ปทมุ มา (Siam tulip) 143
หมายเหตุ
สารป้องกนั กำจดั ศตั รูพืช
ศตั รูพชื ช่อื สามัญ % กลุ่ม ระดบั วิธกี ารใช้
เพลี้ยแป้ง สารออกฤทธิ์ กลไกการ แชห่ ัวพันธป์ุ ทุมมา หรอื พน่
(Rhizoecus ไทอะมที อกแซม และสูตร ออกฤทธิ์ ความเป็น อตั รา สารฆา่ แมลงบรเิ วณโคนต้น
sp.) (thiamethoxam) พษิ -WHO การใช้ เมอ่ื พบการระบาดในแปลง
25% WG 4A ปทุมมา
ดว้ งกาแฟ อมิ ดิ าโคลพรดิ (LD50)
(Araecerus (imidacloprid) รองก้นหลมุ กอ่ นปลูก และ
fasciculatus) - 4 กรมั / โรยรอบ ๆ โคนต้นทกุ เดอื น
ไดโนทีฟแู รน
(dinotefuran) (1,563) น้ำ 20 พ่นสารฆา่ แมลงบริเวณโคน
ต้นทกุ 7 วัน
โพรไทโอฟอส ลิตร
(prothiofos)
70% WG 4A ปาน 4 กรัม/
มาลาไทออน
(malathion) กลาง น้ำ 20
ไดโนทีฟูแรน (131) ลิตร
(dinotefuran)
คาร์แทปไฮโดรคลอ 10% WP 4A - 40
ไรด์ (cartap
hydrochloride) (>2,000) กรัม/น้ำ
ฟโิ พรนลิ
(fipronil) 20 ลติ ร
ไทอะมีทอกแซม 50% EC 1B ปาน 50 มล./
(thiamethoxam)
กลาง นำ้ 20
อมิ ดิ าโคลพริด
(imidacloprid) (925) ลิตร
83% EC 1A น้อย 20 มล./
(1,778) นำ้ 20
ลติ ร
1 % G 4A - 1 กรมั /
(>2,000) หลุม
4 % G 14 ปาน 1 กรัม/
กลาง หลมุ
(250)
5% SC 2B ปาน 40 มล./
กลาง น้ำ 20
(92) ลิตร
25% WG 4A - 2 กรมั /
(1,563) น้ำ 20
ลิตร
70% WG 4A ปาน 2 กรมั /
กลาง น้ำ 20
(131) ลิตร
144
เยอร์บีร่า(Gerbera)
การพน่ สารฆ่าแมลงด้วยเคร่ืองพ่นสารแบบสบู โยกสะพายหลัง (knapsack sprayer) ใช้น้ำไรล่ ะ 140 ลติ ร
สารป้องกนั กำจดั ศัตรพู ืช
ศตั รูพืช ชอ่ื สามัญ % กลุ่ม ระดบั วธิ กี ารใช้ หมายเหตุ
สารออกฤทธิ์ กลไกการ พน่ เม่ือพบการระบาด ควร ถา้ มีการระบาดของ
เพลย้ี ไฟขอบ อมิ ดิ าโคลพรดิ และสูตร ออกฤทธิ์ ความเป็น อตั รา
พิษ-WHO การใช้
10% SL 4A
(LD50)
ปาน 10 มล./
ปล้องหยัก (imidacloprid) กลาง น้ำ 20 พน่ ทกุ 3-4 วัน เพลีย้ ออ่ นดว้ ย ควร
(Microcephalo (131) ลิตร ใชส้ ารอิมดิ าโคล
-thrips ฟโิ พรนลิ 5% SC 2B ปาน 30 มล./ พริด
abdominalis) (fipronil) กลาง น้ำ 20
(92) ลติ ร
มะลิ (Jasmine)
การพน่ สารฆ่าแมลงด้วยเครื่องพน่ สารแบบสบู โยกสะพายหลงั (knapsack sprayer)
ต้ังแต่ปลกู ถึงอายุ 6 เดือน ใช้นำ้ ไร่ละ 60-80 ลิตร อายุเกนิ 6 เดือน ใช้นำ้ ไรล่ ะ 120-140 ลิตร
สารป้องกันกำจดั ศตั รพู ืช
ศตั รูพชื ชอื่ สามัญ % กลุม่ ระดบั วิธีการใช้ หมายเหตุ
สารออกฤทธิ์ กลไกการ พน่ เม่อื พบการระบาดของ
เพลย้ี ไฟพริก สไปนีโทแรม และสูตร ออกฤทธิ์ ความเปน็ อตั รา
พิษ-WHO การใช้
12% SC 5
(LD50)
ไมม่ พี ษิ 20 มล./
(Scirtothrips (spinetoram) เฉียบพลัน น้ำ 20 เพล้ียไฟในมะลิ ควรพน่ สาร
dorsalis) (>5,000) ลติ ร หมุนเวียนกลมุ่ กลไกการออก
เพลย้ี ไฟกะเพรา อมิ ิดาโคลพรดิ 70% WG 4A ปาน 15 ฤทธ์ิ โดยใชว้ งรอบ 14 วัน
(Bathrips กลาง กรมั /นำ้ ต่อหนึง่ กลุ่มสาร โดยพ่นสาร
(imidacloprid)
melanicornis) (131) 20 ลติ ร วงรอบละไม่เกนิ 3 คร้ัง เพอ่ื
เพล้ียไฟดอกถ่ัว อีมาเมกตินเบนโซเอต 1.92% EC 6 - 20 มล./ ชะลอการสร้างความ
(Megarulothrips (emamectin (76) น้ำ 20 ต้านทานตอ่ สารฆา่ แมลง
usitatus)
benzoate) ลิตร
ฟิโพรนลิ 5% SC 2B ปาน 30 มล./
(fipronil) กลาง นำ้ 20
(92) ลติ ร
หนอนเจาะดอก สไปนีโทแรม 12% SC 5 ไมม่ พี ิษ 30 มล./ พน่ สารฆ่าแมลงทุก 5 วัน
มะลิ (spinetoram) เฉยี บพลนั นำ้ 20 เมื่อพบการระบาด
(Hedecasis (>5,000) ลิตร
duplifascialis) ฟลูเบนไดอะไมด์ 20% WG 28 น้อย 15
(flubendiamide) (≥2,000) กรัม/น้ำ
20 ลติ ร
อีมาเมกตินเบนโซเอต 5% WG 6 - 40
(emamectin (76) กรัม/นำ้
benzoate) 20 ลิตร
145
กลว้ ยไม้ (Dendrobium)
การพ่นสารฆ่าแมลงและไรด้วยเครอ่ื งพ่นสารแบบแรงดนั นำ้ สงู (high pressure pump sprayer)
พ่นช่อดอกใชน้ ำ้ ไร่ละ 120 ลติ ร พน่ ทั้งตน้ ใชน้ ำ้ ไรล่ ะ 120-200 ลิตร (ขึ้นอยู่กบั ขนาดและความสมบูรณข์ องตน้ กล้วยไม้)
สารป้องกนั กำจดั ศตั รูพชื
ศัตรพู ชื ชอ่ื สามญั % กลมุ่ ระดบั วิธีการใช้ หมายเหตุ
สารออกฤทธิ์ กลไกการ พน่ สารแบบหมุนเวยี นตาม ประสิทธภิ าพการ
เพล้ียไฟฝา้ ย สไปนีโทแรม และสูตร ออกฤทธ์ิ ความเป็น อตั รา
พษิ -WHO การใช้
12% SC 5
(LD50)
ไมม่ ีพิษ 10-20
(Thrips palmi) (spinetoram) เฉียบพลัน มล./นำ้ กลมุ่ กลไกการออกฤทธ์ิ โดย ป้องกนั กำจัด 80-92
(>5,000) 20 ลติ ร ใชร้ อบการหมนุ เวยี นทุก 14 % นาน 7-14 วนั
คลอร์ฟีนาเพอร์ 10% SC 13 ปาน 30 มล./ วัน เมือ่ พบการระบาด เพอ่ื ประสทิ ธภิ าพการ
กลาง น้ำ 20 ชะลอความตา้ นทานตอ่ สาร ปอ้ งกันกำจดั 70-
(chlorfenapyr) (441) ลติ ร ฆ่าแมลง เนน้ การพ่นที่ 95% นาน 10-12
บริเวณช่อดอก วัน
ไซแอนทรานลิ ิโพรล 10% OD 28 - 40 มล./ ประสทิ ธภิ าพในการ
cyantraniliprole (>5,000) นำ้ 20 ปอ้ งกนั กำจดั 70-
ลติ ร 80% นาน 7-10 วัน
ฟโิ พรนลิ 5% SC 2B ปาน 30-50 ประสิทธภิ าพในการ
(fipronil) กลาง มล./นำ้ ปอ้ งกนั กำจัด 70-
(92) 20 ลิตร 80% นาน 7-10วัน
อมี าเมกตินเบนโซเอต 1.92% EC 6 - 20-30 ประสทิ ธภิ าพในการ
(emamectin (76) มล./นำ้ ป้องกนั กำจดั 70-
benzoate) 20 ลติ ร 80% นาน 5 วัน
บ่วั กลว้ ยไม้ ไทอะมีทอกแซม 14.1/10.6 4A/3A -/ปาน 30 มล./ พ่นเม่อื พบอาการทำลาย ประสิทธภิ าพในการ
(Contarinia แลมบ์ดา-ไซฮาโลทริน % ZC กลาง นำ้ 20 ของบัว่ กล้วยไม้ 5-10 % ทกุ ปอ้ งกันกำจดั 80-97%
maculipennis) (thiamethoxam)/ (>1,563 ลิตร 5 วนั ครง้ั จนกวา่ สุม่ ไมพ่ บ
lambda-cyhalothrin) อาการทำลาย (สมุ่ 40 ชอ่
/56)
อมิ ิดาโคลพรดิ ดอก/ไร่) เนน้ การพน่ ท่ี ประสทิ ธภิ าพในการ
(imidacloprid) + 70% WG 4A + 3A ปาน 5 กรมั บรเิ วณช่อดอก ป้องกันกำจดั 75-95%
+ 35% กลาง + 30
ไซเพอรเ์ มทรนิ EC (450+287) มล./นำ้
(cypermethrin) 20 ลิตร
โพรฟโี นฟอส 50% EC 1B ปาน 60 มล./ ประสทิ ธภิ าพในการ
(profenofos) กลาง 20 ลติ ร ป้องกันกำจัด 70-90 %
(358)
อะซีทามิพริด 20% SP 4A ปาน 20 ประสทิ ธภิ าพในการ
(acetamiprid) กลาง กรมั /20 ป้องกันกำจัด 70-90 %
(146) ลิตร
อะบาเมกตนิ 1.8% EC 6 ร้าย 40 มล./ ประสิทธภิ าพในการ
(abamectin) แรง 20 ลติ ร ปอ้ งกันกำจัด70-90%
(10)
สารป้องกนั กำจดั ศัตรพู ืช 146
ศัตรูพชื ชอ่ื สามัญ % กล่มุ ระดบั วธิ ีการใช้ หมายเหตุ
สารออกฤทธิ์ กลไกการ
หนอนกระทู้ และสตู ร ออกฤทธ์ิ ความเปน็ อัตรา พน่ ให้ท่ัวเมอื่ พบการระบาด - ถา้ พบหอยทากอยู่
หอม พษิ -WHO การใช้ ของหนอนกระท้หู อม 1 ตวั / บนตน้ มากให้พ่น
(Spodoptera นวิ เคลียรโ์ พลฮี โี ดรซสี SC UNV ตน้ สารบนเครือ่ งปลูก
exigua) ไวรสั หรอื เอ็นพีวี (LD50) และส่วนโคนต้น
หนอนกระทูห้ อม WDG 11 ผสมนำ้ พน่ ให้ถกู ตวั หอยทากท่ี กลว้ ยไม้ โดย
หอยทากซัคซิ (Nucleopolyhedrosis 20% WG 28 - 30 มล./ อยบู่ นพนื้ ดนิ ตามทางเดิน หลกี เลี่ยงไมใ่ หถ้ ูก
เนีย virus or SeNPV) นำ้ 20 ระหวา่ งโตะ๊ วางกลว้ ยไม้ และ ดอก
Succinea ลติ ร บนวสั ดุปลกู - การพ่นด้องให้ถกู
minuta บาซิลลสั ทูริงเยนซสิ ใช้หวา่ นบนพ้ืนดนิ ตามทางเดิน ตวั หอยทาก
หอยเจดีย์ใหญ่ (Bacillus - 60 ระหว่างโตะ๊ วางกลว้ ยไม้ และ จำเป็นต้องพ่น
Prosopea thuringiensis) กรัม/นำ้ บนวสั ดุปลกู หรือวางเป็นจุด นำ้ เปลา่ ใหท้ วั่ สวน
walkeri 20 ลติ ร บนพนื้ ดนิ ท่ีชื้นบริเวณขาโตะ๊ เพื่อชักนำใหห้ อย
หอยเจดียเ์ ลก็ ฟลูเบนไดอะไมด์ และบนวสั ดุปลกู ใหท้ ่ัวสวน ออกจากทห่ี ลบซ่อน
Lamellaxis (flubendiamide) น้อย 8 กรัม/ นำผงกากชามาตม้ กับนำ้ จน เสยี กอ่ น
gracilis (≥2,000) น้ำ 20 เดอื ดประมาณ 10 นาที กรอง - ควรพน่ ตอนเช้าตรู่
ทากเลบ็ มือนาง อีมาเมกตนิ เบนโซเอต 1.92% EC 6 เอากากชาออกนำน้ำทกี่ รอง และหยดุ การให้นำ้
Parmarion (emamectin 10% EC 15 ลติ ร ไดม้ าพน่ ใหถ้ ูกตวั หอยทากที่ กลว้ ยไม้นาน 1-2
siamensis benzoate) - 15 มล./ อยูบ่ นพื้นดนิ ตามทางเดนิ วันหลังจากพน่
(76) นำ้ 20 ระหวา่ งโตะ๊ วางกล้วยไม้ และ - ปรับหวั ฉดี ใหเ้ ป็น
โนวาลรู อน บนวสั ดปุ ลูก ละอองฝอย และพน่
(novanuron) ลิตร - ใช้หว่านบนพนื้ ดินตามทาง ให้ชมุ่ ทว่ั สวน
ไมม่ พี ิษ 10 มล./ เดนิ ระหวา่ งโตะ๊ วางกล้วยไม้
เมทอกซีฟีโนไซด์ 24% SC 18 เฉียบพลนั น้ำ 20 และบนวัสดุปลูก หรอื วางเปน็
(methoxyfenozide) (>5,000) ลิตร จดุ บนพ้ืนดนิ ที่ชืน้ บรเิ วณขา
ไมม่ ีพษิ 10 มล./ โต๊ะ และบนวสั ดปุ ลกู ให้ท่วั
นโิ คลซาไมด์ -โอลา 83.1% - เฉยี บพลนั น้ำ 20 สวน
มนี (niclosamide- WP (>5,000) ลติ ร
olamine) ไมม่ พี ษิ 40
เฉยี บพลนั กรัม/
เมทลั ดไี ฮด์ 5% GB - (5,000) น้ำ 20
(metaldehyde) ลิตร)
ปาน 1,000
กากเมลด็ ชา 10% - กลาง กรมั /ไร่
(saponin) saponin
(630)
- 1,000
กรัม/นำ้
20 ลิตร
หรือ
หวา่ น
5,000
กรัม/ไร่
ลีลาวดี (Plumeria) 147
หมายเหตุ
สารป้องกันกำจัดศัตรูพชื
ศตั รพู ืช ชื่อสามญั % กลุ่ม ระดบั วธิ กี ารใช้
สารออกฤทธ์ิ กลไกการ พ่นเมื่อพบการระบาด
เพลย้ี แปง้ อมิ ิดาโคลพรดิ และสตู ร ออกฤทธิ์ ความเป็น อัตรา
(Ferrisia (imidacloprid) พิษ-WHO การใช้
virgata, 70% WG 4A
Paracoccus ไดโนทีฟูแรน (LD50)
marginatus, (dinotefuran)
Dysmicoccus ปาน 4 กรมั /
neobrevipes, ไทอะมที อกแซม +
Pseudococcus ไวตอ์ อยล์ กลาง น้ำ 20
cryptus, (thiamethoxam
Planococcus +white oil) (131) ลติ ร
minor,
Phenacoccus 10% WP 4A - 20
solenopsis,
Nipaecoccus (>2,000) กรมั /น้ำ
viridis,
Rastrococcus 20 ลิตร
sp.)
25%WG+ 4A+UNE ปาน 2 กรัม+
67%EC กลาง 50 มล./
(>1,563 นำ้ 20
+15,000) ลติ ร
อมิ ิดาโคลพรดิ +ไวต์ 70%WG+ 4A+ UNE ปาน 2 กรมั +
ออยล์ (imidacloprid 67%EC กลาง 50 มล./
+white oil) (131+ นำ้ 20
ลิตร
ไดโนทฟี ูแรน +ไวต์ 10%WP+ 4A+ UNE 15,000)
ออยล์ (dinotefuran 67%EC 10
- กรัม+50
+white oil) (>2,000+ มล./นำ้
20 ลติ ร
ไทอะมีทอกแซม 25%WG 4A 15,000)
(thiamethoxam) 4 กรัม/
- นำ้ 20
ลติ ร
(>1,563)
148
กุหลาบ (Rose)
การพน่ สารฆ่าแมลงและไรดว้ ยเคร่ืองพน่ สารแบบแรงดนั น้ำสูง (high pressure pump sprayer)
พน่ อัตรา 120-160 ลิตร/ไร่ (ขึ้นอย่กู ับขนาดของทรงพมุ่ )
สารป้องกันกำจดั ศตั รูพืช
ศตั รูพืช ชื่อสามัญ % กลุ่ม ระดบั วธิ กี ารใช้ หมายเหตุ
สารออกฤทธิ์ กลไกการ พน่ สลบั กลมุ่ หมุนเวยี นตาม ประสทิ ธภิ าพการ
เพล้ยี ไฟพรกิ สไปนีโทแรม และสูตร ออกฤทธิ์ ความเป็น อัตรา
พษิ -WHO การใช้
12% SC 5
(LD50)
ไมม่ ีพิษ 10-20
(Scirtothrips (spinetoram) เฉียบพลัน มล./นำ้ กลไกการออกฤทธ์ิ โดยใช้ ปอ้ งกนั กำจัด
dorsalis) (>5,000) 20 ลิตร รอบการหมุนเวียนทุกรอบ 70-85% นาน
14 วัน รอบละไม่เกิน 3 คร้งั 10-12 วัน
ไซแอนทรานลิ โิ พรล 10% OD 28 - 40 มล./ เมอ่ื พบการระบาด เพื่อ ประสทิ ธภิ าพการ
(>5,000) น้ำ 20 ชะลอความต้านทานต่อสาร ป้องกันกำจัด
(cyantraniliprole) ลติ ร ฆ่าแมลง
70-85% นาน
5-10 วนั
คลอร์ฟนี าเพอร์ 10% SC 13 ปาน 30 มล./ ประสทิ ธภิ าพการ
(chlorfenapyr) กลาง นำ้ 20 ป้องกันกำจัด
(441) ลิตร 70-85% นาน 5-7
วัน
ฟิโพรนิล 5% SC 2B ปาน 30 มล./ ประสิทธภิ าพการ
(fipronil) กลาง นำ้ 20 ปอ้ งกันกำจดั
(92) ลิตร 70-80% นาน 5-10
วนั
หนอนเจาะสมอ สไปนโี ทแรม 12% SC 5 ไมม่ พี ษิ 15 มล./ พน่ สารฆา่ แมลงตดิ ต่อกันทุก ประสิทธภิ าพในการ
ฝา้ ย (spinetoram) เฉียบพลนั นำ้ 20 5-7 วัน อยา่ งนอ้ ย 2 ครั้ง เม่ือ ปอ้ งกนั กำจัด
(Helicoverpa (>5,000) ลิตร พบการระบาดของหนอน 70-99 % นาน 7-
armigera) เจาะสมอฝา้ ย 12 วัน
คลอแรนทรานลิ ิ 20/20% 28 ไมม่ ีพิษ 5 กรัม/ ประสทิ ธภิ าพในการ
โพรล/ไทอะมที อก WG /4A เฉยี บพลัน นำ้ 20 ป้องกันกำจดั 67-
แซม / - ลติ ร 100 % นาน 5-7
(chlorantraniliprole/ (>5,000 วัน
thiamethoxam
/1,563)
คลอแรนทรานลิ ิโพรล 5.17% 28 ไมม่ ีพิษ 20 มล./
(chlorantraniliprole) SC เฉยี บพลัน นำ้ 20
(>5,000) ลติ ร
ลเู ฟนนูรอน 5% EC 15 - 20 มล./
(lufenuron) (>2,000) น้ำ 20
ลติ ร
ไบเฟนทรนิ 2.5% EC 3A ปาน 20 มล./
(bifenthrin) กลาง นำ้ 20
(54.5) ลิตร
ศัตรพู ชื ช่ือสามญั สารป้องกันกำจดั ศตั รูพืช ระดบั อัตรา วิธกี ารใช้ 149
แมลงหวีข่ าว ความเป็น การใช้ พน่ สารฆา่ แมลงติดต่อกันทุก หมายเหตุ
ยาสบู ไซแอนทรานลิ โิ พรล % กลุม่ พษิ -WHO 5-7 วนั อย่างน้อย 2 คร้ัง เม่ือ ประสทิ ธิภาพการ
(Bemisia (cyantraniliprole) สารออกฤทธ์ิ กลไกการ (LD50) 30 มล./ พบการระบาด ป้องกันกำจดั 65-
tabaci) และสูตร ออกฤทธ์ิ น้ำ 20 80%
ไดโนทฟี ูแรน - ลติ ร พน่ ใหท้ วั่ เมอ่ื พบไรระบาด
ไรแมงมมุ (dinotefuran) 10% OD 28 15 มล./ ทกุ 4-7 วนั ใชส้ ารนไี้ ด้ในกรณที ่ี
คันซาวา บโู พรเฟซนิ (>5,000) 20 ลติ ร ปล่อยไรตัวห้ำ
(Tetranychus (buprofezin) 10% SL 4A 25 มล./
kanzawai) 40% SC 16 - นำ้ 20
สไปโรเตตระแมท ลติ ร
(spirotetramat) 15% OD 23 (>2,000) 20 มล./
น้ำ 20
ไบเฟนทรนิ 2.5% EC 3A นอ้ ย ลิตร
(bifenthrin) (>2,198) 30 มล./
20% WP 21A นำ้ 20
ไพริดาเบน น้อย ลิตร
(pyridaben) 55% SC 12B (>2,000) 15
กรมั /นำ้
เฟนบูทาทินออกไซด์ 5% SC 21A ปาน 20 ลิตร
(fenbutatinoxide๗ กลาง 20 มล./
นำ้ 20
เฟนไพรอกซเิ มต (54.5) ลติ ร
(fenpyroximate๗ 20 มล./
ปาน น้ำ 20
กลาง ลติ ร
(161)
นอ้ ย
(2,631)
ปาน
กลาง
(6,798)
150
การใช้สารฆ่าหนู (Rodenticide)
ขา้ วและธญั พชื เมืองหนาว (Rice and temperate cereal)
สารฆา่ หนู
ศตั รพู ืช ชื่อสามัญ % กลมุ่ ระดบั อัตรา วธิ กี ารใช้ หมายเหตุ
หนูพกุ ใหญ่ ซงิ ค์ฟอสไฟด์ สารออกฤทธิ์ กลไกการ ความเปน็ การใช้ ก่อนปลูกข้าว วาง เป็นสารกำจัดหนู
ออกฤทธ์ิ พิษ-WHO
และสูตร (LD50) สาร 1 กก.
