ระยะเวลาวงจรชวี ิตโดยเฉลย่ี คอื 30 วนั เปน็ ตน้

3. ทราบระยะการเจรญิ เตบิ โตของพืชที่ศตั รูพืชเป้าหมายลงทำลาย และชว่ งระยะเวลาการเจริญเติบโต
เพอ่ื กำหนดชว่ งในการจดั การการใชส้ ารแบบหมุนเวยี นกลมุ่ กลไกการออกฤทธ์ใิ หม้ ีประสิทธิภาพ
สามารถรกั ษาระดบั ประชากรให้อยู่ในระดับต่ำที่ไม่กอ่ ใหเ้ กิดความเสียหายทางเศรษฐกจิ เช่น เพล้ยี
ไฟฝ้ายในกล้วยไมจ้ ะลงทำลายช่อดอก ซ่ึงในการปลกู กลว้ ยไม้สกุลหวายเปน็ การค้าจะมีชอ่ ดอกอยู่ใน
แปลงทั้งปี หรือในกรณีมะม่วงช่วงการระบาดของเพลีย้ ไฟพริกจะลงทำลายตัง้ แตร่ ะยะแตกใบอ่อน
ระยะดอก จนถึงระยะผลอ่อน

240

4. ตอ้ งทราบประสทิ ธิภาพและความยาวนานของประสทิ ธิภาพสารฆ่าแมลงและไรศตั รูพืช ซึง่ สารแตล่ ะ
ชนดิ ในพชื ปลูกแต่ละชนดิ มีประสิทธภิ าพในการควบคมุ แมลงและไรศตั รูพืชไม่เท่ากัน เชน่
- ในกุหลาบพวง สารกลุ่ม 5 สไปนโี ทแรม 12% SC อตั รา 10 และ 20 มล./น้ำ 20 ลติ ร มี
ประสทิ ธภิ าพดีในการปอ้ งกนั กำจัดเพล้ยี ไฟได้ 70-85% นาน 10-12 วนั ในขณะท่ีเพลยี้ ไฟพริกใน
มะม่วง สาร สไปนีโทแรม 12% SC อตั รา 20 มล./นำ้ 20 ลติ ร มปี ระสิทธิภาพในการป้องกนั กำจัด
70-80% นาน 3-10 วัน แต่ที่อตั รา 10 มล./นำ้ 20 ลติ ร ประสิทธิภาพในการป้องกันกำจดั เพียง
50-70 % นาน 3-5 วนั
- ในกล้วยไม้ สารกลุ่ม 5 สไปนโี ทแรม 12% SC อตั รา 10 และ 15 มล./น้ำ 20 ลติ ร มีประสิทธิภาพ
ในการปอ้ งกนั กำจัดเพลี้ยไฟฝ้าย 80-92% นาน 7-14 วัน กลุ่ม 13 คลอร์ฟีนาเพอร์ 10% SC อัตรา
30 มล./น้ำ 20 ลิตร มีประสทิ ธิภาพในการป้องกนั กำจัดเพล้ียไฟฝ้าย 70-95% นาน 10-12 วัน
กล่มุ 28 ไซแอนทรานลิ ิโพรล 10% OD อตั รา 40 มล./น้ำ 20 ลติ ร มีประสทิ ธภิ าพในการป้องกัน
กำจัดเพลี้ยไฟฝ้าย 70-80% นาน 7-10 วัน และ กลมุ่ 2 ฟิโพรนลิ 5%SC อตั รา 30 และ 50 มล./
นำ้ 20 ลติ ร มีประสทิ ธภิ าพในการป้องกันกำจัดเพลยี้ ไฟฝ้าย 70-80% นาน 7-10 วัน สารฆา่ แมลง
ทม่ี ีประสทิ ธิภาพปานกลาง คือ กล่มุ 6 อีมาเมกตินเบนโซเอต 1.92% EC อตั รา 20 และ 30 กรมั /
นำ้ 20 ลติ ร มปี ระสิทธิภาพในการปอ้ งกนั กำจัด 70-80% นาน 5 วัน
นอกจากการคำนึงถึงประสทิ ธิภาพและความยาวนานของประสิทธภิ าพสารฆ่าแมลงและไรแล้ว
ต้นทนุ การพ่นสารเปน็ อีกปัจจัยทีต่ ้องคำนึงถึง จากการทำงานวจิ ยั พบว่าสารทมี่ ีประสิทธิภาพดีมักมี
ต้นทนุ การพน่ สารค่อนข้างสูง ดงั นั้นต้องคำนงึ ถงึ ตน้ ทุนการพ่นสารให้สอดคล้องกับราคาผลผลติ ของ
พืชปลูกดว้ ย เพราะหากสารเคมที น่ี ำมาให้มรี าคาสงู เกินไป อาจเปน็ การเพ่มิ ต้นทุนใหแ้ ก่เกษตรกร และ
อาจทำใหเ้ กษตรกรไมเ่ ลอื กสารเคมชี นดิ น้ันมาใชใ้ นการหมุนเวยี นกลมุ่ สารเคมี

