The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

แผนการสอน Active Learning รายวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน ม.3 หนังสือเรียน Spark ภาคเรียนที่ 1

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by The School of Lesson Plans, 2023-06-08 09:58:42

Spark 3

แผนการสอน Active Learning รายวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน ม.3 หนังสือเรียน Spark ภาคเรียนที่ 1

หน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐาน รายวิชาภาษาอังกฤษ 5 (อ23111) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 หน้า 43 https://wordwall.net/th/resource/12532130/present-simple-present-continuous- โดยใช้วิธีการเก็บ คะแนนสะสมจากแต่ละเกม เมื่อจบเกมแล้วกลุ่มที่ได้คะแนนรวมมากที่สุดเป็นทีมชนะ 1.3 นักเรียนดูหัวข้อ Present Perfect Tense บน PowerPoint 1.4 นักเรียนช่วยกันแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ Present Perfect Tense ว่าคือ Tense ใด ใช้อย่างไร มีความเหมือนและแตกต่างจาก Present Simple Tense และ Present Progressive Tense อย่างไร โดยครู เปิดรับทุกคำตอบของนักเรียน 2. ขั้นการนำเสนอ (Presentation) 2.1 นักเรียนดูตัวอย่างประโยค Present Perfect Tense บน PowerPoint ดังนี้ He has just watered the plants. She has served the meal. 2.2 นักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประโยคดังกล่าวทั้ง 2 ประโยคว่ามีความเหมือนและ แตกต่างกันอย่างไร 2.3 นักเรียนดูข้อมูลPresent Perfect Tense บน PowerPoint และฟังครูอธิบายดังนี้ Present perfect tense ใช้เพื่อระบุความเชื่อมโยงระหว่างปัจจุบันและอดีต เวลาที่สิ่งนั้น ๆ เกิดขึ้น คือ ก่อนหน้านี้หรือในอดีตแต่ไม่ได้ระบุไว้อย่างชัดเจน และให้ความสนใจกับผลลัพธ์มากกว่าตัวการกระทำ เอง Present Perfect Tense ถูกใช้เพื่ออธิบาย 1. สิ่งหรือเหตุการณ์ที่เริ่มต้นในอดีตและยังคงเกิดขึ้นมาจนถึงปัจจุบัน • I have lived in Bristol since 1984 (= และตอนนี้ฉันก็ยังคงอยู่ที่นั่น) 2. สิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาหนึ่งและยังไม่เสร็จสิ้น • She has been to the cinema twice this week (= ยังไม่หมดสัปดาห์)


หน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐาน รายวิชาภาษาอังกฤษ 5 (อ23111) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 หน้า 44 3. สิ่งที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งที่ไม่ได้ระบุไว้อย่างเจาะจงระหว่างอดีตและปัจจุบัน • We have visited Portugal several times. 4. สิ่งที่พึ่งทำเสร็จไปเมื่อสักครู่ที่ผ่านมา มักจะใช้คำว่า “just” • I have just finished my work. 5. การกระทำบางอย่างที่เวลาไม่ใช่ตัวบ่งชี้ที่สำคัญหรือไม่ได้ระบุไว้อย่างชัดเจน • He has read 'War and Peace'. (= ผลจากการอ่านหนังสือของเขาเป็นสิ่งที่สำคัญ) การสร้าง Present Perfect tense คำกริยาใน Present Perfect tense จะประกอบไปด้วย 2 ส่วน ได้แก่ รูปที่ถูกต้องของกริยาช่วย to have (Present tense) + กริยาช่อง 3 (Past participle) โครงสร้างของ Past participle ได้แก่ คำกริยา+ed เช่น played, arrived และ looked เป็นต้น สำหรับคำกริยาที่มีรูปพิเศษ (irregular verbs) ให้ดูที่ ตารางคำกริยาที่ มีรูปพิเศษ ในส่วนที่เรียกว่า “คำกริยา” ประโยคบอกเล่า ประธาน to have กริยาช่อง 3 She has visited. ประโยคปฏิเสธ ประธาน to have + not กริยาช่อง 3 She has not (hasn’t) visited. ประโยคคำถาม to have ประธาน กริยาช่อง 3 Has she visited? ประโยคคำถามแบบปฏิเสธ to have + not ประธาน กริยาช่อง 3 Hasn’t she visited? 3. การฝึก (Practice) 3.1 นักเรียนศึกษาวิดีโดคลิปเรื่อง Learn English Tenses: Present Perfect จาก https://www. youtube.com/watch?v=vd0yESrQMs0 3.2 นักเรียนศึกษาวิดีโดคลิปเรื่องติว TOEIC : Present Perfect สอบบ่อยสุด! ทำยังไงให้รอด!? จาก https://www.youtube.com/watch?v=lcbUl1bv_BU 3.3 นักเรียนศึกษาวิดีโดคลิปเรื่อง Present Perfect Tense อัพคะแนนได้ในไลฟ์นี้ จาก https://www.youtube.com/watch?v=MH7bApG8F7M 3.4 นักเรียนช่วยกันสรุปและถ่ายทอดสิ่งที่ได้ศึกษามา โดยครูสุ่มถามเพื่อทดสอบความเข้าใจ 3.5. นักเรียนทำแบบฝึกหัด Present Perfect Tense บน PowerPoint จำนวน 15 ข้อ Instructions : Write down the correct form of the verb given in the bracket to make a sentence into the present perfect tense. 1. Sam……………………………(beat) his friend in the 100 m race. 2. The monkey……………………………(bite) on his leg in the jungle.


หน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐาน รายวิชาภาษาอังกฤษ 5 (อ23111) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 หน้า 45 3. ……………………………you……………………………(keep) all the documents carefully? 4. The dust……………………………(blow) everywhere in the kitchen. 5. She…………………………… (not choose) anything yet for the party wearing. 6. ……………………………we……………………………(do) this task completely? 7. He……………………………(spend) most of the time playing games. 8. She……………………………(speak) a single word yet. 9. Where……………………………he……………………………(sit) yesterday? 10. I……………………………(read) all the terms and conditions of your company. 11. She……………………………already…………………………… (pay) the bill with an extra tip. 12. He……………………………(leave) suddenly from the cafe. 13. ……………………………you……………………………(hear) that musical voice coming from that direction? 14. The grass……………………………(grow) very long these days. 15. He……………………………(work) under the pressure of his boss. Answer Key 1. has beaten 2. has bitten 3. have / kept 4. has blown 5. hasn’t chosen 6. have / have 7. has spent 8. has spoken 9. has / sat 10. have read 11. has / paid 12. has left 13. have / heard 14. has grown 15. has worked 3.6 นักเรียนและครูร่วมกันตรวจสอบคำตอบจากการทำแบบฝึกหัด Present Perfect Tense บน PowerPoint จำนวน 15 ข้อ โดยครูอธิบายเพิ่มเติม เมื่อนักเรียนไม่เข้าใจ 4. การนำไปใช้ (Production) 4.1 นักเรียนศึกษาเนื้อหาเรื่อง Present Perfect Tense ในเอกสารประกอบการเรียนและศึกษาข้อมูล เพิ่มเติมจากแหล่งเรียนรู้ Internet 4.2 นักเรียนทำใบงานเรื่อง Present Perfect Tense ในเอกสารประกอบการเรียน 4.3 นักเรียนและครูร่วมกันตรวจสอบคำตอบจากการทำใบงานเรื่อง Present Progressive Tense ใน เอกสารประกอบการเรียน 4.4 นักเรียนและครูช่วยกันอธิบายถึงสาเหตุในการตอบคำถามหรือเลือกตอบในแต่ละข้อเพื่อให้นักเรียน ทุก ๆ คนเข้าใจหลักการใช้ Present Perfect Tense 4.5 นักเรียนและครูร่มกันสรุปหลักการของกฎต่าง ๆ ของPresent Perfect Tense 4.6 นักเรียนและครูร่วมกันสรุปเกี่ยวกับเนื้อหาเรื่อง Present Perfect Tense


หน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐาน รายวิชาภาษาอังกฤษ 5 (อ23111) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 หน้า 46 เรื่องที่ 7 เรื่อง Past Simple Tense จำนวนเวลาเรียน 1 ชั่วโมง วิธีการสอน (วิธีการสอนแบบ 2W3P) กิจกรรมการเรียนรู้(Active Learning) ขั้นที่ 1 ขั้นกระตุ้นทบทวนและปูพื้นฐานความรู้ (Warm up) 1.1 นักเรียนทบทวนความรู้เรื่องPast Simple Tense โดยการดูการ์ตูนเรื่อง Simple past tense cartoon จาก https://www.youtube.com/watch?v=idgwMrYhLj0 1.2 นักเรียนช่วยกันสรุปเนื้อเรื่องที่ได้จากการดูและฟังจากการดูการ์ตูนเรื่อง Simple past tense cartoon 1.3 นักเรียนช่วยกันแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นในการ์ตูนนั้นเป็นการพูดคุยถึงช่วงเวลาใด และใช้ Tense ใดในการสนทนา ขั้นที่ 2 ขั้นนำเสนอเนื้อหาสาระ (Presentation) 2.1 นักเรียนดูรูปภาพและประโยคบน PowerPoint ดังนี้ • Every day, I walk home from school. • Yesterday, I walked home from school. 2.2 นักเรียนช่วยกันแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประโยคทั้ง 2 ประโยค โดยครูเปิดรับทุกคำตอบของ นักเรียน 2.3 นักเรียนฝึกสังเกตการใช้กริยาในประโยคดังกล่าวว่ามีความเหมือนและแตกต่างกันอย่างไร พร้อมทั้ง ช่วยกันหาเหตุผลมาอธิบาย 2.4 นักเรียนฟังครูอธิบายเรื่อง Past Simple Tense Past Simple Tense หรือ Simple past tense หรือทีบางครั้งแรกว่า อดีตกาล ใช้เพื่อบอกให้ ทราบถึงสิ่งที่เกิดและเสร็จสิ้นไปแล้วในช่วงเวลาก่อนหน้านี้ ในภาษาอังกฤษ Past Simple Tense เป็นรูปพื้นฐาน ของ tense ที่ใช้บอกอดีต (past tense) โดยเวลาของสิ่งที่ถูกพูดถึงเกิดขึ้นนั้นอาจจะพึ่งเกิดและเสร็จสิ้นไปเมื่อ เร็ว ๆ นี้ หรือเกิดและเสร็จสิ้นไปนานแล้วก็ได้ ตัวอย่างเช่น • John Cabot sailed to America in 1498. • My father died last year. • He lived in Fiji in 1976. • We crossed the Channel yesterday.


หน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐาน รายวิชาภาษาอังกฤษ 5 (อ23111) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 หน้า 47 จะใช้ Past Simple Tense เมื่อบอกว่าสิ่งนั้นเกิดขึ้นเมื่อใด ดังนั้น จึงจำเป็นต้องใช้คำที่บอกเวลา แน่นอนในอดีตด้วยเสมอ 1. ความถี่: often, sometimes, always • I sometimes walked home at lunchtime. • I often brought my lunch to school. 2. เวลาในอดีตที่เจาะจง: last week, when I was a child, yesterday, six weeks ago • We saw a good film last week. • Yesterday, I arrived in Geneva. • She finished her work at seven o’clock • I went to the theatre last night 3. เวลาในอดีตที่ไม่เจาะจง: the other day, ages ago, a long time ago • People lived in caves a long time ago. • She played the piano when she was a child. หมายเหตุ: คำว่า ago เป็นคำที่เป็นประโยชน์มากในการบอกเวลาในอดีต จะถูกวางไว้หลังคำบอก เวลา เช่น a week ago, three years ago, a minute ago เป็นต้น โครงสร้างของ simple past tense เมื่อใช้คำกริยาปกติ ประโยคบอกเล่า ประธาน + verb + ed I skipped. ประโยคปฏิเสธ ประธาน + did not + กริยาช่อง 1 They didn't go. ประโยคคำถาม Did + ประธาน + กริยาช่อง 1 Did she arrive? ประโยคคำถามเชิงปฏิเสธ Did not + ประธาน + กริยาช่อง 1 Didn't you play? หมายเหตุเกี่ยวกับรูปประโยคของประโยคบอกเล่า ประโยคปฏิเสธและประโยคคำถาม 1. ประโยคบอกเล่าใน Past Simple Tense มีรูปประโยคที่เรียบง่าย • I was in Japan last year • She had a headache yesterday. • We did our homework last night.


หน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐาน รายวิชาภาษาอังกฤษ 5 (อ23111) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 หน้า 48 2. ประโยคปฏิเสธและประโยคคำถาม สำหรับประโยคปฏิเสธและประโยคคำถาม ใน Past Simple Tense จะใช้กริยาช่วย “did” (ซึ่งเป็นกริยาช่อง 2 ของ “to do” ) เช่น We didn’t do our homework last night. รูปปฏิเสธของ “have” ใน simple past tense จะใช้ร่วมกับกริยาช่วย “did” โดยเพียงแค่ เติมคำว่า not หรือผสมเข้าด้วยกัน (contraction) เป็น “n’t” ก็ได้ รูปคำถามของ “have” ใน Past Simple Tense โดยปกติแล้วจะใช้ร่วมกับกริยาช่วย “did” ตัวอย่างเช่น • They weren’t in Rio last summer. • We didn’t have any money. • We didn’t have time to visit the Eiffel Tower. • We didn’t do our exercises this morning. • Were they in Iceland last January? • Did you have a bicycle when you were young? • Did you do much climbing in Switzerland? หมายเหตุ: สำหรับประโยคปฏิเสธและประโยคคำถาม ใน Past Simple Tense คำกริยา ทั้งหมดจะใช้ร่วมกับ “did'” 3. คำกริยาพิเศษใน Past Simple Tense ใน Past Simple Tense มีคำกริยาพิเศษบางตัวที่ พบได้บ่อย ได้แก่ 3.1 to go • He went to a club last night. • Did he go to the cinema last night? • He didn't go to bed early last night. 3.2 to give • We gave her a doll for her birthday. • They didn't give John their new address. • Did Barry give you my passport? 3.3 to come • My parents came to visit me last July. • We didn't come because it was raining. • Did he come to your party last week? ขั้นที่ 3 ขั้นฝึกฝนโดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์ (Practice) 3.1 นักเรียนศึกษาวิดีโดคลิปเรื่อง Learn English Tenses: Past simple จาก https://www. youtube.com/watch?v=dmJrYbDjxQY 3.2 นักเรียนศึกษาวิดีโดคลิปเรื่องEnglish Grammar For Beginners - Regular Verbs In Past Simple Tense จาก https://www.youtube.com/watch?v=QlZXd-m6Pdw


หน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐาน รายวิชาภาษาอังกฤษ 5 (อ23111) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 หน้า 49 3.3 นักเรียนศึกษาวิดีโดคลิปเรื่องการใช้ Past simple จาก https://www.youtube.com/ watch?v=J-SNIypNDaw 3.4 นักเรียนช่วยกันสรุปและถ่ายทอดสิ่งที่ได้ศึกษามา โดยครูสุ่มถามเพื่อทดสอบความเข้าใจ 3.5 นักเรียนช่วยกันตอบแบบฝึกหัดเรื่องPast Simple Tense บน PowerPoint จำนวน 15 ข้อ Instructions : Complete the following sentences with the words in parentheses. 1. I……………………………(not drink) any beer last night. 2. She……………………………(get on) the bus in the centre of the city. 3. What time……………………………he……………………………(get up) yesterday? 4. Where……………………………you……………………………(get off) the train? 5. I……………………………(not change) trains at Victoria. 6. We……………………………(wake up) very late. 7. What……………………………he……………………………(give) his mother for Christmas? 8. I……………………………(receive) £300 when my uncle……………………………(die). 9. We……………………………(not use) the computer last night. 10. ……………………………she……………………………(make) good coffee? 11. They……………………………(live) in Paris. 12. She……………………………(read) the newspaper yesterday. 13. I……………………………(not watch) TV. 14. He……………………………(not study) for the exam. 15. ……………………………he……………………………(call) you? Answer Key 1. didn’t drink 2. got 3. did / get 4. did / get off 5. didn’t change 6. woke up 7. did / give 8. received / died. 9. didn’t use 10. Did / make 11. lived 12. read 13. didn’t watch 14. didn’t study 15. Did / call 3.6 นักเรียนและครูร่วมกันตรวจสอบคำตอบจากการทำแบบฝึกหัดเรื่อง Past Simple Tense บน PowerPoint จำนวน 15 ข้อ โดยครูอธิบายเพิ่มเติม เมื่อนักเรียนไม่เข้าใจ ขั้นที่ 4 ขั้นนำไปใช้หรือการบูรณาการความรู้ (Production) 4.1 นักเรียนทำแบบฝึกหัดPast Simple Tense ในเอกสารประกอบการเรียน 4.2 นักเรียนและครูร่วมกันเฉลยแบบฝึกหัดPast Simple Tense ในเอกสารประกอบการเรียน หากมี ข้อใดที่นักเรียนยังตอบได้ไม่ถูกต้องให้ครูผู้สอนอธิบายคำตอบให้นักเรียนฟังเพื่อให้นักเรียนมีความเข้าใจมากขึ้น ขั้นที่ 5 ขั้นสรุปความรู้ที่ได้รับจากกระบวน การเรียนรู้ (Wrap up) 5.1 นักเรียนช่วยกันสรุปความรู้เรื่อง Past Simple Tense พร้อมทั้งช่วยกันยกตัวอย่างประโยคจำนวน 5 ประโยคเพื่อเป็นการทดสอบความเข้าใจของนักเรียน


หน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐาน รายวิชาภาษาอังกฤษ 5 (อ23111) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 หน้า 50 เรื่องที่ 8 เรื่อง Past Progressive Tense จำนวนเวลาเรียน 1 ชั่วโมง วิธีการสอน (วิธีการสอนแบบการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) กิจกรรมการเรียนรู้ (Active Learning) ขั้นที่ 1 ขั้นนำ 1.1 นักเรียนดูภาพและข้อความบน PowerPoint และช่วยกันแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข้อความบน PowerPoint 1.2 นักเรียนดูรูปภาพและขอความบน PowerPoint และช่วยกันวิเคราะห์ประโยคและแสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับประโยคบน PowerPoint ขั้นที่ 2 ขั้นการสืบค้นความรู้จากแหล่งข้อมูลและสารสนเทศ 2.1 นักเรียนดูข้อมูลPast Progressive Tense บน PowerPoint


