275 ทำให้สามารถป้องกันความผิดพลาดในระหว่างการป้อนข้อมูลได้ในระดับหนึ่ง รูปแบบของ GUI Input Control มีดังต่อไปนี้ ภาพที่ 9.20 แสดงตัวอย่าง GUI Input Control (ที่มา: การออกแบบส่วนติดต่อผู้ใช้https://ployphan17.files.wordpress.com) 1. Text Box มีลักษณะเป็นกล่องสี่เหลี่ยมสำหรับป้อนข้อมูล โดยมีข้อความ (Caption/Label) อยู่ด้านหน้ากล่อง เพื่อสื่อความหมายของข้อมูลที่จะป้อนลงไป แสดงตัวอย่างดัง ภาพที่ 9.20 สามารถกำหนดการป้อนข้อมูลลงใน Text Box ได้มากกว่า 1 แถว โดยจะแสดงแถบ เลื่อนทางด้านขวามือให้เพื่อใช้เลื่อนดูข้อมูลใน Text Box สำหรับการใช้งาน Text Box นี้เหมาะ สำหรับข้อมูลนำเข้าที่เป็นตัวอักษรที่มีความยาวมาก ไม่สามารถำกัดความยาวได้ ไม่สามารถ กำหนดค่าของข้อมูลหรือรายละเอียดใดๆ ที่สื่อความหมายหรือจำเพาะเจาะจงให้ผู้ใช้เลือกคำตอบ ได้ ข้อแนะนำในการใช้ Text Box - ควรวางข้อความ (Caption/Label) ที่สื่อความหมายกับข้อความที่ต้องการให้ป้อนไว้ ด้านหน้าของ Text Box และไม่ควรใช้คำย่อ Combo Box Radio Button Text box List Box Check Box
276 - ในกรณีที่เป็นภาษาอังกฤษ ตัวอักษรตัวแรกเท่านั้นที่เป็นตัวพิมพ์ใหญ่ (Capital Letter) นอกนั้นเป็นตัวพิมพ์เล็ก - มีเครื่องหมายโคลอน ( : ) อยู่หลังข้อความ เพื่อช่วยให้ผู้ใช้สามารถจำแนกส่วนของ ข้อความและ Text Box ได้ชัดเจน - ขนาดของ Text Box ควรกำหนดให้เหมาะสมกับขนาดของตัวอักษรที่จะป้อนลงไป ทำให้ สามารถอ่านได้สะดวกในขณะป้อนข้อมูล 2. Radio Button มีลักษณะเป็นวงกลมเล็กๆ ด้านซ้ายมือและมีคำอธิบายวางอยู่ทางด้าน ขวามือซึ่งมีความหมายสอดคล้องกับค่าของคำตอบที่ต้องการให้ผู้ใช้เลือกตอบ วงกลมแต่ละวงจะมี ค่าของข้อมูลแตกต่างกัน ผู้ใช้สามารถเลือกตอบด้วยการคลิกที่คำตอบที่ผู้ใช้ต้องการดดยเลือกได้ เพียงคำตอบเดียวเท่านั้น เมื่อเลือกคำตอบใด สถานะของวงกลมจะกลายเป็นเปิด (On) ส่วนวงกลม ที่ไม่ได้เลือกจะกลายเป็นปิด (Off) แสดงตัวอย่างดังภาพที่ 9.20 การใช้ Radio Button สามารถ กำหนดคำตอบที่เป็นไปได้ไว้ล่วงหน้า เพื่อให้ผู้ใช้เลือกตอบ เช่น คำนำหน้าชื่อ (นาย/นาง/นางสาว) เพศ (ชาย/หญิง) เป็นต้น ข้อแนะนำการใช้ Radio Button - ลำดับของคำตอบควรเรียงในแนวตั้งจากบนลงล่าง และชิดด้านซ้ายของจอภาพ เพื่อง่ายในการอ่าน หรือถ้ามีพื้นที่ของจอภาพจำกัดอาจเรียงในแนวนอนจากซ้ายไปขวาก็ได้ - กลุ่มของคำตอบควรแยกออกจาก Input Control รูปแบบอื่น - กลุ่มของคำตอบควรมีข้อความ (Caption/Label) ที่สื่อความหมายกับคำตอบที่ ต้องการให้เลือก 3. Check Box มีลักษณะคล้ายกับ Radio Button แต่ Check Box ใช้สี่เหลี่ยมจัตุรัสเล็ก แทนวงกลมและตามด้วยข้อความอธิบาย (Caption/Label) ที่มีความหมายสอดคล้องกับค่าของ คำตอบที่ต้องการให้ผู้ใช้เลือกตอบ ค่าของคำตอบจะแตกต่างกันในแต่ละสี่เหลี่ยม ผู้ใช้สามารถ เลือกตอบได้มากกว่า 1 คำตอบ ถ้าผู้ใช้เลือกคำตอบใดจะปรากฏเครื่องหมายถูกที่ Check Box นั้น แสดงตัวอย่างดังภาพที่ 9.20 ข้อแนะนำการใช้ Check Box - ข้อความอธิบาย (Caption/Label) ควรสื่อความหมายและเข้าใจง่าย - กรณีที่มีการจัดกลุ่มข้อมูลที่สัมพันธ์กัน ควรมีหัวข้ออธิบายว่าเป็นกลุ่มของข้อมูลเรื่องใด - การจัดเรียงคำตอบควรอยู่ในแนวตั้งและชิดด้านซ้ายของจอภาพ กรณีที่มีพื้นที่ของ จอภาพมีจำกัดสามารถเรียงในแนวนอนจากซ้ายไปขวาได้
277 - ลำดับของคำตอบควรจัดเรียงตามคำอธิบาย หรือเรียงตามตัวอักษรหากจำนวนคำตอบมี จำนวนมาก กรณีที่คำตอบเป็นตัวเลข ช่วงของตัวเลข หรือหน่วยวัด ควรเรียงลำดับจากค่าน้อยไปหา ค่ามาก 4. List Box มีลักษณะเป็นกล่องสี่เหลี่ยมมุมฉากที่บรรจุคำตอบที่เป็นไปได้มากกว่า 1 คำตอบ ปรากฏแถบเลื่อน (Scroll Bar) ทางด้านขวาของกล่องเพื่อเคลื่อนดูคำตอบทั้งหมดขึ้น-ลงได้ ผู้ใช้ สามารถเลือกคำตอบได้เพียงคำตอบเดียวเท่านั้น แสดงตัวอย่างดังภาพที่ 9.20 สำหรับการเลือกใช้ งาน Input Control ระหว่าง Check Box กับ List Box นั้นขึ้นอยู่กับจำนวนคำตอบที่เป็นไปได้และ พื้นของจอภาพว่ามีมากน้อยเพียงใด โดยทั่วไปแล้วนิยมใช้ List Box ในกรณีคำตอบที่เป็นไปได้มี จำนวนมากและมีพื้นที่ของจอภาพจำกัด ข้อแนะนำการใช้ List Box - ควรวางข้อความอธิบาย (Caption/Label) ที่สื่อความหมายกับคำตอบที่ต้องการให้เลือกไว้ ด้านบนของ List Box โดยหลีกเลี่ยงการใช้คำย่อ - กรณีที่ข้อความเป็นภาษาอังกฤษ ตัวอักษรตัวแรกควรเป็นตัวพิมพ์ใหญ่ (Capital Letter) นอกนั้นเป็นตัวพิมพ์เล็ก - ควรกำหนดคำตอบที่เป็นค่าเริ่มต้นของ List Box และแสดงแถบสีที่คำตอบนั้น - ขนาดของ List Box ควรเหมาะสมกับการแสดงคำตอบซึ่งควรแสดงคำตอบไว้อย่างน้อย 2- 3 คำตอบแต่ไม่ควรเกิน 7 คำตอบ และมีแถบเลื่อนเพื่อใช้เลื่อนดูคำตอบทั้งหมดได้ - การเรียงลำดับของคำตอบใน List Box สามารถเรียงลำดับตามตัวอักษร ตามค่าตัวเลขจาก น้อยไปหามาก หรือตามความถี่ของคำตอบที่มีการเลือกมากที่สุดไปหาน้อยที่สุด 5. Combo Box หรือ Combination Box เป็นการนำรูปแบบการทำงานของ Text Box และ List Box มารวมกัน ลักษณะของ Combo Box จะคล้ายกับ Drop-Down List Box คือภายใน กล่อง Combo จะสามารถบรรจุคำตอบที่เป็นไปได้จำนวนมาก แต่จะปรากฏให้ผู้ใช้เห็นคำตอบ เดียว ส่วนคำตอบที่เหลือผู้ใช้สามารถคลิกที่ปุ่มด้านขวามือเพื่อแสดงรายการคำตอบทั้งหมดได้ ซึ่งจะ มีแถบเลื่อนให้สามารถเลื่อนคำตอบดูได้โดยสะดวก โดยผู้ใช้สามารถเลือกตอบได้เพียงคำตอบเดียว แต่ลักษณะพิเศษของ Combo Box คือผู้ใช้สามารถป้อนค่าคำตอบนอกเหนือจากที่มีในกล่องได้ แสดงตัวอย่างดังภาพที่ 9.20 ข้อแนะนำในการใช้ Combo Box คือควรวางข้อความอธิบาย (Caption/Label) ที่สื่อความหมายกับคำตอบที่ต้องการให้เลือกไว้ด้านบนหรือด้านซ้ายของ Combo Box โดยหลีกเลี่ยงการให้คำย่อ
278 ภาพที่ 9.21 แสดงตัวอย่าง GUI Input Control (ที่มา: การออกแบบส่วนติดต่อผู้ใช้https://ployphan17.files.wordpress.com) 6. Drop-Down List Box มีลักษณะใกล้เคียงกับ List Box แต่ Drop-Down List Box จะ ปรากฏคำตอบให้เห็นในกล่องคำตอบเดียว ส่วนคำตอบที่เหลือจะให้ผู้ใช้คลิกเมาส์ที่ปุ่มด้านขวา (แสดงสัญลักษณ์ด้วยรูปลูกศรชี้ลง) เพื่อแสดงให้เห็นคำตอบทั้งหมด โดยมีแถบเลื่อนให้ผู้ใช้สามารถดู คำตอบทั้งหมดได้โดยสะดวก การใช้ Drop-Down List Box ผู้ใช้สามารถเลือกคำตอบได้เพียง คำตอบเดียว แสดงตัวอย่างดังภาพที่ 9.22 ข้อแนะนำในการใช้ Drop-Down List Box ควรวาง ข้อความอธิบาย (Caption/Label) ที่สื่อความหมายกับคำตอบที่ต้องการให้เลือกไว้ด้านบนหรือ ด้านซ้ายของ Drop-Down List Box โดยหลีกเลี่ยงการใช้คำย่อ 7. Spin (Spinner) Box มีลักษณะเป็นกล่องสี่เหลี่ยม (แสดงข้อความได้เพียงแถวเดียว) และ ปุ่มรูปลูกศรชี้ขึ้น-ลง ทางด้านขวามือ เพื่อเปลี่ยนค่าข้อมูลที่เป็นตัวเลขเพิ่มขึ้นหรือลดค่าลงได้ตาม หน่วยวัด ในบางครั้งผู้ใช้สามารถป้อนข้อมูลลงในกล่องได้โดยตรง แสดงตัวอย่างดังภาพที่ 9.22 Spin Box จะเหมาะสำหรับการป้อนข้อมูลที่มีพื้นที่ของจอภาพจำกัด และสามารถเปลี่ยนแปลงค่า คำตอบได้จากการป้อนข้อมูลของผู้ใช้ได้ คำแนะนำสำหรับการใช้ Spin Box ควรวางข้อความอธิบาย (Caption/Label) ที่สื่อความหมายกับคำตอบที่ต้องการให้เลือกไว้ด้านบนหรือด้านซ้ายของ Spin Box โดยหลีกเลี่ยงการใช้คำย่อ และควรกำหนดค่าเริ่มต้นของคำตอบไว้ List Box Combo Box Radio Button Text Box
279 ภาพที่ 9.22 แสดงตัวอย่าง Drop-Down List Box และ Spin Box การควบคุมความถูกต้องในระหว่างป้อนข้อมูล เป้าหมายสำคัญอย่างหนึ่งของการออกแบบ Interface คือลดข้อผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้น จากการป้อนข้อมูลของผู้ใช้ระบบ เนื่องจากข้อมูลที่นำเข้าสู่ระบบนั้นจะต้องผ่านการประมวลผลให้ เป็นข้อมูลที่จะต้องนำมาใช้ในการบริหารงานของระบบ เช่น ข้อมูลยอดขายเพื่อการพยากรณ์ ข้อมูล ยอดสั่งซื้อ เป็นต้น ซึ่งล้วนแต่มีความสำคัญต่อผลการทำงานของระบบ ดังนั้นหากสามารถลด ข้อผิดพลาดจากกระบวนการนำข้อมูลเข้าสู่ระบบได้ จะทำให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพมาก ยิ่งขึ้นหลักเกณฑ์ในการควบคุมความถูกต้องของข้อมูลก่อนที่จะบันทึกข้อมูลลงในฐานข้อมูลมี ดังต่อไปนี้ 1. ควรมีการตรวจสอบข้อมูลที่ผู้ใช้ป้อนลงไปว่ามีชนิดของข้อมูลถูกต้องหรือไม่ เช่น ข้อมูล ยอดขายควรป้อนเป็นตัวเลข แต่ผู้ใช้ป้อนเป็นตัวอักษร กรณีเช่นนี้ระบบต้องสามารถโต้ตอบกับผู้ใช้ ได้ว่ามีการป้อนข้อมูลผิดประเภทและให้ผู้ใช้ป้อนข้อมูลใหม่ 2. ควรมีการตรวจสอบเพื่อป้องกันการป้อนข้อมูลไม่ครบทุกฟิลด์ที่จำเป็นต้องมีในแบบฟอร์ม 3. ควรตรวจสอบรูปแบบของข้อมูลที่ป้อนลงบนแบบฟอร์มว่าตรงตามที่กำหนดไว้หรือไม่ 4. ควรตรวจสอบว่าข้อมูลนั้นมีค่าเกินค่าสูงสุด หรือต่ำกว่าค่าต่ำสุดที่กำหนดไว้หรือไม่ เช่น เกรดเฉลี่ยของนักศึกษาไม่ควรเกิน 4.00 หากผู้ใช้ป้อนเกรดเฉลี่ย 4.10 ระบบควรแจ้งผู้ใช้ได้ว่าป้อน ค่าข้อมูลเกินขอบเขต 5. สามารถตรวจสอบความสมเหตุสมผลของข้อมูลได้ เช่น เมื่อผู้ใช้ป้อนอัตราค่าจ้างของ พนักงานลงไปบนแบบฟอร์ม ระบบควรตรวจสอบได้ว่าสมเหตุสมผลกับประเภทของพนักงานหรือไม่ Drop-Down List Box Spin Box