24A
80% รา้ ย
Bandicota (zinc powder แรง ผสมกบั เหยอ่ื พิษตามคันนา ประเภทออกฤทธ์ิเรว็
indica phosphide) (45) เมลด็ พืช หรอื ตามแหล่งที่หนู ไม่ควรใชส้ ารกำจดั หนู
หนูพกุ เล็ก (เชน่ ปลาย อาศัยรอบ ๆ แปลงนา ประเภทนเี้ กนิ 1 คร้ัง
B.savilei ขา้ ว ข้าว เปน็ จดุ จดุ ละประมาณ ตอ่ 1ฤดปู ลกู เพราะ
หนูนาใหญ่ กลอ้ ง 1 ชอ้ นชา (ใชแ้ กลบ ทำให้หนูเขด็ ขยาดต่อ
Rattus ขา้ วโพดป่น) คลุมถ้าม)ี แตล่ ะจดุ เหยื่อพิษไดง้ ่าย สาร
argentiventer 100 กก หา่ งกันประมาณ 5-10 กำจดั หนดู ังกลา่ วมี
หนูนาเลก็ เป็นเหยอื่ เมตร จำหนา่ ยเปน็ เหยอื่ พษิ
R. losea พษิ สำเรจ็ รปู บรรจซุ อง
หนทู อ้ งขาวบ้าน (sachet) ซองละ
R. rattus ประมาณ 10 กรัม
หนหู ริ่งหางสั้น โฟลคูมาเฟน 0.005% - ร้าย 100 กรัม วางเหย่อื พษิ บน เปน็ สารกำจัดหนู
M.us cervicolor (flocoumafen) Wax block
หนูหรง่ิ หางยาว แรง หรือ ทางเดินของหนตู ามคนั ประเภทออกฤทธิ์ช้า
M. caroli) bait ย่งิ ประมาณ นา หรอื ใส่ลงในรูหนู ทำเป็นเหยื่อพิษ
(0.25) 20 กอ้ น/ไร่ โดยตรง หรอื วางตาม สำเรจ็ รูปชนิดก้อน
โบรมาดโิ อโลน 0.005% - ร้าย 100 กรัม แหล่งท่ีมหี นรู ะบาด ข้ีผึ้ง (wax block)
ควรใช้เหยือ่ พิษกำจัด กอ้ นละประมาณ 5
(bromadiolone) Wax block แรง หรือ
bait ย่ิง ประมาณ หนู 2-3 ครั้ง ครงั้ แรก กรมั บริเวณใด หา้ ม
(1.12) 20 กอ้ น/ไร่ ใช้เม่ือข้าว หรือธัญพชื บริโภคหนูบรเิ วณ ที่
ร้าย 100 กรมั เมืองหนาวเรม่ิ ปลูก ใช้สารกำจัดหนู
โบรไดฟาคมู 0.005% - ครั้งท่ี 2 และครง้ั ที่ 3 ประเภทน้ี
(brodifacoum) Wax block - แรง หรือ
ยงิ่ ประมาณ ใชห้ ลังวางเหยอ่ื พิษ
ไดฟที อิ าโลน bait (0.26) 20 ก้อน/ไร่ ครั้งแรกไปแล้ว 30
(difethialone) รา้ ย 100 กรัม และ 60 วัน ตามลำดับ
0.0025% อยา่ งไรก็ตาม ควรวาง
BB แรง หรือ
ยิ่ง ประมาณ เหย่อื พิษในแนว
(0.56) 20 กอ้ น/ไร่ ป้องกันรอบ ๆ แปลง
รา้ ย 400 กรัม เพ่ือป้องกันหนู
คูมาเททราลลิ 0.0375% - เปน็ เหย่ือพิษสำเร็จรปู
เคล่อื นย้ายมาในแปลง ชนิดก้อนขผ้ี ้งึ ก้อนละ
(coumatetralyl) Bait แรง หรอื
(16.5) ประมาณ ข้าว
ประมาณ 10 กรัม
40 กอ้ น/ไร่
สกุลหนูพุก เหยื่อโปรโตซวั 2x105 - - 20 - 25 เปน็ เหยอื่ แป้งนมุ่
(Bandicota) และ Sarcocystis sporocysts ก้อน/ไร่ ขนาดกอ้ นละ 1 กรมั
หนทู อ้ งขาว singaporensis ขอ้ ระวังไมใ่ หโ้ ดนนำ้
(Rattus) และแสงแดด โดย
เหย่ือโปรโตซัวทว่ี าง
ในสภาพธรรมชาติ
ควรถกู หนูกินภายใน
1 สปั ดาห์
151
ข้าวโพด (Corn)
สารฆ่าหนู
ศัตรพู ืช ชอ่ื สามญั % กลมุ่ ระดบั อัตรา วิธีการใช้ หมายเหตุ
สารออกฤทธ์ิ กลไกการ ความเปน็ การใช้
หนูหริ่งหางสน้ั ซิงค์ฟอสไฟด์ ออกฤทธ์ิ พิษ-WHO ใช้เหยอ่ื พิษจุดละ เป็นสารกำจัดหนู
Mus cervicolor (zinc และสูตร (LD50) สาร 1 กก. ประมาณ 1 ชอ้ นชา ประเภทออกฤทธ์ิ
หนูหริ่งหางยาว phosphide) 24A ใชแ้ กลบใหม่ 1 กำมือ เรว็ ไมค่ วรใชส้ าร
M. caroli 80% ร้าย รองเหยื่อพษิ แล้วใช้ กำจัดหนปู ระเภทน้ี
หนูทอ้ งขาวบ้าน แกลบอกี 1 กำมือ เกิน 1 ครงั้ ตอ่ 1ฤดู
Rattus rattus powder แรง ผสมกบั กลบ เมอ่ื พบร่องรอย ปลูก เพราะทำใหนู
หนนู าใหญ่ การทำลายในแปลง เขด็ ขยาดต่อเหยื่อ
R. argentiventer (45) เมลด็ พชื โดยวางใหท้ ่วั แปลง พษิ ได้ง่าย สารกำจัด
หนูพุกใหญ่ แตล่ ะจดุ ห่างกนั 5-10 หนูดังกล่าวมี
(Bandicota (เช่น ปลาย เมตร ขน้ึ อยกู่ บั จำนวน จำหน่ายเป็นเหย่อื
indica) ประชากรหนขู ณะน้ัน พิษสำเรจ็ รูปบรรจุ
หนพู กุ เลก็ ( ข้าว ข้าว ในระยะเตรยี มแปลง ซอง (sachet) ซอง
B. savilei)
กล้อง ข้า ละประมาณ 10
โฟลคูมาเฟน กรมั
(flocoumafen) โพดปน่ )
วางเหย่ือพษิ บรเิ วณ เปน็ สารกำจัดหนู
100 กก. รอบแปลงขา้ วโพด ประเภทออกฤทธิ์ช้า
โดยเฉพาะทตี่ ิดดง ทำเปน็ เหย่อื พิษ
เปน็ เหย่อื หญา้ แถบชายปา่ ถา้ สำเรจ็ รปู ชนิดก้อน
เปน็ หนพู กุ ควรวาง ข้ีผง้ึ (wax block)
พษิ เหย่อื พิษจุดละ 3-5 ก้อนละประมาณ 5
ก้อน วางตามรอย กรัม หา้ ม บริโภค
โบรมาดโิ อโลน 0.005% - รา้ ย 100 กรัม ทางเดนิ และบริเวณ หนบู รเิ วณ ทีใ่ ช้สาร
(bromadiolone) Wax block - แรง หรอื รอบแหล่งทีพ่ บความ กำจัดหนูประเภทนี้
- ยิ่ง ประมาณ เสียหาย
โบรไดฟาคมู bait - (0.25) 20 ก้อน/ไร่
(brodifacoum)
0.005% ร้าย 100 กรมั
ไดฟีทอิ าโลน Wax block แรง หรอื
(difethialone) ยง่ิ ประมาณ
bait (1.12) 20 ก้อน/ไร่
0.005% รา้ ย 100 กรมั
Wax block แรง หรอื
ยงิ่ ประมาณ
bait (0.26) 20 ก้อน/ไร่
0.0025% ร้าย 100 กรมั
BB แรง หรือ
ย่ิง ประมาณ
คมู าเททราลลิ 0.0375% - (0.56) 20 ก้อน/ไร่ เปน็ เหยือ่ พิษ
(coumatetralyl) Bait สำเรจ็ รูปชนดิ ก้อน
รา้ ย 400 กรัม ขี้ผง้ึ ก้อนละ
สกุลหนพู กุ เหยือ่ โปรโตซัว 2x105 - แรง หรอื วางเหย่ือโปรโตซัว จุด ประมาณ 10 กรัม
sporocysts (16.5) ประมาณ ละ 1-3 ก้อน บริเวณ
(Bandicota) และ Sarcocystis รอยทางว่ิงหนูหรือ เป็นเหยื่อแปง้ นุ่ม
40 กอ้ น/ไร่ รอยทำลาย ให้ทัว่ ขนาดก้อนละ 1
แปลง ตั้งแต่หยอด กรมั ข้อระวังไมใ่ ห้
- 20 - 25 เมลด็ จนระยะกอ่ น โดนนำ้ และแสงแดด
ก้อน/ไร่ เก็บเกี่ยว โดยแตล่ ะ โดยเหยื่อโปรโตซัวท่ี
วางในสภาพ
หนทู อ้ งขาว singaporensis ธรรมชาติ ควรถกู
(Rattus)
152
สารฆา่ หนู
ศตั รพู ชื ช่อื สามญั % กล่มุ ระดบั อตั รา วธิ ีการใช้ หมายเหตุ
สารออกฤทธ์ิ กลไกการ ความเปน็ การใช้
ออกฤทธ์ิ พิษ-WHO
และสูตร (LD50)
ครั้งวางเหยอ่ื พิษหา่ ง หนกู นิ ภายใน 1
กัน 15-20 วัน จำนวน สัปดาห์
คร้ังขึน้ อยู่กบั จำนวน
ประชากรหนขู ณะนน้ั
ถวั่ เหลือง (Soybean) 153
สารฆา่ หนู หมายเหตุ
ศตั รพู ืช ชอื่ สามญั % กลมุ่ ระดบั อัตรา วิธีการใช้ เป็นสารกำจดั หนู
ซงิ ค์ฟอสไฟด์ สารออกฤทธิ์ กลไกการ ความเป็น การใช้ ประเภทออกฤทธ์ิ
หนูหร่ิงหางส้นั (zinc ออกฤทธิ์ พิษ-WHO ใชเ้ หยือ่ พษิ จดุ ละ เรว็ ไม่ควรใชส้ าร
Mus cervicolor phosphide) และสตู ร (LD50) สาร 1 กก. ประมาณ 1 ช้อนชา ใช้ กำจดั หนูประเภท
หนูหร่งิ หางยาว 24A แกลบใหม่ 1 กำมอื นี้เกนิ 1 ครัง้ ต่อฤดู
M. caroli) โฟลคมู าเฟน 80% รา้ ย กลบ เมอื่ พบรอ่ งรอย ปลกู เพราะ
หนทู อ้ งขาวบ้าน (flocoumafen) การทำลายในแปลง ทำใหนเู ข็ดขยาด
Rattus rattus powder แรง ผสมกับเลด็ โดยวางใหท้ ่ัวแปลง แต่ ตอ่ เหยอ่ื พษิ ได้ง่าย
หนูพกุ ใหญ่ โบรมาดโิ อโลน ละจุดห่างกนั 5-10 นอกจากมี
Bandicota (bromadiolone) (45) พืช (เชน่ เมตร ข้ึนอยู่กบั จำนวน จำหน่ายเป็นรปู ผง
indica ประชากรหนูน้ัน ใน แลว้ มีจำหนา่ ยเป็น
หนพู ุกเลก็ โบรไดฟาคมู ปลายขา้ ว ระยะเตรียมแปลง เหย่อื พิษสำเร็จรปู
B. savileii (brodifacoum) บรรจซุ อง
ขา้ วกล้อง วางเหยือ่ พษิ บรเิ วณคนั (sachet) ซองละ
ไดฟีทอิ าโลน นา คนู ้ำดงหญา้ หรอื ประมาณ 10 กรมั
(difethialone) ข้าโพดป่น) บริเวณในแปลงทม่ี ี เปน็ สารกำจดั หนู
ร่องรอยความเสียหาย ประเภทออกฤทธิ์
คมู าเททราลลิ 100 กก. บนทางเดนิ หนู ถา้ เป็น ช้า ทท่ี ำเป็นเหยือ่
(coumatetralyl) หนูสกลุ หนูท้องขาว พิษสำเร็จรปู ชนิด
เปน็ เหยอื่ ควรวางจุดละ 1 กอ้ น กอ้ นขีผ้ ง้ึ (wax
ถา้ เปน็ สกลุ หนูพุก ควร block) กอ้ นละ
พษิ วางจุดละ 3-5 กอ้ น ใน ประมาณ 5 กรัม
พื้นท่ีท่ีเคยมปี ระวตั ิ บรเิ วณใดที่ใช้สาร
0.005% - ร้าย 100 กรมั การระบาดของหนใู น กำจดั หนู หา้ ม
Wax block - แรง หรือ ฤดูแล้ง ควรเร่ิมวาง บริโภคหนูใน
- ยิ่ง ประมาณ สารกำจดั หนู ต้ังแต่ บริเวณน้ันๆ
bait - (0.25) 20 กอ้ น/ไร่ กอ่ นเรมิ่ เตรียมดินปลูก
ถ่วั เหลือง เพือลดความ เป็นเหยือ่ พิษ
0.005% รา้ ย 100 กรัม เสยี หายในระยะคน้ สำเรจ็ รปู ชนิดกอ้ น
Wax block แรง หรอื อ่อน โดยใชส้ ารซิงค์ ข้ีผึ้ง กอ้ นละ
ยง่ิ ประมาณ ฟอสไฟด์ 1 ครั้ง ตาม ประมาณ 10 กรัม
bait (1.12) 20 กอ้ น/ไร่ ด้วยเหย่อื พิษสำเรจ็ รูป
ทัว่ แปลง และทำการ
0.005% ร้าย 100 กรัม ปอ้ งกันกำจดั
Wax block แรง หรอื เชน่ เดยี วกนั นีอ้ ีก 1
ย่งิ ประมาณ คร้งั ชว่ งท่ถี ั่วเหลอื ง
bait (0.26) 20 กอ้ น/ไร่ ออกดอก และเรมิ่ มฝี กั
ออ่ น หลงั จากนัน้ ถา้ ยงั
0.0025% รา้ ย 100 กรมั พบร่องรอยหนใู น
BB แรง หรือ
ยิง่ ประมาณ
0.0375% - (0.56) 20 กอ้ น/ไร่
Bait
รา้ ย 400 กรมั
แรง หรือ
(16.5) ประมาณ
40 ก้อน/ไร่
154
ศตั รูพชื ชอ่ื สามญั สารฆ่าหนู ระดบั อัตรา วธิ กี ารใช้ หมายเหตุ
ความเปน็ การใช้
% กลุ่ม พิษ-WHO
สารออกฤทธ์ิ กลไกการ (LD50)
และสูตร ออกฤทธ์ิ
สกลุ หนพู กุ เหยือ่ โปรโตซัว 2x105 - - 20 - 25 แปลงอีกเช่น ทางเดิน
sporocysts ก้อน/ไร่ มลู ของหนทู ี่ถา่ ยทงิ้ ไว้
(Bandicota) และ Sarcocystis ใหท้ ำการปอ้ งกันกำจัด
ครั้งท่ี 3 โดยปฏิบัติ
หนทู ้องขาว singaporensis เชน่ เดยี วกบั ครัง้ 2
(Rattus) วางเหย่ือโปรโตซัว จุด เป็นเหย่อื แป้งนมุ่
ละ 1-3 กอ้ น บรเิ วณ ขนาดกอ้ นละ 1
รอยทางวง่ิ หนูหรอื รอย กรัม ขอ้ ระวงั
ทำลาย ให้ท่ัวแปลง ไม่ให้โดนนำ้ และ
ต้งั แตถ่ ว่ั เหลืองออก แสงแดด โดย
ดอก และเริ่มมฝี ักอ่อน เหยือ่ โปรโตซัวที่
จนระยะก่อนเกบ็ เกย่ี ว วางในสภาพ
โดยแตล่ ะครง้ั วางเหย่อื ธรรมชาติ ควรถูก
พิษหา่ งกัน 15-20 วัน หนกู นิ ภายใน 1
จำนวนคร้ังในการวาง สปั ดาห์
ขน้ึ อย่กู บั จำนวน
ประชากรหนขู ณะน้ัน
155
ถั่วเขยี ว (Mung bean)
สารฆา่ หนู
ศตั รูพืช ช่ือสามญั % กล่มุ ระดบั อัตรา วธิ ีการใช้ หมายเหตุ
สารออกฤทธ์ิ กลไกการ ความเป็น การใช้
หนูหรง่ิ หางส้ัน ซิงค์ฟอสไฟด์ ออกฤทธิ์ พิษ-WHO ใชเ้ หย่ือพษิ จดุ ละ เป็นสารกำจดั หนู
Mus cervicolor (zinc และสตู ร (LD50) สาร 1 กก. ประมาณ 1 ช้อนชา ใช้ ประเภทออกฤทธิ์
หนูหริ่งหางยาว phosphide) 24A แกลบใหม่ 1 กำมอื เร็ว ไมค่ วรใชส้ าร
M. caroli 80% รา้ ย รองเหยือ่ พษิ แลว้ ใช้ กำจัดหนปู ระเภทน้ี
หนทู ้องขาวบ้าน แกลบอีก 1 กำมือ เกิน 1 ครงั้ ตอ่ ฤดู
Rattus rattus) powder แรง ผสมกบั เลด็ กลบเมื่อพบรอ่ งรอย ปลูก เพราะทำใหนู
หนูพกุ ใหญ่ การทำลายในแปลง เข็ดขยาดต่อเหยอ่ื
Bandicota (45) พชื (เชน่ โดยวางใหท้ ว่ั แปลง แต่ พิษได้งา่ ยสารกำจดั
indica ละจุดห่างกัน 5-10 หนดู ังกล่าวมี
หนพู ุกเลก็ ปลายขา้ ว เมตร ข้ึนอยู่กับจำนวน จำหนา่ ยเปน็ เหยือ่
B. savilei ประชากรหนขู ณะนัน้ พิษสำเรจ็ รปู บรรจุ
ขา้ วกลอ้ ง ในระยะเตรยี มแปลง ซอง (sachet) ซอง
ข้าโพดปน่ ) ละประมาณ 10
กรัม
100 กก.
วางเหยื่อพิษบริเวณ เป็นสารกำจัดหนู
เปน็ เหยอ่ื รอบแปลงถ่วั เขยี วท่ีติด ประเภทออกฤทธช์ิ า้
คันนา คนู ้ำ ดงหญ้า ท่ี ทำเป็นเหยื่อพิษ
พษิ มีรอยทางเดิน หรอื สำเรจ็ รปู ชนดิ กอ้ น
รอยทำลาย ถา้ เป็น ขผ้ี ้ึง (wax block)
โฟลคมู าเฟน 0.005% - ร้าย 100 กรัม สกุลหนูทองขาว วาง กอ้ นละประมาณ 5
(flocoumafen) Wax block - แรง หรือ จุดละ 1 ก้อน แต่ถ้า กรัม บรเิ วณใดที่ใช้
- ยิง่ ประมาณ เป็นสกลุ หนูพกุ ควร สารกำจดั หนู หา้ ม
โบรมาดโิ อโลน bait - (0.25) 20 ก้อน/ไร่ วาง 3-5 ก้อน ควรเริม่ บรโิ ภคหนทู ่ีใชส้ าร
(bromadiolone) วางสารกำจดั หนู กำจัดหนปู ระเภทนี้
0.005% ร้าย 100 กรัม ตั้งแตถ่ ่วั เขยี วเรม่ิ ติด
โบรไดฟาคมู Wax block แรง หรอื ฝกั ออ่ น ระยะกอ่ นเกบ็
(brodifacoum) ยิ่ง ประมาณ เกย่ี วถา้ พบร่องรอยหนู
bait (1.12) 20 กอ้ น/ไร่ ในแปลงอีก ใหว้ าง
ไดฟีทอิ าโลน เหยอ่ื พิษอีกครัง้ หนึ่ง
(difethialone) 0.005% รา้ ย 100 กรมั
Wax block แรง หรือ
ยง่ิ ประมาณ
bait (0.26) 20 กอ้ น/ไร่
0.0025% ร้าย 100 กรมั
BB แรง หรือ
ยิง่ ประมาณ
คูมาเททราลลิ 0.0375% - (0.56) 20 ก้อน/ไร่ เปน็ เหย่อื พษิ
(coumatetralyl) Bait สำเรจ็ รูปชนิดกอ้ น
รา้ ย 400 กรมั ข้ีผึ้ง ก้อนละ
สกุลหนพู ุก เหย่ือโปรโตซัว 2x105 - แรง หรือ วางเหยอื่ โปรโตซวั จุด ประมาณ 10 กรมั
sporocysts (16.5) ประมาณ ละ 1-3 กอ้ น บริเวณ
(Bandicota) และ Sarcocystis รอยทางวิ่งหนูหรอื รอย เปน็ เหยอ่ื แปง้ นมุ่
40 กอ้ น/ไร่ ทำลาย ให้ทัว่ แปลง ขนาดกอ้ นละ 1
ต้ังแตถ่ ่วั เขียวเรมิ่ ตดิ กรมั ขอ้ ระวังไมใ่ ห้
- 20 - 25 ฝกั ออ่ น ระยะกอ่ นเกบ็ โดนนำ้ และแสงแดด
ก้อน/ไร่ เกี่ยวถ้าพบร่องรอยหนู โดยเหย่อื โปรโตซวั ท่ี
วางในสภาพ
หนทู ้องขาว singaporensis ธรรมชาติ ควรถูก
(Rattus)
156
สารฆ่าหนู
ศตั รพู ชื ชื่อสามญั % กลุ่ม ระดบั อัตรา วธิ กี ารใช้ หมายเหตุ
สารออกฤทธิ์ กลไกการ ความเปน็ การใช้
ออกฤทธ์ิ พษิ -WHO
และสตู ร (LD50)
ในแปลงอกี ใหว้ าง หนกู นิ ภายใน 1
เหยื่อพษิ อกี ครงั้ หน่งึ สัปดาห์
157
อ้อย (Sugar cane)
สารฆา่ หนู
ศัตรพู ชื ชอ่ื สามัญ % กลุ่ม ระดบั อัตรา วิธีการใช้ หมายเหตุ
สารออกฤทธิ์ กลไกการ ความเป็น การใช้
หนทู อ้ งขาวบา้ น ซิงคฟ์ อสไฟด์ ออกฤทธ์ิ พิษ-WHO ใช้เหยอ่ื พษิ จุดละ เปน็ สารกำจัดหนู
Rattus rattus) (zinc และสตู ร (LD50) สาร 1 กก. ประมาณ 1 ชอ้ นชา ใช้ ประเภทออกฤทธิ์
หนพู ุกใหญ่ phosphide) 24A แกลบใหม่ 1 กำมอื เรว็ ไม่ควรใชส้ าร
Bandicota 80% รา้ ย รองเหยื่อพิษ แลว้ ใช้ กำจัดหนปู ระเภทน้ี
indica แกลบอกี 1 กำมอื เกนิ 1 คร้ังตอ่ ฤดู
หนูพกุ เล็ก powder แรง ผสมกบั เลด็ กลบเม่ือพบรอ่ งรอย ปลกู เพราะทำใหนู
B. savilei การทำลายในแปลง เข็ดขยาดตอ่ เหยื่อ
หนูหร่ิงหางสน้ั (45) พชื (เช่น โดยวางให้ทั่วแปลง แต่ พิษไดง้ า่ ยสารกำจดั
Mus cervicolor ละจดุ ห่างกนั 5-10 หนดู งั กลา่ วมี
หนหู ริ่งหางยาว ปลายขา้ ว เมตร ขนึ้ อยกู่ ับจำนวน จำหน่ายเป็นเหย่อื
M. caroli ประชากรหนูขณะนัน้ พษิ สำเรจ็ รปู บรรจุ
ขา้ วกลอ้ ง
ซอง (sachet) ซอง
ขา้ โพดป่น) ละประมาณ 10
กรมั
100 กก.