หน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐาน รายวิชาภาษาอังกฤษ 5 (อ23111) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 หน้า 51 2.2 นักเรียนดูฟังครูอธิบายPast Progressive Tense บน PowerPoint 2.3 นักเรียนสืบค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับตัวอย่างประโยคที่ใช้Past Progressive Tense จากเว็บไซต์ ต่าง ๆ จากอินเทอร์เน็ต โดยครูตั้งกติกาว่าจะต้องศึกษาอย่างน้อย 1 เว็บไซต์ ขั้นที่ 3 ขั้นเชื่อมโยงความรู้ 3.1 นักเรียนส่งตัวแทนจำนวน 8 เพื่อออกมาเขียนประโยค Past Progressive Tense ที่ได้ศึกษามา 3.2 นักเรียนและครูร่วมกันตรวจสอบความถูกต้องของประโยคที่ตัวแทนทั้ง 8 คนออกมาเขียน 3.3 นักเรียนฟังครูอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Past Progressive Tense จากตัวอย่างประโยคที่ตัวแทนทั้ง 8 คนออกมาเขียน Past Progressive หรือ Past Continuous ดูเผิน ๆ อาจจะเป็น Tense ที่ไม่คุ้นหน้าคุ้นตา และไม่ ค่อยมีคนใช้กัน แต่เจ้า Tense นี้มีความสำคัญไม่แพ้ใคร เพราะ Past Progressive ใช้พูดถึงเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น ในอดีต เน้นย้ำความต่อเนื่องของเหตุการณ์ และมักใช้คู่ Past Simple เมื่อมีอีกเหตุการณ์เกิดแทรก นอกจากนี้ โครงสร้างของ Past Progressive ยังคล้ายคลึงกับ Present Progressive แต่ต่างกันตรงที่ Present Progressive จะใช้พูดถึงเหตุการณ์ที่กำลังดำเนินอยู่ในปัจจุบัน แต่ Past Progressive พูดถึงเหตุการณ์ที่ เกิดขึ้นต่อเนื่องในอดีต เรียกง่าย ๆ ว่าเน้นความต่อเนื่องของเหตุการณ์เหมือนกัน แต่ต่างกันที่ช่วงเวลา หลักการใช้ Past Progressive Tense 1. ใช้กับเหตุการณ์ที่กำลังดำเนินอยู่ในอดีต ซึ่งเหตุการณ์ที่กำลังเกิดอยู่ใช้ Past Continuous (Subject + was, were + V.ing) เหตุการณ์ที่เข้ามาแทรกใช้ Past Simple (Subject + V.2) มักจะใช้กับคำเชื่อม เหล่านี้ while (ขณะที่), as (ขณะที่), when (เมื่อ) • While I was sleeping last night, my phone rang. เมื่อคืนขณะที่ฉันนอนหลับอยู่ โทรศัพท์ก็ดังขึ้น • As I was jogging. I saw Sam driving a car. ขณะที่ฉันกำลังวิ่งอยู่ ฉันเห็นแซมกำลังขับรถ • My mother was cooking when I arrived. แม่ของฉันกำลังทำกับข้าวอยู่เมื่อฉันมาถึง Tips: หลัง As และ While ต้องตามด้วย Past Continuous แต่หลัง When ตามด้วย Past Simple 2. ใช้พูดถึง 2 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และดำเนินไปพร้อมกันในอดีต มักจะใช้กับคำเชื่อม while (ขณะที่), as (ขณะที่) • While he was sleeping, his mother was cooking. ขณะที่เขากำลังหลับ แม่ของเขากำลังทำกับข้าว • I was reading a book while my sisters were playing video games. ฉันกำลังอ่านหนังสือ ขณะที่น้องสาวของฉันกำลังเล่มเกม • As he was working, his girlfriend was shopping in the shopping mall. ขณะที่เขากำลังทำงาน แฟนของเขากำลังซื้อของอยู่ที่ห้าง 3. ใช้เพื่อแสดงว่ากำลังเกิดเหตุการณ์นั้นอยู่ในอดีต มักมีคำกำกับเวลา เช่น last night (เมื่อคืน), last month (เดือนที่แล้ว), last year (ปีที่แล้ว), last week (อาทิตย์ที่แล้ว), two months ago (สองเดือนที่แล้ว), in


หน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐาน รายวิชาภาษาอังกฤษ 5 (อ23111) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 หน้า 52 2020 (ในปี 2020), in may (ในเดือนมิถุนายน), on may 7 th , 1998 (ในวันที่ 7 มิถุนายน 1998), on holiday (ใน วันหยุด) at 10 o’clock (ในเวลา 10 โมงเช้า) • We were talking with Tom at 10 o’clock yesterday. เรากำลังคุยกับทอมเมื่อวานตอน 10 โมง • He was exercising at 9 o’clock yesterday. เขากำลังออกกำลังกายอยู่เมื่อวานตอน 9 โมงเช้า กริยาที่ใช้กับ Past Continuous ไม่ได้ 1. กริยาที่ใช้แสดงความรู้สึก เช่น believe (เชื่อว่า), love (รัก), feel (รู้สึก), suppose (สมมติว่า), imagine (นึกคิด), hate (เกลียด), want (อยาก, ต้องการ) remember (จำได้), know (รู้), see (เห็น, เข้าใจ) like (ชอบ), dislike (ไม่ชอบ), think (คิดว่า), prefer (ชอบมากกว่า) 2. กริยาที่เกี่ยวกับประสาทสัมผัสทั้ง 5 เช่น appear (ปรากฏ), hear (ได้ยิน), look (ดูเหมือนว่า), seem (ดูเหมือนว่า), smell (ได้กลิ่น), taste (รู้รส) 3. กริยาที่ใช้แสดงความเป็นเจ้าของ เช่น have (มี), own (ของ), belong (เป็นของ) ขั้นที่ 4 ขั้นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ปฏิบัติงานกลุ่ม 4.1 นักเรียนแบ่งออกเป็น 5 กลุ่ม ๆ ละ 5 - 6 คน โดยแต่ละกลุ่มประกอบไปด้วยนักเรียนเก่ง ปานกลาง และอ่อน หลังจากนั้นแต่ละกลุ่มเลือกหัวหน้ากลุ่มของตนเอง 4.2 นักเรียนนั่งเป็นวงกลมและช่วยกันแบ่งปันความรู้ที่ศึกษา Past Progressive Tense มาจากเว็บไซต์ ต่าง ๆ จากอินเทอร์เน็ต 4.3 นักเรียนฟังครูอธิบายหลักการใช้Past Progressive Tense ขั้นที่ 5 ขั้นการสร้างองค์ความรู้ร่วมกัน 5.1 นักเรียนแต่ละคนในกลุ่มพูดสรุปความรู้เรื่อง Past Progressive Tense 5.2 หัวหน้ากลุ่มรวบรวมคำพูด องค์ความรู้จากสิ่งที่เพื่อนทุกคนพูดเกี่ยวกับหลักการใช้ หลักการแต่ง ประโยค Past Progressive Tense 5.3 นักเรียนช่วยกันทำใบงานเรื่อง Past Progressive Tense ในเอกสารประกอบการเรียนรู้ 5.4 นักเรียนและครูร่วมกันตรวจสอบคำตอบจากการทำใบงานเรื่อง Past Progressive Tense 5.5 นักเรียนฟังครูอธิบายเหตุผลในการตอบในแต่ละข้อ ขั้นที่ 6 ขั้นการสื่อสารและการนำเสนอ 6.1 นักเรียนตัวแทนกลุ่มรับกระดาษปรู๊ฟและอุปกรณ์การเขียนเพื่อทำการสรุปเนื้อหาที่ได้เรียนในวันนี้ 6.2 นักเรียนแต่งประโยคโดยใช้โครงสร้าง Past Progressive Tense ที่ได้เรียนมา 6.3 นักเรียนส่งตัวแทนกลุ่มออกมานำเสนอประโยค Past Progressive Tense หน้าชั้นเรียน 6.4 นักเรียนนำกระดาษปรู๊ฟที่นักเรียนเขียนสรุปและตัวอย่างประโยคไปติดบริเวณด้านหลังห้อง และ รอบ ๆ ห้อง 6.5 นักเรียนสลับหมุนเวียนเพื่อศึกษาข้อมูลของกลุ่มอื่น ๆ จนครบทั้ง 5 กลุ่ม ขั้นที่ 7 ขั้นประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน 7.1 นักเรียนร่วมกันสรุป Past Progressive Tense ที่เรียนไปแล้ว 7.2 นักเรียนยกตัวอย่างการนำความรู้เรื่องPast Progressive Tense ที่แต่ละกลุ่มได้เรียนรู้โดยสรุปร่วมกัน ทั้งห้องแล้วบันทึกความรู้ลงในสมุดบันทึก


หน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐาน รายวิชาภาษาอังกฤษ 5 (อ23111) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 หน้า 53 เรื่องที่ 9 เรื่อง Past Perfect Tense จำนวนเวลาเรียน 1 ชั่วโมง วิธีสอน (วิธีการสอนแบบโมเดลซิปปา CIPPA Model) กิจกรรมการเรียนรู้ (Active Learning) 1. ขั้นทบทวนความรู้เดิม 1.1 นักเรียนดูรูปภาพและประโยค Past Simple Tense และประโยค Past Progressive Tense บน PowerPoint หลังจากนั้นช่วยกันแสดงความคิดเห็นและอธิบายหลักการใช้ของทั้ง 2 ประโยค 2. ขั้นแสวงหาความรู้ใหม่ 2.1 นักเรียนดูรูปภาพและประโยคคำถามบน PowerPoint ดังนี้ 2.2 นักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประโยค โครงสร้างประโยคและกริยาที่ถูกใช้ในประโยค บน PowerPoint 2.3 นักเรียนช่วยกันวิเคราะห์และตอบคำถาม What situation in the sentences happened first? 3. ขั้นศึกษาทำความเข้าใจข้อมูล / ความรู้ใหม่ และเชื่อมโยงความรู้ใหม่กับความรู้เดิม 3.1 นักเรียนแบ่งเป็นกลุ่ม ๆ ละเท่า ๆ กันเพื่อช่วยกันหาความหมายและศึกษาโครงสร้างหลักการใช้ ประโยค Past Perfect Tense 3.2 นักเรียนดูวิดีโอคลิปเรื่องประโยคในรูป Past Perfect Tense จาก https://www.youtube. com/watch?v=xQqdM9QNM3I 3.3 นักเรียนดูวิดีโอคลิปเรื่องประโยคในรูป Past Perfect Tense จาก https://www.youtube. com/watch?v=SCSLBkSgicQ 3.4 นักเรียนดูวิดีโอคลิปเรื่อง Past perfect / had gone / had done / had had - English Grammar จาก https://www.youtube.com/watch?v=E7TLPg9ISIA 4. ขั้นแลกเปลี่ยนความรู้ความเข้าใจกับกลุ่ม 4.1 นักเรียนแต่ละคนภายในกลุ่มผลัดกันพูดสรุปข้อมูลที่ได้จากการดูวิดีโอคลิปให้สมาชิกในกลุ่มฟังจน ครบทุกคน 5. ขั้นสรุปและจัดระเบียบความรู้ 5.1 สมาชิกในแต่ละกลุ่มช่วยกันสรุปความรู้เกี่ยวกับ Past Perfect Tense ที่ได้ดูวิดีโอคลิปและจากการ ฟังสมาชิกทุกคนพูดสรุป 5.2 นักเรียนศึกษาโครงสร้างประโยค Past Perfect Tense บน PowerPoint When we reachedthe school, the bell hadalready rung.


หน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐาน รายวิชาภาษาอังกฤษ 5 (อ23111) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 หน้า 54 โครงสร้างประโยค บอกเล่า Subject + had + Verb 3 I / You / We / They had gone to the shopping mall. He / She / It had found her wallet. โครงสร้างประโยค ปฏิเสธ Subject + had + not + Verb 3 I / You / We / They had not gone to the shopping mall. He / She / It had not know her wallet. โครงสร้างประโยค คำถาม Yes / No question Had + Subject + Verb 3? Had I / you / we / they gone to the shopping mall? Had he / she / it found her wallet? โครงสร้าง ประโยคคำถาม Wh-question Who / What / Where / When / Why / How + had + Subject + Verb 3? Where had I / you / we / they gone? What had he / she / it found? 5.3 นักเรียนฟังครูอธิบายเพิ่มเติม Past Perfect Tense Past Perfect Tense หรือมีอีกชื่อหนึ่งว่า Pluperfect เป็น Tense ที่เหมาะกับการใช้เล่าเรื่องมาก ๆ เพราะ Past Perfect จะใช้เล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและจบลง ก่อนที่จะมีอีกเหตุการณ์เกิดตามมา ซึ่งทั้ง 2 เหตุการณ์เกิดขึ้นในอดีตและจบลงในอดีตเรียบร้อยแล้ว มักใช้คู่กับ Past Simple พูดแบบนี้อาจจะยังไม่เข้าใจ ให้ลองนึกภาพเหตุการณ์จำลอง เมื่อวานหลังจากแม่กินข้าวเสร็จก็ลุกไปดูทีวี ซึ่งเหตุการณ์นี้สามารถอธิบายในเชิง Past Perfect ได้ว่า แม่กินข้าวเสร็จ (Past Perfect) ลุกไปดูทีวี (Past Simple) เพราะเหตุการณ์ที่แม่กินข้าวเกิด ก่อนลุกไปดูทีวีนั่นเอง การใช้ Past Perfect 1. ใช้กับเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต โดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและจบลงก่อนจะใช้ Past Perfect ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดหลังจากนั้น ใช้ Past Simple ซึ่งตัวเชื่อมระห่าง 2 Tense นี้ ได้แก่ before (ก่อนที่ จะ), after (หลังจากที่), because (เพราะว่า), when (เมื่อ), by the time (ในตอนที่) • The plane had left by the time I got to the airport. เครื่องบินได้ออกไปแล้วในตอนที่ฉันถึงสนามบิน • She had established the company before 2020. เธอได้ก่อตั้งบริษัทก่อนปี 2020 • After the alarm had rung, he woke up. หลังจากที่นาฬิกาปลุกดัง เขาก็ตื่น • He couldn’t call anyone because he hadn’t brought his phone with him. เขาไม่สามารถโทรหาใครได้เลยเพราะเขาไม่ได้เอาโทรศัพท์มาด้วย • When she arrived home, her mother had already cooked dinner. เมื่อเธอกลับมาถึงบ้าน แม่ของเธอก็ทำอาหารเย็นเสร็จแล้ว Tips : After + Past Perfect, Past Simple Before + Past Simple, Past Perfect 2. ใช้ในประโยค Indirect speech หรือ Reported speech (ประโยครายงาน) โดย Past Perfect ใช้ แทน Present Perfect และ Past Simple


หน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐาน รายวิชาภาษาอังกฤษ 5 (อ23111) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 หน้า 55 2.1 Past Simple เปลี่ยนเป็น Past Perfect ใน Indirect speech Direct speech She said, “I decided to leave earlier today.” เธอบอกว่า “ฉันตัดสินใจจะออกไปในเร็วขึ้นวันนี้” Indirect speech She said that she had decided to leave earlier that day. เธอบอกว่าเธอตัดสินใจว่าจะออกไปให้เร็วขึ้นในวันนั้น 2.2 Present Perfect เปลี่ยนเป็น Past Perfect ใน Indirect speech Direct speech She said, “My mom hasn't arrived yet.” เธอบอกว่า “แม่ของฉันยังมาไม่ถึงเลย” Indirect speech She said that her mom hadn’t arrived yet. เธอบอกว่าแม่ของของเธอยังมาไม่ถึงเลย 3. ใช้ wish + Past Perfect เพื่อแสดงถึงความไม่พอใจกับเหตุการณ์ในอดีต • I wished I had told the truth. ฉันหวังว่าฉันจะได้บอกความจริง (แต่ในอดีตไม่ได้บอก) • She wished she had seen her friend. เธอหวังว่าจะได้เจอเพื่อนของเธอ (แต่เธอก็ไม่ได้เจอในอดีต) • The boy wished he had asked another question. เด็กชายคนนั้นหวังว่าจะได้ถามอีกซักคำถาม (แต่ก็ไม่ได้ถามในอดีต) Past Perfect กับ Present Perfect ต่างกันยังไง 1. Past Perfect ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและจบลง ก่อนที่จะมีอีกเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นตามหลัง ซึ่งทั้ง สองเหตุการณ์เกิดขึ้นในอดีต แต่ Present Perfect ใช้กับเหตุกาณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตและยังดำเนินมาถึงปัจจุบัน • My sister had done her homework when I came in. น้องสาวของฉันทำการบ้านเสร็จแล้วตอนฉันเข้าไป 2. ใช้ Past Perfect ในประโยคแรกเพื่อให้รู้ว่าเหตุการณ์ที่น้องทำการบ้านเสร็จเกิดก่อน และใช้ Past Simple ในประโยคที่สองเพื่อให้รู้ว่าเหตุการณ์นี้เกิดทีหลัง แต่ทั้งสองเหตุการณ์เกิดในอดีตทั้งคู่ • My sister has already done her homework. น้องสาวของฉันทำการบ้านเสร็จแล้ว (เพิ่งทำเสร็จ) 3. ใช้ Present Perfect เพื่อให้รู้ว่าทำการบ้านมาตั้งแต่ในอดีตและเพิ่งทำเสร็จในปัจจุบัน 6. ขั้นปฏิบัติและ / หรือแสดงผลงาน 6.1 นักเรียนแต่ละกลุ่มระดมความคิดและช่วยกันแต่งปะโยคPast Perfect Tense จำนวนกลุ่มละ 5 ประโยค โดยมีครบทุกโครงสร้างของประโยคPast Perfect Tense 6.2 ตัวแทนแต่ละกลุ่มนำประโยคของแต่ละกลุ่มนำเสนอหน้าชั้นเรียนและเขียนประโยคที่นำเสนอลงบน กระดาน 6.3 นักเรียนและครูช่วยกันตรวจสอบประโยคทั้งหมดบนกระดาน เมื่อพบว่ามีประโยคใดไม่ถูกต้อง ให้นักเรียนช่วยกันแสดงความคิดเห็นและแก้ไขให้ถูกต้องโดยมีครูเป็นผู้คอยให้ความช่วยเหลือและเสนอแนะ 7. ขั้นประยุกต์ใช้ความรู้ 7.1 นักเรียนทำใบงานเรื่อง Past Perfect Tense ในเอกสารประกอบการเรียน 7.2 นักเรียนและครูร่วมกันตรวจสอบคำตอบจากการทำใบงานเรื่อง Past Perfect Tense


