~ 4455 ~
ค าม าคัญของพระธาตุมะนา เดี่ย นอกจากจะบรรจุ
พระพุทธรปู แก๎ แ น เงิน ทอง ของมคี าํ ทพี่ บแล๎ คร้ังลํา ุดนี้ยัง
บรรจุแก๎ แ น เงินทอง เคร่ืองมือเครื่องใช๎จากประชาชน อาทิ
อา ุธ มีด ดาบ ปืน และพระพุทธรูปรํ ม มยั อีกด๎ ย
ค าม ักดิ์ ิทธิ์ของพระธาตุนี้ นายพัน ชัยงาม อายุ 78 ปี
(พ. .2546) เลาํ าํ มัยยงั เดก็ ตนบ ชเปน็ ามเณร ลังจากตื่นข้ึน
กลางดึกจะลงไป ๎องน้าท่ีอยํู ํางจากกุฎี ก็รู๎ ึกตกใจกลั เมื่อเ ็น
แ ง ํางจากด งไฟ ที่ปรากฏอยํูเ นือองค์พระธาตุ จึงรีบกลับเข๎า
ไปปลุก ล งพ่ีออกมาดู และเรียกชา บ๎านรอบๆ ัดออกมาดูกัน
มากมาย ซง่ึ เป็นเร่ืองเลําตอํ กันมาจนถึงปจั จุบนั
แม๎แตํใน ันบรรจุ ัตถุมงคลเมื่อปี พ. . 2536 ซ่ึง ล งปุู
พระม าพันธ์ ัดเนรมิต ิปั นา อาเภอดํานซ๎าย มาเป็นประธาน
คนื ที่ ามอันเป็นคืน ุดท๎ายนั้น ลังจากพิธีเจริญพระพุทธมนต์และ
พุทธาภิเ กแล๎ พระ งฆ์และชีพรา มณ์นั่งอธิ ฐานจิตตํอ ขณะ
น้ันเองก็ได๎มีด งไฟ ุก ําง ีแดงเทําลูกมะพร๎า ที่กาลังเคล่ือนเข๎า
มาจากทางทิ ใต๎ ลอยมาเ นือ ลังคา มูํบ๎าน แล๎ เมื่อเข๎ามุม ัด
แ ง ําง รือลูกไฟนั้นก็ ายไป เร่ืองด งไฟนี้ชา บ๎านเรียก ํา
ประเพ~ณีแ44ห66ต่ ้น~ดอกไม้
“ลูกแก๎วเ ด็จ” วันดีคืนดี ก็ยังมีผู๎ ังเกตเ ็น และนามาเลํากันถือ
เปน็ เรื่องนาํ อศั จรรย์และเป็นที่ศรทั ธาของประชาชนอยํางมาก
ชาวบ๎านเชื่อวําใต๎ฐานพระธาตุมะนาวเดี่ยวมีพระพุทธรูปศักด์ิ ิทธิ์โบราณและแก๎วแ วน
เงินทองของมีคําถูกบรรจุเอาไว๎เพื่อเป็นพุทธบูชาและ ืบตํอพระศา นาใ ๎ดารงคงอยํูช่ัว
กาลนาน
~ 4477 ~
พระธาตมุ ะนาวเดยี่ ว เชอ่ื กนั วาํ เปน็ พระธาตุศักด์ิ ิทธท์ิ ี่มปี รากฏการณ์แกว๎ เ ดจ็ ไปยงั
บา๎ นเมอื งทางฝงั่ ประเทศลาว ทง้ั เมอื งเวียงจนั ทนแ์ ละเมือง ลวงพระบาง
ประเพ~ณีแ44ห88่ตน้~ดอกไม้
พระนาคปรกศิริมงคล
พระนาคปรก ิริมงคล ประดิ ฐานอยํูท่ี ัด ิริมงคล รือท่ี
ชา บ๎านมักจะเรียกกัน ํา ' ัดพระธาตุมะนา เด่ีย ' ตั้งอยูํท่ีบ๎าน
อาฮี ตาบลอาฮี อาเภอทําล่ี จัง ัดเลย เป็น ัดเกําแกํ ัด นึ่ง
ประชาชนบริเ ณแถบน้ี มี ิถีชี ิตอันเก่ีย พันกับพ่ีน๎องฝ่ังลา มา
ตั้งแตํยุค มัยที่มีการกํอ ร๎างพระธาตุ รี องรัก ภาย ลังคนฝั่งลา
ได๎อพยพเดินทางกลับประเท ลา ลังจาก ร๎างพระธาตุ รี องรัก
เ รจ็ แล๎ แตํมีบาง ํ นไมํยอมกลับและได๎ต้ังรกราก ร๎างชุมชนเป็น
มํูบ๎านขึ้นตามริมลาน้าเ ืองและริมแมํน้าโขง จนมีคา ําไทยลา
เป็นพ่ีน๎องกนั มาจนทุก ันน้ี
ที่ ัด ิริมงคลมีพระพุทธรูปนาคปรกอยูํองค์ นึ่ง มีช่ือ ํา
“พระพุทธรูปนาคปรก ิริมงคลรัตนะราชพิทัก ์โคดม” แตํชา บ๎าน
เรียกขาน ํา ' ล งปูุนาคมุจลินท์' เป็นพระพุทธรูปนาคปรก
แกะ ลักด๎ ย ินทรายแบบ มัยลพบุรี ขนาด น๎าตักก ๎าง 22 นิ้
ูงจากฐานถึงยอดเ ียร 48 น้ิ ันนิ ฐาน ํามีอายุก ํา 600 ปี มี
ลัก ณะงดงาม
~ 4499 ~
พระพุทธรูปนาคปรก รือชาวบ๎านเรยี กวํา “ ลวงปุูนาคมุจลนิ ท์” เช่ือวาํ เป็นพระพุทธรูป
ศักด์ิ ทิ ธคิ์ บูํ า๎ นคเํู มอื งชมุ ชนอาฮีมาตง้ั แตํเริม่ กํอรําง ร๎างเมอื งขึน้ มา
ประเพ~ณแี 55ห00ต่ น้~ดอกไม้
า รับประ ัติค ามเป็นมา ชา บ๎านเลําขาน ืบตํอกัน ํา
พระพุทธรูปนี้ลอยท นน้ามาตามลาน้าเ ือง แล๎ ไ ลมา นอยํูที่ทํา
ังน้าบ๎านอาฮี ชา บ๎านจึงได๎อัญเชิญมาประดิ ฐานไ ๎เป็นพระ
คํบู ๎านคูํเมอื ง และเชื่อกัน ําเป็นพระพุทธรูปท่ี ร๎างมาพร๎อมกับองค์
พระบาง ปป.ลา คือ ร๎างจากเบ๎า ินเดีย กัน ใน มัยน้ันเม่ือ
ร๎างเ ร็จ ไมํ ามารถอัญเชิญข้ึนประดิ ฐานในพระ ิ ารที่เตรียม
ไ ๎ได๎ ด๎ ย าเ ตุประการตํางๆ ครั้นไมํ ามารถอัญเชิญประดิ ฐาน
ไปไ ๎ใน ิ ารได๎จึงได๎อัญเชิญลง ํูแมํน้า เพื่อเ ี่ยงทายปรากฏ ํา
พระพทุ ธรปู ได๎ลอยท นน้ามาตามลานา้ เ ือง ทีม่ ปี ากแมํน้าที่ไ ลลง
ํแู มนํ ้าโขง แล๎ มา นอยํทู ีท่ ําน้าบ๎านอาฮี ชา บ๎านจึงอัญเชิญข้ึนมา
ไ ๎ที่ ดั บเงนิ รอื ัด ิริมงคลในปจั จบุ ัน
ิ ารพระพุทธรปู นาคปรก รือ “ ล งปุูนาคมุจลินท์” ร๎างใ ๎มี ิลปะแบบเขมรเพื่อใ ๎
อดคลอ๎ งกับองค์พระนาคปรกโบราณท่ีเปน็ ลัก ณะ ลิ ปะเขมรด๎ ยเชํนกนั
~ 5511 ~
ในอดีตพระพุทธรูปนาคปรกองค์นี้ จะมีลูกแก๎ อยูํท่ีเ นือ
พระนาภีและตรงพระชานุ มีเรื่องเลําตํอกันมา ําพระพุทธรูปองค์น้ี
ามารถเ าะเ ินเดินอากา ไปตาม ถานที่ตํางๆ ได๎และเคย ูญ
ายไปจากแทํนประทับใน ลายครั้ง แตํท๎ายที่ ุดก็กลับมาอยํูท่ี ัด
ดงั เดมิ
ในปี พ. .2506 ได๎มีขโมยเข๎ามาใน ัดซ่ึงนําจะมี ลายคน
มาขโมยเอาพระพุทธรูปนาคปรกองค์น้ี แตํเอาไปไมํได๎โดยชํ ยกัน
ามออกไปในตอนกลางคนื ตอนแรก ามออกจาก ัดไปได๎ พอออก
จาก มบูํ ๎านไปไมํไกลนัก พระพุทธรูปก็แ ดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิ าริย์ทา
ใ ๎ นักจนไม๎ท่ีใช๎ าบ ามไปเกิด ัก ไมํ ามารถเอาไปได๎
ต่ืนเช๎ามาชา บ๎านรู๎ ําพระพุทธรูป ายก็พากันออกตาม าและพบ
อยูํนอกดงไม๎ท่ีคนร๎าย าบ ามไป ักอยูํกับพระพุทธรูป แตํโจรใจ
บาปได๎ทุบทาลายพระกรข๎างซ๎าย ัก เม่ือเอากลับมา ัดแล๎
ชา บ๎านก็ซํอมแขนท่ี ักใ ๎เ มือนเดิม จึงได๎อัญเชิญประดิ ฐานบน
แทํนประทับอีกครั้ง ปัจจุบันพระพุทธรูปนาคปรก ิริมงคลรัตนะ
ราชพิทัก ์โคดม รือ ล งปุูนาคมุจลินท์ ประดิ ฐานอยูํ ิ ารที่
ร๎างข้ึนด๎าน ลังองค์พระธาตุมะนา เด่ีย เป็นพระพุทธรูปท่ีมี
ค าม กั ดิ์ ิทธมิ์ าก
ใน ันท่ี 14 เม ายนของทุกปีจะมีประเพณีแ ํ ล งปูุนาค
รอบๆ มํูบ๎านใ ๎ชา บ๎าน รงน้าพระ เชื่อ ํา ล งปุูนาคมีค าม
ักด์ิ ิทธิ์บันดาลฟูาฝนใ ๎ตกต๎องตามฤดูกาล ทุกคร้ังท่ีมีพิธีการ
ประเพ~ณแี 55ห22ต่ น้~ดอกไม้
เก่ีย กับ ล งปูุนาคจะมีฝนตกเ มอ นอกจากนี้ยังมีประเพณี
นมั การในงานบญุ เดือน ก (ขนึ้ 6-8 ค่า) ของทุกปี แตํปัจจุบันเพ่ือ
เ ตุผลทางด๎านอนุรัก ์จึงจาเป็นต๎องใช๎องค์จาลองประกอบ
พิธีกรรมนอก ถานที่
พระพุทธรูปนาคปรก รือ “ ล งปุูนาคมุจลินท์จาลอง” ในขบ นแ ํ รงน้าพระชํ ง
เท กาลบญุ งกรานต์เพือ่ ใ ป๎ ระชาชนได๎รํ ม กั การะและ รงน้าใ เ๎ กิดค ามเป็น ิริมงคล
แกตํ นเองและชุมชนบ๎านเมอื ง
ตานานพระนาคปรก มเี ลาํ ไ ๎ 2 กระแ กระแ น่ึง เลํา ํา
มี ินลอยท นน้ามา ชา บ๎านเ ็นอั จรรย์จึงพากันพยายามเอา
ขึ้นมา แตํทาไมํได๎ ินยังคงลอยท นน้าข้ึนไปเรื่อยๆ ชา บ๎านก็พา
~ 5533 ~
กันติดตามไป แล๎ ติดตามไปทันองค์พระ ณ ังน้าแ ํง นึ่ง ตํอมา