5. การออกแบบการใช้สารฆ่าแมลงและไรแบบหมนุ เวียนกลมุ่ กลไกการออกฤทธิ์ ผอู้ อกแบบต้องเขา้ ใจ
หลกั การใชส้ ารแบบหมนุ เวียนอยา่ งแม่นยำ กลา่ วคือการใช้สารกล่มุ ใดกลมุ่ หน่ึงในช่วงเวลาใดเวลา
หน่งึ เช่น ชว่ งเวลา 1 ช่วั อายขุ ัยของแมลง ใช้สารกลุ่มใดกลุม่ หนึ่งไมเ่ กนิ 3 คร้ัง โดยพจิ ารณาสารท่ีมี
ประสิทธภิ าพระดบั ต่างๆ ซงึ่ สามารถดูจากเปอรเ์ ซน็ ตป์ ระสิทธภิ าพ มากกว่า 50 เปอรเ์ ซ็นตข์ นึ้ ไป โดย
พิจารณาข้อมูลความยาวนานในการป้องกันกำจัด และต้นทนุ การพน่ สาร นอกจากการเลอื กใช้สาร
กลุม่ ตา่ งๆ ที่มปี ระสทิ ธิภาพสูงในการหมนุ เวียนฯ แล้วสารทีม่ ปี ระสิทธภิ าพปานกลาง-ต่ำก็สามารถ
นำมาใชใ้ นระบบการหมนุ เวยี นได้ โดยทีจ่ ะต้องใชส้ ารทม่ี ีประสทิ ธิภาพปานกลาง-ตำ่ ตามหลังกลุม่ สาร
ท่มี ีประสทิ ธภิ าพสูงในชว่ งเวลาที่เหมาะสม (ศรีจำนรรจ์ และคณะ 2562)

6. ควรออกแบบการหมุนเวยี นกลุม่ สารตามกลไกการออกฤทธ์ิหลาย ๆ แบบ แลว้ ลองนำมาทดสอบผลใน
การปอ้ งกันกำจัดในสภาพแปลง เพอื่ เปรยี บทียบประสิทธิภาพการใช้สารแบบหมุนเวียนแบบตา่ ง ๆ
ในการรักษาระดับประชากรศัตรูพืชใหอ้ ยู่ในระดบั ต่ำทไี่ มก่ ่อให้เกดิ ความเสียหายทางเศรษฐกจิ และ
เปรียบเทยี บตน้ ทนุ การพน่ สารรูปแบบตา่ ง ๆ

241

ตัวอย่างการออกแบบการใช้สารฆา่ แมลงแบบหมุนเวยี นกลุ่มกลไกการออกฤทธเิ์ พื่อปอ้ งกันกำจัด
เพล้ียไฟฝ้ายในกลว้ ยไม้ : รอบอายุขัยของเพล้ียไฟฝา้ ยประมาณ 14 วนั
- สารกลุม่ 5 สไปนโี ทแรม 12% SC อัตรา 10 และ 15 มล./นำ้ 20 ลิตร มีประสทิ ธิภาพดีสดุ ในการ

ป้องกันกำจัด 80-92% นาน 7-14 วนั แต่เมือ่ ดรู ายละเอยี ดประสิทธภิ าพในสภาพแปลงในแตล่ ะ
พืน้ ที่ พบวา่ ท่ี อ.เมืองนครปฐม จ.นครปฐม สารสไปนีโทแรม 12% SC อตั รา 10 และ 15 มล./น้ำ
20 ลติ ร มปี ระสทิ ธิภาพ 82-84% นาน 14 วัน ในขณะที่แปลง อ.ลาดหลมุ แก้ว จ.ปทุมธานี มี
ประสทิ ธภิ าพ 85-93% นานเพยี ง 7 วัน หากต้องการออกแบบให้พน่ 1 ครัง้ ต่อรอบอายุขยั ของ
เพล้ยี ไฟฝ้ายอาจต้องพ่นในอัตราที่ 20 มล./น้ำ 20 ลติ ร เพ่ือลดจำนวนคร้งั ในการพ่น
- สารกลมุ่ 2A ฟิโพรนิล 5%SC อัตรา 50 มล./นำ้ 20 ลิตร มีประสิทธิภาพดีในการป้องกนั กำจัด 70-
80% นาน 7-12 วัน ในการออกแบบการใช้สารฆ่าแมลงควรเลือกพ่นทกุ 7 วัน
- สารกลุ่ม 6 อะบาเมกตนิ 1.8% EC อตั รา 50 มล./นำ้ 20 ลติ ร ซง่ึ มปี ระสทิ ธภิ าพปานกลาง-ตำ่
50-70% นาน 5 วันในสองแปลงทดสอบ ในการออกแบบการใช้สารฆา่ แมลงควรเลือกที่ 5 วนั
นอกจากนน้ั สารชนดิ นมี้ ีต้นทุนการพ่นสารท่ีต่ำอีกด้วย
จากข้อมลู ท่ีกล่าวมาสามารถนำมาออกแบบได้ดงั นี้

