The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

คัมภีร์ตรีนิสิงเห-งานวิจัย

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Patiweth Ketkhong, 2021-03-22 04:32:17

คัมภีร์ตรีนิสิงเห-งานวิจัย

คัมภีร์ตรีนิสิงเห-งานวิจัย

37

พระธรรมเจ้าโปรดมาเป็นปราการให้ขา้ พเจ้า ดว้ ยเศียรเกล้า ขอพระสังฆเจา้ โปรด
มาเปน็ ปราการให้ข้าพเจา้ พระธรรมดว้ ย พระสงฆ์ด้วย ของพระสมั พทุ ธเจ้าเหล่านัน้
ข้าพเจ้า จิตชนทั้งหลายพึงสําเร็จด้วยพระพุทธ ขอนอบน้อม จิตชนทั้งหลายพึง
สาํ เรจ็ ด้วยพระธรรม โดยเคารพดว้ ยอานุภาพ แห่งการกระทาความนอบนอ้ ม จติ ชน
ท้ังหลายพึงสําเร็จด้วยพระสงฆ์ ม อ อุ จงขจัดเสียซึ่งอุปัททวะทั้งปวง อุ อ ม นโม
พทุ ฺธาย แมอ้ นั ตรายท้งั หลายเปน็ อเนก ยธาพุทโฺ มน จงพินาศไป โดยไมเ่ หลอื )

- ประเภทที่ส่ีเป็นการแต่งคาถาโดยใช้ภาษาบาลี สลับด้วยภาษาไทย ซ่ึง
ภาษาไทยมีความหมายใกล้เคียงกับภาษาบาลี แต่ไมใ่ ชก่ ารแปลความมาโดยตรง ดงั เช่น ม อ อุ พรฺ หฺม
จิตฺตํ มนุษย์ชายหญิงทัง้ แผน่ ดิน มามา นี่นี่ อาคจฺเฉยฺย อาคจฺฉาหิ จิตฺตํ จงมาหากทู กุ ผทู้ ุกคน ม อ
อุ เกล่อื นกล่นกนั มา ม อ อุ บูชากูอย่าไดข้ าด สพฺพบชู า มหาลาภํ ภวนตฺ เุ มฯ

- ประเภททีห่ ้าเป็นการใช้ภาษาบาลี โดยไม่คานงึ ถึงการส่อื ความใด ๆ แต่ใช้
เป็นมนต์เพ่ือประกอบพิธี หรือเพื่อให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ ในกรณีนี้มักจะมีการท่องแบบอนุโลมและ
ปฏิโลม เช่น น โม พุทฺ ธา ย ม อ อุ ย ธา พุทฺ โม น อุ อ ม อิ สวา สุ พุทฺทสฺส อ สํ วิ สุ โล ปุ ส พุ
ภฯ น กาบังจติ ต์ โม กาบังใจ พุทฺ กาบังหน้า ธา กาบงั หลัง ย หายตวั บดั นี้ฯ เป็นต้น

ข. คัมภรี ์ตรีนสิ ิงเห สานวน ข ค ง จ และ ฉ

จากการศึกษาคัมภรี ์ตรีนิสิงเห สานวน ง สานวน จ และสานวน ฉ พบว่า มี
การใช้ภาษาบาลีในส่วนท่ีเป็นมนต์คาถา เช่น เนื้อหาใน คัมภีร์ตรีนิสิงเห สานวน จ ว่า จตฺตุโร นวโม
ทฺเวโช ตรีนิ ปญฺจ สตฺต อฏฺฐ เอก ฉสมฺภโว ตรีนิสิงฺเห สตฺตนาเค ปญฺจเพชฉลู นเมว จ จตุเท
วาฉวตฺต-ราชา ปญฺจอินฺตรามหิทฺธิกา เอกยกฺขา นวเทวา ปญฺจพฺรหฺมาสหบดี ทฺเวราชา อฏฺฐ
อรหนตฺ า ปญจฺ พุทฺธา นมามหิ ํ และใช้ในคาถาทีเ่ ป็นหัวใจ เช่น สํ วิ ธา ปุ ก ย ป, น โม พทุ ฺ ธา ย, อ
สํ วิ สุ โล ปุ ส พุ ภ เป็นต้น ส่วนสานวน ข และ สานวน ค ใช้ตัวอักษรไทย ภาษาบาลีแทน ส่วน
ลกั ษณะการประพันธ์ไม่ตา่ งจากคัมภรี ต์ รนี ิสิงเห สานวน ก

38

2.5 ภาษาเฉพาะทใ่ี ช้ในกลุ่มผศู้ ึกษาวชิ าเลขยนั ต์

คาและสัญลักษณ์บางอย่างท่ีปรากฏในคัมภีร์ตรีนิสิงเห เป็นความรู้ที่รู้กันเฉพาะในกลุ่มผู้
ศึกษาไสยศาสตร์ ในวฒั นธรรมการเรียนเวทมนตน์ ้ันจะแบง่ การสอนออกเป็นสองส่วน คือตาราซึ่งเป็น
วัฒนธรรมลายลักษณ์ ถือเป็นส่ิงสาคัญประการแรก แต่ผู้สอนจะไม่ได้จดทุกอย่างเอาไว้โดยละเอียด
โดยเฉพาะส่ิงที่เป็นพื้นฐาน เช่นมนต์บางบท และเครื่องใช้ในพิธีกรรมบางประการ ซึ่งในการสั่งสอน
ศษิ ย์ในสานักในสว่ นนี้จะใช้ระบบมขุ ปาฐะซ่งึ ถือเป็นสิ่งสาคัญสง่ิ ที่สอง ซึ่งต้องทรงจาสืบต่อกนั มาในแต่
ละสานักเรียน ในทางไสยศาสตร์เรียกว่า เคล็ด(วิชา) เนื่องด้วยคนโบราณต้องการสงวนความรู้
บางอย่างไว้ในสานักของตน และไม่ต้องการเผยแผ่สู่สาธารณะ ดังน้ันเม่ือขาดผู้สืบทอด องค์ความรู้ท่ี
เป็นเคล็ดต่าง ๆ จึงสูญหายไป จนในท่ีสุดเหลือเพียงตัวคัมภีร์ ในคัมภีร์ตรีนิสิงเหมีภาษาท่ีใช้เฉพาะ
กลุม่ ผู้ศกึ ษาไสยศาสตร์ปรากฏอย่มู าก ดงั เช่น

- คาบ-ที คือการกาหนดมนต์ท่ีใช้ปลุกเสกยันต์ต่าง ๆ โดยทั่วไปยันต์ต่าง ๆ จะมี
การวางคาถาสาหรับปลุกเสกไว้เฉพาะ ในการปลุกเสกน้ันสาคัญอยู่ท่ีการวางจิตให้เป็นสมาธิ เพ่ง
รูปแบบยันตน์ ้ัน ๆ กระทาให้เกดิ เป็นอุคคหนิมติ 17และปฏิภาคนมิ ิต18 การกาหนดคาบคาถาน้ันคือการ
ท่องพระคาถาด้วยจิตท่ีเป็นสมาธิ มีการเพ่งอารมณ์ไปที่รูปแบบของยันต์ท่ีทาการประจุอาคม บางครั้ง
ต้องมีการกาหนดลมหายใจซ่ึงเรียกว่าคาบคาถา กล่าวคือจะต้องว่าคาถาภายในอึดใจเดียวเรียกว่า 1
คาบคาถา ถ้ายันต์ท่ีท่านกาหนดให้เสก 9 คาบก็ดี 16 คาบ หรือ 108 คาบก็ดคี ือการทาคาบคาถาตาม
จานวนครง้ั ที่กาหนดนนั้

ผู้วิจัยได้ทาการสัมภาษณ์พระเถระผู้มีความรู้เร่ืองคาบคาถา คือ พระมหาขาบ
โกวิโท ท่านเป็นหลานของหลวงพ่ออบ วัดถ้าแก้ว พระเกจิอาจารย์ผู้มีช่ือเสียงของจังหวัดเพชรบุรี ใน
ภายหลังได้ฝากตัวเปน็ ศิษย์ของ อาจารย์ประสงค์ ยงค์พลจุลศร อาจารย์ใหญ่สายวิชาการลงน้ามันคง
กระพันชาตรี หลังจากถ่ายทอดวชิ าให้พระมหาขาบไม่นาน อาจารย์ประสงค์ไดถ้ ึงแก่กรรม นับว่าพระ

17 อคุ หนิมิต หมายถงึ การเพ่งภาพนมิ ติ อยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ จนสามารถจดจาภาพดงั กล่าวไดอ้ ยา่ งชัดเจน
18 ปฏภิ าคนมิ ิต หมายถงึ ภาพนิมติ ทเ่ี กดิ ข้นึ ในจักขุทวารอยา่ งชัดเจน กลา่ วคอื เหน็ เหมอื นกบั การลืมตาดู
ทั้งยงั สามารถย่อหรอื ขยายภาพนิมิตดังกลา่ วได้ตามทต่ี ้องการ

39

มหาขาบเป็นศิษย์คนสุดท้ายของท่าน พระมหาขาบพูดถึงเรื่องคาบคาถาได้อย่างน่าสนใจเป็นปริศนา
ธรรม ดังน้ี

เรื่องคาบคาถานน้ั เปรยี บเหมือนคนทอ่ี กตญั ญูทหี่ ายใจท้ิงไปวนั ๆ หายใจเข้า
ก็เสียเปล่า หายใจออกก็เสียเปล่า ไม่รู้จักคุณค่าของลมหายใจ แต่คนท่ีรู้กตัญญูก็จะ
หายใจเข้ารู้ “พุท” หายใจออกรู้ “โธ” และคนที่รู้กตัญญูก็จะหัดเก็บกักลมหายใจ
และลมหายใจตรงนน้ั นนั่ แหละคือคาบ19

สาหรบั อาจารยฆ์ ราวาสระดบั อาวุโสอกี ท่านทีม่ ักจะพดู ถึงและใหค้ วามสาคัญกับคาบ
คาถาคือท่านอาจารย์ประคอง รุ่นเจริญ เป็นฆราวาสผู้มีความเชี่ยวชาญในไสยเวทท่านหน่ึง ปัจจุบัน
ท่านอายุ 79 ปี โดยได้รับการสืบทอดวิชาลงน้ามันโสฬสจาก อาจารย์อุไร มนตรีกุล เรียนเลขยันต์
จากอาจารย์อ๊อด สน่ันทุ่ง และ เรียนวิชาฝังเข็มทองจาก หลวงพ่อพิมพ์ มาลโย อดีตเจ้าอาวาสวัดหุบ
มะกร่า อาเภอโพธาราม จังหวดั ราชบุรี ได้อธบิ ายเกยี่ วกบั วิชาเลขยนั ตท์ างภาคกลาง วา่

การเรียนเลขยันต์จะประสบความสาเร็จได้ล้วนต้องอาศัยสมาธิ สมาธิเป็น
บาทฐานของจิต ทาให้จิตมีกาลัง สิ่งเหล่านี้ไม่ต่างจากการฝึกสมถกรรมฐานใน
พระพุทธศาสนา เม่ือได้ฌานไม่ว่าจะเป็นขั้นปฐมฌานเรื่อยไปจนถึงปัญจมฌาน เม่ือ
ฝกึ จนคล่องแคล่วจนทาอภิญญาได้ ยอ่ มแสดงฤทธไ์ิ ด้ การทาใหเ้ ลขยนั ตต์ า่ ง ๆ มีฤทธิ์
ก็เช่นกัน ต้องเกิดจากการฝกึ ฝนจติ ทางภาคกลางนิยมฝึกจติ ดว้ ยการลบผง จากการที่
ผู้ให้สัมภาษณ์เคยได้ศึกษาวิชาลบผงรัตนมาลา จึงได้ทราบว่า การเขียน-ลบอักขระ
ยันตต์ ่าง ๆ บนกระดานซ้าไปซ้ามา นอกจากจะช่วยให้จดจาสูตรยันตต์ ่าง ๆ ไดด้ ีแล้ว
ยังช่วยให้จิตมีสมาธิ ไม่ฟุ้งซ่านไปในอารมณ์ต่าง ๆ เร่ืองคาบคาถาก็เช่นเดียวกัน
เกิดจากการหัดภาวนา รักษาลมหายใจด้วยองค์ภาวนา เช่น พุทโธ เป็นต้น เมื่อ
ภาวนาจนคล่องแคลว่ แล้ว กส็ ามารถกาหนดลมหายใจสน้ั ยาวตามบาทคาถาได้ ดงั นัน้
การฝึกลบผงเปรียบกับการฝึกให้เข้าใจรูปแบบของอักขระเลขยันต์ อาจารย์ที่
เชี่ยวชาญวิชาเลขยันต์ต้องลบผงได้ เพราะการลบผงเป็นทั้งการฝึกเขียนสูตร เรียก

19สมั ภาษณ์ พระมหาขาบ โกวิโท นามสกุล โททว,ี ป.ธ.5 (2510) M.A. (โบราณคดีท่ัวไป) 2524 ปูเน
ประเทศอินเดยี , ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวดั พระเชตุพนวิมลมงั คลารามราชวรมหาวิหาร, 14 เมษายน 2561.

40

สูตร สมัยหลังนี้คนไม่ค่อยทากันแล้ว ในส่วนการฝึกภาวนาเพื่อให้สามารถใช้คาถาใน
การปลกุ เสกยนั ต์ต่าง ๆ ไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง20

ส่วนคาว่า “ที” หมายถึงจานวนคร้ัง เช่น คาถาท่ีกาหนดให้เสก 3 ที คือการเสกจน
ครบจานวนโดยไม่ตอ้ งกกั ลมหายใจเหมือนคาบ อาจใชว้ ธิ ที ่องไปเร่ือย ๆ จนครบจานวน

- เลขในกรณีที่ใชแ้ ทนวันเพื่อกาหนดวนั ที่เหมาะสมในการลงเลขยันต์หรือประกอบ
พิธีกรรม เช่น วัน 3 วัน 7 การเขียนเช่นนี้หมายถึงวันอังคารหรือวันเสาร์ หากเขียนเด่ียว ๆ วัน 1 จะ
หมายถึงวันอาทิตย์ วัน 2 หมายถึงวันจันทร์ วัน 3 หมายถึงวันอังคาร วัน 4 หมายถึงวันพุธ วัน 5
หมายถึงวันพฤหัสบดี วัน 6 หมายถึงวันศุกร์ วัน 7 หมายถึงวันเสาร์ ในการลงเลขยันต์นั้นวันเป็นส่ิง
สาคัญ เนอ่ื งจากผูท้ ีศ่ กึ ษาวิชาเลขยนั ต์มคี วามเชอื่ เก่ียวกับการลงยนั ตใ์ นวนั ต่าง ๆ วา่ ให้ผลตา่ งกัน เชน่
หากต้องการลงยันต์ทางคงกระพันชาตรีให้ลงในวันอังคารหรือเสาร์ หากต้องการลงยันต์ทางเมตตา
ค้าขายให้ลงในวันจนั ทร์หรอื วนั ศุกรเ์ ปน็ ต้น

- ช่ือคาถาหรือมนต์ต่าง ๆ ส่วนมากเขียนย่อเอาไว้ ไม่ได้เขียนมนต์ทั้งบท หากไม่
เข้าใจอาจคิดว่าให้เสกตามท่ีเขียนก็เป็นได้ เช่น เสกด้วยคาถาพระเจ้า 5 พระองค์หมายถึงให้เสกดว้ ย
น โม พุท ธา ย เสกด้วยคาถาอัตราในที่น้ีคือใชเ้ สกด้วยคาถาท่ีใชส้ าหรับเรียกสูตรเลขตรีนิสิงเห คือ ม
อ อุ ตรีนิสิงฺเห ส ธ วิ ปิ ป ส อุ สตฺตนาเค อา ปา ม จุ ป ปญฺจเพชฉฺ ลูกญฺเจว น ม พ ท จตุเทวา ป ท
น ท ส ม ฉวชชฺ ราชา อา ปา ม จุ ป ปญจฺ อนิ ทฺ รา นเมว จ มิ เอกยกขฺ า อ ส วิ สุ โล ปุ ส พุ ภ นวเทวา
ส ห ช ฏ ตรี ปญฺจพฺรหฺมาสหบดี พุทฺโธ ทฺเวราชา พา มา นา อุ ก ส น ทุ อฏฺฐอรหนฺตา น โม พุท ธา
ย ปญฺจพุทธา นมามิห ให้เสกด้วย อิติปารมิตา หมายถึง ให้เสกด้วยคาถาบารมี 30 ทัศท้ังบท คือ อิ
ติปารมิตาตึสา อิติสพฺพญฺญูมาคตา อิติโพธิมนุปฺปตฺโต อิติปิโสจเตนโม ให้เสกด้วย อิธะเจ หมายถึงให้
เสกด้วยคาถาสาหรับทาผงอิธะเจ คือ อิธเจตโสทฬฺหคณฺหาหิถามสา ให้เสกด้วยจัตุโร หมายถึงให้เสก
ดว้ ยคาถาจตุโร คือ จตุโร นวโม ทเวโช ตรีนิ ปญั ฺจ สตตฺ อฏฺฐ เอก ฉวชฺช เสกด้วยคาถาพินธุ หมายถึง
ให้เสกด้วยคาถาสาหรับเสกพินธุในคัมภีร์ปถมัง คือ พินธุเอก สุมพนฺธ พินฺธุโทอกุส ยถา พินธุตรีธมฺม
วชิ าลญั ฺท เอกพนิ ธฺ ุ วิชานเยฯ

20 สัมภาษณ์ อาจารยป์ ระคอง รนุ่ เจริญ, เขตธนบุร,ี 17 เมษายน 2561.

41

- สิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ ที่ประกอบในพิธีกรรมการลงเลขยันต์ บางอย่างใช้ศัพท์
เฉพาะ เช่น เครื่องกระยาบวชหมายถึง อาหารท่ีไม่ใช้ของสดคาวประกอบ ใช้เป็นเครื่องสังเวยในพิธี
บวงสรวงบูชาเทวดาและส่ิงศักดิ์สิทธ์ิ เครื่องกระยาบวช ๑ สารับ ประกอบด้วย ขนมนมเนยและผลไม้
หลากหลายชนิด ขนมสาคัญท่ีใช้เป็นเคร่ืองกระยาบวชมาแต่โบราณ เช่น ขนมต้มขาว ขนมต้มแดง
ฟักทองแกงบวด ขนมเล็บมือนาง ขนมหูช้าง ขนมคันหลาว และขนมอ่ืนที่มีช่ือเป็นมงคล เช่น ขนม
ถ้วยฟู ขนมชั้น ทองหยิบ เม็ดขนุน ส่วนผลไม้ที่ใช้เป็นเครื่องกระยาบวช เช่น มะพร้าวอ่อน กล้วยน้า
ไทยหรือกล้วยน้าว้า อ้อยควั่น ส้มโอหรือส้มเขียวหวาน และผลไม้ที่มีช่ือเป็นมงคล เช่น ขนุน
นอกจากน้ีมี นม เนย งาค่ัว มันต้ม เผือกต้ม ข้าวตอก ผงดินสอหมายถึงผงที่ได้จากการลบอักขระยันต์
บนกระดานครู และดินสอท่ีใช้ในการลบผงน้ันต้องมีส่วนผสมตามตาราดังที่กล่าวไว้ในเบื้องต้น หัวผี
ตายโหง หมายถงึ สว่ นกะโหลกของผู้ทป่ี ระสบอุบตั ิเหตุเสยี ชีวิต หวั ผตี ายพราย หมายถงึ ส่วนกะโหลก
ของผู้ท่ีเสยี ชีวติ ดว้ ยการจมนา้

จากการศึกษารูปแบบอักขรวิธี คัมภีร์ตรีนิสิงเหแสดงให้เห็นแนวคิดเกี่ยวกับการใช้ตัวอักษร
ของคนไทยโบราณ ในส่วนเน้ือหาที่เป็นคาถาอาคม และอักษรท่ีปรากฏในส่วนที่เป็นยันต์นิยมเขียน
ด้วยอักษรขอม ซึ่งในสมัยนั้นเชื่อว่าเป็นอักษรศักด์ิสิทธ์ิ และแนวคิดน้ียังมีมาจนถึงทุกวันนี้ ดังจะเห็น
ได้จากยันต์ต่าง ๆ ที่จารึกบนเครื่องรางของขลัง มักเขียนด้วยอักษรขอม ในส่วนของภาษาไทย มีคา
จานวนหน่ึงท่ีเก่ียวข้องกับความเช่ือทางไสยศาสตร์ ซึ่งปัจจุบันมีการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับคาเหล่านี้
น้อยมาก คัมภีร์ตรีนิสิงเหจงึ เปน็ วรรณกรรมตาราทท่ี รงคุณค่านา่ ศึกษาคน้ ควา้ ซึ่งในบทตอ่ ไปผู้วจิ ยั จะ
วิเคราะหโ์ ครงสร้าง และองค์ความรตู้ า่ ง ๆ ทม่ี อี ยู่ในคมั ภีรต์ รนี ิสิงเห

2.6 การเปรียบเทียบโครงสร้างคมั ภรี ต์ รนี สิ ิงเห

เมอื่ ผู้วิจยั ศึกษาคมั ภรี ์ตรีนิสงิ เหทั้ง 6 สานวน จากเกณฑ์ทผี่ ูว้ จิ ัยไดก้ ลา่ วไว้ข้างตน้ วา่ คมั ภีรต์ รี
นิสิงเหที่สมบูรณ์ ควรจะมีโครงสร้างประกอบด้วย คุณสมบตั ิของผู้ที่จะศึกษาและบทนมัสการครู การ
ทาอัตราทวาทสมงคล ท่ีมาของอตั ราทวาทสมงคล การคูณหารอตั ราเลข และอุปเท่ห์ การนาเอาไปใช้
แต่เมื่อทาการศึกษา ชาระและเปรียบเทียบต้นฉบับท้ัง 6 สานวน พบว่า ไม่มีสานวนใดเลยท่ีมี
โครงสรา้ งครบท้งั 5 สว่ น โครงสร้างคัมภีรต์ รนี ิสิงเหแต่ละสานวน แสดงดว้ ยตาราง ดงั ตอ่ ไปนี้

42

ตารางที่ 2.2 เปรียบเทยี บโครงสรา้ งคัมภีร์ตรีนิสงิ เห ท้งั 6 สานวน

คัมภีร์ตรีนสิ ิง บทนมัสการ การทาอตั รา ทีม่ าของ การคณู หาร อปุ เท่ห์วธิ ีการ

เห เลข อัตราเลข อตั ราเลข นาไปใช้

ทวาทสมงคล ทวาทสมงคล

สานวน ก  

สานวน ข   

สานวน ค  

สานวน ง 

สานวน จ  

สานวน ฉ  

จากตารางส่วนประกอบโครงสร้างคัมภีร์ตรีนิสิงเหทั้ง 6 สานวน จะเห็นได้ว่า ประกอบด้วย
การทาอัตราเลขทวาทสมงคล ซึ่งถือเป็นหัวใจของคัมภีร์ตรีนิสิงเห โดยอัตราเลขดังกล่าวนาไปใช้ใน
ยนั ตต์ รนี สิ ิงเห และยันตต์ วั เลขอืน่ ๆ ซึ่งจะกล่าวถงึ ในบทต่อไป โครงสรา้ งสาคญั อีกส่วน คือ การทากล
ยันต์จากการคูณ หาร อัตราเลขทวาทสมงคล ซ่ึงปรากฏในคัมภีร์ตรีนิสิงเห 4 สานวน ยกเว้น สานวน
ง สันนิษฐานว่าขาดหายไป เพราะไม่มีเนื้อหาตั้งแต่ท่ีมาของเลขทวาทสมงคล ตามข้อสันนิษฐาน
ดังกล่าว ก่อนที่ตัวต้นฉบับจะชารุดเสียหาย คัมภีร์ตรีนิสิงเห สานวน ง น่าจะมีเน้ือหาในส่วนคือ การ
ทากลยันต์จากการบวก ลบ คูณ หาร อัตราเลข ซ่ึงถือว่ามีความสาคัญมาก เน่ืองจากเป็นการนาเอา
อัตราทวาทสมงคลมาบวก ลบ คณู หาร เพอื่ สร้างเปน็ กลเลข และกลยนั ต์ เพอื่ นาไปใช้ตามอปุ เทห่ ์ ซง่ึ
แต่ละขนั้ ตอนมีอานุภาพแตกต่างกันไป