280 6. ควรมีการตรวจสอบความครบถ้วนของข้อมูลในแต่ละฟิลด์ เช่น หมายเลขบัตรประชาชน ควรตรวจสอบได้ว่าผู้ใช้ป้อนข้อมูลครบ 13 หลักหรือไม่ การตรวจสอบข้อมูลตามหลักเกณฑ์ข้างต้น เป็นเพียงตัวอย่างในการตรวจสอบข้อมูลก่อน บันทึกลงในฐานข้อมูลในการปฏิบัติงานจริงนั้นนักวิเคราะห์ระบบอาจจะมีหลักเกณฑ์ในการ ตรวจสอบนอกเหนือจากนี้ ซึ่งซอฟต์แวร์ระบบการจัดการฐานข้อมูล (DBMS) โดยทั่วไปสามารถ กำหนดการตรวจสอบเหล่านี้ได้ กรณีที่ซอฟต์แวร์ DBMS ไม่สามารถตรวจสอบข้อมูลตามหลักเกณฑ์ บางประการได้ ควรออกแบบให้มีการตรวจสอบด้วยโมดูลการทำงานของโปรแกรมแทน การตอบสนองของระบบ ในระหว่างการใช้งานระบบไม่ว่าจะเป็นการป้อนข้อมูลเข้าสู่ระบบ ค้นหาข้อมูล หรือสั่งพิมพ์ รายงานจากโปรแกรมล้วนแล้วแต่เกิดจากการสั่งงานจากผู้ใช้ระบบ ในการใช้คำสั่งเพื่อสั่งให้ระบบ ประมวลผลนั้น นักวิเคราะห์ระบบควรออกแบบให้โปรแกรมของระบบงานมีการตอบสนองต่อการ สั่งงานดังกล่าว หรือตอบสนองต่อผู้ใช้งานเมื่อมีข้อผิดพลาดใดๆ เกิดขึ้นเพื่อทำให้ผู้ใช้งานทราบว่า ระบบได้นำคำสั่งเหล่านั้นไปประมวลผลแล้ว และไม่ก่อให้เกิดความสับสนแก่ผู้ใช้งาน ซึ่งการ ตอบสนองของระบ (System Feedback) มีอยู่ด้วยกัน 3 ชนิดดังนี้ 1 แจ้งสถานการณ์ทำงาน (Status Information) เป็นการออกแบบการตอบสนองของระบบ ที่มีต่อผู้ใช้ ด้วยการแจ้งสถานการณ์ทำงานของระบบให้ผู้ใช้ทราบความเป็นไป เช่น แสดงหมายเลข หน้าในขณะที่ผู้ใช้ทำงานอยู่ แสดงชื่อลูกค้าในขณะที่ผู้ใช้แก้ไขข้อมูลทะเบียนลูกค้า เป็นต้น ใน ระหว่างที่ระบบทำการประมวลผลคำสั่งจากผู้ใช้งาน ควรมีการออกแบบสถานการณ์ทำงาน เช่น สถานะในระหว่างการดาวน์โหลดไฟล์ เป็นต้น
281 ภาพที่ 9.23 แสดงตัวอย่างการแจ้งสถานะของระบบการดาวน์โหลด (ที่มา : https://internetdownloadmanager.in.th/download/idm-full) 2 แสดงความพร้อมในการรับคำสั่ง (Prompting Cues) เป็นการออกแบบเพื่อแจ้งสถานะใน ความพร้อมเพื่อรอรับคำสั่ง เมื่อนักวิเคราะห์ระบบเลือกที่จะใช้ Prompt ในการแจ้งสถานะ ระบบ สามารถบอกสิ่งที่ต้องการรับคำสั่งได้ในเวลาเดียวกันกับการแสดง Prompt เช่น กรุณาป้อนหมายเลขบัตรประชาชน……………………………. 3 ข้อความแจ้งหรือเตือนเมื่อมีข้อผิดพลาด (Error/Warning Message) การแสดงข้อความ เพื่อแจ้งหรือเตือนผู้ใช้เมื่อมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น โดยในการแสดงข้อความนั้นควรเป็นการแจ้ง ข้อผิดพลาดและแนะนำแนวทางในการแก้ไขด้วย แสดงดังตัวอย่างภาพที่ 9.24 ภาพที่ 9.24 แสดงตัวอย่างข้อความแจ้งหรือเตือนเมื่อเกิดข้อผิดพลาด (ที่มา : https://internetdownloadmanager.in.th/download/idm-full)
282 การแสดงส่วนช่วยเหลือ (Help) การแสดงส่วนช่วยเหลือ (Help) ให้กับผู้ใช้งาน ควรออกแบบให้มีลักษณะดังต่อไปนี้ 1 สามารถเข้าใจได้ง่าย (Simplicity) ในการอธิบายข้อความของ Help จะต้องใช้คำที่ สามารถเข้าใจได้ง่าย ไม่ยาวจนเกินไป อธิบายให้ตรงประเด็น 2 มีการจัดรูปแบบอย่างเป็นระเบียบ (Organize) กรณี Help ที่ต้องมีการอธิบาย รายละเอียดค่อนข้างยาวเป็น Paragraph ควรจัดรูปแบบให้ผู้ใช้สามารถอ่านได้ง่าย น่าอ่าน และไม่ ซับซ้อน โดยรายละเอียดบางอย่างอาจแสดงในรูปแบบของรายการ (Lists) หรือมีสัญลักษณ์แสดง หน้ารายการ เป็นต้น 3 มีการแสดงตัวอย่าง (Show) ควรมีการแสดงตัวอย่างในการทำงานบางหัวข้อที่จำเป็น ด้วยการแสดงอย่างเป็นขั้นตอน ทำให้ผู้ใช้เข้าใจได้ง่ายขึ้น ดังตัวอย่างในภาพที่ 9.25 ภาพที่ 9. 25 แสดงตัวอย่าง Help ในโปรแกรม MS Word ออกแบบการควบคุมการเข้าถึงข้อมูลของผู้ใช้ การออกแบบในส่วนนี้ เพื่อเป็นการป้องกันการเข้าถึงข้อมูลหรือการเข้าถึงแบบฟอร์มซึ่งเป็น แหล่งเอกสารของสารสนเทศที่เกิดจากการประมวลผลของระบบจากผู้ใช้งานที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ ข้อมูลเหล่านั้น เนื่องจากผู้ใช้บางคนอาจต้องการนำข้อมูลดังกล่าวไปใช้ในทางที่ผิดได้ ซึ่ง
283 นักวิเคราะห์ระบบสามารถแนะนำหลักการหรือเทคนิคในการควบคุมการเข้าถึงข้อมูลให้กับ โปรแกรมเมอร์ในขั้นตอนการเขียนโปรแกรมได้ ดังต่อไปนี้ 1 จำกัดความสามารถในการมองเห็นข้อมูลจากฐานข้อมูล (View/Subschemas) เป็นการ เตรียมข้อมูลเพื่อการเรียกดูข้อมูลจากผู้ใช้เท่านั้น โดยข้อมูลดังกล่าอาจจะเป็นเพียงข้อมูลดิบ หรือ ข้อมูลที่ถูกประมวลผลแล้ว เพื่อแสดงให้ผู้ใช้ดูได้เท่านั้น ไม่สามารถจัดการกับข้อมูลเหล่านี้เพื่อทำให้ เกิดการเปลี่ยนแปลงในฐานข้อมูลได้ 2 กฎของสิทธิในการเข้าถึงข้อมูล (Authorization Rules) เป็นการจำกัดสิทธิในการใช้ข้อมูล หรือการเข้าถึงข้อมูลสำหรับผู้ใช้บางคนเพื่อการทำงานบางประการเท่านั้น เช่น อนุญาตให้ผู้ใช้ที่มี รหัสผ่าน (Password) เพื่อการอ่านข้อมูลเท่านั้น ที่สามารถเข้าดูข้อมูลในฐานข้อมูลได้ แต่ไม่ สามารถปรับปรุงหรือแก้ไขข้อมูลใดๆ ได้ 3 การเข้ารหัส (Encryption Procedures) สำหรับข้อมูลที่มีความสำคัญในระดับสูงสุด อาจจะนำมาเข้ารหัส (Encryption) เพื่อบิดเบือนการมองเห็นข้อมูลจริงจากผู้ใช้ที่มีเจตนามุ่งร้ายได้ การเข้ารหัสเป็นการนำข้อมูลจริงมาแทนด้วยรหัส ซึ่งผู้ใช้คนอื่นไม่สามารถเข้าใจความหมายได้ นอกจากผู้ใช้ที่ได้รับสิทธิหรือได้รับอนุญาตให้ทราบวิธีการถอดรหัส (Decoding) ข้อมูลนั้นเพื่อ นำมาใช้งาน ในปัจจุบันมีซอฟต์แวร์ DBMS บางชนิดมีเครื่องมือช่วยเข้ารหันข้อมูลได้ ดังนั้นจึงทำให้ การเข้ารหัสมีคามสะดวกมากยิ่งขึ้น 4 Authentication Schemes เป็นการระบุกลุ่มผู้ใช้ที่มีลักษณะการเข้าถึงข้อมูลโดยไม่มี เจตนาร้าย ซึ่งเทคนิคประเภทนี้ไม่สามารถตรวจสอบได้ด้วยการกำหนดรหัสผ่าน (Password) เนื่องจากรหัสผ่านไม่สามารถแยกแยะกลุ่มบุคคลที่มีเจตนาดีหรือเจตนาร้ายในการเข้าถึงข้อมูลได้ ดังนั้นจึงอาจนำเทคโนโลยีหรือเครื่องมือพิเศษประเภทอื่นเพื่อตรวจจับหรือตรวจสอบผู้ใช้ก่อนการ เข้าถึงข้อมูลโดยอาจจะเป็นเทคโนโลยี Biometric Devices ซึ่ง Biometric Devices เป็นอุปกรณ์ ตรวจจับลักษณะ (Characteristics) ของผู้ใช้งาน เช่น ตรวจจับลายนิ้วมือ เสียง ม่านตา หรือ ลายเซ็น โดยที่มีการบันทึกลักษณะดังกล่าวไว้เป็นไฟล์ข้อมูล และอาจจะเก็บไฟล์แสดงลักษณะ ดังกล่าวไว้ใน Smart Card ซึ่งมีลักษณะคล้ายบัตรเครดิต ภายในบรรจุ Microprocessor และ หน่วยความจำเพื่อเก็บไฟล์ข้อมูลที่เป็น Biometric ต่างๆ ไว้ ก่อนการเข้าถึงข้อมูลในฐานข้อมูลของ ระบบ ผู้ใช้จะต้องสอดบัตร Smart Card เข้าไปในอุปกรณ์ที่ใช้อ่านข้อมูลจากบัตร และอุปกรณ์นั้น จะทำการตรวจจับลักาณะจริงจากผู้ใช้ เพื่อเปรียบเทียบกับลักษณะที่เป็นไฟล์ที่บันทึกไว้ใน Smart Card ว่าตรงกันหรือไม่ ถ้าถูกต้องตรงกันผู้ใช้จะได้รับอนุญาตให้เข้าถึงข้อมูลได้ ถ้าข้อมูลในบัตรและ การตรวจจับจริงไม่ตรงกัน ผู้ใช้คนนั้นจะไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลได้
284 ออกแบบลำดับการเชื่อมโยงจอภาพ การออกแบบลำดับการเชื่อมโยงจอภาพ (Dialogue Design) เป็นการออกแบบลำดับของ การแสดงส่วนติดต่อกับผู้ใช้ของโปรแกรมหรือลำดับของการแสดงส่วน User Interface ทางหน้าจอ คอมพิวเตอร์ พร้อมการเชื่อมโยงระหว่าง User Interface เพื่อนำเสนอสารสนเทศหรือเพื่อการ เรียกใช้งานสารสนเทศของผู้ใช้นั่นเอง ก่อนที่จะมีการออกแบบ Dialogue ในการแสดงจอภาพ Interface หรือจอภาพการทำงานต่างๆ ของระบบ นักวิเคราะห์ระบบควรศึกษาทำความเข้าใจ เกี่ยวกับการใช้งานของผู้ใช้ ขั้นตอนการทำงานต่างๆ ให้ละเอียด แล้วจึงร่างเป็นแผนภาพแสดงลำดับ การเชื่อมโยงของจอภาพ เรียกแผนภาพดังกล่าวว่า “Dialogues Diagram” โดยมีสัญลักษณ์ดังภาพ ที่ 9.26 เลขลำดับหน้าจอ ชื่อหน้าจอการทำงาน เลขลำดับที่อ้างอิงมา ภาพที่ 9. 26 แสดงสัญลักษณ์ของ Dialogues Diagram จากสัญลักษณ์ของ Dialogues Diagram มีรายละเอียดดังต่อไปนี้ - TOP ใช้แสดงหมายเลขลำดับเพื่อการอ้างอิงจากหน้าจออื่น หมายเลขลำดับใน ส่วนบนนี้จะต้องไม่ซ้ำกันเลย - Middle ใช้แสดงชื่อหน้าจอการทำงานหรือข้อความแสดงรายละเอียดการทำงาน เพื่อให้ทราบว่าหน้าจอหมายเลขดังกล่าวใช้ทำงานใด - Bottom ใช้แสดงหมายเลขของหน้าจอที่อ้างอิงมา (เชื่อมโยง) คั่นด้วยเครื่องหมาย จุลภาค (,) ตามด้วยหมายเลขหน้าจอต่อไปหรือหน้าจอย้อนกลับเมื่อเสร็จสิ้นการทำงานแล้ว ภาพที่ 9.27 จะแสดงตัวอย่างแผนภาพ Dialogue ที่แสดงลำดับการแสดง Interface หน้าจอการทำงานส่วนต่างๆ ของระบบ โดยเริ่มจากหน้าจอป้อนรหัสเข้าสู่ระบบ (0) เมื่อป้อนรหัส แล้วจะแสดงหน้าจอเมนูหลัก (1) จากหน้าจอเมนูหลักจะมีเมนูย่อย 4 เมนู ได้แก่ ข้อมูลลูกค้า ข้อมูล ใบสั่งซื้อ ข้อมูลพนักงาน และรายงาน หากผู้ใช้เลือกเมนู “ข้อมูลลูกค้า” จะมีแสดงหน้าจอลำดับที่ 2 และหน้าจอรายชื่อลูกค้า ผู้ใช้ต้องเลือกรายชื่อลูกค้าที่ต้องการ จากหน้าจอที่ 2.1 “เลือกลูกค้า” หลังจากเลือกลูกค้าที่ต้องการแล้วจะแสดงหน้าจอที่ 2.1.1 “แสดงข้อมูลลูกค้า” จากหน้าจอที่ 2.1.1 นี้จะแสดงตัวเลือกทั้งหมด 4 เมนูได้แก่ “สรุปยอดสั่งซื้อของลูกค้ารายปี (2.1.1.1)” “รายการสั่งซื้อ ของลูกค้ารายปี (2.1.1.2)” “สรุปยอดสั่งซื้อปัจจุบัน (2.1.1.3)” และ “รายการสั่งซื้อปัจจุบัน (2.1.1.4)” TOP Middle Bottom
