ชอ่ื ผลงาน: ประเพณแี หต+ -นดอกไม-
หนงั สอื ชดุ ความรเ-ู พอ่ื สง+ เสรมิ การท+องเท่ียวชุมชนล+มุ นำ้ โขง
ชื่อผูเ, ขียน: ปฐม หงษสI ุวรรณ
ชื่อเจ,าของโครงการ: องคIการบริหารการพฒั นาพนื้ ทพี่ เิ ศษเพื่อการทอ+ งเทยี่ ว
อยา+ งย่ังยนื (องคกI ารมหาชน) สำนกั งานพ้นื ทีพ่ ิเศษเลย (อพท.5)
ช่อื โครงการ: โครงการพัฒนาการท+องเที่ยวเชิงนิเวศ ประวัติศาสตรI พธิ กี รรม
ความเช่ือ วิถีชวี ิต ชมุ ชนล+ุมน้ำโขง
พิมพค9 ร้งั ท่ี 1: พทุ ธศักราช 2560
พมิ พ9ครัง้ ที่ 2: สงิ หาคม 2564
จำนวนพิมพ9: 200 เล+ม
~ ก ~
ก
คานา
กระแ การท่องเที่ย ของโลกในปัจจุบัน ใ ้ค าม นใจต่อ
การท่องเท่ีย อย่างยั่งยืนที่รับผิดชอบต่อ ังคมและใ ้ค ามใ ่ใจท่ี
จะลดผลกระทบต่อ ิ่งแ ดล้อม นักท่องเท่ีย มีค ามตื่นตั ที่จะได้
แลกเปล่ียนประ บการณ์ท่ีแท้จริงจากการเดินทางท่องเที่ย ได้
ัมผั กับชุมชนผู้เป็นเจ้าของ ัฒนธรรม ร มทั้งการเข้าร่ มทา
กิจกรรมต่างๆ อันเป็น ิลป ัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี ิถี
ชี ิตท้องถิ่นกับชุมชน ซึ่งจะทาใ ้นักท่องเที่ย และเจ้าบ้านเกิดการ
เรียนรู้และแลกเปลี่ยนประ บการณ์ซ่ึงกันและกัน แต่การจะทาใ ้
ประชาชนในพื้นที่เข้าใจเร่ืองการพัฒนาการท่องเท่ีย ใ ้มีค าม
ยั่งยืนซ่งึ จะเปน็ ประโยชน์แกช่ มุ ชนทอ้ งถิน่ เป็นเรอื่ งซบั ซ้อนมาก
นิเ ประ ัติ า ตร์ ประเพณี ค ามเชื่อ ิถีชี ิต ภูมิปัญญา
ทอ้ งถน่ิ รอื มนู มัง ร มถงึ ัฒนธรรมทอ้ งถน่ิ ของชุมชนลุ่มแม่น้าโขง
มีเ น่ ์และเอกลัก ณ์เฉพาะถิ่น ลายพ้ืนท่ียังมีการ ืบต่อและ
อนุรัก ์ผ่านรุ่น ู่รุ่นในรูปแบบของพิธีกรรม ประเพณี และ ิถีชี ิต
ัฒนธรรม ถึงแม้ชุมชนลุ่มแม่น้าโขงจะมีภูมิปัญญา และ ัฒนธรรม
ท้องถ่ินท่ีมีค ามน่า นใจ และ ามารถต่อยอดด้ ยการยกระดับภูมิ
ปัญญาและ ัฒนธรรมท้องถิ่นไป ู่ผลิตภัณฑ์การท่องเที่ย ต่างๆ ได้
ลายรปู แบบ แตค่ าม าเรจ็ ของการทอ่ งเที่ย กไ็ ม่ได้เกิดจากการมี
ประเพ~ณีแขขห่ต~น้ ดอกไม้
เพียงจุดแข็งของผลิตภัณฑ์เท่าน้ัน ากแต่จะต้องมีองค์ประกอบ
ต่างๆ ท่ีเอ้ือต่อการท่องเที่ย ตลอดจนการเช่ือมโยงเ ้นทางการ
ท่องเท่ีย การผ มผ านระ ่างรูปแบบการท่องเท่ีย และ
ผลิตภัณฑ์การท่องเที่ย ต่างๆ เพ่ือใ ้ ามารถดึงดูดและตอบ นอง
ค ามต้องการของนักท่องเที่ย กลุ่มต่างๆ ได้อย่างมีประ ิทธิภาพ
และการมีองค์ค ามรู้ที่เป็นฐานข้อมูลของชุมชน ัฒนธรรมเป็น ิ่ง
าคญั และจาเปน็ เพือ่ นาไปใชต้ ่อยอดในการ ่งเ ริมและพัฒนาด้าน
การทอ่ งเท่ีย ต่อไป
องค์การบริ ารการพัฒนาพ้ืนที่พิเ เพื่อการท่องเท่ีย
อย่างยั่งยืน (องค์การม าชน) ได้เล็งเ ็นถึงค าม าคัญของการ
่งเ ริม ัฒนธรรมประเพณี ภูมิปัญญาท้องถิ่น จึงได้ ่งเ ริม
กิจกรรมการท่องเท่ีย เชิงนิเ ในชุมชนลุ่มน้าโขงใ ้นาไป ู่การ
พัฒนาการท่องเท่ีย อย่างย่ังยืน โดย นับ นุนใ ้มีการจัดกิจกรรม
การท่องเที่ย ที่เก่ีย ข้องกับนิเ ประ ัติ า ตร์ พิธีกรรม ค ามเช่ือ
และ ิถีชี ิตดั้งเดิมอันดีงามของท้องถิ่นใ ้เกิดเป็นต้นแบบการ
พัฒนาเป็นกิจกรรมการท่องเที่ย ในอนาคต ท่ีจะเป็นค ามยั่งยืน
ืบเน่ือง ทั้งน้ีการท่ีจะพัฒนาการท่องเที่ย ย่ังยืนข้ึนได้ในพ้ืนที่น้ัน
จาเป็นต้องมีการใ ้องค์ค ามรู้ในดา้ นการจัดการที่ดีค บคู่ไปกับการ
บื ทอด อนรุ ัก ์ ัฒนธรรมประเพณี พธิ ีกรรม ค ามเชื่อและ ิถีชี ิต
ด้ังเดิม โดยการปลูกฝังใ ้แก่เยา ชน ชุมชนและผู้ที่มี ่ นเกี่ย ข้อง
กับการท่องเที่ย ทุกภาค ่ น ในการ ร้างจิต านึกที่ดีและมีค าม
~ ค ~
ค
ตระ นักถึงคุณค่าทางระบบนิเ ประ ัติ า ตร์ ประเพณี ค ามเช่ือ
ิถีชี ิตชุมชน และแ ล่งท่องเที่ย เชิงนิเ ซึ่งเป็นทรัพยากร
ทางการท่องเท่ีย ท่ี าคัญของจัง ดั เลย และจงั ดั ในแถบลุ่มน้าโขง
นัง อื ชดุ ค ามรู้ “ประเพณแี ห่ต้นดอกไม้ของชุมชนอาฮี
อาเภอท่าล่ี จังหวัดเลย” เป็นผลจากการดาเนินงานโดยองค์การ
บริ ารการพฒั นาพื้นที่พิเ เพื่อการท่องเทย่ี อย่างยั่งยืน (องค์การ
ม าชน) านักงานพ้ืนท่ีพิเ เลย ร่ มกับ ถาบัน ิจัย ิลปะและ
ัฒนธรรมอี าน ม า ิทยาลัยม า ารคาม ซึ่ง นัง ือชุดค ามรู้
เลม่ นี้เกิดจากเ ทีประชาคมในชุมชนท่ีมีค ามต้องการที่จะร บร ม
คลังค ามรู้เกี่ย กับประเพณีของชุมชนเอาไ ้เป็นฐานค ามรู้ใ ้แก่
นักท่องเที่ย ประชาชน และผู้ที่ นใจท่ั ไปได้ ึก าเรียนรู้และ
เขา้ ใจถึงประเพณใี นชมุ ชน ซึ่งเป็นอัตลัก ณ์ของท้องถ่ินของตนใ ้มี
ค ามชัดเจนและลุม่ ลกึ มากยงิ่ ขนึ้
ท้าย ุด คณะผู้จัดทาโดยองค์การบริ ารการพัฒนาพื้นท่ี
พิเ เพ่ือการท่องเที่ย อย่างย่ังยืน (องค์การม าชน) านักงาน
พ้ืนท่ีพิเ เลย ัง ่า นัง ือชุดค ามรู้เล่มน้ีจะอาน ยประโยชน์
ใ แ้ ก่นักทอ่ งเที่ย ประชาชน และผู้ นใจท่ั ไปไดต้ าม มค ร
รอง า ตราจารย์ ดร.ปฐม ง ์ ุ รรณ
ทป่ี รึก าโครงการฯ
ประเพ~ณแี หงงต่ ~น้ ดอกไม้
สารบญั
คานา ก
ารบญั ง
1 บทนา 1
2 รจู้ กั อาเภอท่าลี่ จัง วดั เลย 27
3 ประวตั ิศา ตร์ชุมชนบ้านอาฮี อาเภอท่าลี่ จงั วดั เลย 87
4 ความเช่อื ท่ีเกี่ยวข้องกับประเพณีแ ่ตน้ ดอกไม้ 102
5 ประเพณแี ต่ ้นดอกไม้บ้านอาฮี อาเภอทา่ ลี่ จัง วัดเลย 151
6 บทบาทของประเพณแี ่ตน้ ดอกไม้กับการพฒั นาดา้ น 175
การทอ่ งเทยี่ วชุมชน
บรรณานกุ รม 183
~ 11 ~
1.บทนา
ประเพณี งกรานต์เป็นการเฉลิมฉลอง ันขึ้นปีใ มํตาม
ปฏิทิน ุริยคติแบบโบราณซึ่งมีปรากฏท้ังในประเท ไทยและ
ประเท เพ่ือนบ๎านที่รํ มอารยธรรมเดีย กันมา อันประกอบด๎ ย
ประเท ภาพเมียนมาร์ ประเท าธารณรัฐประชาธิปไตย
ประชาชนลา ประเท กัมพูชา และประเท าธารณรัฐประชาชน
จีน (เขต ิบ องพันนาในมณฑลยูนนาน) ในชํ งเท กาล ันข้ึนปี
