The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

คัมภีร์ตรีนิสิงเห-งานวิจัย

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Patiweth Ketkhong, 2021-03-22 04:32:17

คัมภีร์ตรีนิสิงเห-งานวิจัย

คัมภีร์ตรีนิสิงเห-งานวิจัย

137

สังโยชน์ทัง้ ๑๐ ประการขาดสน้ิ ไปเพราะการหยง่ั เห็นปคุ คลสญุ ญตา ส่วนขนั้ ตอนใน
การหยั่งเห็นนั้นคือ การท่ีจิตดาเนินไปตามวิปัสสนาญาณน่ันเอง เช่น ในเบื้องต้น หากจิตกาหนดรู้รูป
นามที่เกิดดับได้ รู้ว่าส่ิงน้ีไม่ใช่ตัวตน มีความไม่เที่ยง ผันแปรคงอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ จิตเข้าสู่นามรูป
ปริเฉทญาณหยง่ั เหน็ ปุคคลสุญญตาในข้นั ตน้ เม่ือกระทาให้เจริญขึน้ ไปยอ่ มสมบูรณ์ตามลาดบั สามารถ
ละสังโยชน์ทัง้ หมดได้ ปุคคลสุญญตาจงึ สมบูรณ์โดยประการฉะน้ี

ข. สูญวงท่ีสอง หมายถึง “มหาสูญ” คือ “ธัมมสุญญตา” การเพิกถอนความยึดม่ัน
ถือมั่นในธรรมอันเป็นส่ิงท่ีละเอียดอ่อนย่ิงขึ้นไปอีก กล่าวคือบุคคลบางจาพวกแม้ไม่ยึดม่ันถือมั่นใน
สัตว์ บุคคล แล้ว แต่ยังเข้าไปยึดในธรรม เช่น ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เป็นต้น ว่าต้องมีอยู่จริง
(อปุ าทานในธรรม) แต่ในพระสูตรเถรวาทมีกลา่ วไว้ใน อลคทั ทปู มาทสตู ร ว่า

ภกิ ษุท้ังหลายเราแสดงธรรมมีอุปมาด้วยทุ่น เพ่ือต้องการสลัดออก ไม่ใชเ่ พือ่
ต้องการยึดถือฉันนั้นแลเธอทั้งหลายรู้ถึงธรรม มีอุปมาด้วยทุ่นที่เราแสดงแล้วแก่
ทา่ นทัง้ หลาย พงึ ละแมซ้ ่งึ ธรรมทง้ั หลาย จะปว่ ยการกล่าวไปใยถึงอธรรมเล่า110

และในคมั ภรี ว์ ิสทุ ธิมรรค กล่าววา่

อริยสัจสองประการแรก (ทุกข์และสมุทัย) ว่างจากความเท่ียง ความงาม
ความสุข และอัตตา นพิ พาน วา่ งจากอตั ตา มรรคว่างจากความเท่ียง ความสขุ และ
อัตตา สุญญตาในจตุราริยสจั เหล่าน้ี ดว้ ยประการฉะน้ี 111

ข้อความท่ียกมาเบื้องต้นแสดงให้เห็นว่า ในทรรศนะของพุทธปรัชญาเถรวาทน้ัน
ไม่ได้ต้องการให้ยึดถือในพระธรรม ด้วยเหตุที่พระธรรมเปรียบด่ังเครื่องชาระอาสวะกิเลส เมื่ออาสวะ
กิเลสส้ินไปก็ไม่จาเป็นต้องยึดถือไว้ ในข้ันนี้เม่ือสามารถหยั่งเห็นปุคคลสุญญตาได้จริง ย่อมเห็นธัมม
สุญญตาดว้ ย เพราะเม่ือไม่มีอุปาทานในตน และส่ิงอันเนื่องด้วยตน ก็ย่อมไม่มีอุปาทานในสิ่งอันตนได้
สาเร็จหรือได้บรรลุด้วย ดังท่ีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงกาหนดสรรพสิ่งและโลก โดยการรับรู้ทาง

110 ม.มู.(ไทย มมร.), 18/280/271-272.
111 พระพทุ ธโกษาจารย์, คัมภีรว์ ิสทุ ธมิ รรค ปญั ญานิเทส, (กรุงเทพฯ: มหามกฎุ ราชวทิ ยาลัย,2516), หน้า
102.

138

อายตนะเป็นสาคัญ โดยมีวิญญาณเป็นผลของความรู้ เมื่อบุคคลหย่ังเห็นปุคคลสุญญตา มองเห็นสิ่ง
ท้ังหลายดว้ ยปัญญาจักษุโดยปราศจากอุปาทานว่าเป็นตัวตนแลว้ ก็ไม่มีทางท่จี ะมีอปุ าทานในธรรมอกี
วงกลมวงท่สี องน้จี ึงแสดงธมั มสุญญตา

ค. สูญวงทีส่ าม หมายถึง “ปรมตั ถสูญ” เทียบได้กบั “สญุ ญตา สญุ ญตา” ความสูญ
ในสองส่วนแรก ได้แก่ ปคุ คลสญุ ญตาและธรรมสญุ ญตาก็ทรงสภาวะเป็นสุญญตาเชน่ เดียวกนั จงึ เกดิ
เปน็ ปรมตั ถสญู โดยอาการท่ีไม่พึงเขา้ ไปยดึ ถอื ว่าเปน็ ความจรงิ หรอื มคี วามจรงิ อยนู่ อกเหนือไปจากสิ่ง
ท่ีสญู เหล่านั้น หรือกลา่ วอีกอยา่ งหนงึ่ เม่อื เห็นว่าทุกสิ่งล้วนเป็นสญุ ญตาจงึ เกิดวกิ ัลปทฏิ ฐิ (ความเห็นที่
คลาดเคล่ือนจากความเปน็ จริง) วา่ ถึงแม้ทกุ สงิ่ จะไม่มีอยู่จรงิ แต่สุญญตาจะต้องมอี ยจู่ รงิ ไมอ่ าจสญู ไป
ดว้ ย จงึ เกิดความยดึ ถือในสญุ ญตาขน้ึ ดังนนั้ การหย่ังเห็นสุญญตาในสุญญตาได้ จึงถอื ว่าทิฏฐินน้ั พน้ ไป
จากอุปาทานอย่างแท้จริง และทา้ ยทสี่ ดุ จงึ บรรลุแก่สุญญตาสัมบูรณ์ คือ พระนพิ พาน จากขนั้ ตอนนี้ โบ
ราณาจารยจ์ ึงเขียนรูป “สญู นิพพาน” ในข้นั ตอนท้ายสุดของการลบผงตรนี สิ ิงเห เพอ่ื เป็นการแสดง
แนวคดิ ของความว่างอย่างย่ิง ความวา่ งทพี่ ้นไปจากการยดึ ถือทัง้ ปวง เป็นการแสดงคณุ ลกั ษณะของ
พระนพิ พาน

จากมโนทัศน์เร่ืององค์พระและสุญญตาในคัมภีร์ตรีนิสิงเห แสดงให้เห็นว่าผู้ประพันธ์มี
ความรู้เกี่ยวกับสภาวะของสุญญตาในเชิงปรัชญาและสามารถอธบิ ายแนวคิดดงั กล่าวผ่านรูปแบบทาง
สัญลักษณ์ โดยอาศัยกลไกทางคณิตศาสตร์เพ่อื เทียบเคยี งสุญญตากับเลขศูนย์ อกี ทั้งบทเสกที่ใช้แสดง
ใหเ้ ห็นถึงความเข้าใจทีถ่ กู ต้องตามพระพทุ ธพจน์ทุกประการ

4.3 สังคมและวฒั นธรรม

องค์ความรู้ในคัมภีร์ตรีนิสิงเหมีบทบาทต่อสังคมไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน นอกจาก
วทิ ยาการความรโู้ บราณและเรื่องของพระพทุ ธศาสนาแล้ว องค์ความรู้ในคัมภรี ์ตรีนสิ ิงเหยังตอบสนอง
ต่อความต้องการท่ีหลากหลายในชีวิตประจาวันของคนในสังคมไทยด้วย ได้แก่ พิธีกรรมเน่ืองในการ
เกิด พิธีกรรมเกี่ยวกับเคหสถาน การสร้างศาสตราวุธ ตลอดจนพิธีกรรมท่ีส่งผลต่อสังคม ได้แก่ พิธีฝัง
หลกั พระนครหรอื ทเ่ี รยี กว่า พิธีนครถาน

139
4.3.1 เกี่ยวกบั พิธีกรรมเนื่องในการเกิด

ยันตต์ รีนสิ ิงเหยังใชใ้ นพธิ ีกรรมเกย่ี วกับการเกดิ ดว้ ย โดยชาวไทยโบราณจะลงยันต์ตรี
นิสิงเหไว้ในยันต์แม่ซ้ือ ซ่ึงความเช่ือเร่ืองแม่ซ้ือนั้นเป็นความเชื่อที่มีมาแต่โบราณ “แม่ซ้ือ” หมายถึง
เทวดาที่คอยดแู ลรักษาเด็กทารก คนโบราณเชื่อว่าเด็กทุกคนท่ีเกิดมาต้องมีแม่ซื้อคอยดูแลทุกคน โดย
แม่ซื้อจะมีลักษณะแตกตา่ งกันไปตามวนั เกิดของเดก็ แม่ซื้อจะทาหน้าท่ีปกปักรักษาไม่ให้เด็กเจ็บไข้ได้
ปว่ ย และจะอยกู่ ับเด็กตงั้ แต่แรกคลอดออกจากครรภม์ ารดาจนถึงอายุ 1 ปี จงึ จะไปจากเดก็ คนนั้น

รปู ที่ 4.10 ยันต์แม่ซือ้
ท่มี า: เทพย์ สาริกบตุ ร บางเสมเสริมสขุ และอรุ ะคนิ ทร์ วริ ยิ ะบูรณะ, ตาราพรหมชาต,ิ หน้า 185.

ในรูปยันต์แม่ซื้อทั้ง 7 วันน้ัน ชาวไทยโบราณให้ลงเป็นยันต์สองด้าน ด้านหน้าให้ลง
เป็นรูปแม่ซื้อประจาวันเกิดของเด็กชาย-หญิง ท่ีด้านหลังลงเป็นรูปท้าวเวสสุวัณหน้ายักษ์ หากเป็น
พระโอรสหรือพระธิดาท่ีเป็นเช้ือพระวงศ์ ให้ลงเป็นรูปท้าวเวสสุวัณหน้าเทพบุตรแทน แขวนไว้เหนือ
พระอู่ เพ่ือป้องกันภัยอันตรายต่าง ๆ อันเกิดจากแม่ซื้อมารบกวน ที่ด้านข้างของรูปแม่ซ้ือทั้งสองข้าง
ลงยันต์ตรีนิสิงเหเอาไว้ เน่ืองจากชาวไทยโบราณเช่ือว่าการท่ีเด็กมีอาการไม่สบาย เจ็บป่วยมีประการ
ตา่ ง ๆ เกดิ จากแม่ซือ้ ของเด็กมารบกวน ดงั นนั้ จงึ มกี ารลงยันต์ตรีนิสิงเหเพ่ือปอ้ งกนั การรบกวนจากแม่
ซื้อ แสดงให้เห็นว่ายันต์ตรีนิสิงเหน้ีมีคุณวิเศษป้องกันได้แม้แต่เทวดาบางจาพวก ผู้วิจัยสันนิษฐานว่า
การลงยันต์ตรีนิสิงเหบนรูปแม่ซ้ือ เป็นการป้องกันการเจ็บป่วย หรือการโดนทาร้ายจากคุณไสย ดังที่
กล่าวไวใ้ นสว่ นเวชศาสตร์โบราณ

140

4.3.2 เกยี่ วกบั เคหสถาน

คัมภีร์ตรีนิสิงเหประกอบด้วยยันต์ตัวเลขแบบต่าง ๆ หลายยันต์ด้วยกัน ยันต์ตัวเลข
เหล่าน้ีนาไปใช้เก่ียวกับการสร้างและป้องกันเคหสถาน ชาวไทยโบราณให้ความสาคัญกับการปลูก
สร้างบ้านเรือน ดังน้ันจึงมีพิธีกรรมหลายอย่างท่ีเกี่ยวกับการปลูกสร้างเรือน โดยจัดแบ่งการนาไปใช้
งานอย่างชัดเจน สามารถแยกย่อยได้เป็นสองส่วนคือ ส่วนที่เกี่ยวกับการสร้างบ้านเรือนและการ
ป้องกนั บา้ นเรือน

ในการสร้างบ้านเรือนของชาวไทยโบราณ จะให้ความสาคัญกับตัวพ้ืนท่ีสาหรับทา
การปลูกสร้าง และฤกษ์ยามในการยกเสาเอก เสาโท ซึง่ ต้องอาศัยความรู้เรื่องเลขยันต์เข้ามาประกอบ
ในสมัยโบราณ ก่อนท่ีจะทาการปลูกสร้างบ้านเรือนจะต้องไปหาผู้พระภิกษุหรือฆราวาสท่ีมีความรู้
เรื่องโหราศาสตร์และไสยศาสตร์ เพื่อทาพิธีดูสถานที่และให้ฤกษ์ยาม พร้อมกับลงยันต์สาหรับปิด
เสาเอก ยันต์สาหรับปิดจั่ว ยันต์สาหรับปิดตามทิศท้ัง 8 ของบ้าน เพ่ือป้องกันบ้านเรือนจากภัย
อันตราย ยันต์ที่กล่าวมานี้ มาจากยันต์ในคัมภีร์ตรีนิสิงเหทั้งสิ้น ไม่เพียงแต่บ้านเรือนของประชาชน
ทั่วไป แม้แตพ่ ระอารามสาคัญ เช่น วัดหน้าพระเมรุ จังหวัดพระนครศรอี ยุธยา ก็มียันต์สาหรบั ป้องกนั
ภัยปิดไว้ท่ีพระอุโบสถเช่นกัน ดังปรากฏหลักฐานเป็นแผ่นศิลาที่เหลืออยู่ 2 แผ่น จารึกยันต์โสฬส
มงคลใหญ่ โดยยนั ตน์ แ้ี บ่งออกเป็น 3 ช้นั ช้ันในสดุ จารกึ ยันต์จตโุ ร ถัดมาลอ้ มรอบดว้ ยอัตราเลขทวาท
สมงคล ชั้นนอกสุดล้อมรอบดว้ ยอัตราเลขโสฬสมงคล มอี ักขระขอมล้อมสองช้ัน ชั้นในอา่ นได้ความว่า
อายนฺตุ โภนฺโต อิธ ทาน สีลา เนกฺขมฺมปญฺญา วิริยญฺจ ขนฺติ สจฺจาธิฏฺฐานา สหเมตฺตุเปกฺขา สพฺพสตฺ
ตรู ปลายนฺติ ช้ันนอกอ่านได้ความว่า สกฺกสฺส วชิราวุธ เวสฺสุวณฺณสฺส คทาวุธ ยมฺมนสฺส เนยฺยนาวุธ
อลวกสฺส ทุสาวุธ คาถาทั้งสองบทน้ีเป็นคาถาทางป้องกันภัยอันตราย โดยเฉพาะภัยจากภูต ผี ปีศาจ
คาถาบทแรกเป็นการกล่าวถึงบารมี 10 ทัศ ท่ีพระพุทธเจ้าทรงได้บาเพ็ญมา ส่วนคาถาอีกบทกล่าวถึง
อาวธุ ของเทพและยกั ษ์ 4 อยา่ ง คอื วชั ระของพระอนิ ทร์ กระบองของท้าวเวสสวุ ณั ดวงเนตรของพญา
ยมและผ้าวิเศษของอาฬาวกยักษ์ ดังนั้นความเช่ือเรื่องแผ่นยันต์สาหรับลงปิดตามทิศต่าง ๆ ของ
บ้านเรอื น ตลอดจนสถานท่ีสาคญั นัน้ มีมาช้านานแล้ว

หลังจากสร้างบ้านเรือนเรียบร้อยแล้ว จะมีพิธีต้ังศาลพระภูมิ ชาวไทยโบราณมีความเช่ือ
เกี่ยวกับเทพารักษ์ที่ปกป้องคุ้มครองบ้านเรือนและสถานที่ต่าง ๆ เรียกว่าพระภูมิ เพื่อให้ผู้อยู่อาศัยมี
ความร่มเยน็ เป็นสขุ ในพธิ ีตัง้ ศาลพระภมู ินน้ั สิ่งท่สี าคญั คอื ยนั ต์ทใี่ ชใ้ นพิธีเชิญพระภูมขิ ้ึนศาลและยันต์

141

สาหรับฝังในหลุมเสาพระภูมิ ยันต์ทั้งคู่ใช้ป้องกันส่ิงอัปมงคล ภัยธรรมชาติ รวมท้ังภัยจากอมนุษย์ ไม่
ว่าจะเป็นสัตว์ร้าย คุณไสย ภูตผีปีศาจ ใน ตาราพรหมชาติ ได้กล่าวถึงคุณของพระภูมิว่า “เมื่อผู้ใดได้
ประกอบทาพิธีให้ถูกต้องตามแบบแผนโบราณประเภณีเป็นอันดีแล้ว เทพซ่ึงเข้ามาอยู่ในเจว็ดภายใน
ศาลพระภูมิน้ัน จะบันดาลให้ผู้น้ันอยู่เย็นเป็นสุข มีโชคลาภ เกิดความอุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพย์สินเงิน
ทองทัง้ ปวง”

การต้ังศาลพระภูมิตามแบบโบราณไม่ได้มีเฉพาะบ้านเรือนที่อยู่อาศัยเท่าน้ัน ยังมีการต้ังศาล
พระภูมิเพื่อปกป้องสถานท่ีต่าง ๆ ที่เก่ียวเนื่องกับชีวิตของผู้คน โดยกาหนดวัน เดือน และข้างข้ึน
ขา้ งแรมเอาไวอ้ ยา่ งเครง่ ครดั ดงั ทใี่ น ตาราพรหมชาติ กลา่ ววา่

วันท่ีใช้ในการตั้งศาลพระภูมินั้น มีกาหนดไว้ดังน้ี วันพุธ วันพฤหัส ให้ตั้ง
ศาลเคหสถาน บ้านเรือน ร้านคา้ ตา่ ง ๆ วนั พฤหสั บดี วนั ศกุ ร์ ใหต้ ั้งศาล นา สวน วัด
วนั อังคาร วนั อาทติ ย์ วันพฤหัสบดี ให้ตง้ั ศาลคา่ ยคู ประตู หอรบ วนั เสาร์ ให้ต้งั ศาล
บันได โขลนทวาร บานประตู วนั จนั ทร์ วนั พุธ ใหต้ ้งั ศาลโรงพธิ บี า่ วสาว...112

ในพิธีตั้งศาลพระภูมิ กาหนดให้ก่อนที่จะขุดหลุมต้ังศาลพระภูมิน้ัน จะต้องทา
น้ามนต์ธรณีสารประพรมบริเวณหลุมท่ีจะขุดเสียก่อน เพื่อเตรียมไว้สาหรับฝังแผ่นยันต์สาคัญ โดยใช้
คาถา “โองการธรณีสารน้อย” ประกอบด้วยคาถานมัสการท้าวสหัมบดีพรหม คือ โองฺการพินฺทุนาถ
อุปฺปนฺน พฺรหฺมาสหปฏินาม อาทิกปฺเป สุอาคโต ปญฺจปทุม ทิสฺสฺวา นโมพุทฺธาย วนฺทน113 และพระ
คาถาบทนมสั การครู 2 บท ทีม่ ีในคมั ภรี ์ตรีนิสงิ เห คอื สโี ร เม พุทธฺ เทวญฺ จ นลาเต พรฺ หมฺเทวตา หทย
นรายกญฺเจว ทฺว หตฺเถ ปรเมสุรา ปาเท วิสฺสนุกญฺเจว สุขา คงฺคาย ปสิทฺธิ เมฯ และ สิทฺธิกิจฺจ
สิทธฺ ิกมมฺ สิทฺธิการิย ตถาคโต สทิ ธฺ ิเตโช ชโยนจิ ฺจ สพฺพกมฺม ปสิทฺธเิ มฯ (ดเู พิม่ ในบทท่ี 2)

ในการทาน้ามนต์ ภาชนะสาหรับใส่น้ามนต์นั้นให้ใส่ ใบเงิน ใบทอง ในนาก หรือจะ
ใสด่ ้วยใบมะตมู ใบพรหมจรรย์ (บางแหง่ เรยี ก ใบพรหมิ) ฝกั สม้ ปอ่ ย หญ้าแพรก ผิวมะกรดู ลงไปด้วย
ก็ได้ หลังจากประพรมน้ามนต์ทั่วแล้ว จึงเริ่มทาการขุดหลุม เสร็จแล้วจะมีการตอกเข็มที่ทาจากไม้

112 เทพย์ สาริกบุตร บางเสมเสริมสขุ และอรุ ะคนิ ทร์ วริ ิยะบรู ณะ, ตาราพรหมชาติ (กรุงเทพฯ : ลูก ส.
ธรรมภกั ด,ี 2521), หนา้ 363.