285 ภาพที่ 9.27 แสดงตัวอย่าง Dialogue Diagram 4.2.5 การจัดทำต้นแบบระบบสารสนเทศ ต้นแบบ (Prototype) ของระบบงาน เป็นการจัดทำต้นแบบผลิตภัณฑ์ชนิดหนึ่ง เพื่อให้ผู้ใช้ หรือลูกค้าได้เห็นภาพและแนวทางของระบบใหม่ว่าเป็นไปตามความต้องการหรือไม่ ซึ่งจุดประสงค์ หลักในการพัฒนาระบบก็คือ การพัฒนาระบบให้ตรงตามความต้องการของผู้ใช้ แต่ก็มีโครงการ พัฒนาระบบจำนวนไม่น้อยที่ภายหลังจากการส่งมอบระบบและติดตั้งใช้งานจริงแล้ว ก็ยังคงปรับแก้ อยู่เสมอ อันเนื่องมาจากระบบไม่ตรงตามความต้องการของผู้ใช้ ทำให้ต้องสูญเสียค่าใช้จ่ายไปกับ การบำรุงรักษา ดังนั้น การจัดทำต้นแบบจึงจัดเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยลดความเสี่ยงดังกล่าวนี้ได้ นอกจากนี้ ต้นแบบยังสามารถนำมาใช้เป็นเทคนิคหนึ่งเพื่อป้องกันมิให้ผู้ใช้หรือลูกค้าปฏิเสธ
286 ระบบงาน อันเนื่องมาจากต้นแบบของระบบที่พัฒนาขึ้นมานั้น ทีมงานจะศึกษาและออกแบบร่วมกัน กับผู้ใช้ จนกระทั่งผู้ใช้ยอมรับในสิ่งที่ต้องการ และถือเป็นจุดที่ลูกค้าควรยอมรับ ทำให้ยากต่อการ หลีกเลี่ยงหรือปฏิเสธระบบอย่างไร้เหตุผล ในการพัฒนาระบบเมื่อเราเก็บความต้องการของระบบเรียบร้อยแล้ว ก่อนที่เราจะเริ่มต้นการ พัฒนาระบบ เราควรจัดทำต้นแบบ (Prototype) สำหรับนำเสนอให้ผู้ใช้งานเห็นกระบวนการและ รูปแบบของการใช้งานระบบก่อน จากประสบการณ์ที่ผ่านมา เมื่อผู้ใช้งานได้เห็นต้นแบบที่เราได้ นำเสนอทำให้ผู้ใช้งาน คิดเงื่อนไข หรือความต้องการได้มากขึ้น และยังทำให้ผู้ใช้งานกับผู้พัฒนา ระบบเข้าใจขั้นตอนการทำงานที่ตรงกัน ซึ่งการจัดทำต้นแบบนั้น อาจจะไม่ได้นำมาใช้ในการพัฒนา ระบบจริงก็ได้ เนื่องจากเมื่อผู้ใช้งานเห็นหน้าจอ หรือ กระบวนการที่เราได้นำเสนอต้นแบบไปนั้น มี การแก้ไขหรือเพิ่มเติม หรือ เมื่อเราได้เริ่มพัฒนาไปแล้วผู้พัฒนาระบบเห็นว่า หน้าจอที่ได้ทำเป็น ต้นแบบไว้นั้น ใช้งานยากเกินไป หรือ มีแนวทางที่จะทำให้การใช้งานง่ายขึ้น หรือ ไม่สามารถจัดเก็บ ข้อมูลได้ตามที่ออกแบบไว้ เป็นต้น ก็สามารถปรับเปลี่ยนได้ดังนั้น ในการพัฒนาต้นแบบ เราไม่ จำเป็นต้องพัฒนาต้นแบบให้สามารถนำไปใช้ในการพัฒนาระบบต่อได้ แต่เราทำเพื่อนำเสนอให้กับ ผู้ใช้งานได้เห็นภาพ กระบวนการทำงานที่เราจะพัฒนาระบบให้กับผู้ใช้งาน และควรมีการตกลงกัน ระหว่างผู้ใช้งานกับผู้พัฒนาระบบเกี่ยวกับระยะเวลาสำหรับการปรับแก้ก่อนจะพัฒนาระบบจริง เพราะไม่เช่นนั้นผู้ใช้งานก็จะเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ ทำให้พัฒนาระบบไม่สำเร็จ หรือทันตาม ระยะเวลาที่กำหนดได้ แต่ถ้าระบบที่เราพัฒนาไม่เร่งด่วนมากก็สามารถจัดทำต้นแบบให้สามารถ นำไปพัฒนาต่อได้เลยก็ทำให้สามารถพัฒนาระบบได้เร็วขึ้น ในความเป็นจริงแล้ว โครงการพัฒนาระบบสารสนเทศไม่มีความจำเป็นต้องจัดทำต้นแบบใน ทุกโครงการเสมอไป แต่การที่นักวิเคราะห์ระบบได้ตัดสินใจทำต้นแบบ เนื่องจาก ระบบงานจะได้รับ การปรับปรุง เปลี่ยนแปลงก่อนที่จะดำเนินการพัฒนาระบบจริง สามารถกำจัดความต้องการ บางส่วนที่ไม่ต้องการออกไป คงเหลือแต่ส่วนที่จำเป็นเท่านั้น และเพื่อให้ระบบที่ออกแบบมาตรง ตามความต้องการของผู้ใช้มากที่สุด การทำต้นแบบมีอยู่ 2 ประเภทดังต่อไปนี้ 1) ต้นแบบที่ทำแล้วโยนทิ้ง ต้นแบบที่ทำแล้วโยนทิ้ง เป็นเทคนิคการสร้างผลิตภัณฑ์ต้นแบบ โดยเน้นที่ความรวดเร็ว เหมาะกับระบบงานที่ไม่มีความแน่นอน หรือเปลี่ยนแปลงบ่อย การจัดทำต้นแบบด้วยวิธีนี้ อย่าง น้อยจะช่วยลดความเสี่ยงลงได้เพื่อเตรียมลงมือดำเนินงานในขั้นตอนต่อไป ดังนั้น หากนักวิเคราะห์ ระบบต้องจัดทำต้นแบบประเภทนี้ก็ไม่ควรทุ่มเทเวลาไปกับการพัฒนามากนัก เพราะจะทำให้สูญเสีย เวลาและค่าใช้จ่ายเกินเหตุ ประกอบกับต้นแบบที่สร้างขึ้น ก็จะถูกโยนทิ้งไปในที่สุด 2) ต้นแบบที่มีพัฒนาการ
287 ต้นแบบที่มีพัฒนาการ จะมีลักษณะตรงกันข้ามกับแบบแรก กล่าวคือ ต้นแบบประเภทนี้จะ เป็นการสร้างผลิตภัณฑ์ที่ตั้งอยู่บนรากฐานที่มีความมั่นคงขึ้นเรื่อยๆ ตรงตามความต้องการของผู้ใช้ จนกระทั่ง ท้ายสุดก็จะกลายเป็นระบบงานจริงขึ้นมา ดังนั้น ต้นแบบประเภทนี้จึงมีความชัดเจนของ ระบบเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตามวิวัฒนาการของมัน และถูกสร้างขึ้นอย่างมีคุณภาพ ทำให้ต้องใช้เวลามาก เนื่องจากต้องมีการพัฒนาและปรับปรุงอยู่บ่อยครั้ง ต้นแบบทั้ง 2 ประเภทต่างมีข้อดีและข้อเสีย ดังนั้น การพัฒนาระบบจึงอาจนำต้นแบบทั้งสอง ประเภทมาประยุกต์ใช้ร่วมกัน ซึ่งนักวิเคราะห์ระบบจะต้องพิจารณาความเหมาะสมว่าในขั้นตอนใด สมควรนำต้นแบบประเภทนั้นๆ มาใช้ ตัวอย่างเช่น หากทุ่มเทกับการจัดทำต้นแบบมากเกินความ จำเป็น ด้วยการมุ่งเน้นให้ตรงตามความต้องการของผู้ใช้มากที่สุด แต่ถ้าต้นแบบที่ทำ ท้ายสุดต้องถูก โยนทิ้งไป ก็จะทำให้เสียเวลาและค่าใช้จ่ายเพิ่มโดยใช่เหตุ อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน มีซอฟต์แวร์ช่วย สร้างต้นแบบให้เลือกใช้มากมาย เครื่องมือเหล่านี้สามารถนำมาออกแบบ User Interface เพื่อ จัดทำต้นแบบอัตโนมัติ ซึ่งอำนวยความสะดวกแก่นักออกแบบได้มากและยังสามารถนำมาสร้าง ต้นแบบของระบบให้สำเร็จลงได้ด้วยระยะเวลาอันสั้น
288 ใบงาน ให้นักศึกษาใช้โปรแกรมการออกแบบ ออกแบบส่วนประสานผู้ใช้ (Graphic User Interface) ต่อไปนี้ โดยวิเคราะห์จากแผนภาพกระแสข้อมูลระบบประเมินการสอนออนไลน์ 5. หน้าจอ เข้าสู่ระบบ 6. หน้าจอ ประเมินการเรียนการสอน 7. หน้าจอ แสดงรายงานผลการประเมินอาจารย์
289 แบบฝึกหัด 1. กิจกรรมในระยะการออกแบบระบบ ประกอบด้วยกิจกรรมใดบ้าง 2. จงยกตัวอย่างวิธีการจัดหาระบบ มา 2 วิธี พร้อมอธิบายมาพอสังเขป 3. จงอธิบายลักษณะการทำงานของสถาปัตยกรรมเครือข่ายเครือข่ายแบบไคลเอนต์-เซิร์ฟเวอร์ 4. ให้ยกตัวอย่างวิธีการวางแผนความปลอดภัยให้กับระบบ มา 3 วิธี 5. จงบอกจุดประสงค์ของการออกแบบฐานข้อมูล 6. การออกแบบรูปแบบฟอร์มมีความสำคัญอย่างไร 7. จงอธิบายหลักการจัดรูปแบบการแสดงผลสารสนเทศบนแบบฟอร์มและรายงาน 8. ให้ยกตัวอย่างรูปแบบ การนำเสนอสารสนเทศบนรายงาน มา 2 รูปแบบ 9. จงอธิบายหลักเกณฑ์ในการควบคุมความถูกต้องของข้อมูลก่อนที่จะบันทึกข้อมูลลงในฐานข้อมูล 10.จงอธิบายว่าการจัดทำต้นแบบมีวัตถุประสงค์เพื่ออะไร และในการจัดทำต้นแบบมีกี่ประเภท
290 เฉลยแบบฝึกหัด 1. การจัดหาระบบ การออกแบบสถาปัตยกรรมระบบ การออกแบบส่วนนำเข้า การออกแบบ ส่วนแสดงผล การออกแบบส่วนต่อประสานกับผู้ใช้ การออกแบบฐานข้อมูล และการสร้างต้นแบบ 2. - การจัดหาระบบด้วยวิธีการพัฒนาโปรแกรมขึ้นเอง เป็นการที่ให้ทีมงานในองค์กรพัฒนา โปรแกรมขึ้นมาใช้เอง เนื่องจากทีมงานสามารถควบคุมการดำเนินงานของโครงการและฟังก์ชันการ ทำงานทางธุรกิจต่างๆ ได้ตามต้องการ และ - การจัดหาระบบด้วยการว่าจ้างหน่วยงานภายนอก (Outsourcing) เป็นการว่าจ้างบริษัท ภายนอกมาพัฒนาระบบให้ แทนที่จะใช้บุคลากรภายในองค์กรเอง เนื่องจากบุคลากรภายในองค์กร อาจมีความรู้ความสามารถไม่เพียงพอ หรือไม่ตรงกับสิ่งที่ต้องการ หรือไม่สามารถติดตามเทคโนโลยี ได้ทัน 3. สถาปัตยกรรมเครือข่ายแบบไคลเอนต์-เซิร์ฟเวอร์เป็นสถาปัตยกรรมที่สามารถรักษาความ สมดุลของการประมวลผลระหว่างเครื่องไคลเอนต์กับเซิร์ฟเวอร์ นั่นคือ เครื่องไคลเอนต์จะเป็น ผู้รับผิดชอบในส่วนของฟังก์ชันการนำเสนอสารสนเทศแก่ผู้ใช้ ในขณะที่เซิร์ฟเวอร์เป็นผู้รับผิดชอบ ในส่วนของฟังก์ชันการเข้าถึงข้อมูล ฟังก์ชันการจัดเก็บข้อมูล และในส่วนของฟังก์ชันการประมวลผล ข้อมูลนั้นสามารถไปอยู่ได้ทั้งเครื่องไคลเอนต์และเครื่องเซิร์ฟเวอร์ หรือจะแบ่งแยกออกจากกันก็ได้ 4. ความปลอดภัยบนสภาพแวดล้อมภายนอก, การกำหนดสิทธิ์ในการเข้าถึง, การใช้รหัสผ่าน และระบบแสดงตัวตน 5. จุดประสงค์ของการออกแบบฐานข้อมูลเพื่อดำเนินการแปลงแบบจำลองข้อมูลที่ได้จาก ระยะการวิเคราะห์มาเป็นตารางหรือรีเลชันเพื่อใช้สำหรับเก็บข้อมูลจริงๆ 6. ทำให้ข้อมูลที่จะนำเข้าสู่ระบบนั้นเป็นข้อมูลที่สามารถประมวลผลได้ง่าย หรือทำให้ผู้ใช้งาน ระบบสามารถป้อนข้อมูลนั้นเข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์ได้ง่าย และมีความถูกต้องมากที่สุด 7. มีหัวเรื่องที่มีความหมายชัดเจน มีสารสนเทศที่จำเป็นต่อการใช้งาน มีการจัดวางที่สมดุล ใช้ งานง่าย 8. แบบตาราง (Tabular Format) แบบกราฟ (Graph Format) 9. - ควรมีการตรวจสอบข้อมูลที่ผู้ใช้ป้อนลงไปว่ามีชนิดของข้อมูลถูกต้องหรือไม่ - ควรมีการตรวจสอบเพื่อป้องกันการป้อนข้อมูลไม่ครบทุกฟิลด์ที่จำเป็นต้องมีในแบบฟอร์ม - ควรตรวจสอบรูปแบบของข้อมูลที่ป้อนลงบนแบบฟอร์มว่าตรงตามที่กำหนดไว้หรือไม่ - ควรตรวจสอบว่าข้อมูลนั้นมีค่าเกินค่าสูงสุด หรือต่ำกว่าค่าต่ำสุดที่กำหนดไว้หรือไม่ - สามารถตรวจสอบความสมเหตุสมผลของข้อมูลได้ - ควรมีการตรวจสอบความครบถ้วนของข้อมูลในแต่ละฟิลด์