ใ มํตามประเพณีแบบด้ังเดิมนั้น ประชาชนในประเท ดังกลํา
ข๎างต๎นจะมีพิธีกรรมที่ถือปฏิบัติตามค ามเช่ือทาง า นาเป็น ลัก
พื้นฐาน ซ่ึงอาจมี ํ นที่คล๎ายคลึงกันและแตกตํางกันไปตามพื้นท่ี
ของผ๎ูคนในแตลํ ะทอ๎ งถิน่ นั้นๆ
ในประเท ไทยประเพณฉี ลองเท กาล งกรานต์เป็นโอกา
ของการทาบุญตักบาตรราลึกถึงบรรพบุรุ การรดน้าดา ั เพ่ือ
แ ดงค ามรักเคารพ อีกทั้งขอขมาตํอบิดามารดาและญาติผ๎ูใ ญํที่
นับถือ การรํ มแรงรํ มใจกันทากิจกรรมใ ๎กับ ัดซึ่งเป็น ูนย์กลาง
ของชุมชน ร มทั้งการแ ดงน้าใจไมตรีตํอผ๎ูอ่ืนด๎ ยการรดน้าใ ๎
ค ามชํุมเย็นแกํกันและกันซึ่งถือ ําเป็นกิจกรรมที่เ มาะ มกับฤดู
ร๎อน (ทรง ักด์ิ ปรางค์ ัฒนากุล, 2539: 13) งกรานต์จึงถือเป็น
ประเพณ~ีแ22ห่ต~้นดอกไม้
ประเพณีท่ีมีค ามโดดเดํนและ าคัญตํอ ิถีชี ิต ัฒนธรรมของผู๎คน
ในชุมชนแถบลมุํ น้าโขงน้มี าเนิ่นนาน
คนไทในเขตปกครองตนเองชนชาติไท- ิบ องปันนา มณฑลยูนนาน ประเท จีน เลํนน้าใน
งานเฉลิมฉลองเท กาล าดนา้ รอื งกรานต์ ซ่งึ ถือเป็น นั ขึ้นปีใ มํของชนชาติไท รือไต
โดยการ าดนา้ ใ กํ นั น้นั ถอื เปน็ การอ ยพรใ ๎โชคดี มคี าม ขุ และ ขุ ภาพแขง็ แรง
นอกเ นือจากนี้ ากย๎อนกลับมาพิจารณาถึงประเพณี
งกรานต์ในประเท ไทยก็ยังพบ ํา มีรายละเอียดที่เ มือนคล๎าย
และมีค ามแตกตํางกันออกไปตามท๎องถิ่นและภูมิภาค ร มถึง
ลัก ณะเฉพาะทางชาติพันธ์ุ ไมํ ําจะเป็นภาคเ นือ ภาคใต๎ ภาค
กลาง และภาคอี าน งกรานต์ของกลุํมชาติพันธ์ุมอญ งกรานต์
~ 33 ~
กลมํุ ชาตพิ ันธุไ์ ทล้อื งกรานตก์ ลมุํ ชาติพนั ธุ์ลาว งกรานต์ชาติพันธุ์
ผ๎ูไท เปน็ ต๎น
นุํม าวชาวผู๎ไทเลํน าดน้าในงานเฉลิมฉลองเน่ืองในเทศกาลวัน งกรานต์ รือวันขึ้นปี
ใ มํ เชื่อวาํ เป็นการเลํนนา้ เพือ่ งํ ความ ุข ม วงั ตลอดจนความเจรญิ รุงํ เรืองในชวี ติ ใ ๎แกํ
กันและกนั
ถ๎ากลําวถึงประเพณี ิบ องเดือนในวัฒนธรรมอี านแล๎ว
คน ํวนใ ญํก็คงนึกถึงคาวํา “ฮีต ิบ อง” ซ่ึงในที่นี้ มายถึงจารีต
ประเพณี ิบ องเดือนของชาวอี านที่ถือปฏิบัติกันมานับต้ังแตํครั้ง
อดีต บางคร้ังก็เรียกกันวํา “บุญฮีต ิบ อง” เพราะเชื่อถือกันวํา
ประเพณีตํางๆ เ ลํานี้ล๎วนแตํเกี่ยวข๎องกับงานบุญตามคติความเชื่อ
ประเพณ~ีแ44หต่ ~้นดอกไม้
ทาง า นาที่ผ๎ูคนในชุมชนนับถือกัน ดังท่ี เติม ิภาคย์พจนกิจ
(2557: 568) กลํา ํา จารีตประเพณีทาง า นาของชา ไทยอี าน
เทําที่ถือปฏิบัติ ืบเน่ืองกันเรื่อยมาจนทุก ันน้ี เรียก ํา “ฮีต ิบ อง
คอง ิบ ่ี” เป็นประเพณีมาแตํโบราณอาจกลํา ได๎ ําเ ลาน้ี ยังคง
เ ลอื อยบูํ ๎างตามบ๎านเมอื งในแถบลมํุ แมํน้าโขงทั้ง องฝั่ง บ๎างก็เรียก
กัน ํา “ประเพณีฮีต ิบ อง” และถึงแม๎ประเพณีเ ลํานี้จะเป็น
ขนบธรรมเนียมประเพณีของชา อี านโดยทั่ ไป แตํท ําเมื่อ
ยอ๎ นกลับมาพิจารณาในพ้ืนท่ีบางจัง ัดของอี านเชํนจัง ัดเลยก็
จะพบ ําประเพณีฮีต ิบ องมีลาดับข้ันตอนและการจัดกิจกรรม
ประเพณีแตกตํางกันออกไป อาทิ บุญพระเ ของชา อี าน ํ น
ใ ญจํ ะจัดอยํใู นบญุ เดือน ่ี แตํ า รบั ชา บา๎ นอาฮี อาเภอทาํ ล่ีบุญเผ
นั้นจะจัดอยูํในบุญเดือน ก ํ นบุญเดือน กของชา บ๎านนาซํา
อาเภอเชียงคาน จัง ัดเลยก็จะจัดประเพณีบุญบ้ังไฟและผีขนน้า
ในขณะที่ชา อาเภอดํานซ๎ายจะเรียก ํา “บุญ ล ง” เป็นประเพณี
เดือนแปด ซ่ึงได๎ร มเอาบุญฮีตในเดือน ่ี (บุญเผ ) ฮีตเดือน ก
(บุญบั้งไฟ) และฮีตเดือนเจ็ด (บุญซาฮะ) ในฮีต ิบ องของชา
อี าน ํ นใ ญนํ ามาจัดขึ้นพร๎อมกนั ในชํ งเดือนแปดของทุกๆ ปี
อยํางไรก็ตาม แม๎ชุมชนจัง ัดเลยจะมีจารีตประเพณีที่
แตกตํางอยํูบ๎าง แตํท ําเม่ือย๎อนกลับมาพิจารณาถึงประเพณีบุญ
เดือน ๎า รืองานตรุ งกรานต์แล๎ ก็จะพบ ํา เป็นงานบุญ
ประเพณีท่ีทุกชุมชนในท๎องถิ่นภาคอี านนั้นล๎ นจัดกิจกรรมเชิง
~ 55 ~
ประเพณีน้ีตรงกันแทบท้ัง ้ิน ซ่ึง อดคล๎องกับ ัฒนธรรมประเพณี
ของชา ลา ใน ปป.ลา ด๎ ย ถือเป็น ัฒนธรรมรํ มของคนไทย
อี านท่ี ืบทอดกนั มาต้ังแตํอดีตเชนํ กนั
การกํอเจดีย์ทรายพร๎อมปักธงตกแตํงประดับประดาเพ่ือถ ายเป็นพุทธบูชา บริเ ณริม
แมํนา้ โขงในชํ งเท กาล งกรานต์ รือ ันขึน้ ปีใ มํ ล งพระบาง ปป.ลา
บุญเดือน ๎า รือบางทีเรียก ํา “บุญ รงน้า” จะมีกิจกรรม
การรดน้า รงน้าพระพุทธรูป พระ งฆ์และผ๎ู ลักผ๎ูใ ญํ มีการทาบุญ
ใ ท๎ าน เปน็ ตน๎ การ รงนา้ รอื บญุ รงน้านบ้ี างทีเรียกอีกอยําง นึ่ง
ํา ตรุ งกรานต์ คา ํา “ตรุ ” คือ ้ิน ํ น “ งกรานต์” คือการ
เคลอ่ื นยา๎ ย ได๎แกํ ันทพ่ี ระอาทิตย์เคลอ่ื นย๎ายจากฤดู นา ก๎า ข้ึน
ไป ูํฤดูร๎อน ในระยะน้ีเรียก ํา “ตรุ งกรานต์” กา นดเอา ันข้ึน
ประเพณ~ีแ66หต่ ~้นดอกไม้
15 ค่า เดือน ๎า (เม ายน) เพราะมีกา นดทาในเดือน ๎า จึงมีช่ือ
เรยี กอกี อยาํ ง น่งึ าํ “บุญเดือน า๎ ” (ปรชี า พิณทอง, 2540: 71)
อกี ดา๎ น น่ึงในอดตี อาจมกี ารเรยี ก ํา “งานตรุ งกรานต์”
ท้ังน้ีคา ํา “ตรุ ” ใน ัฒนธรรมลา ซึ่งตรงกับคา ํา “ตุด” ก็คือ
“ตัด” รือการ มด ้ินไป ได๎แกํ ตัดปี ัน ้ินปี งกรานต์ คือการ
เคลื่อนย๎ายของ ันเ ลาและปี โดยการเคล่ือนตั ของพระอาทิตย์
เคลอ่ื นจากปีเกาํ กา๎ ข้ึน ูํปีใ มํ กา นดทาง รุ ยิ คติ คือระ ําง ันที่
13-15 เม ายนของทกุ ปี (คาผุย พิลา ง ์, 2011: 67) แ ดงใ ๎เ ็น
าํ ประเพณี งกรานต์ใน ัฒนธรรมลา อี านนั้นมีค ามเชื่อมโยงกับ
ค ามเชื่อทางพุทธ า นาและค ามเชื่อตามโ รา า ตร์ท่ีเก่ีย ข๎อง
กับประเพณีการเปลีย่ นผํานของชํ งฤดูกาลน่ันเอง
มขี อ๎ งั เกต ํา ใน ัฒนธรรมอี านนั้นจะนับเดือนท้ัง ิบ อง
เดอื น เรยี กชอื่ ตามลาดับโดยเรมิ่ จากเดือนอ๎าย ( มายถึงเดือน นึ่ง)
ตรงกับเดือนธัน าคม เดือนย่ี (เดือน อง) ตรงกับเดือนมกราคม