ส่วนอปุ เท่ห์หรือวิธกี ารนาเอาผงตรีนิสิงเห และรูปยันต์ในคัมภีร์ไปใช้ ปรากฏในคัมภรี ์ตรีนิสิง
เห 4 สานวน ยกเว้นสานวน ง ตามเหตุผลที่กล่าวไว้แล้วข้างต้น เก่ียวกับอุปเท่ห์นั้น คัมภีร์ตรีนิสิงเห
แต่ละสานวนกล่าวเอาไว้ไม่เหมือนกัน โดย สานวน ก กล่าวไว้โดยละเอียด แต่สานวนอื่น ๆ อีก 3
สานวน กล่าวไว้โดยสังเขปเท่าน้ัน ส่วนบทนมัสการครูมีอยู่ในคัมภีร์ตรีนิสิงเห สานวน ข แม้ว่าคัมภีร์
ตรีนิสิงเห สานวน ก จะไม่มีบทนมัสการครู ซ่ึงผู้วิจัยสันนิษฐานว่า แต่เดิม คัมภีร์ลบผงทั้ง 5 ปกรณ์
ต้องศกึ ษาเปน็ ลาดับไป เร่ิมจากคมั ภีรป์ ถมังเป็นเบือ้ งตน้ ดงั นัน้ บทนมสั การครูสามารถใช้รว่ มกบั คมั ภีร์
ปถมังได้ ต่อมาเมื่อมีการศึกษาแยกแต่ละคัมภีร์จึงมีการเพ่ิมเน้ือหาในส่วนบทนมัสการครูเข้าไป ซึ่งไม่

43

แตกต่างจากบทนมัสการครูในคัมภีร์ปถมังมากนัก โครงสร้างสาคัญของคัมภีร์ตรีนิสิงเหอีกประการ
หน่ึง คือ ที่มาของอัตราเลขทวาทสมงคล ซ่ึงมีในคัมภีร์ตรีนิสิงเห เพียง 2 สานวน ได้แก่ สานวน ก
และสานวน ง และไม่เคยพบท่ีมาอัตราเลขนใี้ นคมั ภีร์ตรีนิสงิ เหสานวนอนื่ และเป็นน่าเสยี ดายท่ี คมั ภีร์
ตรีนิสิงเห สานวน ง เน้ือหาขาดหายไป เหลือเพียงส่วนเดียวท่ีสามารถนามาเทียบเคียงได้ อย่างไรก็
ตาม ที่มาของอัตราเลขทวาทสมงคลมีความสาคัญในการท่ีจะสามารถนามาอธิบายแนวคิดของ
ผปู้ ระพนั ธ์ และอิทธพิ ลทางดา้ นศาสนาที่มตี อ่ คัมภรี ์ตรีนิสิงเห

คัมภรี ์ตรีนิสิงเหท้ัง 6 สานวนถือเป็นเอกสารในหมวดตาราไสยศาสตร์ท่ีหาไดย้ าก อีกทั้งยังไม่
เคยมีการศึกษาเปรียบเทียบกัน คัมภีร์ตรีนิสิงเหที่ใช้ในการศึกษาวิจัย มีที่มาที่แตกต่างกัน และเขียน
ขึ้นในชว่ งเวลาทีแ่ ตกตา่ งกนั ดว้ ย ยกเวน้ สานวนที่ 2 และสานวนท่ี 3 ที่ได้รบั การคดั ลอกจากนายพรหม
ขมาลา ในปีเดียว แต่กระนั้นตวั ตน้ ฉบบั ก็มีท่ีมาต่างกัน อกี ท้ังต้นฉบบั ทั้งสองก็อาจจะไม่ได้เขียนขึ้นใน
ช่วงเวลาเดียวกันก็เป็นได้ ถือได้ว่าคัมภีร์ตรีนิสิงเหท้ัง 6 สานวนมีคุณสมบัติเหมาะสมครบถ้วนในการ
ใชท้ าการศกึ ษาวเิ คราะห์ ในลาดบั ต่อไปจะเปน็ การวเิ คราะห์โครงสรา้ งคมั ภรี ์ตรนี สิ งิ เห

บทที่ 3

การศึกษาโครงสรา้ งคัมภรี ต์ รนี ิสงิ เห

เม่อื ได้ศึกษาชาระต้นฉบับ ตลอดจนท่มี าและอกั ขรวธิ ที ีใ่ ชใ้ นคัมภรี ต์ รีนสิ งิ เหทัง้ 6 สานวนแล้ว
ดังในบทที่ 2 เม่ือเปรียบเทียบคัมภีร์ตรีนิสิงเหทุกสานวน ผู้วิจัยพบว่า คัมภีร์ตรีนิสิงเหต้อง
ประกอบด้วยเนื้อหาหลัก 5 ส่วนสาคัญด้วยกัน ได้แก่ (1) คุณสมบัติของผู้ที่จะศึกษาและบทนมัสการ
ครู (2) การทาอัตราทวาทสมงคล (3) ที่มาของอตั ราทวาทสมงคล (4) การคูณหารอัตราทวาทสมงคล
และ (5) อปุ เท่ห์ การนาเอาไปใช้ ในบทน้ี ผู้วจิ ัยจะศึกษาวิเคราะห์โครงสร้างท้ัง 5 ส่วนของคัมภรี ์ตรีนิ
สงิ เห ตามลาดับอย่างละเอยี ด

3.1 คณุ สมบตั ิของผ้ทู จี่ ะศกึ ษาและบทนมัสการครู

3.1.1 คณุ สมบัตขิ องผทู้ ่จี ะศึกษาคมั ภีร์ตรีนิสงิ เห

ในการเล่าเรียนวิชาเลขยันต์แบบโบราณ ในแต่ละวิชาจะกาหนดคุณสมบัติของผู้ท่ี
สมควรไดร้ บั การถา่ ยทอดองคค์ วามร้ใู ห้ เพราะความรู้ในตาราเลขยนั ตส์ ามารถนาไปใช้ทง้ั ในทางท่ีเป็น
คุณและเปน็ โทษตอ่ ผู้อ่นื ซึ่งอาจสร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้คนหรือแม้แตบ่ ้านเมืองได้ ดังน้ันจึงมีการ
กาหนดคุณสมบัติของผู้ท่ีจะศึกษาคัมภีร์ตรีนิสิงเหเอาไว้ จากการศึกษาพบว่ามี คัมภีร์ตรีนิสิงเห
สานวน ข เพียงสานวนเดยี ว ท่มี กี ารกล่าวถงึ คุณสมบตั ิของผู้จะศกึ ษาไว้ ดังนี้

สิทธิการิยะ ถ้าผู้ใดจะเรียนตรีนิสิงเห ให้อาจารย์พิเคราะห์ดูผู้จะ
เรียนนั้น เม่ือเห็นว่าเป็นผู้ตั้งอยู่ในโอวาท รู้จักคุณแก้ว ๓ ประการ คุณบิดา
มารดา และตัง้ อยูใ่ นศีล ๕ ศีล ๘ แล้วจงึ สอนให้ ถา้ ไม่ได้ดังวา่ นอ้ี ย่าสอนใหเ้ ลย

จะเห็นได้ว่าการเรียนคัมภีร์น้ีมีข้อบังคับขั้นพื้นฐานสาหรับผู้ศึกษาว่าจะต้องรู้จักคุณ
พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ซึ่งในข้อน้ีพึงหมายเอาว่าเป็นพุทธมามกะ และมีศีล 5 หรือศีล 8
บริบูรณ์ เนื่องจากการเรียนคัมภีร์เล่มนี้ในสมัยโบราณก่อนท่ีการศึกษาสมัยใหม่จะเข้ามามีบทบาทใน
สังคมไทยกระทากันในวัด ผู้ท่ีประสิทธ์ิประสาทความรู้ คือ พระสงฆ์ที่ทรงคุณพิเศษเป็นที่ยอมรับ
ดังน้ันระเบียบแบบแผนในการเล่าเรียนจึงอิงหลักคาสอนในพระพุทธศาสนา รวมทั้งเกณฑ์ในการ

45

คัดเลือกผู้ท่ีสมควรศึกษาและข้อวัตรปฏิบัติเบ้ืองต้นด้วย การท่ีเน้ือหาใน คัมภีร์ตรีนิสิงเห กล่าวว่า ผู้
ศึกษาจะต้องรู้จักคุณแก้วสามประการหรือคุณพระรัตนตรัย ได้แก่ คุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณ
พระสงฆ์ ซึ่งเป็นความหมายโดยทั่วไปแลว้ ยังตอ้ งสามารถเข้าใจคุณแกว้ สามประการตามมโนทศั น์ของ
วิชาเลขยันตด์ ้วย กล่าวคือ โดยทั่วไปเมื่อกล่าวถึงพระพุทธคุณจะหมายถึง พระคุณของพระพุทธเจ้า 3
ประการ ได้แก่ พระมหากรุณาธิคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระมหาปัญญาธิคุณ หรือพระนวหรคุณ
คอื คุณท้งั เกา้ ประการของพระพทุ ธเจา้ ได้แก่

1) อรห เปน็ พระอรหนั ต์
2) สมฺมาสมพฺ ทุ ฺโธ เปน็ ผู้ตรสั รโู้ ดยชอบ
3) วชิ ฺชาจรณสมปฺ นฺโน ถึงพร้อมดว้ ยวชิ าและจรณะ
4) สุคโต เสดจ็ ไปแลว้ ด้วยดี
5) โลกวิทู เป็นผรู้ ู้แจ้งโลก
6) อนุตตฺ โร ปรุ สิ ทมฺมสารถิ เปน็ สารถฝี ึกคนที่ฝึกไดไ้ มม่ ใี ครย่ิงกว่า
7) สตฺถา เทวมนุสสฺ าน เปน็ ศาสดาของเทวดาและมนุษยท์ งั้ หลาย
8) พุทฺโธ เปน็ ผูต้ น่ื และเบิกบานแล้ว
9) ภควา เปน็ ผ้มู โี ชค21

แต่ในการศึกษาวิชาเลขยันตจ์ ะกลา่ วถึง พทุ ธคุณ 56 ซึ่งมีที่มาจากคมั ภรี ์รัตนมาลาที่
อธิบายพุทธคุณโดยพิสดาร ตามจานวนพยางค์ในบทสรรเสริญพระพุทธคุณ (อิติปิโส ฯลฯ พุทฺโธ
ภควาติ) นอกจากน้ียังมีการอธิบายถึงคุณพระพุทธเจ้าท่ีสัมพนั ธก์ ับธาตุ โดย น (พระกกุสันโธ) คือธาตุ
น้ามีกาลัง 12 โม (พระโกนาคม) คือธาตุดนิ มีกาลัง 21 พทุ ฺ (พระกัสสป) คือธาตุไฟมีกาลัง 6 ธา (พระ
ศากยมุน)ี คอื ธาตลุ มมีกาลัง 7 ย (พระเมตไตรย)์ คอื ธาตอุ ากาศมกี าลงั 10 เม่อื เอากาลงั ธาตมุ ารวมกนั
จะได้จานวน 56 เชน่ กัน

องค์ความรู้ดังกล่าวมีความสาคัญอย่างมากในการเรียนคัมภีร์ตรีนิสิงเหและคัมภีร์
เลขยันต์อ่ืน ๆ หากปราศจากความรู้พ้ืนฐานผู้ศึกษาจะไม่สามารถเข้าใจว่าเหตุใด พุทธคุณจึงมี 56

21 พระธรรมปฎิ ก (ป. อ. ปยุตโฺ ต), พจนานกุ รมพุทธศาสน์ ฉบบั ประมวลศพั ท์ พิมพ์ครั้งท่ี 12 (กรุงเทพฯ :
เอส อารพ์ รน้ิ ติ้ง แมสโปรคักส์, 2547), หนา้ 160.

46

หรือแทนด้วยเลข 56 ดังเช่น ตาราทาตะกรุดจักรพรรดิตราธิราช ตารับวัดประดู่โรงธรรม จังหวัด
พระนครศรีอยุธยา ท่ีนาเอาพุทธคุณ 56 ธรรมคุณ 38 และสังฆคุณ 14 มาใช้ในการลงตะกรุด22
ดงั น้นั ผู้ท่ีจะศกึ ษาเล่าเรียนคมั ภรี เ์ ลขยันต์ ต้องเรยี นร้คู ัมภีร์ลบผง 5 เล่มก่อน ในสว่ นของคัมภรี ต์ รีนิสิง
เหเป็นคัมภรี ร์ วบยอดครอบคลุมพิเศษกวา่ เล่มอ่ืน เพราะมีเนื้อหาทอี่ ธิบาย หัวใจ ตวั เลข ยันต์และวิชา
ไสยศาสตร์

ส่วนเกณฑค์ วามประพฤติ ทกี่ าหนดใหผ้ ้ทู จี่ ะศกึ ษาคมั ภีรต์ รีนสิ งิ เหต้องดารงอยู่ในศีล
5 หรือศีล 8 ซ่ึงจัดเป็นศีลเบ้ืองต้น และศีลอย่างกลาง สันนิษฐานว่า เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ความรู้
ตกไปอยู่กับผู้ทุศีล ดังน้ันศีลถือเป็นข้อปฏิบัตขิ ั้นตน้ เพอื่ การฝึกตนในทางพระพุทธศาสนา ศีลแบง่ เป็น
3 ระดับ คือ (1) จุลศีล (ศีลอย่างน้อย) ได้แก่ คหัฏฐศีลทั้ง 2 มีศีล 5 ซ่ึงถือเป็นศีลหรือข้อพึงปฏิบัติ
สาหรับคนทั่วไป และอาชีวัฏฐมกศีล23 (ศีลมีอาชีวะเป็นอันดับที่ 8) ในคัมภีร์วิสุทธิมรรคเรียกศีลทั้ง
สองไว้อีกชื่อหนึ่งว่า “อาทิพรหมจริยาศีล” โดยอธิบายว่าท่ีเรียกอย่างน้ีเพราะเป็นเบ้ืองต้นของมรรค
พรหมจรรยซ์ ง่ึ ผู้ปฏบิ ตั ิพงึ รกั ษาใหบ้ ริสทุ ธใิ์ นเบอื้ งต้น (2) มัชฌมิ ศลี (ศลี อยา่ งกลาง) คือ บรรพชาศลี ทัง้
สอง ได้แก่ ศีล 8 และศีล 10 (3) มหาศลี (ศีลอยา่ งสูง) ไดแ้ ก่ ภกิ ษุณีวนิ ยั และภกิ ษุวินยั 24

การที่กาหนดให้ผู้ศึกษาคัมภีร์ตรีนิสิงเหต้องรักษาศีลอย่างน้อยหรือศีลอย่างกลางก็
เพ่ืออาศัยข้อห้ามเหล่านี้ป้องกันไม่ให้ผู้ศึกษาเอาความรู้ไปใช้ในทางที่ไม่สมควร อีกทั้งศีลยังเป็นบาท
ฐานในการฝึกสมาธิ การศึกษาคัมภีร์ลบผง ผู้ที่ศึกษาจะต้องอาศัยสมาธิจิตเป็นบาทฐาน เพราะศีลท่ี
สมบูรณพ์ ร้อมเปน็ เหตุให้เกิดสมาธิไดง้ ่าย ศีลยงั เป็นเครื่องระงับกายทุจรติ และวจีทุจริต ช่วยใหส้ มาธิมี
ความม่ันคงดารงความเป็นเอกัคคตารมณ์ด้วย ท่ีสาคัญข้อกาหนดเรื่องศีลเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่า
คัมภีร์เล่มนีใ้ ชแ้ นวคดิ ของพระพุทธศาสนาในการกาหนดคณุ สมบัติผูท้ ่จี ะศึกษา

22 เทพย์ สาริกบุตร, คมั ภีร์พระเวทย์ พทุ ธศาสตราคม, หนา้ 141.
23 อาชวี ัฏฐมกศลี ได้แกเ่ วน้ จากการฆ่าสัตว์ เว้นจากการลกั ทรพั ย์ เว้นจากการประพฤติผดิ ในกาม เว้นจาก
การพูดเท็จ เว้นจากการพูดคาหยาบ เวน้ จากการพดู สอ่ เสยี ด เวน้ จากการพดู เพ้อเจ้อ เวน้ จากอาชพี ท่ีผิด.
24พระพุทธโกษาจารย์, คมั ภรี ์วสิ ุทธมิ รรค แปลโดย มหาวงศ์ ชาญบาลี (กรุงเทพฯ : ธรรมบรรณาคาร,
2535), หนา้ 50.

47

3.1.2 บทนมสั การครู

การนมัสการครูถือเปน็ ธรรมเนียมปฏิบัติของท่ีผู้ศึกษาเล่าเรียนวิชาเลขยันต์และวิชา
ลบผง ท่ีต้องกล่าวคาบูชาคุณพระรัตนตรัยและครูอาจารย์รวมถึงเทพยดาต่าง ๆ ก่อนเสมอเมื่อจะ
ทาการศึกษาเล่าเรียน บทนมัสการครูจึงมีความสาคัญต่อการศึกษาเล่าเรียนวิชาเลขยันต์อย่างมาก
เน่ืองจากเป็นบทท่ีผู้ศึกษาเล่าเรียนจะต้องใช้ในการนมัสการครู ไม่เพียงแต่คัมภีร์ตรีนิสิงเหเท่าน้ัน
การศึกษาคัมภีร์อ่ืนในทางไสยศาสตร์ต้องมีการกล่าวบูชาครูเป็นเบ้ืองต้นเสมอ จะขาดไม่ได้ ครูในท่ีน้ี
นอกจากพระรัตนตรัยและพรหมเทวดาแล้ว ยังหมายรวมถึงครูผู้ประพันธ์คัมภีร์และครูผู้ถ่ายทอด
ความรู้ในคัมภีร์ให้แก่ผู้เล่าเรียนด้วย ถึงแม้ว่า คัมภีร์ตรีนิสิงเหและคัมภีร์ลบผงอ่ืน ๆ รวมท้ังตาราเลข
ยนั ตโ์ ดยท่วั ไปจะไมร่ ะบนุ ามผู้แต่งกต็ าม การนมัสการครกู เ็ ปน็ การนอบนอ้ มและระลึกถึงครใู นบริบทน้ี
ด้วย

คัมภีร์ตรีนิสิงเห สานวน ข มีบทนมัสการครูท้ังหมด 8 บท การศึกษาวิชาเลขยันต์
และไสยศาสตร์ให้ความสาคัญกับผู้ท่ีถ่ายทอดความรู้จากรุ่นหนึ่งไปยังอีกรุ่น คาถานมัสการครูจึงถือ
เป็นส่วนสาคัญในคัมภรี ์ เร่ิมต้นด้วยการนมัสการพระรัตนตรัย และเทพต่าง ๆ โดยมีพน้ื ฐานความเช่ือ
มาจากศาสนาพุทธและศาสนาพราหมณ์-ฮินดู สันนิษฐานว่าในอดีต น่าจะนับถือเทพเหล่าน้ีร่วมกัน
โดยไมไ่ ด้แบ่งแยกวา่ มาจากศาสนาใดศาสนาหนง่ึ

บทนมสั การครูในคัมภีรต์ รนี สิ งิ เห สานวน ข มีดงั นี้

1) พุทฺธ ชีวิต ยาวนิพฺพาน สรณคจฺฉามิ ธมฺม ชีวิต ยาวนิพฺพาน
สรณคจฺฉามิ สงฺฆ ชีวิต ยาวนิพฺพาน สรณคจฺฉามิ (คาแปล ข้าพเจ้าขอถึง
พระพุทธเจ้าเป็นสรณะจนตราบชีวิต ข้าพเจ้าขอถึงพระธรรมเป็นสรณะจน
ตราบชวี ิต ขา้ พเจ้าขอถงึ พระสงฆเ์ ป็นสรณะจนตราบชีวิต)

บทนมัสการครูบทแรกเน้นการถือพระรัตนตรัยเป็นท่ีพ่ึง สะท้อนให้เห็นความสาคัญ
ของพระรตั นตรยั รวมถงึ การถงึ พระนพิ พานอนั เปน็ เปา้ หมายสงู สุดของพุทธศาสนกิ ชน

2) นโม ข้าจะไหว้พระสัพพัญญุตญาณอันเลิศแล้ว ประดุจดวงแก้ว
วิเชียร อันเพียรด้วยพระคุณ ๕๖ ข้าจะขอยกนมัสการพระไตรย์ปิฎกรัตน

48

ไตรย์วรญาณอนั เลศิ พเิ ศษ มีคุณประเภท ๓๘ ข้าขอนมัสการพระอัศฎางอรยิ
สงฆ์ ผู้ทรงญาณอันเลิศล้า ทรงพระคุณ ๑๔ ประการ แก้วท้ังสามดวง ขอให้
โชติช่วงผ่องใส ด้วยคุณพระศรีรัตนไตรย์ จงมาต้ังอยู่เหนือเกล้าของข้าพเจ้า
ณ บัดนี้

บทนมัสการครูบทท่ี 2 เป็นการนมัสการคุณของพระพุทธ พระธรรมและพระสงฆ์
ตามแบบคัมภีร์รัตนมาลา โดยกาหนดให้พระพุทธมีคุณ 56 ประการเท่ากับจานวนพยางค์ในบทสวด
สรรเสริญพระพทุ ธคณุ (อติ ิปิโส ฯลฯ ภควาติ) พระธรรมมคี ุณ 38 ประการเทา่ กบั จานวนพยางค์ในบท
สวดสรรเสริญพระธรรมคุณ (สวากฺขาโต ฯลฯ วิญฺญูหีติ) คุณของพระสงฆ์กาหนดไว้เพียง 14 โดยนับ
เพียง สปุ ฏปิ นโฺ น ภควโต สาวกสงโฺ ฆ จานวน 14 พยางคเ์ ทา่ นนั้ ท้ังนเ้ี พ่อื ให้พอดกี บั จานวน 108 ซง่ึ ถือ
เป็นเลขมงคลสาหรับกล่มุ ผศู้ กึ ษาวชิ าเลขยันต์

3) นมสฺสิตฺตวา อิสีสิทฺธิ โลกนาถ อนุตฺตร อิสีสิทฺธิ จ พนฺธน มหา
สาตฺรา อห วนฺทามิต อิสึ (คาแปล ข้าพเจ้าถวายนมัสการ พระจอมฤๅษี
ผู้สาเร็จ ผู้เป็นท่ีพ่ึงของโลก (หมายถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า) ผู้ยอดเย่ียม
และพระธรรมของพระจอมฤๅษีผู้สาเร็จที่เป็นประดุจมหาศาตราสาหรับตัด
เคร่ืองผูก (คืออาสวะกิเลส) ให้ขาดสะบ้ัน เรียบร้อยแล้ว จะขอไหว้ พระสงฆ์
สาวกของพระจอมฤๅษีพระองค์นนั้ )