291 10. วัตถุประสงค์ของการจัดทำต้นแบบ (Prototype) ของระบบงานเพื่อให้ผู้ใช้หรือลูกค้าได้เห็น ภาพและแนวทางของระบบใหม่ว่าเป็นไปตามความต้องการหรือไม่
292 4.3 การพัฒนาและบำรุงรักษาระบบ หลังจากที่ได้มีการวิเคราะห์และการออกแบบระบบเป็นที่เรียบร้อยแล้วในขั้นตอนต่อมาก็เป็น การพัฒนาระบบให้สอดคล้องกับการวิเคราะห์และออกแบบไว้ในข้างต้น เพื่อที่จะได้ระบบ สารสนเทศที่ตรงกับความต้องการของผู้ใช้ การพัฒนาระบบจะเป็นขั้นตอนในการนำข้อมูลเฉพาะ ของการออกแบบมาทำการเขียนโปรแกรมเพื่อให้เป็นไปตามคุณลักษณะและรูปแบบ ต่างๆ ที่ได้ กำหนดไว้หลังจากเขียนโปรแกรมเรียบร้อยแล้ว จะต้องทำการทดสอบระบบเพื่อตรวจสอบหา ข้อผิดพลาด ติดตั้งระบบ โดยทำการติดตั้งตัวโปรแกรม ติดตั้งอุปกรณ์ พร้อมทั้งจัดทำคู่มือและ จัดเตรียมหลักสูตรฝึกอบรมผู้ใช้งานที่เกี่ยวข้อง และประเมินผลระบบ ดังรายละเอียดต่อไปนี้ 4.3.1 การเขียนโปรแกรม การเขียนโปรแกรม (Programming) หรือ การเขียนโค้ด (Coding) เป็นขั้นตอนการเขียน โปรแกรม ทดสอบโปรแกรม ซึ่งเป็นการเขียนด้วยภาษาโปรแกรม โดยมีขั้นตอนการเขียนโปรแกรมที่ สำคัญๆ ดังต่อไปนี้ 1.คัดเลือกภาษาระดับสูงเพื่อนำมาเขียนโปรแกรม เนื่องจากในปัจจุบันมีภาษาคอมพิวเตอร์ เกิดขึ้นมากมาย และภาษาต่างๆ จะมีจุดดีและจุดด้อยแตกต่างกันไป บางภาษามีจุดเด่นในเรื่องการ คำนวณทางคณิตศาสตร์และการประมวลผลทางสถิติ บางภาษาได้เตรียมเครื่องมือช่วยในการพัฒนา โปรแกรมไว้อย่างครบครัน บางภาษาอาจจะใช้งานได้ดีกับการจัดการฐานข้อมูล เป็นต้น ดังนั้นใน การเลือกใช้ภาษาคอมพิวเตอร์ จึงจำเป็นต้องเข้าใจจุดประสงค์ของระบบงานที่จะนำมาใช้ พร้อมกับ เลือกภาษาคอมพิวเตอร์ให้เหมาะสมกับระบบสารสนเทศที่จะพัฒนา 2 เขียนโปรแกรมตามหลักไวยากรณ์ของภาษาที่ได้คัดเลือกนำมาใช้ในการพัฒนาระบบ เมื่อ ได้คัดเลือกภาษาเพื่อการพัฒนาระบบแล้ว โปรแกรมเมอร์หรือนักเขียนโปรแกรมจะต้องเขียน โปรแกรมตามหลักไวยากรณ์ (Syntax) และกฏเกณฑ์การเขียนโปรแกรมของภาษานั้นๆ ซึ่งแต่ละ ภาษาโปรแกรมจะมีหลักไวยากรณ์และกฏเกณฑ์การเขียนโปรแกรมที่แตกต่างกัน 4.3.2 การทดสอบโปรแกรม เมื่อเขียนโปรแกรมเรียบร้อยแล้ว โปรแกรมเมอร์จะต้องทดสอบโปรแกรมที่เขียนขึ้นโดยการ ทดสอบฟังก์ชันการทำงานแต่ละฟังก์ชันในโปรแกรมจนมั่นใจว่าไม่มีข้อผิดพลาด ซึ่งหลังจากที่ทำ การทดสอบทุกๆ ฟังก์ชันในโปรแกรมแล้ว ก็จะนำฟังก์ชันต่างๆ ที่เขียนขึ้นมาประกอบรวมกัน แล้ว ทำการทดสอบทั้งระบบ กลยุทธ์การทดสอบระบบ - การทดสอบแบบกล่องดำ (Black Box Testing) เป็นการทดสอบที่มุ่งเน้นทดสอบผลลัพธ์ ที่ได้จากการประมวลผลว่าถูกต้องหรือไม่ โดยไม่จำเป็นต้องรู้รายละเอียดภายในโปรแกรม ดังนั้นโค้ด คำสั่งและตรรกะต่างๆ ภายในโปรแกรมจึงเปรียบเสมือนกล่องดำที่ไม่ต้องรู้รายละเอียดภายใน นั่น
293 คือ เป็นเพียงการทดสอบการนำเข้าข้อมูลเพื่อตรวจสอบผลลัพธ์ที่ได้ว่าถูกต้องตามความต้องการ หรือไม่ - การทดสอบแบบกล่องขาว (White Box Testing) เป็นการทดสอบที่เปรียบเสมือนระบบ เป็นกล่องใสที่เรามองเห็นสิ่งต่างๆ ภายใน นั่นหมายถึงว่า วิธีนี้จะทดสอบโค้ดที่เขียนว่ามีตรรกะการ ทำงานถูกต้องหรือไม่ การดำเนินงานของโปรแกรมในแต่ละส่วน มีความเหมาะสมและดีเพียงพอ หรือไม่ เพื่อรับประกันถึงคุณภาพของโค้ดที่เขียนและการมีตรรกะการทำงานที่ถูกต้อง ขั้นตอนการทดสอบระบบ 1) การทดสอบหน่วยย่อย (Unit Testing) เป็นการทดสอบที่มุ่งเน้นการตรวจสอบความ ถูกต้องและข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นภายนโมดูล ซึ่งจะดำเนินการโดยโปรแกรมเมอร์ที่พัฒนาโปรแกรม โมดูลนั้นๆ โดยจะทดสอบในระหว่างการเขียนโปรแกรมโมดูลนั้นๆ และจะทดสอบจนกระทั่งเชื่อได้ ว่าโค้ดโมดูลนั้นปราศจากข้อผิดพลาด 2) การทดสอบการนำโปรแกรมมาประกอบรวมกัน (Integration Testing) เป็นการนำ โปรแกรมย่อยหรือโมดูลต่างๆ มาประกอบรวมเข้าด้วยกัน ซึ่งภายหลังจากการนำกลุ่มโปรแกรม ต่างๆ มาประกอบรวมกันแล้ว ระบบจะต้องทำงานโดยปราศจากข้อผิดพลาด และต้องมั่นใจว่าการ ส่งผ่านข้อมูลไปมาระหว่างโมดูลจะต้องทำงานได้อย่างถูกต้องและครบถ้วน ขั้นตอนนี้มักถูก ดำเนินการโดยทีมงานโปรแกรมเมอร์ และหรือนักวิเคราะห์ระบบ 3) การทดสอบระบบ (System Testing) เป็นการทดสอบทั้งระบบ ก่อนที่จะส่งมอบ ระบบงานแก่ลูกค้า นักวิเคราะห์ระบบจะต้องมั่นใจว่าทุกโมดูล และโปรแกรมย่อยต่างๆ สามารถ ทำงานร่วมกันได้อย่างไม่มีข้อผิดพลาดและตรงตามความต้องการของผู้ใช้ การทดสอบขั้นตอนนี้ จะต้องทดสอบทั้งฟังก์ชันการทำงานต่างๆ ว่าทำงานได้อย่างถูกต้องและครบถ้วนตามความต้องการ หรือไม่ และทดสอบประสิทธิภาพของระบบว่ามีความน่าเชื่อถือมากน้อยเพียงไร ยกตัวอย่างเช่น ทดสอบให้ผู้ใช้เข้าถึงระบบครั้งละมากๆ ณ เวลาเดียวกัน การทดลองใช้ข้อมูลขนาดใหญ่ และการ ทดสอบระบบความปลอดภัย 4) การทดสอบการยอมรับในระบบ (Acceptance Testing) คือการตรวจรับระบบที่ผู้ใช้จะ เป็นผู้ยืนยันถึงความสมบูรณ์ของระบบ ว่าระบบงานสามารถรองรับกระบวนการทางธุรกิจได้ตรง ตามความต้องการ ถูกต้อง และครบถ้วนหรือไม่ กระบวนการทำงานตามหน่วยธุรกิจต่างๆ บรรลุตรง ตามวัตถุประสงค์และเป็นที่น่าพึงพอใจหรือไม่ สำหรับการทดสอบการยอมรับในระบบนี้ ประกอบด้วย 2 ขั้นตอนคือ - การทดสอบแบบอัลฟา (Alpha Testing) เป็นวิธีทดสอบที่ทีมงานจะทดสอบระบบด้วย การจำลองสภาพแวดล้อมขึ้นมา เช่น การจำลองผู้ใช้งาน และนำชุดข้อมูลที่ถูกจำลองขึ้นมาป้อนเข้า สู่ระบบ เพื่อทดสอบการประมวลผลโดยจะทดสอบซ้ำหลายๆ ครั้งเพื่อค้นหาข้อผิดพลาด
294 - การทดสอบแบบเบต้า (Beta Testing) เป็นวิธีทดสอบที่ทีมงานจะให้ผู้ใช้งานจริงเป็น ผู้ดำเนินการทดสอบระบบภายใต้สภาพแวดล้อมจริง และใช้ข้อมูลจริงในการทดสอบ 4.3.3 การติดตั้งระบบ การติดตั้งระบบ คือ การเปลี่ยนการทำงานจากระบบงานเดิมไปเป็นระบบงานใหม่ และจะ ทำการติดตั้งหลังจากได้ทำการทดสอบระบบและเป็นที่ยอมรับของผู้ใช้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งการ ติดตั้งระบบงานใหม่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นกับการดำเนินงานในชีวิตประจำวันของผู้ใช้ ระบบ ซึ่งมีความคุ้นเคยกับระบบเก่ามานาน การเปลี่ยนแปลงนั้นยังรวมถึงวิธีการดำเนินงาน การ เปลี่ยนแปลงรูปแบบเอกสาร รูปแบบการนำเข้าข้อมูล การเปลี่ยนแปลงโปรแกรม การเปลี่ยนแปลง รูปแบบของข้อมูลบางอย่างที่จะต้องนำเข้าสู่ระบบ ดังนั้นก่อนที่การติดตั้งระบบ นักวิเคราะห์ระบบ จึงจำเป็นต้องมีการวางแผนเพื่อเลือกวิธีการติดตั้งอย่างรอบคอบและระมัดระวังมากที่สุด เพื่อ ป้องกันไม่ให้เกิดการต่อต้านระบบใหม่จากผู้ใช้ ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นได้ในระหว่างใช้ระบบใหม่ ทำให้เกิด ความเสียหายแก่องค์กรในที่สุด โดยการเลือกวิธีการในการติดตั้งให้เหมาะสมกับองค์กร ซึ่งอาจจะมี การผสมผสานวิธีการติดตั้งได้มากกว่า 2 วิธี ขึ้นอยู่กับสถานการณ์และความพร้อมขององค์กร ผนวก กับปัจจัยด้านบุคลากร ความคล่องตัว ความกล้าที่จะเสี่ยงกับความสับสนที่จะเกิดขึ้น โดยในการ ติดตั้งระบบจะมีอยู่ 4 วิธีดังนี้ 3.1 การติดตั้งแบบทันทีทันใด (Direct Installation) เป็นวิธีการติดตั้งที่ยกเลิกระบบงาน เก่าและใช้ระบบงานใหม่ทันที ซึ่งระบบงานใหม่ที่จะนำมาใช้นั้นควรจะต้องผ่านการทดสอบอย่าง หนักและผ่านการแก้ไขข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นจากการทดสอบมาแล้วอย่างครบถ้วน ทั้งนี้การติดตั้ง แบบทันทีทันใดองค์การอาจจะเสียค่าใช้จ่ายน้อยแต่มีความเสี่ยงสูง เนื่องจากในการใช้งานจริงนั้น ข้อมูลที่นำเข้าสู่ระบบมีความเป็นไปได้ในการเกิดข้อผิดพลาดขึ้นได้มากกว่าข้อมูลที่สมมติขึ้นตอนที่ ทดสอบ และหากเกิดข้อผิดพลาดจะส่งผลกระทบต่อผู้ใช้ระบบ จนทำให้ระบบหยุดชะงักได้ แต่การ ติดตั้งวิธีนี้มีข้อดีคือ สามารถเลื่อนกำหนดการใช้งานระบบใหม่ออกไปได้หากองค์กรหรือผู้ใช้งานยัง ไม่มีความพร้อมสำหรับระบบใหม่ 3.2 การติดตั้งแบบขนาน (Parallel Installation) เป็นวิธีการติดตั้งที่ใช้ระบบใหม่ไป พร้อมๆ กับระบบเก่า จนกว่าผู้ใช้และผู้บริหารจะพอใจระบบใหม่และตัดสินใจที่จะหยุดใช้ระบบเก่า การติดตั้งวิธีนี้ทำให้สามารถเปรียบเทียบผลของการดำเนินงานระหว่างระบบใหม่กับระบบเก่าได้ แต่ อาจจะต้องใช้ค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง เนื่องจากการดำเนินงานสองระบบในเวลาเดียวกันอาจจะต้องมี การเพิ่มพนักงานบางตำแหน่งเพื่อดูแลระบบงานใหม่ ทั้งยังต้องคอยดูแลบำรุงรักษาระบบให้มีความ สมบูรณ์และมีประสิทธิภาพมากที่สุด และในบางครั้งอาจทำให้ผู้ใช้ระบบเกิดความสับสนได้ 3.3 การติดตั้งแบบนำร่อง (Pilot Installation) เป็นวิธีการที่มีการใช้ระบบงานใหม่เพียง หน่วยเดียวขององค์กรก่อนเพื่อเป็นการนำร่อง แล้วจึงค่อยปรับเปลี่ยนทั้งหมดเมื่อเห็นว่าระบบใหม่