เดือน ามตรงกับเดือนกุมภาพันธ์ เดือน ี่ตรงกับเดือนมีนาคม
เดือน ๎าตรงกับเดือนเม ายน เดือน กตรงกับเดือนพฤ ภาคม
เดือนเจ็ดตรงกับเดือนมิถุนายน เดือนแปดตรงกับเดือนกรกฎาคม
เดือนเก๎าตรงกับเดือน ิง าคม เดือน ิบตรงกับเดือนกันยายน
เดือน ิบเอ็ดตรงกับเดือนตุลาคม เดือน ิบ องตรงกับเดือน
พฤ จิกายน
~ 77 ~
ประเพณี งกรานต์ เป็น ันข้ึนปีใ มํของไทยท่ีบรรพชน
ของเราได๎กา นดยึดถือปฏิบัติกันมาเนิ่นนาน ืบทอดตํอกันมาจน
กลายเป็น ัฒนธรรมประจาชาติ เป็นค ามงดงามท่ีบํงบอกถึง
คณุ ลกั ณะของค ามเปน็ ไทยไดอ๎ ยํางแทจ๎ รงิ
ขบ นแมํ ญิงลา ถอื พานดอกไม๎ (อุ๎มต๎นดอกไม)๎ ในประเพณี งกรานต์เมอื ง ล งพระบาง
ประเท ลา เพื่อนาไป ักการะ ิ่ง ักดิ์ ิทธ์ิทางพุทธ า นาที่ประดิ ฐานอยูํตาม ัด า
อารามและ ถานทตี่ ํางๆ ในชมุ ชน ล งพระบาง
นอกจากการได๎เดินทางกลับมาพร๎อม น๎าพร๎อมตากันของ
บรรดาญาติพี่น๎องและครอบครั ในชํ งเท กาลแล๎ กิจกรรมอยําง
นึ่งท่ีทุกบ๎านทุกครั เรือนจะรํ มพร๎อมใจกันปฏิบัติ นั่นก็คือ การ
เขา๎ ดั ทาบุญ รงนา้ พระ ซ่ึงในอดีตมีค ามเชื่อ ําการนาดอกไม๎มา
ประเพณ~ีแ88ห่ต~้นดอกไม้
บูชาพระใน ัน งกรานต์ เป็นการบูชาพระรัตนตรัยนับเป็น ่ิงอัน
เป็นมงคล จะทาใ ๎อยูํดีมี ุข ฝนฟูาตกต๎องตามฤดูกาล นไรํนา
อุดม มบูรณ์ บ๎านเมืองมีค ามรํมเย็นเป็น ุข ปรา จากโรคภัยไข๎
เจบ็ ตาํ งๆ เกดิ ริ มิ งคลแกํตนเองและญาติพ่นี ๎อง
การเลํนน้าชํ งเท กาล งกรานต์ในประเพณีแ ํต๎นดอกไม๎ของชา บ๎านอาฮี อาเภอทําล่ี
จงั ัดเลย เชื่อ าํ เป็นการละเลํนท่ีเกี่ย เน่ืองกับการขอฟูาขอฝนเพ่ือทาใ ๎เกิดค ามอุดม
มบรู ณแ์ ละค ามเจริญรุํงเรอื งใ ๎เกดิ ข้นึ แกชํ มุ ชนบา๎ นเมือง
า รับประเพณีบุญเดือน ๎า รือบุญ งกรานต์ของ
ชา บ๎านอาฮี ตาบลอาฮี อาเภอทําลี่ จัง ัดเลย พบ ํามีกิจกรรม
เชงิ ประเพณีทมี่ คี ามโดดเดํนเป็นเอกลัก ณ์และมีค ามแตกตํางไป
จากชุมชนอ่ืน นั่นก็คือ ประเพณีแ ํต๎นดอกไม๎ ซึ่งชา บ๎านอาฮีนี้จะ
~ 99 ~
จัดขึ้นในทุกวันที่ 16 เม ายนของทุกปี แตํในชุมชนของชาวอี าน
ถิ่นอื่น ํวนใ ญํประเพณีน้ีมักนิยมจัดเป็นเพียงกิจกรรมเล็กๆ เชิง
พิธีกรรมซึ่งเรียกกันวํา “แ ํดอกไม๎” เทําน้ัน ดังท่ี าลี รัก ุทธี
(2555: 170) กลําววํา
“ตาม มู่บ้านบางแ ่งมีการแ ่ดอกไม้ภาย ลัง ันตรุ
งกรานต์ ่ นมากนิยมทากันใน ันเพ็ญเดือน ก พอถึง
ันเพญ็ เดอื น กพ่อใ ญ่มัคทายกจะป่า เดินบอกลูก ลาน
นุ่ม า คนเฒ่าคนแก่ ่า “ ันนี้ดีเด้อเป็น ันทาบุญแ ่
ดอกไม้ ลูกๆ ลานๆ พ่อแม่พ่ีน้องพากันไปแ ่ดอกไม้
ด้ ยกันเด้อ” พ่อใ ญ่มัคนายกจะเดินพูดไปเรื่อยๆ พอได้
เ ลาพ่อใ ญ่จะเป็นคนตีฆ้องเดินนา น้าพาลูก ลาน คน
เฒ่าคนแก่ไปเก็บเอาดอกไม้ตามทุ่งนา รือตามป่าใกล้บ้าน
พอไปถึงต้นดอกไม้พ่อใ ญ่จะกล่า คาขอดอกไม้เป็นคน
แรก ลังจากน้ันจึงใ ้ผู้เฒ่าผู้แก่ ลูกๆ ลานๆ เด็ดเอา
ดอกไม้ แล้ เดินตีฆ้องพร้อมร้องไชโย ไชโย ไปเรื่อยๆ พอ
มาถงึ ัดก็แ ่ดอกไม้รอบ าลา ัด 3 รอบ แล้ นาดอกไม้ไป
บูชาไ ้ท่ีธรรมา น์ ผู้นาก็จะพาชา บ้านร่ มกันไ ้พระ
เ รจ็ แล้ ก็จะแยกยา้ ยกันกลบั บ้าน”
ประเพ~ณแี 11ห00ต่ ้น~ดอกไม้
ประเพณีแ ํต๎นดอกไม๎ของกลํุมชาติพันธ์ุญ๎อ อาเภอทําอุเทน จัง วัดนครพนม ซึ่งจัดข้ึน
ในชํวงบุญเดือน ๎า คือบุญ งกรานต์เชํนกัน แตํทวํามีรูปแบบและลัก ณะต๎นดอกไม๎ที่
แตกตาํ งกบั ชุมชนบา๎ นอาฮี อาเภอทาํ ลี่ จงั วัดเลย
~ 1111 ~
ประเพณีแ ํต๎นดอกไม๎ รือบางคร้ังก็เรียกกัน ํา “บุญต๎น
ดอกไม”๎ ถือเป็นกจิ กรรมอยําง น่ึงในเชิงพิธีกรรมท่ีแทรกอยูํในงาน
ตรุ งกรานต์ รือประเพณี งกรานต์ท่ีถือปฏิบัติกันมาช๎านานแล๎
ซ่ึงในชุมชนอ่ืนแถบอี าน อาทิ บ๎านทํามะนา ตาบลนาอ๎อ อาเภอ
เมือง จัง ัดเลย ก็มีการปฏิบัติประเพณีนี้ด๎ ยเชํนกัน แตํอาจจะมี
ลัก ณะทีเ่ ป็นงานประเพณีภายใน มูํบ๎าน ต๎นดอกไม๎จึงมีขนาดเล็ก
และมจี าน นไมํมาก ดังทั นะ าํ
“ประเพณี งกรานต์ แ ่ต้นดอกไม้ แ ่ข้า พันก้อน เป็น
ประเพณีที่ชา บ้านท่ามะนา ปฏิบัติ ืบต่อกันมาต้ังแต่คร้ัง
เร่ิมต้ัง มู่บ้าน โดยใน ัน งกรานต์นั้น ันแรกจะนา
พระพุทธรูปใน ัดลงมาทาการ ระ รงที่ลาน ัด พอตกเย็น
ชา บ้านจะนาต้นดอกไม้ที่ตนทาจาก ญ้าคามัดใ ่ฐานไม้
ไผ่ แล้ ใช้ดอกจาปา (ลีลา ดี) ร้อยก้านทางมะพร้า เป็น
ช่อตกแต่งอย่าง ยงาม แล้ ทาการแ ่รอบ าลาการ
เปรียญ 3 รอบพร้อมตีฆ้อง ตีกลองและฟ้อนรากันไปอย่าง
นุก นาน เ ร็จแล้ จะนาต้นดอกไม้ไปต้ังถ ายบูชา
พระพุทธรูป การแ ่ต้นดอกไม้นี้มีกา นดการทาประมาณ
3-7 ัน เมื่อครบกา นดจะนาพระพุทธรูปกลับขึ้นไป
ประดิ ฐานบน าลาเช่นเดิมและในคืน ุดท้ายของการแ ่
ต้นดอกไม้นั้นจะมีการแ ่ข้า พันก้อน โดยนาข้า มาน่ึง
ประเพ~ณีแ11ห22่ต้น~ดอกไม้
แลว้ ทาการปัน้ เปน็ ก้อนให้ครบพันก้อน แล้วนาไปฝังไว้ตาม
บรเิ วณวดั ก่อนดวงอาทติ ย์ข้ึนเพ่ืออุทิศต่อดวงวิญญาณและ
เจ้ากรรมนายเวร” (เชดิ เกียรติ กลุ บตุ ร, 2558: 57)
ลัก ณะดังกลํา แ ดงใ ๎เ ็น ําชุมชนอ่ืนๆ โดยเฉพาะ
แถบจัง ัดเลยใน ลายพื้นท่ีก็มีการจัดกิจกรรมประเพณีแ ํต๎น
ดอกไมด๎ ๎ ย ซึ่งแ ดงใ ๎เ ็น ัฒนธรรมท่ีมีอยูํรํ มกันของผ๎ูคนในชํ ง
งานเท กาล งกรานต์ ร มถึง ิถีปฏิบัติที่เก่ีย โยงกับค ามเช่ือทาง
พุทธ า นาและค ามเชื่อด้ังเดิมของผ๎ูคน ดังเ ็นได๎จากมีการแ ํ
ข๎า พนั กอ๎ นร มอยใํู นพธิ ีกรรมชํ งบญุ งกรานต์ด๎ ย
~ 1133 ~
ต๎นดอกไม๎ท่ีมีคนหาม 4 คน ในขบวนแหํต๎นดอกไม๎ บ๎านอาฮี อาเภอทําล่ี จังหวัดเลย ซ่ึง
จะแหํในชวํ งเวลากลางวนั ในวันที่ 16 เมษายนของทุกๆ ปี
ประเพ~ณแี 11ห44ต่ น้~ดอกไม้
ต๎นดอกไม๎ขนาดใ ญํประมาณ 8-10 คน าม ในขบ นแ ํประเพณีแ ํต๎นดอกไม๎ในชํ ง
