The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

คัมภีร์ตรีนิสิงเห-งานวิจัย

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Patiweth Ketkhong, 2021-03-22 04:32:17

คัมภีร์ตรีนิสิงเห-งานวิจัย

คัมภีร์ตรีนิสิงเห-งานวิจัย

87
แบบที่ 1 การนาอัตราเข้าไปใส่ในยันตไ์ ดท้ ันที โดยชักตารางยันต์รูปสี่เหล่ยี มซอ้ นกนั
สองตารางมีขดี ภายในจานวน 12 ชอ่ ง เดินเลขอัตราแบบกลมา้ หมากรุก โดยเริ่มตน้ เรียงลาดบั จาก 3
7 5 4 6 5 1 9 5 2 8 5 โดยจุดเริ่มตน้ ของการเดนิ นาเลขตวั แรกใส่เข้าไว้ในยันตล์ ักษณะดงั น้ี

รปู ท่ี 3.1 ยนั ตต์ รนี ิสงิ เห เดนิ กลมา้ หมากรกุ ทีม่ า: คมั ภรี ต์ รีนิสิงเห สานวน ค.

รปู ที่ 3.2 ยันตอ์ ัตราเลข 3 คณู 3 หาร ท่มี า: คมั ภรี ์ตรีนสิ งิ เห สานวน ข.
แบบที่ 2 เมื่อทาเลขอัตราทวาทสมงคลสาเร็จแล้ว ให้เรียกสูตรกลับจากอัตราเลข

เปน็ คาถาหวั ใจตรนี ิสงิ เห ดังน้ี
ตรีนิสิงฺเห มาบังเกิดเป็น ม อ อุ สตฺตนาเค มาบังเกิดเป็น ส วิ ธา ปุ ก ย ป

ปญฺจเพชรฉลู นเมว จ มาบังเกิดเป็น ที ม ส อ ขุ จตุเทวา มาบังเกิดเป็น น ม พ ท
ฉวชฺราชา มาบังเกิดเป็น ป ท น ท ส ม ปญฺจอนิ ฺทรา นเมว จ มาบังเกิดเป็น อา ปาม
จุ ป เอกยกฺขา มาบังเกิดเป็น มิ นวเทวา มาบังเกิดเป็น อ ส วิ สุ โล ปุ ส พุ ภ
ปญฺจพฺรหฺมาสหปติ มาบังเกิดเป็น ส ห ช ฏ ตฺรี ทฺวราชา มาบังเกิดเป็น พุทฺโธ อฏฺฐ
อรหนฺตา มาบังเกิดเปน็ พา มา นา อุ ก ส น ทุ ปญฺจพุทฺธานมามหิ ัง มาบังเกิดเป็น น

88

โม พุทฺ ธา ย จากนั้นให้ลบ ม อ อุ ถึง น โม พุทฺ ธา ย ต่อไป ดังนี้ ลบ ม อ อุ มา
บังเกิดเป็น ม ตติ ลบ ส วิ ธา ปุ ก ย ป มาบังเกิดเป็น ส สตฺต ลบ ที ม ส อ ขุ มา
บังเกิดเปน็ ที ปญฺจ ลบ น ม พ ท จตุ น ลบ ป ท น ท ส ม มาบังเกดิ เป็น ม ฉฏฺฐ ลบ
อา ปา ม จุ ป มาบังเกดิ เป็น อา ปญจฺ ลบ มิ มาบงั เกดิ เป็น มิ เอก ลบ อ ส วิ สุ โล ปุ
ส พุ ภ มาบังเกิดเป็น อ นว ลบ ส ห ช ฏ ตฺรี มาบังเกิดเป็น ส ปญฺจ ลบ พุทฺโธ มา
บังเกิดเป็น พุ ทุติ ลบ พา มา นา อุ ก ส น ทุ มาบังเกิดเป็น พา อฏฺฐ ลบ น โม พุทฺ
ธา ย มาบังเกิดเป็น น ปญจฺ

จากน้นั ให้นาทง้ั ตวั เลขและตวั อักษรเข้าสตู่ ารางยนั ต์ สาเรจ็ เป็นยันต์ตรนี ิสงิ เห ดงั รูป

รปู ท่ี 3.3 ยันตต์ รีนสิ งิ เหท่ปี ระกอบด้วยตัวเลขและตวั อักษร ทีม่ า: คมั ภรี ต์ รนี ิสิงเห สานวน ค.
ในขั้นการทากลยันต์ทั้งสองแบบนี้ เม่ือนาอัตราทวาทสมงคลไปใส่ไว้ในตาราง ซ่ึง

ตารางยันตจ์ าลองแบบมาจากแผนภูมิจักรราศี ตารางยันต์มี 12 ชอ่ งเท่ากับแผนภมู ิดวงดาวยุคโบราณ
ในขั้นนี้จึงเกิดเป็น “ยันต์ตรีนิสิงเห” ถือเป็นองค์ความรู้สาคัญอย่างหนึ่ง เน่ืองจากยันต์นี้มีบทบาท
อย่างมากต่อผู้คนในอดีต ไม่ว่าจะใช้ในการแพทย์ไทยโบราณ พิธีการเกิด พิธีปลูกเรือน พิธีตั้งศาล
พระภูมิ ซึง่ จะกลา่ วโดยละเอยี ดในบทที่ 4

3.4.1.2 การนาผลหารอัตราทวาทสมงคลไปทาเป็นยนั ต์
ผลลัพธ์จากการหารอตั ราทวาทสมงคลสามารถนามาสร้างเป็นยันต์ได้เช่นกัน การใช้

ผลหารอัตราทวาทสมงคลนิยมท่ีหารด้วย 5 เพราะเลข 5 หมายถึงพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ถือเป็น
เลขท่ีมีความสาคัญในระบบเลขยันตไ์ ทย และเม่ือหารดว้ ย 5 จะไดผ้ ลเป็นเลข 0 สามตัว ประกอบด้วย
7 5 0 9 3 0 3 7 0 5 7 เปน็ หลัก เม่อื สังเกตผลลัพธ์ จะได้เลขเป็นคู่ คือ 3 ค่หู นง่ึ 5 คู่หนง่ึ 7 คู่หนง่ึ 9

89
คู่หนึ่ง และศูนย์ 3 ตัว เลขชุดนี้สามารถนาไปสร้างเปน็ ยันต์รูปแบบต่างได้ เช่น โยงเส้นจากตัวเลขแต่
ละคู่ เหลือศูนย์อยู่กึ่งกลาง ลงอักขระ น โม พุทฺ ธา ย โดยลาดับ และศูนย์อยู่เหนืออกั ขระพระเจา้ 5
พระองค์ มีองค์พระสามองค์ มีอักขระ ม อ อุ และสัญลกั ษณ์ อุณาโลมเหนือตัว อ ท่ีอยู่เหนือองค์พระ
อกี ที ดงั ทีป่ รากฏรปู ยนั ตใ์ น คมั ภีรต์ รีนสิ งิ เห สานวน ข ดังนี้

รูปที่ 3.4 ยันตอ์ ัตราเลข 5 คณู 5 หาร ทมี่ า: คัมภีร์ตรีนสิ งิ เห สานวน ข
คัมภีร์ตรีนสิ ิงเห สานวน จ มีการทาองค์พระ จากผลหารอตั ราทวาทสมงคลดว้ ย 5 เช่นกัน
ดังนี้

อน่ึงให้ตั้งตรีนสิ ิงเหลง ดงั น้ี ๓ ๗ ๕ ๔ ๖ ๕ ๑ ๙ ๕ ๒ ๘ ๕ ลงแล้ว
เอาปญั จพุทธา คอื ๕ คูณแล้ว หารได้เลข ลบั ดังนี้ ๓ ๗ ๕ ๔ ๖ ๕ ๑ ๙ ๕ ๒ ๘ ๕
แล้ว เอาปัญจพุทธา หาร ลงไปอีก ได้ลับ ดังนี้ ๗ ๕ ๐ ๙ ๓ ๐ ๓ ๙ ๐ ๕ ๗ แล้ว
ทาเปน็ องค์พระ ดงั นี้

รปู ที่ 3.5 ยันตอ์ งค์พระจากอตั ราเลข 5 คณู 5 หาร ท่ีมา: คัมภีร์ตรีนิสิงเห สานวน จ

90

อัตราทวาทสมงคลและชุดตัวเลขที่ปรากฎในคัมภีร์ตรีนิสิงเหไม่เพียงแต่มีบทบาทสาคัญใน
คัมภีร์ตรีนสิ ิงเหเท่าน้ัน แต่โบราณาจารย์ยังได้นาเอาชุดตัวเลขเหล่าน้ันไปสร้างเปน็ ยนั ต์หลายรูปแบบ
เพือ่ ใช้ในพิธกี รรมตา่ ง ๆ ซง่ึ ผู้วจิ ัยจะกลา่ วอย่างละเอียดในบทท่ี 4

3.5 อุปเท่หแ์ ละการนาไปใช้

การนาความรู้ท่ไี ดจ้ ากคัมภรี ต์ รนี ิสงิ เหไปใช้ ผู้ท่ีศึกษาสามารถนาเอาผงท่ีได้จากการเขียนและ
ลบอักขระยันต์ตามกระบวนการท่ีปรากฏในคัมภีร์ตรีนิสิงเหไปใช้ทาเคร่ืองรางของขลังหรือประกอบ
พิธีกรรมต่าง ๆ โดยตรง ตามอุปเท่ห์ท่ีกล่าวไว้ในคัมภีร์ โครงส่วนอุปเท่ห์พบในคัมภีร์ตรีนิสิงเกือบทุก
สานวน ยกเว้นสานวน ข ซึ่งเน้ือหาในส่วนนี้ชารุดหายไป แต่ที่กล่าวไว้ดดยละเอียดครบถ้วน คือ
สานวน ก ซ่งึ จะไดท้ าการศกึ ษาวิเคราะห์ ดังนี้

3.5.1 การนาผงวเิ ศษไปใชโ้ ดยตรง

การนาเอาผงท่ีได้จากการเขียนและลบอักขระเลขยันต์ในคัมภีร์ตรีนิสิงเหไ ปใช้
เนื้อหาในคัมภีร์มีการอธิบายคุณวิเศษของผงดินสอท่ีเขียนและลบในแต่ละขั้นเอาไว้ ว่ามีคุณวิเศษ
แตกต่างกันออกไป การใช้ผงดินสอในบางข้ันจะมีการผสมเครื่องยาบางชนิด หรือประกอบพิธีกรรม
บางอย่างเพื่อเพม่ิ ประสิทธผิ ลด้านความศักดสิ์ ทิ ธิต์ ามท่ีผูใ้ ช้ปรารถนา ดงั เช่นเน้ือความในคัมภรี ต์ รนี สิ งิ
เห สานวน ก ท่ีกล่าวไว้ดงั นี้

เมือจะเอาผงดีนส่อในตรีนิสิงเหให้ว่า คาถา นี จึงลบผงเทีษ
เป็นประสิทิแล ฯ คุน พุทิเจ้า ๕๖ คุน ธรั รมเจ้า ๓๘ คุน ศงเจ้า ๑๕ ฯ
ตรีนิสิงฺเห สตฺตนาเค ปญฺจพิสฺสลู นเมว จ จตฺตุเทวา ฉวสฺสราชา ปญฺจอินฺ
ตรา นเมว จ เอก ยกขฺ นวเทวา ปญฺจ พฺรหฺมาสหบดี ทเวราชา อตฺถอรหนฺ
ตา ปญจฺ พุทธฺ า นมามิหํ

ผิจะทาเลกในตรีนิสิงเห ให้ตังอัฐตราในรูปตรีนิสิงเหนีลงแล ฯ
๓๗๕๔๖๕๑๙๕๒๖๕ ตังดังนีให้ได้ ๑๒ ถาร แล้วจึงใวใชตามอุปะเทนั้นเทีย
เมื่อแรกจะทาเทียนหนัก ตามถ่วาย พุทิเจ้า ตรงหน้า ประสิทิแล

91

แล้วเอาผงดิ่นสอ่ น้ันกลุ กี วร กบั นา้ มรรหอมเอาฑลาตัวเองเสก ๑๐๘ คา เอาไว้
เปน็ ผงประทวิ เสฎ หาคาหมีไดเ้ หลย แล้วเอาผงไวใ้ ชต้ ามอุปะเทสพื ไปยเทษี ฯ

จากที่ยกตัวอย่าง การนาผงตรีนิสิงเหไปใช้ในบางขั้น ต้องมีการประกอบพิธีกรรม
เพ่ิมเติม เพื่อยังให้เกิดผลเฉพาะทางตามที่ผู้กระทาปรารถนา โดยมีการเสกคาถาต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น
คุณพระพุทธเจา้ 56 คุณพระธรรมเจ้า 38 คณุ พระสงั ฆเจา้ 14 จากน้ันใหน้ าเอาผงดินสอผสมกับน้ามนั
หอม แล้วจึงนาไปใช้ การใช้ผงตรีนิสิงเหยังมีอีกหลายรูปแบบ ผงตรีนิสิงเหไม่ได้มีอานุภาพตายตัว
เสมอไป แม้แต่วิธีการใช้ก็เป็นปัจจัยสาคัญที่ยังให้เกิดผลท่ีแตกต่างเช่นกัน ดังที่กล่าวไว้ใน คัมภีร์ตรีนิ
สงิ เห สานวน ก ดังน้ี

ถาจะทาตัวตรีนสี ิงเห เอาผงดิ่นส่อไวแล้วจึงเอาดอกบัว ๑ อยันตรนี ี
ส่ิงเหลงดอกไม่ทังปวงให้ได้ ๑๐๐ คา จึงเปนประสิทิเปนสะเนก็ดี สะเดาะ
โซรตรวน คือตาก็ดี ถาจ่ถอยออกก็ดีเอาผงด่ินส่อมาอมแล้ว ภาวน่ า ๙ คา ลุด
สิ่นแลฯ ถาจ่ส่กบลูกสาวท่ารก็ดีเอาผงดิ่นส่อมาอมจนไป แม้รตามไตก็หมีรู้ สึก
ตัวเลย อาจาริยท่านกล่าวไว้ให้ทาแต วัน ๓๗ แลทาเส่นหะทาว ทังล้าย เอา
ผงด่ินส่อมาห่อชายผาไว แม่นโทดถึงตายภาวนาเอาควรหมีตายเล้ย ถ้าจะทา
ให้อยู่แก่หอกดาบทังงปวงเอาผงดิ่นส่อมาล่ลายนากิ่นก็ดีเสก ๑๑ คา ..คงทน
ชาตรีแล ถาจะกาบังเอาผงดิ่นส่อมาอมไว ภาวนาไห้ได้ ๑๐๐ หนึ่งไป วันหนึ่ง
อยังค่า หมีเหนตัวเราเลย ถาจะทามะหาจังงังก็ดีเอาผงด่ินส่อมาทา ภาวนา
ไปย หอกดาบลุยส่ิน ฝันแทงหมีถูกให้เอานาม้รรดิบ ผงด่ินส่อมาเสก ๑๙ คา
จึงทึงผงด่ินส่อลงในน้ าม้รรก็ลกู ข้นึ เปนไฟอยู่บลนาม้รรแล ถาจะดับไฟเสีย เอา
ผงด่ินส่อกับนาม้รรมาเสก ๓ คา เทลงไนนาม้รรไฟนั้นดบั แล ถาจให้สตรีภาพ
รักเอาพลู รวมใจสามไบเศกกับมากให้กินมาหาเราแล ทาผงดิ่นส่อไสไนปูนให้
เสก ม้รรไสดินส่อม้รรักเราแล ฯ ถาจะให้คงกระพันชาตรี เอาผงดิ่นส่อมา
เสก ถาจปลกู เคร่อื งเษ่นผงดนิ ส่อมาเสกในใจ ๓ ผงด่นิ สอเสก แลเครื่องก็
ดี คาถาดี มิอยู่เลย ถาจเปนความเสกผงดิ่นส่อ ทาตัวเราฉณ่แล ฯ ถาจลุยไฟ
ดานาลงต่กัว เอาผงดนิ่ สอ่ ทาแล้ว ลงเท่ดิ หมิแพ เลย ฯ

92

จากเนื้อหาส่วนที่ยกมา จะเห็นได้ว่า การนาผงท่ีได้จากการเขียน-ลบไปใช้ เมื่อ
ประกอบกับเครื่องยาอน่ื ที่ใช้ร่วมกับผง เช่น ดอกไม้บางชนิด หรือพืชบางชนิด จะทาให้ผลของผงนั้นมี
อานุภาพต่างไปจากเดิม หรือวิธีการใช้ท่ีแตกต่างกัน ก็ให้ผลไม่เหมือนกัน รวมถึงคาถาหรือมนต์ที่ใช้
ปลุกเสกผงก็มีผลโดยตรงกับอานุภาพ ท่ียังให้เกิดผลในรูปแบบที่ต่างออกไป ถึงแม้จะเป็นผงตรีนิสิงเห
เหมอื นกันก็ตาม

ในบางครั้ง โบราณาจารย์จะมีการกาหนดส่วนผสมที่เป็นสมุนไพรบางชนิดหรือวัตถุ
อาถรรพ์ เรียกว่า “เครื่องยา” เพ่ือใช้ผสมกับผงตรีนิสิงเห ทาให้เกิดอานุภาพที่ย่ิงขึ้นไป เครื่องยา
เหล่านี้ต้องอาศัยผู้ท่ีมีความรู้เก่ียวกับสมุนไพรและไสยศาสตร์เป็นผู้ปรุง ไม่สามารถใช้ความรู้แพทย์
แผนไทยทวั่ ไปได้ เพราะส่วนผสมบางอยา่ งเป็นทรี่ ู้เฉพาะในหมูผ่ ้เู ลา่ เรียนวชิ าไสยศาสตร์เท่านั้น ดงั เช่น
ดอกรักซ้อน ซ่ึงลักษณะของดอกรักซ้อนไม่เหมือนดอกรักโดยท่ัวไป ดอกรักซ้อนจะมีกลีบเลี้ยงสองชั้น
ใบพลูร่วมเกิดมาจากการที่ใบพลูแฝดติดกันตรงก้านพลู ใบพลูหน้าชนติดกัน ก้านส่วนท่ีติดกับใบติด
เป็นเน้ือเดยี วกัน หัวโขมด มีผู้อธิบายไว้ว่า เป็นผีชนิดหนึ่ง มาจากภาษาเขมร "โขฺมจ" แปลวา่ ผีทว่ั ไป73
ในพจนานุกรม ฉบบั ราชบัณฑิตยสถาน อธบิ ายคาว่า โขมด ว่า

ชื่อผีชนิดหน่ึงในพวกผีกระสือหรือผีโพง เห็นเป็นแสง เรือง
วาวในเวลากลางคืน ทาให้หลงผิดนึกว่ามีคนถือไฟหรือจุดไฟอยู่
ข้างหน้า พอเข้าไปใกล้ก็หายไป ทางวิทยาศาสตร์ อธิบายว่า ได้แก่
แก๊สมีเทน ที่เกิดจากการเน่าเปื่อยผุพังของสารอินทรีย์แล้ว ติดไฟใน
อากาศ เป็นแสงวอบแวบในทีม่ ดื 74

หากวินิจฉัยตามคาอธิบายที่ให้ไว้นี้ “โขมด” น่าจะเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติไม่
น่าจะมีวัตถุอินทรีย์สารใด ๆ ท่ีจะนามาผสมกับผงตรีนิสิงเหได้ แต่จากการสัมภาษณ์ผู้ที่มีความรู้
ในทางไสยศาสตร์ มีความเห็นว่า หัวโขมดท่ีใช้ผสมในผงตรีนิสิงเหน้ี น่าจะเป็นกะโหลกของผีครู

73 บรรจบ พันธุเมธา, ศาสตราจารย์, ดร., ภาษาต่างประเทศในภาษาไทย, พิมพ์ครงั้ ที่ 3 (กรงุ เทพฯ :
ภาควิชาภาษาไทยและภาษาตะวันออก คณะมนุษยศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยรามคาแหง, 2514), หน้า 67

74ราชบัณฑติ ยสถาน, พจนานุกรม ฉบบั ราชบัณฑติ ยสถาน พ.ศ. 2542, (กรุงเทพฯ : นานมีบุ๊คส์
พบั ลิเคชนั่ ส,์ 2546), หนา้ 208.

93

กล่าวคือ ในบางความเชือ่ จะมีการบูชากะโหลกของครอู าจารย์ไว้บนทบ่ี ูชา นับถือว่าศักด์ิสทิ ธิ์ ส่วนหัว
พรายหรือหัวผีพราย ในทางไสยศาสตร์หมายถึงกะโหลกของผู้ที่จมน้าเสียชีวิต หัวผีตายโหงหมายถึง
กะโหลกของผู้ที่เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุ เคร่ืองยาเหล่าน้ีผู้ท่ีจะนามาใช้ต้องมีความเช่ียวชาญในวิชาไสย
ศาสตร์พอควร ไม่เพียงต้องรู้จักเคร่ืองยาเป็นอย่างดี แต่ต้องทราบถึงรายละเอียดด้วยว่า ใช้อย่างไร
และใช้ส่วนไหน อย่างเช่นคาว่าหัว มิใช่ว่าใช้ท้ังหมด ใช้เพียงส่วนกะโหลกโดยวิธีการนาเอาไปเผาให้
เป็นผงแลว้ จึงนามาผสมเป็นเครือ่ งยา ดงั ที่กล่าวไว้ใน คัมภีรต์ รนี ิสงิ เห สานวน ก ว่า

ดอกบัวลวง ๆ ลงอยันลงดอกไม้ท้ังปวงแล เอาดอกบัว ๑ แล้ว
เอาดอกไม่ ๑๐๘ จึงตากให้แห้งแล้วเอา บุลนาก ๑กฤษณา ๑ จันหอม ๑
กะลาพัก ๑ ขอนดอก ๑ หัวข่โมด ๑ หัวพราย๑ ดอกรักซ้อน ๑ หัวโขมดหัว
พร้าย เอาทากับเทา แม่มือเผาให้จงไมเปนเทาแล้ว บดกับดอกไม้ท้ังปวงนั้น
แล้ว เสนเลาเข้า เปล่ิอก เน่ิอปลาเครื่องอาห้านท้ังปวงให้มันแล้ว จงเอาผง
ดินสอใส่ลง เมื่อทาผงดิ่นสอนั้นเสก ๑๐๐ ท่ี ทั้ง ๑๒ บทนั้น แล้วปรงสมกัน
เขากัปดอกบัวน้ัน ให้เสก ๑๐๘ ปันเปนแทงไว้ เมือจ่ทายาน้ันให้บวด ๓ วัน
แลว้ ใหอ้ ยแู่ ก่ สน่ิ ๘๕ จงิ ทาประสทิ แิ ลฯ

การใช้ผงตรีนิสิงเหในกรณีท่ีต้องการให้ผลเกิดเฉพาะบุคคลทั้งผู้ที่ใช้หรือผู้ที่เป็น
เป้าหมายของการใช้ ดังเช่นในกรณีที่ปรารถนาให้เจ้านายรัก จะมีการเขียนชื่อตัวเราไว้ในยันต์ท่ี
กาหนด แต่หากปรารถนาให้เป็นผลแก่บุคคลอื่นให้เขียนชื่อบุคคลน้ันลงไป ในคัมภีร์ตรีนิสิงเหจะใช้
คาวา่ ลงชอ่ื ตามปรารถนา ยันตต์ รีนิสงิ ในแตล่ ะชน้ั ท่เี กิดจากการคูณ หารอตั ราทวาทสมงคลด้วยเลข
แต่ละอันดับ จะมีอานุภาพแตกต่างกันออกไป เช่น พระยาฉัททันต์ถอดรูปมีอานุภาพ เป็นเสน่ห์แก่
คนท้ังหลาย เพชรฉลูกรรม์ถอดรูป มีอานุภาพทาให้คนเห็นว่างาม ทาสิ่งใดก็สาเร็จ เทวดาถอดรูปมี
อานุภาพทาให้อยู่ยงคงกระพัน ใช้ในการเข้าสู่ศึกสงคราม ดังท่ีปรากฏใน คัมภีร์ตรีนิสิงเห สานวน ข
ดังน้ี

