~ 9955 ~
บา้ นอาฮีกบั ความเป็นชุมชนโบราณก่อนยคุ ประวัตศิ าสตร์
บ๎านอาฮี เป็นชุมชนโบราณท่ีมีการตั้ง ลักแ ลํงของผู๎คน
อยํูบริเ ณริมแมํน้าเ ืองทางฝั่งข า มีพ้ืนท่ีราบขนาดใ ญํที่ตั้งอยูํ
กลาง ุบเขา เป็นพ้ืนท่ีท่ีเ มาะแกํการทานาทาไรํเน่ืองจากมี ภาพ
พื้นดินที่อุดม มบูรณ์ ดังจะเ ็นได๎จากบ๎านอาฮีท้ังฝั่งข าและฝ่ัง
ซ๎ายแมํน้าเ ืองน้ันมีพื้นท่ีไรํนาปลูกข๎า กระจายอยํูอยํางก ๎างข าง
นอกจากแมํน้าเ ืองแล๎ บ๎านอาฮียังมีลา ๎ ยที่เป็นแ ลํงน้า าคัญ
ซ่ึงไ ลมาบรรจบกับลาน้าเ ือง น่ันก็คือ ๎ ยน้าพาน ซ่ึงถือเป็น
เ ๎นทางการเดินทางในอดีตที่เชื่อมโยงผู๎คนในชุมชนตํางๆ ไมํ ําจะเป็น
ชุมชนโบราณเมืองดํานซ๎าย เมืองเชียงคาน ร มไปถึงเมืองไชยะบุลี
เ ยี งจันทน์ และ ล งพระบางที่ใช๎เ ๎นทางเชื่อมโยงระ ํางแมํน้า
เ ืองกับแมํน้าโขงซึ่งเป็นแมํน้า ายใ ญํท่ีไ ลผํานบ๎านเมืองนครรัฐ
เ ลาํ นี้ด๎ ยเชนํ กัน
ภูมิลัก ณ์ของฝ่ังซ๎ายและฝ่ังข าของแมํน้าโขงมีลัก ณะที่
คํอนข๎างแตกตํางกัน อันเป็นปัจจัยที่ทาใ ๎มนุ ย์เข๎ามาใช๎พื้นท่ีอยํู
อา ัยตั้งแตํอดีตมี ิถีชี ิตและการแ ดงออกทาง ัฒนธรรมท่ี
ลาก ลาย แตํทั้ง มดก็มีการไปมา า ํูติดตํอกันระ ํางชุมชน
ตลอดเ ลา จนเป็นกลํุม ัฒนธรรมเดีย กัน คือกลํุมท่ีจะเรียก ํา
ัฒนธรรมล๎านชา๎ งในระยะตอํ มา (ประภั ร์ ชู ิเชียร, 2557: 3)
ลัก ณะดังกลํา แ ดงใ ๎เ ็น ําบริเ ณท่ีตั้งของชุมชน
บ๎านอาฮีในอดีตนั้นเป็นชุมชนโบราณที่มีการต้ังถ่ินฐานและมีการ
ประเพ~ณีแ99ห66่ตน้~ดอกไม้
เคลื่อนย๎ายของผู๎คน บ๎านอาฮีนับเป็นเ ๎นทางการเดินทางมาแตํ
โบราณท่ี าคญั แ งํ นึง่ ในบริเ ณทีร่ าบลํุมริมแมํน้าเ ือง ดังจะเ ็น
ได๎จาก ลักฐานทางโบราณคดีจาน นมากที่ขุดค๎นพบในพื้นที่
บรเิ ณน้ี ไมํ าํ จะเป็น ม๎อดินเผา ไ ดนิ กาไลดินเผา และเครื่องมือ
เครอื่ งใช๎ตาํ งๆ
รํองรอยดังกลํา แ ดงใ เ๎ ็นการเป็นท่ีตั้งถิ่นฐานของผู๎คน
ท้ังท่ีอยํูในยุค มัยกํอนประ ัติ า ตร์ ร มถึงในยุคประ ัติ า ตร์
ด๎ ย ลกั ฐานตํางๆ เ ลําน้ียังมีการเก็บรัก าและปรากฏใ ๎เ ็นอยูํ
ที่พิพิธภัณ์ท๎องถิ่นของชุมชน น่ันคือ พิพิธภัณฑ์บ๎านม่ันยืนของคุณ
เ ลี่ยง ิทธ์ิเทียมทอง และบาง ํ นได๎จัดแ ดงอยูํด๎าน น๎า อ
พระพุทธรูปนาคปรก รือ “ ล งปูุนาคมุจลินท์” ที่ประดิ ฐานอยํู
บรเิ ณ ัด ิริมงคลในชมุ ชนบา๎ นอาฮีด๎ ย
ค ามเป็นชุมชนโบราณของบ๎านอาฮีนั้นมิได๎มีแตํเฉพาะ
ลักฐานทางโบราณคดีเทําน้ัน แตํยังมีแ ลํงอ๎างอิงที่รับรู๎กันใน
ชุมชน ําเป็นท่ีต้ังของเมืองโบราณมาเน่ินนานแล๎ ดังกรณีมีการ
เรียกขานชุมชนโบราณที่เป็นที่ตั้งบ๎านอาฮีในปัจจุบัน ําเป็น
“บ๎านเมืองตมู ” มากํอน แม๎เรื่องรา นั้นจะมีการบอกเลําในรูปแบบ
ของตานานปรัมปรา (myth) ก็ตาม แตํท ําการกลํา ําชุมชนแ ํง
น้ีเป็นบ๎านเป็นเมืองมากํอนน้ันก็ทาใ ๎เข๎าใจและมองเ ็นได๎ ําบ๎าน
อาฮีเป็นชุมชนโบราณ ซ่ึง อดคล๎องกับ ลักฐานทางโบราณคดีที่มี
ปรากฏอยูํในชุมชนแ งํ นี้ด๎ ย
~ 9977 ~
เ ็นได๎จากภายในเขตบ๎านอาฮีมีการพบรํองรอย
โบราณ ถานอยูํ ลายแ ํง ตั อยํางเชํน โบราณ ถานท่ีต้ังอยูํริมฝ่ัง
ข าของปากน้าพานซ่ึงเป็นจุด ๎ ยน้าพานไ ลมาบรรจบกับลาน้า
เ อื ง อยูํบรเิ ณทางทิ ตะ นั ออกของ มํบู า๎ น ํางจากชุมชนออกไป
ประมาณ 500 เมตร พ้ืนที่ดังกลํา ปรากฏรํองรอยเ อิฐและแน
อฐิ โบราณทเ่ี รียงซอ๎ นกัน มีซากของฐานอิฐที่เช่ือ ําเป็น ่ิงปลูก ร๎าง
มากํอน โดยเช่ือ ําเป็น ิ่งปลูก ร๎างทาง า นา แตํถูกทาลายและ
เ ลอื รํอยรอยใ ๎เ น็ เพียงเล็กนอ๎ ยเทาํ น้ัน
บ้านอาฮีกับความเปน็ ชมุ ชนในยุคประวัตศิ าสตร์
ลักฐาน าคัญในเชิงประ ัติ า ตร์ท่ีเป็นข๎อมูลโบราณ ัตถุ
และโบราณ ถานมีปรากฏอยูใํ นชมุ ชนบ๎านอาฮีในปัจจุบันที่โดดเดํน
และเป็นท่รี จ๎ู ักกนั อยํางก า๎ งข างมอี ยํู 2 อยํางน่ันก็คือ พระพุทธรูป
ินทรายโบราณที่เรียกกัน ํา “ ล งปนูุ าคมจุ ลินทร์” และพระธาตเุ จดีย์
ท่ีชื่อ ํา “พระธาตุมะนา เด่ีย ” ข๎อมูลทั้ง องอยํางน้ีมีค าม าคัญ
ย่ิงซ่ึงถือเป็นข๎อมูลที่ใช๎บํงชี้ใ ๎เ ็น ําบ๎านอาฮีเป็นชุมชนทาง
ประ ตั ิ า ตรท์ ่มี ีการตั้งถ่นิ ฐานและมผี คู๎ นอา ยั อยํูในชํ งเ ลาใด
พระพุทธรูปปางนาคปรกที่ประดิ ฐานอยูํที่ ิ าร ล งปุู
นาคภายใน ัด ิริมงคล บ๎านอาฮี มํู 6 มีชื่อเรียกขาน ํา “ ล งปุู
นาคมุจลินท์” เป็นพระพุทธรูป ินแกะ ลักปางมาร ิชัย ประทับ
นั่งขัด มาธิราบ มนี าคเจ็ดเ ียรปรกเ นือพระเ ียร เป็น ิลปะแบบ
ประเพ~ณีแ99ห88ต่ น้~ดอกไม้
เขมรโบราณ ขนาด น๎าตักก ๎างประมาณ 22 น้ิ เชื่อกัน ําเป็น
ิลปะ มัยลพบุรี มีอายุรา พุทธ ต รร ท่ี 16 ลักฐานทาง
โบราณ ัตถุช้ินน้ีถือเป็น ิลปกรรมที่เป็น ลักฐาน าคัญท่ีแ ดงถึง
ค ามเกําแกขํ องบ๎านอาฮีในฐานะชุมชนโบราณได๎
ธีระ ัฒน์ แ นคา (2560: 94) ได๎กลํา แ ดงค ามคิดเ ็น
ถึง “ ล งปุูนาคมุจลินท์” ในฐานะท่ีเป็น ลักฐานทางโบราณคดีท่ี
ามารถบํงชี้ใ ๎เ ็นถึงค ามเกําแกํของบ๎านอาฮีในฐานะชุมชน
โบราณ าํ
“พระพุทธรูป ินแกะ ลักปางนาคปรกที่ประดิ ฐานอยู่
ิ าร ล งปู่นาคมุจลินท์ ภายใน ัด ิริมงคล เป็น
พระพุทธรูปประทับน่ังขัด มาธิราบ มีนาคเ ียรโล้นเจ็ด
เ ียรปรกเ นือพระเ ียร โดยเ ียรนาคเ ียรกลาง ัน น้า
ไปทางข า ต่างจากเ ียรนาคเ ียรกลางโดยท่ั ไปท่ีจะอยู่
กึ่งกลางเ นือพระเ ียร พระพุทธรูปและ ันออกมา
ด้าน น้า ประทับนั่งเ นือขดนาค องขด พระพักตร์
ี่เ ลี่ยม เคร่งขรึม มีไรพระ ก ขม ดพระเก าเป็นลอน
เกล้าข้ึนไป พระรั มีคล้ายลัก ณะทรงกร ย ขอบ บง
ด้าน น้าเ ้าอยู่ใตพ้ ระนาภี ไมป่ รากฏขอบจี ร และ ังฆาฏิ
และไม่ มเคร่ืองทรง ซงึ่ มลี ัก ณะทางพุทธ ิลป์คล้ายคลึง
กับพระพุทธรูป ิลปะ มัยบาป นท่ีมีลัก ณะพระพักตร์
~ 9999 ~
เป็น ี่เ ล่ียม พระเนตรเปิด พระ นุเป็นร่อง พระเศียรมี
ขมวด พระเกศาเป็นวงขด รือถักพระเกศาเป็นลอนแล้ว
เกล้ารวบข้ึนไว้ ่วนบน ทรงมงกุฎทรงกรวย พระวรกายไม่
นิยมแ ดงขอบจีวร รือ ังฆาฏิ มีการนุ่งผ้าที่มีขอบ
ด้าน น้าเว้าต่าใต้พระนาภี และท่ี าคัญคือ นาคยังไม่มี
เครื่องทรงเปน็ นาคเศยี รโล้น”
นอกจากโบราณ ัตถุท่ีเป็นพระพุทธรูปโบราณแล๎ ใน
ชมุ ชนบ๎านอาฮียังมี ลักฐานโบราณ ัตถุอีกชิ้น นึ่งท่ีตั้งอยํู น๎าพระ
ิ าร ล งปุูนาคมุจลินท์ น่ันก็คือ “ ลัก ิลาจารึก ินโบราณ” ซึ่ง
เป็น ลักฐานช้ิน าคัญอีกอยําง น่ึงที่บํงชี้ใ ๎เ ็นค ามเป็นชุมชน
โบราณของบ๎านอาฮีซ่ึง ิลาจารึกดังกลํา น้ีปัจจุบันปักอยูํที่ น๎า
ิ าร ล งปูุนาคมจุ ลนิ ท์ภายใน ดั ิริมงคล
แม๎มี ลักฐาน ํามนุ ย์ได๎เข๎ามาอา ัยอยํูในพ้ืนท่ี องฝั่ง
แมํน้าโขงตั้งแตํ ลายพันปีมาแล๎ แตํก็ไมํอาจทราบถึงชนชาติของ
มนุ ย์ในอดีตได๎ จึงเข๎าใจ ํากลุํมคนที่อา ัยติดตํอกันไปมาในลุํมน้า
โขงคงเป็นคนที่พูดภา าในตระกูลไท-ลา และมอญ-เขมร เป็น
ลกั เช่อื ําในระยะแรกคนท่ีพูดภา ากลํุมมอญ-เขมร คงมีบทบาท
เป็น ลักในดินแดนแถบน้ี เพราะพบ ลักฐาน ิลาจารึกโบราณใน
ตระกูลมอญ-เขมร อายุต้ังแตํพุทธ ต รร ที่ 12-15 กระจายตั อยํู
ในแ ลงํ โบราณคดี องฝงั่ แมนํ า้ โขง (ประภั ร์ ชู เิ ชยี ร, 2557: 7)
ประเพ~ณ11แี 00ห00ต่ น้ ~ดอกไม้
ในบ๎านอาฮีมี อเจ๎าบ๎าน อเจ๎าเมือง ( อผี) อยํู ลายแ ํง
อทางทิ ใต๎เป็นที่ต้ัง อของเจ๎าพํอแ น ึก ํ น อทางด๎านทิ
เ นือของ มบํู ๎านเป็นท่ีต้ัง อของเจ๎าพํอขุนดําน แม๎ไมํมีลายลัก ณ์
อัก รถึงประ ัติค ามเป็นมาท่ีชัดเจน แตํก็พอรับร๎ูกันในชุมชน ํา
เป็น อเจ๎าบ๎านเจ๎าเมืองที่อยํูมาแตํโบราณ และเป็นประจัก ์พยาน
าคัญของการเป็นชุมชนชาติพันธุ์ลา ที่ต้ังมากํอนท่ีจะมีการ
แบํงแยกดนิ แดนฝัง่ ซ๎ายฝง่ั ข าของลาน้าเ ือง อผีเจ๎าบ๎านเจ๎าเมือง
ตั้งอยํูทางเข๎า มํูบ๎าน และอยํูบริเ ณริมแมํน้าเ ืองในเขตโรงเรียน
ชุมชนบ๎านอาฮีใกล๎กับ ัด ิริมงคล รือ ัด บเงิน ซึ่งเป็น อเจ๎าบ๎าน