หน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐาน รายวิชาภาษาอังกฤษ 5 (อ23111) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 หน้า 56 7.3 นักเรียนฟังครูอธิบายถึงสาเหตุในการตอบคำถามหรือเลือกตอบในแต่ละข้อให้นักเรียนเข้าใจ หลักการใช้ Past Perfect Tense ครูสรุปหลักการของกฎต่าง ๆ ให้นักเรียนฟังอีกครั้ง เรื่องที่ 10 เรื่อง Future Simple Tense จำนวนเวลาเรียน 1 ชั่วโมง วิธีการสอน (วิธีการสอนแบบ 2W3P) กิจกรรมการเรียนรู้(Active Learning) ขั้นที่ 1 ขั้นกระตุ้นทบทวนและปูพื้นฐานความรู้ (Warm up) 1.1 นักเรียนทบทวนความรู้เรื่องFuture Simple Tense โดยนักเรียนดูคำถามและตอบคำถามดังนี้ • What will you do tonight / this evening? • Will you read books tonight? 1.2 นักเรียนช่วยกันแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประโยคคำถามว่าเป็นการถามถึงช่วงเวลาใดและใช้ Tense ใดในการถาม ขั้นที่ 2 ขั้นนำเสนอเนื้อหาสาระ (Presentation) 2.1 นักเรียนดูรูปภาพและประโยคบน PowerPoint ดังนี้ 2.2 นักเรียนช่วยกันแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประโยคทั้ง 4 ประโยค โดยครูเปิดรับทุกคำตอบของ นักเรียน 2.3 นักเรียนฝึกสังเกตการใช้กริยาในประโยคดังกล่าวว่ามีความเหมือนและแตกต่างกันอย่างไร พร้อมทั้ง ช่วยกันหาเหตุผลมาอธิบาย 2.4 นักเรียนฟังครูอธิบายเรื่อง Future Simple Tense ในภาษาอังกฤษเมื่อจะพูดถึงเรื่องอนาคต อันดับแรกเราจะนึกถึง Future Tense ที่ใช้ will บ่งบอก ว่า “จะ...”ซึ่งอันที่จริงแล้วเรื่องอนาคตในภาษาอังกฤษไม่ใช่แค่ will แต่ The Futures มีถึง 4 วิธีพูดเรื่องอนาคตใน ภาษาอังกฤษ ดังนี้ วิธีที่ 1 : Future Simple (S + will + V.inf.) - ใช้พูดถึงอนาคตที่จะเกิดขึ้น 50% - ใช้พูดถึงสิ่งที่จะทำทั่ว ๆ ไป ไม่ลงรายละเอียดลึก - ใช้พูดถึงความตั้งใจที่จะทำในทันทีไม่ได้วางแผนมาก่อน เช่น มีคนเคาะประตู แล้วเราพูดขึ้นว่า I will open the door. ฉันจะเปิดประตู ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่จะทำทันทีเดี๋ยวนั้น • If you will wait in the room, I will be with you. ถ้าคุณจะรออยู่ในห้อง ฉันจะอยู่กับคุณ Are you coming to my party? I didn’t know about it. Sure, I’ll come! What will you do after class? I will go to the shopping mall with my friends.


หน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐาน รายวิชาภาษาอังกฤษ 5 (อ23111) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 หน้า 57 วิธีที่ 2 : S + is / am / are + going to + V.inf. - ใช้พูดถึงอนาคตที่มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้น 70% - 80% - ใช้พูดถึงเรื่องที่มีเค้าลางว่าจะเกิดขึ้น เช่น เมื่อเห็นฟ้ามืดครึ้มมีเค้าว่าฝนจะตก จึงพูดว่า It’s going to rain. (ฝนกำลังจะตก) • I’m going to study English next month. ฉันจะเรียนภาษาอังกฤษเดือนหน้า ข้อควรระวัง : ดูตามโครงสร้างอาจสับสนว่าโครงสร้างนี้เป็น Continuous Tense แต่ที่จริงแล้ว ไม่ใช่ เพราะนี่คือ Future ในอีกรูปแบบหนึ่ง วิธีที่ 3 : Present Continuous (S + is / am / are + V.ing) - ใช้พูดถึงอนาคตที่มีความเป็นไปได้ว่าจะเกิดขึ้น 85% - ใช้พูดถึงเรื่องที่วางแผนไว้แล้ว • I’m visiting Nan next month. ฉันจะไปน่านเดือนหน้า (หมายความว่าวางแผนและซื้อตั๋วไว้เรียบร้อยแล้ว) • I’m shopping with Jane this weekend. ฉันจะไปชอปปิ้งกับเจนสุดสัปดาห์นี้ (วางแผนไว้ล่วงหน้าว่าจะไป) อย่างไรก็ตามแม้จะวางแผนไว้แล้วแต่ไม่ได้หมายความว่าเกิดขึ้น 100% เนื่องจากอาจมีการผิดแผน ได้หรือยกเลิกได้ ข้อสังเกต : ความแตกต่างระหว่างวิธีที่ 3 Present Continuous กับวิธีที่ 2 S + is / am / are + going to + V.inf. คือวิธีที่ 2 จะต้องใช้ going to ส่วนวิธีที่ 3 จะใช้ V.ing อะไรก็ได้ วิธีที่ 4 : Present Simple (S + V.1 (s / es)) - ใช้พูดถึงเรื่องที่จะเกิดขึ้นแน่ ๆ 100% มันเป็นพวกตารางเวลา (Time Table / Schedule) • The last train leaves at 10 pm today. วันนี้รถไฟเดียวสุดท้ายออกตอนสี่ทุ่ม • The restaurant opens at 5 pm. ร้านอาหารเปิดตอนห้าโมงเย็น ขั้นที่ 3 ขั้นฝึกฝนโดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์ (Practice) 3.1 นักเรียนศึกษาวิดีโดคลิปเรื่อง Simple Future Tense จาก https://www.youtube.com /watch?v=WTHILTNE1yo 3.2 นักเรียนศึกษาวิดีโดคลิปเรื่องการใช้ Future Tense จาก https://www.youtube.com/ watch?v=oed_gDtlqyc 3.3 นักเรียนศึกษาวิดีโดคลิปเรื่องอนาคต future การใช้ will, going to, present continuous, v.ing ดร.พี่นุ้ย เรียนภาษาอังกฤษ จาก https://www.youtube.com/watch?v=b8Az0K2SCko 3.4 นักเรียนช่วยกันสรุปและถ่ายทอดสิ่งที่ได้ศึกษามา โดยครูสุ่มถามเพื่อทดสอบความเข้าใจ 3.5 นักเรียนช่วยกันตอบแบบฝึกหัดเรื่องFuture Simple Tense บน PowerPoint จำนวน 15 ข้อ Instructions : Complete the sentences with the correct future form (will, be going to, or Present Continuous). 1. We……………………………(go) to Madrid on Monday. 2. Mark’s mother believes that he……………………………(be) famous.


หน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐาน รายวิชาภาษาอังกฤษ 5 (อ23111) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 หน้า 58 3. Look at those clouds! It……………………………(rain) soon. 4. I hope you……………………………(stay) after the party. 5. Rachel thinks you……………………………(understand) what she means soon. 6. I……………………………(meet) my uncle at the airport. 7. We……………………………(have) a dinner party. Everything is ready. 8. The Browns……………………………(move) to the country next month. They have already sold their house in the city. 9. We……………………………(fly) to London tonight. 10. Do you think your brother……………………………(help)you? 11. I don’t think it……………………………(snow). 12. Lilly……………………………(see) the dentist tomorrow. 13. We……………………………(spend) a week in Spain but we haven’t booked a hotel yet. 14. Wait! I……………………………(bring) you a glass of water. 15. Timothy……………………………(come)on Sunday. Answer Key 1. are going 2. will be 3. is going to rain 4. will stay 5. will understand 6. am meeting 7. are going to have 8. are going to move 9. are flying 10. will help 11. will snow 12. is seeing 13. are going to spend 14. will bring 15. is coming 3.6 นักเรียนและครูร่วมกันตรวจสอบคำตอบจากการทำแบบฝึกหัดเรื่อง Future Simple Tense บน PowerPoint จำนวน 15 ข้อ โดยครูอธิบายเพิ่มเติม เมื่อนักเรียนไม่เข้าใจ ขั้นที่ 4 ขั้นนำไปใช้หรือการบูรณาการความรู้ (Production) 4.1 นักเรียนทำแบบฝึกหัดFuture Simple Tense ในเอกสารประกอบการเรียน 4.2 นักเรียนและครูร่วมกันเฉลยแบบฝึกหัดFuture Simple Tense ในเอกสารประกอบการเรียน หาก มีข้อใดที่นักเรียนยังตอบได้ไม่ถูกต้องให้ครูผู้สอนอธิบายคำตอบให้นักเรียนฟังเพื่อให้นักเรียนมีความเข้าใจมากขึ้น ขั้นที่ 5 ขั้นสรุปความรู้ที่ได้รับจากกระบวน การเรียนรู้ (Wrap up) 5.1 นักเรียนช่วยกันสรุปความรู้เรื่อง Future Simple Tense พร้อมทั้งช่วยกันยกตัวอย่างประโยค จำนวน 5 ประโยคเพื่อเป็นการทดสอบความเข้าใจของนักเรียน เรื่องที่ 11 เรื่อง 7 Tenses (Revision and Presentation) จำนวนเวลาเรียน 2 ชั่วโมง วิธีการสอน (วิธีการสอนแบบกระบวนการเรียนรู้ 5 ขั้นตอน : 5 STEPs) กิจกรรมการเรียนรู้(Active Learning) ชั่วโมงที่ 1 ขั้นที่ 1 การเรียนรู้ตั้งคำถาม (Learning to Question) 1.1 นักเรียนดูประโยคบน PowerPoint ดังนี้


หน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐาน รายวิชาภาษาอังกฤษ 5 (อ23111) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 หน้า 59 • She goes to visit her friend in the hospital every day. • In this photo, my mother is walking beside a lake. • She’s gone to Paris for a week. She’ll be back tomorrow. • I was sleeping when you called me. • Yesterday I woke up late and missed the bus because my alarm hadn’t rung. • I am flying to New York tomorrow morning. • We are getting married next week. 1.2 นักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประโยคดังกล่าวว่าใช้โครงสร้างประโยค (Tense) แบบ ใดจาก 7 Tense ที่นักเรียนได้เรียนมา โดยครูเปิดรับทุกคำตอบของนักเรียน ขั้นที่ 2 การเรียนรู้แสวงหาสารสนเทศ (Learning to Search) 2.1 นักเรียนแบ่งเป็น 7 กลุ่ม กลุ่มละเท่า ๆ กัน โดยสมาชิกประกอบไปด้วยนักเรียนเก่ง อ่อนและปาน กลาง 2.2 นักเรียนแต่ละกลุ่มทำการรวมกลุ่มศึกษาด้วยกันโดยนักเรียนทำการจับสลากเลือกประโยคจาก ประโยคบน PowerPoint ทั้ง 7 ประโยค 2.3 นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันวิเคราะห์โครงสร้างประโยค รูปแบบประโยคกริยา และหาข้อมูลเพิ่มเติม เกี่ยวกับ Tense ที่ใช้กับประโยคนั้น เช่น • She goes to visit her friend in the hospital every day. จากประโยคเป็นประโยค Present Simple Tense เพราะ กริยาที่ใช้ go เติม es เนื่องจาก ประธานเป็นเอกพจน์ และหลักการใช้Present Simple Tense ใช้กับกริยาช่องที่ 1 เท่านั้น โดยนำกริยาช่องที่ 1 ไปเติมลงในโครงสร้างต่อจากประธาน หากประธานเป็นเอกพจน์ กริยาเติม s, es และในประโยคมีคำว่าevery day (ทุกวัน) ซึ่งเป็นคำบอกเวลา (Adverbs of Frequency) ที่ปรากฎอยู่ในประโยคเพื่อบอกความถี่ของเหตุการณ์หรือ การกระทำนั้น ๆ ในประโยค Present Simple Tense ขั้นที่ 3 การเรียนรู้เพื่อสร้างองค์ความรู้ (Learning to Construct) 3.1 นักเรียนศึกษาเนื้อเรื่อง Present Simple Tense, Present Progressive Tense, Present Perfect Tense, Past Simple Tense, Past Progressive Tense, Past Perfect Tense แ ล ะ Future Simple Tense จากแหล่งเรียนรู้เพิ่มเติมใน Internet และในเอกสารประกอบการเรียน 3.2 นักเรียนฟังครูอธิบายเรื่อง Present Simple Tense, Present Progressive Tense, Present Perfect Tense, Past Simple Tense, Past Progressive Tense, Past Perfect Tense แ ล ะ Future Simple Tense 1. Present simple tense โครงสร้างประโยค คือ S + V 1.1 ใช้พูดถึงความจริง (ทั้งที่เกี่ยวกับตัวเรา และความจริงตามธรรมชาติ) • I live in Bangkok. ฉันอาศัยอยู่ในกรุงเทพ 1.2 ใช้พูดถึงความชอบ ความคิดเห็น • She likes spicy food. เธอชอบอาหารรสจัด


หน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐาน รายวิชาภาษาอังกฤษ 5 (อ23111) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 หน้า 60 1.3 ใช้พูดถึงตารางเวลา • The library closes at 7 p.m. ห้องสมุดปิดตอนหนึ่งทุ่ม 2. Present continuous tense โครงสร้างประโยค คือ S + is / am / are + V.ing 2.1 ใช้พูดถึงเหตุการณ์ที่ กำลังเกิดขึ้นในขณะที่พูดหรือในช่วงเวลานี้ของชีวิต • I am studying Japanese. ฉันกำลังเรียนภาษาญี่ปุ่นอยู่ 2.2 ใช้พูดถึงอนาคตอันใกล้ที่เกิดขึ้นแน่นอน • I am flying to South Korea tomorrow. ฉันกำลังจะไปเกาหลีใต้พรุ่งนี้ 3. Present perfect tense โครงสร้างประโยค คือ S + have/has + V.3 3.1 ใช้เล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต แต่ระบุช่วงเวลาที่แน่นอนไม่ได้ (ไม่เน้นเวลาที่แน่นอน) • I have met him before. ฉันเคยเจอเขามาก่อน 3.2 ใช้เล่าถึงสิ่งที่เคยทำมา ประสบการณ์ที่ผ่านมา สถานที่ที่เคยไปมา • I have been to South Korea. ฉันเคยไปเกาหลีใต้ 3.3 ใช้เล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต แต่ยังดำเนินต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน • I have had several tests this month. ฉันมีสอบหลายตัวเลยเดือนนี้ 3.4 ใช้เล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต ดำเนินมา และเพิ่งเสร็จหรือเพิ่งจบลง (และเหตุการณ์นั้น อาจส่งผลต่อปัจจุบัน) • l have washed the car. ฉันล้างรถเสร็จแล้ว 4. Past simple tense โครงสร้างประโยค คือ S + V.2 4.1 ใช้พูดถึงเหตุการณ์ในอดีต ที่เกิดขึ้นแล้วก็จบ เป็นเหตุการณ์สั้นๆ ที่มีการระบุช่วงเวลาที่เกิด เหตุการณ์ด้วย • I was in South Korea in 2019. ฉันอยู่ที่เกาหลีใต้ในปี 2015 หมายเหตุ : past simple tense และ Present perfect tense ใช้พูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใน อดีตเหมือนกัน แต่ต่างกันที่ past simple tense ระบุวันเวลาที่เกิดเหตุการณ์ได้ แต่ Present perfect tense ใช้ พูดถึงเหตุการณ์ในอดีตที่เราไม่รู้เวลาที่แน่ชัด 5. Past continuous tense โครงสร้างประโยค คือ S + was / were + V.ing


หน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐาน รายวิชาภาษาอังกฤษ 5 (อ23111) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 หน้า 61 5.1 ใช้พูดถึงเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง ในอดีต • We were playing football yesterday at 10.00. พวกเรากำลังเล่นฟุตบอลเมื่อวานตอน 10 โมง 5.2 ใช้พูดถึงเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น พร้อม ๆ กัน ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง ในอดีต • My dad was exercising while my mom was sunbathing. พ่อของฉันกำลังออกกำลังกายในขณะที่แม่ของฉันกำลังอาบแดดอยู่ 5.3 ใช้พูดถึงเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ในอดีต โดยเหตุการณ์แรกเป็นเหตุการณ์ที่ กำลังเกิดขึ้น แล้ว เหตุการณ์ที่สองก็แทรกขึ้นมา โดยเหตุการณ์แรกนั้น คือ past continuous tense ส่วนเหตุการณ์ที่สองที่แทรกมา นั้น เป็น past simple tense • I was having breakfast when someone came to my home. ฉันกำลังกินอาหารเช้า ตอนที่มีใครมาที่บ้าน 6. Past perfect tense โครงสร้างประโยค คือ S + had + V.3 6.1 ใช้พูดถึงเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ในอดีต โดยเหตุการณ์แรกเป็นเหตุการณ์ที่ เกิดขึ้นและ ดำเนินมาได้ระยะเวลาหนึ่งแล้วจบลง จากนั้นจึงเกิดเหตุการณ์ที่สองตามมา (เหตุการณ์แรกนั้น คือ past perfect tense ส่วนเหตุการณ์ที่สองที่เกิดขึ้นตามนั้น เป็น past simple tense) • I had worked for 8 hours before Emma arrived. ฉันทำงานเป็นเวลา 8 ชั่วโมง ก่อนที่เอ็มม่าจะมา 7. Future simple tense โครงสร้างประโยค คือ S + will + V.1 7.1 ใช้พูดถึงอนาคต เป็นการคาดเดา หรือ จากความรู้สึก • I will pass the exam. ฉันต้องสอบผ่าน 7.2 ใช้พูดถึงการตัดสินใจในทันที ว่าจะทำอะไร • I will go home before it rains. ฉันจะกลับบ้าน ก่อนที่ฝนจะตก 3.4 นักเรียนช่วยกันตอบแบบฝึกหัดเรื่อง Mixed Tense (7 Tenses) บน PowerPoint จำนวน 20 ข้อ Instructions : Complete the following sentences with the words in parentheses. 1. In summer John usually……………………………(play) tennis once or twice a week. 2. I……………………………(write) a letter to Lucy yesterday. 3. My sister……………………………(live) at home for the moment. 4. Peter……………………………(study) English at this moment yesterday. 5. We……………………………(move) to Manchester next weekend. We…………………………… (already buy) a house there. 6. Please wait here. I……………………………(be) back soon. 7. She……………………………(explain) that she……………………………(forget) her book. 8. In the film he……………………………(play) the central character of Charles Smithson.


