The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เอกสารวิชาการคำแนะนำการใช้สารป้องกันกำจัดศัตรูพืช 64

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

เอกสารวิชาการคำแนะนำการใช้สารป้องกันกำจัดศัตรูพืช 64

เอกสารวิชาการคำแนะนำการใช้สารป้องกันกำจัดศัตรูพืช 64

Keywords: สารป้องกันกำจัดศัตรูพืช,การป้องกันกำจัดศัตรูพืช

คำแนะนำการใชส้ ารฆา่ แมลงแบบหมุนเวยี นกลุ่มกลไกก

ระยะกลา้ อายุ 10 อายุ 15 วนั อายุ 20 วัน อายุ 25 วัน อายุ 30 วัน
วนั หลัง หลังยา้ ยกล้า หลงั ยา้ ยกล้า หลังยา้ ยกล้า หลงั ย้ายกลา้
รปู แบบที่ 1พน่ ย้ายกล้า
สไปนีโทแรม พน่ ฟิโพร พน่ ฟิโพรนิล พ่นอินดอก พ่นอนิ ดอก พ่นสไปนโี ท
12% SC (กลุม่ นลิ 5%SC (กลมุ่ ซาคารบ์ ซาคาร์บ แรม 12%
5) หรือ โทลเฟน 5%SC 2B อตั รา 80 15%EC 15%EC SC (กลุ่ม 5)
ไพแรด 16% EC (กลมุ่ 2B) มล./นำ้ 20 (กล่มุ 22A) (กลุ่ม 22A) อตั รา
(กลมุ่ 21A) อตั รา 80 ลิตร อตั รา อัตรา 40 -60 มล./
อตั รา 40 มล./ มล./นำ้ 40-60 มล./ 40-60 มล./ นำ้ 20 ลิตร
น้ำ 20 ลิตร 1 20 ลิตร พน่ ฟิโพรนลิ นำ้ 20 ลิตร นำ้ 20 ลติ ร
คร้ัง 5%SC (กลมุ่ พน่ โทลเฟนไพ
รปู แบบท่ี 2 พน่ ฟิโพร 2B อตั รา 80 พน่ อินดอก พ่นอนิ ดอก แรด 16%
พ่นสไปนโี ทแรม นลิ มล./นำ้ 20 ซาคารบ์ ซาคาร์บ EC (กลุ่ม
12% SC (กลุ่ม 5%SC ลิตร 15%EC 15%EC 21A) อตั รา
5) หรอื โทลเฟน (กลมุ่ 2B) (กลมุ่ 22A) (กลมุ่ 22A) 40 -60 มล./
ไพแรด 16% EC อัตรา 80 อัตรา อตั รา น้ำ 20 ลิตร
(กลุ่ม 21A) มล./นำ้ 40-60 มล./ 40-60 มล./
อัตรา 40 มล./ 20 ลติ ร นำ้ 20 ลิตร น้ำ 20 ลติ ร
นำ้ 20 ลิตร 1
ครั้ง

ระยะก่อนเขา้ ปลี ET หนอนใยผัก 3 ตวั /ตน้

243

การออกฤทธิเ์ พ่ือป้องกนั กำจดั หนอนใยผกั ในกะหลำ่ ปลี

อายุ 35 วัน อายุ 40 วัน อายุ 45 วนั อายุ 50 วนั อายุ 55 วัน ระยะเกบ็ เกย่ี ว
หลังยา้ ยกล้า หลงั ย้ายกลา้ หลังยา้ ยกลา้ หลงั ย้ายกล้า หลงั ยา้ ยกลา้ 65-70 วนั

พ่นสไปนีโท พน่ คลอรฟ์ ี พ่นคลอรฟ์ ี พ่นบีที (กลุ่ม พน่ บีที (กลมุ่
แรม 12% นาเพอร์ นาเพอร์ 11A) อัตรา 11A) อัตรา
SC (กลุม่ 5) 10% SC 10% SC 40 -60 มล./ 40 -60 มล./
อัตรา (กลุ่ม 13) (กลมุ่ 13) นำ้ 20 ลิตร นำ้ 20 ลติ ร
40 -60 มล./ อตั รา อัตรา
นำ้ 20 ลิตร 40 -60 มล./ 40 -60 มล./
น้ำ 20 ลติ ร นำ้ 20 ลิตร

พ่นโทลเฟนไพ พ่นคลอร์ฟี พน่ คลอรฟ์ ี พ่นบีที (กลุม่ พ่นบีที (กลุ่ม
แรด 16% นาเพอร์ นาเพอร์ 11A) อตั รา 11A) อตั รา
EC (กลุ่ม 10% SC 10% SC 40 -60 มล./ 40 -60 มล./
21A) อตั รา (กลมุ่ 13) (กลุ่ม 13) นำ้ 20 ลิตร น้ำ 20 ลติ ร
40 -60 มล./ อัตรา อัตรา
น้ำ 20 ลิตร 40 -60 มล./ 40 -60 มล./
น้ำ 20 ลติ ร นำ้ 20 ลิตร

ระยะวกิ ฤต
ระยะเขา้ ปลี ET หนอนใยผัก 5 ตวั /ต้น

คำแนะนำการใช้สารฆ่าแมลงแบบหมนุ เวยี นกลุ่มกลไ

ระยะกลา้ อายุ 14 วัน อายุ 21 วัน อายุ 28 วัน อายุ 35 วัน อายุ 4
หลังย้ายกลา้ หลงั ยา้ ยกลา้ หลังยา้ ยกลา้ หลังยา้ ยกลา้ หลงั ยา้
พ่นสไปนโี ท
แรม 12% SC พน่ อีมาเมก พน่ ฟโิ พรนลิ พ่นฟิโพรนลิ พ่นสไปนีโท พ่นสไป
(กลมุ่ 5) ตนิ เบนโซเอต 5%SC (กลมุ่ 5%SC (กลมุ่ แรม 12% SC แรม 12
อัตรา 30 1.92%EC 2B) อัตรา 40 2B) อตั รา 40 (กลุ่ม 5) (กลมุ่ 5
มล./นำ้ 20 (กลุ่ม 6)อตั รา มล./นำ้ 20 มล./นำ้ 20 อัตรา 30 อตั รา 3
ลิตร 1 ครั้ง 30 มล./นำ้ ลติ ร ลติ ร มล./นำ้ 20 มล./นำ้
20 ลติ ร ลิตร
ลิตร

ช่วงระยะเจริญเตบิ โตทางลำตน้

เพลีย้ ไฟ ET

244

ไกการออกฤทธิเ์ พ่อื ป้องกนั กำจดั เพล้ยี ไฟพรกิ ในพริก

42 วนั อายุ 49 วนั อายุ 56 วัน อายุ 63 วนั อายุ 70 วนั ระยะเก็บเก่ยี ว
ายกล้า หลงั ย้ายกล้า หลงั ย้ายกล้า หลังยา้ ยกลา้ หลงั ยา้ ยกล้า ผลผลติ
ปนโี ท พน่ คลอร์ฟนี า พน่ คลอร์ฟีนา พน่ ไซแอนทรา พน่ ไซแอนทรา
2% SC เพอร์ 10% เพอร์ 10% นลิ ิโพรล นิลโิ พรล
5) SC (กลุ่ม 13) SC (กลุม่ 13) 10%OD 10%OD
30 อัตรา 40 อตั รา 40 (กลุ่ม 28) (กลุ่ม 28)
ำ 20 มล./นำ้ 20 มล./นำ้ 20 อตั รา 40 อัตรา 40

ลติ ร ลิตร มล./นำ้ 20 มล./นำ้ 20
ลิตร ลิตร

ช่วงออกดอก ติดผล (หลังออกดอก 30-40 วนั )
T 5 ตวั /ยอด

245

คำแนะนำการใชส้ ารฆ่าแมลงแบบหมุนเวียนกลุ่มกลไกการออกฤทธิ์
เพอ่ื ป้องกันกำจัดเพลี้ยไฟฝ้ายในกลว้ ยไม้สกุลหวาย

สไปนโี ทแรม (กลุ่ม 5) 1 ครัง้ สไปนีโทแรม (กล่มุ 5)
1 ครั้ง

ฟโิ พรนลิ อะบาเมกติน ฟิโพรนิล คลอรฟ์ ีนาเพอร์
(กลุ่ม 2B) 30 มล. (กลุ่ม 6) (กลุ่ม 2B) 30 มล. (กลุ่ม 13) 10 วนั /
3 คร้งั
3 ครงั้ 3 ครั้ง อีมาเมกติน
เบนโซเอต 5 วัน

(กลุ่ม 6)
1/1 ครงั้

ตน้ ทุนการพ่นสาร 466 บาท/ไร/่ วงจรชีวติ ต้นทนุ การพ่นสาร 624 บาท/ไร/่ วงจรชีวติ

สไปนีโทแรม (กลมุ่ 5) สไปนีโทแรม (กลมุ่ 5)
1 ครงั้ 1 คร้งั ไซแอน
ทรานลิ โิ พรล

คลอร์ฟีนาเพอร์ ฟโิ พรนิล ฟโิ พรนิล (กล่มุ 28)
(กล่มุ 13) 10 วัน/ (กลุม่ 2B) (กลมุ่ 2B) 2 ครงั้
50 มล.
อีมาเมกตนิ 2 คร้งั 50 มล. คลอรฟ์ ีนาเพอร์
เบนโซเอต 2 ครง้ั (กลมุ่ 13)10วัน/อีมาเมกตนิ
5 วนั (กลมุ่ 6)
1/1 ครัง้ เบนโซเอต5วนั (กลุ่ม6)

1/1 คร้ัง

ตน้ ทุนการพ่นสาร 636 บาท/ไร/่ วงจรชวี ติ ต้นทุนการพ่นสาร 933 บาท/ไร/่ วงจรชีวิต

หมายเหตุ : 1 ลกู ศร = 1 รอบวงจรชวี ติ (14 วัน)

สไปนีโทแรม 12% SC 20 มล./น้ำ 20 ลิตร ไซแอนทรานิลิโพรล 10%OD 40 มล./นำ้ 20 ลติ ร
คลอร์ฟนี าเพอร์ 10% SC 30 มล./นำ้ 20 ลิตร อีมาเมกตินเบนโซเอต 1.92% EC 20 มล./น้ำ 20 ลิตร
ฟิโพรนลิ 5% SC 30, 50 มล./นำ้ 20 ลิตร

อตั รานำ้ 120 ลติ ร/ไร่

246

คำแนะนำการใชส้ ารฆา่ แมลงแบบหมนุ เวียนกลุ่มกลไกการออกฤทธ์ิ
เพ่ือปอ้ งกันกำจดั เพล้ียไฟพริกในกหุ ลาบ

สไปนโี ทแรม (กลมุ่ 5) 10 วนั / สไปนีโทแรม (กลุ่ม 5) 10 วัน/
ไดคลอรว์ อส (กลมุ่ 1B) 5 วนั แลมบ์ดา ไซฮาโลทริน
(กลมุ่ 3A) 5 วัน 1/1 คร้ัง
1/1 ครัง้

ฟโิ พรนิล แลมบด์ า อะบาเมกติน ฟิโพรนิล
(กลมุ่ 2B) ไซฮาโลทรนิ (กลุ่ม 6) (กล่มุ 2B)
3 คร้งั (กลมุ่ 3A) 3 คร้งั 30 มล.

3 ครง้ั 2 ครั้ง

ตน้ ทุนการพ่นสาร 391บาท/ไร่/วงจรชีวิต ต้นทนุ การพน่ สาร 450 บาท/ไร่/วงจรชีวิต

สไปนโี ทแรม (กล่มุ 5) 10 วนั /

ไดคลอรว์ อส (กลมุ่ 1B) 5 วัน

1/1 ครงั้ อีมาเมกตนิ

ไซแอน เบนโซเอต (กลุม่ 6)
10 วนั
ทรานลิ ิโพรล
/แลมบด์ า
(กลมุ่ 28)
10 วนั ไซฮาโลทริน
ฟิโพรนิล (กลุม่ 2B) (กลุ่ม 3A)
5 วนั
5 วนั 2/1 ครัง้
1/1 ครัง้

ต้นทนุ การพน่ สาร 636 บาท/ไร/่ วงจรชีวติ

หมายเหตุ : 1 ลกู ศร = 1 รอบวงจรชีวิต (14 วนั )

สไปนีโทแรม 12% SC 20 มล./น้ำ 20 ลติ ร ไซแอนทรานิลโิ พรล 10%OD 40 มล./นำ้ 20 ลติ ร
ฟิโพรนิล 5% SC 30 มล./น้ำ 20 ลิตร
อีมาเมกตินเบนโซเอต 1.92% EC 20 มล./น้ำ 20 ลติ ร อะบาเมกติน 1.8%EC 50 มล./น้ำ 20 ลิตร

ไดคลอร์วอส 50%EC 30 มล./น้ำ 20 ลติ ร

แลมบด์ า ไซฮาโลทรนิ 2.5% CS 40 มล./น้ำ 20 ลติ ร

อัตราน้ำ 120 ลติ ร/ไร่

247

คำแนะนำการใช้สารฆ่าแมลงแบบหมุนเวยี นกลุ่มกลไกการออกฤทธ์ิ
เพือ่ ปอ้ งกันกำจดั เพล้ียไฟพริกในมะม่วง

สไปนโี ทแรม (กลมุ่ 5) 3 ครง้ั

แลมบด์ า อะบาเมกติน
ไซฮาโลทรนิ (กลุ่ม 6)
(กล่มุ 3A) 3 ครัง้

3 คร้ัง

ต้นทุนการพ่นสาร 553.60 บาท/ไร/่ วงจรชวี ติ

สไปนโี ทแรม (กลุม่ 5) สไปนีโทแรม (กล่มุ 5)
3 ครั้ง 3 คร้ัง

อะบาเมกตนิ อะซีทามพิ รดิ คลอรฟ์ ีนาเพอร์ อะบาเมกติน
(กลุม่ 6) (กลุ่ม 4A) (กลมุ่ 13) (กลุ่ม 6)
3 ครั้ง 3 ครัง้ 3 ครั้ง
3 ครง้ั

ตน้ ทุนการพน่ สาร 664.00 บาท/ไร/่ วงจรชีวิต ต้นทุนการพน่ สาร 990.40 บาท/ไร/่ วงจรชวี ติ ชวี ติ

หมายเหตุ : 1 ลูกศร = 1 รอบวงจรชวี ติ (14 วัน)

สไปนโี ทแรม 12% SC 20 มล./นำ้ 20 ลิตร คลอรฟ์ นี าเพอร์ 10% SC 30 มล./นำ้ 20 ลติ ร

อะบาเมกติน 1.8% EC 50 มล./น้ำ 20 ลิตร อะซีทามิพรดิ 5% SC 20 ก./น้ำ 20 ลิตร

ไซแอนทรานิลิโพรล 10%OD 40 มล./นำ้ 20 ลติ ร แลมบ์ดาไซฮาโลทริน 2.5% CS 20 มล./น้ำ 20 ลติ ร

อัตรานำ้ 80 ลิตร/ไร่ (ปลกู แถวคู่ มีรอ่ งน้ำ จำนวน 80 ตน้ /ไร)่

248

คำแนะนำการใช้สารฆา่ แมลงแบบหมนุ เวยี นกลุ่มกลไกการออกฤทธิ์
เพอ่ื ปอ้ งกนั กำจดั เพล้ยี ไฟพริกในมะนาว

สไปนโี ทแรม (กลุ่ม 5) 10 วัน สไปนีโทแรม (กลุ่ม 5)
/อิมดิ าโคลพรดิ (กลมุ่ 4A) 3 ครัง้

5 วัน 1/1 คร้ัง

ฟิโพรนิล อีมาเมกตนิ อีมาเมกติน ฟิโพรนลิ
(กลุ่ม 2B) เบนโซเอต เบนโซเอต (กลุม่ 2B)
3 คร้งั (กลมุ่ 6) (กลุม่ 6) 3 ครง้ั

3 ครั้ง 3 คร้ัง

ต้นทนุ การพน่ สาร 1,340 บาท/ไร/่ วงจรชวี ติ ต้นทุนการพ่นสาร 1,920 บาท/ไร่/วงจรชีวติ

สไปนโี ทแรม (กล่มุ 5) สไปนีโทแรม (กลุ่ม 5)
2 คร้ัง 3 ครง้ั

คลอรฟ์ นี าเพอร์ ไซแอน ไซแอน คลอร์ฟีนาเพอร์
(กลุม่ 13) ทรานลิ โิ พรล ทรานิลโิ พรล (กล่มุ 13)
2 ครัง้ (กลมุ่ 28) (กลมุ่ 28) 3 ครั้ง

2 ครงั้ 3 ครัง้

ตน้ ทุนการพน่ สาร 2,730 บาท/ไร่/วงจรชีวติ ต้นทุนการพ่นสาร 4,090 บาท/ไร/่ วงจรชีวติ

หมายเหตุ : 1 ลกู ศร = 1 รอบวงจรชวี ิต (14 วนั )

สไปนีโทแรม 12% SC 20 มล./นำ้ 20 ลติ ร ไซแอนทรานิลิโพรล 10%OD 40 มล./น้ำ 20 ลติ ร

คลอรฟ์ ีนาเพอร์ 10% SC 30 มล./น้ำ 20 ลิตร อมิ ิดาโคลพรดิ 70% WG 15 ก./นำ้ 20 ลิตร

อีมาเมกตินเบนโซเอต 1.92% EC 20 มล./นำ้ 20 ลติ ร ฟโิ พรนิล 5% SC 40 มล./น้ำ 20 ลิตร

อตั ราน้ำ 150 ลิตร/ไร่ (จำนวน 100 ตน้ /ไร)่

คำแนะนำการใชส้ ารฆา่ แมลงแบบหมนุ เวียนกลุ่มกลไกก

การพ่นสารแบบ สปั ดาหท์ ่ี 1 สัปดาหท์ ี่ 2 สัปดาห์ที่ 3 สปั ดาหท์ ี่ 4
หมนุ เวียน
รูปแบบท่ี 1 ไบฟนี าเซต 48%SD (กลุม่ 20D) อัตรา 5 มล./นำ้ 20 ไซฟลูมโี ทเฟน 2
ลติ ร
รูปแบบท่ี 2 สไปโร
ไซฟลมู โี ทเฟน 20%SC (กล่มุ 25A) อตั
อตั รา 8 มล./น้ำ 20 ลิตร

รูปแบบท่ี 3 ไซฟลูมโี ทเฟน 20%SC (กลุ่ม 25A) สไปโร
รูปแบบท่ี 4 อัตรา 8 มล./น้ำ 20 ลิตร อตั

ไซฟลูมโี ทเฟน 20%SC (กลุ่ม 25A) เฟนไพรอกซเิ มต 5
อัตรา 8 มล./น้ำ 20 ลิตร อัตรา 20 มล