295 นั้นลงตัวแล้ว เช่น การใช้ระบบงานใหม่เฉพาะแผนกจัดซื้อแผนกเดียวก่อน การใช้ระบบงานใหม่ เฉพาะสาขาเดียวก่อน หรือเฉพาะบางภูมิภาคก่อน เป็นต้น ข้อดีของการติดตั้งวิธีนี้คือ เสียค่าใช้จ่าย น้อย และเมื่อเกิดข้อผิดพลาดหรือความเสียหายเนื่องจากระบบงานใหม่ ความเสียหายนั้นจะจำกัด อยู่เพียงแค่สถานที่ขององค์กรที่จัดให้มีการติดตั้งระบบใหม่แบบนำร่องเท่านั้น หรือจำกัดอยู่เพียง สาขาเดียว ไม่ทำให้การดำเนินธุรกิจของทั้งองค์กรเสียหายไปด้วย ทั้งยังสามารถติดตามผล และดูแล ระบบใหม่ได้อย่างเต็มที่เพื่อปรับปรุงและแก้ไขให้เป็นระบบที่สมบูรณ์ก่อนที่จะนำไปปรับเปลี่ยนกับ ส่วนที่เหลือของ องค์กร ทั้งนี้ทีมนักพัฒนาต้องมีการดูแลรักษาระบบใหม่ไปพร้อมๆ กับระบบเก่าที่ ยังคงใช้งานอยู่ส่วนใหญ่ด้วย 3.4 การติดตั้งแบบทยอยติดตั้งเป็นระยะ (Phased Installation) หรือเรียกอีกอย่างว่า “Staged Installation”เป็นวิธีการที่มีการใช้ระบบงานใหม่เพียงบางส่วนก่อนระยะหนึ่งควบคู่ไปกับ ระบบงานเก่า แล้วจึงค่อยๆ ทยอยใช้ระบบงานใหม่เพิ่มขึ้นทีละส่วนจนกระทั่งครบทุกส่วนของ ระบบงานใหม่อย่างเต็มรูปแบบในที่สุด วิธีการนี้มีลักษณะการติดตั้งคล้ายแบบนำร่อง คือเริ่มจากจุด เดียวก่อน แต่ต่างกันตรงที่วิธีแบบทยอยติดตั้งเป็นระยะ ไม่คำนึงถึงสถานที่ แต่คำนึงถึงระบบงาน ย่อยโดยการติดตั้งทีละระบบ ซึ่งอาจจะกระจายไปตามสาขาต่างๆ ที่มีการใช้ระบบงานย่อยนั้น เมื่อ ระบบงานย่อยที่ใช้งานเริ่มแรกสมบูรณ์แล้ว จึงเริ่มนำระบบย่อยต่อไปมาใช้งาน เป็นเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ จนครบทั้งระบบในที่สุด ข้อดีของวิธีการนี้คือ สามารถจำกัดความเสี่ยงที่เกิดขึ้นได้ เนื่องจากการ ปรับเปลี่ยนเป็นช่วงระยะเวลาและบางสถานที่ ทำให้ความเสี่ยงหรือข้อผิดพลาดเกิดขึ้นในช่วงที่มี การเปลี่ยนแปลงและสถานที่ที่ใช้ระบบงานใหม่เท่านั้น ส่วนข้อเสียคือ ความไม่สอดคล้องของการ ดำเนินงานในระบบใหม่และระบบเก่า เนื่องจากมีการนำระบบงานย่อยของระบบใหม่เข้ามาใช้ ร่วมกับระบบเก่า เช่น หากมีการนำระบบการสั่งซื้อซึ่งเป็นระบบใหม่เข้ามาใช้งานก่อนอาจจะเกิด ปัญหาในการติดต่อระหว่างฐานข้อมูลของระบบใหม่กับฐานข้อมูลของระบบเก่าได้ 4.3.4 การจัดทำคู่มือการใช้งาน ในระหว่างที่มีการพัฒนาระบบงานนั้นจะเกิดเอกสารแสดงรายละเอียดของระบบงานเกิดขึ้น มากมายไม่ว่าจะเป็นเอกสารที่เกิดจากขั้นตอนการวิเคราะห์ระบบ หรือการออกแบบระบบ และเมื่อ มาถึงขั้นตอนการติดตั้งระบบแล้ว เอกสารต่างๆ เหล่านั้นจะต้องทำการปรับปรุงให้เป็นเอกสารที่ แสดงรายละเอียดของระบบใหม่ที่ถูกต้องที่สุด นอกจากนี้ยังจะต้องจัดทำเอกสารคู่มือสำหรับผู้ใช้ เพื่อแสดงรายละเอียดขั้นตอนการทำงาน ภาพรวมของระบบใหม่ทั้งหมดเพื่อใช้อ้างอิงในระหว่าง การใช้งานระบบใหม่ โดยจำแนกการจัดทำเอกสารออกเป็น 2 ประเภทคือ เอกสารของระบบ (System Documentation) และเอกสารของผู้ใช้ (User Documentation) 1) เอกสารของระบบ (System Documentation) คือเอกสารที่แสดงขั้นตอนการทำงาน ภายในของระบบ และรายละเอียดข้อมูลเฉพาะของการออกแบบระบบ เช่น แบบจำลองชนิดต่างๆ
296 ที่ใช้เป็นเครื่องมือในระหว่างการวิเคราะห์ระบบ (Diagram) พจนานุกรมข้อมูล (Data Dictionary) แบบร่างสำหรับการออกแบบแบบฟอร์ม รายงาน หน้าจอ และต้นแบบ เป็นต้น เอกสารของระบบ จะช่วยให้การบำรุงรักษาทำได้สะดวกขึ้น เนื่องจากสามารถเป็นข้อมูลสำหรับอ้างอิงการทำงานของ ระบบเมื่อเกิดปัญหาได้ และหากเกิดกรณีที่องค์กรเปลี่ยนทีมงานพัฒนาระบบ เอกสารเหล่านี้จะช่วย ให้ทีมพัฒนาทีมใหม่ทำความเข้าใจกับโปรแกรม ขั้นตอนการทำงานและอื่นๆ ที่เกิดขึ้นในระบบได้ รวดเร็วยิ่งขึ้น โดยเอกสารของระบบสามารถจำแนกออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ เอกสารภายใน (Internal Documentation) และเอกสารภายนอก (External Documentation) - เอกสารภายใน (Internal Documentation) คือเอกสารของระบบที่แสดง รายละเอียดส่วนของโค้ดโปรแกรมที่เขียนขึ้น พร้อมทั้งคำอธิบายโปรแกรม ผลการรันโปรแกรมและ อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับโปรแกรมระบบ - เอกสารภายนอก (External Documentation) คือเอกสารที่เป็นแผนภาพ และ แบบจำลองชนิดต่างๆ ของระบบ เช่น แผนภาพกระแสข้อมูล (Data Flow Diagram: DFD), แผนภาพแสดงความสัมพันธ์ของข้อมูล (Entity Relationship Diagram: E-R diagram) เป็นต้น 2) เอกสารของผู้ใช้ (User Documentation) คือเอกสารที่จัดทำขึ้นเพื่อแสดงขั้นตอนการ ใช้งานระบบ และวิธีการใช้งานโปรแกรม รวมถึงคู่มือการใช้งาน (User’s Guide) คู่มือสำหรับนัก บริหารระบบ (System Administration’s Guide) ซึ่งอาจจะอยู่ในรูปของเอกสารเป็นเล่ม และ แสดงไว้ในส่วนช่วยเหลือ (Help) ภายในโปรแกรมก็ได้ แต่การจัดรูปแบบเพื่อแสดงรายละเอียดการ ใช้งานโปรแกรม จะต้องมีรูปแบบที่อ่านเข้าใจง่าย ค้นหาง่าย แสดงหัวข้อชัดเจน รวมทั้งแสดงถึง ปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นเนื่องจากการใช้งานและวิธีแก้ปัญหา 4.3.5 การฝึกอบรม การฝึกอบรมผู้ใช้ ทำให้ผู้ใช้มีความเข้าใจและมีทักษะในการใช้งานระบบได้เป็นอย่างดีและ ถ้ากรณีระบบงานนั้นเป็นระบบใหม่ทั้งหมด การใช้คู่มือเพียงอย่างเดียวอาจจะไม่เพียงพอต่อการ สร้างความเข้าใจระบบ ดังนั้นองค์กรและนักวิเคราะห์ระบบควรจะมีการจัดหลักสูตรฝึกอบรมการใช้ งานโปรแกรมให้กับผู้ใช้ ซึ่งวิธีการและเทคนิคในการจัดฝึกอบรมจะมีความแตกต่างกันไปแต่ละ องค์กร แต่สิ่งสำคัญที่อาจจะส่งผลกระทบต่อการจัดหลักสูตรฝึกอบรมให้แก่ผู้ใช้ก็คือ ค่าใช้จ่าย การจัดหลักสูตรฝึกอบรม จะต้องได้รับการวางแผนเป็นอย่างดี โดยจะต้องทราบถึงกลุ่มผู้ใช้ เป้าหมายที่จะจัดฝึกอบรม หน้าที่การทำงานของกลุ่มเป้าหมายนั้น จัดหัวข้อการฝึกอบรม จัดตั้ง วัตถุประสงค์ของหลักสูตรที่ผู้ใช้จะต้องได้รับหลังจากจบหลักสูตรแล้ว การประเมินผลหลังการ ฝึกอบรมโดยรูปแบบในการฝึกอบรมอาจจะมีการจัดฝึกอบรมในลักษณะต่างๆ ดังนี้ 1) จัดเป็นหลักสูตรฝึกอบรมเป็นกลุ่ม 2) ฝึกอบรมด้วยสื่อการสอนอิเล็กทรอนิกส์
297 3) ฝึกอบรมด้วยสื่อการสอนอิเล็กทรอนิกส์พร้อมกับมีผู้เชี่ยวชาญคอยแนะนำ 4) ผู้ใช้ฝึกอบรมด้วยตัวเองจากส่วนช่วยเหลือของโปรแกรม 5) ฝึกอบรมโดยผู้จำหน่ายโปรแกรมหรือกลุ่มผู้รับพัฒนาระบบภายนอกองค์กร 6) ฝึกอบรมผ่านทางอินเทอร์เน็ต 4.3.6 การประเมินผลระบบ การประเมินผลระบบจะเกิดหลังจากการติดตั้งและใช้งานระบบ โดยมีจุดประสงค์เพื่อ ต้องการประเมินผลระบบงานว่า ระบบใหม่ที่ใช้งานเป็นไปตามความต้องการหรือตรงตาม วัตถุประสงค์ของผู้ใช้หรือไม่ เป็นที่น่าพึงพอใจอยู่ในระดับใด มีข้อบกพร่องส่วนใดบ้างที่คิดว่าน่าจะ ได้รับการปรับปรุงไม่ว่าจะเป็นด้านฟังก์ชันการทำงานของระบบ การโต้ตอบกับระบบ ความ ปลอดภัยของระบบ รวมถึงเอกสารคู่มือประกอบการใช้งาน ผลการประเมินเหล่านี้ล้วนเป็นข้อมูลที่ มีประโยชน์ต่อนักวิเคราะห์ระบบและทีมงาน ทำให้ทีมงานรับรู้ถึงผลการประเมินในด้านต่างๆ เพื่อ นำไปปรับปรุงส่วนงานที่ยังไม่สมบูรณ์หรือยังมีข้อบกพร่องอยู่ให้มีแนวโน้มที่ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม ในการประเมินผลระบบใหม่ ควรกำหนดช่วงเวลาที่เหมาะสม เพราะหากประเมินผล หลังจากการใช้งานไม่นาน ผู้ใช้อาจยังไม่พบข้อบกพร่องใด จากระบบ ในขณะเดียวกันหาก ประเมินผลหลังจากการใช้งานนานเกินไป อาจทำให้ผู้ใช้จดจำเหตุการณ์บางอย่างไม่ได้ ดังนั้น จึงมี ผู้เชี่ยวชาญได้คำแนะนำว่า ช่วงเวลาที่เหมาะสมกับการประเมินผลระบบ ก็คือ ควรดำเนินการ ภายหลังการติดตั้งและใช้งานไปแล้วประมาณ 6-9 เดือน ตัวอย่างแสดงหัวข้อการประเมินความพึง พอใจของผู้ปฏิบัติงานที่มีต่อระบบใหม่ แสดงดังต่อไปนี้ ลำดับ หัวข้อการประเมินผล ระดับความพึงพอใจ 1 ระบบงานใหม่ช่วยลดขั้นตอนการทำงานได้เป็นอย่างดี 5 4 3 2 1 2 ระบบงานใหม่ช่วยให้การค้นหาข้อมูลต่างๆ รวดเร็วขึ้น 3 ระบบงานใหม่มีระบบควบคุมที่ดี ช่วยลดข้อผิดพลาด 4 กระบวนการประมวลผลมีเพียงพอและเหมาะสมกับความต้องการ 5 ระบบงานทำงานภายใต้เครือข่ายมีความคล่องตัวสูง และตอบสนอง ผู้ใช้งานได้เป็นอย่างดี 6 หน้าจอมีการออกแบบสวยงาม ดึงดูดการใช้งานดี 7 การโต้ตอบระหว่างผู้ใช้กับระบบมีความสะดวกและเข้าใจง่าย 8 โปรแกรมมีปุ่มฟังก์ชันให้เลือกใช้งานอย่างเพียงพอและเหมาะสม 9 ลำดับการทำงานของแต่ละโปรเซสมีความชัดเจนและเข้าใจง่าย 10 คู่มือการใช้งาน สื่อสารได้เข้าใจง่ายและปฏิบัติตามขั้นตอนได้จริง