บทนมสั การครูบทที่ 3 กล่าวถงึ พระสัมมาสัมพทุ ธเจ้าเปน็ พระจอมฤๅษี ในวฒั นธรรม
การเรียนวิชาเลขยันต์และวิชาไสยศาสตร์อื่น ๆ มีการนับถือพระฤๅษีต่าง ๆ ในฐานะที่เป็นครูต้นสาย
วชิ า อีกทง้ั ยังเป็นผู้ที่ช่วยให้บงั เกดิ ความสาเร็จ ดังน้ันในคัมภีร์เลขยันต์และคัมภีรไ์ สยศาสตร์จึงปรากฏ
นามพระฤๅษหี ลายตนดว้ ยกนั เช่น พระฤๅษตี าวัว พระฤๅษตี าไฟ พระฤๅษกี ไลโกฏิ บทนมัสการครบู ทน้ี
กลา่ วถึง พระสมั มาสัมพุทธเจา้ วา่ เป็นจอมฤๅษี ดว้ ยเหตุทพ่ี ระองค์สามารถตัดอาสวะกิเลสได้ แสดงให้
เห็นว่าผู้ประพันธ์มีความเคารพในพระสัมมาสัมพุทธเจ้าย่ิงกว่าพระฤๅษีอ่ืนใด และนับถือในคุณสมบัติ
การละกิเลสให้หมดส้ินไป ไดแ้ ก่ อาสวกฺขยญาณ (ญาณท่ีทาให้อาสวะสิ้นไป) ว่าเหนือกวา่ ฤทธ์ิอานาจ
อ่นื ๆ ในโลกยี อภญิ ญาเบื้องตา่ 5 ไดแ้ ก่ อทิ ธิวิธี (ความรู้ท่ที าใหแ้ สดงฤทธ์ติ ่าง ๆ ได้) ทิพยโสต (ญาณ

49

ที่ทาให้มีหูทิพย์) เจโตปริยญาณ (ญาณท่ีให้กาหนดใจคนอ่ืนได้) ปุพเพนิวาสานุสสติ (ญาณท่ีทาให้
ระลึกถงึ ชาตไิ ด)้ และ ทพิ พจักขุ (ญาณท่ีทาให้มีตาทพิ ย)์

4) วนฺทิตฺตวา สุคต นาถ พุทฺธญฺ จ ธมฺมญฺ จ สงฺฆญฺ จ นโม พุทฺธาย
ทิพฺพมนฺต ปวกฺขามิ ยถาพล (คาแปล (ข้าพเจ้า) ไหว้ครูบาอาจารย์แล้ว ขอ
อันตรายท้ังหลายจงฉิบหายมลายส้ินไป ขอให้กิจจงสาเร็จ ขอให้การงานจง
สาเร็จ ขอใหพ้ ระตถาคตเจ้าจงอานวยให้กิจทีค่ วรทาประสบผลสาเรจ็ ขอเดช
จงสาเร็จ ขอจงประสบชัยชนะตลอดกาลเป็นนิตย์ ขอการงานทั้งปวงของ
ขา้ พเจ้าจงประสบผลสาเร็จ เทอญ)

บทนมัสการบทที่ 4 เป็นการน้อมไหวพ้ ระรัตนตรัย และขอให้อานวยผลในการเรียน
เวทมนต์ (ในทีน่ เี้ รียกว่า ทิพมนต)์ ในคานมัสการมคี าวา่ นโม พทุ ฺธาย แปลว่านอ้ มไหว้พระพุทธเจ้า แต่
ในบริบทของผู้ศึกษาวิชาเลขยันต์ คาว่า นโม พุทฺธาย หมายถึงพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ที่อุบัติใน
ภัทรกัปน้ี ซึ่งจะอธิบายในข้อต่อ ๆ ไป ดังนั้นบทนมัสการน้ีมีความหมายแฝงถึงการน้อมไหว้
พระพทุ ธเจ้า 5 พระองคด์ ้วย

5) เสฏฺฐ ติโลกมหิต อภิวนฺทิยคฺค พทุ ฺธญฺจ ธมฺมมมล คณมุตฺตมญจฺ
สตฺถุสฺส ตสสฺ วจนตฺถวร สุพุทธฺ วกฺขามิ สตุ ฺตหิตเมตฺถ สสุ นธฺ ิกปปฺ ํ เอตฺถ เสยยฺ
ชิเนริตนเยน พุธา ลภนฺติตญฺจาปิ ตสฺส วจนตฺถสุโพธเนน อตฺถญฺจ อกฺขร
ปเทสุ อโมหภาวา เสยฺยตฺถิโก ปทมโต วิวิธ สุเณยฺย (คาแปล ข้าพเจ้า ขอ
ถวายอภิวาทแล้ว ซึ่งพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ ผู้อันชาวไตรโลกบูชาแล้ว เป็น
ผู้เลิศ ด้วย ขอถวายอภิวาทแล้ว ซึ่งพระธรรม อันปราศจากมลทินด้วย ขอ
ถวายอภิวาทแล้วซึ่งหมู่ สูงสุด ด้วย แล้วจักกล่าว ซึ่งสนธิปกรณ์เป็นที่
เชื่อมโยงคือการจัดแบ่งอันดี ท่ีเกื้อกูลแก่สูตร เพื่อการเข้าใจอย่างดี ซ่ึงอรรถ
แห่งพระดารัสอันประเสริฐ แห่งพระศาสดาน้ัน ในอรรถแห่งพระดารัสอัน
ประเสรฐิ น้นั โลกุตรธรรมอนั ประเสรฐิ สดุ ใด มอี ยู่ บคุ คลผู้รู้ ทง้ั หลาย ยอ่ มได้
ซ่ึงโลกุตรธรรมอันประเสริฐสุดนั้น โดยนัยอันพระชินเจ้าตรัสแล้ว, อนึ่ง ย่อม
ได้ แม้ซึ่งนัยอันพระชินเจ้าตรัสแล้วน้ัน เพราะเข้าใจอรรถแห่งพระดารัสอัน

50

ประเสริฐเป็นอย่างดี ของพระศาสดา. อีกทั้ง จะได้ ความหมายท้ังโลกิยะ
และโลกุตระ เพราะมีความรู้ ในอักขระและบท ดังน้ัน กุลบุตรผู้ปรารถนา
โลกุตรธรรมอนั ประเสรฐิ สดุ ควรศึกษา มีประการตา่ งๆ เทอญ)

บทนมัสการครูบทท่ี 5 ชื่อ “เสฏฐัน” ประพันธ์ด้วยฉันท์ปัฐยาวัตร คาถาภาษาบาลี
ในที่นี้มีความแตกต่างกบั บทอ่ืน ที่มีลักษณะเป็นการผสมผสานระหว่างคาไทยกับคาบาลี อกี ทั้งเนื้อหา
ในบทน้ีมีความพิสดารลุ่มลึก มีการกล่าวถึงอักขระและบท ซึ่งเป็นสิ่งจาเป็นสาหรับผู้ปรารถนาจะ
ศึกษาพระธรรมคัมภีร์ อันจะนาพาให้ถึงโลกุตรธรรม คาถานมัสการบทน้ียกมาจากบทนมัสการใน
คัมภีร์มูลกัจจายน์ สนธิกัปป์ ปฐมกัณฑ์ ดังเห็นได้จากการกล่าวถึงสูตรสนธิในบาลี เนื่องจากในสมัย
โบราณเช่ือว่า คัมภีร์ลบผงทั้ง 5 คัมภีร์มีส่วนท่ีเก่ียวข้องกับคัมภีร์มูลกัจจายน์ นอกจากการเรียนเลข
ยันต์ ลบผง ผู้เรียนจะต้องแตกฉานภาษาบาลี รู้พระไตรปิฎก ตาราในการศึกษาภาษาบาลีในสมัย
โบราณ ก็คอื คัมภรี ์มลู กจั จายนน์ ี้เอง

6) วนฺทิตฺตวา อาจาริย อนฺตราย วินาสฺสนฺติ สิทฺธิกิจฺจ สิทฺธิกมฺม
สิทฺธิการิยตถาคโต สิทฺธิเตโช ชโยนิจฺจ สพฺพกมฺม ปสิทฺธิเม ฯ (คาแปล
ข้าพเจ้าครั้นไหว้พระพุทธเจ้า พระสุคตผู้เป็นที่พึ่งพร้อมด้วยพระธรรมและ
พระสงฆ์แลว้ ขอนอบนอ้ มพระพุทธเจา้ จกั เรยี นเอาทพิ ยมนตต์ ามกาลัง)

บทนมัสการครบู ทที่ 6 เปน็ การขอพรจากพระตถาคตใหพ้ น้ จากอันตรายต่าง ๆ และ
ขอให้เกิดความสาเร็จในกิจ ในท่ีนี้น่าจะหมายถึงการเรียนลบผง และขอให้ประสบชัยชนะต่ออุปสรรค
สะทอ้ นถงึ ความเชอ่ื วา่ พระพุทธเจา้ เปน็ ที่พึ่ง และมเี ดชสามารถยงั ใหเ้ กิดความสาเรจ็ ได้

7) ทีน้ีข้าจะขอนมัสการ พระอิศวร พระนารายณ์ พระฆิเนศร์
พระฆินัย พระอินทร์ พระพรหม พระยม พระกาฬ แลท้าวจตุโลกบาลอันมี
ฤทธิ์ ขอจงมาช่วยข้าพเจ้าผู้จะกระทาการวิทยาคม ขอจงประสิทธิ์ทุก
ประการ โอม ชัยยะ ชัยยะ ปสทิ ธเิ มฯ

บทนมัสการครูบทท่ี 7 ปรากฏนามของเทพเจ้าสูงสุดของศาสนาพราหมณ์-ฮินดทู ง้ั 3
และเทพอื่น ๆ ซ่ึงมีช่ือปรากฏทงั้ ในฝา่ ยพราหมณ์-ฮนิ ดแู ละฝา่ ยพทุ ธรวมกัน

51

8) สีโร เม พุทฺธเทวญฺจ นลาเต พฺรหมฺเทวตา หทย นรายกญฺเจว
ทวฺ หตเฺ ถ ปรเมสุรา ปาเท วิสสฺ นุกญฺเจว สขุ า คงคฺ าย ปสิทธฺ ิ เม (คาแปล ขอ
อาราธนาพระพุทธเจ้าประทับบนเศียรของข้าพเจ้า พระพรหมประทับบน
หนา้ ผาก พระนารายณ์ประทบั ท่หี ทัย พระปรเมศวร (พระศิวะ) ประทับทีม่ อื
ทั้งสองข้าง พระวิสสุกัมประทับท่ีเท้า ขอความสุขและความสาเร็จ (ทุก
ประการ) จงบังเกิดมีแกข่ ้าพเจ้า เทอญ)

บทนมัสการครูบทท่ี 8 เป็นการอาราธนาพระพุทธเจ้า และเทพเจ้าไปประทับตาม
สว่ นตา่ ง ๆ ของรา่ งกาย และขอใหบ้ ังเกิดความสาเรจ็ แก่ตนเอง

เม่ือศึกษาเนื้อความในบทนมัสการครูท้ัง 8 บท จะเห็นได้ว่า การนมัสการครูจะ
ข้ึนต้นดว้ ยการแสดงความเคารพตอ่ พระรัตนตรัย และตอ่ เทพเจ้าต่าง ๆ ทั้งนเ้ี พ่ือใหเ้ กดิ ความศักด์ิสิทธิ์
และความสาเร็จแก่ผู้ศึกษาเล่าเรียน ในส่วนต่อไปผู้วิจัยจะกล่าวถึงบทวิเคราะห์อัตราเลข ซึ่งถือเป็น
ส่วนสาคญั ทส่ี ดุ ของคมั ภรี ์ตรีนิสิงเห

3.2 การทาอตั ราทวาทสมงคล

ดังที่ได้กล่าวไว้ในบทท่ี 2 แล้ว ส่วนประกอบท่ีถือเป็นหัวใจของคัมภีร์ตรีนิสิงเห คือ การทา
อตั ราทวาทสมงคล โดยเนื้อหาในสว่ นน้ีสามารถใชเ้ ปน็ เกณฑใ์ นการตัดสนิ ได้วา่ คัมภรี ์เล่มใดเป็นคัมภรี ์
ตรีนิสิงเห หรือเป็นเพียงตาราทายันต์ตรีนิสิงเหเท่าน้ัน ดังนั้นเอกสารโบราณท่ีใช้ แม้ว่าจะ
ประกอบด้วยเนอ้ื หาส่วนนเ้ี พยี งส่วนเดียว กจ็ ดั วา่ เปน็ คัมภีรต์ รนี สิ ิงเหได้

“อัตราทวาทสมงคล” หมายถึงชุดตัวเลข 12 ตัว ซ่ึงมีท่ีมาจากกาลังดาวและกาลังพระ
รัตนตรัย บวก ลบ คูณ หารกัน ส่วน คาว่า “ทวาทสมงคล” หมายถึงเลข 12 เพียงเลขเดียว เป็นเลข
ต้นกาเนิด ในการคานวณตัวเลขท้ัง 12 ตัวในอัตราทวาทสมงคล ซ่ึงประกอบด้วย ชุดตัวเลข 4 ชุด ๆ
ละ 3 ตัว ไดแ้ ก่ 3 7 5, 4 6 5, 1 9 5, 2 8 5 ตัวเลขท้ัง 12 ตัวน้ีเป็นตวั เลขชุดสาคัญที่ใช้ในการทากล
เลขและกลยันต์ต่าง ๆ ท่ีปรากฏในคัมภีร์ตรีนิสิงเห หากปราศจากอัตราทวาทสมงคล ก็ไม่มีทางเข้าใจ
ท่มี าของเลขทอ่ี ยใู่ นยันตต์ รนี ิสิงเห และยนั ตอ์ ื่น ๆ ไดเ้ ลย

52

จากการศึกษาคัมภีร์ตรีนิสิงเหท้ัง 6 สานวน พบว่าอัตราเลขทวาทสมงคลน้ันแทบไม่มีความ
แตกต่างกัน และลาดับตัวเลขท้ัง 12 ตัวตรงกันทุกฉบับ ในที่น้ี เลข หมายถึง ตัวเลขตัวใดตัวหนึ่ง
เท่านั้น ส่วนอัตราเลข หมายถึง ชุดตัวเลขที่กาหนดไว้ตามเกณฑ์ในคัมภีร์ เช่น อัตราทวาทสมงคล
หมายถึง ชุดตัวเลขที่มีความหมายเป็นมงคล 12 ตัว แบ่งออกได้เป็น 4 ชุดคือ 3 7 5 ชุดหน่ึง 4 6 5
ชดุ หน่ึง 1 9 5 ชุดหน่งึ และ 2 8 5 ชดุ หนึ่ง แตห่ ากกลา่ วถงึ “เลขทวาทสมงคล” จะหมายถึงเลข 12
เพียงจานวนเดียว ผู้วิจัยมุ่งศึกษาทั้งสองส่วน โดยจะศึกษาตัวเลข อัตราเลข และท่ีมาของตัวเลขใน
คัมภรี ต์ รนี สิ งิ เหตามลาดบั

3.2.1 ตัวเลขในคมั ภีร์ตรนี สิ งิ เห

ตัวเลขที่ปรากฏในยันต์ตรีนิสิงเหมีลักษณะเป็นตัวเลขจานวนเต็มพื้นฐานท้ัง 9 ตัว
เลขดังกล่าวมีที่มาจากยันต์จตุโร ซ่ึงเป็นหน่ึงในยันต์สาคัญในคัมภีร์ตรีนิสิงเห ใช้เป็นสัญลักษณ์แทน
ดวงดาวในระบบสุริยะท้ัง 9 ดวง ยันต์ท่ีมีแนวคิดจากดวงดาวได้รับความนิยมและเช่ือว่ามีความ
ศักด์ิสิทธิ์ เนื่องจากมีเลขพระเคราะห์ ซ่ึงถือว่าสามารถบันดาลความเป็นไปต่าง ๆ ต่อสรรพชีวิต ใน
คัมภีร์โลกธาตุ อธิบายถึงกาเนดิ ดวงดาวและกาลังของดวงดาวในระบบสุรยิ ะไว้ดังน้ี

เลขประจาพระเคราะห์ นามพระเคราะห์ท้ังหลาย เรียกกันต่าง ๆ
ตามไวพจน์ เช่นอาทิตย์ ว่ารวิบ้าง สูระบ้าง อักกะบ้าง เพ่ือให้เป็นการยืนที่
และสะดวกในการเขียน ท่านใช้เลขเป็นเครื่องหมาย เลขนั้นออกมาจากวาร
ท้ัง ๗ ในข้อ ๑๒ ๑ อาทิตย์ ๒ จันทร์ ๓ อังคาร ๔ พุธ ๕ พฤหัสบดี ๖ ศุกร์
๗ เสาร์ เพราะเม่ือวันที่ ๑ ในสัปดาห์เป็นวันอาทิตย์ เลข ๑ ก็ใช้เป็น
เคร่ืองหมายของวันอาทิตย์ เป็นต้น พระเคราะห์อีก ๓ ต่อจากน้ีไปคือ ๘
ราหู ๙ เกตุ และ ๐ มฤตย2ู 5

อัตราทวาทสมงคล ประกอบด้วยตัวเลขพ้ืนฐาน 1-9 เป็นหลัก ซ่ึงเลขแต่ละตัวจะ
แทนดวงดาวในระบบสุริยะ ส่วนขั้นตอนการทาอัตราทวาทสมงคล มีวิธีคิดโดยใช้กาลังของดาว

25 พระสารประเสริฐ, โลกธาตุ (กรุงเทพมหานคร : สานกั งานเสริมสรา้ งเอกลกั ษณ์ของชาติ, 2538), หน้า
2.

53

อัฐเคราะห์มาคานวณ ดังท่ีกล่าวไว้ใน คัมภีร์ตรีนิสิงเห สานวน ก ว่า “สิทธิการิยะ ถ้าจะทาตรีนิสิงเห
ท่านให้ตั้งกาลังเทวดาลงคือ อาทิตย์ ๖ จันทร์ ๑๕ อังคาร ๘ พุท ๑๗ พฤหัส ๑๙ ศุกร์ ๒๑ เสาร์ ๑๐
ราหู ๑๒ เอาประสมกันเข้าได้ ๑๐๘” กาลังเทวดาหรือกาลังดาว 108 น้ี มีคาอธิบายอยู่ในคัมภีร์
โลกธาตุ ซ่ึงเป็นคมั ภรี ์โหราศาสตรส์ าคัญเลม่ หน่ึง ดงั นี้

ในโชติศาสตร์แสดงนัยว่าด้วยธาตุทั้ง ๔ อันดาวเทวดาแปดดวง
ครองอยู่ เรียกว่าอัฐเคราะห์ และรวมกาลังท้ังหมดได้จานวน ๑๐๘ ซ่ึงนับ
ถือกันว่าเป็นกาลังที่มีส่วนสัมพันธ์กับโลกและสิ่งมีชีวิตท่ีอุบัติในโลกทั้งส้ิน
ดังนน้ั ตามความเชือ่ นีใ้ นการประกอบพิธีกรรมทางไสยศาสตร์ของไทยโบราณ
อาศัยจานวน ๑๐๘ เป็นเกณฑ์ เช่นการสวดคาถา ๑๐๘ คาบ การชกั ประคา
ภาวนากต็ อ้ ง ๑๐๘ จบ26

3.2.2 วิธีคานวณเลขทวาทสมงคล

การทาอัตราทวาทสมงคล เริ่มต้นด้วยการทาเลขทวาทสมงคล (เลข 12) เป็นอันดับ
แรก เนื่องจากเป็นเลขตั้งต้น ในการคานวณอัตราทวาทสมงคล ดังท่ีกล่าวไว้ใน คัมภีร์ตรีนิสิงเห
สานวน ก ว่า “สิทธกิ ารีย ถ้าจทาตรีน่ิสิ่งเหท่านให้ต้งั กาลังเทวดาลง ครื อาทีตย ๖ จัน ๑๕ อังคาน ๔
พทุ ๑๗ หัด ๑๙ สุก ๒๑ เสา ๑๐ ราหู ๑๒ เอาประสมกัน ลับ ๑๐๘”

ข้ันแรก นาเลขกาลังเทวดาอัฐเคราะห์บวกเข้าด้วยกันได้ 108 แล้วจากน้ัน
เอาคณุ พระสงฆ์ 14 คูณกาลังเทวดาท้งั หมดคือ 108 ได้ 1512

ข้ันที่สอง ให้เอาคุณพระธรรม 38 หาร ได้ 39 เศษ 30 เอา 30 มาหาร 39
ไดผ้ ลลัพธ์ 1 เศษ 9 เอาผลลัพธ์กบั เศษบวกกนั (1+9) ได้ 10 เอาไปบวกกบั 10827

26 เร่ืองเดียวกัน, หน้า 14-15.
27 เลข 108 อย่างหลังนีม้ ีทมี่ าจากการรวมคุณของพระพุทธ พระธรรมและพระสงฆ์ตามแบบคัมภีร์รตั นมา
ลา กลา่ วคือ กาหนดให้พระพทุ ธคุณโดยพสิ ดารมีกาลงั 56 ตามบทสรรเสริญพระพุทธคุณท่ีมี 56 พยางค์ พระ
ธรรมคุณโดยพสิ ดารมีกาลงั 38 ตามบทสรรเสริญพระธรรมคณุ มี 38 พยางค์ พระสงั ฆคณุ โดยพิสดารมีกาลงั 14 ตาม
บทสรรเสรญิ พระสังฆคุณ ตดั เอามาเพยี ง สปุ ฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงโฺ ฆ ทง้ั น้เี พอ่ื ให้สอดคลอ้ งกับจานวนเลข 108

54

ขน้ั ท่ีสาม เมอ่ื ไดผ้ ลลพั ธ์ 118 จากนนั้ ให้เอา 9 หาร ได้ผลลพั ธ์ 13 เศษ 1

ข้นั ท่ีสีใ่ หเ้ อาผลลัพธม์ าลบกบั เศษ (13-1) ได้ 12 ช่อื “ทวาทสมงคล”

เลขทวาทสมงคล (เลข 12) ถือว่าเป็นเลขสาคัญที่สุดในการคานวณอัตราทวาทสมง
คล สันนิษฐานว่า ผู้ประพันธค์ ัมภีร์ต้องการให้เลขทวาทสมงคลสอ่ื ถึงกลุม่ ดาวจักรราศีท้งั 12 กลุ่มดาว
โดยใช้แทนค่า เลข 12 เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่า ดาวในระบบสุริยะมีดวงอาทิตย์เป็นประธาน ตาม
หลักโหราศาสตร์ถือว่าพระอาทิตย์อุบัติก่อนพระเคราะห์ดวงอ่ืน เมื่อดวงอาทิตย์โคจรผ่านหมู่ดาวท่ี
ปรากฏอยู่ตามแนวเส้นสุริยวิถีทั้ง 12 กลุ่ม ที่เรียกว่า กลุ่มดาวจักรราศี เริ่มต้ังแต่ กลุ่มดาวราศีเมษ
กลุ่มดาวราศีพฤษภ กลุ่มดาวราศีเมถุน กลุ่มดาวราศีกรกฎ กลุ่มดาวราศีสิงห์ กลุ่มดาวราศีกันย์ กลุ่ม
ดาวราศีตลุ ย์ กลมุ่ ดาวราศีพจิ กิ กลมุ่ ดาวราศธี นู กลมุ่ ดาวราศมี ังกร กลุ่มดาวราศกี ุมภ์ กลุ่มดาวราศีมีน
ตามลาดับ เกิดเปน็ จักรราศีทง้ั 12 กลุ่มดาวจักรราศเี หล่านี้เปน็ แบบแผนใหเ้ กิดเปน็ ดวงสาหรับผกู ดวง
และวางลักขณาในวิชาโหราศาสตร์ ในส่วนวิชาเลขยันต์ โบราณาจารย์ได้พัฒนาแผนภูมิจักรราศีข้ึน
เป็นตารางยันต์ตรีนิสิงเห ที่ประกอบด้วยช่อง 12 ช่อง จึงไม่น่าแปลกท่ีนักปราชญ์หลายท่าน
สันนิษฐานว่า ยันต์คือแผนภูมิดวงดาว ดังนั้นความรู้ในคัมภีร์ตรีนิสิงเหอาศัยแนวคิดพ้ืนฐานมาจาก
ดวงดาวและปรากฏการณ์บนท้องฟ้าเช่นเดียวกับวิชาโหราศาสตร์ เมื่อไดเ้ ลขทวาทสมงคลแล้ว ลาดับ
ถดั ไปเปน็ การทาอัตราทวาทสมงคล

3.2.3 วิธคี านวณอัตราทวาทสมงคล

เลขตัวที่ 2 ข้ันทหี่ น่งึ ตงั้ ทวาทสมงคล (12) เอา 4 หาร ได้ 3 เปน็ เลขตวั ท่ี 1
ตัวที่ 3 ข้ันที่สอง ต้งั ทวาทสมงคล (12) เอา 2 บวก เอา 2 คณู เอา 4 หาร ได้ผลลพั ธ์ 7 เปน็

ขั้นท่ีสาม ตั้งทวาทสมงคล (12) เอา 2 ลบ เอา 2 คูณ เอา 4 หาร ได้ 5 เป็นเลข

ขน้ั ทสี่ ่ี ตงั้ ทวาทสมงคล (12) เอา 4 บวก 4 หาร ได้ผลลพั ธ์ 4 เปน็ เลขตัวที่ 4

เลข 108 อย่างหลงั สะท้อนให้เหน็ วา่ พระรัตนตรัยนัน้ กท็ รงไวด้ ้วยคุณอเนกประการไมแ่ พ้เทวดานพเคราะห์ ตัวเลข
108 ในการบวกครง้ั แรกกบั ตวั เลขทีไ่ ด้ 108 ในคร้ังทสี่ องจึงไม่ถือวา่ เปน็ จานวนเดียวกนั เพราะส่ือความหมายคนละ
แบบกัน.