อัตราน้ำ 120 ลิตร/ไร่

249

การออกฤทธิเ์ พอื่ ป้องกันกำจดั ไรสองจุดในสตรอว์เบอร์รี

สัปดาห์ท่ี 5 สปั ดาห์ท่ี 6 สปั ดาห์ท่ี 7 สปั ดาหท์ ี่ 8 ต้นทนุ การพ่น
สาร/ไร่ (บาท)
20%SC (กล่มุ 25A) อตั รา 8 มล./นำ้ ทบี ูเฟนไพแรด 30%EC (กลุ่ม 21A)
20 ลติ ร 1,344
อตั รา 3 มล./นำ้ 20 ลิตร 660
รมซี เิ ฟน 24% SC (กลมุ่ 23)
ตรา 8 มล./น้ำ 20 ลิตร เฮกซีไทอะซอกซ์ เฮกซีไทอะซอกซ์ 660

1.8 % EC 1.8 % EC 420

(กลมุ่ 10A) (กลมุ่ 10A)

อัตรา 40 มล./ อตั รา 40 มล./

น้ำ 20 ลิตร น้ำ 20 ลติ ร

รมีซเิ ฟน 24% SC (กลุม่ 23) เฟนไพรอกซิเมต 5% SC
ตรา 8 มล./น้ำ 20 ลิตร
(กลุม่ 21A)

อัตรา 20 มล./นำ้ 20 ลติ ร

5% SC (กลมุ่ 21A) เฮกซไี ทอะซอกซ์ เฮกซีไทอะซอกซ์ ไซฟลูมโี ทเฟน
ล./นำ้ 20 ลิตร 1.8 % EC
(กล่มุ 10A) 1.8 % EC 20%SC

อัตรา 40 มล./ (กล่มุ 10A) (กลุม่ 25A)
น้ำ 20 ลิตร
อตั รา 40 มล./ อัตรา 8 มล./นำ้

นำ้ 20 ลิตร 20 ลติ ร

ตวั อย่างคำแนะนำการใช้สารฆา่ แมลงแบบหมนุ เวียน

250

นในหนอนกระทขู้ ้าวโพดในขา้ วโพดจากต่างประเทศ

ที่มา : www.IRAC-online.org ปรับปรงุ : สภุ ราดา สคุ นธาภริ มย์ ณ พัทลุง

251

หัวฉีดและเครอ่ื งพน่ สารป้องกันกำจดั ศตั รูพชื

1. หัวฉดี และหนา้ ทขี่ องหัวฉีด
หวั ฉีด (nozzles) เปน็ อุปกรณ์ทส่ี ำคัญสว่ นหน่ึงของเคร่ืองพ่นสารป้องกันกำจัดศัตรูพชื ทำหน้าที่หลาย ๆ อย่างพร้อม

กัน ไดแ้ ก่ ทำให้สารปอ้ งกนั กำจดั ศตั รูพชื แตกตัวเปน็ ละอองสารและมีรปู แบบการกระจายของละอองสารบนเปา้ หมาย ตลอดจน
ทำควบคุมอัตราการไหลของสารป้องกันกำจัดศตั รูพชื

2. ประเภทของหัวฉีด
หัวฉีดที่ใชใ้ นการพ่นสารปอ้ งกนั กำจดั ศัตรูพชื สามารถจัดแบง่ ออกตามลกั ษณะของแหล่งที่ให้กำเนดิ พลังงาน ได้ดังน้ี
2.1 หัวฉีดชนิดใช้แรงดันของเหลว (hydraulic or pressure nozzles)
หวั ฉดี ชนดิ นี้นิยมใช้กันมาก ซง่ึ จะใช้กับเครื่องพ่นสารชนิดต่าง ๆ ทัง้ เครื่องพ่นสารขนาดเล็กที่ไม่ใช้เคร่ืองยนต์และ

เครื่องพ่นสารขนาดใหญ่ชนิดใช้เครื่องยนต์ หรือลากจูงด้วยรถแทรกเตอร์ มีหลักการ คือใช้ความดันซึ่งได้จากของเหลวหรือลม
บังคับให้สารละลายของเหลวไหลผ่านรหู ัวฉีด เมอ่ื ของเหลวผา่ นจากรหู วั ฉีดออกไปจะแตกตวั เปน็ ละอองสารขนาดต่าง ๆ กัน ทั้ง
ขนาดเลก็ และขนาดใหญท่ แ่ี ตกต่างกันมาก ความดันและขนาดของรูหัวฉดี เปน็ ปจั จัยสำคัญควบคุมขนาดของละอองสารท่ีเกิดขึ้น
ถ้าความดนั สูงละอองสารท่ีเกิดขึ้นจะเป็นฝอยละเอียด ตรงกันขา้ มถ้าใช้ความดันต่ำละอองสารทเี่ กดิ ข้ึนจะมีขนาดโต ขนาดของรู
หวั ฉดี ก็เชน่ กัน รูหัวฉีดขนาดเล็ก จะไดล้ ะอองสารท่เี ลก็ ละเอยี ด และถ้ารหู ัวฉีดมขี นาดใหญล่ ะอองสารทไ่ี ด้จะหยาบ

2.1.1 ส่วนประกอบของหัวฉีดชนิดใชแ้ รงดันของเหลว
หัวฉีดชนิดใช้แรงดันของเหลวมีส่วนประกอบใกล้เคียงกันมาก แตกต่างกันในส่วนของปลายหัวฉีด เท่าน้ัน

ชิ้นส่วนต่าง ๆ ประกอบด้วย ตวั หัวฉีด (nozzle body) ตะแกรงกรอง แผน่ กระแสวน (swirl plate or core) (ใช้เฉพาะในหวั ฉีด
แบบรูปกรวย รูหัวฉดี (nozzle tip or orifice) และฝาครอบหัวฉีด (nozzle cap) ตำแหนง่ การประกอบช้ินส่วนตา่ ง ๆ ได้แสดง
ไวใ้ นภาพที่ 1

ภาพท่ี 1 ชิ้นสว่ นต่าง ๆ ของหวั ฉดี ชนดิ ใชแ้ รงดันของเหลว

2.1.2 ชนดิ ของหวั ฉดี แบบใช้แรงดนั ของเหลว
หัวฉีดชนิดใช้แรงดันของเหลวแบ่งเป็น 3 แบบ คือ หัวฉีดแบบรูปกรวย (cone type nozzle) หัวฉีดแบบ

แรงปะทะ (impact type nozzle) และหวั ฉีดแบบรปู พดั (fan type nozzle)
1) หัวฉีดแบบรปู กรวย เป็นหัวฉดี ที่นยิ มใช้กันมากในการป้องกันกำจัดศัตรูพืช ประกอบด้วยช้ินสว่ นสำคัญ 2

ชิ้น คือ รูหัวฉีด ทำด้วยโลหะบาง ๆ เจาะรูขนาดเล็กตรงกลาง และแผ่นทำให้เกิดกระแสวน ทำด้วยโลหะหรือวัสดุแข็งเป็นแผ่น
บาง ๆ หรือเป็นแท่งกลม มีรูหรือร่องเอียงให้ของเหลวไหลผ่านเพื่อให้เกิดการหมุนวนด้านหลังของรหู ัวฉีด และเมื่อผ่านรูหัวฉีด
ออกไปจะมีการกระจายของละอองสารเป็นรูปทรงกรวยกลม ลักษณะการกระจายของละอองสารมีด้วยกัน 2 รูปแบบ เมื่อทำ
การพ่นสารป้องกันกำจัดศัตรูพืช ถ้าพื้นที่ตรงกาลางของรูปกรวยนั้นว่าง เรียกว่า หัวฉีดแบบกรวยกลวง ( hollow cone

252

nozzle) แต่ถ้ารูปกรวยนั้นมีละอองสารกระจายเต็มในวงกลม เรียกว่า หัวฉีดแบบกรวยทึบ (solid cone type) โดยทั่วไปนยิ ม
ใชห้ ัวฉดี แบบกรวยกลวงมากกว่ากรวยทึบเนอื่ งจากสิน้ เปลืองสารป้องกนั กำจัดศตั รูพชื น้อยกว่า หวั ฉีดแบบน้ีมีขนาดของรฉู ีดและ
แผ่นทำให้เกดิ กระแสวนให้เลอื กหลายขนาดเพื่อให้ไดอ้ ัตราการไหลและขนาดของละอองสารที่ต้องการ โดยทั่วไปประสิทธิภาพ
การทำงานของหัวฉดี ชนดิ นจ้ี ะสงู สดุ เม่ือใช้ความดัน ตงั้ แต่ 40-60 ปอนด์ตอ่ ตารางนว้ิ และเน่อื งจากละอองสารสามารถว่ิงเข้าหา
เป้าหมายไดท้ ุกทศิ ทางจงึ นิยมใช้พ่นสารควบคมุ แมลง และสารปอ้ งกันกำจดั โรคพชื

นอกจากหัวฉีดทั้ง 2 แบบที่กล่าวแล้ว มีหัวฉีดแบบรูปกรวยอีกชนิดหนึ่งที่ผลิตมาเพื่อพ่นละอองสารให้สามารถคลุม
พน้ื ที่กวา้ งๆ ได้ เป็นหัวฉีดแบบรูปกรวยท่มี ีมมุ พ่นกว้างกวา่ ปกติ หวั ฉดี ชนิดนใ้ี หม้ มุ พ่นกวา้ งถึง 140 องศา มีวัตถุประสงค์เพื่อลด
การฟงุ้ กระจายของละอองสาร เน่ืองจากละอองสารท่เี กิดขนึ้ มขี นาดใหญก่ วา่ ปกติ (ภาพท่ี 2)

กรวยกลวง กรวยทบึ

ภาพท่ี 2 การกระจายของละอองสารจากหัวฉีดแบบกรวยกลวงและกรวยทบึ

2) หวั ฉดี แบบแรงปะทะ เป็นหวั ฉดี สำหรบั พน่ สารกำจัดวชั พชื โดยเฉพาะ ทำดว้ ยโลหะหรือพลาสตกิ แข็ง เปน็
ชนิ้ เดยี ว มีรขู นาดต่าง ๆ ตรงกลางของเหลวที่ไหลผา่ นรนู ้จี ะปะทะกับแผน่ ก้นั แลว้ กระจายตวั ออกเป็นละอองในลักษณะของรูป
พดั มมี มุ ระหวา่ ง 100-145 องศา ขึ้นอยู่กับความดันทีใ่ ช้ แต่โดยทวั่ ไป หวั ฉีดแบบน้ใี ห้การกระจายของละอองสารกว้างมากกว่า
หัวฉีดชนิดอื่น และใช้ความดันค่อนข้างต่ำประมาณ 5-15 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว เพื่อต้องการให้ได้ละอองขนาดโตจะได้ไม่ปลิวไป
ถูกพชื อืน่ ทอ่ี ยูข่ า้ งเคียง พื้นท่ที ล่ี ะอองสารตกลงจะเปน็ รปู วงรแี คบ ๆ บริเวณปลายทง้ั 2 ข้างจะบานออกเลก็ นอ้ ย (ภาพท่ี 3)

ภาพที่ 3 การกระจายของละอองสารจากหัวฉดี แบบแรงปะทะ

3) หัวฉีดแบบรปู พัด หัวฉีดแบบนี้ทำดว้ ยวัตถุชิน้ เดียว มีลักษณะกลมแบน ตรงกลางเจาะรูเปน็ รูปวงรี เล็ก ๆ
ใหข้ องเหลวไหลผ่าน ของเหลวทไ่ี หลผ่านรหู ัวฉีดด้วยความดนั สูงจะกระทบกัน และแผก่ ระจายออกเป็นรูปพดั โดยมกี ารกระจาย
บนเป้าหมายในลักษณะเรียวหัว-ท้าย (tapered edge pattern) มีความกว้างของมุมที่ของเหลวออกมาอยู่ระหว่าง 65-110
องศา อตั ราการไหลของของเหลวจะมีมากหรือนอ้ ยขนึ้ อยู่กบั ขนาดของรูหัวฉดี และความดนั หัวฉดี ชนิดนีใ้ ช้ในการพน่ สารกำจัด
วัชพืช โดยใช้ความดันต่ำประมาณ 15 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว เพื่อบังคับให้ได้ละอองสารมีขนาดโตจะได้ไม่ปลิวไปถูกพืชข้างเคียง
นอกจากนั้นยังสามารถใช้พ่นสารป้องกันกำจัดแมลงและโรคพืชได้ หรือใช้ในงานทางสาธารณสุขเพื่อพ่นสารกำจัดยุง โดยใช้
ความดนั สงู ขึ้นประมาณ 40-60 ปอนด์ตอ่ ตารางนิว้ ทั้งนีเ้ พอื่ ให้ไดล้ ะอองสารท่เี ล็กละเอยี ด เปน็ ตน้

253

หวั ฉดี แบบรปู พดั มีหลายรูปแบบ ได้แก่ รปู พดั แบบมาตรฐาน (standard fan nozzle) รปู พดั แบบใชค้ วามดันต่ำ (flat
fan low pressure) รูปพัดแบบละอองสารออก 2 ข้าง (twin fan) และรูปพัดแบบที่มีการกระจายของละอองสารสม่ำเสมอ
(even fan spray nozzle) ซึ่งหัวฉีดแบบหลังนี้เหมาะสำหรับการพ่นสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชระหว่างแถวปลูกพืช (band
treatment) หวั ฉดี แบบนม้ี อี ัตราการไหล และมมุ กว้างใหเ้ ลือกใช้หลายขนาด (ภาพที่ 4)

แบบมาตรฐาน แบบให้การกระจายสม่ำเสมอ

ภาพท่ี 4 การกระจายของละอองสารจากหัวฉดี แบบรปู พดั แบบตา่ ง ๆ

1.1.3 การเลอื กใชห้ ัวฉดี ชนดิ ใช้แรงดนั ของเหลว
1) ตามวตั ถุประสงค์การใช้งานและชนิดของสารป้องกนั กำจัดศัตรูพืช
โดยพิจารณาพร้อมกับอุปกรณ์เครื่องพ่นสารทีใช้ และชนิดสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชที่จะทำการพ่น ซ่ึง

รายละเอียดการเลอื กใช้สามารถเลอื กใช้ตามไดต้ ารางท่ี 1

ตารางท่ี 1 การเลือกใชห้ วั ฉีดชนิดใช้แรงดนั ของเหลวกับการพ่นสารปอ้ งกันกำจดั ศตั รูพืชชนิดตา่ ง ๆ

เครอื่ งพ่นสาร สารป้องกันกำจดั ศตั รพู ชื หัวฉีด
ประกอบคานหวั ฉดี สารกำจัดวัชพืช
สารควบคมุ แมลง รปู พดั
สูบโยกสะพายหลงั รปู กรวย
สารปอ้ งกนั กำจดั โรคพชื รปู พดั
สารกำจดั วชั พชื รปู กรวย

สารควบคุมแมลง รปู พัด
สารป้องกันกำจดั โรคพืช แรงปะทะ
รปู กรวย
รปู กรวย

2) อัตราการพ่นสารของหวั ฉีดต่อหนว่ ยเวลา (spray volume per time)
ปัจจัยนี้จะเป็นตัวกำหนดความเร็วของการปฏิบัติงาน ได้แก่ ความเร็วของการเดินพ่น (walking speed)

หรอื ความเร็วของรถแทรกเตอร์ทลี่ ากจูงเคร่ืองพ่นสาร
3) ความกวา้ งของแนวพ่นสาร (swath width)
ปจั จยั นเี้ ปน็ ตัวกำหนดจำนวนแนวของการพน่ สารป้องกันกำจดั ศตั รพู ืช (แนวตอ่ พน้ื ท)่ี แนวพน่ สารทกี่ วา้ ง

254

มาก จำนวนแนวการพ่นสารจะลดลง โดยทั่วไปการกระจายของสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชจะกว้างหรือแคบนั้น ขึ้นอยู่กับแบบ
และชนดิ หัวฉดี ทเ่ี ลอื กใช้ หรือความยาวของคานหัวฉีด (boom & nozzles) หวั ฉีดชนิดใช้แรงดันของเหลวท่ีกลา่ วแล้วข้างต้นให้
การกระจายของของเหลวกว้างหรือแคบแตกต่างกัน ซึ่งตรวจวัดได้จากความกว้างของแนวพ่นสารที่ผ่านพ้นหัวฉีด เรียกว่า มุม
พ่น และระดับความสูงของหวั ฉีดจากเป้าหมาย การเลือกใช้หัวฉีดที่มี มุมพ่นกว้าง จะช่วยเพิ่มการกระจายของละอองสาร และ
พื้นทท่ี ีท่ ำการพ่นสารป้องกันกำจดั ศัตรูพชื ได้มากข้ึน ทำนองเดยี วกันถา้ ยกระดับของหัวฉีดสูงข้ึน ความกว้างของแนวพ่นสารจะ
เพ่ิมขน้ึ ดว้ ย

การเลือกใช้หัวฉีดชนิดใช้แรงดันของเหลวนี้ นอกจากข้อที่ควรพิจารณาดังได้กล่าวแล้ว ยังมีรายละเอียด
ปลีกย่อยท่ีควรพิจารณาอีก ได้แก่ ราคาของหวั ฉดี ตัวแทนจำหนา่ ย หรือ ความสะดวกในการหาซื้อหวั ฉดี มาใช้ เป็นต้น

2.1.4 วัสดทุ ใี่ ชท้ ำหัวฉีดชนิดใชแ้ รงดนั ของเหลว
วสั ดุทใ่ี ช้ทำหวั ฉีดเป็นอีกปจั จัยหน่ึงทีม่ ผี ลกระทบต่อประสิทธิภาพการพ่นสาร และการสญู เสยี สารป้องกันกำจัด

ศัตรูพืช เนื่องจากการสึกกร่อนของหัวฉีดหลังตากการใช้งาน วัสดุที่ใช้ทำหัวฉีดมีหลายชนิดและมีความคงทนต่อการใช้งาน
แตกต่างกัน ได้แก่ เซรามิค สแตนเลส ทองเหลือง พลาสติก และ sintered alumina วัสดุเหล่านี้ ทองเหลืองสึกกร่อนได้ง่าย
ที่สุด สแตนเลสอย่างแขง็ ทนต่อการสึกกรอ่ นไดส้ ูงกวา่ ทองเหลืองและ sintered alumina ทนต่อการสึกกรอ่ นได้ดีที่สุด