กลหน่งึ ท่านให้ตั้งตรีนสิ ิงเห (ทวาทสมงคล) ลง เอา ๗ คูณ ๗ หาร
ให้ได้ ๗ หน ชื่อพระยาฉัททันต์ถอดรูป ให้ลงภควัมบดีองค์เดียว ๗ หน แล้ว
ลงชื่อตามองค์พระตามปรารถนา หรือจะเขียนลงที่หน้าผากก็ได้ แล้วเสก

94

ดว้ ยคาถาภควมั บดี ๓ คาบ หรอื ตามกาลังวนั กไ็ ด้ เมือ่ เสร็จแล้วลบผดั หน้าไป
เถิด คนทง้ั หลายเหน็ เรารกั เราแล

กลหนึง่ ทา่ นให้ตั้งตรนี สิ ิงเห (ทวาทสมงคล) ลง เอา ๕ คูณ ๕ หาร
ให้ได้ ๕ หน ชื่อเพ็ชร์ฉลูกรรม์ถอดรูป แล้วลงชื่อกลางยันต์ตามปรารถนา
เสกด้วยคาถาภควัมบดี ๕ คาบ อิติปารมิตาติงสา อติ ิสัพพัญญูมาคตา อิติโพธิ
มนุปฺปตฺโต อิติปิโสจเตนโม ๕ คาบ นโม ๕ คาบ อิติปิโส-ภควาติ ๕ คาบ
ประทับตราพระราชสีห์ ๕ คาบ แล้วเอาผงทาตัวเป็นเสน่ห์แก่คนทั้งหลาย
เขาเหน็ งามเหมือนเทวดา จะทาการอันใดกด็ กี ็งาม

กลหนง่ึ ท่านใหต้ ้ังตรนี ิสิงเห (ทวาทสมงคล) ลง เอา ๔ คูณ ๔ หาร
ให้ได้ ๔ หนชื่อเทวดาถอดรูปให้ลงยันต์แล้วลงช่ือในองค์พระ เสกด้วยคาถา
พระภควัมบดี ๔ คาบ ตัวเอง ๔ คาบอติ ปิ ารมติ าติงสา อติ สิ พั พญั ญมู าคตา อิ
ติโพธิมนุปฺปตฺโต อิติปิโสจเตนโม ๔ คาบ นโม ๔ คาบ อิธเจตโส ทฬฺหคณฺ
หาหิถามสา ๔ คาบ ประทับตราพระราชสีห์ ๔ คาบ แล้วเอาผงทาตัวไปหา
ขนุ นางท้าวพระยาสมณะชีพราหมณแ์ ละสตรี เหน็ หน้าเรารักเราดังสามี

กลหน่งึ ท่านใหต้ ้ังตรีนิสงิ เห (ทวาทสมงคล) ลง เอา ๖ คูณ ๖ หาร
ให้ได้ ๖ หนให้ลงยันต์ลงช่ือตามปรารถนา แล้วเสกดว้ ยตัวเอง ๖ คาบ คาถา
ภควัมบดี ๖ คาบอิติปารมิตาติงสา อิติสัพพัญญูมาคตา อิติโพธิมนุปฺปตฺโต อิ
ตปิ ิโสจเตนโม ๖ คาบ เหมือนกันแล้วเอาผงทาตัว เข้าการรณรงค์สงคราม ตี
ปล้ากนั ก็ได้ ไมเ่ จบ็ ไมแ่ ตกไมฟ่ กแวม และไมแ่ พเ้ ขาเลย ทั้งเป็นเสนห่ ์ดว้ ย

นอกจากนี้ ยังมีการใช้ผงตรีนิสิงเหท่ีทาสาเร็จแล้วในแต่ละข้ันผสมกับวัสดุบางอย่าง
เพ่ือสร้างเป็นวัตถุมงคลท่ีมีรูปแบบเฉพาะตัว เช่น การนาผงไปผสมทาสีผ้ึง ซึ่งเป็นวัตถุมงคลท่ีใช้ทา
บริเวณริมฝีปาก เรียกกริยาทา(ปาก) ว่า สี(ปาก) เชื่อว่ามีอานุภาพทางด้านเมตตามหานิยมและ
มหาอานาจ เป็นท่ีน่าสังเกตว่าสีผ้ึงจะมีอานุภาพไปในทางใดข้ึนอยู่กับองค์ประกอบสองประการ
ประการแรก ผงท่ีนามาผสม ถึงแม้ว่าจะเป็นผงจากการลบเลขยันต์ในคัมภีร์ตรีนิสิงเหเหมือนกัน แต่
ขึ้นอยู่กับว่าลบเอาผงท่ีทาในข้ันใดมาผสมในสีผ้ึงน้ัน และประการที่สอง การใช้สีผ้ึงมีรูปแบบเฉพาะ

95

ไม่ใชเ่ พียงแต่สีปากเท่าน้ัน คนโบราณเลือกน้ิวที่ใชส้ ีปากวา่ น้ิวใดทาให้เกิดอานุภาพทางใด เช่น ไปหา
ท้าวพญา สมณะ ชีพราหมณใ์ หใ้ ช้นิ้วช้ี หากไปหาสตรีให้ใชน้ ว้ิ นาง การทาสผี ึง้ นั้นโบราณทาโดยการหุง
หรือการนาเอาข้ีผึ้งต้ังบนไฟ การก่อไฟนั้นต้องใช้ไม้ตามท่ีตารากาหนด มาทาเปน็ ฟนื เพ่ือให้ความร้อน
เช่น ไม้รัก ไม้สัก เป็นต้น เมื่อขี้ผ้ึงละลายดีแล้วจึงผสมส่วนประกอบต่าง ๆ รวมทั้งผงตรีนิสิงเหลงไป
โดยนาผงตรีนิสิงเหเจือด้วยน้ามันหอมใสล่ งในขี้ผ้ึงที่ตัง้ ไฟไวน้ ั้น ในส่วนของพธิ ีกรรมจะมีเครื่องบชู าครู
โดยเฉพาะ และบังคับทิศทางในการกระทาการหุงสีผึง้ ดงั ทก่ี ลา่ วไวใ้ น คมั ภรี ต์ รนี ิสิงเห สานวน ข ดงั น้ี

เม่ือจะทาเอาเทียน ๕ เล่ม ข้าวตอกดอกไม้ส่ิงละ ๕ บูชาพระ
พทุ ธ พระธรรม พระสงฆ์ และครูบาอาจารย์โดยเคารพ เงินตดิ เทียน ๒ สลึง
ให้ทาด่ังน้ีเหมือนกันทุก ๆ บท เม่ือจะทาให้บ่ายหน้าไปทิศบูรพา ตามเทวดา
ตามกาลงั วัน วเิ ศษนัก ตามแต่จะใช้เถดิ ประสทิ ธทิ์ กุ อนั

นอกจากนี้ผงตรีนิสิงเหที่ใส่ลงในสีผ้ึงที่ทาสาเร็จในแตล่ ะข้ันถือว่ามีอานุภาพแตกต่าง
กนั ไป ดังน้ี

กลหนง่ึ ทา่ นใหต้ ัง้ ตรีนสิ ิงเห (ทวาทสมงคล) ลง เอา ๙ คูณ ๙ หาร
ช่ือนวหรคุณทง้ั ๙ ถอดรปู ให้ลงพระภควมั บดี ๙ หน ลงชื่อกลางยันต์ ๙ หน
ๆ ละ ๙ จบ แล้วเสกด้วยคาถาพระภควัมบดี ๙ คาบ ตัวเอง ๙ คาบ อติ ิปาร
มิตาติงสา อิติสัพพัญญูมาคตา อิติโพธิมนุปฺปตฺโต อิติปิโสจเตนโม ๙ คาบ
นโม ๙ คาบอิธเจตโสทณฺหคณฺหาหิถามสา ๙ คาบ โสฬสมงคล ๙ คาบ
ประทับตราพระราชสีห์ ๙ คาบ แล้วเอาผงทาตัวเป็นตบะเดชะด้วย จะ
ปรารถนาส่ิงใด ๆ ได้แสนหน่ึง ลงประเจียดคงกะพัน เอาผงหุงสีผึ้งเป็นเสน่ห์
ดีนกั

กลหน่งึ ท่านให้ตงั้ ตรีนิสงิ เห (ทวาทสมงคล) ลง เอา ๒ คูณ ๒ หาร
ชอ่ื พระยาสององคพ์ นี่ ้องถอดรูปไปหานางทง้ั ปวง ใหล้ งประทับพระภควัมบดี
๒ หน ถ้าทาตามกาลังวันได้วิเศษนัก ให้ลงชื่อกลางยันต์ เสกด้วยคาถาพระ
ภควมั ๒ คาบ ประทับตราพระราชสีห์ ๒ คาบ แล้วเอาผงทาตัวไปหาสตรรี กั
เราย่ิงนัก ถ้าพบผู้ใหญ่ท้ังปวงเห็นหน้าเรารักนัก เอาผงใส่น้ามันหุงสีผึ้งสีปาก

96

เป็นเสน่ห์แก่คนท้ังเมือง ถ้าจะผูกไมตรีกับผู้ชายผู้หญิงทั้งปวงก็ดี ลูกค้า
พาณิช สมณะชีพราหมณ์และท้าวพระยาก็ดี เอาผงทาตัวก็ได้ ให้กินก็ได้รัก
เรา ถ้าจะมีที่ไปแห่งใด ๆ ให้เสกด้วย ปิโยฯลฯ และ มออุ พฺรหฺมจิตฺต ฯลฯ
ตามกาลังวนั อยา่ สนเท่ห์เลย

กลหนง่ึ ท่านให้ตง้ั ตรนี ิสงิ เห (ทวาทสมงคล) ลง เอา ๘ คูณ ๘ หาร
ช่อื พระอรหนั ต์ทัง้ ๘ ถอดรปู แผลฤทธ์ิ ใหล้ งพระภควัมบดี ๘ หน ลงชอ่ื กลาง
ยนั ต์ตามปรารถนา แลว้ เสกด้วยคาถาพระภควัม ๘ คาบ (เสก)ดว้ ย อติ ปิ ารมิ
ตาตงิ สา อิติสพฺพญฺญูมาคตา อิติโพธิมนุปฺปตโฺ ต อติ ิปโิ สจเตนโม ๘ คาบ ดว้ ย
มนต์น้ีอีก โอมสิทฺธิการ นโมพุทฺธาย พระครูอาจารย์เธอจึงให้กูมาสูบจิต
มนษุ ยห์ ญงิ ชายใหก้ ลวั กู เหมือนเน้ืออนั กลัวเสอื เหมือนงูอันกลวั ครฑุ เหมอื น
เขียดอันกลัวงู สิงฺโห วิย อิทฺธิ เม จตฺต ภายนฺติ สูมากลัวกูเหมือนพระยา
ราชสีห์ เมื่อแผลงฤทธิ์แผดเสียงร้องก้องพงไพร สรรพมนุษย์สัตว์ใดแพ้แก่กู
ทุกคน พยคฺโฆ วิย อิทฺธิ เม จิตฺต ภายนฺติ มาณพน้อยย่อมสั่งอาวุธมาให้กู
ทั้งส้ิน ย มึงมาเหมือนกลัวกูใจจะขาดตาย โอมสิทฺธิสฺวาห สฺวาโหม ๘ คาบ
แล้วประทับตราพระราชสีห์ ๘ คาบ เอาผงไว้ทาตัวไปหาท้าวพระยานารีท้ัง
ปวง จะปรารถนาส่งใด ๆ ก็ได้ทุกประการ เอาผงใส่น้ามันสีผึ้งสีปาก และใส่
หวั เปน็ เสนห่ ด์ ีนัก ถึงจะใชก้ ารหนักเรากม็ ไิ ดใ้ ช้ ให้เลา่ เรยี นเอาเถิดดนี ัก

จากเนื้อหาท่ียกมาจะเห็นได้ว่า ผงในแต่ละช้ันถึงแม้จะมีอานุภาพด้วยตวั
ของผงเองแลว้ หากมาหงุ เป็นสผี ง้ึ จะมีอานภุ าพต่างไปจากเดมิ ไดบ้ ้าง เชน่ ผงในชน้ั นวหรคณุ ทั้ง 9 ถอด
รูป ตัวผงเป็นคงกระพันชาตรี แต่เมื่อผสมลงในสผี ึง้ จะเป็นเสน่ห์ ผงในชั้นพระยาสององคพ์ ่ีนอ้ งถอดรปู
ไปหานางท้ังปวง ตัวผงเองเป็นมหานิยมต่อผู้ใหญ่ แต่เม่ือเอาผงใส่ลงในน้ามันหอมแล้วหุงเป็นสีผ้ึง จะ
กลายเป็นมหานิยมแก่คนท่ัวไปท้ังหมด ผงในชั้นพระอรหันต์ทั้ง 8 ถอดรูปแผลงฤทธ์ิเป็นมหาอานาจ
แตห่ ากนามาหุงเปน็ สผี ึง้ ก็จะทาให้ไดส้ ่งิ ของจากผู้ใหญต่ ามทปี่ รารถนา

97

3.5.2 การนาเอากลเลขและกลยนั ตใ์ นคัมภรี ์ตรนี สิ ิงเหไปใช้สร้างเคร่อื งราง

ในข้อ 3.4 ซึ่งผู้วิจัยได้กล่าวไว้แล้วน้ันเป็นเรื่องของการลบผงและการทากลเลขกล
ยันต์ แต่ยังไม่เป็นเนื้อหาของการนาไปใช้ ในโครงสร้างส่วนท่ี 5 นี้ แม้จะเกี่ยวขอ้ งกับกลเลขกลยันต์ก็
ตาม ไมไ่ ดเ้ น้นเร่ืองวธิ ีการทา หากแต่เน้นการนาไปใชใ้ นรูปแบบต่างๆ การใช้ประโยชนอ์ งค์ความรู้ท่ีได้
จากคัมภรี ์ตรีนิสิงเหนั้น ไม่เพียงแตก่ ารใช้ผงท่ีได้จากการเขียนลบเลขยันตใ์ นคัมภีร์ในขั้นต่าง ๆ ตามท่ี
ได้กล่าวไว้แล้วในข้อก่อนหน้านี้ แต่ยังมีการนาเอากลเลขและกลยันต์ต่าง ๆ ในคัมภีร์ตรีนิสิงเหไปใช้
โดยตรง ในที่น้ีหมายความว่าไม่จาเป็นต้องลบเป็นผง แต่สามารถนาเอาพระยันต์ต่าง ๆ ตามท่ีระบุไว้
ไปใช้ สรา้ งเปน็ เคร่อื งรางของขลงั ได้ทันที ได้แก่

1) การทาสีผึ้ง ซ่ึงเป็นเครื่องรางของคนโบราณ ใช้สีปาก การหุงสีผ้ึงแบบ
โบราณ มีขัน้ ตอนทยี่ ่งุ ยาก ฟืนทใี่ ชใ้ นการหงุ ต้องเปน็ ไมต้ ามที่กาหนด ตอ้ งใชใ้ บไมช้ ่ือมงคลรองกอ้ นเสา้
สาหรับหุงด้วย ต้องมีการประกอบพิธีกรรมตา่ ง ๆ ตงั้ แต่การบูชาครู ดงั ท่ีกล่าวแล้วก่อนหน้านี้ ในการ
หงุ สผี ง้ึ มขี น้ั ตอนดงั ที่กลา่ วไว้ ใน คัมภีรต์ รนี ิสงิ เห สานวน ก ดงั นี้

ยันโสลดมงคนทาเมือเพงวันจัน ฃีผ่งึ หงุ ด้วยฃนั สารีษแล้วเฃียน
ยันโสลดลงทังหน้าทังงหลงั ลงไปตานแชลงไว้ในขันนนั้ แล้วเอาดอกบาญหมี
รู้โรย ๕ ดอก ตากให้แหง ฟืนไมรัก ๑๕ ดุน ไมสัก ๗ ดุน แล้วเฃียน สพฺเพ
ชนา พหูชนา ลงใบรักซอน ๙ ใบ รองกอรเชา ๓ กอร ๆ ละ ๓ ใบ้ แล้วแตง
เพดารกันเพด ทอรไวจึงดี กอรจึงทาการ เอาเทียนนัก เงินติดเทียน

น่ังปนผง เชิงบ้ายหน้าไปบูระภาเสกด้วย คาถานี ยํยํ ปุรุสฺส อิตฺถีวา
๑๐๘ คา ครันทอรสามวันปรุงด้วยของหอมทังงปวง เมือจ่ใชเสก ๗ คา
ด้วยยํยํ ปรุ สุ สฺ อติ ฺถวี า สปี ากเทษี ดนี กั แลฯ

จะเห็นได้ว่านอกจากการใช้ผงผสมลงไปในน้ามันหอมเพื่อหุงเป็นสีผ้ึงแล้ว
ยังสามารใช้ยันต์ในคัมภีร์ตรีนิสิงเหเขียนลงในใบตาล แช่ในน้ามันหอมเพอ่ื หุงเป็นสีผึ้งไดด้ ้วย ในท่ีนี้ใช้
ยนั ตโ์ สฬสมงคล ซ่งึ เป็นยนั ตอ์ ตั ราเลขที่อยู่ในจัตุรสั กลแบบ 4×4

98

2) การทาแหวนพิรอดซึ่งเป็นการลงยันตใ์ นกระดาษ แล้วนามาม้วน จากนั้น
จึงถักเป็นแหวนเสร็จแล้วลงรักเพ่ือให้คงทน หากใช้สวมแขนก็เรียกพิรอดแขน หากใช้สวมนิ้วก็เรียก
พริ อดนวิ้ โดยพริ อดนี้บางครง้ั ต้องโรยผงวิเศษในกระดาษยันต์ เพ่อื เพม่ิ ฤทธ์อิ านาจ ดงั คัมภีร์ตรนี ิสงิ เห
สานวน ก กลา่ วไว้ ดงั นี้

ผจิ ะทาเบญขนั ทังงห้าแหวน้ กระดาศแหวน้ เทฟา ผาแลตายพร้าย
แลแหว้นเครื่องทังงปวงให้ย ตังงอัตรานีลง ๓๗๕๔๖๕๑๙๕๒๖๕ ทาเป็น
ประทัดผูกมือแล เอาเบญขันทัง ๕ หานอัฐตรา ณี คาดได้ลับดังนี เป็น
ประทับถารนี้ นติ ๓ ๗ ๕ ๔ ๖ ๕ ๑ ๙ ๕ ๒ ๘ ๕ ผิ ๓ ๗ ๕ ๔ ๖ ๕ ๑ ๙ ๕
๒ ๘ ๕ ตราไว้ ผจิ ะทาแหว้น กระดาดเอาลับเบญขันลงแผน่ กระดาษแลว้ เอา
สูน ๐ เลกลบั เปน็ หัวแหว้น แลจะทาเป็นหางพิรอดเสกตัวเอง ๑๐๘ คา ดีนกั
แล

3) การสร้างพระภควมั บดีหรือพระปดิ ตา ถือเปน็ เคร่ืองรางท่ีมีมาแต่โบราณ
จนถึงปัจจุบันความนิยมในพระปิดตายังไม่ได้ลดลงแต่อย่างใด ดังจะเห็นได้จากความนิยมในการสร้าง
พระปิดตาของวัดต่าง ๆ และมูลค่าของพระปิดตาบางสานักท่ีสูงมาก เร่ืองเกี่ยวกับพระปิดตามีกล่าว
เอาไวใ้ น ขนุ ชา้ งขนุ แผน ตอน ขุนช้างระดมบา่ วไพรเ่ พ่อื ออกตามนางวนั ทอง ดงั น้ี

จัดแจงแตง่ ตัวนงุ่ ยก เขม็ ขดั รัดอกแลว้ โจงหาง
ผูกตัวเขา้ เปน็ พรวนลว้ นเครือ่ งราง พระปรอทขอดหวา่ งมงคลวง
ลูกไข่ดันทองแดงกาแพงเพชร ไข่เป็ดเป็นหินขมนิ้ ผง
ตะกรุดโทนของท่านอาจารยค์ ง แลว้ อมองคพ์ ระควมั ล้าจงั งงั 75

ในตอน ขุนแผนกับพลายงามทาพิธีปลุกเสกเครื่องราง ก่อนยกพลไปตีเมือง

เชียงใหม่ ดงั น้ี

75 เสภาเรอ่ื งขนุ ชา้ งขนุ แผน, หนา้ 28.

99

จึงเอาพระควมั ทที่ าไว้ ใส่ขันสารดิ ประสทิ ธ์ิมนต์
ในขันนั้นใส่นา้ มนั หอม เสกพรอ้ มเปา่ ลงไปสามหน
พระน่ังขึ้นไดใ้ นบัดดล น้ามนั น้ันทาทนท้ังทุบตี76

จากตวั อย่าง แสดงให้เห็นว่าชาวไทยโบราณรู้จักเคร่ืองรางชนิดน้ีเป็นอย่างดี
โดยลักษณะของพระภควมั หรือพระภควมั บดีน้ัน ทาเป็นลักษณะพระสาวกทาอาการยกมือทั้งสองข้าง
ปดิ หนา้ โดยมากจะใชไ้ มโ้ พธบ์ิ ้าง ไม้รักบา้ ง ไม้หิงหายบ้างแกะเป็นองค์พระ สูงโดยประมาณหนึ่งข้อนิ้ว
มือ นอกจากจะแกะจากไม้แล้ว ยังสามารถลงเป็นผ้าประเจียดใช้พกติดตัวได้เช่นกัน พระภควัมบดีน้ี
เชื่อว่ามีอานุภาพทางด้านป้องกันศาสตราวุธ และใช้ในทางกาบังล่องหนได้เช่นกัน โดยอาราธนาใส่ผ้า
โพกศีรษะไว้หรืออมไว้ในปากก็ได้ วิธีการสร้างพระภควัมบดีทาได้โดยนาเอาผลลัพธ์จากอัตราทวา
ทสมงคลทีห่ ารด้วย 5 ไปลงไวบ้ นองคพ์ ระโดยตรง ดังท่ีกล่าวไวใ้ น คมั ภีรต์ รนี สิ ิงเห สานวน ก ดงั น้ี

ประการหน่ึงท่านให้ลง ภัควัมบดีฃางละ ๔ องค์ ครื อ่าระ
หันทัง๔ องค์แล ฯ เมือเพนวันจันก็ดี วันอังคานก็ดีท่ารให้เอาขมิ้นอ้อย
มาตมให้สุก ตากแดดให้แห่งแล้วตังใบศีรแลว้ แกะใน้โบดเปน็ รูป ภคั วัมบดี
มือรัดอง แล้วจึงเอวลับนี ๗๕ ๙๓ ๓๙ ๕๗ อันลง ภัควัมบดีใน้
วัน ๗๓ ก็ดี แล้วประกอบไปด้วนเครืองทังงปวงอันปาริสุด เมือทา ๆ ต่อหน้า

เจ้า ตามนีเทิด ..ลง ทังงองค์ทังการรองคุลี ปลุกด้วยตรีนีสิงเห ๑๐๘ แล้ว
ลงรักษ์ปิดทองไว้ เมือจะมีทีไป ห่อผาโพกหัวแล้วคงต่ออาวุททังงปวง เป็น
ประเจียดก็ดี เป็นลองหนไปทางปํก ทางเรือดีนักแล ทาไส่ ไคร้ยิง ปืนมาปืน
แตกแล

4) การทาตะกรุด ทาโดยนายันต์ในคัมภีร์ตรีนิสิงเหไปจารยันต์ลงในวัสดุท่ี
แผ่บาง เช่น ทองคา เงิน ตะกั่ว ทองแดง ใบลาน กระดาษหรือหนังสัตว์ แล้วใช้เป็นแผ่นยันต์ก็ได้ หรือ
ม้วนเป็นตะกรุดก็ได้ โดยทั่วไปตะกรุดมีการระบุประเภท โดยเรียกต่อด้วยช่ือยันต์ท่ีลง เช่น ตะกรุดท่ี
ลงด้วยยนั ตโ์ สฬสมงคล เรียกวา่ ตะกรุดโสฬสมงคล ตะกรดุ ท่ีลงด้วยยันต์ตรนี สิ ิงเห เรียกว่า ตะกรดุ ตรี

76 เรอื่ งเดียวกัน, หน้า 68.