จึงเรียกที่แ ํงน้ันมาจนบัดนี้ ํา “ ังกะทัน” จากน้ันได๎นา ินข้ึนมา
ผําออกเป็น องเ ่ยี ง รอื อง ํ น เ ่ียงที่บางก ํานาไปทาพระบาง
แล๎ นาไปประดิ ฐานไ ๎ที่เมือง ล ง แล๎ ได๎เรียกช่ือเมือง ํา ล ง
พระบางนบั ตงั้ แตํนนั้ มาจนบัดนี้
เ ่ียงทเี่ ลอื ( ํ นท่ี อง) กน็ ามาทาพระนาคปรก จุดท่ีทา
พระนั้นปัจจุบันเป็นทุํงนา เรียกกัน ํานา ร๎างพระมาจนบัดนี้ ใน
การ ร๎างพระน้ันมีเรื่องอั จรรย์อีก ํา ชา บ๎าน ร๎างพระอยํางไรก็
ไมไํ ด๎ ในที่ ุดมีตาผ๎าขา มาบอกใ ๎ชา บ๎านพักงานและกลับบ๎านไป
ตนจะเฝาู แทนพอชา บา๎ นกลบั มากป็ รากฏ าํ องค์พระได๎ ร๎างเ ร็จ
งดงาม เป็น ล งพํอนาคดังปรากฏในปัจจุบัน กระแ ที่ องเลํา ํา
มีพระพุทธรูป ิน แ ดงปาฏิ าริย์ลอยท นแมํน้าเ ืองข้ึนมา เม่ือ
ชา เมืองตูมพบเข๎าก็ร๎องปุา กันมาดู และชํ ยกันก๎ูเอาองค์พระ
ขึ้นมาไ ๎ ักการบชู า แตํการไมํได๎เป็นไปโดยงํายดาย พยายาม ลาย
ครั้งก็เอาขึ้นไมํได๎ แม๎จะใช๎ช๎างลากฉุดชํ ย แตํช๎างก็เ น่ือยล๎า ถึง
ขนาด ิดน้า มายจะอุ๎มขึ้นมาก็ยังยกไมํได๎ ุดท๎ายต๎องตั้งเครื่อง
ักการะขอขมา จึง ามารถนาข้ึนมาได๎ จากน้ันชา เมืองได๎ทาบุญ
ประเพ~ณแี 55ห44ต่ ้น~ดอกไม้
เฉลิมฉลองอยํู ลาย ัน และยกขึ้นเป็นพระพุทธรูป ักดิ์ ิทธ์ิประจา
เมอื งตูมมาจนบัดน้ี
ค าม ักดิ์ ิทธ์ิของพระพุทธรูปองค์นี้ยังมีเร่ืองเลํา ํา
มยั กํอนองคพ์ ระมีลกู แก๎ ที่ ะดือและ ั เขํา ลูกแก๎ ามารถเ ด็จ
รือพุํงเป็นแ ง ําง ีเขีย ไปในท๎องฟูายามค่าคืน เมื่อชา บ๎าน
ังเกตเ ็นก็จะยกมือทํ ม ั เพราะเข๎าใจ ํา พระนาคปรกได๎เ ด็จ
ไปเย่ียมองค์น๎องคือ พระบาง ท่ีเมือง ล งพระบาง อีกทั้งมีผู๎มาบ
นขอพรจาก ล งพอํ นาคและ มค ามปรารถนาแล๎ ก็มักจะกลับมา
ทาบุญแก๎บนอยํเู ป็นประจา
ภูชา้ ง
ภชู า๎ งเป็น ถานท่ีทํองเท่ีย เชิงนิเ อยํูที่บ๎าน ๎ ยผุก มํูท่ี
2 ตาบลน้าแคม อาเภอทําล่ี จัง ัดเลย ค าม มายของช่ือ มูํบ๎าน
“ ๎ ย” มายถึงลาน้าท่ีไ ลจากภูเขา ํ นคา ํา “ผุก” คือชื่อพืช
พรรณชนิด น่ึง ใบมีลัก ณะคล๎ายใบมันเท ดอกมีกล่ิน อม พืช
ชนดิ นข้ี ้นึ อยํเู ตม็ รมิ ฝั่งลา ๎ ยและ มํูบา๎ น มีการปลูก ร๎างบ๎านเรือน
ตั้งเรียงรายไปตามริม ๎ ยน้ี จึงได๎ตั้งชื่อ มํูบ๎านตาม ภาพแ ดล๎อม
ดังกลาํ และเรียก าํ “บ๎าน ๎ ยผกุ ”
~ 5555 ~
ภูช๎างมีรูปรํางลัก ณะเ มือนช๎างที่นอนพักผํอนอยูํ ต้ังอยํู
ทางทิ ใต๎ของ มูํบ๎าน ๎ ยผุก ํางจาก มูํบ๎านประมาณ 3 ก.ม. มี
ประ ัติค ามเป็นมาตามคาบอกเลําตํอๆ กันมา ํา เม่ือครั้งกาลัง
ร๎างเมืองเ ียงจันทน์ เมืองตํางๆ ท่ีข้ึนกับเมืองเ ียงจันทน์ตํางก็ได๎
นาข๎า ของ เงิน ทอง ไปรํ ม มทบในการกํอ ร๎าง มี ามเณรรูป
น่ึงได๎นาข๎า ของเงินทอง บรรทุกช๎างและคณะ าบข๎า ของตํางๆ
เดินทางไปรํ ม มทบ ร๎างเมืองเ ียงจันทน์ เมื่อเดินทางมาถึง
บริเ ณภูช๎าง ได๎พบกับนายพรานคน นึ่งและนายพรานได๎บอก ํา
การ ร๎างเมืองเ ียงจันทน์นั้นได๎เ ร็จ ้ินไปเรียบร๎อยแล๎ ามเณร
จงึ ได๎ลงจาก ลงั ช๎างเพื่อจะไปตักน้ามาด่ืม ขณะที่กาลังเดินผํานช๎าง
ไป ช๎าง( มัยนั้นเข๎าใจ ําคงร๎ูภา า)ร๎ู ํานาข๎า ของเงินทองไปร ม
ร๎างไมํทัน ประกอบกับตามประเพณีแล๎ ผู๎ท่ีจะนาข๎า ของเงิน
ทองไปรํ ม ร๎างไมทํ นั เม่ือไปถึงทใี่ ดใ ฝ๎ งั ข๎า ของเงินทองไ ๎ตรงน้ัน
ช๎างจึงได๎ใช๎ขาปัดใ ๎ ามเณรล๎มลง และช๎างเชือกน้ันได๎นอนทับ
ามเณรรูปนั้นไ ๎ ตํอมาจึงได๎เกิดเป็นภูเขารูปช๎างนอนดังท่ีปรากฏ
ใ ๎อยํูในปจั จบุ ันน้ี
ประเพ~ณีแ55ห66ต่ น้~ดอกไม้
ทุง่ นาหลวง
ทํุงนา ล งเป็น ถานท่ีธรรมชาติ ค าม มายของชื่อและ
ประ ัติทงุํ นา ล ง บา๎ นปาก ๎ ย อาเภอทําลี่ จัง ัดเลย ในตานาน
และประ ัติของ มํูบ๎านปาก ๎ ย กลํา ํา กํอนที่จะจัดต้ัง มูํบ๎าน
ปาก ๎ ยข้ึน ขุน รี ิเ ซึ่งเป็นผู๎อยํูใต๎การปกครองของเจ๎าเมือง
แกนํ ทา๎ ได๎เ ็น าํ ในบรเิ ณทตี่ ั้งของ มูบํ ๎านปาก ๎ ยนั้นเป็นที่ราบ
ลมํุ เ มาะแกํการ ร๎างบา๎ นแปลงเมอื งและเ มาะแกํการทาไรํทานา
จึงนาค ามข้ึนปรึก าเจ๎าเมือง ฝุายเจ๎าเมืองมิได๎ขัดข๎องประการใด
ขุน รี ิเ จึงได๎ชักช นลูกบ๎านพร๎อมใจกันถากถางปลูกบ๎านแปลง
เมอื งข้ึน พ. . 2395
ในครั้งนั้นเมื่อเก็บเก่ีย ข๎า นาได๎แตํละปีก็จะนาตํางช๎างไป
งํ ํ ยเจ๎าเมือง นทู เี่ มืองแกนํ ทา๎ อยํเู ปน็ ประจา เก็บเ ลือไ ๎แตํพอ
กนิ เทําน้ัน ด๎ ยเ ตุที่ าํ คนที่ทานาเป็นของเจ๎าเมือง คือ เป็นคนของ
คน ล ง ฉะนั้นนาท่ีขุดกํนทาขึ้นจึงตกเป็นนาของ ล ง จึงเรียกนา
ทงุํ นซ้ี งึ่ อยํตู ิดกับ มบํู า๎ นปาก ๎ ย ํา “ทุํงนา ล ง” จนเทําทุก ันนี้
~ 5577 ~
แก่งโตน
แกํงโตนเป็น ถานที่ธรรมชาติ ตั้งอยํูที่บ๎านปาก ๎วย
อาเภอทาํ ลี่ จัง วัดเลย ความ มายชื่อแกํง มายถึงพืด ิน รือโขด
ินซึ่งเกิดข้ึนตามธรรมชาติและกีดขวางทางน้าไ ลทาใ ๎เกิด ภาพ
เป็นน้าตก “โตน” มีความ มายวาํ กระโจน รือกระโดด ดังน้ันแกํง
โตน จึง มายความถึงแกํง ินท่ีมีน้าตก ายน้ามีลัก ณะท่ี
เ มอื นกบั กระโจนไป
เ ๎นทางเดินทางไปยังแกํงโตนน้ันพบวํา มีการคมนาคมไป
มาจากตัวจงั วัดเลยถึงแกํนโตน ะดวกมากเพราะเป็นเ ๎นทางลาดยาง
ในวัน ุด ัปดา ์ โดยเฉพาะฤดูร๎อนน้าน๎อย จะมีนักทํองเที่ยวมา
เทยี่ วชมธรรมชาติทแ่ี กํงโตนจานวนมาก
ประเพ~ณแี 55ห88่ตน้~ดอกไม้
แกํงโตน ซ่ึงเป็นแกํงหินขวางลาน้าทาให๎น้ามีลักษณะคล๎ายกับกาลังกระโจน จึงเป็นท่ีมา
ของคาเรียกชอื่ วาํ “แกํงโตน” ตามลักษณะเชงิ นเิ วศของแหลงํ น้าแหํงน้ี
~ 5599 ~
ประวัติถ้าฆ้อง
“ถ้าฆ๎อง” ต้ังอยูํในเขตบ๎านโคกใ ญํ อาเภอทําล่ี จัง ัด
เลย บ๎านโคกใ ญํเร่ิมกํอตั้งเม่ือ พ. .2432 โดยการนาของพํอขุน
ชานาญ พํอขุนแก๎ พํอขุนเ มือนและนางขุน ั ด์ิภักดี ซ่ึงเป็นแมํ
ของผู๎ใ ญํแพง ั ด์ิภักดี ทั้งเป็นพ่ี า ของขุนชานาญ พิลาธรรม
และเปน็ ต๎นตระกลู ของ ั ดภ์ิ ักดิจ์ นถงึ ปัจจบุ ัน
คณะท่ีกลํา มานี้อพยพครอบครั จากบ๎าน ๎ ยลาดงิ้ ใกล๎
กับบ๎านลาดค๎อในปัจจุบัน เ ตุท่ีย๎ายมาอยํูบ๎านโคกใ ญํเพราะที่ตั้ง
บ๎านเป็นเนิน ูงใ ญํ มีพ้ืนที่ราบก ๎างข าง ท่ีดินอุดม มบูรณ์ทาใ ๎
การเดินทางไปอาเภอทําล่ีได๎ ะด ก อีกทั้งยังมีแ ลํง ัต ์ปุาอุดม
มบูรณ์ มีลาธาร ลาก ลายไ ลมาร มกันทาใ ๎พื้นท่ีมีค ามอุดม
มบรู ณเ์ มาะแกกํ ารทาการเก ตรกรรมเปน็ อยาํ งมาก
ถ้าฆ๎อง เป็น ถานท่ี รือ ิ่ง ยงามตามธรรมชาติของบ๎าน