เจา๎ เมืองที่ทง้ั คนไทยและคนลา ที่อยํใู นชมุ ชนแถบนน้ั นับถือ รทั ธา
ในการรับรู๎ของคน ํ นใ ญํเม่ือกลํา ถึงประ ัติที่มาและ
ค าม มายของคา ํา “อาฮี” แล๎ มักจะอธิบายผํานตานานประจา
ถน่ิ เรอื่ งนางพร มจารี ดงั มเี น้อื าเลํา ํา
“นานมาแล๎ มีเมืองๆ นึ่งช่ือเมืองตูม มีผู๎ปกครองเมือง
ช่ือพญา ุนทรจัก ์ มีมเ ีช่ือนางพร มจารี ได๎ปกครองบ๎านเมือง
ด๎ ยค ามรํมเย็นเป็น ุขตลอดมา แตํตํอมาพญาเจ๎าเมืองได๎นอกใจ
มเ ีของตน แล๎ ได๎ผิดใจกับมเ ี ภาย ลังพญาเจ๎าเมืองจึงขับไลํ
นางพร มจารีมเ ีออกจากเมือง โดยใ ๎ไ ลแพไปตามลาน้าเ ือง
เป็นเ ตใุ ๎นางพร มจารีแค๎นเคืองพญาเจ๎าเมืองเป็นอยําง ด๎ ยเ ตุ
ท่ีได๎ดู ม่ิน ักดิ์ รีและ ร๎างค ามเ ่ือมเกียรติใ ๎แกํนางเป็นอยําง
มาก ภาย ลังจงึ ไดไ๎ ปร่าเรยี น ชิ าจนมคี ามเกํงกาจ ามารถ แล๎ ได๎
~ 110011 ~
ไปท๎ารบกับพญาเจ๎าเมืองผ๎ูเป็นพระ วามีมากํอน จนในท่ี ุดก็
ามารถฆาํ พญาเจ๎าเมืองได๎”
นอกจากนี้ยังมีเร่ืองเลําวํา “วัน น่ึงพี่ชายของนาง
พร มจารี ซึ่งเป็นเจ๎าเมืองอยํูท่ีเมืองนาแกํงม๎า (ปัจจุบันเป็นบ๎านนา
แกํงม๎า อยูํในเขตเมืองแกํนท๎าว แขวงไชยะบุลี ปป.ลาว) ได๎ใ ๎ลูก
ชายนาเอาแกงม๎าไปใ น๎ อ๎ ง าว คือนางพร มจารีท่ีอยํูท่ีเมืองตูมกิน
เมื่อมาถึงบ๎านเมืองตูมของนางพร มจารีปรากฏวํา ผู๎มีศักด์ิเป็น
“อา” ไมํกนิ แกงมา๎ จึงเดนิ ทางกลบั นาความไปบอกแกํผ๎ูเป็นพํอของ
ตนวํา “อาฮิแกงม๎า” รือ “อาไมํกินแกงม๎า” จากตานานเรื่องเลํา
ดังกลําว จึงกลายเป็นประวัติท่ีมาของคาเรียกชื่อ มูํบ๎านวํา “อาฮิ”
และตํอมาก็เพ้ียนไปเป็นคาวํา “อาฮี” และใช๎กันมาจนถึงปัจจุบัน
(ไทยโรจน์ พวงมณี, 2554: 16) จากประเด็นขา๎ งตน๎ แ ดงใ ๎เ ็นวํา
มีความเชื่อวําคาวํา “อาฮี” มีที่มาจากตานานเร่ืองเลําท่ีเลําขานกัน
ในชมุ ชน
ประเพ~ณ11ีแ00ห22่ตน้ ~ดอกไม้
4.ความเช่อื ที่เก่ยี วขอ้ งกับ
ประเพณแี หต่ น้ ดอกไม้
ระบบค ามเช่ือ พิธีกรรม และ า นา เป็น ัฒนธรรมที่
มนุ ย์ในทุก ังคมจะต๎องมี ัฒนธรรมทางค ามเชื่อจึงเป็นการ
รรค์ ร๎าง เป็นประเพณีปฏิบัติของแตํละ ัฒนธรรม ระบบค าม
เชื่อและ า นาเป็นระบบทาง ังคมระบบ น่ึง ซึ่งยํอมจะต๎องมี
ค าม ัมพันธ์กับระบบอื่นๆ ใน ังคม เชํน ระบบการเมือง ระบบ
เ ร ฐกิจ ระบบการ ึก า ในเม่ือระบบค ามเชื่อและ า นาเป็น
ัฒนธรรม ซึ่งมีธรรมชาติท่ีจะเปล่ียนแปลง ปรับเปลี่ยนตั เองไป
ตาม ถานการณ์ ่ิงแ ดล๎อม และค ามต๎องการทาง ังคมในแตํละ
ยุค มัย ระบบค ามเชื่อจึงต๎องอาจปรับตั ใ ๎ผ มผ านกลมกลืน
กบั ระบบค ามเช่ือทาง า นาระบบอื่นทีม่ ีอยใูํ น งั คมนนั้ ๆ
ชา ไทยอี านมีค ามเช่ือเกี่ย กับประเพณีในเท กาล
งกรานต์ท่ีได๎ปฏิบัติ ืบทอดกันมาต้ังแตํอดีตจนถึงปัจจุบัน ซึ่งถือ
เป็นบุญอยําง นึ่งใน ัฒนธรรมอี านดังที่กลํา มาแล๎ นั่นก็คือ
“บญุ เดอื น ๎า” ตรงกับ นั ขึ้น 15 ค่า เดือน 5 ซึ่งจะมีกิจกรรมตํางๆ
ลาก ลายมากมาย ท้ังการ รงน้าพระพุทธรูป พระ งฆ์ รดน้าดา
ั ผู๎ ลักผใ๎ู ญํ ร มทัง้ การเลํนน้า าดน้าเพื่อค าม นุก นาน และ
~ 110033 ~
การแ ํขบวนต๎นดอกไม๎เพ่ือนาไปถวายเป็นพุทธบูชาด๎วย ท้ังนี้การ
แ ตํ ๎นดอกไม๎ในวัฒนธรรมของชาวอี านโดยเฉพาะในชุมชนจัง วัด
เลย ดังกรณีชุมชนบ๎านอาฮีน้ันพบวํา เป็นประเพณีพิธีกรรมท่ีมีมา
แตํโบราณแฝงไว๎ด๎วยความเช่ือท่ีเกี่ยวข๎องกับพุทธศา นาใน
วฒั นธรรมแบบพ้ืนบา๎ นท่ีนํา นใจย่ิง
ขบวนรถแ พํ ระพทุ ธรปู และพระ งฆเ์ พื่อใ ป๎ ระชาชนได๎รวํ มกัน รงน้าเปน็ การ ร๎างความ
เป็น ิริมงคลในชํวงประเพณบี ญุ งกรานต์ บา๎ นอาฮี อาเภอทําล่ี จัง วัดเลย
ราไพ กาแกว๎ (2542) ไดอ๎ ธบิ ายถึงวัตถุประ งค์ของการจัด
ประเพณีแ ํต๎นดอกไม๎ของชาวบ๎านอาฮีวํา “เมื่อถึงเทศกาล
งกรานต์ ชาวพุทธจะอัญเชิญพระพุทธรูปลงมาจากแทํนที่เคย
ประเพ~ณ11ีแ00ห44ต่ น้ ~ดอกไม้
ประดิ ฐาน แล๎ นาน้า อมจากม ลดอกไม๎ท่ีถือ ําเป็น ่ิงที่
เ มาะ มแล๎ มา ระ รงพระพุทธรูปที่ตนเองเคารพกราบไ ๎ขอ
พร เพ่ือใ ๎เกิดค ามเป็น ิริมงคลตํอตนเองและครอบครั ตลอดจน
ังคมชมุ ชนบ๎านเมือง
อาจารย์ราไพ กาแก๎ และกลํุมชา บ๎านอาฮีรํ มกันถ ายต๎นดอกไม๎แดํเจ๎าอา า
ัด ิริมงคล พร๎อมจตปุ ัจจัยไทยทานในชํ งเท กาล งกรานตแ์ ละประเพณแี ํต๎นดอกไม๎
กระนั้นก็ตามอาจมีบางคร้ังบางเ ตุการณ์ท่ีใช๎น้า าดไป
ด๎ ยค ามคึกคะนอง นุก นาน เป็นการลํ งเกินโดยมิได๎ต้ังใจ ด๎ ย
เ ตุนี้ ลังจากเ ร็จเท กาล งกรานต์ในชํ งประมาณ ันท่ี 16
เม ายนของทุกปี กํอนจะนาพระพุทธรูปกลับขึ้นไปประดิ ฐานที่
~ 110055 ~
เดิม ชา บ๎านก็จะพากัน าดอกไม๎ของ อม ธูปเทียนมาขอขมาลา
โท เพ่ือมิใ ๎เป็นบาปกรรมอัปมงคลน้ันติดตั ไปท้ังในชาติน้ี รือ
ชาติ นา๎ โดยนัด มายกนั มาพร๎อมท่ี ดั นิมนต์พระภิก ุ ามเณรมา
พรอ๎ มทาพธิ ีไ ๎พระ รับ ีล ฟังเท น์ ถ ายดอกไม๎ จตุปัจจัยทาบุญ
แล๎ จึงพรอ๎ มกันกลํา คาขอขมาตํอพระรตั นตรัย
ลังจากที่มีพิธีการถ ายดอกไม๎ธูปเทียนในยุคแรกเริ่ม ก็
พบ าํ มพี ฒั นาการที่เปลี่ยนแปลงไปด๎ ยการปรับเปล่ียนจากดอกไม๎
นามากราบบูชาพระ ก็มีการคิด ร๎าง รรค์ใ ๎กลายเป็นพํุมไม๎ขนาด
ใ ญํซ่ึงเรียกกัน ํา “ต๎นดอกไม๎” ท้ังน้ีชา บ๎านจะชํ ยกัน าดอกไม๎
ในท๎องถ่ินที่เกิดในชํ งฤดูนี้นามาประดับตกแตํง อาทิ ดอกจาปา
ดอกคูน ดอกบานไมํร๎ูโรย เป็นต๎น นามารํ มกัน ร๎างเป็นโครงต๎น
ดอกไม๎ขึ้นมา แล๎ แ ํแ น ร๎องราทาเพลง ร๎างค าม นุก นาน
ครึกคร้ืนเพ่อื ไปถ ายและบชู าพระท่ี ัด
ประเพ~ณ11แี 00ห66ต่ น้ ~ดอกไม้
ชาวบ๎านอาฮีกาลังรํวมกันตกแตํงต๎นดอกไม๎ด๎วยดอกไม๎พ้ืนบ๎านเพื่อนาไป
ถวายเป็นพทุ ธบชู ายงั วัดศิรมิ งคล วดั เกําแกํโบราณประจาหมํบู า๎ น
~ 110077 ~
จากการ กึ าค๎นค ๎าทั้งจากเอก าร การ ัมภา ณ์ผ๎ูร๎ูและ
ปราชญ์พ้ืนบ๎านเก่ีย กับประเพณีแ ํต๎นดอกไม๎ในชุมชนบ๎านอาฮี
อาเภอทําล่ี จัง ัดเลย พบรายละเอียดเก่ีย กับค ามเชื่อเรื่องการ
ถ ายดอกไมเ๎ พื่อเป็นเครอ่ื ง กั การะในมติ ติ ํางๆ ดงั น้ี
การสร้างต้นดอกไม้ในความเชื่อทางพทุ ธศาสนา
จากการ ึก าเอก ารประเภท รรณกรรมทางพุทธ า นา
มีเรื่องรา ท่ีเกี่ย เนื่องกับดอกไม๎และต๎นดอกไม๎ในฐานะ ัญลัก ณ์
ทางพระพทุ ธ า นา รือการถ ายดอกไม๎เป็นพุทธบูชาซ่ึงเชื่อ ําได๎
กุ ลและอานิ ง ์มาก แน ค ามคิดที่เน่ืองในพุทธ า นาเ ลําน้ีจึง
นําจะ ํงผลและมีอิทธิพลตํอค ามคิดค ามเช่ือในเรื่องการถ ายต๎น
ดอกไม๎ ดังมรี ายละเอียดตอํ ไปน้ี
ความเช่อื ในพทุ ธประวัติ
ในพุทธประ ัติมีเร่ืองรา อันแ ดงใ ๎เ ็นถึงค าม าคัญ
ของดอกไม๎ที่มีตํอประ ัติค ามเป็นมาของการกาเนิดพระพุทธเจ๎า
รือเป็น ิ่งท่ีใช๎ถ ายเป็นพุทธบูชาในพุทธประ ัติ ซึ่งเ ลําเทพ
เท ดาและ ิ่ง กั ดิ์ ทิ ธิไ์ ด๎บนั ดาล ร๎าง รอื เนรมติ ขนึ้ มา
จากเรอ่ื งในพุทธประ ัตินนั้ ทาใ ๎เกิดค ามเช่ือและ ํงผลใ ๎
พุทธ า นิกชนในภาคอี านได๎มีการ ร๎าง รรค์และตกแตํงต๎น
ประเพ~ณ11แี 00ห88่ต้น~ดอกไม้
ดอกไม๎เพื่อถวายแดํพระพุทธรูปและพระ งฆ์ในฐานะที่เป็นตัวแทน
ขององค์พระ ัมมา มั พุทธเจ๎าในเทศกาล งกรานต์ รือวันข้ึนปีใ มํ
ของคนไทย และได๎ถือปฏิบัติกันมาเป็นเวลาช๎านานจนพัฒนา
กลายเปน็ ประเพณีแ ํต๎นดอกไม๎ดังที่เ ็นกันอยํูในปัจจุบัน เร่ืองราว
ในพุทธประวัติท่ีมีความเก่ียวเน่ืองกับดอกไม๎และการถวายดอกไม๎มี
รายละเอียดดงั นี้
พุทธประวัติตอนพระพุทธเจ้าประสูติ
พทุ ธประวตั ิตอนนี้มีอยํใู น นงั ือพระปฐม มโพธิกถา พระ
นิพนธ์กรม มเด็จพระปรมานุชิตชิโนร กลําวถึงลางบอกเ ตุ
อัศจรรย์ รือบุพนิมิต 32 ประการ เมื่อพระม าโพธิ ัตว์เ ด็จ
ปฏิ นธใิ นครรภ์พระมารดา เชํน โลกนรกอันเคยมืดมนอยํูเป็นนิตย์
เกิด วํางไ ว ไฟนรกอเวจีพลันดับลง ผู๎ท่ีตาพิการกลับมองเ ็น ผ๎ูท่ี
ู นวกกลับได๎ยิน ผู๎เป็นใบ๎กลับเจรจาได๎ ผ๎ูที่เป็นงํอยเปล้ียขาเ ีย
กลับเดินเ ินได๎ ผู๎ที่ ลังคํอมกลับเ ยียดตรงขึ้นได๎ ัตว์ท้ัง ลายอัน