113 เร่อื งเดยี วกนั , หนา้ 365.

142

มงคล 9 ชนิด ได้แก่ ไม้ชัยพฤกษ์ ไม้ราชพฤกษ์ ไม้สัก ไม้พยุง ไม้กันเกรา ไม้ไผ่สีสุก ไม้ขนุน ไม้
ทรงบาดาล ไม้ทองหลาง ไม้แต่ละชนิดจะมีทิศท่ีบังคับเอาไว้เฉพาะ โดยไม้ชัยพฤกษ์ให้ตอกเอาไว้ทิศ
เหนือ ไม้ราชพฤกษ์ให้ตอกเอาไว้ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ไม้สักให้ตอกเอาไว้ทิศตะวันออก ไม้พยุงให้
ตอกเอาไว้ทิศตะวันออกเฉียงใต้ ไม้กันเกราให้ตอกเอาไว้ทิศใต้ ไม้ไผ่สีสุกให้ตอกเอาไว้ทิศตะวันตก
เฉียงใต้ ไม้ขนุนให้ตอกเอาไว้ทิศตะวันตก ไม้ทรงบาดาลให้ตอกเอาไว้ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ไม้
ทองหลางให้ตอกเอาไว้ตรงกลาง ชาวสยามแต่โบราณถือว่าไม้มงคลทั้ง 9 ชนิดนี้มีคุณแตกต่างกัน
ออกไป โดยไม้ชัยพฤกษ์ มีคุณทาให้มีโชค มีอานาจวาสนา ไม้ราชพฤกษ์มีคุณให้ได้เป็นใหญ่เป็นโต
ผู้คนยกย่องนับถือ ไม้สักมีคุณให้บังเกิดความศักดส์ิ ิทธิ์ มีฤทธอ์ิ านาจ ไม้พยุงมีคุณในการพยุงฐานะ ให้
มีความม่ันคง ไม้กันเกรามีคุณเป็นเคร่ืองป้องกันภยันตราย ไม้ไผ่สีสุกมีคุณในการอานวยความอุดม
สมบรู ณ์ ยงั ให้เกิดความสุข ความเจริญ ไม้ขนุนมีคุณเกื้อหนุนฐานะ ไม่ให้ตกต่าลง ไม้ทรงบาดาลมีคณุ
เหมือนดั่งมีผู้ดลบันดาลให้ ไม้ทองหลางมีคุณให้เกิดโชคลาภ มีเงินมีทอง มีความอุดมสมบูรณ์114
หลังจากตอกไม้มงคลเรียบร้อยแล้ว ให้นาเอา หัวแหวน เศษทอง เศษนาก เศษเงิน ซึ่งถือเป็นโภค
ทรัพย์ใส่ลงไปในหลุม จากน้ันให้นาแผ่นโลหะลงยันต์จตุโร ไว้กึ่งกลางหลุม ผู้ที่มีความรู้ในการต้ังศาล
จะเรียกยันต์นี้ว่า “สิบห้าชั้นดิน” หมายถึง ผลรวมของเลขทีล่ งไว้ในตารางยันตบ์ วกกันได้ 15 ใช้ฝังลง
ในพื้นดนิ เมื่อยกเสาของศาลพระภูมิลงไปในหลุมต้องให้เสานั้นตั้งอยู่บนแผ่นยันตจ์ ตโุ รพอดี โดยยันต์
จตุโรท่ีใช้ใส่ในหลุมน้ันไม่เพียงลงด้วยอัตราเลขเหมือนเช่นยันต์จตุโรทั่วไป แต่ยังกาหนดบทเสกเอาไว้
โดยเฉพาะ โดยให้เสกดว้ ยคาถาสองบทน้ี

โอมสิทฺธิกมฺม อหสาสิ เขตฺตพิชฺชปโย ชย สพฺพโภค อภิสฺสนฺติ ยาวชีวมฺปิ
ภญุ ฺชเร โสธนปิ คเหตตฺ วา น ธน อทาสิ ทายโก ต ธน นิพพฺ ตตฺ า สตตฺ า อิเม อิจฺฉนตฺ ิ
เม นโม ตมฺปิ สตถฺ านุภาเวน สพฺพโภค ลภิสฺสนตฺ ุ เม อนุรกขฺ นตฺ ุ สพฺพทา สวาหมุ ฺ

โอม ชยฺโย ชวนตฺ มิ ารก มนสุ ฺสาปิจา สพฺเพเทวา จ คนฺธพฺพา ปูชยนตฺ ิ ปลายนฺ
ติ ตมปฺ ิ ตสสฺ า นภุ าเวน สพพฺ สตฺตรู สพพฺ เสนา อปฺปกกฺ ามงุ ฺ อมฺ ทเุ ร ทุเร สวาหาย115

114 เรื่องเดียวกนั , หน้า 383.
115 เร่อื งเดียวกัน, หน้า 367.

143

สาหรับพระคาถาท้ังสองบทน้ีหากวิเคราะห์ตามรูปแบบไวยากรณ์บาลี จะเห็นได้ว่ามีลักษณะ
ที่ไม่ได้เป็นไปตามแบบแผนของภาษาบาลีมาตรฐาน มีการผสมมนต์ท่ีคล้ายกับธารณี116ของนิกาย
มหายานไวด้ ว้ ย อยา่ งไรกต็ ามยงั มีแนวคิดในเรือ่ งการอาศัยพทุ ธานุภาพในการทาให้เกิดความปลอดภัย
และชนะซ่ึงหมู่มาร นามาซึ่งทรัพย์สิน แสดงถึงแนวคิดของพุทธศาสนาท่ีเข้ามามีอิทธิพลต่อการ
ประพันธพ์ ระคาถา จากนนั้ จงึ ยกศาลข้ึนตัง้ บนหัวเสา รอจนได้ฤกษ์แลว้ จงึ อัญเชญิ เจว็ดข้ึนสู่ศาล

“เจว็ด” คือ แผ่นไม้รูปทรงคล้ายใบเสมา เขียนหรือแกะเป็นรูปเทพารักษ์ นิยม
ประดิษฐานไวใ้ นศาลพระภูมิ โดยทาเป็นรูปเทวดาทรงพระขรรค์ ในส่วนของเจวด็ ซ่ึงเปน็ ส่วนที่สาคัญ
ที่สุดในการยกศาลพระภูมิ เพราะเป็นตัวแทนของพระภูมิ โบราณาจารย์ลงยันต์ตรีนิสิงเหท่ีด้านหลัง
ของเจว็ดน้ัน โดยสูตรสาหรับลงยันต์ใช้สูตรสาหรับลงอัตราเลขทวาทสมงคลท่ัวไป แต่มีคาถาสาหรับ
เสกโดยเฉพาะดังนี้

ตรีสิทธิเชยฺย ตรีนิปิฏกา ธมฺมขนฺธา อานุภาเวน สตฺตโภชฺฌคา อานุภาเวน
ปญฺจขนฺธา อานุภาเวน จตฺตุโลกปาลา อานุภาเวน ฉกามาวจรา ตถา อานุภาเวน
ปญฺจมหานทฺธีโย อานุภาเวน เอกเมรุราชา อานุภาเวน นวโลกุตฺตรธมฺมา อานุภา
เวน ปญฺจปทุมา อานุภาเวน ทฺเวจนฺโทสุริโยตถา อานุภาเวน อฏฺฐอรหนฺตา อานุภา
เวน ปญจฺ พุทธฺ า อานภุ าเวน สทา โสตถฺ ี ภวนฺตเุ ม117

พระคาถาบทนี้เป็นพระคาถาที่มีเน้ือความเก่ียวข้องโดยตรงกับอัตราเลขทวาทส
มงคลในพระคาถาซ่ึงตรงกับลาดับเลขในยันต์ตรีนิสิงเห แต่รูปแบบเชิงสัญลักษณ์มีความแตกต่างกัน
บ้าง ในเบื้องต้นของพระคาถาเป็นการอ้างคุณสิ่งต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น บุคคล ข้อธรรมหรือสถานที่
ได้แก่ พระไตรปฎิ ก แทนเลข 3 โภชฌงค์ท้งั 7 ประการ แทนเลข 7 ขนั ธ์ 5 แทนเลข 5 ท้าวจตุโลกบาล
ท้ัง 4 แทนเลข 4 สวรรค์ 6 ช้ัน แทนเลข 6 มหานทีทั้ง 5 สันนิษฐานว่ามาจาก เบญจสุทธคงคา ไดแ้ ก่
แม่น้าคงคา แม่น้ายมุนา แม่น้ามหิ แม่น้าสรภู และแม่น้าอจิรวดี แทนเลข 5 พระสุเมรุ แทนเลข 1
พระนวโลกุตตรธรรม แทนเลข 9 ดอกบัว 5 ดอก ซ่ึงถือเป็นการบูชาปฐมอักขระ น โม พุทฺ ธา ย (ดู

116 คาสอนของพทุ ธตันตระ พระพุทธเจา้ และพระโพธิสตั ว์จะมมี นต์หรือธารณีประจาพระองค์ เชน่ มนต์
ประจาองคพ์ ระโพธสิ ตั วอ์ วโลกิเตศวร คือ โอม มณี ปทั เม หุม.

117 เรือ่ งเดยี วกนั , หนา้ 374.

144

เพ่ิมในบทที่ 3) แทนเลข 5 พระจันทร์ พระอาทิตย์ แทนเลข 2 พระอรหันต์ประจาทิศท้ัง 8 แทนเลข
8 และ พระพุทธเจา้ 5 พระองค์ แทนเลข 5

เมื่อลงยันต์ตรีนิสิงเหที่หลังเจว็ดแล้ว ให้ลงนามพระภูมิไว้ท่ีด้านล่างของยันต์ นาม
ของพระภูมิจะต้องสอดคล้องกับลักษณะของสถานท่ีนั้น ๆ โดยตาราตั้งศาลพระภูมิกาหนดให้ พระ
ชยั มงคลเปน็ ผู้ดูแลเคหสถานบ้านเรอื น พระนครราชเปน็ ผ้ดู ูแลประตเู มอื ง ป้อมค่าย บนั ได พระเทเพน
เป็นผู้ดูแลโรงช้าง ม้า โค กระบือ พระชัยศพณ์เป็นผู้ดูแลยุ้ง ฉางที่เก็บเสบียง พระคนธรรพเ์ ป็นผู้ดูแล
โรงพิธีบ่าวสาว พระธรรมโหราเป็นผูด้ แู ลไร่นา ทงุ่ ข้าว ลานขา้ ว พระวยั ทัตเป็นผดู้ แู ลวดั วาอาราม พระ
ธรรมิกราชเป็นผู้ดูแลเรือกสวน พืชพันธ์ ธัญญาหาร พระทาษธาราเป็นผู้ดูแลห้วย หนอง คลอง คู
แมน่ า้ ลาธาร

ในการลงนามของพระภูมิน้ัน ลงด้วยสูตร นามนฺสมโส ยุตฺตตฺโถ ยุตฺตตฺถ แห่งนามะ
ท้ังหลาย พระอาจาริยเจ้าพงึ หมายให้ชอื่ (นามของพระภูมิ) เอหิถิเน ถาเน ถาม วิกรึงคเร เสร็จแล้วจงึ
เอากระแจะผสมน้ามันหอมจณุ เจิมทเ่ี จวด็ ขณะท่ีเจมิ ใหส้ วดคาถาน้ี ชยยฺ สิทธฺ ิ อาคนตฺ วา เม่ือเชญิ เจวด็
ขึ้นสู่ศาล ให้ว่าคาถาอัญเชิญพระภูมิ ดังนี้ “สีโรเม พระภูมิเทวาน สรณ คจฺฉามิ ติตฺถวา นิสินฺนวา
สยานวา ทิววา รตฺติงวฺ า ตปติ” แล้วจึงทาการบรวงสรวงตอ่ ไป118 ชาวไทยโบราณเชื่อว่า การตัง้ ศาล
พระภูมิอย่างถูกต้องจะช่วยคุ้มครองป้องกันบ้านเรือนจากภัยอันตรายต่าง ๆ และช่วยให้ผู้อยู่อาศัยมี
ความร่มเย็นเป็นสุข ในการตั้งศาลพระภูมิจะเห็นได้ว่า ผู้ท่ีทาการต้ังศาลจะต้องมีความรู้เลขยันต์จาก
คมั ภรี ต์ รนี สิ ิงเห จงึ จะสามารถตัง้ ศาลพระภมู ิไดอ้ ย่างถูกต้อง

4.3.3 การสร้างศสั ตราวธุ

ศัสตราวุธถือเป็นสิ่งสาคัญสาหรับชนชั้นปกครอง แต่โบราณศัสตราวุธแสดงถึง
ฐานนั ดรศกั ด์ิของผู้ครอบครอง เช่น พระแสงขรรค์ชยั ศรที ี่จัดเป็นเครื่องราชกกุธภัณฑ์ การสร้างศัสตรา
วุธที่มีอานุภาพมากนั้นเป็นความเชื่ออย่างหนึ่งของชาวไทยโบราณ ซ่ึงเช่ือกันว่าศัสตราวุธดังกล่าว
สามารถทาลายอาถรรพ์ ทาลายภูต ผี ปีศาจ ถอนอาคมฝ่ายศัตรู ฟันแทงผู้ท่ีอยู่ยงคงกระพันให้
บาดเจ็บได้ ความเช่ือดังกล่าวมอี ยใู่ นวรรณคดีเรื่อง ขนุ ชา้ งขนุ แผน ตอน ตดี าบฟา้ ฟืน้ ว่า

118 เรือ่ งเดยี วกนั , หนา้ 375.

145

จะจัดแจงตีดาบไวป้ ราบศึก ตรองตรึกหาเหลก็ ไว้หนกั หนา

ได้เสรจ็ สมอารมณต์ ามตารา ทา่ นวางไว้ในมหาศาสตราคม

เอาเหลก็ ยอดพระเจดีย์มหาธาตุ ยอดปราสาททวารามาประสม

เหล็กขนันผพี รายตายทัง้ กลม เหลก็ ตรึงโลงตรึงปนั้ ลมสลักเพชร

หอกสัมฤทธกิ์ รชิ ทองแดงพระแสงหกั เหลก็ ปฏกั สลักประตูตะปูเหด็

พรอ้ มเหลก็ เบญจพรรณกลั เมด็ เหล็กบา้ นพรอ้ มเสร็จทุกส่ิงแท้

เอาเหล็กไหลหล่อบ่อพระแสง เหลก็ กาแพงนา้ พีท้ ง้ั เหล็กแร่

ทองคาสมั ฤทธิน์ ากอแจ เงินทแ่ี ท้ชาตเิ หล็กทองแดงดง

เอามาสมุ คุมควบเขา้ เปน็ แท่ง เผาให้แดงตแี ผ่แชย่ าผง

ไว้สามวนั ซัดเหลก็ นนั้ เล็กลง ยังคงแตพ่ องามตามตารา

ซดั เหลก็ ครบเสร็จถงึ เจ็ดครัง้ พอกระทงั่ ฤกษเ์ ขา้ เสาร์สบิ หา้
กต็ ัดไมป้ ลกู ศาลขน้ึ เพยี งตา แล้วจดั หาสารพัดเครอ่ื งบตั รพลี119

และอกี ตอนหนง่ึ ทก่ี ล่าวถงึ การบรรจดุ ้ามอาวธุ ไว้ดังนี้

ดา้ มนั้นทาดว้ ยไม้ชยั พฤกษ์ จารึกยันตพ์ ทุ ธจักรทเี่ หล็กก่ัน

เอาผมพรายร้ายดปุ ระจพุ ลนั แล้วเอาชนั กรอกดา้ มเสยี บดั ดล120

การตีดาบฟ้าฟ้ืนซ่ึงถือว่าเป็นศัตราวุธวิเศษ ระบุให้เอาเหล็กอาถรรพ์ต่าง ๆ เช่น
เหล็กยอดพระเจดยี ์มหาธาตุ เหล็กยอดปราสาท เหล็กขนันผีพราย เหล็กตรึงป้ันลมสลักเพชร เป็นต้น
นามาหลอมแล้วตีขึ้นรูปเป็นอาวุธ มีการต้ังปะราพิธี ที่ก่ันของดาบจารึกยันต์พุทธจักร ซ่ึงเป็นยันต์ท่ี
เชื่อว่ามีอานุภาพทางถอนและทาลายอาคม ตลอดจนข่มอาถรรพ์ต่าง ๆ ยันต์นี้ลงด้วยคาถา
“ประจุขาด” คือ พุทฺธํ ปจฺจกฺขามิ ธมฺมํ ปจฺจกฺขามิ สงฺฆํ ปจฺจกฺขามิ เดินตาม้าหมากรุกในตาราง
ยันต์ มีเลขอัตราทวาทสมงคลกากับตามมุมยันต์ทุกมุม ที่ด้ามบรรจุผมผีพราย (ผมจากศพที่ตายจาก

119 ครุ สุ ภา, เสภาขุนช้างขุนแผน, หน้า 359
120 เรอ่ื งเดยี วกัน, หน้า 360

146
การจมน้า) และชันในท่ีนี้น่าจะเป็นรังของชันโรง ซ่ึงทาจากข้ีผ้ึงผสมข้ีดินและยางไม้ ขนาดหอยโข่ง
หรือตะโหงกวัว ซ่ึงมักจะเรียกผึ้งหอยโข่ง หรือผึ้งตะโหงกวัว ในบทกวีมีการอ้างถึงตาราศาสตราคม
สันนิษฐานว่าขั้นตอนการตีดาบฟ้าฟ้ืนอาศัยเค้าโครงมาจาก “ตารามหาศาสตราคม” ซ่ึงเป็นตาราว่า
ด้วยการทาอาวุธวิเศษ เดิมทีตาราเล่มนี้เป็นสมบัติตกทอดของวัดประดู่โรงธรรม จังหวัด
พระนครศรีอยุธยา ปจั จุบันตน้ ฉบับสูญหายไปแล้ว หลงเหลือเพยี งฉบบั ปริวรรตของ เทพย์ สาริกบตุ ร
ซ่ึงคัดลอกจากต้นฉบับเดิม โดยมิได้แก้ไข พิธีการสร้างอาวธุ ตามตาราน้ีให้ใช้เหลก็ อาถรรพต์ ่าง ๆ ดังนี้
“ให้เอาเหล็กตรึงปราสาท 1 เหล็กตรึงค่าย 1 เหล็กตรึงโลงผี 1 เหล็กยอดพระเจดีย์ 1 เหล็กประตู
เมือง 1 เอาเหล็กสารพัดตรงึ เหลก็ สารพัดบนิ่ เหลก็ สารพดั หัก เอาให้ได้ 108 อย่าง”121 สว่ นเครอ่ื งใช้
ในการตเี หลก็ เพอ่ื ทาอาวธุ จะมีการลงยนั ตก์ ากับเอาไว้ ไม่วา่ จะเปน็ ค้อน สูบ ท่ัง คีม ตลอดจนฟืนทใี่ ช้
ก่อไฟ ในบรรดายันต์สาหรับลงอุปกรณ์หลอมและตีเหล็ก มีอยู่ด้วยกันสองยันต์ท่เี ป็นความร้จู ากคัมภรี ์
ตรนี สิ ิงเห คือ ยันตล์ งสบู ทล่ี งอัตราทวาทสมงคลในตารางล้อมรอบตัวเฑาะว์ (อกั ขระพิเศษท่นี ับถือว่า
ศักด์ิสิทธิ์ ลักษณะคล้ายตัว ธ สมัยสุโขทัย) ยันต์ลงท่ัง ลงด้วยอัตราทวาทสมงคล โดยชักยันต์เป็นรูป
องค์พระ ส่วนการทาด้ามอาวุธในตาราให้ทาด้ามด้วยไม้ (ในตาราไม่ได้ระบุว่าให้ใช้ไม้อะไร) แกะเป็น
รปู ทา้ วเวสสุวัณ ใหใ้ ช้เลขลงตามจุดต่าง ๆ ดังน้ี

รปู ที่ 4.11 ยันตล์ งสบู สาหรบั ตศี าสราวุธ
ทมี่ า: เทพย์ สารบิ ุตร, คมั ภรี ์พุทธศาสตราคม, หน้า 515.