ดังนั้นการเลือกใช้หัวฉีด จึงควรพิจารณาถึงวัสดุที่ทำด้วย ทั้งนี้เพราะการสึกกร่อนของวัสดุทำให้ขนาดของรู
หัวฉีดเปลี่ยนไป มีผลให้การกระจายของละอองสารไม่สม่ำเสมอ และอัตราการไหลของหัวฉีดเพิ่มขึ้น ดังนั้นหัวฉีดที่มีการสึก
กร่อนง่ายจำเป็นต้องเปลี่ยนใหม่ยู่เสมอ การตรวจสอบกว่าหัวฉีดที่ใช้สึกกร่อนหรือไม่ และการสึกกร่อนนั้นมากน้อยระดับใด
ตรวจสอบได้โดยใช้วิธีเปรียบเทียบอัตราการไหลของของเหลว ระหว่างหัวฉีดใหม่กับหัวฉีดที่ใช้แล้ว ถ้าอัตราการไหลของ
ของเหลวมากกว่า 10เปอร์เซน็ ต์ ของอตั ราเดมิ ควรเปลีย่ นหัวฉดี ใหม่

2.2 หัวฉีดชนิดใชแ้ รงลม (gaseous nozzles)
หวั ฉีดชนดิ นี้ใชร้ ่วมกบั เครื่องยนต์พ่นสารสะพายหลังชนิดใช้แรงลม ละอองสารเกดิ ขึน้ จากการเคล่ือนทีข่ องมวล 2

ชนดิ ไดแ้ ก่ กระแสลม และของเหลว โดยมหี ลกั การดังนี้ ของเหลวจากถังบรรจุสาร ถูกบังคับใหไ้ หลตามท่อส่งสาร ซ่งึ ปลายทาง
ออกของท่อส่งสารจะโผล่ตรงกลางทางเดินของกระแสลมซึง่ เป่าออกมาด้วย ความเร็วสูง ของเหลวนั้นจะถูกกระแสลมตีให้แตก
ตวั ออกเปน็ ละอองสารขนาดเล็ก และถกู พัดพาไปยังเปา้ หมาย (ภาพท่ี 5) ขนาดของละอองสารจะเล็กหรือโตขึน้ อยู่กบั ความเร็ว
ของลม และอัตราการไหลของของเหลว ถ้ากระแสลมมีความเร็วสูงและอัตราการไหลน้อย ละอองสารจะมีขนาดละเอียดมาก
และตรงกันขา้ มถา้ ความเร็วลมตำ่ อัตราการไหลผ่านหัวฉดี มาก ละอองสารท่เี กิดขน้ึ มขี นาดโตข้นึ ดว้ ย (ภาพท่ี 6)

ภาพท่ี 5 การเกิดของละอองสารจากหัวฉีดชนดิ ใช้แรงลม ภาพบนละอองเกิดจากกระแสลม และใบพัดตีของเหลวให้แตก
กระจาย ภาพลา่ งละอองเกิดจากกระแสลมตขี องเหลวใหแ้ ตกกระจาย

255

ภาพที่ 6 การเกิดของละอองสารท่ขี นาดแตกต่างกนั เน่อื งจากความเร็วกระแสลมและ อัตราการไหลของของเหลวทีผ่ ่านลงในกระแสลม
2.3 หัวฉดี ชนิดใช้แรงเหวยี่ ง (centrifugal nozzles)
หัวฉีดชนิดนี้ได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อให้สามารถผลิตละอองสารที่มีขนาดเล็กและสม่ำเสมอดีกว่าหัวฉีดต่าง ๆ ที่

กล่าวมาแล้ว หลักการทำงานของหัวฉีดประเภทนี้ ได้แก่ ให้ของเหลวจำนวนน้อยไหลลงบนจานหรือตะแกรงลวดทรงกลม
(spinning disc or spinning cage) ที่หมนุ ด้วยความเร็วสูง ของเหลวดงั กล่าวจะถูกสลดั ออกโดยรอบขอบจานทำให้เกิดละออง
สารขึ้น เช่น หัวฉีดของเครื่องพ่นสารแบบจานหมุน (ULVA) ที่ทำงานด้วยแบตเตอรี่ หรือให้ของเหลวไหลผ่านตะแกรงลวดทรง
กลมที่กำลงั หมุนอยูด่ ว้ ยความเร็วรอบสูง ของเหลวจะถูกเหวี่ยงออกมา ตะแกรงจะตีของเหลวน้ันใหแ้ ตกกระจายเป็นละอองสาร
ที่ละเอียดมาก เช่น หัวฉีด micronair ขนาดของละอองสารที่เกิดขึ้นจากหัวฉีดแบบนี้ ขึ้นอยู่ที่ความเร็วรอบของจานหมุน หรือ
ตะแกรงหมุน ถ้าจานหรือตะแกรงหมุนด้วยความเร็วรอบสูง ละอองสารที่เกิดขึ้นจะละเอียดมาก แต่ถ้าความเร็วรอบต่ำจะได้
ละอองสารขนาดโตขน้ึ (ภาพที่ 7)

ภาพที่ 7 การเกิดละอองสารของหัวฉดี ชนดิ ใชแ้ รงเหวย่ี ง และตะแกรงหมนุ

256

3. ประเภทเครอื่ งพ่นสารป้องกนั กำจัดศตั รพู ชื
เครื่องพ่นสารป้องกันกำจัดศัตรูพืช เป็นอุปกรณ์สำคัญ สำหรับกระจายสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชให้คลุมเป้าหมายท่ี

ต้องการ การใช้สารปอ้ งกันกำจดั ศัตรูพืชให้ไดผ้ ลและมีประสิทธิภาพตามวัตถุประสงค์น้ัน ขึ้นอยู่กับปัจจยั ตา่ ง ๆ หลายประการ
รวมทั้งสมรรถนะการทำงานของอุปกรณ์เครื่องพ่นสารด้วย เครื่องพ่นสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชที่ผ ลิตออกจำหน่ายปัจจุบันมี
หลายชนิด มีรูปแบบแตกต่างกันตามลักษณะการใช้งาน เครื่องพ่นสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชสามารถจำแนกตามระบบ การพ่น
สารได้ 2 กลุม่ ไดแ้ ก่

3.1 การพน่ สารทางภาคพ้ืนดนิ (ground application)
การพ่นสารระบบนี้สามารถแบ่งชนิดของเครื่องพ่นตามระบบพลังงานแบบต่าง ๆ ทั้งจากผู้พ่นหรือเครื่องยนต์โดย
อาจจะเป็นเครื่องขนาดเล็กที่สามารถใช้งานโดยคน 1-2 คน และขนาดใหญ่ซึ่งต้องใช้เครื่องยนต์หรือแทรกเตอร์ เป็นต้น ซ่ึง
สามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ดังต่อไปนี้

3.1.1 เคร่อื งพน่ สารป้องกันกำจัดศัตรพู ืชชนดิ ใชแ้ รงคน
เครื่องพ่นสารชนิดนี้เป็นเครื่องพ่นสารขนาดเล็ก ระบบการทำงานของเครื่องพ่นสารอาศัยพลังงาน ไฮดรอลิ

คแบบง่าย ๆ คือ ลูกสูบจะดันของเหลวให้ผ่านรหู ัวฉีด เครื่องพ่นสารชนิดนีบ้ างชนิดไม่มหี ้องเก็บความดัน ของเหลวที่สบู จากถงั
พ่นสารจะถกู บงั คับใหผ้ า่ นออกทางหวั ฉีด โดยลกู สบู ของปั๊มโดยตรง

เครื่องพ่นสารที่ดีกว่าจะมีห้องสำหรับเก็บความดัน ความดันที่เกิดจากปั๊มจะถูกเก็บไว้ในห้องเก็บความดันซึ่งมี
ลิ้นและปะเก็นปิดอยู่ อากาศเป็นส่วนประกอบที่สำคัญที่จะเพิ่มแรงดันในห้องเก็บความดัน ของเหลวในถังไม่สามารถจะเพิ่ม
แรงดันได้ถ้าไม่มีอากาศ สิ่งสำคัญคือ ต้องรักษาระดับของแรงดันไว้โดยการปั๊มอากาศหรือของเหลวเข้าไปในห้องเก็บความดัน
ภายในถังบรรจสุ ารจะมีทอ่ ดูด ปลายท่อจะติดอยู่กับก้นถังบรรจสุ าร แรงดันในถังจะดันของเหลวออกไปทางหวั ฉีดเมือ่ เปิดก๊อก
ปิด-เปิด เครอ่ื งพ่นสารกลุ่มนี้ แบ่งเปน็ 4 ประเภท ดังนี้

• เครื่องพ่นสารแบบสบู ชัก
เครือ่ งพน่ สารแบบน้ีเป็นกระบอกสูบ คล้ายกระบอกสบู รถจักรยาน (ภาพท่ี 8) ทำด้วยโลหะทีท่ นทานต่อ

สารป้องกันกำจัดศัตรูพืช มีอยู่ 2 แบบ คือ แบบสูบจังหวะเดียว (single action) และแบบสูบ 2 จังหวะ (double action)
เครื่องพ่นสารชนิดนไ้ี มม่ ถี ังบรรจสุ ารพร้อมในตวั แต่สามารถใช้ภาชนะอ่ืนแทนได้ เชน่ ถงั น้ำ

ภาพท่ี 8 เครื่องพ่นสารแบบสูบชัก และถังบรรจสุ ารป้องกันกำจดั ศตั รูพืช

เครื่องพ่นสารแบบนี้มขี ายทัว่ ไป ราคาถูกและเหมาะสำหรับพืชขนาดเล็ก เช่น กะหล่ำปลี หอม คะน้าและยาสบู พ่นใน
พืน้ ทขี่ นาดเล็ก และพน่ สารสปั ดาห์ละครง้ั

• เครื่องพ่นสารแบบอดั ลม
เครื่องพ่นสารแบบนี้เป็นรูปทรงกระบอก (ภาพที่ 9) ถังบรรจุสารต้องปิดสนิทสำหรับเก็บอากาศและ

หน้าที่เก็บความดนั เมื่อจะใช้งานควรบรรจุสารของเหลวในถังประมาณ 2 ใน 3 ของถัง อัดอากาศเข้าไปในถงั โดยป๊ัม ทำให้เกิด

257

ความดนั ในถัง เมื่อเปดิ ก๊อก ของเหลวจะถูกดนั ไปท่หี ัวฉดี เม่ือความดนั ในถังบรรจุสารลดลงผใู้ ช้ต้องอดั ลมเข้าไปในถังบรรจุสาร
ใหม่ เครื่องพ่นสารแบบนี้เหมาะสำหรับใช้กบั พืชขนาดเลก็ เช่น ผัก พชื ไร่บางชนิดทมี่ ีพ้ืนทปี่ ลูกประมาณ 2-3 ไร่

ภาพท่ี 9 เครื่องพ่นสารแบบชนิดถังอดั ลม แบบทำด้วยโลหะ (ซา้ ย) และพลาสติก (ขวา)
เครื่องพ่นสารแบบนี้มีอายุการใช้งานประมาณ 3 ปี แต่ถ้าใช้ประจำติดต่อกัน อายุการใช้งานอาจสั้นกว่าน้ี และหากคิด
ค่าใชจ้ า่ ยในการพน่ สารแตล่ ะครั้ง พบว่า เปน็ 2 เท่า ของเครื่องพ่นสารแบบสูบโยก ถ้าจะยดื อายุการใช้งานควรมีการบำรุงรักษาอย่าง
ดี อย่างไรก็ตาม ไม่แนะนำให้ใชใ้ นการเกษตร เพราะราคาอยู่ในระดบั ใกลเ้ คยี งกับเครื่องพน่ สารแบบสบู โยก ซึ่งมีประสิทธภิ าพดีกว่า

• เครอื่ งพ่นสารแบบสบู โยกสะพายหลงั
เครื่องพ่นสารแบบแบบสูบโยกสะพายหลงั (ภาพที่ 10) ถังบรรจุสารมคี วามจุ 10-20 ลิตร มีสายสะพาย

2 เส้น ตัวถังบรรจุสารทำด้วยสแตนเลส หรือพลาสติกอย่างแข็ง ปั๊มทำงานโดยการโยกไปข้างหน้า มีห้องเก็บความดันแยกออก
จากกนั

ภาพท่ี 10 เครื่องพน่ สารแบบเครอื่ งพ่นสารแบบแบบสบู โยกสะพายหลงั
เครื่องพ่นสารแบบนี้ อายุการใช้งานนานกว่า 6 ปี สามารถใช้พ่นสารในพื้นที่ขนาดใหญ่ได้อย่างต่อเนื่องตลอดฤดู และ
ในปัจจบุ ันมรี าคาไม่แพง จงึ เป็นที่นยิ มของเกษตรกร

258

3.1.2 เครอื่ งพน่ สารปอ้ งกนั กำจดั ศตั รูพชื ชนิดใชเ้ ครอ่ื งยนต์
เคร่อื งพ่นสารป้องกนั กำจัดศัตรูพืชชนดิ นี้ขนาดและรปู แบบต่าง ๆ กนั ต้ังแตข่ นาดเลก็ สามารถทำงานได้ด้วยคน

เดียว หรือขนาดกลางต้องใช้สองคนหาม หรืออาจจะติดตั้งบนล้อเข็น และขนาดใหญ่ติดตั้งบนรถแทรกเตอร์ แบ่งออกเป็น 2
ชนดิ ใหญ่ ๆ คอื

• เคร่อื งยนต์พน่ สารแบบใชแ้ รงดนั น้ำ (power-operated hydraulic sprayers) แบง่ ออกเปน็
1) เคร่อื งยนตพ์ น่ สารสะพายหลงั แบบใชแ้ รงดนั นำ้ (motorised knapsack power sprayer)
ถังบรรจุสารมีขนาดตั้งแต่ 12-25 ลิตร ทำให้สามารถสะพายหลังได้ ส่วนใหญ่เป็นเครื่องยนต์ 2

จังหวะ ซึ่งจะเป็นต้นกำลังให้ปั๊มทำงาน หัวฉีดเป็นชนิดกรวยกลวง อาจจะมี 1-4 หัว ติดอยู่บนก้านฉีดซึ่งมีก๊อกปิด-เปิด
เครื่องยนต์พ่นสารชนิดนี้ใช้ในสวนผัก ข้าวและพืชไร่ที่ปลูกในพื้นที่ไม่มาก เนื่องจากจำเป็นต้องพ่นสารแบบผสมน้ำมาก ทำให้
ตอ้ งเสยี เวลาในการเตมิ สารหลายครง้ั เครื่องยนต์พ่นสารชนดิ นยี้ ังสามารถใช้ได้กบั ไม้ผลทม่ี ที รงพุ่มขนาดเล็ก (ภาพที่ 11)

ภาพท่ี 11 เคร่อื งยนตพ์ น่ สารสะพายหลังแบบใช้แรงดันน้ำ
2) เครือ่ งยนต์พ่นสารแบบใชแ้ รงดันนำ้ สงู (motorised high pressure pump sprayer)

เครื่องยนต์พ่นสารชนิดนี้มีขนาดกลาง โดยใช้สองคนหาม ทำการติดตั้งบนล้อเข็นรถยนต์ หรือรถ
แทรกเตอร์ คือ ใช้เครื่องยนต์ซึ่งมีกำลังขนาดต่าง ๆ เป็นต้นกำลังฉุดปั๊มให้ดูดสารป้องกันกำจัดศัตรูพืช จากถังบรรจุสารแล้ว
ส่งไปยังหัวฉีด อาจมี 1-2 หัว โดยส่วนมากจะเป็นหัวฉีดแบบกรวยกลวงสามารถปรับมุมพ่นได้ นอกจากนี้สามารถปรับใช้กับ
อุปกรณป์ ระเภทคานและหัวฉีด (boom and nozzles) ทง้ั นหี้ ัวฉีดท่ใี ช้อาจจะเป็นแบบกรวยกลวงหรือรปู พัด ขึ้นอยู่กับศัตรูพืช
ทจ่ี ะพ่นป้องกนั กำจัด เคร่ืองยนตพ์ น่ สารชนิดน้ีเหมาะสมกับการพ่นไม้ผลทุกขนาด ข้าวและพืชไร่ทป่ี ลูกในพน้ื ท่ีมาก ๆ (ภาพที่ 12)

ภาพท่ี 12 เครื่องยนตพ์ น่ สารแบบใชแ้ รงดนั นำ้ สงู ประเภทสองคนหามและตดิ ต้ังลอ้ เข็น

259

• เครื่องยนตพ์ น่ สารแบบใชแ้ รงลม (air-carrier sprayers) แบ่งออกเปน็
1) เครอื่ งยนตพ์ น่ สารสะพายหลังแบบใช้แรงลมขนาดเล็ก
เครอ่ื งยนตพ์ น่ สารชนิดนี้มถี ังบรรจุสารทำดว้ ยพลาสตกิ มีขนาดตง้ั แต่ 10-12 ลิตร เมื่อบรรจสุ ารเต็มมี

นำ้ หนักรวมประมาร 20 กโิ ลกรัม ทำใหส้ ามารถสะพายหลังได้ เคร่อื งยนต์เป็นแบบ 2 จงั หวะ ขนาดปรมิ าตรกระบอกสูบ 35-70
ลูกบาศก์เซนติเมตรระบายความร้อนด้วยอากาศ เครื่องยนต์พ่นสารชนิดนี้สามารถใชไ้ ด้ดกี ับพืชไร่ทั่ว ๆ ไป พืชผัก ข้าว และไม้
ผลที่มีความสงู และทรงพุ่มไมใ่ หญ่มากนัก หลักการทำงานของเคร่ืองยนตพ์ ่นสารชนิดนี้คือ ให้ของเหลวหยดลงสูก่ ระแสลมที่ถูก
ผลติ จากเคร่ืองยนต์ ทม่ี ีความเรว็ สงู มากตัง้ แต่ 140 กโิ ลเมตรต่อช่ัวโมงขนึ้ ไป ไปกระแทรกหรือตีของเหลวเหล่าน้ันให้เป็นละออง
สารขนาดตั้งแต่ 50-120 ไมโครเมตร และขณะเดียวกัน กระแสลมจะช่วยพัดละอองสารเข้าไปสู่เป้าหมายที่จะพ่น ขนาดของ
ละอองสารจะขึ้นอยู่กับความเร็วของกระแสลมและอัตราการไหลของของเหลว กล่าวคือ ถ้าหากกระแสลมแรงมากและอัตรา
การไหลน้อยละอองสารจะเล็กละเอียด ถ้าหากกระแสลมลงและอัตราการไหลมากละอองสารจะมีขนาดโตและหยาบ ดังน้ัน
ขณะพ่นสารจำเป็นต้องเร่งเครื่องยนต์ให้ทำงานเต็มที่เพื่อให้ได้รอบสูงสุด ซึ่งจะอยู่ประมาณ 6,000-7,500 รอบต่อนาที ทำให้
ความเร็วและปริมาตรของกระแสลมถูกผลิตออกมาสูงสุดและมีความสม่ำเสมอ เน่อื งจากการทำงานของเครื่องยนต์พ่นสารชนิด
น้ีจะผลิตลมบางส่วนเข้าไปในถังบรรจุสารเพื่อดันของเหลวไปสู่หวั ฉีด ดังนัน้ ขณะทำการพ่นสารจำเปน็ ต้องปิดฝาถังบรรจุสารให้
แน่น เพื่อมิให้ลมที่เกิดขึ้นออกจากถังบรรจุสารเป็นผลให้ขณะพ่นสารสามารถยกหัวฉีดให้สูงกว่าระดับของของเหลวในถังบรรจุ
สารได้ จากเหตุผลดังกล่าวเมื่อต้องการใช้เครื่องยนต์พ่นสารชนิดนี้ให้มีประสิทธิภาพสงู สุด จำเป็นต้องเร่งเครื่องยนต์ให้ได้รอบ
สูงสดุ และต้องปิดฝาถงั บรรจสุ ารให้แน่น และหม่นั ตรวจสอบรอยรั่วหรอื ปะเก็นในฝาถงั (ภาพท่ี 13)