ต๎องพันธนาการตํางเป็นอิ ระ เคร่ืองดนตรี รรพดุริยางค์ท้ัง ลาย
ตํางประโคมบรรเลงอยํางไพเราะ อาภรณ์ทั้ง ลายเปลํงแ งโอภา
พายุใ ญํกลับ งบลง อยําง นึ่งคือ ดอกไม้ดอกบัวใน ระพากันเบ่ง
บาน เ ล่าตน้ ไมต้ า่ งออกดอกออกผล เกดิ ฝนทิพย์ประกอบด้วยมวล
บุปผชาติตกลงมาจากฟากฟ้า (ธนากติ , 2544: 29)
~ 110099 ~
นอกจากน้ียังมีอีกตอน น่ึงในเ ตุการณ์การประ ูติของ
พระพุทธเจ๎าเชํนกัน ดังค าม ํา “เม่ือพระพุทธเจ๎าประ ูติจาก
ครรภ์พระมารดา ท๎า ม าพร มก็ทรงทิพยเ ตฉัตรกางกั้น เ ลํา
เทพเท าท่ีเ ด็จมาเฝูาตํางโปรยปรายดอกไม๎บุปผชาติมาลัยและ
ของ อมเพือ่ เปน็ พทุ ธบูชา ักการะ”
เ ตุการณต์ อนพระพทุ ธเจา๎ ประ ตู ิ มเี ลาํ เทพเท า พระอนิ ทร์ พระพร มตํางเดินทางมา
เฝูาร มยนิ ดปี รีดา พร๎อมทั้งโปรยม ล มดูํ อกไมเ๎ พื่อแ ดงการบชู า กั การะแดํพระพทุ ธองค์
จากเร่ืองพุทธประ ัติตอนพระพุทธเจ๎าประ ูติ ซึ่งเป็น
เรื่องรา ตานานการกาเนิดของพระพุทธองค์น้ี มีการกลํา ใ ๎เ ็น
เ ตกุ ารณ์ปาฏิ ารยิ ์ คอื ทาใ ๎เทพยดาบน รรค์ มนุ ย์บนโลกและ
ประเพ~ณ11ีแ11ห00ต่ น้ ~ดอกไม้
ัต ์นรกในนรกตํางได๎รับการพ๎นจากทุกข์ เ ตุการณ์ตอนน้ีเอง
นําจะเป็นแน ค ามคิดอีก ํ น นึ่งท่ีทาใ ๎พุทธ า นิกชนมีค าม
เช่อื ในเรอื่ งการ ะ มกรรมดี
การถ าย ่ิงงดงามเป็นพุทธบูชาโดยเฉพาะม ลดอกไม๎
บุปผชาติตํางๆ เพ่ือบูชาพระพุทธเจ๎าซ่ึงเป็นผ๎ูที่จะประ ูติ รือเกิด
ข้ึนมาเพ่ือทาใ ๎ รรพชี ิตล๎ นแตํประ บกับค าม ุขและพ๎นจาก
ทุกข์ท้ังม ล ดอกไม๎ที่เ ลําเทพเท ดาได๎โปรยปรายลงมาจาก รรค์
ช้ันฟาู จึงเ มอื นเปน็ “ดอกไมท๎ ิพย์ประดับพระ รกายของพระพุทธ
องค์” แ ดงใ ๎เ ็นถึงการดารงอยํู รือการมีอยูํของพระพุทธองค์
ซึ่งจะชํ ยนา ัต โ์ ลกทัง้ ม ลใ ๎พ๎นจาก ๎ งแ งํ ค ามทกุ ข์ได๎เชํนกัน
นอกเ นอื จากน้ี เร่ืองรา ในเ ตุการณ์ตอนประ ูติท่ีมีม ล
ดอกไม๎เบํงบาน ะพรั่งเต็มบ๎านเต็มเมืองจึงเ มือนเป็น ันประ ูติ
ของพระพุทธเจ๎าในฐานะผู๎มีบุญและเป็นพระ า ดาของโลก ใน
ท๎องถ่ินอี านแม๎ชํ งเดือนเม ายนจะเป็นฤดูร๎อน แตํท ําก็ยังอุดม
มบูรณ์ไปด๎ ยม ลดอกไม๎บุปผชาตินานาพรรณได๎ประชันบาน
ะพรั่ง ลายชนิด ไมํ ําจะเป็นจาปาลา ดอกคูน ดอกบานไมํร๎ูโรย
ดอกรัก ดอกเฟ้ืองฟูา (ดอกกระดา ) เปน็ ต๎น
เ ตุการณ์ในตอนประ ูติที่มีเรื่องรา เกี่ย เน่ืองกับม ล
ดอกไม๎ที่ได๎ ลํนรํ งมาจาก รรค์ จึงเป็นต๎นเค๎าของค ามเช่ือที่ทา
ใ ๎พุทธ า นิกชนชา ไทยนิยมทาบุญด๎ ยการถ ายดอกไม๎ ธูป
เทียนบูชา ซ่ึงนับเป็นเคร่ือง อมท่ีบริ ุทธ์ิ อีกทั้งยังเช่ือ ําม ล
~ 111111 ~
ดอกไม๎ที่เกิดขึ้นมาบนโลก ล๎วนเป็นเคร่ืองแ ดงใ ๎เ ็นถึงพลัง
อานาจและพุทธานุภาพที่มีอยูํอยํางย่ิงใ ญํในโลกใบน้ี การถือ
กาเนิด รือการประ ูติของพระพุทธเจ๎าในฐานะผู๎มีบุญที่มาพร๎อม
กับปรากฏการณ์ม ัศจรรย์ ซึ่ง มายรวมถึงมวลบุปผชาติดอกไม๎
ตํางๆ ได๎ชูชํอออกดอกออกผลมากมาย เพื่อแ ดงใ ๎เ ็นความเป็น
ดนิ แดนและแผนํ ดนิ ท่ีมีแตคํ วามอุดม มบูรณ์ ความเจริญรํุงเรืองพูน
ุข อัน ื่อใ ๎เ ็นถึงการเป็นดินแดนท่ีมีแตํความ ุข วั ดีและมีแตํ
ความเป็นมงคลน่ันเอง
ภาพของพระพุทธเจา๎ ในอิริยาบถตํางๆ ซ่ึงมักจะปรากฏใ ๎เ ็นวําพระพุทธองค์ประทับน่ัง
รอื ยืนอยบูํ นดอกบัวและมีมวล มํูดอกไม๎เบงํ บานคูอํ ยํูเ มอ
ประเพ~ณ11แี 11ห22่ต้น~ดอกไม้
พทุ ธประวัติตอนตรสั รู้
เร่ืองเลําพุทธประ ัติในตอนน้ีมีรายละเอียดดังน้ี “ในเมื่อ
คร้ังท่ีพระพุทธเจ๎าได๎ตรั รู๎บรรลุโพธิญาณ พลันก็ได๎บังเกิดม า
อั จรรย์ขึ้นในเ ลาน้ัน นึ่งในนั้นก็คือพฤก าชาติท้ัง ลายตํางผลิ
ดอกออกชํอเบํงบานงามตระการดารดา ไปท่ั ทุกอุทยาน บรรดา
แก๎ มณีอันประดับอยูํในทุก ิมานช้ันฟูาล๎ นเปลํงแ ง ํองประกาย
รั มีโอภา บรรเจิด ทิพยดนตรีตํางบรรเลงเ ียงเพลงอันไพเราะ
เ นาะโ ต แ งแดดในยามเช๎าก็ ํางไ มิได๎ร๎อน ฝนตกเฉพาะ
โดยรอบบรเิ ณเยน็ บาย พฤก าชาติทัง้ ลายก็ผลิดอกออกชํองาม
ตระการ เทพยดาและผู๎เรืองฤทธิ์ในทุก รรค์ช้ันฟูาปุา ิมพานต์
ตํางพนมกรแซํซ๎อง าธุการ โปรยปรายบุปผามาลัยทาการ
ักการบูชา เปลํง าจา ําบัดนี้พระอร ันต ัมมา ัมพุทธเจ๎าทรง
อุบตั ขิ น้ึ ในโลกแล๎ ”
จากเร่ืองรา พุทธประ ัติตอนพระพุทธเจ๎าตรั ร๎ู แ ดงใ ๎
เ น็ ค าม าคัญของดอกไม๎ในฐานะท่ีเป็น ัญลัก ณ์มงคล เป็น ิ่งท่ี
เทพเท ดาตาํ งๆ ได๎แ ดงค ามช่ืนชมยินดีท่ีมีพระ ัมมา ัมพุทธเจ๎า
ได๎อุบัติเกิดขึ้นยังโลกมนุ ย์อีกพระองค์ นึ่ง ซ่ึงได๎ตรั รู๎ชอบเป็น
พระพุทธองค์ จึงได๎แ ดงค ามปีติด๎ ยการโปรยมาลัยดอกไม๎เป็น
การกระทา ักการบูชาตํอพระอร ันต์พระพุทธเจ๎า ดอกไม๎ที่นาไป
ถ าย ัด รือถ ายพระพุทธรูปและพระ งฆ์จึงจาลองข้ึนเพื่อเป็น
~ 111133 ~
ญั ลัก ณใ์ นการทาพุทธบูชา ด๎ ย ังที่จะใ ๎พระพุทธองค์ได๎เ ด็จ
มาชํ ยทาใ เ๎ กดิ ค ามรํมเยน็ เปน็ ุขขึน้ แกํผู๎คนและบา๎ นเมอื ง
ชา พุทธในบางชมุ ชนของไทยก็มปี ระเพณตี ักบาตรดอกไม๎ ซึง่ เช่ือ าํ เป็นการ ร๎างบญุ รา๎ ง
กุ ลและระลึกถงึ พระคณุ แ งํ พระรัตนตรัยด๎ ยอกี อยําง นง่ึ
การถ ายดอกไม๎เพ่ือเป็นพุทธบูชาใน ัฒนธรรมอี านเพ่ือ
เป็นการ ักการบูชาตํอองค์พระ ัมมา ัมพุทธเจ๎านั้นยังมีปรากฏใ ๎
เ น็ ใน “คาถวายดอกไม้ในประเพณโี บราณของอสี าน” ค าม าํ
“ดิถี ันเพ็ญ…มาถึงพร๎อม ันน้ีแล๎ ในดิถีใดเ า
มเด็จพระ ัมมา ัมพุทธเจ๎าของเราท้ัง ลาย ได๎ทรงแ ดง
ประเพ~ณ11แี 11ห44ต่ ้น~ดอกไม้
โ าทปาฎิโมกข์ข้ึนในที่ประชุม า ก งฆ์ พร๎ มด๎ ย งค์
4 ประการ คื พรภิก ุซึ่งประชุมกันน้ัน ล๎ นแตํเป็นพระ
ขีณา พ ร ันต์ ุป มบทด๎ ยเ ิกิก ุ ุป ัมปทา ไมํมี
ผใ๎ู ดเรียกมายงั านักงานพระผู๎มพี ระภาคเจ๎า ารามเ ุ ัน
เ ลาตะ นั บําย ณ ดถิ มี าฆะปุณณมี ข๎าพเจ๎าท้ัง ลายมาถึง
มาฆะปณุ ณะมนี ้ี คล๎ายกลับรับ า ก ันนิบาตแล๎ มาระลึก
พระภูมีพระภาคเจ๎า แม๎ปรินิพพานนานแล๎ เคารพบูชา
พระผ๎ูมพี ระภาคเจา๎ กบั พระ งฆ์ า กน้นั “ด๎ ย ักการบูชา
ันมีด กไม๎ ธูปเทียน เป็นต๎นเ ลํานี้ ณ เจดีย ถาน คื
พระ ถปู คื พระพุทธรปู ซงึ่ เปน็ พยานข งพระผ๎ูมีพระภาค
เจ๎าน้ัน ข มเด็จพระผู๎มีพระภาคเจ๎ากับ า กพระ งฆ์แม๎
ปรินิพพานด๎ ยดีแล๎ ยังดารงดี ยูํด๎ ยพระคุณทั้ง ลาย
จงทรงรับเคร่ื ง ักการะเ ลําน้ี ซึ่งเป็นบรรณาการข งคน
จนเพื่ ประโยชน์เก้ื กูลและค าม ุขแกํข๎าพเจ๎าท้ัง ลาย
ิน้ กาลนานเท ญ” (บุญ รี ตาแก๎ , ม.ป.ป: 133)
จากคากลํา ถ ายด กไม๎ในเ ตุการณ์พุทธประ ัติต น
พระพุทธเจ๎าแ ดงโ าทปาฏิโมกข์ แล๎ เ ลําพุทธบริ ัทท้ัง ลาย
ได๎รํ มกันถ ายด กไม๎ ธูปเทียนเพื่ แ ดงค ามเคารพ เป็นการ
ักการบูชาบรรณาการ เพื่ เป็น ิ่งที่จะชํ ยค้าจุนและเป็น
ประโยชน์เกื้ กูลตํ ผู๎ รัทธาท้ัง ลาย ด กไม๎จึงเ มื นเป็น
~ 111155 ~
ัญลัก ณ์แ ํงค าม ุข ค ามอุดม มบูรณ์ และค ามเจริญรุํงเรือง
ในชี ิตของผ๎คู นทีใ่ ช๎เป็นเครอ่ื ง ักการะในพระพทุ ธ า นานัน่ เอง
กร ยดอกไม๎และขนั มากเบ็งท่ีตกแตงํ ด๎ ยงานใบตองและดอกไม๎ ดใชเ๎ ป็นเครื่องบูชา
กั การะในทางพระพทุ ธ า นาของชา อี าน
พุทธประวตั ิในปฐมสมโพธกิ ถาสานวนอสี าน
มีการนาเ นอใ ๎เ ็นภาพของม ล มูํดอกไม๎จาน นมาก
ตกมาจากฟากฟูาเป็นฝนดอกไมจ๎ าก รรค์ได๎ปรากฏอยูํในริ้ ขบ น
แ ํของพระราชมารดาพระพุทธเจา๎ เมอื่ ครงั้ ที่จะเ ด็จกลับเมืองของ
ตน แตํภาย ลังได๎ประ ูติพระ ัมมา ัมพุทธเจ๎าระ ํางทาง ดังมี
เนอ้ื ค าม ํา
ประเพ~ณ11แี 11ห66ต่ น้ ~ดอกไม้
“พระยา ี นุราชเจ๎าบิดาตนพํอกับทั้งนางเอกต๎น
เจ๎าแมํเมือง พระก็เ ด็จข้ึนช๎างพังพายพระที่น่ัง นมข้ึนขี่
ช๎าง งล๎อมแ ํอ๎อมพระองค์ เ ร ฐีพร๎อมท้ังพรา มณ์
ผ๎ใู ญํ ๎างเครอ่ื งช๎างทง้ั ม๎าแ ํตาม ล่ิง อนลอนตั้งธงแดง
เป็นชํอพ๎ุนเย๎อ เ ียงคล่ืนเค๎าระงมฟูาแผํนดิน พิณพาทย์
พร๎อมแกร งเ ียง นั่น เทพยดาถือธงดอกไม๎เ ด็จล้าแ ํ
ตาม เป็นอั จรรยแ์ ท๎ มภารเพ็งมาก เกิดเป็น ําฝนดอกไม๎