121 เทพย์ สารกิ บตุ ร พทุ ธศาสตราคม, หนา้ 520.

147

รูปท่ี 4.12 ยนั ตล์ งทัง่ สาหรบั ตีศาสราวุธ
ทม่ี า: เทพย์ สารบิ ตุ ร, คัมภีรพ์ ุทธศาสตราคม, หน้า 516.

ให้ลงเลข ๓ ท่ีปาก เอาเลข ๗ ลงตาท้ังสองข้าง เลข ๕ ลงอก เลข ๔ ลงไหล่
ทั้งสองข้าง เลข ๖ ลงขาท้ังสองข้าง เลข ๕ ลงหลัง เลข ๑ ลงตาตุ่มท้ังสองข้าง เลข
๙ ลงศีรษะ เลข ๕ ลงข้างซ้าย เลข ๒ ลงศอกทั้งสองข้าง เลข ๘ ลงตะโพกทั้งสอง
ขา้ ง เลข ๕ ลงขา้ งขวา อันนี้ลงดา้ มมีด122
การลงอัตราเลขตรีนิสิงเหบนด้ามไม้ที่แกะเปน็ รูปท้าวเวสสุวณั ให้ลงด้วยเลขตรีนิสิงเหตามจุด
ต่าง ๆ คุณวิเศษของอาวธุ นี้มีหลายประการดังทกี่ ล่าวไว้ใน ตารามหาศาสตราคม ว่า

อนึ่งจะให้เนือ้ ความศนู ย์ทา่ นใหเ้ อาใบจากมาแล้ว ท่านใหเ้ อามีดปลกุ ดงั ว่ามา
น้ีแล้ว ท่านให้นั่งผินหน้าไปทางทิศตะวันตก ทาเม่ือพระอาทิตย์ใกล้จะตกเวลาเย็น
จึงเอามดี สบั ใบจากใหแ้ หลก ภาวนาพลางด้วยคาถาน้ี พุทธังปัจจักขาสิสูญ ธมั มงั ปจั
จักขาสิสูญ สังฆังปัจจาสิสูญ ฯ คร้ันใบจากแหลกแล้วเอาไฟเผาเถิด แล้วจึงสาบาน
ตามปรารถนาเถิด ทา ๓ วัน ความสูนยแ์ ล ทา ๕ วันสตั รูฉบิ หาย ทา ๗ วันสตั รูตาย
แล อน่ึงแม้จะเดนิ ทางไกล จะใคร่ร้วู า่ เราไปน้นั จะมีลาภหรอื มภี ัยประการใด ท่านให้
เอาเทียน ๙ เล่ม ธูป ๙ เล่ม ดอกไม้ ๙ ดอก แล้วจึงเอามีดปลุกแล้วบูชาด้วยเข้า
ตอกดอกไม้ธูปเทียนแล้วต้ังอธิษฐานขอจะใคร่รู้เถิด ครั้นถึงเวลากลางคืนเทพยดาก็
แสร้งบันดาล บอกเหตุบอกผลให้รู้ตามปรารถนาแล แม้จะแก้คุณลมเพลมพดั ท่าน

122 เรื่องเดยี วกนั , หน้า 519.

148

ให้เอามีดมาทาเหมือนหนหลังแลว้ เอามีด ลงสรงน้าในบาตร์ให้ได้ ๙ หน จึงว่าคาถา
ดังนี้ สัตถา ฯ ให้ได้ ๙ หน แล้วจึงเอาน้าอาบกินหายแล อน่ึง ถ้าจะทาเปน็ กาบังให้
น่ังในท่ีลับแต่ผู้เดียว แล้วท่านให้เอามีดมาปลุกเสกแล้วท่านให้เอาใบชุมแสง ๕ ใบ
ลงด้วยคาถานี้ ปติลิยะติฯ แล้วใส่พกไว้เอามีดวางบนตักเรา แล้วบูชาด้วยธูป เทียน
ดอกไม้ แล้วให้ภาวนาดังนี้ รูปัง สูญญัง อนัตตา เมื่อจะทา ๆ กลางคืน ภาวนากว่า
เงาจะหาย คร้ันเงาหายแล้วเดินไปเถิดภาวนาอย่าให้ขาดคนมเิ ห็นเราเลย อน่ึง แม้น
จะรักษาไข้ ท่านให้เอาน้าส่บาตร์ ๙ บาตร์ แล้วเอาเทียน ๙ เล่มตดิ ทุกบาตร์แล้วจึง
เอามีดปลกุ เสกใสใ่ นบาตร์ ๆ ละ ๙ ที แลว้ เอาน้าในบาตรอ์ าบกินหายแล123

คนไทยโบราณเช่ือว่าศาสตราวุธทสี่ ร้างตามตารานม้ี คี ณุ วิเศษมากมาย ท้ังยังสามารถ
ป้องกนั และขบั ไล่ภูตผตี า่ ง ๆ รวมท้ังสามารถรักษาคณุ ไสยและการกระทาย่ายีไดส้ ารพดั ดงั นนั้ จงึ เรียก
ศาสตราวุธน้ี ว่า “มีดเทพศาสตราวุธ” ในสมัยต่อมาพระสงฆ์ท่ีมีช่ือเสียงทางวิทยาคมหลายรูปก็เคย
สร้างเอาไว้ เช่น หลวงพอ่ รุง่ ฆคสุวณโฺ ณ วดั หนองสนี วล ตาบลตาคลี อาเภอตาคลี จงั หวดั นครสวรรค์,
พระครูนิวาสธรรมขันธ์ (เดิม พุทฺธสโร) วัดหนองโพ จังหวัดนครสวรรค์, พระครูวิมลคุณากร (ศุข เกส
โร) วัดปากคลองมะขามเฒ่า อย่างไรก็ตาม หากปราศจากความรู้จากคัมภีร์ตรีนิสิงเหก็ไม่อาจสร้าง
อาวธุ ตามตารามหาศาสตราคมไดเ้ ลย

4.3.4 พิธฝี งั หลักพระนคร

การฝังหลักพระนครหรือหลักเมืองเป็นพระราชพิธีสาคัญในการสร้างบ้านเมืองสมัย
โบราณ พิธีกรรมดังกล่าวมีบันทึกเอาไว้เป็นเอกสารโบราณ โดย เทพย์ สาริกบุตร ปริวรรตไว้ใน พระ
คัมภรี พ์ ระเวท ฉบับจัตตุถบรรพ ดังน้ี

...โหรบูชาเทวดาแล้วเชิญหลักเมืองแลแผ่นศิลา ก้อนดิน ๔ ก้อน บาตร์น้า
บาตร์ทราย ไปสู่ที่ใกล้แห่งหลุม โหรทั้ง ๔ คน ถือก้อนดินคนละก้อน ยืนอยู่ท่ีปาก
หลุมทั้ง ๔ ทิศ ครั้นถึงเพลาพระฤกษ์โหรผู้ใหญ่อีกคนหนึ่ง จึงบ่ายหน้า สู่บูรพาทิศ
แล้วกล่าวประกาศเป็นอุทิศเทพสังหรณ์ ถามว่าท่านถือส่ิงอันใด โหรซ่ึงยืนอยู่ฝ่าย
บูรพาทิศจึงบอกว่า ข้าพเจ้าถือก้อนดินก้อนนี้ คือปฐวีธาตุ สาระวัฒนะ อาจจะยัง

123 เรอื่ งเดยี วกัน, หนา้ 522-524.

149

สรรพธัญญาหารแลพชื ผลพฤกษาลดาชาติท้ังปวงต่าง ๆ ให้ผลิตผลงอกงามบริบรู ณ์
ท่ัวพ้ืนภูมิภาคในบริเวณจังหวัดพระราชอาณาเขตร์ท้ังส้ิน โหรผู้ใหญ่จึงบ่ายหน้าสู่
ทักษิณทิศ แล้วถามว่าท่านถือ ซึ่งส่ิงอันใด โหรซ่ึงยืนอยู่ฝ่ายทักษิณทิศจึงบอกว่า
ข้าพเจ้าถือก้อนดินกอ้ นนี้คืออาโปธาตุ มหาวัฒนะ อาจจะยังห่าฝนให้ตกต้องควรแก่
ฤดูกาล เปน็ อปุ การะแก่สรรพส่ิง ธญั ญาหาร แลพืชผลพฤกษาลดาวัลย์ สรรพมัจฉา
ชาติบริบูรณ์ท่ัวบริเวณจังหวัด พระราชอาณาเขตร์ท้ังสิ้น โหรผู้ใหญ่จึงบ่ายหน้าสู่
ปัจฉิมทิศแล้วถามว่า ท่านถือซ่ึงส่ิงอันใด โหรซึ่งยืนอยู่ฝ่ายปัจฉิมทิศจึงบอกว่า
ข้าพเจ้าถือก้อนดินก้อนน้ี อาจจะยังเสนามาตร์ราชจตุรงค์โยธาหารท้ังปวง ให้มีเด
ชานุภาพ ปราบอริราชไพรีให้ปราชัย มิไดม้ าย่ายีบฑี าในบริเวณพระราชอาณาเขตร์
ท้ังสิ้น โหรผู้ใหญ่จงึ บา่ ยหนา้ สอู่ ุดรทิศ แล้วถามว่าท่านถอื ส่งิ อันใด โหรซึ่งยืนอยู่ฝา่ ย
อุดรทิศจึงบอกว่า ข้าพเจ้าถือก้อนดินก้อนนี้ คือวาโยธาตุ อลังการวัฒนะ อาจจะยัง
พ่อค้าพาณิชในนานาประเทศ ให้นามาซ่ึงสาเภานาวาบรรทุกสรรพวัตถุสิ่งของ
เครื่องอุปโภคบริโภคต่าง ๆ อันเป็นของประดับพระนครให้บริบูรณ์ ในบริเวณ
จังหวัดพระราชอาณาเขตร์ท้ังส้ิน แล้วทิ้งก้อนดินทั้ง ๔ ลงไปในหลุมเป็นลาดับกัน
จึงวางแผ่นศิลาลงบนก้อนดิน แล้วเชิญหลักลงไปในหลุม ต้ังบนแผ่นศิลาแล้วกลบ
ดินกระทงุ้ ใหแ้ นน่ หา้ มมใิ หก้ ลบดว้ ยเทา้

ให้ประโคมดุรยิ างคด์ นตรี แตรสังข์ ฆ้องไชยแลยิงปืนใหญ่ท้งั 4 ทิศ แล้วประ
น้าโปรยทราย เอาผ้าสีชมพูผูกห้อยทาขวัญหลักเมืองปิดยันต์ท่ีปลายหลักต้นบนดิน
เจิมแปง้ หอม นา้ มนั หอม ห้อยพวงดอกไม้ มีกานนสามตาลงึ ได้แกโ่ หร แล้วอาราธนา
เทพยดาให้เข้าสิงในหลัก สาเร็จพระราชพิธีนครถานฝังหลักพระนครเพื่อให้เจริญ
พระราชศิรสิ วสั ด์ิพพิ ัฒนมงคล สกลสตั รูกษยั ไชยประสิทธิทุกประการแล124

ในพระราชพิธีนครถานมีการกล่าวถึงแผ่นศิลาที่ใช้รองหลักเมือง เป็นยันต์ตัวเลข
เกณฑ์ 34 เมอื่ วิเคราะหย์ ันต์ดงั กล่าว ผูว้ ิจัยเหน็ วา่ เปน็ เลขท่ีมาจากอตั ราเลขโสฬสมงคล เขียนเรยี งกัน

124 เทพย์ สาริกบตุ ร, พระคมั ภรี ์พระเวท ฉบบั จัตตุถบรรพ (กรุงเทพฯ : อตุ สาหกรรมการพมิ พ,์ 2521),
หน้า 97-98.

150
ในตารางสี่เหลี่ยมจัตุรัส 16 ช่องท่ีเรียกในทางคณิตศาสตร์ว่า จัตุรัสกลแบบ 4 x 4 การท่ีกล่าวว่า
“เกณฑ์ 34 ลงแผ่นศิลารองหลักเมือง” เน่ืองจากผลรวมของยันต์ตัวเลขนี้ทุกด้านจะได้เท่ากับ 34
รวมถึงด้านทแยงมุมทั้งสีด่ ้านดว้ ย เลขโสฬสมงคลถอื วา่ มคี วามสาคญั อย่างมาก เนื่องจากตัวเลขต่าง ๆ
แทนค่าพระนามพระพุทธเจ้า ตลอดจนเทพเจ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ (ดูเพิ่มในบทท่ี ๒) ชาวไทยโบราณจึง
นับถือตัวเลขชุดน้ี และใช้ประกอบในพิธีสาคัญหลายพิธี ในพระราชพิธีนครถานยังมียันต์ตัวเลขอีก
ยนั ต์หน่งึ ในตารากล่าววา่ “เกณฑ์ 108 ปดิ ตน้ หลักเมือง”

รูปท่ี 4.13 ยนั ต์โสฬสมงคล เกณฑ์ 34
ท่มี า: เทพย์ สาริกบุตร, คมั ภรี พ์ ระเวทฉฏั ฐบรรพ, หนา้ 100.

รูปที่ 4.14 ยันต์องครักษ์ธาตุทั้ง 4 เกณฑ์ 108
ที่มา: เทพย์ สารกิ บุตร, คมั ภรี ์พระเวทฉฏั ฐบรรพ, น. 100.

151

ยันต์นี้เป็นยันต์ท่ีมีตัวเลข 16 ตัว ได้แก่ 53 46 4 5 3 6 52 47 50 49 1 8 2 7 51
48 มีอกั ขระสตี่ วั อยใู่ นยนั ต์ อา่ นว่า น ม พ ท คือ หัวใจธาตุ 4 ได้แก่ ดนิ นา้ ไฟ ลม มีข้อน่าสงั เกตที่ว่า
ยันต์ตัวเลขยันต์นี้ ผลรวมของทุกด้านเท่ากับ 108 รวมทั้งผลรวมในด้านทแยงมุมด้วย อย่างไรก็ตาม
ยันต์นมี้ แี นวคิดมาจากจตั ุรสั กล แตม่ ีความตา่ งกนั ตรงท่ีว่า จตั รุ สั กลจะใชต้ วั เลขเท่ากับจานวนช่องของ
จัตรุ ัสกลนั้น ๆ โดยเร่ิมจาก 1 เสมอ เม่ือใส่ลงในตารางกลจะต้องได้ผลทุกด้านเท่ากัน แต่ยันตน์ ้ีไม่เริ่ม
จากเลข 1 ผู้ทีป่ ระดิษฐ์ยันต์นี้ต้องการผลรวมของทกุ ดา้ นที่จะตอ้ งได้เกณฑ์ 108 เป็นหลกั ตัวเลข 108
น้ีเป็นตัวเลขท่ีถือกันว่าศักด์ิสิทธิ์ เพราะมาจากกาลังดาวอัฐเคราะห์หรือกาลังพระรัตนตรัย (ดูเพิ่มใน
บทที่ 3) เลข 108 น้ียังเป็นเลขสาคัญในการตั้งคานวณอัตราทวาทสมงคลอีกด้วย อย่างไรก็ตามผู้ที่
สร้างยนั ตน์ ้ไี ม่ได้ใสต่ ัวเลขลาดบั ตามจานวนตารางกล ตวั เลขที่เลอื กมาใสใ่ นแต่ละชอ่ ง ตอ้ งการเพียงให้
ทุกแถวและตอนบวกกันได้ 108 เท่าน้ัน อกี ท้ังจานวน 108 ไม่ได้อยู่ลาดับเลขอนุกรมที่ไดจ้ ากสมการ
การค่าคงตัวกล จึงไม่ถอื ว่าเป็นยนั ตท์ ม่ี ีลักษณะเป็นจัตรุ ัสกลแตอ่ ย่างใด ผู้วิจัยสนั นษิ ฐานว่า แนวคิดใน
การสร้างยันต์องครักษ์ธาตุท้ัง 4 ได้รับอิทธิพลมาจากยันต์อัตราเลขท้ังสามยันต์ที่มีในคัมภีร์ตรีนิสิงเห
แตไ่ ม่ได้ใช้หลักการของจตั รุ ัสกลท่ีปรากฏในคมั ภีรต์ รีนิสิงเห น่าจะเป็นการประดิษฐ์ของโบราณาจารย์
ผ้แู ต่งคมั ภรี ์นครถานเอง

4.3.5 การสรา้ งพระพมิ พแ์ ละเคร่ืองรางของขลัง

ในการสร้างพระพิมพ์แต่โบราณ มีการใช้ความรู้จากคัมภีร์ตรีนิสิงเหด้านตา่ ง ๆ เพื่อ
นาไปสร้างเป็นพระพิมพ์หรือเคร่ืองรางของขลัง เช่น การสร้างพระพิมพ์ที่ทาจากผงวิเศษ หรือการ
นาเอายันต์สาคัญตลอดจนอัตราเลขหรือกลเลขไปลงพระยันต์สาหรับหล่อพระพุทธปฏิมาท่ีสร้างจาก
โลหะ และนายันต์ต่าง ๆ ไปสร้างเป็นวัตถุมงคล ลาดับต่อไป ผู้วิจัยจะอธิบายการประยุกต์ใช้ความรู้
จากคัมภีร์ตรนี ิสิงเห ในการสรา้ งพระพมิ พแ์ ละเครอื่ งรางของขลัง ดงั น้ี

4.3.5.1 พระทสี่ ร้างจากวัสดทุ ไ่ี มใ่ ช่โลหะ
การสร้างพระพิมพ์ต่าง ๆ เป็นวัฒนธรรมที่อยู่คู่กับคนไทยมาแต่คร้ังโบราณ