วางเหย่ือพิษบรเิ วณ เปน็ สารกำจดั หนู
เป็นเหยอื่ รอบแปลงทีต่ ิดคนั นา ประเภทออกฤทธช์ิ ้า
คนู ้ำ ดงหญ้า ทม่ี รี อย ทำเป็นเหยอื่ พษิ
พษิ ทางเดนิ หรอื รอย สำเรจ็ รปู ชนิดก้อน
ทำลาย ถ้าเปน็ สกุลหนู ขี้ผง้ึ (wax block)
โฟลคูมาเฟน 0.005% - ร้าย 100 กรัม ทองขาว วางจุดละ 1 ก้อนละประมาณ 5
(flocoumafen) Wax block - แรง หรือ ก้อน แตถ่ า้ เป็นสกุล กรัม บรเิ วณใดท่ีใช้
- ย่ิง ประมาณ หนพู ุก ควรวาง 3-5 สารกำจดั หนู ห้าม
โบรมาดโิ อโลน bait - (0.25) 20 ก้อน/ไร่ ก้อน ให้ทั่วแปลง ควร บรโิ ภคหนูที่ใชส้ าร
(bromadiolone) เร่ิมวางสารกำจดั หนู กำจดั หนูประเภทนี้
0.005% ร้าย 100 กรมั ออกฤทธชิ์ ้า หลังจาก
โบรไดฟาคมู Wax block แรง หรอื ออ้ ยอายปุ ระมาณ 3
(brodifacoum) ยิ่ง ประมาณ เดือน โดยแต่ละครง้ั
bait (1.12) 20 ก้อน/ไร่ วางเหยอื่ พิษห่างกนั 1
ไดฟีทอิ าโลน เดอื น จนเก็บเก่ยี ว
(difethialone) 0.005% รา้ ย 100 กรัม
Wax block แรง หรอื
ยง่ิ ประมาณ
bait (0.26) 20 กอ้ น/ไร่
0.0025% ร้าย 100 กรัม
BB แรง หรอื
ย่ิง ประมาณ
คมู าเททราลลิ 0.0375% - (0.56) 20 ก้อน/ไร่ เปน็ เหย่ือพิษ
(coumatetralyl) Bait สำเรจ็ รูปชนิดกอ้ น
ร้าย 400 กรัม ขผี้ ึ้ง ก้อนละ
สกุลหนพู กุ เหยอื่ โปรโตซวั 2x105 - แรง หรือ วางเหยอ่ื โปรโตซวั จดุ ประมาณ 10 กรัม
sporocysts (16.5) ประมาณ ละ 1-3 ก้อน บรเิ วณ
(Bandicota) และ Sarcocystis รอยทางว่งิ หนหู รือรอย เป็นเหยอ่ื แปง้ นุ่ม
40 ก้อน/ไร่ ทำลาย ใหท้ ั่วแปลง ขนาดก้อนละ 1
ต้ังแต่ออ้ ยอายุ กรัม ข้อระวังไม่ให้
- 20 - 25 ประมาณ 3 เดอื น จน โดนนำ้ และแสงแดด
ก้อน/ไร่ เกบ็ เก่ยี ว โดยแตล่ ะ โดยเหยื่อโปรโตซวั ท่ี
วางในสภาพ
หนทู อ้ งขาว singaporensis ธรรมชาติ ควรถูก
(Rattus)
158
สารฆ่าหนู
ศัตรูพืช ชือ่ สามัญ % กลุ่ม ระดบั อตั รา วิธีการใช้ หมายเหตุ
สารออกฤทธ์ิ กลไกการ ความเปน็ การใช้
ออกฤทธ์ิ พิษ-WHO
และสตู ร (LD50)
คร้งั วางเหยื่อพิษห่าง หนูกนิ ภายใน 1
กัน 1 เดือน สัปดาห์
159
โกโก้ (Cocoa)
สารฆ่าหนู
ศตั รูพชื ชอื่ สามัญ % กลุ่ม ระดบั อตั รา วิธกี ารใช้ หมายเหตุ
สารออกฤทธิ์ กลไกการ ความเปน็ การใช้
หนูท้องขาว โฟลคูมาเฟน ออกฤทธ์ิ พิษ-WHO เรม่ิ วางเหยอื่ พษิ ครั้งแรก ในกรณีทส่ี วนโกโก้
บ้าน (flocoumafen) และสตู ร (LD50) 50 ก้อน/
Rattus rattus -
0.005% ร้าย
Wax block แรง ไร่ เมอื่ ผลโกโกเ้ ริ่มมขี นาด มีหญา้ ขน้ึ รกมาก
bait ยิ่ง ประมาณนิ้วหัวแมม่ อื หรือมีทางมะพรา้ ว
(0.25) มากกวา่ 50 % ของท้ัง แหง้ สุมอยู่ ในการ
สวน โดยวางตน้ ละ 1 วางยาคร้ังที่ 1
ก้อน บริเวณคาคบหรอื และ 2 ควรวาง
ผกู ตามกิง่ ของต้นโกโก้ เหย่ือพิษเพ่ิม
ทกุ ๆ 3-4 สัปดาห์ บริเวณทร่ี ก อีก
จนกระทงั่ เก็บเกย่ี วผล 1-2 ก้อน
สกุลหนพู ุก เหย่ือโปรโตซวั 2x105 - - 20 - 25 วางเหยอื่ โปรโตซัว จุด เปน็ เหย่ือแปง้ นุ่ม
(Bandicota) Sarcocystis sporocysts กอ้ น/ไร่
และหนูทอ้ งขาว singaporensis ละ 1-3 ก้อน บรเิ วณ ขนาดกอ้ นละ 1
(Rattus)
โคนตน้ รอยทางว่งิ หนู กรัม ขอ้ ระวงั ไม่ให้
หรือรอยทำลาย ให้ทว่ั โดนน้ำและ
แปลง เมอื่ พบวา่ แสงแดด โดยเหยื่อ
ประชากรหนเู ร่มิ สงู ขน้ึ โปรโตซวั ทีว่ างใน
และพบรอยทำลายมาก สภาพธรรมชาติ
ขึ้น โดยแตล่ ะครง้ั วาง ควรถูกหนูกนิ
เหยอ่ื พิษห่างกนั 15-20 ภายใน 1 สัปดาห์
วนั จำนวนครง้ั ในการ
วางขึน้ อยู่กับจำนวน
ประชากรหนขู ณะนน้ั
160
ปาล์มนำ้ มนั (Oil palm)
สารฆ่าหนู
ศตั รูพชื ชือ่ สามัญ % กล่มุ ระดับ อัตรา วิธกี ารใช้ หมายเหตุ
สารออกฤทธิ์ กลไกการ ความ การใช้
ออกฤทธิ์ เป็นพษิ
และสูตร (LD50)
หนูนาใหญ่ โฟลคมู าเฟน 0.005% - ร้าย 1 ก้อน/ ทุก ๆ 6 เดือน วางเหยอ่ื ควรวางเหยือ่ พิษ
Rattus (flocoumafen) พษิ ท่ีโคนตน้ ปาลม์ น้ำมนั ใหช้ ิดกับโคนต้น
argrntiventer Wax block แรง ต้น ตน้ ละ 1 ก้อน กอ้ นละ ปาล์มนำ้ มัน และ
หนูทอ้ งขาวบา้ น โบรมาดโิ อโลน ประมาณ 5 กรมั อยา่ วางขวางทาง
R. rattus (bromadiolone) bait ยิ่ง ตรวจสอบทุก ๆ 10 วัน น้ำไหล เพราะจะ
หนปู า่ มาเลย์ ถา้ พบหนกู ินเหย่อื ทำใหน้ ำ้ พดั พา
R. tiomanicus โบรไดฟาคมู (0.25) มากกว่า 20 % ต้องเตมิ เหยื่อพิษไปได้
หนูบ้านมาเลย์ (brodifacoum) เหยือ่ บรเิ วณท่ีถกู กนิ จน บรเิ วณใดทีใ่ ชส้ าร
R. rattus diardi 0.005% - รา้ ย 1 กอ้ น/ เทา่ เดิม และหยดุ วาง กำจดั หนู ห้าม
หนูพกุ ใหญ่ ไดฟีทอิ าโลน เหย่ือเมอ่ื หนกู นิ เหยอ่ื บริโภคหนูใน
Bandicota (difethialone) Wax block แรง ตน้ น้อยกว่า 20 % บรเิ วณนั้น และตอ้
indica ระวงั ไมใ่ หส้ ตั ว์
หนฟู ันขาว ใหญ่ คมู าเททราลลิ bait ยิ่ง เล้ยี งมากินเหยอ่ื
R. bowersi (coumatetralyl) พิษ และซากหนทู ่ี
หนูฟานเหลือง (1.12) ตาย ในกรณที ่ีพบ
Maximus surifer หนูพกุ ใหญห่ รอื
หนูท้องขาวสิงค์ 0.005% - รา้ ย 1 ก้อน/ หนูฟนั ขาวใหญใ่ ห้
โปร์ เพม่ิ เหย่ือพษิ เป็น
R. annandalei Wax block แรง ต้น ต้นละ 5 ก้อน
bait ยง่ิ
(0.26)
0.0025% - รา้ ย 1 กอ้ น/
BB แรง ตน้
ยิ่ง
(0.56)
0.0375% - ร้าย 400 กรัม
Bait แรง หรอื
(16.5) ประมาณ
40 กอ้ น/
ไร่
สกลุ หนูพุก เหยอ่ื โปรโตซวั 2x105 - - 20 - 25 วางเหย่อื โปรโตซัว จุด เปน็ เหย่อื แป้งนุ่ม
ละ 1-3 ก้อน บรเิ วณ ขนาดกอ้ นละ 1
(Bandicota) และ Sarcocystis sporocysts กอ้ น/ไร่ โคนต้น รอยทางวิ่งหนู กรัม ขอ้ ระวงั ไมใ่ ห้
หนูท้องขาว singaporensis หรอื รอยทำลาย ให้ทั่ว โดนน้ำและ
แปลง เมอื่ พบวา่ แสงแดด โดยเหย่อื
(Rattus) ประชากรหนเู รม่ิ สงู ขนึ้ โปรโตซัวที่วางใน
และพบรอยทำลายมาก สภาพธรรมชาติ
ข้นึ โดยแตล่ ะครัง้ วาง ควรถูกหนูกิน
เหยือ่ พิษหา่ งกัน 15-20 ภายใน 1 สัปดาห์
วัน จำนวนคร้งั ในการ
วางขึ้นอยกู่ บั จำนวน
ประชากรหนูขณะนน้ั
การใชส้ ารฆา่ หอย 161
ข้าว(Rice) หมายเหตุ
สารป้องกันกำจัดศัตรูพชื การใชส้ ารฆา่ หอย
ทุกชนิด ต้องใช้
ศัตรพู ืช ชอื่ สามญั % กลมุ่ ระดบั อัตราการ วิธีการใช้ ควบคู่ไปกบั การใช้
สารออก กลไกการ ความเป็น ใช้ ตาข่ายถี่กัน้ ทางนำ้
หอยเชอรี่ หรอื ฤทธิ์และ ออกฤทธิ์ พิษ-WHO ผสมนำ้ พน่ ลงในน้ำใหท้ ว่ั เข้าออกจากนา เพอ่ื
หอยโข่ง (LD50) นาขา้ ว และเนน้ บรเิ วณท่ี กนั ไม่ให้หอยใหมเ่ ข้า
อเมรกิ าใต้ สตู ร เป็นแอง่ หรือทมี่ ีหอย มาในนาอกี ขณะใช้
Pomocea มาก สารฆ่าหอยต้องมีน้ำ
canaliculata นโิ คลซาไมด์ -โอลามีน 83.1% - ไมม่ ีพษิ 50 กรมั / อย่ใู นนาขา้ ว เพราะ
หว่านลงนำ้ ให้ท่ัวในนา หอยจะเปดิ ฝาออก
(niclosamide- WP เฉยี บพลนั ไร่ (25 ข้าว และเนน้ เพม่ิ บริเวณ และทำกิจกรรม
ทีเ่ ปน็ แอ่งหรือมหี อยมาก ตา่ งๆ เมอื่ มนี ้ำ
olamine) หรือ (5,000) กรัม/นำ้ เทา่ นน้ั และระดบั
น้ำตอ้ งสงู ประมาณ
นโิ คลซาไมด์ เอทาโนลา 20 ลิตร) 5 ซม. นานติดต่อกัน
อย่างนอ้ ย 3 วัน
มีน (niclosamide หลังใส่สาร จงึ จะ
ได้ผลดีทส่ี ดุ ใช้สาร
ethanolamine) ฆ่าหอยเพยี งครั้ง
เดยี วตอ่ ฤดปู ลูกและ
เมทัลดไี ฮด์ 5% G - ปาน 500กรัม/ ควรทำตอ่ เนื่องกัน
ไปทกุ ๆ ฤดู
(metaldehyde) bait กลาง ไร่
(630)
3.5% G 2,000
กรัม/ไร่
กากเมลด็ ชา (saponin) 10% - - 3 กก./ไร่
saponin
พืชตระกลู กะหล่ำ (Cruciferous) 162
สารป้องกนั กำจัดศัตรพู ชื หมายเหตุ
ศัตรพู ชื ชอื่ สามัญ % กลุ่ม ระดบั อตั รา วิธกี ารใช้ - การพน่ ด้องใหถ้ ูกตัว
นิโคลซาไมด์ -โอ สารออกฤทธ์ิ กลไกการ ความเปน็ การใช้ หอยทาก จำเปน็ ตอ้ งพน่
หอยทากยักษ์ ลามีน ออกฤทธ์ิ พิษ-WHO น้ำเปลา่ ให้ทวั่ แปลง เพ่อื
แอฟรกิ า (niclosamide- และสูตร ชักนำใหห้ อยออกจากท่ี
Acatina fulica olamine) (LD50) หลบซ่อนเสียก่อน
หอยดกั ดาน เมทลั ดไี ฮด์ - ควรพ่นตอนเชา้ ตรูหรือ
Cryptozona (metaldehyde) 83.1 % WP - ไมม่ ีพษิ 40 ผสมนำ้ พน่ ให้ถกู ตัวหอย ชว่ งเยน็ หลงั การให้น้ำ
siamansis หยดุ การให้นำ้ ผกั นาน
หอยสารกิ า กากเมลด็ ชา เฉยี บพลนั กรัม/ ทากทอี่ ยูบ่ นต้นและใตใ้ บ 1-2 วนั หลงั จากพน่
Sarika sp. (saponin) - ปรบั หัวฉีดใหเ้ ปน็
หอยเจดยี ์ใหญ่ (5,000) นำ้ 20 ผัก ท่ีโคนตน้ และตาม ละอองฝอย และพน่ ให้
Prosopea ชุ่มทั่วแปลง
walkeri ลติ ร) พ้ืนดนิ ใหท้ ่ัวแปลง
หอยเจดีย์เลก็
Lamellaxis 5% GB - ปาน 1,000 .ใช้หว่านบนพ้นื ดนิ ที่ โคน
gracilis
ทากเลบ็ มอื นาง กลาง กรมั / ตน้ ให้กระจายทว่ั ทัง้
Parmarion
siamensis (630) ไร่ แปลง และบริเวณรอบ
หอยซัคซิเนีย
Succinea sp. นอกแปลงด้วย
10% - - 1,000 -นำผงกากชามาตม้ กับนำ้
saponin กรมั / จนเดอื ดประมาณ 10
น้ำ 20 นาที รอให้เย็น กรองเอา
ลติ ร กากชาออกนำนำ้ ทีก่ รอง
หรอื ได้ มาพน่ ใหถ้ ูกตวั หอย
หวา่ น ทากทอ่ี ยบู่ นตน้ และใต้ใบ
5,000 ผัก ทโ่ี คนตน้ และตาม
กรมั / พ้นื ดินให้ทว่ั แปลง
ไร่ - ใช้หว่านบนพืน้ ดินท่ี
โคนตน้ ใหก้ ระจายท่วั ทั้ง
แปลง และบริเวณรอบ
นอกแปลงดว้ ย
163
กลว้ ยไม้ (Orchid)
สารปอ้ งกนั กำจดั ศตั รูพืช
ศตั รพู ชื ชือ่ สามัญ % กลุ่ม ระดบั อัตรา วธิ กี ารใช้ หมายเหตุ
สารออกฤทธิ์ กลไกการ ความเปน็ การใช้ - ถ้าพบหอยทากอยบู่ น
ออกฤทธ์ิ พษิ -WHO
และสตู ร (LD50)
หอยทากซัคซิเนยี นิโคลซาไมด์ -โอ 83.1 % WP - ไมม่ ีพษิ 40 ผสมนำ้ พน่ ใหถ้ กู ตวั หอย
Succinea ลามนี
minuta (niclosamide- เฉียบพลนั กรัม/ ทากท่ีอยู่บนพ้ืนดินตาม ตน้ มากให้พน่ สารบน
หอยเจดยี ์ใหญ่ olamine)
Prosopea เมทัลดไี ฮด์ (5,000) นำ้ 20 ทางเดนิ ระหวา่ งโต๊ะวาง เครื่องปลูก และสว่ นโคน
walkeri (metaldehyde)
หอยเจดียเ์ ล็ก ลติ ร) กลว้ ยไม้ และบนวสั ดุปลกู ตน้ กล้วยไม้ โดย
Lamellaxis กากเมลด็ ชา
gracilis (saponin) 5% GB - ปาน 1,000 .ใช้หวา่ นบนพ้นื ดินตาม หลกี เล่ียงไมใ่ หถ้ ูกดอก
ทากเล็บมอื นาง กลาง กรมั / ทางเดนิ ระหว่างโตะ๊ วาง - การพ่นดอ้ งให้ถกู ตัว
Parmarion (630) ไร่ กลว้ ยไม้ และบนวสั ดุปลูก หอยทาก จำเปน็ ตอ้ งพน่
siamensis หรอื วางเปน็ จุดบนพื้นดิน น้ำเปลา่ ให้ท่วั สวน เพือ่
ทช่ี ้ืนบริเวณขาโตะ๊ และ ชกั นำใหห้ อยออกจากที่
หอยเลขหนง่ึ บนวสั ดุปลกู ใหท้ วั่ สวน หลบซอ่ นเสียกอ่ น
Ovachlamys - ควรพน่ ตอนเช้าตรูและ
fulgen
หยุดการให้นำ้ กล้วยไม้
10% - - 1,000 -นำผงกากชามาตม้ กบั นำ้ นาน 1-2 วนั หลังจาก
กรัม/ จนเดอื ดประมาณ 10 พน่
saponin น้ำ 20 นาที รอใหเ้ ย็น กรองเอา - ปรับหวั ฉีดใหเ้ ป็น
ลติ ร กากชาออกนำน้ำท่กี รอง ละอองฝอย และพน่ ให้
หรือ ไดม้ าพน่ ใหถ้ กู ตวั หอยทาก ชุ่มท่วั สวน
หวา่ น ที่อยบู่ นพืน้ ดินตาม
5,000 ทางเดนิ ระหว่างโตะ๊ วาง
กรัม/ กลว้ ยไม้ และบนวสั ดุปลูก
ไร่ - ใช้หว่านบนพื้นดนิ ตาม
ทางเดินระหว่างโต๊ะวาง
กล้วยไม้ และบนวสั ดปุ ลกู
หรอื วางเป็นจดุ บนพ้นื ดนิ
ที่ชนื้ บรเิ วณขาโตะ๊ และ
บนวัสดปุ ลกู ใหท้ ่วั สวน
นกศตั รูข้าว (Bird rice pest) 164
หมายเหตุ
สารป้องกนั กำจัดศตั รูพชื
ศตั รพู ชื ชอื่ สามัญ % กลุ่ม ระดบั อัตราการ วิธีการใช้
สารออก กลไกการ ความ ใช้
นกกระตดิ๊ ขห้ี มู ฤทธิ์และ ออกฤทธิ์ เปน็ พษิ 1.ใชว้ ิธีเขตกรรม กำจดั
Lanchura (LD50) แหล่งที่อยอู่ าศยั ทำรงั ของ
Punctulata สูตร นกดว้ ยการตดั ตน้ ไมใ้ กล้
นกกระตดิ๊ ตะโพกขาว แปลงนาออก
L. striata 2. .ใช้ตาข่ายดักนก ดักจบั
นกกระจอกตาล นกออกไปเพอื่ ลดจำนวน ถ้า
Passer flaveolus เปน็ แปลงนาขนาดเลก็ ใชต้ า
นกกระจาบธรรมดา ขา่ ยคลมุ ท้งั แปลง
Ploceus philippinus 3. ใชเ้ สียงไล่ เชน่ ประทดั
นกกระจาบอกลาย 4. .ใช้วสั ดสุ ะท้อนแสงขงึ ใน
P. manyar แปลงนาใหท้ ั่วแปลง
ปนู า (Rice field crab)
สารปอ้ งกันกำจัดศัตรูพืช
ศตั รพู ชื ชอื่ สามัญ % กลุม่ ระดบั อตั ราการ วธิ กี ารใช้ หมายเหตุ
สารออก กลไกการ ความ ใช้
ปูนา ฤทธ์แิ ละ ออกฤทธิ์ เป็นพษิ 1.ใช้วธิ ีเขตกรรม กำจัด
Sayarmia (LD50) แหลง่ ท่ีอยูอ่ าศยั ท่หี ลบซ่อน
bangkokensis สตู ร ของปูนาเช่นวชั พชื
S. germaini 2. ดกั จับขุดบ่อดักข้างคันนา
S. sexpunctata เพื่อนำมาเปน็ อาหาร
Esanthelphusa 3. ระบายน้ำออก
dugasti
165
การใชต้ ัวหำ้ ตวั เบียน เช้อื จลุ นิ ทรยี ์
คำแนะนำการใช้แตนเบยี นไข่ไตรโคแกรมมา (Trichogramma spp.) ควบคุมแมลงศัตรพู ชื
แตนเบียนไข่ Trichogramma หรือแตนตาแดง เป็นแมลงทจ่ี ดั อยู่ในอนั ดับ Hymenoptera วงศ์ Trichogram-
matidae เป็นแมลงทม่ี ขี นาดเล็ก ตัวเต็มวัยมีขนาด 0.5 มม. ตาสแี ดง หนวดเปน็ ปล้อง จดั เป็นแมลงเบียนไข่ จะเข้าทำลายแมลง
ศัตรพู ืชเฉพาะระยะไข่ โดยเพศเมยี จะใช้ส่วนของอวัยวะวางไข่เจาะแทงเขา้ ไปเพ่ือวางไข่ตรงส่วนบนของไข่แมลงศัตรพู ชื ไข่ 1
ฟอง สามารถมแี ตนเบียนไข่ได้ 1-4 ตัว ทั้งนี้ขนึ้ อยู่กับความสมบรู ณข์ องอาหารภายในไข่ท่ถี ูกเบียน ไขท่ ่ีถูกเบยี นแลว้ 3 วนั จะ
เปล่ียนเป็นสดี ำ และไม่ฟักเป็นหนอน แตจ่ ะมีตัวเตม็ วัยแตนเบียนไข่ ออกมาหลงั จากไข่ถูกเบยี นแล้ว 7 วัน ซึง่ จะผสมพนั ธุแ์ ละไป
ทำลายไข่ของแมลงศัตรพู ชื ต่อไป
แตนเบียนไข่สกุลนี้ เป็นแมลงศัตรูธรรมชาติที่สามารถนำไปใช้ควบคุมแมลงศัตรูพืชหลายชนิดในระยะไข่ได้อย่างมี
ประสิทธิภาพ เช่น หนอนเจาะสมอฝ้าย (Helicoverpa armigera) หนอนกออ้อย (Chilo infuscalellus และ Chilo
tumicosditalis) หนอนเจาะลำต้นข้าวโพด (Ostrinia furnacalis) หนอนใยผัก (Plutella xylostella) หนอนคืบกะหล่ำปลี
(Trichophusia ni) หนอนคืบละหุ่ง (Achaea janata) หนอนแกว้ ส้ม (Papillio demoleus malayanus) หนอนกอแถบลาย
(Chilo suppressalis) หลายประเทศ ไดน้ ำไปใชค้ วบคุมแมลงศัตรูพืชที่สำคัญ เชน่ หนอนกออ้อย หนอนกอขา้ ว หนอนเจาะลำ
ตน้ ข้าวโพด และหนอนเจาะสมอฝ้าย พบว่ามปี ระสิทธภิ าพในการควบคุมสูงถงึ 70-90% สามารถที่จะช่วยลดค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับ
สารฆ่าแมลงได้มาก อีกทั้งไม่เป็นอันตรายต่อสภาพแวดล้อมและเกษตรกร แมลงศัตรูพืชไม่เกิดความต้านทานต่อแมลงศัตรู
ธรรมชาติ
ขอ้ ควรปฏบิ ัติในการปลอ่ ยแตนเบียนไข่ไตรโคแกรมมา
1. ก่อนปล่อยแตนเบยี นไข่ ต้องสำรวจประชากรไขข่ องแมลงศัตรูพืช ถ้าพบอยู่ท่ี ระดับ 5-10% จงึ ทำการปลอ่ ยแตน
เบยี นไข่ Trichogramma ได้ และควรปลอ่ ยระยะแรกทผ่ี เี สอื้ เริ่มวางไข่
2. ต้องเลือกชนิดของแตนเบียนไข่ Trichogramma ท่ีมีประสทิ ธภิ าพสงู ในการควบคุมไข่ของแมลงศัตรูพชื ชนดิ น้นั ๆ
แตนเบยี นไข่ทน่ี ำไปปล่อยควรจะทยอยออกเปน็ ตวั เต็มวยั เป็นระยะตั้งแต่ 1–5 วัน
3. อัตราการปล่อยแตนเบยี นไขท่ ีเ่ หมาะสม 20,000-30,000 ตัว/ไร่ อตั ราการออกเปน็ ตวั เต็มวยั เพศเมยี ควรอยู่ที่ 40-
50% ขึ้นไป ปล่อยแตล่ ะคร้ังห่างกนั 7 วัน
4. การปลอ่ ยแตนเบียนไข่ให้ครอบคลุมพนื้ ท่ปี ลกู พืชตอ้ งปล่อยเหนอื ทิศทางลม ไม่ควรปล่อยในสภาพอากาศท่ีมีฝนตก
แสงแดด หรืออุณหภมู สิ งู เกินไป ควรปล่อยเวลาเย็นตงั้ แต่ 16.00 น. เปน็ ตน้ ไป จดุ ปล่อยควรหา่ งกัน 15-20 เมตร และไม่ควร
เกิน 6 จุด/ไร่
5. ปลอ่ ยแตนเบยี นไข่โดยการนำไขแ่ มลงอาศยั ทภี่ ายในมีดกั แดแ้ ตนเบียนไข่อายุ 7 วัน ไปติดกบั ใบพชื หรือเพื่อป้องกัน
ฝนควรตดิ แผน่ ไข่ไวด้ า้ นในถ้วยพลาสติกหรือกรวยกระดาษ โดยวางคว่ำเสียบไว้ที่ปลายไม้ไผ่สงู จากพ้ืน 50 เซนตเิ มตร และทา
จารบบี รเิ วณรอบ ๆ ตน้ หรอื ก่ิงสว่ นที่ปลอ่ ย หรือโคนไม้ไผ่เพ่อื ป้องกนั มดเข้าทำลาย