100

นิสิงเห การลงยันต์ในตะกรุดจะบังคับวันที่ใช้ลงยันต์เอาไว้ ส่วนมากจะให้ทาใน วัน 3 วัน 7 คือ วัน
อังคารและวันเสาร์ ซ่ึงผู้ศึกษาเลขยันต์เช่ือว่าเป็นวันแข็ง การใช้ตะกรุดมิได้มีแค่การพกติดตัวไป
บางครั้งทาไว้เพ่ือแช่ในน้ามัน แล้วใช้แค่น้ามันท่ีแช่ตะกรุด เช่ือว่ามีอานุภาพต่าง ๆ ดังที่กล่าวไว้ใน
คมั ภีรต์ รนี ิสงิ เห สานวน ก ดงั น้ี

ยันโสลดมงคนให้ลงแผ่นเงินแผ่นทองในวัน ฯ ใหเอาชาติหอระ
คูนถาหมีไดเอาแทงผงตีนิลบแล้วโรยลงอักษรอยันนั้นเทิด ถ้าแลทาเปน กระ
ตุดไชยให้เอาครังพอกนอกเทีษ อน่ึงท่านให้เอายันโสลดมงคนแชน่ามั่นหอ่ม
ไวทาผม แลให้ลงทังงแผ่นยาม่วนเลย แต่ว่ายาให้กระสัตรีถือตองน่ามั่นนีได้
ทา่ นตคี า้ ไว้ย ๕ ทองแลฯ

5) การทาประเจียด ในคัมภีร์ตรีนิสิงเหมีการนาเอายันต์ในคัมภีร์ไปใช้ทา
ประเจียด ซึ่งทาด้วยผ้า โลหะหรือหนังสตั ว์ การลงอักขระเลขยนั ตบ์ นวสั ดเุ หล่านัน้ เพื่อให้เกดิ อานภุ าพ
ทางอยู่ยงคงกระพัน หรือเมตตามหานยิ ม โดยใชโ้ พกศีรษะบ้าง ผูกแขนบ้าง หรือถ้าลงท่ีเสื้อจะเรยี กว่า
เส้ือยนั ต์ ดงั ทก่ี ล่าวไวใ้ น คมั ภีรต์ รนี สิ งิ เห สานวน ก ดังนี้

สิทกิ าริย่ ผจิ ท่ าพไิ ชยมงคนใหเ้ ปนประเจยี ดในโลหะ ใหเขยี นรูปราช
ส๑ี รปู ทง ๑ เพชลูกรั รชือยัน ๑ เทว่ดานงั แท่นเดยี กรั ร ๔ อง ๑ ทรงเครือง
๑ มหายัก ๑ เทว่ดาถือหอกไม้ ๑ พหรมสีหน้า ๑ อ่าระหันนังภาว่นาไต
ตน้ ไม้กาม่พรึก ๑ เจ้า ๕ องนังกาพูฉัด ๑ แล้วตังอัฐตราลง ๑๒ ถาร เอา
กาลังอัฐตราตังดังนี คูนกัรร คูน ตามอันดับกันทุกเมือแล้วเอา อ่าระหัน
ทัง ๘ หารทุกเมือ เสดไวตามอันดับกันถ้ามากกว้า ๙ เอา ๕ หาร เสดตราไว
ทีเดียวกรรนั้น แล้วเสด ๑๒ ถาร ให้นับเอาไนตราดวงหัวดวงหาง พิไชยมง
คน ๒ นันเทีษ แล้วเอาเสดในต่รางดวงพิไชยมงคน แก้วทองพิมงคน ให้รบ
ราชษรลี งตามยาง(อย่าง) ไวนน้ั เทดิ แมน่ ประเจียดไห้ลงวัน ...จงึ่ ใหเ้ อานังววั
ปาผา แลตายพร้ายท่ารให้มาทาดังนีแล ท่ารให้เอานังวัวมาทากวา่ งแตอ่ งคุลี
ให้ลงรักปิดทองเสียกอร แล้วจึงลงอักษรตามยางไวน้ันได้ ๓ ห้า ๔ แล้วเอา
คาถานเี สก ปถม ๑๐๘ ทาตามไวนีเทด่ิ ฯ

101

6) การทาธง เป็นการลงอักขระเลขยันต์บนผืนผ้าท่ีตัดเย็บเป็นรูปธง สมัย
โบราณจะตัดเย็บเป็นธงสามชาย ใช้ติดกับไม้เพ่ือนาขบวนทัพบ้าง โพกศีรษะบ้าง ผูกแขนบ้าง ในการ
ทาธง ผู้ทาต้องเลือกสรรไม้พิเศษมาทาคันธง ซึ่งกาหนดให้ใช้ไม้กาจาย ไม้ตองแตก ไม้ชัยพฤกษ์ เป็น
ต้น ผ้าท่ีจะใช้ลงธงต้องเป็นผ้าบริสุทธ์ิ ได้แก่ผ้าบังสุกุล ใน คัมภีร์ตรีนิสิงเห สานวน ก ใช้คาว่า ปลอด
หวง หมายความว่า ปราศจากเจ้าของ ก่อนจะทาการลงเลขยันตจ์ ะต้องมีเครื่องสังเวยเพื่อบชู าครู ธงนี้
เชอ่ื วา่ มอี านภุ าพทางมหาอานาจ ทาใหศ้ ตั รหู วาดกลัว ดงั ทกี่ ล่าวไว้ใน คมั ภรี ต์ รนี ิสิงเห สานวน ก ดังนี้

สิทิการิย่ ผิจ่ทาทงใชในอัฐตรา เอาตัวต้นตัวปลายบวกเข้า

ด้วยกร้รไดเปนแปดเปนพลห่ านตราไว้ ใหตงั อฐั ตราลง ๘ ถาร ๆ บลเอา ๓ ๔

๕ ๖ ๗ ๘ ๙ ๑๐ คูนโดยอนั ดับกนั สนิ้ ทังง ๘ ถารแล้วเอา อรหํ ท้งง ๘ หารท้

งง ๘ ถารเสดตราไวยอันดับกนั ทังแปดถารแล้วเอาลงในอทั จัก ๒ เปนปลาย

ทัง ๓ จักแล้วเอาคาถานี นวภา ลงจักทัง ๓ เปนต้นทงดังนีแล้วเอา มออุ อุ

อม ลงสูดฯ ถาจะทาทงนีเอาไม่กาจายไมตองแตกก็ดี ไมฟาผาก็ดีไมไช

ยะพฤกก็ดีทาต้นทงดังนี ให้เอาผาผีบ้านอันรู้จักชือ เอามาทา ๓ ษบแล้วจึ่ง

ลงอักษรในทงนั้น ให้ปลอดหวงบริสุดแล้วเอาเข้า ๓ กะทงเทียน ๓ เล่ม

เครื่องเส่น แล้วให้เรียกชือเจ้าบ้านนั้น ด้วยค่าถ้านี ฯ จตฺตุภูตํ อหํภูตาอหํ

วาห อาคจฺฉาหิฯ แล้วว่าชวยเราให้ช่ณ่แก่สัดตรู แล้วจึงลงอักษรนี แต่ไน

บ้านนั้น เมือลงสะงัดคนไปมา จึงเอา คาถานีเสก ๑๐๘ ไวเมือมีทีไปแหง

ไดย ๆ ไป้ณะรงสงครามก็ดี แข่งเรือก็ไดวิ่งขว้ายก็ดี ษาระพัดทีได้ย ๆ

ออกชอื เจ้าทงนีแล้ว ไสหัวเรือไปษีไปบลหัว หาง ไห้เสกด้วยค่าถ้าอัฐตรา ๗
หนา้
คา นณี ะ สดั ตรูถาจะไปแหงไดย ๆ ทงนเี ปนประเสรฐิ นักแล

7) การทาเทียน ทาได้โดยลงยันต์ที่กาหนดในกระดาษ โดยมากจะเขียนช่ือ
ผู้ท่ีต้องการให้เกิดผลไว้ในยันต์ ไม่ว่าจะเป็นผลในทางดีคือให้เกิดความเมตตา รักใคร่ หรือผลในทาง
ร้าย คือ ให้ศัตรูมีอันเป็นไป วิบัติ ป่วยไข้ ซ่ึงการทาเทียนนี้ถือว่าเป็นการเจาะจง จึงต้องเขียนชื่อคนที่
หวังให้ได้รับผลลงไป การเขียนช่ือต้องเรียกสูตรตามท่ีตารากาหนด ในแต่ละตาราอาจมีความแตกตา่ ง
กันไป จากน้ันนาไปควั่นเป็นเทียน โดยปกตจิ ะกาหนดให้มีน้าหนัก 1 บาท เม่ือจะใชเ้ ทียนให้จุดเทียน

102

บูชาพระแล้วสวดคาถาตามที่กาหนด ส่วนใหญจ่ ะกาหนดให้สวดจนเทยี นไหม้หมดเลม่ ดงั ที่กล่าวไวใ้ น
คัมภีรต์ รนี สิ ิงเห สานวน ก ดงั นี้

สิทิการิยะยันตรีสิงเหนี้ ใหลงไสเทียนเสกด้วยคาถา อิติปารมิตา
ถาจให้ผูได้รักใหลงชือผูน้ัน แล้วเอา คาถานีลอมชือ เสกตามถวาย
พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ จึงพ่ิศถารณผู้มีชื่อ อันอยู่ไนเทียนนีมารักขข้า
ดังใจขข้าคิดเทิด จานงนิเทีย ด้วยคุนพระพุทธ พระธรรม พระสง เจ้าเปนที
พึงแก่ขข้านีเทีย ฯ ตามถ่วายแล้วรองเอาผงเทาไส่ของให้กีนษาระพัดทังง
ปวงเสก ถ้าให้เขากินหมี ได้ให้แบงผงเปน ๕ สวน ๓ สวรนั้นคลุกเขาให้
กนิ ๓ วัน ๗ วนั ผู้น้นั มาถงึ แล ฯ มาแลว้ ผงสวน ๑ ประสมได้ ๒ ใหก้ นิ รกั เรา
แล เมือจ่เขียนชือน้ันว่า คาถานีเสียกอร ฯ อิตินาเม ปฏิฐฺธฺเมนาเม
จงึ เฃยี นเท่ดิ ท้าจะทาการทงั นใี หได้วันจันจึงทาเทดิ่ ฯ

คมั ภีรต์ รีนิสิงเหมีองคป์ ระกอบหลายส่วน ผทู้ ศ่ี กึ ษาคมั ภีร์น้ีอย่างแตกฉานสามารถนา
ความรู้ต่าง ๆ ไปประยุกต์ใช้ ไม่เพียงผงที่ทาสาเร็จในขั้นต่าง ๆ และยันต์อัตราเลข แม้แต่ตัวคาถาใน
คัมภีร์ก็สามารถนาไปใชป้ ลุกเสกเครื่องรางของขลังไดโ้ ดยตรง ถือว่ามีความศักด์ิสิทธิ์ พระเกจิอาจารย์
ใช้คาถาที่มีอยู่ในคัมภีร์เล่มน้ี ไม่ว่าจะเป็น คาถาเสกอัตราทวาทสมงคล คาถาโสฬสมงคล ตลอดจน
หัวใจต่าง ๆ ใช้ปลุกเสกพระพิมพ์และเคร่ืองรางของขลัง เช่ือว่าศักด์ิสิทธิ์โดยประการต่าง ๆ คาถาที่มี
ใช้กันอยู่ในปจั จุบันน้ี บางสว่ นมีท่ีมาจากคมั ภีร์ตรีนิสิงเห ผทู้ ี่ต้องการศกึ ษาเลขยนั ต์ให้มีความแตกฉาน
จึงจาเป็นต้องศึกษาคัมภีร์เล่มน้ี เช่นท่ีกล่าวว่าให้เสกด้วยคาถาอัตรา หมายถึง คาถาอัตราเลขทวา
ทสมงคล เป็นตน้

จากการเปรียบเทียบคัมภีร์ตรีนิสิงเห ท้ังสามสานวน จะเห็นได้ว่า การนาเอาผงท่ีได้จากการ
บวก ลบ คูณ หารอัตราทวาทสมงคลในข้ันต่าง ๆ ไปใช้น้ัน ถึงแม้ว่าจะเป็นผงที่ได้ในการบวก ลบ คูณ
หารเลขในข้ันเดียวกัน แต่คัมภรี ์ตรีนิสิงเหแต่ละสานวนกล่าวอุปเท่ห์วิธกี ารใช้เอาไว้แตกต่างกัน ดังน้ัน
เนื้อหาในส่วนนี้จึงมีเพียงเค้าโครงวิธีการตั้งหารที่คล้ายกัน แต่เน้ือหาท่ีเป็นรายละเอียดข้ันตอนและ
อทิ ธคิ ุณตา่ งกันออกไป ไม่สามารถเทยี บเคียงกันได้ แสดงให้เหน็ ว่าในแต่ละสานักทม่ี ีการสืบทอดคัมภีร์
ตรนี สิ ิงเห มีความแตกตา่ งเปน็ เอกเทศ ไมข่ ึน้ แกก่ นั

103

ตวั เลขตา่ ง ๆ ที่ปรากฏในคัมภีร์ตรีนสิ งิ เห มที ่มี าจากแนวคดิ คณติ ศาสตร์ และความร้เู ก่ียวกับ
ดวงดาว ซ่ึงตัวเลขเหล่านั้นไม่ได้เกิดขึ้นมาโดยปราศจากหลักการ หากแต่มีความสัมพันธ์กัน สามารถ
อธิบายดว้ ยกลไกคณิตศาสตร์ การแทนเลขเหล่าน้ีด้วยพระนามพระพุทธเจ้า ช่อื พระอรหันตสาวก ช่ือ
เทพต่าง ๆ เป็นการแทนค่าในระดับบุคลาธิษฐาน และเลขจานวนเดียวกันยังแทนด้วยข้อธรรมต่าง ๆ
ถือเป็นการแทนค่าในระดับธรรมาธิษฐาน นอกจากน้ี ท่ีมาของตัวเลขต่าง ๆ ยังใช้อธิบายแนวคิดทาง
ปรัชญาและศาสนาได้ โดยเฉพาะอย่างย่ิงหลักพุทธปรัชญาท่ีลึกซึ้งอย่าง นาม-รูป ธาตุ ขันธ์ และ
นิพพาน อีกท้ังโบราณาจารย์ผู้แต่งคัมภีร์ตรีนิสิงเห ใช้ระบบตัวเลขอธิบายเทียบเคียงสูญตากับเลข
ศูนย์ นับว่าเป็นความคิดท่ีมีความลึกซึ้งอย่างมาก ดังนั้นคัมภีร์ตรีนิสิงเหจึงไม่ได้มีแต่เร่ืองความเช่ือ
แบบไสยศาสตร์เท่านั้น แตย่ ังมีแนวคิดท่ีเป็นเหตุเป็นผล ซ่ึงได้รับอิทธิพลโดยตรงจากพระพุทธศาสนา
ในบทตอ่ ไปผวู้ จิ ัยจะศึกษาบทบาทของคัมภีร์ตรนี ิสิงเหทม่ี ีตอ่ สังคมไทยในประเด็นต่าง ๆ

บทที่ 4
บทบาทของคัมภรี ์ตรนี สิ ิงเหทมี่ ีต่อสังคมไทย

คัมภีร์ตรีนิสิงเหเป็นคัมภรี ์เลขยันต์ที่มีบทบาทต่อสังคมไทยอย่างสูงนับจากอดีตจนถึงปัจจุบัน
เน่ืองจากเป็นคัมภีร์ที่มีการสืบทอดในสานักต่าง ๆ อย่างต่อเน่ือง อีกท้ังองค์ความรู้ในคัมภีร์ตรีนิสิงเห
ยังมีผู้นาไปใช้ในรูปแบบต่าง ๆ มาโดยตลอด บทบาทสาคัญของคัมภีร์ตรีนิสิงเหต่อสังคมไทยสามารถ
แบ่งได้เป็น 3 ด้าน กล่าวคือ ด้านวิทยาการความรู้โบราณ ด้านศาสนาและความเช่ือ ด้านสังคมและ
วัฒนธรรม ดังจะกลา่ วในรายละเอยี ดต่อไป
4.1 ดา้ นวิทยาการความรู้โบราณ

เนื้อหาของคัมภีร์ตรีนิสิงเหประกอบด้วยองค์ความรู้ท่ีเป็นวทิ ยาการโบราณหลายดา้ น ไดแ้ ก่
คณติ ศาสตร์ โหราศาสตร์และดาราศาสตร์ เวชศาสตร์ และพิชยั สงคราม

4.1.1 ด้านคณิตศาสตร์โบราณ
ดังที่กล่าวไว้ในบทท่ี 3 ว่าตัวเลขในอัตราทวาทสมงคลท้ัง 12 ตัวมีที่มาจาก ยันต์

จตุโร หรือในทางคณิตศาสตร์ เรียกว่า “จัตุรัสกล” แม้ว่าตัวเลขชุดดังกล่าวไม่สามารถแทนค่าลงใน
ยันต์จตุโรได้โดยตรง แตเ่ กิดจากการถอดตวั เลขออกมา ตัวเลขแต่ละชดุ จะบวกกันได้ 15 โดยถอดเป็น
ชดุ แบบทักษิณาวรรต ดงั เห็นไดจ้ ากแผนภมู ิตอ่ ไปนี้

รูปท่ี 4.1 การถอดอตั ราทวาทสมงคล จากยนั ตจ์ ตโุ ร (จัตุรัสกลแบบ 3x3)

105

“ยันต์จตุโร” หรือจัตุรัสกลแบบ 3×3 เป็นรูปแบบจัตุรัสกลที่แพร่หลายมากที่สุด และ
ปรากฏในอารยธรรมโบราณที่รุ่งเรืองของโลกหลายแห่ง อาณาจักรอยุธยาเป็นหนึ่งในจานวน
อารยธรรมโบราณเหล่านั้น อย่างไรก็ตามผู้วิจัยไม่สามารถสรุปได้ ว่า ผู้แต่งคัมภีร์ตรีนิสิงเหได้รับ
อิทธิพลแนวคิดนี้มากจากแหล่งอารยธรรมอื่นใด หรือผู้แต่งคิดค้นขึ้นเอง ชุดตัวเลขในจัตุรัสกลแบบ
3×3 เป็นรากฐานของอัตราทวาทสมงคลโดยตรง จึงมคี วามจาเปน็ ตอ้ งศึกษาชุดตัวเลขน้ี

ชุดตัวเลขในจัตุรัสกลแบบ 3×3 มีการอธิบายไว้ในหนังสือโบราณหลายเล่ม เช่น
หนังสือ Three Books of Occult Philosophy Book II เขียนโดย Henry Cornellius Agrippa
หนังสือเล่มน้ีแปลจากภาษาลาตินเป็นภาษาอังกฤษ และพิมพ์เผยแพร่ เมือ ปี ค.ศ 1651 โดยกล่าวถึง
ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเลขหรือชุดตัวเลขกับดวงดาวและปรากฏการณ์บนท้องฟ้า โดยเช่ือว่ามีผล
โดยตรงต่อชีวิตมนุษย์ และได้พัฒนาเป็นความรู้เรื่องเก่ียวกบั ดวงดาว โหราศาสตร์ และไสยศาสตร์ ใน
ส่วนวชิ าไสยศาสตร์ โดยเฉพาะเลขยันตส์ ่วนใหญ่อาศัยแนวคิดมาจากดวงดาวและกลุ่มดาวบนท้องฟ้า
จัตุรัสกลก็เช่นกัน ในฐานะของยันต์รุ่นแรก ๆ ที่ปรากฏข้ึนในโลก ประกอบข้ึนจากโครงสร้างทาง
เรขาคณิตและตัวเลขพ้ืนฐาน ได้แก่ 1-9 ข้อสังเกตอีกประการหน่ึงคือระบบเลขยันต์ในโลกโบราณ
มักจะมีความเก่ียวพันกับคณิตศาสตร์อย่างหลีกเล่ียงไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นตัวรูปแบบหรือแนวคิดท่ีอยู่
ภายใน เพราะคณติ ศาสตร์เปน็ กลไกท่ีใช้อธบิ ายความเปน็ ไปของปรากฏการณ์ต่าง ๆ ทีส่ ง่ ผลมายังโลก
นอกจากน้คี ณิตศาสตรย์ งั มีบทบาทสาคญั ย่งิ ในวิชาดาราศาสตรแ์ ละโหราศาสตรด์ ว้ ย

จตรุ สั กล (Magic Square)77 หมายถงึ ตารางทม่ี ีจานวนชอ่ งในแนวต้ังและแนวนอน
เท่ากันเป็นสี่เหล่ียมจัตุรัส ภายในช่องจะบรรจุตัวเลขจานวนเต็มช่องละหน่ึงตัวที่ไม่ซ้ากับตัวเลข ใน
ช่องอื่นๆ เริ่มจาก 1 จนถึงตัวเลขท่ีเท่ากับจานวนช่องว่างในตาราง แต่ไม่จาเป็นต้องเรียงลาดับ
เง่ือนไขสาคัญของจัตุรัสกลคือผลบวกของตัวเลขท้ังหมดในแต่ละด้านทุกด้านรวมถึงด้านทแยงมุม
จะต้องเท่ากัน จัตุรัสกลแบบ 3×3 เป็นรูปแบบพ้ืนฐานที่สดุ ภายในส่ีเหลย่ี มจัตรุ ัสแบ่งออกเป็น 3 แถว

77 จัตรุ สั กลในทางคณติ ศาสตร์ สามารถคานวณคา่ ผลรวมในละด้าน รวมทง้ั ดา้ นทแยงมุมทจี่ ะตอ้ งเทา่ กนั
เสมอ เรียกว่า “ค่าคงตวั กล” ซ่งึ ค่าคงตวั คานวณได้จากสมการ คือ n(n2+1)/2 และเมอื่ แทนคา่ ดว้ ยขนาดของจตั ุรสั
เข้าไป จะได้ชุดเลขอนกุ รม ดงั นี้ 15, 34, 65… เป็นค่าคงตัวสาหรบั ตางกลขนาด nxn หากปราศจากคา่ คงตัวกล
ดงั กลา่ วแล้ว แทบเป็นไปไม่ไดเ้ ลยท่ีจะใส่ตัวเลขลงในจตั รุ ัสกลสาเรจ็ .

106

และ 3 ตอนเกิดเป็นตาราง 9 ช่อง โดยทั่วไปคนจะคุ้นเคยกับจัตรุ ัสกลที่เป็นแบบสาเร็จดงั ท่ีเห็นกันอยู่
ซง่ึ ในคัมภีร์ตรีนสิ งิ เหใชเ้ ปน็ รูปสาเร็จดงั ที่ปรากฏใน สานวน ข.

ในคัมภีร์ตรีนิสิงเหมีการใช้จัตุรัสกลอื่นท่ีไม่ใช่จัตรุ ัสกลแบบ 3x3 เพียงอย่างเดียว แต่
ยงั มจี ตั รุ สั กลแบบ 4×4 ดว้ ย ซ่ึงปรากฏลาดบั เลขในคาถาชอ่ื วา่ “โสฬสมงคล” ใช้สาหรับเสกเลขในชั้น
พระอินทร์ถอดรูปไปหาชาวสวรรค์ทั้งปวง และใช้สาหรับลงเป็นยันต์ ในการทาสีผ้ึง เมื่อถอดออกมา
จะได้ตัวเลขแบ่งออกเป็น 16 ตัว ดังน้ี 16 9 4 5 3 6 15 10 13 12 1 8 2 7 14 11 เมื่อนาตัวเลข
ดงั กล่าวไปใส่ไว้ในตารางจะได้ ตัวเลขท่ีเรียงกันเป็นจัตรุ ัสกลแบบ 4×4 ดงั Error! Reference source
not found. สิ่งนี้เป็นเครื่องยืนยันให้เห็นว่า ในคัมภีร์ตรีนิสิงเห มีเร่ืองคณิตศาสตร์โบราณบันทึกอยู่
และเป็นองค์ประกอบสาคัญของคัมภรี ์

รูปท่ี 4.2 ยันตโ์ สฬสมงคล
ทม่ี า: อรุ ะคนิ ทร์ วริ ิยะบรู ณะ, เพชรรัตน์ มหายนั ต์ 108, หนา้ 49.