ดังจะเห็นไดจ้ ากพระพิมพท์ ่ีบรรจุไว้ในพระเจดยี ์จานวนมาก การสร้างพระพิมพ์เหล่าน้ีส่วนหน่ึงอาศัย
ความรู้จากคัมภีร์เลขยันต์โบราณ การสร้างพระพิมพ์เพื่อบรรจุไว้ตามพระเจดีย์ ผู้วิจัยสันนิษฐานว่ามี
คตทิ แ่ี ตกตา่ งกันสองประการ ประการแรก ไดแ้ ก่ การสรา้ งพระพิมพ์เพอื่ อทุ ศิ ไวใ้ นพระศาสนา ถือเป็น

152

อุเทสิกเจดีย์ อีกประการหน่ึงเป็นการสร้างพระพิมพ์เพ่ือวัตถุประสงค์บางอย่างท่ีเป็นไปตามความ
ต้องการของคณะผู้สร้าง เช่น การสร้างพระพิมพ์เพอื่ ใชป้ กปอ้ งพระนครจากภัยอนั ตราย ท้ังจากข้าศึก
ศัตรูและภัยธรรมชาติ ดังจะเห็นได้จากตานานการสร้างนครหริภุญชัย ตามตานานการสร้าง "เมือง
ลาพูน" หรอื ชือ่ เรียกในอดีตคือ "เมอื งหริภุญชัย" ในหนงั สือ ตานานมูลศาสนา กล่าวไว้ วา่

ในกาลคร้ังหน่ึง วันนั้นยังมีกุลบุตรท้ังหลาย 5 คน ๆหนึ่งชื่อ วาสุเทพ คน
หนึ่งช่ือสุกกทันต คนหนึ่งช่ืออนุสิสส คนหนึ่งช่ือพุทธชฎิล คนหนึ่งช่ือสุพรหม
กุลบุตรท้ัง 5 คนนี้ประกอบด้วยศรัทธา ออกบวชในพระพุทธศาสนา แล้วเขา
ทั้งหลายมาราพึงเห็นว่า วินัยสิกขาบททั้งหลายอันพระศาสดาทรงบัญญัติไว้น้ี
ประกอบด้วยกิจอนั ละเอียดยิ่งนัก และเขาทั้งหลายเหน็ วา่ จะปฏบิ ัตติ ามได้ด้วยยาก
จึงพร้อมกันสึกออกจากสมณเพศ แล้วมาบวชเป็นฤษีเข้าไปอยู่ในป่าหิมวันต์ ก็ได้
สาเร็จปญั จอภิญญาและสมาบัตทิ ั้ง 5 ตน125

พระฤๅษีทั้ง 5 ตน ได้ปรึกษาหารือกันว่าจะช่วยกันสร้างเมืองน้ีขึ้นมา
จากนั้นจึงตกลงกันว่าจะไปเชิญ พระนางจามเทวี จากเมืองละโว้ ให้เสด็จขึ้นมาครองเมืองหริภุญชัย
เม่ือพระนางจามเทวีเสด็จข้ึนครองราชย์แล้วก็โปรดเกล้าฯ ให้สร้างวัดขึ้นทั้งส่ีมุมเมือง เป็นจตุรพุทธ
ปราการ เพื่อสิริมงคลและปกป้องอริราชริปู และได้อัญเชิญพระฤๅษีทั้งสี่ ผู้อุปการะพระนครให้โดย
เสดจ็ พระราชกศุ ล ในครั้งนน้ั พระฤๅษไี ด้สรา้ งพระพิมพแ์ บบต่าง ๆ บรรจุไวใ้ นพระสถูปของพระอาราม
แต่ละทิศของพระนครท้ัง 4 ทิศ ซ่ึงปรากฏหลักฐาน รูปสลักศิลาแลงพระฤๅษีท้ัง 4 ที่ใต้ฐานมีจารึก
อักษร วา่

ดา้ นเหนือ คือ สุเทวฤๅษี ผู้รักษาพระนครฝา่ ยทิศเหนือ ด้านใต้ คอื สกุ กทันต
ฤๅษี ผู้รักษาพระนครฝ่ายทิศใต้ ด้านตะวันออก คือ สุพรหมฤๅษี ผู้รักษาพระนคร
ฝา่ ยตะวนั ออก ดา้ นตะวนั ตก คือ สุมณนารทะฤาษี ผูร้ กั ษาพระนครฝา่ ยตะวนั ตก126

125 กรมศิลปากร, ตานานมูลศาสนา (กรงุ เทพมหานคร: โรงพมิ พย์ ้ิมศรี, 2482), หน้า 136
126 ตรียัมปวาย, พระรอด พระเครื่องสกลุ ลาพนู (กรงุ เทพ : คลังวิทยา, 2503), หนา้ 68.

153

การสร้างอารามทั้ง 4 ในปี พ.ศ.1223 เพ่อื เป็นพุทธปราการปกปอ้ งคุ้มครอง
พระนคร จากภัยพบิ ัติตา่ ง ๆ จตุรพุทธปราการ หรอื วัดส่มี ุมเมอื ง ไดแ้ ก่

1. อาพัทธาราม (วัดพระคง) เป็นพุทธปราการประจาทิศเหนือ
ของพระนคร วัดนี้ปัจจุบันเป็นวัดท่ีมีพระสงฆ์จาพรรษาอยู่ ส่ิงก่อสร้างต่าง ๆ ท่ีเห็นเป็นของใหม่ที่
สร้างบนรากฐานเดิม องค์พระเจดีย์มีการปฏิสงั ขรณใ์ หม่ แตย่ ังคงรูปร่างคล้ายของเดิม การขุดพบพระ
เคร่ืองของวัดนี้ กระทาในปี พ.ศ. 2485 โดยเจ้าจักรคาขจรศักดิ์ พระเครื่องท่ีขุดพบ คือ พระคง และ
พระบาง เป็นตน้

2. อรัญญิกรัมมการาม (วัดดอนแก้ว) เป็นพทุ ธปราการประจาทิศ
ตะวันออกของพระนคร ปัจจุบันเป็นวัดร้าง การขุดพบพระเครื่องของวัดนี้ กระทาในช่วง ปี พ.ศ.
2484-85 เป็นช่วงเวลาที่ประเทศอยู่ในภาวะสงคราม จึงมีการเสาะแสวงหาพระพิมพ์ เพ่ือใช้ป้องกัน
ภัยอันตราย พระพิมพ์ท่ีพบในครั้งนั้น คือ พระเปิม พระบาง พระคง พระฤๅ พระเลี่ยง พระสาม พระ
สิบสอง พระเปื๋อย พระสบิ แปด และพระกล้วย เป็นต้น

3. มหาสัตตาราม (วัดประตูลี้) เป็นพุทธปราการประจาทิศใต้ของ
พระนคร การขุดพบพระเคร่ืองของวัดน้ี กระทาในช่วง ปี พ.ศ. 2417-35 การพบพระเคร่ืองของวัดน้ี
คือ พระเลี่ยง พระเลย่ี งหลวง พระฤๅ พระสามและพระสิบสอง เปน็ ตน้

4. มหาวนาราม (วดั มหาวนั ) เปน็ พทุ ธปราการประจาทิศตะวันตก
ของพระนคร ปัจจุบันเป็นวัดท่ีมีพระสงฆ์จาพรรษาอยู่เช่นกัน การขุดพบพระเคร่ืองของวัดน้ี กระทา
ในช่วง ปี พ.ศ. 2435-45 พระพิมพ์ที่พบในครั้งนั้น คือ พระรอด และพระเครื่องอ่ืนอีก เช่น พระสาม
พระสิบสอง พระกวาง เปน็ ตน้ 127

ด้วยมูลเหตุการสร้างพระพิมพ์ เพื่อเป็นสิริมงคลและป้องกันพระนครจาก
ภัยอันตราย คนโบราณมีความเชื่อเร่ืองความศักด์ิสิทธิ์ของพระพมิ พ์ ในยุคต่อมา มีการพัฒนาแนวคิด
ในการสร้างพระพิมพ์เพ่ืออาราธนาติดตัว พระพิมพเ์ หล่าน้ีมกั จะพบลานเงินหรอื ลานทองจารึกประวัติ
ผู้สร้าง กรรมวิธีการสร้าง คุณวิเศษและวิธีอาราธนา ดังเช่น พระพิมพ์ต่าง ๆ ท่ีบรรจุไว้ในเมือง

127 เรอ่ื งเดยี วกนั , หน้า 21-22.

154

กาแพงเพชร ซ่ึงมีการค้นพบลานเงินจารึกกรรมวิธีการสร้าง และวิธีอาราธนา ถือว่าเป็นหลักฐานท่ี
แสดงให้เห็นว่ากลุ่มผู้สร้างพระพิมพด์ ังกล่าวมีจุดประสงค์ให้พระพิมพท์ ี่สร้างมีอานุภาพนานาประการ
และไม่ได้เป็นการสร้างเพ่ือสืบทอดพระศาสนาเพียงอย่างเดียว ดังเนื้อความในจารึกลานเงิน กรุวัด
พระบรมธาตุ เมืองกาแพงเพชร ว่า

(จารึกบนแผ่นลานเงินได้คัดจากสาเนาเดิมดังน้ี) ณ ตาบลเมืองพิษณุโลก
เมืองกาแพงเพชร เมืองกาแพงเพชร เมือพิชัย เมืองพิจิตรเมืองสุพรรณ ว่ามีฤาษี
๑๑ ตน ฤาษีเป็นใหญ่ ๓ ตนฤาษีพิราลัยตนหน่ึง ฤาษีตาไฟตนหน่ึงฤาษีตาวัวตน
หน่ึง เป็นประธานแก่ฤาษีท้ังหลาย จึงปรึกษากันว่าเราท้ังนี้จะเอาอันใดให้แก่พระ
ยาศรีธรรมาโศกราช ฤาษีท้ัง ๓ จึงปรึกษาแก่ฤาษีท้ังปวงว่าเราจะทาด้วยฤทธ์ิ ทา
เคร่ืองประดิษฐานเงินทองไว้ฉะน้ีฉลองพระองค์จึงทาเป็นเมฆพัตร อุทุมพรเป็น
มฤตย์พิศม์ อายุวัฒนะ พระฤาษีประดิษฐานไวใ้ นถ้าเหวใหญ่น้อย เป็นอานุภาพแก่
มนษุ ยท์ ั้งหลาย สมณชพี ราหมณาจารย์ไปถว้ น ๕,๐๐๐ พรรษา พระฤาษตี นหนึ่งจึง
ว่าแก่ฤาษีท้ังปวงว่าท่านจงไปเอาว่านท้ังหลายอันมีฤทธิ์เอามาให้ได้ ๑,๐๐๐ เก็บ
เอาเกสรดอกไมอ้ ันวเิ ศษท่ีมีกฤษณาเปน็ อาทใิ ห้ไดส้ กั ๑,๐๐๐ คร้ันเสร็จแล้วฤาษีจงึ
ปา่ วรอ้ งเทวดาท้งั ปวงใหม้ าชว่ ยบดยาทาเป็นพระพมิ พ์ไว้สถานหนง่ึ ทาเป็นเมฆพัตร
สถานหนึ่ง ฤาษีท้ัง ๓ ตนน้ัน จึงบังคับฤาษีทั้งปวงให้เอาว่านทาเป็นผงป้ันเป็นก้อน
ถ้าผูใ้ ดได้ถวายพระพรแลว้ จึงเอาไวใ้ ช้ตามอานภุ าพเถิด ใหร้ ะลกึ ถงึ พระฤาษที ่ีทาไว้
น้นั เถิด

ถ้าผู้ใดได้ไหว้ให้ถวายพระพร แล้วจึงเอาไว้ใช้ตามอานุภาพ ให้ระลึกถึงคุณ
พระฤาษีที่ทาไว้น้ันเถิดฤาษีได้อุปเท่ห์ไว้ดังน้ีแม้อันตรายสักเท่าใดก็ดีให้นิมนต์พระ
ใส่ศีรษะ อันตรายท้ังปวงหายสิ้นแล ถ้าจะเข้าการรณรงค์สงครามให้เอาพระใส่
น้ามันหอม เข้าด้วยนวหรคุณ แล้วเอาใส่ผม ศักด์ิสิทธ์ิตามปรารถนา ถ้าผู้ใดจะ
ประสิทธแิ์ ก่หอกดาบศาสตราอาวุธท้ังปวงเอาพระสรงน้ามันหอมแล้วเสกดว้ ย อติ ิปิ
โสภกูราติ เสก ๓ ที ๗ ทีแล้วใส่ขันสาริด พิษฐานตามควาปรารถนาเถิด ถ้าผู้ใดจะ
ใคร่มาตุคามเอาพระสรงน้ามันหอม ใส่ใบพลูทาประสิทธ์ิแก่คนทั้งหลาย ถ้าจะสง่า
เจรจาให้คนเกรงกลัวเอาพระใส่น้ามันหอม หุงขี้ผึ้ง เสกด้วย นวหรคุณ ๗ ที ถ้าจะ

155

ค้าขายก็ดีไปทางบกทางเรือก็ดี ให้นมัสการด้วยพาหุง แล้วเอาพระสรงน้ามันหอม
เสกดว้ ยพระพุทธคุณอิตปิ ิโส ภกรู าติ เสก ๗ ที ประสิทธิแ์ ก่คนทัง้ หลายแล ถ้าจะให้
สวัสดีสภาพรทุกวันให้เอาดอกไม้ดอกบัวบูชาทุกวัน ถ้าจะปรารถนาอันใดก็ได้ทุก
อันแล ถ้าผู้ใดพบพระเกสรก็ดีพระว่านก็ดี พระปรอทก็ดี (เข้าใจว่าเป็นพระเน้ือชิน
เขา้ ปรอท)เหมือนกันอย่าประมาท มอี านภุ าพดงั กาแพงลอ้ มกนั ภยั แกผ่ นู้ นั้ ถา้ จะให้
ความสูญให้เอาพระสรงน้ามันหอม เอาด้าย ๑๑ เส้น (หมายถึงพระฤาษี๑๑ ตน )
ชุบน้ามันหอม แล้วทาไส้เทียนตามถวายพระ แล้วพิษฐานตามความปรารถนาเถิด
ถ้าผู้ใดจะสระหัวให้เขียนยันต์ใส่ไส้เทียนเถิด แล้วว่าไปจนจบ แล้วว่าพาหุง แล้วว่า
อติ ิปิโสกการ มหาเชยฺย มงฺคล แล้วว่าพระเจ้า ๑๖ พระองค์ เอาทั้งคู่ กิริมิทิ กุรุมุทุ
กรมท เกเรเมเท ตามแต่เสกเถิด ๓ ที ๗ ทีวิเศษนัก ถ้าได้รู้พระคาถาน้ีแล้ว อย่า
กลวั อนั ใดเลย ท่านตีค่าไว้ควรเมืองจะไปรบศกึ กค็ ุม้ ไดส้ ารพดั ศัตรแู ล128

การสร้างพระพิมพ์เพ่ือประโยชน์ในอาราธนาติดตัวการป้องกันอันตรายนี้
ไม่เพียงแต่พระพิมพ์ท่ีพบท่ีเมืองกาแพงเพชรเท่านั้น ยังมีพระพิมพ์ท่ีพบในพระปรางค์องค์ใหญ่ วัด
พระศรีรัตนมหาธาตุ เมืองสุพรรณบุรี มีลักษณะเหมือนพระพิมพ์ท่ีพบที่เมืองกาแพงเพชร และยังพบ
จารึกลานทองเล่าถึงผู้สร้างพระพิมพ์ และกรรมวิธีการสร้าง ตลอดจนอุปเท่ห์ของพระพิมพ์ ดงั ที่กล่าว
ไวใ้ นลานทอง ดงั น้ี

ศุภมัสดุ 1265 สทิ ธกิ ารยิ ะ แสดงบอกไว้ใหค้ รูมฤี าษที ้งั 4 ตน พระฤาษพี ไิ ลย์
เปนประทาน เราจะทาด้วยฤทธ์ิทาเครื่องประดิษฐานมีสุวรรณเปนต้น คือ บรม
กษัตริย์พระยาศรีธรรมโศกราช เป็นผู้มีศรัทธา พระฤาษีท้ัง 4 ตน จึงพร้อมกัน
นาเอาแต่ว่านท้ังหลาย พระฤาษีจึงอัญเชิญเทพยดามาช่วยกันทาพิธีทาเปนพระ
พิมพ์ไว้สถาน 1 แดง สถาน 1 ดา ให้เอาว่านทาเปนผง พิมพ์ด้วยลายมือของพระ
มหาเถรปิยทัสสีศรีสาลีบุตร์ คือเปนใหญ่เป็นประธานในท่ีนั้นไดเ้ อาแร่ตา่ ง ๆ ซัดยา
สาเร็จแล้วให้นามวา่ แร่สังฆวานรไดห้ ล่อเปนพิมพต์ ่าง ๆ มีอานุภาพต่างกันเสกด้วย

128 สมเดจ็ กรมพระยาดารงราชานภุ าพ, เสดจ็ ประพาสต้น (กรุงเทพฯ : ศิลปาบรรณาคาร, 2519),หนา้ 81-
84

156

มนต์คาถาทั้งปวงครบ 3 เดือนแล้ว ท่านเอาไปประดิษฐานไว้ในพระสถูปใหญ่แห่ง
หน่ึงท่ีเมืองสุพรรณทูม ถ้าผู้ใดได้พบเห็นให้รีบเอาไปสักการบูชาเปนของวิเศษ แม้
จะมีอนั ตรายประการใดก็ดี ให้อาราธนาพระผูกไวท้ ี่คออาจคุ้มเกรงพยันตรายได้ทั้ง
ปวง ถ้าผู้ใดจะออกรณรงคส์ งครามประสิทธิด้วยสารทตราวุธทัง้ ปวง เอาพระลงสรง
น้ามันหอมแล้วนั่งบริกรรมพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ 108 จบ พาหุง 13 จบ ใส่
ขันสาฤทธ์ิต้ังอธิษฐานเอาตามความปรารถนาเถิดให้ทาท้ังหน้าแลผม คอน่าอก ถ้า
จะใช้ทางเมตตาให้มีสง่าเจรจาให้คนท้ังหลายเชื่อฟังยาเกรง ให้เอาพระน้ีไว้ใน
น้ามันหอม เสกดว้ ยคาถาเนาว์หอระคณุ 13 จบ

พระพทุ ธคุณ 13 จบ ให้เอาดอกไม้ธูปเทยี นบชู าทาพธิ ใี นวนั เสาร์ นา้ มันหอม
เก็บไวใ้ ชไ้ ด้เสมอ ทาริมฝีปาก หน้าผาก แลผม ถ้าผู้ใดพบพระตามที่กล่าวมาน้ี พระ
วา่ นก็ดี พระเกสรก็ดี พระทาด้วยแร่สังฆวานรก็ดี อย่าประมาทเลย อนุภาพพระท้ัง
3 อย่างนี้ดุจกาแพงแก้วกันอันตรายไดท้ ้ังปวง แล้วให้วา่ คาถา คะเตสิก เกกะระณัง
มะกาไชยมังคะลัง นะมะพะทะ แล้วให้ว่า กิริมิถิ กุรุมุถุ เกเรเมเถ กะระมะทะ
ประสทิ ธ์ิแล (ตัวอกั ษรคัดตามตน้ ฉบับเดิม)129