เท กาล งกรานต์บ๎านแ งภา อาเภอนาแ ๎ จัง ัดเลย เป็นประเพณีท่ีแ ํต๎นดอกไม๎ท่ี
จัดขนึ้ ในชํ งเ ลากลางคืน
การแ ํข๎า พนั กอ๎ น เป็นประเพณที าบญุ อยําง น่ึงที่ผ๎ูเฒําผ๎ู
แกํ มัยกํอนเชื่อ ํา ในรอบ นึ่งปีจะต๎องทาข๎า มาบูชาคุณ
พระพุทธเจ๎า ซึ่งเชื่อ ําการทาบุญน้ีจะ ํงผลใ ๎เกิดค ามรํมเย็นเป็น
ขุ มแี ตํค ามอุดม มบูรณเ์ กิดขึน้ ในบ๎านเมือง
นอกจากน้ี การแ ํข๎า พันก๎อนยังเป็นการเซํนไ ๎ ่ิงเ นือ
ธรรมชาติและอานาจ ักดิ์ ิทธ์ิตํางๆ ที่อยํูนอกเ นือจากพุทธ
า นาใ ๎เป็นผ๎ูดูแลคุ๎มครองผู๎คนและบ๎านเมือง โดยเฉพาะค าม
เชอื่ เรอื่ งผตี ํางๆ อาทิ ผีในธรรมชาติแ ดลอ๎ ม ผีบรรพบรุ ุ ที่จะ ํงผล
~ 1155 ~
ทาใ ๎ผีเ ลํานั้นเกิดค ามพึงพอใจแล๎ บันดาลค ามอยํูดีมี ุขและ
ค ามอดุ ม มบูรณ์ ทา นา๎ ท่เี ป็นอารัก ์บ๎านอารัก ์เมืองคอยค้าจุน
ดูแลและรัก าใ ๎เกิดค ามรํมเย็นเป็น ุข ในทานองเดีย กันชุมชน
บ๎านอาฮี อาเภอทําลี่ ก็มีการจัดประเพณี งกรานต์ตาม ัฒนธรรม
ของลา และอี านซง่ึ ถอื เปน็ ประเพณีท่มี มี าแตโํ บราณ และมีการแ ํ
ขา๎ พันกอ๎ นในคนื กํอนที่จะมีการแ ํต๎นดอกไม๎เชนํ กัน
ข๎า พนั ก๎อน เครอื่ ง ักการะในประเพณแี ขํ า๎ พนั กอ๎ น
เพื่อนาไปถ ายเปน็ พุทธบชู าตามค ามเช่ือทางพทุ ธ า นาพ้ืนบ๎าน
ประเพ~ณีแ11ห66ต่ น้~ดอกไม้
ราไพ กาแก๎ ( ัมภา ณ์, 15 เม ายน 2560) กลํา ถึง
ประเพณีแ ตํ ๎นดอกไมข๎ องชุมชนบา๎ นอาฮี อาเภอทําล่ี ํา “ประเพณี
แ ํต๎นดอกไม๎เป็นประเพณีของชุมชนที่มีมาช๎านาน จนไมํ ามารถ
บอกได๎ ําเกิดข้ึนเมื่อใด เพราะต้ังแตํผู๎เฒําผ๎ูแกํอายุรุํน 80 ปีข้ึนไป
ก็ล๎ นแตํบอกกลํา เลํา ําการแ ํต๎นดอกไม๎น้ีทากันมาตั้งแตํรุํนปุูยํา
ตายายมาแล๎ ในชํ งงานบุญ งกรานต์ชา บ๎านทั้ง มํูบ๎านก็จะมา
ร มกัน ร๎างฐานต๎นดอกไม๎ แล๎ ชํ ยกัน าดอกไม๎ตํางๆ ใน มูํบ๎าน
แล๎ นามาประดับประดาตกแตํงใ ๎เกิด ยงาม เป็นต๎นดอกไม๎
ขนาด ูงใ ญํ ลังจากน้ันพอ ั ค่าก็จะมาร มตั กัน แล๎ แ ํขบ น
ต๎นดอกไม๎ไปยัง ัดเพื่อถ ายพระ งฆ์เป็นพุทธบูชา” จากทั นะ
ข๎างต๎นจะเ ็นได๎ ําประเพณีแ ํต๎นดอกไม๎ในชุมชนอาฮีได๎มีการ ืบ
ทอดและปฏบิ ตั ิกันมาชา๎ นาน และมีค ามเกยี่ ข๎องกับค ามเชื่อทาง
พทุ ธ า นาใน ถิ ี ัฒนธรรมแบบพนื้ บา๎ นด๎ ย
ค ามเช่ือเก่ีย กับประเพณีแ ํต๎นดอกไม๎มี ลายประการ
ดังที่ าร าระทั นานันท์ (2542: 5129) เ นอใ ๎เ ็น ํา “การแ ํ
ดอกไม๎ใน มัยกํอน นอกจากทากันใน มํูบ๎านของตนเองแล๎ บาง
แ ํงยังมีการแ ํไปถ าย ัดใน มํูบ๎านอื่นและมีการแ ํไปตอบแทน
กันระ ําง มูํบ๎านด๎ ย การแ ํระ ําง มูํบ๎านนิยมทาในเ ลา
กลาง ัน โดยขบ นแ ํเดินทางตอนเช๎า พอ ายรา กํอนถ าย
อา ารเพลก็แ ํรอบ ัดพอดี และมีพระ งฆ์เป็นผู๎นาในการไปแ ํ
ด๎ ย เม่ือแ ํรอบโบ ถ์ 3 รอบแล๎ ก็นาต๎นดอกไม๎พร๎อมดอกไม๎ธูป
~ 1177 ~
เทียนที่ถือไปถวายพระ มีการไ ว๎พระ รับศีล กลําวคาถวายดอกไม๎
และฟังเทศน์ดังกลําวข๎างต๎น เม่ือเ ร็จพิธีก็ถึงเวลาถวายอา ารเพล
พอดี เม่ือขบวนแ ํต๎นดอกไม๎ มูํบ๎าน นึ่งไปแ ํอีก มูํบ๎าน น่ึง
ชาวบ๎านเจ๎าของวัดจะมาต๎อนรับพร๎อมกับเล้ียงข๎าวปลาอา าร การ
ทาบุญเชํนน้ี นอกจากได๎บุญกุศลแล๎วยังกํอใ ๎เกิดความรักใครํ
ามคั คขี องประชาชนใน มบูํ ๎านเดียวกนั และ มํบู ๎านใกล๎เคียง”
ขบวนแ ตํ ๎นดอกไม๎ชมุ ชนบา๎ นอาฮี ซึ่งประชาชนจานวนมากตํางมารวมตวั กันท่ีบริเวณลาน
วัดศิริมงคล เพ่ือนาต๎นดอกไม๎ไปถวายเป็นพุทธบูชาแดํพระรัตนตรัย อันได๎แกํพระพุทธ
พระธรรม และพระ งฆ์
ประเพ~ณีแ11ห88ต่ น้~ดอกไม้
อยํางไรก็ตาม ความเชื่อเก่ียวกับดอกไม๎ รือต๎นดอกไม๎ใน
วัฒนธรรมทางพุทธศา นานั้นมีปรากฏใ ๎เ ็นมานับตั้งแตํครั้น
พุทธกาลมาแล๎ว ความ ัมพันธ์ระ วํางดอกไม๎กับพระพุทธเจ๎าน้ัน
นับเป็น ิ่งท่คี ํูกนั มานาน
พระพุทธเจ๎าประ ูติ แลว๎ มดี อกบวั มารองรับการเดินทง้ั 7 กา๎ วของพระพุทธองค์ พร๎อมทั้ง
เ ลาํ เทพเทวดา พระพร มตํางก็ได๎รวํ มกันโปรยปราย มํูดอกไม๎บุปผชาตินานาเพื่อแ ดง
การ ักการะตํอพระ ัมมา ัมพุทธเจ๎า
~ 1199 ~
ดงั จะเ น็ ได๎จากใน นงั ือพระปฐม มโพธิกถา พระนิพนธ์
กรม มเด็จพระปรมานุชิตชิโนร ฯ กลํา ถึงลางบอกเ ตุอั จรรย์
รอื บุพนมิ ติ 32 ประการ เมอ่ื พระม าโพธิ ัต ์ รือพระพุทธเจ๎าได๎
เ ด็จปฏิ นธิในครรภพ์ ระมารดา ซ่ึงเกิดปรากฏการณอ์ ยาํ ง น่ึง น่ัน
ก็คือ ดอกไม๎นานาพันธุ์ ร มทั้งดอกบั ใน ระพากันเบํงบาน เ ลํา
ต๎นไม๎ตํางออกดอกออกผล เกิดฝนทิพย์ประกอบด๎ ยม ลดอกไม๎
บุปผชาติตกลงมาจากฟากฟาู (ธนากติ , 2544: 29) รอื ในครา เมื่อ
พระพุทธเจ๎าประ ูติจากครรภ์พระมารดาก็พบ ํา ท๎า ม าพร มก็
ทรงทิพยเ ตฉัตรกางกั้น เ ลําเทพเท าท่ีเ ด็จมาเฝูาตํางก็โปรย
ปรายดอกไม๎บปุ ผชาตินานาและของ อมเพื่อเป็นพุทธบูชาเชํนกัน
ลัก ณะดังกลํา น้ี ะท๎อนใ ๎เ ็นโลกทั น์ของชา พุทธ
ทั้ง ลายที่มอง ํา ดอกไม๎ที่เบํงบานชูชํองดงามอยูํในบ๎านเมืองของ
ตนและมีค ามอุดม มบูรณ์มากมายน้ัน ื่อใ ๎เ ็นถึงค าม
เจริญรุํงเรืองของบ รพระพุทธ า นาด๎ ยประการ นึ่ง ดังนั้น
ประเพณแี ตํ ๎นดอกไม๎ รือการนาพ งดอกไม๎มาลาท่ีงดงามไปถ าย
เป็นพุทธบูชาแดํพระพุทธรูปและพระ งฆ์จึงแ ดงใ ๎เ ็นค ามคิด
ค ามเช่ือทเ่ี กี่ย เน่ืองกบั พระพทุ ธ า นาใน ิถี ัฒนธรรมชุมชนและ
ทอ๎ งถิน่ ไดเ๎ ป็นอยํางดี
นอกจากนี้ใน ัฒนธรรมของชุมชนอ่ืนละแ กใกล๎เคียงของ
จงั ัดเลยก็พบ าํ การแ ํต๎นดอกไม๎เป็นประเพณีนั้นเกิดจากค าม
เช่อื ถอื ที่ปฏบิ ัตกิ ันไมํนอ๎ ยก ํา 4 ต รร มาแล๎ ดงั กรณีชุมชนบ๎าน
ประเพ~ณีแ22ห00่ต้น~ดอกไม้
แ งภา อาเภอนาแ ๎ จัง ัดเลย พบ ําประเพณีแ ํต๎นดอกไม๎ มี
การแ ํตัง้ แตํกํอ ร๎าง ัดแล๎ เ รจ็ จนถึงปจั จุบันนับเนื่องมาก ํา 400