ข้อสังเกตประการหน่ึง คือ Simon de La Loubère ได้นาเอาจัตุรัสแบบ 3×3 ไป
เผยแผ่ต่อชาวยุโรป โดยให้ช่ือว่า Siamese Method78 ถึงแม้ว่าในจดหมายเหตุของเขาจะมีการ
กลา่ วถงึ จตั รุ สั กลแบบอ่นื ๆ แต่เขาไม่ไดก้ ล่าวอย่างชดั เจนว่า ไดพ้ บจตั รุ ัสกลแบบ 4×4 ท่กี รงุ ศรอี ยธุ ยา
อย่างไรก็ตามมีหลักฐานสาคัญว่าเลขกลชุดดังกล่าวได้ปรากฏมีอยู่แล้วในช่วงเวลาใกล้เคียงกับที่
Simon de La Loubère เดินทางมายังอาณาจักรอยุธยา คือ แผ่นศิลาจารึกยันต์โสฬสมงคล 2 แผ่น

78 Peter M. Higgins, Number Story: From Counting to Cryptography (New York: Copernicus,
2008), p. 54.

107

ของวัดหน้าพระเมรุ (ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์ วังจันเกษม พระนครศรีอยุธยา) เป็นไปได้ว่า
เลขอตั ราในจัตรุ ัสกลนนั้ ไมไ่ ดเ้ รยี งอยู่ในรูปแบบท่ี Simon de La Loubère ค้นุ เคย เพราะการจัดเรียง
ในจารึกวัดหน้าพระเมรุน้ัน จารึกกลเลขแบ่งออกเป็น 3 ช้ัน โดยกลเลขชั้นในสุดเป็นจัตุรัสกลแบบ
3×3 ทั่วไป กลเลขชนั้ ท่ีสองวางไว้โดยรอบเป็นเลขท่ีมาจากอัตราทวาทสมงคล 12 ตัว ในคัมภีร์ตรนี ิสิง
เห และกลเลขชนั้ นอกสดุ เป็นกลเลขโสฬสมงคลหรอื การเรียงเลขแบบจตั ุรสั กลแบบ 4×4

รูปท่ี 4.3 จารกึ ยันตโ์ สฬสมงคลวดั หน้าพระเมรุ

ท่ีมา: พพิ ิธภณั ฑ์วังจนั เกษม พระนครศรีอยธุ ยา

นอกจากจะมีการแทนค่าด้วยตัวเลขแล้ว ยังมีการแทนค่าตัวอักษรด้วยตัวเลขใน
จัตุรัสกลดว้ ย และมีการนาความรู้ดังกล่าวมาผูกเป็นยันต์ โดยใชเ้ ลขจากจัตรุ ัสกลแบบ 4×4 สร้างเป็น
กลยันต์ชื่อ “อริยสัจโสฬส” แสดงให้เห็นถึงองค์ความรู้ด้านคณิตศาสตร์โบราณในยุคน้ัน วิธีการนับ
อักษรแบบน้เี รยี กวา่ “วัณณสงั ขยา” เกณฑ์ของวัณณสังขยามีกลา่ วไวใ้ น คมั ภีรว์ ชิรสารสังคหะ ดงั นี้

กฎยาทิฌธฬนตฺ า นวสงขฺ ยา ปกติ ตฺ ติ า

ปาทมิ นฺตา ปญจฺ สงฺขยา สุญฺญา วุตฺต สวา ญนา

อกั ษรมี ก, ฎ, ย เป็นตน้ มี ฌ, ธ, ฬ, เป็นท่สี ุด กาหนดใหช้ ือ่ วา่

นวสงั ขยา

อกั ษรมี ป เปน็ ตน้ มี ม เป็นทส่ี ุด กาหนดให้ช่ือว่าปญั จสงั ขยา
สระทง้ั หลายและ ญ น เรยี กว่า สูญ79

79 พระสริ ิรตั นปญั ญาเถระ เขียน แย้ม ประพัฒน์ทอง แปล พระคัมภีรว์ ชิรสารัตถสังคหะ, หนา้ 105.

108

จากเนื้อความท่ียกมาน้ี แบง่ การนับอักษรออกเป็น 3 หมวด คอื หมวดนวสังขยา นับ
9 มี 3 กลมุ่ ได้แก่ กลมุ่ ที่ 1 ก ข ค ฆ ง จ ฉ ช ฌ กล่มุ ที่ 2 ฏ ฐ ฑ ฒ ณ ต ถ ท ธ น และ กลมุ่ ท่ี 3 ย ร
ล ว ศ ษ ส ห ฬ หมวดปัญจสังขยา นับ 5 ได้แก่ ป ผ พ ภ ม หมวดสูญ ได้แก่ ญ น อะ อา อิ อี อุ อู
เอ โอ การแทนค่าในระบบวณั ณสงั ขยา ใหอ้ กั ษรตวั ตน้ เป็นเลขหลักหนว่ ย และอักษรตวั ถัดไปแทนเลข
ต้ังแต่หลักสิบขึ้นไป ให้อักษรตัวท้ายสุดเป็นหลักหน่วย และให้อักษรตัวท่ีอยู่หน้าถัดไปเป็นหลักร้อย
และหลักพันตามลาดับ ดังน้ันยันต์อริยสัจโสฬส คือการถอดรหัสคาถา ซึ่งในที่นี้คือ ตโย ธภาณาคติ
เสยฺยาเญยยฺ า โลกขยปทัง รโถภยาปโย โดยใช้ระบบวัณณสังขยาแทนคา่ ตัวอักษรท่ีประกอบเป็นคาถา
จะได้ดงั นี้

- แถวแรก ตโย จะไดเ้ ลข 16 ธ จะไดเ้ ลข 9 ภา จะได้เลข 4 ณา จะได้เลข
5

- แถวท่ีสอง ค จะได้เลข 3 ติ จะได้เลข 6 เสยฺยา จะได้เลข 15 เญยฺยา

จะได้เลข 10

- แถวท่ีสาม โลก จะได้เลข 13 ขย จะได้เลข 12 ป จะได้เลข 1 ธ จะได้
เลข 8

- แถวทส่ี ่ี ร จะได้เลข 2 โถ จะได้เลข 7 ภยา จะไดเ้ ลข 14 ปโย จะไดเ้ ลข
11

รูปที่ 4.4 ยนั ตอ์ รยิ สัจโสฬส
ที่มา: เทพย์ สาริกบตุ ร, คมั ภีร์พระเวทจัตตุถบรรพ, หน้า 155.

109

ยนั ต์ท่ใี ช้ระบบวณั ณสังขยาของทางภาคกลางทใ่ี ชต้ วั อกั ษรและมตี วั เลขกากบั เทา่ ที่
ผ้วู จิ ัยพบมีเพียงยนั ตเ์ ดียวเท่านั้น คอื ยนั ต์อริยสจั โสฬส นอกจากความรเู้ รอ่ื งจตั ุรัสกลทีป่ รากฏในรูป
ยันต์ หรอื ในคาถาเสกอัตราก็ดี ในสว่ นโครงสร้างท่ี 4 มกี ารคณู หารอตั ราทวาทสมงคลดงั ทีก่ ล่าวไวใ้ น
บทท่ี 3 แสดงถงึ ภมู ปิ ัญญาในทางคณติ ศาสตร์ คัมภรี ต์ รนี สิ ิงเหจงึ เป็นคมั ภรี ์ที่สบื ทอดศาสตรโ์ บราณ
ถึงแม้วา่ จะไมม่ ีท่ีมาทแี่ น่ชดั แต่กน็ บั ไดว้ ่าเปน็ คมั ภรี ท์ ่มี ีบทบาทตอ่ องค์ความร้ดู า้ นคณิตศาสตรโ์ บราณ
ของไทย

4.1.2 ด้านความรูเ้ ก่ียวกบั โหราศาสตรแ์ ละดวงดาว

ตัวเลขท่ีปรากฏในยันต์จตุโรซึ่งเป็นยันต์สาคัญท่ีสุดยันต์หน่ึงในคัมภีร์ตรีนิสิงเหเป็น
สัญลักษณ์แทนดวงดาวในระบบสุริยะในระบบเลขยันต์ของชาวไทยโบราณ ยันต์ท่ีได้รับอิทธิพลจาก
จัตุรัสกลได้รับความนิยมและเช่ือว่าศักด์ิสิทธ์ิมาก เนื่องจากมีเลขพระเคราะห์ท่ีถือว่าบันดาลความ
เป็นไปท้ังดีร้ายต่อสรรพชีวิต ใน คัมภีร์โลกธาตุ อธิบายถึงกาเนิดดวงดาวและกาลังของดวงดาวใน
ระบบสรุ ิยะไว้ดงั นี้

เลขประจาพระเคราะห์ นามพระเคราะห์ท้ังหลาย เรียกกันต่าง ๆ
ตามไวพจน์ เช่นอาทิตย์ ว่ารวิบ้าง สูระบ้าง อักกะบ้าง เพ่ือให้เป็นการยืนที่และ
สะดวกในการเขียน ท่านใช้เลขเป็นเคร่ืองหมาย เลขน้ันออกมาจากวารทั้ง ๗ ... ๑
อาทิตย์ ๒ จันทร์ ๓ อังคาร ๔ พุธ ๕ พฤหัสบดี ๖ ศุกร์ ๗ เสาร์ เพราะเมื่อวันท่ี ๑
ในสัปดาห์เป็นวันอาทิตย์ เลข ๑ ก็ใช้เป็นเคร่ืองหมายของวันอาทิตย์ เป็นต้น พระ
เคราะห์อกี ๓ ตอ่ จากน้ไี ปคือ ๘ ราหู ๙ เกตุ และ ๐ มฤตย8ู 0

การท่ีเลขอัตราทวาทสมงคลท้งั 12 ตัว ถอดมาจากยนั ต์จตุโรตามทไี่ ดอ้ ธบิ ายไปแล้ว
นั้น ตัวเลขพน้ื ฐานเหล่านี้ ยังใช้ในขั้นตอนการทาอัตราทวาทสมงคลโดยใชก้ าลังของดาวอัฐเคราะห์มา
คานวณตามท่อี ธิบายแล้วในบทที่ 3 “กาลังเทวดา”หรือ “กาลังดาว” ที่มีจานวน 108 น้ีมีความสาคัญ
และมีอธบิ ายใน คมั ภีรโ์ ลกธาตุ ดังน้ี

80 พระสารประเสริฐ, โลกธาตุ, หน้า 2.

110

ในโชติศาสตร์แสดงนัยว่าด้วยธาตุทั้ง ๔ อันดาวเทวดาแปดดวงครองอยู่
เรียกวา่ อัฐเคราะห์ และรวมกาลังท้ังหมดได้จานวน ๑๐๘ ซ่ึงนับถือกันวา่ เป็น
กาลังท่ีมีส่วนสัมพนั ธก์ ับโลกและสิ่งมีชีวิตท่ีอบุ ัติในโลกท้ังส้ิน ดังนั้นตามความ
เชื่อน้ีในการประกอบพิธีกรรมทางไสยศาสตร์ของไทยโบราณอาศัยจานวน
๑๐๘ เป็นเกณฑ์ เช่นการสวดคาถา ๑๐๘ คาบ การชักประคาภาวนาก็ต้อง
๑๐๘ จบ81

วิชาเลขยันต์ให้ความสาคัญตอ่ กาลังพระเคราะห์เช่นกัน การจัดกาลังพระเคราะห์ทั้ง
8 มีกล่าวใน คัมภีร์โลกธาตุ ซึ่งกาหนดให้มีเทวดาครองธาตุหมุนเวียนไปรอบจักรวาล ที่สาคัญโลก
จะต้องได้รับกระแสธาตุจากดาวท้ัง 8 เป็นนิจ เพ่ือสร้างระเบียบแบบแผนในกาลท้ังสาม โลกรวมทั้ง
ธาตุทีห่ มนุ เวียนอยู่นเ้ี รียกวา่ โลกธาตุ ใน คัมภรี ์โลกธาตุ กลา่ วว่า

เมื่อยังไม่มีศาสตร์อนื่ ๆ ดีกว่าโชติศาสตร์ ความคิดของมนุษย์เห็นว่า โลกเรานี้อย่ใู น
จักรวาลซึ่งแรกเร่ิมเดิมทีมีแต่ท้องฟ้าว่างเปล่า กลางหาวท่ีว่างเปล่าน้ัน ถ้าจะให้
หมายรู้ด้วยลวดลาย ก็เขียนเป็นรูปศูนย์ ...ท่านจึงสอนว่า ธาตุโย สุญฺญโต ปสฺส จง
เห็นธาตุท้ังหลายโดยความเป็นของสูญเสียเถิด ในระวางจักรวาลนั้น บังเกิดธาตขุ ้ึน
๔ กอง คือ เตโชธาตุ ไฟ, ปฐวีธาตุ ดิน, วาโยธาตุ ลมและอาโปธาตุ น้า อยู่เรียง
ประชิดกันโดยลาดับ และเป็นวงตามลักษณะของจักรวาล...เมื่อเกิดธาตุท้ัง ๔ แล้ว
จึงเกิดเทวดาครองธาตุน้ัน ๆ เรียกว่าพระเคราะห์ เมื่อธาตุอะไรอยู่ทิศไหน พระ
เคราะห์ก็เป็นอันครองทิศน้ันด้วย ...ธาตุทั้ง ๔ นั้นมีพระเคราะห์ครองธาตุละคู่ คือ
ธาตุไฟ อาทิตยแ์ ละเสาร์ ธาตดุ นิ จนั ทรแ์ ละพฤหัส ธาตลุ มองั คารและราหู ธาตุน้าพุธ
และศกุ ร์82

81 เรอ่ื งเดยี วกนั , หน้า 14-15.
82 พระสารประเสริฐ, โลกธาตุ, หนา้ 3-5.

111

รูปที่ 4.5 แผนภูมิธาตแุ ละทศิ ทดี่ าวอัฐเคราะหส์ ถิต ใชน้ บั กาลงั ดาว
ทม่ี า: พระสารประเสริฐ, คมั ภรี ์โลกธาต,ุ หน้า 6

คัมภีร์โลกธาตกุ าหนดกาลังของดาวอัฐเคราะห์เร่ิมจากพระอาทิตย์ซ่ึงถือว่าอุบัติก่อน
พระเคราะห์อื่นทั้งหมด ถึงแม้พระอาทิตย์จะเป็นธาตุไฟ แต่ในทางโหราศาสตร์ถือว่าดวงดาวต่างๆ
กาเนิดจากธาตุน้า พระอาทิตย์จึงถือกาเนิดจากทิศใต้ซ่ึงเป็นธาตุน้า เม่ือถือกาเนิดแล้วจึงโคจร
ทักษิณาวรรตจนถึงธาตุไฟทิศตะวันออกเฉียงเหนือเป็นระยะท่ี 6 จึงมีกาลัง 6 ดังน้ันทิศที่พระอาทิตย์
สถิตจึงเรียกว่า ทิศอีสาน แปลว่าทิศแห่งผู้เป็นใหญ่ อน่ึงพระเคราะห์อ่ืน ๆ นั้นแม้ถือกาเนิดจากทิศ
ธาตุน้าเช่นเดียวกับพระอาทิตย์ แต่ก็ไม่อาจมีแสงสว่างในตัวเอง จนกว่าจะเคล่ือนไปรับแสงจากดวง
อาทติ ย์เสยี กอ่ นจงึ มีกาลงั และรูปลักษณท์ ีส่ มบูรณ์ พระเสารเ์ มื่อโคจรไปรบั รศั มพี ระอาทติ ยเ์ ป็นระยะท่ี
6 แล้วมาครองธาตุไฟทิศตะวันตกเฉียงใต้ จึงมีกาลัง 10 พระจันทร์ก็เช่นกันเม่ือโคจรไปรับรัศมีพระ
อาทิตย์เป็นระยะท่ี 6 แล้วยังไม่สมบูรณ์ด้วยกาลังจึงต้องโคจรไปรับรัศมีจากพระอาทิตย์อีกรอบหนึ่ง
เป็นระยะท่ี 14 แล้วสถิตทิศธาตุดินมีกาลัง 15 พระพฤหัสบดเี ม่ือโคจรผ่านพระอาทติ ยส์ องคร้ังเช่นกนั
เป็นระยะท่ี 14 แล้วโคจรไปครองธาตุดินทิศตะวันตกจึงมีกาลัง 19 พระอังคารเม่ือรับรัศมีจากพระ
อาทิตยเ์ ป็นระยะที่ 6 แล้วจงึ โคจรมาครองธาตลุ มทิศตะวนั ออกเฉียงใตเ้ ป็นระยะท่ี 8 จงึ มกี าลัง 8 พระ
ราหเู ม่ือโคจรไปรับแสงพระอาทติ ยแ์ ลว้ มาครองธาตุลมทศิ ตะวันตกเฉียงเหนอื เป็นระยะท่ี 12 ดังนัน้ จึง
มีกาลัง 12 พระพุธเม่ือโคจรผา่ นพระอาทิตย์สองครั้งแล้วโคจรไปครองธาตนุ ้าทศิ ใต้เป็นระยะท่ี 17 จึง
มีกาลัง 17 พระศุกร์เม่ือโคจรผ่านพระอาทิตย์สองครั้งเป็นระยะที่ 14 แล้วจึงไปครองธาตุน้าทิศเหนือ

112

เป็นระยะท่ี 21 จึงมีกาลัง 21 เมื่อรวมเลขกาลังดาวทั้ง 8 รวมกันจะได้ 10883 อันเป็นเลขสาคัญแรก
สุด ในการใช้คานวณเลขทวาทสมงคลและอตั ราทวาทสมงคล

นอกจากน้ีดาวอัฐเคราะห์ยังมีบทบาทสาคัญในการใช้คานวณพระเคราะห์เสวยอายุ
ซง่ึ เป็นหลกั การทานายเบือ้ งตน้ ของวิชาโหราศาสตร์ โดยหลักวชิ าโหราศาสตร์ถือผลดแี ละผลรา้ ยที่เกิด
ขึ้นกับชีวิตของผู้คนเกิดจากอานาจของเทวดาประจาพระเคราะห์ซึ่งประจาอยู่ในจักรราศี โดยบุคคล
เกดิ วนั ใด พระเคราะหจ์ ะเข้าเสวยอายุก่อน แลว้ เวยี นไปตามภมู ทิ ิศทั้ง 8 โดยคดิ กาลังพระเคราะห์เป็น
จานวนปี ในที่น้ีเรียกว่า “เทวดามหาทักษา” เช่น คนเกิดวันอาทิตย์ พระอาทิตย์เข้าเสวยอายุก่อน 6
ปนี ับจากแรกเกิดจนถึงอายุ 6 ปี จากนั้นพระจันทร์เข้าเสวยอายุ 15 ปี จากอายุ 7-15 ปี จากน้ันพระ
อังคารเข้าเสวยอายุ 8 ปี จากอายุ 22-29 จากนั้นพระพุธเข้าเสวยอายุ 17 ปี จากอายุ 30-46 ปี
จากน้ันพระเสาร์เข้าเสวยอายุ 10 ปี จากอายุ 47-56 ปี จากนัน้ พระพฤหัสบดีเข้าเสวยอายุ 19 ปี จาก
อายุ 57-75 จากน้ันพระราหูเข้าเสวยอายุ 12 ปี จากอายุ 76-87 ปี จากน้ันพระศุกร์เข้าเสวยอายุ 21
ปี จากอายุ 88-108 ปี หากมีอายเุ กินกวา่ 108 ปี ให้นบั รอบใหม่

จะเห็นได้วา่ จานวนปที เ่ี ทวดามหาทกั ษาเข้าเสวยอายุเท่ากบั กาลังของพระเคราะห์ และการท่ี
พระเคราะห์เข้าเสวยอายุในแต่ละช่วงจะส่งผลตอ่ ชวี ิตแตกตา่ งกันออกไป84 ดงั นัน้ ดาวอัฐเคราะห์ถือวา่
มีความสาคัญยิ่งในการบันดาลความเป็นไปต่าง ๆ ในชีวิต ไม่เพียงวิชาโหราศาสตร์เท่าน้ัน ในวิชาเลข
ยันต์ โดยเฉพาะคัมภีร์ตรีนิสิงเห อัตราเลขท่ีเป็นหัวใจมีพื้นฐานมาจากเลขพระเคราะห์และกาลังพระ
เคราะห์ การท่ีคัมภีร์ตรีนิสิงเหนาเอาเลขพระเคราะห์และเลขกาลังพร ะเคราะห์ มาผนวกกับ
คณิตศาสตร์โบราณ สร้างองค์ความรู้ที่เช่ือว่าศักดิ์สิทธ์ิในลักษณะของ “เลขศาสตร์”สามารถนาไปใช้
ตอ่ ยอดองคค์ วามรุ้ และคนท่ัวไปเช่อื ว่าสามารถส่งผลผลดี-รา้ ยตอ่ ชีวติ ได้

4.1.3 ด้านเวชศาสตรโ์ บราณ

การแพทย์แผนไทยโบราณ ที่ใชส้ มุนไพรในการรักษาโรคภยั ไข้เจ็บ มกั มพี ธิ ีกรรมร่วม
ด้วย เพื่อเพ่ิมประสิทธิภาพในการรักษา คนไทยโบราณเช่ือว่า ความเจ็บป่วยไม่เพียงเกิดจากโรคภัย

83 เรื่องเดยี วกัน, หนา้ 4-11.
84 เทพย์ สาริกบุตร, บาง เสมเสริมสขุ และอุระคนิ ทร์ วริ ิยะบรู ณะ, พรหมชาติ (กรงุ เทพฯ: ลกู ส. ธรรม
ภักด,ี 2521), หนา้ 120.

113

โดยทั่วไป แต่ยังเช่ือว่าสามารถเกิดจากการถูกทาคุณไสยหรือเกิดจากการทาร้ายจากภูต ผี ปีศาจ
ดังนั้นคัมภีร์ตรีนิสิงเหจึงมีบทบาทสาคัญยิ่งในพิธีกรรมเกี่ยวกับการรักษาอาการเจ็บป่วยประเภทน้ี
เพราะคนไทยโบราณเช่ือว่าอานุภาพสาคัญของผงตรีนิสิงเห คือ ใช้ป้องกันและรักษาอาการเจ็บป่วย
จากการถูกคุณไสย เสน่ห์ยาแฝด หรือการถูกผีเข้าเจ้าสิง รวมไปถึงการเจ็บป่วยทางด้านจิตใจ เช่น
วิกลจริต บ้าคล่ัง แม้แต่การเจ็บป่วยแบบท่ัว ๆ ไปตาราเวชศาสตร์โบราณก็ยังคงใช้เลขยันต์ในคัมภีร์
เล่มน้ีประกอบด้วย แสดงให้เห็นว่าผู้ท่ีทาการรักษาโรคในอดีตต้องมีความรู้ในคัมภีร์เล่มน้ีพอสมควร
จึงจะสามารถทาการรกั ษาคนไข้เหลา่ นไ้ี ด้

“คุณไสย” คือ "อาถรรพณ์ พิธีกรรมเพ่ือทาร้ายอมิตร โดยเสกส่ิงใดส่ิงหนึ่งเข้าไปใน
ตัวหรือฝังรูปฝังรอย เรียกกันว่า กระทาคุณ, ผู้ถูกกระทา เรียกว่า ถูกคุณ, คุณไสยก็ว่า"85 ในแต่ละ
ชุมชนอาจมีรูปแบบของคุณไสยที่แตกต่างกันออกไป คือการทาให้ส่ิงใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นโดยผิดแปลก
จากกฎของธรรมชาติทวั่ ไป ไดแ้ ก่

- การเสกของเข้าตัว เพ่ือให้เกิดความเจ็บปวด อาจจะเป็นหนังสัตว์หรือวัตถุมีคม การใช้
สลาเหิร ได้แก่ การเสกหมากให้เปล่ียนรูปเป็นแมลงภู่บินไปต่อยศัตรูทาให้ป่วยไข้หรือถึง
แก่ความตาย หรือเสกให้แมลงภู่จาแลงไปตกในเชี่ยนหมาก ผู้ใดกินหมากนั้นจะรักใคร่
หลงใหลดังทีป่ รากฏใน ลลิ ิตพระลอ ดงั นี้

ปู่เจ้าฟังแล้วไส้ แลนา ปู่จ่ึงใช้สลาเหิร แลนา เดิรเวหาไปสู่ แลนา ตกลงอยู่รคน แล
นา ปนหมากเสวยท่านไท้ แลนา คร้ันท่านได้หยิบเสวย แลนา บนานเลยลอราช แล
นา ใจจะขาดรอนรอน แลนา ถึงสายสมรพีน่ ้อง คิดบลเุ ลยขอ้ ง ข่นุ แค้นอาดรู 86

- การฝังรูปฝังรอย ถือเป็นการทาคุณไสยมีสองประเภท คือ ประเภทแรกทาให้รักกัน และ
ประเภทท่สี องทาใหช้ งั กนั โดย ถา้ จะทาให้รักกนั จะป้นั รปู ชายและหญิงหนั หน้ากอดกันใน
ท่ายืนด้วยดนิ เหนียว นาหุ่นดนิ เหนียวซ่ึงมักใช้ดินจากรอยเท้าของคนผู้ที่จะถูกกระทามัด

85 ราชบัณฑติ ยสถาน, พจนานกุ รม ฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ. 2542, หน้า 253.
86 ลลิ ิตพระลอ พิมพค์ ร้ังท1่ี 3 (กรุงเทพฯ: รุง่ วัฒนา,2513), หนา้ 19.