จากขอ้ ความที่จารึกบนลานเงนิ และลานทองทพี่ บแสดงให้เห็นถึงแนวคิดท่ีมี
ตอ่ พระพิมพ์ ท่ีมุ่งหวงั ผลในดา้ นความศักดิ์สิทธ์แิ ละการคุ้มครองปอ้ งกันอันตราย ดังนั้นกลุ่มผู้สร้างจึง
พรรณนาตั้งแต่วัสดุที่มีคุณวิเศษต่าง ๆ ท่ีใช้ในการสร้างพระตลอดจนกรรมวิธีการปลุกเสก เพ่ือให้ผู้ท่ี
อาราธนาพระพิมพ์เหล่านี้ติดตัวไปมีความเช่ือม่ันว่ามีความศักด์ิสิทธิ์ สามารถป้องกันภัยอันตรายต่าง
ๆ ได้ การที่ผู้สร้างให้ความสาคัญกับมวลสารศักด์ิสิทธ์ิที่จะนามาสร้างเป็นพระพิมพ์ ปรากฏสอดคล้อง
กับแนวคิดที่ปรากฏในคัมภีร์ตรีนิสิงเหและคัมภีร์ลบผงอื่น ที่กล่าวถึงคุณวิเศษของผงที่มีอานุภาพตา่ ง
ๆ แต่ทว่า ในสมัยโบราณไม่มีหลักฐานระบุชัดเจน ว่า เป็นผงที่ได้จากคัมภีร์ลบผงคัมภีร์ใด อย่างไรก็
ตาม ความนิยมในการสร้างพระพิมพ์ด้วยมวลสารศักด์ิสิทธิ์สืบเน่ืองเร่ือยมาจนกระทั่งสมัย
รัตนโกสินทร์ตอนต้น ดังเชน่ พระพิมพ์ที่สมเด็จพระสังฆราช (สุก ญาณสวโร) ไดส้ ร้างข้ึน เพื่อบรรจุไว้

129 พระมหาวเิ ชยี ร กลยฺ าโณ และคณะ,พระผงสุพรรณ วัดพระศรรี ัตนมหาธาตุ จงั หวัดสพุ รรณบรุ ี
(กรงุ เทพมหานคร : มทพ., 2443) หน้า.14

157

ในพระเจดีย์วัดมหาธาตุ กรุงเทพมหานครฯ ภายหลังได้มีการบูรณะพระเจดีย์ดังกล่าว จึงมีการพบ
พระพิมพ์ท่ีเรียกกนั โดยท่ัวไปวา่ พระสมเดจ็ อรหัง ตรียัมปวาย ผู้ที่มีความรู้เก่ยี วกับพระเคร่ือง ได้กล่าว
ไวใ้ น หนงั สอื พระสมเด็จฯ เกี่ยวกับเรือ่ งนี้ วา่

นับว่าเป็นข้อสังเกตได้ประการหน่ึงว่า ไม่เพียงคณาจารย์ท่ีคร่าเคร่งด้าน
พุทธาคมเทา่ น้ัน ท่นี ิยมสร้างพระเครือ่ ง ฯ หากยงั ปรากฏวา่ บรรดาพระเถรานเุ ถระ
ผู้คงแก่เรียนในด้านปริยัติอีกเป็นอันมาก ที่แสดงตนเป็นพระเกจิอาจารย์สร้างพระ
เครือ่ งฯดว้ ย เช่นสมเด็จพระสังฆราช สกุ ญาณสงวฺ รฺ วดั มหาธาตุ130

อย่างไรก็ตาม ในเบื้องต้นไม่มีการระบุชื่อผงวิเศษ ท่ีใช้ในการสร้างพระ
สมเด็จอรหัง หรือพระพิมพท์ ี่สร้างข้ึนในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน ดังเช่น พระพิมพ์ท่ีบรรจุไวใ้ นพระเจดีย์
วัดจักวรรดิราชาวาส (วัดสามปล้ืม) พระที่พบสร้างจากผงดินสอผสมน้ามันงา แต่ก็ไม่ทราบว่าผงท่ีใช้
สร้างพระ เป็นผงวิเศษอะไร จวบจนการสร้างพระพิมพ์ของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรสี) อดตี
เจ้าอาวาสวดั ระฆังโฆสิตาราม พระพิมพท์ ่ีท่านสรา้ งมีช่ือเสียงเกียรติคุณในหม่นู ักนิยมสะสมพระเคร่ือง
มาช้านาน พระพิมพ์ของท่านรู้จักกันท่ัวไปในนาม พระสมเด็จวัดระฆังฯ มีบันทึกถึงวัสดุท่ีใช้ในการ
จัดสร้าง โดยมีการระบุชอื่ ผงวิเศษท้ัง 5 คัมภีร์ ไดแ้ ก่ ผงปถมัง ผงอิธะเจ ผงตรีนิสิงเห ผงมหาราชและ
ผงพุทธคุณ ว่าเป็นส่วนผสมสาคัญท่ีสุดในการทาให้พระพิมพ์ท่ีสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรสี)
สรา้ งมีความศกั ด์สิ ทิ ธิ์ นอกจากพระสมเด็จวดั ระฆังฯแล้ว ทา่ นยังเปน็ ประธานในการจัดสร้างพระพิมพ์
จานวน 84,000 องค์ บรรจุไว้ในพระเจดีย์องค์ใหญ่ที่วัดใหม่อมตรส ในภายหลังได้มีผู้ลักลอบขุดเอา
พระไป ทางคณะกรรมการจึงได้นาพระที่เหลืออยู่ออกให้ประชาชนบูชาในปี พ.ศ. 2500 พระพิมพ์ที่
พบท่ีวัดใหม่อมตรสน้ีรู้จักกันในช่ือ พระสมเด็จบางขุนพรหม นับจากการสร้างพระของสมเด็จพระ
พฒุ าจารย์ (โต พรฺ หฺมรส)ี ชื่อของผงวิเศษ 5 คัมภรี เ์ ร่มิ เปน็ ที่รจู้ กั มากข้นึ รวมทัง้ มีการเลา่ เรียนสืบทอด
องค์ความรู้กันต่อมา ในสมัยของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรสี) เองท่านก็ได้ถ่ายทอดความรู้ใน
การลบผงให้กับผู้เป็นศิษย์ของท่าน จากคาบอกเล่าของพระธรรมถาวร (ช่วง) ผู้เป็นศิษย์ใกล้ชิดของ
สมเดจ็ พระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรสี) ท่บี ันทึกไว้ใน หนังสอื พระสมเด็จฯ กล่าววา่

130 ตรียมั ปวาย, ปริอรรถาธิบายแหง่ พระเคร่อื งฯ เล่ม 1 พระสมเด็จฯ, หนา้ 154

158

เจ้าพระคุณสมเด็จ ฯ เป็นพระมหาเถระที่มีลักษณะเป็นปราชญ์
ประกอบด้วยสติปัญญาเฉียบแหลม มานะพากเพียร ไม่เพียงแต่จะเป็นผู้แตกฉาน
ในด้านคันถธรุ ะเท่าน้นั ท่านยังทรงไว้ซ่ึงวิทยาการด้านอืน่ ๆ อีกหลายประการ เช่น
การปฏิบัติกัมมัฏฐาน โหราศาสตร์ และพุทธาคมเป็นต้น ท่านสาเร็จผงวิเศษ 5
คัมภีร์ คือ ผงอิธะเจ ผงปถมัง ผงมหาราช ผงพุทธคุณ และ ผงตรีนิสิงเห ผงวิเศษ
(ทัง้ )ห้านี้ เป็นการยากหนักหนาทีผ่ ูใ้ ดจะเล่าเรียนให้สาเรจ็ และสามารถทาให้เกิดผล
ศักดิ์สิทธ์ิข้ึนมาได้ ผู้ท่ีสามารถเรียนให้เกิดผลได้จริง จะต้องประกอบด้วยความ
มานะพากเพียรอย่างแรงกล้าจริง ๆ และเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ได้ใช้วิชาผงวิเศษห้า
ทท่ี า่ นทาขน้ึ มาผสมกับผงพทุ ธาคมอ่ืน ๆ ของทา่ น ทีไ่ ด้เก็บไวจ้ ากการเล่าเรยี นพุทธ
ศาสตรต์ ่าง ๆ แล้วเอามาสรา้ งเป็นพระสมเด็จขึน้ 131

ความนิยมในพระพิมพท์ ี่สมเด็จพระพุฒาจารย์(โต พรฺ หฺมรสี) สร้างมีมากข้ึน
เร่ือย จนในท่ีสุดได้กลายเป็นพระพิมพ์ที่สร้างด้วยผงท่ีมีมูลค่าการสะสมสูงท่ีสุด จึงเกิดกระแสนิยมใน
การใชผ้ งวเิ ศษท้ัง 5 คมั ภรี ผ์ สมในพระพมิ พท์ ี่สร้างข้ึนยุคต่อมา ไมเ่ พียงเท่านัน้ การเล่าเรยี นตาราลบผง
ทั้ง 5 ปกรณ์ก็เป็นท่ีนิยมมากข้ึนด้วย เพราะความต้องการนาผงวิเศษไปสร้างเป็นพระพิมพ์และวัตถุ
มงคลต่าง ๆ แต่จากการสารวจ ผู้วิจัยพบวา่ ในขณะที่คัมภรี ์ลบผงปกรณ์อ่ืนยังมีผู้สืบทอดจานวนมาก
แต่ในกรณีคัมภีร์ตรีนิสิงเหมีผู้รู้อยู่น้อยมาก มีความเส่ียงที่องค์ความรู้น้ีจะสูญหายไป ยกตัวอย่าง เช่น
ในสานักอาจารย์เทพย์ สาริกบุตร ซึ่งเป็นสานักเรียนไสยศาสตร์ที่ให้ความสาคัญกับการฝึกลบผง ตัว
อาจารย์เทพยเ์ องถือเป็นผูเ้ ชีย่ วชาญการลบผงท่านหน่ึงในยุคนน้ั แต่ไมป่ รากฏว่ามผี งตรีนสิ งิ เหตกทอด
ในหมูล่ ูกศิษย์ แสดงใหเ้ หน็ ว่า ในสานักเรียนไสยศาสตรส์ าคัญ ความรูใ้ นการทาผงตรีนิสิงเหเป็นอันร้าง
รามาพอสมควร

4.3.5.2 พระทส่ี ร้างด้วยโลหะ
การสร้างพระพิมพ์หรือพระพุทธรูปขนาดเล็กด้วยโลหะเพ่ือใช้อาราธนาติด

ตัว นยั ว่าเป็นเคร่อื งป้องกันภยันตรายตา่ ง ๆ แมว้ ่าในยุคโบราณ พระโลหะขนาดเลก็ น้พี บน้อยกวา่ พระ
พิมพ์ที่สร้างด้วยดิน อาจเป็นเพราะกระบวนการสร้างยุ่งยากและต้องใช้ความชานาญมากกว่า ใน

131 เรื่องเดียวกัน, หนา้ 158.

159

บรรดาพระโลหะขนาดเล็กที่บรรจุไว้ในพระเจดีย์โบราณที่ได้รับความนิยม ดังเช่น พระยอดธง กรุ
อยุธยา พระนาคาม เมืองนครศรีธรรมราช นอกจากท่ีกล่าวมาแล้วยังมีพระศิลปะจีนโบราณ เรียกว่า
“พระกริ่ง” พบตามแหล่งโบราณคดีหลายแหล่งด้วยกัน และมีจานวนมากพอสมควร ในเวลาต่อมา
พระโลหะขนาดเล็กท่ีกล่าวถึงน้ีมีความต้องสูงในตลาดนักสะสมพระโบราณ เพราะเช่ือว่ามีคุณวิเศษ
ประการต่าง ๆ จนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ได้มีการสร้างพระโลหะตามแบบของโบราณ โดยหลักฐาน
ปรากฏต้ังแต่คร้ังกรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ (พ.ศ. 2352-35) ร่วมสมัยกับสมเด็จพระพุฒาจารย์
(โต พฺรหฺมรสี) ได้มีการหล่อพระขนาดเล็ก ได้แก่ พระกริ่งปวเรศขึ้น นับเป็นการสร้างประติมากรรม
พระกร่ิงคร้ังแรกของพระสงฆ์ประเทศไทยเท่าที่มีหลักฐานพบในปัจจุบัน พระกร่ิงปวเรศจาลองแบบ
จากพระกริ่งจีน อันเป็นประติมากรรมรูปพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า132 นอกจากนี้ยังมีการสร้างพระ
ปฏิมาขนาดเล็กเรียกว่า พระชัยวัฒน์ ด้วย นับเป็นจุดเริ่มต้นของการรวบรวมตาราเลขยันต์สาหรับ
สร้างพระโลหะ ซึ่งภายหลังได้รวบรวมข้ึนจนสมบูรณ์ในสมัยสมเด็จพระสังฆราช (แพ ติสฺสเทว) วัด
สทุ ศั นเ์ ทพวราราม กรงุ เทพมหานคร ดงั ทก่ี ลา่ วไวใ้ นบันทกึ การหลอ่ พระพุทธปรมาสโย ดงั น้ี

พระพทุ ธปฏิมากร พระองคผ์ ู้ทรงนามว่า พระพทุ ธปรมาสโยพระองค์นี้ พระ
ยาประเสรฐิ สุมกจิ นามเดิม เพ่ิม นามสกลุ ไกรฤกษ์ ได้สถาปนาขึ้น กอ่ นท่ีจะหลอม
หล่อเปนองค์พระพุทธปฏิมากร ได้จารึกลงเป็นอักขรถ้วนบ้าง ลงยันต์แทรกบ้าง
ทุกส่วนฤๅทุกแผ่น อักขรแลยนั ตท์ ีจ่ ารกึ ลงรวมอยูใ่ นคุณพระรัตนไตรย์ทัง้ ส้นิ ดงั น้ี

๑. ชาติสมภพฝา่ ยชนก ลงถมดว้ ย นะโมปถมธาตุ กบั สระ ๑๒ ในรัตนมาลา
๒. ชาตสิ มภพฝ่ายชนนีลงถมด้วย พยัญชนะ ๓๓ ในรัตนมาลา
๓. ชาตสิ มภพส่วนตัวผสู้ ถาปนา แบง่ ส่วนอายุกาหนด ๑๐๐ เปนเกณฑ์ เป็น
ส่วนอดีค ๑ อนาคต ๑ คานวณปีเดือนวนั เวลาชาตสิ มภพกับปีปัตยุบัน เปนปตั ยุบนั
๑ จึงค้ังเกณฑ์ชาติสมภพฝ่ายปัตยุบัน เปนปัตยุบัน ๑ จึงต้ังเกณฑ์สมภพส่วนตัว
ฝ่ายปตั ยุบนั แบง่ ออกเปน ๓ สว่ นอีกครัง้ หน่ึง
๑. อดีต ลงถมดว้ ยพระยันต์ปถมัง ส่วนวธิ ีฝา่ ยลบ

132 พระพุทธเจา้ พระองคห์ นึ่ง ตามความเชอ่ื ของพทุ ธศาสนา นกิ ายมหายาน ประทับอยู่ ณ ศุทธิไวฑูรย์
พทุ ธเกษตร มีการกล่าวถงึ ความเป็นมาของพระองคไ์ ว้ใน ไภษชั ยครุ ุมลู ปณิธานสตู ร.

160

๒. อนาคต ลงถมด้วยพระยันตป์ ถมงั ส่วนวิธฝี ่ายเกดิ
๓. ปัตยุบัน ลงถมด้วยพระยันต์ต่าง ๆ ท่ีเปนส่วนอารักขากันภยันตรายแล
เป็นมงคลแล เปนท่ีตั้งของความเจริญ
๔. ทองแดงบริสุทธิ์ ส่วนที่ทาเปน นวโลห แลทองแดงส่วนเพ่ิมเติมให้เต็ม
ตามอัตราน้าหนักนัน้ ไดแ้ บ่งออกเปน็ ๑๐๘ ส่วนแล้วลงดว้ ยพระยันต์ ๑๐๘ แลว้ ลง
ถมดว้ ยพระยันต์นะปถมงั ๑๔ นะ ตามวิธีสาหรบั หลอ่ พระไชย ครบ ๑๐๘ ส่วนแลว้
ลงด้วยอักษร พุทธคุณ, ธรรมคุณ, สังฆคุณ, ในรัตนมาลาครบทุก ๆ ส่วนอีกวาระ
หน่งึ แล้วแยกส่วนออกตามกาลงั นพเคราะห์ ๘ สว่ น ลงถมด้วยอกั ขร ในพระสุตันต
คาถาแล พระปริตต สาหรับพิธีนวคหายุศม์ ครบท้ัง ๘ ส่วน แต่ พระสูตร์แล พระ
ปริตตสาหรับพระเกตุนั้น แยกลงถมในแผ่นโลหท่ีเปนส่วนปัตยุบันของผู้สถาปนา
รวมโลหธาตุต่าง ๆ ที่ได้ลงถมแล้วน้ีรวมในท่ีแห่งเดียวกัน แล้วแยกส่วนออกเปน
๑๐๘ ส่วนอีก สมมติว่าเปนมงคล ๑๐๘ แล้วจึงแบง่ โลหธาตุ ๑๐๘ ส่วนออกเปน ๓
ส่วน ๆ หน่ึงสมมติว่าเปนธาตฝุ า่ ยชนก ลงถมด้วยอักษร ๒๑ อักษรครบทุกแผน่ โลห
ส่วนหน่ึงสมมติว่าเปนธาตุฝ่ายชนิกา ลงถมด้วยอักษร ๑๒ อักษรครบทุกแผ่นโลห
ส่วนหนึ่งสมมติว่าเปนธาตุฝ่ายบุตร คือผู้สถาปนา ลงถมด้วยอักษรพระเจ้า ๕
พระองค์ กับหัวใจพระสตั ตปกรณาภิธรรมทง้ั ๗ ไดอ้ ักษร ๑๒ ครบทกุ แผ่น กาหนด
ว่าเปนสมภพแหง่ ชาตติ ามวธิ ใี นมูลกัมมัฏฐานนั้นแล้ว จงึ ได้ทาพิธีเพอื่ สิทธิตามความ
ประสงค์สาเร็จแล้ว133

การสถาปนาพระพทุ ธปฏิมาและพระชยั วัฒนข์ นาดเลก็ ของพระยาประเสริฐ
สุมนกิจ ประกอบพิธีโดยสมเด็จพระสังฆราช (แพ ติสฺสเทว) วัดสุทัศนเทพวราราม ในขั้นตอนการลง
พระยันต์ต่าง ๆ ในแผ่นโลหะเพ่ือให้เป็นชนวนหลอมพระพุทธปฏิมา จะเห็นว่าได้ใช้ความรู้จากคัมภรี ์
ลบผงเช่นกัน โดยเฉพาะ คมั ภรี ป์ ถมงั คมั ภรี พ์ ทุ ธคณุ (รตั นมาลา) และคัมภรี ต์ รีนสิ งิ เห เปน็ หลักในการ
ประกอบพิธีลงพระยันต์และพิธีการบรรจุพระ การแบ่งโลหะท่ีใช้หล่อพระออกเป็น 108 ส่วน ลงถม
ด้วยอักขระธาตุ ฝ่ายคุณบิดา 21 อักษร อักขระธาตุฝ่ายคุณมารดา 12 อักษร ซึ่งอักขระเหล่าน้ีแทน

133พระยาประเสริฐศภุ กิจ, พธิ ีสถาปนา พระพทุ ธปรมาสโย (เอกสารไมต่ พี ิมพ์เผยแพร่),หน้า 2-4.