โ ค ก ใ ญํ เ ป็ น ถ้ า ที่ เ ป็ น ก๎ อ น ิ น ใ ญํ รู ป ฆ๎ อ ง ใ ญํ ข น า ด
เ ๎นผํา ูนย์กลาง 20 เมตรค ่าอยูํกลางเนินเขาถ้าฆ๎อง ด๎านทิ
เ นือทิ ตะ ันออกทิ ตะ ันตกขอบฆ๎องติดอยํูกับดิน ํ นทางทิ
ใต๎เปิดมองดูคล๎ายจระเข๎ใ ญํอ๎าปากเ ลาเกิดพายุฝนตกชา บ๎าน
เคยเข๎าไป ลบพายุฝนได๎อยํางปลอดภัยไมํเปียกฝน จุคนได๎
ประมาณ 20 คน
ประเพ~ณแี 66ห00ต่ ้น~ดอกไม้
วัดดอยเฉลิมพระเกยี รติ
ัดดอยเฉลิมพระเกียรติ ต้ังอยูํบนภูเขา ูง บริเ ณบ๎านน้า
แคม มํู 3 ตาบลน้าแคม อาเภอทําล่ี กํอนเข๎าใน มูํบ๎านน้าแคม มี
ิ ทิ ทั น์ท่ี ยงาม ามารถมองเ ็น มูํบ๎านในภาพมุม ูงได๎ และ
มี อระฆังที่ ยงาม มี อเทพ และ ล งปูุไตรเทพที่มีค าม
ักดิ์ ทิ ธิ์มาก ชา บา๎ นใ ค๎ ามนับถือและเคารพบชู า
พระพุทธรปู ขนาดใ ญปํ ระดิ ฐานอยูํ ดั ดอยเฉลิมพระเกยี รติ บา๎ นนา้ แคม
~ 6611 ~
พิพิธภณั ฑ์บ้านมนั่ ยนื
บ๎านม่ันยืน เป็นพิพิธภัณฑ์ของเอกชนในชุมชนบ๎านอาฮี
เจ๎าของคือ นางเ ลี่ยง ทิ ธ์เิ ทยี มทอง ชา บ๎านอาฮี ตาบลอาฮี
า รบั ประ ัติของพิพธิ ภัณฑ์บ๎านมนั่ ยืนพบ ํา กํอนจะมาเปน็
แ ลงํ เรยี นร๎ู ฒั นธรรมพ้นื บา๎ นบ๎านมั่นยนื นั้น เนือ่ งมาจากเม่ือครั้งที่
นางเ ลี่ยงได๎เป็น มาชิกองค์การบริ าร ํ นตาบลบ๎านอาฮีได๎รํ ม
เป็นคณะกรรมการ ภา ัฒนธรรมตาบลอาฮีกับอาจารย์ราไพ กาแก๎
ซง่ึ เป็นคนต๎นคิดตัง้ ภา ัฒนธรรมตาบลอาฮีขนึ้ เมอ่ื ปี พ. . 2541
ในชํ งเ ลาน้ันนางเ ลี่ยงได๎มีโอกา ไปทั น ึก าดูงานท้ัง
ในประเท และตํางประเท และก็ชอบ ะ ม ิ่งของเกําๆ อีกท้ัง
องค์การบริ ารตาบลอาฮีในขณะน้ันได๎มีโครงการ อบต. เคล่ือนท่ี
ไปตาม มํูบ๎านตํางๆ ในเขตรับผิดชอบของ อบต.อาฮี แล๎ ก็ได๎เ ็น
ข๎า ของเครื่องใช๎ในอดีต ที่ชา บ๎านทิ้งไ ๎ตามข๎างร้ั บ๎าง เล๎าข๎า
บ๎าง เพราะชา บ๎านคิด ําเป็นของที่ไมํใช๎แล๎ ไมํมีคํา รือใช๎
ประโยชน์ไมํได๎ นางเ ลี่ยงจึงได๎ขอมาและบางครั้งก็ซื้อมาบ๎าง พอ
เน่ินนานเข๎า ง่ิ ของตํางๆ ก็เพ่ิมข้ึน และ ลังจากการที่ได๎ไป ึก าดู
งานก็เกิดแน คิด ํานําจะทาเป็นแ ลํงเรียนร๎ูใ ๎ลูก ลานได๎ ึก า
จึงได๎ไปขอคาปรึก าจากอาจารย์ปัญจพล จาปานิล อาจารย์ราไพ
ประเพ~ณแี 66ห22ต่ น้~ดอกไม้
กาแก๎ว อาจารย์อัมพร วรรณทอง ซึ่งบุคคลดังกลําวล๎วนแตํก็ชอบ
ะ มของเกํา จึงได๎ชํวยกันรัก าวัฒนธรรมประเพณีของตาบลอาฮี
มาตลอด การเก็บ ะ มของเกําในครั้งนั้นจึงเป็นมูลเ ตุท่ีมาของ
แ ลํงเรียนรู๎เชงิ วัฒนธรรมพน้ื บ๎านบา๎ นมนั่ ยืน
า รับคาวํา “ม่ันยืน” เป็นภา าพื้นบ๎าน มายถึงความ
มัน่ คง ย่ังยืน บื ตํอไป และเปน็ คาทีเ่ ป็นมงคล จึงต้ังชื่อแ ลํงเรียนรู๎
แ งํ นีว้ ํา “บ๎านม่ันยืน”
พพิ ธิ ภัณฑบ์ า๎ นมัน่ ยนื แ ลํงเรยี นร๎เู ชิงวัฒนธรรมพื้นบ๎าน
~ 6633 ~
ข๎าวของเครือ่ งใชใ๎ นอดีตของชาวบา๎ นชมุ ชนอาฮี
ประเพ~ณแี 66ห44ต่ ้น~ดอกไม้
ขา๎ วของเครือ่ งใชใ๎ นอดตี ท่ถี กู เก็บรวบรวมไวใ๎ นพิพิธภณั ฑบ์ า๎ นม่นั ยืนเพ่อื เปน็ แหลงํ เรยี นร๎ู
~ 6655 ~
วดั มติ รวนาราม
วัด มิตรวนาราม ตั้งอยูํท่ีบ๎านปาก ๎วย มูํที่ 6 ตาบล
นองผือ อาเภอทําล่ี จัง วัดเลย ร๎างเมื่อ พ.ศ. 2480 มี
ถาปัตยกรรมท่ี าคัญ คือ โบ ถ์ มัยรัตนโก ินทร์ ซ๎ุมประตูทรงจ่ัว
ประดับรูปลายปูนป้ัน อระฆัง ลังคาจัตุรมุข 3 ชั้น มี ถูปยอด
มณฑป 1 องค์ มีศาลาการเปรียญ ลังคาทรงจ่ัว 2 ชั้น 1 ลัง
ภายในโบ ถ์มีพระพุทธรูป ลํอทองเ ลืองปาง ะด๎ุงมาร พระพุทธ
ชินราชจาลอง เป็นพระประธาน น๎าตักกว๎าง 1.20 เมตร
ศาลาการเปรียญมีพระพุทธรูปปางนาคปรก 1 องค์ น๎า
ตักกว๎าง 30 เซนติเมตร อิทธิพลศิลปะ มัยลพบุรีและ ุโขทัย
ภายนอกมีพระพุทธรูป ลวงพํอกัณฑ์ปางมาร ะดุ๎งมาร น๎าตัก
กว๎าง 50 เซนติเมตร อิทธิพลศิลปะเชียงแ น มี ถูป ่ีเ ลี่ยมยอด
มณฑป 1 องค์ อยใํู นยคุ รตั นโก ินทรใ์ นปจั จุบนั
วดั ลาดปทู่ รงธรรม
วัดลาดปุูทรงธรรม ร๎างเมื่อ พ.ศ. 2482 ตั้งอยํูบ๎านทําลี่
ตาบลทําลี่ อาเภอทําลี่ จัง วัดเลย มี ถาปัตยกรรมที่ าคัญคือ
โบ ถ์ มัยรัตนโก ินทร์ อระฆังยอดมณฑป 2 ช้ัน วิ ารยอด
ปรา าทจัตุรมุข 1 ลัง เจดีย์เรียกกันวําพระธาตุ ัจจะ 1 องค์
ประเพ~ณแี 66ห66่ต้น~ดอกไม้
ลัก ณะฐาน ่ีเ ลี่ยมยอดเรีย แ ลมคล๎ายพระธาตุพนม ภายใน
โบ ถ์มีพุทธรูปจาลองพระพุทธชินราช 1 องค์ ภายนอกมี
พระพุทธรูปป้ันขนาดใ ญํ 1 องค์ อยํูในยุครัตนโก ินทร์ปัจจุบัน มี
เ ตฉัตรบนยอดพระธาตุ จั จะ
เนื่องจากลาดปุูน้ี แตํเดิมถือกัน ําเป็น ถานท่ี ักดิ์ ิทธิ์
เพราะมีปรากฏการณ์แปลกๆ และมี ่ิงม ั จรรย์ใ ๎เ ็นอยํูเ มอ
ประกอบกับ ถานท่ี ักดิ์ ิทธ์ิแ ํงนี้ตั้งอยํูทํามกลาง มํูบ๎านตํางๆ
ภายในเขตอาเภอทําลี่ อีกท้งั มีอาณาเขตติดตอํ กับเมืองแกํนท๎า อัน
เป็นอาเภอ น่ึงของ ปป.ลา ด๎ ย ทํานพระครู ันทัดคณานุการ
เจา๎ คณะอาเภอทําลี่ในอดีต ได๎ปรารถนาจัด ร๎างปูชนีย ถานเพื่อใ ๎
เปน็ ูนยร์ มนา้ ใจของชา ไทยและชา ลา ในถิน่ น้ี และเพ่ือ ํงเ ริม
ามัคคีธรรมระ ํางญาติพ่ีน๎อง อันเป็น นทางนามาซ่ึง ันติ ุข
บื ไปช่ั กาลนาน
ดังนั้น ใน พ. . 2480 จึงได๎รํ มมือกับญาติโยมและ
านุ ิ ย์ ร๎างมณฑปรปู ตึกกํอด๎ ยอิฐถือปูน ขนาด 5 x 6 เมตร มุง
ด๎ ยกระเบื้องซีเมนต์ เม่ือ าเร็จแล๎ จึงจัด ารอยพระพุทธบาท
จาลอง ร๎างด๎ ยทองเ ลืองมาบรรจุไ ๎ แล๎ เริ่มทาบุญมาฆบูชาข้ึน
เป็นปฐมฤก ์ครั้งแรก เมื่อ ัน ุกร์ขึ้น 15 ค่า เดือน 3 ปีเถาะ ตรง
~ 6677 ~
กับวันท่ี 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2482 และก็ได๎ถือเป็นท่ีประกอบพิธี
ทาบุญวันมาฆบูชาประจาปีของชาวไทย ชาวลาวในถ่ินน้ี โดยถือ
เปน็ ประเพณสี ืบตํอกันมาจนกระท่ังปจั จบุ ัน
องคพ์ ระธาตุสจั จะสถาปัตยกรรมทส่ี าคญั ในวันลาดปุทู รงธรรม
ประเพ~ณีแ66ห88ต่ น้~ดอกไม้
รอยพระพุทธบาทจาลอง
ฆ๎องใ ญํขนาดเ น๎ ผาํ ศนู ย์กลางถงึ 5.5 เมตร ไว๎ใ ญ๎ าติโยมและผ๎ูมาเยอื นไดต๎ เี อาโชคเอา
ชยั กอํ นที่จะขนึ้ ไปไ ว๎พระธาตุ
~ 6699 ~
วัดปา่ บา้ นนากระเซง็
วัดปาุ บา๎ นนากระเซ็ง ตั้งอยํเู ลขท่ี 196 มูํท่ี 4 บ๎านนากระ
เซ็ง ตาบลอาฮี อาเภอทําลี่ จัง วัดเลย ังกัดม านิกาย มีเน้ือท่ี 17
ไรํ ทิศเ นือติดกับ ปป.ลาว ทิศใต๎ติดกับบ๎านอาฮี ทิศตะวันออก
ตดิ กบั บ๎านเม่ียง ทิศตะวนั ตกติดกบั ปป.ลาว
ถาปัตยกรรมท่ี าคัญคือโบ ถ์ มัยรัตนโก ินทร์ ร๎างเม่ือ
ปี พ.ศ.2536 ภายในโบ ถ์มีพระจาลอง พระเจ๎าเชียงยืน ปี พ.ศ.