อมเฮ๎าทั่ แผํนดิน เป็น มอกกลั้ ละอองฝน ผิ อํอนพ ก
ไพรํฟาู นกุ เลํนชนื่ ชม” ( . ธรรมภักดี, 2529: 22)
นอกจากน้ียังมีบทบรรยายที่แ ดงใ ๎เ ็นค าม ัมพันธ์
ระ ํางพระพุทธเจ๎ากับม ล มูํดอกไม๎ ําเป็น ่ิงที่เช่ือมโยงกัน ดัง
กรณีเ ตุการณ์เม่ือคร้ังที่พระนาง ิริม ามายา พระมารดาของพระ
พุทธองค์กาลังจะใ ๎การประ ูติแกํพระพุทธเจ๎า แล๎ ม ล มํูดอกไม๎
ตํางยินดีปรีดาในขณะท่ีพระนางกาลังเ น่ีย ร้ังพระ รกายอยูํที่ก่ิง
ตน๎ รัง ดงั ค าม าํ
“นางก็แลเ ็นไม๎ฮังงามปุาใ ญํ เ มือนดัง น
ทิพย์ก ๎างภายฟูาแ ํงพระอินทร์ นางก็ยินดีแท๎เชิดคมด ง
ดอก ฝูงดอกไม๎บานพ๎อมคํูด ง ลมพัดต๎องเก ร อมอํอน
ฝูงด งดอกไม๎จูมบานแย๎มกีบ เ มือนด่ังมี ิญญาณปากเ ๎า
ั แยม๎ ตอํ พระนาง” ( . ธรรมภกั ดี, 2529: 51)
~ 111177 ~
พระนาง ิริม ามายา พระราชมารดาของพระพุทธเจ๎ากาลังเ นี่ยวพระวรกายที่ก่ิงต๎นรัง
ในเ ตุการณต์ อนประ ูติพระพทุ ธเจ๎า ซึ่งมวล มูํดอกไมต๎ าํ งเบํงบานชชู ํองดงาม
ประเพ~ณ11ีแ11ห88่ต้น~ดอกไม้
อานิ ง ์การถวายดอกไม้ อม
มีเร่ืองเลําในพทุ ธประวัตขิ องพระพทุ ธองคท์ ี่แ ดงใ ๎เ ็นถึง
อานิ ง ์ของการถวายดอกไม๎ อมตํางๆ ซ่ึงมีกลําวรายละเอียดไว๎วํา
มพี ทุ ธพจน์ที่องคพ์ ระ มั มา มั พุทธเจา๎ ตรั เอาไว๎วํา
“ผ๎ูใดได๎ถวายดอกไม๎มีคํา มีกลิ่น อมฟูุงแกํเรา
เราจักพยากรณ์ผ๎ูนั้น ทํานทั้ง ลายจงฟังเรากลําว บุคคลผู๎
นี้เคลื่อนจากโลกนี้แล๎ว จักแวดล๎อมด๎วย มํูเทวดา เกลื่อน
กลนํ ด๎วยดอกมะลิ จักไป ูํเทวโลกภพของบุคคลนน้ั ูงเ ียด
ฟาู าเร็จด๎วยทองและแก๎วมณี วิมานท้ัง ลายอันเกิดด๎วย
บุญกรรมจักปรากฏ เขาจักได๎เ วยเทวราช มบัติ 74 คร้ัง
จกั แวดลอ๎ มดว๎ ยนางอัป ร เ วย มบัติ จักได๎เป็นพระราชา
ในแผํนดินครอบครองพ ุธา 300 คร้ัง จักได๎เป็นพระเจ๎า
จักรพรรดิ 75 ครั้ง จักเป็นใ ญํกวํามนุ ย์ เ วยบุญน้ัน
ประกอบดว๎ ยกรรมของตน ไมํไป ํูวิบาตรนรก”
ท้ังน้ียังมีความเช่ือท่ีวํา การบูชาบุคคลที่ควรบูชา บูชาถูก
เน้ือนาบุญด๎วยอามิ บูชา แม๎จะบูชาด๎วย ่ิงเล็กน๎อยใน ายตาของ
ชนท้ัง ลาย แตํเม่ือทาถูกเนื้อนาบุญอันยอดเยี่ยมแล๎วไมํใชํเรื่อง
เล็กน๎อย เป็นผลานิ ง ์ท่ีไมํมีประมาณ เป็นบุญใ ญํติดตัวไปข๎าม
ภพข๎ามชาติ เ มือนพุทธพยากรณ์ของพระพุทธเจ๎าองค์เกํากํอน ท่ี
~ 111199 ~
พระองค์ทรงไดท๎ รงพยากรณ์ผม๎ู บี ญุ ทําน น่ึง ซ่ึงเป็นเคร่ืองยืนยันได๎
อยํางดี ถึงผลานิ ง ์ที่เกิดขึ้นวํามีมากมายม าศาล ไมํอาจจะนับ
ประมาณได๎ การบูชาถูกเนื้อนาบุญจึงเป็นเร่ือง าคัญ เ มือน
เรื่องราวการ ร๎างบารมีของนัก ร๎างบารมีในกาลกํอน ดังมี
รายละเอียดตํอไปน้ี
เรอื่ งอานิ ง ์พระจุนทะเถระถวายดอกไม้ อม
ดังที่ได๎กลําวมาแล๎ววํา เป็นธรรมเนียมของพุทธศา นิกชน
ท่ีมักนิยมถวายดอกไม๎บูชาเพื่อใ ๎เกิดความ ุข วั ดี เป็น ิริมงคล
แกํผ๎ูถวายทาน ดังเนื้อความวําด๎วยการถวายดอกไม๎ตํางๆ ในพระ
ุตตันติปิฎก ขุททกนิกาย คัมภีร์อัปทาน ได๎กลําวถึงอานิ ง ์ของ
บุญกริยาวัตถุดว๎ ยการใ ท๎ าน
ตวั อยํางเชํน ในคัมภีร์อัปทานเร่ืองจุนทเถราปทาน วําด๎วย
ผลของการถวายดอกไมแ๎ กพํ ระพุทธเจา๎ วํา ผลอานิ ง ์ของผ๎ูที่ถวาย
ดอกไม๎นั้นเมื่อตายไปยํอมได๎ไป ูํเทวโลก แวดล๎อมด๎วย มูํเทวดา
นางอปั ร มวี ิมานประดบั ด๎วยทองและแกว๎ มณี ดงั มเี น้อื ความวํา
มเี รอื่ งเลําวาํ พระอริย าวกทํานนี้ช่ือวําพระจนุ ทะอร ันตเถระ
ทํานเป็นผ๎ูมีชีวประวัติท่ีนําทึ่ง เพราะทํานเกิดเป็นน๎องชายของพระ
ารีบุตรอัคร าวกเบื้องขวา และได๎บรรลุธรรมเป็นพระอร ันต์
ตั้งแตํยังเป็น ามเณรน๎อย ย๎อนกลับไปในอดีตชาติที่ผํานมา พระ
เถระได๎บาเพ็ญบุญในพระพุทธเจ๎าองค์กํอนๆ ทํานได๎ ั่ง มบุญอัน
ประเพ~ณ11แี 22ห00่ต้น~ดอกไม้
เป็นอุปนิ ัยแ ํงพระนิพพานในภพน้ันๆ ตาม าระโอกา ที่จะ
อาน ย จนมาถงึ ในกาลของพระผูม๎ พี ระภาคเจา๎ พระนาม ํา “ ทิ ธัตถะ”
ทํานก็ได๎มาเกิดเป็นมนุ ย์ ร๎างบารมีอีกชาติ น่ึง นับเป็นค ามโชคดี
อยํางยิ่งท่ีชํ งเ ลานั้น พระบรม า ดากาลังประกา พระ ัทธรรม
พระพุทธ า นาได๎ประดิ ฐานเป็นที่พึ่งของ รรพ ัต ์ทั้ง ลาย
อยํางเป็นปึกแผํน พระเถระนี้ได๎บังเกิดในตระกูลอันเพียบพร๎อม
มบูรณ์ด๎ ย มบัติ อยูํทํามกลางค ามมั่งค่ังของบิดามารดาและ มํู
ญาติ เม่ือบรรลุนิติภา ะแล๎ มีโอกา ฟังธรรมจากพระผู๎มีพระภาคเจ๎า
พระธรรมเท นาน้ันไพเราะยิ่ง เกิดค ามเลื่อมใ ในพระ า ดา
อยํางเต็มเปี่ยม อยากจะเอาบุญพิเ จากพระองค์ทําน ก็คิดอยํูใน
ใจตลอดเ ลา ํา เราจะบูชาพระพุทธเจ๎าผ๎ูทรงพระคุณอันประเ ริฐ
อยาํ งไร นอ จงึ จะ มค รแกํพระองค์ทําน แม๎แตํตั ของเราเองก็ยัง
ไมํมีโอกา ได๎ ร๎างบุญพิเ ในเ ลานี้นับเป็นโอกา ดี เราไมํค ร
ปลํอยใ ๎ผํานไป เพราะเนื้อนาบุญยังมีอยูํ และตั เราก็ยังมีชี ิตอยํู
และเรายังมีกาลังที่จะเอาบุญได๎ เมื่อคิดได๎อยํางน้ี ก็ใ ๎ ร๎าง ัตถุท่ี
ค รแกํ มณะบริโภคและจัดดอกมะลิ า รับเป็นเคร่ืองบูชา
จากน้ันก็ใ ๎ถือดอกไม๎ชนิดอื่นๆ อีกมากมาย ซ่ึงจัดทาอยําง
เรียบร๎อย ยงามปานดอกไม๎ทิพย์ นอ๎ มเขา๎ ไปบชู าพระพุทธเจ๎าด๎ ย
จิตอนั เลื่อมใ
เ ตอุ ั จรรย์กพ็ ลันบงั เกิดขนึ้ ทันที ดอกไมท๎ ่ไี ด๎น๎อมไปถ าย
เ ลํานั้น ได๎ลอยข้ึน ูํอากา ตั้งเรียงรายเป็นเพดานดอกไม๎ เป็น
~ 112211 ~
เ มอื นรมํ ถ ายใ ๎กับพระ ัมมา ัมพุทธเจ๎าผ๎ูเป็นอัครนายกของโลก
เพียงเทํานั้นม าปีติท่ีมีอยํูแล๎ ก็ยิ่งทับท ีมากขึ้น พระ า ดา
ประทับน่ังในทํามกลางภิก ุ งฆ์ ทรงมองเ ็นกุลบุตรผ๎ูมี รัทธา ได๎
เข๎ามาถ ายดอกไม๎เป็นพทุ ธบชู า และเกิดเ ตุอั จรรย์อยํางน้ัน ทรง
มองเ ็นบุญที่บังเกิดข้ึนแกํผู๎มีบุญทํานนี้ และเ ็นม า มบัติใ ญํที่
เขาจะได๎ในอนาคต บุญนี้เป็นเรื่องแปลก ทาเม่ือใดบุญใ ๆ จะ
บันดาล มบัติใ ญํใ ๎เกิดขึ้น พระองค์ทรงมีญาณ ย่ังรู๎ได๎ ทรง
มองเ ็น าย มบัติใ ญํ ปรารถนาที่จะใ ๎เขาเกิดม าปีติ และเกิด
กาลังใจในการ ร๎างบารมียิ่งไปก ําน้ี จึงได๎ประทานพยากรณ์ ํา
“ดูกํอนพุทธบริ ัทท้ัง ลาย ผู๎ใดถ ายดอกไม๎มีคํา มีกล่ิน อมฟูุง
แกเํ รา เราจกั พยากรณผ์ นู๎ น้ั ทาํ นทัง้ ลายจงฟังเรากลํา บุคคลผ๎ูน้ี
ได๎ ร๎างบุญถูกเน้อื นาบญุ เธอจักไดอ๎ านิ ง ์ใ ญํ เคล่ือนจากอัตภาพ
น้ีแล๎ จักแ ดล๎อมด๎ ย มํูเท ดา เกล่ือนกลํนด๎ ยดอกมะลิ อม จัก
ไป ํูเท โลก ภพของบุคคลน้ันนําร่ืนรมย์ าเร็จด๎ ยทองและแก๎
มณี ิมานทั้ง ลายอันเกิดด๎ ยบุญกรรมจักปรากฏแกํเขา เขาจักได๎
เ ยเท รัช มบัติถึง 74 ครั้ง จักแ ดล๎อมด๎ ยนางอัป ร เ ย
มบัติอนั ละเอียดประณตี จักได๎เป็นพระราชาในแผํนดินครอบครอง
พ ุธา 300 ครงั้ จักไดเ๎ ป็นพระเจา๎ จักรพรรดิ 75 คร้ัง จักเป็นใ ญํก ํา
มนุ ย์มีชื่อ ํา ทุชชยะ เ ยบุญน้ันอยํางมีค าม ุข ไมํไป ํูทุคติ
ินิบาตนรกเลย”
ประเพ~ณ11แี 22ห22่ต้น~ดอกไม้
เมื่ กลบั มาเกิดเป็นมนุ ย์ เขาจกั มบูรณ์ด๎ ยม า มบัติ มี
มบัตินับร๎ ยโกฏิ บุคคลน้ันจักบังเกิดในกาเนิดพรา มณ์ เป็นบุตร
ผู๎มีปัญญาข ง ังคันตพรา มณ์ เป็นบุตรผู๎เป็นที่รักข งนาง ารี
พรา มณี และภาย ลังเขาจักบ ชใน า นาข งพระ ังคีร จักได๎
เป็นพระ า กข งพระ า ดา มีนาม ํา จู จุนทะ เขาจักได๎เป็น
พระขณี า พแตํยังเป็น ามเณร ได๎เข๎าถึงพระนิพพานใน นาคตกาล
ภายภาคเบื้ ง นา๎
พ ได๎ฟังพุทธพยากรณ์ ยํางน้ัน ทํานก็ย่ิงบังเกิดม าปีติ
รา กับ ํา มบัติใ ญํจะเกิดขึ้นกับตนใน ันพรุํงน้ี ตั้งแตํบัดน้ันมา
ทํานก็ได๎ต้ังใจทานุบารุงพระพุทธ า นา บารุงพระ า ดาและพระ
า ก ร มทั้งชนผู๎มี ีลมีธรรมเป็น ันมากจนตล ดชี ิต เรียกได๎ ํา
่ัง มบุญไมํเคยขาดเลยทีเดีย ลังจากละโลกน้ีไป ได๎บังเกิดใน
คุ ตโิ ลก รรค์ เ ยทิพย ุขในเท โลกท้งั 6 ชั้นตามลาดบั เรื่ ยไป
เกิดเป็นพระเจ๎าจักรพรรดิ พระราชา ม าเ ร ฐีนับชาติกันไมํถ๎ น
ตามพทุ ธพยากรณท์ ุกประการ