55

ขน้ั ทห่ี า้ ตัง้ ทวาทสมงคล (12) เอา 2 คูณ เอา 4 หาร ไดผ้ ลลพั ธ์ 6 เป็นเลขตวั ท่ี 5
ข้ันท่ีหก28 ตั้งทวาทสมงคล (12) เอา 2 ลบ เอา 2 คูณ เอา 4 หาร ได้ 5 เป็นเลข
ตัวที่ 6
ข้ันที่เจ็ด29 ตั้งทวาทสมงคล (12) เอา 2 คูณ เอา 4 หาร เอา 2 ลบ เอา 4 หาร ได้
ผลลัพธ์ 1 เปน็ เลขตัวท่ี 7
ข้ันท่ีแปด30 ตั้งทวาทสมงคล (12) เอา 2 คูณ เอา 4 หาร เอา 6 คูณ เอา 4 หารได้
ผลลัพธ์ 9 เป็นเลขตัวท่ี 8
ข้ันที่เก้า ต้ังทวาทสมงคล (12) เอา 2 ลบ เอา 2 คูณ เอา 4 หาร ได้ผลลัพธ์ 5 เป็น
เลขตัวที่ 9
ขน้ั ท่ีสิบ31 ตั้งทวาทสมงคล (12) เอา 4 ลบ เอา 4 หาร ไดผ้ ลลพั ธ์ 2 เป็นเลขตวั ที่ 10
ข้ันที่สิบเอ็ด32 ต้ังทวาทสมงคล (12) เอา 2 ลบ เอา 3 คูณ เอา 2 บวก เอา 4 หาร
ได้ผลลัพธ์ 8 เปน็ เลขตวั ที่ 11
ขั้นท่ีสิบสอง ตง้ั ทวาทสมงคล (12) เอา 2 ลบ เอา 2 คูณ เอา 4 หาร ได้ 5 เป็นเลข
ตัวที่ 12

เมื่อกระทาตามขั้นตอนดังกล่าว จะได้อัตราทวาทสมงคล (เลขตรีนิสิงเห) ตามลาดับ
ดังน้ี 3 7 5 4 6 5 1 9 5 2 8 5 สาหรับลาดับเลขและการทาอัตราทวาทสมงคลน้ัน มีความต่างกัน
เพียงเล็กน้อยในคัมภีร์แต่ละฉบับ โดยสานวน ก สานวน ง และสานวน จ มีรายละเอียดในส่วนการ
คานวณเลขทวาทสมงคลแบบเดียวกัน คือ ใช้กาลังเทวดาอัฐเคราะห์บวกกัน เป็นเลขเริ่มต้น ส่วน
สานวน ข และ ค ตัดในส่วนกาลังอัฐเคราะห์ออก เริ่มด้วย กาลังพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ บวกกัน
แลว้ คานวณเปน็ เลขทวาทสมงคล

28 สานวน ฉ ให้ เอา 2 ลบ เอา 2 หาร.
29 สานวน ข และสานวน ง ให้ เอา 4 บวก 4 หาร แลว้ เอา 4 หาร.
30 สานวน ข ให้เอา 3 คณู เอา 4 หาร, สานวน ฉ ให้ เอา 6 บวก เอา 2 คณู เอา 4 หาร.
31 สานวน ข ให้ เอา 4 ลบ 4 หาร แล้วเอา 2 คูณ เอา 4 หาร, สานวน ฉ ให้เอา 2 คูณ 4 หาร บวก 2 หาร 4.
32 สานวน ข ให้เอา 10 ลบ 3 คณู แลว้ เอา 2 บวก เอา 4 หาร, สานวน ง ใหเ้ อา 2 บวก 2 คูณ 4 หาร.

56

3.3 ที่มาอัตราเลขทวาทสมงคล

ในบรรดาคัมภีร์ตรีนิสิงเหทั้งหมด 6 สานวนที่ใช้ในงานวิจัยฉบับนี้ มีอยู่เพียง 2 สานวนคือ
สานวน ก และสานวน ง ท่ีมีเนื้อหาเกี่ยวกับการแทนค่าอัตราเลขทวาทสมงคล ส่วนในสานวนอื่น ๆ
จะบอกเพียงวิธีการนาอัตราเลขดังกล่าวไปใช้เท่าน้ัน ดังน้ันการแทนค่าตัวเลขถือเป็นสิ่งสาคัญที่จะ
ช่วยให้ผศู้ ึกษาเขา้ ใจมโนทศั น์ของผ้ปู ระพนั ธค์ มั ภรี เ์ ล่มน้ี

การแทนคา่ ตัวเลขต่าง ๆ ในอตั ราทวาทสมงคล มีการแทนคา่ เอาไวห้ ลายระดับ โดยเน้อื ความ
ที่สมบรู ณ์ ปรากฏใน คัมภรี ์ตรีนิสิงเห สานวน ก สานวนเดียว ในการให้ความหมายของเลขแตล่ ะเลข
จะประกอบดว้ ยการอธบิ ายความ 4 ชดุ ได้แก่ การแทนคา่ ในเชิงรปู ธรรม การแทนด้วยคาถาหวั ใจตาม
จานวนของเลข และการแทนความหมายด้วยขอ้ ธรรมหรือปรมัตถธรรมอีกสองระดบั ดังต่อไปนี้

3.3.1 ทม่ี าของเลข 3

- ในการอธิบายเชิงรูปธรรม แทนเลข 3 ด้วย พญาราชสีห์ท้ัง 3 ซึ่งใช้เป็นชื่อของ
คัมภีร์ เพราะเป็นเลขตัวแรกในอัตราทวาทสมงคล ในคัมภีร์ตรีนิสิงเห สานวน ก กล่าวว่า“ตรีนิสิงฺเห
เป็นสิงห์สามตัว คือ ธรราชสีห์อันเป็นโพธิสัตว์เจ้าตัวหนึ่ง กาฬราชสีห์ตัวหนึ่ง”33 ปัณฑูรราชสีห์ตัว
หนง่ึ 34

- ในการอธบิ ายดว้ ยคาถาหวั ใจ แทนเลข 3 ด้วย ม อ อุ ดงั ที่ คมั ภรี ์ตรีนิสิงเห สานวน
ก อธิบาย ว่า “ม นั้นครืสูด อ น้ันครืพระอพีทาท้ัง ๗ คาภี อุ น้ันคือพระวิในทั้ง ๕ คาภี” จาก
คาอธบิ ายดังกล่าว ม อ อุ หมายถึง ปฎิ กท้ัง 3 คอื พระสตู ร พระอภธิ รรมและพระวนิ ัยตามลาดบั

- ในการอธิบายข้นั ทส่ี าม เลข 3 แทนดว้ ย อนจิ จงั ทกุ ขงั อนัตตา ดังท่ี คมั ภรี ์ตรีนิสิง
เห สานวน ก อธิบาย ว่า “สิง ๓ ตัว ครื ทุกขัง อะนิดจัง อะนัตา” ธรรม 3 ประการน้ีเรียกว่า ไตร
ลักษณ์ เป็นสามัญลักษณะท่ีครอบงาทุกส่ิง และมีเสมอกันแก่สังขาร (ธรรมท่ีมีเหตปุ ัจจัยปรุงแต่ง) ทั้ง

33 กาฬสีหะ เปน็ ๑ ใน ๔ ราชสหี ์แห่งปา่ หิมพานต์ นอกจากน้ยี งั เป็นราชสหี ท์ ่กี นิ พชื เป็นอาหารเท่านั้น
กาฬสีหะมีกายดาสนทิ และใหญ่ราวโคหนมุ่ .

34 บณั ฑรุ าชสีห์ เป็น ๑ ใน ๔ ราชสีหแ์ หง่ ปา่ หิมพานต์ บัณฑุราชสหี ์มีผิวกายสเี หลอื งและ เป็นสตั วก์ ินเนอื้
มีขนาดรา่ งกายใหญ่เท่ากบั ววั หนุม่ .

57

ปวง กล่าวคือ อนิจจัง ส่ิงท้ังหลายย่อมมีความไม่เที่ยง ไม่คงที่ เกิดข้ึนแล้วย่อมเส่ือมสลายไป ทุกขัง
ภาวะท่ีถูกบีบค้ันให้ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ เพราะเหตุที่อาศัยปจั จัยปรุงแต่งทาให้ต้องมีความเปล่ียน
แปรไป และอนตั ตา ความไมใ่ ชต่ วั ตนหรือไมม่ ีตัวตนแท้จริง หรอื ไม่ไดเ้ ป็นทตี่ ัง้ แหง่ ตวั ตน35

- ในการอธิบายขนั้ ทส่ี ่ี เลข 3 แทนด้วย อโลภะ อโทสะ อโมหะ ดังท่ี คมั ภีร์ตรีนิสงิ เห
สานวน ก อธิบายว่า “ตรีสิง ๓ ตัว ครื อะโทโส อะโมโห อะโลโพ” ธรรม 3 ประการน้ี เรียกว่า กุศล
เหตุ ดงั ทม่ี คี าอธิบายใน ธรรมสังคณปี กรณ์ ดังนี้

บรรดากุศลเหตุ ๓ น้ัน อโลภะ เป็นไฉน การไม่โลภ กิริยาท่ีไม่โลภ ความไม่
โลภ ความไม่กาหนัด กิริยาท่ีไม่กาหนัด ความไม่กาหนัด ความไม่เพ่งเล็ง กุศลมูล
คืออโลภะ นี้เรียกว่า อโลภะ. อโทสะ เป็นไฉน การไม่คิดประทุษร้าย กิริยาที่ไม่คิด
ประทุษร้าย ความไม่คิดประทุษร้าย ฯลฯ ความไม่พยาบาท ความไม่คิดเบยี ดเบียน
กุศลมูลคืออโทสะ นี้เรียกว่า อโทสะ อโมหะ เป็นไฉน? ความรู้ในทุกข์ ความรู้ใน
ทุกขสมุทัย ความรู้ในทุกขนิโรธ ความรู้ในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ความรู้ในส่วน
อดีต ความรู้ในส่วนอนาคต ความรู้ท้ังในส่วนอดีตและส่วนอนาคต ความรู้
ในปฏิจจสมุปปาทธรรม วา่ เพราะธรรมนี้เป็นปจั จัยธรรมน้ีจึงเกิดขึ้น ปัญญา กิริยา
ท่ีรู้ชัดความวิจัย ความเลือกสรร ความวิจัยธรรม ความกาหนดหมาย ความเข้าไป
กาหนด ความเข้าไปกาหนดเฉพาะภาวะที่รู้ ภาวะที่ฉลาด ภาวะที่รู้ละเอียด ความรู้
แจ่มแจ้ง ความค้นคิด ความใคร่ครวญปัญญาเหมือนแผ่นดิน ปัญญาเคร่ืองทาลาย
กิเลส ปัญญาเครื่องนาทาง ความเห็นแจ้ง ความรู้ชัดปัญญาเหมือนปฏัก ปัญญา
ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ ปัญญาเหมือนศัสตรา ปัญญาเหมือนปราสาท ความสว่าง
คือปัญญา แสงสว่างคือปัญญา ปญั ญาเหมือนประทีป ปญั ญาเหมือนดวงแก้ว ความ
ไม่หลง ความวิจัยธรรม สัมมาทิฏฐิ ธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์ อนั เป็นองค์แห่งมรรคนับ
เนอื่ งในมรรค นชี้ ื่อว่า อโมหะ 36

35 พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตโฺ ต), พุทธธรรม, พมิ พ์ครัง้ ที่ 11, (กรงุ เทพฯ: สหธรรมิก, 2544), หน้า 60.
36 อภ.ิ สง.ฺ (ไทย มมร.) 76/690/352.

58

3.3.2 ท่ีมาของเลข 7

- ในการอธิบายเชิงรูปธรรม แทนเลข 7 ด้วย พญาช้างทั้ง 7 ดังที่ คัมภีร์ตรีนิสิงเห
สานวน ก กล่าวว่า “สตฺตนาเค เป็นช้างท้ังเจ็ดคือ พญาฉัททันต์ตัวหนึ่ง37 ช้างป่าเลไลยก์ตัวหนึ่ง38
ช้างไอยราพรตตัวหน่ึง39 ชา้ งคีรีเมฆตัวหนึ่ง ช้างคีรีวันตวั หน่ึง40 ช้างราชหตัวหนึ่ง ชา้ งปัจจัยนาเคนทร์
ตวั หนึ่ง41 เป็นสัตตนาเคทงั้ ๗”

- ในการอธิบายด้วยคาถาหวั ใจ แทนเลข 7 ด้วย ส วิ ธา ปุ ก ย ป ดงั ท่ี คัมภีรต์ รีนสิ งิ
เห สานวน ก กล่าวว่า“สตฺตนาเค ครื ชางทงง ๗ จะได้แก่อักษรตัวไดบางครืได้แก สํ วิ ธา ปุ ก ย ป
สํ นั้น พระสงั คิณี วิ น้ันครื พระวิพัง ธา นั้นครื พระธาตุกถา ปุ นั้นครื พระปุคล่ปนั ญัติ ก น้นั ครื พระ
กถาวัดถุ ย น้ันครื พระย่มก ป น้ันครื พระปะถานคาภี... พระสังคินีมีอักษร ๑๓๖,๐๐๐ พระวิพังมี
อกั ษร ๒๓๖,๐๐๐ พระทาตุก่ถามีอกั ษร ๔๔,๐๐๐ พระปุกคล่ปันยัดติมีอักษร ๔๔,๐๐๐ พระก่ถาวัดถุ
มีอักษร ๒๗,๐๐๐ พระย่มกมีอักษร ๙๖,๐๐๐ พระมหาปะถารมีอักษร ๑,๔๕๖,๐๐๐” จะเห็นได้ว่า
การอธิบายในขั้นนี้ ผู้ประพันธ์กล่าวถึงอภิธรรม 7 คัมภีร์และจานวนอักษรในแต่ละคัมภีร์ เน้ือความ
ตอนนี้ คมั ภีรต์ รีนิสิงเห สานวน ก และ สานวน ง มขี ้อความตรงกนั

37 เป็นพระชาติหนงึ่ ของพระพทุ ธเจา้ ปรากกในฉัททันตชาดก.
38 ปรากฏอยู่ในพทุ ธประวัติในคราวท่ีพระพุทธเจา้ เสด็จไปจาพรรษาอยู่ในปา่ แถบหมู่บา้ นปาลิเลยยกะ โดย
มีพญาช้างปาลิเลยยกะคอยปรนนิบตั ิ.
39 ชา้ งเอราวัณหรอื ในหนงั สือไตรภูมใิ ชช้ ่ือเรียกวา่ ช้างนี้วา่ ไอยราพรต และมีอรรถาธิบายวา่ ไม่ใชส่ ัตว์
เดรจั ฉาน เพราะบนสวรรค์สัตว์เดรัจฉานจะขึ้นไปอยู่ไมไ่ ด้ ชา้ งไอยราพรตหรือชา้ งเอราวณั เปน็ เทพบุตรองค์หน่ึงชือ่
เอราวัณเทพบตุ ร เมอื่ พระอนิ ทรจ์ ะเสดจ็ ไปแหง่ ใด เอราวณั เทพบตุ รกเ็ นรมติ ตนเป็นชา้ งเผือกตวั หน่งึ ใหญ่ โดยสูงได้
1,200,000 วามีเศยี ร 33 เศียร.
40 สนั นษิ ฐานว่ามีเค้ามาจากทศคีรีวนั และทศครี ีธร ซ่ึงเป็นยักษฝ์ าแฝดที่เกดิ จากทศกัณฐ์กบั นางชา้ งพงั
ทศกณั ฐย์ กให้เป็นบตุ รบญุ ธรรมแก่ ทา้ วอศั กรรมมาลา เจา้ เมอื งดุรัม.
41 ชา้ งปจั จัยนาเคนทร์เป็นลูกนางช้างอากาศจารนิ ี เมอ่ื ช้างผเู้ ป็นมารดา ทอ่ งเท่ยี วมาถงึ แคว้นสีพไี ดน้ า
ลกู ช้างเผือกขาวผอ่ งมาไวใ้ นโรงช้างตน้ ของพระเจา้ กรุงสญชัยในวันเดยี วกับที่พระเวสสันดรประสูติ แลว้ นางช้างผู้
เปน็ มารดากจ็ ากไป ช้างปจั จยั นาคจงึ เปน็ ชา้ งคู่บญุ บารมขี องพระเวสสนั ดร.

59

- ในการอธิบายขน้ั ท่สี าม เลข 7 แทนด้วย โพชฌงค์ ดัง คมั ภรี ต์ รีนิสิงเห สานวน ก
กล่าววา่ “สตตฺ นาเคชางทัง ๗ ครื โภด่ ชงทงั ๗” ในลาดับต่อมามีการเปรียบเทียบช้างท้ัง 7 กับ
โพชฌงค์ 7 ธรรมทีเ่ ปน็ องคแ์ หง่ การตรัสรู้ หรอื องค์ของผู้ตรสั รู้ ไดแ้ ก่

1. สตสิ มั โพชฌงค์ ความระลึกได้ สานึกพร้อมอยู่ ใจอยู่กบั กิจ จิตอยูก่ ับเรือ่ ง
2. ธัมมวจิ ยสัมโพชฌงค์ ความเฟน้ ธรรม ความสอดสอ่ งสืบคน้ ธรรม
3. วิริยสมั โพชฌงค์ ความเพยี ร
4. ปตี ิสัมโพชฌงค์ ความอ่มิ ใจ
5. ปัสสทั ธสิ ัมโพชฌงค์ ความสงบกายใจ
6. สมาธิสัมโพชฌงค์ ความมใี จต้ังมนั่ จติ แนว่ ในอารมณ์
7. อเุ บกขาสัมโพชฌงค์ ความมใี จเป็นกลาง42
ผวู้ ิจัยสันนษิ ฐานวา่ การเปรียบโพชฌงค์ 7 กับพญาช้างท้ังเจ็ด เปน็ การเทียบโพชฌงค์
อนั เปน็ ธรรมเคร่ืองตรัสรู้กับพญาชา้ งทมี่ ีกาลงั
- ในการอธิบายข้ันที่สี่ เลข 7 แทนด้วยเวทนา 7 ดังท่ีกล่าวว่า “สตฺตนาเค ครื เวท่
นา ๗ ต่วรบอารมณทังปวง” เวทนาท้ัง 7 เกิดจากการท่ีจิตรับอารมณ์ จักษุสัมผัสชาเวทนา หมายถึง
เวทนาอันเกิดจากสัมผัสทางตา โสตสัมผัสชาเวทนา หมายถึง เวทนาอันเกิดจากสัมผัสทางหู ฆาน
สัมผัสชาเวทนา หมายถึง เวทนาอันเกิดจากสัมผัสทางจมูก ชวิ หาสัมผัสชาเวทนา หมายถึง เวทนาอัน
เกิดจากสัมผัสทางลิ้น กายสัมผัสชาเวทนา หมายถึง เวทนาอันเกิดจากสัมผัสทางกาย มโนสัมผัสชา
เวทนา หมายถงึ เวทนาอนั เกดิ จากสมั ผสั ทางใจ43 กับเวทนาขันธ์ รวมเป็น 7

42 พระธรรมปิฎก (ป. อ. ปยตุ ฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศพั ท์, หน้า 166.
43 พระธรรมปฎิ ก (ป.อ. ปยตุ ฺโต), พทุ ธธรรม, พิมพค์ รง้ั ท่ี 11, หน้า 31.

60

3.3.3 ทม่ี าของเลข 5 ตัวแรก

- การอธิบายเชิงรูปธรรม แทนเลข 5 ด้วย พระเพชรฉลู 5 องค์ ดังที่คัมภีร์ตรีนิสิงเห
สานวน ก กล่าววา่ “ปญจฺ เพชฉลู นเวม จ คอื พระเพ็ชฉลูหน่งึ 44 พระเพทยาธรหน่ึง45 พระพฤหัสบดี
หน่ึง พระอิศวรองค์หนึ่ง พระอุมาภควดีองค์หนึ่ง พระนารายณ์องค์หน่ึงเป็น ๕ องค์แล” การอธิบาย
ในขนั้ แรกใช้นามของเทพเจ้าซงึ่ เป็นทร่ี ้จู ักและนบั ถือโดยทั่วไป

- การอธิบายด้วยคาถาหัวใจ แทนเลข 5 ด้วย ปา อ ก มุ สุ ดังท่ีคัมภีร์ตรีนิสิงเห
สานวน ก กล่าวว่า “ปญฺจพิสสลู นเมว จ ครืพระพิศ๋ลูกันทังง ๕ ครืจะได้แก่อักษรตัวไดย ครืได้แก่
ปา อ ก มุ สุ อักษรทังง ๕ ตัวได้แก่สินทังง ๕ ครืปานา ครือทีนนาทาน ครืกาเมสุมิดฉา ครืมุสา ครื
สุรา” ปา อ ก มุ สุ ถอดมาจากพยางค์ต้นของ ศีล 5 ได้แก่ ปาณาติปาตา เวรมณี อทินฺนาทานา
เวรมณี กาเมสุ มจิ ฺฉาจารา เวรมณี มสุ าวาทา เวรมณี สุราเมรยมชชฺ ปมาทฏฺฐานา เวรมณี

- การอธิบายข้ันท่ีสาม เลข 5 แทนด้วย พระพุทธเจ้า 5 พระองค์ ดังที่กล่าวว่า
“ปญฺจพิสสลู นเมว จ ครื พุทิเจ้าทัง ๕ อง” ผู้วจิ ัยสันนิษฐานวา่ พระพุทธเจ้า 5 พระองค์ในท่ีนี้
ไม่ได้มุ่งอธิบายพระพุทธเจ้าโดยความหมายที่เป็นบุคคล แต่มุ่งแสดงถึงคุณสมบัติของจิต ดังที่ปรากฏ
ในบทนมสั การพระพทุ ธเจา้ 5 พระองค์ในคัมภรี ์ปถมงั

- การอธิบายข้ันท่ีส่ี เลข 5 แทนด้วย เบญจขันธ์ ดงั ท่ีกล่าวว่า “พิสฺสลู ครื ปันจะขัน
ทัง ๕” ขันธ์ 5 ไดแ้ ก่ รูป ไดแ้ ก่ส่วนประกอบที่เป็นรูปธรรมทั้งหมด รวมท้ังร่างกายและพฤติกรรมต่าง
ๆ เวทนา ได้แก่ ความรู้สึกสุข ทุกข์หรือเฉย ๆ อันเกิดจากผัสสะ สัญญา ได้แก่ความจาได้หมายรู้ใน
อาการและลักษณะต่าง ๆ สังขาร ได้แก่ การปรุงแต่ง ในที่นี้หมายถึงองค์ประกอบหรือคุณสมบัติของ
จิต ที่ปรุงแต่งจิตให้เป็น กุศล อกุศล และอัพยากฤต วิญญาณ ได้แก่ ความรู้ในอารมณ์ท่ีกระทบกัน
ระหว่างอายตนะภายนอกและภายใน46 เมื่อจัดขันธ์เข้าในปรมัตถธรรม วิญญาณขันธ์ จัดเข้าในจิต
เวทนาขันธ,์ สัญญาขันธ์, สังขารขันธ์ จดั เขา้ ในเจตสกิ รูปขนั ธ์ จัดเขา้ ใน รปู

44 พระวษิ ณุในบางตาราบอกวา่ เปน็ พระวสิ สุกรร.ม
45 พระเพทยาธรหรือเพชรพญาธร เปน็ ภมู มเทวดาสถติ อยู่ในปา่ หมิ พานต์ เปน็ เทพทมี่ ีเสน่หช์ วนหลงใหล.
46 พระธรรมปิฎก(ป.อ. ปยตุ โฺ ต), พุทธธรรม, หน้า 21-22.