ภาพที่ 13 เครอื่ งยนต์พน่ สารสะพายหลงั แบบใช้แรงลมขนาดเล็ก
2) เคร่ืองยนต์พน่ สารแบบใชแ้ รงลมขนาดใหญ่ (air shear and air blast sprayer)

เคร่ืองยนต์พ่นสารชนดิ นี้ออกแบบโดยอาศัยลมจากใบพัดเปน็ ตัวพดั พาละอองสารท่ีเกิดจากการ
กระแทรกหรอื ตหี ยดสารละลายที่ออกมาจากหวั ฉดี ไปสู่เป้าหมายเปน็ เคร่ืองพ่นสารท่ีมีขนาดใหญ่ จึงต้องใชล้ ากจูงหรือติดต้ังบน
รถแทรกเตอร์ หลักการในการทำใหเ้ กดิ ละอองสารมีอยู่ 2 วิธี คือ วิธีการแรก ใช้กระแสลมซ่ึงเกิดจากการทำงานของใบพัด เป่า
ด้วยความเร็วสูงมากกวา่ 300 กิโลเมตรต่อช่วั โมง กระแทกหรือดี (shear) สารละลายทไ่ี หลออกมาจากรหู วั ฉีดให้เปน็ ละอองสาร
และกระแสลมนั้นจะพัดพาละอองสารเข้าไปสูเ่ ป้าหมาย ได้แก่ เครื่องยนต์พ่นสารแบบใช้แรงลมขนาดใหญ่ที่เรียกกว่าแบบแอร์
เชยี ร์ (air-shear sprayer) ในวธิ กี ารที่ 2 นั้น มีหลักการทำงานแตกต่างจากเครื่องยนต์พน่ สารแบบแอร์เชียร์ ในแง่ทว่ี ่าทำให้เกิด
ละอองสารก่อนโดยใช้หัวฉีดแบบใช้แรงดันน้ำ หรือจากหัวฉีดแบบจานหมุน ละอองสารที่ได้นี้จะถูกกระแสลมจากใบพัดที่มี

260

ปริมาตรสูงแต่มีความเร็วต่ำพัดพาเข้าไปสู่เป้าหมาย ได้แก่ เครื่องยนต์พ่นสารแบบใช้แรงลมขนาดใหญ่ที่เรียกกว่า แบบ
แอร์บล๊าสท์ (air-blast sprayer) (ภาพท่ี 14)

ละอองสารทไี่ ดจ้ ากการพ่นด้วยเครื่องยนต์พน่ สารแบบแอรบ์ ลา๊ สท์ จะมีขนาดเลก็ และสมำ่ เสมอมากกวา่ ละอองที่ได้จาก
เครื่องพ่นสารแบบแอร์เชียร์ ในปัจจุบันได้มีการพัฒนาและออกแบบเครื่องยนต์พ่นสารแบบใช้แรงลมขนาดใหญ่น้ี เพื่อใช้ติดตงั้
บนรถแทรกเตอร์และในเรือมากยิ่งขึ้นในประเทศไทย

หลักการของเครื่องยนต์พ่นสารแบบใช้แรงลมขนาดใหญ่ คือ ผลักดันมวลของอากาศที่อยู่ภายในทรงพุ่มของต้นไม้ให้
ออกไปและแทนทดี่ ้วยมวลของกระแสลมที่ถูกผลิตออกมาจากเครอ่ื งยนต์พน่ สาร ดังน้ันจึงพบวา่ มปี ัจจัยอยหู่ ลายประการท่ีทำให้
ประสิทธิภาพของการแทรกซอนหรือการแพร่กระจายของละอองสารเม่ือพ่นด้วยเครื่องพ่นสารชนดิ นี้ด้อยลง อาทิเช่น ปริมาตร
ของลมไมเ่ พียงพอกบั ขนาดและความหนาแน่นของทรงพุ่ม ความเร็วของการพ่นสารเร็วหรือช้าเกินไป การจัดตำแหน่งหรือเลือก
ขนาดของหวั ฉีดไม่เหมาะสม ตลอดจนการติดต้งั เครื่องบังคับกระแสลมไม่เหมาะสมกบั ความสูงของพืชท่จี ะพ่น การพ่นสารด้วย
เครื่องยนต์พ่นสารชนิดนี้ มักใช้พ่นสารแบบใช้น้ำน้อยแต่สามารถปรับให้พ่นแบบใช้น้ำมากได้ตามต้องการ เนื่องจากหัวฉีดมี
หลายขนาดและสามารถปิด เปดิ ตำแหนง่ ต่าง ๆ ไดท้ ุกหัว เคร่ืองยนต์พ่นสารชนิดนี้เหมาะสมกบั การพ่นสารกับไมผ้ ลขนาดใหญ่ท่ี
ปลูกในพ้นื ที่มาก ๆ ตลอดจนพืชทป่ี ลูกเปน็ แถว

ภาพที่ 14 เคร่ืองยนต์พ่นสารแบบใช้แรงลมขนาดใหญ่ เคร่ืองยนต์พน่ สารแบบแอร์บล๊าสท์ (ซา้ ย) และแบบแอร์เชียร์ (ขวา)

• เครอื่ งพน่ สารป้องกันกำจดั ศัตรพู ืชแบบจานหมุน
เครื่องพ่นสารแบบจานหมุนหรือเครื่องพ่นสารซีดีเอ (CDA- controlled droplet applicator) (ภาพที่

15) เป็นเครื่องพ่นสารชนิดหนึ่งที่เหมาะสำหรับการพ่นสารป้องกันกำจัดศัตรูพืช โดยเฉพาะวิธีการพ่นสารแบบน้ำน้อย (low
volume application) และแบบไม่ผสมน้ำ (ultra low volume application) นำมาใช้ทดแทนเคร่ืองพ่นสารแบบสบู โยกชนิด
ต่าง ๆ เครอ่ื งพ่นสารชนดิ นสี้ ามารถนำมาใชพ้ น่ สารควบคุมแมลงและกำจัดวัชพชื ได้ดี

261

ภาพที่ 15 เคร่ืองพ่นสารแบบจานหมุน ชนิดใช้ควบคมุ แมลง (ซา้ ย) และชนดิ ใช้ควบคมุ วัชพชื (ขวา)
3.2 การพน่ สารทางอากาศ (aerial application)
ในปจั จุบนั ประเทศไทยใช้อากาศยานไร้คนขบั (UAV) มาใชง้ านดา้ นอารักขาพืชที่จะกลา่ วถึงต่อซึง่ แบง่ ตามลกั ษณะการ
ใชง้ านออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ โดรน และเฮลิคอปเตอร์แบบไร้คนขบั โดยมีหลักการทำงานและข้อจำกัดแตกตา่ งกนั อย่าง
ดงั น้ี
3.2.1 โดรน ในระยะแรกไดร้ บั การออกแบบให้มรี ูปร่างคล้ายกบั เครื่องบนิ แตไ่ มม่ ีคนขบั และได้รบั การพัฒนาจนมาถึง
ปัจจุบัน โดรนจึงมีขนาดเล็กลง สามารถขึ้น-ลงในแนวตั้งได้ ยุคแรก ๆ นั้น นำโดรนมาใช้เพื่อปฏิบัติการทางทหารและเป็น
เครื่องมือสอดแนมข้าศึกโดยการติดกล้อง หรืออาจใช้เป็นอุปกรณ์ลอบสังหาร ในต่างประเทศเริ่มนำโดรนมาใช้เพื่อการเกษตร
บา้ งแลว้ ไม่วา่ จะเปน็ การพ่นสารป้องกันกำจดั ศตั รพู ืช หวา่ นเมลด็ พนั ธ์ุพืช หวา่ นป๋ยุ (ภาพท่ี 16) การตรวจสอบพ้ืนที่เพาะปลูก
เพื่อวิเคราะห์หาการเจริญเติบโตของพืชในแต่ละจุด การถ่ายภาพทางอากาศโดยใช้ระบบ GPS ในการหาพิกัดต่าง ๆ ออกมา
แลว้ นำคา่ ที่ได้มาวิเคราะห์เพ่ือรายงานหรือรอรบั คำส่งั ต่อไป โดยทว่ั ไป โดรนจะมี 1 ใบพดั 4 ใบพัด หรือ 8 ใบพัด ข้ึนอยู่กับการ
ออกแบบของผู้ผลิต

ภาพที่ 16 โดรนพ่นสารป้องกันกำจัดศัตรูพชื
อย่างไรก็ตาม โดรนทุกชนิดที่จะนำมาใช้พ่นสาร ได้รับการออกแบบให้มีถังบรรจุน้ำและสายยางต่อลงไปเพื่อพ่นเป็น
ละอองน้ำลงบนต้นพชื มกี ลอ้ งตดิ เพื่อถ่ายภาพทางอากาศ และเซนเซอร์เพ่ือวัดความชื้นของอากาศ โดรนบางรุ่นจะมีระบบล็อก

262

ความสูง ระบบป้องกันการหลงทางที่สามารถโปรแกรมให้บินกลับมาตำแหน่งเดิมได้ การควบคุม มีทั้งควบคุมด้วยมือ หรือ
โปรแกรมให้โดรนทำงานอัตโนมัติ สำหรับประเทศไทย นำโดรนมาใช้เพื่อประโยชน์ในด้านการพ่นสารป้องกันกำจัดศัตรพู ืช ปุ๋ย
น้ำ อาหารเสริม เป็นตน้

3.2.2 เฮลิคอปเตอร์แบบไร้คนขับ นอกจากโดรนแล้ว ยังมีเทคโนโลยีเฮลิคอปเตอร์แบบไร้คนขับสำหรับใช้พ่นสาร
การให้ปุ๋ย และการหว่านเม็ดพันธุ์ ปัจจุบัน เฮลิคอปเตอร์แบบไร้คนขับที่มีการนำเข้ามาใช้ในประเทศไทย ได้แก่ เฮลิคอปเตอร์
แบบไร้คนขับของบริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด รุ่น Yamaha R-Max (ภาพที่ 17) เครื่องรุ่นน้ี ตัวเครื่องมีน้ำหนักรวม
ประมาณ 70 กิโลกรัม มีถังบรรจุสาร 2 ข้าง ข้างละ 8 ลิตร บินสูงได้ถึง 400 เมตร และบินได้นานถึง 2 ชั่วโมง โดยใช้น้ำมัน
เชื้อเพลิงประมาณ 8 ลิตรต่อการบิน 1 ครั้ง จุดเด่นของ Yamaha R-Max คือ ความสามารถในการควบคุมตำแหน่งความสูงท่ี
ถูกต้องแมน่ ยำและความมีเสถียรภาพของอากาศยาน มีความแม่นยำสูงในการหว่านเมล็ดพชื การพน่ ป๋ยุ และการพน่ สารป้องกัน
กำจัดศัตรูพชื ช่วยประหยดั คา่ ใช้จ่าย ลดต้นทุนการผลติ ลดความเส่ยี งในการสมั ผสั สารของผปู้ ฏบิ ตั งิ าน

ภาพที่ 17 เฮลิคอปเตอร์แบบไร้คนขับ ของบริษัท ไทยยามาฮา่ มอเตอร์ จำกัด

อยา่ งไรกต็ าม ปจั จุบนั ยังขาดงานวิจัยในหลายๆ ประเด็นในเรอ่ื งประสิทธภิ าพ การปลิว รวมถึงสูตรของสารที่เหมาะสม
ในการนำมาใช้พ่นด้วยโดรนและเฮลิคอปเตอร์แบบไร้คนขับ ในอนาคตมีความจำเป็นต้องศึกษาและทดสอบก่อนที่จะแนะนำสู่
เกษตรกรและผ้เู กย่ี วข้อง ท่ีนอกจากน้จี ำเปน็ อยา่ งยิ่งท่ีต้องมกี ฎหมายควบคมุ การใชง้ าน รวมถงึ ผทู้ ่ีจะนำโดรนและเฮลิคอปเตอร์
แบบไร้คนขับไปใช้ ต้องได้รับการฝึกอบรมและได้รับใบอนุญาตจากหน่วยงานที่รับผิดชอบ เช่น สำนักงานการบินพลเรือนแห่ง
ประเทศไทย กรมวิชาการเกษตร สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม
แหง่ ชาติ เปน็ ตน้ เพอ่ื ปอ้ งกันปัญหาท่จี ะตามมา ทงั้ เรื่องประสทิ ธภิ าพและความปลอดภัยต่อมนษุ ยแ์ ละส่งิ แวดลอ้ ม

เทคนิคการพน่ สารด้วยโดรนและเฮลิคอปเตอร์แบบไร้คนขบั
การพ่นด้วยโดรนและเฮลิคอปเตอร์แบบไร้คนขับ เป็นการพ่นในระบบน้ำน้อยมาก และเป็นการพ่นสารทางอากาศ
ดังน้นั กอ่ นการพน่ สารในสภาพไร่จำเปน็ ต้องพจิ ารณาในหัวขอ้ ตา่ ง ๆ ดังนี้
1. การเลือกสูตรของสารท่ีจะนำมาใช้พ่น (formulation) จำเป็นต้องเปน็ สารทมี่ ีข้อมลู ไดร้ บั
คำแนะนำหรือผ่านการทดสอบเรือ่ งความเป็นพิษต่อพืชเบื้องต้นก่อนที่จะนำมาใช้พ่นสาร สำหรับสูตรของสารบางสูตรที่มีความ
เสี่ยงในเรื่องความเป็นพิษต่อพืช เช่น สูตร EC (Emulsifiable Concentrate) ที่เป็นสูตรชนิดน้ำมันเข้มข้น หรือสูตร (WP
Wettable powder) ซงึ่ เป็นสูตรชนิดผงผสมน้ำ นอกจากนส้ี ตู ร WP ยังมคี วามเสย่ี งในการก่อให้เกดิ การตกตะกอน จนทำให้อุด
ตนั หัวฉดี หรอื เกาะตัวเปน็ ชนั้ จนไมส่ ามารถพ่นสารละลายออกมาได้
2. เนื่องจากการพน่ ดว้ ยโดรนเปน็ การพน่ แบบน้ำนอ้ ยมาก ดังนัน้ การผสมสารจำเปน็ ตอ้ งคำนวณ

263

ปริมาณสารฆา่ แมลงใหเ้ หมาะสม ถ้าหากเกษตรกรต้องการผสมสารเพ่ือป้องกันกำจดั หนอนใยผักดว้ ยโดรนในคะนา้ ในพืน้ ที่ 1 ไร่
เกษตรกรเลือกที่จะใชส้ าร Bacillus thuringiensis ดังนน้ั เกษตรกรตอ้ งคำนวณปริมาณสารตามข้ันตอนดงั นี้

จากคำแนะนำของกรมวชิ าการเกษตร การพ่นสารด้วยเคร่ืองพ่นสารแบบแรงดันนำ้ สูงนั้นจะใช้อตั ราพ่นประมาณ 100
ลิตรต่อไร่ ในคะน้าอายุประมาณ 24 วัน และอัตราการใช้สาร Bacillus thuringiensis subsp. kurstaki (แบคโทสปิน-เอฟ-ซี)
อัตราแนะนำที่ 60 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร ดังนั้นใน 1 ไร่ จะใช้น้ำ 100 ลิตร และใช้สาร 300 มิลลิลิตรต่อไร่ ซึ่งหากจะใช้สาร
ชนิดนี้พ่นด้วยโดรนที่ใช้อัตราพ่นหรือน้ำเพียง 3.5 ลิตรต่อไร่ ก็ต้องผสมสารในอัตราเดียวกันคือ 300 มิลลิลิตร ผสมในน้ำ 3.5
ลิตร จึงจะได้เนื้อสารทีเ่ ท่ากัน ดังนั้นการพ่นแบบน้ำน้อยมากด้วยโดรนเป็นการพ่นทีล่ ดปริมาณน้ำเท่านั้นไม่ได้เป็นการพ่นที่ลด
ปริมาณสารป้องกันกำจดั แมลงลง ยงั คงตอ้ งใช้เทา่ กบั การพน่ แบบแรงดนั น้ำสูง

3. สภาพอากาศท่เี หมาะสมในการพ่น การพ่นด้วยโดรนควรพ่นในช่วงเวลาเชา้ หรือเย็นก่อนพลบค่ำ
ไม่พน่ เมอื่ อุณหภูมิสงู มากเกิน 38 องศาเซลเซยี ส หรอื ในช่วงทีม่ แี ดดจดั เนื่องจากจะมผี ลทำให้ละอองสารเกิดการระเหยก่อนถึง
เป้าหมายได้ รวมทั้งไม่พ่นเมื่อลมพัดแรงตลอดเวลาหรือพ่นในช่วงที่ความเร็วลมเกิน 3 เมตรต่อวินาที ซึ่งจะมีผลทำให้เกิดการ
ปลิวของละอองสารไปในพ้ืนทีน่ อกเปา้ หมายหรือปลวิ เขา้ สผู่ ปู้ ฏิบตั งิ านได้ นอกจากนยี้ งั ต้องคำนงึ ถึงความช้นื โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
สารชีวภัณฑ์ท่เี ป็นสิง่ มชี วี ติ

4. ความปลอดภัยในการใช้สาร การพน่ ด้วยโดรนไมว่ ่าจะเปน็ การพ่นด้วยสารชวี ภณั ฑ์หรือสารเคมี
สิ่งที่จะต้องคำนึงถึงเสมอในการปฏิบัติงานคือความปลอดภัยในการใช้สาร ทั้งนี้นอกจากจะเพื่อความปลอดภัยต่อผู้ปฏิบัติงาน
แล้ว ยังต้องคำนึงถึงบริเวณที่ไม่ใช่เป้าหมายในการพ่น รวมถึงสภาพแวดล้อมในพื้นที่ท่ีทำการพ่นสารด้วย สำหรับหลักปฏิบัติที่
เหมาะสมเรื่องของความปลอดภัยมดี ังน้ี