298 4.3.7 การบำรุงรักษาระบบ (Systems Maintenance) การบำรุงรักษาระบบ จะเกิดขึ้นหลังจากระบบได้ทำการติดตั้งใช้งานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว การบำรุงรักษา เป็นขั้นตอนเพื่อการดูแลระบบเมื่อมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น ทีมงานที่รับผิดชอบหน้าที่ ในส่วนนี้ จะต้องทำการแก้ไขข้อผิดพลาดนั้น เช่น ข้อผิดพลาดของโปรแกรม (Errors) ระหว่างที่ผู้ใช้ ปฏิบัติงาน เป็นต้น รวมทั้งยังเป็นขั้นตอนเพื่อการปรับปรุง ดัดแปลง หรือแก้ไขทั้งโปรแกรมและ ขั้นตอนการทำงานของระบบ นอกจากนี้ยังจะต้องปรับปรุงการทำงานบางส่วนของระบบ ให้สามารถ ทำงานตามความต้องการของผู้ใช้ที่เพิ่มขึ้นอยู่เสมอ ทั้งนี้เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพ เศรษฐกิจ ทำให้เงื่อนไขหรือรูปแบบการดำเนินงานอาจเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย อีกทั้งเทคโนโลยี สารสนเทศที่มีการพัฒนาให้ทันสมัยและมีศักยภาพในการทำงานเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้นจึงต้องมีการ บำรุงรักษาระบบให้ยังคงมีประสิทธิภาพในการทำงานอยู่เสมอ หลังจากใช้งานระบบใหม่ไปได้ช่วงระยะเวลาหนึ่ง ทีมงานบำรุงรักษาระบบ อาจจะต้องมี การปรับปรุงการทำงานของระบบให้ทันสมัย ตามสภาพการณ์ของธุรกิจและจากการร้องขอของผู้ใช้ แต่เนื่องจากการปรับปรุงระบบในแต่ละครั้งนั้น จะต้องเกิดค่าใช้จ่ายซึ่งหมายถึงต้นทุน ดังนั้นในการ ร้องขอให้ปรับปรุงระบบแต่ละครั้ง จะต้องได้รับการอนุมัติจากผู้บริหาร นักวิเคราะห์ระบบ โปรแกรมเมอร์และผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย กระบวนการในการบำรุงรักษา 1) เก็บรวบรวมคำร้องขอให้ปรับปรุงระบบ โดยเริ่มจากองค์กรจะต้องจัดเตรียมแบบฟอร์ม การร้องขอให้ปรับปรุงระบบ โดยผู้ใช้จะต้องระบุปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุให้ต้องมีการปรับปรุง ระบบ ซึ่งปัญหาเหล่านั้นอาจมีความแตกต่างกันออกไป ดังนั้นในการเก็บรวบรวม จะต้องจัดกลุ่ม ของปัญหาหรือจัดการข้อมูลที่รวบรวมมาได้ให้มีขอบเขตอย่างชัดเจน 2) วิเคราะห์ข้อมูลการร้องขอเพื่อการปรับปรุง หลังจากรวบรวมข้อมูลร้องขอได้แล้ว ทีมงานบำรุงรักษาระบบจะต้องวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านั้น เพื่อเพิ่มความเข้าใจในปัญหา และประเมิน ถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับระบบ หากมีการปรับปรุงการทำงานบางส่วนของระบบ รวมถึงจะต้อง ประเมินความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นและความเป็นไปได้ของการปรับปรุง และทำการพิจารณาอนุมัติคำ ร้องขอเพื่อปรับปรุงระบบในส่วนที่เหมาะสมที่สุด 3) ออกแบบการทำงานที่ต้องการปรับปรุง เป็นการออกแบบการทำงานในบางส่วนของ ระบบที่ต้องการปรับปรุงหรือดัดแปลง กรณีที่การร้องขอนั้นได้รับการอนุมัติแล้ว 4) ปรับปรุงระบบ หลังจากที่ได้ออกแบบการทำงานที่ต้องการปรับปรุงแล้ว ทีมงานจะนำ แบบร่างที่ได้ออกแบบไว้มาพัฒนาให้สัมฤทธิ์ผล เช่น ดัดแปลงโปรแกรมเพื่อเพิ่มเติมสิ่งต่างๆ หรือ เพิ่มตาราง (Table) ในฐานข้อมูล เป็นต้น
299 จากกระบวนการของการบำรุงรักษา สิ่งที่ได้ ก็คือระบบที่ได้รับการปรับปรุงหรือดัดแปลง แล้ว ซึ่งไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงครั้งที่เท่าใดก็ตาม สิ่งที่นักวิเคราะห์ระบบและทีมงานจะต้องไม่ลืมก็ คือ จะต้องปรับปรุงชุดเอกสารทั้งเอกสารระบบ (System Document) และเอกสารของผู้ใช้ (Use Document) ให้เป็นปัจจุบันเสมอ ประเภทของการบำรุงรักษา 1) การบำรุงรักษาระบบด้วยการแก้ไขให้ถูกต้อง (Corrective Maintenance) เป็นการ บำรุงรักษาเพื่อให้ระบบทำงานได้ถูกต้องทันทีที่มีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น การบำรุงรักษาประเภทนี้มัก เกิดขึ้นทันทีหลังจากที่ได้ติดตั้งระบบงานใหม่ เนื่องจากเป็นการแก้ไขเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นทันทีจาก การใช้งานระบบใหม่ จึงอาจทำให้เกิดความไม่คล่องตัวในระหว่างการทำงาน หรืออาจทำให้การ ดำเนินงานหยุดชะงักได้ 2) การบำรุงรักษาระบบด้วยการดัดแปลง (Adaptive Maintenance) เป็นการบำรุงรักษา เพื่อดัดแปลงขั้นตอนการทำงานบางส่วนของระบบตามความต้องการและตามเงื่อนไขในการดำเนิน ธุรกิจที่เพิ่มขึ้น เช่น กรณีมีการเปลี่ยนอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ หรือซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการ อาจส่งผล ต่อระบบงานที่ดำเนินอยู่เกิดข้อขัดข้องบ้าง อันเนื่องมาจากสภาพแวดล้อมถูกเปลี่ยนแปลงไปจาก เดิม จึงต้องมีการดัดแปลงแก้ไข เพื่อให้ระบบสามารถทำงานอยู่บนสภาพแวดล้อมใหม่ได้โดยไม่ ติดขัด การบำรุงรักษาระบบประเภทนี้ไม่จำเป็นต้องดำเนินการในทันทีหลังจากการติดตั้งระบบ เนื่องจากเงื่อนไขทางธุรกิจหรือเทคโนโลยีต่างๆ นั้นค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปตามเวลาและสภาพการณ์ ซึ่งองค์กรสามารถเตรียมพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงได้จากการติดตามข่าวสารเทคโนโลยีและวงการ ธุรกิจ 3) การบำรุงรักษาด้วยการปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น (Perfective Maintenance) เป็นการ บำรุงรักษาระบบด้วยการปรับปรุงกระบวนการที่มีอยู่ให้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม เพื่อให้สามารถใช้งานได้ง่าย มากขึ้น เช่น เพิ่มลักษณะ Interface ของโปรแกรมใหม่ให้สามารถใช้งานง่ายมากขึ้นกว่าเดิม หรือ ลดขั้นตอนบางอย่างในการป้อนข้อมูลเข้าสู่ระบบ เพื่อให้สามารถนำข้อมูลเข้าสู่ระบบได้เร็วขึ้น เป็น ต้น 4) การบำรุงรักษาด้วยการป้องกัน (Preventive Maintenance) เป็นการบำรุงรักษาระบบ เพื่อป้องกันหรือลดโอกาสที่จะเกิดข้อผิดพลาดขึ้นในระหว่างการดำเนินงานในอนาคต เช่น การเพิ่ม ความสามารถในการเก็บข้อมูล ให้สามารถรองรับจำนวนลูกค้าที่เพิ่มขึ้นในอนาคต เป็นต้น การ บำรุงรักษาประเภทนี้ต้องมีการวางแผนไว้ล่วงหน้าว่าจะดำเนินการบำรุงรักษาระบบเป็นประจำใน ช่วงเวลาใดบ้าง เช่น เป็นประจำทุกสัปดาห์ หรือทุกเดือน เป็นต้น
300 ใบงาน จากระบบประเมินการสอนออนไลน์ ให้นักศึกษาอธิบายในประเด็นต่อไปนี้ 1. บอกเครื่องมือและซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการเขียนโปรแกรมพร้อมทั้งอธิบายแต่ละเครื่องมือ ว่ามีหน้าทีอะไร 2. อธิบายวิธีการทดสอบโปรแกรมประเมินการสอนออนไลน์ว่ามีวิธีการทดสอบอย่างไร 3. เลือกวิธีการติดตั้งโปรแกรมพร้อมทั้งบอกเหตุผลที่เลือกวิธีการนั้น 4. ออกแบบแบบประเมินผลระบบการสอนออนไลน์
301 แบบฝึกหัด 1. ในการพัฒนาระบบสารสนเทศประกอบด้วยกิจกรรมอะไรบ้าง 2. ขั้นตอนการเขียนโปรแกรมที่สำคัญๆ ประกอบด้วยขั้นตอนอะไรบ้าง 3. จงอธิบายการทดสอบแบบกล่องดำ (Black Box Testing) และการทดสอบแบบกล่องขาว (White Box Testing) ว่ามีลักษณะการทดสอบเป็นอย่างไร 4. ขั้นตอนการทดสอบระบบมีขั้นตอนใดบ้าง 5. จงอธิบายวิธีการติดตั้งระบบแบบทันทีทันใด (Direct Installation) 6. วิธีการติดตั้งระบบแบบขนาน (Parallel Installation) มีลักษณะอย่างไร 7. วิธีการติดตั้งระบบแบบนำร่อง (Pilot Installation) มีลักษณะอย่างไร 8. วิธีการติดตั้งระบบแบบทยอยติดตั้งเป็นระยะ (Phased Installation) มีลักษณะอย่างไร 9. คู่มือการใช้งานของระบบ (System Documentation) และคู่มือการใช้งานสำหรับผู้ใช้ (User Documentation) มีลักษณะอย่างไร 10. จงอธิบายกระบวนการในการบำรุงรักษาระบบว่ามีกระบวนการอย่างไร