61

3.3.4 ที่มาของเลข 4

- การอธิบายเชิงรูปธรรม แทนเลข 4 ด้วย ท้าวจตุโลกบาล ดัง คัมภีร์ตรีนิสิงเห
สานวน ก กล่าวว่า “จตุเทวา คือจตุโลกบาลท้ัง ๔ ท้าวธตรัฐมหาราชองค์หน่ึง ท้าววิรุฬหกองค์หน่ึง
ท้าววิรูปักข์องค์หน่ึง ท้าวกุเวรองค์หน่ึง เป็น ๔ องค์แล” ถือเป็นการใชน้ ามของเทพเจ้าอันเป็นท่ีรู้จัก
ของคนโดยท่ัวไปเชน่ กนั ในท่ีนี้ คอื ทา้ วจตุโลกบาล

- การอธิบายดว้ ยคาถาหัวใจ แทนเลข 4 ด้วย น ม พ ท ดัง คัมภรี ์ตรีนิสิงเห สานวน
ก กล่าวว่า “จตตฺ ุเทวา ครืเทวดา ๔ พระองค์ ครืจตั ุโลกบ่ าญทังง ๔ น้นั ไดแกอกั ษรตวั ไดย ครไื ด้แก น
ม พ ท น น้ันพระกกุ กสุ น ม นั้นพระโกนาคม พ น้ันพระกษั สพ ท นั้นครืพระสริ สิ ากยะมุนี น นน้ั ปัฏวิ
ทาตุยูไหล่ซ้าย ม นั้นอาโปทาตุยูคาง พ น้ันเตโชทาตุยูนาภี ท น้ันวาโยทาตุยูอุทร ฯ ทาตุมี ๒๑ เปน
อักษร ๒๑ เกษาครื ก โลมาครื ข นักขาครื ค ทันตาครื ฆ ตะโจครื ง มังสังครื จ นะหาโรครื ฉ อัฏิครื
ช อฏั ิมีนชังครื ฌ วกั กังครื ญ หัถทยังครื ฏ ยักนังครื ฐ กีโลมะกังครื ฑ ปิหะกังครื ฒ ปัพพาสังครื ณ
อันตังครื ต อันต่คูนทนังคือ ถ อุท่ริยังครื ท กรีสังครื ธ มัทโทครื ฬ มัทลุงครื อ ฯ ณีรูปธรรมคุนบดิ า
๒๑ ทาตนุ า ๑๒ เปนอกั ษร ๑๒ ปติ งั ครื น เส่มหงั ครื ป บุปโภครื ผ โลทที ตงั ครื พ เสโทครื ภ เมโทครื
ม อัตสุครื ย อัดศาครื ร เขโลครื ล สังตานีกาครื ว ละสีกาครื ส อักษร ๑๒ ตัวน้ีเปนนาธรรมครืคุน
พระมารดาแล” การถอดเอาพยางค์ น ม พ ท มาจาก อักษร 4 ตัวแรกจากคาถาพระเจ้า 5 พระองค์
น โม พุทฺ ธา ย และยังมีการอธิบายธาตุดิน คือ อวัยวะ 21 ชนิดท่ีมีลักษณะเป็นชิ้นเน้ือ และธาตุน้า
คือ อวัยวะท่เี ปน็ ของเหลว 12 ชนดิ แตธ่ าตไุ ฟและธาตุลมในท่ีน้ไี ม่ได้กล่าวถึง

- การอธิบายข้ันท่ีสาม เลข 4 แทนด้วย ธาตุท้ัง 4 ดัง คัมภีร์ตรีนิสิงเห สานวน ก
กลา่ วว่า “จตตฺ เุ ทวา ครื ทาตุทัง ๔” รายละเอียดเกย่ี วกับธาตทุ ง้ั 4 ได้แก่ ดิน น้า ไฟ ลม มีดงั ตอ่ ไปน้ี

1. ปถวีธาตุ มีความแข็งเป็นลักษณะ แบ่งออกเป็น 4 อย่าง คือ ลกฺขณปถวี คือ
ธาตุดินที่แสดงลักษณะแข็งและอ่อน พิสูจน์ได้ด้วยการถูกต้องสัมผัส สสมฺภาร
ปถวี คือ ธาตุดินอันเป็นส่วนประกอบของธาตุดินในส่ิงมีชีวิต ได้แก่อวัยวะที่มี
ลักษณะเป็นสสาร มี เกศา เป็นตน้ และไม่มีชวี ิต กสิณปถวี คือ ดนิ ที่ใชเ้ ป็นนิมิต
เครื่องหมายในการเจริญสมถภาวนา สมมติปถวี คือ ธาตุดินที่สมมติเรียกกัน
โดยท่ัวไป

62

2. อาโปธาตุ มีลักษณะไหลไปมา แบ่งออกเป็น 4 อย่าง คอื ลกขฺ ณอาโป คอื ธาตนุ ้า
ที่แสดงลักษณะไหลหรือเกาะกุมเม่ือต้องกับ สีตเตโช(ความเย็น) สสมฺภารอาโป
ธาตุน้าอันเป็นส่วนประกอบในส่ิงมีชีวิตและไม่มีชีวิต สาหรับในมนุษย์แสดงไว้
12 ประการ มี ปิตัง เป็นต้น กสิณอาโป น้าท่ีใช้เป็นนิมิตเคร่ืองหมายในการ
เจรญิ สมถภาวนา สมมติอาโป คือ นา้ ที่สมมติเรยี กกันโดยท่ัวไป

3. เตโชธาตุ หากมีลกั ษณะร้อน เรยี กวา่ อณุ หเตโช หากมลี ักษณะเยน็ เรยี กว่า สีต
เตโช แบ่งออกเป็น 4 อน่าง คือ ลกฺขณเตโช ธาตุไฟที่แสดงลักษณะร้อน-เย็น
พิสูจน์ไดจ้ ากการสัมผัสถูกตอ้ ง สสมฺภารเตโช ธาตุไฟอันเป็นส่วนประกอบที่มีใน
ร่างกาย หมายถึงไฟภายใน ได้แก่ ไฟธาตุที่ให้ความอบอุ่นในร่างกาย ไฟธาตุท่ี
ทาหน้าท่ีย่อยอาหาร ไฟธาตุท่ีทาให้ร่างกายทรุดโทรม และไฟธาตุท่ีทาให้เกิด
อาการเจ็บป่วยและไฟธาตุในส่งิ ไม่มีชวี ติ กสิณเตโช ไฟท่ีใชเ้ ป็นนิมติ เครอ่ื งหมาย
ในการเจรญิ สมถภาวนา สมมติเตโช คอื ไฟทส่ี มมตเิ รยี กกันโดยท่ัวไป

4. วาโยธาตุ มีลักษณะทาให้เคร่งตึงหรือเคล่ือนไหว แบ่งออกเป็น 4 อย่าง คือ
ลกฺขณวาโย ธาตุลมที่มีความเคร่งตึงหรือเคล่ือนไหว สสมฺภารวาโย ได้แก่ ธาตุ
ลมภายในร่างกายมนุษย์และสัตว์ มี ลมเบ้ืองสูง ลมเบื้องต่า ลมในช่องท้อง ลม
ในลาไส้ ลมที่ทาให้ร่างกายเคลื่อนไหว และลมหายใจเข้า-ออก และวาโยธาตุใน
สิ่งไม่มีชีวิต กสิณวาโย ลมที่ใช้เป็นนิมิตเคร่ืองหมายในการเจริญสมถภาวนา
สมมติวาโย คือ ลมที่สมมตเิ รยี กกนั โดยทว่ั ไป47

- การอธิบายขั้นที่สี่ เลข 4 แทนด้วย อริยสัจ 4 ดัง คัมภรี ์ตรีนิสิงเห สานวน ก กล่าว
ว่า “เทวด่ าทงั ๔ ครืจตั ุรียะ สจั จะทามทงั ๔ ครืทุกฃสัดสมุทไทยสัดมัคสัดนีโรท่สัด” อริยสจั คอื ความ
จริงอันประเสริฐ ประกอบด้วย ทุกขสัจ สมุทัยสัจ มัคคสัจ นิโรธสัจ อริยสัจ เป็นหลักธรรมสาคัญของ
พระพุทธศาสนา จงึ มีคากลา่ วทีว่ า่ “พระพุทธเจา้ ตรัสรู้อริยสัจ”48 ทสี่ าคัญอรยิ สัจยังมคี วามสัมพนั ธ์กับ

47 วรรณสิทธิ ไวทยเสว,ี คู่มอื การศึกษา พระอภธิ ัมมตั ถสงั คหะ ปริจเฉทที่ 6 รปู สงั คหวิภาคและนิพพาน
ปรมัตถ์, พมิ พ์คร้งั ที่ 8 (กรงุ เทพฯ: ทิพยวสิ ทุ ธิ์, 2545), หนา้ 16-25.

48 พระธรรมปฎิ ก(ป.อ. ปยตุ ฺโต), พทุ ธธรรม, หน้า 177.

63

หลักธรรมสาคัญอย่างปฏิจจสมุปบาทด้วย อริยสัจ 4 ได้แก่ ทุกข์ หมายถึง ทุกขสภาวะ มี ชาติ ชรา
มรณะ โสกะ ปริเทวะ เป็นต้น โดยสรุปอุปาทานขันธ์ (ความยึดมั่นในตัวตน) เป็นทกุ ข์ สมทุ ยั หมายถึง
เหตุท่ีทาให้เกิดทุกข์ (ทุกขสมุทัย) ได้แก่ ตัณหา ความทะยานอยากแสวงหาความยินดีเร่ือยไป นิโรธ
หมายถึง ความดับสิ้นไปของทุกข์ (ทุกขนิโรธ) คือ ภาวะแห่งพระนิพพาน ที่สงัดจากทุกข์ทั้งปวง
ตัณหาและอุปาทานดับส้ินแล้ว มรรค หมายถึง ทาง (แห่งการดับทุกข์-ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา) คือ
มรรคมีองค์ 849

3.3.5 ท่มี าของเลข 6

- การอธิบายเชิงรูปธรรม แทนเลข 6 ด้วย พญาท้ัง 6 ดัง คัมภรี ์ตรีนิสิงเห สานวน ก
กล่าวว่า “ฉวชฺชราชา คือพระยาท้ัง ๖ ท้าวองปาลราชองค์หนึ่ง ท้าวมหากบิลราชองค์หน่ึง50 ท้าวนิ
มลนิลราชองค์หน่ึง51 ท้าวทศราชองค์หน่ึง52 ท้าวยมราชองค์หน่ึง ท้าวสามลราชองค์หน่ึง53 เป็น ๖
องค์” ช่อื เหลา่ น้ีเท่าที่ผูว้ ิจยั สืบคน้ ได้ สว่ นหนึ่งมาจากช่ือของพระราชาในนิทานชาดก

- การอธิบายด้วยคาถาหัวใจ แทนเลข 6 ด้วย จ ต ย ต น ป ดัง คัมภีร์ตรีนิสิงเห
สานวน ก กลา่ ววา่ “ฉวชชฺ ราชา ครพื ระยาทงง ๖ ไดแ้ ก่ อกั ษร ๖ ตัวน้ี จ ต ย ต น ป นน้ั เจา้ ตมุ มห่ า
ราชืกา ต นั้นครืดา้ วว่ดึงษา (ดาวดึงส์) ย นั้นครืยามา ต นั้นครืตฐุ สีตา (ดุสิต) น นั้นครืนีมาณะระดี ป
นั้นครืประนีมิด (ปรนิมมิตวสวัตตี) กามาทงง ๖ ชันแล เปนที่อยู่แห่งสมเดจพญาจักกระพัดตราทิราช
เจ้าแล ครืหงแก้ว ๑ หม้าแก้ว ๑ นางแก้ว ๑ พระขันแก้ว ๑ กาแพงแก้ว ๑ แก้วมณิโชด ๑ ประสาท
แก้ว ๑” ในข้ันนี้นาเอาอักษรตัวแรกของชอ่ื กามาพจรสวรรค์ตามแนวคิดพุทธศาสนามาอธบิ าย ข้อน่า

49 เรือ่ งเดียวกัน, หน้า179-180.
50 ชือ่ นี้สอดคลอ้ งกับช่ือมหากบลิ วานรซงึ่ เป็นเร่อื งราวของพระพทุ ธเจา้ เมื่อครงั้ เสวยพระชาตเิ ปน็ พญา
วานร.
51 ชื่อนสี้ อดคลอ้ งกับวมิ ลวานร หรอื พมิ ลวานร วานรฝ่ายเมอื งขดี ขิน ลักษณะ สีดาหมึก หัวโล้น ปากหุบ
ชาตเิ ดิมคือพระเสาร์ เทวดานพเคราะห์ และนลิ ราชวานร วานรฝ่ายเมืองชมพู ลักษณะ สีฟ้าออ่ นเจือเขยี ว หัวโล้น
ปากหบุ ชาตเิ ดิมคือพระสมุทร.
52 ท้าวทศราช หรอื บางแห่งเรยี กวา่ ทา้ วโศกราช กษตั รยิ ์แห่งกรงุ พลี พระบดิ าของพระชยั มงคลและพี่นอ้ ง
อกี ๘ องค์ตามตานานพระภูมิ.
53 ท้าวสามลผ้คู รองนครสามลในวรรณคดเี รอ่ื งสังข์ทอง.

64

สังเกตประการหนึ่ง คือ รัตนะท้ัง 7 อันเป็นสมบัติของพระเจ้าจักรพรรดิ ที่กล่าวไวใ้ น คัมภรี ์ตรีนิสิงเห
สานวน ก แตกต่างจากรัตนะทั้ง 7 ของพระเจ้าจักรพรรดิที่กล่าวไวใ้ นคัมภีร์เล่มอ่นื ซ่ึงไดแ้ ก่ จักรแก้ว
ช้างแกว้ ม้าแกว้ แก้วมณี นางแกว้ ขนุ คลงั แกว้ ขนุ พลแกว้ 54

- ในการอธิบายข้ันท่ีสาม เลข 6 แทนด้วยช่ือสวรรค์ท้ัง 6 ชั้น ดังที่กล่าวว่า
“ฉวสฺสราชา ทัง ๖ อง ครื ราชชกิ าไปถึงนีมิดวัติ” ที่มาของเลขส่วนนี้ตา่ งจากท่ีมาของเลขอ่นื ๆ ท่ี
เป็นหัวขอ้ ธรรม

- การอธิบายข้ันทสี่ ่ี เลข 6 แทนดว้ ย อนิ ทรยี ์ 6 ดงั ท่ีกลา่ วว่า “ฉวสสฺ ราชา ครอื ินทรี
ทังง ๖” อนิ ทรีย์ หมายถึง สภาพท่ีเป็นใหญ่ในกิจของตน ไดแ้ ก่อายตนะภายใน 6 คือ ตา เป็นใหญ่ใน
การมองเห็น หู เป็นใหญ่ในการได้ยิน จมูก เป็นใหญ่ในการได้กลิ่น ล้ิน เป็นใหญ่ในการรู้รส กาย เป็น
ใหญ่ในการสมั ผัส ใจ เป็นใหญ่ในการพิจารณาอารมณ์55

3.3.6 ที่มาของเลข 5 ตัวทส่ี อง
- การอธิบายเชิงรูปธรรม แทนเลข 5 ด้วย พระอินทร์ท้ัง 5 ดังท่ีคัมภีร์ตรีนิสิงเห

สานวน ก กล่าวว่า “ปญฺจอินทรา นเมว จ พระอินทร์ท้ัง ๕ คือ สมเด็อมรินทร์องค์หนึ่ง พระศุลีองค์
หนึง่ พระยมราชองค์หน่งึ พระจิตภาคองค์หนึง่ พระอินทร์องคห์ นึ่ง เป็น ๕ องค์” นามพระอนิ ทรท์ ัง้ 5
มอี ยู่สองชื่อเปน็ คาเรยี ก พระอินทร์ ชือ่ อื่นท่ีเหลือเปน็ เทพเจา้ อยา่ ง พระศลุ ี คือ พระอิศวร เปน็ ต้น

- การอธิบายด้วยคาถาหัวใจ แทนเลข 5 ด้วย รุ เว ส ส วิ ดัง คัมภีร์ตรีนิสิงเห
สานวน ก กล่าวว่า “ปญฺจอินตรา นเมว จ ไดแ้ ก่ รุ เว ส ส วิ ครืขันทงง ๕” หัวใจดังกล่าวย่อมาจาก
พยางค์ต้น ของ เบญจขนั ธ์ ได้แก่ รูป เวทนา สญั ญา สงั ขาร วญิ ญาณ

54 พจนานุกรมศพั ทว์ รรณคดีไทย ฉบับราชบณั ฑิตยสถาน (กรงุ เทพฯ : ราชบัณฑิตยสถาน, 2544), หน้า
319.

55 พระธรรมปฎิ ก (ป. อ. ปยุตฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์, หนา้ 356-357.

65

- การอธบิ ายข้นั ทีส่ าม เลข 5 แทนด้วย พระพทุ ธเจา้ 5 พระองค์ ดัง คมั ภรี ์ตรีนิสงิ เห
สานวน ก กลา่ ววา่ “ปญฺจอนิ ทรา น(เ)มว จ อินทัง ๕ อง ครื น โม พทุ ฺ ธา ย”.ในทีน่ ้เี หมอื นกบั
เลข 5 ตัวแรกที่ไมใ่ ชช่ อ่ื ของพระพทุ ธเจา้ แตเ่ ป็นคณุ สมบตั ขิ องจิต

- การอธิบายข้ันท่ีส่ี เลข 5 แทนด้วย ประสาทท้ัง 5 ดังท่ีกล่าวว่า “ปันจะอินตรา ครื ประ
สาดทัง ๕ หมายถงึ เคร่ืองนําความรสู้ กึ ได้แก่ ตา หู จมูก ลนิ้ กาย”

3.3.7 ท่ีมาของเลข 1
- การอธิบายเชิงรูปธรรม แทนเลข 1 ด้วย พระยาวัสวดีมาร ดัง คัมภีร์ตรีนิสิงเห

สานวน ง เนอ้ื หาสว่ นน้ี ไมป่ รากฏในคัมภรี ์ตรนี ิสิงเห สานวน ก ผู้วจิ ัยสนั นิษฐานว่า มีการตกหล่น จาก
การบนั ทึก คัมภรี ต์ รนี สิ งิ เห สานวน ง กล่าวว่า “เอกยกฺขาคอื ยามาราธิราชองคห์ นงึ่ ”56

- การอธบิ ายด้วยคาถาหวั ใจ แทนเลข 1 ด้วย อุ ดัง คมั ภรี ์ตรีนสิ งิ เห สานวน ก กล่าว
ว่า “เอกยกฺขา ไดยแก่ อุ เอก ยกฺขา สันนิษฐานว่า มาจาก คาว่า “อุตตโม” ผู้สูงสุด หมายถึง พระ
สมั มาสมั พุทธเจา้

- การอธิบายขั้นท่ีสาม เลข 1 แทนดว้ ย พระพุทธเจ้า ดัง คัมภรี ์ตรีนิสิงเห สานวน ก
กลา่ ววา่ “อยกั นน้ั ครื พุทเิ จ้าองหน่งึ ”

- การอธิบายข้ันท่ีส่ี เลข 1 แทนด้วย จิต ดังท่ีกล่าวว่า “เอก ยกฺขา ครื ดวงจิตร”
จิตเป็นใหญ่ในการรับอารมณ์ เนื่องจาก “จิตเป็นธรรมชาติรู้อารมณ์ อารมฺมณ จินฺเตตีติ ธรรมชาติใด
ย่อมรู้อารมณ์อยู่เสมอ ธรรมชาตนิ ้ันชอ่ื วา่ “จิต” โดยจาแนกการรู้อารมณ์ของจิตออกเป็น 3 ประเภท
คือ การ้โู ดยอาการจาจด การรตู้ ามเหตุผลตามความเปน็ จริง และการรู้อารมณ์ตามทวารต่าง ๆ”57

56 พระยาวสั วดีมาราธริ าชผู้เป็นจอมเทพแหง่ สวรรคช์ ้นั ปรนิมมติ วสวัตด.ี
57 วรรณสิทธิ ไวทยเสว,ี คมู่ อื การศกึ ษา พระอภธิ ัมมตั ถสงั คหะ ปรจิ เฉทท่ี 1 จติ ปรมตั ถ์, พิมพค์ ร้ังท่ี 8
(กรงุ เทพฯ: ทพิ ยวสิ ุทธ,ิ์ 2545), หนา้ 20.

66

3.3.8 ที่มาของเลข 9
- การอธิบายเชิงรูปธรรม แทนเลข 9 ด้วย เทวดานพเคราะห์ ดัง คัมภีร์ตรีนิสิงเห

สานวน ง (เน้อื หา คัมภีรต์ รีนสิ งิ เห สานวน ก กลา่ วไวเ้ พยี ง นวเทวา ครื ทงั ง ๙ องค์ ๑ ๒
๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ๙ เพ่ือความชัดเจนจึงเลือกใช้ สานวน ง แทน) กล่าวว่า “นว

เทวา เทวดาท้ัง ๙ พระองค์ คือ พระอาทติ ย์องคห์ นึ่ง พระจันทร์องคห์ น่ึง พระอังคารองค์หน่งึ พระพุธ
องค์หนึ่ง พระพฤหัสบดีองค์หน่ึง พระศุกร์องค์หน่ึง พระเสาร์องค์หนึ่ง พระราหูองค์หน่ึง พระเกตอุ งค์
หนึง่ เปน็ เทวดา ๙ พระองค์แล”

- การอธิบายด้วยคาถาหัวใจ แทนเลข 9 ด้วย อ ส วิ สุ โล ปุ ส พุ ภ ดังที่กล่าวว่า
“นวเทวา ได้แก่ อ สํ วิ สุ โล ปุ ส พุ ภ” เป็นคาถาหัวใจที่ถอดมาจากพยางค์ต้น ของนวหรคุณหรือ
คณุ ของพระพุทธเจ้า 9 ประการ ตามที่ได้อธบิ ายไวใ้ นเบอ้ื งตน้ แล้ว

- การอธิบายขั้นท่ีสาม เลข 9 แทนด้วย โลกุตรธรรม 9 ประการ ดัง คัมภรี ์ตรีนิสิงเห
สานวน ก กล่าวว่า “นวเทวา เทว่ดาทัง ๙ อํงครื เนาว่ โลกอุดอร ทัง ๙ ครื อ สํ วิ สุ โล ปุ ส
พุ ภ” นวโลกุตรธรรม หรือ ธรรมอันเหนือโลก 9 ประการ ได้แก่ โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล
สกทาคามิมรรค สกทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตมรรค อรหัตผล และนิพพาน58
แต่เนื้อหาในคัมภีร์ตรีนิสิงเห สานวน ก กลับอธิบายพระนวหรคุณ หรือ คุณของพระพุทธเจ้า 9
ประการ

- การอธิบายขั้นท่ีสี่ เลข 9 ไม่ได้แทนด้วยข้อธรรมเหมือนเลขอ่ืน ๆ ดังท่ีกล่าวว่า
“นวเทวา ครื เทวด่ าทงั ๙” หมายถงึ เทวดานพเคราะห์

3.3.9 ทมี่ าของเลข 5 ตัวท่สี าม
- การอธิบายเชิงรูปธรรม แทนเลข 5 ด้วย พระพรหมทั้ง 5 ดัง คัมภีร์ตรีนิสิงเห

สานวน ก กล่าวว่า ปญฺจพฺรหฺมาสหบดี ครื พหรํมทัง ๕ ครื ท้างสะหัมบ็ดีมหาพหรํมองค์ ๑ ครื

58 พระธรรมปฎิ ก (ป. อ. ปยุตฺโต), พจนานกุ รมพุทธศาสน์ ฉบบั ประมวลศพั ท์, หนา้ 218-219.