หน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐาน รายวิชาภาษาอังกฤษ 5 (อ23111) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 หน้า 62 9. Tom……………………………(have) a bad car accident. 10. When I……………………………(be) 10 years old, I always……………………………(carry) an umbrella. 11. The concert this afternoon……………………………(start) at 13.15. 12. As he……………………………(read) a book, his wife……………………………(write) a letter. 13. My son……………………………(run) away after he……………………………(break) the window. 14. Look at those black clouds. It……………………………(rain). 15. She……………………………(talk) to a customer on the phone. 16. I hope the weather……………………………(be) sunny next week. 17. By the time he……………………………(come) here, I already……………………………(finish) my dinner. 18. My parents……………………………(go)to spend their holidays at the seaside. They……………………………(already book) the hotel. 19. We…………………………(speak) to each other on the phone but we………………………… (never meet). 20. A : I can’t find my keys! B : No rush. I……………………………(help) you. Answer Key 1. plays 2. wrote 3. is living 4. was studying 5. are moving / have already bought 6. will be 7. explained / had forgotten 8. plays 9. has had 10. was / carried 11. starts 12. was reading / was writing 13. ran / had broken 14. is going to rain. 15. is talking 16. will be 17. came / had finished 18. are going / have already booked 19. have spoken / have never met 20. I will help 3.5 นักเรียนและครูร่วมกันเฉลยแบบฝึกหัดเรื่อง Mixed Tense (7 Tenses) บน PowerPoint 3.6 นักเรียนทำใบงาน Mixed Tense (7 Tenses) ในเอกสารประกอบการเรียน 3.7 นักเรียนและครูร่วมกันเฉลยใบงาน Mixed Tense (7 Tenses) ในเอกสารประกอบการเรียน ชั่วโมงที่ 2 ขั้นที่ 4 การเรียนรู้เพื่อการสื่อสาร (Learning to Communicate) 4.1 นักเรียนดูตัวอย่างชิ้นงาน Grammar in News และฟังครูอธิบายวิธีการทำชิ้นงาน 4.2 นักเรียนศึกษาอ่านข่าวที่ตนเองเลือก และหาประโยคที่อยู่ในรูปของ 7 Tenses จากข่าวที่นักเรียน ศึกษาในรูปแบบหรือ Tense อะไรก็ได้ คนละ 4 ประโยค


หน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐาน รายวิชาภาษาอังกฤษ 5 (อ23111) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 หน้า 63 4.3 นักเรียนนำประโยคที่อยู่ในรูปของ 7 Tenses ที่นักเรียนพบในข่าว มาเขียนเรียงประโยคใหม่ในสมุด ของนักเรียนและเขียนอธิบายว่าเป็น Tense อะไรพร้อมเขียนโครงสร้างประกอบตามตัวอย่างชิ้นงาน 4.4 นักเรียนดูตัวอย่าง Passage ที่ครูเขียนบนกระดาน 4.5 นักเรียนฟังครูอธิบาย Passage ว่าเป็น Tense ไหนเพราะอะไร 4.6 นักเรียนออกมานำเสนอการหาประโยคในข่าว ออกมาเขียนประโยคบนกระดาน 4.7 นักเรียนและครูร่วมกันอภิปรายวิเคราะห์ประโยคบนกระดาน 2 - 3 ประโยค 4.8 นักเรียนฟังครูอธิบายเพิ่มเติมจากการนำเสนอของนักเรียน เพื่อให้นักเรียนเข้าใจรูปประโยค 7 Tenses และวิธีการหา Grammar in News มากขึ้น ขั้นที่ 5 การเรียนรู้เพื่อตอบแทนสังคม (Learning to Service) 5.1 นักเรียนแต่ละคนนำชิ้นงาน Grammar in News ของตนเองแลกเปลี่ยนกับของเพื่อน แลกเปลี่ยน ความรู้ว่าตามประโยคเป็นรูปแบบและ Tense อะไร ช่วยกันคิดและแก้ไขถ้าไม่ถูกต้อง 5.2 นักเรียนและครูร่วมกันสุ่มตัวอย่าง Grammar in News มาให้ครูวิเคราะห์และอธิบายให้ฟัง 5.3 นักเรียนนำชิ้นงาน Grammar in News ส่งครูผู้สอนและช่วยครูผู้สอนคัดเลือกผลงาน 2 - 3 ชิ้นที่ดี ที่สุดมาสรุปผลการประเมิน 5.4 นักเรียนและครูสรุปหลักการใช้tenses ต่าง ๆ จำนวน 7 Tenses อีกครั้ง และยกตัวอย่างประโยค เพื่อให้นักเรียนเข้าใจมากขึ้น 5.5 นักเรียนนำชิ้นงาน Grammar in News ที่ผ่านการตรวจแล้วนำไปเผยแพร่โดยการนำไปติดที่ป้าย นิเทศหน้าห้องเรียนและบริเวณภายในห้องเพื่อให้นักเรียนห้องอื่นที่สนใจร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ 5. ประเมินผล (Evaluate) 5.1 นักเรียนนำชิ้นงาน Grammar in News ส่งครูผู้สอนและช่วยครูผู้สอนคัดเลือกผลงาน 2 - 3 ชิ้นที่ดี ที่สุดมาสรุปผลการประเมิน 5.2 นักเรียนและครูสรุปหลักการใช้tenses ต่าง ๆ จำนวน 7 Tenses อีกครั้ง และยกตัวอย่างประโยค เพื่อให้นักเรียนเข้าใจมากขึ้น


หน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐาน รายวิชาภาษาอังกฤษ 5 (อ23111) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 หน้า 64 โรงเรียนแผนการจัดการเรียนรู้ หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง Lifestyles แผนการจัดการเรียนรู้ที่1 เรื่อง Vocabulary, reading and conversation รหัสวิชา อ23121 รายวิชา ภาษาอังกฤษ 5 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ ปีการศึกษา 2566 ภาคเรียนที่ 1 เวลา 2 ชั่วโมง ผู้สอน นายสุจินดา ปรากฏวงศ์ 1. มาตรฐานการเรียนรู้/ ตัวชี้วัด 1.1 มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐาน ต 2.1 เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างภาษากับวัฒนธรรมของเจ้าของภาษา และนำไปใช้ ได้อย่าง เหมาะสมกับกาลเทศะ มาตรฐาน ต 4.1 ใช้ภาษาต่างประเทศในสถานการณ์ต่าง ๆ ทั้งในสถานศึกษา ชุมชน และสังคม 1.2 ตัวชี้วัด ต 2.1 ม. 3/1 เลือกใช้ภาษา น้ำเสียง และกิริยาท่าทาง เหมาะกับบุคคลและโอกาส ตามมารยาทสังคม และวัฒนธรรมของเจ้าของภาษา ต 2.1 ม. 3/2 อธิบายเกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ขนบธรรมเนียมและประเพณีของเจ้าของภาษา ต 4.1 ม. 3/1 ใช้ภาษาสื่อสารในสถานการณ์จริง / สถานการณ์จำลองที่เกิดขึ้นในห้องเรียน สถานศึกษา ชุมชนและสังคม 2. จุดประสงค์การเรียนรู้ 2.1 ด้านความรู้ ความเข้าใจ (K) - นักเรียนมีความรู้ในการใช้คำศัพท์ต่าง ๆ ในการสนทนา ตามมารยาทสังคมและวัฒนธรรมของ เจ้าของภาษา - นักเรียนมีความรู้เกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ขนบธรรมเนียมและประเพณีของเจ้าของภาษา 2.2 ด้านทักษะกระบวนการ (P) - เขียนประประโยคโดยใช้คำศัพท์ต่าง ๆ ในการสนทนาตามมารยาทสังคมและวัฒนธรรมของเจ้าของ ภาษาได้ - เขียนอธิบายเกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ ขนบธรรมเนียมและประเพณีของเจ้าของภาษาโดย คำศัพท์ ต่าง ๆ ในการสนทนาได้ - เขียนประโยคเพื่อใช้ในการสื่อสารโดยใช้คำศัพท์ต่าง ๆ ในการสนทนา 2.3 คุณลักษณะ เจตคติ ค่านิยม (A) - รักการเรียนรู้ภาษาอังกฤษและฝึกฝนอย่างจริงจังเพียงพอ - ใช้ภาษาอังกฤษอย่างมีมารยาท ถูกต้องตามกาลเทศะ และบุคคล


หน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐาน รายวิชาภาษาอังกฤษ 5 (อ23111) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 หน้า 65 3. สาระสำคัญ / ความคิดรวบยอด อธิบายและใช้ภาษาสื่อสารในสถานการณ์จริง / สถานการณ์จำลองที่เกิดขึ้นในห้องเรียน สถานศึกษา ชุมชนและสังคม ชีวิตความเป็นอยู่ ขนบธรรมเนียมและประเพณีของเจ้าของภาษา โดยใช้คำศัพท์ต่าง ๆ ในการ สนทนาตามมารยาทสังคมและวัฒนธรรมของเจ้าของภาษา มีทักษะในการเลือก พอประมาณ มีเหตุผล มีภูมิคุ้มกัน และมีคุณธรรม ในการปฏิบัติตนอย่างเหมาะสม ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง 4. สาระการเรียนรู้ 4.1 สาระการเรียนรู้แกนกลาง อธิบายและใช้ภาษาสื่อสารในสถานการณ์จริง / สถานการณ์จำลองที่เกิดขึ้นในห้องเรียน สถานศึกษา ชุมชนและสังคม ชีวิตความเป็นอยู่ ขนบธรรมเนียมและประเพณีของเจ้าของภาษา โดยใช้คำศัพท์ต่าง ๆ ในการ สนทนาตามมารยาทสังคมและวัฒนธรรมของเจ้าของภาษา 4.2 สาระการเรียนรู้ท้องถิ่น 1. คำศัพท์ในเรื่อง Unit 1 : Lifestyles 2. บทสนทนาในเรื่อง Unit 1 : Lifestyles 3. การใช้Vocabulary ในรูปแบบต่าง ๆ 5. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน (เฉพาะที่เกิดในหน่วยการเรียนรู้นี้) 5.1 ความสามารถในการสื่อสาร 5.2 ความสามารถในการคิด 5.3 ความสามารถในการแก้ปัญหา 5.4 ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต 5.5 ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี 6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์ (เฉพาะที่เกิดในหน่วยการเรียนรู้นี้) 6.1 คุณลักษณะอันพึงประสงค์ (ตามหลักสูตรแกนกลาง) 1) รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ 2) ซื่อสัตย์สุจริต 3) มีวินัย 4) ใฝ่เรียนรู้ 5) อยู่อย่างพอเพียง 6) มุ่งมั่นในการทำงาน 7) รักความเป็นไทย 8) มีจิตสาธารณะ 6.2 คุณลักษณะตามหลักสูตรมาตรฐานสากล 1) มีความรู้พื้นฐานในยุคดิจิตอล วิทยาศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ เทคโนโลยี รู้ภาษา พหุวัฒนธรรม ตระหนักสำนึกระดับโลก 2) สามารถคิดประดิษฐ์อย่างสร้างสรรค์ ปรับตัวใฝ่รู้ ใฝ่เรียน วิเคราะห์ สังเคราะห์สรุป สร้างองค์ความรู้ 3) มีทักษะสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ 4) มีความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต 5) มีความสามารถในการใช้เทคโนโลยี 7. ทักษะของผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 (3R 7C เฉพาะที่เกิดในหน่วยการเรียนรู้นี้) 7.1 ทักษะการอ่าน (Reading) 7.2 ทักษะการเขียน (Writing) 7.3 ทักษะการคิดคำนวณ (Arithmetic)


หน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐาน รายวิชาภาษาอังกฤษ 5 (อ23111) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 หน้า 66 7.4 ทักษะด้านการคิดอย่างมีวิจารณญาณและทักษะในการแก้ปัญหา (Critical thinking and problem solving) 7.5 ทักษะด้านการสร้างสรรค์และนวัตกรรม (Creativity and innovation) 7.6 ทักษะด้านความร่วมมือการทำงานเป็นทีมและภาวะผู้นำ (Collaboration, teamwork and leadership) 7.7 ทักษะด้านความเข้าใจต่างวัฒนธรรมต่างกระบวนทัศน์ (Cross-cultural understanding) 7.8 ทักษะด้านการสื่อสารสารสนเทศและรู้เท่าทันสื่อ (Communication information and media literacy) 7.9 ทักษะด้านคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (Computing) 7.10 ทักษะอาชีพและทักษะการเรียนรู้ (Career and learning self-reliance, change) 8. การบูรณาการตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ (เฉพาะที่เกิดในหน่วยการเรียนรู้นี้) 8.1 บูรณาการสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน 8.2 บูรณาการเศรษฐกิจพอเพียง 8.3 บูรณาการห้องเรียนสีเขียว 8.4 อื่น ๆ (โปรดระบุ)................................................................................................................................................. 9. ชิ้นงาน / ภาระงาน 1. ภาระงาน - ใบงานเรื่องVocabulary - แบบฝึกหัดเรื่อง Reading and conversation ในหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน ภาษาอังกฤษ Spark 3 Student’s book ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 2. ชิ้นงาน - 10. กิจกรรมการเรียนรู้ (Active Learning) เรื่อง Vocabulary, reading and conversation วิธีการสอน (วิธีการสอนแบบค้นพบ Discovery Method) ขั้นที่ 1 ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน 1.1 นักเรียนเข้าสู่บทเรียน โดยนักเรียนดูหัวข้อ Jobs and Qualities (อาชีพและคุณสมบัติของอาชีพ) บนกระดาน พร้อมช่วยกันแสดงความคิดเห็น 1.2 นักเรียนดูรูปภาพ คำศัพท์และประโยคคำถามบนกระดานดังนี้ Stuntman What qualities does a stuntman need?