ปีมาแล๎ ชา บ๎านเกิดค ามเชื่อถือ รัทธา ํา การนาดอกไม๎มาบูชา
พระท่ีชา ไทยถือ ํา ัน งกรานต์เป็น ันข้ึนปีใ มํ การบูชาพระ
รัตนตรัยด๎ ยดอกไม๎ถือเป็น ่ิงอันมงคล ด๎ ยการเก็บดอกไม๎ท่ี
ยงามที่ ุดเป็นดอก เป็นชํอ และพัฒนาเป็นพานพํุม เป็นพาน
บาย รี ขัน มากเบ็งขนาดเล็กและขนาดใ ญํ จนพัฒนาไปถึงการ
ทาโครงด๎ ยไม๎เรียก ํา “ต๎นดอกไม๎” ขนาดเล็กถือคนเดีย ขนาด
กลางใช๎คน าม 4 คน และขนาดใ ญํใช๎คน าม 6-10 คน โดย
ชา บ๎านมีค ามเช่ือถือกัน ําเป็น ิริมงคล ท่ีได๎นาดอกไม๎มาบูชา
พระรัตนตรัย เพ่ือขอใ ๎อยํูดีมี ุข ใ ๎ฝนตกต๎องตามฤดูกาล ใ ๎ข๎า
กล๎าในนาอุดม มบูรณ์ บ๎านเมืองรํมเย็นเป็น ุข ปรา จากโรคภัยไข๎
เจ็บ ั ค าย ัต ์เลี้ยงขยายคอกออกผล มบูรณ์ ( นัง ือพิมพ์
คมชัดลกึ , 15 เม ายน 2560)
จากการ าร จในพื้นท่ีภาคอี านนั้นพบ ํา ในปัจจุบัน
ประเพณีแ ํต๎นดอกไม๎ท่ีถือปฏิบัติกันเชิงประเพณีที่มีค ามโดดเดํน
และจัดเป็นกิจกรรมใ ญํโตใน ัน งกรานต์น้ันมีอยูํ 2 แ ํง ได๎แกํ
ชุมชนบ๎านแ งภา อาเภอนาแ ๎ จัง ัดเลย และชุมชนบ๎านอาฮี
อาเภอทําลี่ จัง ัดเลย แตํอยํางไรก็ตามทั้ง 2 ชุมชนน้ันก็มีรูปแบบ
และลัก ณะของการจัดประเพณีแ ํต๎นดอกไม๎ท่ีแตกตํางกัน ท่ีเ ็น
เดํนชัดก็คือ ประเพณีแ ํต๎นดอกไม๎ของบ๎านแ งภานั้นจะเป็นการ
~ 2211 ~
แ ํต๎นดอกไม๎ขนาดใ ญํโดยจัดข้ึนในชํวงเวลากลางคืน ํวนกรณี
บ๎านอาฮี อาเภอทาํ ล่ี จะเปน็ การแ ํต๎นดอกไมข๎ นาดกลาง คือ 4 คน
าม และจะจัดกันในชํวงเวลากลางวัน ดังมีคากลําววํา “ดูต้น
ดอกไมแ้ สงภากลางคนื แล้วไปดูต้นดอกไมอ้ าฮีกลางวัน”
ต๎นดอกไม๎ขนาด ูงใ ญํใช๎คน ามประมาณ 6-8 คน ในงานประเพณีแ ํต๎นดอกไม๎ของ
ชมุ ชนบา๎ นแ งภา อาเภอนาแ ๎ว จัง วดั เลย
ถึงแม๎ในอดีตบ๎านอาฮีจะมีการจัดประเพณีแ ํต๎นดอกไม๎
ในชํวงกลางคืนและเคยใช๎รูปแบบต๎นดอกไม๎ที่ ูงใ ญํคล๎ายกับ
ชุมชนบ๎านแ งภา อาเภอนาแ ๎วด๎วยก็ตาม แตํทวําในปัจจุบันน้ันก็
มีการปรับเปลี่ยนไปแล๎ว อยํางไรก็ตามได๎มีการพยายามท่ีจะร้ือฟ้ืน
ประเพณีแบบเกําข้นึ มาคือ การแ ํต๎นดอกไม๎ในชุมชนบ๎านอาฮีท่ีจัด
ข้นึ ในชํวงเวลา ัวค่าด๎วยเชํนกัน แตํต๎นดอกไม๎ก็ใช๎ขนาด 4 คน าม
ดังนัน้ จึงอาจกลาํ วได๎วาํ การแ ํต๎นดอกไม๎ในชุมชนบ๎านอาฮีน้ันมีทั้ง
แบบเกําโบราณและแบบประยุกต์เพ่ือใช๎ในการประกวดแขํงขันกัน
ประเพ~ณีแ22ห22ต่ น้~ดอกไม้
ใ น ชุ ม ช น ต า บ ล โ ด ย มี ห ล า ย ห มูํ บ๎ า น ม า รํ ว ม กั น จั ด กิ จ ก ร ร ม เ ชิ ง
ประเพณีนด้ี ว๎ ย ดงั พบเห็นไดใ๎ นปจั จบุ นั
ขบวนแหํต๎นดอกไม๎ของชุมชนบ๎านอาฮี อาเภอทําลี่ เม่ือวันที่ 15 เมษายน 2560 ที่กลํุม
ชาวบ๎านได๎รื้อฟ้ืนการแหํต๎นดอกไม๎ในชํวงกลางคืนเพื่อนาไปถวายวัดเป็นพุทธบูชาตาม
รปู แบบจารีตประเพณใี นอดีตท่ีเคยปฏิบัตกิ นั มา
~ 2233 ~
ตน๎ ดอกไมใ๎ นชุมชนอาฮีได๎มีการพัฒนาเปล่ียนแปลงในด๎าน
รูปแบบมาโดยตลอด ซ่ึงจากการพูดคุย ัมภา ณ์ผ๎ูรู๎และปราชญ์ใน
ชมุ ชนกอ็ าจแบํงลัก ณะรูปแบบของต๎นดอกไม๎ในงานบุญ งกรานต์
ออกได๎เป็น 2 รูปแบบ ได๎แกํ ต๎นดอกไม๎ในยุคต๎นและต๎นดอกไม๎ใน
ยุคพัฒนา
ต๎นดอกไม๎ในยุคต๎นทาจากโครงไม๎ไผํในชุมชน แตํท ํามี
ขนาดเล็ก ามารถใช๎คน ามเพียง 2 คนก็ได๎ การประดับประดา
ตกแตํงดอกไม๎ก็จะไมํมีรูปแบบเป็นระเบียบเรียบร๎อย ไมํมีการ
ออกแบบล ดลายแตํอยํางใด และที่ าคัญนิยมใช๎ดอกไม๎แบบ
พื้นบ๎าน อาทิ ดอกจาปาลา (ลีลา ดี) ดอกคูน ดอกบานไมํรู๎โรย
ดอกรัก เป็น ลัก แล๎ ตํอมาในยุคต๎นเองก็มีพัฒนาข้ึนจนกลายเป็น
ต๎นดอกไม๎ขนาดใ ญํประมาณ 6-8 คนแบก แตํภาย ลังเม่ือมีเ า
ไฟฟูา ายไฟใน มํูบ๎านจึงเป็นปัญ ากับต๎นไม๎ขนาด ูงใ ญํ ด๎ ย
เ ตุนี้จึงมีการปรับเปลี่ยนมาเป็นต๎นดอกไม๎ในยุคพัฒนาท่ีมีการ
เปลี่ยนแปลงมาเป็นโครงไม๎ไผํ บางคร้ังก็มีการทาโครงไม๎ไผํเ ริม
โครงเ ล็กเข๎าไปด๎ ย แตํใช๎คน ามเพียง 4 คน และ ูงไมํเกิน 2
เมตรคร่ึง การตกแตํงประดับประดาดอกไม๎ก็มักนิยมที่จะใ ๎เกิด
ค ามเป็นระเบียบเรียบร๎อย เน๎นการออกแบบตกแตํงใ ๎เป็น
ล ดลายตํางๆ มีการใช๎ดอกไม๎ชนิดอื่นๆ ลาก ลายเพิ่มขึ้น เชํน
ดอกดา เรือง ดอกจาปา ลาก ี ดอกกล๎ ยไม๎ และมีงาน ิลปะ
ใบตอง มีการร๎อยเป็นพ งมาลยั ดอกรกั เขา๎ มาเพิม่ เตมิ ด๎ ย
ประเพ~ณแี 22ห44่ต้น~ดอกไม้
ํ นขบ นแ ํต๎นดอกไม๎ก็มีการพัฒนาเปล่ียนแปลงไปจาก
รูปแบบของการจัดขบ นแ ํในอดีตเชํนกัน โดยต๎นดอกไม๎ในยุค
พัฒนานัน้ มขี บ นฟูอนเป็นร้ิ ขบ น มีการออกแบบทําราทําฟูอนใ ๎
เกิดค าม ยงามที่เน๎นเร่ืองของค ามพร๎อมเพรียง ค ามเป็น
ระเบียบ ลัก ณะการแตํงกายของคณะฟูอนก็ต๎องมีค ามเป็น
ระเบียบเรียบร๎อย อีกท้ังการ ามแ ํต๎นดอกไม๎ของคาน ามทั้ง 4 คน
กจ็ ะต๎องมีลีลาการโยกย๎ายและจัง ะในการเดินการเต๎นที่จะทาใ ๎
ต๎นดอกไม๎เ มือนกับมีการเคล่ือนไ ไปมา เพื่อกํอใ ๎เกิดค าม
ยงามเชํนกัน ท้ังน้ีขบ นแ ํต๎นดอกไม๎ในยุค ลังๆ นี้ การจัดงาน
เกิดจากค ามรํ มมอื ของชุมชน มํูบ๎านภายในตาบลอาฮีรํ มกัน ซ่ึง
มีอยํูถึง 11 มํูบ๎าน โดยมีองค์การบริ าร ํ นตาบลอาฮีเป็นผ๎ูนา
าคญั ร มท้ัง นํ ยงานราชการระดบั จัง ดั ด๎ ย
ประเพณีแ ํต๎นดอกไม๎ในชุมชนอาฮีจึงถือเป็นอีก น่ึงงาน
ประเพณีที่ยิ่งใ ญํในอาเภอทําล่ี จัง ัดเลย และเป็นงานประเพณี
ระดับจัง ัดที่กาลังได๎รับการ ํงเ ริมใ ๎กลายเป็นประเพณี
ระดับประเท ด๎ ย ซึ่งในปี พ. .2560 นั้น ทางชุมชนอาฮีได๎จัดร้ิ
ขบ นแ ํต๎นดอกไม๎อยํางยิ่งใ ญํอลังการ เน๎นค าม ยงามเพ่ิม
มากข้ึน นํ ยงานภาครัฐและภาคเอกชนท้ังภายในอาเภอและ
จงั ดั ก็ได๎เข๎ามา นบั นนุ งานประเพณีนี้อยํางเป็นรูปธรรมยงิ่ ข้นึ
จากขอ๎ มลู ข๎างต๎น จึงอาจกลํา ได๎ ําประเพณีแ ํต๎นดอกไม๎