67

ท้าว จีตกระเทพพหรํมองค์ ๑ ครื ฤาษรีองค์ ๑ ครื อนั ณะโคดํมองค์ ๑ ครื เทพพหรํมภักบดอี งค์


- การอธิบายด้วยคาถาหัวใจ แทนเลข 5 ด้วย ปา อ กา มุ สุ ดัง คัมภีร์ตรีนิสิงเห
สานวน ก กลา่ วว่า “ปญฺจพฺรหมฺ าสหปติ ได้แก่ สินทงง ๕”

- การอธิบายขั้นท่ีสาม เลข 5 แทน พระพุทธเจ้า 5 พระองค์ ดัง คัมภีร์ตรีนิสิงเห
สานวน ก กล่าวว่า “พระเจ้า 5 พระองค์ ดังท่ีกล่าวว่า “ปญฺจพฺรหฺมาสหบดีฯ พหรม ๕
องครื น โม พทุ ฺ ธา ย”

- การอธิบายขั้นท่ีส่ี เลข 5 แทนด้วย อายตนะ ทั้ง 5 ดังที่กล่าวว่า “ปญฺจพฺรหฺมา
ครื อายัตณทัง ๕” อายตนะ หมายถึง เครื่องต่อ แบ่งออกเป็นสองส่วน คือ ภายนอกและภายใน
อายตนะภายนอกได้แก่ ตา หู จมกู ล้ิน กาย สว่ นอายตนะภายใน ได้แก่ รปู รส กลน่ิ เสียง สัมผสั 59

3.3.10 ทีม่ าของเลข 2
- การอธิบายเชิงรูปธรรม แทนเลข 2 ด้วย พระยา 2 องค์ ดัง คัมภีร์ตรีนิสิงเห

สานวน ง เนือ่ งจากเนือ้ หาส่วนนี้ ไมป่ รากฏในคมั ภรี ์ตรีนิสิงเห สานวน ก ผู้วิจัยสันนิษฐานวา่ มกี ารตก
หล่น คัมภีร์ตรีนิสิงเห สานวน ง กล่าวว่า “ทเวราชา พระยาทั้งสอง คือพระรามเทพองค์หน่ึง ท้าว
วิมลเสนาองค์หนึง่ เป็น ๒ องคแ์ ล”

- การอธิบายด้วยคาถาหัวใจ แทนเลข 2 ด้วย น ร ดัง คัมภีร์ตรีนิสิงเห สานวน ก
กลา่ ววา่ “ทเวราชา ได้แก่ น ร” เป็นคาถาหัวใจทถี่ อดมาจาก นาม-รูป

- การอธิบายข้ันท่ี 3 แทนเลข 2 ด้วย “ทเวราชา ทังง ๒ องนั้นครื อะชาติ
สดั ตรู หนงึ่ สทิ โสกราชองหนึง่ ครังนัน้ ยกปะถมํ สังกย่ ะนาย” การอธบิ ายในขอ้ น้ี ระบพุ ระนามของ
กษัตริย์สองพระองค์ที่ทาการอุปถัมภ์การสังคายนาพระไตรปฎิ ก คือ พระเจ้าอชาตศัตรู เป็นผู้อุปถัมภ์

59 พระธรรมปฎิ ก (ป. อ. ปยุตฺโต), พจนานุกรมพทุ ธศาสน์ ฉบบั ประมวลศพั ท์, หน้า 349.

68

การทาปฐมสงั คายนา ณ ถ้าสัตบรรณคูหา เมืองราชคฤห์ แควน้ มคธ และพระเจ้าอโศกมหาราช เป็นผู้
อุปถมั ภ์การทาตติยสงั คายนา ณ อโศการาม กรงุ ปาตลบี ตุ ร60

- การอธิบายข้ันที่ 4 เลข 2 แทนด้วย นาม-รูป ดัง คัมภรี ์ตรีนิสิงเห สานวน ก กล่าว
ว่า “ทเวราชา ครื รูปแล นามอาไส่แก่กัน” รูป-นาม หมายถึง องค์ประกอบของชีวิต รูป ได้แก่ รูป
ขันธ์ ส่วนนาม ไดแ้ ก่ นามขันธ์ 4 คือ เวทนา สญั ญา สังขาร วญิ ญาณ

3.3.11 ทม่ี าของเลข 8
- การอธิบายเชิงรูปธรรม แทนเลข 8 ด้วย พระอรหันต์ 8 องค์ ดังท่ีคัมภีร์ตรีนิสิงเห

สานวน ก กล่าวว่า “อตฺถอรหนฺตา ครื อ่าระหันทังง ๘ ครื โมกขะลาองค์ ๑ ครื ษารีปุดองค์
๑ ครื กัปปะเถรองค์ ๑ ครื สามเนนองค์ ๑ ครื สังกับตะสามเนนองค์61 ๑ ครื นาคเสนองค์
๑ ครื โรมานาคเสนองค์ ๑ ครื องคลุ มิ ารองค์ ๑”

- การอธบิ ายด้วยคาถาหวั ใจ แทนเลข 8 ดว้ ย ปา อ อ มุ สุ วิ มา อุ ดัง คมั ภรี ์ตรนี สิ งิ
เห สานวน ก กล่าวว่า “อตฺถอรหนฺตา ได้แก่ ปา อ อ มุ สุ วิ มา อุ” ปาณาติปาตา เวรมณี สิกฺขาปท
สมาทิยามิ : เว้นจากการฆ่าสัตว์ อทินฺนา ทานา เวรมณี สิกฺขาปท สมาทิยามิ : เว้นจากการขโมย
สิ่งของที่คนอื่นไม่ได้ให้ อพฺรหฺมจริยา เวรมณี สิกฺขาปท สมาทิยามิ : เว้นจากการประพฤติผิด
พรหมจรรย์ มุสาวาทา เวรมณี สิกฺขาปท สมาทิยามิ : เว้นจากการพูดโกหก ไม่พูดหยาบคาย ส่อเสียด
เพ้อเจ้อ ซึ่งเป็นสัมมาวาจา สุราเมรยมชฺชปมาทฏฺฐานา เวรมณี สิกฺขาปท สมาทิยามิ : เว้นจากการกิน
เหล้า ที่เป็นที่ตั้งของความไม่ระมัดระวัง วิกาลโภชนา เวรมณี สิกฺขาปท สมาทิยามิ : เว้นจากการกิน
ในยามวิกาล มาลาคนฺธวิเลปนธารณมณฺฑนวิภูสนฏฺฐานา เวรมณี สิกฺขาปท สมาทิยามิ : เว้นจากการ
ประดบั รา่ งกายด้วยดอกไม้ของหอม เคร่อื งประดับ เครือ่ งทา เคร่อื งย้อม อุจจฺ าสยนมหาสยนา เวรมณี
สิกขฺ าปท สมาทยิ ามิ : เว้นจากการนง่ั นอนเหนือเตียงต่ัง ที่เท้าสูงเกนิ ภายในมนี ุ่นหรือสาลี

60 เรือ่ งเดยี วกัน, หนา้ 261.
61 คัมภรี ์ตรีนสิ งิ เห สานวน ง เปน็ พระสงั กจิ สามเณร.

69

- การอธบิ ายขน้ั ทส่ี าม แทนเลข 8 ดว้ ย มรรค 8 ดัง คัมภรี ์ตรนี ิสงิ เห สานวน ก กลา่ ว
วา่ “อตฺถอรหนฺตา อา่ ระหันทัง ๘ องน้ันครืสามาทึกถิ ไปถึงสามาถิ” มรรคหรือทุกขนิโรธคามนิ ี
ปฏปิ ทา คอื หนทางแหง่ การดบั ทกุ ข์ มี 8 ประการ ได้แก่

1) สัมมาทิฐิ (ความเห็นที่ถกู ต้อง) หมายถึง ความเหน็ ท่ถี ูกต้องตามความเป็น
จริง มีองค์ประกอบ 6 ประการ คือ กัมมัสสกตาสัมมาทิฏฐิ คือ ปญั ญาเห็นชอบว่า
สัตว์ทั้งหลาย มีกรรมเป็นของตน ฌานสัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบในการทาให้จิตต้ัง
ม่ันอยู่ในอารมณ์เดียว ย่อมสามารถข่มกิเลสได้ วิปัสสนาสัมมาทิฏฐิ คือ ปัญญา
เห็นชอบในการพิจารณาขันธ์ โดยความเป็นไตรลักษณ์ มัคคสัมมาทิฏฐิ ปัญญาใน
การเข้าถึงอริยสัจ ผลสัมมาทิฏฐิ ปัญญาที่รู้ในผล เพื่อเสวยวิมุตติของพระนิพพาน
ปจั จเวกขณสมั มาทฏิ ฐิ คอื ปญั ญาในการพิจารณาอารมณท์ ่ีเกิดข้ึนแล้ว

2) สัมมาสังกัปปะ หมายถึง ความดาริชอบ ท่ีประกอบในกุศลธรรม ได้แก่
เนกขัมมวิตก คือ ความดาริออกจากกามและภพ อพาปาทวิตก คือ ความดาริท่ี
ประกอบด้วยความไม่พยาบาท และอวิหิงสาวิตก คือ ความดาริท่ีประกอบด้วย
ความไม่เบียดเบียน

3) สัมมาวาจา หมายถงึ การเว้นจากวจที จุ ริต ไดแ้ ก่ เวน้ จากการพูดเทจ็ เวน้
จากการพดู หยาบคาย เวน้ จากการพูดสอ่ เสยี ด และเวน้ จากการพดู เพอ้ เจอ้

4) สัมมากัมมันตะ หมายถึง การกระทาชอบ คือเจตนาละเวน้ จากกายทจุ รติ
มกี ารฆา่ การลกั ทรัพย์ และการประพฤติผิดในกาม

5) สมั มาอาชีวะ หมายถึง การเลย้ี งชพี ชอบ การเวน้ จากมจิ ฉาวณชิ ชา

6) สมั มาวายามะ หมายถึง ความเพียรชอบ ดาเนนิ ไปตามสมั มัปปธาน 4 คอื
ความพยายามป้องกันอกุศลท่ียังไม่เกิด ละอกุศลท่ีเกิดข้ึนแล้ว ทากุศลที่ยังไม่เกิด
และดารงรกั ษากศุ ลท่ีเกิดขึ้นแล้ว

7) สมั มาสติ หมายถงึ ความระลึกชอบ การระลึกร้ใู นอารมณ์สติปฏั ฐาน 4

70

8) สัมมาสมาธิ หมายถึง ความต้ังใจมั่นชอบ มีความตั้งม่ันในสติปัฏฐาน
มรรคมอี งค์ 8 น้ี 2 ขอ้ แรกสงเคราะหใ์ น ปัญญาสิกขา 3 ข้อตอ่ มาสงเคราะห์
ใน ศีลสิกขา 3 ขอ้ ท้ายสงเคราะห์ใน สมาธิสิกขา62

- การอธิบายข้ันที่ส่ี เลข 8 แทนด้วย เทวดาท่ีรักษาในนาสิก 8 องค์ “อฏฐฺ อรหนฺตา
ครื เทวดาอันรักสาในนาสกิ ทงั สองคาง ๆ ละ ๔ ตัว” ทม่ี าของหวั ขอ้ ธรรมนี้ผวู้ จิ ัยได้ค้นคว้าแลว้ ไม่พบ
เนอื้ ความท่ีสอดคล้องกับการแทนคา่ ดงั กล่าว

3.3.12 ท่ีมาของเลข 5 ตัวที่ 4

- การอธบิ ายเชิงรูปธรรม แทนเลข 5 ด้วย พระพุทธเจา้ 5 พระองค์ ดัง คมั ภีรต์ รนี สิ งิ
เห สานวน ก กลา่ วว่า “ปญจฺ พุทฺธา นมามิหัง คอื พระพทุ ธเจ้าทั้ง ๕ พระองค์ คือ พระกุกกสุ ันโทองค์
หนง่ึ พระโกนาคมองค์หน่ึง พระกัสสปองค์หนึ่ง พระศากยมนุ ีองค์หน่ึง พระศรอี าริยเมตไตรย์องค์หน่ึง
เป็น ๕ องค์แล”

- การอธิบายด้วยคาถาหัวใจ แทนเลข 5 ด้วย น โม พุทฺ ธา ย ดัง คัมภีร์ตรีนิสิงเห
สานวน ก กล่าววา่ “ปญจฺ พทุ ธา นมามิหงั ได้แก่ น โม พทุ ฺ ธา ย”

- การอธิบายข้ันท่ีสาม แทนเลข 5 ด้วย พระพุทธเจ้า 5 พระองค์ ดังท่ี คัมภรี ์ตรีนิสิง
เห สานวน ก กล่าววา่ “ปญฺจพทุ ฺธา นมามิห พุทเิ จา้ ทงั ๕ อง”

- การอธิบายขั้นท่ีสี่ เลข 5 แทนด้วยพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ ดังที่ คัมภีร์ตรีนิสิงเห
สานวน ก กล่าวว่า ปญฺจพทุ ฺธา ครื เจา้ ทัง ๕ องค”

ในการแทนความหมายตัวเลขทั้ง 12 ตัว ตามลาดับ จะเห็นได้ว่า การอธิบายท่ีมาชั้นท่ี 3 ของ
เลข 5 ทั้งส่ีตวั คือ น โม พุทฺ ธา ย หรือ คาถาพระเจ้า 5 พระองค์ โดยเฉพาะเลข 5 ตัวที่สี่ อธิบายทั้ง
ในเชิงรูปธรรม คาถาหัวใจ และหัวข้อธรรมท้ังสองส่วนว่า คือ พระพุทธเจ้า 5 พระองค์ แสดงให้เห็น
มโนทัศน์ของผู้ประพันธ์คัมภีร์ ทใ่ี ห้ความสาคัญกับพระพุทธเจ้า 5 พระองค์อย่างสูง อย่างไรก็ตามการ

62 วรรณสิทธิ ไวทยเสวี, คู่มอื การศึกษา พระอภิธัมมตั ถสังคหะ ปริจเฉทที่ 2 เจตสิดสงั คหวิภาค, พมิ พ์ครงั้
ที่ 8 (กรงุ เทพฯ: ทพิ ยวิสทุ ธ,ิ์ 2545), หน้า 101-104.

71

ตีความเรื่องพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ท่ีปรากฏในคัมภีร์ลบผง มีความหมายท่ีกว้าง ตั้งแต่การให้
ความหมายเชิงรูปธรรม ไปจนถึงขั้นนามธรรม เน้ือความในคัมภีร์ปถมังกล่าวย้อนไปถึงกาเนิดโลกไว้
ดังนี้ เม่ือโลกถือกาเนิดในครั้งแรกนั้น เต็มไปด้วยน้า ครั้งนั้น ท้าวสหัมบดีพรหม ได้เล็งญาณมาสู่โลก
อันว่างเปล่าซ่ึงขณะนั้นกาลังจะงวดข้ึนมาเป็นแผ่นดิน มองเห็นดอกบัว 5 ดอก งอกขึ้นมาท่ามกลาง
ระลอกน้า และเห็นรูป นะปถมังพินธุ ปรากฏอยู่ท่ีพ้นื ระลอกน้าประดุจว่าเป็นรากเหง้าของดอกบัวทั้ง
5 นนั้ ซ่งึ แตล่ ะดอกมีอกั ขระอยดู่ อกละ 1 ตัวอกั ษร คอื น โม พุทฺ ธา ย ท้าวสหัมบดจี งึ ได้ต้ังชอ่ื กปั นี้วา่
ภัทรกัป อันหมายถึง กัปแห่งความเจริญรุ่งเรืองด้วยว่า จะมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติถึง 5
พระองค์ หลังจากน้ันจึงทรงเอาหญ้าคาทิง้ ลงมาบงั เกิดเปน็ แผ่นดินขนึ้ มา สรรพชีวิตเร่ิมววิ ัฒนาการมา
ตั้งแต่บัดน้ัน ดังน้ันจึงได้ชื่อว่า ปถมัง ผู้ท่ีจะเล่าเรียนจะต้องกล่าวคาน้อมราลึกถึงท้าวสหัมบดีพรหม
เสียก่อน63 และในปฐมวรรคเมื่อลบปถมังพินธุ สาเร็จเป็นพระเจ้า 5 พระองค์แล้ว ท่านให้นมัสการ
ด้วยพระคาถานี้

น กาโร กกุสันโธ โม กาโร โกนาคมโน พุทฺ กาโร กสฺสโปพุทฺโธ ธา
กาโร โคตโมพทุ โฺ ธ ย กาโร อริยเมตฺเตยโฺ ย ปญฺจพุทฺธา นมามหิ น กาโร ปถม ฌาน
โม กาโร ทุติย ฌาน พุทฺ กาโร ตติย ฌาน ธา กาโร จตุตฺถ ฌาณ ย กาโร ปญฺจม
ฌาน น โม พทุ ฺ ธา ย ลกฺขณ สพพฺ พทุ เฺ ธหิ เทสติ น กาโร รปู กขฺ นฺโธ โม กาโร เวท-
นานกฺขนฺโธ พุท กาโร สญฺญาญกฺขนฺโธ ธา กาโร สงฺขารกฺขนฺโธ ย กาโร วิญฺญา-
นากฺขนฺโธ ปญฺจพุทธฺ า นมามิหฯ

คาแปล การทา "น" คือ พระกกุสันโธ การทา "โม" คือ พระโกนาคม การทา "พุทฺ" คือ
พระพทุ ธเจา้ กัสสป การทา "ธา" คอื พระพุทธเจ้าโคตมะ การทา "ย" คือ พระศรอี าริย์ ข้าพเจา้ ขอนอบ
น้อมตอ่ พระพุทธเจ้าทั้งห้าพระองค์ การทา "น" คือ ปฐมฌาน การทา "โม" คือ ทุตยิ ฌาน การทา "ธา"
คือ จตตุ ถฌาน การทา "ย" คือ ปัญจมฌาน ขอความนอบน้อม (จงมี) แด่พระพุทธเจ้า ลักษณะเหลา่ น้ี
อันพระพุทธเจ้าทั้งหลายท้ังปวง ได้ตรัสเทศนาไว้แล้ว การทา "น" คือ รูปขันธ์ การทา "โม" คือเวทนา

63 เทพย์ สารบิ ุตร, พุทธาภิเษกฉบับสมบรู ณ์ (กรงุ เทพมหานคร : ทวีการพิมพ์, 2528), หนา้ 84-85.

72

ขนั ธ์ การทา “พทุ ” คอื สัญญาขันธ์ การทา "ธา" คือ สงั ขารขนั ธ์ การทา "ย" คือ วิญญาณขันธ์ ข้าพเจา้
ขอนอบน้อมต่อพระพทุ ธเจ้าท้งั ห้าพระองค์

จากน้นั ใหเ้ สกด้วยบทเสก นะ โม พทุ ฺ ธา ย ตามลาดับ ดงั นี้

นรานรหิต เทว นรเทเวหิ ปูชติ
นรานกามปเํ กหิ นมามิ สุคต ชิน

คาแปล (ขา้ พเจ้า) ขอนอ้ มไหว้พระสคุ ตชนิ เจ้าของมนุษยท์ ัง้ หลาย เปน็ เทพผเู้ กอ้ื กลู แกม่ นุษย์
และอมนษุ ยอ์ ันยงั มีเปลอื กตม (คอื ราคะ) ผ้อู ันเทวดาและมนุษย์บูชาแลว้

โมหมาณ ปรชิ นิ โมหมตตฺ ปกาสติ

โมหสพพฺ ญฺญตุ ตฺ ญาณ โมหธติ นมามหิ

คาแปล (ข้าพเจา้ ) ขอนอบไหว้พระผชู้ นะความลุ่มหลงทะนงตน เป็นผู้รู้โดยรอบชนะความมัว
เมา (อนั ) ถูกประกาศแลว้

พทุ โฺ ธ พทุ ฺธาน พุทธฺ ต พทุ ฺธญจฺ พุทฺธภาสิต
พุทฺธต สมนปุ ปฺ ตฺโต พทุ ธฺ โชต นมามิห

คาแปล (ข้าพเจ้า) ขอน้อมไหว้พระพุทธเจ้าผู้โชติช่วง ผู้บรรลุพ้นแล้วด้วยพระธรรม ผู้รู้บรรลุ
ถึงความเป็นพระพุทธเจ้า ถึงพร้อมแล้วซ่ึงความเป็นพระพุทธเจ้า และได้ประกาศแล้ว (ซ่ึงความเป็น
พระพุทธเจา้ )

ธาตาน สพพฺ ธมฺมาณ ธาตภุ ูต ปกาสิต
ธาตาน สคคฺ นิพฺพาน ธาตภุ ูต นมามิห

คาแปล (ขา้ พเจ้า) ขอนอบน้อมพระพทุ ธเจ้าผทู้ รงไวซ้ ่ึงธาตุของธรรมท้งั ปวง ประกาศธรรมทั้ง
ปวง อันหยงั่ ลงซึง่ พระนิพพาน

73

ยทชนฺติ สวธิ าน ยทธมฺมา สปญญฺ าน

ยทสงฺฆา อนุปปฺ ตโฺ ต ยทติณฺณ นมามิห64

คาแปล (ข้าพเจ้า) ขอนอบน้อมพระพุทธเจ้า ผู้ประกาศธรรมทั้งปวง ธรรมของผู้ใด
ประกอบดว้ ยปญั ญา พระสงฆ์สาวกของพระองคใ์ ดเป็นผูข้ า้ มพน้ ไปแล้ว (ซ่งึ วฏั ฏสงสาร)

เนื้อความในคาถาที่ใช้นมัสการพระเจ้าพุทธเจ้า 5 พระองค์ แสดงให้เห็นลาดับของพระนาม
ของพระพุทธเจ้าที่เสด็จมาอุบัติในภัทรกัป65 เป็นการแสดงความหมายในเชิงรูปธรรม การท่ี
พระพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติถึง 5 พระองค์ในระยะเวลา 1 กัป ถือว่ามีจานวนมากท่ีสุดแล้ว จึงเรียกกัป
น้ัน ว่า “ภัทรกัป” แปลว่า กัปที่มีความเจริญรุ่งเรือง ดังพุทธวจนะที่ตรัสว่า “ในภัทรกัปนี้มี
พระพุทธเจ้า ๓ พระองค์ คือ พระกกุสันธะ พระโกนาคมนะ และพระกัสสปะ บัดน้ีเราเป็นพระ
สัมมาสัมพุทธเจ้าและจักมีพระเมตไตรย์สัมพุทธเจ้า แม้พระพุทธเจ้า 5 พระองค์นี้ก็เป็นนักปราชญ์
อนเุ คราะหโ์ ลก”66

ในส่วนที่เป็นข้อธรรมนั้น เน้ือความในคาถานมัสการส่วนต่อมา กล่าวถึงพระพุทธเจ้าแต่ละ
พระองค์สัมพันธ์กับขันธ์ โดย พระกกุสันโทสัมพันธ์กับรูปขันธ์ พระโกนาคมสัมพันธ์กับเวทนาขันธ์
พระกัสสปะสัมพันธ์กับสัญญาขันธ์ พระศากยมุนีสัมพันธ์กับสังขารขันธ์ และพระศรีอาริยเมตไตรย์
สัมพนั ธ์กับวิญญาณขนั ธ์ คาสอนที่กลา่ วถึงพระพทุ ธเจ้าสัมพนั ธ์กบั ขันธ์ไมป่ รากฏชดั เจนในคาสอนฝ่าย
เถรวาท อาจเป็นเพราะโบราณาจารย์ผู้ประพันธ์คาถา เห็นความสอดคล้องเร่ืองจานวนของ
พระพุทธเจา้ กบั จานวนของขนั ธ์ เนือ่ งจากไมป่ รากฏคาอธิบายใด ๆ ในคัมภรี ์ลบผงเกย่ี วกับเรอ่ื งนี้

อย่างไรก็ตาม การเทียบเคียงพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ด้วยขันธ์นี้ คล้ายกับท่ี ปิยสีโล
อธิบายว่า เมื่ออธิบายในแง่ของจิต พระชินพุทธเจ้าท้ัง 5 มิได้ดารงอยู่แยกกันเป็นอิสระโดยสมบูรณ์

64 คมั ภรี ป์ ถมงั เลขที่ 30 หมู่ 2 ส่วนเอกสารโบราณ หอสมดุ แห่งชาต.ิ
65 อปุ มาความยาวนานของกัป ว่า เหมอื นดงั มีภูเขาศิลาใหญ่ มฐี านยาวออกไปด้านละ ๑ โยชน์ ทกุ ๆ
๑๐๐ ปีมเี ทวดานาผา้ เนือ้ ดมี าลูบภเู ขาน้นั ครงั้ หน่ึง จนกระท่งั ภเู ขานนั้ สกึ ราบเรยี บเสมอแผ่นดนิ กัปหน่ึงยาวนานกว่า
น้ัน ดูเพ่ิมใน พระธรรมปิฎก (ป. อ. ปยตุ โฺ ต), พจนานกุ รมพทุ ธศาสน์ ฉบับประมวลศพั ท,์ หน้า 7-8.
66 ขุ.พุทธ. (ไทย มมร.) 73/27/640.