หน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐาน รายวิชาภาษาอังกฤษ 5 (อ23111) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 หน้า 67 1.3 นักเรียนช่วยกันแสดงความคิดเห็นและตอบคำถาม โดยนักเรียนสามารถตอบได้ว่า A stuntman needs to be daring and fit. 1.4 นักเรียนดูรูปภาพอาชีพ (Jobs) ในหนังสือแบบเรียนรายวิชาพื้นฐานภาษาอังกฤษ Spark 3 Student’s book ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 พร้อมช่วยกันแสดงความคิดเห็นและตอบคำถาม What qualities does each of the jobs? 1.5 นักเรียนศึกษาคำศัพท์ในเอกสารประกอบการเรียน และคำศัพท์ที่เกี่ยวกับ Lifestyles เพิ่มเติม 1.6 นักเรียนและครูร่วมกันอภิปรายความหมายของคำศัพท์ทุกตัว ครูยกตัวอย่างเพิ่มเติมให้นักเรียน เข้าใจวิธีการใช้คำศัพท์นั้นให้มากขึ้น ขั้นที่ 2 ขั้นเรียนรู้ 2.1 นักเรียนทำกิจกรรม Reading : Extreme jobs, Extreme looks ในหนังสือแบบเรียนรายวิชา พื้นฐาน ภาษาอังกฤษ Spark 3 Student’s book ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน้าที่ 10 2.2 นักเรียนช่วยกันสรุปกิจกรรม Reading : Extreme jobs, Extreme looks ในหนังสือแบบเรียน รายวิชาพื้นฐาน ภาษาอังกฤษ Spark 3 Student’s book ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน้าที่ 10 2.3 นักเรียนทำกิจกรรม Read the texts and answer the questions ในหนังสือแบบเรียนรายวิชา พื้นฐาน ภาษาอังกฤษ Spark 3 Student’s book ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน้าที่ 11 2.4 นักเรียนและครูร่วมกันเฉลยคำตอบในกิจกรรมที่นักเรียนทำทั้งหมด หากมีข้อใดที่นักเรียนยังตอบได้ ไม่ถูกต้องให้ครูผู้สอนอธิบายคำตอบให้นักเรียนฟังเพื่อให้นักเรียนมีความเข้าใจมากขึ้น 2.5 นักเรียนฟังบทสนทนา Talking about clothes ในหนังสือแบบเรียนรายวิชาพื้นฐาน ภาษาอังกฤษ Spark 3 Student’s book ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน้าที่ 15 2.6 นักเรียนช่วยกันสรุปบทสนทนา Talking about clothes ในหนังสือแบบเรียนรายวิชาพื้นฐาน ภาษาอังกฤษ Spark 3 Student’s book ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน้าที่ 15 2.7 นักเรียนจับกลุ่มเพื่อฝึกบทสนทนา และส่งตัวแทนออกมา 1 กลุ่มเพื่อออกมาพูดบทสนทนา ขั้นที่ 3 ขั้นนำไปใช้ 3.1 นักเรียนศึกษาคำศัพท์ในเอกสารประกอบการเรียน 3.2 นักเรียนทำใบงานแบบฝึกหัดเกี่ยวกับคำศัพท์ในเอกสารประกอบการเรียน 3.3 นักเรียนและครูร่วมกันเฉลยแบบฝึกหัดเกี่ยวกับคำศัพท์ในเอกสารประกอบการเรียน หากมีข้อใดที่ นักเรียนยังตอบได้ไม่ถูกต้องให้ครูผู้สอนอธิบายคำตอบให้นักเรียนฟังเพื่อให้นักเรียนมีความเข้าใจมากขึ้น 11. สื่อการเรียนรู้/ แหล่งเรียนรู้ 11.1 สื่อการเรียนรู้ 1. หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน ภาษาอังกฤษ Spark 3 Student’s book ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 2. ใบความรู้เรื่อง Vocabulary and Conversation 3. ใบงานเรื่อง Vocabulary and Conversation 11.2 แหล่งเรียนรู้ 1. หนังสือพิมพ์ 2. อินเทอร์เน็ตหรือสื่ออื่น ๆ


หน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐาน รายวิชาภาษาอังกฤษ 5 (อ23111) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 หน้า 68 12. การวัดและประเมินผล ลำดับ รายการที่วัดและประเมินผล วิธีการ เครื่องมือ เกณฑ์ 1 ใบงานเรื่อง Vocabulary ตรวจใบงานท้ายบท ใบงานท้ายบท นักเรียนให้ความ ร่วมมือในการทำ แบบฝึกหัดและตอบ ถูกร้อยละ 60 ขึ้นไป ผ่านเกณฑ์ 2 แบบฝึกหัดเรื่อง Reading and conversation ในหนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน ภาษาอังกฤษ Spark 3 Student’s book ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ตรวจแบบฝึกหัด แบบฝึกหัด นักเรียนให้ความ ร่วมมือในการทำ แบบฝึกหัดและตอบ ถูกร้อยละ 60 ขึ้นไป ผ่านเกณฑ์ 13. เกณฑ์การประเมิน 16 - 20 คะแนน ดีมาก 11 - 15 คะแนน ดี 6 - 10 คะแนน พอใช้ น้อยกว่า 6 คะแนน ควรปรับปรุง ลงชื่อ ผู้จัดทำ (นายสุจินดา ปรากฏวงศ์) ตำแหน่ง ครู บันทึกหลังการใช้แผนการจัดการเรียนรู้ ...................................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................................... ลงชื่อ ผู้จัดทำ (นายสุจินดา ปรากฏวงศ์) ตำแหน่ง ครู วันที่..............เดือน..................................พ.ศ. .................


หน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐาน รายวิชาภาษาอังกฤษ 5 (อ23111) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 หน้า 69 โรงเรียนแผนการจัดการเรียนรู้ หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง Lifestyles แผนการจัดการเรียนรู้ที่2 เรื่อง Agreement of subject and verb รหัสวิชา อ23121 รายวิชา ภาษาอังกฤษ 5 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ ปีการศึกษา 2566 ภาคเรียนที่ 1 เวลา 3 ชั่วโมง ผู้สอน นายสุจินดา ปรากฏวงศ์ 1. มาตรฐานการเรียนรู้/ ตัวชี้วัด 1.1 มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐาน ต 2.1 เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างภาษากับวัฒนธรรมของเจ้าของภาษา และนำไปใช้ ได้อย่าง เหมาะสมกับกาลเทศะ มาตรฐาน ต 4.1 ใช้ภาษาต่างประเทศในสถานการณ์ต่าง ๆ ทั้งในสถานศึกษา ชุมชน และสังคม 1.2 ตัวชี้วัด ต 2.1 ม. 3/1 เลือกใช้ภาษา น้ำเสียง และกิริยาท่าทาง เหมาะกับบุคคลและโอกาส ตามมารยาทสังคม และวัฒนธรรมของเจ้าของภาษา ต 2.1 ม. 3/2 อธิบายเกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ขนบธรรมเนียมและประเพณีของเจ้าของภาษา ต 4.1 ม. 3/1 ใช้ภาษาสื่อสารในสถานการณ์จริง / สถานการณ์จำลองที่เกิดขึ้นในห้องเรียน สถานศึกษา ชุมชนและสังคม 2. จุดประสงค์การเรียนรู้ 2.1 ด้านความรู้ ความเข้าใจ (K) - นักเรียนมีความรู้ในการใช้Agreement of Subject and Verb ในการสนทนา ตามมารยาทสังคม และวัฒนธรรมของเจ้าของภาษา - นักเรียนมีความรู้เกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ขนบธรรมเนียมและประเพณีของเจ้าของภาษา - นักเรียนมีความรู้ในเรื่องการใช้Agreement of Subject and Verb 2.2 ด้านทักษะกระบวนการ (P) - เขียนประประโยคตามโครงสร้างต่าง ๆ โดยใช้โครงสร้าง Agreement of Subject and Verb ใน รูปแบบการสนทนา ตามมารยาทสังคมและวัฒนธรรมของเจ้าของภาษาได้ - เขียนอธิบายเกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ ขนบธรรมเนียมและประเพณีของเจ้าของภาษาโดยใช้ Agreement of Subject and Verb ได้ - พูดสื่อสารโดยใช้Agreement of Subject and Verb ได้ - เขียนประโยคเพื่อใช้ในการสื่อสารโดยใช้โครงสร้าง Agreement of Subject and Verb ได้ 2.3 คุณลักษณะ เจตคติ ค่านิยม (A) - รักการเรียนรู้ภาษาอังกฤษและฝึกฝนอย่างจริงจังเพียงพอ - ใช้ภาษาอังกฤษอย่างมีมารยาท ถูกต้องตามกาลเทศะ และบุคคล


หน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐาน รายวิชาภาษาอังกฤษ 5 (อ23111) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 หน้า 70 3. สาระสำคัญ / ความคิดรวบยอด อธิบายและใช้ภาษาสื่อสารในสถานการณ์จริง / สถานการณ์จำลองที่เกิดขึ้นในห้องเรียน สถานศึกษา ชุมชนและสังคม ชีวิตความเป็นอยู่ ขนบธรรมเนียมและประเพณีของเจ้าของภาษา โดยใช้คำศัพท์ต่าง ๆ ในการ สนทนาตามมารยาทสังคมและวัฒนธรรมของเจ้าของภาษา มีทักษะในการเลือก พอประมาณ มีเหตุผล มีภูมิคุ้มกัน และมีคุณธรรม ในการปฏิบัติตนอย่างเหมาะสม ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง 4. สาระการเรียนรู้ 4.1 สาระการเรียนรู้แกนกลาง อธิบายและใช้ภาษาสื่อสารในสถานการณ์จริง / สถานการณ์จำลองที่เกิดขึ้นในห้องเรียน สถานศึกษา ชุมชนและสังคม ชีวิตความเป็นอยู่ ขนบธรรมเนียมและประเพณีของเจ้าของภาษา โดยใช้คำศัพท์ต่าง ๆ ในการ สนทนาตามมารยาทสังคมและวัฒนธรรมของเจ้าของภาษา 4.2 สาระการเรียนรู้ท้องถิ่น 1. คำศัพท์ในเรื่อง Unit 1 : Lifestyles 2. บทสนทนาในเรื่อง Unit 1 : Lifestyles 3. การใช้Agreement of subject and verb ในรูปแบบต่าง ๆ 5. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน (เฉพาะที่เกิดในหน่วยการเรียนรู้นี้) 5.1 ความสามารถในการสื่อสาร 5.2 ความสามารถในการคิด 5.3 ความสามารถในการแก้ปัญหา 5.4 ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต 5.5 ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี 6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์ (เฉพาะที่เกิดในหน่วยการเรียนรู้นี้) 6.1 คุณลักษณะอันพึงประสงค์ (ตามหลักสูตรแกนกลาง) 1) รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ 2) ซื่อสัตย์สุจริต 3) มีวินัย 4) ใฝ่เรียนรู้ 5) อยู่อย่างพอเพียง 6) มุ่งมั่นในการทำงาน 7) รักความเป็นไทย 8) มีจิตสาธารณะ 6.2 คุณลักษณะตามหลักสูตรมาตรฐานสากล 1) มีความรู้พื้นฐานในยุคดิจิตอล วิทยาศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ เทคโนโลยี รู้ภาษา พหุวัฒนธรรม ตระหนักสำนึกระดับโลก 2) สามารถคิดประดิษฐ์อย่างสร้างสรรค์ ปรับตัวใฝ่รู้ ใฝ่เรียน วิเคราะห์ สังเคราะห์สรุป สร้างองค์ความรู้ 3) มีทักษะสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ 4) มีความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต 5) มีความสามารถในการใช้เทคโนโลยี 7. ทักษะของผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 (3R 7C เฉพาะที่เกิดในหน่วยการเรียนรู้นี้) 7.1 ทักษะการอ่าน (Reading) 7.2 ทักษะการเขียน (Writing) 7.3 ทักษะการคิดคำนวณ (Arithmetic)


หน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐาน รายวิชาภาษาอังกฤษ 5 (อ23111) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 หน้า 71 7.4 ทักษะด้านการคิดอย่างมีวิจารณญาณและทักษะในการแก้ปัญหา (Critical thinking and problem solving) 7.5 ทักษะด้านการสร้างสรรค์และนวัตกรรม (Creativity and innovation) 7.6 ทักษะด้านความร่วมมือการทำงานเป็นทีมและภาวะผู้นำ (Collaboration, teamwork and leadership) 7.7 ทักษะด้านความเข้าใจต่างวัฒนธรรมต่างกระบวนทัศน์ (Cross-cultural understanding) 7.8 ทักษะด้านการสื่อสารสารสนเทศและรู้เท่าทันสื่อ (Communication information and media literacy) 7.9 ทักษะด้านคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (Computing) 7.10 ทักษะอาชีพและทักษะการเรียนรู้ (Career and learning self-reliance, change) 8. การบูรณาการตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ (เฉพาะที่เกิดในหน่วยการเรียนรู้นี้) 8.1 บูรณาการสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน 8.2 บูรณาการเศรษฐกิจพอเพียง 8.3 บูรณาการห้องเรียนสีเขียว 8.4 อื่น ๆ (โปรดระบุ)................................................................................................................................................. 9. ชิ้นงาน / ภาระงาน 1. ภาระงาน - ใบงานเรื่อง Agreement of subject and verb 2. ชิ้นงาน - 10. กิจกรรมการเรียนรู้ (Active Learning) เรื่อง Agreement of subject and verb วิธีการสอน (วิธีการสอนแบบ Inquiry Method : 5Es และแบบ 2W3P) ชั่วโมงที่ 1 (วิธีการสอนแบบ Inquiry Method : 5Es) 1. สร้างความสนใจ (Engage) 1.1 นักเรียนช่วยกันอภิปรายถึงคำนาม คำสรรพนามและคำกริยา ที่นักเรียนคุ้นเคย เช่น I am, You are เป็นต้น จนกระทั่งมาสู่คำนามที่เป็นเอกพจน์และพหูพจน์ง่ายๆ เช่น A cat is, Two dogs are… 1.2 นักเรียนช่วยกันนำเสนอคำนามเอกพจน์หรือพหูพจน์ เพิ่มเติม เพื่อให้สมาชิกในห้องเรียนรู้ร่วมกัน 2. สำรวจและค้นหา (Explore) 2.1 นักเรียนดูข้อมูลบน PowerPoint ดังนี้


หน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐาน รายวิชาภาษาอังกฤษ 5 (อ23111) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 หน้า 72 2.2 นักเรียนช่วยกันวิเคราะห์ประโยคและคำที่ถูกขีดเส้นใต้ 2.3 นักเรียนช่วยกันวิเคราะห์ประธานในประโยคทั้ง 2 ประโยคว่ามีความเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร พร้อมอธิบายโครงสร้างประโยค (Tense) 3. อธิบาย (Explain) 3.1 นักเรียนดูข้อมูลบน PowerPoint ดังนี้ 3.2 นักเรียนช่วยกันอธิบายข้อมูลบน PowerPoint โดยมีครูคอยช่วยเสริมข้อมูลเพิ่มเติม 3.3 นักเรียนฟังครูอธิบายเรื่อง Agreement of subject and verb กลุ่มประธานเอกพจน์ Agreement of subject and verb กลุ่มประธานเอกพจน์ คือการใช้คำกริยาให้สอดรับกับประธาน เอกพจน์ กฎข้อที่ 1 : ประธานเอกพจน์ อยู่ใน Present Simple Tense กริยาต้องเป็นเอกพจน์ คือเติม s, es เช่น • She speaks English very well. เธอพูดภาษาอังกฤษเก่งมาก • The dog barks at the cat. สุนัขเห่าแมว กฎข้อที่ 2 : นามนับไม่ได้ (uncountable Nouns) ใช้กริยาเอกพจน์ เช่น furniture, equipment, machinery, information, advice, traffic, clothing etc. • The furniture in this room is white. กฎข้อที่ 3 : ประธานที่เป็นชื่อเฉพาะ เช่น ชื่อประเทศ หนังสือ วิชา โรค ให้ใช้กริยาเอกพจน์ เช่น The United States, The Times, politics, mathematics, The Day After Tomorrow, gymnastics, measles, physics, billiards, news, mumps, etc. • The news seems good. • Measles is an infectious disease. กฎข้อที่ 4 : จำนวน เงิน เวลา ระยะทาง น้ำหนัก ปริมาตร ถือว่าเป็น 1 หน่วย ใช้กับกริยาอกพจน์ • Fifty dollars is too much to pay for that coat. • Forty miles of that road seems like two hundred. กฎข้อที่ 5 : Indefinite Pronoun ต่อไปนี้ใช้กับกริยาเอกพจน์ เช่น everyone, everybody, everything, no one, nobody, nothing, someone, somebody, something, each, either, neither • Everyone is in the room. ทุกคนอยู่ในห้อง • Someone in the office likes you. บางคนในที่ทำงานแอบชอบคุณ


หน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐาน รายวิชาภาษาอังกฤษ 5 (อ23111) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 หน้า 73 กฎข้อที่ 6 : One Every Each + of + the + Noun พหูพจน์ + กริยาเอกพจน์ Either Neither • Each of the students studies hard. • One of my friends is absent today. 3.4 นักเรียนช่วยกันทำแบบฝึกหัดบน PowerPoint เรื่อง Agreement of subject and verb กลุ่ม ประธานเอกพจน์ จำนวน 5 ข้อ Instructions : Complete the following sentences with the words in parentheses. 1. Either my mother or my father……………………………(be) coming to the meeting. 2. Nobody……………………………(know) the trouble I’ve seen. 3. Mathematics……………………………(be) John’s favorite subject. 4. The committee……………………………(debate) these questions carefully. 5. Eight dollars……………………………(be) the price of a movie these days. Answer Key 1. is 2. knows 3. is 4. debates 5. is 4. ขยายความรู้ (Elaborate) 4.1 นักเรียนศึกษาเนื้อหาเรื่อง Agreement of subject and verb กลุ่มประธานเอกพจน์ ในเอกสาร ประกอบการเรียนและศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจากแหล่งเรียนรู้ Internet 4.2 นักเรียนทำแบบฝึกหัด Agreement of subject and verb กลุ่มประธานเอกพจน์ บน PowerPoint จำนวน 10 ข้อ Instructions : Complete the following sentences with the words in parentheses. 1. One of my sisters……………………………(be) going on a trip to France. 2. Either my shoes or your coat……………………………(be) always on the floor. 3. Everyone on the team……………………………(support) the coach 4. The crowd……………………………(be) getting angry 5. There……………………………(be) a hair in my lasagna. 6. Some sugar……………………………(is) required for taste. 7. My dog……………………………(wait) for the postal carrier. 8. Ten dollars……………………………(be) a high price to pay. 9.Five hundred square feet……………………………(be) a very small space to live in. 10. AIDS……………………………(spread) very easily. Answer Key 1. is 2. is 3. supports 4. is 5. is 6. is 7. waits 8. is 9. is 10. spreads


หน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐาน รายวิชาภาษาอังกฤษ 5 (อ23111) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 หน้า 74 4.2 นักเรียนทำใบงานเรื่อง Agreement of subject and verb กลุ่มประธานเอกพจน์ในเอกสาร ประกอบการเรียน 5. ประเมินผล (Evaluate) 5.1 นักเรียนและครูร่วมกันตรวจสอบคำตอบจากการทำแบบฝึกหัด Agreement of subject and verb กลุ่มประธานเอกพจน์ บน PowerPoint จำนวน 10 ข้อ 5.2 นักเรียนและครูร่วมกันตรวจสอบคำตอบจากการทำใบงานเรื่อง Agreement of subject and verb กลุ่มประธานเอกพจน์ ในเอกสารประกอบการเรียน 5.3 นักเรียนและครูช่วยกันอธิบายถึงสาเหตุในการตอบคำถามหรือเลือกตอบในแต่ละข้อเพื่อให้นักเรียน ทุก ๆ คนเข้าใจหลักการใช้ Agreement of subject and verb กลุ่มประธานเอกพจน์ 5.4 นักเรียนและครูร่มกันสรุปหลักการของกฎต่าง ๆ ของ Agreement of subject and verb กลุ่ม ประธานเอกพจน์ 5.5 นักเรียนและครูร่วมกันสรุปเกี่ยวกับเนื้อหาเรื่อง Agreement of subject and verb กลุ่มประธาน เอกพจน์ ชั่วโมงที่ 2 (วิธีการสอนแบบ Inquiry Method : 5Es) 1. สร้างความสนใจ (Engage) 1.1 นักเรียนดูรูปภาพคำศัพท์บน PowerPoint ดังนี้ 1.2 นักเรียนช่วยกันแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ Singular & Plural Nouns และรูปภาพบน PowerPoint โดยครูเปิดรับทุกคำตอบของนักเรียน 1.3 นักเรียนช่วยกันเสนอSingular & Plural Nouns ออกมาเขียนบนกระดาน โดยครูแบ่งกระดาน ออกเป็นสองฝั่ง ฝั่งซ้ายมอเขียนคำนามเอกพจน์ (Singular Nouns) ส่วนฝั่งขวามือเขียนคำนามพหูพจน์ (Plural Nouns 2. สำรวจและค้นหา (Explore) 2.1 นักเรียนดูข้อมูลบน PowerPoint ดังนี้ 2.2 นักเรียนช่วยกันวิเคราะห์ประโยคและคำที่ถูกขีดเส้นใต้ 2.3 นักเรียนช่วยกันวิเคราะห์ประธานในประโยคทั้ง 2 ประโยคว่ามีความเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร พร้อมอธิบายโครงสร้างประโยค (Tense) ประธานและกริยาว่ามีความสอดคล้องกันอย่างไร