2539 มีพุทธรูปปาง มาธิ น๎าตักกว๎าง 1.5 เมตร ภายในศาลาการ
เปรียญมีพระปาง ะด๎ุงมาร 2 องค์ น๎าตักกว๎าง 80 เซนติเมตร
และ 60 เซนติเมตร ภายนอกมีพระพุทธรูปปูนปั้น ปาง ะด๎ุงมาร
น๎าตักกวา๎ ง 1.5 เมตร รา๎ งปี พ.ศ. 2546
วัดโพธศิ์ รี
วัดโพธ์ิศรี ตั้งอยํูเลขท่ี 185 บ๎านทําล่ี มูํท่ี 3 ตาบลทําลี่
อาเภอทําล่ี จัง วัดเลย ังกัดคณะ งฆ์ม านิกาย อาคารเ นา นะ
ประกอบด๎วยอุโบ ถ ร๎างเมื่อ พ.ศ. 2494 ศาลาการเปรียญ
อาคารทรงไทย รา๎ งเมื่อ พ.ศ. 2520 กุฏิ งฆ์ จานวน 2 ลัง ศาลา
อเนกประ งค์ อาคารทรงไทย ร๎างเม่อื พ.ศ. 2535
วัดโพธิ์ศรี ตั้งวัดเม่ือ พ.ศ. 2269 ได๎รับพระราชทาน
วิ ุงคาม ีมาเมื่อ พ.ศ. 2275 มเี จ๎าอาวา เทําท่ีทราบนาม คือ รูปท่ี 1
ประเพ~ณแี 77ห00ต่ ้น~ดอกไม้
พระวงศ์ ุภทฺโท พ.ศ. 2269-2309 รูปที่ 2 พระพัน ุจิตฺโต พ.ศ.
2310-2365 รูปท่ี 3 พระอธิการอาคา ิริมงฺคโล พ.ศ. 2366-2367
รูปท่ี 4 พระประภา ถาวโร พ.ศ. 2388-2418 รูปที่ 5 พระเบ๎า ีลเตโช
พ.ศ.2419-2439 รูปที่ 6 พระอธิการแ บ ธมมฺโชโต พ.ศ. 2440-
2453 รูปที่ 7 พระครู ันทัดคณานุการ พ.ศ.2454-2522 รูปที่ 8
พระอธิการ ม มาย พ.ศ. 2523-2530 รูปที่ 9 พระครูพิศาล ีลทร
ตัง้ แตํ 2531 เป็นต๎นมา มีโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกธรรม เปิด
อน พ.ศ. 2474
วดั พระธาตอุ ุโมงค์
วัดอุโมงค์ เป็นศา น ถานต้ังอยูํที่บ๎านยาง ตาบลทําล่ี
อาเภอทําล่ี จัง วัดเลย เนื่องด๎วยวดั อโุ มงค์ แตํเดิมน้ันเป็นวัดท่ีคูํกับ
บ๎านยางมาในยุคนั้น แตํเป็นเพราะบ๎านเมืองเกิดโรคระบาด
ติดตํอกนั มาก ผค๎ู นอพยพไป มด จงึ ไดก๎ ลายเปน็ วัดร๎างติดตํอกันมา
เป็นเวลา ลายรอ๎ ยปี
พระธาตุอุโมงค์เป็นพระธาตุที่ศักด์ิ ิทธิ์และเกําแกํคํูบ๎าน
ยาง ประชาชนใน มํูบ๎านยาง บ๎านกกก๎านเ ลืองและ มูํบ๎าน
ใกล๎เคียงใ ๎ความเคารพ ักการบูชาตํอองค์พระธาตุเ มอมาตลอด
จนถึงปัจจุบัน ไมํปรากฏ ลักฐานแนํชัดวํายุคใดเป็นผ๎ูกํอ ร๎างพระ
ธาตุองค์น้ีข้ึนมาเพียงแตํพูดตํอๆ กันมาวํา ครั้ง มัยกํอนมีคนกลุํม
น่ึงเรียกตนเองวํากลํุมชนเผํายาง เข๎ามาตั้งรกรากอาศัยอยํูและ
~ 7711 ~
จัดต้ังเป็น มํูบ๎านเล็กๆ ข้ึนมา เรียกตนเอง ําบ๎านยาง ตํอมาได๎
ร๎าง ัดขึ้และ ร๎างพระธาตุข้ึนมา ชา บ๎านเรียกกัน ํา “แทํน
อุโมงค์” รือ ัดนากกโพธิ์ ตํอมารา ฎรใน มํูบ๎านยาง เกิดโรค
ระบาดติดตํอกันในชุมชน ทาใ ๎ผ๎ูคนอพยพไป มด เ ลือแตํ ัดร๎าง
จนกระท่ังเป็น มูํบ๎านร๎าง คงปลํอยทิ้งองค์พระธาตุอุโมงค์ไ ๎โดย
มไิ ดท๎ าลายองค์พระธาตุแตํอยาํ งใด
แตํเน่ืองจาก ภาพพ้ืนที่บริเ ณน้ีเป็นพื้นท่ีมีค ามอุดม
มบูรณ์มากเ มาะแกํการที่จะใช๎เป็นที่อยํูอา ัย ตํอมารา ฎรได๎
กลับเข๎ามาทามา ากินและจัดต้ัง มํูบ๎านขึ้นมาอีกครั้ง โดยเรียกช่ือ
มูํบ๎าน ําบ๎านยาง ซ่ึงเป็นช่ือ มูํบ๎านเดิมท่ีร๎างไป จนกระท่ังเ ลา
ตํอมา มํูบ๎านยางได๎ขยายออกเป็น มูํบ๎านท่ีใ ญํ และมีรา ฎร
อา ัยอยํูมากเพ่ิมข้ึนเร่ือยๆ จึงได๎พร๎อมกันจัดต้ัง ัดข้ึนมาใ มํเม่ือ
ประมาณปี พ. . 2467 โดยนาเอาชื่อ ัดเดิมมาตั้งเป็นช่ือ ัดใ มํ
เป็น ัดอุโมงค์มังคลารามในปัจจุบัน ซ่ึงต้ังอยูํ ํางจากพระธาตุ
อโุ มงคป์ ระมาณ 400 เมตร
ตํอมา มูํบ๎านยางได๎แยก มูํบ๎านออกอีก ซึ่งได๎เรียกตํอ
กันมา ําบ๎านกกก๎านเ ลือง โดยอา ัยลา ๎ ยน้าเป็นเ ๎นแบํงเขต
ระ ําง มํูบ๎าน และรา ฎรก็ได๎รํ มกันพัฒนา มํูบ๎านของตน
เร่อื ยมาโดยตลอดจนถงึ ปัจจบุ นั และยังใ ๎ค ามเคารพ ักการะบูชา
ตํอองคพ์ ระธาตุอโุ มงค์ด๎ ยค าม รัทธา
ประเพ~ณีแ77ห22่ตน้~ดอกไม้
ตํอมาเมื่อปี พ. . 2532 จึงได๎เริ่มปรับปรุงบูรณปฏิ ังขรณ์
พระธาตุอุโมงค์ โดยได๎ ร๎างครอบพระธาตุองค์เดิม ครั้งที่ 1 มี
รูปลัก ณะทรง ่ีเ ล่ียม ฐานก ๎าง 2 เมตร ูง 7 เมตร เทําที่พบ
อัก รจากพระธาตุองค์เดิม จึงได๎ลอกแบบตั อัก รที่จารึกไ ๎
บรเิ ณพระธาตุ ลงั จาก รา๎ งเ รจ็ แล๎ พระเดชพระคุณพระ ุนทร
ธรรมากร ( ล งปุูคาพันธ์ โฆ ปญโญ) เจ๎าอา า ัดธาตุม าชัย
จัง ัดนครพนม ได๎อัญเชิญพระ ารีริกธาตุมาบรรจุที่พระธาตุ
อโุ มงค์ เมอ่ื นั ที่ 2 มนี าคม พ. . 2533 จาน น 109 องค์
ตํอมาเมื่อปี พ. . 2540 พระเดชพระคุณพระ ุนทรธรรมา
กร ( ล งปุูคาพันธ์ โฆ ปญโญ) ทํานได๎พิจารณาเ ็น ําการ ร๎าง
ครอบองค์พระธาตุยังไมํ ยงาม และไมํตรงตามลัก ณะองค์พระ
ธาตุจึงได๎มอบ มายใ ๎พระปลัด มัย รฺกชิตขมุโม รองเจ๎าอา า ัด
ม าชยั อาเภอปลาปาก จงั ัดนครพนม มาดาเนินการ ร๎างครอบ
เป็นครั้งที่ 2 พระปลัด มัยจึงได๎เดินทางมาและนาพาญาติโยม
พุทธ า นิกชนโดยมีบรรดาข๎าราชการ พํอค๎า ประชาชนทุก มํู
เ ลําเข๎ามาดาเนินการกํอ ร๎างจนแล๎ เ ร็จ มีรูปลัก ณะทรง 8
เ ล่ียม ฐานก ๎าง 8.10 เมตร ูง 18 เมตร ใช๎เ ลาทาการกํอ ร๎าง
นาน 7 เดือน ิน้ งบประมาณกํอ รา๎ ง จาน น 800,000 บาทเ
~ 7733 ~
ตานานพระธาตอุ ุโมงค์
ปราชญ์ชา บ๎าน ผ๎ูมีค ามรู๎เร่ืองพระธาตุอุโมงค์ กลํา ํา
ตานานที่เกําแกํไมํมีใครที่จะ ย่ังร๎ูได๎ แตํท่ีมีข๎อมูลในปัจจุบันน้ี
ร บร มไ ๎เมื่อประมาณ 40 – 50 ปีมาน้ี โดยได๎รับการถํายทอด
จากคณุ ครทู ี่ อนตอน ป.4 และคณุ ยายมา าํ ในพระธาตุอุโมงค์มีไม๎
กกชี้ตาย ปลายชี้เป็น มีเ รียญ มีพระพุทธรูป และ ิ่ง ักด์ิ ิทธิ์ของ
มคี ํา ลายอยําง
ตานานการ ร๎างเลํา ืบตํอกันมา ํา มีการนาเอาของ ิเ
ไปบรรจุไ ท๎ ี่พระธาตพุ นม แตพํ อเดินทางมาถึงบริเ ณนี้ได๎รับขํา ํา
พระธาตุพนม ร๎างเ ร็จ จึงได๎ ร๎างพระธาตุอุโมงค์ข้ึนด๎ ย ิลาแลง
แล๎ เอาของ ิเ เ ลําน้ันบรรจุไ ๎ มีพระพุทธรูปเ ่ียงทาย
ประดิ ฐานอยบํู นพระธาตุ 2 องค์ มีโจรมาขโมยไป แตํพระพุทธรูป
องค์ น่ึง นักไมํ ามารถยกเอาไปได๎ โจรจึงตัดเก พระพุทธรูปไป