74

การเปรียบเทียบมณฑลของพระปัญจชินพุทธกับขันธ์ 5 ถือว่าเป็นในส่วนของมณฑลภายใน เม่ือ
ปราศจากกเิ ลสแลว้ ขันธ์ทง้ั หลายย่อมบรสิ ุทธิ์ ถือเป็นธรรมที่เปน็ อนาสวะ67

โดยทวั่ ไปจติ รบั ร้อู ารมณส์ องส่วน คอื รับอารมณ์ภายนอก ผ่านทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย และ
รับรู้อารมณ์ภายในผ่านมนายตนะ (ใจ) ในการรับรู้ของจิตแบง่ ออกเป็นสองระดับ ไดแ้ ก่ระดับท่ียังอยู่
ในโลก หมายถึงการรับรู้โลกของจิตที่ยังประกอบด้วยกิเลส อีกระดับหน่ึงเป็นโลกุตระ (พ้นไปจากโลก)
รับรู้โลกโดยปราศจากกิเลสโดยส้ินเชิง ถือเป็น อนาสวะ เช่นการรับรู้โลกของพระอรหันต์ ท่ีไม่มีการ
ปรุงแต่งด้วยกิเลส ดังนั้นจิตที่เกิดขึ้นเรียกว่า “มหากริยาจิต” เป็นจิตท่ีเกิดเฉพาะพระอรหันต์ ในการ
รับรู้อารมณ์ในความเปน็ เวทนาชนิดที่ไม่เป็นเหตุแห่งตัณหาและอุปาทาน ไม่ก่อให้เกิดผล คือ วบิ ากได้
อีก68 พระพุทธเจ้าในที่นี้จึงเป็นภาพลักษณ์ท่ีแสดงแง่มุมต่าง ๆ ของจิต กล่าวคือสัญลักษณ์และ
พิธีกรรมต่าง ๆ เป็นเพียงอุบายไปสู่การตรัสรู้ธรรมเท่าน้ันและจะถูกละท้ิงเมื่อเราเข้าถึงพุทธภาวะ
ภายในโดยสมบูรณ์ คือการที่สามารถมีภาวะจิตแบบเดียวกับพระพุทธเจ้า พระชินพุทธแต่ละองค์จะ
เป็นสัญลักษณ์แทนขันธ์แต่ละขันธ์ และเม่ือจิตน้ันรู้ความจริงระดับปรมัตถ์ ปราศจากซึ่งทวิภาวะ
(ความคิดแบ่งแยก) จึงถือเป็นความรู้ที่สามารถแปรเปลี่ยนสาสวะธรรมเป็นอนาสวธรรมได้ เปรียบได้
กบั การไดเ้ ห็นพระธรรมกายของพระพทุ ธเจ้า ดังทก่ี ล่าวไว้ใน อรรถกถาสังฆาฏิสตู ร ดงั นี้

ในคาว่า ธมฺม น ปสฺสติ นั้น มีอธิบายว่า โลกุตรธรรม ๙ อย่าง
ชื่อว่า ธรรม ก็เธอไม่อาจจะเห็นโลกุตรธรรมน้ันได้ ด้วยจิตท่ีถูกอภิชฌา
เป็นต้น ประทุษร้าย เพราะไม่เห็นธรรมน้ัน เธอจึงชื่อว่า ไม่เห็นธรรมกาย
สมจริงตามที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ ว่า ดูก่อนวักกลิ เธอจะมี
ประโยชนอ์ ะไร ดว้ ยกายอนั เปือ่ ยเน่าน้ีที่เธอได้เหน็ แลว้ ดูก่อนวักกลิ ผู้ใด
แล เห็นธรรม ผู้น้ัน ก็เห็นเราตถาคต ผู้ใดเห็นเราตถาคต ผู้น้ัน ก็เห็น
ธรรม ดงั น6ี้ 9

67 Piyasilo, Mandala of The Five Buddhas, (Selangor: Academic Art and printing service,
1989), p. 21-22.

68 วรรณสิทธิ ไวทยเสว,ี คมู่ ือศกึ ษา พระอภิธรรมมตั ถสังคหะ ปริจเฉทท่ี 1 จติ ปรมัตถ์, หน้า 104-106.
69 ขุ.อติ ิ. (ไทย มมร.) 45/562.

75

การเปรียบเทียบพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ด้วยธาตุ โดย พระกุกกุสันโท แทนด้วยตัว น เป็น
บุคลาธิษฐานของ ธาตุน้า พระโกนาคม แทนด้วยตัว ม (มาจาก โม) พระกัสสปะ แทนด้วยด้วยตัว พ
(มาจาก พุทฺ) พระศากยมุนี แทนด้วย ท (มาจาก ธา) ส่วนพระศรีอาริยเมตไตรย์ ถือเป็นธาตุว่าง
(อากาศธาต)ุ ธาตทุ ่ีกล่าวไวใ้ นระบบเลขยันต์นี้สัมพันธก์ ับธาตุในกาย โดยกาหนดให้ ธาตนุ ้า 12 ได้แก่
อวัยวะทีเ่ ปน็ ของเหลว 12 ชนิด ธาตดุ ิน 21 ไดแ้ ก่ อวยั วะท่เี ป็นชิ้นเน้ือ 21 ชนิด ดงั ทีไ่ ดอ้ ธิบายไปแล้ว
ในหัวข้อก่อนหน้าน้ี ธาตุไฟ 6 ได้แก่ ปสาทรูป 5 คือ ตา หู จมูก ล้ิน กาย และหทัยวัตถุ (หัวใจ) ธาตุ
ลม 7 ได้แก่ อารมณ์ คือ อารมณ์ท่ีเกิดทางตา อารมณ์ที่เกิดทางหู อารมณ์ท่ีเกิดทางจมูก อารมณ์ท่ี
เกิดทางล้ิน อารมณ์ท่ีเกิดทางใจในสว่ นทเ่ี ปน็ ความคิดจากปัจจัยภายใน (ตัวจิตเอง) อารมณ์ที่เกิดทาง
ใจ ท่ีเกิดจากปัจจัยภายนอก ได้แก่การที่จิตพิจารณาอารมณ์ท้ัง 5 ในความเป็นกุศลหรืออกุศลหรือ
อัพยากฤต ธาตุอากาศ 10 ไดแ้ ก่ ชอ่ งตาซ้าย ช่องตาขวา ชอ่ งจมูกซา้ ย ช่องจมูกขวา ชอ่ งหูซ้าย ชอ่ งหู
ขวา ช่องทวารหนัก ช่องทวารเบา ช่องปาก ช่องในหัวใจ เม่ือนากาลังธาตุมารวมกัน จะได้คุณ
พระพุทธเจ้า 56 ในการคานวณคุณพระธรรมเจ้า เอาคุณพระพุทธเจ้า คือ 56 ต้ัง หาร 2 ได้คุณพระ
ธรรมเจ้า 38 คุณพระสังฆเจ้าก็เช่นกัน เอาคุณพระพุทธเจ้า คือ 56 ตั้ง หาร 4 ได้คุณพระสังฆเจ้า 14
เป็นคุณพระรตั นตรัย 10870

หากเปรียบเทียบกับแนวคิดเรื่องธาตุ พระพุทธเจ้า 5 พระองค์ถือเป็นส่วนท่ีพ้นโลกเปรียบได้
กับอนาสวธาตุน่ันเอง ความเข้าใจเร่ืองธาตุยังนาไปสู่การเปรียบกับรูปทรงต่าง ๆ ท้ังที่เป็นเรขาคณิต
และรูปทรงอิสระ โดยธาตุดินเปรียบได้กับรูปทรงส่ีเหลี่ยมจัตุรัส ธาตุน้าเปรียบได้กับรูปทรงกลม ธาตุ
ไฟเปรียบได้กับรูปสามเหลี่ยม ธาตุลมเปรียบได้กับรูปครึ่งวงกลม และธาตุอากาศเปรียบได้กับพินทุ71
ซงึ่ รูปทรงทง้ั 5 เปน็ สว่ นประกอบหลักของยันตต์ า่ ง ๆ ดว้ ย

ในการเทียบฌานทั้ง 5 กับพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ก็เช่นกัน โดยเปรียบเทียบพระพุทธเจ้า
ตั้งแต่ปฐมฌานถึงปัญจมฌาน โดยทั่วไป ปุถุชนสามารถทาให้ฌานจิตเกิดขึ้นได้ แต่ยังถือเป็นจิตท่ีมี
อาสวะ เพราะฌานจิตนั้นประกอบด้วยภวตัณหาและวิภวตณั หา หากเปรียบเทียบกับฌาน 5 ท่ีเกิดใน

70 พระครูสังฆรักษ์วรี ะ ฐานวีโร, คู่มือ สมถะ-วิปสั สนากรรมฐาน มชั ฌิมา แบบลาดบั ของสมเด็จ
พระสงั ฆราชญาณสงั วรมหาเถรเจ้า (สกุ ไก่เถอื่ น) วัดราชสิทธาราม ราชวรวิหาร (พลับ) กรงุ เทพฯ(,หนา้ 44-45.

71 Adrain Snodgrass, The Symbolism of the Stupa (3rd printing) (New York: Cornell
University,1991), p. 375.

76

พระอริยบุคคล ซึ่งถือเป็นอนาสวะ เพราะไม่ประกอบด้วยตัณหาอีกต่อไป กล่าวคือ เมื่อ โลกุตรจิต
ประกอบกับอารัมณูปนิชฌาน พิจารณาฌานสู่กฎไตรลักษณ์ เกิดความเบ่ือหน่าย โลกุตรจิตนั้นถือว่า
อาศัยฌานเป็นบาท ดังนั้นโลกุตรจิต 8 ได้แก่ โสตาปัตติมัคคจิต สกทาคามิมัคคจิต อนาคามิมัคคจิต
อรหัตมัคคจิต โสตาปัตติผลจิต สกทาคามิผลจิต อนาคามิผลจิต และอรหัตผลจิตเมื่อประกอบด้วย
ฌาน 5 จึงเกิดเป็น โลกุตรจิต 40 ดวง ซึ่งเป็นการจาแนกตามนัยพระอภิธรรม จะเห็นได้ว่าแนวคิดที่
เปรยี บพระพทุ ธเจา้ ด้วย ขันธ์ ธาตแุ ละฌาน มีแนวคิดแบบเดยี วกัน

เมอื่ เปรยี บเทยี บ รายชอื่ สัตวแ์ ละรายชื่อเทพเจ้าระหว่างคัมภรี ต์ รนี ิสิงเห สานวน ก และคัมภีร์
ตรีนิสิงเห สานวน ง มีความต่างกัน ดังน้ี ช่ือพระเพชรฉลู ท้ัง 5 องค์แรก สานวน ก เป็น ลทอม ส่วน
สานวน ง เป็น พระเพทยาธร คาว่า ลทอม เท่าที่สืบค้นจากเอกสารโบราณ และจากการสอบถาม
ผู้ทรงคุณวุฒิ เชน่ ศาสตราจารย์ภชิ าน ล้อม เพ็งแกว้ และอาจารย์บญุ เตอื น ศรวี รพจน์ ผูเ้ ช่ียวชาญดา้ น
อักษรศาสตร์ (ภาษาและวรรณกรรม) ยงั ไม่เคยได้พบคาวา่ ลทอม ในเอกสารโบราณฉบับอื่นใดอีกเลย

ช่ือเทพเจ้า 4 องค์ใน จตุเทวา องค์สุดท้าย สานวน ก เป็นท้าวเวดสูวันมะหาราช (ท้าว
เวสสุวณั ) ส่วนสานวน ง เป็น ท้าวกุเวรรุราช ซึ่งชื่อทั้งสองหมายถึงเทพองค์เดียวกัน คือ หนึ่งในสี่ท้าว
จตโุ ลกบาล ผู้ดแู ลเหลา่ กุมภัณฑ์ และดแู ลโลกด้านทิศเหนอื

ชือ่ พระยาท้ัง 6 สานวน ก องค์แรก ท้าวองค์มารราช สานวน ง เป็น ท้าวองค์มารราช องค์ท่ี
2 สานวน ก เป็น ท้าวลาทิราชองค์ สานวน ง เป็น ท้าวมหากบิลราช องค์ท่ี 3 สานวน ก เป็นท้าว
ญารณมูลนีราช สานวน ง เป็น ท้าวนิมลนีลราช องค์ที่ 4 องค์ที่ 5 และองค์ที่ 6 ช่ือตรงกัน พระอินทร์
ทงั้ 5 และ ยกั ข์ 1 ตน สานวน ก ข้ามไป

เทวดาทั้ง 9 สานวน ก ระบุ เป็น พระ 1-พระ 9 ซึ่งในคัมภีร์โบราณ เม่ือระบุเช่นนี้ หมายถึง
เทวดานพเคราะห์ ได้แก่ พระอาทิตย์ พระจันทร์ พระอังคาร พระพุธ พระพฤหัสบดี พระศุกร์ พระ
เสาร์ พระราหแู ละพระเกตุ ซง่ึ ตรงกบั สานวน ง ทีร่ ะบุว่า คือพระอาทติ ย-์ พระเกตุ เชน่ กัน

พระพรหมทงั้ 5 สานวน ก องค์แรก เป็น ทา้ วสะหัมบด็ ีมหาพหรม สานวน ง เป็น ทา้ วสหบดี
พรหม เป็นองค์เดียวกัน ในตาราเลขยันต์มีการเรียกท้ังสองแบบ องค์ท่ี 2 สานวน ก เป็น ท้าวจีตกระ
เทพพหรม สานวน ง เป็น ท้าวประจิตเทพพรหม องค์ที่ 3 สานวน ก เป็น ฤาษรี สานวน ง เป็นท้าว

77

พรหมสีหฤๅษี องคท์ ่ี 4 สานวน ก เปน็ อันณะโคดม สานวน ง เป็น วัตตโคดม องคท์ ี่ 5 สานวน ก เป็น
เทพพหรมภักบดี สานวน ง เป็น เทวพรหมภควดี เมื่อวิเคราะห์จากทั้งสองสานวนจะเห็นว่า ชื่อพระ
พรหมมีความใกล้เคียงกันมาก อาจเป็นเพราะก่อนท่ีจะมีการบันทึกเป็นลายลักษณ์ คัมภีร์ตรีนิสิงเห
ถ่ายทอดดว้ ยระบบมุขปาฐะ มีการกร่อนเสียงบ้าง กลืนเสียงบ้าง เลื่อนคุณสมบัติพยัญชนะบ้าง ทาให้
เสียงมกี ารเพี้ยนหรือตา่ งออกไป แตย่ งั พอมเี คา้ พอใหร้ ู้ไดว้ า่ เปน็ ช่ือพระพรหมองค์เดยี วกนั

พระอรหนั ตท์ ้งั ๘ องค์ รายช่อื มีความใกล้เคยี งกนั แตส่ ลับตาแหนง่ กนั โดย สานวน ก โมกขะ
ลา (พระโมคคัลานะ) เป็นองคแ์ รก สานวน ง พระสงั กจิ สามเณรเปน็ องค์แรก ในส่วนของการสะกดช่ือ
มีความต่างกัน ดังนี้ พระสารีบุตร สานวน ก เขียนเป็น ษารีปุด สานวน ง เขียนเป็น สาริบุตร พระ
สามสามเณร สานวน ก เขยี นเปน็ สามเนน สนั นษิ ฐานว่า เกดิ จากการเขยี นตก สานวน ง เขยี นเป็น
สามสามเณร พระสังกิจสามเณร สานวน ก เขียนเป็น สังกับตะสามเนน สานวน ง เขียนเป็น สังกิจ
สามเณร

จากการเปรียบเทียบที่มาของอัตราทวาทสมงคล จะเห็นได้ว่าคัมภีร์ตรีสิงเห สานวน ง ซึ่งมี
อายุใหม่กว่า สานวน ก สอดคล้องกับสานวน ก เป็นส่วนใหญ่ ผู้วิจัยสันนิษฐานว่า สานวน ง อาจจะ
คัดลอกมาจากสานวน ก หรือจากคัมภีร์ต้นฉบับท่ีมีเนื้อหาใกล้เคียงกับสานวน ก หากแต่ได้แก้ไข
เน้อื ความบางส่วนและปรบั ปรุงอักขรวิธเี พอื่ ให้เข้าใจไดง้ า่ ยข้ึน

นอกจากการแทนค่าเลขต่าง ๆ ด้วยพระนามพระพุทธเจ้า นามพระอรหันตสาวกตลอดจน
เทพยดาท้ังที่มาจากคติพุทธและคติพราหมณ์-ฮินดูแล้ว ยังมีการใช้พยางค์ต้นของหัวข้อธรรมต่าง ๆ
มาใช้ การตัดเอาพยางค์ต้นของคามาใช้ในวัฒนธรรมการเรียนเลขยันต์เรียกว่า “หัวใจ” เช่น หัวใจ
พระอภิธรรม คือ สํ วิ ธา ปุ ก ย ป ซ่ึงเป็นพยางค์ต้นของช่ือคัมภีร์ท้ัง 7 ของอภิธรรมปิฎก การตัด
พยางค์มาใช้เป็นหัวใจ ในบางกรณีที่เป็นบทสวดมนต์ขนาดยาว เช่น บทสรรเสริญพระพุทธคุณ อิติปิ
โสฯลฯภควาติ จะใช้การตัดพยางค์ต้น พยางค์กลาง และพยางค์สุดท้าย เพื่อให้ครอบคลุมบทสวดท้ัง
บท ดังนั้นหัวใจอิติปิโส จะได้พยางค์ต้น อิ พยางค์กลางมีสองพยางค์เนื่องจากบทสวดนี้มี 56 พยางค์
ก วิ และพยางค์ท้ายสุดของบทสวด ติ รวมกันไดค้ าถา อิ ก วิ ติ การใช้คาถาประเภทหัวใจนี้ พบว่ามี
มากในคัมภีร์ตรีนิสิงเห ที่สาคัญในคัมภีร์เลขยันต์อื่น ๆ แม้ว่าจะมีการใช้คาถาประเภทหัวใจ แต่ไม่มี
การอธิบายไว้ว่าแต่ละหัวใจถอดมาจากหัวข้อธรรมหรือบทสวดอะไร ดังนั้นคัมภีร์ตรีนิสิงเหจึงเป็น

78

คัมภีร์เลขยันต์เพียงฉบับเดียว ที่มีการอรรถาธิบายท่ีมาของคาถาประเภทหัวใจต่าง ๆ เอาไว้อย่าง
ชัดเจน ดังนั้นผู้ศึกษาจะไม่สามารถเข้าใจเร่ืองหัวใจได้เลย ถ้าไม่ได้ศึกษาคัมภีร์เล่มนี้ให้แตกฉาน
อย่างไรก็ตามวิธีการตัดพยางค์มาใช้เป็นหัวใจก็มีกล่าวไว้ใน อาทิสังเกต ของ คัมภีร์วชิรสารสังคหะ
ดงั นี้

อาทฺยกขฺ รว พนฺธจฺเฉโก กวิสฺสโร
ยคฺถ ต อาทิสงฺเกต วญิ ฺเญยฺย พนฺธวิญญฺ นุ า

กวีผู้ย่ิงใหญ่ฉลาดในพนั ธะ แสดงอักขระหนต้นเท่าน้ัน ในพันธะใด พันธะนั้น
ท่านผู้ร้พู นั ธะพงึ ทราบวา่ ชอื่ อาทสิ ังเกต สงั เกตอกั ขระหนตน้ 72

72 สิรริ ัตนปญั ญาเถระ เขยี น แย้ม ประพัฒนท์ อง แปล พระคัมภีรว์ ชริ สารตั ถสงั คหะ, (กรงุ เทพฯ : สหภมู ิ
อยุธยา, 2512), หนา้ 4.