หน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐาน รายวิชาภาษาอังกฤษ 5 (อ23111) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 หน้า 75 3. อธิบาย (Explain) 3.1 นักเรียนดูข้อมูลบน PowerPoint ดังนี้ 3.2 นักเรียนช่วยกันอธิบายข้อมูลบน PowerPoint โดยมีครูคอยช่วยเสริมข้อมูลเพิ่มเติม 3.3 นักเรียนฟังครูอธิบายเรื่อง Agreement of subject and verb กลุ่มประธานพหูพจน์ Agreement of subject and verb กลุ่มประธานพหูพจน์ คือการใช้คำกริยาให้สอดรับกับประธาน พหูพจน์ กฎข้อที่ 1 ประธานที่เป็นเครื่องนุ่งห่ม เครื่องมือที่ประกอบด้วย 2 สวน เช่น trousers, pants, shorts, clothes, spectacles, scissors, slippers, etc. • The clothes I ordered were delivered yesterday. กฎข้อที่ 2 ประธานที่มีความหมายเป็นพหูพจน์อื่น ๆ เช่น cattle, clergy, data, dozen, goods, people, police, poultry, etc. • The people were excited about the news. กฎข้อที่ 3 The + Adjective จะกลายเป็น Noun พหูพจน์ ใช้กับกริยาพหูพจน์ เช่น the old, the young, the rich, the poor, the sick, the blind, the dead, the homeless, etc. • The poor need more help. 3.4 นักเรียนช่วยกันทำแบบฝึกหัดบน PowerPoint เรื่อง Agreement of subject and verb กลุ่ม ประธานพหูพจน์ จำนวน 5 ข้อ Instructions : Complete the following sentences with the words in parentheses. 1. My trousers……………………………(be) too short. 2. The data……………………………(be) collected by various researchers. 3. The eye glasses……………………………(be) very expensive. 4. The blind……………………………(live) in the dark. 5. The poor……………………………(be) rich when they are satisfied. Answer Key 1. are 2. were 3. are 4. live 5. are 4. ขยายความรู้ (Elaborate) 4.1 นักเรียนศึกษาเนื้อหาเรื่อง Agreement of subject and verb กลุ่มประธานพหูพจน์ ในเอกสาร ประกอบการเรียนและศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจากแหล่งเรียนรู้ Internet 4.2 นักเรียนทำแบบฝึกหัด Agreement of subject and verb กลุ่มประธานพหูพจน์ บน PowerPoint จำนวน 10 ข้อ


หน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐาน รายวิชาภาษาอังกฤษ 5 (อ23111) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 หน้า 76 Instructions : Complete the following sentences with the words in parentheses. 1. The rich……………………………(be) not always happy. 2. Police……………………………(be) chasing the thieves. 3. The brave……………………………(be) always respected. 4. The scissors……………………………(have) gone missing again. 5. The goods……………………………(be) transported by train. 6. The sheep……………………………(be) taken abroad where they were butchered for meat. 7. The blind……………………………(deserve) sympathy. 8. My spectacles……………………………(be) broken I’ll need to buy another pair. 9.The homeless……………………………(sleep) in doorways and stations. 10.The cattle……………………………(be) on the grassland. Answer Key 1. are 2. are 3. are 4. have 5. were 6. were 7. deserve 8.are 9. sleep 10.are 4.2 นักเรียนทำใบงานเรื่อง Agreement of subject and verb กลุ่มประธานพหูพจน์ในเอกสาร ประกอบการเรียน 5. ประเมินผล (Evaluate) 5.1 นักเรียนและครูร่วมกันตรวจสอบคำตอบจากการทำแบบฝึกหัด Agreement of subject and verb กลุ่มประธานพหูพจน์ บน PowerPoint จำนวน 10 ข้อ 5.2 นักเรียนและครูร่วมกันตรวจสอบคำตอบจากการทำใบงานเรื่อง Agreement of subject and verb กลุ่มประธานพหูพจน์ ในเอกสารประกอบการเรียน 5.3 นักเรียนและครูช่วยกันอธิบายถึงสาเหตุในการตอบคำถามหรือเลือกตอบในแต่ละข้อเพื่อให้นักเรียน ทุก ๆ คนเข้าใจหลักการใช้ Agreement of subject and verb กลุ่มประธานพหูพจน์ 5.4 นักเรียนและครูร่วมกันสรุปหลักการของกฎต่าง ๆ ของ Agreement of subject and verb กลุ่ม ประธานพหูพจน์ 5.5 นักเรียนและครูร่วมกันสรุปเกี่ยวกับเนื้อหาเรื่อง Agreement of subject and verb กลุ่มประธาน พหูพจน์ ชั่วโมงที่ 3 (วิธีการสอนแบบ 2W3P) ขั้นที่ 1 ขั้นกระตุ้นทบทวนและปูพื้นฐานความรู้ (Warm up) 1.1 นักเรียนทบทวนความรู้เรื่อง Agreement of subject and verb กลุ่มประธานเอกพจน์และกลุ่ม พหูพจน์ โดยช่วยกันแสดงความคิดเห็นและอธิบายวิธีการใช้ 1.2 นักเรียนแบ่งออกเป็นกลุ่ม กลุ่มละเท่า ๆ กัน ซึ่งสมาชิกประกอบไปด้วย นักเรียนเก่ง ปานกลาง และ อ่อน เพื่อเล่นเกมตอบคำถามเกี่ยวกับ Agreement of subject and verb กลุ่มประธานเอกพจน์และกลุ่มพหูพจน์ โดยใช้วิธีการเก็บคะแนนสะสมจากแต่ละเกม เมื่อจบเกมแล้วกลุ่มที่ได้คะแนนรวมมากที่สุดเป็นทีมชนะ


หน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐาน รายวิชาภาษาอังกฤษ 5 (อ23111) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 หน้า 77 ขั้นที่ 2 ขั้นนำเสนอเนื้อหาสาระ (Presentation) 2.1 นักเรียนดูประโยคบน PowerPoint ดังนี้ • The family is the basic unit of our society. • The family have decided to move to Bangkok. 2.2 นักเรียนช่วยกันแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประโยคทั้ง 2 ประโยค โดยครูเปิดรับทุกคำตอบของ นักเรียน 2.3 นักเรียนฝึกสังเกตการใช้ประธานและกริยาในประโยคดังกล่าวว่ามีความเหมือนและแตกต่างกัน อย่างไร พร้อมทั้งช่วยกันหาเหตุผลมาอธิบาย 2.4 นักเรียนฟังครูอธิบายเรื่อง Agreement of subject and verb กลุ่มประธานที่เป็นเอกพจน์หรือ พหูพจน์ กฎข้อที่ 1 Collective Nouns ใช้กับกริยาเอกพจน์ หรือ กริยาพหูพจน์ได้ เช่น army, class, committee, crowd, family, group, staff, team, etc. • The class are studying English. กฎข้อที่ 2 ประธานที่มีส่วนขยาย ใช้กริยาตามประธานหลัก • The package of cigarettes is on the table. • The boxes of candy are on the chair. กฎข้อที่ 3 The number + of + Noun พหูพจน์ + กริยาเอกพจน์ A number + of + Noun พหูพจน์ + กริยาพหูพจน์ • The number of students in the music class is limited to five. • A number of books are on reserve in the library for this course. กฎข้อที่ 4 Some Any Most All + of + the Noun พหูพจน์ + กริยาพหูพจน์ None Noun นับไม่ได้ + กริยาเอกพจน์ Part One-third Half • Some of the students get low marks. • One third of the apples are yours. • Half of the time was spent in the country. กฎข้อที่ 5 ประธาน 2 ตัว เชื่อมด้วย or, either…or, neither…nor, not only…but also ใช้ กริยาตามประธานตามตัวหลัง • Neither John nor she is to go. • Either Susan or Andrew was responsible for mailing the letter. • Neither the principal nor the teachers favour long hair.


หน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐาน รายวิชาภาษาอังกฤษ 5 (อ23111) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 หน้า 78 กฎข้อที่ 6 ประธาน 2 ตัวเชื่อมด้วย as well as, with, together with, along with, including, in addition to ใช้กริยาตามประธานตัวหน้า • Mary together with her friends is walking in the park. • Gold, as well as platinum, has recently risen in price. กฎข้อที่ 7 ประธาน 2 ตัว เชื่อมด้วย and มีหลักในการสังเกต ดังนี้ 7.1 ใช้รูปกริยาพหูพจน์ เมื่อประธานประกอบด้วยนามเอกพจน์ 2 ตัว เชื่อมด้วย and • Jim and Jack are roommates this semester. • The author and the lecturer are standing there. 7.2 ถ้านามเอกพจน์ 2 ตัวนั้นหมายถึงบุคคลเดียวกัน หรือ สิ่งเดียวกัน หรือเป็นความคิด หนึ่งเท่านั้นได้ใช้กริยารูปเอกพจน์ • Bread and butter was all he asked for. • The author and lecturer is standing there. กฎข้อที่ 8 ในประโยคที่มี Relative Pronouns เช่น who, which, that ให้ใช้กริยาตาม noun • The man who spoke to me is my father. • The girls who spoke to me are my friends. กฎข้อที่ 9 ประโยคที่ขึ้นต้นด้วย Here, There, Where, Why, How, How much ให้ดูนามที่อยู่ หลังกริยา ถ้านามที่อยู่หลังกริยาเป็นพหูพจน์ กริยาก็ใช้รูปพหูพจน์ แต่ถ้านามนั้นเป็นเอกพจน์ กริยานั้นก็เป็น เอกพจน์ • Here is some sugar. • There are some students in front of the class. ขั้นที่ 3 ขั้นฝึกฝนโดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์ (Practice) 3.1 นักเรียนช่วยกันตอบแบบฝึกหัดบน PowerPoint จำนวน 10 ข้อ Instructions : Complete the following sentences with the words in parentheses. 1. The number of children in the school……………………………(have) decreased this year. 2. The committee……………………………(have) thought carefully over this plan. 3. One third of the city’s students……………………………(drop) out before graduation. 4. The girl together with the boy……………………………(sing) well. 5. My blue tennis shoes which used to be my mom’s……………………………(be) under the bed. 6. Either the pitcher or the base runners……………………………(be) caught napping. 7. There……………………………(be) several dents in the car. 8. The box of apples……………………………(be) on the porch. 9. Some of the job applicants……………………………(be) expected to pass the difficult screening test. 10. The class……………………………(be) turning in their registration forms today.


หน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐาน รายวิชาภาษาอังกฤษ 5 (อ23111) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 หน้า 79 Answer Key 1. has 2. have 3. drop 4. sings 5. were 6. were 7. were 8. is 9. are 10. is ขั้นที่ 4 ขั้นนำไปใช้หรือการบูรณาการความรู้ (Production) 4.1 นักเรียนทำแบบฝึกหัด Agreement of subject and verb กลุ่มประธานที่เป็นเอกพจน์หรือ พหูพจน์ในเอกสารประกอบการเรียน 4.2 นักเรียนและครูร่วมกันเฉลยแบบฝึกหัด Agreement of subject and verb กลุ่มประธานที่เป็น เอกพจน์หรือพหูพจน์ในเอกสารประกอบการเรียน หากมีข้อใดที่นักเรียนยังตอบได้ไม่ถูกต้องให้ครูผู้สอนอธิบาย คำตอบให้นักเรียนฟังเพื่อให้นักเรียนมีความเข้าใจมากขึ้น ขั้นที่ 5 ขั้นสรุปความรู้ที่ได้รับจากกระบวน การเรียนรู้ (Wrap up) 5.1 นักเรียนช่วยกันสรุปความรู้เรื่อง Agreement of subject and verb กลุ่มประธานที่เป็นเอกพจน์ หรือพหูพจน์พร้อมทั้งช่วยกันยกตัวอย่างประโยคจำนวน 5 ประโยคเพื่อเป็นการทดสอบความเข้าใจของนักเรียน 11. สื่อการเรียนรู้/ แหล่งเรียนรู้ 11.1 สื่อการเรียนรู้ 1. หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน ภาษาอังกฤษ Spark 3 Student’s book ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 2. ใบความรู้เรื่อง Agreement of subject and verb 3. ใบงานเรื่อง Agreement of subject and verb 11.2 แหล่งเรียนรู้ 1. หนังสือพิมพ์ 2. อินเทอร์เน็ตหรือสื่ออื่น ๆ 12. เกณฑ์การวัดและประเมินผล ระดับคะแนน ประเด็น การประเมิน 5 4 3 2 น้ำหนัก ความ สำคัญ เกณฑ์การ ให้คะแนน รวม คะแนน โครงสร้าง ทางไวยากรณ์ เขียนโดยใช้ โครงสร้าง ไวยากรณ์ได้ ถูกต้องทุก ประโยค เขียนโดยใช้ โครงสร้าง ไวยากรณ์ ผิดพลาดเล็กน้อย เขียนโดยใช้ โครงสร้าง ไวยากรณ์ ผิดพลาดหลาย แห่ง เขียนโดยใช้ โครงสร้าง ไวยากรณ์ ผิดพลาดเกิน ครึ่งหนึ่งของงาน เขียน 2 5 การสะกดคำ และการใช้ เครื่องหมาย วรรคตอน สะกดคำและใช้ เครื่องหมายวรรค ตอนถูกต้อง สะกดคำและใช้ เครื่องหมายวรรค ตอนผิดพลาด เล็กน้อย สะกดคำและใช้ เครื่องหมายวรรค ตอนผิดพลาด หลายแห่ง สะกดคำและใช้ เครื่องหมายวรรค ตอนผิดพลาด เกินครึ่งหนึ่งของ งานเขียน 1 5


หน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐาน รายวิชาภาษาอังกฤษ 5 (อ23111) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 หน้า 80 12. เกณฑ์การวัดและประเมินผล (ต่อ) ระดับคะแนน ประเด็น การประเมิน 5 4 3 2 น้ำหนัก ความ สำคัญ เกณฑ์การ ให้คะแนน รวม คะแนน การใช้คำศัพท์ ใช้คำศัพท์และ สำนวนเหมาะสม อ่านแล้วเข้าใจ ทั้งหมด ใช้คำศัพท์และ สำนวนเหมาะสม แต่อ่านแล้วไม่ เข้าใจบางแห่ง มีปัญหาอยู่บ้าง ในการใช้คำศัพท์ และสำนวน อ่าน แล้วไม่เข้าใจ หลายแห่ง ใช้คำศัพท์และ สำนวนผิดพลาด หลายแห่ง อ่าน แล้วไม่เข้าใจเป็น ส่วนมาก 1 5 การนำเสนอ เนื้อหา เขียนได้ตรง ประเด็นตามที่ กำหนดและ สามารถเรียบ เรียงเนื้อหา ตามลำดับ เหมาะสม เขียนได้ค่อนข้าง ตรงประเด็น ตามที่กำหนด และสามารถ เรียบเรียงเนื้อหา ได้ค่อนข้าง เหมาะสม เขียนไม่ค่อยตรง ประเด็นตามที่ กำหนดและเรียบ เรียงเนื้อหาไม่ ค่อยเหมาะสม เท่าที่ควร เขียนไม่ตรง ประเด็นตามที่ กำหนด และไม่ เรียบเรียงเนื้อหา ตามลำดับ 2 5 รวม 6 20 13. เกณฑ์การประเมิน 16 - 20 คะแนน ดีมาก 11 - 15 คะแนน ดี 6 - 10 คะแนน พอใช้ น้อยกว่า 6 คะแนน ควรปรับปรุง ลงชื่อ ผู้จัดทำ (นายสุจินดา ปรากฏวงศ์) ตำแหน่ง ครู


หน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐาน รายวิชาภาษาอังกฤษ 5 (อ23111) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 หน้า 81 บันทึกหลังการใช้แผนการจัดการเรียนรู้ ...................................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................................... ลงชื่อ ผู้จัดทำ (นายสุจินดา ปรากฏวงศ์) ตำแหน่ง ครู วันที่..............เดือน..................................พ.ศ. ..................