4.1 ความปลอดภัยกอ่ นและระหวา่ งการทำงาน
1) สำรวจพืน้ ที่ทจี่ ะทำการพ่นว่ามีอุปสรรคในการบนิ หรอื ไม่ เช่น ตน้ ไม้ใหญ่ เสาไฟฟ้า หรือสิง่
ปลกู สร้าง เปน็ ตน้
2) พิจารณาคุณสมบัติสารทีจ่ ะพ่น ใช้กับศตั รพู ชื ชนิดใด อตั ราการใช้ คำแนะนำตา่ ง ๆ ตลอดจน
คำเตือนขา้ งฉลาก
3) ตรวจสอบสภาพอากาศก่อนพ่นสาร
4) ตรวจสอบพน้ื ท่ใี กล้เคียงทอ่ี าจไดร้ บั ผลกระทบ เชน่ ฟารม์ ปศสุ ตั ว์ แหลง่ เลี้ยงผง้ึ บอ่ เลยี้ งปลา
พนื้ ทีป่ ลูกหม่อน เป็นต้น
5) ตรวจสอบพ้ืนที่ใกล้เคียงว่าเป็นแหลง่ ปลกู พืชอาหารท่ีเปน็ พืชบรโิ ภคสดหรอื ไม่
6) ตรวจสอบพืน้ ท่ใี กลเ้ คียงวา่ เปน็ พน้ื ท่ีสาธารณะหรอื ทอ่ี ยู่อาศัยหรือไม่ เช่น โรงเรยี น
สวนสาธารณะ วดั แหล่งน้ำสาธารณะ เป็นต้น
7) ควรพ่นในระยะความสูงทแ่ี นะนำ คือ 1-3 เมตร เหนือดน้ พชื
8) ควรระมัดระวงั ไมใ่ ห้การฉีดพ่นกระเดน็ หรือปลวิ ไปยงั ต้นพืชอื่น ๆ ทีอ่ ยู่นอกเหนือพนื้ ทเ่ี ป้าหมาย
9) ควรตดิ ตัง้ ปา้ ยในจุดสำคัญ ๆ เพ่ือแจ้งให้บคุ คลทั่วไปและชมชมุ รอบดา้ นทราบถึง กำหนดการการฉีดพ่น
10) ผูป้ ฏิบัตงิ านจะตอ้ งสวมอุปกรณป์ อ้ งกนั ตลอดเวลาทด่ี ำเนินการฉีดพ่น
11) สารปอ้ งกนั กำจดั ศตั รพู ืชที่จะนำมาใช้ฉีดพ่นจะต้องบรรจใุ ห้มิดชิดระหวา่ งการขนส่ง
12) ผู้ปฏิบัติงานจะต้องเตรียมอุปกรณ์ สำหรับเหตุฉุกเฉินและปฐมพยาบาลให้มีพร้อมใช้ระหว่างการฉีดพ่นสาร
ปอ้ งกนั กำจดั ศัตรูพืช
13) ควรจัดเตรียมวัสดุที่ช่วยดูดซึมได้ เช่น ขี้เลื่อยหรือทรายเม็ดละเอียด ไว้ให้พร้อมเพื่อช่วยในกรณีที่เกิดการรั่ว
หรือหก และควรจดั เตรยี มนำ้ สะอาดไวใ้ ห้พร้อมตลอดเวลา
4.2 ความปลอดภยั หลงั การทำงาน

264

1) ล้างภาชนะบรรจุสารท่ีใช้แลว้ 3 ครั้ง นำนำ้ จากการล้างใส่ผสมลงในถังพน่
2) เจาะทำลายภาชนะบรรจทุ ี่เป็นพลาสตกิ เพอื่ ไม่ให้มกี ารนำไปใชใ้ หม่
3) เก็บรวบรวมภาชนะบรรจุไว้ในสถานท่เี ก็บที่มดิ ชิด กอ่ นนำไปทำลาย โดยกระบวนการจดั การท่ีเหมาะสมตอ่ ไป
4) ไมท่ ้ิงภาชนะบรรจสุ ารฯ ลงในแหล่งน้ำหรือแปลงปลูก
5) หลังการพน่ สาร ตอ้ งอาบนำ้ ชำระล้างร่างกาย เปลย่ี นเส้ือผา้ ทุกคร้ัง
6) ห้ามลา้ งอุปกรณใ์ นการฉีดพน่ รวมถึงอุปกรณป์ อ้ งกนั ท่ีสวมใส่ใกลแ้ หลง่ น้ำ
7) ตอ้ งจดั เกบ็ อปุ กรณท์ ่ีเกย่ี วขอ้ งแยกจากอุปกรณ์ทางการเกษตรอน่ื ๆ ในที่ปลอดภยั
8) หลีกเล่ียงและแจ้งผู้อน่ื ไม่ใหเ้ ขา้ ไปในบริเวณที่พน่ สาร
4. การใช้เครอ่ื งพ่นสารปอ้ งกนั กำจัดศัตรพู ืช
การใช้เครอ่ื งพ่นสารป้องกนั กำจดั ศตั รพู ืชให้เกดิ ประสิทธิภาพสงู สุดและผูใ้ ชป้ ลอดภยั ควรปฏิบัตติ ามข้ันตอน ดงั นี้
1. สวมเส้อื ผา้ และอุปกรณป์ ้องกนั พิษจากสารเคมี และตอ้ งแนใ่ จวา่ มีน้ำเพียงพอสำหรบั ชำระล้างรา่ งกาย
2. เตรียมภาชนะสำหรับใช้ผสม เชน่ กรวย ตะแกรงกรอง ไมส้ ำหรับกวนสารปอ้ งกนั กำจัดศตั รูพืช และถว้ ยตวง
3. ผสมสารปอ้ งกนั กำจัดศัตรูพืชในถงั ผสมด้วยอตั ราส่วนท่ีถกู ต้อง คนให้เขา้ กนั แลว้ เทใส่ถงั เคร่ืองพน่ ดว้ ยการใช้กรวย
และตะแกรงกรอง
4. ตรวจดวู ่าถงั บรรจสุ ารและข้อต่อตา่ ง ๆ ร่วั หรอื ไม่ ปิดฝาถังใหแ้ น่น
5. เรม่ิ พน่ จากด้านใต้ลมของไร่ หนั หวั ฉดี ไปทางใต้ลม
6. เดนิ ต้ังฉากกบั ทศิ ทางลมเท่าท่ีจะทำได้
7. ทำการพ่นไปทางใตล้ มอย่าพน่ ไปขา้ งหน้า และเม่ือสุดพื้นทีจ่ ะต้งั ต้นแนวใหม่ หนั หวั ฉีดไปทางใต้ลมเชน่ กนั
8. ถา้ ลมเปลย่ี นทศิ ทางในขณะพ่น จะต้องหยุดพ่น ทำเคร่ืองหมายไว้ทีแ่ ถวพ่นครง้ั สุดท้าย และเริม่ ทำการพ่นใหมจ่ าก
แถวแรกของแปลงทศิ ทางใต้ลมจนกระท่ังถึงท่ที ำเครือ่ งหมายที่ทำไว้
5. การเก็บรกั ษาเคร่อื งพน่ สารปอ้ งกนั กำจัดศตั รูพืช
เคร่ืองพน่ ทใ่ี ชส้ ม่ำเสมอ ควรทำการดแู ลก่อนเก็บรักษาภายหลงั สิน้ สดุ การใชง้ าน ซง่ึ มขี ้ันตอนการปฏิบตั ิ ดังน้ี
1. ทำความสะอาดเครื่องพ่นให้ท่ัว
2. สำหรับเครื่องพน่ ท่มี ีปม๊ั และลกู สบู ถอดปมั๊ ลกู สบู ห้องเก็บความดนั ลน้ิ ลกู ปืน ถ้าลูกสูบแยกจากห้องเก็บความดันให้
ถอดแยกออกมา ปลอ่ ยใหแ้ หวนแหง้ แล้วทาจารบี ลา้ งหอ้ งเกบ็ แรงดันด้วยนำ้ สะอาด ปล่อยให้แห้งประกอบเข้าดว้ ยกัน
3. ทาจารบีตามรอยต่อของด้ามคันโยกและสว่ นท่ีมีสายรดั
4. คลายสว่ นทยี่ ึดตดิ กนั แน่นแลว้ นำไปเกบ็ ไวใ้ นทแ่ี หง้
6. การบำรุงรกั ษาและเหตผุ ลในการบำรุงรกั ษาเคร่ืองพ่นสารปอ้ งกันกำจดั ศตั รพู ืช
เครื่องพ่นที่เกษตรกรใช้มีหลายชนิด การใช้แตกต่างกันตามชนิดของพืช จำนวนพื้นที่ที่ปลูกพืช ชนิดของศัตรูพืช
ตลอดจนแรงงานท่ที ำการพน่ เพอ่ื การใชง้ านอย่างมีประสิทธิภาพ การดูแลบำรุงรกั ษาประจำวันนับว่าสำคญั มาก เพราะจะส่งผล
ให้
1. ผู้ใช้ปลอดภัย รอยรั่วต่าง ๆ อาจทำให้ผู้พ่นได้รับการปนเปื้อนสารป้องกันกำจัดศัตรูพืช และอาจเป็นสาเหตุให้รับ
พษิ ของสารป้องกันกำจัดศัตรูพืช เกิดเปน็ อันตรายอาจถงึ ตายได้
2. ประสิทธิภาพการพ่นสารป้องกันกำจัดศัตรพู ืช การควบคุมศัตรูพืชได้ผลนั้นนอกจากจะขึ้นอยู่กับสารป้องกันกำจดั
ศัตรพู ชื และความร้ขู องผู้ใชแ้ ลว้ ยังข้ึนอยู่กับสภาพของเคร่ืองพน่ ทีน่ ำมาใช้ดว้ ย
3. ยืดอายกุ ารใชง้ าน เครือ่ งพน่ ชำรุดเรว็ ข้ึนถา้ หากไมไ่ ด้รับการรบั ดูแลหลงั จากใช้งาน
4. ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย ถา้ เคร่อื งพ่นชำรุดใชง้ านไมไ่ ด้ ทำใหง้ านต้องชะงัก และผลผลติ เสยี หาย เป็นผลให้
กำไรลดลง

265

การทำลายสารป้องกันกำจดั ศัตรพู ชื ท่เี หลือใช้และภาชนะบรรจุ

การจัดการวัสดุเหลือใช้ ได้แก่ ภาชนะบรรจุ เศษเหลือของสารป้องกันกำจัดศัตรูพืช สารป้องกันกำจัดศัตรูพืชที่
หมดอายุการจำหน่าย รวมไปถึงสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชที่ยกเลิกการอนุญาตให้จำหน่ายและใช้ในการเกษตร การจัดการส่ิง
เหลอื ใช้เหล่าน้ี เปน็ มาตรการหนงึ่ ทีจ่ ะป้องกันอันตรายและผลกระทบทีจ่ ะเกิดขนึ้

1. วสั ดเุ หลือใชข้ องสารป้องกนั กำจัดศตั รพู ืช
ประกอบดว้ ย
1.1 สารป้องกนั กำจดั ศตั รูพชื ทเ่ี สื่อมคณุ ภาพ หรอื ขายไมไ่ ด้ เนือ่ งจากเกบ็ ไว้นานและไมส่ ามารถควบคุมศัตรูพืชได้
1.2 สารปอ้ งกนั กำจัดศตั รพู ชื ทห่ี ก หรอื แตก หรือร่วั ไหลขณะเกบ็ รกั ษาหรอื ระหว่างการขนสง่
1.3 สารปอ้ งกันกำจดั ศัตรพู ืชที่ผสมนำ้ แลว้ แต่ใช้ไมห่ มด
1.4 ภาชนะบรรจทุ ีใ่ ชห้ มดแล้ว ไดแ้ ก่ ถงั ขวดแกว้ ขวดพลาสตกิ ถุงกระดาษ หรือกลอ่ งกระดาษ เป็นต้น
1.5 เสอื้ ผา้ และวัสดุทำความสะอาดที่ปนเปื้อนสารป้องกนั กำจัดศัตรูพืช
ของเหลือใช้ทั้งหมดที่กล่าวถึงนี้ มีวิธีการจัดการทำลายแตกต่างกันขึ้นกับชนิดของสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชนั้น ๆ

ถ้าไมม่ ีการจัดการท่ีเหมาะสม จะเป็นสาเหตทุ ำใหเ้ กดิ ผลกระทบต่อส่ิงแวดล้อมและบุคคลท่ีเก่ยี วข้อง ดังน้ัน เพอื่ ป้องกนั อันตราย
ที่อาจเกิดได้ ควรใช้มาตรการการจัดการที่เหมาะสม ซึ่งวิธีการจัดการที่ดีนั้นต้องคำนึงถึงความปลอดภัยต่อผู้ปฏิบัติ ภายหลัง
จากการทำลายแล้วพ้ืนท่นี ้นั ต้องสะอาด เกดิ มลพิษตอ่ ส่งิ แวดล้อมนอ้ ยทส่ี ดุ

2. การจดั การสารปอ้ งกันกำจัดศัตรูพชื ท่ีเหลือใช้
เมื่อมีการใช้สารป้องกันกำจัดศัตรูพืชในการกำจัดศัตรูพืช โดยทั่วไปการเตรียมการหรือการผสมจะดำเนินการใน

ภาชนะที่มีขนาดบรรจุมาก บางครั้งในแต่ละวันจะใช้ไม่หมด ทำให้มีสารผสมเหลืออยู่ ซึ่งถ้าไม่มีการใช้งานในวันต่อไปก็จะเป็น
ปัญหาต่อการจัดการได้ ดังนั้น เพื่อลดปัญหาสารพิษ ควรใช้มาตรการจัดการที่เหมาะสม ซึ่งกรรมวิธีที่ใชเ้ พื่อกำจัดสารป้องกนั
กำจัดศตั รูพืชหรือวสั ดเุ หลอื ใช้ สามารถจำแนกออกไดด้ ังน้ี

2.1 วิธีการเผาที่อุณหภูมิสูง ของเสียจะถูกเผาแตกออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ ที่แต่ละชิ้นจะไม่เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อม
รวบรวมไว้ในบ่อบำบดั เพ่อื นำไปทำลายตอ่ ไป

2.2 ปลอ่ ยให้จุลินทรยี ์ย่อยสลาย เกบ็ รวบรวมไว้ในภาชนะแลว้ ค่อยๆ พน่ ลงดิน (ความเข้มขน้ ตำ่ ) เพอื่ ให้จลุ นิ ทรีย์ทำ
การย่อยสลายต่อไป

2.3 ใช้สารเคมีสลับชนิดกันเพื่อทำปฏิกิริยาให้หมดไป เป็นการเก็บสะสมสารเคมีที่เหลือใช้ไว้ในภาชนะแล้วเติม
สารเคมีอกี ชนดิ หน่งึ ลงไป เพ่ือทำให้เกดิ ปฏกิ ิรยิ าเสอ่ื มคุณสมบัตไิ ป

2.4 ใชว้ ิธีทางกายภาพหลายๆ วธิ เี พอ่ื ทำให้ตกตะกอนและระเหยไป
ทั้ง 4 วิธีการที่กล่าวแล้วน้ัน วิธีการเผาทำลายท่ีอุณหภูมิสูงเป็นวิธีการทีน่ ิยมใช้มากที่สดุ สามารถทำลายของเสียได้
ง่ายและรวดเร็ว นอกจากนั้นยังไม่มีผลต่อสิ่งแวดล้อมด้วย แต่มีข้อเสีย ได้แก่ วิธีการนี้ไม่สามารถเผาทำลาย สารป้องกันกำจัด
ศัตรูพชื ท่ีเปน็ พวกโลหะหนกั ได้ เช่น สารประกอบของปรอท ดบี ุก และสงั กะสี เป็นต้น และค่าใชจ้ ่ายในการทำลายสงู มาก
3. การจัดการกบั วสั ดเุ หลือใชใ้ นลกั ษณะตา่ ง ๆ
วสั ดุเหลือใชเ้ หล่าน้ี มีวิธกี ารจดั การ โดยสามารถแยกตามลักษณะต่าง ๆ ได้ดังน้ี
3.1 ผลติ ภณั ฑ์ที่ขายไมไ่ ด้ หรอื ไม่ได้ใช้ มีข้อแนะนำ ดังน้ี

3.1.1 ถ้าผลติ ภัณฑม์ ีสภาพดี ไมเ่ ส่ือมสภาพ อาจเกบ็ ไว้ขายต่อ หรอื แจกให้ผู้อื่นใช้ตอ่ ไป
3.1.2 ถ้าผลติ ภณั ฑเ์ ส่ือมคุณภาพควรให้ผู้ผลิตหรือผ้จู ำหนา่ ยรบั ไปทำลาย
3.1.3 ถา้ ผลติ ภณั ฑเ์ ส่ือมคุณภาพแตผ่ ผู้ ลติ ไม่รบั ไปทำลาย ถ้ามจี ำนวนน้อยให้ฝังกลบท่ีความลึกประมาณ 1
เมตร ถา้ จำนวนมากให้ขอคำแนะนำการทำลายจากผชู้ ำนาญการ หรอื ปรึกษาผู้ผลติ หรอื ผจู้ ำหน่าย

266

3.2 การจัดการเศษเหลอื จากการร่วั ไหล ทนั ทีทพ่ี บการรั่วไหลของสารป้องกันกำจัดศัตรพู ชื จากภาชนะบรรจุ ให้
ดำเนนิ การต่อไปนี้