302 เฉลยแบบฝึกหัด 1. การเขียนโปรแกรม การทดสอบโปรแกรม การติดตั้งโปรแกรม การฝึกอบรม การทำคู่มือ การ ประเมินระบบ 2. 2.1 คัดเลือกภาษาระดับสูงเพื่อนำมาเขียนโปรแกรม 2.2 เขียนโปรแกรมตามหลักไวยากรณ์ของภาษาที่ได้คัดเลือกนำมาใช้ในการพัฒนาระบบ 3. การทดสอบแบบกล่องดำ (Black Box Testing) เป็นการทดสอบที่มุ่งเน้นทดสอบผลลัพธ์ที่ได้ จากการประมวลผลว่าถูกต้องหรือไม่ โดยไม่จำเป็นต้องรู้รายละเอียดภายในโปรแกรม การทดสอบแบบกล่องขาว (White Box Testing) เป็นการทดสอบที่เปรียบเสมือนระบบเป็น กล่องใสที่เรามองเห็นสิ่งต่างๆ ภายใน 4. ขั้นตอนการทดสอบระบบมีดังนี้ 1. การทดสอบหน่วยย่อย (Unit Testing) 2. การทดสอบการนำโปรแกรมมาประกอบรวมกัน (Integration Testing) 3. การทดสอบระบบ (System Testing) 4. การทดสอบการยอมรับในระบบ (Acceptance Testing) 5. การติดตั้งแบบทันทีทันใด (Direct Installation) เป็นวิธีการติดตั้งที่ยกเลิกระบบงานเก่าและใช้ ระบบงานใหม่ทันที ซึ่งระบบงานใหม่ที่จะนำมาใช้นั้นควรจะต้องผ่านการทดสอบอย่างหนักและผ่าน การแก้ไขข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นจากการทดสอบมาแล้วอย่างครบถ้วน 6. การติดตั้งแบบขนาน (Parallel Installation) เป็นวิธีการติดตั้งที่ใช้ระบบใหม่ไปพร้อมๆ กับ ระบบเก่า จนกว่าผู้ใช้และผู้บริหารจะพอใจระบบใหม่และตัดสินใจที่จะหยุดใช้ระบบเก่า 7. การติดตั้งแบบนำร่อง (Pilot Installation) เป็นวิธีการที่มีการใช้ระบบงานใหม่เพียงหน่วยเดียว ขององค์กรก่อนเพื่อเป็นการนำร่อง แล้วจึงค่อยปรับเปลี่ยนทั้งหมดเมื่อเห็นว่าระบบใหม่นั้นลงตัว 8. การติดตั้งแบบทยอยติดตั้งเป็นระยะ (Phased Installation) หรือเรียกอีกอย่างว่า “Staged Installation”เป็นวิธีการที่มีการใช้ระบบงานใหม่เพียงบางส่วนก่อนระยะหนึ่งควบคู่ไปกับระบบงาน เก่า แล้วจึงค่อยๆ ทยอยใช้ระบบงานใหม่เพิ่มขึ้นทีละส่วนจนกระทั่งครบทุกส่วนของระบบงานใหม่ อย่างเต็มรูปแบบในที่สุด 9. เอกสารของระบบ (System Documentation) คือเอกสารที่แสดงขั้นตอนการทำงานภายใน ของระบบ และรายละเอียดข้อมูลเฉพาะของการออกแบบระบบ
303 เอกสารของผู้ใช้ (User Documentation) คือเอกสารที่จัดทำขึ้นเพื่อแสดงขั้นตอนการใช้งาน ระบบ และวิธีการใช้งานโปรแกรม 10. จงอธิบายกระบวนการในการบำรุงรักษาระบบว่ามีกระบวนการอย่างไร - เก็บรวบรวมคำร้องขอให้ปรับปรุงระบบ - วิเคราะห์ข้อมูลการร้องขอเพื่อการปรับปรุง - ออกแบบการทำงานที่ต้องการปรับปรุง - ปรับปรุงระบบ
กรณีศึกษา การวิเคราะห์และออกแบบระบบสารสนเทศ เพื่อเป็นการฝึกทักษะการวิเคราะห์และออกแบบระบบสารสนเทศ
305 กรณีศึกษา การพัฒนาระบบสารสนเทศบริหารจัดการตลาดมดตะนอย ท่องเที่ยววิถีชุมชน ใน รูปแบบของ Web Application หลังจากที่ประเทศไทยหรือทั่วโลกได้ประสบกับสถานการณ์ปัญหาโรคระบาดของเชื้อไวรัสโค โรนา หรือ COVID-19 ได้ส่งผลให้รัฐบาลต้องใช้มาตรการเพื่อควบคุมการระบาด โดยได้เริ่มใช้ มาตรการล็อกดาวน์ในวันที่ 26 มีนาคม 2563 ไปจนถึงสิ้นเดือนเมษายน 2563 เป็นอย่างน้อย ส่งผล ให้เศรษฐกิจหยุดชะงักซึ่งมาตรการต่าง ๆ นอกจากจะส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของเราแล้วยัง ส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจ และเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศไทย COVID-19 แม้จะเป็นโรคที่ไม่ รุนแรงถึงขั้นที่เป็นแล้วเสียชีวิตทุกคน แต่สามารถแพร่กระจายไปในวงกว้างอย่างรวดเร็ว ทำให้ ประชาชนเกิดความหวาดกลัวเป็นอย่างมาก ทั้งนี้หลายๆ อย่างชะลอตัวลง ไปจนถึงขั้นหยุดชะงัก แต่ ในทางกลับกันกับกระตุ้นให้เกิดการปรับเปลี่ยนเพื่อเป็นทางเลือกสู่ทางรอดมากขึ้น ดังนั้นทำให้ภาค ธุรกิจอย่างเช่นตลาดที่ได้รับผลกระทบจากโรคระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา หรือ COVID-19 ได้ มองเห็นถึงแนวทางการแก้ไข การฟื้นฟู การดำรงรักษาไว้และการทำให้คนในตลาดยังมีรายได้ ตลาดน้ำฮาล้าล หรือตลาดมดตะนอย ตั้งอยู่บริเวณมัสยิดนูรุ้ลหุดา ถนนพุทธบูชา ซอย 36 แยก 8 บางมด ทุ่งครุ กรุงเทพมหานคร ตลาดแห่งนี้เกิดจากการรวมตัวกันของคนในชุมชนมัสยิดนูรุ้ ลหุดา เพื่อหารายได้เสริมที่ไม่ต้องออกไปทำงานนอกบ้าน จึงมีแนวคิดเปิดบ้านให้นักท่องเที่ยวเข้ามา สัมผัสวิถีชีวิตชุมชน ริมคลองบางมด มีอาหารฮาล้าล ล่องเรือชมสวน รวมถึงเวิร์คช็อป งานอาร์ตและ งานฝีมือ แต่เนื่องด้วยเกิดสถานการณ์โรคระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา หรือ COVID-19 ทำให้ต้องมี การปิดตลาดเพื่อลดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา หรือ COVID-19 จึงทำให้คนในชุมชนขาด รายได้ ลูกค้าหรือนักท่องเที่ยวไม่สามารถเข้าไปท่องเที่ยวหรือซื้ออาหารรวมถึงสินค้าต่าง ๆ ได้ ดังนั้น ผู้จัดทําโครงการจึงมีแนวคิดในการพัฒนาระบบบริหารจัดการตลาดมดตะนอย ท่องเที่ยววิถีชุมชน โดยนําเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ และโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟนเข้ามาช่วยในการ บริหารจัดการอย่างมีแบบแผนและมีมาตรฐาน ซึ่งจะมีลักษณะการสั่งซื้อสินค้าของลูกค้า และการ จัดส่งสินค้าของแต่ละ ร้านภายในตลาดมดตะนอย โดยให้อยู่ในรูปแบบของ Online Delivery คือ บริการขนส่งสินค้าถึง สถานที่ที่ลูกค้าเลือก เพื่อทดแทนระบบงานเดิม และระบบงานใหม่นี้สามารถค้นหา เพิ่ม ลบ แก้ไข ข้อมูลสมาชิก ข้อมูลสินค้า ข้อมูลการจัดส่งสินค้า ข้อมูลการรับคําสั่งซื้อสินค้า และการออกรายงานใน ด้านต่าง ๆ เพื่อเพิ่มความสะดวก ความรวดเร็ว การเข้าถึงข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ลดการแพร่ระบาดของ เชื้อไวรัสโคโรนา หรือ COVID-19 ของลูกค้า และเพิ่มประสิทธิภาพในการดําเนินงานให้ดียิ่งขึ้น
306 ขอบเขตของระบบ ขอบเขตของระบบที่ได้จากการรับความต้องการ แบ่งเป็นส่วนต่างๆ ดังนี้ 1 ผู้ดูแลระบบ (Administrator) 1.1 เข้าสู่ระบบ 1.2 เพิ่ม แก้ไข ข้อมูลลูกค้า (User) 1.3 เพิ่ม แก้ไข ข้อมูลร้านค้า (Seller) 1.4 เพิ่ม แก้ไข ข้อมูลคนรับส่งอาหาร (Partner) 1.5 เพิ่ม แก้ไข ข้อมูลกิจกรรม 1.6 เพิ่ม แก้ไข ข่าวประชาสัมพันธ์ต่าง ๆ 1.7 ออกรายงานยอดขายประจำวัน/สัปดาห์/เดือน 2. ลูกค้า (User) 2.1 เข้าสู่ระบบ 2.2 สมัครสมาชิก 2.2 เพิ่ม แก้ไข ข้อมูลส่วนตัวของลูกค้า 2.3 ค้นหารายการสินค้า 2.4 ค้นหากิจกรรม 2.5 ทำรายการซื้อสินค้า 2.6 ยืนยันการซื้อสินค้า 2.7 ยืนยันการจองกิจกรรม 2.9 ทำรายการชําระเงิน 2.10 ยืนยันการชําระเงิน 2.11 ติดตามสถานะการจัดส่งสินค้า 2.12 ติดตามสถานะการจัดส่งสินค้า 3. คนรับ-ส่งอาหาร (Rider) 3.1 เข้าสู่ระบบ 3.2 สมัครสมาชิก 3.3 เพิ่ม แก้ไข ข้อมูลส่วนตัว 3.4 รับคำสั่งซื้อ (order) จากผู้ซื้อ 3.5 ทำรายการชําระเงิน 4. ร้านค้า (Seller) ทำหน้าที่ 4.1 เข้าสู่ระบบ
307 4.2 รับคำสั่งซื้อ (order) รายการสินค้าและอาหาร 4.3 ตรวจสอบรายการสินค้าและอาหาร 4.4 จัดส่งรายการสินค้าและอาหารให้แก่Partner 4.5 รับชําระค่าสินค้าและอาหารจาก Partner 4.6 รับชําระค่าสินค้าและอาหารจาก User การวิเคราะห์และออกแบบระบบ เมื่อได้ความต้องการและขอบเขตของระบบใหม่เรียบร้อยแล้ว สามารถนำเสนอความต้องการ นั้นในรูปแบบของแผนภาพกระแสข้อมูล (Data Flow Diagram : DFD) โดยขั้นตอนแรกจะทำการ สร้างแผนภาพบริบท (Context Diagram) เพื่อแสดงภาพรวมทั้งหมดของระบบ หลังจากนั้นจึงสร้าง แผนภาพกระแสข้อมูลระดับย่อยๆ ลงมาเรื่อยๆ จนไม่สามารถแตกย่อยได้อีก ดังรายละเอียดต่อไปนี้ 1. แผนภาพบริบท (Context Diagram) ระบบสารสนเทศบริหารจัดการตลาดมดตะนอย ท่องเที่ยววิถีชุมชน ในรูปแบบของ Web Application
308 2. ไดอะแกรม 0 ของระบบสารสนเทศบริหารจัดการตลาดมดตะนอย ท่องเที่ยววิถีชุมชน ใน รูปแบบของ Web Application
309 3. แผนภาพแสดงความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูล (Entity Relationship Diagram: ERDiagram)
310 4. การออกแบบหน้าจอ (User Interface Design) ตัวอย่างการออกแบบหน้าจอระบบสารสนเทศบริหารจัดการตลาดมดตะนอย ท่องเที่ยววิถี ชุมชน ในรูปแบบของ Web Application แสดงดังรายละเอียดต่อไปนี้ หน้าจอแสดงข้อมูลการซื้อสินค้า หน้าจอแสดงข้อมูลการจองกิจกรรม
311 หน้าจอแสดงข้อมูลรายการจัดส่งอาหาร หน้าจอแสดงรายงานการขายประจำวัน
312 หน้าจอแสดงข้อมูลการชำระเงิน