หน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐาน รายวิชาภาษาอังกฤษ 5 (อ23111) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 หน้า 82 โรงเรียนแผนการจัดการเรียนรู้ หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง Lifestyles แผนการจัดการเรียนรู้ที่3 เรื่อง Agreement of subject and verb (Revision) รหัสวิชา อ23121 รายวิชา ภาษาอังกฤษ 5 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ ปีการศึกษา 2566 ภาคเรียนที่ 1 เวลา 2 ชั่วโมง ผู้สอน นายสุจินดา ปรากฏวงศ์ 1. มาตรฐานการเรียนรู้/ ตัวชี้วัด 1.1 มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐาน ต 2.1 เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างภาษากับวัฒนธรรมของเจ้าของภาษา และนำไปใช้ ได้อย่าง เหมาะสมกับกาลเทศะ มาตรฐาน ต 4.1 ใช้ภาษาต่างประเทศในสถานการณ์ต่าง ๆ ทั้งในสถานศึกษา ชุมชน และสังคม 1.2 ตัวชี้วัด ต 2.1 ม. 3/1 เลือกใช้ภาษา น้ำเสียง และกิริยาท่าทาง เหมาะกับบุคคลและโอกาส ตามมารยาทสังคม และวัฒนธรรมของเจ้าของภาษา ต 2.1 ม. 3/2 อธิบายเกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ขนบธรรมเนียมและประเพณีของเจ้าของภาษา ต 4.1 ม. 3/1 ใช้ภาษาสื่อสารในสถานการณ์จริง / สถานการณ์จำลองที่เกิดขึ้นในห้องเรียน สถานศึกษา ชุมชนและสังคม 2. จุดประสงค์การเรียนรู้ 2.1 ด้านความรู้ ความเข้าใจ (K) - นักเรียนมีความรู้ในการใช้Agreement of Subject and Verb ในการสนทนา ตามมารยาทสังคม และวัฒนธรรมของเจ้าของภาษา - นักเรียนมีความรู้เกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ขนบธรรมเนียมและประเพณีของเจ้าของภาษา - นักเรียนมีความรู้ในเรื่องการใช้Agreement of Subject and Verb 2.2 ด้านทักษะกระบวนการ (P) - เขียนประประโยคตามโครงสร้างต่าง ๆ โดยใช้โครงสร้าง Agreement of Subject and Verb ใน รูปแบบการสนทนา ตามมารยาทสังคมและวัฒนธรรมของเจ้าของภาษาได้ - เขียนอธิบายเกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ ขนบธรรมเนียมและประเพณีของเจ้าของภาษาโดยใช้ Agreement of Subject and Verb ได้ - พูดสื่อสารโดยใช้Agreement of Subject and Verb ได้ - เขียนประโยคเพื่อใช้ในการสื่อสารโดยใช้โครงสร้าง Agreement of Subject and Verb ได้ 2.3 คุณลักษณะ เจตคติ ค่านิยม (A) - รักการเรียนรู้ภาษาอังกฤษและฝึกฝนอย่างจริงจังเพียงพอ - ใช้ภาษาอังกฤษอย่างมีมารยาท ถูกต้องตามกาลเทศะ และบุคคล


หน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐาน รายวิชาภาษาอังกฤษ 5 (อ23111) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 หน้า 83 3. สาระสำคัญ / ความคิดรวบยอด อธิบายและใช้ภาษาสื่อสารในสถานการณ์จริง / สถานการณ์จำลองที่เกิดขึ้นในห้องเรียน สถานศึกษา ชุมชนและสังคม ชีวิตความเป็นอยู่ ขนบธรรมเนียมและประเพณีของเจ้าของภาษา โดยใช้คำศัพท์ต่าง ๆ ในการ สนทนาตามมารยาทสังคมและวัฒนธรรมของเจ้าของภาษา มีทักษะในการเลือก พอประมาณ มีเหตุผล มีภูมิคุ้มกัน และมีคุณธรรม ในการปฏิบัติตนอย่างเหมาะสม ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง 4. สาระการเรียนรู้ 4.1 สาระการเรียนรู้แกนกลาง อธิบายและใช้ภาษาสื่อสารในสถานการณ์จริง / สถานการณ์จำลองที่เกิดขึ้นในห้องเรียน สถานศึกษา ชุมชนและสังคม ชีวิตความเป็นอยู่ ขนบธรรมเนียมและประเพณีของเจ้าของภาษา โดยใช้คำศัพท์ต่าง ๆ ในการ สนทนาตามมารยาทสังคมและวัฒนธรรมของเจ้าของภาษา 4.2 สาระการเรียนรู้ท้องถิ่น 1. คำศัพท์ในเรื่อง Unit 1 : Lifestyles 2. บทสนทนาในเรื่อง Unit 1 : Lifestyles 3. การใช้Agreement of subject and verb ในรูปแบบต่าง ๆ 5. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน (เฉพาะที่เกิดในหน่วยการเรียนรู้นี้) 5.1 ความสามารถในการสื่อสาร 5.2 ความสามารถในการคิด 5.3 ความสามารถในการแก้ปัญหา 5.4 ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต 5.5 ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี 6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์ (เฉพาะที่เกิดในหน่วยการเรียนรู้นี้) 6.1 คุณลักษณะอันพึงประสงค์ (ตามหลักสูตรแกนกลาง) 1) รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ 2) ซื่อสัตย์สุจริต 3) มีวินัย 4) ใฝ่เรียนรู้ 5) อยู่อย่างพอเพียง 6) มุ่งมั่นในการทำงาน 7) รักความเป็นไทย 8) มีจิตสาธารณะ 6.2 คุณลักษณะตามหลักสูตรมาตรฐานสากล 1) มีความรู้พื้นฐานในยุคดิจิตอล วิทยาศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ เทคโนโลยี รู้ภาษา พหุวัฒนธรรม ตระหนักสำนึกระดับโลก 2) สามารถคิดประดิษฐ์อย่างสร้างสรรค์ ปรับตัวใฝ่รู้ ใฝ่เรียน วิเคราะห์ สังเคราะห์สรุป สร้างองค์ความรู้ 3) มีทักษะสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ 4) มีความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต 5) มีความสามารถในการใช้เทคโนโลยี 7. ทักษะของผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 (3R 7C เฉพาะที่เกิดในหน่วยการเรียนรู้นี้) 7.1 ทักษะการอ่าน (Reading) 7.2 ทักษะการเขียน (Writing) 7.3 ทักษะการคิดคำนวณ (Arithmetic)


หน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐาน รายวิชาภาษาอังกฤษ 5 (อ23111) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 หน้า 84 7.4 ทักษะด้านการคิดอย่างมีวิจารณญาณและทักษะในการแก้ปัญหา (Critical thinking and problem solving) 7.5 ทักษะด้านการสร้างสรรค์และนวัตกรรม (Creativity and innovation) 7.6 ทักษะด้านความร่วมมือการทำงานเป็นทีมและภาวะผู้นำ (Collaboration, teamwork and leadership) 7.7 ทักษะด้านความเข้าใจต่างวัฒนธรรมต่างกระบวนทัศน์ (Cross-cultural understanding) 7.8 ทักษะด้านการสื่อสารสารสนเทศและรู้เท่าทันสื่อ (Communication information and media literacy) 7.9 ทักษะด้านคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (Computing) 7.10 ทักษะอาชีพและทักษะการเรียนรู้ (Career and learning self-reliance, change) 8. การบูรณาการตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ (เฉพาะที่เกิดในหน่วยการเรียนรู้นี้) 8.1 บูรณาการสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน 8.2 บูรณาการเศรษฐกิจพอเพียง 8.3 บูรณาการห้องเรียนสีเขียว 8.4 อื่น ๆ (โปรดระบุ)................................................................................................................................................. 9. ชิ้นงาน / ภาระงาน 1. ภาระงาน - ใบงานเรื่อง Agreement of subject and verb 2. ชิ้นงาน - 10. กิจกรรมการเรียนรู้ (Active Learning) เรื่อง Agreement of subject and verb (Revision) วิธีการสอน (วิธีการสอนแบบกระบวนการเรียนรู้ 5 ขั้นตอน : 5 STEPs) ชั่วโมงที่ 1 ขั้นที่ 1 การเรียนรู้ตั้งคำถาม (Learning to Question) 1.1 นักเรียนดูประโยคบน PowerPoint ดังนี้ • My mom cooks some food for me. • One of her parents is blind. • The scissors are in the kitchen drawer • A number of councils operate mobile libraries. • Daniel who was late again today sits next to me in English. 1.2 นักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประโยคดังกล่าวว่าประธาน (Subject) และการใช้กริยา (verb) ในประโยคมีลักษณะอย่างไร โดยครูเปิดรับทุกคำตอบของนักเรียน


หน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐาน รายวิชาภาษาอังกฤษ 5 (อ23111) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 หน้า 85 ขั้นที่ 2 การเรียนรู้แสวงหาสารสนเทศ (Learning to Search) 2.1 นักเรียนแบ่งเป็น 8 กลุ่ม กลุ่มละเท่า ๆ กัน โดยสมาชิกประกอบไปด้วยนักเรียนเก่ง อ่อนและปาน กลาง 2.2 นักเรียนแต่ละกลุ่มทำการรวมกลุ่มศึกษาด้วยกัน 2.3 นักเรียนกลุ่มที่ 1 - 2 ศึกษาเรื่องดูวิดีโดคลิปเรื่อง Advanced Subject-Verb Agreement จาก https://www.youtube.com/watch?v=kKtj_a-ETw4&list=PLM7NbPzilFBeeDxY5mCV-m2lxQoIOA0BS 2.4 นักเรียนกลุ่มที่ 3 - 4 ศึกษาเรื่องดูวิดีโดคลิปเรื่อง ติว TOEIC Grammar : Subject-Verb Agreement คืออะไร? จำยังไงไม่ให้ลืม! จาก https://www.youtube.com/watch?v=z6we8Cgn_go 2.5 นักเรียนกลุ่มที่ 5 - 6 ศึกษาเรื่องดูวิดีโดคลิปเรื่อง เรียนแกรมมาร์เรื่องเด็ดดวง! Subject-Verb Agreements ที่อย่าเผลอใช้ผิดเด็ดขาด! จาก https://www.youtube.com/watch?v=GuJU01UDmQY 2.6 นักเรียนกลุ่มที่ 7 - 8 ศึกษาเรื่องดูวิดีโดคลิปเรื่อง subject- verb agreement / basic rules จาก https://www.youtube.com/watch?v=qI-vJdA026c 2.7 นักเรียนแต่ละกลุ่มถ่ายทอดสิ่งที่ได้ศึกษามาให้เพื่อนต่างกลุ่มฟังจนครบทุกกลุ่ม ครูสุ่มถามเพื่อ ทดสอบความเข้าใจเป็นรายกลุ่ม ขั้นที่ 3 การเรียนรู้เพื่อสร้างองค์ความรู้ (Learning to Construct) 3.1 นักเรียนศึกษาเนื้อเรื่อง Agreement of subject and verb ในเอกสารประกอบการเรียน 3.2 นักเรียนช่วยกันสรุปเนื้อเรื่อง Agreement of subject and verb ในเอกสารประกอบการเรียน 3.3 นักเรียนฟังครูอธิบายเรื่อง Agreement of subject and verb หลัก ๆ แล้ว subject-verb agreement จะถูกใช้ใน present tense ที่ไม่มี modal verb (ตัวอย่าง modal verb ก็อย่างเช่น can, could, will, would, may, might) ยกตัวอย่างประโยคที่เป็น present tense และไม่มี modal verb ก็อย่างเช่น • She drinks coffee every day. เธอดื่มกาแฟทุกวัน • They drink coffee every day. พวกเขาดื่มกาแฟทุกวัน นอกจาก present tense แล้วจะต้องคำนึงถึง subject-verb agreement ด้วยเช่นกัน เมื่อใช้ tense ที่ใช้ was / were อย่างเช่น past continuous tense • She was doing her homework when I called her. เธอกำลังทำการบ้านอยู่ ตอนที่ฉันโทรหาเธอ • They were reading books when I arrived. พวกเขากำลังอ่านหนังสืออยู่ ตอนที่ฉันมาถึง หรือ past simple tense ที่มี verb to be (ซึ่งก็คือ was / were) เป็นคำกริยาหลัก • She was very happy when she received the present. เธอมีความสุขมากตอนที่เธอได้รับของขวัญ • They were my classmates in college. พวกเขาเป็นเพื่อนร่วมคลาสของฉันตอนเรียนมหาวิทยาลัย


หน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐาน รายวิชาภาษาอังกฤษ 5 (อ23111) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 หน้า 86 ตัวอย่างกรณีที่ไม่ต้องใช้ subject-verb agreement ก็อย่างเช่น เมื่อใช้ modal verb ในประโยค (เช่น can, could, will, would, may, might) จะต้องใช้ คำกริยาหลักเป็นรูปพหูพจน์เสมอ หรือเมื่อใช้ tense ที่มีการเปลี่ยนรูปคำกริยา เช่น past tense ก็ต้องใช้รูป คำกริยาตามที่ tense นั้นกำหนดแทน • He called me yesterday. เขาโทรหาฉันเมื่อวาน (จะไม่ใช้ He calls me yesterday.) หัวใจหลักของ subject-verb agreement ก็คือการใช้คำกริยารูปเอกพจน์กับประธานที่เป็น เอกพจน์ และใช้คำกริยารูปพหูพจน์กับประธานที่เป็นพหูพจน์ แต่ในการนำไปใช้จริง หลายๆ ครั้งจะสับสนว่า ประธานในประโยคนั้นถือเป็นเอกพจน์หรือพหูพจน์กันแน่ หรือในบางกรณีก็อาจมีข้อยกเว้น ทำให้ฃต้องเปลี่ยนไปใช้ คำกริยาอีกรูปหนึ่งแทนเพื่อให้กระจ่าง สรุปกฎการใช้ subject-verb agreement แบบง่าย ๆ ทั้ง 12 ข้อ 1. คำสรรพนาม I และ you ต้องใช้กับคำกริยารูปพหูพจน์ คำสรรพนาม I และ you แม้ว่าจะเป็นเอกพจน์ แต่ต้องใช้กับคำกริยารูปพหูพจน์ • I want to be a teacher. ฉันอยากเป็นครู • You inspire me. คุณสร้างแรงบันดาลใจให้ฉัน แต่จะมีข้อยกเว้นสำหรับคำสรรพนาม I ซึ่งก็คือเมื่อใช้กับ verb to be รูป present tense (ได้แก่ is, am, are) จะต้องใช้ am • I am 20 years old. ฉันอายุ 20 ปี แต่ถ้าเป็น verb to be รูป past tense (ได้แก่ was, were) ปกติแล้วจะใช้ was • I was ill yesterday. เมื่อวานนี้ฉันป่วย 2. ประธานหลายตัวเชื่อมกันด้วย and ต้องใช้คำกริยารูปพหูพจน์ เมื่อมีประธานตั้งแต่ 2 ตัวขึ้นไปเชื่อมกันด้วย and จะถือว่าประธานในประโยคนั้นเป็นพหูพจน์ ต้องใช้กับคำกริยารูปพหูพจน์ • Tim and John are close. ทิมกับจอห์นนั้นสนิทกัน • The black and the white dog are my dogs. สุนัขตัวสีดำและสุนัขตัวสีขาวนั้นเป็นสุนัขของฉัน (ฉันมีสุนัขสีดำหนึ่งตัว และสุนัขสีขาวอีกหนึ่งตัว คำว่า the หน้า white จะเป็นตัวบ่งชี้ถึง ประธานตัวที่ 2) แต่ให้ระวัง เพราะบางทีคำว่า and ไม่ได้เชื่อมประธาน แต่เชื่อมคำคุณศัพท์ หรือเป็นส่วนหนึ่ง ของคำนาม ซึ่งถ้าเป็นกรณีนี้จะอิงความเป็นเอกพจน์ / พหูพจน์ตามประธานในประโยค


หน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐาน รายวิชาภาษาอังกฤษ 5 (อ23111) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 หน้า 87 กรณีที่ and ทำหน้าที่เชื่อมคำคุณศัพท์ • The black and white dog is very friendly. สุนัขตัวสีขาวดำนิสัยเป็นมิตรมาก (คำว่า and เชื่อมคำว่า black และ white ซึ่งหมายถึงสุนัขที่มีทั้งสีดำและสีขาวอยู่ในตัว ประโยคนี้มีประธานแค่ตัวเดียวคือ dog ซึ่งเป็นเอกพจน์) • The black and white dogs are very friendly. สุนัขสีขาวดำเหล่านั้นนิสัยเป็นมิตรมาก (คำว่า and เชื่อมคำว่า black และ white ซึ่งหมายถึงสุนัขที่มีทั้งสีดำและสีขาวอยู่ในตัว ประโยคนี้มีประธานแค่ตัวเดียวคือ dogs ซึ่งเป็นพหูพจน์) กรณีที่ and เป็นส่วนหนึ่งของคำนาม • Beauty and the Beast is a popular fairy tale. เรื่องโฉมงามกับเจ้าชายอสูรเป็นเทพนิยายที่ได้รับความนิยม (คำว่า Beauty and the Beast เป็นชื่อของเทพนิยาย ซึ่งถือเป็นเอกพจน์ เพราะเป็นการ พูดถึงเทพนิยายแค่เรื่องเดียว คำว่า and ในที่นี้เป็นส่วนหนึ่งของชื่อ จึงถือเป็นส่วนหนึ่งของคำนาม) 3. ประธานหลายตัวเชื่อมกันด้วย or, either…or หรือ neither…nor จะต้องใช้คำกริยารูปเดียวกับ ประธานตัวหลังสุด เมื่อมีประธานตั้งแต่ 2 ตัวขึ้นไปเชื่อมกันด้วย or, either…or หรือ neither…nor จะอิงความ เป็นเอกพจน์ / พหูพจน์ตามประธานตัวหลังสุด ถ้าประธานตัวหลังสุดเป็นเอกพจน์ ใช้คำกริยารูปเอกพจน์ • Tim or his friend feeds the cat every morning. ทิมหรือเพื่อนของเขาให้อาหารแมวทุกเช้า (ประธานตัวหลังสุดคือ his friend เป็นเอกพจน์ ใช้คำกริยารูปเอกพจน์ คือ feeds) • Normally, either mom or dad does the dishes. ปกติแล้ว ไม่แม่ก็พ่อจะเป็นคนล้างจาน (ประธานตัวหลังสุดคือ dad เป็นเอกพจน์ ใช้คำกริยารูปเอกพจน์ คือ does) • Neither the blue nor the red shirt has my size. ไม่ว่าจะเป็นเสื้อเชิ้ตสีฟ้าหรือสีแดงก็ไม่มีไซส์ฉัน (ประธานตัวหลังสุดคือ the red shirt เป็นเอกพจน์ ใช้คำกริยารูปเอกพจน์ คือ has) แต่ถ้าประธานตัวหลังสุดเป็นพหูพจน์ เราก็จะใช้คำกริยารูปพหูพจน์ • Tim or his friends feed the cat every morning. ทิมหรือเพื่อนๆของเขาให้อาหารแมวทุกเช้า (ประธานตัวหลังสุดคือ his friends เป็นพหูพจน์ ใช้คำกริยารูปพหูพจน์ คือ feed) • Normally, either mom or aunts do the dishes. ปกติแล้ว ไม่แม่ก็ป้า ๆ จะเป็นคนล้างจาน (ประธานตัวหลังสุดคือ aunts เป็นพหูพจน์ ใช้คำกริยารูปพหูพจน์ คือ do) • Neither the blue shirt nor the green shoes have my size. ไม่ว่าจะเป็นเสื้อเชิ้ตสีฟ้าหรือรองเท้าสีเขียวก็ไม่มีไซส์ฉัน