161

ธาตุในกายซ่ึงจัดเป็นธาตุดินและธาตุน้า(ดูเพิ่มในบทท่ี 3) ส่วนธาตุฝ่ายบุตร คือผู้สถาปนา ลงถมด้วย
อักษรพระเจา้ 5 พระองค์ กับหวั ใจพระอภธิ รรมทั้ง 7 คมั ภีร์ นอกจากการลงแผน่ พระยันต์ท่ีเป็นโลหะ
แล้ว ยังมีพระยันตต์ ่าง ๆ ท่ีลงในผ้าแพรสาหรับบรรจฐุ านพระ ดงั ทก่ี ลา่ วว่า

แพรสีเหลืองทอง นิยมว่าเปนสีพระเกตุ ลงด้วยพระยันต์นวโลกุตตรธรรม
แพรสีแดงปัทมราช นิยมว่าเปนสีพระอาทิตย์ ลงด้วย พระยันต์ปถมังพระเจ้า ๕
พระองค์ แพรสีขาว นิยมว่าเปนสีพระจันทร์ ลงด้วยพระยันต์ปทุมจักร แพรสีชมพู
นิยมว่าเปนสีพระอังคาร ลงด้วยพระยันต์รัตนไตรย์ แพรสีเขียว นิยมว่าเปนสีพระ
พุธ ลงด้วยพระยันต์จตุราริยสัจจ์ แพรสีม่วงดา นิยมว่าเป็นสีพระเสาร์ ลงด้วยพระ
ยันต์พุทธคุณทั้ง ๗ แพรสีเหลือง (หงษบาท) นิยมว่าเปนสีพระพฤหัส ลงด้วยพระ
ยันต์พระภควัมบดีทั้ง ๕ แพรสีสัมฤทธิ์ นิยมว่าเปนสีพระราหู ลงด้วยพระยันต์ชฎา
มหาพรหม แพรสีน้าเงิน (เลื่อมประภัศร) นิยมว่าเปนสีพระศุกร์ ลงด้วยพระยันต์
องครักษก์ ับยันต์จตุโร134

พระยันต์ท่ีใช้ลงแพรสสี าหรบั บรรจุไวใ้ นพระพุทธปฏิมาองคใ์ หญ่เหล่าน้ีเปน็
ของสมเด็จพระพนรตั วัดป่าแก้ว กรุงเก่า ตกทอดมาถึงสมเด็จกรมพระปรมานุชิตชโิ นรสฯ วดั พระเชตุ
พน ภายหลังสมเด็จพระอริยวงษาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (แพ ติสฺสเทว) วัดสุทัศนเทพวราราม
ทรงได้คัดลอกพระยันต์ชุดนี้ต่อมา ทั้งทรงใช้ในการหล่อพระพุทธปฏิมากร พระกริ่งและพระชัยวัฒน์
ของพระองค์ โดยเรียกพระยันต์ชุดน้วี ่า “พระยันต์ 108 และ นะปถมัง 14”135 ยันตท์ ่ีใช้ลงผ้าแพรใน
การบรรจุพระพุทธปรมาสโย ใช้องค์ความรู้ท่ีได้จากคัมภีร์ตรีนิสิงเหหลายยันต์ด้วยกัน ดังเช่น ยันต์

134 เร่ืองเดียวกนั , หนา้ 13-14.
135 พระยันต์ 108 ประกอบด้วย พระยันต์ปทุมจักร 5 ดวง พระยันต์ภควัมบดี 5 ดวง พระยันต์ไตร
สรณาคมน์ 3 ดวง พระยนั ต์พระนวโลกุตตรธรรม 1 ดวง พระยันต์พระพุทธคุณ 7 ดวง พระยนั ต์พระเจ้า 5 พระองค์
5 ดวง พระยนั ตจ์ ตรุ ารยิ สจั 2 ดวง พระยันตร์ ัตนไตร 1 ดวง พระยนั ตจ์ กั รสริ โลก 9 ดวง พระยันต์มงกฎุ พระพุทธเจ้า
1 ดวง พระยันต์บารมี 30 ทัศ 1 ดวง พระยันต์มหาละลวย 2 ดวง พระยันต์ปถมังพระเจ้า 5 พระองค์ 5 ดวง พระ
ยันต์องครักษ์ 4 ดวง พระยันต์โสฬสมงคล 1 ดวง พระยันต์ฆะเฏสิ 1 ดวง พระยันต์จตุโร 1 ดวง พระยันต์ชฎาพระ
พรหม 1 ดวง พระยันต์นวภา 25 ดวง พระยันต์วิปัสสี 28 ดวง ส่วน นะ ปถมัง 14 ประกอบด้วย นะบังสมุทร นะ
นาคบาศ นะวชิราวุธ นะทน นะกาจาย นะปรีชาทกุ ทศิ นะครอบจกั รวาล นะบังไตรภพ นะบังเมฆา นะสะท้าน(แผ่น)
ดินไหว นะกาจดั นะปดิ นะปดิ อากาศและนะลอ้ ม.

162

พระนวโลกุตตรธรรม ยนั ต์ปทุมจักร ยันตช์ ฎาพรหม ยันต์ที่กล่าวถึงนี้มีการใชอ้ ัตราทวาทสมงคล หรือ
หัวใจย่อพระคาถาต่าง ๆ ซึ่งล้วนต้องอาศัยความรู้จากคัมภีร์ตรีนิสิงเหเป็นบาทฐาน จึงสามารถเข้าใจ
วิธที าและที่มาของยันตท์ เ่ี ปน็ อตั ราเลขและหัวใจได้

รูปท่ี 4.15 ยนั ต์ปทมุ จกั ร 5 ดวง
ท่ีมา: สมุดไทยดา เส้นหรดาร ยนั ต์สาหรับหลอ่ พระชยั วฒั น์
ความรู้ในคัมภีร์ตรีนิสิงเหไม่เพียงมีความสาคัญในขั้นตอนการลงแผ่นชนวน
และการลงแพรสีบรรจุฐานพระเท่านั้น แม้แต่โรงพิธีสาหรับหล่อพระล้วนต้องอาศัยองค์ความรู้จาก
คัมภีร์เล่มน้ี โรงพิธีมีการกาหนดแบบแผนไว้อย่างชัดเจน โดยให้มีการจัดวางราชวัตรฉัตรธงท้ัง 4 มุม
มีต้นกล้วยต้นอ้อยผูกรวมเอาไว้กับคันฉัตร มีการโยงสายสิญจน์ซึ่งโยงมาจากพระประธานในพระ
อุโบสถ ออกมาท่ีด้านนอกล้อมรอบโรงพิธีสาหรับใช้ทาการหล่อพระของช่างต้ังแต่เร่ิมต้นจนจบ เพ่ือ
เป็นการป้องกันภูตผีปีศาจตลอดจนเทวดามิจฉาทิฐิจะมาทาลายพิธี จึงกาหนดให้มีการแขวนยันต์
อัตราเลข 10 ยันต์ไว้ 8 ทิศและด้านบนและล่าง ยันต์ทั้ง 10 ดวง ประทับหลังด้วยยันต์กาบังรถพระ
อิศวร ยันต์โสฬสมหามงคล ยันต์ตรีนิสิงเห ยันต์พระเสมา ดังที่กล่าวไว้ใน คัมภีร์พระเวทฉัฏฐบรรพ
ดงั น้ี
พระยันต์ลงแขวนทั้ง 10 ทิศน้ี ลงให้ได้ 10 ยันต์ ให้ประทับหลังยันต์ด้วย
ยันตก์ าบงั รถพระอศิ วร ยนั ตโ์ สฬสมหามงคล ยนั ต์ตรนี สิ ิงเห ยนั ต์พระเสมา ประทับ
จงถ้วน 10 ยันต์เถิด แล้วเอาไปแขวนไว้ตามทิศเมื่อจะทาการพิธีทั้งปวง กันสรรพ
ภัยวิเศษนักแล136

136 เทพย์ สาริบุตร, คัมภรี พ์ ระเวทฉัฏฐบรรพ, หน้า 151.

163

ยันต์ทั้ง 10 ดวงลงด้วยเลขจานวน 16 ตัว มีองค์พระและอักขระหัวใจ
พระพุทธเจ้า 5 พระองค์และรูปองค์พระอยู่กงึ่ กลางยันต์ ชุดตัวเลขในตารางยันตแ์ ต่ละดวง ผลบวกใน
ตารางยันต์ได้เท่ากันทุกด้าน รวมทั้งในด้านทแยงมุมด้วย ถึงแม้ว่าผลบวกของแตล่ ะแถวและตอนของ
ยันต์เหล่านี้จะบวกไดเ้ ท่ากันแต่ยังไม่จัดว่าเป็นยันต์ท่ีมาจากจัตุรัสกล (ดูเพ่ิมในบทที่ 3) แต่ยันต์กาบงั
รถพระอิศวรมีการใช้เลขจากยันต์ จตุโรแต่วางตาแหน่งต่างกันออกไป โดยสลับเลขชุดบนล่างไม่
เหมอื นยนั ตจ์ ตุโรแบบทั่วไป รูปทท่ี ้ายยนั ต์มีการเขียนเลข 1- 7 เอาไว้ ผู้วจิ ยั สนั นิษฐานวา่ เลขดงั กลา่ ว
ใช้แทนดาวสัปตเคราะห์ ส่วนการเขียนโดยสลับชุดตัวเลข อาจเป็นเพราะต้องการให้ยันต์มีอานุภาพ
ในทางคุ้มครองป้องกัน อย่างไรก็ตามการสลับที่ตัวเลขในยันต์กาบังรถพระอิศวรไม่ได้ทาให้ค่าผลรวม
ของเลขแต่ละด้านของยันต์เปล่ียนไป แสดงให้เห็นว่าค่าผลรวมของเลขหรือที่ในทางคณิตศาสตร์
เรียกว่า “ค่าคงตัวเลขกล” มีผลตอ่ ความเช่ือในด้านความศักดส์ิ ิทธ์ใิ นระบบยันต์ของไทย ยันต์อีกสาม
ยันต์ท่ีใช้ประทับหลังยันต์สาหรับแขวน คือ ยันต์โสฬสมหามงคลและยันต์ตรีนิสิงเหเป็นยันต์ท่ีมีที่มา
จากคัมภีร์ตรีนิสิงเหโดยตรง ยันตพ์ ระเสมาเปน็ ยันต์รูปภาพ มีเลขที่มาจากคัมภีร์ตรีนิสิงเหลง ประทับ
อยูใ่ นรูปยันต์ ดังนั้นยนั ตช์ ดุ น้จี งึ อาศยั องค์ความรูท้ ี่มาจากคัมภีร์ตรีนิสงิ เหเปน็ หลกั ท้งั สนิ้

4.3.5.3 การสร้างเครือ่ งรางของขลัง
เคร่ืองรางของขลังเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับสังคมไทยมาช้านาน ในบรรดาเครื่องราง

ของขลังท่ีไดร้ ับความนิยม ได้แก่ ตะกรุด มีลักษณะเปน็ แผ่นโลหะบางๆ อาจทาด้วย ทองคา เงิน นาก
ตะกัว่ หรอื โลหะผสมอ่ืน ๆ นามาลงอักขระเลขยันต์ด้วยเหล็กจารใหเ้ ป็นเสน้ ลกึ ลงไปในเน้อื โลหะ แลว้
ม้วนให้เป็นท่อกลมโดยมีช่องว่างตรงแกนกลางสาหรับร้อยเชอื กติดตัว หากเป็นตะกรุดที่ใช้เดี่ยว เรียก
ตะกรุดโทน หากใช้เป็นคู่ เรียกว่า ตะกรุดคู่ ส่วนท่ีใช้มากกว่าสองดอกขึ้นไปเรียกตะกรุดชุด อาจมี 3
ดอก 5 ดอก 9 ดอก จนถึง 108 ดอก ตะกรุดท่ีใช้ความรู้จากคัมภีร์ตรีนิสิงเหและเป็นที่รู้จักในหมู่นัก
นิยมสะสมพระเคร่ืองและเคร่ืองรางของขลัง ทั้งกลุ่มที่นิยมในพุทธคุณและกลุ่มท่ีสะสมเชิงพาณิชย์
ได้แก่ ตะกรุดโสฬสมงคลของหลวงปู่เอี่ยม ปฐมนาม (พ.ศ.2359 - 39) อดีตเจ้าอาวาสวัดสะพานสูง
จังหวัดนนทบุรี ตะกรุดของท่านถือว่าเป็นตะกรุดอันดับหน่ึงของนักนิยมสะสมเคร่ืองรางของขลัง สืบ
ทอดมายังลูกศิษย์ คือ พระครูโศภณศาสนกิจ (กลิ่น จนฺทรสี พ.ศ. 2408 - 90) และหลวงปู่กลิ่นได้
ถ่ายทอดความรู้นี้ให้แก่พระครูนนทกิจโสภณ (ทองสุข อินฺทสาโร พ.ศ. 2446 - 25) ภายหลังตกมา
ทอดมายังนายเกรียงศักดิ์ เทศกมทรัพย์ ซ่ึงเคยอุปสมบทอยู่กับหลวงปูก่ ลน่ิ ท่ีวดั สะพานสูง ต่อมานาย

164

มนัส สิวาภิรมรัตน์ ได้คัดลอกต่อจากนายเกรียงศักดิ์ และมอบให้กับนายอธิโรจน์ เจริญจิรฐากรณ์ ใน
ตารามีสตู รลงยันตโ์ สฬสมงคล โดยลงเลขเปน็ สามช้นั ช้ันนอกสดุ ลงดว้ ย เลขโสฬส โดยใช้สูตรลงดงั นี้

สูตรลงโสฬส โสฬสมังคะลัญเจวะ ๑๖ นะมะนะอะ นอกอนะกะ กอออ
นออะ นะอะกะอัง นะวะโลกุตตะระธัมมา ๙ อะระหัง สุคะโต ภะคะวา จัตตาโร
มหาทีปา 4 จะภะกะสะ ปัญจะพุทธามหามุนี ๕ นะโมพุทธายะ ติปิฏะกะธัมมัก
ขันธา ๓ มะอะอุ ฉ้อกามาวะจะราเจวะ ๖ จาตายาตุนิปะ ปัญจะทะสะภะวานิจจัง
๑๕ พุทธะสังมิ ปะสิสะ อิกะวิติ จะอะภะคะ ทัสสะสีละมหันตะพะลัง ๑๐ เตชะ
สุเนมะภูจะนาวเิ ว เตระสะธุตังคะวะรงั ๑๓ อหนั ตโิ ก ภูตากังเก ทีมะสงั องั ขุ ทวาระ
สะปาฏิหาริยัง ๑๒ สังวิธาปุกะยะปะ อาปามะจุปะ เมรุเอกะเภกัญเจ ๑ มิ สุรา
อัฏฐะมหิทธิการะ ๘ พามานาอุกะสะนะทุ ทะเวจันโทจะสุริโยจะ ๒ พุทโธ สัตตะ
โพชฌังคานะมุตตะมัง ๗ สะธะวิปปิ ะสะอุ จตุตทัสสะจักกะวัตติจะ ๑๔ เวสสะพสุ ะ
กาละมัจจุ อิสวาสุ สุสวาอิ เอกะทะสะวิษณุเทวา ๑๑ จิปิเสคิ คิเสปิจิ มะอะอุ สูตร
ลงตรีนิสิงเห ตรีนิสิงเห ๓ มะอะอุ สัตตะนาเค ๗ สะธะวิปิปะสะอุ ปัญจะเพชรฉลู
กัญเจวะ ๕ อาปามะจปุ ะ จตเุ ทวา ๔ นะมะพะธะ ฉวชั ราชา ๖ อสิ วาสุ สุสวาอิ ปญั
จะอินทะรานะเมวะจะ ๕ อาปามะจุปะ เอกะยักขา ๑ มิ นะวะเทวา ๙ อะสังวิสุโล
ปุสะพุภะ ปัญจะพรหมาสะหะบดี ๕ สะหะชะตะตรี ทะเวราชา ๒ พุทโธ อัฏฐะอะ
ระหันตา ๘ พามานาอุกะสะนะทุ ปัญจะพุทธานะมามิหัง ๕ นะโมพุทธายะ สูตร
ลงจตั ตโุ ร จตั ตโุ ร ๔ นะมะพะธะ นะวะโม ๙ อะสังวสิ โุ ลปุสะพุภะ ทะเวโช ๒ พุทโธ
ตรีนิ ๓ มะอะอ(ุ มรี อยขดี ฆา่ ) สตั ตะ ๗ สะธะวิปิปะสะอุ ฉอ้ จะ ๖ อิสวาสุ สุสวาอิ เอ
กะ ๑ มิ อัฏฐะ ๘ พามานาอุกะสะนะทุ ตรีนิ ๓ มะอะอุ ปัญจะพุทธามหามุนี ๕
นะโมพทุ ธายะ137

เมื่อวิเคราะห์สูตรที่ใช้ลงตะกรุดโสฬสมงคล ตารับหลวงปู่เอ่ียม วัดสะพาน
สูงจะเห็นไดว้ ่า การเรียงลาดับเลขโสฬสมงคลและเลขทวาทสมงคลเหมือนกับการเรียงเลขในคมั ภรี ต์ รี
นิสิงเหทุกประการ แต่เลขในยันต์ชั้นในสุดคือยันต์จตุโรมีความแตกต่างกันในบางแห่ง เม่ือวิเคราะห์

137 มนสั สิวาภริ มรัตน,์ วิธีทาตะกรุดโสฬสมงคล ตารบั วดั สะพานสูง, (เอกสารไม่พมิ พเ์ ผยแพร)่ .