จนมาถึง มัยพุทธกาลน้ี ได๎เกิดเป็นบุตรข งนางรูป ารี
เป็นน๎ งชายข งพระ ารีบุตร พระ ารีบุตรได๎ใ ๎บ ชใน านักข ง
ตน ามเณรน๎ งชายได๎ติดตามและบารุงพระเถระพี่ชาย มี ยูํ ัน
นึ่ง ลังจากที่พระ ารีบุตรปรินิพพานแล๎ พระจุนทเถระได๎เ า
พระธาตุข งพระ ารีบุตรใ ํไ ๎ในบาตร นาเข๎าไปถ ายพระ ัมมา
ัมพุทธเจ๎า พระ า ดาทรงรับพระธาตุน้ันด๎ ยพระ ัตถ์ทั้ง ง
~ 112233 ~
แล๎ ทรงประกา าํ "พระ า กคือจุนทะเถระน้ี เป็นผ๎ูมีจิต ลุดพ๎น
ิเ แล๎ กา นดรูอ๎ า ะท้ังป งแล๎ ไมํมีอา ะเ ลืออยูํ มบูรณ์
ด๎ ยคุณ ิเ คือ ปฏิ ัมภิทา 4 ิโมกข์ 8 และอภิญญา 6 ค าม
ปรารถนาท่ีเธอตั้งไ ๎ดีแล๎ เป็นผล าเร็จทุกประการ ด๎ ยอานุภาพ
บุญทไี่ ดท๎ าการบูชาถูกเนื้อนาบญุ "
เราจะเ ็น ํา ในชี ิตการ ร๎างบารมีของนัก ร๎างบารมี
ท้งั ลาย การบูชาทีท่ าถูกเน้ือนาบุญ มีผลานิ ง ์อันยิ่งใ ญํไพ าล
ํงผลใ ๎เป็นผ๎ูท่ี มบูรณ์ด๎ ย มบัติทั้ง าม คือ มนุ ย มบัติ ทิพย
มบัติ และนิพพาน มบัติ อยํางนําอั จรรย์ เ มือนชี ิตของพระ
จุนทเถระ ชี ิตของทํานได๎ดีเพราะ ร๎างบารมีกับเนื้อนาบุญอันเลิ
แม๎ ําเราไมํมีโอกา ได๎พบพระ ัมมา ัมพุทธเจ๎า แตํคา อนอัน
ทรงคุณคําและเนื้อนาบุญคือ พระ งฆ์ผ๎ูปฏิบัติดีปฏิบัติชอบยังมีอยํู
ทาํ นเ ลําน้ันล๎ นเปน็ ปุ ฏปิ ันโน ทีเ่ ราค รจะ าโอกา บูชาทําน ท้ัง
อามิ บูชา และปฏิบัติบูชา เกิดมาชาตินี้เราก็จะได๎มี มบัติใ ญํติด
ตั ไปทุกภพทกุ ชาติตราบกระทงั่ ถงึ ท่ี ุดแ ํงธรรม
เร่อื งอานิ ง ์นาง ิกขมานาปุณณาถวายดอกไม้ อม
นอกจากเรื่องเลําพุทธประ ัติดังกลํา แล๎ ยังพบ ํามีเร่ือง
เลําอีกเรื่อง น่ึงท่ีแ ดงใ ๎เ ็นอานิ ง ์ผลบุญที่ถ ายดอกไม๎นานา
เป็นพุทธบูชา ดังเร่ืองเลําอดีตชาติของนาง ิกขมานาปุณณา มี
ใจค าม ํา
ประเพ~ณ11ีแ22ห44ต่ น้ ~ดอกไม้
ย๎อนไปในอดีตชาติ ลายภพ ลายชาติที่ผํานมา นาง
ิกขมานาปุณณา ก็เคยได๎ ั่ง มบุญ บารมีไ ๎ใน า นาของ
พระพุทธเจ๎าองค์กํอนๆ มา ลายคร้ัง ลายครา บุญน้ันยังไมํทัน
เต็มเป่ียมพอที่จะทาใ ๎บรรลุธรรมในภพชาติน้ันๆ ได๎ แตํ ิ่งท่ีติด
ตั มาในภพชาติตํอๆ มาก็คือ ได๎มีโอกา ั่ง มบุญอยํางตํอเน่ือง มี
อุปนิ ัยท่ีน๎อมไปในพระนิพพาน จนกระท่ังมาถึงยุค น่ึง นางได๎
เกิดเป็นกินนรี อา ัยอยํูในปุา ิมพานต์ที่ฝั่งแมํน้าจันทภาคา ในแตํ
ละ ันก็จะเที่ย ไปอยํูที่ริมฝั่งน้านั้นพักผํอน เลํนน้าดา ั ไปตาม
ประ ากินนรีที่รักค าม ะอาด มีอยูํ ัน น่ึง พระปัจเจกพุทธเจ๎า
พระองค์ นึ่งจาริกไปถึงริมฝั่งแมํน้าน้ัน และก็ได๎ประทับ
นง่ั ขัด มาธิอยทํู ี่ริมฝง่ั นา้
เ ลํากินนรีท้ัง ลายพากันไปท่ีแมํน้าตามปกติ ํ นกินนรี
น้ีมองเ ็นพระปัจเจกพุทธเจ๎า ก็ฉุกคิด ํา ผ๎ากา า พั ตร์ที่ ํอ ๎ุม
ราํ งกายของ มณะน้ี ผมู๎ บี ุญมากเทํานั้นถึงจะได๎ครอบครอง ถานท่ี
แ ํงน้ีก็เป็นท่ีเร๎นลับจาก ายตาของมนุ ย์ธรรมดาท่ั ไป าก
นักบ ชทํานนี้เป็นคนธรรมดา ก็คงไมํมีโอกา มาถึงท่ีแ ํงน้ีแนํนอน
จะดผู ิ พรรณทํานก็ชํางผุดผํองเ ลือเกิน มณะรูปน้ี ต๎องเป็นพระ
อร นั ต์อยาํ งแนนํ อน
เมื่อนางคิดอยํางน้ี ในใจก็เกิดค ามปีติเลื่อมใ ด๎ ย
อานภุ าพแ ํงบญุ ท่ไี ด๎เคย ั่ง มไ ก๎ ับ มํู งฆ์ในอดตี ทาใ ๎ค๎ุนเคยกับ
ผ๎ากา า พั ตร์ ฉับพลันทันใดกินนรีก็คิด ํา ไทยธรรมท่ีค รถ าย
~ 112255 ~
ในมือของเราก็ไมํมี ากเราจะไมํ ่ัง มบุญอะไรเลย ก็จะทาใ ๎เรา
คลาดจากบุญนี้ไป เราจะทาอยํางไรดี นอ เม่ือคิดอยํางนี้กินนรีผู๎มี
บุญก็มองไปรอบๆ อาณาบริเ ณ ขณะท่ีในใจของนางนั้นเต็มเปี่ยม
ด๎ ยค ามปีติอันไมํมีประมาณ ก็มองไปเ ็นดอกไม๎ชนิด น่ึง ออก
ดอกงาม ะพร่ังอยรํู มิ ฝัง่ แมนํ ้าก็ดาริ ํา
แม๎ในมือของเราไมํมีไทยธรรม เราก็จะเอาดอกอ๎อบูชา
มณะรปู น้ี แล๎ นางกนิ นรีกม็ ุํงตรงไปทีก่ อไม๎อ๎อ นาดอกอ๎อเ ลําน้ัน
ไปกราบบูชาพระปัจเจกพุทธเจ๎าด๎ ยค ามเล่ือมใ เมื่อบูชาเ ร็จ
แล๎ พระปัจเจกพุทธเจ๎าก็ใ ๎ ีลใ ๎พร กินนรีก็ย่ิงเกิดม าปีติ พอ
พระทํานใ ๎พรเ ร็จและ ลีกไป กินนรีก็ยืนประคองอัญชลีด๎ ยใจที่
เบิกบาน เ ตุการณ์ใน ันน้ัน ได๎ฝังอยูํในใจของกินนรีไปจนตลอด
ชี ิต ด๎ ยบุญกรรมนั้น ํงผลใ ๎นางทํองเที่ย อยํูใน ุคติภูมิ ชี ิต
ไมํไดพ๎ ลดั ตกไปในอบายเลย
จนกระท่ังมาถึง มัยพุทธกาล นางได๎มาบังเกิดในตระกูล
คฤ บดีม า าลกรุง า ัตถี เมื่อคลอดออกจากครรภ์มารดา ด๎ ย
ค ามท่ีเป็นผู๎มีบุญ จึงเป็นที่รักของมนุ ย์ และเท ดาท้ัง ลาย
ญาติๆ ไดพ๎ ากันขนานนาม ํา ปุณณา แม๎นางจะเป็นเด็กก็เป็นเด็กที่
อนตนเองได๎ ํา ิ่งใดค รทา ่ิงใดไมํค รทา พอเติบโตเป็น ัยรํุน
ก็ไมเํ คยทาค ามเดอื ดเนอื้ ร๎อนใจใ ๎มารดาบิดา
ประเพ~ณ11แี 22ห66่ต้น~ดอกไม้
เร่อื งอานิ ง ์นาย ุมนมาลากรชายผูท้ กุ ขย์ ากถวายดอกไม้ อม
ในครั้งพทุ ธกาลมีผ๎ูกระทาการถ ายดอกไม๎แกํพระพุทธเจ๎า
แล๎ เช่ือ ําได๎ผลาอานิ ง ์ยิ่ง ดังกรณีมีเร่ืองเลําเก่ีย กับนาย ุมน
มาลากร ํา ได๎เก็บดอกมะลิมาถ ายพระเจ๎าพิมพิ ารเพ่ือแลกกับ
เงินตํอ ัน ขณะที่เขาเก็บดอกไม๎อยูํนั้น พระผ๎ูมีพระภาคเจ๎าได๎เ ด็จ
ออกบิณฑบาตภายในพระนคร พร๎อมด๎ ยพระภิก ุ งฆ์ 500 รูป
เป็นบริ าร นาย ุมนมาลากรเ ็นก็เกิดจิตเลื่อมใ คิดอยากจะ
ทาบุญแกํพระตถาคต แตํไมํเ ็นอยํางอื่นนอกจากดอกไม๎ จึงได๎
นาเอาดอกไม๎เ ลําน้ันบูชาพระองค์ โดยไมํเกรงกลั พระราชาจะ
ทรงกร้ิ โกรธ ถึงแม๎จะถกู พระราชาประ ารชี ิตกย็ อมตาย
การบูชาดอกไม๎ของนาย ุมนมาลากรได๎ ํงผลทาใ ๎ดอกไม๎
ที่นาไปถ ายเกิดอั จรรย์ข้ึนไปประดิ ฐานเบ้ืองบนเป็นเพดานก้ัน
พระเ ียรพระตถาคต แล๎ ก็ได๎ลอยข้ึนไปแ ดล๎อมรํางกายของพระ
ตถาคตอยํูตลอดเ ลา นาย ุมนมาลากรเ ็นดังนั้นก็มีค ามยินดีย่ิง
นัก ได๎ถือกระเช๎าเปลําไปเรือนฝุายภรรยา แล๎ เ ็นไมํมีดอกไม๎ใน
กระเช๎านาย ุมนมาลากรบอกแกํภรรยาของตน ํา ได๎เอาดอกไม๎
บูชาพระพุทธเจ๎าแล๎ นางได๎ตอบ ําธรรมดาพระราชาเป็นผ๎ูดุร๎าย
กริ้ โกรธครา เดีย ก็ทาค ามพินา ใ ๎ถึงค ามตายได๎ ดังนั้นค าม
พินา นี้จะบังเกิดแกํเรา นางได๎อุ๎มลูกไปเฝูาพระราชาแล๎ ทูลขอ
ยํากับนาย ุมนมาลากรกับพระองค์ พระราชาทรงทราบค ามต่า
ทรามของจิตนางท่ีเป็นภรรยาของนายมาลา แล๎ ก็ทาเป็นกริ้ โกรธ
~ 112277 ~
และอนุญาตใ ๎นาง ยํา แล๎ พระราชาก็ได๎เ ด็จไป ํู านักพระ
า ดาถ ายบังคมทูลอาราธนา พระ า ดาได๎รับภัตตา ารใน
พระราช ัง พระ า ดาทรงทราบพระราช ฤทัยของพระราชา
ลังจากนั้นพระราชาก็ทรงประกา คุณงามค ามดีของนาย ุมน
มาลากรถึง าเ ตุของการถ ายดอกไม๎แกํพระ า ดา จึงได๎
พระราชทานราง ัลข๎า ของเงนิ ทองตํางๆ มากมาย อนั เป็นกรรมดีที่
ได๎ นองผลใ ๎แกํนาย ุมนมาลากรใน ันนัน้ เอง
เนอ้ื าจากพทุ ธประ ัตขิ ๎างตน๎ ทาใ พ๎ ทุ ธ า นกิ ชนมีค าม
เคารพ รัทธาตํอพระพุทธ า นา ทั้งตํอพระพุทธองค์ พระธรรม
และพระ งฆ์ อันเป็นตั แทน รือ ัญลัก ณ์ าคัญ นั่นก็คือ พระ
รัตนตรัย ํงผลทาใ ๎เกิดการทาบุญทากุ ลอยําง น่ึงในกิจปฏิบัติ
เชิงประเพณที างพทุ ธ า นา นัน่ คือ การถ ายดอกไม๎ อม ธูปเทียน
บชู าพระรัตนตรัย แ ดงใ ๎เ ็นภาพ ัญลัก ณ์ของการถ ายดอกไม๎
ของพุทธบริ ัทนับแตํอดีตกาลนานมาแล๎ ไมํ ําจะเป็นเ ลําเทพ
เท ดา ก ัตริย์ รือปุถุชน ามัญชนทั่ ไป ก็ล๎ นแตํเป็นกรรมดี
เป็นอานิ ง ์ผลบุญที่จะ ํงผล ืบตํอไปยังภพภูมิข๎าง น๎าใ ๎ประ บ
ดี ิ่งทีด่ งี าม ค ามเจรญิ รุํงเรอื ง ดงั มคี าถ ายทานดอกไม๎ในประเพณี
ไทยอี านโบราณ ค าม ํา
“ข๎าแดํทํานผู๎เจริญ ข๎าพเจ๎าทั้ง ลาย ขอบูชาดอกไม๎ธูป
เทียนทั้ง ลายอันประเ ริฐนี้ แกํพระรัตนตรัย กิริยาที่บูชา
ประเพ~ณ11ีแ22ห88่ต้น~ดอกไม้
แกํพระรัตนตรัยเจ๎าน้ี จงเป็น ่ิงนามาซึ่งประโยชน์และ
ความ ุขแกํข๎าพเจ๎าท้ัง ลาย ิ้นกาลนาน เพื่อใ ๎ถึงพระ
นิพพานเป็นท่ี ้ินไปแ ํงอา วะกิเล เทอญ” (จ. เปรียญ,
ม.ป.ป: 303)
เรื่องราวดังกลําวทาใ ๎ชาวพุทธมองวํา แม๎แตํการถวาย
ดอกไม๎ อมทเ่ี ป็น ิ่งท่ีดูไมํย่ิงใ ญํนัก ดูราวกับเป็นของต่าต๎อยด๎อย