หน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐาน รายวิชาภาษาอังกฤษ 5 (อ23111) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 หน้า 88 (ประธานตัวหลังสุดคือ the green shoes เป็นพหูพจน์ ใช้คำกริยารูปพหูพจน์ คือ have) 4. ถ้ามี of ในประธาน เราจะดูวลีคำนามหน้า of เป็นหลัก ถ้ามีการใช้ of ในประธาน ยึดความเป็นเอกพจน์ / พหูพจน์ตามวลีคำนามหน้า of ตัวอย่างเช่น • A pair of shoes (รองเท้าหนึ่งคู่) – เป็นเอกพจน์ • Three pairs of shoes (รองเท้าสามคู่) – เป็นพหูพจน์ การเลือกใช้คำกริยาก็ต้องใช้ตามวลีคำนามหน้า of นั้น • A pile of books is on my desk. หนังสือกองหนึ่งอยู่บนโต๊ะของฉัน (วลีคำนามหน้า of ในประธานคือ a pile เป็นเอกพจน์ ใช้คำกริยารูปเอกพจน์ คือ is) • Two pieces of bread are not enough for me. ขนมปังสองชิ้นไม่พอสำหรับฉัน (วลีคำนามหน้า of ในประธานคือ two pieces เป็นพหูพจน์ ใช้คำกริยารูปพหูพจน์ คือ are) อย่างไรก็ตาม ถ้าหน้า of ในประธานไม่ใช่วลีคำนาม แต่เป็นคำบอกปริมาณ ให้ยึดความเป็น เอกพจน์ / พหูพจน์ตามความหมายโดยรวมของประธานแทน อย่างเช่น One of my friends (เพื่อนคนนึงของฉัน) – หนึ่งคน, เป็นเอกพจน์ Most of my friends (เพื่อนส่วนใหญ่ของฉัน) – มากกว่าหนึ่งคน, เป็นพหูพจน์ A few of my friends (เพื่อนบางส่วนของฉัน) – มากกว่าหนึ่งคน, เป็นพหูพจน์ ทั้งนี้ การเลือกใช้คำนามหลัง of เป็นรูปเอกพจน์หรือพหูพจน์ ก็มีผลต่อความหมายและความเป็น เอกพจน์หรือพหูพจน์ของประธานด้วยเช่นกัน ตัวอย่างเช่น All of the pie (พายทั้งอัน) – หนึ่งชิ้น, เป็นเอกพจน์ All of the pies (พายทุกชิ้น) – มากกว่าหนึ่งชิ้น, เป็นพหูพจน์ ตัวอย่าง subject-verb agreement เมื่อหน้า of เป็นคำบอกปริมาณ • One of the students is from Japan. มีนักเรียนคนหนึ่งมาจากประเทศญี่ปุ่น (One เป็นคำบอกปริมาณ มีความหมายว่าหนึ่งหน่วย ถือเป็นเอกพจน์ จึงใช้คำกริยารูป เอกพจน์ ซึ่งก็คือ is) • In this library, all of the books are in English. ในห้องสมุดนี้ หนังสือทุกเล่มเป็นภาษาอังกฤษ (All เป็นคำบอกปริมาณ มีความหมายว่าทั้งหมด all of the books แปลว่า หนังสือทุก เล่ม ถือเป็นพหูพจน์ จึงใช้คำกริยารูปพหูพจน์ ซึ่งก็คือ are) 5. ประโยคที่ขึ้นต้นด้วย here หรือ there ประธานจะอยู่หลังคำกริยา ประโยคที่ขึ้นต้นด้วย here หรือ there ตำแหน่งของประธานจะอยู่หลังคำกริยา ถ้าประธานเป็นเอกพจน์ จะใช้คำกริยารูปเอกพจน์ • Here is the pen. นี่คือปากกา (ประธานคือ the pen เป็นเอกพจน์ จึงใช้คำกริยารูปเอกพจน์ คือ is


หน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐาน รายวิชาภาษาอังกฤษ 5 (อ23111) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 หน้า 89 • There is a cat in the garden. มีแมวหนึ่งตัวอยู่ในสวน (ประธานคือ a cat เป็นเอกพจน์ เราจึงใช้คำกริยารูปเอกพจน์ คือ is) แต่ถ้าประธานเป็นพหูพจน์ เราก็จะใช้คำกริยารูปพหูพจน์ • Here are the pens. นี่คือปากกา (ประธานคือ the pens เป็นพหูพจน์ เราจึงใช้คำกริยารูปพหูพจน์ คือ are) • There are cats in the garden. มีแมวหลายตัวอยู่ในสวน (ประธานคือ cats เป็นพหูพจน์ เราจึงใช้คำกริยารูปพหูพจน์ คือ are) 6. เมื่อมี relative pronoun เราต้องมองประธานและคำกริยาให้ออก Relative pronoun คือคำจำพวก who, whom, whose, which, that ที่ใช้ขยายคำนาม อย่างเช่นในประโยค • The person who I called yesterday lives in the same apartment with me. คนที่ฉันโทรหาเมื่อวานอยู่ในอพาร์ทเมนต์เดียวกันกับฉัน หลายคนมักจะสับสนเวลาเจอประโยคที่มี relative pronoun ว่าคำไหนคือประธาน คำไหนคือ กริยา วิธีดูง่าย ๆ คือให้มองวลีของ relative pronoun (หรือที่เรียกว่า relative clause) ให้ออก ประธานหลักของประโยคจะอยู่หน้าวลี ส่วนคำกริยาจะอยู่หลัง ซึ่งต้องใช้รูปเอกพจน์ / พหูพจน์ของคำกริยาตาม ประธานของประโยค • The person [who I called yesterday] lives in the same apartment with me. (ประธานในประโยคคือ the person เป็นเอกพจน์ จึงต้องใช้คำกริยาเป็นรูปเอกพจน์ ซึ่งก็ คือ lives) แต่บางประโยคก็อาจมีการละ relative pronoun ซึ่งจะต้องพยายามมองให้ออก • The person [I called yesterday] lives in the same apartment with me. (ประโยคนี้ละคำว่า who สามารถละ relative pronoun ได้ ถ้ามันทำหน้าที่เป็นกรรม) นอกจากประโยคหลักแล้ว ตัว relative clause ก็ต้องเป็นไปตามหลัก subject-verb agreement เช่นกัน • I want to buy a book [which is only available in the U.K.] ฉันต้องการซื้อหนังสือเล่มหนึ่งที่มีขายเฉพาะในประเทศอังกฤษ (คำว่า which เป็น relative pronoun แทนคำว่า a book ซึ่งเป็นเอกพจน์ ใช้คำกริยาใน relative clause เป็นรูปเอกพจน์ คือ is) • I have the same book [that you have]. ฉันมีหนังสือเล่มเดียวกันกับที่คุณมีเลย (คำว่า that เป็น relative pronoun แทนคำว่า the same book แต่ใน relative clause นี้ คำว่า that จะทำหน้าที่เป็นกรรม ส่วนประธานจะเป็น you จึงใช้คำกริยารูปพหูพจน์ คือ have)


หน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐาน รายวิชาภาษาอังกฤษ 5 (อ23111) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 หน้า 90 7. ไม่ต้องสนใจคำหรือวลีที่คั่นระหว่างประธานและคำกริยา บางครั้ง ในประโยคจะมีคำหรือวลีที่คั่นระหว่างประธานและคำกริยา ถ้าเป็นกรณีนี้ ให้เรา เลือกใช้รูปเอกพจน์ / พหูพจน์ของคำกริยาตามประธาน โดยที่ไม่ต้องสนใจคำหรือวลีที่เข้ามาคั่น คำหรือวลีที่คั่นระหว่างประธานและคำกริยา มักจะมีคอมม่าคั่นทั้งหน้าและหลัง ตัวอย่างเช่น • Anne, as well as her boyfriend, is very impressed with the service. แอน รวมถึงแฟนของเธอ ต่างก็รู้สึกประทับใจกับการบริการมาก • All of the students, including Joe, are extremely disappointed. นักเรียนทุกคน รวมถึงโจ ต่างก็รู้สึกผิดหวังมาก 8. คำสรรพนามจำพวก every…, some…, any…, no…, either และ neither ถือเป็นเอกพจน คำสรรพนามหลายๆคำ แม้ตามความหมายแล้วจะเหมือนเป็นพหูพจน์ หรือมีความก้ำกึ่งอยู่ แต่ จะถือว่าเป็นเอกพจน์ อย่างเช่น Everyone (ทุกคน) Everybody (ทุกคน) Someone (บางคน) Somebody (บาง คน) Anyone (คนหนึ่งคนใด) Anybody (คนหนึ่งคนใด) No one (ไม่มีใคร) Nobody (ไม่มีใคร) Either (ทั้งคู่ Neither (ไม่ใช่ทั้งคู่) การใช้คำสรรพนามเหล่านี้เป็นประธาน ใช้คำกริยารูปเอกพจน์ • Everyone has access to the internet these days. ทุกวันนี้ทุกคนสามารถเข้าถึงอินเตอร์เน็ตได้ • No one want to be my friend anymore. ไม่มีใครอยากเป็นเพื่อนกับฉันอีกแล้ว • Either of you is welcome any day. ยินดีต้อนรับคุณทั้งคู่เสมอ 9. ใช้คำกริยารูปเอกพจน์กับประธานที่เป็นค่าปริมาณต่าง ๆ ใช้คำกริยารูปเอกพจน์ เมื่อประธานเป็นค่าปริมาณต่าง ๆ เช่น ระยะเวลา จำนวนเงิน ระยะทาง • Ten thousand Baht is too expensive for this bag. หนึ่งหมื่นบาทนั้นแพงไปสำหรับกระเป๋าไปนี้ • Two hours is not enough, I need more time to complete the work. สองชั่วโมงนั้นไม่พอหรอก ฉันต้องการเวลามากกว่านี้ในการทำงานให้เสร็จ 10. คำนามที่เติม s / es ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นพหูพจน์เสมอไป เวลาเปลี่ยนคำนามจากเอกพจน์ให้เป็นพหูพจน์ จะเติม s / es หลังคำนาม แต่ก็มีคำนามบาง คำที่แม้จะลงท้ายด้วย s / es แต่ก็ถือว่าเป็นเอกพจน์ เช่น News - ข่าว (ถ้าเป็น new จะแปลว่า “ใหม่”) Darts - กีฬาปาเป้า (ถ้าเป็น dart จะแปลว่า “ลูกดอก”) Billiards - กีฬาบิลเลียด (ถ้าเป็น billiard จะใช้เป็นคำขยาย เช่น billiard table จะแปลว่า “โต๊ะบิลเลียด”) การใช้คำนามเหล่านี้เป็นประธาน ใช้กับคำกริยารูปเอกพจน์ • News is information about current events. ข่าวคือข้อมูลเกี่ยวกับเหตุการณ์ปัจจุบัน


หน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐาน รายวิชาภาษาอังกฤษ 5 (อ23111) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 หน้า 91 • Darts is popular only in some countries. กีฬาปาเป้าเป็นที่นิยมแค่ในบางประเทศ ในอีกด้านหนึ่ง มีคำนามบางคำที่ลงท้ายด้วย s / es แต่สามารถใช้เป็นเอกพจน์หรือพหูพจน์ก็ ได้ ขึ้นอยู่กับบริบทที่ใช้ อย่างเช่น Statistics (วิชาสถิติ, สถิติ) Mathematics (วิชาคณิตศาสตร์) measles (โรคหัด) การเลือกใช้รูปคำกริยากับคำนามเหล่านี้ จะต้องดูความหมายและบริบทประกอบ • Statistics is my favorite subject. วิชาสถิติเป็นวิชาโปรดของฉัน • These statistics are not accurate. สถิติเหล่านี้ขาดความแม่นยำถูกต้อง นอกจากนี้ ยังมีคำนามที่ลงท้ายด้วย s / es อีกกลุ่มหนึ่ง ที่จะถือว่าเป็นพหูพจน์เสมอ คำนาม เหล่านี้มักจะเป็นสิ่งที่มีสองข้าง และทั้งสองข้างนั้นสมมาตรกัน ตัวอย่างเช่น Pants – กางเกงขายาว (แต่ถ้าเป็น British English จะแปลว่า “กางเกงใน”) Glasses – แว่นตา (ถ้าเป็น glass จะแปลว่า “แก้วน้ำ”) Scissors – กรรไกร การใช้คำนามเหล่านี้ เราจะต้องใช้กับคำกริยารูปพหูพจน์ • These glasses are cool. แว่นตาพวกนี้เท่ดี • Scissors are dangerous for small children. กรรไกรเป็นอันตรายต่อเด็กเล็ก แต่ถ้าต้องการใช้คำนามเหล่านี้เป็นเอกพจน์ ต้องใช้ a pair of ไว้ข้างหน้า เช่น a pair of pants, a pair of glasses, a pair of scissors • This pair of glasses is cool. แว่นตาอันนี้เท่ห์ • A pair of scissors consists of a pair of metal blades. กรรไกรหนึ่งด้ามจะประกอบด้วยใบมีดเหล็กสองอัน 11. Collective noun สามารถใช้เป็นเอกพจน์หรือพหูพจน์ก็ได้ Collective noun คือคำนามที่ใช้แทนกลุ่มคน สัตว์ หรือสิ่งของ ตัวอย่างเช่น family (ครอบครัว) group (กลุ่ม) team (ทีม) flock (ฝูงสัตว์) bunch (ช่อ, พวง) หลายคนมักจะพลาด คิดว่าคำเหล่านี้เป็น พหูพจน์ แต่จริง ๆ แล้ว คำเหล่านี้จะใช้เป็นได้ทั้งเอกพจน์และพหูพจน์ ขึ้นอยู่กับว่าผู้ใช้ต้องการสื่อความหมายยังไง ถ้าใช้กล่าวถึงกลุ่มโดยรวม เราจะถือว่าเป็นเอกพจน์ • My family lives in France. ครอบครัวของฉันอยู่ในประเทศฝรั่งเศส • Our group is very competent. กลุ่มของเรามีความสามารถมาก แต่ถ้าเน้นถึงทุก ๆ คน / ทุก ๆ สิ่งในกลุ่ม นับว่าเป็นพหูพจน์ • His family were abducted one by one. ครอบครัวของเขาถูกลักพาตัวไปทีละคนสองคน


หน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐาน รายวิชาภาษาอังกฤษ 5 (อ23111) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 หน้า 92 • Our group are all wearing green shirts. ทุก ๆ คนในกลุ่มของเราใส่เสื้อสีเขียว ถ้าเทียบกันแล้วมักจะใช้ collective noun เป็นเอกพจน์มากกว่าพหูพจน์ ดังนั้น เวลานำไปใช้ ถ้าไม่มีเหตุผลชัดเจนว่าทำไมถึงใช้เป็นพหูพจน์ ก็ให้เลือกใช้เป็นเอกพจน์ไว้ก่อน 12. ใช้ were แทน was เมื่อแสดงความปรารถนา หรือเมื่อใช้กับสิ่งที่ไม่เป็นจริง ปกติแล้ว ถ้าประโยคเป็น past tense และประธานเป็นเอกพจน์ การใช้ verb to be จะใช้ was แต่มีกรณียกเว้นคือ เมื่อกล่าวถึงสิ่งที่ไม่เป็นจริง เรื่องจินตนาการ หรือสิ่งที่เป็นความปรารถนา จะใช้ were แทน ตัวอย่างประโยคเช่น • I wish Tim were here. ฉันอยากให้ทิมอยู่ที่นี่ • If I were a bird, I would fly freely and travel the world. ถ้าฉันเป็นนก ฉันจะบินอย่างอิสระ และเดินทางไปรอบโลก (ในกรณีทั่วไปจะใช้ I กับ was) 3.4 นักเรียนช่วยกันตอบแบบฝึกหัดเรื่อง Agreement of subject and verb บน PowerPoint จำนวน 20 ข้อ Instructions : Complete the following sentences with the words in parentheses. 1. Everybody……………………………(be) asked to be quiet. 2. In a marathon, few of the starters……………………………(finish) the race. 3. Sixty days……………………………(be) not enough time to complete the project. 4. All of the workers……………………………(be) receiving their bonus. 5. On our street……………………………(be) many tall trees. 6. It……………………………(not make) any difference. 7. The value of cars and motorcycles……………………………(have) increased. 8. The principal and her husband……………………………(be) honored guests. 9. One of my friends……………………………(believe) in E.S.P. 10. Have you ever heard the expression “No new……………………………(be) good news?” 11. Louise……………………………(not want) to drive that long distance. 12. Either Luis or Horace……………………………(pay) the bills in our house. 13. A boy and a girl……………………………(be) here to see you. 14. The army……………………………(be) conducting maneuvers in March. 15. Here……………………………(come) the family now. 16. Neither of us……………………………(be) going to work. 17. The government……………………………(have) promised to provide more money to help the homeless. 18. Thirty minutes……………………………(be) the time limit for the test. 19. Measles……………………………(be) a disease most children experience. 20. Beyond the mountains……………………………(be) a fertile valley


Click to View FlipBook Version