114

ดว้ ยสายสญิ จน์ แลว้ นาไปฝงั ดินสว่ นใหญ่นยิ มฝังตามปา่ ชา้ หวังผลใหเ้ กดิ ความลุม่ หลงมวั
เมาในอีกฝ่ายหนึ่ง ส่วนการทาใช้ชังกันนั้นจะปั้นรูปชายหญิงเปลือยกายหันหลังให้กัน
บางคร้ังเอาหนามหรือเข็มแทงทอี่ กชายหรือหญิงเอาไว้ ห่อด้วยใบเตา่ ร้างหรอื ใบจาก คน
โบราณเช่ือว่าพิธีกรรมดังกล่าวนี้จะสามารถทาให้ชายหรือหญิงท่ีตกเป็นเป้าหมายจะเกิด
การทะเลาะเบาะแว้ง พลัดพรากแตกแยกจากกันไป ดงั ทกี่ ล่าวไว้ ใน ขุนช้างขนุ แผน ว่า

ครานั้นเถรขวาดราชครู พเิ คราะห์ดปู รเี ปรมเกษมสนั ต์
หยบิ สีผึ้งปากผมี ามิช้านาน เอาเถา้ พรายประสานประสมพลัน
ลงอักษรเสกซอ้ มแล้วย้อมถม เปา่ ดว้ ยอาคมแลว้ จึงปน้ั
เป็นสองรปู วางเรียงเคียงกนั ชักยันต์ลงชือ่ สีมาลา
อกี รูปลงช่อื คือพระไวย เอาหลังตดิ กนั ไวใ้ หห้ ่างหน้า
ปกั หนามแทงตวั ทวั่ กายา แลว้ ผกู ตราสังมน่ั ขนนั ไว้
ทง้ั ลงยันตพ์ ันด้วยใบเต่ารา้ ง ให้เณรจว๋ิ ไปฝังป่าชา้ ใหญ่
แลว้ ป้นั รูปสร้อยฟ้ากบั พระไวย เอาใบรักซ้อนใสก่ ับเลขยันต์
เถรนัง่ บรกิ รรมแล้วซา้ เปา่ พอตอ้ งสองรูปเขา้ กพ็ ลกิ ผนั
หันหนา้ ควา้ กอดพัลวัน เอาสายสญิ จนเ์ ขา้ กระสันไว้ตรงึ ตรา
รูปน้ีจงฝังไว้ใตท้ ่นี อน ไม่ขา้ มวนั ก็จะรอ่ นลงมาหา
แลว้ เสกแปง้ นา้ มนั จันทนท์ า ประสมด้วยว่านยาน้ามันพราย
ครน้ั เสรจ็ สง่ ใหเ้ จา้ สร้อยฟา้ ไปเถิดสกี าตะวนั สาย
พรงุ่ นถ้ี า้ กระไรไดแ้ ยบคาย ให้นางไหมขยายมาส่งเพล87

- การทาเสน่ห์ยาแฝด ซึ่งเป็นการปรุงยาผสมวัตถุอาถรรพ์บางอย่าง เพ่ือให้เกิดความลุ่ม
หลง ไมเ่ ป็นตัวของตัวเอง เพ่ือหวังผลให้เกิดรักใคร่เสน่หา หรอื มอบสง่ิ ทต่ี อ้ งการให้

87 ครุ ุสภา, เสภาเร่ืองขุนช้างขุนแผน , หน้า 284

115

- การใช้น้ามันพรายเป็นการทาคุณไสย โดยใช้ไขมันจากซากศพมาประกอบพิธีกรรม ซึ่ง
นิยมเอาจากศพหญิงตายท้ังกลม เช่ือกันว่าสามารถทาให้เกิดความลุ่มหลงจนถึงขั้นบ้า
คลัง่ ได้

- การบิดไส้บังฟัน การบิดไส้บังฟันกระทาโดยทารูปสมมติของศัตรูด้วยดินเหนียวหรือต้น
กลว้ ย ลงอาคมแล้วฟันดว้ ยมีด คนโบราณเช่ือว่าจะทาให้เจ็บปวดแสนสาหสั ถงึ เสียชีวติ

จะเห็นได้ว่าในสังคมไทยโบราณมีความเช่ือเร่ืองการทาคุณไสยและมีพิธีกรรมระบุ
ชัดเจนในเอกสารโบราณท่ีสืบทอดกันมา ในการรักษาผู้ท่ีต้องคุณไสยเหล่านี้ ผู้ทาการรักษาจะต้องมี
ความรู้ในคัมภีร์ตรีนิสิงเหดีและต้องมีความเช่ียวชาญเวชศาสตร์ ด้วยการรักษาจะมีทั้งยาต้มให้
รับประทาน ยารม ตัวยาต้องลงอักขระท่ีกาหนดอย่างเคร่งครัด ก้นหม้อและปากหม้อจะปิดด้วยยันต์
ตรีนิสิงเหบ้าง ยันต์จตุโรบ้าง เครื่องยาต้องลงอักขระซึ่งส่วนใหญ่มาจากคัมภีร์ตรีนิสิงเหเช่นกัน
ตวั อย่างเชน่ ยาหม้อใหญ่ แก้สารพัดคุณทง้ั ปวง ในตาราพรรณนาไวด้ งั น้ีวา่

สิทธิการิยะ จะกล่าวยาหม้อใหญ่แก้สารพัดคุณทั้งปวง คุณผีปีศาจ พูดพราย คุณใส
ทุกประการ ถูกกระทาฝังรูปฝังรอย บ้าดีเดือด บ้าเลือดบ้าลม บ้าด้วยอาการต่าง ๆ
แลพรายเลอื ด พรายลม ฝีในทอ้ ง กะษยั ท่านให้เอาใบมะกรดู 56 ใบ ลงด้วยพุทธคุณ
ใบละ 1 ตวั ใบมะนาว 38 ใบลงดว้ ยพระธรรมคุณใบละ 1 ตัว ใบราชพรกึ (ราชพฤกษ)์
14 ใบลงดว้ ยพระสงั ฆคณุ ใบละ 1 ตัว ใพล (ไพล) 32 ชน้ิ ลงด้วยอาการ 32 กระทือ 9
ช้นิ ลงด้วย นะวะโรหระคณุ (นวหรคณุ ) ข่า 33 แวน่ ลงด้วย ก ข จนจบ ขิง 4 แว่น ลง
ด้วย นะมะพะทะ กระชาย 7 แว่นลงด้วย สะทาวะปิปะสะอุ (สะธะวิปิปะสะอุ)
เปราะหอม 4 แว่นลงด้วย อิสวาสุ บระเพ็ด (บอระเพ็ด) 3 แว่นลงด้วย มะอะอุ ใบ
มะกา 12 ใบลงด้วยตรีนิสิงเห (อัตราทวาทสมงคล) ขมิ้นอ้อย 5 แว่น ลงด้วย นะโม
พุทธายะ ว่านน้า 7 แว่นลงด้วย สังวิทาปุกะยะปะ ว่านมหาเมฆ 16 ช้ินลงด้วย 16
พระองค์ วา่ นนางคา 3 แวน่ ลงด้วยประจุขาด โกฏท้ัง 9 ส่ิงละ 1 บาท เทียนท้ัง 9 ส่ิง
ละ 1 บาท กฤษณา 1 ระย่อม 1 ใครเครือ 1 ลูกจัน 1 ดอกจัน 1 กระวาฬ (กระวาน)
1 การพลู 1ชะเอม 1 ลูกเอน 1 ลูกกล้วย 1 ลูกเร่ว 1 ชะลูด 1 การบรู 1 สะมูลแวง้ 1

116

มะหาหิง 1 จันแดง 1 จันคะนา (จันทนา)1จันเทศ 1ลูกสารพัดพิศ 1 ขิงแห้ง 1 ดอก
บุญนาค(ดอกบุนนาค) 1แฝกหอม 1 สค้าน 1 สมอทั้ง 3 แก่นสน สักขี 1 ชะพลู 1เจ
ตะมูลเพลงิ 1 ว่านกบี แรด (วา่ นกลบี แรด) 1 ว่านร่อนทอง 1 ฝาง 1 แกแล 1 คา่ ตน้ 1
(ข่า) แก่นพรม 1 แก่นรันทม (ล่ันทม) 1 แสมท้ัง 2 แห้วหมู 1 หญ้าพันงูแดง 1
มะขามป้อม 1 กะเทียม 1 ดอกบัวขม (ดอกบัวขาบ) 1 บัวเผื่อน 1 สัตบุต 1 เกสรบัว
หลวง 1 สารพี 1 พิกุล 1 สรรพยาที่ไม่ต้องลงนี้จงเอาหนักส่ิงละ 1 บาท ยาน้ีต้องให้
ผู้ชายต้ม อย่าให้หญิงถูกต้อง เม่ือจะต้มจงบูชาด้วย ข้าวตอก 3 กระทง ธูป 3 ดอก
เทียน 3 เล่ม บชู าโคนเสาเมื่อจะตม้ แล้วจงวงสายสินเปน 4 เหล่ยี ม แลว้ เอายนั ต์ตรีนิ
สิงเหปิดที่สายสิน ทั้ง 8 ทศิ จงต้ังพิทีทาท่ีกลางแจ้ง เมื่อจะกินเสกดว้ ย สะกัตะวา จน
จบกินเถิด มีคุณใสอันใดหายทั้งส้ิน แลเอายันต์ช่ือว่าโสฬสน้ัน ปิดปากหม้อเสียก่อน
จึงต้ม...ยันต์ที่ลงปิดปากหม้อน้ันเรียกว่ายันต์โสลศ มี 3 ยันรวมกันอยู่ วงนอกเรียก
โสฬศ วงกลางเรียกตรีนิสิงเห วงในเรียกวา่ จัตุโร ถ้าแยกตรีนิสิงเหออกทาเปนยันปิด
8 ทิศ88

การที่ความรู้ในคัมภีร์ตรีนิสิงเหมีบทบาทสาคัญในด้านเวชศาสตร์ ท้ังนี้เน่ืองจากกล
เลขในคัมภีร์ตรีสิงเหที่เกิดจากการบวก ลบ คูณ หาร หลายขั้นตอน รวมถึงการแทนค่าด้วยตัวเลขซ่ึง
มักแทนด้วยนามของพระพุทธเจ้าบ้าง พระสงฆ์บ้าง เทพต่าง ๆ บ้างเช่ือว่ามีความศักด์ิสิทธิ์ ทาให้
คมั ภีร์ตรีนสิ ิงเหมคี วามสาคัญตอ่ เวชศาสตร์และผใู้ ช้คัมภีรเ์ วชศาสตรอ์ ยา่ งย่ิง

4.1.4 ด้านพชิ ยั สงคราม

คัมภีร์ตรีนิสิงเหเป็นคัมภีร์เพียงเล่มเดียวจากคัมภีร์ลบผง 5 เล่ม ท่ีอธิบายเรื่องเลข
อัตราเลข กลเลข และหัวใจท่แี ทนค่าเลขทใ่ี ช้ในระบบเลขยันต์ไทยโบราณมคี วามสาคญั อย่างยงิ่ ต่อการ
เข้าใจเนือ้ หาในตาราพิชยั สงคราม จากหลกั ฐานไม่ปรากฏว่ามีคมั ภรี ์เลขยันตเ์ ลม่ อืน่ ท่ีอธิบายเร่อื งเลข
อตั ราเลขและกลเลข มีเพยี งการนาสง่ิ เหล่านไี้ ปใช้เทา่ นั้น ทส่ี าคัญหากปราศจากความเช่ียวชาญในการ

88 ตาราไสยศาสตร์ สมุดไทยขาว เส้นดา. เลขที่ NPT007-013 (ศูนย์มานษุ ยวิทยาสิรนิ ธร).

117

ทาเลขกลท่ีเป็นส่วนสาคัญในคัมภีร์ตรีนิสิงเหแล้ว ก็จะไม่สามารถเข้าใจการคิดคานวณการจัดกลทัพ
แบบต่าง ๆ ไดเ้ ลย

ในการศึกสงครามสมัยโบราณ ชาวไทยยึดหลักในตาราพิชัยสงคราม เพื่อให้ได้มาซึ่ง
ชัยชนะ “ตาราพิชัยสงคราม” เป็นตาราท่ีรวบรวมเน้ือหาเกี่ยวกับกลยุทธ ยุทธศาสตร์ ยุทธวิธีการรบ
ต่าง ๆ อาทิ การรุก การต้ังรับ การแปรขบวนทัพ การใชอ้ ุบายทาลายข้าศึก เป็นต้น ตาราจาพวกน้ีใน
บางแห่งมักจะมีการเติมเนื้อหาท่ีเป็นความเชื่อทางด้านโหราศาสตร์เข้ามาประกอบ เช่น การดูฤกษ์
ยามในการเคล่อื นทพั การทาพธิ ขี ม่ ขวญั ขา้ ศึกและบารงุ ขวัญฝ่ายตน ฯลฯ ตาราพชิ ยั สงครามเปน็ ตารา
ที่แม่ทัพนายกองสมัยโบราณรวบรวมข้ึนจากประสบการณ์ เพ่ือเป็นคู่มือในการอานวยการรบให้หนว่ ย
ทหารมีชัยชนะเหนือข้าศึก โดยเฉพาะตาราพิชยั สงครามของไทย ซ่ึงปรากฏหลักฐานวา่ ไดร้ วบรวมข้ึน
ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ดังกล่าวไว้ในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับสมเด็จพระพนรัตน์ วัด
พระเชตุพน ว่า “ศักราช ๘๖๐ ปีมะเมีย สัมฤทธิศกสมเด็จพระรามาธิบดีแรกให้ทาตาราพิชัย
สงคราม89 อยา่ งไรกต็ ามตาราพชิ ัยสงครามมกี ารเพิม่ เติมเนื้อหาและยุทธวิธเี ร่ือยมา ในสมัยสมเดจ็ พระ
นเรศวรมกี ารแกไ้ ขตาราพชิ ัยสงครามของไทย หลังจากทพ่ี ระองค์ทรงได้ศกึ ษาตาราพชิ ัยสงครามตารับ
มอญและพม่า90 หลังจากนั้นสันนิษฐานว่ามีการแก้ไขหรือเพ่ิมเนื้อหาในตาราพิชัยสงครามอีกหลาย
ครงั้ และอาจมีการเพม่ิ เติมเนอ้ื หาในสว่ นทเี่ ป็นเลขยันตแ์ ละคาถาอาคม91 ฐานะของตาราพิชัยสงคราม
ในยุคโบราณถือเปน็ ความรู้เฉพาะ สาหรับแม่ทัพ นายกอง หรือผู้ปกครองบา้ นเมืองเท่านั้น ประชาชน
ท่ัวไปไม่มีโอกาสได้ศึกษา ผู้วิจัยสันนิษฐานว่า ด้วยเหตุนี้จึงมีการพบต้นฉบับตาราพิชัยสงครามอยู่กับ
คนทัว่ ไปนอ้ ยมาก ส่วนใหญจ่ ะมอี ยูเ่ ฉพาะหวั เมอื งสาคญั น่าจะคดั ลอกมาจากตาราพชิ ัยสงครามหลวง

ตาราพิชยั สงครามท่ีนามาประกอบการศึกษาวจิ ัย ไดแ้ ก่ ตาราพระมหาพิชัยสงคราม
ฉบับพบท่ีจังหวัดพัทลุง ประวัติต้นฉบับ เดิมเป็นสมบัติของพระยาอภัยบริรักษ์ (เนตร จันทโรจวงศ์)
อดีตผู้ว่าราชการเมืองพัทลุง (พ.ศ. 2432-46) หลังจากพระยาอภัยบริรักษ์ออกจากราชการแล้วได้นา

89 กรมศลิ ปากร พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยธุ ยา ฉบับสมเด็จพระพนรตั น์วดั เชตุพน (กรงุ เทพ:กรม
ศลิ ปากร) 2517, หน้า 17.

90 สมเด็จกรมพระยาดารงราชานภุ าพ, ตานานหนังสือพไิ ชยสงคราม ในตาราพไิ ชยสงคราม, (กรงุ เทพฯ :
โรงพมิ พพ์ ระจนั ทร์, 2512), หนา้ 1-3.

91 เร่ืองเดยี วกนั , หน้า 3.

118

ตาราดังกล่าวถวายให้ พระครูอริยสังวร (เอียด) อดีตเจ้าคณะจังหวัดพัทลุง ซึ่งในช่วงเวลาน้ันจา
พรรษาอยู่ทว่ี ดั วัง ตาบลลาป่า อาเภอเมือง จังหวดั พทั ลุง ต่อมาพระครูอริยสงั วรไดม้ อบให้นายเหรง ผู้
เป็นบุตรชายก่อนอุปสมบทของท่านไป และนายเหรงได้ถวายตาราเล่มนี้ให้พระภิกษุหลาก วัดควน
อินทร์นิมิต ตาบลท่ามิหรา อาเภอเมืองพัทลุง จังหวัดพัทลุง92 เน่ืองจากตาราพิชัยสงครามเล่มนี้มี
ประวัติความเป็นมาที่ชัดเจน ระบุปีที่คัดลอก พ.ศ. 2386 ตรงกับสมัยพระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้า
เจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ หลังจากสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพย์ได้ทรง
ชาระตาราพิชัยสงครามแล้ว 18 ปี93 อีกท้ังตาราพิชัยสงครามฉบับนี้ได้ทาการทาการปริวรรตไว้
เรียบร้อยแล้ว โดย ชัยวุฒิ พิยะกูล สถาบันทักษิณคดีศึกษา เมื่อปี พ.ศ. 2541ดังท่ีกล่าวไว้ในบทท่ี 2
ว่า ตาราพิขัยสงครามไม่ใช่เอกสารหลักที่ผู้วิจัยศึกษา ดังน้ันนามาเป็นส่วนประกอบในงานวิจัยน้ี
เท่าน้ัน

การศึกสงครามในสมัยโบราณจาเป็นต้องอาศัยความรู้ในตาราพิชยั สงคราม ผู้นาทัพ
จะต้องมีความเชี่ยวชาญในยุทธวิธีต่าง ๆ ตลอดจนพิธีกรรมลงเลขยันต์ที่กล่าวไว้ในตาราน้ี เพื่อบารุง
ขวัญและกาลังใจให้แก่ไพร่พลในกองทัพ เน้ือหาสาคัญในตาราพิชัยสงคราม คือ การจัดกระบวนทัพ
ซึ่งนับเป็นสิ่งท่ีสาคัญในการรณรงค์สงคราม การจัดทัพแบบโบราณมีการใชก้ ลเลขในการคานวณ เดิม
ทีกลเลขท่ีปรากฏในตาราพชิ ยั สงครามไมท่ ราบวา่ มที ่มี าอยา่ งไร หรือได้รับอิทธพิ ลแนวคิดจากคมั ภีรใ์ ด
โดยท่ัวไปเข้าใจว่า ในสมัยโบราณผู้นาทัพจะต้องศึกษาตาราพิชัยสงครามให้เจนจบ แต่มิอาจทราบได้
ว่า ก่อนที่จะศึกษาตาราพิชัยสงครามน้ัน ผู้ศึกษาควรต้องมีความรู้จากตาราเล่มอื่นใดมาก่อนหรือไม่
หรือในขณะท่ีศึกษาตาราพิชัยสงครามควรอ่านตาราอื่นใดประกอบ เพ่ือท่ีจะทาความเข้าใจเนื้อหาใน
ตาราได้ง่ายยิ่งข้ึน ตาราพิชัยสงครามมีเนอ้ื หาหลกั 3 สว่ น ได้แก่ สว่ นท่เี ป็นยุทธศาสตรก์ ารทาสงคราม
ส่วนยุทธวิธีการทาสงคราม และส่วนไสยศาสตร์และโหราศาสตร์ที่ใช้ในสงคราม94 อย่างไรก็ตาม
ความรู้ในตาราพิชัยสงครามลดความสาคัญลง เน่ืองจากในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า
เจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ พระองค์ได้ปรับรูปแบบกองทัพไทยตามอย่างชาติ
ตะวันตก การศึกษาตาราพิชัยสงครามเพื่อการนาไปใช้งานจริงจึงไม่มีความจาเป็นอีกต่อไป มีเพียง

92 เรือ่ งเดียวกนั , หน้า 6.
93 เร่ืองเดียวกัน , หนา้ 7.
94 เรอ่ื งเดียวกนั , หนา้ 11.