3.2.1 ทำการกันหรอื หา้ มบุคคลท่ีไม่เก่ียวข้อง ได้แก่ เด็ก สัตว์เล้ียงออกจากพ้ืนทที่ นั ที
3.2.2 ตรวจและทำการปอ้ งกันหรือแก้ไขอย่าให้มกี ารรั่วเพ่ิมเตมิ
3.2.3 ถา้ สารป้องกนั กำจดั ศตั รูพืชท่ีหกเปน็ ฝุน่ หรือเมด็ ให้ใชท้ รายกลบ และกวาดรวมกันเก็บใสภ่ าชนะที่ปดิ ได้
เพื่อนำไปทำลายต่อไป
3.2.4 ถา้ สารปอ้ งกันกำจดั ศัตรูพืชทห่ี กเป็นของเหลว ใหใ้ ชป้ นู ขาว ทราย ดิน หรือวัสดุดูดซับของเหลวอยา่ งอนื่
ดูดซับของเหลวทหี่ กรวั่ ไหล แล้วตกั ใส่ภาชนะท่ีปิดได้ เพื่อนำไปทำลาย
3.2.5 ใชน้ ำ้ สะอาดลา้ งพืน้ ทีส่ กปรกออก ระวังอย่าใหน้ ำ้ เสียไหลลงคคู ลอง ท่อระบายน้ำ หรอื แหลง่ นำ้ ถา้
เป็นไปได้ควรใช้ดนิ ดดู ซับน้ำ แลว้ นำไปทำลาย
3.3 การจัดการเสื้อที่ปนเป้ือนสารป้องกันกำจัดศตั รูพชื ใหซ้ กั แยกจากเสอ้ื ปกตดิ ว้ ยผงซักฟอกหลายๆ คร้งั ถ้าสาร
ปอ้ งกันกำจดั ศัตรูพชื นนั้ ไม่สามารถซักได้ใหเ้ ผาทิ้ง
3.4 เศษเหลอื จากการใช้
3.4.1 ถ้ามเี หลอื ไมม่ าก ใหพ้ น่ ซ้ำในพื้นท่ที ่ีได้พ่นไปแลว้ จนหมด แต่ควรระวงั เรื่องพิษต่อต้นพืช และพษิ ตกค้าง
ในผลผลิต
3.4.2 ถา้ เหลือจำนวนมาก ใหผ้ สมน้ำเพิม่ ขึ้นเพื่อให้เจอื จางแลว้ พ่นซ้ำในพน้ื ทีเ่ ดิมจนหมด
3.4.3 ห้ามเทท้ิงส่วนท่ีเหลือลงแหล่งน้ำ
3.5 ก่อนการทิ้งภาชนะบรรจสุ ารปอ้ งกันกำจัดศัตรพู ชื ควรทำการลา้ ง 3 คร้ัง เพือ่ เปน็ การประหยัดคา่ ใช้จา่ ย ใช้
สารฯอย่างคุ้มค่า ลดอันตรายจากการปนเปื้อนของสารฯ ต่อมนุษย์ สตั ว์ และส่ิงแวดล้อม และเป็นไปตามหลกั ปฏบิ ัติของระบบ
เกษตรดีท่ีเหมาะสม (Good Agricultural Practice: GAP)

ข้นั ตอนการลา้ งภาชนะบรรจสุ ารป้องกนั กำจัดศัตรูพชื 3 ครง้ั
1. เทนำ้ สะอาดลงในภาชนะบรรจุสารฯ ประมาณ 1 ใน 4 ของภาชนะบรรจุ
2. ปดิ ฝาให้แนน่ แล้วเขย่าแรงๆ ประมาณ 30 วินาที
3. เปิดฝา แล้วเทลงในถังพ่น โดยคว่ำไว้ประมาณ 30 วินาที จนนำ้ ในภาชนะไหลลงถังพน่ จนหมด
แลว้ ทำซ้ำท้ัง 3 ข้ันตอน อีก 2 ครง้ั
3.6 ภาชนะบรรจุ
3.6.1 ห้ามนำไปใสน่ ้ำดืม่ หรอื อาหาร
3.6.2 ก่อนทำลายต้องแน่ใจว่าไม่มีสารป้องกนั กำจดั ศัตรพู ืชเหลอื อยใู่ นขวด
3.6.3 ถา้ ภาชนะบรรจุเปน็ โลหะ หรือพลาสติกต้องทำให้ใชไ้ ม่ไดก้ ่อนทำลาย หรอื ฝงั กลบ
3.6.4 ถา้ ภาชนะบรรจเุ ปน็ กล่องกระดาษ ถุงพลาสติกท่ไี ม่ปนเป้ือนให้เผาทำลาย
3.7 ในกรณีทสี่ ารป้องกันกำจัดศัตรูพชื ตดิ ไฟ มีแนวทางปฏบิ ัติ ดังน้ี
3.7.1 เตอื นภยั ผทู้ ่เี กย่ี วข้อง และกันคนให้อยดู่ า้ นเหนอื ลม เพื่อหลกี เล่ียงการสูดกล่ินจากควนั สารพิษ
3.7.2 พิจารณาว่าไฟท่เี กิดนนั้ สามารถดบั ได้ด้วยบุคลากรของโรงงานหรือไม่ ถา้ สามารถดำเนินการไดเ้ อง ก็
รีบปฏิบตั ิ ถ้าดำเนนิ การไม่ไดใ้ ห้เรียกหนว่ ยดบั เพลงิ ทันที และตอ้ งบอกรายละเอยี ดของสารพษิ ต่อหนว่ ยดบั เพลงิ เพอ่ื จะได้
เตรยี มอุปกรณป์ ้องกนั ให้พร้อม

267

วัตถอุ ันตรายกำจัดแมลง ไร และสัตว์ศัตรูพชื ทห่ี ้ามใชท้ างการเกษตร

(ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรอ่ื งบัญชรี ายชื่อวัตถุอันตราย พ.ศ.2538 ตามพระราชบญั ญัตวิ ตั ถอุ นั ตราย พ.ศ.2535)

ลำดับที่ ชื่อวตั ถอุ ันตราย ประเภทสาร เดือน ปี ทีห่ า้ ม เหตผุ ล
1 chlordimeform สารกำจัดแมลง เมษายน 2520
2 Ieptophos สารกำจัดแมลง เมษายน 2520 - เปน็ สารท่ีอาจก่อใหเ้ กิดมะเรง็

3 BHC สารกำจัดแมลง มีนาคม 2523 - บริษทั ขอถอนผลิตภณั ฑ์จากตลาด
4 endrin สารกำจดั แมลง กรกฎาคม 2524 เนอ่ื งจากผลการศกึ ษามีแนวโน้ม
อาจเป็นสารก่อมะเร็ง
5 DDT สารกำจดั แมลง มีนาคม 2526
6 toxaphene สารกำจัดแมลง มนี าคม 2526 - มีพิษตกคา้ งนาน
7 TEPP สารกำจดั แมลง มิถนุ ายน 2527 - เปน็ สารที่อาจก่อใหเ้ กิดมะเรง็
8 fluroacetamide สารกำจดั หนู กรกฎาคม 2530
9 sodium fluoroacetate สารกำจดั หนู กรกฎาคม 2530 - มพี ษิ ตกคา้ งนาน เส่ียงภยั ในการใช้
10 cyhexztin สารกำจัดไร พฤษภาคม 2531 และการบรโิ ภค
- มพี ษิ ตกค้างในเมล็ดพืชท่สี ่งไป
11 parathion ethyl สารกำจดั แมลง พฤษภาคม 2531 จำหน่ายตา่ งประเทศ ทำให้ถูกหา้ ม
นำเขา้ ผลติ ผลการเกษตร ส่ิงมีชวี ิตท่ี
12 dieldrin สารกำจัดแมลง พฤษภาคม 2531 ไมใ่ ช่ศัตรูท่ตี ้องการกำจดั มีโอกาส
ไดร้ บั อันตราย
- เป็นพิษต่อปลาสูงมาก

- เปน็ สารทอ่ี าจก่อใหเ้ กิดมะเรง็
- มพี ษิ ตกค้างนาน

- เป็นสารที่อาจก่อให้เกิดมะเรง็
- มพี ษิ ตกคา้ งนาน

- มีคา่ ความเปน็ พิษต่ำมาก มีความ
เสี่ยงภยั ต่อผใู้ ชส้ ูง

- มคี า่ ความเป็นพษิ เฉียบพลันตำ่
- เสย่ี งภัยตอ่ การใชม้ าก

- มีค่าความเปน็ พษิ เฉยี บพลนั ต่ำ
- เสยี่ งภัยตอ่ การใชม้ าก

- เปน็ สารที่มีโลหะหนกั (ดบี ุก) เปน็
องคป์ ระกอบ สลายตวั ยากใน
ส่ิงแวดล้อม

- เปน็ พิษเฉียบพลนั ตอ่ มนษุ ย์สงู มาก
โดยเฉพาะการซึมเขา้ ทางผวิ หนงั ทำ
ให้ผูใ้ ช้เส่ียงภยั สูง

- เป็นสารที่มพี ิษตกค้างนาน สะสมใน
สิ่งแวดลอ้ มในรา่ งกายมนุษยแ์ ละสตั ว์
- ไม่มีการพิสูจนใ์ นเร่ืองพิษเรื้อรงั
อยา่ งเด่นชดั
- เส่ียงภยั ตอ่ การใช้มากกวา่ สารชนิด
อ่นื ๆ ในกลุ่มเดยี วกัน เนอ่ื งจากมีคา่
ความเป็นพิษต่ำกวา่ สารชนดิ อ่นื

268

ลำดับที่ ช่ือวตั ถอุ ันตราย ประเภทสาร เดอื น ปี ท่หี า้ ม เหตุผล
13 aldrin สารกำจัดแมลง กนั ยายน 2531
- เปน็ สารที่มีพษิ ตกค้างนาน สะสมอยู่
14 heptachlor สารกำจดั แมลง กนั ยายน 2531 ในสิ่งแวดลอ้ มและในร่างกายมนุษย์
และสัตว์
15 binapacryl สารกำจัดไร กมุ ภาพนั ธ์ 2534
16 mercury compounds สารกำจัดแมลง สงิ หาคม 2536 - เปน็ สารทม่ี พี ษิ ตกค้างนาน สะสมอยู่
ในสิ่งแวดลอ้ มและในร่างกายมนุษย์
17 aminocarb สารกำจดั แมลง กันยายน 2537 และสตั ว์
18 bromophos สารกำจดั แมลง กันยายน 2537
19 bromophos ethyl สารกำจดั แมลง กนั ยายน 2537 - เปน็ สารท่มี ีผลกระทบต่อตวั ออ่ นใน
20 demeton สารกำจัดแมลง กันยายน 2537 ครรภแ์ ละอาจกอ่ ใหเ้ กิดมะเร็ง
21 aramite สารกำจดั ไร พฤษภาคม 2543
22 chlordane สารกำจัดแมลง พฤษภาคม 2543 - เปน็ สารทม่ี พี ิษสงู
- สลายตัวยากมพี ษิ ตกคา้ งนาน
23 chlordecone สารกำจัดแมลง พฤษภาคม 2543 - เปน็ พษิ ต่อปลาและสตั ว์นำ้
24 monocrotophos สารกำจดั แมลง พฤษภาคม 2543
- มีคา่ ADI ตำ่ มาก
25 azinphos ethyl สารกำจดั แมลง พฤษภาคม 2543 - เส่ียงภัยต่อการใช้
26 mevinphos สารกำจัดแมลง พฤษภาคม 2543
27 phosphamidon สารกำจดั แมลง พฤษภาคม 2543 - มีคา่ ADI ต่ำมาก
28 azinphos methyl สารกำจัดแมลง มิถนุ ายน 2543 - เส่ียงภยั ตอ่ การใช้
29 calcium arsenate สารกำจดั แมลง มถิ นุ ายน 2543
- มคี า่ ADI ตำ่ มาก
- เสีย่ งภยั ตอ่ การใช้

- มคี า่ ADI ตำ่ มาก
- เสย่ี งภัยตอ่ การใช้

- เปน็ สารทอ่ี าจก่อใหเ้ กิดมะเร็ง
- ไม่มกี ารนำเขา้ มาใชใ้ นประเทศไทย

- เปน็ สารทอ่ี าจก่อใหเ้ กิดมะเรง็
- มีพษิ ตกคา้ งนาน มผี ลกระทบต่อ
สงิ่ แวดล้อมและสง่ิ มชี ีวิต
- หลายประเทศห้ามใชห้ รอื จำกัดการ
ใช้เนอ่ื งจากมีสารทดแทนได้

- เปน็ สารที่อาจก่อให้เกิดมะเรง็
- ไม่มกี ารนำเข้ามาใช้ในประเทศ

- มีพิษเฉยี บพลนั สูง
- พบพษิ ตกคา้ งในผลผลติ เกษตรใน
ปรมิ าณสงู เกนิ คา่ ปลอดภัย

- มีพษิ เฉยี บพลันสงู

- มพี ิษเฉยี บพลนั สูง

- มีพษิ เฉยี บพลันสูง

- มีพษิ เฉียบพลันสูง
- บางประเทศห้ามใช้

- มพี ิษเฉยี บพลนั สงู
- บางประเทศห้ามใช้

ลำดบั ท่ี ชื่อวัตถุอนั ตราย ประเภทสาร เดอื น ปี ทหี่ า้ ม 269
30 chlorthiophos สารกำจดั แมลง มถิ ุนายน 2543
มถิ ุนายน 2543 เหตุผล
31 demephion สารกำจดั แมลง มิถนุ ายน 2543 - มีพิษเฉียบพลันสงู
มิถุนายน 2543 - บางประเทศหา้ มใช้
32 dimefox สารกำจัดแมลง มถิ ุนายน 2543 - มพี ษิ เฉยี บพลันสูง
และสารกำจดั ไร มถิ ุนายน 2543 - บางประเทศหา้ มใช้
33 disulfoton สารกำจัดแมลง มถิ นุ ายน 2543 - มีพิษเฉยี บพลนั สูง
และสารกำจัดไร มถิ นุ ายน 2543 - บางประเทศหา้ มใช้
34 DNOC สารกำจดั แมลง มถิ ุนายน 2543 - มีพิษเฉียบพลันสูง
มิถุนายน 2543 - บางประเทศห้ามใช้
35 fonofos สารกำจดั แมลง มิถุนายน 2543 - มพี ษิ เฉียบพลันสูง
มิถุนายน 2543 - บางประเทศหา้ มใช้
36 mephosfolan สารกำจดั แมลง ธันวาคม 2544 - มีพิษเฉียบพลันสงู
- บางประเทศหา้ มใช้
37 paris green สารกำจดั แมลง ธนั วาคม 2544 - มีพษิ เฉียบพลันสงู
ธนั วาคม 2544 - บางประเทศหา้ มใช้
38 phorate สารกำจัดแมลง - มีพิษเฉยี บพลันสูง
ธนั วาคม 2544 - บางประเทศห้ามใช้
39 prothoate สารกำจดั แมลง ธันวาคม 2544 - มีพิษเฉยี บพลนั สูง
ธนั วาคม 2544 - บางประเทศหา้ มใช้
40 schardan สารกำจัดแมลง - มีพิษเฉียบพลันสงู
และสารกำจัดไร - บางประเทศห้ามใช้
41 sulfotep สารกำจดั แมลง - มพี ิษเฉียบพลันสงู
และสารกำจดั ไร - บางประเทศห้ามใช้
42 beta-HCH(1}3}5/2}4}6- สารกำจัดแมลง - มพี ิษเฉียบพลนั สงู
hexachloro- - บางประเทศห้ามใช้
cyclohexane) สารกำจดั ไร - มผี ลในด้านพิษเรื้อรงั ต่อตบั ตอ่
สารกำจัดแมลง ระบบสบื พนั ธู ทำให้ตัวออ่ นผิดปกติ
43 chlorobenzilate และทำให้เกิดเนื้องอก
44 copper arsenate สารกำจดั แมลง - มคี วามคงทนในสภาพแวดล้อม
- เป็นสารอาจก่อให้เกดิ มะเร็ง
hydroxide สารกำจดั แมลง - มีพิษเฉียบพลันสูง
- มีพิษเร้ือรัง อาจกอ่ ให้เกดิ การกลาย
45 ethyl hexyleneglycol สารกำจัดแมลง พันธ์ุ และอาจก่อให้เกิดมะเร็ง
(ethyl hexane diol) - อาจก่อใหเ้ กดิ การแท้ง หรอื มผี ลต่อ
ทารก
46 Ethylene oxide - มผี ลในดา้ นพิษเร้ือรงั อาจทำใหเ้ กิด
(1}2-epoxyethane) การกลายพันธ์ุ หรอื อาจเกดิ มะเรง็
- มคี วามคงทนในสภาพแวดล้อม
47 hexachlorobenzene - เป็นสารอาจกอ่ ใหเ้ กดิ มะเร็ง

ลำดบั ท่ี ชอ่ื วตั ถุอนั ตราย ประเภทสาร เดือน ปี ท่ีหา้ ม 270
48 Lead arsenate สารกำจดั แมลง ธนั วาคม 2544
ธันวาคม 2544 เหตผุ ล
49 Lindane (>99% gamma- สารกำจดั แมลง ธนั วาคม 2544 - มพี ิษเฉยี บพลนั สูง
HCH or gamma-BHC) ธันวาคม 2544 - มพี ิษเร้ือรัง อาจทำให้เกิดเนื้องอก
ธันวาคม 2544 กอ่ ใหเ้ กดิ การกลายพันธุ์ หรืออาจก่อ
50 MGK repellant-11 สารไล่แมลง ธันวาคม 2544 มะเรง็
ธันวาคม 2544 - มีความคงทนในสภาพแวดล้อม
51 mirex สารกำจัดแมลง สามารถสะสมและถ่ายทอดในหว่ งโซ่
ธันวาคม 2544 อาหาร
52 pyrinuron (piriminil) สารกำจดั หนู - เปน็ สารอาจกอ่ มะเร็ง
53 strobane สารกำจัดแมลง เมษายน 2546 - มีผลในด้านพิษเร้ือรงั ทำให้ระบบ
ตลุ าคม 2547 สืบพนั ธุ์ผิดปกติ อาจก่อให้เกิดเนอ้ื
54 TDE or DDD [1,1- สารกำจัดแมลง งอกหรือมะเร็ง
- มีความคงทนในสภาพแวดล้อม
dichloro-2}2-bis (4- สามารถสะสม และถา่ ยทอดในห่วงโซ่
อาหาร
chlorophenyl) ethane] - เปน็ สารอาจก่อมะเร็ง
- มีพษิ เฉยี บพลันสูง
55 thallium sulfate สารกำจัดหนู - อาจทำใหเ้ กิดโรคเบาหวาน
- มคี วามคงทนในสภาพแวดล้อม
56 methamidophos สารกำจัดแมลง สามารถสะสม และถ่ายทอดในหว่ งโซ่
อาหาร
57 parathion methyl สารกำจัดแมลง - เปน็ สารอาจก่อมะเร็ง
- มีความคงทนในสภาพแวดล้อม
- เป็นสารอาจก่อมะเร็ง
- สะสมได้ในไขมัน
- มีผลต่อระบบประสาท และระบบ
สืบพันธ์ุของสตั วจ์ ำพวกนกและปลา
- มพี ษิ เฉียบพลันสูง
- มีความคงทนในสภาพแวดล้อม
- มพี ษิ สะสม มีผลต่ออวัยวะต่าง ๆ ใน
รา่ งกาย เปน็ อันตรายต่อสตั ว์ทมี่ ิใช่
เปา้ หมาย
- มีพิษเฉียบพลนั สูง
- พบสารพษิ ตกคา้ งในสนิ คา้ เกษตร
เสมอ มีผลกระทบต่อการบรโิ ภคและ
สง่ ออก
- มพี ิษเฉียบพลนั สงู
- ประเทศท่ีพัฒนาแล้วบางประเทศ
หา้ มใชแ้ ล้ว