คํา แตํก็นับเป็นเร่ืองการทาบุญทากุศลเพื่อชํวยนาพาชีวิตใ ๎ได๎รับ
เ วยผลบุญ บ๎างก็เช่ือวําอานิ ง ์ของการถวายดอกไม๎ อมน้ันจะ
ทาใ ๎ชีวติ จะไดร๎ ับแตํความ ดช่ืน ดใ เป็นจติ บริ ทุ ธ์ิ เกิดชาติ น๎า
จะงดงามผิวพรรณดี จะได๎ไปเกิดในตระกูล ูง ํง และ ากตกทุกข์
ได๎ยากลาบากก็จะมีผ๎ูมาชํวยเ ลือราวกับวําชีวิตได๎เดินอยูํบนกลีบ
ดอกไม๎ อันเป็นความเชื่อท่ีเกี่ยวเนื่องในพุทธประวัติท่ีเก่ียวโยงและ
ัมพันธ์กับเร่ืองราวของการถวายดอกไม๎ รือต๎นดอกไม๎ด๎วยอีก
ประการ น่ึง
การถวายดอกไม้ในวันม า งกรานตพ์ ระราชพธิ ี ิบ องเดอื น
ใน นัง ือพระราชพิธี ิบ องเดือน พระราชนิพนธ์ใน
พระบาท มเด็จพระจุลจอมเกล๎าเจ๎าอยํู ัว รัชกาลท่ี 5 ได๎ทรง
อธบิ ายใ ๎เ ็นภาพการถวายดอกไม๎ในวันม า งกรานต์ของเจ๎านาย
วํา “เ ด็จพระราชดาเนินขึ้นพระท่ีนั่งบรมพิมาน รงน้า
~ 112299 ~
พระพุทธรูปเทําพระชนมพรร า แล๎ เ ด็จพระราชดาเนิน รงน้า
พระม ามณรี ตั นปฏิมากร พระ ัมพทุ ธพรรณี พระพุทธย ดฟูาจุ า
โลก พระพุทธเลิ ล๎านภาลัย และพระคันธารรา ฎร์ นมั การ
เ ร็จแล๎ พรา มณ์จึงจุดแ ํนเ ียนเทียนบาย รีซึ่ง มโภช
พระพุทธรูปเชํนนี้ไมํใชํข งบริโภคตํางๆ ยํางเชํนกลํา มาแตํกํ น
จานซึ่งจัดปากบาย รีใช๎ด กไม๎ ด ีตํางๆ ประดับทั้ง ้ิน ”
(พระบาท มเดจ็ พระจุลจ มเกล๎าเจา๎ ยูํ ั , 2556: 333-334)
น กจากน้ี ใน ันม า งกรานต์ยังมีเ ตุการณ์ท่ีแ ดงใ ๎
เ ็นเจ๎านายช้ัน ูงได๎ถ ายด กไม๎ น๎าพระ ดังค าม ํา “ถ๎าเ ด็จ
พระราชดาเนินเลี้ยงพระ งฆ์ ฉล งพระเจดีย์ทราย ม าดเล็กต๎ ง
เตรยี มเทยี นพาน ซึ่ง า รับนมั การพระพุทธรูปใน ัดน้ัน และต๎ ง
ค ยเชิญเ ด็จพระเจ๎าลูกเธ ไปทรงจุดเทียนข๎า บิณฑ์และรับพระ
ุ รํายเงนิ ไปค ยถ าย า รับ รงพระทรายด๎ ย เ ลาค่า ดมนต์
ฉล งพระชนมพรร า ภู ามาลาค ยรับด กไม๎ซึ่งทรงจบพระ ัตถ์
แล๎ ขึ้นไปราย น๎าพระพุทธรูปเทําพระชนมพรร า และรับพระ
ุ รํายลงยาราชา ดี ค ยถ าย รงพระพุทธรูปด๎ ย ใน ันเนาเ ลา
เช๎า รงน้าพระ ภู ามาลาต๎ งรับพระ ุ รํายลงยาราชา ดี
ม าดเล็กรับพระ ุ รํายเงินถ าย รงน้าพระ งฆ์ และภู ามาลา
รายด กไม๎ น๎าพระเ มื นกัน” (พระบาท มเด็จพระจุลจ มเกล๎า
เจ๎า ยูํ ั , 2556: 339-340)
ประเพ~ณ11ีแ33ห00่ตน้ ~ดอกไม้
จากที่บทพระราชนิพนธ์ข๎างต๎น แ ดงใ ๎เ ็น ําในพระราช
พิธีใน ัฒนธรรมของชนช้ัน ูงน้ันก็มีการถ ายดอกไม๎เป็นเครื่อง
กั การะแกพํ ระพุทธรูป พระ งฆ์ และพระธรรมในทางพุทธ า นา
ด๎ ย แตํท ําการถ ายดอกไม๎นั้นเป็นเพียงดอกไม๎บูชาที่เป็นเคร่ือง
ักการะโดยทั่ ไป ที่เ ็นเพ่ิมเติมเข๎ามาก็คือการทาพานบาย รี
ดอกไม๎ ซึ่งเป็นลัก ณะของการตกแตํงประดับประดาและประดิ ฐ์
คิดคน๎ รูปแบบและลัก ณะของดอกไม๎บูชาที่มีลัก ณะพิเ เพิ่มขึ้น
ท้ังน้ีการทาพานบาย รีดอกไม๎บูชาน้ันจะต๎องใช๎ดอกไม๎ ดตํางๆ
ลาก ลาย ซ่ึง อดคล๎องกับรูปแบบของต๎นดอกไม๎ที่จะต๎องใช๎
ดอกไม๎ ดเชํนกัน แตํท ํามิได๎ทาเป็นพานบาย รี ฉะนั้นใน
ัฒนธรรมการ ร๎าง รรค์เป็นรูปแบบของต๎นดอกไม๎ รือการ
ประดิ ฐ์ตกแตํงเป็นรูปต๎นดอกไม๎เพื่อใช๎ไปในขบ นแ ํน้ัน นําจะมี
ปรากฏอยํูในเฉพาะของ ัฒนธรรมแบบพ้ืนบ๎านในท๎องถิ่นอี าน
เทํานน้ั อัน ื่อใ ๎เ ็นถึงเอกลัก ณ์และค ามโดดเดํนทาง ัฒนธรรม
แบบชา บ๎านที่แ ดงในลัก ณะของรูปแบบประเพณีแ ํต๎นดอกไม๎
เพอ่ื เคารพบูชาและ ร๎างค าม รทั ธาใ เ๎ กดิ แกพํ ระ า นานนั่ เอง
การถวายดอกไมใ้ นประเพณีสงกรานต์ในวฒั นธรรมลาวโบราณ
ในบญุ ปีใ มํ รือ งกรานต์ของลา แตโํ บราณมา ประชาชน
จะเตรียมน้าอบน้า อม ํ นมากมักนิยมทาน้า อมจากพืชพรรณ
ดอกไม๎ตามธรรมชาติ คือเอาขม้ินมาฝนแล๎ ผ มกับน้า เอาดอกไม๎
~ 113311 ~
ใ ํลงไปในขันน้าเพื่อใช๎เติมลงไปเป็นน้า อม พอไปถึง ัดประชาชน
ท่ีไปรํ มงานก็จะอาราธนาอัญเชิญเอาพระพุทธรูปจากท่ี
ประดิ ฐานเดิมลงมาต้ังไ ๎ที่ อแจก รือ าลาโรงธรรม รือ น๎า
โบ ถ์ น๎า ิม รือ อ รงโดยเฉพาะ รงน้าพระ ขัด ีใ ๎งามใ ๎
ดใ ะอาดใ ๎ดู ดใ เบิกบาน ดังมีคาโบราณกลํา ํา “ดอกไม้
บานในถา้ ฝนตกฮาปลี ะเท่ือ” มายถงึ เปรียบ ําพระพุทธรูปเปรียบ
เ มือนดอกไม๎ที่บานอยูํในถ้าไมํถูกน้าฝน ชา พุทธปี นึ่งก็จะมา
รํ มกันรด รงพระพุทธรูป เพ่ือใ ๎เกิดค ามชุํมเย็นแกํจิตใจของ
ตนเองและครอบครั
พระพุทธรูปคือตั แทนของพระพุทธเจ๎า อีกทั้งยังเป็น
ตั แทนของการเคารพบูชาพระธรรมคา อน น้าที่รดลงไปยัง
พระพุทธรูป ยาด ยดลงไป ประชาชนก็จะเอาขันไปรองรับเอาไ ๎
เช่ือ ําเป็นน้า ักดิ์ ิทธ์ิท่ีไ ลผํานองค์พระพุทธรูป ักด์ิ ิทธิ์ น้า
เ ลํานี้เกิดจากใจที่มีค ามเคารพ รัทธารํ มกันของม ลประชาชน
บางคร้ังก็จะเอาน้าน้ันมาลูบ ีร ะใ ํ ั ใ ํเกล๎าใ ๎ลูกใ ๎ ลาน ไป
ปะพรมอาคารบ๎านเรือนท่ีพักของตนเองเพื่อเป็น ิริมงคล อันเป็น
ค ามเช่อื ถือกนั มาแตโํ บราณ
ในชนบทของลา นํุม า จะไปเก็บดอกไม๎กันเพ่ือมาใช๎
บชู าพระ มบี รรยากา ค าม นุก นาน ค ามรักใครํ ามัคคีกัน การ
นาเอาม ลดอกไม๎ไป ักการะพระพุทธรูปด๎ ยจิตใจ รัทธา ซ่ึงผ๎ูเฒํา
ผู๎แกํกจ็ ะ ง่ั อนลูก ลานใ เ๎ ชอ่ื ถือปฏิบัติกัน ืบตํอมา น้าที่ รงพระ
ประเพ~ณ11แี 33ห22่ต้น~ดอกไม้
แล๎ นามารองใ ํขัน บางคร้ังผ๎ูเฒําผู๎แกํก็เอาดอกไม๎ไปจํุมลงขันแล๎
นามาปะพรมแบบรดน้ามนต์ด๎ ยเชํนกัน (กิแดง พอนกะเ ม ุก,
2539: 128)
ดอกไม้กับความ มายในตานานนาง งกรานต์จาก นัง ือ
โ ราศา ตรล์ าว
ใน นัง ือโ รา า ตร์ลา ภาคต๎น ฉบับภา าลา ของเจ๎า
เพชรราช รัตนะ ง า (2011: 137) กลํา ถึงคาทานายตาม ันและ
เ ลาของ ังขานตต์ ามชื่อของนาง ังขานต์ซึ่งปรากฏเร่ืองรา ําด๎ ย
ดอกไมอ๎ นั เป็น ญั ลัก ณ์ประจาตั ของนาง งกรานต์แตํละนางด๎ ย
ดงั รายละเอียดตํอไปนี้
1) ังขานต์ใน ันอาทิตย์ นางเทพธิดาท่ี 1 ทรงพระนาม ํา
“ทุง ะเท ี” ทางพา ุรัดทัด “ดอกพิลา” (ทับทิม) อาภรณ์ล๎ นไป
ด๎ ยแก๎ ปัทมราช (แก๎ ีแดง) ภัก า ารอุทมพร ( มากเดื่อ) พระ
ัตถข์ าทรงจกั ร พระ ตั ถซ์ า๎ ยทรง ังข์ เ ด็จนั่งเ นือ ลังครุฑเป็น
พา นะ
2) ังขานต์ใน ันจันทร์ นางเทพธิดาที่ 2 ทรงพระนาม ํา
“โคราคะเท ี” ทรงพา ุรัดทัดดอกกางของ (ดอกปีบ) อาภรณ์ล๎ น
ไปด๎ ยแก๎ มุกดา าร (แก๎ มน) ภัก า ารน้านม พระ ัตถ์ข าทรง
พระขรรค์ (ดาบ) พระ ัตถ์ซ๎ายทรงถือไม๎เท๎า เ ด็จไ ยา น์ (นอน)
ลืมตามาเ นอื ลังพยคั ฆ์ (เ อื โครงํ ) เปน็ พา นะ
~ 113333 ~
3) ังขานต์ใน ันอังคาร นางเทพธิดาที่ 3 ทรงพระนาม ํา
“ราก เท ี” ทรงพา ุรัดทัด “ดอกบั ล ง” อาภรณ์ล๎ นไปด๎ ย
แก๎ โมรา (แก๎ ลาย) ภัก า ารโล ิต (เลือด) พระ ัตถ์ข าทรงตรี
ูล ( อก ามงําม) พระ ัตถ์ซ๎ายทรงธนู เ ด็จไ ยา น์ ลับพระ
เนตรมาเ นอื ลัง รา ะ ( ม)ู เป็นพา นะ
4) ังขานต์ใน ันพุธ นางเทพธิดาท่ี 4 ทรงพระนาม ํา
“มณฑาเท ี” ทรงพา ุรัด “ดอกจาปา” อาภรณ์ล๎ นไปด๎ ยแก๎
ไพฑูรย์ (แก๎ ีตาแม รือ ีไม๎ไผํเ ลือง) ภัก า ารนมเนย พระ
ัตถ์ข าทรงเ ล็กแ ลม พระ ัตถ์ซ๎ายถือไม๎เท๎า เ ด็จไ ยา น์ลืม
ตาเ นือ ลงั ทรภะ (ลา) เปน็ พา นะ
5) ังขานต์ใน ันพฤ ั บดี นางเทพธิดาที่ 5 ทรงพระนาม
ํา “กิริณีเท ี” ทรงพา ุรัดทัด “ดอกมณฑา” อาภรณ์ล๎ นไปด๎ ย
แก๎ มรกต (แก๎ ีเขีย ) ภัก า ารถ่ั งา พระ ัตถ์ข าทรงขอช๎าง
พระ ัตถซ์ ๎ายทรงปืน เ ดจ็ ยืนมาเ นอื ลังคช (ช๎าง) เป็นพา นะ
6) ังขานต์ใน ัน กุ ร์ นางเทพธดิ าที่ 6 ทรงพระนาม ํา “กิ
มิทาเท ี” ทรงพา ุรัดทัด “ดอกจันจงกลนี” (ดอกบั แบ๎) อาภรณ์
ล๎ นไปด๎ ยแก๎ บุ ราคัม (แก๎ ีเ ลือง) ภัก า ารกล๎ ยน้า พระ
ัตถข์ าทรงพระขรรค์ พระ ัตถ์ซ๎ายทรงพิณ เ ด็จน่ังมาเ นือ ลัง
ม งิ า (ค าย) เป็นพา นะ
7) ังขานต์ใน ันเ าร์ นางเทพธิดาที่ 7 ทรงพระนาม ํา
“มโ ธรเท ี” ทรงพา ุรัดทัด “ดอกผักตบ” บ๎างก็เรียกดอก
ประเพ~ณ11แี 33ห44ต่ น้ ~ดอกไม้
าม า อาภรณล์ ๎ นไปด๎ ยแก๎ มณีรัตน์ ( ีดอกผักตบ) ภัก า าร