ในชมุ ชนอาฮี อาเภอทําลี่ จัง ัดเลย ซ่ึงถือปฏิบัติ ืบทอดตํอกันมา
~ 2255 ~
ตั้งแตํอดีตจนถึงปัจจุบัน แ ดงใ ๎เ ็นถึงค ามคิดค ามเช่ือ
ตลอดจน ิถีชี ิต ัฒนธรรมของกลุํมชนในชุมชนท๎องถิ่นแ ํงน้ี ซ่ึง
เป็นกิจกรรมท่ี ามารถตอบ นองทางด๎านจิตใจใ ๎แกํผ๎ูคนใน ังคม
ได๎ ด๎ ยเ ตนุ ีค้ ามเชื่อจึงได๎ ่ัง ม ืบทอดกันมา ลายยุค ลาย มัย
อีกทั้งรูปแบบและลัก ณะของขบ นแ ํต๎นดอกไม๎ในยุคอดีตกับยุค
ปัจจุบันก็มีค ามแตกตํางกันอยํางเ ็นได๎ชัด ซ่ึงเป็นการช้ีใ ๎เ ็น
ปรากฏการณ์ทาง ังคม ัฒนธรรมที่มีการเปลี่ยนแปลง มีค ามคิด
ร๎าง รรค์ ตลอดจนมีการถํายทอดและ ร๎างใ มํทาง ัฒนธรรม
ด๎านประเพณีในชุมชนใ ๎มีค าม ืบเน่ืองตํอไป และท๎าย ุดยัง
ามารถใช๎เป็นแ ลํงทรัพยากร รือเป็นกิจกรรม ํงเ ริมและ
นบั นนุ ทางการทอํ งเทีย่ เชิง ฒั นธรรมในชุมชนได๎เป็นอยาํ งดยี ิ่ง
ด๎ ยเ ตุนี้ องค์การบริ ารการพัฒนาพ้ืนที่พิเ เพื่อการ
ทํองเที่ย อยํางยั่งยืน (องค์การม าชน) านักงานพ้ืนที่พิเ เลย
รํ มกับ ถาบัน ิจัย ิลปะและ ัฒนธรรมอี าน ม า ิทยาลัย
ม า ารคาม จึงได๎ตระ นักถึงคุณคําของข๎อมูลทาง ัฒนธรรม
เก่ีย กับประเพณีแ ํต๎นดอกไม๎ของชุมชนอาฮี อาเภอทําลี่ ซึ่งเป็น
พื้นท่ี นึ่งในโครงการพัฒนาและ ํงเ ริม นับ นุนชุมชนที่อยํูใน
เ ๎นทางการทํองเที่ย เลียบฝ่ังแมํน้าโขง อันเป็นชุมชนที่ต้ังอยูํใน
อาณาบริเ ณชายแดนไทย-ลา ซ่ึงนับเป็นฐานและทรัพยากร
ทางด๎านการทํองเที่ย ที่นํา นใจ อีกท้ังพ้ืนที่ดังกลํา ยังเป็นชุมชน
ประเพ~ณแี 22ห66ต่ น้~ดอกไม้
เกําแกํที่มี ลาก ลายเรื่องรา ทางประ ัติ า ตร์ ประเพณีและ
ัฒนธรรมทน่ี าํ นใจ
ดังนั้น คณะผ๎ู ึก าจึงได๎ทาการค๎นค ๎าและเรียบเรียงเป็น
นัง ือชุดค ามร๎ูเก่ีย กับประเพณีแ ํต๎นดอกไม๎ในชุมชนอาฮีเพื่อ
เปน็ แน ทางในการอนุรัก ์และเผยแพรํค ามรู๎เร่ืองประเพณีแ ํต๎น
ดอกไม๎ของชุมชนอาฮี อาเภอทําลี่ จัง ัดเลยอันเป็นมรดกทาง
ัฒนธรรมอยําง นึ่งของชุมชนท๎องถ่ิน ร มท้ังยัง ามารถใช๎เป็น
ฐานข๎อมูลในการ ึก าค๎นค ๎าและพัฒนา ักยภาพทางด๎านการ
ทอํ งเที่ย ของชมุ ชนอยํางยัง่ ยนื ตํอไป
~ 2277 ~
2. รจู้ กั อาเภอท่าล่ี จงั หวัดเลย
ในการ ึก าค๎นค ๎าประเพณีแ ํต๎นดอกไม๎ของชา ชุมชน
อาฮีในคร้ังนี้ นอกจากจะใ ๎เกิดค ามเข๎าใจและมองเ ็นเร่ือง
ประเพณีแ ํต๎นดอกไม๎เป็นเบื้องต๎นแล๎ ยังเป็นการร บร มค ามรู๎
เกี่ย กับชุมชนอาฮี อาเภอทําลี่ ซึ่งเป็นชุมชนท่ีตั้งที่มีการจัด
กิจกรรมเชิงประเพณีน้ี ดังนั้นผ๎ูเขียนจึงขอกลํา ถึงค ามร๎ูท่ั ไป
เกี่ย กับอาเภอทําล่ีและชุมชนบ๎านอาฮี ร มท้ัง ถานท่ี าคัญและ
ถานที่ทํองเทย่ี ของชุมชน ดังมรี ายละเอียดตํอไปน้ี
อาเภอทา่ ล่ี
คา ํา “ไทเลย” นั้นเป็นชื่อเรียก “คนเมืองเลย” ใน
ประ ัติ า ตร์บันทึกไ ๎ ํา คนเมืองเลยคือกลุํมชนท่ีอพยพจาก
ชายแดนตอนเ นือของอาณาจักร ุโขทัย ซึ่ง ืบเช้ือ ายมาจากไท
ล งพระบางเข๎ามาตั้งถ่ินฐานอยูํท่ีเมืองเซไล (บ๎านทรายขา
อาเภอ ัง ะพุงในปัจจุบัน) ในปี พ. .2396 ซึ่งตรงกับ มัยรัชกาลที่
4 ตํอมาได๎ย๎ายมาอยูํท่ีบ๎านแ ํ (บ๎านแฮํในปัจจุบัน) ได๎ตั้งบ๎านเรือน
เรียก ํา เมืองเลย นับตั้งแตํน้ันเป็นต๎นมา เมืองเลยก็ได๎ร มตั กัน
เป็นเมืองใ ญํ โดยการร มตั ของอาเภอกุดปุอง อาเภอทําล่ีซ่ึง
ขึ้นกับมณฑลอุดร อาเภอดํานซ๎ายซ่ึงข้ึนกับมณฑลพิ ณุโลก เมือง
ประเพ~ณีแ22ห88ต่ ้น~ดอกไม้
เชียงคานซง่ึ ข้นึ กับเมอื งพชิ ัย อาเภอตํางๆ เ ลํานี้จึงโอนขึ้นกับเมือง
เลยท้ัง มดต้ังแตํ พ. .2450 เป็นต๎นมา (ไทยโรจน์ พ งมณี, 2554:
8) แ ดงใ ๎เ ็น ํา ผู๎คนในจัง ัดเลยมา ลาก ลายกลํุมและเป็น
ชุมชนท่ีมีการร มพ้ืนที่ในแถบลํุมแมํน้าเ ือง แมํน้า มัน แมํน้าโขง
แมํน้าคานเข๎ามาเป็น ํ น น่ึงของการตั้งถิ่นฐานเป็นบ๎านเป็นเมือง
ของจงั ัดเลยในปจั จุบัน
ด๎ ยเ ตุท่ีการจัดงานประเพณีแ ํต๎นดอกไม๎ท่ีชุมชนบ๎าน
อาฮี เป็นงานประเพณีที่โดดเดํนและเป็นงานประเพณีท่ีปฏิบัติ ืบ
ทอดกันมาเป็นเ ลายา นาน ดังนั้นเพื่อเป็นการ ร๎างค ามเข๎าใจ
เกี่ย กับภาพร มของพ้ืนที่ ึก า น่ันก็คือ อาเภอทําลี่ ใน ั ข๎อน้ี
ผ๎เู ขียนจึงได๎กลํา ถึง ภาพทางภูมิ า ตร์ ประ ัติ า ตร์ ประชากร
ถานท่ี าคัญ ตลอดจน ิลปะและ ัฒนธรรมประเพณีในชุมชน
อาเภอทําล่ี ตามลาดับดงั น้ี
คาขวัญประจาอาเภอ
“พระธาตุ ัจจะเป็น ักด์ิ รี เมืองคนดมี คี ุณธรรม
ยัก ์ ูงใ ญํ แกงํ โตนนา้ ใ น้าตก ๎ ยไค๎ ูงชัน
อดุ มพชื พนั ธุ์นานา มญา าํ “แผนํ ดนิ ทอง”
ในปัจจุบันที่ต้ังของอาเภอทําล่ี ซึ่งเป็นชุมชนชายแดน
อาเภอ น่ึงของจัง ัดเลย ภาพภูมิ า ตร์ของอาเภอต้ังอยูํในท่ี
ราบเขตภูเขา ูงโดยมีภูเขาล๎อมรอบ มีลาน้า ลาย ายและมีที่ราบ
~ 2299 ~
ตาม ุบเขา พื้นท่รี าบนัน้ เปน็ แ ลงํ เพาะปลูกบาง ํวน ท้ังเป็นที่นาที่
ไรปํ ลูกข๎าว วนยาง พืชไรํตํางๆ และยังเป็นที่ตั้งถิ่นที่อยูํอาศัยของ
ผูค๎ นซึง่ ไดล๎ ง ลกั ปกั ฐานทากนิ มาเปน็ เวลาช๎านานแล๎ว
ภาพภูมิประเทศพ้ืนท่ีท้ัง มดของอาเภอทําล่ี โดยทั่วไป
ทางภูมิศา ตร์ ประกอบด๎วยภูเขาและเนินเขา มีท่ีราบลุํมร๎อยละ
20 ของพ้นื ท่ที ัง้ มด คอื ประมาณ 136 ตารางกิโลเมตรเทําน้ัน โดย
พื้นท่ีราบลํุมจะอยูํตามบริเวณแนวริมฝ่ังแมํน้าเ ือง ใน ํวนท่ีเป็น
ภูเขา ูงนั้น ํวนใ ญํจะอยูํตรงบริเวณรอยตํอระ วํางอาเภอภูเรือ
อาเภอเมอื งเลย และอาเภอเชียงคาน
ภาพภูมิศา ตร์ของอาเภอทําลี่ เปน็ พน้ื ท่ีราบท่ีมีภเู ขาลอ๎ มรอบ
ประเพ~ณแี 33ห00่ต้น~ดอกไม้
รมิ ฝั่งแมํน้าเ ืองชํวงฤดูน้า ลาก แมนํ ้า ายนี้ท่เี ปน็ เ ๎นกนั้ เขตแดนระ วํางประเทศไทยกบั
ปป.ลาว มรี ะยะทางประมาณ 110 กโิ ลเมตร