6. ประเมินประสิทธิภาพของแตนเบียนไข่ โดยสำรวจความเสียหายของพืช และประชากรแมลงศัตรูพืช รวมทั้ง
ตรวจสอบปริมาณแตนเบียนไข่และผลการเบียนในแปลงที่ปล่อยและไม่ปล่อย แตนเบียนไข่เปรียบเทียบกัน โดยท ำการเก็บไข่
แมลงศัตรูพชื ในไรม่ าตรวจสอบ หลังจากปลอ่ ยแตนเบยี นไขไ่ ปแลว้ 4 วนั
ขอ้ ดขี องการใช้การนำแตนเบยี นไข่ไตรโคแกรมมาควบคุมแมลงศตั รพู ืช
1. ใช้เวลาในการปลอ่ ยไม่มาก
2. แตนเบยี นสามารถบินไปวางไขแ่ มลงศตั รูพชื ไดเ้ อง
3. ไม่เปน็ อันตรายตอ่ ส่ิงที่มีชีวิต เชน่ คน สัตว์ พชื ทุกชนดิ
4. ไม่ทำใหเ้ กดิ พิษตกค้างในพืชผลและไมก่ ่อใหเ้ กิดมลพษิ ต่อสภาพแวดล้อม เช่น ดนิ น้ำ และอากาศ
5. แมลงศตั รพู ชื ไมส่ ร้างความตา้ นทานต่อแตนเบยี นไข่ไตรโคแกรมมา เหมือนการใชส้ ารเคมเี น่ืองจากเปน็ แมลงศตั รู
ธรรมชาติท่ีมีประโยชนไ์ มเ่ ปน็ อันตรายต่อผใู้ ช้
166
6. ตน้ ทุนการผลิตขยายพนั ธแุ์ ตนเบยี นไข่ไตรโคแกรมมาไมส่ ูงมาก สามารถทีจ่ ะผลติ ขยายได้ปรมิ าณมาก ขนึ้ อยู่กับ
ความสามารถในการผลิตแมลงอาศัยใหม้ ปี รมิ าณมาก
7. สามารถทจ่ี ะนำไปใชร้ ว่ มกับวิธกี ารควบคุมอืน่ ๆ ทำใหม้ ีประสทิ ธภิ าพในการควบคุมแมลงศัตรพู ืชได้สูงขนึ้ การใช้
แตนเบยี นไข่ไตรโคแกรมมาควบคมุ แมลงศัตรูพืชจะเป็นอีกแนวทางหนึ่งท่ีจะช่วยอนุรกั ษ์ศัตรูธรรมชาตใิ ห้มีปรมิ าณมากขึ้นและ
ลดมลพษิ ภาวะให้มปี ริมาณน้อยลง
ขอ้ จำกัดในการใชแ้ ตนเบียนไขไ่ ตรโคแกรมมา
1. ต้องใชช้ นดิ ของแตนเบยี นไข่ Trichogramma ใหถ้ ูกกบั ชนดิ ของแมลงศัตรูพชื
2. ไมส่ ามารถจะเก็บไวใ้ นอุณหภมู ิ 13 องศาเซลเซยี ส เกนิ 2 สปั ดาห์ ถ้าเกนิ จะทำใหเ้ ปอรเ์ ซน็ ตก์ ารออกเป็นตัวเตม็ วยั ลดลง
3. อายไุ ข่แมลงอาศัย 1-2 วนั จะดีท่สี ุด
4. เพศเมยี เทา่ นั้นที่จะทำลายไขแ่ มลงอาศยั
5. มคี วามอิสระ ไม่อยเู่ ฉพาะที่
6. สภาพอณุ หภูมสิ งู กว่า 35 องศาเซลเซยี ส ประสิทธิภาพการเบยี นจะต่ำ
7. สภาพฝนตกชกุ และลมแรงไม่เหมาะต่อการใชแ้ ตนเบยี น
การเก็บรกั ษา
ถ้าหากยังไม่ถึงชว่ งเวลาปล่อยแตนเบียนไข่ Trichogramma สามารถชะลอการฟักได้ โดยการนำแผ่นไข่ไปใส่ในกล่อง
พลาสตกิ เก็บเข้าตู้เย็น ทีอ่ ุณหภูมปิ ระมาณ 10–13 องศาเซลเซียส จะชะลอการฟักไดป้ ระมาณ 2 สปั ดาห์ หลงั จากน้นั อัตราการ
ออกเป็นตัวเต็มวยั จะลดลงจะลดลง
การใช้แตนเบียนไข่ไตรโคแกรมมาในการควบคมุ ไข่ของแมลงศตั รูพชื ทางเศรษฐกิจ
แมลงศตั รูพชื ชนิดแตนเบียนไข่ อตั ราการปลอ่ ย (ตัว/ไร่) จำนวนครั้ง/ฤดู
ไขห่ นอนกออ้อย 20,000 – 30,000 6 –10
T. japonicum
ไข่หนอนกอข้าว T. confusum 20,000 – 30,000 4-8
ไขห่ นอนเจาะสมอฝา้ ย T. dendrolimi 20,000 – 30,000 6-8
ไขห่ นอนแก้วส้มและ T. japonicum 20,000 – 30,000 4-8
หนอนคืบละหุ่ง 40,000 – 60,000 6-10
ไขห่ นอนใยผัก T. confusum
T. dendrolimi 20,000 – 30,000 6-10
ไข่หนอนเจาะลำตน้ T. petriosum 20,000 – 30,000 4-6
ข้าวโพด T. chilonis 40,000 – 60,000 6-8
ไข่หนอนคืบกะหล่ำ
T. confusum
ไขห่ นอนกระทู้ผักและ T. dendrolimi
หนอนหลอดหอม
T. confusum
Trichogrammatoidae
bactrea
T. confusum
T. chilonis
T. confusum
T. dendrolimi
T. japonicum
167
คำแนะนำการใช้แตนเบียนเพลยี้ แป้งมนั สำปะหลงั สีชมพู (แตนเบียนอะนาไกรัส) ควบคมุ เพลย้ี แปง้ มันสำปะหลังสีชมพู
แตนเบยี นอะนาไกรัส โลเปไซ (Anagyrus lopezi) เป็นแตนเบยี นที่มีประโยชน์ช่วยควบคมุ เพลย้ี แปง้ มนั สำปะหลงั สี
ชมพู พฤติกรรมการเข้าทำลายของแตนเบยี น มี 2 วธิ ี ได้แก่ 1) การห้ำ แตนเบยี นเพศเมียใชอ้ วยั วะวางไข่แทงเขา้ ไปในลำตวั
เพล้ยี แป้งเพ่อื สร้างบาดแผลจากนัน้ ใชป้ ากเลียกนิ ของเหลวจากรอยแผลเพอื่ นำโปรตนี จากของเหลวในลำตวั เพลย้ี แป้งไปใชส้ ร้าง
ไข่ วธิ นี ี้จะทำให้เพล้ยี แปง้ ตายทันที 2) การเบยี น แตนเบยี นเพศเมียใช้อวัยวะวางไข่แทงเข้าไปในลำตัวเพลี้ยแป้งและวางไข่
ภายใน หนอนแตนเบียนดูดกินของเหลวในลำตวั เพลีย้ แปง้ เจริญเติบโตเขา้ ดกั แด้อยู่ภายใน แตนเบยี น 1 ตัว ฆ่าและทำลายเพลีย้
แปง้ วันละ 20 - 30 ตัว และลงเบยี นเพลี้ยแปง้ ไดว้ นั ละ 15 - 20 ตัว ลกั ษณะสำคัญท่ใี ชจ้ ำแนกเพศของแตนเบียนชนดิ น้ี คอื
สว่ นหนวดแตนเบียนเพศผ้มู ลี ักษณะยาวเรยี วสีดำและมีขนเล็กทส่ี ่วนของปล้องหนวด เพศเมยี มหี นวดปล้องแรกของเพศเมียมี
ลักษณะแบนและใหญ่กว่าหนวดปล้องอน่ื และปล้องหนวดมีสขี าวสลบั ดำ
วธิ กี ารปลอ่ ยแตนเบียนอะนาไกรัส
1) ปลอ่ ยในพนื้ ที่ท่ีมเี พลย้ี แป้งมันสำปะหลงั สชี มพู โดยนำภาชนะท่บี รรจุแตนเบียนวางใกล้ ยอดมันสำปะหลังทม่ี เี พลี้ย
แป้งมนั สำปะหลงั สชี มพู
2) ปลอ่ ยแตนเบียนให้กระจายท่วั แปลง อตั ราการปล่อย 50 - 100 ค/ู่ ไร่ หากเพลยี้ แป้งระบาดรุนแรงให้ปลอ่ ย 200 คู่/
ไร่
3) หลกี เลย่ี งการพ่นสารเคมีกำจดั แมลง ในบรเิ วณทีป่ ล่อยแตนเบียนและบรเิ วณใกลเ้ คียง
การประเมินผลสำเร็จ
1) ตรวจดูลักษณะหยดน้ำเหนียวๆ ทใ่ี บมันสำปะหลังจะลดลง
2) ยอดมนั สำปะหลังท่ีแตกใหม่ พบอาการยอดหงกิ ลดลง
3) ตรวจสอบการปรากฏตวั ของแตนเบยี น จะพบบนิ วนรอบยอดมนั สำปะหลังท่ีมีเพล้ยี แปง้ ลงทำลายหลงั การปล่อย 2
เดอื น
4) เกบ็ ตัวอย่างยอดมนั สำปะหลงั ทมี่ เี พลีย้ แป้ง สงั เกตจำนวนแตนเบยี นทบ่ี ินออกมา และนำไปใชป้ ระโยชน์
การเพาะเลย้ี งแตนเบียนเพล้ียแปง้ มนั สำปะหลงั สีชมพู มี 2 วิธกี าร
วธิ ีการที่ 1 การเพาะเลี้ยงแตนเบียน โดยใชเ้ พลยี้ แป้งมนั สำปะหลังสชี มพูทเ่ี ลี้ยงบนต้นมนั สำปะหลัง
1) ปลูกท่อนพันธม์ุ ันสำปะหลังในกระถาง ขนาด 8 นว้ิ กระถางละ 2 ท่อน ให้ได้อายุ 6 สัปดาห์
2) เขยี่ กลุ่มไข่เพล้ียแป้งใส่บนยอดและใบของมนั สำปะหลัง ปล่อยให้ไข่ฟักและตวั อ่อนเจริญถงึ วยั ท่ี 3 ใชเ้ วลาประมาณ
3 สปั ดาห์ (21-25 วัน)
3) นำตน้ มันสำปะหลังท่ีมเี พลี้ยแป้งจากข้อ 2) จำนวน 8 กระถาง ใสใ่ นกรงเลี้ยงแมลง ปล่อยแตนเบยี น 40 คู่ ในกรง
ภายในกรงใหน้ ้ำผึง้ 50% เป็นอาหารของแตนเบียน โดยทานา้ ผ้งึ บนกระดาษทชิ ชูแขวนไวภ้ ายในกรง จากนัน้ ประมาณ 2
สปั ดาห์ (11-15 วนั ) เพลย้ี แป้งจะตายและกลายเป็นมมั มี่
4) เมอ่ื พบแตนเบยี นบนิ ออกมาจากมมั มใี่ หใ้ ช้อุปกรณ์ดูดแมลงดูดเก็บแตนเบียนใส่ในภาชนะทมี่ รี ูระบายอากาศและให้
น้ำผ้ึงไว้ภายใน โดยตรวจนับเพศแตนเบียนอัตราเพศผู้ : เพศเมีย 1 : 1 ที่เพาะเลี้ยงไดบ้ รรจใุ สภ่ าชนะ 100 – 200 คู่ สำหรับ
นำไปปล่อย หรือนำไปใช้เปน็ พอ่ แม่พนั ธุ์เพาะเลีย้ งขยายพันธต์ุ อ่ ไป
วิธกี ารที่ 2 การเพาะเล้ียงแตนเบยี น โดยใช้เพล้ยี แป้งมนั สำปะหลังสชี มพูที่เลีย้ งบนผลฟกั ทอง
1) เก็บยอดมนั สำปะหลังท่มี ีเพลี้ยแปง้ ลงทำลายมาวางเรยี งบนตะแกรง
2) เลือกผลฟักทองที่ไม่อ่อนหรอื แก่เกนิ ไปและมีสีเขียวผิวเรียบ ล้างทำความสะอาดและเชด็ ใหแ้ หง้ นำเรยี งทับบนยอด
มันสำปะหลงั ปล่อยไวป้ ระมาณ 3 - 7 วนั เพล้ยี แปง้ จะขึ้นมาอยู่บนผลฟักทอง
168
3) นำผลฟกั ทองทมี่ ีเพลย้ี แป้งจากข้อ 2) ใส่ในกรงเล้ียงแมลง 10 - 20 ผล ปล่อยแตนเบยี น 40 - 50 คู่ ในกรงเลย้ี ง
แมลง ภายในกรงมนี ้ำผ้งึ 50% ทาบนกระดาษทิชชแู ขวนไว้ภายในเพ่อื เปน็ อาหารของแตนเบียน แตนเบยี นจะลงทำลายเพลย้ี
แป้งท่ีเลี้ยงบนผลฟักทอง ปล่อยไวป้ ระมาณ 2 สปั ดาห์ (11-15 วัน) เพล้ยี แปง้ จะตายกลายเป็นมมั มี่
4) เมือ่ พบแตนเบยี นบินออกมาจากมัมม่ใี หใ้ ช้อุปกรณ์ดูดแมลงดูดเกบ็ แตนเบยี นใส่ในภาชนะทีม่ ีรูระบายอากาศและให้
น้ำผ้ึงไว้ภายใน โดยตรวจนับเพศแตนเบยี นอตั ราเพศผู้ : เพศเมยี 1 : 1 ที่เพาะเล้ียงได้บรรจใุ ส่ภาชนะ 100 - 200 คู่ สำหรบั
นำไปปลอ่ ย หรือนำไปใช้เป็นพ่อแมพ่ ันธเุ์ พาะเล้ยี งขยายพันธุ์ตอ่ ไป
การเกบ็ รกั ษาแตนเบียน
1) โดยทวั่ ไปแตนเบียนเพล้ยี แปง้ มนั สำปะหลังสีชมพมู ีอายุประมาณ 2-3 วนั ถา้ ไม่มอี าหาร และมอี ายุ 7-12 วัน เมื่อให้
น้ำผ้งึ 50% เป็นอาหาร และถา้ เก็บไวใ้ นตูค้ วบคุมอุณหภมู ิ 15 องศาเซลเซียส จะมีชีวติ อยไู่ ดน้ าน 21 - 30 วัน
2) การปลอ่ ยแตนเบียนที่ออกจากมมั มใ่ี หม่ๆ ประสิทธภิ าพจะมากกวา่ แตนเบียนทเี่ กบ็ ไว้นาน
3) ไม่แนะนำใหเ้ กบ็ แตนเบียนไวน้ านมากกวา่ 14 วัน เน่ืองจากแตนเบยี นที่มอี ายมุ ากการเขา้ ทำลายเพล้ยี แปง้ จะลดลง
169
คำแนะนำการใช้แตนเบียนแมลงดำหนามมะพร้าว (แตนเบียนอะซโี คเดส และแตนเบยี นเตตระสตคิ ัส)
ควบคุมแมลงดำหนามมะพรา้ ว
แตนเบยี นอะซีโคเดส ฮิสไพนารัม (Asecodes hispinarum) เป็นแตนเบียนที่มปี ระสิทธิภาพชว่ ยทำลายหนอน
แมลงดำหนามมะพร้าว โดยแตนเบียนเพศเมียท่ผี สมพันธุแ์ ล้ววางไข่เข้าไปในตวั หนอนแมลงดำหนามมะพรา้ ว หนอนของแตน
เบียนเม่อื ฟกั ออกจากไข่ดดู กินของเหลวเจริญเตบิ โตและเข้าดักแด้ภายในลำตัวหนอนแมลงดำหนามมะพร้าว ทำให้หนอนทีถ่ ูก
เบยี นเคล่ือนไหวช้า กนิ อาหารน้อยลง และตายในท่สี ุด ภายหลังท่ีถกู เบยี น 7-10 วนั หนอนท่ถี ูกเบียนจะตายแล้วมลี ำตัวสดี ำ
และแข็ง เรียกว่า “มัมม่”ี แตนเบียนเมือ่ ออกจากดกั แดจ้ ะกดั ผนงั “มมั ม”่ี ออกมาจับคู่ผสมพนั ธท์ุ ันที ภายหลังจากผสมพันธ์ุ
1-2 ช่ัวโมง สามารถเข้าเบยี นหนอนแมลงดำหนามมะพรา้ วได้ทนั ที
แตนเบียนเตตระสตคิ ัส บรอนทสิ ป้ี (Tetrastichus brontispae) สามารถเขา้ ทำลายหนอนแมลงดำหนามมะพร้าว
วยั ท่ี 4 และดักแด้แมลงดำหนามมะพรา้ ว แต่จะชอบเบียนระยะดักแด้มากท่ีสดุ แตนเบียนเพศเมยี ทผี่ สมพนั ธแุ์ ล้ววางไข่ในดกั แด้
แมลงดำหนามมะพร้าว หนอนของแตนเบียนเม่ือฟักออกจากไข่ดดู กินของเหลวเจริญเตบิ โตภายในลำตัวแมลงดำหนามมะพรา้ ว
ภายหลงั จากถกู เบยี น 8 วัน แมลงดำหนามมะพรา้ วจะมีลำตวั แขง็ กลายเปน็ สนี ้ำตาลเขม้ เรยี กวา่ “มมั ม่ี” แตนเบียนเมื่อออก
จากดักแดจ้ ะกัดผนงั “มัมม”ี่ ออกมาจับคผู่ สมพันธทุ์ ันที ภายหลังจากผสมพนั ธ์ุสามารถเข้าเบียนแมลงดำหนามมะพร้าวได้ทนั ที
อุปกรณส์ ำหรบั ปล่อยแตนเบยี นอะซีโคเดสและแตนเบียนเตตระสตคิ สั
ได้แก่ หลอดพลาสติกพร้อมฝาปดิ ขนาดเส้นผ่านศนู ย์กลาง 2.5 ซม. สูง 6 ซม. หรอื ถ้วยพลาสตกิ ขนาดเลก็ พร้อมฝาปิด
ขนาดเสน้ ผา่ นศูนยก์ ลาง 4.5 ซม. สงู 4 ซม. ซึ่งด้านข้างหลอดเจาะรู 3-4 รู ดา้ นลา่ ง 1 รู หรือเจาะ 4 รทู ม่ี ุมของถ้วยพลาสตกิ
และทฝ่ี า 1 รู สำหรับร้อยเชือกหรอื ลวดสำหรบั แขวน
วิธกี ารปลอ่ ยแตนเบียนอะซีโคเดสและแตนเบียนเตตระสตคิ ัส
1. ปลอ่ ยแตนเบยี นอะซโี คเดส/แตนเบียนเตตระสติคัส จำนวน 5-10 มัมมี่/ไร่ ทกุ 7 วัน ต่อเนอื่ ง 1 เดอื น โดยบรรจุ
มมั ม่แี ตนเบียนในภาชนะปล่อย
2. นำไปแขวนทีต่ น้ มะพร้าวที่มีแมลงดำหนามมะพรา้ วระบาดให้สงู จากพืน้ ดิน 1.5 เมตร โดยตอกตะปูและผูกเชอื กตดิ
ตะปูและทาจาระบีท่เี ชือกเพื่อกนั มดเข้าไปทำลายมัมม่ี (สามารถปล่อยแตนเบียนท้ัง 2 ชนดิ นีร้ ว่ มกันได้)
การเพาะเลี้ยงแตนเบียนหนอนแมลงดำหนามมะพรา้ ว (แตนเบียนอะซีโคเดส)
การเพาะเล้ยี งแตนเบยี นหนอนแมลงดำหนามมะพร้าว จำเป็นตอ้ งใชห้ นอนแมลงดำหนามมะพร้าววัย 4 เป็นแมลง
อาศยั จึงต้องเพาะเลย้ี งตามขั้นตอนและวิธีการ ดงั นี้
วิธกี ารเพาะเลีย้ งหนอนแมลงดำหนามมะพรา้ ว
การเตรยี มพอ่ แม่พนั ธุแ์ มลงดำหนามมะพร้าว เกบ็ แมลงดำหนามมะพรา้ วจากต้นมะพรา้ วทีถ่ ูกทำลาย มาคัดแยกตัว
เต็มวัยและหนอนโดยแยกเลยี้ งตวั เต็มวัยแมลงดำหนามมะพรา้ ว ดว้ ยใบอ่อนมะพร้าว ที่เชด็ ทำความสะอาดแลว้ ตัดให้ได้ขนาด
ยาว 20 ซม. จำนวน 50 ใบ ใสใ่ นกลอ่ งพลาสติกขนาด 17x27x9 ซม. โดยทฝ่ี ากลอ่ งเจาะเป็นชอ่ งบุด้วยผ้าใยแก้วขนาดกว้าง
9x19 ซม. สำหรับหนอนและดักแด้แมลงดำหนามมะพร้าวแยกเลี้ยงในกลอ่ งพลาสตกิ รอให้ออกเป็นตวั เต็มวัยแล้วจึงเลี้ยงต่อไป
การเลี้ยงขยายหนอนแมลงดำหนามมะพรา้ ว
1) เม่ือตัวเต็มวยั ผสมพันธุ์และวางไข่ เกบ็ ไข่แมลงดำหนามมะพร้าวออกจากกล่องเลีย้ งตัวเต็มวัยทกุ 2-3 วนั นำไข่
ประมาณ 500 ฟอง มาโรยใส่ด้านในใบแก่มะพรา้ ว ซ่งึ เช็ดทำความสะอาดและตดั ให้ได้ขนาดยาว 10 ซม. จำนวน 25-30 ชิ้น มัด
ซอ้ นไว้ดว้ ยหนงั ยางวง วางไว้ในกล่องพลาสติกรอให้หนอนฟักออกจากไขเ่ ปน็ เวลา 3-4 วนั ท่ีอุณหภูมิ 25-28 องศาเซลเซียส
2) เมอ่ื ไข่ฟกั ทำการเลยี้ งหนอนแมลงดำหนามมะพร้าวในกลอ่ งพลาสตกิ ขนาด 10x15x6 ซม. โดยท่ฝี ากล่องเจาะเป็น
ชอ่ งบุดว้ ยผ้าใยแกว้ ขนาดกวา้ ง 4x10 ซม. เพื่อเป็นที่ระบายอากาศและป้องกันไมใ่ หแ้ มลงหนีออกจากกล่อง โดยเขีย่ หนอน
170
ประมาณ 300 ตัว ใส่ในกล่องท่มี ีใบแก่มะพรา้ วมัดรวมกนั ด้วยยางวง เก็บบนชัน้ เลี้ยงแมลง เปล่ยี นใบมะพรา้ วทกุ 5-7 วัน หรอื
เมอื่ ใบเปลีย่ นเป็นสีน้ำตาล
3) เลี้ยงหนอนประมาณ 15-18 วัน จะได้หนอนวัย 4 ขนาดยาวประมาณ 1 ซม. เหมาะสมสำหรับนำไปเล้ยี งแตน
เบยี นอะซีโคเดสได้
การเตรยี มพอ่ แมพ่ นั ธ์ุแตนเบยี นอะซโี คเดส
1) คดั เลอื กมัมมที่ ี่มีพ่อแม่พันธุ์แตนเบียนทสี่ มบูรณ์อายุ 7-10 วันนบั จากวันเบยี น ลา้ งผา่ นด้วย Clorox 0.1% แล้วนำ
ขึ้นผึ่งให้แหง้ บนกระดาษทิชชู วางทง้ิ ไว้ 1 คืน นำใสใ่ นถว้ ยพลาสติกเลก็ ขนาดเส้นผา่ นศูนยก์ ลาง 4.5 ซม. สงู 4 ซม.
2) ต้ังท้งิ ไว้อีก 10-11 วัน (อายุ 17-21 วันนบั จากวันเบยี น) จากนัน้ นำใส่กลอ่ งพลาสติกเลี้ยงแมลงขนาด 10x15x6 ซม.
ท่ีฝาเจาะเป็นชอ่ งบดุ ้วยผ้าใยแกว้ ขนาดกวา้ ง 4x10 ซม. เมื่อพบแตนเบยี นออกจากมัมมี่ ใหป้ ลอ่ ยทิง้ ไว้ 2-3 ซม. เพ่ือให้แตน
เบยี นได้ผสมพันธุ์กัน จากน้นั นำไปใชเ้ บยี นหนอนแมลงดำหนามมะพรา้ วรนุ่ ใหม่
การเพาะเลีย้ งแตนเบียนอะซีโคเดส
1) คัดหนอนแมลงดำหนามมะพรา้ ววยั 4 จำนวน 150 ตัว ใสก่ ลอ่ งที่มใี บมะพร้าวเชด็ ทำความสะอาดและตัดให้ได้
ขนาดยาว 10 ซม. จำนวน 2-3 ชิ้น ด้านข้างกล่องติดกระดาษชุบน้ำผึ้งเข้มข้น 50% เพ่ือเป็นอาหารแตนเบยี น แล้วปลอ่ ยพ่อแม่
พนั ธ์แุ ตนเบียนจำนวน 400-500 ตัว (มมั ม่ีพ่อแม่พันธ์ุ 20 มัมมี่ (1 มัมมี่ มแี ตนเบียนอะซีโคเดส ประมาณ 25 ตัว) ลงในกลอ่ ง
2) แตนเบยี นจะลงทำลายหนอนทนั ทีท่ีปลอ่ ยลงในกล่อง นำกล่องวางบนชน้ั เลย้ี งแมลง 3-4 วันทอี่ ุณหภมู ิ 25-28 องศา
เซลเซยี ส
3) ย้ายหนอนแมลงดำหนามมะพร้าวที่ถกู ลงทำลายแล้ว 4-5 กล่อง มาเลี้ยงรวมกันในกลอ่ งใหม่ใส่ใบมะพรา้ วทีเ่ รียง
ซ้อนและมดั รวมกนั ไว้ เพื่อเป็นอาหารของหนอนทถี่ ูกลงทำลายแตย่ งั ไม่ตาย หนอนท่ีถกู ลงทำลายจะเริ่มตายและกลายเป็นมมั ม่ี
7-10 วนั หลังจากถกู ลงทำลาย
4) คดั แยกหนอนทก่ี ลายเปน็ มมั มี่แลว้ ออกจากกล่องทุกวัน จดบันทึกวันทเี่ ก็บมัมมี่
5) แบ่งมัมม่เี ปน็ 2 สว่ น สว่ นที่ 1 ประมาณ 10% นำไปใช้เป็นพ่อแมพ่ ันธุ์ โดยแยกเกบ็ มัมม่ีในหลอดพลาสติกมฝี าปิด
สนิท ส่วนทเี่ หลอื 90% นำไปปลอ่ ยเพื่อควบคุมแมลงดำหนามมะพรา้ วในสวนมะพรา้ ว ซึ่งแตนเบยี นจะออกเป็นตวั เต็มวัย
หลงั จากเกบ็ มัมมี่พักไว้แลว้ ประมาณ 10-11 วนั
การเพาะเลีย้ งแตนเบยี นดกั แด้แมลงดำหนามมะพรา้ ว (แตนเบยี นเตตระสตคิ ัส)
ในการเพาะเล้ยี งแตนเบียนดกั แด้แมลงดำหนามมะพร้าว จำเปน็ ต้องใชด้ ักแดแ้ มลงดำหนามมะพรา้ ว อายุ 1-2 วัน เปน็
แมลงอาศยั จงึ ต้องเพาะเลี้ยงตามข้นั ตอนและวิธีการ ดังน้ี
วิธีการเพาะเลย้ี งดักแดแ้ มลงดำหนามมะพร้าว
เลย้ี งแมลงดำหนามมะพร้าววธิ ีการเช่นเดยี วกันกับการเพาะเลีย้ งหนอนแมลงดำหนามมะพร้าว คอื เลี้ยงให้หนอนโตเข้า
ดกั แด้ อายุประมาณ 19-21 วนั หลังฟกั ออกจากไข่ จะได้ดักแด้แมลงดำหนามมะพร้าวที่เหมาะสมสำหรับนำไปเล้ียงแตนเบียน