ลำดับท่ี ชอ่ื วัตถุอันตราย ประเภทสาร เดือน ปี ทห่ี ้าม 271
58 endosulfan สารกำจดั แมลง ตุลาคม 2547
(ยกเวน้ สตู ร CS) เหตผุ ล
สารกำจดั แมลง มิถุนายน 2563 - เปน็ พษิ ตอ่ ปลาและสัตว์น้ำต่าง ๆ สงู
59 chlorpyrifos สารกำจัดแมลง มิถุนายน 2563 มาก มีการนำไปใช้ผิดวตั ถปุ ระสงค์
60 chlorpyrifos-methyl จากทีข่ ้นึ ทะเบียนไว้ โดยนำไปใช้
กำจัดหอยเชอรีใ่ นนาขา้ ว ทำใหป้ ลา
และสตั ว์นำ้ ตาย ก่อให้เกดิ ผลกระทบ
ตอ่ สงิ่ แวดลอ้ มโดยเฉพาะเม่ือมกี าร
รัว่ ไหลออกจากนาขา้ ว

272

วตั ถุอันตรายกำจัดแมลง ไร และสัตว์ศตั รพู ชื ที่อยรู่ ะหวา่ งการติดตามเฝ้าระวงั

ลำดับที่ ชือ่ วตั ถุอันตราย กลมุ่ กลไกการออกฤทธ์ิ ระดับความเปน็ พิษ
1 1A รา้ ยแรงมาก (LD50 0.93 มก./กก.)
2 aldicarb 1A ร้ายแรง (LD50 8 มก./กก.)
3 carbofuran 1B รา้ ยแรง (LD50 22 มก./กก.)
4 dicrotophos 1B ร้ายแรง (LD50 14 มก./กก.)
5 EPN 1B รา้ ยแรง (LD50 26 มก./กก.)
6 ethoprophos 1B ร้ายแรง (LD50 21 มก./กก.)
7 formethanate 1A ร้ายแรง (LD50 25 มก./กก.)
8 methidathion 1A รา้ ยแรง (LD50 17 มก./กก.)
9 methomyl 1A รา้ ยแรง (LD50 6 มก./กก.)
10 oxamyl 2A ร้ายแรง (LD50 80 มก./กก.)
endosulfan
11 (สตู ร CS) 6 ร้ายแรงมาก (LD50 10 มก./กก.)
12 abamectin 1B ปานกลาง (LD50 945 มก./กก.)
13 acephate 1A ปานกลาง (LD50 101 มก./กก.)
14 carbosulfan 3A ปานกลาง (LD50 287 มก./กก.)
15 cypermethrin 1B ร้ายแรง (LD50 80 มก./กก.)
16 dichlorvos 1B ปานกลาง (LD50 208 มก./กก.)
17 ethion 2B รา้ ยแรง (LD50 92 มก./กก.)
18 fipronil 1B รา้ ยแรง (LD50 50 มก./กก.)
19 omethoate 1A ร้ายแรงมาก (LD50 2.5 มก./กก.)
oxamyl

273

ดรรชนชี ่ือสามญั ของสารป้องกันกำจดั แมลงและสตั ว์ศัตรูพืช

กากเมล็ดชา (saponin) 130, 146, 161, 162, 163
กำมะถนั (wettable sulfur) 87, 108, 115, 137
แกมมา-ไซฮาโลทริน (gamma-cyhalothrin) 52, 58, 65, 66, 126
คลอรฟ์ ลูอาซูรอน(chlorfluazuron) 34, 35, 41, 49, 53, 57, 58, 59, 60, 61, 62, 65, 105, 110, 121, 125
คลอรฟ์ นี าเพอร์ (chlorfenapyr) 32, 91, 105, 109, 116, 119, 120, 121, 129, 145, 148
คลอร์แรนทรานลิ ิโพรล(chlorantraniliprole) 32, 40, 71, 72, 111, 116, 129, 136, 148
คลอร์แรนทรานลิ ิโพรล/ไทอะมที อกแซม (chlorantraniliprole/thiamethoxam) 148
คาร์แทป(cartap) 61
คารแ์ ทปไฮโดรคลอไรด์ (cartap hydrochloride) 123, 133, 143
คาร์แทปไฮโดรคลอไรด์/ไอโซโปรคารบ์ (cartap hydrochloride /isoprocarb) 123, 133
คาร์บารลิ (carbaryl) 33, 34, 35, 36, 38, 39, 41, 42, 43, 61, 62, 69, 70, 72, 74, 76, 77, 80, 86, 87, 89, 90, 92,
93, 94, 98, 107, 121, 123, 131
คมู าเททราลิล (coumatetralyl) 150, 151, 153, 155, 157, 160
โคลไทอะนิดนิ (clothianidin) 33, 45, 81, 95, 100, 105, 106, 127, 128
ซัลฟอกซาฟลอร์ (sulfoxaflor) 107, 125
ซิงคฟ์ อสไฟด์ (zinc phosphide) 150, 151, 153, 155, 157
ไซเพอร์มีทริน (cypermethrin) 135
ไซฟลูทริน (cyfluthrin) 49, 53, 58, 61, 63, 72, 76, 110, 135
ไซฟลูมโิ ทเฟน (cyflumetofen) 44, 95, 102
ไซแอนทรานิลโิ พรล (cyantranilipole) 51, 105, 112, 115, 123, 124, 126, 132, 145, 148, 149
เดลทาเมทรนิ (deltamethrin) 30, 40, 49, 72, 76, 81, 109, 110, 116, 117, 131, 135, 136, 137
ไดโนทีฟแู รน (dinotefuran) 45, 48, 52, 57, 65, 66, 79, 80, 81, 89, 91, 92, 95, 97, 100, 106, 107, 109, 111,
112, 121, 123, 127, 128, 130, 131, 133, 134, 137, 143, 147, 149
ไดโนทีฟแู รน+ไวต์ออยล์ (dinotefuran+white oil) 147
ไดฟลูเบนซูรอน (diflubenzuron) 42, 86, 99, 121, 138
ไดฟีทอิ าโลน (difethialone) 150, 151, 153, 155, 157, 160
ไดอะซนิ อน (diazinon) 33, 36, 69, 70, 74, 80
ไตรคลอร์ฟอน (trichlorfon) 73
ไตรฟลูมรู อน (triflumuron) 35, 121
ไตรอะโซฟอส (triazophos) 37, 38, 49, 50, 51, 52, 53, 54, 55, 56, 57, 58, 59, 60, 61, 63, 64, 65, 67, 77, 78,
84, 86, 130, 133, 139
ทีบูเฟนไพแรด (tebufenpyrad) 44, 95, 102
เทบูฟโี นไซด์ (tebufenozide) 49, 59, 84, 121, 128
เทฟลูเบนซรู อน (teflubenzuron) 35
โทลเฟนไพแรด (tolfenpyrad) 119, 121, 123, 129, 134, 137
ไทอะมีทอกแซม (thiamethoxam) 32, 33, 44, 45, 52, 56, 57, 63, 65, 66, 67, 79, 80, 81, 89, 91, 92, 95, 97,
100, 105, 106, 127, 128, 132, 142, 143, 147

274

ไทอะมีทอกแซม /แลมบ์ดา-ไซฮาโลทริน (thiamethoxam/lamdacyhalothrin) 45, 80, 81, 106, 111, 113, 114, 119,
145
ไทอะมีทอกแซม +ไวต์ออยล์ (thiamethoxam/white oil) 147
ไทโอดิคาร์บ (thiodicarb) 38, 39, 49, 58, 61
นโิ คลซาไมด์ (niclosamide) 146, 162, 163
นิโคลซาไมด์ -โอลามนี (niclosamide-olamine) หรอื นิโคลซาไมด์ เอทาโนลามนี (niclosamide-ethanolamine) 161
นวิ เคลียร์โพลฮี โี ดรซสี ไวรสั หนอนกระทูผ้ ัก (Nuclearpolyhedrosis virus) 120
นวิ เคลียร์โพลีฮโี ดรซสี ไวรัส หนอนกระท้หู อม (Nuclearpolyhedrosis virus) 34, 84, 121, 129, 146
นวิ เคลยี ร์โพลีฮีโดรซสี ไวรสั หนอนเจาะสมอฝ้าย (Nuclearpolyhedrosis virus) 85, 106, 110
โนวาลูรอน (novanuron) 41, 127, 146
บาซิลรัส ทูริงเยนซสิ (Bacillus thuringiensis) 32, 55, 70, 72, 84, 85, 107, 109, 116, 117, 119, 120, 126, 128,
129, 135, 137, 146
บโู พรเฟซนิ (buprofezin) 51, 57, 63, 65, 66, 67, 91, 103, 110, 111, 112, 117, 127, 132, 149
บูโพรเฟซนิ (buprofezin) + ปโิ ตรเลียม สเปรย์ ออยล์ (peteoleum spray spray oil) 103
บโู พรเฟซิน (buprofezin) + ไวตอ์ อยล์ (white oil) 103
เบตา-ไซฟลูทรนิ (beta-cyfluthrin) 33, 34, 49, 53, 58, 61, 111, 129, 134
เบนฟูราคารบ์ (benfuracarb) 123
โบรไดฟาคูม(brodifacoum) 150, 151, 153, 155, 157, 160
โบรมาดโิ อโลน(bromadiolone) 150, 151, 153, 155, 157, 160
ไบฟีนาเซต (bifenazate) 102
ไบเฟนทริน (bifenthrin) 77, 112, 148, 149
ปโิ ตรเลยี มสเปรยอ์ อยล์ (petroleum spray oil) 40, 51, 56, 66, 104, 106, 110, 117
พริ ิมฟิ อส-เมทลิ (pyrimiphos-methyl) 45, 100
เพอร์เมทริน (permethrin) 117, 135, 136
โพรไทโอฟอส (prothiofos) 45, 143
โพรพาร์ไกต์ (propagate) 82, 102, 107, 108, 138
โพรฟโี นฟอส (profenofos) 48, 51, 52, 58, 66, 106, 119, 121, 145
ไพมโี ทรซนี (pymetrozine) 91, 95, 110, 117, 126
ไพรดิ าเบน (pyridaben) 44, 96, 108, 115, 138, 139, 140, 149
ฟลูเบนไดอะไมด์ (flubendiamide) 32, 71, 72, 109, 120, 127, 129, 136, 144, 146
ฟลูเฟนนอกซูรอน (flufenoxuron) 34, 35, 59
ฟอรโ์ มไทออน (formothion) 43
ฟิโพรนลิ (fipronil) 33, 35, 40, 41, 50, 51, 52, 55, 56, 57, 61, 66, 72, 75, 81, 84, 87, 90, 93, 98, 100, 106,
109, 113, 114, 115, 121, 124, 127, 128, 129, 131, 133, 134, 136, 137, 142, 143, 144, 145, 148
ฟีโนบูคาร์บ (fenobucarb) 43
เฟนบทู าทนิ ออกไซด์ (fenbutatinoxide) 138, 149
เฟนโพรพาทริน (fenpropathrin) 48, 134, 142
เฟนไพรอกซเิ มต (fenpyroximate) 25, 102, 149
เฟนิโตรไทออน (fenitrothion) 36, 78
ฟลอนคิ ามิด (flonicamid) 91, 111,112, 126

275

ฟลูไพราดิฟูโรน (flupyradiflurone) 91
โฟลคูมาเฟน (flocoumafen) 150, 151, 153, 155, 157, 159, 160
มาลาไทออน (malathion) 42, 143
มาลาไทออน (malatiion)+ ยีสต์โปรตนี ออโตไลเสต (protein autolysate) 46, 86, 92, 99, 101, 118
เมทอกซีฟโี นไซด์ (methoxyfenozide) 42, 44, 55, 65, 99, 109, 116, 117, 126, 127, 146
เมทอกซีฟโี นไซด์/สไปนโี ทแรม (methoxyfenozide/spinetoram) 32
เมทัลดไี ฮด์ (metaldehyde) 146, 161, 162, 163
เมทิโอคาร์บ (methiocarb) 60, 67, 76
ราเขียวเมทาไรเซยี ม (Metharhizium anipliae) 68, 73
ไรตัวหำ้ แอมบเิ ชียส ลองจิสะไปโนซัส (Amblyseius longispinosus) 102
ลเู ฟนนูรอน (lufenuron) 41, 55, 65, 71, 72, 109, 116, 125, 127, 148
แลมบ์ดา-ไซฮาโลทริน (lambda-cyhalothrin) 37, 38, 47, 52, 53, 54 55, 56, 57, 58, 60, 61, 63, 66, 67, 70, 72,
76, 77, 81, 87, 91, 92, 98, 99, 110, 123, 126, 135
ไวตอ์ อยล์ (white oil) 45, 63, 67, 78, 79, 103, 107, 125
สไปนโี ทแรม (spinetoram) 32, 56, 84, 90, 91, 93, 98, 105, 109, 111, 112, 115, 116, 119, 123, 125, 131, 134,
136, 144, 145, 148
สไปโรเตตระแมท (spirotetramat) 51, 112, 125, 126, 149
สไปโรมซี ิเฟน (spiromesifen) 44, 95, 102, 110, 113, 114, 115, 117, 124, 126, 135
สารสกัดสะเดา (neem extract) 125
ไสเ้ ดือนฝอยสไตเนอร์นีมา คารโ์ ปแคปซี (Steinernema carpocapsae) 88, 89, 122, 133, 138
ไสเ้ ดือนฝอยสไตเนอรน์ มี า ริโอบราเว (Steinernema riobrave) 138
เหย่ือโปรโตซัว Sarcocystis singaporensis 150, 151, 154, 155, 157, 159, 160
อะซีทามิพรดิ (acetamiprid) 52, 57, 57, 66, 81, 91, 93, 95, 97, 110, 117, 121, 128, 145
อะบาเมกตนิ (abamecin) 56, 91, 96, 111, 145
อะบาเมกตนิ /คลอร์แรนทรานิลิโพรล (abamectin/ chlorantraniliprole) 125
อะมิทราซ (amitraz) 57, 62, 64, 82, 84, 87, 95, 107, 108, 115, 130, 138, 140
อะลูมเิ นยี มฟอสไฟด์ หรือฟอสฟีน (aluminium phosphide or phosphine) 130, 138, 139, 140, 141
อัลฟา-ไซเพอร์เมทรนิ /พีบโี อ (alpha-cypermethrin/PBO) 49
อินดอกซาคารบ์ (indoxacarb) 32, 40, 55, 109, 116, 117, 119, 120, 123, 129, 136
อิมิดาโคลพริด (imidacloprid) 33, 35, 37, 45, 47, 48, 51, 52, 54, 55, 56, 57, 63, 65, 66, 78, 79, 80, 81, 84, 87,
89, 90, 91, 92, 93, 97, 98, 105, 106, 109, 112, 113, 114, 115, 124, 125, 127, 128, 129, 131, 133, 134, 136,
142, 143, 144, 147
อิมิดาโคลพริด (imidacloprid) + ไซเพอร์เมทรนิ (cypermethrin) 145
อมิ ดิ าโคลพรดิ (imidacloprid) + ไวต์ออยล์ (white oil) 147
อโี ทเฟนพรอกซ์ (etofenprox) 72, 129, 136, 137
อมี าเมกตนิ เบนโซเอต (emamectin benzoate) 32, 34, 40, 65, 70, 72, 85, 98, 99, 105, 106, 111, 113, 115,
116, 119, 120, 123, 124, 125, 127, 131, 134, 136, 137, 142, 144, 145, 146
โอเมโทเอต (omethoate) 44, 48
เฮกซีไทอะซอกซ์ (hexythiazox) 82, 95, 107

276

บรรณานกุ รม

กรมวิชาการเกษตร. 2553. คำแนะนำการป้องกันกำจัดแมลงและสตั วศ์ ตั รูพชื ปี 2553. กลุ่มกฏี และสตั ววทิ ยา สำนักวจิ ัย
พัฒนาการอารักขาพืช กรมวชิ าการเกษตร. 301 หน้า.

จรี นุช เอกอำนวย. 2549. หวั ฉีดทางการเกษตร. เอกสารวชิ าการกลุม่ กฏี และสัตววิทยา สำนกั วจิ ยั พฒั นาการอารกั ขาพืช
กรมวิชาการเกษตร. 55 หนา้

ณพชรกร ธไภษัชย์ อัจฉราภรณ์ ประเสรฐิ ผล พลอยชมพู กรวิภาสเรือง อทิติยา แกว้ ประดิษฐ์ วิมลวรรณ โชตวิ งศ์. 2564. ความ
ต้านทานและการจดั การสารกำจดั ไร ในไรสองจดุ Tetranychus urticae Koch ในสตรอวเ์ บอร์รี . ใน ผลงานวจิ ัย
ประจำปี 2563. สำนกั วิจยั พฒั นาการอารกั ขาพืช กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ.์ (อยู่ระหว่างการ
ตีพิมพ)์

ปิยรตั น์ เขียนมสี ุข ไพศาล รัตนเสถียร ศิรณิ ี พูนไชยศรี และศรีสดุ า โทท้ อง. 2541. การปอ้ งกันกำจัดเพล้ียไฟกล้วยไมศ้ ัตรูสำคัญ
ของกล้วยไม้. เอกสารวชิ าการกลมุ่ งานวจิ ัยแมลงศัตรูผกั และไมป้ ระดับ กองกีฏและสัตววทิ ยา กรมวชิ าการเกษตร.
12 หน้า.

พิทวัฒน์ อ่อนทองหลาง ประนอม กองชนะ และสงบ ณ ลำพูน. 2535. พระราชบัญญตั วิ ัตถอุ นั ตราย พ.ศ. 2535
กรงุ เทพมหานคร กรมวชิ าการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 2545

พฤทธชิ าติ ปุญวัฒโท. 2560. เทคนคิ การใชส้ ารป้องกนั กำจัดศัตรูพชื . เอกสารประกอบการฝกึ อบรมเชงิ ปฏบิ ตั กิ ารหลักสตู ร
“การใชส้ ารเคมีทางการเกษตรอย่างถกู ตอ้ ง เพือ่ พฒั นาส่สู ินคา้ เกษตรมาตรฐาน” กรมวชิ าการเกษตร. 22 หน้า.

ศรจี ำนรรจ์ ศรจี นั ทรา สุภราดา สคุ นธาภริ มย์ ณ พัทลุง และสมศักด์ิ ศิริพลตั้งมนั่ . 2562. รูปแบบการใช้
สารกำจัดแมลงแบบหมนุ เวยี นกลุ่มกลไกการออกฤทธิ์เพ่ือปอ้ งกนั กำจดั เพลีย้ ไฟเมลอ่ น (Thrips
palmi Karny) ในกลว้ ยไม้สกุลหวาย. หน้า 94-107. ใน ผลงานวิจยั เร่อื งเตม็ : Full paper.
การประชุมวิชาการอารักขาพชื แห่งชาติ คร้ังท่ี 14, 12-14 พฤศจิกายน 2562 โรงแรมดสุ ิตธานี
หวั หิน อำเภอชะอำ จ.เพชรบุรี.