119

การศึกษาเชงิ อนุรักษ์เท่านั้น เมื่อทาการศึกษาวิเคราะห์เนื้อหาส่วนต่าง ๆ ในตาราพิชยั สงคราม ผู้วิจัย
พบว่าความรู้ในตาราเล่มนี้มีรากฐานความรู้ร่วมกับคัมภีร์ตรีนิสิงเห ทั้งในส่วนกลเลข การแทนค่า
ตัวเลขและคาถาหัวใจต่าง ๆ รวมท้ังเลขยันต์ท่ีปรากฏในตาราดังกล่าวด้วย ซ่ึงองค์ความรู้ดังกล่าว
นามาประยุกตใ์ ช้ในการจัดกระบวนทพั ในส่วนของคาถาและยนั ต์ต่างๆ ที่ใช้ในการศึกสงคราม ดังน้ี

4.1.4.1 กลเลขที่ใช้ในการจดั กระบวนทพั
การจัดกระบวนทัพแบบโบราณที่ปรากฏอยู่ในตาราพิชัยสงคราม เป็น

รูปแบบท่ีอาศัยการคานวณและกลเลขแบบโบราณ เมื่อศึกษาวิธีการคิดและรูปแบบพบว่ามีที่มาจาก
ยันต์สาคัญในคัมภีร์ตรีนิสิงเห ได้แก่ จตุโร ตรีนิสิงเห และโสฬสมงคล ในเบ้ืองต้นจะมีการแทนค่าเลข
และการคานวณเสมือนเป็นการขยายรูปแบบของยันต์กลเลขให้กลายเป็นกลการจัดกระบวนทัพ โดย
อาศยั ความเชอื่ มโยงกบั สิ่งศกั ดส์ิ ทิ ธติ์ ่าง ๆ เช่นท่กี ล่าวไว้ใน ตาราพิชยั สงคราม วา่

พระอาจาริยเจ้าท่านกล่าวไว้ ว่าพระสุวัสวดีเจ้า เม่ือจะเกนพลโยธา เป็นฝ่ายซ้าย
ฝ่ายชวา เป็นฝ่ายหน้าฝ่ายหลัง ก็มาตั้งโสมนัสจิตรธิษฐาน ซึ่งจะเป็นทานเป็น
ประโยชน์ ให้ปราศจากโทษอันตราย ให้แคล้วหน่ายแลไพร่พล ให้เป็นมงคล คือ
กาแพงท้ังเจ็ดคือกรอบเพชรหุ้มห่อตน เพ่ือจะให้ผจญแก่ข้าศึก เป็นพิลึกโอฬาร
ชานะการณรงค์ยุทธา ครั้นจะขีดตาไว้วันทาธิษฐาน ต้ังจิตสันดานให้ม่ันคง โดย
จานงทัพตรีเสนา ครั้นขีดตา เส้นคือพระอาทิตย์อันมีฤทธแ์ิ ข็งขัน เส้นสองคือพระ
จันทรชานะการ เส้นสามน้ันคือพระอังคารให้ต่อยุทธ เส้นส่ีคือพระพุธให้กาจัด
เส้นห้าคือพระพระหัสให้ว่าจะอุก เส้นหกคือพระศุกร์ดับไฟทุกข์ ๆ ยามเพลา เศษ
เส้นเจ็ดคือพระเสาร์ยิ่งยืนสู้ เส้นแปดคือพระราหู อันมีตบะชานะแก้สงคราม เส้น
ทั้งสามให้ทาตามซึ่งกล่าวไว้เป็นประธาน คร้ันคูณหารให้ราลึก ตรองตรึกถึงคุณ
พระพุทธและพระธรรม พระอาจาริยสงฆ์เจ้านั้นเป็นประธาน ธิษฐานโดยตาราว่า
คาถาราลึกคุณท่านทั้งนั้นจงทุกการ บริบวนกะเกนแล้ว เขียนนามคุณแก้วไว้กับ

120

ตาทัพ สาหรับพระพิชัยสงคราม มิให้คร้ามขามเข็ด ก็ว่าจะสาเร็จซ่ึงกองทัพ กลับ
ผนั ผ่อนมาส่นู ครซ่งึ เดมิ ตัง้ จงพึ่งฟังกล่าวไวว้ ่าดงั น9ี้ 5

เนื้อหาจากตาราพิชัยสงครามในส่วนนี้กล่าวถึงการเกณฑ์พล มีการอาศัย
อานาจดาวอฐั เคราะห์ จากนน้ั ใชค้ ุณแก้วสามประการไดแ้ กค่ ณุ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ซึ่งไมต่ ่าง
จากการทาอัตราทวาทสมงคลที่เริ่มต้นด้วยเลขกาลังดาวอัฐเคราะห์บวกกันแล้วคูณด้วยคุณพระสงฆ์
เอาคุณพระธรรมมาหาร ไดเ้ ศษเป็นพระนวหรคุณอนั เป็นคุณของพระพุทธเจ้า (ดูในบทที่ ๓) ในลาดับ
ต่อมามกี ารคานวณและการแทนคา่ เลขด้วยขอ้ ธรรมและสงิ่ ศกั ดส์ิ ิทธติ์ ่าง ๆ ดังนี้

อันทัพตรีเสนานาม เอามาซึ่งคุณพระพุทธ แลพระธรรมพระสงฆ์เจ้าเป็นที่พงึ่ อันเส้น
ขีดท้ังแปดน้ัน คือเทพยดาทั้งแปดพระองค์อนั รักษาเราอยู่วันยาม อันขีดทัพเปน็ แถว
ท้ังสามนั้น คือคุณแก้วท้ังสามประการ อันเป็นกระบวนทัพท้ังเก้านั้น คือพระเนาวห
รคุณเปน็ ทีพ่ ง่ึ อนั วา่ พลพยหุ ะมากน้อยเท่าใดกด็ ี สาคัญวา่ คณุ บารมพี ุทธเจ้า เม่อื ผจญ
ด้วยมาราธิราชเป็นที่พ่ึงอันว่าเอา...(๙) หาร คือพระเนาวโลกอุดรธรรม อันลัพท์ตั้ง
สามฐาน น้ันคือว่าเอาคุณพระไตรสรณาคม เอาสามคูณ นั้นคือ กุศล 1 อกุศล 1 อัพ
ยากฤต 1 อนั เอา 2 หารคอื รูปธรรม 1 นามธรรม 1 แลทัพตรเี สนาจบ

อันวา่ ทัพเบญจเสนา นาเอามาซง่ึ คณุ พระพุทธเจ้าทั้ง 5 พระองค์ อันโปรดสัตวท์ ั่วโลก
น้ันแล อันเส้นขีดตาท้ังสิบนั้น คือทศพิธทั้ง 10 อันว่ากระบวนทัพนั้นคือ เอาคุณพระ
บารมีทั้ง 10 แลคุณปัญจศีลท้ัง 5 ประสมกันเป็น 15 ครบกระบวนทัพนั้นแลเชิงหาร
เอาธาตุท้ัง 4 ฉอารมณ์ 6 เบญจขันธ์ทั้ง 5 ประสมกันเป็น 15 เป็นพลทหาร ลัพท์ซึ่ง
ต้ังเปน็ 5 ฐานนน้ั ฐาน 1 คอื พระธรรมเจ้า ฐาน 2 คอื กุศลหนง่ึ อกุศลหนง่ึ ฐาน 3 คือ
ไตรสรณาคม ฐาน 4 คือ คุณบิดามารดา คุณพระอาจาริย คุณพระมหากษัตราธิราช
เจ้า ฐาน 5 คือเบญจอินทรยี แ์ ล อนั วา่ เอา 3 คณู น้ันคือ กุศล 1 อกศุ ล 1 อัพยากฤต 1
อนั เอา 2 หารคือรูปธรรม 1 นามธรรม 1 แพลพยุห์นั้นก็มากน้อยเท่าใดกต็ ี คือว่าคุณ

95 ชยั วฒุ ิ พยิ ะกลู , ตาราพระมหาพชิ ัยสงคราม (พทั ลุง: สถาบันทักษณิ คดีศึกษา, 2541), หน้า 38.

121

พระบารมีพระพุทธเจ้า เมื่อผจญด้วยมาราธิราชนั้นตอ่ ดว้ ยสงครามทัพเบญจเสนาจบ
เท่าน้ีแลฯ

อันว่าทัพสัพเสนาน้ันเส้นขีดตา ๑๒ เส้นน้ันคือเอานามอกั ขระคือ นะ ปะ ฎะ พะ ภะ
มะ ยะ ละ วะ สะ หะ ๑๒ ตวั นี้ ซึ่งมารดาให้บงั เกิดอาโปธาตแุ ห่งบุคคลท้ังหลายน้ัน
แลฯ

อันว่ากระบวนทัพ ๒๑ น้ัน คือว่าเอาคุณนามอักขระ กะ ขะ คะ ฆะ งะ จะ ฉะ ชะ
ฌะ ญะ ฏะ ฐะ ฑะณะ ตะ ถะ ทะ ธะ ฬะ อ ๒๑ ตัวนี้คือพระบิดาให้บังเกิดปัฐวีธาตุ
แหง่ บคุ คลทัง้ นน้ั 96

จะเห็นไดว้ ่ากลการจัดกระบวนทัพแบบตรีเสนาและเบญจเสนาใช้การตั้ง
แบบเดียวกับการตั้งคูณหารในช้ันต่าง ๆ ในคัมภีร์ตรีนิสิงเห การจัดทัพแบบตรีเสนาใช้พระรัตนตรัย
เป็นตัวต้ัง คล้ายกับกลการต้ังคูณหารในชั้นมงคลเทพตรี ส่วนการจัดทัพแบบเบญจเสนาใช้
พระพุทธเจ้า 5 พระองค์เป็นตัวตั้ง คล้ายกับกลการต้ังคูณหารในช้ันพระเจ้า 5 พระองค์ สาหรับเลข
ตา่ ง ๆ ทบี่ อกเอาไวใ้ นการจัดกระบวนทัพ มีแนวคิดเดียวกบั การแทนเลขในคมั ภรี ์ตรนี สิ งิ เห เช่น 2 คือ
รูปและนาม 3 คือ แก้วสามประการ 8 คือ เทวดาอัฐเคราะห์ 9 คือ พระนวโลกกุตตรธรรม(ผู้ปริวรรต
เว้นเลขจานวนน้ีไว้ แต่หากศึกษาคัมภีร์ตรีนิสิงเหจะทราบว่า เลขที่หายไปคือ 9) นอกจากน้ีแล้ว ทัพ
สพั เสนาท่กี ล่าวถึงอักขระคุณมารดา หมายถึง อาโปธาตุกเ็ ชน่ กัน หากศกึ ษาคมั ภีร์ตรนี ิสิงเหกจ็ ะทราบ
ได้ว่าอักขระท้ัง 12 ตัว แทนด้วยส่วนประกอบของร่างกายที่เป็นของเหลว 12 ชนิด จึงสมมติให้เป็น
ธาตุน้า(ดูเพ่ิมเติมในบทท่ี 3) กระบวนทัพ 21 กล่าวถึงอักขระฝ่ายคุณบิดา 21 ตัว แทนอวัยวะของ
ร่างกายท่ีเป็นธาตดุ ิน มีลักษณะเป็นเนื้อ 21 อย่างจึงถือเปน็ ปฐวธี าตุ(ดูเพิ่มเติมในบทท่ี 3) การอธิบาย
อกั ขระแทนอวยั วะในร่างกายทปี่ รากฏในคมั ภีรไ์ สยศาสตร์ไทย เทา่ ที่พบมีเพยี งคมั ภรี ต์ รีนิสิงเหเท่านั้น
ที่อธิบายไว้โดยละเอียด การจัดกระบวนทัพในตาราพิชัยสงครามยังกล่าวถึงเลขบางจานวนท่ีมีคุณ
พิเศษซึ่งไม่ต่างจากทีก่ ลา่ วไว้ในคัมภรี ์ตรีนิสิงเห ดงั ที่ใน ตาราพิชัยสงคราม กลา่ ววา่

96เรื่องเดยี วกัน, หนา้ 39.

122

อันว่าเอาโสฬสมงคลหาร คือว่าเอาธาตุทั้ง ๔ เบนจขันธ์ท้ัง ๕ อารมณ์ท้ัง ๖ จิต ๑
ผสมกันเป็น ๑๖ เป็นพลหาร ลัพธ์น้ันตัง้ ๗ ฐาน ฐานหนึ่งคือพระเมรุ อนั สถิต ฐาน ๒
คือพระจันทรพระอาทิตย์ ฐาน ๓ นฤมิตรคือโลกท้ังสาม ฐาน ๔ คือทวีปอันมีนาม
ฐาน ๕ สงครามจะคือปัญจมหานที ฐาน ๖ อันมีช่ือว่าฉกามา ฐาน ๗ คือเขา
สัตบริภัณฑ์ อันล้อมพระสุเมรุทั้ง ๗ ชั้น อันเอา ๕ หารนั้นคือเบญจขันธ์ท้ัง ๕ คัด
สงครามท้ังปวง แลซึ่งเอาลัพธ์ต้ัง ๓ ฐานน้ัน ฐานหน่ึงคือพระพุทธเจ้า ฐานสองคุณ
พระธรรมเจ้า ฐานสามคือคุณพระสงฆ์เจ้า อันเอา ๓ คูณฐานกลางน้ันคือคุณ
พระไตรปิฎก อันพลพยุห์มากน้อยเท่าใดก็ดี คือว่าเอาคุณพระพุทธเจ้าเม่ือผจญด้วย
มาราธิราชเปน็ ท่พี ่ึง ทพั สัพเสนาจบเท่าน้ี

อนั ว่าทพั เนาวเสนา อันเสน้ ขดี ตา ๑๔ เสน้ นั้นแล คือว่าคุณพระบารมีท้งั ๑๐ รูปธรรม
๑ นามธรรม ๑ กุสลา ๑ อกุสลา ๑ ผสมกันครบ ๑๔ เส้นนั้นแล อันเป็นกระบวนทัพ
๒๗ น้ันคือ วา่ ดาวนกั ขัตฤกษ์ อันส่งแสงรงุ่ เรือง อนั รักษาโลกท่วั ทอ้ งพภิ พ อนั เอา ๒๕
หารคอื เอาคุณพระอภิธรรมทั้ง ๗ คมั ภีร์ แลพระเนาวโลก อุดรทั้ง ๙ แล นะโมพุธา
ยะ ท้ัง ๕ ครูอาจาริยธาตุท้ัง ๔ กุศลบุญโพธิสมภารหนึ่ง ประสมกันเป็น ๒๕ เป็นพล
หาร อนั ลัพธ์ตัง้ ๙ ฐาน ๆ หน่ึงคือพระศาสดา ฐาน ๒ สาวกซ้ายขวา ฐาน ๓ ไตรตรา
พระปิฎกคัมภีร์ ฐาน ๔ คือจัตุภูตท้ัง ๔ ฐาน ๕ อันมีคือพระฤๅษีท้ัง ๕ ตน ฐานหก
ยุบลฉพรรณรังสีชัชวาล ฐาน ๗ พิสดาร คือพระอภิธรรม ฐาน ๘ เลิศล้าคือศีลท้ัง ๘
ในบุญ ฐาน ๙ พระเนาวหรคณุ เสรจ็ บาเพ็ญพูน ประสิทธลิ ้วนทุกสถาน ฐาน ๑ เอา ๑
คูณ คอื พระสมทุ รเปน็ ประธาน ฐาน ๒ เอา ๒ คูณ ชัยชาญคอื วา่ กสุ ลาอกุสลา ฐาน ๓
เอา ๓ คูณ คือไตรลักษณ์ญาณพระทศพล ฐาน ๔ เอา ๔ คูณ ยุบลคือปัตภิดล พิภพ
ท้ัง ๔ บมิคลา ฐาน ๕ เอา ๕ คูณนั้นหนาคือแมน่ ้าทั้ง ๕ คงคายมนาพะเจียรวดีสรภมู
มีมหิมหานที ฐาน ๖, ๗, ๘, ๙ นามคุณเหมือนกัน อนั วา่ ๕ หาร ทั้ง ๙ ฐานน้ันคือว่า
เบญจขนั ธเ์ พชรทั้ง ๕ อันวา่ ลัพท์ตงั้ เป็น ๓ ฐานนัน้ หนา ฐานบนคือ มะ ฐานกลางคือ

123

อะ ฐานต่าคือ อุ อันเอาสามคูณฐานกลางน้ัน คือพระไตรสรณาคมแลทัพเนาวเสนา
จบบรบิ รู ณเทา่ น9้ี 7

เนื้อความของตาราพิชยั สงครามในตอนน้ีมีการใชค้ าว่า “โสฬสมงคล” ซึ่งใช้
เป็นตัวหาร ในท่ีน้ีหมายถึงให้เอาเลข 16 หาร โดยอธิบายว่า โสฬสมงคลเป็นผลรวมของ ธาตุท้ัง 4
(ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ วาโยธาตุและเตโชธาตุ) ขันธ์ท้ัง 5 (รูป เวทนา สัญญา สังขารและวิญญาณ)
อารมณ์ทั้ง 6 (หมายถึง รูปารมณ์ สัทธารมณ์ คัณฑารมณ์ รสารมณ์ โผฐฐัพพารมณ์และธรรมารมณ์)
จติ 1 หากพิเคราะหก์ ารเรียกเลข 16 วา่ “โสฬสมงคล” ซงึ่ แปลวา่ มงคล 16 มแี นวคดิ เหมือนกับยันต์
โสฬสมงคล ท่ีเลขทุกตัวในยันต์แทนคา่ สิ่งมงคลบ้าง พระนามพระพุทธเจา้ ตลอดจนนามเทพเจา้ ต่าง ๆ
ส่วนในขั้นตอนการหารมีการต้ังเป็นฐานเช่นกัน โดยตั้งเป็น 7 ฐาน แต่ละฐานจะหมายถึงสิ่งต่าง ๆ ท่ี
นามาใชแ้ ทนค่าเลขฐานน้ัน ๆ ฐาน 1 หมายถึง พระสุเมรุ ฐาน 2 หมายถึง พระจันทร์และพระอาทิตย์
ฐาน 3 หมายถึง โลกท้ังสาม ฐาน 4 หมายถึงทวปี ท้ัง 4 ไดแ้ ก่ อุตตรกุรุทวปี ปุพพวิเทหทวปี อปรโค
ยานทวีป ชมพูทวีป ฐาน 5 หมายถึง แม่น้าสาคัญท้ัง 5 สายในอินเดีย ได้แก่ แม่น้าคงคา ยมุนา มหิ
สรภู และอจิรวดี ฐาน 6 หมายถึงฉกามาวจรหรือสวรรค์ท้ัง 6 ชั้น ฐาน 7 หมายถึง เขาสัตตบริภัณฑ์
คือเทือกเขาท่ีเรียงเป็นชั้น ๆ ล้อมรอบเขาพระสุเมรุ ได้แก่ เขายุคนธร เขาอิสินธร เขากรวิก เขาสุทัส
นะ เขาเนมนิ ธร เขาวินันตกะและเขาอสั สกณั ณะ98

ส่วนการจัดทัพแบบเนาวเสนาใช้เลข 14 ตั้งต้นสาหรับขีดตา เลข 14 ใน
คัมภีร์ตรีนิสิงเห อธิบายว่า คือ พระสังฆคุณ แต่ตาราพิชัยสงครามอธิบายที่มาของเลข 14 ว่า มาจาก
บารมี 10 ประกอบด้วย ทานบารมี ศีลบารมี เนกขัมมะบารมี ปัญญาบารมี วิริยะบารมี ขันติบารมี
สัจจะบารมี อธิษฐานบารมี เมตตาบารมีและอุเบกขาบารมี รูปธรรม 1 นามธรรม 1 กุศล 1 อกุศล 1
ส่วนกระบวนทัพท้ัง 27 หมายถึงกลุ่มดาวนักขัตฤกษ์ 27 กลุ่มดาวท่ีใช้ในระบบโหราศาสตร์ และ
รายชื่อกลุ่มดาวเหล่าน้ีปรากฏในไตรภูมิกถาด้วย ได้แก่ อุตตรภัทร 1 เรวดี 1 อัสสุณี 1 ภรณี 1
กฤตกิ า 1 โรหิณี 1 มคิ สริ ะ 1 อัทร 1 ปนุ พั พสุ 1 ปุสสะ 1 อสั เลสะ 1 มาฆะ 1 บุพพผลคุณะ 1 อุตตร
ผลคุณะ 1 หัสตะ 1 จิตระ 1 สวาติ 1 พิสาขะ 1 อนุราธะ 1 เชษฐะ 1 มูละ 1 บุพพาสาฒะ 1

97เรื่องเดยี วกัน, หนา้ 40.
98 ราชบัณฑติ ยสถาน, พจนานุกรมศพั ทว์ รรณคดีไทย สมัยสโุ ขทยั ไตรภมู ิกถา (กรุงเทพ :
ราชบัณฑิตยสถาน, 2544), หนา้ 121-213.

124

อตุ ราษาฒ 1 ศรวณะ 1 ธนิษฐะ 1 ศตภษิ ช์ 1 บุพพภัททะ 199 จะเห็นได้ว่าแนวคิดเก่ียวกบั ดวงดาวที่
มอี ทิ ธิพลต่อทกุ ชะตาชีวิตน้นั ได้รับการขยายให้กว้างขวางขึ้น โดยแรกเรมิ่ ใชด้ าวอฐั เคราะห์ในการแทน
ค่าตัวเลขในการคานวณพ้ืนฐาน อย่างไรก็ตาม แนวคิดเรื่องการแทนค่าตัวเลขจากความเช่ือพุทธ
ศาสนาและศาสนาพราหมณ์-อนิ ดูนน้ั ท้งั คมั ภีร์ตรนี สิ ิงเห และตาราพชิ ยั สงครามไมแ่ ตกต่างกัน

เน้ือหาในคัมภีร์ตรีนิสิงเหและเนื้อหาในตาราพิชัยสงคราม ล้วนให้
ความสาคัญกับดาวอฐั เคราะห์ในระบบสุริยะ ทวา่ ในคัมภรี ์พชิ ัยสงครามไดเ้ พ่มิ กลุ่มดาวนักขัตฤกษ์ 27
กลมุ่ ท่ีมีความสาคัญในระบบโหราศาสตร์เข้าไว้ โดยกล่มุ ดาวนักขตั ฤกษใ์ ชใ้ นการคานวณฤกษ์ตา่ ง ๆ 9
ฤกษ์ ซึง่ ถือเปน็ ฤกษ์บน (ฤกษ์เบ้ืองสูง) ไดแ้ ก่ ทลิทโทฤกษ์ มหัทธโณฤกษ์ โจโรฤกษ์ ภูมิปาโลฤกษ์ เท
ศาตรีฤกษ์ เทวีฤกษ์ เพชฌฆาตฤกษ์ ราชาฤกษ์และสมโณฤกษ์ การท่ีเรียกฤกษ์เหล่าน้ีว่าฤกษ์บน
เพราะอาศัยกล่มุ ดาวนักขตั ฤกษ์เปน็ เคร่ืองกาหนดฤกษ์ และฤกษ์ทงั้ 9 ฤกษจ์ ะบ่งถงึ ความเหมาะสมใน
การประกอบพิธีต่าง ๆ ท้ังท่ีเป็นมงคลและอวมงคลหรือไม่ควรประกอบพิธีกรรมใด ๆ จากน้ันให้เอา
25 มาหาร โดยเลข 25 ในตาราพิชยั สงครามอธิบาย ว่า มาจาก จานวนคัมภรี ์ท้ัง 7 ของอภิธรรมปิฎก
นวโลกกุตตรธรรม 9 ประการ พระพุทธเจ้าในภทั รกัป 5 พระองค์และธาตุทั้ง 4 รวมกันได้ 25 ต้งั หาร
เป็น 8 ฐาน โดย ฐาน 1 หมายถึงพระพุทธเจ้า ฐาน 2 หมายถึงพระอัครสาวกซ้าย-ขวา ฐาน 3
หมายถึงพระไตรปิฎก ฐาน 4 หมายถึงมหาภูต(รูป) ได้แก่ ธาตุท้ัง 4 ฐาน 5 หมายถึงพระ ฤๅษี 5 ตน
ไดแ้ กพ่ ระฤๅษีกัสสป พระฤๅษนี าคา พระฤๅษนี ารอด พระฤๅษีอรชุน ฐาน 6 หมายถงึ พระฉพั พรรณรังสี
ของพระพุทธเจ้าท้ัง 6 ประการ ได้แก่ สีนีละ(สีเขียวขาบ) ปีตะ(สีเหลือง) โรหิตะ(สีแดง) โอทาตะ(สี
ขาว) มัญเชฏฐะ(สีแสด) ประภัสสร (สีเลื่อมพรายดั่งแก้วผลึก) ฐาน 7 หมายถึงคัมภีร์ในอภิธรรมปฎิ ก
7 คัมภีร์ ฐาน 8 หมายถึงศีล 8 (อุโบสถศีล) ฐาน 9 หมายถึง นวโลกกุตตรธรรม ฐาน 1 ให้เอา 1 คือ
พระสมุทรคูณ ฐาน 2 คือ กุศลและอกุศลคูณ ฐาน 3 ให้เอา 3 คือไตรลักษณ์ ไดแ้ ก่ อนิจฺจ ทุกข อนตฺ
ตา คณู ฐาน 4 ให้เอา 4 คอื มหาทวีปทัง้ 4 คูณ ฐาน 5 ให้เอา 5 คอื มหานทที ้ัง 5 คูณ แล้วใหเ้ อาหาร
มาหารทุกฐาน ซงึ่ 5 หมายถงึ เบญจขันธ์ จะได้ 3 ให้ตง้ั เป็นสามฐาน โดย ม เป็นฐานชัน้ บน อ เปน็ ฐาน
ชน้ั กลางและ อุ เป็นฐานชน้ั ล่าง แนวคิดดังกล่าวสอดคลอ้ งกบั การสร้างองค์พระจากเลขศนู ย์ ที่ไดจ้ าก
ผลหารอัตราทวาทสมงคลด้วย 5 ดงั ทกี่ ล่าวไวใ้ น คัมภรี ์ตรีนสิ ิงเห สานวน ก ดงั นี้

99 เร่อื งเดยี วกัน, หนา้ 215-216.