เตตระสติคัส
วิธีการเพาะเลยี้ งแตนเบยี นดักแด้เตตระสติคัส
1) การเตรียม “มัมม”่ี พ่อแม่พนั ธุแ์ ตนเบียนดกั แดแ้ มลงดำหนามมะพรา้ วใสก่ ล่องพลาสติกจำนวน 4-8 มัมม่ี ปล่อยให้
แตนเบียนออกเป็นตวั เต็มวัยท้งิ ไว้ใหผ้ สมพันธ์ุ 2-3 ชวั่ โมง
2) เตรียมกล่องพลาสตกิ สีเ่ หลี่ยม ขนาด 10x15x6 ซม. ทมี่ ีฝาปิดสนิท บนฝาตดั เป็นชอ่ งส่เี หลยี่ ม ขนาดประมาณ 4x10
ซม. บดุ ว้ ยผา้ ใยแกว้ เพ่ือใหอ้ ากาศภายในกลอ่ งถ่ายเทได้ ใหน้ ้ำผึ้ง 50% เป็นอาหารสำหรบั แตนเบียนตัวเต็มวัย โดยใชพ้ ู่กนั ชบุ
น้ำผงึ้ ทาบนกระดาษทิชชชู นดิ หนา ที่ตดั เปน็ แผน่ สี่เหล่ียมขนาด 2X6 ซม. กดใหก้ ระดาษทชิ ชตู ดิ กับกลอ่ งด้านขา้ ง
171
3) เลือกดักแด้แมลงดำหนามมะพร้าว ประมาณ 300 ตัว ใสล่ งในกล่องเบียน ใส่ใบมะพร้าวแก่ตดั ใหม้ ีขนาดยาว
ประมาณ 10 ซม. จำนวน 2-3 ช้ิน จากนน้ั ใชแ้ ปรงเข่ียพอ่ แมพ่ ันธุ์แตนเบียนดกั แด้เตตระสติคสั ทีเ่ ตรียมไวล้ งไป (ประมาณ 44-
88 ตวั (1 มมั ม่ี มีแตนเบยี นประมาณ 11 ตัว)) แล้วปิดฝา
4) ปลอ่ ยท้งิ ไวป้ ระมาณ 10 วัน เพ่อื ให้แตนเบยี นดักแด้เตตระสติคสั เขา้ เบยี นดกั แด้แมลงดำหนามมะพร้าว
5) ดักแด้ถูกเบียนจะทยอยตายและกลายเปน็ มมั มี่ หลังจากให้เบียนแล้ว 10 วัน คัดแยกดักแด้ท่ีตายและแห้งแขง็ เปน็
มัมม่สี ดี ำ-หรือน้ำตาล ออกจากแต่ละกล่อง และนำไปเกบ็ รวมไวใ้ นกล่องพลาสติกสเ่ี หลย่ี มมฝี าปิดสนทิ และรองพ้นื กล่องดว้ ย
กระดาษทชิ ชู หากพบดักแด้ที่ตายจากเชอื้ รา หรือเนา่ ตาย ใหร้ ีบเกบ็ แยกออกจากกล่องทันที เพอื่ ป้องกนั ไม่ใหด้ กั แด้ท่ีเหลือติด
โรคตาย
6) นำ “มัมม่ี” อายุประมาณ 17 วัน นำใสล่ งในถว้ ยพลาสติกขนาดเสน้ ผา่ นศูนย์กลาง 4.5ซม. สงู 4 ซม. ทีม่ ีฝาปดิ
พร้อมทจ่ี ะนำไปปล่อย หรอื ทิ้งไวแ้ ตนเบียนกจ็ ะเรมิ่ เจาะออกจาก “มัมม”่ี หลังจากถูกเบียนประมาณ 18-21 วัน ข้นึ กับสภาพ
อุณหภูมิ
7) แตนเบยี นเพศผ้จู ะเจาะออกจากมัมม่ีก่อนแตนเบยี นเพศเมีย และจะเข้าผสมพันธ์ุ ทนั ทที ่ีเพศเมยี เจาะออกจาก
“มัมม่ี” นำแตนเบยี นท่เี จาะออกจากมัมมี่ไปเปน็ พ่อแม่พันธุ์
8) โดยกระบวนการต้งั แต่ข้อ 1 ถงึ ข้อ 6 จะสามารถเพาะเลี้ยงแตนเบยี นดักแด้แมลงดำหนามมะพรา้ ว ได้มากเพียง
พอที่จะนำไปปล่อยในสวนมะพร้าว เพ่อื ช่วยเพ่ิมการควบคุมแมลงดำหนามมะพรา้ วโดยชวี วธิ ี หรอื ใช้รว่ มกบั วธิ กี ารอื่น ๆ
172
คำแนะนำการใชแ้ ตนเบียนหนอนหวั ดำมะพร้าว (แตนเบยี นโกนิโอซัส) ควบคุมหนอนหัวดำมะพร้าว
แตนเบยี นโกนิโอซสั นีแฟนตดิ ิส (Goniozus nephantidis) เป็นแมลงศตั รธู รรมชาตทิ ม่ี ีความเฉพาะเจาะจงต่อแมลง
อาศัยคือหนอนหัวดำมะพรา้ ว แตนเบยี นเพศเมียใชอ้ วัยวะคล้ายเขม็ ท่ปี ลายท้องต่อยหนอนหัวดำมะพรา้ วใหห้ ยดุ การเคล่ือนไหว
จากน้ันวางไข่บนลำตัวหนอนหวั ดำมะพร้าว หนอนแตนเบียนเกาะดูดกนิ ของเหลวในตัวหนอนหัวดำมะพร้าวอยู่ภายนอก
จนกระทั่งหนอนหัวดำมะพร้าวตายและเข้าดักแดภ้ ายนอกซากหนอนหัวดำมะพร้าว แตนเบยี นเพศเมยี 1 ตวั สามารถเบยี น
หนอนหัวดำมะพรา้ วได้ 7-8 ตวั สามารถผลติ รุ่นลูกได้ 60-70 ตวั
วิธกี ารปลอ่ ยแตนเบยี นโกนโิ อซัส
1. บรรจุแตนเบียนโกนโิ อซัสเพศเมยี ทป่ี ล่อยใหผ้ สมพันธแุ์ ล้ว 4 วนั ในภาชนะสำหรบั ปลอ่ ยซ่งึ ภายในมีสำลชี บุ น้ำผง้ึ
เขม้ ขน้ 50% เพื่อเปน็ อาหารของแตนเบียน
2. ปล่อยแตนเบยี นในสวนมะพรา้ วท่พี บการระบาดของหนอนหวั ดำมะพรา้ วชว่ งพลบค่ำ โดยเปิดฝาภาชนะให้แตน
เบียนบินออกจากภาชนะปลอ่ ย อัตราการปล่อยแตนเบียน 200 ตวั /ไร่ ปลอ่ ยทกุ 7 วัน ต่อเนอ่ื ง 1 เดอื น
การเพาะเล้ยี งแตนเบียนหนอนหวั ดำมะพร้าว (แตนเบียนโกนโิ อซัส)
การเพาะเลยี้ งแตนเบยี นหนอนหวั ดำมะพร้าว (แตนเบยี นโกนิโอซสั ) จะต้องใช้หนอนหัวดำมะพร้าวและหนอนผีเส้ือ
ข้าวสารเพ่อื เปน็ แมลงอาศัย ดังนนั้ จงึ ตอ้ งทำการเพาะเล้ียงแมลงอาศัยให้ได้วัยทเ่ี หมาะสม คอื หนอนหัวดำมะพรา้ ววัย 6 ความ
ยาวลำตวั ประมาณ 2.5 ซม. ใชเ้ วลาเลยี้ งประมาณ 35-40 วัน หรือหนอนผเี สอื้ ขา้ วสาร ความยาวลำตัวประมาณ 1.5 ซม. ใช้
เวลาเลย้ี งประมาณ 35-40 วัน โดยเลีย้ งแตนเบยี นด้วยหนอนผเี สื้อข้าวสาร 3 รนุ่ สลบั กับเลย้ี งแตนเบยี นดว้ ยหนอนหัวดำ
มะพร้าว 1 รุน่ ซึง่ ขนั้ ตอนและวธิ กี ารมีดังน้ี
การเตรียมพอ่ แม่พันธผุ์ ีเสื้อหนอนหวั ดำมะพร้าว
1) เก็บหนอนหวั ดำมะพรา้ วจากธรรมชาติ มาเลยี้ งดว้ ยใบมะพร้าวในกล่องพลาสติกขนาด 13x18x7 ซม. เจาะรทู ฝ่ี าติด
ตะแกรงระบายอากาศขนาด 4x10 ซม. เปล่ียนใบมะพรา้ วทกุ 3 วัน โดยใสใ่ บมะพร้าวใหม่ลงในกลอ่ ง ปล่อยให้หนอน
เคลอื่ นยา้ ยจากใบเก่ามาท่ีใบใหม่เองใชเ้ วลา 1-2 วัน จึงนำใบมะพรา้ วเก่าออก นำกล่องพลาสตกิ เล้ยี งหนอนหัวดำมะพร้าววางไว้
บนชนั้ เลย้ี งแมลงท่อี ุณหภูมิ 25-28 องศาเซลเซียส จนกระทงั่ หนอนเจรญิ เติบโตเปน็ ดกั แด้ แล้วแยกดักแด้ท่ีสมบรู ณเ์ พ่ือรอให้
เปน็ ผเี สื้อตวั เต็มวยั
2) เตรยี มโหลพลาสตกิ สำหรับให้แม่ผีเส้ือวางไข่ ขนาดเสน้ ผ่านศนู ยก์ ลาง 16.5 ซม. สงู 17 ซม. ทฝี่ าเจาะช่องระบาย
อากาศติดตะแกรงละเอียด ใช้พกู่ นั จ่มุ น้ำผึง้ เขม้ ข้น 50% ป้ายลงบนกระดาษทิชชูขนาดเลก็ 3 แผน่ วางทาบไว้ทผี่ นังด้านข้าง
โหลพลาสติก 3 ดา้ น ดา้ นท่ีเหลอื ใช้กระดาษทชิ ชูทปี่ า้ ยดว้ ยน้ำสะอาด สำหรับพื้นโหลวางกระดาษทชิ ชไู วเ้ พ่ือให้ผเี ส้ือวางไข่
3) นำผีเส้อื ที่ไดจ้ ากดกั แด้ตามขอ้ 1) ใส่ลงในโหลพลาสติก โหลละ 25 คู่ (เพศผู้ 25 ตัว และเพศเมยี 25 ตวั ) ปลอ่ ยไว้
1-2 วนั เพอื่ ใหผ้ เี ส้อื วางไข่บนกระดาษทชิ ชู เลีย้ งจนกระท่งั ผเี ส้อื หมดอายุขยั (ประมาณ 10 วัน)
การเลย้ี งขยายหนอนหวั ดำมะพร้าว
1) เตรียมกล่องพลาสตกิ เลย้ี งแมลงและใส่ใบมะพร้าวท่ีทำความสะอาดแล้วตดั เป็นท่อนยาว 10 ซม. นำมาเรยี งซ้อนกัน
8 ใบ ใช้กรรไกรตดั กระดาษทิชชทู ี่มีไขห่ นอนหัวดำมะพรา้ วออกเป็นชิน้ เล็กๆ ขนาด 1-1.5 ซม. นำกระดาษทิชชูขนาดเล็กทีม่ ีไข่
ผีเส้อื วางสอดไปในใบมะพรา้ ว จากนนั้ ใช้กระดาษทิชชูปิดที่กล่องดา้ นในก่อนปดิ ฝาเพ่ือป้องกันหนอนวยั 1 หนอี อกจากกล่อง
2) ตง้ั กล่องทง้ิ ไว้ หนอนหัวดำมะพรา้ วจะทยอยฟักออกมาจากไขภ่ ายใน 4-5 วนั โดยระยะแรกๆ จะอย่รู วมกนั เปน็ กลุม่
และบอบบางมาก การเปลี่ยนอาหารหรอื ใบมะพรา้ วจงึ ต้องใชค้ วามระมัดระวงั (หา้ มใช้พู่กนั เข่ียไขห่ รอื หนอนทเี่ พิ่งฟกั ) โดยใหใ้ ส่
ใบมะพรา้ วใบใหม่ลงไปในกล่องหนอนหัวดำมะพร้าวจะย้ายมาทใี่ บมะพรา้ วใบใหม่เอง ใชเ้ วลา 1-2 วัน จึงนำใบมะพร้าวเกา่ ออก
3) เปลยี่ นใบมะพร้าวทุก 3-5 วนั (อยา่ ปล่อยให้ใบมะพรา้ วแหง้ ) ประมาณ 35-40 วัน จะได้หนอนหวั ดำมะพร้าวขนาด
ใหญ่วยั 6 ความยาวลำตวั ประมาณ 2.5 ซม. ทีส่ ามารถนำไปเลย้ี งขยายแตนเบยี นได้
173
การเตรียมอาหารสำหรับเล้ียงหนอนผีเสอื้ ขา้ วสาร
ผสม รำละเอยี ด : ปลายขา้ ว : น้ำตาลทรายขาว ในถาดอลมู ิเนยี ม อตั ราสว่ น 60 : 3 : 1 โดยน้ำหนัก แลว้ อบส่วนผสม
ในตู้อบท่ีอุณหภูมิ 80-90 องศาเซลเซียส นาน 8-9 ช่ัวโมง เพอื่ กำจัดแมลงท่ตี ดิ มากับรำ เช่น มอดข้าวสาร มอดแป้ง ด้วงงวงขา้ ว
จากนน้ั วางตั้งไว้ให้อาหารเยน็ ลง แลว้ ใส่ในกลอ่ งพลาสตกิ กล่องละ 1 กิโลกรัม
การเลย้ี งขยายหนอนผีเสื้อข้าวสาร
1) นำผีเสอ้ื ข้าวสารตวั เตม็ วัยเพศผ้เู พศเมยี ใสต่ ะกรา้ ทบี่ ุดว้ ยตาขา่ ยไนล่อน เพื่อใหผ้ ีเสือ้ ข้าวสารผสมพนั ธ์แุ ละวางไข่
โดยปล่อยท้ิงไว้ 1 วนั จากนนั้ ใชแ้ ปรงปดั ที่ตาข่ายไนล่อนเพื่อแยกเอาไข่ออกใสใ่ นถาดและนำไปเพาะเล้ียงต่อ
2) โรยไข่หนอนผเี สื้อขา้ วสาร ประมาณ 0.1 กรมั ให้ทวั่ ถาดทใี่ สร่ ำและปิดฝาครอบใหส้ นิทบนฝาเจาะรรู ะบายอากาศ
ขนาด 4x10 ซม. ตดิ ตะแกรงลวดตาละเอยี ดขนาด 60 mesh ทส่ี ามารถปอ้ งกันไมใ่ ห้แมลงชนดิ อื่นเขา้ ไป
3) วางกล่องท่โี รยไข่ของหนอนผีเสอ้ื ข้าวสารแล้วในหอ้ งที่มีอณุ หภมู ิ 28-30 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 30-35 วนั จะได้
หนอนท่มี ีขนาดลำตัวยาว 1.5 ซม. เหมาะสำหรบั เล้ียงขยายแตนเบยี น
4) แบ่งหนอนทแ่ี ข็งแรงส่วนหน่ึง เลยี้ งจนกระทั่งเจรญิ เตบิ โตเป็นดกั แด้และเปน็ ผีเสอื้ ตวั เต็มวยั พอ่ แม่พันธุ์
การเตรยี มพอ่ แมพ่ ันธแุ์ ตนเบยี นท่ีพร้อมสำหรับวางไข่
แตนเบยี นทพี่ ร้อมนำไปใชต้ ้องปลอ่ ยท้งิ ไวใ้ หเ้ พศผแู้ ละเพศเมยี ผสมพันธุ์กันเป็นเวลาอย่างน้อย 4 วัน หลังออกจาก
ดกั แด้ แตนเบียนเพศเมยี ที่ได้รบั การผสมพนั ธุ์แล้วเทา่ นัน้ ที่จะวางไข่ โดยวางไข่และเจริญเตบิ โตอยูภ่ ายนอกลำตวั หนอนหวั ดำ
มะพรา้ ว แตนเบยี นเพศเมียจะมีขนาดใหญ่กวา่ เพศผใู้ ช้พูก่ ันเบอร์ 0 เขย่ี แตนเบียนเพศเมยี ออกมาอยา่ งเบามือ ใสใ่ นหลอด
พลาสตกิ สำหรบั เบียน
การเตรยี มแมลงอาศัย หนอนหัวดำมะพร้าวและหนอนผีเส้ือขา้ วสาร
การเพาะเลยี้ งแตนเบียนโกนิโอซัส ใชห้ นอนหวั ดำมะพรา้ วและหนอนผเี ส้อื ขา้ วสารเปน็ แมลงอาศัย โดยเล้ยี งแตนเบียน
ดว้ ยหนอนผีเส้อื ขา้ วสาร 3 รุ่น สลบั กบั เลีย้ งแตนเบียนดว้ ยหนอนหัวดำมะพรา้ ว 1 รุ่น (เพือ่ ป้องกันไม่ใหแ้ ตนเบียนอ่อนแอและ
วางไข่น้อยลง) หนอนทีน่ ำมาใช้เพาะเลย้ี งแตนเบยี น คือหนอนหวั ดำมะพรา้ ว ความยาวลำตัวประมาณ 2.5 ซม. ใช้เวลาเลี้ยง
ประมาณ 35-40 วนั หรอื หนอนผเี ส้อื ขา้ วสาร ความยาวลำตวั ประมาณ 1.5 ซม. ใช้เวลาเล้ยี งประมาณ 35-40 วัน
การเพาะเลีย้ งขยายแตนเบยี นโกนิโอซัส
1) ปล่อยหนอนใสใ่ นหลอดเบียนท่มี ีแตนเบยี นเพศเมยี ท่ีไดร้ ับการผสมพันธุ์แล้วอยู่ภายในโดยใชห้ นอนหวั ดำมะพร้าว
หนึ่งตัวต่อแตนเบยี นเพศเมีย 1 ตัว ปิดดว้ ยฝาที่ติดตะแกรงลวดละเอยี ด และมีชิ้นฟองน้ำท่ใี สน่ ้ำผงึ้ ไว้ 1 หยดเรียบร้อยแลว้
2) นำหลอดท่ีใสแ่ ตนเบยี นและหนอนหัวดำมะพร้าวแล้ว วางเรยี งในตะกรา้ ตามแนวนอนบันทึกรายละเอียดแตนเบยี น
และวนั ที่เบยี นบนหลอดเบียน
3) ปลอ่ ยใหแ้ ตนเบียนเข้าเบียนหนอนหวั ดำมะพร้าว เปน็ เวลา 4 วัน เมอ่ื พบการวางไข่ของแตนจึงตรวจนบั จำนวนไข่
ของแตนเบยี น ภายใต้กล้องจุลทรรศน์ หรอื แว่นขยาย
4) ใช้ปากคบี นำตัวหนอนที่มีไข่แตนเบียนออกจากหลอดเบียน และใส่หนอนแมลงอาศยั ตัวใหมใ่ ห้แตนเบยี นลงเบียน
โดยนำไปวางในกระดาษขนาด 5x7.5 ซม. โดยพบั ขอบกระดาษใหม้ ีลักษณะคล้ายกระบะเลก็ ๆ ซึ่งจะวางหนอน 10 ตัวตอ่ หน่งึ
กระบะ (ไม่ควรวางหนอนซ้อนทบั กันเนื่องจากจะมีผลต่อหนอนแตนเบียนทีก่ ำลงั เจรญิ เติบโตอย)ู่ จากนั้นนำไปเกบ็ ในกล่อง
พลาสตกิ ที่เจาะฝากล่องและปิดดว้ ยผา้ แกว้ เพ่ือระบายอากาศ ต้ังท้งิ ไว้ 1 สปั ดาห์
5) เปล่ียนหนอนแมลงอาศัยตัวใหมใ่ ห้แตนเบยี นวางไข่ในหลอดเดมิ ทำเช่นเดียวกับข้อ 3-4 จนกระทงั่ แตนเบียนตาย
6) หนอนแตนเบยี นจะฟกั ออกจากไขเ่ จรญิ เติบโตและเข้าระยะดักแด้ คอยสงั เกตตัวหนอนแมลงอาศัยหากเริ่มมีสดี ำ
คลา้ ใหค้ ีบหนอนท้งิ เพราะอาจทำให้ดักแดแ้ ตนเบียนติดเชื้อโรคและไม่ฟักเป็นตวั เต็มวยั
7) นำกระบะกระดาษท่ีมดี กั แด้ของแตนเบยี นบรรจุใสห่ ลอดขนาดเสน้ ผา่ นศูนย์กลาง 3.5 ซม.สงู 7 ซม. และปิดฝาท่ี
เจาะรปู ดิ ดว้ ยผ้าแก้วเพ่ือระบายอากาศ
174
8) จากน้ันประมาณ 1 สัปดาหค์ อยสังเกตการฟักตวั ของแตนเบยี น เมอื่ พบแตนเบียนตวั เตม็ วยั จึงเตมิ น้ำผึง้ ลงในช้ิน
ฟองน้ำเพื่อเปน็ อาหารใหก้ ับแตนเบยี น เม่อื แตนเบยี นออกจากดักแด้หมดแลว้ ปล่อยใหผ้ สมพนั ธต์ุ อ่ ไปอีก 4 วนั จงึ จะนำไป
ปล่อยควบคุมหนอนหวั ดำมะพร้าว และสว่ นหนึ่งใชเ้ ปน็ พ่อแมพ่ นั ธุ์ต่อไป
175
คำแนะนำการใช้มวนพิฆาต Eocanthecona furcellata (Wolff) ควบคมุ แมลงศัตรูพชื
มวนพฆิ าตเปน็ แมลงศัตรธู รรมชาตปิ ระเภทแมลงห้ำ มคี วามสำคัญและมีประโยชน์ทางการเกษตรอยา่ งมาก เน่ืองจาก
สามารถกินหนอนศัตรูพชื ได้หลายชนดิ โดยเฉพาะศตั รพู ืชในกลมุ่ หนอนผีเสอื้ เชน่ หนอนกระทู้ผกั หนอนกระทหู้ อม หนอนเจาะ
สมอฝา้ ย หนอนแก้วสม้ หนอนหัวดำมะพร้าว หรือแม้กระท่งั ศัตรูพชื ในระยะดกั แด้ มวนพิฆาตมพี ฤติกรรมเปน็ ตวั ห้ำ ทั้งในระยะ
ตวั ออ่ น และตัวเตม็ วยั ทงั้ เพศผู้และเพศเมยี มวนพิฆาตน้ีสามารถนำไปปลอ่ ยเพื่อควบคมุ แมลงศัตรูพืชและยังสามารถดำรงชีวิต
อยเู่ องไดท้ ้ังในสภาพสวนและสภาพไร่ จึงนบั เป็นแมลงตัวห้ำที่มศี ักยภาพสงู ในการควบคุมแมลงศัตรูพชื
มวนพิฆาตมปี ากแบบแทงดูด คลา้ ยเข็มฉีดยา ตามปกตปิ ากของมวนพฆิ าตจะพับเก็บไว้ใต้ทอ้ ง แต่เมอื่ เจอเหย่ือจึงจะ
ตวดั ออกมาด้านหนา้ และเข้าจู่โจมเหยื่อทันที จะกินเหย่ือโดยการแทงปากเข้าไปในตัวเหย่ือ แลว้ ปลอ่ ยสารพิษ (venom) ทำให้
เหย่ือเปน็ อัมพาตไมส่ ามารถเคล่อื นไหวได้ จากน้นั จะดูดกนิ ของเหลวจากตวั เหยื่อ จนเหย่ือตายในทสี่ ุด แลว้ จงึ ทิ้งเหยอื่ เดิมเพื่อ
ไปหาเหยื่อใหม่ต่อไป มวนพฆิ าตสามารถกนิ หนอนได้ทุกขนาด ตลอดชีวิตของมวนพฆิ าต 1 ตวั กนิ หนอนศตั รูพืชได้ประมาณ
200-300 ตัว
การผลติ ขยาย
การเลย้ี งเหยื่ออาหาร(หนอนนก)
1) นำดกั แดห้ นอนนกท่ีมีขนาดใหญ่และสมบูรณ์ จำนวน 40 กรัม ใสล่ งในถาดพลาสติก 1 ถาด จำนวนทีเ่ รม่ิ ผลติ ตอ่
ถาดเปน็ จำนวนที่เหมาะสมที่ทำให้จำนวนหนอนและดกั แด้ทผี่ ลิตไดม้ ีปริมาณที่พอเหมาะทที่ ำใหห้ นอนและดักแด้ทกุ ตัวมีขนาด
ใหญแ่ ละสมบรูณ์ และมีอายุ 8 วัน จะลอกคราบเป็นตัวเตม็ วัย
2) โรยอาหารไกใ่ หญล่ งในถาด 40 กรมั พร้อมสำลีหรือผา้ ยดื หรอื ผา้ สำลขี นาด 4 x 4 ตารางนิว้ ชบุ น้ำพอหมาดลงบน
เพลทพลาสติกวางบนพืน้ ถาด ชุบน้ำ 2 ครั้ง/สัปดาห์ ตวั เตม็ วยั อายุ 7–10 วนั จะเริ่มวางไขต่ ดิ บนพ้นื ถาดโดยมเี ศษอาหารปก
คลุม ปลอ่ ยไวจ้ นตวั เต็มวยั ตายหมด และไขฟ่ ักเป็นหนอนขนาดเลก็
3) ใชต้ ะกรา้ ร่อนหนอนออกจากอาหาร ใส่ลงถาดใบใหมเ่ ติมอาหารไก่ หนกั 40 กรมั /ถาด พร้อมสำลีหรือเศษผ้ายืด
หรอื ผา้ สำลีชุบน้ำพอหมาด
4) หนอนนกต้งั แตว่ ยั 1-13 เลี้ยงด้วยอาหารไก่ เมอื่ อาหารในถาดถูกกินจนปน่ จะเตมิ อาหารอีกคร้ังละ 500 กรมั /ถาด
เม่อื หนอนนกลอกคราบครงั้ สุดทา้ ยจะเปลย่ี นเปน็ ดักแด้ อาหารจะถูกกินจนป่นเกือบหมด
5) เมอื่ หนอนมีอายุประมาณ 107 วนั จะลอกคราบเป็นดักแด้
6) เกบ็ ดักแด้ที่ไดเ้ พอื่ ใช้เลี้ยงมวนพิฆาต
7) ดักแดบ้ างส่วนทำการเล้ียงตอ่ ดกั แดจ้ ะฟักเป็นตัวเต็มวยั เพ่ือการผลติ หนอนนกรอบถัดไป
8) การทำความสะอาดถาดเล้ียงหนอน อาจใช้พดั หรือพดั ลมพัดคราบผนงั ลำตัวท่หี นอนลอกออกมา และใชต้ ะแกรง
ร่อนเศษอาหารที่ป่นและมลู หนอนออกท้ิง ทุก 30 วัน จนถึงหนอนอายุ 90 วัน และหลังจากนท้ี ุก 10 วนั จะใชพ้ ดั หรือพดั ลมพัด
คราบผนังลำตัวทีห่ นอนลอกออกมาเพ่ือสะดวกในการเก็บดักแด้
การเล้ยี งมวนพิฆาต
1. นำมวนพิฆาตพ่อแม่พนั ธ์ุตัวเต็มวยั จำนวน 40 คู่ ในกล่องพลาสติก ใหด้ ักแด้หนอนนกเป็นอาหาร นำสาลชี บุ น้ำหมาด ๆ
วางในกล่อง มวนพฆิ าตจะเริ่มวางไข่ เกบ็ ไข่สัปดาห์ละ 2 คร้ัง แยกไข่ใส่กล่องพลาสติกเพ่ือรอการฟัก
2. ไข่จะฟกั ภายใน 6-7 วัน ให้น้ำเปลา่ และดักแด้หนอนนกเป็นอาหารของมวนพฆิ าตวยั 1-2
3. เมือ่ ตวั อ่อนมวนเจริญเตบิ โตจนถึงวัยท่ี 3 ใหด้ กั แดห้ นอนนกเปน็ อาหาร แบง่ ตัวอ่อนวัย 3-4 ไปปล่อยในแปลงพืชที่
เกิดการระบาดของหนอนศตั รูพืช
4.บางส่วนเลี้ยงต่อเป็นตวั เต็มวยั เพื่อเปน็ พอ่ แม่พันธ์ุ โดยให้ดกั แดห้ นอนนกหรือหนอนนกเป็นอาหาร
การนำมวนพิฆาตไปใช้ควบคมุ แมลงศัตรใู นพืช
หากมกี ารระบาดของหนอนศัตรูพืช สามารถนำมวนพิฆาตไปใช้ควบคุมแมลงศัตรูพชื โดยการปล่อยมวนพิฆาตระยะตวั