เนื้อก าง พระ ตั ถข์ าทรงจกั ร พระ ตั ถซ์ า๎ ยทรงตรี ูล เ ด็จน่ังมา
เ นือ ลงั มยรุ าปัก ี (นกยงู ) เปน็ พา นะ
จากที่กลํา มาข๎างต๎น แ ดงใ ๎เ ็น ําดอกไม๎กับเร่ืองรา
ของนาง งกรานต์ท่ีเป็นเทพธิดาท้ัง 7 ของท๎า กบิลพร มเป็น ่ิงที่
เช่ือมโยงกัน ดอกไม๎จึงเ มือนเป็นตั แทนของนาง งกรานต์ซึ่งทา
น๎าท่ีคอยค้าจุนไมํใ ๎ ิ่งช่ั ร๎าย รือค ามเดือนร๎อนทุกข์ยากตํางๆ
ได๎บังเกิดบนโลกมนุ ย์ ด๎ ยเ ตุน้ีการแ ํดอกไม๎ รือต๎นดอกไม๎จึง
อ่ื ใ เ๎ น็ ถึงการอัญเชิญใ ๎เ ลาํ เทพธิดาตํางๆ ได๎มาชํ ยดลบันดาล
ค๎ุมครองปกปูองชุมชนบ๎านเมืองใ ๎อยํูเย็นเป็น ุข ดังกรณีประเพณี
แ ํต๎นดอกไม๎ของชา ชุมชนอาฮี อาเภอทําล่ี จึง ามารถท่ีจะ
เทียบเคียงได๎กับการแ ํนาง ังขานต์ รือแ ํนาง งกรานต์ท่ีชุมชน
อนื่ ๆ ไดถ๎ ือปฏิบตั ิ ืบตอํ กันมานั่นเอง
ดอกไมก้ บั การเป็นเครื่องบูชาในวิถวี ัฒนธรรมอสี าน
ราไพ กาแก๎ (2542: 1) กลํา ใ ๎เ ็น ํา คา ํา “ต๎น” นอกจาก
จะ มายถึงไม๎ยืนต๎นโดยท่ั ไปแล๎ ชา อี านยัง มายถึงกิ่งไม๎ รือ
ํ นของต๎นไม๎ชนิดใดชนิด นง่ึ ที่นามาประดับตกแตํงด๎ ย จัตุปัจจัย
ข๎า ของเครื่องใช๎ตํางๆ เพ่ือนาไปทอดถ ายทาบุญแดํพระ งฆ์ตาม
ประเพณขี องชา พุทธโดยท่ั ไป เชํน ต๎นกัลปพฤก ์ จะประดับด๎ ย
ิง่ ของเครอื่ งใช๎ เงินทอง เ ื้อผ๎าอา าร ร มทั้งขนม าน ต๎นเทียน
~ 113355 ~
ต๎นผ้ึงก็จะประกอบด๎ ยข้ีผ้ึงเป็น ํ นใ ญํ ํ นต๎นดอกไม๎ก็ยํอม
ประดับประดาตกแตํงด๎ ยดอกไม๎ ดเป็น ลักเพื่อใช๎เป็นเครื่อง
กั การะในทางพุทธ า นา
การใช๎ดอกไม๎เป็นเคร่ืองบูชาในทาง า นาของชา ไทย
อี านน้ันพบ ํา มีอยูํด๎ ยกัน ลาก ลายรูปแบบ ลายลัก ณะ แตํ
ิ่งท่ี ืบทอดตํอกันมาซ่ึงเรียก ําเป็นลัก ณะของการ ืบทอดใน ิถี
ัฒนธรรมลา ล๎านช๎างรํ มกัน น่ันก็คือ การประดิ ฐ์ ร๎างเครื่อง
บชู าโดยมดี อกไม๎เปน็ ญั ลัก ณ์ าคัญ ดงั มรี ายละเอยี ดดงั ตอํ ไปนี้
ขันกะหย่อง (พานดอกไม้)
ขันกะ ยํอง รือ “ขันกระ ยํอง” เป็นภาชนะจัก านด๎ ย
ไมไ๎ ผํ มีรปู รํางคล๎ายพาน ขันกะ ยอํ งใช๎ใ ํเครื่อง ักการะโดยเฉพาะ
ดอกไม๎ในงานพิธี งฆ์ ลายที่ใช๎ านขันกะ ยํอง คือลายขัด การ าน
ขันกะ ยํอง ใช๎ตอกไมไ๎ ผํ องขนาด คือ
“ตอกต้งั ” เปน็ ตอกขนาดก ๎างประมาณ 10 มลิ ลิเมตร ยา
ประมาณ 40 เซนติเมตร มีจาน นประมาณ 45-50 เ ๎น แล๎ แตํขนาด
ใ ญํ รือเลก็ ตามค ามตอ๎ งการ
“ตอก าน” เป็นตอกเ ลาเล็กขนาดประมาณ 1-2
มิลลิเมตร ํ นค ามยา น้ันแล๎ แตํขนาดใ ญํเล็กของขันกะ ยํอง
ไมข๎ อบฐานลาํ ง และขอบปากบน บางท๎องถิ่นใช๎ไม๎เน้ืออํอน เชํน ไม๎
ประเพ~ณ11แี 33ห66ต่ ้น~ดอกไม้
ขํอย แตํ ํ นมากจะใช๎ขอบไม๎ไผํ รือตอกตั้ง านกํอเป็นฐานและ
ขอบปากบนไปในตั
องคป์ ระกอบของขันกะ ยํอง จะมี 3 ํ น คือ ํ นฐานต้ัง
บางท๎องถ่ินก็มีขนาดก ๎างเทํากับ ํ นพานบน บางท๎องถิ่นก็มีขนาด
เล็กก ําพานบนเล็กน๎อย ํ นคอ รือ ํ นกลางจะใ ๎คอดกิ่ เล็กลง
และจะบานออกเ มือนพานในตอน าน ํ นพานบนน้ัน านคล๎าย
ตะกร๎า เ ๎าลึกลงไปใน ํ นกลาง รือ ํ นคอ ประมาณ 3-4
เซนติเมตร ขนาดของพานบนมีเ ๎นฝา ูนย์กลางประมาณ 20
เซนติเมตร เพ่ือเ มาะแกํการใ ํเครื่อง ักการะทั้ง ลาย
( ารานกุ รม ัฒนธรรมไทย ภาคอี าน เลมํ 2, 2542: 472-473)
ขนั หมากเบง็
ขัน มากเบ็ง รือ “ขัน มากเบ็งจ์” คือพานพุํมดอกไม๎
า รับใช๎เป็นเครื่องบูชาในพิธีกรรม และบูชาพระรัตนตรัยใน ัน
อโุ บ ถ ลี รอื ัน าคญั ทางพุทธ า นา ร มทั้งนาไปบูชา ิญญาณ
บรรพบุรุ ท่ีลํ งลับไปแล๎ โดยนาไป างไ ๎ตามเ ารั้ ัด รือธาตุ
บรรพบรุ ุ ซ่ึงนิยมบูชาใน ัน าคญั ทาง า นาและ ัน งกรานต์
ขัน มากเบ็ง คือพานพุํมดอกไม๎ใ ํเคร่ืองบูชา เครื่อง ๎า
ได๎แกํ มากพลู ธูป เทียน ข๎า ตอก ดอกไม๎อยํางละ ๎าคูํ ใช๎ใบตอง
เย็บเป็นกร ยซ๎อนกันเป็นรูปทรงกร ยคล๎ายพระธาตุเจดีย์ ขนาด
เ ๎นผํา ูนย์กลางประมาณ 6 นิ้ ูง 6-8 น้ิ ประดับประดาเครื่อง
~ 113377 ~
ักการะ 5 อยาํ งดงั กลํา ไ ๎บนยอดแ ลมของกร ยเรียงลด ลั่นลง
มาตามลาดับ เพ่ือค าม ยงาม ดอกไม๎ท่ีนิยม ดอกดา เรือง ดอก
บานไมํรู๎โรย แตํปัจจุบันพบ ํานิยมใช๎ดอกรักมากข้ึน ( ารานุกรม
ัฒนธรรมไทย ภาคอี าน เลมํ 2, 2542: 475-476)
ค ามเชื่อเกี่ย กับการ ร๎าง รรค์นาเอาดอกไม๎ทาเป็น
เครื่อง ักการะในทาง า นาตามคติพ้ืนบ๎านของกลุํมชนใน
ัฒนธรรมลา อี านดังที่กลํา มาแล๎ น้ันนําจะมี ํ นในการ
เ ริม ร๎างค ามเช่ือในเรื่องการประดิ ฐ์ตกแตํงประดับประดา
ดอกไม๎ใ ๎กลายเป็น “ต๎นดอกไม๎” ในลัก ณะค ามเช่ือตามแบบ
แผนทางพุทธ า นาใน ิถีชา บ๎าน คือ ร๎างต๎นดอกไม๎เพ่ือเป็น
เครื่อง ักการะทางพระพุทธ า นาใน ัน าคัญๆ โดยเฉพาะใน ัน
เท กาล งกรานต์เพราะเชื่อ ําเป็น ันปีใ มํ เป็น ันเปล่ียน ักราช
ใ มํ การถ ายต๎นดอกไมเ๎ ป็นเครอื่ ง ักการะก็เพ่ือใ ๎ผู๎คนและชุมชน
บา๎ นเมืองนั้นได๎ประ บค าม ุขค ามเจริญ และเชื่อ ําจะกํอใ ๎เกิด
ค ามอดุ ม มบรู ณ์ในบ๎านในเมืองด๎ ยเชํนกนั
จากข๎อมูลท่ีกลํา มาข๎างต๎นทาใ ๎มองเ ็นและเข๎าใจได๎ ํา
การ รา๎ งต๎นดอกไมใ๎ นชุมชนอาฮีเป็นค ามเช่ือทางพุทธ า นาแบบ
พื้นบ๎าน โดยเกิดจากการยึดม่ันในพุทธ า นา ชุมชนจึงได๎รํ มกัน
ทาตน๎ ดอกไมเ๎ ปน็ พทุ ธบชู า กั การะ ซ่ึงชา บ๎านจะต๎องชํ ยกันทาใ ๎
เ ร็จภายใน ันเดีย แล๎ นาไปแ ํเพ่ือถ ายพระท่ี ัด มีการตั้งเป็น
ขบ นแ ํ มีการตีฆ๎องและฉาบเป็นจัง ะบรรเลง ประเพณีแ ํต๎น
ประเพ~ณ11แี 33ห88่ต้น~ดอกไม้
ดอกไม๎น้ันมีพัฒนาการและมีการเปล่ียนแปลงมาจากการถ าย
ดอกไม๎เป็นพุทธบูชา แตํภาย ลังมีการ ร๎าง รรค์ดอกไม๎ใ ๎
กลายเป็นต๎นที่งดงาม มีการประดับประดาตกแตํงใ ๎ใ ญํโตมาก
ย่ิงขึ้น อันแ ดงใ ๎เ ็นถึงประเพณีท่ีจะต๎องมีการร มกลุํมร ม มูํ
คณะในชุมชน เป็นการ ร๎างค ามรํ มมือ ร๎างค าม ามัคคีใ ๎เกิด
แกํผู๎คนในชุมชนท๎องถ่ินแ ํงน้ีโดยใช๎กิจกรรมเชิงประเพณีใน ิถี
ทอ๎ งถิน่ ไดเ๎ ป็นอยํางดี
ดอกไม้ในพิธกี รรมในวัฒนธรรมไทยอี าน
ดอกไม๎ในท่ีน้ีเป็น ํ นที่มาจากพืชพรรณไม๎ชนิดตํางๆ ท่ี
ผ๎คู นนามาใชเ๎ ป็นเครื่องประกอบในพิธีการตํางๆ โดย ํ นใ ญํจะใช๎
ในค าม มายเชิง ัญลัก ณ์ท่ีเกี่ย เน่ืองกับมิติทาง ัฒนธรรมของ
ชมุ ชนทอ๎ งถิ่นน้ันๆ
ความ มายของดอกไม้มงคลที่ าคัญในประเพณีแ ่ต้นดอกไม้ใน
ชมุ ชนล่มุ นา้ โขง
ตน๎ ไม๎และ มํูม ลดอกไม๎ เป็นธรรมชาติท่ีอยูํรอบตั มนุ ย์
และมนุ ย์ได๎ใชป๎ ระโยชน์จากต๎นไม๎และดอกไม๎ ลายอยํางมากมาย
ทั้งกินเป็นอา าร ใช๎เป็นยา มุนไพร ทา ่ิงปลูก ร๎างที่อยํูอา ัย ทา
เครื่องเรือน ใชเ๎ ปน็ เครือ่ งบูชา ักการะ เปน็ เครื่องแ ดงถึงค ามเป็น
มิตรเป็นพ กพ๎อง ต๎นไม๎และดอกไม๎บางชนิดยังเช่ือมโยงถึงค าม
~ 113399 ~
เช่ือ ค าม รัทธา และพิธีกรรม ทั้งยัง ะท๎อนโลกทั น์และภูมิ
ปัญญาของคนแตลํ ะทอ๎ งถนิ่ ได๎อยํางไมํนาํ เช่ือ แม๎ ําบาง ่ิงบางอยําง
อาจจะดูเกินจริง พิ ูจน์ไมํได๎ แตํค ามเชื่อที่ถูกถํายทอดและ ืบตํอ
กันมาอยํางยา นานน้ัน เป็น ่ิงที่บํงบอกได๎ ํา คนโบราณได๎ใช๎จริง
ในชี ิตประจา ันตามที่ได๎บอกกลํา มา ากแตํกาลเ ลาท่ีผํานมา
เน่ินนานนั้นอาจทาใ ภ๎ ูมปิ ัญญาที่ ั่ง มมาเจือจางลง และบางอยําง
เลิกปฏิบัติยึดถือกันไป เพราะเทคโนโลยียุค มัยใ มํ ามารถ ร๎าง
ิง่ ทดแทนและฉบั ไ ทนั มยั ไดม๎ ากก ํา จึงทาใ ๎ค ามคิดค ามเช่ือ
แบบด้ังเดมิ เรม่ิ เล่อื น ายไป
ในค ามคิดค ามเชื่อของพุทธ า นิกชนเกี่ย กับการถ าย
ดอกไม๎บูชา โดยเฉพาะดอกไม๎ท่ีเราเลือกใช๎บูชาพระนั้นจะต๎องเป็น
ดอกไม๎ ดใ มํ ยงาม ต๎องมีค ามพิถีพิถันในการเลือกดอกไม๎ที่
งามเป็นพิเ เพื่อมาถ าย รือบูชาตํอพระ โดยมีค ามเช่ือ ํา
ดอกไม๎ถ ายพระจะต๎องงาม ซึ่งจะชํ ยใ ๎ชี ิตของเรา ยงามตาม
ไปด๎ ยเ มือนกับดอกไม๎ถ ายพระ ากเราเลือกดอกไม๎ท่ีเ ่ีย เฉา
มา ชี ิตก็อาจโรยราตามดอกไม๎ได๎เชํนกัน อนึ่งในประเพณีแ ํต๎น
ดอกไม๎ในชํ งเท กาล งกรานต์ของชา บ๎านอาฮี อาเภอทําลี่นั้นยัง