125

ม สสี
อ} อกฺขรา {องฺค ขดั ฉามิ เปนตา
อุ ปาท
ทเว เนตตฺ พุทฺธา ปนชายเต ให้ วน่ เปนตา สองคางแลว้ ให้ว่าปุปณเย

4.1.4.2 คาถาอาคมทใ่ี ช้ในการศกึ สงคราม
นอกจากความรู้ด้านกลเลขและการแทนค่าอัตราเลขแล้ว ความรู้ในส่วน

เวทย์มนต์คาถาในคัมภีร์ตรีนิสิงเหยังถูกนามาใช้ในตาราพิชัยสงครามด้วย การนาเอามนต์คาถาไปใช้
แยกได้เป็นสองประเภทคือประเภทแรกเปน็ การนาเอาคาถาท่ีถอดจากอตั ราเลขในยนั ตจ์ ตโุ ร ยนั ต์ตรนี ิ
สิงเห (อัตราทวาทสมงคล) และยันต์โสฬสมงคลไปใช้โดยตรง โดยหวังผลด้านการคุ้มครองป้องกันภยั
ให้กับเหล่าทหารในกองทัพ ประเภทท่ีสองเป็นการนาเอาส่วนหนึ่งของมนต์คาถาท่ีเรียกว่า “หัวใจ”
โดยเฉพาะคาถาหัวใจท่ีสัมพันธ์กับตัวเลขในยันต์อัตราเลขต่าง ๆ ไปใช้ ดังปรากฏเน้ือความใน ตารา
พิชยั สงคราม ดงั น้ี

แลเม่ือจะให้ยกพลเข้าสู่สงคราม ให้ราลึกถึงคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แลคุณ
พระบิดาพระมารดา ครูอุปัชย์อาจาริย แลคุณเทวยุดาอันรักษาพระพุทธศาสนา แล
คุณพระมหาฤาษีอันมีฤทธ์ิทั้งหลาย คุณพระมหากษัตราธิราชเจ้า ...แลนายใหญ่น้ัน
สวดพระคาถาน้คี ือวา่

สังวิธาปุกะยะปะ อิสวาสุ มะอะอุ กะขะคะฆะงะ จะฉะชะฌะญะ ฏะฐะฑะฒะณะ
ตะถะทะธะนะ ปะผะพะภะมะ ยะระละวะสะหะฬะอัง ฯ 16 โสฬสมคลญฺเจวะ 9 นว
โลกุตฺตรธมฺมา 4 จัตฺตาโรธมฺมาทิปา 5 ปญฺจพุทฺธามหามุณี 3 เตปิฏกาธมฺมขนฺธา 6
ฉกามาวจราตถา 15 ปญฺจทสภเวสจฺจ 10ทศมสึลดวจ(ทศมสีลเมวจ) 13 เตรสจตุตฺถ
ธุตงฺคาปิจ 12 ทวาทสปาฏิหารญฺจ 1 เอกเมรุ (จ) 8 สุราอฏฺถ 2 ทฺเวจนฺทิมสุริยาจ 7
สตฺตสมฺโภชฌงฺคเจว 14 จุทฺทสจกฺกวตฺติก 11 เอกาทสเพ (ช) ลูราชา สพฺพทุกฺขาวิ
นาสฺสนฺติ สพพฺ ภยฺยาวินาสฺสนฺติ สพพฺ โรคาวินาสสนฺติ สพฺศตรูทูเรทุเร 3 ตรีนิสิงเห 7
สตฺตนาเค 5ปญฺจเพสนูนเมวจ 4 จตุเทวา 6 ฉวชฺราชา 5 ปญฺจอินทรา มหิทฺธิกา 1
เอกยกฺขา 9 เนาวเทวา 5 ปญฺจพรฺหมาสหมฺปติ 2 ทฺเวราชา 8 อฏฺฐอรหนฺตา 5 ปญฺจ
พุทฺธานมามิห 4 จตุโร 9 เนาวโม 2 ทเฺ วโช 3 ตรนี ิ 5 ปญจฺ 7 สตตฺ 8 อฏฺฐ 1 เอกภเว

126

6 ฉตฺเถ สพพฺ ศตรวู ินาสฺสนตฺ ิ จบแล้วถ้าแลมีคุณอิทธิฤทธิ์อันอ่ืน ตามอันรู้นั้นให้
สวดตามได้ แล้วให้ยึดพลไปสงครามมีชยั ชานะแล ถ้าจะยึดพลไปทุกเม่ือก็ดี ถ้าไดท้ ุก
ท่ีทุกครั้งมีสวัสดีทุกเมื่อน้ันแล อันไว้พระคาถาในตาทัพนั้น ให้สวดภาวนา เมื่อเข้า
นอนจงทุกเม่ืออย่าไดข้ าด จึงจะกันภัยอันตราย ข้าศึกท้ังหลายทาร้ายมิได้เลย แลทพั
๓ เสนา ๕ เสนา ๗ เสนา ๙ เสนานั้นพลมากน้อยเท่าใดก็ดีให้ตง้ั จิตเอาว่าคือคุณพระ
บารมีพระพุทธเจ้า เม่ือผจญด้วยมาราธิราชมีชัยชานะแล ให้สวดมนต์คาถาในตาทัพ
อันไว้น้ัน ให้ทาเหมือนสัพเสนานี้ พระคาถาซึ่งไว้แบ่งไว้แต่ตัวหน่ึงก็ดี วรรคหน่ึงก็ดี
เผื่อบคุ คลปญั ญานอ้ ยแลมักคราน ถ้าแลนายกองยกกระบัตรเกียกกายปีกซ้ายขวา แล
ไพรพ่ ลทัง้ น้นั สวดพระมนต์คาถาให้จบทุกบทแลทุกประการจงถ้วน บุคคลนัน้ ไซร้กจ็ ะ
ประเสรฐิ กนั โพยภัยศาสตราอาวธุ ทง้ั หลายเป็นวเิ ศษนกั แล100

คาถาที่ใช้สาหรับภาวนาป้องกันอันตรายในตาราพิชัยสงครามท่ียกมาน้ี
เร่ิมต้นด้วยการใช้คาถาที่เป็นหัวใจ ซึ่งมีลักษณะวิธีการถอดแบบเดียวกับคาถาหัวใจท่ีใช้แทนค่าอัตรา
ทวาทสมงคล คาถาหัวใจเหลา่ นี้สว่ นใหญเ่ ป็นคาถาหวั ใจทปี่ รากฏในคัมภรี ต์ รีนสิ ิงเหทั้งสิน้ เชน่ ส วิ ธา
ปุ ก ย ป ท่ีถอดมาจากพยางค์แรกของช่ือของคัมภีร์อภิธรรมทั้ง 7 คัมภีร์ อิ สวา สุ คือ พยางค์ข้ึนตน้
บทสวดสรรเสริญพระพุทธคุณ บทสวดสรรเสริญพระธรรมคุณและบทสวดสรรเสริญพระสังฆคุณ ม อ
อุ คือหัวใจพระรัตนตรัย จากนั้นเป็นคุณอกั ขระต่อด้วยคาถาโสฬสมงคล ซึ่งเป็นกลเลขสาคัญในคัมภรี ์
ตรีนิสิงเห(ดูเพิ่มในบทท่ี 3) คาถาอัตราทวาทสมงคล ซึ่งคาถาอัตราเลขชุดน้ีถือว่าเป็นส่วนหัวใจของ
คัมภีร์ตรีนิสิงเห และได้นามาใช้ในตาราพิชัยสงครามเช่นกัน วิธีการใช้คาถาหัวใจต่าง ๆ และคาถา
อัตราเลขที่มีในคัมภีร์ตรีนิสิงเห แสดงให้เห็นถึงแนวคิดท่ีคัมภีร์ท้ังสองมีความเก่ียวข้องกัน โดยใช้องค์
ความร้รู ว่ มกันหรอื อาจมสี ่วนช่วยให้เกดิ ความเข้าใจได้ง่ายขนึ้ เมือ่ ใชศ้ ึกษารว่ มกัน นอกจากน้ยี ังมีคาถา
จตุโร เป็นคาถาท่ีมาจากยันต์จตุโรซ่ึงเป็นต้นกาเนิดของอัตราทวาทสมงคล คาถาสามบทหลังน้ี เป็น
คาถาสาคญั ทีม่ อี ยใู่ นคมั ภรี ต์ รีนสิ งิ เห สว่ นอุปเทห่ ์นัน้ เมอ่ื ภาวนาพระคาถาดังกล่าวจะชว่ ยใหบ้ ังเกิดชัย
ชนะต่อข้าศึกศตั รู และแคลว้ คลาดปลอดภัยจากภยนั ตราย คาถาที่ใหไ้ ว้น้นั แมไ้ ม่ต้องเจริญทงั้ หมด จะ

100 ชัยวฒุ ิ พยิ ะกลู , ตาราพระมหาพิชยั สงคราม, หนา้ 40-41.

127

ใช้เพียงบางส่วนก็ถือว่ามีอานุภาพเช่นกัน ในตาราพิชัยสงครามยังมีคาถาที่ใช้หัวข้อธรรมอย่าง เช่น
บารมี 10 ทัศ ศลี 8 ดงั ทกี่ ล่าวว่า

นายทัพนายกองเนาวเสนานั้น ให้ต้ังเบญจขันธ์ทั้ง ๕ ภาวนาพระบารมีพระพุทธเจ้า
อันได้สร้างพระโพธิสมภารน้ันคือ ปฐม ทานปารมี ทุติยสีละปารมี ตะติยังเนกขัมมะ
ปาระมี จะตุตถังปัญญาบารมี ปัญจะมังวิริยปารมี ฉัตตะมัง ขันติปารมี สัตตะมัง
สัจจะปาระมี อัตถะมัง อะธิฎฐานะ ปาระมีนะวะมังเมตตาปาระมี ทะสะมังอุเบกขา
ปาระมี กุสะลาธัมมา อะกุสะลาธัมมา รูปกั ขันธา สังวิธาปุกะยะปะ อะสังวิสุโลปสุ ะพุ
พะ นะโมพุทธายะ ปถะวิอาโปวาโยเตโช ปาณาติปาตาเวระมะณีสิกขาปะทังสะมาธิ
ยามิ อะนันนาทานาเวระมะณีสิกขาปะทังสะมาธิยามิ กาเมสุมิจฉาจาราเวระมะณี
สิกขาปะทังสะมาธิยามิ มุสาวาทาเวระมะณี สิกขาปะทังสะมาธิยามิ สุราเม
ระยะมัชฌะปะมาทัฏฐานาเวระมะณี สิกขาปะทังสะมาธิยามิ วิกาละโภชะนาเวระ
มะณี สิกขาปะทังสะมาธิยามิ นัจจะคีตะวาทิสูกทัสสะนามาลาคันธะวิเล ปะนะทา
ระณะมณั ฑะณะวิภสู ะนัฏ ฐานาเวระมะณี สิกขาปะทงั สะมาธิยาม

แลให้นมัสการราลึกนึกถึงคุณพระพุทธเจ้า คุณพระธรรมเจ้า คุณพระสงฆ์เจ้า สาวก
ซ้ายขวา และคุณพระอุปชั ฌาย์อาจาริยเจ้า คุณพระมหากษัตราธิราชเจ้า แลคุณพระ
ฤๅษีกัดสพ พระฤๅษีนาคา พระฤๅษีนารอด พระฤๅษีอรชุน ท่านท้ัง ๕ ตนแล
ฉัพพรรณรังสีท้ัง ๖ ประการ แลแผ่นดินแผ่นฟ้า คือดาวนักขัตฤกษ์ ๒๗ พระ
มหาสมทุ ร แลแม่น้าทั้ง ๕ แถว เปน็ ทพี่ ่งึ ที่รกั ษา แลให้นมสั การภาวนาทกุ เวลาแลไพร่
นน้ั ใหภ้ าวนา มะ อะ อุ จงถว้ นกนั 101

คาถาสาคัญอีกบทที่อยู่ในตาราพิชัยสงครามระบุวิธีการใช้ให้ไพร่พล
ภาวนาเพื่อความแคล้วคลาด ปลอดภยั โดยกรรมวธิ ีให้ตั้งเบญจขันธ์เสียก่อน ซึ่งการตง้ั เบญจขันธห์ รือ
การต้ังขันธ์ ๕ คือการจัดเครื่องบูชาครูอาจารย์ทางเวทย์มนต์ประกอบไปด้วย ดอกไม้ ธูป เทียน ผ้า
ขาว และใช้ใบตองทากรวยทรงแหลม 5 กรวย บรรจุดอกไม้ ธูป เทยี น 5 คู่ ใส่ลงในกรวยท้งั 5 แล้วจงึ
นาวางลงบนผ้าขาวท่ีวางรองรับอยู่บนพานหรือภาชนะ ขันธ์ 5 อาจเป็นสื่อแทนความหมาย เช่น พระ

101 เรื่องเดียวกนั , หนา้ 42.

128

พุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คุณมารดาบิดา คุณครูอุปัชฌาย์ อาจารย์ หรืออีกนัยหน่ึงอาจหมายถึงการ
มอบกายใจต่อครูอาจารย์ ด้วยขันธ์ 5 เป็นองค์ประกอบของชีวิตตามหลักพระพุทธศาสนา ได้แก่ รูป
เวทนา สังขารและวิญญาณ ด้วยการปฏิบัติและฝึกฝนตามท่ีครู อาจารย์สอนสั่ง จากนั้นให้ภาวนา
บารมี 10 ทัศ อันเป็นธรรมท่ีพระโพธิสัตว์ได้บาเพ็ญ เพ่ือตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ถือว่าเป็น
ธรรมท่ยี ิ่งใหญ่ ใน พจนานกุ รมพุทธศาสตร์ ฉบบั ประมวลศพั ท์ ให้คาจากดั ไว้ ว่า “คณุ ความดีท่ีบาเพญ็
อย่างย่ิงยวด เพ่ือบรรลุซึ่งจุดหมายอันสูงยิ่ง มี 10 คือ ทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ
สัจจะ อธษิ ฐาน เมตตา อเุ บกขา”102

จากน้นั เปน็ การกลา่ วถึง กศุ ล อกศุ ลและรูปขนั ธ์ คาถาหวั ใจพระอภธิ รรม
7 คัมภีร์ ได้แก่ สํ วิ ธา ปุ ก ย ป หัวใจพระนวหรคุณ 9 ประการ ได้แก่ อ สํ วิ สุ โล ปุ ส พุ พ(ภ)
หัวใจพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ ได้แก่ น โม พุทฺ ธา ย ธาตุทั้ง 4 ไดแ้ ก่ ปถวี อาโป วาโย เตโช และศีล
8 หรืออุโบสถศีล จากนั้นให้ตามระลึกถึงพระรัตนตรัย คุณพระมหากษัตริย์ คุณพระพระฤๅษีและสิ่ง
มงคลต่าง ๆ แล้วให้ภาวนาคาถาหัวใจ ม อ อุ ซ่ึงในคัมภีร์ตรีนิสิงเหอธิบายไว้ว่าคือ พระพุทธ พระ
ธรรม พระสงฆ์ แนวคิดท่ีปรากฏในคาถาเหล่านี้เหมือนกับท่ีแนวคิดในคัมภีร์ตรีนิสิงเห มีข้อน่าสังเกต
ท่ีว่าแม้จะเป็นคาถาที่ใช้ในการศึก เพ่ือป้องกันจากอันตรายในสงคราม เน้ือความในคาถามีการ
กล่าวถึงศีล มีการละเว้นจากการฆ่าสัตว์เป็นต้น ซึ่งในสงครามย่อมต้องล่วงสิกขาบทข้อนี้ ผู้วิจัยจึง
สันนิษฐานว่าข้อสิกขาบทต่าง ๆ ท่ีปรากฏในคาถามุ่งหวังเร่ืองความศักดิ์สิทธิ์มากกว่าการประพฤติ
ปฏิบตั ิให้เกดิ อานิสงสข์ องสกิ ขาบทนน้ั ๆ

ในตาราพิชัยสงครามยังมีคาถาท่ีอยู่ในส่วนของเวทมนต์ไสยศาสตร์อีก
หลายคาถา ท่นี อกเหนือจากการใชจ้ ดั กระบวนทัพ คาถาในสว่ นนี้มีแนวคิดการประพันธ์คลา้ ยกบั คาถา
ในคัมภีร์ตรีนิสิงเหเช่นกัน โดยเฉพาะการใช้ หัวใจต่าง ๆ ท่ีมีเนื้อความตรงกัน ดังเช่น เน้ือความใน
ตาราพชิ ัยสงคราม กล่าวว่า นะ โม พทุ ธา ยะ มะ อะ อุ ยะ ธา พทุ โม นะ อุ อะ มะ ตะ สวา สุ สุ พุท ธัส
สะ อะ สงั วิ สุ โล ปุ สะ พุ ภะ ๓ ๗ คาบ ลา้ งหนา้ จงทกุ วนั กนั โพยภยั อันตรายให้จาเรนิ สวัสดนิ ักแล103

102 พระธรรมปฎิ ก, พจนานกุ รมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์, หน้า 111
103 ชัยวุฒิ พยิ ะกลู , ตาราพระมหาพชิ ยั สงคราม, หน้า,98.

129

คาถาบทนี้เร่ิมต้นด้วยหัวใจพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ หัวใจพระรัตนตรัย
ทั้งอนุโลมและปฏิโลม ส่วนคาที่ปริวรรตไว้ว่า ต สวา สุ สันนิษฐานว่าเป็นหัวใจพระรัตนตรัย น่าจะ
ปริวรรตผิด เพราะ ต กับ อิ ที่เขียนดว้ ยอกั ษรขอมนั้นคล้ายกัน แต่ถ้าไดศ้ ึกษาคัมภรี ์ตรีนิสิงเห และมี
ความเข้าใจเรื่องการถอดพยางค์ในที่เรียกว่า “หัวใจ” ที่มาบทสวดมนต์ หัวข้อพระธรรมต่าง ๆ และ
ชื่อคัมภรี ์สาคัญในพระพุทธศาสนา จะทราบได้ว่าที่น่าจะเปน็ คาว่า อิ มากกวา่ ต เพราะ อิ สวา สุ ซ่ึง
เป็นหัวใจของบทสรรเสริญพระรัตนตรัย โดยถอดเอาพยางค์แรกของบทสวดสรรเสริญพระพุทธคุณ
พระธรรมคุณและพระสังฆคณุ ส่วน อ สํ วิ สุ โล ปุ ส พุ ภ เปน็ คาถาหัวใจพระนวหรคุณ (ดูเพม่ิ ในบท
ที่ 2) จะเห็นไดว้ ่าคาถาตา่ ง ๆ ในตาราพชิ ัยสงครามมักใช้หวั ใจแบบเดียวกับทีม่ ใี นคมั ภรี ์ตรีนสิ งิ เห และ
ความรใู้ นคัมภรี ์ดังกลา่ วชว่ ยให้สามารถเข้าใจที่มาของคาถาหัวใจท่มี อี ย่ใู นตาราพชิ ยั สงครามไดด้ ีย่ิงขน้ึ

4.1.4.3 ยนั ตท์ ใี่ ช้ในการศกึ สงคราม
ความรู้ในคัมภีร์ตรีนิสงิ เหไม่เพยี งแตม่ บี ทบาทด้านคาถาอาคมตอ่ ตาราพิชยั

สงครามเท่านนั้ แต่ยังมีบทบาทสาคัญในส่วนของยันต์ท่ใี ช้ในการศกึ สงครามด้วย ซึ่งมีอยู่ด้วยกันหลาย
ยันต์ที่ใช้อัตราเลขทวาทสมงคล หรือบทเสกอัตราเลขในคัมภีร์ตรีนิสิงเห ดังเช่น ยันต์พุทธจักร ที่มี
ลักษณะเป็นตาราง 16 ช่อง เดินด้วยกลม้าหมากรุก ในตารางใส่เลขลาดับ 1-16 ที่มุมยันต์กากับด้วย
เลขอัตราทวาทสมงคล เวียนทักษิณาวรรต จะเห็นได้ว่าต้นฉบับตามที่ ชัยวุฒิ พิยะกูล ปริวรรตไว้นั้น
เลขอตั ราขาดไปหนง่ึ ตัว ไดแ้ ก่เลข 5 ท่ีมุมขวาลา่ ง

รูปท่ี 4.6 ยันตพ์ ุทธจกั ร
ท่มี า: ชยั วุฒิ พิยะกูล, ตาราพระมหาพิชัยสงคราม, หน้า 103.

130

มีข้อพึงสังเกตบางประการเก่ียวกับตาราเลขยันต์ ตาราเวทมนต์หรือตารา
พิชัยสงครามซ่ึงเป็นตาราท่ีเป็นความรู้เฉพาะ จะมีการอาพรางความรู้เอาไว้ โดยการจารึกไว้ไม่ครบ
บ้าง จารึกสลับท่ีบ้าง จารึกผิดไวบ้ ้าง อาจเป็นเพราะผู้บนั ทึกตาราไม่ตอ้ งการให้บคุ คลภายนอกท่ีไม่ได้
รับสืบทอดโดยตรงสามารถนาไปใช้ประโยชน์ได้ ตาราเหล่าน้ีเป็นเพียงตาราที่บันทึกความรู้เอาไว้กัน
ลมื หากปราศจากผทู้ ี่มีความรู้แนะนาโดยตรงกย็ ากท่ีจะสามารถใช้ใหเ้ กิดผลได้ สาหรับยนั ต์พทุ ธจักรน้ี
วิธีการนาไปใช้ใน ตาราพิชัยสงคราม กล่าวว่า “พุทธจักรเสกด้วยมนต์นี้ ฯ โอมจิตตังสัพพะ สัพพะ
พุทธงั รตั นังสวาหะฯ ล้อมด้วยตรนี สิ งิ เหลงดว้ ยกระดาษ ตะกั่ว หัวขโมดก็ได้ ฯ”104

ยันต์สาคัญอีกยันต์หนึ่งท่ีมีเค้าโครงจากคัมภีร์ตรีนิสิงเหปรากฏในส่วนการ
ทาลูกกระสุนปนื การทากระสุนปนื แบบโบราณน้ันตอ้ งใช้ความรู้ทางเวชศาสตร์ เลขยันตแ์ ละเวทมนต์
ประกอบกัน ไม่ใช่ว่าจะใช้ให้ใครก็ได้มาทาลูกกระสุน ข้ันตอนการทาลูกกระสุนปืนน้ีมีการประกอบ
เครื่องยาต่าง ๆ เพื่อให้ลูกกระสุนมีอานุภาพต่างกันไป อย่างไรก็ตามส่ิงสาคัญท่ีอยใู่ นเนื้อหาส่วนน้ี คือ
ยันต์สาหรับห่อลูกกระสุนปืนซ่ึงเม่ือวิเคราะห์รูปแบบยันต์ดังกล่าวจะเห็นได้ว่าเป็น ยันต์ท่ีได้จากการ
นาเอาอัตราทวาทสมงคลหารด้วย 5 ได้ผลลัพธ์คือ 7 5 0 3 9 0 9 3 0 7 5 เมื่อถอดอัตราผลหารใน
ขั้นน้ีจะได้ เลข 3 คู่หนึ่ง เลข 5 คู่หน่ึง เลข 7 คู่หนึ่ง เลข 9 คู่หนึ่ง และเลขศูนย์สามตัว การท่ีคน
โบราณเลือกใช้ยันต์นี้สันนิษฐานว่า ตามความเช่ือคนโบราณความรู้ในคัมภีร์ตรีนิสิงเหใช้สาหรับ
ป้องกันภตู ผปี ศี าจและถอนทาลายอาถรรพเ์ ป็นหลกั

รปู ที่ 4.7 ยันตห์ อ่ ลูกกระสนุ ปนื ลงดว้ ยอตั ราเลข คณู 5 หาร 5
ทม่ี า: ชัยวุฒิ พยิ ะกลู , ตาราพระมหาพิชัยสงคราม, หนา้ 119.

104 ชัยวฒุ ิ พิยะกลู , ตาราพระมหาพิชัยสงคราม, หนา้ . 103.