พระพุทธรูปองค์นี้ถือ ําเป็นพระพุทธรูปประจา มํูบ๎าน ามารถ
เ ี่ยงทายได๎แมํนยาย่ิงนัก ํ นอีกองค์ น่ึงที่โจรได๎ขโมยไปเอาลง
เรือข๎ามแมํน้าโขงไปฝั่งลา เรือลํมกลางแมํน้าพระพุทธรูปองค์น้ัน
จมลง ํูท๎องแมํน้าโขง เดิมทีเชื่อกนั ําโจรไมํ ามารถยกเอาไปได๎ โจร
จึงอธิ ฐาน ําถ๎าเอาไปได๎ชาติ น๎าใ ๎เกิดเป็นเดรัจฉานจึง ามารถ
ยกไปได๎ ํ นของท่ีบรรจุในพระธาตุผ๎ูใดเอาไป ไมํ ําจะเป็นพระ
รอื ฆรา า กต็ ๎องมีอันเป็นไปภายใน 7 ัน เดิมที มูํบ๎านแถ น้ีเป็น
ที่อยํูอา ัยของพ กยาง (ยาง มายถึงชา พื้นเมืองด้ังเดิม)
ประเพ~ณีแ77ห44่ตน้~ดอกไม้
นายพรานชา ลา จากบ๎านนาขําออกตามลํากระทิงมาถึงบริเ ณน้ี
เ ็นเป็นท่ีเ มาะแกํการตง้ั ชุมชน จึงได๎กลับไปชักช นญาติพ่ีน๎องมา
ตั้งบ๎านเรือนในบริเ ณนี้โดยอา ัยอยํูรํ มกับพ กยาง แตํก็ร๎างไปใน
เ ลาตํอมา ํ นพ กยางเกิดโรค ําระบาดตาย มดท้ัง มูํบ๎านและ
ได๎มกี ารมาต้ังถ่นิ ฐานอีกคร้ังและคงอยมูํ าตราบถึงปจั จบุ นั
ในการบูรณะพระธาตุอุโมงค์มีการขุดค๎นใต๎ฐานพระธาตุ
โดยชา บ๎านพบพระพทุ ธรปู และเ รียญ มยั รชั กาลที่ 4 และรัชกาล
ที่ 5 เป็นจาน นมาก เมื่อบูรณะพระธาตุเ ร็จแล๎ ได๎นาไปบรรจุไ ๎
ในพระธาตเุ มือนเดมิ
ค าม ักด์ิของพระธาตุอุโมงค์ ชา บ๎านเช่ือ ําถ๎ามีการ
ทาบุญประเพณีต๎องมีการแตํงขันดอกไม๎มาบอกกลํา พระธาตุกํอน
เคยมีการจ๎าง มอลาซิ่งมาแ ดงในบริเ ณ ัด แตํ มอลาไมํ ามารถ
แ ดงได๎ ใครออกมาแ ดง น๎าเ ทีต๎องร๎องไ ๎กัน มด ถ๎ามีคนมา
อธิ ฐานขอก็จะได๎ด่ังใจปรารถนาทุกประการ โดยเฉพาะการขอ
เป็นข๎าราชการ รือขอใ ๎ อบบรรจุเป็นข๎าราชการได๎ พระธาตุจะ
บันดาลใ ๎ดั่งใจปรารถนา ถือเป็นของ ักด์ิ ิทธ์ิที่ ถิตในพระธาตุที่
ชํ ยบันดาลใ ๎การขอประ บผล าเร็จโดยเฉพาะเร่ืองรา เก่ีย กับ
การรบั ข๎าราชการตาํ งๆ
เรืออากา เอกพง ักดิ์ คาพิง ชา บ๎านกกก๎านเ ลือง
ผ๎ูดูแลพระธาตุอุโมงค์กลํา ํา เคยนิมิตฝัน ํามีผ๎ูมาบอก ําชาติกํอน
ตนเป็นท ารบาลเฝูา มบัติที่พระธาตุอุโมงค์ ตนเองแม๎ไมํใชํคนใน
~ 7755 ~
ท๎องถ่ิน แตํมีความ ํวงแ นพระธาตุย่ิงกวําชีวิต ตนเคียดแค๎นคนท่ี
เอา มบัติพระธาตุไปโดยไมํมีเ ตุผล และถ๎าตนจะออกจากพื้นที่
มูํบ๎านต๎องบอกกลําวพระธาตุกํอน มิเชํนนั้นจะเป็นอันตรายทุก
ครั้งไป ตนเคยออกจาก มูํบ๎านไปโดยไมํบอกกลําวพระธาตุ 6 ครั้ง
ทุกคร้ังก็ประ บอันตรายปางตาย แตํถ๎าบอกกลําวพระธาตุตนจะ
เดินทางอยําง วั ดิภาพและประ บผล าเร็จทุกอยาํ ง
ในความฝันคนผ๎ูนั้นบอกตนวําไมํใ ๎ตนไปไ นใ ๎อยูํท่ีนี่ ถ๎า
อยากได๎อะไรใ ๎มาขอพระธาตุ จะบันดาลใ ๎ทุกอยํางซ่ึงก็เป็นจริง
ตามน้ัน ตนมาขออะไรพระธาตุก็บันดาลใ ๎ทุกอยํางแตํตนต๎องมา
ดแู ลพระธาตไุ มใํ ๎ใครมารุกลา้ ทาลายพระธาตุ
“พระธาตอุ โุ มงค์” พระธาตศุ กั ดิ์ ิทธแิ์ ละเกาํ แกํคบูํ ๎านยาง
ประเพ~ณแี 77ห66ต่ ้น~ดอกไม้
พระใหญ่วัดอัมพวัน
พระใ ญํ ัดอัมพ ัน ประดิ ฐานอยํูที่บ๎านรํองไผํ ตาบล
โคกใ ญํ อาเภอทาํ ลี่ จงั ดั เลย รา๎ งเมอื่ ปี พ. . 2525 โดยการนา
ของ ล งปุูจ้ิน นายก ย เขาลาด ผ๎ูใ ญํบ๎าน มัยน้ันและชา บ๎าน
รํองไผํ โดยการย๎าย ัดจากที่เกํามากํอตั้ง ัดอัมพ ันในท่ีตั้งปัจจุบัน
และได๎พัฒนา ัดเร่ือยมา ัดนี้ขึ้นทะเบียนเป็น ัดท่ีถูกต๎องตาม
กฎระเบียบ านักพุทธ า นา เมื่อปี พ. . 2529 โดยมีเนื้อท่ี 30 ไรํ
จดุ ทีน่ ํา นใจของ ัด ได๎แกํ พระใ ญํ ิ าร ล งปุูใ ญํ ิ าร ล ง
ปูุท ดและ มเด็จพุทธาจารย์โต ัดอัมพ ันเป็น ูนย์ร มจิตใจของ
คนใน มบํู า๎ นรอํ งไผแํ ละในละแ กใกล๎เคยี ง
พระใ ญํ ัดอัมพ ัน นู ยร์ มจติ ใจของคนใน มํูบ๎านรอํ งไผํ
~ 7777 ~
ตน้ มะค่ายักษ์
ตน๎ มะคํายกั ์ เป็น ถานที่ทํองเที่ย เชิงนิเ อยทูํ บ่ี า๎ นยาง
มูทํ ี่ 5 ตาบลทาํ ลี่ อาเภอทาํ ลี่ จงั ัดเลย
ตน๎ มะคําเป็นต๎นไม๎เกําแกํ มีอายุประมาณ " ๎าร๎อยปี" และ
เป็นไม๎ท่ี ายาก มีขนาด 8 คนโอบ ชา บ๎านในอดีตเรียก ํา "ไม๎
มะคําแปดอ๎ุม" อยูํที่บริเ ณต๎นน้าแฟน ด๎ ยค ามใ ญํของลาต๎น
มะคํานี้ จึงได๎ข้ึนชื่อ ําเป็น ัญลัก ณ์อยําง น่ึงของอาเภอทําล่ี
ปัจจุบันได๎รับการอนุรัก ์ใ ๎เป็นแ ลํงเรียนรู๎ของชุมชนและเป็น
แ ลํงทํองเทีย่ ทางธรรมชาตอิ กี ถานทข่ี องอาเภอทาํ ล่ี
ตน๎ มะคาํ ขนาด 8 คนโอบ รอื ท่ชี า บา๎ นเรียก าํ “ไม๎มะคาํ แปดอุ๎ม”
ประเพ~ณแี 77ห88่ตน้~ดอกไม้
ภูผักหวาน
จุดชม ิ ทะเลภูเขาและทะเล มอกชายแดนไทยลา “ภู
ผัก าน” ต้ังอยูํ มูํที่ 3 บ๎าน ๎ ยเด่ือ ตาบลน้าทูน อาเภอทําลี่
จัง ัดเลย การเดินทางจากตั จัง ัดเลยถึงอาเภอทําล่ีประมาณ
46 กิโลเมตร ออกจากอาเภอทําล่ีไปยังตาบลอาฮีระยะทาง
ประมาณ 12 กิโลเมตร จากนั้นไปตามถนนทําล่ี-ดํานซ๎าย เลาะริม
แมํน้าเ ืองไปเรื่อยๆ จนไปถึงบ๎านแกํงมํ ง อีกประมาณ 15
กิโลเมตร กํอนจะถึงดํานตร จจะมีปูายบอกทางเลี้ย ซ๎ายเข๎า
มํูบ๎าน ๎ ยเด่ือ ไปตามเ ๎นทางถนนคอนกรีตไปอีกประมาณ 5
กิโลเมตร จากนั้นใช๎เ ๎นทางขึ้นเขาบริเ ณข๎าง ัดโพนทองไปเร่ือยๆ
เ ๎นทางจะผํานเข๎าไปในปุาและผํานพ้ืนที่การเก ตรของชา บ๎าน
เ ๎นทางจะผํานจุดทํองเที่ย น๎าผาประ ัติ า ตร์ มีภาพเขียน ี
โบราณเก่ีย กับประ ัติพุทธ า นา จากนั้นตรงตามเ ๎นทางไปตาม
ปุาลัก ณะคล๎ายกับปุาโคกปุาผัก าน แล๎ ก็จะถึงจุดชม ิ ภู
ผัก าน
จุดชม ิ ภูผกั าน ามารถมองเ ็น ิ ทิ ทั น์ ฝ่ังทางด๎าน
เ นือได๎แบบ 180 อง า และยัง ามารถมองเ ็น มํูบ๎าน ังเปุง
ตาบลนา้ ทูน อาเภอทําลี่ และภูเขาท่ีเป็นจุดเดํนและเป็นเอกลัก ณ์
ทางฝ่ังทิ ตะ ันออก คือ “ภูผาแงํม” ํ นทางด๎านทิ ตะ ันออก
เฉียงใต๎ จะมองเ ็นภูผา าด อาเภอภูเรือ จัง ัดเลย ํ นทางทิ
เ นือ ามารถมองเ ็นดํานพรมแดนบ๎านนากระเซ็ง ร มท้ัง ปป.