พ้ืนที่ราบใน ุบเขาซึ่งเป็นที่ตั้งของตัวอาเภอทําลี่นับเป็น
พ้ืนที่ที่มีขนาดกว๎างเ มาะแกํการเพาะปลูก มีแมํน้าคานเป็นแมํน้า
าย ลัก ลัดเลาะเลียบผํานตัวอาเภอออกไปบ๎านเมี่ยง บ๎าน
ขอนแกํน บ๎าน นองผือแล๎วไ ลไปตกเพื่อบรรจบกับแมํน้าเ ืองใน
เขตตาบล นองผือ ํวนทางด๎านทิศตะวันตกของพื้นที่ตัวอาเภอก็มี
แมํน้าเ ืองซ่ึงเป็นแมํน้า าย ลักอีก าย น่ึงและเป็นเ ๎นกั้นเขต
แดนระ วํางไทยกับลาวตรงพ้ืนท่ีระ วํางอาเภอทําล่ีและเมืองแกํน
ทา๎ ว แขวงไชยะบลุ ี ปป.ลาว
~ 3311 ~
ภาพแวดล๎อมของท่ตี ั้งอาเภอทําล่ี เปน็ พื้นทร่ี าบและมภี ูเขาล๎อมรอบ ซึ่งอยูํติดกับแมํน้า
คานท่ีมีเ ๎นทางการไ ลลงไป ูํลาแมนํ ้าโขง
ประเพ~ณแี 33ห22ต่ น้~ดอกไม้
อาเภอท่าล่ี
ภาพที่ 17 แผนทีแ่ ดงพน้ื ทตี่ ิดตํอและอาณาเขตของอาเภอทําล่ี จงั วัดเลย
อาเภอทําลี่เป็นอาเภอ น่ึงของจัง วัดเลย ตั้งอยูํทางทิศ
ตะวันตกของจัง วัด ํางราว 51 กิโลเมตร มีพ้ืนท่ีประมาณ 683
ตารางกิโลเมตร จานวนประชากรราว 27,700 คน แบํงการ
ปกครองออกเป็น 6 ตาบล 41 มํูบ๎าน คือ ตาบลทําลี่ 9 มูํบ๎าน
ตาบล นองผือ 10 มํูบ๎าน ตาบลอาฮี 6 มูํบ๎าน ตาบลน้าแคม 6
มูํบ๎าน ตาบลโคกใ ญํ 5 มูํบ๎าน และตาบลน้าทูน 5 มูํบ๎าน
ํวนการปกครอง วํ นท๎องถิ่น ทอ๎ งท่ีอาเภอทาํ ลีป่ ระกอบด๎วยองค์กร
~ 3333 ~
ปกครอง ํวนท๎องถ่ิน 6 แ ํง ได๎แกํ เทศบาลตาบลทําล่ี ครอบคลุม
พื้นท่ีบาง ํวนของตาบลทําลี่ องค์การบริ าร ํวนตาบลทําลี่
ครอบคลุมพ้ืนที่ตาบลทําล่ี (เฉพาะนอกเขตเทศบาลตาบลทําล่ี)
องค์การบริ าร ํวนตาบล นองผือ ครอบคลุมพื้นท่ีตาบล นองผือ
ท้ังตาบล องค์การบริ าร ํวนตาบลอาฮี ครอบคลุมพื้นท่ีตาบลอาฮี
และตาบลน้าทูนท้ังตาบล องค์การบริ าร ํวนตาบลน้าแคม
ครอบคลุมพื้นท่ีตาบลน้าแคมทั้งตาบล และองค์การบริ าร ํวน
ตาบลโคกใ ญํ ครอบคลมุ พืน้ ทต่ี าบลโคกใ ญทํ งั้ ตาบล
พื้นที่ติดตํอและอาณาเขตของอาเภอทําล่ี ประกอบด๎วย
ทิศเ นือติดตํอกับแขวงไชยะบุลี ( ปป.ลาว) ทิศตะวันออกติดตํอ
กับอาเภอเชียงคานและอาเภอเมืองเลย ทิศใต๎ติดตํอกับอาเภอภูเรือ
และทิศตะวนั ตกติดตอํ กับแขวงไชยะบุลี ปป.ลาว
ประเพ~ณีแ33ห44่ตน้~ดอกไม้
ปาู ยบอกเ น๎ ทางไปยังอาเภอทําล่ี และเ ๎นทางเชื่อมโยงไปยังเมืองไชยบุรีและเมือง ลวง
พระบาง ปป.ลาว
เ ๎นทางติดตํอกับอาเภอทําล่ีใช๎การเดินทางตามถนน
เ ๎นทางที่ าคัญคือ ทําลี่-เลย ผํานถนน มายเลข 2115 ระยะทาง
ประมาณ 51 กิโลเมตร ทําลี่-ดํานซ๎าย ผํานถนน มายเลข 2399
ระยะทางประมาณ 71 กิโลเมตร และผํานถนน มายเลข 2195
และ 2114 ระยะทางประมาณ 78 กิโลเมตร ทําลี่-เชียงคาน ผําน
ถนน มายเลข 2195 ระยะทางประมาณ 43 กิโลเมตร ทําล่ี-ภูเรือ
ผํานถนน มายเลข 2399 ระยะทางประมาณ 53 กิโลเมตร และทํา
ลี่-บ๎านนากระเซ็ง จุดผํานแดนถาวร ะพานมิตรภาพแมํน้าเ ือง
ไทย-ลาว รือเรยี กอีกอยาํ ง น่งึ วาํ “ดํานพรมแดนบ๎านนากระเซ็ง”
~ 3355 ~
ระยะทางประมาณ 15 กิโลเมตร ต้ังอยํูในตาบลอาฮี อาเภอทําลี่
เป็นดํานพรมแดนไทย-ลาว เพื่อเช่ือมตํอเ ๎นทาง ลวง มายเลข 4
Route 4 (Laos) ของ ปป.ลาว ในแขวงไชยะบุลี ซึ่ง ามารถ
เดินทางไปยังเมืองแกํนท๎าวและเมือง ลวงพระบาง อีกทั้งยังเป็น
ประตูไป ูํเมืองตํางๆ เพ่ือการค๎าและการทํองเท่ียวทั้งใน ปป.ลาว
และตํอไปยังเวียดนามและจีนได๎
ดํานพรมแดน ากลบา๎ นนากระเซ็ง อาเภอทําลี่ จัง วดั เลย พรมแดนแมนํ า้ เ อื งเ ๎นก้นั
แดนระ วาํ งไทยกับลาว และเปน็ เ ๎นทาง ํเู มืองมรดกโลก ลวงพระบาง ปป.ลาว
ประเพ~ณีแ33ห66ต่ น้~ดอกไม้
สถานทีส่ าคญั และทรัพยากรการท่องเท่ียว
ากพูดถึงแ ลํงทํองเที่ยวในจัง วัดเลยท่ีร๎ูจักกันในกลํุม
นักทํองเที่ยว ํวนใ ญํแล๎ว จะพบวําอาเภอทําล่ีน้ันอาจจะไมํเป็นท่ี
ร๎ูจัก รือถูกกลําวถึงกันมากนัก เมื่อเทียบเคียงกับอาเภออื่นๆ ใน
จัง วัด ไมํวําจะเป็นอาเภอวัง ะพุง ภูเรือ ภูกระดึง เชียงคาน และ
ดํานซา๎ ย เป็นต๎น
อาเภอทําลี่ เป็นอาเภอเล็กๆ ซ่ึงแม๎จะไมํคํอยอุดมไปด๎วย
ความงดงามทางธรรมชาติ รือเป็นแ ลํงวัฒนธรรมเกําแกํ แตํความ
งบเงียบของอาเภอทําล่ีก็เป็นเ นํ ์อยําง นึ่งท่ี ามารถเช้ือเชิญใ ๎
ผ๎ูชื่นชอบความเรียบงํายของวิถีชนบทต๎องเดินทางมาเย่ียมเยือน
โดยเฉพาะ มูํบ๎านริมลาน้าเ ือง ซึ่งเป็นพ้ืนที่ที่ต้ังอยูํตามแนว
พรมแดนไทย-ลาวที่ยังคง ืบทอดวิถีชีวิตและวัฒนธรรมพ้ืนบ๎าน
แบบพ้นื ถิ่นไวอ๎ ยํางมนั่ คง
จากการ ารวจ ถานที่ าคัญและแ ลํงทรัพยากรทางการ
ทํองเที่ยวของอาเภอทําลี่ พบวํามีทั้งแ ลํงที่นักทํองเท่ียว ํวนใ ญํร๎ู
กันบ๎างแล๎ว และ ลายแ ลํงก็เพิ่งเริ่มเป็นที่รู๎จักและได๎รับความ
นใจเชงิ การทํองเท่ยี วเพ่ิมขึน้ ดังมรี ายละเอยี ดตามลาดับตํอไปน้ี
~ 3377 ~
พระธาตสุ ัจจะ
พระธาตุ ัจจะ เป็นพุทธ า น ถานประดิ ฐานอยูํท่ี ัด
ลาดปูุทรงธรรม มูํที่ 2 บ๎านทําล่ี ตาบลทําล่ี อาเภอทําล่ี จัง ัด
เลย พระธาตุ ัจจะเป็นที่บรรจุพระบรม าริกธาตุ พระอร ันต์ธาตุ
และปถ ีธาตุพนม (ดนิ จากพระธาตพุ นม) ร๎างขึ้นเพ่ือตํอชะตาพระ
ธาตุพนมท่ีได๎พังทลายลง เม่ือ ันท่ี 11 ิง าคม พ. .2518 โดย
ธิ กี ารเ ย่ี ง จั จาอธิ ฐาน คอื เ ่ียงใ ค๎ ามจริงเกิดข้ึนตามกติกาบน
พื้นฐานแ งํ มมติ จั จะ
พระธาตุ ัจจะ ร๎างขึ้นเมื่อ ันท่ี 13 พฤ ภาคม พ. .2519
เ ร็จเมื่อ ันท่ี 20 พฤ ภาคม พ. .2522 ค าม ูง 33 เมตร มี
ลกั ณะคลา๎ ยพระธาตุพนม ฐาน 8 เ ล่ยี ม ก ๎าง 17 เมตร บนยอด
ุดของพระธาตุประดับด๎ ยฉัตร 7 ช้ัน ถัดลงมาอีกเล็กน๎อย ํ นที่
เป็นปูนเป็นท่ีบรรจุพระบรม ารีริกธาตุจาน น 10 องค์ ล งปุู
ทํอน ญาณธโร ได๎นามามอบใ ๎ขณะกาลังกํอ ร๎างองค์พระธาตุ
ลังจาก ร๎างองค์พระธาตุเ ร็จ ตํอมา ันท่ี 28 พฤ ภาคม พ. .