อ่อนวยั 3 ข้นึ ไปหรือหลงั จากฟักจากไขป่ ระมาณ 20 วัน โดยปล่อยกระจายใหท้ ว่ั แปลง หรือบรเิ วณท่มี หี นอนระบาด ตัวอ่อน
176
ของมวนพฆิ าตระยะนี้ 1 ตวั จะสามารถทำลายหนอนไดป้ ระมาณ 28 ตัว ซ่ึงจะลดปรมิ าณหนอนศัตรพู ชื ได้อย่างมปี ระสทิ ธิภาพ
สูงถงึ 80–90% และควบคมุ การระบาด ภายในเวลา 5 วันหลงั ปลอ่ ย
นอกจากนี้มวนพิฆาตสามารถนำไปใช้รว่ มผสมผสานกับจุลินทรยี ช์ นิดอ่นื ได้ ได้แก่ เชอ้ื ไวรัส NPV เชอ้ื แบคทีเรีย
Bacillus thuringiensis ในการควบคมุ หนอนกระทู้หอม หนอนกระท้ผู กั และหนอนเจาะสมอฝ้าย ในพชื ตา่ ง ๆ ได้อย่างมี
ประสทิ ธภิ าพ และทำใหเ้ กิดความหลากหลายในการควบคุมโดยชวี วิธี
สว่ นในกรณที ่มี ีการระบาดของแมลงศตั รูพชื รนุ แรง จำเปน็ ตอ้ งใช้สารฆา่ แมลง ควรพน่ สารฆ่าแมลงก่อนปล่อยมวน
พิฆาตอย่างน้อย 15 วนั หรอื หลังปลอ่ ยมวนพฆิ าต 15 วนั
ประโยชน์ :
การนำมวนพิฆาตไปใช้ควบคุมแมลงศัตรูพืช เปน็ อีกทางเลือกหน่งึ ของเกษตรกรท่ีจะช่วยลดหรอื ทดแทนการใช้สารเคมี
ปอ้ งกันกาจัดศัตรพู ชื เพิ่มคณุ ภาพผลผลิตทางการเกษตรให้มีความปลอดภัยต่อผู้บรโิ ภค เกษตรกร และปลอดภัยต่อ
สภาพแวดล้อม อนั จะเปน็ แนวทางนาไปสรู่ ะบบการเกษตรท่ยี ัง่ ยนื ตอ่ ไป
การปล่อยมวนพิฆาตเพ่ือควบคุมแมลงศัตรพู ืชในพชื ตา่ งๆ
พชื แมลงศตั รูพชื อตั ราการปล่อย (ตัว/ไร)่
หนอ่ ไมฝ้ ร่งั 3,200 ตวั /ไร่/คร้ัง/การระบาด 1 คร้ัง
หนอนกระทหู้ อม (Spodoptera exigua)
องุน่ หนอนเจาะสมอฝา้ ย (Helicoverpa armigera) 2,400 ตัว/ไร/่ ครง้ั /การระบาด 1 ครง้ั
ถั่วฝกั ยาว หนอนกระทผู้ กั (Spodoptera litura) 3,200 ตัว/ไร/่ ครงั้ /การระบาด 1 ครง้ั
หนอนกระทูห้ อม (Spodoptera exigua)
ถ่ัวเหลอื งและถั่ว หนอนเจาะสมอฝา้ ย (Helicoverpa armigera) 3,900 ตวั /ไร่/ครง้ั /การระบาด 1 ครัง้
เขยี ว หนอนกระทู้หอม (Spodoptera exigua)
หนอนเจาะสมอฝ้าย (Helicoverpa armigera)
หนอนกระทูผ้ ัก (Spodoptera litura)
หนอนกระทผู้ ัก (Spodoptera litura)
177
คำแนะนำการใช้แมลงหางหนบี ขาวงแหวน (Ring-legged earwig) ควบคุมแมลงศตั รพู ืช
แมลงหางหนีบขาวงแหวน มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Euborellia annulipes (Lucus) อยู่ในวงศ์ Anisolabidae อันดับ
Dermaptera มีขนาดเล็ก ลำตัวแบนยาวสีน้ำตาลดำเป็นมัน ตัวเต็มวัยเมือ่ โตเต็มที่มีความยาวเฉลี่ย 1.6-1.8 เซนติเมตร พบตา
รวมเพียงอยา่ งเดียว หนวดแบบเสน้ ดา้ ย ขาคอ่ นข้างยาวมีสีเหลืองและมีแถบสดี ำเป็นวงรอบขา ไม่มีปกี บรเิ วณปลายส่วนท้องมี
อวัยวะคล้ายคีม 1 คู่ ใช้สาหรับหนีบจับเหยื่อ เป็นศัตรูธรรมชาติที่สำคัญอีกชนิดหนึ่ง สามารถใช้ควบคุมไข่และตัวหนอนของ
ผเี สอ้ื ชนดิ ต่างๆ เช่น หนอนกออ้อย เพล้ียอ่อน และเมลงขนาดเล็กชนิดอ่ืนทม่ี ีลำตัวอ่อนน่ิม
วงจรชวี ติ
ระยะไข่ ตัวเต็มวัยเพศเมียวางไข่เป็นกลุ่มตามซอกใบพืชหรอื ใต้ผิวดินใกล้ ๆ ท่ีมันอาศัยหรือหลบซ่อนอยู่ ไข่มีลักษณะ
กลมรี วางไข่เป็นกล่มุ กลมุ่ ละ 30-60 ฟอง ตลอดชีวติ เพศเมียอาจวางไขไ่ ด้ถงึ 240 ฟอง ไขใ่ นระยะแรกมีสีขาวนวล แล้วค่อย ๆ
เปล่ียนสีเปน็ สีเหลอื งและเปน็ สนี ้ำตาลเม่ือใกลร้ ะยะฟักเป็นตวั อ่อน ระยะไข่ประมาณ 6-8 วัน
ตวั อ่อน ระยะตวั อ่อนมี 3 วัย โดยตัวออ่ นทีฟ่ กั ใหม่ ๆ จะมสี ีขาวแล้วสคี อ่ ย ๆ เปลยี่ นเป็นสีเข้มข้นึ รูปร่างของตวั ออ่ นใน
แต่ละวยั จะไม่แตกตา่ งกนั นอกจากขนาดของลำตวั ทีใ่ หญ่ข้นึ ตามวัย รวมระยะเวลาในชว่ งตัวอ่อนประมาณ 50-60 วนั
ตวั เตม็ วัย ลำตวั ยาว 1.6-1.8 เซนตเิ มตร สีดำเปน็ มัน เพศเมยี ใหญก่ ว่าเพศผูเ้ ลก็ นอ้ ย หนวดมี 17 ปลอ้ ง โดยปล้องที่ 3-
4 จากปลายหนวดมีสีซีด แพนหางคลา้ ยคีม สีน้ำตาลปนดำยาว 0.6-0.7 เซนตเิ มตร เพศผู้มีปุม่ เลก็ ๆ ยืน่ ออกมาทางด้านในของ
แพนหาง เพศเมียแพนหางเรียบ อายุตัวเต็มวัยประมาณ 60-90 วัน รวมระยะเวลาตั้งแต่ระยะไข่ถึงตัวเต็มวัยประมาณ 4-5
เดอื น
การเพาะขยายแมลงหางหนบี
วสั ดุและอุปกรณ์เล้ียงแมลงหางหนีบ
1. แกลบดำ หรอื ดนิ ผสมเศษใบไมแ้ หง้
2. กล่องพลาสตกิ เล้ยี งแมลงหางหนีบขนาด 18x27x10 เซนติเมตร
3. กระบอกฉีดนำ้
4. จานพลาสติกหรอื ฟอยส์ขนาดเล็กสำหรับใสอ่ าหาร
5. อาหารเลย้ี งสัตว์ ไดแ้ ก่ อาหารแมว
วธิ เี พาะขยาย
1. อบแกลบดำที่อุณภูมิ 100 องศาเซลเซียส นาน 3 ชั่วโมง หรือตากแดดจัด ๆ อย่างน้อย 2 วัน โดยพยายามพลิก
แกลบใหท้ ัว่ เพือ่ ทำลายโรคและแมลงชนดิ อ่ืน ๆ ทตี่ ิดมากับแกลบ
2. นำแกลบทผี่ า่ นการอบแลว้ มาใสใ่ นกลอ่ งเล้ยี งแมลงหนาประมาณ 2-3 ซม. พน่ น้ำบนแกลบใหท้ ั่วเพอ่ื ใหค้ วามช้นื
3. นำแมลงหางหนีบตัวเต็มวัยใสล่ งในกลอ่ งจำนวน 40 ตัว โดยใส่เพศผู้ 10 ตัว เพศเมีย 30 ตัว (อัตราส่วน เพศผู้:เพศ
เมยี เทา่ กบั 1:3)
4. สามารถใช้อาหารสัตว์สำเรจ็ รูป ได้แก่ อาหารแมว ให้อาหารปริมาณ 30 กรัมตอ่ กลอ่ ง และพน่ น้ำไปบนแกลบดำให้มี
ความชน้ื อยเู่ สมอทกุ สัปดาห์หรือเม่อื แกลบหมดความชนื้ เปลยี่ นอาหารทุก 3 วนั เพอื่ ปอ้ งกนั อาหารเน่าเสยี หรอื เตมิ อาหารเพ่ิม
เมอ่ื อาหารเดิมหมด
5. ตวั เต็มวยั แมลงหางหนบี เพศเมียวางไขเ่ ปน็ กลมุ่ ๆ ละ 30-60 ฟอง ตลอดชวี ติ วางไข่ได้ 4-5 ครัง้
6. เพศเมียมีนิสัยหวงไข่ การแยกไข่ออกมาเพื่อเพาะขยาย อาจรบกวนแมลงเกินไป จะทำให้ตัวแม่กินไข่ได้ ควรรอจน
ตัวออ่ นฟักออกจากไข่หมด อย่างน้อย 14 วนั จึงแยกไปเลี้ยงในกล่องใหม่
7. เมอ่ื ตัวออ่ นแมลงหางหนีบฟักออกมา ให้อาหารแมวบดให้ละเอยี ดมากข้ึนกว่าปกติ เมอื่ ครบ 2 สปั ดาห์ จึงเปล่ียนมา
ให้อาหารผสมเหมือนข้อ 4 และพ่นน้ำใหแ้ กลบมคี วามชื้นอยู่เสมอ
8. เมอื่ แมลงหางหนีบอายุ 30-40 วัน สามารถนำไปปล่อยในไร่ หรือนำไปแยกเล้ยี งในกล่อง ๆ ละ 40 ตวั ในอัตราส่วน
เช่นเดิม
178
การนำไปใช้ควบคุมศตั รพู ืช
ออ้ ย
สามารถนำไปใช้กำจัดแมลงศัตรูอ้อย เช่น ไข่และหนอนกออ้อยชนิดต่าง ๆ รวมถึงแมลงขนาดเล็กที่มีลำตัวอ่อนนุ่มอีก
หลายชนิด ให้ทำการสำรวจแมลงศัตรูอ้อยก่อนปล่อยแมลงหางหนีบ 1 วัน และหลังปล่อย 15 วัน เมื่อพบแมลงศัตรูอ้อย ให้
ปล่อยแมลงหางหนีบในอัตรา 500 ตัวต่อไร่ ในเวลาเย็น โดยปล่อยให้กระจายทัว่ แปลงปลูก ปล่อยแมลงหางหนีบใหช้ ิดกออ้อย
และหาเศษใบอ้อยหรือเศษฟางที่เปียกชื้นคลุมดา้ นบน เพื่อช่วยใหแ้ มลงหางหนีบปรับตัวได้ก่อน ช่วยให้แมลงหางหนีบมีโอกาส
รอดสูงขึ้น และทำการปล่อยซ้ำเมื่อการระบาดไม่ลดลง ข้อควรระวัง ไม่ควรปล่อยแมลงหางหนีบหากไม่พบศัตรูพืช เนื่องจาก
อาจทำให้แมลงหางหนีบขาดอาหาร เคลื่อนย้ายไปที่อื่นเพื่อหาอาหาร หรืออาจทำให้แมลงหางหนีบไปทำลายแมลงศัตรู
ธรรมชาตชิ นิดอื่นแทน
179
คำแนะนำการใช้แมลงช้างปกี ใส Plesiochrysa ramburi ควบคมุ แมลงศตั รูพืช
แมลงช้างปกี ใส ในระยะตวั อ่อน เปน็ ตัวห้ำทีม่ ปี ระโยชน์ในการช่วยกาจัดศตั รูพืชทีม่ ีขนาดเล็ก ได้แก่ เพลี้ยแป้ง เพลย้ี
ออ่ น เพลีย้ ไฟ เพล้ียหอย ตัวอ่อนแมลงหวขี่ าว หนอนตัวเล็ก ๆ ไรแดง และไข่ของแมลงศัตรพู ืชหลายชนิด เฉพาะตวั อ่อนของ
แมลงช้างปีกใสเท่าน้นั ทีม่ ีพฤตกิ รรมการเป็นตวั ห้ำ ซง่ึ เขา้ ทำลายเหยื่อโดยใชฟ้ นั กรามทโี่ ค้งยาวย่นื ไปดา้ นหนา้ จับเหย่ือแทง และ
ดดู กินของเหลวภายในตวั เหยือ่ จนเหย่ือตาย สำหรบั ตวั เตม็ วัย กนิ น้ำหวานและน้ำเป็นอาหาร ท้งั ตวั อ่อน และตัวเตม็ วัยไม่
ทำลายพชื จงึ นับเป็นแมลงศตั รธู รรมชาติ ท่ีเกษตรกรสามารถนำไปใช้ประโยชน์เพอ่ื ควบคุมแมลงศตั รูพชื โดยชวี วธิ ีในสภาพไร่ได้
รปู รา่ งลกั ษณะและชวี วิทยาของแมลงช้างปีกใส
ไข่ ไขจ่ ะวางเป็นกลุม่ หรือฟองเดี่ยว ๆ มกี า้ นชสู ีขาวใสคลา้ ยเสน้ ด้าย ลักษณะไขร่ ปู รา่ งยาวรี สเี ขยี วออ่ นเมื่อวางใหม่ ๆ
เมอ่ื ใกล้ฟักจะเปลีย่ นเป็นสนี ้ำตาล และเปน็ สขี าวเม่ือฟักแล้วไข่มีขนาดความกว้างประมาณ 0.4 มลิ ลเิ มตร ยาว ประมาณ 0.7
มลิ ลเิ มตร ระยะฟักไขป่ ระมาณ 3-4วัน
ตัวอ่อน ระยะตวั อ่อนจะมีสีน้ำตาลออ่ น และเปลยี่ นเปน็ สนี ้ำตาลเขม้ เมื่ออายมุ ากขึน้ บริเวณด้านบนและด้านขา้ งของ
ลำตัวจะมเี สน้ ขนจำนวนมากจะเป็นท่ยี ดึ เกาะของเศษอาหารและขยะ ตัวอ่อนที่ออกจากไขจ่ ะมีพฤตกิ รรมเป็นตัวห้ำทันที ระยะ
ตวั อ่อนมี 3 วยั ใชเ้ วลาประมาณ 10-13 วนั
ดกั แด้ ดกั แด้เมื่อสงั เกตภายนอกมีรูปรา่ งกลม ตวั ออ่ นวยั 3 จะสร้างเส้นใยสีขาวปกคลมุ ลำตวั แลว้ เขา้ ดักแด้อยูภ่ ายใน
ตัวออ่ นมักจะเขา้ ดักแดต้ ดิ กบั ใบพชื ระยะดักแด้มีอายุ 9-11 วนั
ตัวเตม็ วัย ตวั เต็มวัยมลี ำตัวสเี ขยี วอ่อน ตาสีทองอมแดง หนวดเรียวยาว ปกี สีเขียวออ่ นใส เหน็ เสน้ ปกี ชัดเจน ขนาด
เกือบเท่ากันทั้ง 4 ปีก เมื่อเกาะนง่ิ ปกี จะแนบลำตวั คลา้ ยรูปหลงั คา เพศเมยี มีขนาดลำตวั ใหญ่กว่าเพศผู้ หลังจากจบั คู่ผสมพนั ธ์ุ
แลว้ 2-3 วนั เพศเมียจึงจะเริ่มวางไข่ และสามารถวางไข่ได้ 300 –450 ฟอง ตัวเต็มวัยเพศผูม้ อี ายปุ ระมาณ 15-25 วัน เพศเมยี
มีอายุประมาณ 20-30 วนั
การใชแ้ มลงช้างปกี ใส
ปล่อยแมลงชา้ งปีกใสระยะตัวอ่อน ในอัตรา 1,000 – 2,000 ตวั /ไร่
ปลอ่ ยแมลงช้างปีกใสระยะตัวเตม็ วยั ในอตั รา 2,000 – 3,000 ตวั /ไร่
ควรปลอ่ ยทุก ๆ 7 วัน
หมายเหตุ ถา้ มีแมลงชา้ งปีกใสมาก กส็ ามารถปลอ่ ยได้ในปริมาณมาก
ขอ้ แนะนำ
- ควรสำรวจการระบาดของแมลงศัตรูพชื อย่างสม่ำเสมอ
- ควรปลอ่ ยแมลงชา้ งปีกใสให้สัมพนั ธก์ ับการระบาดของแมลงศัตรพู ืช
- อัตราการใช้จะขึน้ กบั ชนดิ พืช และปรมิ าณแมลงศัตรูพชื
- สามารถเปลีย่ นอตั ราการใช้ หรือจำนวนครั้งในการปลอ่ ยได้ ข้นึ อยกู่ ับสถานการณก์ ารระบาดของแมลงศัตรูพืช
การอนุรกั ษ์
- ควรปลอ่ ยในชว่ งทส่ี ภาพแวดล้อมเหมาะสม
- หลีกเลยี่ งการใช้สารฆา่ แมลงบริเวณที่ปล่อยแมลงชา้ งปีกใส
- ควรมแี หลง่ อาหาร หรอื พชื อาศยั ให้ ตวั อ่อน และตัวเต็มวัยแมลงช้างปกี ใส
180
วธิ ีการเลี้ยงแมลงชา้ งปีกใส Plesiochrysa ramburi เพือ่ ควบคุมเพลี้ยแป้ง
ขั้นตอนการเพาะเล้ียงมี 2 ข้ันตอน ดังนี้
1. เลยี้ งขยายเพลย้ี แป้งเพ่ือเป็นเหย่อื เลี้ยงตัวอ่อนแมลงช้างปกี ใส
เก็บรวบรวมเพลีย้ แปง้ จากแหล่งปลูกพืชต่าง ๆ ท่ีมเี พลี้ยแป้ง นำมาเลย้ี งบนผลฟักทอง โดยใชผ้ ลฟกั ทองขนาดเส้น
ผ่านศูนย์กลาง 20 -25 เซนตเิ มตร ใส่ฟกั ทองในตะกรา้ พลาสติกส่ีเหลี่ยม ขนาด 32 x 40 x 12 เซนตเิ มตร จำนวน 5 -6 ลกู ตอ่
ตะกรา้ พลาสติก รองกน้ ตะกร้าพลาสติกด้วยกระดาษเพ่ือซับความชื้น เข่ยี เพล้ยี แป้งหรอื นำพืชท่ีมเี พลย้ี แป้งอยู่วางบนผลฟกั ทอง
ทอี่ ยู่ในตะกร้า ปิดดา้ นบนดว้ ยผา้ ขาวบาง วางทง้ิ ไวป้ ระมาณ 20-25 วนั ไดเ้ พลี้ยแปง้ ทั้งตัวเตม็ วยั และตัวอ่อนอยู่บนผลฟักทอง
สำหรับนำไปใชเ้ ล้ยี งตัวอ่อนของแมลงช้างปีกใส
2. เลยี้ งขยายแมลงช้างปีกใสตัวเต็มวัย
นำแมลงช้างปกี ใสพ่อแม่พันธทุ์ ไี่ ดจ้ ากสำนักวจิ ยั พัฒนาการอารกั ขาพืช ใช้อัตราแมลงช้างปีกใสตัวเต็มวัยเพศผู้ 40
ตัว เพศเมีย 60 ตัวใส่กลอ่ งสี่เหลยี่ มขนาด 18×26×10 เซนตเิ มตร ทร่ี องพ้นื กลอ่ งแลว้ ดว้ ยกระดาษ ปิดกล่องด้วยผา้ ขาวบาง
ภายในกล่องติด กระดาษไขท่ีมนี ้ำผง้ึ ผสมยีสต์ เพือ่ เป็นอาหารของแมลงช้างปกี ใสตัวเต็มวัย วางแผ่นสำลชี ุ่มน้ำไวด้ า้ นบนผ้าขาว
บางเพื่อให้ความช้ืนแก่ตัวเตม็ วัย เปล่ยี นกล่องตวั เต็มวยั แมลงชา้ งปกี ใสทกุ ๆ 3 วัน เน่ืองจากตัวเต็มวัยแมลงชา้ งปีกใสจะวางไข่
ไว้ในกลอ่ ง ตอ่ จากนน้ั นำฟักทองทม่ี ีเพลีย้ แปง้ จากข้นั ตอนที่ 1 ใสใ่ นกล่องที่มีไข่ของแมลงชา้ งปีกใสเพื่อเลีย้ งตัวอ่อนแมลงช้างปีก
ใส โรยกระดาษทชิ ชทู ีต่ ัดเปน็ ร้ิวๆลงในกล่อง ปดิ กลอ่ งด้วยผ้าขาวบาง วางไวป้ ระมาณ 15-20 วนั เพ่ือใหต้ วั อ่อนเจริญเตบิ โต
(สามารถเกบ็ ตวั อ่อนระยะน้ีไปปล่อยควบคุมศตั รูพชื ได้ ) จนกระท่ังเขา้ ดักแด้ จากนน้ั เก็บดักแด้ เพอ่ื ให้ฟกั เปน็ ตัวเต็มวยั
(สามารถนำตัวเต็มวัยไปปล่อยควบคมุ ศตั รูพืชได้) วิธีการเพ่ิมประชากรแมลงชา้ งปีกใส ทำโดยนำแมลงชา้ งปกี ใสทเ่ี ปลี่ยนจาก
กล่องเดิม นำไปเลย้ี งในกล่องใหม่มีวธิ กี ารทำเชน่ เดยี วกับวิธกี ารข้างต้น
181
คำแนะนำการใช้เชื้อแบคทีเรยี ควบคุมแมลงศัตรพู ชื
เชื้อแบคทีเรยี Bacillus thuringiensis เป็นชนดิ แบคทเี รียที่รจู้ ักกันในช่ือ Bt หรือ B.T. หรอื บที ี เปน็ แบคทเี รีย แก
รมบวก (gram positive) มีรูปรา่ งเป็นทอ่ น (rod shape ) มกี ารสร้างสปอร์ มคี วามปลอดภยั จากการใชเ้ ชอื้ Bt กับสตั ว์เลอื ดอุ่น
เชน่ นก สตั ว์น้ำพวกปลา และแมลงที่เปน็ ประโยชน์ เช่น ผงึ้ แมลงห้ำ แมลงเบียนด้วย ลักษณะเฉพาะของ Bt คือสามารถสร้าง
สารพิษ ซง่ึ เมื่อแมลงกนิ เขา้ ไปจะทำให้แมลงตาย ดงั นน้ั จึงมปี ระสทิ ธภิ าพเฉพาะกบั ตัวอ่อนหรือวยั หนอนของแมลง ยกเว้นบาง
สายพันธุ์ของ Bt ที่ทำลายไดท้ ัง้ ตวั ออ่ นและตัวเตม็ วยั ของด้วงปกี แขง็ บางชนิด จงึ ได้มีการนำไปใช้ควบคุมแมลงทีก่ นิ พืชผล
ทางการเกษตร
เช้อื แบคทีเรีย Bacillus thuringiensis ฆา่ แมลงได้อย่างไร
สารฆ่าแมลงมีทั้งชนิดที่ถูกตัวตายและกินตาย ซึ่งแตกต่างจาก Bt เพราะแมลงจะต้องกินเข้าไปและจะมีประสิทธิภาพ
เฉพาะกับตัวอ่อนหรือวัยหนอนของแมลง ยกเว้นบางสายพันธุ์ของ Bt ที่ทำลายได้ทั้งตัวอ่อนและตัวเต็มวัยของด้วงปีกแข็งบาง
ชนิด ผลึกโปรตีนของ Bt ที่เป็นสารพิษที่นำมาใช้ในการควบคุมแมลงศัตรูพืช เมื่อเข้าไปอยู่ในกระเพาะอาหารส่วนกลางของ
แมลง (mid gut) ที่มีสภาพเป็นด่าง คือมีค่า pH ประมาณ 8.9 หรือมากกว่านั้น จะเกิดการย่อยสลายของผลึกโปรตีนและถูก
กระตนุ้ ใหม้ กี ารเปลยี่ นแปลงโครงสร้างของโมเลกุลโดยน้ำย่อยของแมลง กลายเป็นสารพษิ ซ่งึ สารพษิ น้จี ะทำใหเ้ กิดรูในกระเพาะ
อาหารส่วนกลางของแมลง ทำให้เซลล์ผนังกระเพาะอาหารบวมและแตกออก ของเหลวที่อยู่ในกระเพาะจะไหลออกตามรอย
แผลไปอยู่ที่ช่องว่างภายในลำตัวของแมลง ส่งผลให้แรงดันของระบบเลือดเสียสมดุล แมลงจะเป็นอัมพาต กินอาหารและ
เคลื่อนไหวไม่ได้และตายในที่สุด นอกจากนี้สปอร์ที่แมลงกินเข้าไปจะไปขยายพันธุ์อยู่ที่กระเพาะ และบางส่วนก็จะเข้าไปตาม
รอยแผล ไปแบ่งตัวอย่ตู ามเนอ้ื เยื่อต่าง ๆ ในตวั แมลง ซ่งึ เป็นสาเหตุของโลหิตเป็นพิษ แมลงจะตายในทีส่ ุด
การที่แมลงศตั รูพืชจะตายเร็วหรือช้าขนึ้ กบั ปจั จัย
1. ความเป็นกรด-ดา่ ง ภายในลำไส้ของแมลงแตล่ ะชนิดจะมี pH ทไี่ มเ่ หมือนกันซงึ่ pH ที่เหมาะสมคอื 8.9 ข้ึนไป
2. ชนิดของแมลง, อายุ, ความแขง็ แรง (healthy) และวัยท่ีเหมาะสม (คือระยะตวั อ่อน)
3. สภาพแวดลอ้ ม ไดแ้ ก่ อุณหภูมิ ความช้ืน แสงแดด พชื อาหาร ฯลฯ
4. ชนดิ ของเชือ้ Bt ซ่งึ มหี ลาย subspecies หรอื varieties หรือ serovar ความแขง็ แรงของเช้ือ Bt และการปนเปือ้ น
ของเชื้อBt
การใช้ Bacillus thuringiensis ควบคุมแมลงศัตรพู ชื
1. อา่ นฉลากขา้ งภาชนะบรรจุก่อน เพ่ือทราบวา่ Bt ใชค้ วบคมุ แมลงศัตรูพืชชนิดใดได้บ้าง มีช่อื ของแมลงศัตรูพชื ท่เี รา
ต้องการกำจดั ระบอุ ยหู่ รือไม่ ท้งั น้เี น่ืองจาก Bt ทมี่ จี ำหน่ายในท้องตลาดมหี ลากสายพันธ์ุ ประสิทธภิ าพในการควบคุมแมลง
ศตั รูพืชแตกต่างกนั ไป
2. การผสม Bt กบั น้ำกอ่ นการพ่น ในท้องตลาดมี Bt จำหน่ายหลายรปู แบบเช่น รปู ผงละลายน้ำ รูปน้ำหรอื ในรปู
สารละลายน้ำเขม้ ขน้ เป็นตน้ ในกรณีท่เี ป็น Bt รูปเมด็ ละลายน้ำ รูปผงละลายน้ำไม่ควรผสม Bt กับน้ำในถงั เลยทีเดยี ว ควรแบ่ง