165

ยันต์โสฬสมงคลท่ีใช้ลงตะกรุดกลับลงได้อย่างถูกต้อง ผู้วิจัยสันนิษฐานว่าอาจมีความคลาดเคลื่อน
เนื่องจากการถ่ายทอดด้วยวิธีมุขปาฐะในตอนแรกและการลอกต่อ ๆ กันมา คาถาท่ีใช้ลงมีความ
แตกต่างกันเล็กน้อย (ดูในภาคผนวก) มีข้อน่าสังเกตท่ีว่าโดยทั่วไปเลขโสฬสมงคลน้ันจะไม่มีการเติม
คาถาหัวใจท่ีสอดคล้องกับตัวเลข แต่ในตาราลงตะกรุดโสฬสมงคลมีการเติมคาถาหัวใจต่าง ๆ ลงไป
ด้วย โดยให้มจี านวนพยางค์ทสี่ อดคลอ้ งกับอตั ราเลข

4.3.5.4 เหรยี ญพระพุทธและพระคณาจารย์
เหรียญรูปเหมือนเป็นวัตถุมงคลท่ีมีการใช้เครื่องจักรในการสร้างเพ่ือให้ได้

จานวนเพียงพอต่อความต้องการของผู้ที่ต้องการบูชา ในเบื้องต้นการสร้างวัตถุมงคลต่าง ๆ ไม่ว่าจะ
เป็นพระพิมพ์หรือเครื่องรางของขลังประเภทตะกรุดและผ้ายันต์ทาด้วยมือ เม่ือมีความต้องการเพิ่ม
มากขึ้นย่อมไม่สามารถทาได้เพียงพอต่อความต้องการ จึงมีการใช้เคร่ืองจักรแทน โดยทาเป็นเหรียญ
มีท้ังเหรียญพระพุทธและเหรียญพระคณาจารย์ เหรียญพระพุทธเหรียญแรกทส่ี รา้ งข้ึนในประเทศไทย
คือ เหรียญพระพุทธชินสีห์ วัดบวรนิเวศวิหาร สร้างข้ึนใน ปี พ.ศ. 2440138 ส่วนเหรียญพระสงฆ์
เหรียญแรกของประเทศไทย คือ เหรียญพระพุทธวิริยากร วัดสัตตนารถปริวัตรกร จ.ราชบุรี สร้างข้ึน
ในปี พ.ศ. 2458139 โดยปกติเหรียญเหล่านี้จะมีการประทับยันต์เอาไว้ ยันต์ตรีนิสิงเหและยันต์โสฬส
มงคลเป็นยันต์ท่ีได้รับความนิยมสูงมาก ในการนาไปประทับไว้บนเหรียญเหล่าน้ัน ดังเช่น เหรียญ
มงคลถาวร หลวงปู่ทอง วดั ราชโยธา เหรียญหลวงปขู่ าว วัดหลักสี่ ปี พ.ศ. 2469 เหรยี ญหลวงพอ่ ยอด
วัดหนองปลาหมอ ปี พ.ศ. 2471 เหรียญหลวงพ่อบตุ ร วดั ใหม่บางปลากด ปี พ.ศ. 2489 เหรียญพระ
ราชสังวราภิมณฑ์ (โต๊ะ อินฺทสุวณฺโณ) ปี พ.ศ. 2510 เหรียญหลวงปู่เหรียญ วัดบางระโหง ปี พ.ศ.
2516

จากการศึกษาพบว่า คัมภีร์ตรีนิสิงเหมีอิทธิพลอย่างสูงต่อสังคมไทยหลายด้าน ท่ีเห็นได้ชัด
คือ ด้านวิทยาการโบราณ ด้านศาสนาและความเชื่อ ด้านประเพณีและวัฒนธรรม ในเบ้ืองต้น
การศึกษาคัมภีรต์ รนี สิ ิงเหจากดั อยูใ่ นหมูพ่ ระภิกษุสงฆแ์ ละสานศุ ษิ ยท์ เ่ี ป็นผู้ชาย เนื่องจากทาการศกึ ษา
เล่าเรียนกันภายในวัด และผู้ถ่ายทอดความรู้เป็นพระสงฆ์ มีเพียงวรรณคดีเร่ืองขุนช้างขุนแผนท่ี

138 อรรถวัติ ศริ สิ ทิ ธิธงไชย, เหรียญยอดนิยม อมตะแดนสยาม (กรงุ เทพ : จูปิตสั ,มปพ), หน้า 23.
139 อรรถวัติ ศริ ิสทิ ธธิ งไชย, เหรียญยอดนิยม อมตะแดนสยาม ๓ (กรงุ เทพ : จปู ติ สั ,มปพ), หนา้ 43.

166

ปรากฏหลักฐาน ว่า ผู้หญิงมีความแตกฉานในคัมภีร์ลบผงและวิชาไสยศาสตร์ คือ นางทองประศรี
ความรู้หลักในคัมภีร์ยังถูกนามาใช้ในการสงคราม และการสร้างเคร่ืองรางของขลังที่มีคุณในการ
ป้องกัน นอกจากองค์ความรู้ท่ีเก่ียวกับชนชั้นปกครองและพระสงฆ์แล้ว ยังเก่ียวข้องกับวิถี
ชีวิตประจาวัน พิธีกรรมต่าง ๆ ในชีวิต การเกิด การตั้งศาลพระภูมิ รวมถึงการรักษาโรคภัยไข้เจ็บ
การรักษาคุณไสย ซ่ึงล้วนแต่เกี่ยวข้องกับคัมภีร์ตรีนสิ ิงเหท้งั ทางตรงและทางออ้ ม จึงนับไดว้ ่าคัมภีร์ตรี
นสิ ิงเหมบี ทบาทสาคัญมาโดยตลอด ตง้ั แตอ่ ดตี จนถึงปัจจบุ ัน จนมาถึงการสร้างวัตถุมงคล ไมว่ ่าจะเป็น
การสร้างในวงจากัดและขยายตัวในเชิงพาณิชย์ท่ีสร้างตามความต้องการของตลาด ล้วนแล้วแต่อิง
อาศัยองค์ความรู้จากคัมภีร์ตรีนิสิงเห ท้ังโดยตรงและโดยอ้อม ไม่ว่าจะเป็น การใช้อัตราเลข หัวใจ
คาถา คลอดจนถึงพิธีกรรม อุปเท่ห์การใช้ และยังมีการใช้โดยอ้อม เป็นการใช้องค์ความรู้สาเร็จรูป
โดยปราศจากกรรมวธิ ที ี่ถกู ตอ้ ง เพยี งแต่ใช้รูปยันต์ หรือตารางเลขกลแบบต่าง ๆ ท่กี ลา่ วมานแ้ี สดงให้
เห็นถึงบทบาทของคมั ภีรต์ รนี สิ ิงเหทม่ี ีตอ่ สงั คมไทยมาโดยตลอดหลายศตวรรษ

บทท่ี 5

สรุป และข้อเสนอแนะ

5.1 สรปุ ผลการวจิ ัย

คัมภีร์ตรีนิสิงเหเป็นคัมภีร์ท่ีมีความสาคัญต่อการศึกษาวิชาเลขยันต์ของชาวไทยโบราณ
การศึกษาเลขยันต์มีแบบแผนท่ีชัดเจน โดยจะต้องศึกษาคัมภีร์ลบผงเสียก่อน เพราะหากขาดความรู้
พื้นฐานจากคัมภีร์ลบผง ก็จะไม่สามารถเข้าใจองค์ประกอบต่าง ๆ ท่ีใช้ในระบบเลขยันต์ไทยได้
โดยเฉพาะคมั ภรี ต์ รีนสิ ิงเห ท่ีมอี งคค์ วามรปู้ ระการท้ัง เลข กลเลข หวั ใจ และสัญลกั ษณ์

คมั ภรี ์ตรนี ิสิงเหเป็นคมั ภีร์ลบผงท่ีพบต้นฉบบั นอ้ ยมาก อีกทั้งการสืบทอดองค์ความรู้ก็แทบจะ
ไม่มีหลงเหลือ เนื่องจากต้นฉบับส่วนใหญ่เขียนดว้ ย ภาษาไทยโบราณ เนื้อหาในส่วนที่เป็นมนต์คาถา
ใช้ตัวอักษรขอม ภาษาบาลี และตัวอักษรขอม ภาษาไทย ทาให้ยากต่อการอ่านให้เข้าใจได้โดยตลอด
ดังนั้นจึงได้ดาเนินการปริวรรตและวิเคราะห์เนื้อหาคัมภีร์ตรีนิสิง ทั้ง 6 สานวน โดยเกณฑ์เน้ือหา
โครงสร้างแบ่งเป็น 5 ส่วน เพื่อให้ง่ายต่อผู้ที่จะศึกษาค้นคว้าในโอกาสต่อไป โดยผู้วิจัยพบว่าเน้ือหา
ของคัมภีร์ตรีนิสิงเหแต่ละสานวนมีองค์ประกอบไม่เท่ากัน ซึ่งใช้ในการพิจารณาความสมบูรณ์ด้าน
เน้อื หาของแตส่ านวน ดังน้ี

สานวน ก เป็นสานวนที่มีอายุเก่าแก่ท่ีสุด และมีความสมบูรณ์ของเนื้อหามากท่ีสุด
ประกอบด้วยเน้ือหา 4 ส่วน ได้แก่ 1. การทาอัตราเลขทวาทสมงคล 2. ความหมายของอัตราเลข
ทวาทสมงคล 3. การคูณ หารอัตราทวาทสมงคล 4. อปุ เท่หว์ ธิ ีการนาเอาผงตรีนสิ งิ เหและยันต์ท่ีได้ไป
ใช้

สานวน ข เป็นสานวนท่ีคัดลอกมาจากต้นฉบับเก่าของพระสมุห์เฉ่ือย วัดสังเวช บางลาพู
ได้มาจากหลวงคชริษฐ์(ไผ่) ประกอบด้วยเน้ือหา 4 ส่วน ได้แก่ 1. คุณสมบัติของผู้ท่ีจะศึกษาและบท
นมัสการครู 2. การทาอัตราเลขทวาทสมงคล 3. การคูณ หารอัตราทวาทสมงคล 4. อุปเท่ห์วิธีการ
นาเอาผงตรีนิสิงเหและยันต์ที่ได้ไปใช้ คัมภีร์ตรีนิสิงเหสานวนนี้จึงเป็นสานวนเดียวที่มีเน้ือหาในส่วน
คุณสมบตั ิของผู้ท่จี ะศกึ ษาและบทนมสั การครู

168

สานวน ค เป็นสานวนที่คัดลอกมาจากต้นฉบับของพระสมุห์เฉ่ือย วัดสังเวช บางลาพู ได้มา
จากหมอบุญ มเี น้ือหา 2 สว่ น ไดแ้ ก่ 1. การทาอตั ราเลขทวาทสมงคล 2. การคูณ หารอตั ราทวาทสมง
คล อย่างไรก็ตามถึงแม้วา่ คัมภีร์ตรีนสิ ิงเหสานวนนี้จะมีเน้ือหาเพียง 2 ส่วน แตก่ ารทาอัตราทวาทสมง
คลและการยกเลขเขา้ ในยนั ต์ไมเ่ หมือนสานวนอน่ื ใด

สานวน ง เป็นสานวนท่ี หลวงภกั ดอี ดศิ ัย (ปาน วิมุกตกุล) บนั ทึกเมื่อ ปี พ.ศ. 2481 สามารถ
ใช้เทียบเคียงเนื้อหากับ คัมภีร์ตรีนิสิงเห สานวน ก ได้ เน่ืองจากมีเน้ือหาท่ีใกล้เคียงกันมาก แต่น่า
เสียดายที่ต้นฉบับขาดหาย ไม่สมบูรณ์ เหลือเน้ือหาเพียง 2 ส่วนเท่าน้ัน ได้แก่ 1. การทาอัตราเลข
ทวาทสมงคล 2. ความหมายของอตั ราเลขทวาทสมงคล

สานวน จ เป็นสานวนของ พระครูพิศาลสมุทรคุณ(หลา สุขวโร) อดีตเจ้าอาวาสวัดบางคณฑี
ใน จังหวัดสมุทรสงคราม หนึ่งในพระเกจิอาจารย์ผู้มีชื่อเสียงของจังหวัดนี้ เป็นสมบัติตกทอดของวัด
และเคยได้ถูกใช้งานจริงในสมัยของท่าน คัมภีร์ตรีนิสิงเหฉบับนี้ ประกอบด้วยเนื้อหา 3 ส่วน ได้แก่
1. การทาอัตราเลขทวาทสมงคล 2. การคูณ หารอัตราทวาทสมงคล 3. อุปเท่ห์วิธีการนาเอาผง
ตรนี ิสิงเหและยันตท์ ี่ไดไ้ ปใช้

สานวน ฉ เป็นสานวนที่เคยเป็นสมบัติของผู้เป็นอาจารย์คนสาคัญของวงการการศึกษาเลข
ยันต์ของไทยถึงสามรุ่น คือ อาจารย์เจรียญ ไม่ทราบนามสกุล ศิษย์อาวุโสของอาจารย์เทพย์ สาริก
บตุ ร มอบให้อาจารย์พิทยา ประทีปะเสน ต่อมาอาจารย์ชาตรี ศิววฒั น์ ได้ขอทาสาเนาไปอีกทอดหนึง่
ประกอบด้วยเนื้อหา 3 ส่วน ได้แก่ 1. การทาอัตราเลขทวาทสมงคล 2. การคูณ หารอัตราทวาท
สมงคล 3. อุปเท่ห์วิธีการนาเอาผงตรีนิสิงเหและยันต์ที่ได้ไปใช้ อย่างไรก็ตาม วิธีการต้ังหารอัตรา
ทวาทสมงคลที่มีในสานวนนี้ ไมพ่ บในทีอ่ ื่นใดเลย เปน็ การต้งั หารคลา้ ยกับวธิ ีการทาเลขฐาน

ถึงแม้ว่าคัมภีร์ตรีนิสิงเหทั้ง 6 สานวน จะไม่ได้มีเน้ือหาท่ีเหมือนกันทุกประการ และไม่
สามารถเทียบกันแบบคาต่อคาได้ เพราะการศึกษาแบบโบราณสืบทอดกันแบบมุขปาฐะภายในสานัก
ต่อมาเมื่อมีการจดบันทึกเป็นเป็นลายลักษณ์ ก็เขียนข้ึนตามความเข้าใจของผู้บันทึก เน้ือหาในคัมภีร์
จงึ มีลกั ษณะท่ีเปน็ การบนั ทกึ เน้อื หาสาคญั เพอื่ ปอ้ งกันการหลงลมื มากกว่าทีจ่ ะเปน็ ตาราทีม่ ีความเป็น
แบบแผน อีกท้ังองค์ความรู้ที่สืบทอดไปยังลูกศิษย์ของแตล่ ะสานักมีรายละเอยี ดท่ีแตกต่างกัน มีเพียง
โครงสร้างและแนวคิดท่ีเปน็ ไปในทานองเดียวกัน นอกจากนี้ ความรู้ในคัมภรี ์น้ี บางส่วนเป็นความรู้ที่

169

สงวนไว้เฉพาะ เนื่องจากหากตกไปอยู่กับผู้ที่ไม่มีศีลธรรม อาจนาความรู้ไปใช้ในทางมิชอบ ดังน้ัน
เนื้อหาบางส่วนจึงถูกพรางเอาไว้ หากไม่ได้รับการถ่ายทอดโดยตรงก็ยากที่จะเข้าใจได้ รวมท้ังเน้ือหา
บางส่วนที่ถูกลบไป โดยเฉพาะเน้ือความท่ีเป็นพิธีกรรมและคาถาสาคัญ เพราะไม่ต้องการให้ความรู้
กระจายออกไป อย่างไรก็ตาม การแต่ง คัดลอกคัมภีร์ตรีนิสิงเห และการสืบทอด มีจุดมุ่งหมาย .
เพื่อให้พระภิกษุและฆราวาส ไดใ้ ชเ้ รียนและใช้ฝกึ ฝน เพื่อให้เกิดความชานาญ สามารถนาไปใช้ในการ
ทายันตต์ ่าง ๆ ได้ และ เพ่ือเปน็ คู่มือในการประกอบพิธีกรรม และสร้างเปน็ เคร่ืองรางของขลัง ซ่ึงเป็น
เครือ่ งยดึ เหนีย่ วจิตใจของคนทว่ั ไป

คมั ภรี ์ตรีนสิ ิงเหมคี วามสาคัญมาก เป็นส่ิงทีส่ ามารถยืนยนั ถึงพฒั นาการความรู้ในศาสตร์ต่าง ๆ
ของชาวไทยโบราณ ถือวา่ เปน็ บันทกึ วิทยาการทท่ี รงคณุ คา่ และมบี ทบาทต่อสังคมไทยหลายด้าน ดงั นี้

1. คุณค่าด้านคณิตศาสตร์โบราณ คัมภีร์เล่มนี้เป็นคัมภีร์ไสยศาสตร์เพียงเล่มเดียวที่มีการใช้
ระบบคณิตศาสตร์ท่ีมีความซับซ้อน เช่น การใช้ค่าคงตัวกล ในการสร้างยันต์ตัวเลข และการหารท่ีมี
ลกั ษณะคล้ายกบั การทาเลขฐาน

2. คุณค่าด้านความรู้เก่ียวกับดวงดาวและโหราศาสตร์พ้ืนฐาน โดยเนื้อหาในคัมภีร์กล่าวถึง
เลขท่ีใช้แทนดวงดาวและเลขกาลังดาว นอกจากน้ีตารางยันต์ตรีนิสิงเหยังพัฒนามาจากรูปแบบดวง
ลัคนา ซงึ่ มีที่มาจากการเดนิ ทางของดวงอาทิตย์ ตามแนวเส้นสรุ ิยวถิ ี

3. คุณค่าด้านไสยศาสตร์ อันเป็นความเช่ือในเรื่องเหนือธรรมชาติ การลงอักขระเลขยันต์
คาถาอาคม และการสร้างเคร่ืองรางของขลัง สิ่งเหล่าน้ีมีความผูกพันกับวิถีชีวิตของคนไทยนับจาก
อดีตจนถึงปัจจุบัน คัมภีร์ตรีนิสิงเหแสดงให้เห็นถึงความเช่ือเรื่องไสยศาสตร์ของชาวไทยโบราณเป็น
อย่างดี ต้งั แตช่ าวบ้านธรรมดาท่ัวไป จนถึงชนชั้นปกครอง รวมถึงการสืบทอดความเชื่อดังกล่าวมาจน
ยุคปจั จุบัน

4. คุณค่าด้านอักษรศาสตร์ คัมภีร์ตรีนิสิงเหมีการใช้ภาษาท่ีมีลักษณะเด่น คือ ใช้ตัวอักษร
ขอม ภาษาบาลี ซึ่งชาวไทยโบราณถือว่า ตัวอักษรขอมเป็นอักษรศักด์ิสิทธิ์ และภาษาบาลีก็ถือว่า
ศกั ด์สิ ิทธ์เิ ชน่ กัน ดังนน้ั คาถาทใ่ี ช้ในคัมภรี ์เล่มน้ีรวมถึงคัมภีรเ์ ลขยันตอ์ ่นื ๆ จึงเขียนด้วยตัวอักษรขอม
ภาษาบาลี ซ่ึงทาให้ทราบถึงคตินิยมของคนสมัยนั้น ในส่วนของภาษาไทย คัมภีร์ตรีนิสิงเห สานวน ก
มีการใช้พยัญชนะ สระ วรรณยุกต์ รวมถึงคาศัพท์ต่าง ๆ แตกต่างจากภาษาปัจจุบัน แสดงให้เห็นถึง

170

รูปแบบภาษาที่ชาวไทยโบราณใช้ นอกจากนี้ยังมีคาศัพท์ท่ีเกี่ยวข้องกับไสยศาสตร์จานวนมาก เช่น
คาบ ผงดินสอ พิรอด หัวโขมด ฯลฯ ซ่ึงมีการศึกษาค้นคว้าคาเหล่าน้ีน้อยมาก ทั้งที่คาเหล่านี้บางคร้ัง
ปรากฏในวรรณกรรมไทย ซึ่งเป็นการยากท่ีจะเข้าใจ เม่ือศึกษาคัมภีร์ตรีนิสิงเหสามารถเข้าใจคาใน
วิชาเลขยันตแ์ ละไสยศาสตร์ได้ ส่ิงเหลา่ นี้ย่อมแสดงให้เห็นคณุ คา่ ดา้ นภาษาศาสตร์ของคัมภรี ์ตรนี ิสิงเห
ไดด้ ยี ิง่

5. คุณค่าด้านศาสนา คัมภีร์ตรีนิสิงเห แม้ว่าจะเป็นตาราเกี่ยวกับเวทมนต์ไสยศาสตร์ และ
การสร้างเคร่ืองรางของขลัง แตม่ ีการแทรกคาสอนด้านศาสนา ได้แก่ พระนามของพระพุทธเจ้า นาม
พระอรหันต์ ข่ือเทพเจ้าต่าง ๆ ทั้งท่ีมีในศาสนาพุทธและศาสนาพราหมณ์-ฮินดู หัวข้อพระธรรมคา
สอนของพทุ ธศาสนา นอกจากน้ัน เน้ือหาของคมั ภีร์ยังมแี นวคิดเชงิ ปรัชญาของพุทธศาสนา เช่น เรื่อง
ไตรลักษณ์ สูญญตาและนิพพาน โดยอธิบายผ่านกลไกทางคณิตศาสตร์ และรูปแบบเชิงสญั ลกั ษณ์ สิ่ง
เหล่านี้แสดงให้เห็นถงึ คุณค่าทางด้านศาสนา ดงั นั้นการศึกษาคัมภรี ์ตรนี ิสงิ เหช่วยให้เขา้ ใจคาสอนทาง
ศาสนาไดด้ ีพอสมควร อีกทงั้ ช่วยให้เขา้ ใจรปู แบบเชงิ สัญลกั ษณท์ ี่ปรากฏในยันต์ได้อยา่ งถกู ต้อง