2522 ก็ได๎กํอ ร๎างกลีบบั บานรอบองค์พระธาตุ (ไมํระบุ ัน ร๎าง
เ ร็จ)
ประเพ~ณแี 33ห88่ตน้~ดอกไม้
ใน ันท่ี 15 พฤ จกิ ายน พ. . 2522 ทางคณะกรรมการ ัด
ได๎กํอ ร๎างกาแพงแก๎ 4 ด๎าน พร๎อมด๎ ยซุ๎มประตูท้ัง ่ีด๎านตามมุม
กาแพงแล๎ เ ร็จเม่ือ ันท่ี 15 พฤ จิกายน พ. . 2523 เม่ือ ร๎าง
แล๎ เ ร็จได๎มีงาน มโภชข้ึนระ ําง ันที่ 17–21 กุมภาพันธ์ พ. .
2524 โดย มเด็จพระญาณ ัง ร มเด็จพระ ังฆราช กลม า
ังฆปรินายก ได๎มอบพระบรม ารีริกธาตุจาน น 108 องค์ เพ่ือ
ประดิ ฐานไ ๎ ณ ชั้น 2 ขององค์พระธาตุใ ๎พุทธ า นิกชนได๎บูชา
กราบไ ๎
นับตั้งแตํปี พ. . 2550 เป็นต๎นมาทาง ัดได๎กา นดเอา
ันที่ 19–21 กุมภาพันธ์ของทุกปีเป็น ันนมั การและเฉลิมฉลอง
งานบุญประจาปี
เ ตผุ ลของการตั้งช่อื พระธาตุ จั จะ มรี ายละเอยี ดดงั น้ี
1) อธิ ฐานปลูกต๎น รีม าโพธ์ิซ่ึง มมติเป็นพระธาตุพนม
ใ ๎มีชี ิต ืบทอดพระพุทธ า นาตํอไปได๎ตามกติกา 2) ร๎าง
พระพุทธรปู จาน น 108 องค์ ซึ่ง มมติเป็นพระธาตุ ัจจะใ ๎ าเร็จ
ตามกตกิ า 3) เ ่ียง ัจจาอธิ ฐาน ําขอใ ๎มีนายชํางมาอา าทาและ
ผ๎ูมีจิต รัทธานาปัจจัยมาเป็นทุนในการ าง ิลาฤก ์ พร๎อมท้ังใ ๎
~ 3399 ~
การอุปถัมภ์ นับ นุนในการกํอ ร๎างใ ๎แล๎วเ ร็จพระธาตุเจดีย์นี้
ปรากฏตามความเปน็ จริงท่ไี ดต๎ ้ัง จั จะไว๎ทุกประการจึงได๎มงคลนาม
พระธาตุแ งํ นว้ี าํ พระธาตุ จั จะ
องค์พระธาตุ จั จะท่มี รี ปู ลกั ณ์คลา๎ ยกบั องค์พระธาตุพนม จัง วัดนครพนม
ประเพ~ณีแ44ห00่ต้น~ดอกไม้
พระธาตุ จั จะเรยี กอีกอยําง น่ึงวาํ “องค์พระธาตพุ นมจาลอง”
~ 4411 ~
พระพุทธรปู ักดิ์ ทิ ธิ์ปางตํางๆ ประดิ ฐานอยบํู รเิ ณดา๎ น นา๎ พระธาตุ ัจจะ
พระประธานท่ปี ระดิ ฐานอยํบู ริเ ณชัน้ 1 บริเ ณใตอ๎ งคพ์ ระธาตุ จั จะ
ประเพ~ณีแ44ห22ต่ ้น~ดอกไม้
พระธาตุมะนาวเดี่ยว
พระธาตมุ ะนาวเดีย่ วเป็นพระธาตุเกําแกทํ รง ่ีเ ลี่ยม ร๎าง
ด๎วยอิฐถือปูน เช่ือกันวํา ร๎างข้ึนในชํวง มัยที่บ๎านอาฮีมีฐานะเป็น
เมือง มีช่ือวํา “เมืองตูม” ปัจจุบันตั้งอยํูที่วัดศิริมงคล รือในอดีต
เรยี กกนั วํา “วัด บเงนิ ” แตํคน ํวนใ ญํปัจจุบันจะเรียกวํา วัดพระ
ธาตุมะนาวเด่ียว ตั้งอยูํที่บ๎านอาฮี มํูท่ี 6 อาเภอทําล่ี จัง วัดเลย
ังกัดคณะ งฆ์ม านิกายเป็นวัดท่ีเกําแกํวัด น่ึงท่ี ร๎างข้ึนตาม
เอก ารประวัติวัดของกรมศา นา ร๎างเม่ือ พ.ศ. 2284 ปัจจุบันมี
อายกุ วํา 276 ปี
ปูายวัดศริ ิมงคล ซึ่งเป็นชื่อวดั ท่ีต้งั ขน้ึ มาใ มํ แตํเดมิ ชื่อวาํ “วัด บเงนิ ”
~ 4433 ~
พระธาตุมะนา เด่ีย ทถ่ี ูกบรู ณะข้นึ มาใ มํ ลงั จากองคเ์ ดิมได๎พังทลายลง
พระกิตติพง ์ ปัญญา โร พระลูก ัด ิริมงคล กลํา ํา
พระธาตุมะนา เด่ีย ร๎างพร๎อมพระธาตุ รี องรัก บรรจุ ิ่งของมี
คํานับประมาณไมํได๎ และพระบางจาลอง ร มทั้ง พพระนาง
พร มจารี มเ ีของพระยา ุนทรจักร ก ัตริย์เจ๎าเมืองตูม รํางทรง
ท่ีทรงเจ๎าบริเ ณพระธาตุเลํา ํา พพระนางอยํูใต๎พระธาตุลงไป
ประมาณ 40 เมตร ปัจจบุ ันได๎กลายเป็นทองคาไปแล๎
ตานานการ ร๎างกลํา ํา พระยา ุนทรจักรกับพระนาง
พร มจารีพร๎อมบริ ารชา เมืองตูมได๎นาของ ิเ และของมีคําไป
ประเพ~ณีแ44ห44่ต้น~ดอกไม้
รํ มบรรจุไ ๎ที่พระธาตุ รี องรัก เดินทางมาถึงบริเ ณนี้พระนาง
พร มจารีได๎ล๎มปุ ยและ ิ้นพระชนม์ พระยา ุนทรจักรจึงได๎ฝัง พ
นางไ ๎ตรงนี้ และเดินทางตํอไปเพ่ือ ร๎างพระธาตุ รี องรัก แตํพอ
ไปถึงทราบ าํ พระธาตุ รี องรกั รา๎ งเ ร็จแล๎ จึงนาของ ิเ ของมี
คําและพระบางจาลองกลับมา แล๎ ได๎ ร๎างเจดีย์ขึ้นบน ลุม พพระ
นางพร มจารี แล๎ บรรจุ ิ่งของ ิเ และข๎า ของมีคํา ร มทั้งพระ
บางจาลองไ ๎ ลังจากน้ันพระยา ุนทรจักรได๎แตํงงานกับนางคาผิ
ไมํมีบตุ ร ืบราช มบตั ิ เมืองตูมจึงลํม ลาย
มีข๎อ ังเกต าํ ัด ิรมิ งคลชอ่ื เดมิ น้ันชา บา๎ นแถบนี้เรียก ํา
“ ัด บเงิน” ซ่ึงมีค ามเช่ือ ําเป็น ัดที่ได๎ฝัง พนางพร มจารีตาม
ตานาน ทั้งนี้มีเรื่องเลํา ําพระนางน้ันมีช่ือเรียกอีกอยําง น่ึง ํา
“นางเงิน” จึงเป็นที่มาของคา ํา “ ัด บเงิน” รือ ัดที่ฝัง พของ
นางเงิน (นางพร มจารี) นอกจากน้ี ยังมีเรื่องเลํา ํา บริเ ณน้ีเคยมี
ลา ๎ ยที่เรียกกัน ํา “ ๎ ยเงิน” ซ่ึงได๎ไ ลมาบรรจบลงแมํน้าเ ือง
ดังนั้นบริเ ณน้ีซ่ึงเป็นปากลา ๎ ยชา บ๎านแถบนี้จึงเรียกกันแตํ
โบราณ ํา “ บเงิน” (คือปากลา ๎ ยเงิน) แตํท ําเน่ืองจากลา ๎ ย
ตื้นเขินและเปล่ียนทิ ทาง จึงเป็นเ ตุใ ๎ลา ๎ ยน้ีไมํ ลงเ ลือใ ๎
เ ็นมาจนถึงปัจจบุ ัน