น้ำจำนวน 1 –2 ลิตร แล้วผสม Bt ใหเ้ ขา้ กนั ให้ดเี สียก่อนจึงค่อยเทใสถ่ ังน้ำท่เี ตรียมเอาไว้ กวนให้เข้ากนั อีกทีจงึ เทลงในถังเคร่ือง
พ่นสาร การใช้ Bt ควรผสมสารจบั ใบด้วยทุกคร้ัง โดยเฉพาะอยา่ งย่ิงการพน่ Bt ในพชื ตระกลู กะหล่ำ ซ่ึงมลี ักษณะใบเปน็ มนั
สารจับใบจะชว่ ยให้ Bt เคลอื บคลุมผิวใบให้ทั่วใบได้ดีขนึ้ และช่วยลดการชะล้างของน้ำฝนหรือน้ำท่ีรดแปลงต่อ Bt ท่ีพ่นไวบ้ น
พชื
3. ศึกษาอปุ นสิ ัยของแมลงศัตรพู ชื ท่ีทำลายพืช ต้องรู้ว่าแมลงอาศยั กัดกนิ อยูส่ ่วนใดของพืช เช่น คะน้า จะมหี นอนใย
ผกั และหนอนคบื กะหล่ำเปน็ แมลงศัตรูทีส่ ำคัญ แมลงทั้ง 2 ชนิดน้อี าศยั กัดกินอยทู่ างด้านลา่ งของใบคะนา้ โดยทัว่ ไปเกษตรกร
มักพน่ สารโดยใหห้ ัวฉีดของเครอ่ื งพน่ สารอยูเ่ หนอื แปลงปลูกและเดินพน่ ไป ละอองของสารฆา่ แมลงจะตกอยู่สว่ นบนของใบ
คะนา้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเครื่องพ่นยาชนดิ สบู โยกสะพายหลังท่มี แี รงดนั ของหวั ฉีดน้อย ดังน้นั การพ่นบนพชื ตระกลู กะหลา่ ควร
เอียงหวั ฉดี เข้าทางด้านลา่ งของตน้ เพื่อให้ละอองของสารฆ่าแมลงลงสใู่ ตใ้ บซึ่งเป็นแหลง่ ท่ีหนอนใยผกั และหนอนคืบกะหล่ำอาศัย
อยู่
182
4. การปรับขนาดของละอองสารของหัวฉดี เครือ่ งพน่ สาร ใหล้ ะอองสารมีขนาดเล็กที่สุดจะทาให้จบั ผิวใบได้ดกี วา่ การ
พ่นทมี่ ีขนาดละอองสารใหญ่ ซึ่งสารฆา่ แมลงจะไหลลงดินเปน็ ส่วนใหญ่ และมผี ลตอ่ การเปลอื งสารกำจดั แมลงดว้ ย เน่ืองจากใช้
ปรมิ าณน้ำต่อไรส่ ูง
5. ระยะเวลาพ่น Bt เป็นจุลินทรีย์ท่ีเป็นสง่ิ มีชวี ติ ขอ้ จากัดของมันคือ จะถูกทำลายลงอย่างรวดเร็วโดยรังสีอุลตร้าไวโอ
เลตจากแสงแดด ดังนนั้ จึงควรหลกี เล่ยี งการพ่น Bt ในขณะแสงแดดจัดในชว่ ง 10.00 น. ถึง 15.00 น. ควรพ่นหลังเวลาบ่าย หลัง
เวลา 15.00 น.ไปแล้ว จะช่วยให้ Bt คงอย่บู นต้นพชื ได้นานข้ึน
6. ใช้ Bt ตามอตั ราทีแ่ นะนา Bt มีข้อจำกดั ในเรื่องของการฆ่าหนอนจะไมท่ ำให้หนอนทีก่ นิ เช้อื เขา้ ไปตายในทนั ที ต้อง
ใช้เวลา 1 -2 วนั ดังนนั้ การใช้ Bt ต่ำกว่าอตั ราที่ได้แนะนำเอาไว้ พืชผักอาจได้รับความเสียหาย เพราะบางคร้ังพบว่าการใชอ้ ัตรา
ต่ำไมส่ ามารถกำจัดแมลงศตั รูพืชในแปลงได้
7. หมั่นตรวจตราดูแปลงปลูกพชื เน่ืองจากเชอื้ Bt ต้องใช้เวลา 1 –2 วัน ในการกำจดั แมลงศัตรูพชื ที่ทำลายพืชผัก
ดงั นน้ั การใช้ Bt ให้ไดผ้ ลดี เกษตรกรต้องหมนั่ ตรวจตราดูแปลงปลกู พืช เช่น กะหล่ำปลี ควรมีการตรวจตราดแู ปลงโดยเดิน
สำรวจและพลกิ ใบดูหนอน ยกตัวอยา่ งเช่น หนอนใยผัก การป้องกันกำจัดท่ีไดผ้ ลดีควรจะกระทำในระยะแรกท่ีพบหนอนขนาด
ตัวเล็ก ๆ ท่เี พงิ่ ฟกั ออกจากไข่ เกษตรกรอาจจะสงั เกตดูจากจำนวนของตวั เต็มวยั เพศเมยี ศึกษาดใู หค้ ุ้นเคยกับรูปร่างหน้าตาของ
ไข่ของหนอนใยผกั การใชส้ ารฆา่ แมลงไม่ว่าจะเป็นสารเคมีหรอื Bt กับหนอนใยผักท่มี ีขนาดตัวโตมกั จะไม่ได้ผล เป็นผลทำให้เกดิ
ความเสียหายต่อพชื ผัก การพน่ Bt ในแหล่งทีม่ ีการระบาดของหนอนใยผักไมร่ ุนแรง ควรพน่ สัปดาห์ละครัง้ ในแหล่งที่พบการ
ระบาดอยู่เป็นประจำ เช่น แหล่งปลกู ผักท่รี าบภาคกลาง การใช้ Bt ควรพน่ ทกุ 5 วนั เมอ่ื ปรมิ าณหนอนถงึ จำนวนท่ีกำหนดเอาไว้
ในช่วงหนา้ แลง้ ในท้องทีภ่ าคกลางพบวา่ ถา้ มีการระบาดของหนอนใยผกั จะตอ้ งพ่น Bt ทุก 4 วนั จึงจะสามารถเก็บเก่ียวผลผลิต
ผักให้มีคุณภาพตามทีต่ ลาดต้องการ
ข้อดีของการใช้ Bt
1. Bt เปน็ เชือ้ จุลินทรีย์ทมี่ ีความเฉพาะเจาะจงต่อแมลงเปา้ หมายสงู จึงสามารถนำไปใช้กับแมลงท่ตี ้องการกำจดั เท่านัน้
โดยไม่มีผลกระทบต่อแมลงชนิดอนื่ ๆ ทีไ่ ม่ต้องการกำจัด เชน่ แมลงศตั รธู รรมชาติ (แมลงห้ำ แมลงเบยี น) ตลอดจนแมลงทม่ี ี
ประโยชนอ์ นื่ ๆ
2. Bt ได้มกี ารทดลองแล้ววา่ ปลอดภัยต่อมนุษย์ สตั ว์ และพชื ดงั นั้นจงึ ปลอดภยั ต่อเกษตรกรผู้ใช้และผบู้ รโิ ภคพืชผล
3. Bt ไม่มฤี ทธ์ิตกค้างเม่ือนามาใช้บนพืชผัก หลังจากเก็บผลิตผลแล้วสามารถนำมาลา้ งทำความสะอาดแลว้ บริโภคได้
ทันที 4. Bt จดั เปน็ จลุ นิ ทรียท์ ่ีมปี ระสทิ ธิภาพสูงเม่ือเปรียบเทยี บกับจลุ ินทรีย์ชนดิ อน่ื ๆ ที่สามารถนำมาใช้ควบคุมแมลงศตั รูพืช
ได้ มีการผลิตจำหน่ายอยา่ งกวา้ งขวางสามารถนำมาใช้ทดแทนสารเคมีกำจัดแมลงศตั รพู ืชได้
5. Bt ไดม้ ีการศึกษาและพัฒนาพบสายพนั ธหุ์ ลากหลาย มีความสามารถในการควบคมุ แมลงศตั รพู ืชอย่างกว้างขวาง
โอกาสทีแ่ มลงสร้างความต้านทานต่อ Bt มีน้อยกว่าสารฆ่าแมลง จะเห็นได้วา่ Bt ไดน้ ำเข้ามาใช้ต้ังแต่ปี 2512 จนกระท่งั ปัจจบุ นั
ยังใช้ Bt ควบคุมแมลงศตั รพู ชื อยา่ งไดผ้ ล ขณะท่กี ารใช้สารเคมปี ระสบปัญหาเรื่องแมลงสร้างความต้านทานตอ่ สารเคมีอย่าง
รวดเรว็ ทำใหต้ อ้ งพฒั นาสารเคมชี นิดใหมม่ าใชต้ ลอดเวลา
6. Bt สามารถนำไปใช้รว่ มกับวธิ ีปอ้ งกนั กำจดั วธิ กี ารอื่น ๆ ได้เป็นอยา่ งดี สามารถนาไปใช้รว่ มกบั สารเคมี หรือนำไป
ทดแทนการใชส้ ารเคมีฆ่าแมลงในแหลง่ ที่มีปัญหาแมลงศัตรูพชื ทด่ี ื้อต่อสารเคมี
ข้อจำกดั ของการใช้ Bt
1. Bt มีความเฉพาะเจาะจงต่อแมลงเปา้ หมายสงู จงึ ไมส่ ามารถใช้กับแมลงศตั รูพืชทพ่ี บว่ามีการระบาดในแปลงหลายๆ
ชนิด จำเป็นตอ้ งศึกษาก่อนว่า Bt สามารถใชค้ วบคมุ แมลงศัตรูพชื ชนดิ ใดบา้ งก่อนที่จะนำไปใช้
2. Bt ออกฤทธิช์ า้ ใชเ้ วลา 1 –2 วนั หนอนจงึ จะตาย เกษตรกรคนุ้ เคยกับการใชส้ ารฆ่าแมลงซง่ึ ออกฤทธิเ์ ร็ว หนอนจะ
ตายทันทเี ม่ือพน่ สาร เป็นเหตุให้เกษตรกรไมน่ ยิ มใชเ้ ช้อื Bt
3. Bt เปน็ สิ่งมีชวี ิตขนาดเล็ก มักถูกทำลายโดยรังสอี ุลตร้าไวโอเล็ตจากแสงอาทติ ย์ เม่ือพ่นไปบนพืช Bt จึงอยู่บนต้นพืช
ได้ไมน่ าน ดังน้นั จงึ ควรพ่น Bt หลังเวลา 15.00 น. ไปแลว้ เพ่ือหลีกเลี่ยงแสงอลุ ตรา้ ไวโอเลต จะช่วยให้ Bt คงอยูบ่ นใบพชื ไดน้ าน
ขึน้
183
4. Bt โดยท่ัวไปราคาสูงกว่าสารฆา่ แมลง เกษตรกรมักนยิ มใชส้ ารเคมีท่ีมีราคาถูกมากกว่าโดยลมื นึกถึงข้อเปรยี บเทยี บ
ความปลอดภัยต่อตัวเกษตรกรเอง และผลกระทบต่อผูบ้ ริโภคในเรื่องของพิษตกค้าง
5. ไมค่ วรผสม Bt กบั สารเคมีกำจัดโรคพืช เน่ืองจากสารเคมีกำจัดโรคพืชบางชนดิ มีฤทธทิ์ ำให้ Bt เส่อื มคุณภาพ ถา้
จำเปน็ ต้องพน่ สารกำจัดโรคพืชควรแยกพน่ กับ Bt
184
คำแนะนำการใช้เชือ้ ไวรสั NPV ควบคุมแมลงศตั รูพืช
ไวรสั ชนิดนิวเคลยี รโ์ พลีฮีโดรซีสไวรสั (Nucleopolyhedro virus, NPV) ทำใหเ้ กิดโรคกับหนอนผีเส้ือศตั รูท่มี ี
ความสำคญั ของพืชเศรษฐกจิ มากทส่ี ดุ ไวรัส NPV เปน็ ไวรัสที่เกดิ โรคกบั แมลง พบระบาดตามธรรมชาติในประเทศไทย มี
คณุ สมบัติพิเศษ คอื มคี วามเฉพาะเจาะจงต่อแมลงเปา้ หมายเท่านนั้ เช่น ไวรัส NPV ของหนอนกระท้หู อมจะทำลายเฉพาะ
หนอนกระทูห้ อม หรือไวรัส NPV ของหนอนเจาะสมอฝ้ายจะทำลายเฉพาะหนอนเจาะสมอฝา้ ย จึงมีความปลอดภัยตอ่ มนุษย์
สัตว์ และส่ิงแวดลอ้ ม การนำไปใช้ควบคมุ แมลงศตั รูพชื เป็นการช่วยอนรุ กั ษ์แมลงศตั รูธรรมชาติและสิ่งแวดลอ้ ม หนอนได้รบั
ไวรัส NPV จากการกนิ พืชอาหารทพี่ น่ ไวรัสลงไป ไวรัสจะเข้าทำลายนิวเคลียสของเซลล์กระเพาะอาหารสว่ นกลางกอ่ น จากนั้น
เข้าทำลายนิวเคลยี สของเซลล์เมด็ เลือด ไขมัน กลา้ มเนอ้ื ทางเดินอาหาร ท่อหายใจและผนังลำตวั หนอนจะตายภายใน 2-7 วัน
(ข้นึ อยู่กับขนาดของหนอนและไวรสั ท่ีกนิ ไป) ลกั ษณะอาการสำคญั ของโรคทเ่ี กิดจากไวรัส NPV คือ หนอนจะมลี กั ษณะลำตัวสี
ขาวขุ่นหรือสีครีม ผนังลำตัวแตกเละง่าย หนอนมักตายในลักษณะหอ้ ยหัวและส่วนทอ้ งคล้ายรปู ตัว”ว”ี หัวกลบั โดยใชข้ าเทยี ม
1 คู่ เกาะตน้ พืชไว้ เม่ือหนอนตายผนกึ ไวรัสทีอ่ ยู่ในลำตัวหนอนจำนวนมากจะกระจายออกไปโดยลม นำ้ หรือสัตวพ์ าไป ทำให้
เกดิ ระบาดของเชอื้ ไวรสั NPV ในประชากรของหนอนชนิดนัน้ ๆ และสามารถถ่ายทอดไปสู่รุ่นลกู หลานตอ่ ไปได้
ชนิดของไวรัส NPV ทีน่ ำมาใชค้ วบคมุ แมลงศตั รพู ชื
ในขณะทกี่ รมวชิ าการเกษตรได้ดำเนินการผลติ และขยายปริมาณไวรัส NPV ของหนอน 3 ชนิด คอื ไวรสั NPV ของ
หนอนกระท้หู อม (SeNPV) ไวรัส NPV ของหนอนเจาะสมอฝา้ ย (HaNPV0 และไวรสั NPV ของหนอนกระทผู้ ัก (SlNPV)
เน่อื งจากเกษตรกรประสบปัญหาจากแมลงศัตรูทง้ั 3 ชนดิ บนพืชเศรษฐกจิ มากกวา่ 20 พืช
วธิ ใี ช้ไวรัส NPV
1. วธิ ีใชไ้ วรสั NPV เหมือนกับสารฆ่าแมลงท่วั ๆ ไป คอื ผสมน้ำตามอัตราที่กำหนดบนฉลาก
2. เนอ่ื งจากไวรัส NPV ทำงานช้ากวา่ สารฆ่าแมลง ดงั นั้นจำเปน็ ต้องพ่นคลุมให้ทว่ั บรเิ วณท่ีหนอนอาศยั อยู่
เพ่อื ทจี่ ะใหห้ นอนกนิ เชื้อไวรัสมากทส่ี ุด
3. ไวรัส NPV เปน็ จลุ นิ ทรียข์ นาดเล็กมาก มักถูกทำลายได้ง่ายจากรังสอี ลุ ตรา้ ไวโอเล็ตจากแสงแดด จึงควรพน่ ไวรัส
หลัง 15.00 น. ไปแลว้ เพื่อชว่ ยให้ไวรัสอยู่บนตน้ พชื ไดน้ านขึน้
4. การพ่นไวรสั ในขณะท่ีพบหนอนขนาดเล็กหรือเพงิ่ ฟักออกจากไข่ จะสามารถควบคุมได้ดีกวา่ หนอนทีม่ ีขนาดใหญ่
ดงั น้นั ควรหมัน่ ตรวจดแู ปลงปลกู พชื สปั ดาห์ละ 2 ครงั้ เพื่อสามารถใชไ้ วรัสควบคุมศัตรูไดร้ วดเรว็ ขนึ้
5. การพ่นไวรัส NPV ควรผสมสารจบั ใบอัตราตามฉลากทุกคร้ัง ยกเวน้ ในระยะท่ีช่อดอกส้มและอง่นุ บาน ไม่ควรผสม
สารจบั ใบ
การผลติ ไวรสั NPV หนอนกระท้หู อมไว้ใช้เองในไร่ของเกษตรกร
วิธใี ชไ้ วรัส NPV หนอนกระทู้หอม เกษตรกรสามารถทำการผลติ เพื่อเอาไว้ใช้ในแปลงปลูกพืชของตนเองได้ โดยนำเชอ้ื
ไวรสั NPV จากกลมุ่ กีฏและสัตววิทยา สำนักวิจัยพฒั นาการอารกั ขาพืช กรมวิชาการเกษตร มาผลติ ขยายเองได้ 2 วธิ ี ดังนี้
การผลติ ในสภาพไร่
เตรยี มแปลงปลูกหอมแดงหรือผกั ชนดิ อืน่ ขนาด 10 ตารางเมตร เมือ่ ต้นหอมหรือผักมีอายุ 1 เดือน เกบ็ รวบรวมหนอน
กระท้หู อมจากแปลงท่ีมกี ารระบาด คัดหนอนขนาดกลางความยาวประมาณ 1.2 เซนติเมตร (หรอื มีขนาดเท่ากับก้านไมข้ ดี ไฟ)
นำมาปล่อยในแปลงทเี่ ตรียมไว้ ใส่หนอนประมาณ 1,000-2,000 ตัว พน่ ไวรัส NPV หนอนกระทู้หอม อัตรา 20 มิลลิลิตรต่อนำ้
20 ลติ ร ลงในแปลงดงั กล่าว พ่นตดิ ต่อกนั 2 วัน ในตอนเย็น หลงั จากปลอ่ ยหนอนแล้ว 3-5 วนั จะพบหนอนแสดงอาการเปน็
โรค ลำตวั สีขาวขนุ่ หรือสีครมี ออกมาเกาะอยูบ่ นส่วนของใบหอม บบี ดูตัวหนอนจะแตกง่าย และหนอนจะตายมากในวันท่ี 5
เป็นต้นไป เกบ็ หนอนทแ่ี สดงอาการเปน็ โรคดังกล่าวใสข่ วดทีส่ ะอาด นับจำนวนตัวหนอนแต่ละขวดไว้ เช่น 500 ตัวต่อขวด เติม
น้ำสะอาดลงไปเล็กน้อยเกบ็ ท้ิงไว้ 3-5 วัน เขยา่ ขวดจนหนอนแตกเละ แลว้ นำมากรองดว้ ยผา้ ขาวบาง แยกเอากากตวั หนอนท้ิง
185
ไป วธิ ีการนำไปใช้ คือ หนอนตายตวั โตเต็มท่ี 2 ตวั ตอ่ นำ้ 1 ลติ ร เม่ือแปลงท่ปี ล่อยหนอนโทรมเปล่ียนแปลงปลูกพืชใหม่ และทำ
การต่อเช้ือวิธกี ารเดิม
การต่อเช้ือ
นำใบผักหรอื ใบพืชทหี่ นอนกระทู้หอมกนิ เปน็ อาหารมาจ่มุ สารละลายไวรสั NPV ทีผ่ สมน้ำอตั รา 50 มิลลิลติ รต่อน้ำ 1
ลติ ร (ไวรัสท่เี หลอื เกบ็ ไวใ้ ชค้ รั้งต่อไปได้อีก) นำใบพชื มาผ่งึ ลมใหแ้ ห้ง แลว้ ใสภ่ าชนะ เช่น กะละมงั หรือปบี๊ จำนวนใบพืชเพียงพอ
กับจำนวนหนอนที่สามารถกนิ ใบพืชหมดใน 1 วนั คัดหนอนกระทหู้ อมให้ไดข้ นาดตัวดังกล่าวมาแลว้ ใสล่ งไปในภาชนะ คลมุ
ภาชนะด้วยม้งุ ลวด หรือผ้าขาวบาง วนั ร่งุ ขนึ้ เข่ยี มูลของหนอนและเศษผักทิ้งไป และใสใ่ บผักใหม่ที่จ่มุ สารละลายไวรัสลงไป ทำ
ตดิ ตอ่ กัน 2-3 วัน หนอนจะแสดงอาการเปน็ โรคให้เหน็ ในวันที่ 4 และวนั ตอ่ ๆ ไปให้ดำเนนิ การเก็บเช้ือเหมือนวิธกี ารผลติ ใน
สภาพไร่ ไวรสั ทผี่ ลติ ได้สามารถเก็บไว้ใชไ้ ด้อีก ควรเก็บในที่เยน็ อย่าใหถ้ ูกแดด เช่น ฝังดิน หรือแช่ไว้ในต่มุ น้ำ หรอื บอ่ น้ำ จะเกบ็
ได้นาน 3-6 เดือน และถ้าเก็บไวใ้ นตูเ้ ยน็ จะเกบ็ ไดน้ านกวา่ 1 ปี
การใช้ไวรสั NPV ของหนอนกระทู้หอม หนอนกระท้ผู ักและหนอนเจาะสมอฝา้ ยบนพืชต่าง ๆ
พชื ลกั ษณะการเข้าทำลายของ อตั ราและวธิ ีการใช้
1. ขา้ วโพดฝักอ่อน พืช
30 มลิ ลิลิตร/นำ้ 20 ลติ ร พ่นเมือ่ พบการทำลายของหนอน
ข้าวโพดหวาน หนอนกระท้หู อม กระทหู้ อมเกิน 20 เปอร์เซน็ ต์
2. พชื ตะกลู กะหลำ่ (Spodoptera exigua) 30 มลิ ลลิ ิตร/น้ำ 20 ลติ ร พ่นทุก 7-10 วัน ควรพ่นในระยะที่
พบหนอนขนาดเล็กและอยรู่ วมกนั เปน็ กลุ่ม เมอื่ พบการ
กะหล่ำปลี กะหล่ำ หนอนกระทู้หอม ระบาดรุนแรงควรพน่ ตดิ ต่อกัน 2 ครงั้ ระยะหา่ ง 4 วัน
ดอก คะน้า (Spodoptera exigua) 40-50 มลิ ลิลิตร/นำ้ 20 ลติ ร พ่นทกุ 7-10 วนั ควรพน่ เมื่อ
ผกั กาดขาวปลี หนอนมขี นาดเลก็ จะให้ผลในการควบคมุ ได้รวดเร็ว กรณี
หนอนกระทผู้ ัก หนอนระบาดรุนแรงพน่ อัตรา 50 มลิ ลิลิตร/นำ้ 20 ลิตร
3. พืชตระกลู หอม (Spodoptera litura) ตดิ ต่อกัน 2 ครงั้ ทุก 4 วนั
หอมแดง หอมหัวใหญ่ 20-30 มลิ ลิลิตร/น้ำ 20 ลิตร พ่นทุก 7 วัน เม่ือพบตน้ ที่มี
กระเทยี ม หนอนกระทหู้ อม รอยทำลายเกิน 10 เปอรเ์ ซน็ ต์ เมอ่ื พบระบาดรนุ แรง มีความ
(Spodoptera exigua) เสยี หายเกิน 20 เปอร์เซ็นต์ ควรพน่ ตดิ ตอ่ กนั 2 ครง้ั ทุก 4
5. มะเขือเทศ วนั
หนอนเจาะสมอฝา้ ย 30 มลิ ลิลิตร/นำ้ 20 ลิตร พ่นทกุ 7 วัน ระยะทีอ่ อกดอกและ
6. พชื ตระกูลถัว่ (Helicoverpa armigera) ติดผลออ่ น เมื่อพบท่มี ีปริมาณหนอนเฉลย่ี เกิน 50 ตัว/
ถั่วฝกั ยาว ถว่ั ลนั เตา มะเขือเทศ 100 ตน้ ควรพน่ ติดตอ่ กัน 2 ครัง้ ทกุ 4 วนั
ถ่วั เขียว หนอนกระทหู้ อม 30 มลิ ลลิ ติ ร/น้ำ 20 ลิตร ระยะหลงั งอกพน่ ทกุ 7-10 วนั
(Spodoptera exigua) ระยะถ่ัวตดิ ดอกและติดฝกั ถา้ มีหนอนระบาดรนุ แรงควรพน่
7. หน่อไมฝ้ รงั่ ติดตอ่ กนั 2 คร้งั ห่างกนั 4 วัน
หนอนเจาะสมอฝ้าย 30 มลิ ลิลิตร/นำ้ 20 ลติ ร พน่ สปั ดาห์ละ 1 ครั้ง เมื่อพบการ
(Helicoverpa armigera) ระบาดของหนอนในระยะถ่ัวอายุ 30-50 วัน ควรพ่น
ติดตอ่ กนั ทกุ 5-7 วนั
หนอนกระทหู้ อม 20-30 มิลลลิ ิตร/น้ำ 20 ลติ ร พ่นทุก 7 วนั หลงั จากหน่อไม้
(Spodoptera exigua) พักตวั 20-30 วนั เมอ่ื พบการระบาดรุนแรง (เฉลยี่ พบหนอน
เกนิ 3 ตัว/กอ) ควรพน่ ติดต่อกนั 2-3 คร้ัง ทุก 7 วัน
186
พืช ลักษณะการเข้าทำลายของ อตั ราและวิธกี ารใช้
8. กระเจี๊ยบเขียว พืช
30 มลิ ลิลติ ร/น้ำ 20 ลิตร ระยะหลังงอกพ่นทกุ 5-7 วัน เม่ือ
9. พรกิ หนอนเจาะสมอฝา้ ย พบการระบาดรุนแรงควรพ่นตดิ ต่อกนั 2 คร้ัง ระยะหา่ งกนั
10. มะเขือเทศ (Helicoverpa armigera) 4 วนั
20-30 มลิ ลลิ ิตร/น้ำ 20 ลติ ร พน่ ทกุ 7 วนั ระยะที่เริ่มติด
11. องุ่น หนอนกระทหู้ อม ดอกและใหฝ้ กั ควรพ่นทุก 5-7 วัน เมื่อพบการระบาดรุนแรง
(Spodoptera exigua) ให้พน่ ตดิ ต่อกัน 2 ครั้ง หา่ งกัน 4 วัน
12. สม้ เขียวหวาน 30 มิลลลิ ติ ร/นำ้ 20 ลิตร พ่นทกุ สัปดาห์ เม่ือพบการระบาด
13. ไมด้ อก เชน่ เดซ่ี หนอนเจาะสมอฝ้าย รนุ แรง พบหนอนเฉล่ยี เกนิ 30 ตวั /100 ต้น ควรพ่น
ดาวเรอื ง กุหลาบ และ (Helicoverpa armigera) ติดต่อกัน 2 คร้งั ทุก 4 วัน
เบญจมาศ 30 มิลลลิ ิตร/น้ำ 20 ลิตร พน่ เมื่อพบการระบาดของหนอน
14. กล้วยไม้ หนอนเจาะสมอฝา้ ย โดยพ่นสปั ดาห์ละครั้ง เมือ่ มกี ารระบาดรนุ แรงควรพ่น
(Helicoverpa armigera) ตดิ ต่อกัน 2 คร้งั ทุก 4 วนั
30 มิลลลิ ติ ร/นำ้ 20 ลิตร พน่ ทกุ 7 วนั ระยะที่ออกดอกและ
หนอนเจาะสมอฝา้ ย ตดิ ผลออ่ น เม่ือพบที่มปี ริมาณหนอนเฉล่ียเกนิ 50 ตวั /
(Helicoverpa armigera) มะเขือเทศ 100 ตน้ ควรพน่ ติดตอ่ กนั 2 ครง้ั ทุก 4 วัน
40-50 มลิ ลลิ ติ ร/น้ำ 20 ลิตร พน่ ทุก 7-10 วัน ควรพน่ เม่ือ