~ 7799 ~
ลาว ได๎อีกด๎วย นอกจากจะเป็นจุดชมพระอาทิตย์ข้ึนและพระ
อาทิตย์ตกแล๎ว ชํวงฤดูฝนและฤดู นาวยังมีโอกา ที่จะเ ็นทะเล
มอกที่งดงามได๎อีกด๎วย นอกจากจุดชมวิวตํางๆ นี้แล๎ว ยังมีน้าตก
อีก ลายแ ํง ซ่ึงจะได๎ยินเ ียงจากบริเวณจุดชมวิว เชํน น้าตกตาด
ว๎ ยแตงํ นา้ ตกลาดขาควาย เป็นตน๎
ะพานมิตรภาพขา้ มแม่นา้ เ ืองไทย-ลาว
จุดผํานแดนถาวร ะพานมิตรภาพแมํน้าเ ือง รือดําน
พรมแดนบ๎านนากระเซ็ง เดิมคือดํานศุลกากรทําลี่ ได๎จัดข้ึนตาม
กระทรวงการคลังฉบับท่ี 49 พ.ศ.2508 ตํอมากฎกระทรวงฉบับท่ี
130 (พ.ศ.2543) ได๎กา นดใ ด๎ าํ นศุลกากรทาํ ลเ่ี ป็นท่ี า รับนาเข๎า
รือ ํงออกของทุกประเภท และตํอมาได๎กา นดอนุมัติดําน
พรมแดนและศุลกากรใ มํ โดยเพิ่มทางถนน ะพานมิตรภาพแมํน้า
เ ืองไทย-ลาว มายังดํานศุลกากรทําลี่เป็นทางอนุมัติและตั้งดําน
พรมแดนนากระเซง็ แ งํ ใ มขํ ้นึ กา นดเวลาขน ํงของเข๎า รือออก
ในราชอาณาจักรผํานเขตทางบกทางอนุมัติ ต้ังแตํเวลา 06.00-
18.00 น. ตํอมาคณะรัฐมนตรีได๎มีมติเม่ือวันท่ี 18 พฤศจิกายน
2546 เ ็นชอบใ ๎กํอ ร๎าง ะพานมิตรภาพแมํน้าเ ืองไทย-ลาว
และดํานพรมแดนบ๎านนากระเซ็ง ซึ่งตั้งอยูํที่บ๎านนากระเซ็ง ตาบล
อาฮี อาเภอทําล่ี จัง วัดเลย เพื่อ นับ นุนและ ํงเ ริมการค๎าและ
การทอํ งเท่ยี วรวํ มกนั ระ วาํ งจงั วัดเลยและแขวงไชยะบุลี
ประเพ~ณแี 88ห00่ตน้~ดอกไม้
ประเพณีการเส็งกลอง
ประเพณีการเ ็งกลองเป็นการละเลํนพ้ืนบ๎านอีกอยําง นึ่ง
ในแถบอาเภอทําลี่ จัง ัดเลย ถือเป็นภูมิปัญญาพ้ืนบ๎านในชุมชน
ทอ๎ งถนิ่ ทีไ่ ด๎ บื ทอดตํอกนั มาเปน็ เ ลาชา๎ นาน
จากการ กึ าประ ัติค ามเป็นมาของชา ทําลี่ทาใ ๎ทราบ
ําอาเภอทําลี่มีการละเลํนพื้นเมืองชนิด นึ่งซ่ึง ืบทอดกันมา
ประมาณ 70 -90 ปี มาแล๎ คือ การเ ็งกลองซ่ึงปัจจุบันได๎เลิกเลํน
ไปเป็นเ ลา 20 -30 ปี และจากการพูดคุยกับชา บ๎าน ํ นใ ญํ
โดยเฉพาะผ๎ูเฒําผ๎ูแกํได๎กลํา ํา การเ ็งกลองเป็นการละเลํนท่ี
นุก นานที่ ุด า รับประชาชนใน มยั น้ัน
ค าม มายของการเ ็งกลอง “เ ็ง” เป็นภา าพ้ืนบ๎าน
แปล ําการแขํงขัน ดังนั้น การเ ็งกลองจึงมีค าม มาย ําการ
แขํงขันตีกลองเพ่ือใ ๎ดู ํากลองของใครจะมีเ ียงดังก ํากัน กลองที่
ใช๎ า รับนามาเ ง็ รือนามาแขงํ ขันมีชอื่ เรียก าํ “กลองกิง่ ”
การแขงํ ขนั แบงํ ออกเปน็ 2 ฝาุ ย แตลํ ะฝาุ ยจะมกี ลอง 2 ลูก
โดยมีเ าตอก แล๎ นากลองไปแข นคํูกัน รือนาไป างคํูกันแตํละ
ฝาุ ยจะผลัดกันเขา๎ ไปตกี ลองของตน
การตดั ินจะมกี รรมการฟงั เ ยี งกลองท้ัง 2 ฝุาย ลับกันไป
มาเพื่อจะได๎เปรียบเทียบกัน ถ๎ากลองก่ิงของใครเ ียงดังก ําก็จะ
กลบเ ยี งกลองของอีกฝาุ ย น่ึง มด
~ 8811 ~
“กลองกง่ิ ” ทใ่ี ช๎ า รบั นามาเ ง็ รือนามาแขงํ ขนั
ประเพ~ณีแ88ห22ต่ ้น~ดอกไม้
ประเพณแี พ่ ระเว ันดร บุญเดือน ก
งานประเพณีแ ํพระเ ันดร บุญเดือน ก จะจัดขึ้นใน
นั ข้นึ 13-15 ค่า เดอื น ก (พฤ ภาคม) ของทุกปี ปฏิบัติกันมาเป็น
เ ลาก ํา 100 ปี มีค ามเช่ือ ําการทาบุญประจาปี จะเป็นการ
ทาบุญเพื่อใ ๎ฝนฟูาตกต๎องตามฤดูกาล และเป็นการ ืบทอด
ประเพณีอันดีงาม ใ ๎คงอยํู ืบไป ทั้งน้ีขบ นแ ํ เร่ิมจาก อประชุม
โรงเรียนบ๎านทาํ ลี่ ไปยัง ดั โพธ์ิ รี บ๎านทาํ ลี่ อาเภอทําลี่ จงั ัดเลย
กจิ กรรมในประเพณีแ พํ ระเ ันดร บญุ เดือน ก
~ 8833 ~
ประเพณีสงกรานต์ไทย-ลาว
งานประเพณี งกรานต์ ไทย-ลาว จัดข้ึนบริเวณริมตลิ่ง
แมํน้าคาน รื น๎าท่ีวําการ าเภ ทําล่ี จะมีความแตกตํางจากท่ี
ื่น เน่ื งจากมี ปป.ลาว เข๎ารํวมกิจกรรมตํางๆ ที่จัดขึ้น เป็น
ประจาทุกปี เชํน ขบวนแ ํนาง งกรานต์ รงน้าพระ รดน้าข พร
ผู๎ ูง ายุ การแ ดงเ ็งกล ง การแ ดงแ ํต๎นด กไม๎ ประกวดตา
๎มตาลีลา ประกวดเทพี งกรานต์ การแขํงขันกี าพ้ืนบ๎าน เชํน ตี
โปงุ มวยทะเล พายเรื ํวงยาง ซง่ึ เน๎นวถิ ีชีวติ ลมุํ แมนํ า้ คาน
การประกวดเทพี งกรานต์ ในประเพณี งกรานตไ์ ทย-ลาว
ประเพ~ณีแ88ห44่ต้น~ดอกไม้
เครอ่ื งหวาย
มัยต้ังแตํโบราณ พ้ืนที่บริเ ณบ๎านนากระเซ็ง เป็นพ้ืนท่ีที่
อุดม มบูรณ์ไปด๎ ยปุาไม๎และมี ายชนิดตํางๆ เกิดข้ึนอยํูทั่ ไป
ตามเทือก น ไรํนา และบริเ ณภูเขา ได๎แกํ ายบุํน ายแดง
าย อม เปน็ ต๎น ชา บา๎ นไดน๎ ามาทาเป็นเครื่องจัก าน เคร่ืองมือ
เครื่องใช๎ในครั เรือนและได๎ ืบทอดภูมิปัญญาตํอลูก ลานมาจนถึง
ปัจจุบัน เม่ือค ามเจริญเข๎ามาถึงปุาไม๎เร่ิมถูกทาลาย ายท่ีเคย
นามาใช๎ทาผลิตภัณฑ์เริ่ม มดไป จนนางพิ มัย ัน าชนานันท์
ได๎มาฟ้ืนฟูอาชีพ ัตถกรรมจาก ายเม่ือเดือนเม ายน 2541 เป็น
ต๎นมา โดยนา ายเข๎ามาจากประเท ลา มีชํางฝีมือรํ มทาอยูํ 2
คน เมื่อผลิตภัณฑ์เป็นที่ร๎ูจักและ ามารถจา นํายได๎ จึงมีค าม
จาเป็นท่ีจะต๎องเพิ่มแรงงาน จึงได๎ชักช นชา บ๎านท่ี ํางงานเข๎ามา
ทางานเพ่ือเป็นการเ ริมรายได๎ใ ๎กับครอบครั อีกทาง น่ึง โดยใ ๎
ชํางฝีมือเป็นคนฝึก ัดข้ันตอนการทาใ ๎จนเกิดค ามชานาญ ตํอมา
ทางราชการได๎มาพบงาน ัตถกรรมจาก าย จึงได๎ ึก า
รายละเอียดและมองเ ็น ําเป็นการ ร๎างงาน ร๎างอาชีพ ร๎าง
รายได๎ ใ ๎กับชา บ๎าน จึงได๎ ํงเ ริมใ ๎มีการปลูก ายและประชุม
ชา บ๎านผ๎ู ํางงานและผู๎ท่ี นใจจัดต้ังเป็นกลํุม ํงเ ริมอาชีพ มี
มาชิก 20 คน และต้ังชื่อกลํุม ํากลํุมพัฒนาอาชีพ ัตถกรรม าย
และผ๎าทอ โดยได๎เร่ิมเปิดกลํุมเป็นทางการ เม่ือ ันท่ี 4 ิง าคม
พ. . 2541เปน็ ตน๎ มา
~ 8855 ~
เอกลัก ณ์และจุดเดํนของผลิตภัณฑ์เป็นชุดรับแขกท่ีทา
จาก วายน้าผึ้ง( วายบํุน) ซ่ึงเป็น วายท่ีมีคุณภาพดีท่ี ุด เนื้อ
วาย มีความเ นียวแข็งแรงคงทน ํวนประกอบทุกชิ้นใช๎ วาย
น้าผึ้งทั้ง มด านเป็นลายดอกจาปี มีความประณีตละเอียด
วยงาม ลง ีเคลือบเงาด๎วยแลกเกอร์ จานวน ลายชั้นทนตํอรอย
ขีดขํวนและแรงกระแทกเบาะทาด๎วยผ๎าฝูายทอมือเน้ือดี วยงาม