กรณีศึกษา บริษัทแห่งหนึ่งประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำสลัด โดยบริษัทได้ก่อตั้งขึ้นเพื่อคิดค้นสูตร น้ำสลัดที่สะอาดและปลอดภัยสำหรับการบริโภค ในปัจจุบันบริษัทมีการวางจำหน่ายผลิตภัณฑ์ใน ศูนย์การค้าขนาดใหญ่หลายแห่ง และในอนาคตมีแนวโน้มที่จะส่งออกน้ำสลัดไปต่างประเทศ บริษัทได้ แบ่งโครงสร้างเป็น 4 ฝ่าย ได้แก่ ฝ่ายการตลาด ฝ่ายการผลิต ฝ่ายบุคลากร ฝ่ายการเงินและบัญชี ทั้งนี้ ผู้บริหารของบริษัทต้องการให้มีการพัฒนาระบบการจัดการผลิตเพื่อจะได้นำมาช่วยทางด้านการ จัดการและจัดเก็บข้อมูลการผลิต และได้สรุปงานทางด้านการผลิตไว้ดังนี้ 1) ลูกค้าทำการสั่งซื้อสินค้ามาที่ฝ่ายบัญชีและเมื่อผ่านการตรวจสอบใบสั่งซื้อแล้ว ฝ่าย บัญชีจะแจ้งการผลิตและส่งเป็นใบแจ้งการผลิตไปที่ฝ่ายการผลิต 2) ฝ่ายการผลิตจะทำการผลิตสินค้าตามใบแจ้งผลิต โดยจะเบิกวัตถุดิบมาผสมตามสัดส่วน ของแต่ละสูตร จากนั้นจะนำไปเก็บยังสต็อก 3) ฝ่ายผลิตจะบรรจุหีบห่อตามชนิดและขนาดของผลิตภัณฑ์และจดบันทึกข้อมูลผลิตภัณฑ์ แจกตามบรรจุภัณฑ์ 4) ตัวแทนจำหน่ายจัดส่งวัตถุดิบให้ฝ่ายการผลิต จากนั้นฝ่ายการผลิตจะทำการตรวจสอบ สินค้าตามใบสั่งซื้อก่อนนำวัตถุดิบที่ส่งไปจัดเก็บพร้อมบันทึกรายการที่เพิ่มในแฟ้มจัดเก็บ 5) ทุกสิ้นวันฝ่ายผลิตจะกำหนดรายการและจำนวนวัตถุดิบที่ต้องการสั่งซื้อ แล้วแจ้งเป็น รายการสั่งซื้อส่งให้ฝ่ายบัญชีเพื่อดำเนินการ นอกจากนี้ยังจัดทำรายงานสรุปการผลิตส่งให้ผู้บริการ จากกรณีศึกษาข้างต้นให้ตอบคำถามข้อ 1-3 1. จากกรณีศึกษาจงระบุ External Entity, Process, Data Flow และ Data store 2. จงเขียน Context Diagram ของระบบจัดการผลิต 3. จงเขียน Diagram 0 เพื่อแสดงขั้นตอนการทำงานหลักของระบบงาน 4. จงเขียน ER-Diagram เพื่อแสดงความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูล
บรรณานุกรม กิตติภักดีวัฒนะกุล และพนิดา พานิชกุล. (2546). คัมภีร์การวิเคราะห์และออกแบบระบบ. กรุงเทพฯ : เคทีพีคอมพ์ แอนด์ คอนซัลท์. กิตินันท์ หุ่นดี. (2562). การสร้างต้นแบบระบบ (prototype) ฉบับเร่งด่วน.[ออนไลน์]. เข้าถึงได้ จาก : shorturl.at/aimxF สืบค้นเมื่อ 4 เมษายน 2565 กิตติพงษ์ กลมกล่อม. (2552). การวิเคราะห์และออกแบบระบบเชิงวัตถุดัวย UML. กรุงเทพฯ : เคที พีคอมพ์ แอนด์ คอนซัลท์. ฐิติรัตน์ ศิริบวรรัตนกุล. (2560). ส่วนต่อประสานกับผู้ใช้และการออกแบบปฏิสัมพันธ์ User Interface and Interaction Design. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหาร ศาสตร์ ณชญาภัส รอดประยูร (2560) การเตรียมความพร้อมก่อนการตัดสินใจนำระบบการวางแผน ทรัพยากรในองค์กรมาใช้สำหรับธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ในเขตกรุงเทพมหานคร วารสารบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ปีที่ 11 ฉบับ พิเศษ พฤศจิกายน 2560 หน้า 41-52 พนิดา ตันศิริ. (2557). การวิเคราะห์และออกแบบระบบ. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์ มหาวิทยาลัย กรุงเทพ เพ็ญศรี ปักกะสีนัง. (2556). การจัดการโครงการเทคโนโลยีสารสนเทศ. กรุงเทพฯ : ซีเอ็ดยูเคชั่น. มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. (2558). เอกสารประกอบการสอนชุดวิชาการพัฒนาระบบ สารสนเทศ. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ระวีวรรณ เอื้อพันธ์วิริยะกุล. (2549). การออกแบบฐานข้อมูล (Database Design). โครงการ หลักสูตรปริญญาโท ภาคพิเศษ คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ วราภรณ์ จิรชีพพัฒนา. (2559). การบริหารโครงการเทคโนโลยีสารสนเทศ. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์. วิเชียร เปรมชัยสวัสดิ์. (2564). ระบบฐานข้อมูล. กรุงเทพฯ : สมาคมส่งเสริมเทคโนโลยี (ไทย-ญี่ปุ่น) วรลักษณ์ วงศ์โดยหวัง ศิริเจริญ. (2559). ปฏิสัมพันธ์ระหว่างคอมพิวเตอร์กับมนุษย์. สำนักพิมพ์แห่ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
315 บรรณานุกรม (ต่อ) ศิริภัทรา เหมือนมาลัย 2558 “กระบวนการพัฒนาระบบสารสนเทศ” เอกสารการสอนชุดวิชา การ พัฒนาระบบสารสนเทศ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ศรีนวล ฟองมณี. การวิเคราะห์ระบบ. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: http://srinuan.crru.ac.th/index.php สืบค้นเมื่อ 3 เมษายน 2564 สัลยุทธ์ สว่างวรรณ. (2545). ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ. กรุงเทพฯ : เพียร์สัน เอ็ดดูเคชั่น อิน โดไชน่า จำกัด สุรีรัตน์ อินทร์หม้อ. (2555). ปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับคอมพิวเตอร์. สาขาวิชาระบบสารสนเทศ คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี อนุรักษ์ พรมโคตรค้า. (2558). กระบวนการพอลิมอร์ฟิซึม. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: https://object-oriented-programmingvb.blogspot.com/2015/07/6- polymorphism.html สืบค้นเมื่อ 3 เมษายน 2564 อัษฎาพร ทรัพย์สมบูรณ์. (2554). การวิเคราะห์และออกแบบเชิงวัตถุ. กรุงเทพฯ : เคทีพีคอมพ์ แอนด์ คอนซัลท์. โอภาส เอี่ยมสิริวงศ์. (2560). การวิเคราะห์และออกแบบระบบ (ฉบับปรับปรุงเพิ่มเติม). กรุงเทพฯ : ซีเอ็ดยูเคชั่น. __________. ประเภทของการตัดสินใจ. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: https://groupwork55.wordpress.com สืบค้นเมื่อ 3 เมษายน 2564 __________. การวิเคราะห์ระบบ. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: http://blog.bru.ac.th/document สืบค้นเมื่อ 3 เมษายน 2564 __________. ความสำคัญของการวิเคราะห์และออกแบบระบบ. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: http://www.htc.ac.th/htc15/fpdf/3901-2119/lesson3.pdf สืบค้นเมื่อ 3 เมษายน 2564 John W. Satzinger, Robert B.Jackson and Stephen D. Burd. (2004). Systems Analysis & Design in a Changing World, Third Edition. Course Technology a division of Thomson Learning. Inc.
316 บรรณานุกรม (ต่อ) Kathy Schwalbe. (2006). Information Technology Project Management Fourth Edition. Course Technology a division of Thomson Learning. Inc. Ramez Elmasri and Shamkant B.Navathe. (2004). Fundamentals of DATABASE SYSTEMS FOURTH EDITION. Pearson Education, Inc. Thanyavuth Akarasomcheep. (2561). Agile คืออะไร เริ่มใช้งานอย่างไร. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้ จาก: https://medium.com/fastwork-engineering/agilevs-prototype/ สืบค้นเมื่อ 20 กุมภาพันธ์2562
317 ประวัติผู้สอน ชื่อ-สกุล นางสาวอนุมาศ แสงสว่าง ตำแหน่งทางวิชาการ อาจารย์ ประวัติการศึกษา คุณวุฒิ สาขาวิชาที่จบ ปีที่จบ มหาวิทยาลัย วท.ม. การจัดการระบบ สารสนเทศ 2550 สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ วท.บ. วิทยาการคอมพิวเตอร์ 2541 มหาวิทยาลัยรามคำแหง สังกัดหน่วยงาน สาขาวิชาระบบสารสนเทศ คณะบริหารธุรกิจ ศูนย์พณิชยการพระนคร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร โทรศัพท์ที่ทำงาน 02-665-3555 ต่อ 2361 โทรศัพท์เคลื่อนที่ 0850438580 อีเมล [email protected] ตำแหน่งปัจจุบัน อาจารย์ประจำสาขาวิชาระบบสารสนเทศ คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร ประวัติการทำงาน ตุลาคม 2561 – ปัจจุบัน อาจารย์ประจำสาขาวิชาระบบสารสนเทศ คณะ บริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร พฤษภาคม 2552 – กันยายน 2561 อาจารย์ประจำคณะเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัย นอร์ทกรุงเทพ พฤศจิกายน 2550 – เมษายน 2552 ผู้จัดการแผนกวิเคราะห์ระบบงาน ผ่ายวิเคราะห์ ระบบงาน สายเทคโนโลยีสารสนเทศ เครือโรงพยาบาลพญาไท มิถุนายน 2547 – พฤศจิกายน 2550 ผู้ช่วยผู้จัดการแผนกผลิตภัณฑ์และระบบเครือข่าย บริษัท Advanced Comm จำกัด มกราคม 2543 - มิถุนายน 2547 Programmer & System Engineer บริษัท OGA Group Co.,Ltd.
318 ผลงานทางวิชาการ อนุมาศ แสงสว่าง. (2566). การออกแบบตัวต้นแบบระบบการปลูกผักสวนครัวภายใน อาคารชุดโดยใช้เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง วารสารแม่โจ้เทคโนโลยีสารสนเทศ และนวัตกรรม มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ปีที่ 9 ฉบับที่ 1 มกราคม – มิถุนายน 2566: 61-76 อนุมาศ แสงสว่าง และ ศราวุธ แดงมาก. (2563). ต้นแบบโมบายแอปพลิเคชัน ศัพท์เทคนิคทางวิชาชีพภาษาอังกฤษ สำหรับนักศึกษา คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร. การประชุม วิชาการระดับชาติ “มศว วิจัย” ครั้งที่ 14 24 มิถุนายน 2564: 159 – 170. อนุมาศ แสงสว่าง และ ศราวุธ แดงมาก. (2561). การพัฒนาโมบายแอปพลิเคชัน สำหรับแจ้งเตือนภัยสำหรับนักศึกษาคณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราช มงคลพระนคร. การประชุมวิชาการระดับชาติ ครั้งที่ 11 มหาวิทยาลัยราชภัฏ นครปฐม มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม จังหวัดนครปฐม 11 กรกฎาคม 2562: 2090-2097