หนอนกระท้ผู กั หนอนมขี นาดเลก็ จะใหผ้ ลในการควบคมุ ไดร้ วดเรว็ กรณี
(Spodoptera litura) หนอนระบาดรุนแรงพน่ อตั รา 50 มลิ ลิลติ ร/นำ้ 20 ลติ ร
ติดต่อกัน 2 คร้งั ทุก 4 วนั
หนอนกระทู้หอม ระยะท่ีองนุ่ แตกยอดออ่ น ใช้อัตรา 20-30 มิลลิลิตร/นำ้ 20
(Spodoptera exigua) ลติ ร พ่นทุก 7-10 วนั ระยะท่ีเร่ิมแทงช่อดอกและดอกบาน
พน่ ทกุ 5 วนั ติดต่อกนั 3-4 คร้งั ระยะองนุ่ ตดิ ผลแล้ว 30 วนั
หนอนเจาะสมอฝา้ ย ควรพน่ ทกุ 7-10 วัน
(Helicoverpa armigera) พน่ ไวรสั HaNPV อัตรา 30 มิลลิลิตร/น้ำ 20 ลิตร ในระยะ
ก่อนท่ีช่อดอกองุ่นบาน 2-3 วัน จากนัน้ พน่ ติดต่อกันอีก 2
หนอนกระทู้ผกั ครัง้ ระยะห่างจากครัง้ แรก 4 วัน
(Spodoptera litura) 40-50 มิลลิลิตร/น้ำ 20 ลิตร พน่ ทุก 7-10 วนั ควรพ่นเมื่อ
หนอนมขี นาดเลก็ จะใหผ้ ลในการควบคมุ ได้รวดเร็ว กรณี
หนอนเจาะสมอฝ้าย หนอนระบาดรนุ แรงพน่ อัตรา 50 มิลลิลติ ร/นำ้ 20 ลติ ร
(Helicoverpa armigera) ติดตอ่ กัน 2 ครัง้ ทุก 4 วัน
พ่นไวรสั HaNPV อัตรา 200 มิลลลิ ติ ร/ไร่ ตดิ ต่อกัน 2-3
หนอนกระทหู้ อม ครง้ั โดยปรับหัวฉีดเครื่องพ่นสารใหอ้ ยทู่ ่ีอตั รา 200-250
(Spodoptera exigua) ลติ ร/ไร่ เริม่ พ่นสารครั้งแรกก่อนส้มดอกบาน 2-3 วนั พน่
ครงั้ ท่ี 2 และ 3 หลงั จากพน่ ครงั้ แรกทุก 4 วัน
หนอนกระทู้ผัก ระยะกอ่ นออกดอกใช้อตั รา 20-30 มิลลิลิตร/น้ำ 20 ลติ ร
(Spodoptera litura) พน่ ทกุ 7-10 วัน ระยะท่เี ริ่มออกดอกควรลดระยะพน่ เป็นทุก
5-7 วัน
40-50 มิลลลิ ิตร/นำ้ 20 ลติ ร พ่นทกุ 5-7 วัน 2 ครัง้
ตดิ ตอ่ กนั ควรพ่นเมื่อหนอนมีขนาดเล็กจะให้ผลในการ
187
พืช ลกั ษณะการเขา้ ทำลายของ อัตราและวธิ ีการใช้
15. ผักไฮโดรโปนิค พชื
ควบคุมได้รวดเร็ว กรณีหนอนระบาดรนุ แรงพ่นอัตรา 50
หนอนกระทูผ้ กั มลิ ลลิ ติ ร/น้ำ 20 ลิตร ติดตอ่ กัน 2 ครั้ง ทกุ 4 วนั
(Spodoptera litura) 40-50 มิลลิลติ ร/นำ้ 20 ลติ ร พ่นทุก 7-10 วัน 2 ครง้ั
ติดต่อกันควรพน่ เมื่อหนอนมีขนาดเล็กจะให้ผลในการ
ควบคุมได้รวดเรว็ กรณีหนอนระบาดรนุ แรงพน่ อัตรา 50
มิลลิลิตร/น้ำ 20 ลิตร ตดิ ตอ่ กัน 2 คร้ัง ทุก 4 วัน
188
คำแนะนำการใชไ้ สเ้ ดือนฝอยควบคุมแมลงศตั รพู ชื
ไส้เดือนฝอยศตั รูแมลง (Entomopathogenic Nematodes)
ไส้เดือนฝอย เปน็ สง่ิ มีชวี ติ ขนาดเล็กมองเห็นได้ยากด้วยตาเปล่า มรี ปู รา่ งยาวเรียวบางคล้ายเสน้ ด้าย ส่วนหัวกลมมนไม่
มีข้อปล้อง ส่วนหางแคบและปลายเรียว มีลำตัวยาวประมาณ 0.4 - 1 มิลลิเมตร ไส้เดือนฝอยเจริญเติบโตและขยายพันธุ์อยู่
ภายในตัวแมลงเทา่ นั้น เรยี กวา่ เป็นพาราสิตถาวร หรอื พยาธขิ องแมลง
ไส้เดือนฝอย Steinernema และ Heterorhabditis เป็นไส้เดือนฝอยที่มีประโยชน์ สามารถนำมาใช้ควบคุมแมลง
ศตั รพู ชื ได้มากมายหลายชนิด มีการศกึ ษาวิจัยและพฒั นากันอย่างแพรห่ ลายในหลายประเทศ โดยมีจุดมุ่งหมายเพ่ือนำมาใช้เป็น
ชวี นิ ทรีย์ควบคมุ แมลงศตั รูพืช (Biological agent) เน่อื งจากไสเ้ ดือนฝอยมีคุณสมบัติในการคน้ หาแมลงศตั รูเป้าหมายและทำให้
แมลงตายในเวลาอันรวดเร็วภายใน 24-48 ชั่วโมง สามารถเลี้ยงเพิ่มปริมาณมากได้ด้วยอาหารเทียมและมีความปลอดภัยต่อ
มนษุ ย์และสัตวเ์ ลอื ดอ่นุ รวมทงั้ ปลา นก
ชวี วิทยาของไส้เดือนฝอยสไตเนอรน์ มี า
วงจรชวี ติ ของไส้เดอื นฝอยสไตเนอร์นีมา (Steinernema sp.) ประกอบดว้ ย ตัวเตม็ วยั เพศเมยี ซึง่ มีขนาดยาวกวา่ ตัวเต็ม
วัยเพศผู้ประมาณ 3-4 เท่า ภายหลังการจับคู่ผสมพันธุ์ภายในตัวแมลง ไส้เดือนฝอยจะวางไข่และไข่พัฒนาเป็นตัวอ่อนซึ่งมี 4
ระยะ โดยธรรมชาติไส้เดือนฝอยสไตเนอร์นีมามีแบคทีเรียชื่อว่า Xenorhabdus (ซีโนแรบดัส) อยู่ร่วมอาศัย (symbiotic
bacteria) ท่ลี ำไสส้ ่วนหน้าของไส้เดือนฝอย ไส้เดอื นฝอยวัย 3 เป็นระยะที่สามารถเข้าทำลายแมลงได้ เรยี กระยะนี้ว่า ระยะเข้า
ทำลายแมลง (Infective Juvenile : IJ) ซึ่งมีลักษณะพิเศษแตกต่างจากระยะอื่น คือ มีผนังลำตัวที่หนากว่าตัวอ่อนระยะอืน่ จึง
ทำให้ทนตอ่ สภาพแวดล้อมภายนอกตัวแมลงไดแ้ ละเม่ืออยใู่ นที่มีความชืน้ เหมาะสม สามารถมชี วี ิตอยู่ไดน้ านหลายเดือน เพ่ือรอ
เขา้ ทำลายแมลงศัตรพู ืช
ไสเ้ ดือนฝอยทำให้แมลงตายได้อย่างไร
ไส้เดือนฝอยวยั 3 ระยะเขา้ ทำลายแมลง จะเข้าสู่ภายในตวั แมลง โดยผา่ นเขา้ ทางปาก ทวาร รูหายใจ แล้วชอนไชเข้าสู่
กระแสเลือด และเจริญเติบโตโดยกินของเหลวและเนื้อเย่ือแมลงเป็นอาหาร ขณะเดียวกันไส้เดือนฝอยจะขับถ่ายแบคทีเรียรว่ ม
อาศัยออกมา ซึ่งแบคทีเรียนี้เป็นพิษตอ่ แมลงเป็นสาเหตุสำคญั ทำให้แมลงตายภายใน 1-2 วัน เพราะเลือดเป็นพิษ ส่วนไส้เดือน
ฝอยจะยังคงเจริญเติบโตและขยายพันธุ์อยู่ในซากแมลงจนอาหารในตัวแมลงหมด ไส้เดือนฝอยวัย 3 ระยะเข้าทำลายแมลงจึง
ออกจากซากหนอนเพื่อหาแมลงอาศัยตวั ใหม่ต่อไป
ไสเ้ ดือนฝอยสามารถเขา้ ทำลายแมลงได้หลายชนิด ได้แก่ หนอนผเี สอ้ื ต่าง ๆ เช่น หนอนกระทู้หอม หนอนกระทู้ผัก
หนอนเจาะสมอฝา้ ย หนอนใยผัก หนอนกนิ ใตผ้ ิวเปลือกลองกอง หนอนดว้ งชนดิ ตา่ ง ๆ เชน่ ดว้ งหมัดผกั ด้วงงวงมันเทศ
วธิ ีการใช้ไส้เดือนฝอยศัตรูแมลง
ไสเ้ ดอื นฝอยศัตรูแมลง มี 2 รูปแบบ
1. ไส้เดือนฝอยแบบบรรจุในฟองน้ำสังเคราะห์
บรรจุไส้เดอื นฝอยจำนวน 4 ลา้ นตวั ต่อซอง ในฟองน้ำสังเคราะห์ส่ีเหล่ยี มลูกเตา๋ ขนาด 1.5x1.5x1.5 ลบ.ซม. เกบ็ ใน
ถงุ พลาสติก ปดิ ผนึก
วิธใี ช้
1. ตดั ซองที่บรรจุไสเ้ ดือนฝอย แลว้ เทฟองน้ำทบี่ รรจุอยู่ในซองลงในถังน้ำทส่ี ะอาด
2. เตรยี มน้ำตามอตั ราการใช้ โดยแบง่ เทนำ้ สะอาดลงในถงั ท่ีมไี ส้เดือนฝอย (ควรแบง่ นำ้ ไว้ 3 สว่ น)
3. ขยำฟองน้ำในน้ำสะอาดเพื่อใหไ้ สเ้ ดือนฝอยออกมาอยู่ในน้ำ เทนำ้ ส่วนท่ี 2 และ 3 เพื่อขยำให้ไสเ้ ดือนฝอยออก
จากฟองน้ำใหห้ มด แล้วแยกฟองน้ำทิ้ง
4. เทน้ำทีม่ ีไส้เดือนฝอยลงในถังเคร่ืองพน่ สารหรือบวั รดน้ำทีส่ ะอาด
189
5. พน่ ตามกิ่งและลำตน้ ทม่ี หี นอนทำลาย สำหรบั หนอนกินใต้เปลอื ก สว่ นผกั กาดหัว ดาวเรือง และพืชตระกลู
กะหล่ำ ราดหรอื พ่นในแปลงพชื
2. ไส้เดือนฝอยแบบผงละลายน้ำ
กรมวิชาการเกษตร โดยกลมุ่ งานวิจยั การปราบศตั รูพืชทางชีวภาพ กลมุ่ กีฏและสัตววิทยา สำนกั วิจยั พัฒนาการ
อารักขาพชื ได้มีการพัฒนาการเก็บรกั ษาไส้เดือนฝอยให้อยู่ในรูปแบบผงละลายน้ำเพ่ือสะดวกต่อการนำไปใช้ และการเกบ็ รกั ษา
โดยผลิตไสเ้ ดือนฝอยบรรจใุ นผงดินละลายน้ำบรรจใุ นกระป๋องพลาสติก ขนาดบรรจุ 50 ลา้ นตัว ตอ่ กระป๋อง
วธิ ีใช้
1. เตรียมน้ำสะอาดใส่ในถังท่ผี สม
2. เทไสเ้ ดือนฝอยรูปแบบผงลงในน้ำ กวนให้ผงละลายทั้งหมด
3. ขณะพน่ ควรเขย่าหรือกวนเพือ่ ไม่ใหต้ กตะกอน
4. ควรพน่ ไสเ้ ดือนฝอยท่ีเตรียมไว้ให้หมดในการใช้แต่ละคร้งั
ข้อดี ของการใช้ไสเ้ ดือนฝอยควบคุมแมลงศัตรูพืช
1. ไม่มอี ันตรายตอ่ ส่ิงมีชีวิตอ่ืนๆ เชน่ มนุษย์ สตั ว์ พืช ทกุ ชนิด
2. ไม่มีพิษตกคา้ งในพชื ผลและไม่ก่อให้เกดิ มลพิษต่อสภาพแวดล้อมในน้ำ ดนิ อากาศ
3. ไมม่ ีกลิ่นเหมน็ และไมม่ พี ษิ ตอ่ ผวิ หนงั ผู้ใชไ้ มจ่ ำเป็นตอ้ งใช้ผ้าปิดจมกู และรา่ งกาย
4. หนอนไมส่ ามารถสร้างความตา้ นทานต่อไส้เดอื นฝอย
5. ไส้เดือนฝอยมีความทนทานต่อสารเคมีหลายชนิด ฉะนั้นผู้ใช้ไม่จำเป็น ต้องซื้อเครื่องพ่นยาใหม่ เพราะใช้เครื่อง
เดียวกบั ทใี่ ชพ้ ่นสารเคมีได้
6. การใช้ไส้เดอื นฝอยควบคมุ แมลงศตั รูพชื จะเปน็ แนวทางหนึ่งที่ชว่ ยอนุรกั ษ์ศตั รูธรรมชาติท่ีมีประโยชน์
ข้อพึงระวัง ในการใชไ้ ส้เดอื นฝอยศตั รูแมลงควบคุมแมลงศัตรพู ชื
1. ไส้เดือนฝอยท่ีนำมาใช้ต้องมีชีวิต มคี วามแข็งแรงและมีจำนวนตรงตามคำแนะนำ
2. ควรพน่ ไส้เดือนฝอยหลงั การใหน้ ำ้ ในแปลงปลกู พืช เพ่อื ใหส้ ภาพแวดลอ้ มมคี วามชุ่มชื้น
3. ควรพ่นไสเ้ ดือนฝอยในชว่ งเยน็ เพือ่ หลกี เล่ียงแสงแดดซ่ึงจะทำให้ไสเ้ ดือนฝอยเสอื่ มประสทิ ธิภาพ
4. ควรเขย่าและคนเป็นระยะเพื่อใหไ้ ส้เดือนฝอยกระจายในน้ำทัว่ ถึง
5. ควรพ่นไส้เดอื นฝอยทเี่ ตรียมไว้ใหห้ มดในการใช้แตล่ ะครั้ง
6. เกบ็ รกั ษาชวี ภัณฑไ์ สเ้ ดือนฝอยในตู้ควบคุมอณุ หภมู ิ 6-10 องศาเซลเซยี ส (ห้ามแชแ่ ขง็ )
7. ไมค่ วรเก็บชีวภัณฑ์ไส้เดอื นฝอยไวน้ านเกิน 6 เดอื น
8. การใชไ้ สเ้ ดือนฝอยควบคุมแมลงศัตรูพืชท่ีอาศยั อยู่ในท่ีซ่อนเร้น เชน่ ในดิน ใต้เปลอื ก ในรู หรือซอกกลีบดอกจะใช้
ไดผ้ ลดกี ว่าการพน่ ไส้เดอื นฝอยในทโี่ ลง่ แจง้
9. เครอ่ื งพ่นไสเ้ ดือนฝอยควรอยใู นสภาพทเ่ี หมาะสม หัวฉีดพน่ สะอาดไม่อดุ ตัน ขนาดรูหัวฉีดไม่ควรเล็กกวา่ 0.4 มม.
เพื่อให้ปรมิ าณและประสทิ ธภิ าพของไส้เดือนฝอยทอ่ี อกมามากพอทจี่ ะเข้าทำลายศัตรพู ืช
การใช้ไสเ้ ดอื นฝอยควบคุมแมลงศัตรพู ืชต่าง ๆ 190
พชื แมลงศตั รูพชื
อตั ราและวธิ กี ารใช้
1. ลองกอง ลางสาด หนอนกินใต้ผิวเปลอื ก (Cossus sp.) ใช้ไส้เดือนฝอยอตั รา 50 ล้านตวั ตอ่ น้ำ 20 ลิตร
พน่ ตามกง่ิ และลำต้นท่มี ีหนอนอัตรา 2-3 ลติ ร ต่อ
ตน้ (1 ไร่ = 30 ต้น, 60 - 90 ลติ ร/ไร)่ พน่ ทุก 15
วัน ติดต่อกัน 2 ครั้ง
2. ผักกาดหัวและพืช ตวั ออ่ นด้วงหมัดผักแถบลาย ใชไ้ ส้เดอื นฝอยอัตรา 50 ลา้ นตวั ต่อนำ้ 20 ลติ ร
ตอ่ 267 ตารางเมตร พน่ หรือราดลงดินก่อนปลูก
ตระกลู กะหลำ่ (Phyllotreta sinuata) หลังการใหน้ ้ำ และพน่ ทุก 7 วันหลังปลูก
3. ดาวเรอื ง หนอนกระทู้หอม (Spodotera exigua) ใชไ้ ส้เดอื นฝอยอัตรา 50 ล้านตวั ตอ่ นำ้ 20 ลิตร
ตอ่ 267 ตารางเมตร (ปรบั หัวฉีดใหพ้ ่นฝอย
ละเอยี ด พน่ ตามยอดและดอกในตอนเย็นหลังรด
น้ำแปลง พ่นทุก 5-7 วนั หลงั เพาะเมล็ดได้ 15 วัน
4. เห็ด หนอนผเี ส้ือกนิ กอ้ นเชื้อเหด็ (Dasyses sp.) ใชไ้ ส้เดือนฝอยอัตรา 50 ล้านตัว ตอ่ นำ้ 60 ลติ ร
เรม่ิ พ่นเมื่อเปิดปากถุงเห็ด โดยพ่นไสเ้ ดือนฝอยเข้า
ทางปากถงุ หรือเมื่อพบการเข้าทำลายของหนอนใน
กอ้ นเชอ้ื เห็ด หลังจากน้นั พ่นสัปดาห์ละครงั้
5. หญา้ สนาม ด้วงขนสตั ว์ (Ataenius nigricans) ใชไ้ สเ้ ดือนฝอยอัตรา 50 ลา้ นตวั ตอ่ นำ้ 64 ลติ ร
ต่อ 640 ตารางเมตร พ่นหรอื ปลอ่ ยตามท่อนำ้
เหว่ยี งในสนามหญา้ เมื่อเรม่ิ มีการระบาดของ
แมลงกัดกินรากหญ้า
6. มนั เทศ ด้วงงวงมนั เทศ (Cylas formicarius) ใชไ้ สเ้ ดอื นฝอยอัตรา 50 ล้านตวั ต่อน้ำ 20 ลิตร
ตอ่ 267 ตารางเมตร พ่นหรอื ราดลงดินในแปลง
ปลกู มันเทศ เมอื่ มันเทศมีอายุได้ 60 วันหลังปลูก
และใชต้ ดิ ต่อกันทุก 15-20 วนั รวม 3-4 ครั้ง
7. สตรอว์เบอร์รี่ หนอนด้วงกนิ รากสตรอเบอรร์ ี่ ใช้ไสเ้ ดอื นฝอยอัตรา 50 ล้านตัว ต่อนำ้ 4 ลิตร ตอ่
(Mimela schneideri) 40 ตารางเมตร พน่ ไส้เดือนฝอยลงดนิ หลงั ให้น้ำ
โดยเฉพาะทโี่ คนต้นหลงั ปลกู สตรอเบอร์ร่ี 30 และ
60 วนั
191
คำแนะนำการใช้ราเขียวเมทาไรเซยี มควบคมุ ด้วงแรด
กรมวชิ าการเกษตรได้คดั เลอื กราเขียวเมทาไรเซยี ม (Metarhizium anisopliae) สายพันธุ์ M5 ทม่ี ีความจำเพาะ
เจาะจงในการเข้าทำลายดว้ งแรดซงึ่ เป็นศตั รูทส่ี ำคญั ในมะพรา้ วและพืชตระกูลปาล์ม โดยราเขียวสามารถทำลายเหย่ือได้ทงั้ ใน
ระยะตวั หนอน ดักแด้ และตวั เตม็ วัย
การเข้าทำลาย
เข้าทำลายแมลงโดยผ่านทางผนังลำตัวแมลง เมอื่ ได้รับความชืน้ และอุณหภูมทิ ีเ่ หมาะสมโคนิเดียเช้อื จะงอกและแทง
ทะลุผา่ นช้ันผนงั ลำตวั เข้าสู่ภายใน เชอ้ื ราจะทำลายชน้ั ไขมนั เปน็ สว่ นแรกและแพรเ่ ข้าสู่ช่องวา่ งภายในลำตัวแมลง เส้นใยราเขยี ว
เจรญิ เตบิ โตโดยการดดู ซมึ และใช้อาหารภายในลำตวั แมลงอาศัย ในขณะเดยี วกันจะทำลายเนือ้ เยื่อ หรืออวยั วะภายในของแมลง
ให้ได้รับความเสียหาย ราเขียวจะเจรญิ เตบิ โตและแพรก่ ระจายจนเต็มตวั เหย่ือ แมลงที่ตายดว้ ยเชื้อรามักมลี กั ษณะแห้งและแขง็
เรียกลักษณะเช่นนี้วา่ “มัมมี”่ เน่ืองจากมีเสน้ ใยเช้ือราเจริญอดั แนน่ อยู่ภายในลำตัว หลังจากแมลงตายราเขยี วจะแทงทะลผุ า่ น
ผนังลำตัวออกมาแพรก่ ระจายพนั ธ์ุภายนอก ในชว่ งแรกจะพบเส้นใยสขี าวขน้ึ ปกคลมุ ลำตวั และจะเปล่ยี นเปน็ สเี ขยี วในเวลา
ต่อมา
วธิ กี ารทำกองกับดกั เพ่ือควบคุมดว้ งแรด
เลือกพ้นื ทท่ี ี่พบการระบาดของด้วงแรด โดยสงั เกตจากทางใบเกดิ ใหม่ที่ไมส่ มบรู ณ์ มรี อยขาดแหวง่ เปน็ รว้ิ ๆ คล้ายหาง
ปลา หรือรปู พัด ซ่ึงเกิดจากการเข้าทำลายของด้วงแรดมะพร้าวตัวเต็มวยั จัดเตรยี มกองกบั ดักในพนื้ ที่ดังกล่าวเพื่อลอ่ ให้ดว้ งแรด
ตัวเต็มวยั มาจับคูผ่ สมพันธ์แุ ละวางไข่
วิธีเตรียม
1. เลอื กวสั ดทุ หี่ าได้งา่ ยในพน้ื ท่ี มาวางก้นั เปน็ ขอบกองกับดัก ขนาด 1.5 X 1.5 X 0.50 เมตร
2. ผสมปุ๋ยคอกและมะพร้าวสับ อัตราสว่ น 0.5 : 1 ใสล่ งในกองกบั ดักทเี่ ตรยี ม
3. รดน้ำใหท้ ั่วทั้งกอง เพื่อใหเ้ กดิ ขบวนการหมกั ทส่ี มบรู ณ์ ทิง้ ไวป้ ระมาณ 1-2 เดือน ตัวเตม็ วยั ด้วงแรดจะเร่ิมมาวางไข่
วิธใี ชร้ าเขยี วเมทาไรเซียม
1. เมอ่ื พบตัวหนอนด้วงแรดในกองกับดกั ใช้ราเขยี วเมทาไรเซียมรปู แบบเช้อื สด ในอตั รา 2 ถงุ (800 กรัมโดยปรมิ าตร)
ตอ่ กอง
2. เกล่ียให้เชือ้ กระจายทัว่ ทงั่ กอง และรดน้ำเพ่มิ ความชื้นในกองกบั ดัก
3. หาวัสดคุ ลมุ กอง เชน่ ทางมะพรา้ ว หรือเศษใบไม้ เพือ่ ปกป้องแสงแดด และรักษาความชื้นในกองกบั ดกั
4. ทิ้งไว้ประมาณ 3-4 สัปดาห์ หนอนด้วงแรดจะเริ่มตดิ เช้ือ สงั เกตจุ ากรอยแผลสนี ้าตาลข้างลำตัว
5. การทำกองกับดกั ควรทำอยา่ งต่อเน่ือง โดยการเติมวสั ดใุ นการกองกบั ดักและใส่ราเขียวเมทาไรเซียมเพื่อชว่ ยควบคุม
ตัวหนอนด้วงแรดท่ีเกิดขนึ้ ใหม่ ควรเติมวสั ดใุ นกองกับดกั อยา่ งน้อยปลี ะ 2 –3 คร้งั และเติมราเขยี วเมทาไรเซียมในกองกบั ดกั ทุก
ๆ 3-4 เดือน เพ่ือเพิม่ ประสิทธิภาพในการควบคุมใหด้ ยี ่งิ ข้ึน
วธิ ีการเลย้ี งขยายเชื้อราเขียวเมทาไรเซียมอยา่ งงา่ ย
อปุ กรณ์
- หัวเชื้อราเขียวเมตาไรเซียมรูปแบบเชอ้ื สด
- ข้าวโพดบดหยาบ
- ตูเ้ ขี่ยเช้อื ติดต้ังหลอดไฟสอ่ งสว่าง และหลอด UV ฆ่าเชื้อ
- ตะเกียงแอลกอฮอล์ 95% (เพ่ือใช้ฆา่ เชอ้ื อปุ กรณ์ทีใ่ ช้เลีย้ ง)
- แอลกอฮอล์ 70% (เพอ่ื ใชท้ าความสะอาดอปุ กรณ์และพ้นื ผิวบริเวณที่ใชเ้ ลีย้ ง)
- ชอ้ น
192
- ไฟเช็ค
- ถงุ พลาสตกิ ทนร้อน(ถงุ เพาะเหด็ )
- สาลี และกระดาษ
วิธกี าร
ข้นั ตอนท่ี 1 การเตรยี มอาหารเล้ียงเช้ือ
- ชั่งขา้ วโพดบดหยาบ 200 กรมั เติมน้ำ 200 มิลลลิ ิตร ใส่ถุงพลาสติกทนร้อน (ถงุ เพาะเห็ด) ปิดปากถุงดว้ ยจุกสำลแี ละ
หุ้มทบั ด้วยกระดาษ นำไปนึ่งฆา่ เชือ้ ที่อุณหภูมิ 121 องศาเซลเซยี ล ความดัน 15 ปอนด/์ ตารางน้วิ เปน็ เวลา 20 นาที ปล่อยทง้ิ
ไว้ใหเ้ ยน็
หมายเหตุ: ในกรณีที่ใชห้ มอ้ น่ึงลกู ทุ่ง ควรใช้เวลานึ่งไมต่ ่ำกว่า 2 ช่ัวโมง
ขน้ั ตอนที่ 2 การผลิตขยายเชอ้ื
- ทำความสะอาดพน้ื ผิวบรเิ วณทีจ่ ะใชเ้ ลีย้ งเชื้อ โดยใชแ้ อลกอฮอล์ 70% เช็ดให้ท่วั บริเวณทใ่ี ช้ปฏิบัตงิ าน จุดตะเกยี ง
แอลกอฮอล์ นำชอ้ นท่จี ะใช้ลนไฟฆ่าเช้อื ให้ทว่ั แลว้ พักไวใ้ ห้เย็น เปดิ ถงุ หวั เชื้อ (เช้ือเมทาไรเซียมรปู แบบเชอื้ สด) และถุงอาหาร
เลยี้ งเชื้อท่เี ตรียมไว้ ตกั หวั เช้อื ท่ีเตรยี มไวใ้ นปริมาณเทา่ ๆ กัน 1 ชอ้ นโตะ๊ แลว้ ถา่ ยใส่ในถุงอาหารเล้ยี งเชือ้ (หัวเชอื้ ราเขียว 1 ถงุ
สามารถใสใ่ นอาหารได้ 30 ถงุ ) ปิดถงุ ดว้ ยจุกสาลี และหุ้มทับดว้ ยกระดาษ เขยา่ ถุงเพื่อคลกุ ผสมให้เช้ือกระจายทัว่ อาหาร เลี้ยง
ไวท้ ี่อุณหภมู หิ อ้ ง ประมาณ 14 วันเชือ้ ราจะเรม่ิ เจรญิ เตบิ โตและสร้างโคนิเดยี จนเตม็ ถงุ พร้อมทจี่ ะนำไปใชง้ าน