สไปนโี ทแรม (กลมุ่ 5) 1 ครัง้

ฟิโพรนิล อะบาเมกติน
(กลุ่ม 2B) 50 มล. (กลมุ่ 6)
3 คร้งั
2 คร้งั

การออกแบบการใช้สารฆ่าแมลงแบบหมนุ เวียนกลุ่มกลไกการออกฤทธิ์เพอื่ ป้องกนั กำจดั หนอนผเี สื้อ
ศตั รูพชื :

กรณหี นอนผีเสื้อศตั รูพชื เนื่องจากหนอนผีเสื้อขนาดกลางบางชนิด เช่น หนอนกระทู้ หรือหนอนเจาะ
สมอฝา้ ย มชี ัว่ อายขุ ยั ประมาณ 30 วนั ในการออกแบบการหมุนเวียนกลุ่มกลไกการออกฤทธ์ิ ใน 1 รอบอายขุ ยั
อาจตอ้ งใช้สาร 2-3 กลุม่ กลไกการออกฤทธ์ิ ฉะนัน้ การใชก้ ลุมสารในชว่ งเวลาถดั มาจะต้องหลีกเลี่ยงการใช้สาร
กลุ่มเดมิ ซ้ำกนั กบั สารทใี่ ช้ในช่วงอายุขัยแรก (ดูรายละเอียดคำแนะนำการหมุนเวียนกลุม่ กลไกการออกฤทธไิ์ ดท้ ี่
หน้า 243)

การออกแบบการใช้สารฆ่าแมลงแบบหมนุ เวยี นกลมุ่ กลไกการออกฤทธิ์เพือ่ ป้องกนั กำจดั ไรศตั รูพืช:

ไรศัตรูพชื มชี ั่วอายุขัยค่อนข้างสั้น โดยไรแดงและไรขาวประมาณ 14 วัน ไรส่ขี าประมาณ 12 วนั
และสารฆา่ ไรชนดิ ทีม่ รี ะยะเวลาของประสิทธภิ าพสารนานกว่าช่วั อายุขยั ของไรศัตรูพชื เปา้ หมายในการ
ออกแบบการใช้สารแบบหมนุ เวียนกล่มุ กลไกการออกฤทธิ์นัน้ สามารถใช้ชนิดของสารฆา่ ไรน้นั เพยี ง 1 ครงั้ ใน
แต่ละรอบการหมุนเวยี นสารไดเ้ ลย ยกเว้นสารฆา่ ไรที่มรี ะยะเวลาของประสทิ ธภิ าพสารสั้นกว่าชว่ั อายขุ ยั ของไร

242

ศตั รพู ชื เป้าหมาย ควรกำหนดช่วงพ่นใหเ้ หมาะสมในแต่ละรอบอายุขัยของไรชนดิ นน้ั (ดูรายละเอยี ดคำแนะนำ
การหมนุ เวียนกลมุ่ กลไกการออกฤทธิ์ได้ท่หี น้า 249)

การออกแบบการใช้สารฆ่าแมลงแบบหมุนเวียนกลุ่มกลไกการออกฤทธิ์เพื่อป้องกันกำจัดแมลงและไร
ศัตรูพืชให้มีประสิทธิภาพนั้น ควรออกแบบหลายรูปแบบจากนั้นนำมาทดสอบประสิทธิภาพในการป้องกัน
กำจัดในสภาพแปลงปลูก โดยดูการรักษาระดับประชากรศตั รพู ืชให้อยูใ่ นระดับต่ำที่ไม่ก่อให้เกิดความเสียหาย
ทางเศรษฐกิจ และตน้ ทุนการพ่นสาร

คำแนะนำการการใช้สารฆ่าแมลงและไรแบบหมุนเวียนกลุ่มกลไกการออกฤทธิ์ในเอกสารฉบับนี้ได้มา
จากผลงานวิจัย เกษตรกรหรือนักวิชาการที่สนใจ สามารถนำคำแนะนำในเอกสารนี้ไปประยุกต์ใช้ในสภาพ
แปลงปลกู ของตนเอง โดยอาจนำสารฆา่ แมลงทม่ี ีประสิทธภิ าพในแปลงมาแทนสารฆ่าแมลงท่ีแนะนำได้ โดยยึด
หลักสารฆ่าแมลงและไรชนิดแรกในการหมุนเวียนควรมีประสิทธิภาพดีที่สุด เพื่อลดประชาการศัตรูพืชให้
ได้มากที่สุด ตามด้วยสารฆ่าแมลงและไรที่มีประสิทธภิ าพการป้องกันกำจัดมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ เพื่อรักษา
ระดบั ประชากรให้ตำ่ ตลอดชว่ งการระบาด ในชว่ งพน่ ทีม่ ปี ระสทิ ธภิ าพ (ความยาวนานของประสิทธภิ าพสารฆ่า
แมลงและไร) ซงึ่ ก็จะได้รปู แบบการใช้สารฆ่าแมลงหรือไรแบบหมุนเวียนกลุ่มกลไกการออกฤทธ์ิท่ีเหมาะสมกับ
สภาพแปลงปลูกของตนเอง


Click to View FlipBook Version