พร๎อมท่ีจะนาไปใช๎งาน กลํุมอาชีพ ัตถกรรม วายและผ๎าทอมีการ
ร๎างงาน ร๎างอาชีพ ร๎างรายได๎ใ ๎แกํคนในชุมชน มาชิกกลุํมเป็น
คนในชุมชนรํวมกันคิด ร๎างชิ้นงานอยําง ร๎าง รรค์ทาใ ๎มี
ความ ัมพันธ์กันอยํางใกล๎ชิด ร๎างความ ามัคคีและเชื่อม ัมพันธ์
กบั ชุมชนอนื่
ขั้นตอนการทาเครอื่ ง วายของกลุํมพฒั นาอาชพี ตั ถกรรม วายและผ๎าทอ
ประเพ~ณีแ88ห66่ต้น~ดอกไม้
กล่มุ ทอผ้าพน้ื เมือง นา้ แคม
กลํุมทอผ๎าตั้งอยูํท่ี มูํ 3 บ๎านน้าแคม อาคารทอผ๎าอยํูติด
กับ ูนย์การ ึก านอกโรงเรียนน้าแคมและ ูนย์พัฒนาเด็กเล็ก
ตาบลน้าแคม ระยะทางจากตั อาเภอทําลี่ ประมาณ 14กิโลเมตร
มี มาชิกในกลํุมประมาณ 20 คน มีการทอผ๎าตํางๆ เชํน ผ๎ามัด มี่
ผ๎าไ ม ผ๎าฝูายไทเลย และถักทอเป็นชนิ้ งานมากมาย เชํน ผ๎าพันคอ
ผ๎าซนิ่ (ผา๎ ถุง ตร)ี ยาํ ม(กระเปา๋ ผา๎ ฝาู ย) เปน็ ตน๎
ผลติ ภณั ฑผ์ า๎ ทอพน้ื เมือง กลุมํ ทอผา๎ บา๎ นนา้ แคม
~ 8877 ~
3.ประวตั ิศา ตร์ชุมชนบ้านอาฮี
อาเภอท่าลี่ จัง วดั เลย
บา๎ นอาฮีเปน็ ชมุ ชนชายแดนท่ีติดริมแมํน้าเ ืองซึ่งทา น๎าที่
เป็นเ ๎นก้ันเขตแดนระ ํางไทยกับลา แมํน้าเ ืองเป็นลาน้า าขา
ของแมํน้าโขง มีค ามยา ประมาณ 130 กิโลเมตร มีแ ลํงกาเนิด
ของต๎นน้าอยูํบริเ ณเทือกเขารอยตํอระ ํางอาเภอชาติตระการ
จัง ัดพิ ณุโลก และอาเภอนาแ ๎ จัง ัดเลย โดยเ ๎นทางไ ล
ผํานของแมํน้าเ ืองน้ันไ ลผํานอาเภอชาติตระการ ดํานซ๎าย ทําลี่
และไ ลลง ํูแมํน้าโขงบริเ ณปากเ ือง ในเขตบ๎านทําดี มี ตาบล
ปากตม อาเภอเชียงคาน จงั ดั เลย
บรบิ ทของตาบลอาฮี
ภาพทั่ ไปของตาบลอาฮี ต้ังอยํูทางทิ ตะ ันออกของ
อาเภอทําลี่ จัง ัดเลย อยูํ ํางจากตั อาเภอทําล่ีประมาณ 9
กิโลเมตร มีเนื้อท่ีประมาณ 172 ตารางกิโลเมตร มีอาณาเขตติดตํอ
คือ ด๎านทิ เ นือติดตํอกับ ปป.ลา และตาบล นองผือ ด๎านทิ
ใตต๎ ดิ ตอํ กบั ตาบลลาดคําง และตาบล นองบั อาเภอภูเรือ ด๎านทิ
ตะ ันออก ติดตํอกับตาบลทําล่ี และด๎านทิ ตะ ันตกติดตํอกับ
ปป.ลา
ประเพ~ณแี 88ห88ต่ น้~ดอกไม้
จาน น มูํบ๎านท่ีอยูํในอาณาบริเ ณเขตพื้นท่ีองค์การ
บริ าร ํ นตาบลอาฮี ร มทงั้ ้ิน 11 มํูบา๎ น แบํงเป็น 2 ตาบล คือ
ในเขตพ้ืนที่ตาบลอาฮีมี 6 มูํบ๎าน และตาบลน้าทูนมี 5 มํูบ๎าน มี
พ้นื ท่ที าเก ตรกรรมทั้ง ้ินประมาณ 35,100 ไรํ ดงั รายละเอียดตาม
ตาราง
ตาบลอาฮี ตาบลนา้ ทูน
หมู่บา้ น พนื้ ที่ หมู่บา้ น พื้นที่
เกษตรกรรม เกษตรกรรม
บ๎านอาฮี มํู 1 6,597 บา๎ นนา้ มี มํู 1 2,168
บ๎าน ๎ ยคงั มํู 2 2,769 บา๎ น นองบง มูํ 2 2,316
บ๎านนา้ พาน มูํ 3 3,312 บา๎ น ๎ ยเดอ่ื มูํ 3 1,010
บ๎านนากระเซง็ มํู 4 4,500 บ๎านแกงํ มํ ง มูํ 4 581
บ๎าน นองปกติ มูํ 5 4,062 บา๎ น งั เปุง มูํ 5 910
บา๎ นอาฮี มํู 6 7,857
รวม 29,115 รวม 6,985
ที่มา: (องคก์ ารบริ าร ํ นตาบลอาฮี, 2555)
ประชากร ํ นใ ญํประกอบอาชีพเก ตรกรรม ได๎แกํ การทา
พชื ไรํ เชํน ข๎า โพด ถ่ั เ ลอื ง ถั่ แดง การทานาปี การทา นผลไม๎
มะขาม าน มะมํ ง และการเลีย้ ง ัต ์ เชํน ุกร โค เป็นตน๎
ตาบลอาฮีมีประชากรร มทั้ง ิ้น 6,259 คน มีโรงเรียนระดับ
ประถม ึก า 10 แ ํง โรงเรียนระดับมัธยม ึก าขยายโอกา 1
~ 8899 ~
แ ํง ูนย์การ ึก านอกโรงเรียน 2 แ ํง มีท่ีอําน นัง ือพิมพ์
ประจา มูํบา๎ น 10 แ ํง มี ดั 12 แ ํง มี ถานีอนามัย 4 แ ํง
ด๎านการคมนาคม มีเ ๎นทางการคมนาคมท่ี าคัญเป็น
เ ๎นทาง ล งแผํนดิน มี 2 าย คือ าย 2099 ติดตํอระ ํางตาบล
อาฮีกับอาเภอทําลี่ ระยะทาง 9 กิโลเมตร และ าย 2195 เป็น
เ ๎นทางยุทธ า ตร์เลยี บแมนํ ้าเ ือง ตดิ ตํอระ ํางอาเภอเชียงคาน
อาเภอทําล่ี อาเภอดํานซ๎าย อาเภอภูเรือ ระยะทาง 30 กิโลเมตร
ํ นถนนเรํงรัดพัฒนาชนบทมี 2 าย คือ าย 3180 ติดตํอระ ําง
บ๎านอาฮีกับบ๎านน้าพาน ระยะทาง 4 กิโลเมตร และ าย 3118
ติดตํอระ าํ งบ๎านน้าพานกบั อาเภอทําลี่ มีระยะทาง 11 กโิ ลเมตร
นอกจากนี้ พบ ําองค์การบริ าร ํ นตาบลอาฮี มีเขตพ้ืนที่
ติดตํอกับ ปป.ลา จึงมีจุดผํานแดนถา รท่ีบ๎านนากระเซ็ง มูํ 4
เพื่อใ ๎ประชาชน ามารถเดินทางติดตํอค๎าขายโดยข๎ามที่ ะพาน
มิตรภาพไทยลา ะพานข๎ามแมํน้าเ ือง ซึ่งมีค ามยา 110 เมตร
ค ามก ๎าง 12 เมตร เป็นพื้นที่ าธารณประโยชน์ าด ินรํอง บ๎าน
นากระเซ็ง มํู 4 า รับเป็นเ ๎นทางคมนาคมระ ํางประเท ทา
ใ ๎ ามารถเดนิ ทางไปตํอจนถงึ เมือง ล งพระบาง ปป.ลา ได๎
ด๎าน าธารณูปโภคของตาบลอาฮี มีที่ทาการไปร ณีย์ 1
แ ํง และทุก มํูบ๎านในตาบลอาฮีจะมีไฟฟูาเข๎าถึง ร มทั้งมีไฟฟูา
าธารณะจาน น มูบํ ๎านละ 10 จดุ ทุก มํบู ๎าน
ประเพ~ณแี 99ห00่ต้น~ดอกไม้
ดา๎ นทรพั ยากรธรรมชาติ มี ภาพเป็นภูเขาลาดชัน มี ภาพ
ความ มบูรณ์ของปุาไม๎ แตํมีการบุกรุกทาลายทาใ ๎ปุาไม๎ลดลง มี
แ ลํงน้าธรรมชาติ ได๎แกํ แมํน้าเ ือง ๎วยน้าทูน ๎วยคัง และรํอง
น้าพาน มีแ ลํงน้าที่ ร๎างขึ้น ได๎แกํ ฝาย 19 แ ํง บํอน้าต้ืน 119 แ ํง
บํอโยก 14 แ งํ ระ 13 แ ํง
บ๎านอาฮี เดิมมีฐานะเป็นเมืองมีช่ือวํา ดงตูม รือเมืองตูม
มีเจ๎าเมืองข้ึนตรงตํอเมือง ลวงพระบาง ปป.ลาว ตํอมาเปล่ียนชื่อ
เมืองตามเรื่องเลําในอดีต จากคาพูดของนางพร มจารีที่กลําววํา
“อาฮิกิน” แปลวํา “อาไมํกินม๎า” และได๎แผลงช่ือเป็นอาฮีมาจนถึง
ปัจจบุ นั
บ๎านอาฮีมีพ้ืนที่เป็นปุาไม๎ท่ีมีความอุดม มบูรณ์ มีแ ลํงน้า
คือแมํน้าเ ือง โดยมีชาวบ๎านจากบ๎านนาดี บ๎านเ มืองแพรํ อาเภอ
นาแ ๎ว อพยพมาตั้งถ่ินฐานเพ่ิมขึ้น จนเป็นชุมชนขนาดใ ญํ ตํอมา
ในปี พ.ศ.2440 มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองตามพระราชบัญญัติ
การปกครองทอ๎ งที่ รศ.116 เป็นเทศาภิบาล มีการแบํงการปกครอง
เป็นมณฑล เมือง อาเภอ ตาบล มํูบ๎านตามลาดับ ในชํวงปี
พ.ศ.2442-2449 ทาใ ๎บ๎านอาฮีได๎รับการยกฐานะเป็นอาเภอ นึ่ง