ศรีจำนรรจ์ ศรีจันทรา สราญจิต ไกรฤกษ์ สุภราดา สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลงุ และสมศักดิ์ ศิรพิ ลตง้ั ม่ัน. 2564.
การจัดการสารกำจดั แมลงแบบหมุนเวียนตามกลมุ่ กลไกการออกฤทธ์เิ พ่อื ป้องกันกำจดั เพล้ยี ไฟใน
มะม่วง. ใน ผลงานวจิ ัย ประจำปี 2563. สำนักวิจัยพัฒนาการอารกั ขาพชื กรมวชิ าการเกษตร
กระทรวงเกษตรและสหกรณ.์ (อยูร่ ะหว่างการตีพิมพ)์

ศรจี ำนรรจ์ ศรีจันทรา สุภราดา สุคนธาภิรมย์ ณ พทั ลงุ และสมศักดิ์ ศริ พิ ลตั้งมั่น. 2564. การจดั การสารฆ่า
แมลงในการป้องกนั กำจดั เพล้ียไฟพริก (Scirtothrips dorsalis Hood) ในกหุ ลาบพวง. ใน ผลงานวจิ ยั
ประจำปี 2563. สำนักวจิ ัยพัฒนาการอารกั ขาพชื กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ.์
(อยู่ระหว่างการตีพิมพ์)

สมศกั ด์ิ ศิริพลต้ังมน่ั และสุภราดา สคุ นธาภริ มย์ ณ พัทลุง. 2564. การจัดการสลับใช้สารกำจัดแมลงกล่มุ ต่างๆ
ใน การป้องกันกำจัดเพลยี้ ไฟพริก Scirtothrips dorsalis Hood ในพรกิ . ใน ผลงานวิจัยประจำปี
2563. สำนักวิจยั พัฒนาการอารักขาพชื กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ.์ (อยู่ระหว่างการ
ตพี มิ พ)์

277

สมศักด์ิ ศริ ิพลตัง้ มั่น และสุภราดา สุคนธาภริ มย์ ณ พทั ลงุ . 2563. รูปแบบการใช้สารกำจัดแมลงโดยการ
หมนุ เวียนกลุ่มสารตามกลไกออกฤทธิเ์ พ่ือป้องกนั กำจัดหนอนใยผักในกะหลำ่ ปล.ี หน้า 10-24.
ใน ผลงานวิจัยประจำปี 2562. สำนักวจิ ัยพฒั นาการอารักขาพชื กรมวชิ าการเกษตร กระทรวงเกษตร
และสหกรณ.์ สภุ ราดา สคุ นธาภิรมย์ ณ พัทลุง. 2556. ความตา้ นทานต่อสารควบคมุ แมลงและการบริหารจัดการ.
เอกสารวิชาการประกอบการบรรยายในการฝึกอบรม แมลง-สัตวศ์ ัตรพู ชื และการปอ้ งกันกำจัด คร้ังท่ี 16. สำนักวิจยั
พฒั นาการอารกั ขาพืช. กรมวชิ าการเกษตร. 22 หนา้

สุภราดา สคุ นธาภิรมย์ ณ พทั ลงุ สมศักด์ิ ศิริพลตั้งมนั่ ศรีจำนรรจ์ ศรีจนั ทรา. 2562 ก. ความตา้ นทานต่อสารฆ่าแมลงในเพล้ยี
ไฟพริก Scirtothrips dorsalis ทที่ ำลายพรกิ . รายงานผลงานวจิ ยั ประจำปี 2561. สำนักวจิ ยั พัฒนาการอารกั ขาพืช.
กรมวชิ าการเกษตร. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์.

สภุ ราดา สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง ศรีจำนรรจ์ ศรีจนั ทรา สมศักด์ิ ศริ ิพลตงั้ มน่ั . 2562 ข. ความต้านทานต่อสารฆ่าแมลงในเพลีย้
ไฟพริก Scirtothrips dorsalis ทที่ ำลายกหุ ลาบพวงในแหล่งปลกู ภาคกลาง. รายงานผลงานวจิ ยั ประจำปี 2561.
สำนักวิจยั พัฒนาการอารักขาพืช. กรมวิชาการเกษตร. กระทรวงเกษตรและสหกรณ.์

สภุ ราดา สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลงุ ศรจี ำนรรจ์ ศรจี นั ทรา สมศกั ด์ิ ศิริพลตั้งมั่น. 2563 ก. การเปลี่ยนแปลงความเป็นพษิ ของสาร
ฆ่าแมลง spinetoram และ emamectin benzoate ในเพลยี้ ไฟฝ้าย Thrips palmi ท่ีทำลายกลว้ ยไม้. รายงาน
ผลงานวจิ ยั ประจำปี 2562. สำนกั วิจยั พัฒนาการอารักขาพืช. กรมวชิ าการเกษตร. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์.

สุภราดา สคุ นธาภริ มย์ ณ พัทลงุ ศรีจำนรรจ์ ศรีจนั ทรา สมศักดิ์ ศริ ิพลต้ังมั่น. 2563 ข. ความตา้ นทานต่อสารฆ่าแมลงในเพลยี้
ไฟพรกิ Scirtothrips dorsalis Hood ทที่ ำลายมะม่วง. รายงานผลงานวจิ ยั ประจำปี 2562. สำนกั วิจยั พัฒนาการ
อารักขาพืช. กรมวิชาการเกษตร. กระทรวงเกษตรและสหกรณ.์

สุภราดา สุคนธาภิรมย์ ณ พทั ลงุ ศรีจำนรรจ์ ศรจี ันทรา สมศักด์ิ ศิริพลตั้งม่ัน. 2563 ค. ความเปน็ พิษของสารฆา่ แมลงชนดิ ตา่ ง
ๆ ตอ่ เพล้ียไฟพรกิ Scirtothrips dorsalis ในมะนาว. รายงานผลงานวจิ ยั ประจำปี 2562. สำนักวจิ ยั พัฒนาการ
อารักขาพืช. กรมวชิ าการเกษตร. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์.

สภุ ราดา สคุ นธาภริ มย์ ณ พทั ลุง ศรีจำนรรจ์ ศรีจันทรา สมศักด์ิ ศริ ิพลตงั้ มัน่ . 2563ง. ความต้านทานต่อสารฆ่าแมลงในเพลย้ี ไฟ
ฝา้ ย Thrips palmi Karny ท่ีทำลายเมล่อน. รายงานผลงานวิจยั ประจำปี 2562. สำนักวิจัยพัฒนาการอารกั ขาพชื .
กรมวิชาการเกษตร. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์.

สภุ ราดา สุคนธาภริ มย์ ณ พทั ลุง ศรีจำนรรจ์ ศรีจันทรา และสมศักด์ิ ศิริพลต้ังมน่ั . 2564. การจดั การสารฆา่ แมลงในการปอ้ งกนั
กำจัดเพลย้ี ไฟพรกิ Scirtothrips dorsalis Hood ในมะนาว. ใน ผลงานวจิ ยั ประจำปี 2563. สำนกั วจิ ยั พฒั นาการ
อารกั ขาพชื กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์. (อย่รู ะหวา่ งการตีพิมพ)์

สภุ างคนา ถริ วุธ วรวชิ สดุ จรติ ธรรมจริยางกูร อรุ าพร หนูนารถ สมรวย รวมชัยอภกิ ุล. 2563. ระดับความเป็นพิษของสารฆา่
แมลงชนิดต่าง ๆ ตอ่ หนอนกระท้ขู า้ วโพดลายจุด, น. 197-209. ใน: เอกสารประกอบการประชุมวิชาการสำนักวจิ ัย
พฒั นาการอารกั ขาพืชประจำปี 2563. หอ้ งประชมุ กองวิจยั พฒั นาปจั จยั การผลิตทางการเกษตร. กรมวิชาการเกษตร,
กรงุ เทพฯ.

Ahmad, M., and M. I. Arif. 2009. Resistance of Pakistani field populations of spotted bollworm Earias vittella
(Lepidoptera: Noctuidae) to pyrethroid, organophosphorus and new chemical insecticides. Pest
Manag. Sci. 65(4): 433-439.

278

Ahmad, M., M. I. Arif and M. Ahmad. 2007. Occurrence of insecticide resistance in field populations of
Spodoptera litura (Lepidoptera: Noctuidae) in Pakistan. Crop Protection. 26(6): 809-817.

Ahmad, M. and R. Mehmood. 2015. Monitoring of resistance to new chemistry insecticides in Spodoptera
litura (Lepidoptera: Noctuidae) in Pakistan. J. Econ. Entomol. 108(3): 1279-1288.

Al-Antary, T. M., M. R. K. Al-LALA and M. I. Abdel-Wali. 2012. Response of seven populations of the two-
spotted spider mite (Tetranychus urticae Koch) for chlorfenapyr acaricide on cucumber in Jordan.
Adv. Environ. Biol. 6(7): 2208-2212.

ASABE Standards, 2009. S572.1. Spray nozzle classification by droplet spectra. ASABE. St. Joseph, Michigan.
BASF. 2020. Insecticide Mode of Action. Technical Training Manual. [Online]. Available.

https://agriculture.basf.com (April 27, 2020).

Bielza P. 2008. Insecticide resistance management strategies against the western flower thrips, Frankliniella
occidentalis. Pest Manag. Sci. 64: 1131–1138.

Broadbent A.B. and D.J. Pree. 1997. Resistance to insecticides in populations of Frankliniella occidentalis
(Pergande) (Thysanoptera: Thripidae) from greenhouses in the Niagara region of Ontario. Can. Entomol.
129: 907–913.

Buss, E. A., J. F. Price, E. McCord and C. Nagle. 2007. Managing Insecticide and Miticide Resistance in Florida
Landscapes. EDIS, 2007(19).

Dobson, H. and W. King. 2002. Pesticide application: Mastering and monitoring, pp. 95-114. In: I.F. Grant and C.C.D.
Tingle, eds. Ecological monitoring methods for the assessment of pesticide impact in the tropics.
Natural Resources Institute, Chatham, UK.

Fukami, J., Y. Uesugi and K. Ishizuka. 1983. Pest resistance to pesticides. Soft Science Inc., Tokyo, Japan.

Gao Y., Z. Lei and S. R. Reitz. 2012. Western flower thrips resistance to insecticides: detection, mechanisms
and management strategies. Pest management science. 68(8): 1111-1121.

Gerson, U., R. Kenneth and T. I. Muttath. 1979. Hirsutella thompsonii, a fungal pathogen of mites. II. Host-
pathogen interaction. Ann. Appl. Biol. 91(1): 29-40.

Harden, J. and M .Taylor. 1992. Droplet spectrum description and measurement. pp. 48-58. In: J. Harden, ed.
Pesticide application and safety manual for specialist technical training in Thailand. The center for
pesticide application and safety. The University of Queensland, Gatton, Australia.

Herron G.A. and D.F. Cook. 2002. Initial verification of the resistance management strategy for Frankliniella
occidentalis (Pergande) (Thysanoptera: Thripidae) in Australia. Aust. J. Entomol. 41: 187–191.

Immaraju J.A., T.D. Paine, J.A. Bethke, K.L. Robb and J.P. Newman. 1992. Western flower thrips (Thysanoptera:
Thripidae) resistance to insecticides in coastal California greenhouses. J. Econ. Entomol. 85: 9–14.

IRAC (Insecticide Resistance Action Committee). 2008. IRAC guidelines for resistance management of
neonicotinoids. [Online]. Available. http://www.irac-online.org (April 27, 2020).

IRAC (Insecticide Resistance Action Committee). 2020. IRAC Mode of Action Classification Scheme. [Online].
Available. http://www.irac-online.org (April 27, 2020).

279

IRAC(Insecticide Resistance Action Committee).. 2019. Integrated Pest Management (IPM) & Insect Resistance
Management (IRM) for Fall Armyworm in South African Maize.. [Online]. Available.
http://www.irac-online.org (April 8, 2021).

IRAC (Insecticide Resistance Action Committee). 2021a. IRAC Mode of Action Classification Scheme. [Online].
Available. http://www.irac-online.org (April 8, 2021).

IRAC (Insecticide Resistance Action Committee). 2021b. IRAC eConnection Issue 44. August 2021. [Online].
http://www.irac-online.org (September 2, 2021).

Jensen S.E. 2000. Insecticide resistance in the western flower thrips, Frankliniella occidentalis. Integrated Pest
Management Rev. 5:131–146.

Matthews, G.A. 2014. Pesticide Application Methods. 4th edition. Blackwell Science. 517 pp.

O'Connor-Marer , P.J. 2000. The Safe and Effective Use of Pesticides (Pesticide Application Compendium 1) 2nd
Edition University of California Agricultural and Natural Resources. Communication Services, Oakland,
CA. 342 pp.

OECD. 1997. Guidance document for the conduct of studies of occupational exposure to pesticides during
agricultural application. Environmental Health and Safety Publications Series on Testing and
Assessment No 9. OCDE/GD(97) 148, OECD, Paris, France. 57 pp.

Reitz S.R. 2009. Biology and ecology of the western flower thrips (Thysanoptera: Thripidae): the making of a
pest. Fla. Entomol. 92: 7–13.

Robb K.L. and M.P. Parella. 1995. IPM of western flower thrips, pp. 365–370. In Thrips Biology and
Management, ed. by Parker BL, Skinner M and Lewis T. Plenum Press, New York, NY.

Sukonthabhirom na Pattalung, S. and S. Siripontangmun. 2012. Current situation of insecticide resistance in
the diamondback moth in Thailand. In: International seminar on the development of insecticide
resistance and its management in the diamondback moth, August 27, 2012. Nagoya University,
Nagoya, Japan.

Sutherland, J.A. Non-motorised Hydraulic Energy Sprayers. Centre for Overseas Pest Research. Hobbs.
Southampton. 1979.

Sutherland, J.A. Mistblowers. Centre for Overseas Pest Research. Hobbs. Southampton. 1980.

Thornhill, E.W. A Guide to Knapsack Sprayer Selection. Tropical Pest Management. 1985. 31 (1): 11-17.

WHO. 2009. The WHO recommended classification of pesticides by hazard and guidelines to classification 2009.
78 pp.

280

ศรีจำนรรจ์ ศรจี นั ทรา คณะผจู้ ัดทำ พฤทธชิ าติ ปญุ วฒั โท
เสาวนิตย์ โพธิ์พูนศักดิ์ จารวุ ัตถ์ แต้กลุ
สุนดั ดา เชาวลิต สุภราดา สคุ นธาภิรมย์ ณ พัทลงุ ภัทรพร สรรพนเุ คราะห์
สิรกิ ัญญา ขนุ วิเศษ สมศักดิ์ ศิริพลตงั้ ม่นั
พวงผกา อา่ งมณี
สราญจติ ไกรฤกษ์
พฤทธชิ าติ ปญุ วัฒโท คณะผูว้ จิ ยั ศรตุ สุทธิอารมณ์
ศรจี ำนรรจ์ ศรีจนั ทรา เสาวนติ ย์ โพธ์ิพูนศักด์ิ
ภทั รพร สรรพนุเคราะห์ สุเทพ สหายา ปราสาททอง พรหมเกิด
บุษบง มนัสมน่ั คง สภุ ราดา สุคนธาภิรมย์ ณ พทั ลงุ สมรวย รวมชัยอภกิ ลุ
สญั ญาณี ศรคี ชา สมศกั ด์ิ ศริ ิพลตั้งมั่น สิรกิ ญั ญา ขนุ วเิ ศษ
วิภาดา ปลอดครบุรี อุราพร หนนู ารถ นลนิ า ไชยสิงห์
พวงผกา อา่ งมณี สาทพิ ย์ มาลี สุชาดา สพุ รศลิ ป์
กรกต ดำรกั ษ์ วไิ ลวรรณ เวชยันต์ วรวิช สุดจริตธรรมจริยางกูล
วนาพร วงษ์นิคง อสิ เรศ เทยี นทดั สภุ างคนา ถริ วธุ
เมธาสิทธิ์ คนการ ประภสั สร เชยคำแหง วชิ าญ วรรธนะไกวัล
ณพชรกร ธไภษัชย์ พชั รวี รรณ จงจติ เมตต์ ดาราพร รนิ ทรักษ์
นนั ทนัท พินศรี สวุ มิ ล วงศ์พลงั
สมเกียรติ กลา้ แข็ง
ยทุ ธนา แสงโชติ

281



อะมีทราซ ผงั การผสมสารป้ องกนั กําจดั ศตั รูพืชบางชนิด
เบตาไซฟลทู ริน, ไซฟลทู ริน (เอกสารฉบบั ปรับปรุง : สิงหาคม 2564)
ไบเฟนทรนิ

คารบารลิ สญั ลักษณ
คลอรฟ ลอู าซรู อน, ไดฟลูเบนซรู อน, ฟลเู ฟนนอกซูรอน, ไตฟลมู ูรอน

ไซเพอรเมทริน, เพอรเมทรนิ ผสมกันได
ไดอะซนิ อน, เมทิดาไทออน ผสมกันไดแตต องระมดั ระวงั

สาร ํกาจัดแมลง ไดโคโฟล, คลอรโรเบนซิเลท อยาผสมกนั จนกวาจะไดรบั คาํ รบั รองจากผูผลิต

2 ไดเมโทเอต, ไดคลอรว อส ดรู ายละเอยี ดดา นหลงั
ไมม คี วามจาํ เปน ตองผสมกันผสมกนั ไมได
เดลทาเมทรนิ

เฟนิโทรไทออน

อิมิดาโคลพริด

2 แลมปดาไซฮาโลทริน สํานักวิจัยพฒั นาการอารักขาพืช กรมวิชาการเกษตร
มาลาไทออน

# ไทโอดิคารบ

37 ปโตเลยี มสเปรยอ อยล

พิริมิฟอส-เมทิล

โพรพาไกต

โพรพิโนฟอส

ไตรอะโซฟอส

สาร ้ปองกัน ํกาจัดโรค ืพช 46 8 เบโนมิล
## # แคปแทน, แคบทาโฟล
#
9 คลอโรทาโลนิล
คอปเปอรออกซี่คลอไรด
1 # ไอโพรไดโอน
เมทาแลกซิล
#
# # แมนโคเซบ, ไทแรม
5 คารเ บนดาซมิ
บอรโ ดมิกเจอร
ไตรอะดิมีฟอน
ซัลเฟอร (ผง)


Click to View FlipBook Version