79

ตารางท่ี 3.1 สรปุ การแทนความหมายอตั ราทวาทสมงคลทง้ั 4 ระดบั

เลขทวาทสมงคล รปู ธรรม หวั ใจ/อกั ษรย่อ ท่มี าที่ 1 ทม่ี าท่ี 2

เลข 3 ราชสีห์ 3 ตวั ม อ อุ อนิจจงั ทุกขัง อโลภะ อโทสะ

อนตั ตา อโมหะ

เลข 7 ช้าง 7 ชา้ ง ส วิ ธา ปุ ก ย ป โพชฌงค์ 7 เวทนา 7

เลข 5 พระเพชรฉลู 5 องค์ ปา อ ก มุ สุ ศลี 5 พระพุทธเจา้ 5

พระองค์

เลข 4 จตั ุโลกบาล นมพท ธาตุ 4 อริยสจั 4

เลข 6 พระยา 6 องค์ จ ต ย ต น ป กามาพจร 6 อินทรีย์ 6

เลข 5 พระอินทร์ 5 องค์ รุ เว ส ส วิ พระพทุ ธเจา้ 5 ประสาท 5

พระองค์

เลข 1 พระยามาราธิราช อุ พระพทุ ธเจ้า จิต

เลข 9 เทวดานพเคราะห์ อ ส วิ สุ โล ปุ ส พุ ภ นวโลกตุ ตรธรรม เทวดานพเคราะห์

เลข 5 พระพรหม 5 องค์ ปา อ กา มุ สุ พระเจ้า 5 อายตนะ 5

พระองค์

เลข 2 พระยา 2 องค์ น ร พระเจา้ อาชาตศตั รู นาม-รปู

และพระเจา้ อโศก

เลข 8 พระอรหนั ต์ 8 องค์ ปา อ อ มุ สุ วิ มา อุ มรรค 8 เทวดา 8 องค์

เลข 5 พระพุทธเจ้า 5 น โม พุทฺ ธา ย พระพทุ ธเจ้า 5 พระพทุ ธเจา้ 5

พระองค์ พระองค์ พระองค์

จากตารางสรุปการแทนความหมายอัตราทวาทสมงคลท้ัง 4 ระดับ จะเห็นได้ การแทนค่าใน
ระดับรูปธรรม เป็นการนาเอาพญาสัตว์ เทพเจ้าต่าง ๆ พระอรหันต์ และพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตาม
จานวนเพ่ือให้สอดคล้องกับลาดับเลขอัตราทวาทสมงคล ในการแทนความหมายด้วยคาถาหัวใจก็
เช่นกัน จานวนพยางค์คาถาจะสอดคล้องกับลาดบั เลขอัตราทวาทสมงคล โดยนาเอาอักษรย่อของชื่อ
คัมภีร์ทางพุทธศาสนาบ้าง หลักคาสอนบ้าง จานวนพระพุทธเจ้าในภัทรกัปบ้าง ส่วนการแทน
ความหมายข้ันท่ีสาม และขั้นที่ส่ี มีการนาเอาบุคคลสาคัญของพุทธศาสนา และข้อธรรม โดยเฉพาะ
ปรมัตถธรรมที่ลึกซึ้ง โดยมีจานวนท่ีสอดคล้องกับลาดับเลขอัตราทวาทสมงคล ยกเว้นเลข 9 ที่แทน
ความหมายดว้ ย เทวดานพเคราะห์ เนื่องจากเปน็ เทวดากลมุ่ ทป่ี รากฏทง้ั ในศาสนาพุทธและพราหมณ์-
ฮินดู การท่ีผู้ประพันธ์แทนความหมายอตั ราทวาทสมงคลดว้ ยปรมัตถธรรม แสดงให้เห็นวา่ ผู้ประพันธ์
มีความรู้ในข้อธรรมท่ีลึกซึ้งเป็นอย่างดี และใชส้ ่ิงเหล่าน้ีเพื่อให้คัมภีร์ตรีนิสิงเหคงความสาคัญ ถือเป็น

80

คัมภีร์หลักที่ต้องศึกษาในหมู่ชาวไทยพุทธในอดีต และเพื่อให้ผู้ศึกษาสามารถเข้าใจหลักธรรมบาง
ประการของพระพุทธศาสนาผา่ นการเรยี นรคู้ ัมภีร์ตรีนสิ ิงเห

3.4 การคูณ หารอตั ราทวาทสมงคล
ในข้อท่ีแลว้ เป็นการคานวณอัตราทวาทสมงคลทง้ั 12 จากเลขทวาทสมงคล(เลข 12) ในข้ันนี้

เป็นการคูณ หาร อัตราทวาทสมงคล เน้ือหาส่วนน้ีปรากฏดดยละเอียดใน คัมภรี ์ตรีนิสิงเห สานวน ก
และ สานวน ข แตม่ ีเนื้อหาที่แตกต่างกันพอสมควร การคณู หารอตั ราทวาทสมงคลทาได้โดยนาอัตรา
ทวาทสมงคล คือ 3 7 5 4 6 5 1 9 5 2 8 5 มาคูณ ด้วยตัวเลข ผู้วิจัยสันนิษฐานว่ามาจากเลขอัตรา
ทวาทสมงคลที่ละตัว โบราณเรียกวิธีการน้ีว่า คูณ หารตัวเอง ผู้ศึกษาต้องมีความรู้เก่ียวกับการคูณ-
หารแบบโบราณ การคูณ-หารจะใช้อัตราทวาทสมงคลท้ัง 12 เลขเป็นตัวตั้ง แล้วนามาคูณ-หารกับ
ตัวเลขตา่ ง ๆ เปน็ จานวนครั้งเท่ากบั เลขทน่ี ามาคณู -หารในแตล่ ะครงั้ เช่น ใน คมั ภรี ต์ รีนิสงิ เห สานวน
ก กลา่ วว่า “กลนงึ่ ใหต้ งั ตรนี สิ งิ เห ลงเอา ๓ คูณ ๓ หารให้ได้ ชือ่ มงคลเทพตร”ี มีวิธที าดังนี้

- ตงั้ อัตราทวาทสมงคล คือ 3 7 5 4 6 5 1 9 5 2 8 5 คณู ดว้ ย 3 ต้ังบนกระดานดังน้ี

375465195285

3

จะได้ผลลัพธ์ 1 8 7 7 3 2 5 9 7 6 4 2 5

- จากนั้นเอาผลลพั ธท์ ี่ได้ คือ 1 8 7 7 3 2 5 9 7 6 4 2 5 หารดว้ ย 3 ต้ังบนกระดานดังนี้

3) 1877325976425

จะได้ผลลพั ธ์ คอื 3 7 5 4 6 5 1 9 5 2 8 5

ถึงขั้นนี้ถือว่าสาเร็จ 1 ที ทาเชน่ เดิมอกี 2 คร้ัง โดยเอาผลลัพธ์ที่ไดค้ ือ 3 7 5 4 6 5 1 9 5 2
8 5 มาเปน็ ตัวตัง้ ทาครบดังน้ีเรียกวา่ คูณ หาร ได้ 3 ที การคูณ หารอัตราทวาทสมงคลด้วยเลขอ่นื ๆ

81

ทาเหมือนกัน ซ่ึงในแต่ละขั้นมีช่ือเรียกแตกต่างกัน ดังเช่น ชื่อเรียกลาดับการคูณหารที่ปรากฏใน
สานวน ก ดงั นี้

ถาจ่ทาตรีนิสิงเหให้ตงั ลงเอา ๒ คูณ เอา ๒ หาร ให้ได้สองชือณ่รายเทพบุด
แบงภากแล กลน่ึงให้ตังตรีนิสิงเห ลงเอา ๓ คูณ ๓ หารให้ได้ ช่ือมงคลเทพตรีลง
เอา ๔ คูณ ๔ หาร ให้ได้ ช่ือเพช ๔ ด่านแล ฯı กลนึงให้ตั้ง ตรีนิส่ิงเห ลงเอา ๕
คูณ ๕ หาร ใหไ้ ด้ ชือณ่รายแปล้งรปู แล กลนึ่งให้ตงั ตรนี ่สิ งิ่ เห ลงเอา ๖ คณู เอา ๖
หาร ให้ได้ ชอื่ ดับสมุท แล กลน่ึงให้ตงั ตรีนิสิงเห ลงเอา ๗ คูณ เอา ๗ หาร ให้
ได้ ชื่อเกราะเพชตรี กลหนึ่งใหตังตรีน่ิส่ิงเห ลงเอา ๘ คูณ เอา ๘หารให้ได้

ช่ือ ณ่รายถอดรูป (หน้า ๕๕) ตั้งตังตรีน่ิส่ิงเห ลงเอา ๙ คูณ ๙ หาร ให้ได้ ช่ือ ณ่
รายกลืนจกั แล

หากทาการคูณ หารอัตราทวาทสมงคลด้วยจานวนคร้ังท่ีต่างไป จะเรียกชื่อต่างออกไปด้วย
เช่น ถ้าตั้งอัตราทวาทสมงคล คูณ 7 หาร 7 ให้ได้ 1 ที เรียก มงคลเพชรสี่ด้าน ถ้าต้ังอัตราทวาทสมง
คล คูณ 5 หาร 5 ได้ 1 ที เรียก นารายณ์บังพล แต่หารคูณ หารด้วย 5 จานวน 10 ที เรียก อัฏจักร
อิศวรแบง่ ภาค

ชื่อเรียกและลาดับการคูณ หารอัตราทวาทสมงคล ในคัมภีร์ตรีนิสิงเห สานวน ข จะทาการ
คูณ หารอัตราทวาทสมงคล ด้วยตัวเอง คือ คูณหารด้วย 3 7 5 4 6 5 1 9 5 2 8 5 ทีละลาดับ ชื่อ
เรยี กในแตล่ ะลาดับใชช้ ือ่ เลขในอตั ราทวาทสมงคลมาตงั้ ดังนี้

ก. ทา่ นใหต้ ั้งตรนี สิ ิงเห (ทวาทสมงคล) ลง เอา ๓ คูณ ๓ หารใหไ้ ด้ ๓ หน
ข. ท่านให้ตัง้ ตรนี สิ ิงเห (ทวาทสมงคล) ลง เอา ๗ คูณ ๗ หารให้ได้ ๗ หน ชื่อพระยาฉทั ทนั ต์

ถอดรปู
ค. ท่านให้ตั้งตรีนิสิงเห (ทวาทสมงคล) ลง เอา ๕ คูณ ๕ หารให้ได้ ๕ หน ชอ่ื เพ็ชร์ฉลูกรรม์

ถอดรูป
ง. ท่านให้ตัง้ ตรนี สิ ิงเห (ทวาทสมงคล) ลง เอา ๔ คูณ ๔ หารใหไ้ ด้ ๔ หนชอ่ื เทวดาถอดรูป
จ. ทา่ นให้ตงั้ ตรนี ิสิงเห (ทวาทสมงคล) ลง เอา ๖ คูณ ๖ หารให้ได้ ๖ หน

82

ฉ. ทา่ นใหต้ งั้ ตรีนสิ งิ เห (ทวาทสมงคล) ลง เอา ๕ คูณ ๕ หารชอื่ พระอินทร์ถอดรปู ไปหาชาว
สวรรค์ท้งั ปวง

ช. กลหนึ่งท่านให้ตั้งตรีนิสิงเห (ทวาทสมงคล) ลง เอา ๑ คูณ ๑ หารช่ือกุมภัณฑ์ถอดรูป
แผลงฤทธ์ิเหาะขา้ มฝ่ังอโนดาต

ซ. กลหน่ึงท่านให้ตั้งตรีนิสิงเห (ทวาทสมงคล) ลง เอา ๙ คูณ ๙ หาร ชื่อนวหรคุณทั้ง ๙
ถอดรปู

ฌ. กลหนึ่งท่านให้ต้ังตรีนิสิงเห (ทวาทสมงคล) ลง เอา ๕ คูณ ๕ หาร ๕ หน ชื่อพระพรหม
ถอดรูปแผลงฤทธใ์ิ หเ้ ทวดากลัว

ญ. กลหน่ึงท่านให้ต้ังตรีนิสิงเห (ทวาทสมงคล) ลง เอา ๒ คูณ ๒ หาร ช่ือพระยาสององค์พ่ี
น้องถอดรูปไปหานางท้ังปวง

ฎ. กลหน่ึงท่านให้ต้ังตรีนิสิงเห (ทวาทสมงคล) ลง เอา ๘ คูณ ๘ หาร ช่ือพระอรหันต์ทั้ง ๘
ถอดรูปแผลฤทธิ์

ฏ. กลหน่ึงท่านให้ต้งั ตรีนิสิงเห (ทวาทสมงคล) ลง เอา ๕ คูณ ๕ หาร ชอื่ พระพุทธเจ้าทั้ง ๕
พระองค์ถอดรปู เข้าฌานสมาบัติ

ส่วนการคูณ หารอัตราทวาทสมงคลที่ปรากฏใน สานวน จ ใช้วิธีการทาแบบเดียวกับ คัมภีร์
ตรีนิสิงเห สานวน ก และสานวน ข แต่จานวนครั้งไม่เท่ากัน ส่วนชอ่ื เรียกคล้ายกัน ดงั ที่กล่าววา่ “ให้
ตั้ง ตรีนิสิงเห ลงทั้งน้ัน เอา ๓ คูณ ๓ หาร ให้ได้ ๓ ที ช่ือ มงคลเพ็ชชาตรี อย่าสนเท่ เลยให้ ตั้ง ตรีนิ
สิงเห ลง เอา ๕ คูณ ๕ หาร ให้ได้ ๓ ที ชื่อ เกราะเพ็ชชาตรี” ถึงแม้การคูณ หารอัตราทวาทสมงคล
ของคัมภีร์ตรีนิสิงเหทั้ง 3 สานวนจะมีวิธีการทาแบบเดียวกัน แต่ชื่อเรียกการคูณ หารในแต่ละขั้น
ต่างกนั ดงั ตารางตอ่ ไปนี้

83

ตารางที่ 3.2 การคูณ หารอตั ราทวาทสมงคลและชอื่ เรียกแตล่ ะขนั้

เลขท่ใี ช้ เลขทใี่ ช้ จานวน ชอ่ื เรยี กสานวน ก ชื่อเรยี กสานวน ข ชื่อเรียกสานวน จ

คูณ หาร คร้งั

3 3 3 มงคลเทพตรี - มงคลเพ็ชชาตรี

7 7 7 เกราะเพชรตรี พระยาฉทั ทันตถ์ อดรูป

7 7 1 มงคลเพชรสี่ดา้ น -

5 5 5 นารายณแ์ ปลงรูป เพ็ชร์ฉลูกรรมถ์ อดรปู

5 5 1 นารายณบ์ งั พล

553 เกราะเพช็ ชาตรี

5 5 10 อฏั จักรอิศวรแบ่งภาค

4 4 4 เพชรสี่ดา้ น เทวดาถอดรปู

6 6 6 ดบั สมทุ ร

555 พระอินทรถ์ อดรูปไปหาชาว
สวรรค์ทัง้ ปวง

111 กุมภณั ฑ์ถอดรูปแผลงฤทธ์ิ
เหาะขา้ มฝั่งอโนดาต

9 9 9 นารายณ์กลนื จกั ร ช่ือนวหรคุณทัง้ ๙ ถอดรปู

555 พระพรหมถอดรูปแผลงฤทธ์ิ
ให้เทวดากลวั

2 2 2 นารายณเ์ ทพบตุ รแบง่ พระยาสององคพ์ ่ีน้องถอด
ภาค รปู ไปหานางท้ังปวง

8 8 8 นารายณถ์ อดรปู พระอรหนั ตท์ งั้ ๘ ถอดรปู
แผลฤทธิ์

555 พระพุทธเจา้ ท้ัง ๕ พระองค์
ถอดรปู เข้าฌานสมาบตั ิ

84

อย่างไรกต็ าม ยังมกี ารคณู หารอัตราทวาทสมงคลรูปแบบพเิ ศษ ดังท่ีปรากฏ ในคมั ภีร์ตรนี ิสิง
เห สานวน ฉ ท่ีแตกต่างจาก 3 สานวนข้างต้น โดยการคูณหารจะตั้ง อัตราทวาทสมงคล หารด้วย 5
ผลลัพธ์ท่ีได้นามาบวกกับเศษ หารไปเร่ือย ในท่ีสุดเหลือเศษ 1 การหารในลักษณะน้ี ไม่ปรากฏใน
ตาราอื่นใด ผู้วิจัยสันนิษฐานว่า เป็นสูตรการคิดคานวณที่เรียนสืบต่อกันเฉพาะในสานัก จึงไม่มีการ
เผยแพร่แตอ่ ย่างใด มีวธิ ีทาดงั ตอ่ ไปนี้

- ขั้นที่ 1 ให้ตั้งอัตราทวาทสมงคล 3 7 5 4 6 5 1 9 5 2 8 5 และนามา 5 มาหาร ได้
ผลลัพธ์ คือ 7 5 0 9 3 0 3 9 0 5 7

- ขั้นที่ 2 นาเอา 7 5 0 9 3 0 3 9 0 5 7 มาหารดว้ ย 5 ได้ผลลัพธ์ คือ 1 5 0 1 8 6 0 7
8 1 1 เศษ 2 นาผลลัพธ์ตัวสุดทา้ ยบวกกบั เศษ (1+2) ได้ 3

- ขั้นท่ี 3 นาเอา 1 5 0 1 8 6 0 7 8 1 3 มาหารด้วย 5 ได้ผลลัพธ์ คือ 3 0 0 3 7 2 1 5
6 2 2 เศษ 3 นาผลลัพธต์ ัวสุดทา้ ยบวกกบั เศษ (2+3) ได้ 5

- ขันที่ 4 นาเอา 3 0 0 3 7 2 1 5 6 2 5 มาหารด้วย 5 ได้ผลลัพธ์ คือ 6 0 0 7 4 4 3 1
3 เศษ 0

- ข้ันท่ี 5 นาเอา 6 0 0 7 4 4 3 1 3 มาหารด้วย 5 ได้ผลลัพธ์ คือ 1 2 0 1 4 8 8 6 2
เศษ 3 นาผลลพั ธ์ตวั สุดท้ายบวกกบั เศษ (2+3) ได้ 5

- ข้ันที่ 6 นาเอา 1 2 0 1 4 8 8 6 5 มาหารด้วย 5 ได้ผลลัพธ์ คือ 2 4 0 2 9 7 7 3
เศษ 0

- ขั้นท่ี 7 นาเอา 2 4 0 2 9 7 7 3 มาหารด้วย 5 ได้ผลลัพธ์ คือ 4 8 0 5 9 5 4 เศษ 3
นาผลลัพธ์ตวั สดุ ท้ายบวกกบั เศษ (4+3) ได้ 7

- ขั้นท่ี 6 นาเอา 4 8 0 5 9 5 7 มาหารด้วย 5 ได้ผลลัพธ์ คือ 9 6 1 1 9 1 เศษ 2 นา
ผลลัพธต์ วั สดุ ท้ายบวกกับเศษ (2+1) ได้ 3

85

- ขั้นท่ี 7 นาเอา 9 6 1 1 9 3 มาหารดว้ ย 5 ไดผ้ ลลพั ธ์ คือ 1 9 2 2 3 8 เศษ 3 นาผลลพั ธ์
ตัวสุดท้ายบวกกับเศษ (8+3) ได้ 11 โดย 1 ตัวแรกเป็นเลขหลักหน่วย และ 1 จากหลัก
สบิ ไปบวกกบั 3 จะไดเ้ ลขสองหลกั คอื 4 1

- ขั้นที่ 8 นาเอา 1 9 2 2 4 1 มาหารด้วย 5 ได้ผลลพั ธ์ คอื 3 8 4 4 8 เศษ 1 นาผลลัพธ์
ตวั สดุ ท้ายบวกกับเศษ (8+1) ได้ 9

- ขั้นที่ 9 นาเอา 3 8 4 4 9 มาหารด้วย 5 ได้ผลลัพธ์ คือ 7 6 8 9 เศษ 4 นาผลลัพธ์ตัว
สุดท้ายบวกกับเศษ (9+4) ได้ 13 โดย 3 ตัวแรกเป็นเลขหลักหน่วย และ 1 จากหลักสิบ
ไปบวกกับ 3 จะไดเ้ ลขสองหลกั คอื 4 1

- ขั้นที่ 10 นาเอา 7 6 9 3 มาหารด้วย 5 ได้ผลลัพธ์ คือ 1 5 3 8 เศษ 3 นาผลลัพธ์ตัว
สุดท้ายบวกกับเศษ (8+3) ได้ 11 โดย 1 ตวั แรกเป็นเลขหลักหน่วย และ 1 จากหลักสิบ
ไปบวกกบั 3 จะไดเ้ ลขสองหลัก คือ 4 1

- ขั้นท่ี 11 นาเอา 1 5 4 1 มาหารด้วย 5 ได้ผลลัพธ์ คือ 3 0 8 เศษ 1 นาผลลัพธ์ตัว
สุดท้ายบวกกับเศษ (8+1) ได้ 9

- ข้ันที่ 12 นาเอา 3 0 9 มาหารด้วย 5 ได้ผลลัพธ์ คือ 6 1 เศษ 4 นาผลลัพธ์ตัวสุดท้าย
บวกกบั เศษ (1+4) ได้ 5

- ข้นั ที่ 13 นาเอา 6 5 มาหารดว้ ย 5 ได้ผลลพั ธ์ คอื 1 3 เศษ 0

- ข้ันท่ี 14 นาเอา 1 3 มาหารด้วย 5 ได้ผลลัพธ์ คือ 2 เศษ 3 นาผลลัพธ์ตัวสุดท้ายบวก
กบั เศษ (2+3) ได้ 5

- ขน้ั ท่ี 1 5 นาเอา 5 มาหารด้วย 5 ได้ผลลัพธ์ คือ 1 เศษ 0

86

3.4.1 การนาผลลัพธ์อตั ราทวาทสมงคลไปทาเปน็ ยนั ต์

การนาเอาผลลัพธ์จากการคูณหารอัตราทวาทสมงคลไปทาเป็นยันต์รูปแบบต่าง ๆ
สามารถทาได้สองแบบ คือ การนาผลท่ีเป็นเลขทวาทสมงคล คือ 3 7 5 4 6 5 1 9 5 2 8 5 ซึ่งเป็น
ผลในข้ันตอนสุดทา้ ยไปใช้ทาเปน็ ยนั ต์ต่าง ๆ หรือนาผลในข้ันท่ียังไม่ได้กลับเป็นรูปอัตราทวาทสมงคล
ไปใช้ “ยันต์” หรือ “กลยันต์” คือ การเดินอกั ขระหรือตัวเลขไปตามชอ่ งว่างในตารางยันต์ ดังท่ีกล่าว
ไว้ก่อนหน้านี้ว่า ยันต์แบบที่เป็นรูปเรขาคณิต จะมีการแบ่งช่องเป็นตาราง เพื่อใส่ตัวเลขหรืออักขระ
ดังนั้นสูตรที่ใชส้ าหรับใชใ้ นการลากเสน้ ยันต์ จะถูกกาหนดเอาอย่างมีแบบแผน ยนั ตต์ ่าง ๆ ที่สร้างข้ึน
จากโครงสร้างเลขาคณิตหรือรูปภาพจะต้องมีสูตรกากับในขณะท่ีลงเสมอ การลากเส้นยันต์จะต้อง
ภาวนาสตู รคาถากากับด้วย ต้องมีสมาธคิ วบคมุ ให้เส้นที่ลากและมนต์ท่ใี ช้กากับจบพรอ้ มกัน

ส่วนประกอบอืน่ ของยันตท์ ีเ่ ปน็ รูปสญั ลกั ษณ์ จะมสี ูตรมาตรฐานทีใ่ ช้เชน่ กนั เชน่ รูป
องค์พระท่ีใช้แทนพระพทุ ธเจ้า จะลงเปน็ สามตอน คือ พระเศียร (วงกลมบนสุด) ลงด้วย ม กาโร สสี
พุทฺธา ปนชายเต องค์พระ (วงกลมตรงกลาง) ลงด้วย อ กาโร องคฺ พุทฺธา ปนชายเต และพระบาท
(วงกลมด้านล่าง) ลงด้วย อุ กาโร ปาท พุทฺธา ปนชายเต ส่วนพระอาทิตย์ และพระจันทร์ซ่ึงเป็น
สัญลักษณ์ที่พบบ่อยในยันต์ท่ีปรากฏในคัมภีร์ตรีนิสิงเห ใช้สูตร อฒฺฑจนฺทา ปนชายเต และ พินฺทุ
สุริยา ปนชายเต ส่วนอุณาโลมน้ันแสดงถึง โลกุตรธรรมจะใช้สูตอุณาโลมาปนชายเต หากมีสามขยัก
ใช้ ม อ อุ ห้าขยักใช้ น โม พุทฺ ธา ย เก้าขยักใช้ อ สํ วิ สุ โล ปุ ส พุ ภ ถึงแม้ว่ารูปแบบของยันต์
จะมีจานวนมากแต่ส่วนประกอบของยันต์จะคล้าย ๆ กันคือจะประกอบด้วยเส้นหลักเป็นรูป
สามเหลี่ยม ส่ีเหลี่ยม วงกลม หรือรูปทรงเรขาคณิตซ้อนกัน อาจจะมีเส้นแกนแบ่งสัดส่วนภายใน ใน
ช่องท่ีอยู่ภายในแต่ละช่องจะมีอักขระหน่ึงตัวหรือองค์พระหรือตัวเลขอย่างใดอย่างหนึ่ง สาหรับมนต์
หรือคาถาทใ่ี ช้ลงนน้ั ก็จะสอดคลอ้ งกบั จานวนชอ่ งหรอื ตาราง

3.4.1.1 การนาอัตราทวาทสมงคลไปทาเปน็ ยันต์
การนาเอาเลขทวาทสมงคลที่ได้จากการคูณหารไปทาเป็นยันต์ยังสามารถ

แยกได้เป็นสองแบบ ดงั นี้


Click to View FlipBook Version