ของเมืองเลย ซ่ึงในขณะน้ันมีเพียง 3 อาเภอ คือ อาเภอกุดปุอง
อาเภออาฮี และอาเภอนากอก ตํอมาปี พ.ศ.2449 ถึงปี 2450 เกิด
กรณีพิพาทดินแดนระ วํางไทยกับฝร่ังเศ ซึ่งได๎มายึดครองลาวใน
เขตพ้ืนท่ีอาเภออาฮี ฝ่ังซ๎ายของแมํน้าเ ือง จึงมีประกาศ
~ 9911 ~
กระทร งม าดไทยลง ันที่ 4 มกราคม พ. .2450 กา นดอาณาเขต
ประเท ไทยเ ลือเพียงฝั่งข าแมํน้าเ ืองเทําน้ัน จึงทาใ ๎อาเภอ
อาฮีถูกยุบฐานะลงเป็นเพียงตาบลอาฮี และยกฐานะบ๎านทําล่ีเป็น
อาเภอขนึ้ มาแทน (ทั นี ฑิ ูธีร านต์, 2549: 45-47)
ประวตั ิศาสตร์ สังคม และวฒั นธรรมบา้ นอาฮี: โบราณคดี
และประวตั ิความเปน็ มา
บา๎ นอาฮีในอดีตเคยเป็นอาเภออาฮีซ่ึงนับเป็นชุมชนเมืองที่
มีขนาดใ ญํมากํอน อีกท้ังในประ ัติ า ตร์ก็เป็นเมืองเกําที่มีนาม
ํา “เมืองตูม” ท่ีเป็นยุคกํอนประ ัติ า ตร์ด๎ ยเชํนกัน บ๎านอาฮี
เปน็ ชุมชนทีต่ ้ังอยูํรมิ แมํน้าเ ืองเป็นชมุ ชนเก ตรกรรมมาแตํโบราณ
ท่ีอา ัย ืบเนื่องกันมา ลายร๎อยปี กํอนจะถูกปรับเปลี่ยนและลด
ฐานะใ ๎กลายเป็นเพียงตาบล น่ึงในพื้นท่ีของอาเภอทําล่ีที่มีค าม
เกําแกํก ําตั อาเภอในปัจจุบัน ชุมชนบ๎านอาฮีนับเป็นแ ลํง
ลิ ป ฒั นธรรมทโี่ ดดเดํนอกี แ ํง นึ่งในชุมชนริมแมํน้าเ ืองในพ้ืนที่
ชายแดนไทยลา ผู๎คนในถ่ินนี้มีคติค ามเช่ือ ประเพณี และ ิถี
ปฏิบตั ทิ เ่ี ป็นของตั เอง
บ๎านอาฮีแม๎จะเป็นชุมชนชนบทท่ีตั้งอยํูบริเ ณพรมแดน
ไทยลา แตํจุดเดํนของบ๎านอาฮี คือเ ๎นทางการเดินทางข๎ามไปมา
ของผู๎คนท้ัง องฝั่งแมํน้าเ ืองระ ํางไทยกับลา กํอนท่ีจะมีการ
แบํงแยกดินแดนเป็นรัฐชาติท่ีต๎องแยกออกจากกัน มีการพบ
ประเพ~ณีแ99ห22่ตน้~ดอกไม้
ลักฐานทางโบราณคดีเป็นจาน นมาก อาทิ เคร่ืองมือ ินกะเทาะ
ข าน ินโบราณ ทั้งที่เป็น ินขัดและข าน ินกะเทาะ การค๎นพบ
ลักฐานโบราณคดีที่มีอยํูจาน นมากในชุมชนบ๎านอาฮีน้ีเป็นที่รู๎จัก
กันอยํางก ๎างข างในชุมชนท๎องถิ่ น ซ่ึงนําจะมีอายุกํอน
ประ ัติ า ตร์ จนเป็นจุดเดํนท่ีได๎นามา ร๎าง รรค์เป็นคาข ัญ
ประจาตาบลอาฮี ร มทั้งพระพุทธรูป ินทรายรูปแบบ ิลปะ มัย
ท าร ดีแบบท๎องถิ่นที่ ัด ิริมงคล รือ “ ัด บเงิน” ซึ่งเป็น
พระพุทธรูปนาคปรกโบราณอายุนับพันปี โดยชา บ๎านเรียก ํา
“ ล งปุนู าคมจุ ลนิ ท์” ด๎ ย ดังคาข ัญประจาตาบล ํา “กราบพระ
นาคปรกขอพร ออนซอนแมน่ ้าเ อื ง เมืองตูมรอยอดีต ศักด์ิ ิทธ์ิเจ้า
ปู่ อเ นือใต้ แ ่ต้นดอกไม้ วยตระการ ขวาน ินถ่ินพันปี ลาก ี
ผ้าทอมือ เล่ืองลือเคร่ือง วายงาม ุดแดน ยาม ะพานมิตรภาพ
ไทย-ลาว”
จาก ลักฐานการขุดค๎นของเบยาร์ด (Donn T. Bayard)
บริเ ณริมแมํน้าโขงในเขตอาเภอเชียงคาน ปี พ. .2512-2517 ได๎
พบ ลักฐานเครื่องมือ ินกะเทาะที่ทามาจาก ินกร ดแมํน้าเป็น
ํ นใ ญํ ชนิดของ ินมีทง้ั นิ ตะกอน นิ อัคนแี ละ ินแปร ลัก ณะ
ของเครื่องมือจะเป็นเครื่องขูด เครื่องมือ ับตัดและ ะเก็ด ิน
เทคนิค ิธีการกะเทาะก็มีทั้งแบบกะเทาะ น๎าเดีย และแบบ
กะเทาะ อง น๎า ลัก ณะของเครื่องมือดังกลํา จะมีลัก ณะคล๎าย
กับเคร่ืองมือ ินของกลุํม ัฒนธรรมโฮบินเนียนท่ีพบในเ ียดนาม
~ 9933 ~
แถบบริเ ณเมืองฮั บิน ์ นอกจากนี้แล๎ ยังพบในแถบบริเ ณอื่นๆ
อีก อาทิ ถ้าผี ถ้าปุงฮุง จัง ัดแมํฮํอง อน ถ้าพระ ถ้าไทรโยค ถ้า
เมํน ถ้า ีบ จัง ัดกาญจนบุรี มณฑลยูนนาน มณฑลเ ฉ น
ประเท จีน ถ้าปันดาลิน ประเท พมํา ถ้าลัง ะเปียน ประเท
กมั พชู า ถ้าพง ปป.ลา เป็นต๎น จากการขุดค๎นของเบยาร์ดในครั้ง
นั้นได๎ประมาณการอายุของแ ลํงโบราณคดีท่ีเชียงคาน ํา นําจะมี
อายุประมาณ 9,000 ปีมาแล๎
ดังนั้นจึงอาจกลํา ได๎ ํา กลุํมชนโบราณรุํนแรกๆ ที่อา ัย
อยํูในบริเ ณแถบจัง ัดเลยและบริเ ณใกล๎เคียง ซ่ึง มายร มถึง
ลมุํ นา้ เ อื งแถบอาเภอทําลี่ด๎ ย นําจะเป็นกลุํมชนท่ีอา ัยอยํูภายใต๎
ลกั ณะของ งั คมลาํ ัต ์และ งั คมกอํ นเก ตรกรรม ทีด่ ารงชี ิตอยํู
โดยการลํา ัต แ์ ละเก็บพชื พนั ธ์ไุ มเ๎ ป็นอา าร ( ุพจน์ พร มมาโนช,
2530: 5-6) แ ดงใ ๎เ ็น ําชุมชนริมแมํน้าเ ืองและแมํน้าโขง
บริเ ณจัง ัดเลยในปัจจุบัน เคยเป็นที่ต้ังรกรากของผ๎ูคนมานับแตํ
ยุคโบราณซึ่งเคยอา ัยอยูํเป็นชุมชนมากํอนแล๎ แตํท ําเป็นยุคท่ี
าํ งไกลจากยุคปจั จุบนั มาก
ข าน ินโบราณ เป็นเครื่องมือทามา ากินของมนุ ย์
โบราณ มีปรากฏอยูํมากมายท่ั ดินแดนของ ปป.ลา โดยเฉพาะ
ในเขตภาคเ นือ มีผ๎ูค๎น าเอามา างขายตามท๎องตลาดในตั เมือง
ตาํ งๆ จากการเกบ็ ขอ๎ มูลเกี่ย กับแ ลํงค๎นพบ การประเมินอายุของ
ข าน ิน และ ร๎างเอก ารไ ๎นั้นมี ลายแ ลํง เชํน ข าน ินท่ีถ้า
ประเพ~ณีแ99ห44ต่ น้~ดอกไม้
ผาฮอม อยํู ํางจากเมือง ังเ ียง แข งเ ียงจันทน์ไปทางทิ เ นือ
ประมาณ 20 กิโลเมตร ข าน ินที่พบที่ถ้าผาฮอมนี้เป็นข าน ิน
ตอก น๎าเดีย ประมาณอายุได๎ไมํต่าก ํา 10,000 ปี ข าน ินท่ี
บ๎าน ม นุก อยูํ ํางจากเมือง ังเ ียงไปทางทิ ใต๎ประมาณ 30
กิโลเมตร พบข าน ินฝนและข านทองแดง ลายเลํม ประมาณ
อายรุ ะ าํ ง 6,000-8,000 ปี เป็นอยาํ งน๎อย
นอกจากข าน ินทคี่ น๎ พบ องแ ํงดังกลํา นี้แล๎ ยังพบใน
อกี ลายแ ํงท่ั ดินแดน ปป.ลา และประเท เพ่ือนบ๎าน เป็นต๎น
ําประเท เ ียดนาม และประเท ไทย ซ่ึงเ ็น ํารํ ม มัยเดีย กัน
(บุนมี เทบ เี มอื ง, 2553: 39)
ลกั ณะเชนํ น้ี แ ดงใ ๎เ ็น ําลุํมแมํน้าโขงและแมํน้า าขา
ซงึ่ มายร มถงึ แมํน้าเ ืองน้ีด๎ ย เป็นเ ๎นทาง าคัญที่บรรพบุรุ ใน
อดีตได๎ใช๎เดินทางไปมาเพ่ือค๎น าท่ีต้ังถ่ินฐานถา รในเขตที่ราบ
เปล่ียนแปลงอาชีพจากการอพยพ าของปุา ลํา ัต ์ในเขตภูดอย
มา ูํการปลูกพืช เลี้ยง ัต ์ ัตถกรรม และอยํูอา ัยในท่ีราบลํุมริม
แมํน้า บรรพบุรุ โบราณได๎ทิ้งรํองรอยการดารงคงอยูํตามถ้า ตาม
ายน้าและท่ีราบตํางๆ ไ ๎ใ ๎เ ็นเป็น ลักฐานทางโบราณคดีมา
จนถึงปจั จบุ นั ลายแ ํง