131

ยนั ต์ชอ่ื ชุมมอนเป็นอกี ยันตท์ ีใ่ ชเ้ ลขอัตราทวาทสมงคลเดนิ กลม้าหมากรุกใน
ตารางสี่เหลี่ยมกว้างส่ีแถวยาวสามตอน แม้ว่ายันต์น้ีในตาราพิชัยสงครามจะไม่ได้ระบุไว้ว่ามีคุณ
ทางดา้ นใด แต่รปู แบบของยันตใ์ ช้องค์ความรู้ในคัมภีร์ตรีนสิ งิ เห เพยี งแตร่ ูปแบบการวางตัวเลขต่างกัน
ออกไป หากไม่มีความรู้ที่ได้จากคัมภีร์ตรีนิสิงเหจะไม่มีทางทราบท่ีมาของเลขท่ีใส่ไว้ในยันต์ได้เลย
หรือแม้แต่การที่จะทราบได้ว่าจะต้องลงเลขตัวใดก่อนหลังก็เป็นไปไม่ได้ แสดงให้เห็นว่ายันต์ชื่อ “กัน
ชุมมอน” น้ีผู้ท่ีจะทาการลงยันต์จะต้องมีความรู้เร่ืองเลขทวาทสมงคลมาก่อนจึงสามารถกระทาได้
นอกจากน้ยี งั มียันตใ์ นตาราพิชัยสงครามสองยนั ตใ์ ช้คู่กัน ตามทีก่ ลา่ วไวใ้ น ตาราพิชยั สงคราม ว่า

ยันตพ์ ระภควัมทั้งเจ็ดองค์ กับยันต์ท่ีอยู่ตดิ กันนั้น ทาทิตหมอน ถ้าไข้เจ็บให้แช่น้ากิน
อาบหายแล ให้เสกด้วยคาถานี้ ฯ สับเพไชยะสวาหับ โอมมะอะอุสับเพกันชันมันณะ
สิทีการสวาหับ ๑๐๘ ที ฯ วา่ สับเพทีโย ๑๑ ที ว่าสักกัดตรา ๙ คาบฯ โอมไชย ๆ สับ
เพสวาหับ สวาหาย ฯ โอมอะอิอุสับเพกันชน มันสิทิสวาหาย ฯ กรบุนยมโหรตัง
จะชนั ะ อะสงั สะกัง พชั ะส่ทุสาคา สรมดิ จะมะมิจะคงถา ปกั ฉญั ะอปุ ันนานัง มาวาโท
โนเคนถานังติยา ปัญะอุปนั นานงั วามาโทโนเคนุ ถานังตี105

รปู ที่ 4.8 ยันตพ์ ระภควัม 7 องค์
ท่ีมา: ชัยวุฒิ พยิ ะกูล, ตาราพระมหาพชิ ัยสงคราม, หนา้ 112.

เม่ือวิเคราะห์รูปแบบของยันต์ดังกล่าว จะเห็นได้ว่ายันต์ด้านบนอาศัยกล
เลขหลักสามชุดสร้างข้ึน โดยชั้นในสุดแบ่งเป็น 9 ช่อง ใส่เลข 7 ตัว คือ 2 9 4 5 6 1 8 ตัวเลขแถว
กลางขาดหายไปสองช่อง เมอ่ื เปรียบเทยี บกับยนั ตจ์ ตุโรแบบปกติ ยนั ตน์ น้ี ่าจะลงอัตราเลขจตโุ ร แตล่ ง
แบบกลับด้าน คือ 2 9 4 7 5 3 6 1 8 ทุกด้านของตารางจะบวกกันได้ 15 เช่นกัน การลงอัตราเลข
กลับด้าน อาจเพราะไม่ตอ้ งการให้รู้ว่าลงด้วยกลเลขแบบใด ในทางไสยศาสตร์ หากรู้กลยันตท์ ี่ลงไว้ใน

105 เรอ่ื งเดียวกนั , หนา้ 140

132

วัตถุมงคล อาจทาการถอนอาคมในยันต์นั้น ๆ ได้ นอกจากน้ี การเรียนตาราเลขยันต์โบราณมีข้อพึง
ระวัง คือ การอาพราง โดย การเขียนไม่ครบบ้าง การเขียนผิดบ้าง การเขียนแบบไม่ให้สามารถอ่านได้
บ้าง เพื่อปกปิดความรู้เอาไว้เฉพาะในสานักของตน ในกรณีตาราพิชัยสงครามผู้บันทึกอาจไม่ต้องการ
ให้องค์ความรู้ตกอยู่ในมือข้าศึกศัตรู จึงมีการเขียนพรางเอาไว้ ดังนั้นยันต์ด้านในที่ถูกต้องควรจะเป็น
จตุโรท่ีลงกลับด้าน ถัดมาเลขชั้นกลางลงด้วยอัตราทวาทสมงคล แต่มีการลงสลับกันไว้ดังนี้ 3 7 5 4
6 5 9 1 5 2 8 5 ในที่น้ี 9 กับ 1 สลับท่ีกัน ชั้นนอกสุดลงเลขอตั ราโสฬสมงคล แต่มีสองอัตราสุดท้าย
ไม่ถูกต้องตามองค์ความรู้ในคัมภีร์ตรีนิสิงเห ซึ่งในตาราดังกล่าวลงเลขไว้ดังนี้ 16 9 4 5 3 6 15 10
13 12 1 8 2 1 1 1 เลขโสฬสมงคลท่ีถูกตอ้ งคือ 16 9 4 5 3 6 15 10 13 12 1 8 2 7 14 11 อัตรา
โสฬสมงคลเป็นลาดับเลขท่ีถอดมาจากลาดับเลขในยันต์โสฬสมงคล หรือจัตุรัสกลแบบ 4 x 4 จะเห็น
ได้ว่า หากปราศจากความรู้ในคัมภีร์ตรีนิสิงเหแล้ว จะไม่สามารถแก้ไขตัวเลขเหล่านี้ให้ถูกต้องได้เลย
อีกท้ังการศึกษาเลขยันต์โบราณหากลงเลขในยันต์ผิด ถือว่ายันต์น้ันไม่สมบูรณ์ ไม่สามารถนาไปใช้ได้
ให้เกิดผลได้ แม้กระท่ังเส้นยันต์กับตัวเลขหรือตัวอักขระต่าง ๆ ในยันต์ หากเขียนทับกัน ถือว่า ยันต์
น้ันวบิ ัติ ไม่มีอานุภาพหรือมีอานุภาพลดลงอีกทั้งการเรียกสูตรตัวเลขต่าง ๆ ก็ไม่อาจกระทาได้ ยันต์น้ี
มแี ต่บทเสกยนั ต์ ไมม่ วี ิธีการขน้ั พ้ืนฐานในการเรยี กสูตรเสน้ ยันตแ์ ละตวั เลขในยันต์ ท้ังนี้ผทู้ ี่ศึกษาตารา
พิชัยสงครามฉบับน้ีจาเป็นต้องเป็นผู้มีความรู้พื้นฐานเร่ืองการทายันต์และตัวเลขในยันต์ท่ีมีอยู่ใน
คมั ภีรต์ รนี ิสิงเห จงึ จะสามารถกระทาได้อยา่ งถกู ต้อง

4.2 ดา้ นศาสนาและความเชอื่

คัมภีรล์ บผงถึงแม้วา่ จะถกู จดั อยใู่ นหมวดไสยศาสตร์ แต่ก็ประกอบด้วยแนวคดิ สาคญั ทางพุทธ
ศาสนา ทั้งตัวเนื้อหาของคัมภีร์และวิธีการทาการลบผง คือ การฝึกเขียนอักขระเลขยันต์ให้เกิดความ
ชานาญ ด้วยการเขียนอักขระยันต์ต่าง ๆ เขียนเสร็จแล้วลบ และเขียนยันต์ในอักขระยันต์เป็นลาดับ
ตามเน้ือหาท่ีมีในแต่ละคัมภีร์ ถือเป็นการฝึกทักษะการเรียกสูตร เรียกนาม ทาให้เกิดความเช่ียวชาญ
สามารถจดจากระบวนการต่าง ๆ ได้อย่างคล่องแคล่ว ดังนั้นการศึกษาวิชาเลขยันต์ให้แตกฉาน
จาเป็นต้องเรียนรู้จากคัมภีร์ลบผงเหล่านี้เป็นบาทฐาน เพื่อให้สามารถเข้าใจกระบวนการลงเลขยันต์
แบบต่าง ๆ การศึกษาของชาวไทยแต่โบราณน้ันมีแบบแผนท่ีชัดเจน โดยกาหนดให้ผู้ศึกษาต้องผ่าน
ขน้ั ตอนการเรียนลบผงก่อนจึงจะเรยี นตาราเลขยันตอ์ นื่ ตอ่ ไปได้

133

การเรียนลบผงจะสร้างความเป็นเอกภาพของไตรทวาร (กาย วาจา ใจ) กล่าวคือ ความ
สอดคล้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวของการเรียกสตู รด้วยวาจา การเขียนอักขระ และการลากเส้นยันต์ดว้ ย
มือ และใจที่จดจ่อต่อการลงอักขระทั้งปวงให้พอดีกับการท่องสูตรสนธิ และคาถา ไม่ให้เกิดความ
ผิดพลาด เช่น เส้นยันต์กับตัวอักขระทับซ้อนกัน หรือรูปสัญลักษณ์ทับซ้อนกัน ซึ่งถือว่าการเขียนยันต์
ในคร้ังนั้นวิบัติไม่อาจใช้การได้ ดงั นั้นการลบผงถือเป็นการหัดทาสมาธิเบ้อื งต้น นัยว่าเป็นเครื่องล่อใน
การหัดทาสมาธิเป็นอย่างดี เพราะมิใช่แต่จะเขียนอย่างเดียว พอเขียนเสร็จบังเกิดขึ้นแล้วก็ลบเสีย
บังเกิดเป็นข้ึนใหม่ต่อไปอีก เปรียบเสมือนอาการเกิดดับของนาม-รูป จนท้ายท่ีสุดถึงองค์พระและลบ
เข้าสูญนิพพาน อันแสดงถึงพระไตรลักษณ์ เปรียบได้กับการทากัมมัฏฐาน พระเกจิอาจารย์โบราณใช้
การฝึกลบผง เป็นอุบายขัดเกลากิเลสของสานุศิษย์ ในเบ้ืองแรก การศึกษาที่ต้องประกอบด้วยความ
เพียร อาจจะเป็นการหวังผลในอิทธิปาฏิหาริย์ เพราะตามอุปเท่ห์ท่านกล่าวสรรเสริญไว้ว่าเม่ือทาได้
สาเร็จถึงข้ันน้ันขั้นนี้ จะทาฤทธ์ิได้โดยสถานต่าง ๆ แต่เม่ือกระทาสาเร็จได้จริงจะสามารถเข้าใจถึงคา
สอนบางประการท่ีมีในพุทธศาสนา ถือได้ว่าการเรียนลบผงน้ีเป็นกุศโลบาย ทาให้เกิดความเข้าใจทั้ง
อักขระวธิ ี สัญลกั ษณ์ทป่ี รากฏในเลขยันตต์ า่ ง ๆ รวมถึงคาสอนที่เป็นหัวขอ้ ธรรมบางประการดว้ ย106

นอกจากวิธีการในการลบแล้ว เน้ือหาในคัมภีร์ตรีนิสิงเหยังปรากฏแนวคิดเก่ียวกับ
ความเชื่อ และพุทธปรัชญาท่ีลึกซ้ึง มีการนาเอา พญาสัตว์หรือโพธิสัตว์ เทพต่าง ๆ ที่นับถือกันมาแต่
โบราณ ตลอดจนนามพระอรหันต์และพระนามของพระพุทธเจ้าในการแทนความหมายตัวเลขต่าง ๆ
ในอัตราทวาทสมงคล นอกจากนี้ ยังมีการแทนความหมายดว้ ยหลักปรมัตถธรรม ดงั ท่ีกล่าวไว้ในบทที่
3 เพื่อให้ผู้ศึกษาได้เรียนรู้หลักธรรมต่าง ๆ ผ่านขั้นตอนการลบผง จะเห็นได้ว่าเป็นไปตามหลัก
ไตรสกิ ขา หมายถึง ข้อปฏบิ ตั ทิ ตี่ ้องศึกษา 3 อยา่ ง ได้แก่

- อธิศีลสิกขา สิกขาข้อน้ีกล่าวไว้ในส่วนคุณสมบัติของผู้ที่จะศึกษา
คัมภีร์ตรีนิสิงเห ท่ีระบุว่า ต้องเป็นผู้ดารงอยู่ในศีล 5 หรือศีล 8 มิเช่นนั้นห้ามมิให้
ถา่ ยทอดความรูใ้ นคัมภรี ์ตรนี สิ ิงเหให้ ในข้อนี้สงเคราะหเ์ ข้าใน สิกขาขอ้ แรก

106 เทพย์ สาริกบตุ ร, พระคมั ภีรพ์ ระเวทฉบบั ตติยะบรรพ (กรุงเทพมหานคร: อตุ สาหกรรมการพิมพ์,
2501), น. 1.

134

- อธิจิตตสิกขา สิกขาข้อน้ีถึงแม้ไม่ได้กล่าวเอาไว้โดยตรง แตข่ ้ันตอน
การเรียนลบผงเสมือนเป็นการฝึกสมาธิเบ้ืองต้น ตามที่กล่าวไปแล้ว อีกทั้งในการเรียน
คัมภีร์ตรีนิสิงเห ในข้ันท่ีสูงข้ึนไป ผู้ศึกษาจะต้องมีสมาธิจิตข้ันสูง จนสามารถทาให้เกิด
อทิ ธวิ ิธเี บ้ืองต้นได้ ดงั ท่ีกล่าวไว้ใน คมั ภรี ต์ รนี ิสงิ เห สานวน ข ดงั นี้

เม่ือทามาถึงน่แี ล้ว ท่านให้ยกครู คือมีใบศรี ๓ สารับ หมาก ๕ คา ดอกไม้ ๕
ดอก เทียน ๑๒ เล่ม (ไม่บอกน้าหนัก) เงินติดเทียนเล่มละ ๑ บาท ผ้าขาวผืนหน่ึง
เอารองใบศรี แล้วให้ชุบตัวเสียก่อน คือให้เอาบาตร ๕ ใบ ใส่น้าท้ังหมด เอาดอกบัว
หลวงใส่ในบาตร ๆ ละดอก ถ้าเป็นคฤหัสให้นุ่งขาวห่มขาวแล้วเสกด้วยพระคาถา
พุทธนิมิตนี้

นสาอินฺทริย พทุ ธนิมิตต ปฏิมานพทุ ฺโธ ธาตพุ ุทฺโธ กายพทุ ฺโธ นิสุญฺโญ พุทฺโธ
นิสตฺโต ชีโวสุญฺโญ น พุทฺโธ พุทฺธ พุทฺธา พุทฺธ น ธมฺโม ธมฺมา ธมฺม น สงฺโฆ สงฺฆา
สังฆ รโชหรณ จิตฺต นิพุทฺโธ ธาตุพุทฺโธ กายพุทฺโธ นิมิตฺตพุทฺโธ นิสุญฺโญ พุทฺโธ อิติ
อทิ ธฺ ิรทิ ฺธิ พทุ ธฺ นิมติ ต เสกจนให้ดอกบัวบานเอง แล้วเอารดหัวและอาบ จึงเรียน
ตอ่ ไปเถดิ

- อธิปญั ญาสิกขา สิกขาข้อนี้มีอยู่ในส่วนการแทนค่าอัตราทวาทสมง
คลด้วยปรมัตถธรรม ดังที่อธิบายไว้ในบทท่ี 3 ผู้ศึกาคัมภีร์ตรีนิสิงเห จะได้เรียนรู้
หลักธรรมคาสอนในพุทธศาสนาด้วย นอกจากน้ี ยังมีบางข้ันตอนท่ีช่วยให้ผู้ศึกษาการลบ
ผงสามารถเข้าใจธรรมสูงสุดที่เป็นแก่นของพุทธศาสนา เช่น การทาองค์พระ และสูญ
นิพพาน และการแทนคา่ อัตราทวาทสมงคลด้วยหัวใจ ดังทกี่ ลา่ วไวใ้ นบทท่ี 3

คัมภีร์ตรีนิสิงเหมีการทาองค์พระ โดยอธิบายท่ีมาของส่วนประกอบที่นามาสร้างเป็นองค์
พระไวด้ ังน้ี ให้นาเอาเลขอัตราทวาทสมงคล คอื ๓ ๗ ๕ ๔ ๖ ๕ ๑ ๙ ๕ ๒ ๘ ๕ จากนัน้ นามาหารด้วย
๕ ซึ่งเป็นวิธีหารแบบโบราณจะได้ผลลัพธ์เป็น ๗ ๕ ๐ ๙ ๓ ๐ ๓ ๙ ๐ ๕ ๗ จากน้ันให้นาเอาศูนย์ทั้ง
สามตัวมาทาเป็นองค์พระ ดงั ท่ีกล่าวไว้ในคัมภีร์ตรนี สิ ิงเห สานวน จ ว่า “ได้รบั ดังน้ี ๗ ๕ ๐ ๙ ๓ ๐ ๓
๙ ๐ ๕ ๗ แลว้ ไห้ ทาเปน็ องค์พระ ดงั น้ี ๗ ๕ ๙ ๓ ๓ ๙ ๕๗ ”

135

รปู ท่ี 4.9 การสร้างองค์พระจากเลข ๐ ทงั้ สาม
ที่มา: คมั ภรี ์ตรนี สิ งิ เห สานวน จ

จะเห็นได้ว่าการท่ีนาเลขศูนย์ทั้งสามมาสร้างเป็นองค์พระอาจจะสามารถอธิบายถึง
พระธรรมกายของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท้ังปวงได้ “ธรรมกาย” ในแง่พุทธปรัชญา นอกจากจะ
หมายถึงหมวดหมู่ของพระธรรมแล้ว ยังหมายถึงกายอันเกิดจากธรรมไม่มีเบ้ืองต้นท่ามกลางและท่ีสุด
เป็นภาวะท่ีไม่ข้ึนอยู่กับกาละและเทศะ107 แสดงให้เห็นว่าพระพุทธเจ้าทุกพระองค์นั้นเสมอด้วยพระ
ธรรม ถึงแม้ในแง่ของรูปกายพระสัมมาสัมพทุ ธเจ้าแต่ละพระองค์จะมีความแตกต่างกันในดา้ นสัดส่วน
ความสูง แต่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ล้วนมีธรรมกาย คือ การตรัสรู้ธรรมเดียวกัน อันได้แก่โลกุตตร
ธรรมมีพระนิพพานเป็นท่ีสุด ในคัมภีร์ฝ่ายมาธยมิกะได้อธิบายว่าธรรมกายคือ ความว่างจากกิเลสอา
สวะ ดังน้ันธรรมกายจึงเท่ากับศูนยตา เมื่อประมาณพุทธศตวรรษท่ี ๖ พระนาคารชุนผู้ให้กาเนิด
นิกายมาธยมิกะ เผยแผ่ปรัชญาศูนยตวาทิน ได้นาเสนอเรื่องศูนยตาโดยอธิบายว่า สิ่งทั้งปวงเป็นศูนย
ตา (สรฺวมฺ ศูนยฺ ม)ฺ 108 การสร้างองคพ์ ระจากเลขศูนย์นี้จงึ เปน็ การใชค้ ่าทางคณิตศาสตรเ์ พือ่ อธิบายคุณ
ลักษณ์ของธรรมกาย อันเป็นกายท่ีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ล้วนมีความเสมอภาคกัน นับว่า
เป็นภมู ิปัญญาของผรู้ จนาคมั ภีร์ทีก่ อปรดว้ ยอบุ ายธรรม

ในคัมภีร์ตรีนิสิงเหมีการลบองค์พระแล้วบังเกิดเป็นสูญสามวงซ้อนกันเช่นเดียวกันกับใน
คัมภีร์ปถมัง จากนั้นลบแล้วเกิดเป็นสูญนิพพาน ใช้บทเรียกสูตรว่า นิพฺพาน ปรม สุญฺญ (นิพพานเปน็
สูญอย่างยิ่ง) การทาผงในข้ันท้ายสุดน้ีแสดงให้เห็นมโนทัศน์ของโบราณาจารย์ผู้รจนาคัมภีร์ตรีนิสิงเห

107 Suzuki Daisetz Teitaro. Outline of Mahayana Buddhism (New York: Schocken Book
inc,1970), p. 261.

108 เสถียร โพธนิ ันทะ, ปรชั ญามหายาน (กรุงเทพมหานคร: โรงพมิ พม์ หามงกฎุ ราชวิทยาลัย, 2541),
หน้า 52.

136

เกี่ยวกับพระนิพพาน ว่า ว่างเปล่าจากความเป็นตัวตนหรือขันธ์ ๕ เมื่อพิเคราะห์จากขั้นตอนก่อน
หน้าที่ทาเป็นรูปองค์พระจากเลขศูนย์ท้ังสาม แสดงความหมายถึงธรรมกาย (พระโลกุตตรธรรม)
จากนั้นทาเป็นศูนย์สามวงซ้อนกัน เรียกว่า สูญ มหาสูญ และปรมัตถสูญ แสดงภาวะของความว่าง
จนถงึ ว่างอยา่ งยิง่ และสามารถตีความหมายวา่ สญู ท้ังสามวงอาจหมายถึงสุญญตาท้ังสามระดบั ได้แก่

ก. สูญวงแรก หมายถึงปุคคลสุญญตา คือ การเพิกถอนความยึดม่ันถือม่ันว่า สัตว์
บคุ คล ดว้ ยเหตทุ ่ีปถุ ุชนยอ่ มสาคัญวา่ ขันธ์ 5 เป็นอัตตา แต่แท้จรงิ แล้วขันธ์ 5 มใิ ช่อัตตา เพราะไม่อาจ
รักษาคุณสมบตั ิเดิมเอาไว้ได้ ดังท่ีท่านพระนาคเสนได้กล่าววสิ ัชนาปัญหาของพระยามิลินท์ ถึงความมี
และไม่มีแห่งบุคคล ว่า “มหาบพิตรว่าเสด็จโดยรถ แล้วรถอยู่ที่ไหน งอนรถเป็นต้น เป็นรถหรือ
ฯลฯ”109 เมือ่ วิเคราะหล์ งไปถึงรากเหงา้ ของความยดึ ถือต่อขันธ์ 5 สรปุ ลงในสังโยชน์ ๑๐ ประการ อนั
หมายถงึ กเิ ลสทผ่ี กู พนั สตั วเ์ อาไวก้ บั สงั สารวัฏ อันไดแ้ ก่

1. สกั กายทิฏฐิ ความเหน็ ในขันธ์ ๕ ว่าเปน็ ตวั ตน
2. วจิ กิ ิจฉา ความลังเลสงสยั ในเรอ่ื งการเวยี นวา่ ยตายเกดิ
3. สีลัพพตปรามาส ความยึดม่นั ในศีลพรตโดยขาดความเข้าใจ ในท่นี แี้ มแ้ ตก่ ารเข้า

ไปยึดติดถือกุศลธรรมเพื่อผลคือกามสุคติภูมิหรือเพื่อท่ีจะได้ดีเลิศกว่าบุคคลอ่นื
จัดเป็นสีลัพพตปรามาสทั้งส้ิน จะเห็นได้ว่าตราบเท่าที่จิตยังไม่หย่ังลงสู่ความ
เป็นจริงของปรมัตถธรรม ได้แก่ รูปและนามจนสามารถยังวิปัสสนาญาณในขั้น
ทีม่ คั คจิตเบอ้ื งต้นเกดิ ขน้ึ ตราบนน้ั การถือศลี พรตเหลา่ นั้นยงั ถือว่าไม่บริสุทธ์ิ
4. กามราคะ ความกาหนดั ยนิ ดใี นกามคณุ อารมณ์ (รูป เสยี ง กล่ิน รส สัมผสั )
5. ปฏฆิ ะ ความขัดเคอื งใจ
6. รปู ราคะ ความปรารถนาในรปู ภพ
7. อรูปภพ ความปรารถนาในอรูปภพ
8. มานะ ความถอื ตัว
9. อทุ ัจจะ ความฟ้งุ ซา่ น
10. อวิชชา ความไมร่ ูใ้ นอริยสัจ

109 พระปิฎกจฬุ าภัย, มิลินทปญั หา (ม.ป.ท., ม.ป.ท.), น. 17.


Click to View FlipBook Version