พบ าํ มคี ามเช่อื มโยงกับเร่ืองค ามเชื่อในพิธีกรรมการขอฟูาขอฝน
ด๎ ย เพราะเปน็ ชํ งเ ลาที่อยํูในฤดูร๎อนกํอนท่ีจะถึงฤดูฝน กิจกรรม
เชิงประเพณี ลายอยํางของชา อี านในชํ งเ ลานี้จึงมีค าม
เกยี่ เนือ่ งกับการขอฝนด๎ ย ไมํ ําจะเป็นการเท น์ม าชาติ รือบุญ
ประเพ~ณ11แี 44ห00่ต้น~ดอกไม้
เผ ด ประเพณีบุญบ้ังไฟ เป็นต๎น การแ ํต๎นดอกไม๎พร๎อมๆ ไปกับ
การร๎องราทาเพลง การละเลํน นุก นานกันไปในชุมชนนอกจาก
บูชาพระแล๎ ยังเกี่ย เนื่องกับการบ ง ร งการอ๎อน อนบูชา ่ิง
ักดิ์ ิทธิ์และอานาจเ นือธรรมชาติที่ดูแลปกปักรัก าชุมชน
บ๎านเมืองด๎ ย อกี ท้งั ยังมีค าม ัมพันธ์กับการขอฝน เชํนน้ีในขบ น
แ ํจึงมกี ารเลนํ นา้ าดนา้ กันอยเูํ มอ โดยเช่ือ ําดอกไม๎ตํางๆ นานา
พรรณนั้นเป็นเครื่อง ักการะท่ีจะทาใ ๎อานาจเ นือธรรมชาติเกิด
ค ามพึงพอใจ และดอกไม๎น้ันก็เป็น ัญลัก ณ์ของค ามอุดม
มบูรณ์และการท่ีมีดอกไม๎ออกมาจาน นมากในชํ งกํอนฤดูฝนก็
เชื่อ ําจะทาใ ๎เม่ือถึงชํ งฤดูฝนน้ันจะมีฝนฟูาตกต๎องตามฤดูกาล มี
น้าฝนจาน นมากพอที่จะทาการเก ตรกรรมไดผ๎ ลดีงาม
ทั้งน้ี ใน ัฒนธรรมลา พบ ํา การแ ํข๎า พันก๎อนนั้นเป็น
ประเพณีท่ีเกี่ย เน่ืองกับการขอฝนด๎ ย กลํา คือ โดยปกติใน
ัฒนธรรมลา โบราณจะมีการแ ํข๎า พันก๎อนมี 2 คร้ัง คือ แ ํใน
งานบุญเผ ดเท น์ม าชาติและแ ํในเ ลาท่ีต๎องการขอฟูาขอฝน
การแ ํข๎า พันก๎อนในท่ีนี้ มายถึงแ ํเพ่ือใ ๎ฝนตก เมื่อถึงเ ลาฝน
ตกทจี่ ะมีการเตรียมกลา๎ ดานาแล๎ แตํฟูาฝนยังไมํตกลงมา ชา บ๎าน
ก็จะพร๎อมกันจัดข๎า พันก๎อนและธูปเทียนไปขอฝนตาม ถานท่ี
ักด์ิ ิทธ์ิของชุมชนโดยเฉพาะท่ี ัดซึ่งมีพระธาตุเจดีย์และ
พระพทุ ธรูป ักด์ิ ิทธปิ์ ระดิ ฐานอยํูด๎ ย เมื่อไปถึง ถานท่ีนั้นแล๎ ก็
จะทาพิธีไ ๎พระ ดมนต์ มาทาน ีลและ ดบูชาพระรัตนตรัย
~ 114411 ~
แล๎ กลํา อัญเชิญเท ดาขอน้าฟูาน้าฝนจาก ิ่ง ักดิ์ ิทธิ์ แล๎ ก็พา
กันแ ํข๎า พันก๎อนกลับมา ทั้งนี้เมื่อขบ นแ ํข๎า พันก๎อนมาถึง
บริเ ณชุมชน ผู๎คนก็จะมีการกลํา ทักทายพูดคุยถึงเร่ืองค ามอุดม
มบูรณ์ของน้าฟูาน้าฝน ขบ นแ ํข๎า พันก๎อนก็จะตอบ ํา ิ่ง
กั ด์ิ ทิ ธิท์ าํ นได๎ดลบันดาลใ ๎ฟาู ฝนตกตอ๎ งตามฤดูกาล เมื่อเ ร็จพิธี
ํ นน้ีแล๎ ก็พากันแ ํขบ นข๎า พันก๎อนไปรอบ าลาการเปรียญ
รือพระอุโบ ถ 3 รอบ แล๎ ก็นาเอาข๎า พันก๎อนไปประดิ ฐาน
บูชาไ ๎ในพระอาราม ( าลิด บั ี ะ ัด, 2002: 33) แ ดงใ ๎เ ็น
ําใน ิถี ัฒนธรรมของชา บ๎านอาฮีน้ัน ประเพณีแ ํต๎นดอกไม๎มิได๎
เป็นเพียงการบชู าพระรตั นตรัยเทํานั้น แตํท ําการที่มีพิธีแ ํข๎า พัน
กอ๎ นปะปนรํ มอยดํู ๎ ยน้ัน ื่อค าม มายท่ีเช่ือมโยงกับเร่ืองรา การ
บ ง ร ง ักการะ ่ิง ักดิ์ ิทธิ์เพ่ือใ ๎ดลบันดาลน้าฟูาน้าฝนใ ๎ตก
ต๎องตามฤดูกาลด๎ ย เพราะจะทาใ ๎เกิดค ามอุดม มบูรณ์พูน ุข
เกิดขึ้นแกํบ๎านเมืองชุมชนของตน ดอกไม๎จึงเป็น ัญลัก ณ์ท่ีเน่ือง
ด๎ ยค าม ุข มบูรณ์และค ามเจริญรุํงเรืองที่คนไทยรู๎จักกันดี ดัง
จะเ ็น ํา ากแ ดงค ามยินดี รือมีโอกา อันเป็นมงคลก็มักนิยม
นาเอาดอกไม๎มามอบใ ๎กันและกัน อีกทั้งยังใช๎ดอกไม๎ในการ
ักการะ ิง่ ักด์ิ ทิ ธิท์ าง า นาด๎ ย
มีข๎อ ังเกต ํา ในชํ งเท กาลประเพณี งกรานต์ใน ลาย
พืน้ ทใ่ี นภูมิภาคลุํมนา้ โขงจะมีประเพณกี ารแ ํแ น ่ิงตํางๆ ไมํ ําจะ
เป็นพระพุทธรูป ต๎นดอกไม๎ เคร่ือง ักการะตํางๆ เพ่ือใช๎บ ง ร ง
ประเพ~ณ11แี 44ห22ต่ ้น~ดอกไม้
บูชา ่ิง ักด์ิ ิทธิ์เพื่อดลบันดาลใ ๎เกิดค ามอุดม มบูรณ์ ทาใ ๎ฟูา
ฝนตกต๎องตามฤดูกาล อาทิ ประเพณีแ ํ ล งพํอพระใ จัง ัด
นองคาย ก็เป็นกิจกรรมเชิงประเพณีท่ีถือปฏิบัติด๎ ยเช่ือ ํา
พระพุทธรูป ักด์ิ ิทธ์ินี้จะชํ ยดลบันดาลและทาใ ๎ฟูาฝนต๎องตก
ตามฤดูกาล เชํนเดีย กับประเพณีการอัญเชิญพระเจ๎าองค์แ นของ
ชา อาเภอนาแ ๎ ก็มี ถิ ีค ามเช่ือท่ีคล๎ายคลึงกัน ซึ่งบางครั้งก็มีการ
เรียกขานพระองค์นี้ ํา “พระเจ๎าฝนแ น ํา” เชํนกัน รือแม๎แตํคน
ไททม่ี ีถน่ิ อา ยั อยํูนอกประเท ไทย อาทิ กลมํุ ไทลือ้ ิบ องพันนาใน
มณฑลยนู นาน ประเท จีน ก็มีเท กาลประเพณี งกรานต์ด๎ ยและ
เชอื่ าํ การเลํนน้า าดน้าถือเป็นการขับไลํ ิ่งชั่ ร๎าย และยังเป็นการ
อ ยพรใ ๎กันและกัน อีกทั้งยังเชื่อ ําจะทาใ ๎บ๎านเมืองมีฝนตกต๎อง
ตามฤดูกาล (โจ เซยี่ เทยี น, 2555: 172) ดังน้ันจึงพอ ันนิ ฐานได๎
ํา ประเพณีแ ํต๎นดอกไม๎ของชา บ๎านชุมชนอาฮีน้ันก็มีค าม
เกี่ย เนื่อง ัมพันธ์กับเรื่องของการขอฟูาขอฝน และเป็นพิธีกรรม
เพื่อบ ง ร ง ิ่ง ักดิ์ ิทธิ์ใ ๎ชํ ยบันดาลค ามรํมเย็นเป็น ุข
ค าม ุข ั ดใี เ๎ กดิ ขึน้ แกผํ ู๎คนและบ๎านเมอื งนัน่ เอง
ดอกไม้ในวัฒนธรรมความเช่อื ของคนอีสาน
ค ามเช่อื เก่ีย กับดอกไม๎ของคนไทยมีมาต้ังแตํ มัยโบราณ
แล๎ โดยมีค ามเชื่อ ําดอกไม๎เป็น ํ น นึ่งของต๎นไม๎ซ่ึงอาจมี ิ่ง
ักด์ิ ิทธ์ิคุ๎มครองอยํูโดยเฉพาะต๎นไม๎ใ ญํ นอกจากนี้ดอกไม๎ยังมี
~ 114433 ~
ค าม มายในมิติทาง ัฒนธรรมของคนไทย ลายอยําง ท้ังที่เป็น
เครื่องบูชา ักการะ เป็น ่ิงที่ใช๎ในประเพณีพิธีกรรมตั้งแตํเกิดจน
ตายก็ ําได๎ ดงั เชํนพานบาย รี ูํข ัญคูํบํา า ใน ัฒนธรรมอี านก็
จะประดับประดาตกแตํงด๎ ยดอกไม๎ในงานพิธี าคัญนี้ รือในบาง
ท๎องถิ่นก็มีประเพณีการตักบาตรดอกไม๎เพื่อเป็นพุทธบูชาแดํ
พระภิก ุ งฆแ์ ละราลกึ ักการะถึงพระพุทธเจ๎าด๎ ย รือแม๎แตํงาน
พของชา พุทธก็มักนิยมมัดตรา ังคนตายด๎ ยกร ยดอกไม๎ธูป
เทียน เป็นตน๎
ใน มูํดอกไม๎บรรดามีนั้น ชา ไทยอี านโดยเฉพาะชา
ชมุ ชนอาฮี อาเภอทําล่ีตํางเ ็น อดคล๎องกัน ํา ดอกจาปาลา รือ
ที่คนไทยเรยี ก าํ ดอกลน่ั ทมบ๎าง รือดอกลีลา ดีบ๎าง เป็นดอกไม๎ที่
มีค ามงดงามบริ ุทธ์ิมาก อีกทั้งยังเป็นรํองรอยทาง ัฒนธรรมอีก
อยาํ ง นึ่งท่ีทาใ ๎เ ็นค ามเชื่อมโยง ัมพันธ์กับ ัฒนธรรมด้ังเดิมใน
อดีตที่มีค าม ัมพันธ์กับชุมชนในราชอาณาจักรลา ล๎านช๎าง จึง
เรยี กขานกัน าํ “ดอกจาปาลา ” ซ่ึงได๎รับเกียรติเป็นดอกไม๎ประจา
ชาตลิ า มาจนถงึ ปจั จบุ นั
ดอกจาปาลาว “ลั่นทม” รือภาย ลังท่ีไทยพยายามปรับ
เปลี่ยนเรยี กกนั ํา “ลีลา ดี” น้ัน แท๎จริงแล๎ ใน ัฒนธรรมลา เรียก
ดอกไม๎ชนิดน้ี ํา “จาปา” มาช๎านานแล๎ ซ่ึงถือเป็นดอกไม๎ประจา
ชาติของลา ตั้งแตํอดีตจนปัจจุบัน แล๎ เคยใช๎ ัญลัก ณ์ของดอก
จาปาในการตํอ เ๎ู รียกรอ๎ งเอกราชจากเจา๎ อาณานคิ มฝร่ังเ มาแล๎
ประเพ~ณ11ีแ44ห44ต่ น้ ~ดอกไม้
“จาปา” (Champaca) เป็นพืช กุล Magnolia ง ์
Magnoliaceae เชํนเดีย กับจาปี ในค ามรับรู๎ของคนไทยปัจจุบัน
ํ นใ ญํเชื่อ ําถิ่นกาเนิดของจาปาอยูํแถบประเท ไทย มาเลเซีย
จีน และอินเดีย ซึ่งคนอินเดียเรียกดอกไม๎ชนิดนี้ ํา “จาปากะ”
(Champaca) ดังปรากฏชื่ออยํูข๎างท๎ายของช่ือทาง ิทยา า ตร์ ํา
Machelia champaca Linn ทาใ ๎การเป็นแ ลํงกาเนิดจาปาของ
อินเดยี ดูจะมนี า้ นกั มากก าํ แ งํ อ่นื
ในภมู ิภาคเอเชียมกี ารปลูกต๎นจาปากันมาต้ังแตํโบราณ ถือ
เป็นต๎นไม๎โบราณและโดยมากมักนิยมปลูกตาม า น ถาน ัด า
อาราม พระธาตเุ จดยี ์ เป็นตน๎ ในประเท ไทยก็มักปลูกตามลัก ณะ
เชํนนั้น ในอี านและลา นับแตํอดีตดอกจาปาถือเป็นดอกไม๎มงคล
และนิยมนาไปจัดตกแตํงเป็นเครื่อง ักการะทั้งพระธาตุเจดีย์
พระพุทธรูป และตามกาแพง ัด าอารามในงานประเพณีตํางๆ อยํู
เ มอ ซึ่งยังคงถือปฏิบัติกัน ืบตํอมาจนถึงทุก ันนี้ ท้ังนี้ต๎นจาปามี
ปลูกไ ๎ท้ังตามอาคารบ๎านเรือน ัด า น ถานตํางๆ รือตามปุา
รอบๆ มูํบ๎านซ่ึงถือเป็นไม๎ปุาชนิด น่ึงท่ี าได๎ไมํยากนัก และเป็น
ต๎นไม๎ท่ีออกดอกอุดม มบูรณ์เป็นจาน นมาก ดอกจาปาไมํกลั
ค ามร๎อนในฤดูแล๎ง โดดเดํนและผลิบาน งํางามในทํามกลางฤดู
ร๎อน ผู๎คนในแถบลํุมน้าโขงจึงมักมอง ําเป็น “ราชินีแ ํงดอกไม๎”
ซึ่งได๎รับค ามนิยมชมชอบและนิยมปลูกกันมากใน มํูบ๎านชุมชน
ของกลุํม ัฒนธรรมลา อี านมาต้ังแตํอดีต จาปาเป็นพืชที่ทนตํอ