คัมภีร์ตรีนสิ ิงเห จงึ เป็นวรรณกรรมตาราท่ีมีคุณคา่ สะทอ้ นใหเ้ หน็ ถงึ ความเชือ่ และวิถชี ีวิตของ
ผู้คนสมัยโบราณท่ีผูกพันกับพระพุทธศาสนา เป็นการผสมผสานความเชื่อเรื่องผีและไสยศาสตร์ ซึ่งมี
มาแต่เดิมเข้ากับศาสนาท่ีเผยแผ่มาจากอินเดีย อย่างไรก็ตาม ในการผสมผสานดังกล่าว สัดส่วนของ
แนวคิดพุทธศาสนามีมากที่สุด มีผลให้คัมภีร์เล่มนี้สามารถใช้ศึกษาเล่าเรียนในสังคมชาวไทยพุทธได้
จนถึงปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม องค์ความรู้ในคัมภีร์ตรีนิสิงเหจะเป็นประโยชน์หรือเป็นโทษข้ึนอยู่กับ
ปัจจัย คือ ผู้ศึกษาท่ีจะต้องมีคุณสมบัติท่ีตรงตามท่ีคัมภรี ์กล่าวไว้ กล่าวคือ ตอ้ งเป็นพทุ ธมามกะ และ
ตอ้ งมีความรู้พุทธศาสนา จึงสามารถนาองค์ความรู้ในคัมภีร์ไปใช้ในทางท่ีถูกท่ีควร แตใ่ นขณะเดยี วกนั
ในคัมภีร์ยังปรากฏส่วนที่เป็นการใช้ในเชิงไสยศาสตร์ท่ีเป็นโทษต่อผู้อ่ืนได้ การท่ีจะควบคุมไม่ให้ผู้
ศึกษานาความรู้ในคัมภีร์ตรีนิสิงเหไปใช้ในทางที่ผิด พุทธศาสนาจึงมีส่วนสาคัญอย่างย่ิง อีกท้ังใช้
ความรู้เหล่าน้ีเป็นเคร่ืองมือเพื่อชักนาประชาชนให้เข้าหาศาสนา ต้องเข้าใจว่าเร่ืองอิทธิฤทธ์ิประการ
ตา่ ง ๆ ที่กล่าวไว้ในคัมภรี ์ มิใชจ่ ุดมุ่งหมายสูงสุด เป็นเพียงวิธีการฝึกฝนจิตให้เกิดสมาธิเบ้ืองต้นเท่าน้นั
หากสามารถเข้าใจได้ตามที่กล่าวมาน้ี ถือว่าเกิดประโยชน์มากกว่าโทษ จึงมีความจาเป็นท่ีจะต้องเผย
แผ่สิ่งเหลา่ น้สี ู่สงั คมต่อไป

171

5.2 ขอ้ เสนอแนะ

การศึกษาวิชาเลขยันต์จาต้องอาศัยความรู้พ้ืนฐานจากคัมภีร์ลบผง คัมภีร์ลบผงแต่ละคัมภีร์มี
องค์ความรู้สาคัญแตกต่างกันออกไป นอกจากคัมภีร์ตรีนิสิงเหแล้ว คัมภีร์ปถมังมีองค์ความรู้เก่ียวกับ
สัญลักษณ์ และวิธีใช้สัญลักษณ์ต่าง ๆ คัมภีร์อิธะเจมีองค์ความรู้เรื่องอักขระและพยัญชนะในมนต์
คาถาเก่ียวกับการศึกษาไวยากรณ์ภาษาบาลี คัมภีร์มหาราชมีองค์ความรู้เรื่องการทายันต์ และการ
เรียกนามท้ังหลาย และคัมภีร์รัตนมาลามีองค์ความรเู้ รื่องพระพทุ ธคุณแบบพิสดาร และการใช้อักขระ
ในบทสรรเสริญพุทธคุณ อิติปิโสฯ คัมภีร์ทั้ง 4 ปกรณ์นี้เห็นควรได้รับการศึกษาอย่างละเอียดเช่นกัน
เพ่ือรักษาองค์ความรู้ไวไ้ ม่ให้สูญหายไปตามกาลเวลา และจะเปน็ ประโยชน์ต่อการศึกษาวิชาเลขยันต์
ไสยศาสตร์ หรือกระทั่งอาจให้ความกระจ่างเกี่ยวกับวรรณคดีไทยในส่วนท่ีเก่ียวข้องกับพิธีกรรมทาง
ไสยศาสตร์ ซงึ่ จะเปน็ ประโยชนต์ ่ออนชุ นผใู้ ครศ่ กึ ษาศาสตรเ์ หลา่ น้ีตอ่ ไป

รายการอา้ งองิ

ภาษาไทย
ศิลปากร, กรม. พระราชพงศาวดารกรงุ ศรีอยุธยา ฉบบั สมเดจ็ พระพนรัตน์วัดเชตพุ น. กรุงเทพฯ:

กรมศลิ ปากร, 2517.
ศิลปากร, กรม. ตานานมูลศาสนา. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์ยม้ิ ศรี, 2482.
กวนจือ แซ่ตงั้ . หลักและทฤษฎีฮวงจุ้ย. กรงุ เทพฯ: จตภุ าค, 2541.
กองทุนนิธศิ กึ ษาพุทธโฆษ. พระคัมภรี ์บาลกี จั จายนมูล. กรุงเทพมหานคร: มหาจฬุ าลงกรณราช

วทิ ยาลยั , ม.ป.ป.
โกษาจารย์, พระพทุ ธ. คมั ภรี ว์ ิสทุ ธมิ รรค ปญั ญานิเทส. ม.ป.ท., ม.ป.ป.
ขาบ โกวิโท, พระมหา. ผ้ชู ว่ ยเจ้าอาวาสวดั พระเชตพุ นวมิ ลมังคลารามราชวรมหาวหิ าร. สมั ภาษณ.์

14 เมษายน 2561.
คมั ภีรพ์ ระปถมัง. สมุดไทยดา เสน้ ดนิ สอขาว. เลขที่ 29 หมู่ 2. (สว่ นภาษาโบราณ หอสมุด

แหง่ ชาต)ิ .
คมั ภีร์พระปถมงั . สมุดไทยดา เสน้ หรดาล. เลขท่ี 30 หมู่ 2. (สว่ นภาษาโบราณ หอสมุดแหง่ ชาติ).
คาให้การชาวกรุงเกา่ คาใหก้ ารขนุ หลวงหาวดั . ใน พระราชพงศาวดารกรงุ เก่า ฉบับหลวงประเสรฐิ

อักษรนิต.ิ กรุงเทพมหานคร: สานักพิมพค์ ลงั วิทยา, 2515.
ชยั วฒุ ิ พยิ ะกลู . ตาราพระมหาพชิ ยั สงคราม. พทั ลงุ : สถาบนั ทกั ษณิ คดีศึกษา, 2541.
เซเดย,์ ยอร์ช. ตานานพระพมิ พ์. กรงุ เทพมหานคร: สานกั งานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตรยิ ,์ 2495.
ญาณโชติ. คัมภีร์ไสยศาสตร์ ฉบบั สมบรู ณ์. กรุงเทพฯ: โสภณการพิมพ,์ 2550.
ณฐั ธญั มณีรัตน์. สุกญั ญา สจุ ฉายา (บรรณาธกิ าร). เลขยนั ต:์ แผนผังอนั ศักด์สิ ิทธ.์ิ พมิ พ์ครงั้ ที่ 2.

กรงุ เทพฯ: พิพิธภัณฑก์ ารเรียนรแู้ หง่ ชาติ, 2553.
ณฐั ธญั มณรี ตั น์. อิทธิพลของพทุ ธศาสนามหายานทมี่ ตี ่อระบบยันต์ในประเทศไทย. วิทยานิพนธ์

ปรญิ ญามหาบณั ฑติ , สาขาวิชาพทุ ธศาสนศกึ ษา คณะศิลปศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร,์
2550.
ดารงราชานุภาพ, สมเด็จกรมพระยา. ตานานหนงั สือพิไชยสงคราม. ใน ตาราพิไชยสงคราม.
กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์พระจันทร์, 2512.

173

ดารงราชานภุ าพ, สมเดจ็ กรมพระยา. เสด็จประพาสตน้ . กรงุ เทพฯ: ศลิ ปาบรรณาคาร, 2519.
ตาราตรนี สิ งิ เห. สมุดไทยดา ตวั หนงั สือขาว. เลขท่ี 15 หมู่ 2. (สว่ นภาษาโบราณ หอสมดุ แห่งชาติ).
ตาราตรนี สิ ิงเห. กระดาษฝรง่ั เสน้ ดินสอ. เลขท่ี 454 หมู่ 2. (ส่วนภาษาโบราณ หอสมดุ แห่งชาติ).
ตาราตรีนิสงิ เห. กระดาษฝรง่ั เสน้ ดินสอ. เลขที่ 450 หมู่ 2. (สว่ นภาษาโบราณ หอสมดุ แหง่ ชาติ).
ตาราตรนี ิสงิ เห. กระดาษฝรง่ั เสน้ ดินสอ. เลขที่ 452 หมู่ 2. (สว่ นภาษาโบราณ หอสมดุ แหง่ ชาติ).
ตาราตรีนสิ งิ เห. กระดาษฝรง่ั เสน้ ดนิ สอ. เลขที่ 453 หมู่ 2. (สว่ นภาษาโบราณ หอสมดุ แห่งชาติ).
ตาราไสยศาสตร.์ สมุดไทยขาว เส้นดา. เลขท่ี NPT005-015. (ศูนย์มานษุ ยวิทยาสริ นิ ธร).
ตาราไสยศาสตร.์ สมดุ ไทยขาว เสน้ ดา. เลขที่ NPT005-002. (ศนู ยม์ านษุ ยวทิ ยาสิรนิ ธร).
ตาราไสยศาสตร.์ สมดุ ไทยขาว เสน้ ดา. เลขที่ NPT005-013. (ศนู ย์มานษุ ยวทิ ยาสริ ินธร).
ตาราไสยศาสตร.์ สมดุ ไทยดา ตวั หนงั สอื ขาว. เลขท่ี NPT005-008. (ศูนย์มานษุ ยวทิ ยาสิรนิ ธร).
ตรยี ัมปวาย. ปริอรรถาอธบิ ายแห่งพระเครอื่ งฯ เลม่ 1 พระสมเด็จฯ. พิมพ์ครั้งที่ 5 กรงุ เทพฯ: เฟื่อง

อกั ษร, 2515.
ตรียัมปวาย. พระรอด พระเครอื่ งสกลุ ลาพนู . กรงุ เทพ: คลังวิทยา, 2503.
เทพย์ สาริกบตุ ร. พระคมั ภีร์พระเวทฉบับปฐมบรรพ. กรุงเทพมหานคร: อุตสาหกรรมการพิมพ,์

2501.
เทพย์ สารกิ บตุ ร. พระคัมภรี ์พระเวทฉบับทุตยิ ะบรรพ. กรุงเทพมหานคร: อตุ สาหกรรมการพมิ พ,์

2501.
เทพย์ สารกิ บตุ ร. พระคมั ภีร์พระเวทฉบับตตยิ ะบรรพ. กรงุ เทพมหานคร: อุตสาหกรรมการพิมพ,์

2501.
เทพย์ สารกิ บตุ ร. พระคมั ภรี ์พระเวทฉบบั จตั ตถุ ะบรรพ. กรุงเทพมหานคร: อตุ สาหกรรมการพิมพ์,

2501.
เทพย์ สาริกบตุ ร. พระคัมภีร์พระเวทฉบับปัญจมบรรพ. กรงุ เทพมหานคร: อตุ สาหกรรมการพิมพ,์

2501.
เทพย์ สาริกบตุ ร. พระคัมภีรพ์ ระเวทฉบับฉฏั ฐะบรรพ. กรงุ เทพมหานคร: อตุ สาหกรรมการพมิ พ,์

2501.
เทพย์ สารกิ บตุ ร. พระคมั ภรี ์พระเวทฉบบั พเิ ศษ. กรงุ เทพมหานคร: อตุ สาหกรรมการพิมพ,์ 2501.
เทพย์ สาริกบตุ ร. พระคัมภรี พ์ ระเวทพทุ ธศาสตราคม. กรุงเทพมหานคร: ศิลปบรรณาคาร, 2516.

174

เทพย์ สาริกบตุ ร. พุทธาภเิ ษกฉบบั สมบูรณ.์ กรงุ เทพมหานคร: ทวกี ารพิมพ,์ 2528.
เทพย์ สารกิ บตุ ร, บาง เสมเสริมสุข และอรุ ะคินทร์ วริ ยิ ะบรู ณะ. พรหมชาติ. กรุงเทพฯ: ลกู ส.

ธรรมภักด,ี 2521.
ธรรมปฎิ ก, พระ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต). พจนานกุ รมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศพั ท์ พิมพ์ครง้ั ท่ี 12.

กรุงเทพฯ: เอส อาร์พรนิ้ ต้ิง แมสโปรคักส์, 2547.
ธรรมปฎิ ก, พระ (ป. อ. ปยตุ ฺโต). พทุ ธธรรม. พมิ พ์คร้งั ที่ 11. กรุงเทพฯ: สหธรรมิก, 2544.
บรรจบ พันธุเมธา. ภาษาตา่ งประเทศในภาษาไทย. พมิ พค์ ร้งั ที่ 3. (กรงุ เทพฯ: ภาควชิ าภาษาไทย

และภาษาตะวันออก คณะมนุษยศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยรามคาแหง, 2514.
ปถมงั . สมดุ ไทยดาเส้นหรดาล เลขที่ 30 หมู่ 2. (ส่วนภาษาโบราณ หอสมดุ แห่งชาติ).
ประคอง รนุ่ เจรญิ . สัมภาษณ์, 17 เมษายน 2561.
ประเสรฐิ ศุภกจิ , พระยา. พธิ ีสถาปนา พระพทุ ธปรมาสโย. ม.ป.ท.: ม.ป.ป.
ปฎิ กจุฬาภยั , พระ. มลิ นิ ทปัญหา. ม.ป.ท.: ม.ป.ป.
ผาสุข อนิ ทราวุธ. พุทธศาสนาและประตมิ านวิทยา. กรงุ เทพมหานคร: ภาควิชาโบราณคดี คณะ

โบราณคดี มหาวทิ ยาลัยศิลปากร, ม.ป.ท.
พระไตรปฎิ กภาษาไทย ฉบับสงั คายนาในพระบรมราชูปถัมภ์ พุทธศักราช 2530, เลม่ ท่ี 33.

กรุงเทพมหานคร: กรมการศาสนา, 2530.
พุทธโกษาจารย,์ พระ. คมั ภรี ว์ ิสุทธมิ รรค. แปลโดย มหาวงศ์ ชาญบาล.ี กรงุ เทพฯ:

ธรรมบรรณาคาร, 2535.
วชริ ญาณวโรส, สมเดจ็ พระมหาสมณเจ้า, กรมพระยา. ประมวลพระนพิ นธ์ สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้

กรมพระนาวชิรญาณวโรส ประวตั ิศาสตร-์ โบราณคด.ี กรุงเทพฯ: ศิวกร, 2514.
มนสั สิวาภิรมรัตน์. วิธที าตะกรดุ โสฬสมงคล ตารบั วดั สะพานสงู . ม.ป.ท.: ม.ป.ป.
มหาวีรวงศ์, สมเด็จพระ. สากลศาสนา. นครปฐม: มหามกุฏราชวิทยาลัย, ม.ป.ป.
ราชบัณฑิตยสถาน. พจนานุกรมฉบบั ราชบัณฑิตยสถาน. กรงุ เทพมหานคร: สานกั พมิ พ์อักษรเจรญิ

ทัศน์, 2542.
ราชบณั ฑิตยสถาน. พจนานุกรมศัพท์วรรณคดไี ทย สมัยสโุ ขทยั ไตรภูมกิ ถา. กรุงเทพ:

ราชบัณฑิตยสถาน, 2544.

175

ลาลูแบร,์ ซิมอน เดอ. จดหมายเหตุ ลาลแู บร์ ราชอาณาจักรสยาม. แปลโดย สันต์ ท. โกมลบตุ ร.
นนทบุร:ี ศรปี ญั ญา, 2557.

ลิลติ พระลอ. พมิ พค์ รั้งที่ 13. กรุงเทพฯ: รงุ่ วฒั นา, 2513.
วรรณสิทธิ ไวทยเสวี. คมู่ อื การศกึ ษา พระอภิธมั มตั ถสังคหะ ปรจิ เฉทท่ี 1 จิตปรมตั ถ.์ พิมพค์ รัง้ ที่ 8

กรงุ เทพฯ: ทิพยวสิ ทุ ธ์ิ, 2545.
วรรณสทิ ธิ ไวทยเสวี. คมู่ อื การศกึ ษา พระอภธิ ัมมัตถสังคหะ ปริจเฉทที่ 2 เจตสกิ สงั คหวภิ าค. พิมพ์

ครัง้ ที่ 8. กรุงเทพฯ: ทิพยวิสุทธิ์, 2545.
วรรณสิทธิ ไวทยเสวี. คมู่ ือการศึกษา พระอภิธมั มัตถสงั คหะ ปริจเฉทที่ 5 วิถมี ุตตสงั คหวภิ าค. พมิ พ์

ครัง้ ท่ี 8 กรงุ เทพฯ: ทพิ ยวสิ ทุ ธ์ิ, 2545.
วรรณสิทธิ ไวทยเสว.ี คมู่ ือการศกึ ษา พระอภิธมั มัตถสังคหะ ปรจิ เฉทที่ 6 รปู สังคหวภิ าคและนพิ พาน

ปรมัตถ.์ พมิ พค์ รัง้ ที่ 8. กรุงเทพฯ: ทิพยวสิ ทุ ธ,์ิ 2545.
วรรณสิทธิ ไวทยเสวี. คู่มือการศึกษา พระอภิธัมมตั ถสงั คหะ ปรจิ เฉทที่ 6 รปู สงั คหวภิ าคและนิพพาน

ปรมตั ถ.์ พมิ พค์ รง้ั ท่ี 8. กรงุ เทพฯ: ทพิ ยวิสทุ ธ,์ิ 2545.
วิเชยี ร กลยฺ าโณ, พระมหา และคณะ. พระผงสุพรรณ วดั พระศรีรตั นมหาธาตุ จงั หวดั สุพรรณบุรี.

กรุงเทพมหานคร : ม.ป.ป., 2543.
วรี ะ ฐานวโี ร, พระครูสงั ฆรกั ษ์. คู่มอื สมถะ-วิปสั สนากรรมฐาน มัชฌิมา แบบลาดับ ของสมเดจ็

พระสงั ฆราชญาณสังวรมหาเถรเจ้า (สุก ไก่เถ่อื น) วัดราชสทิ ธาราม. กรุงเทพฯ: ม.ป.ท, ม.ป.ป.
สารประเสรฐิ , พระ. โลกธาตุ. กรุงเทพมหานคร: สานักงานเสริมสรา้ งเอกลกั ษณ์ของชาต,ิ 2538.
สมคั ร บรุ าวาศ. วชิ าปรชั ญา. พิมพ์คร้งั ท่ี 4. กรงุ เทพฯ: ศยาม, 2544.
สิรริ ัตนปญั ญาเถระ, พระ. พระคมั ภีร์วชริ สารตั ถสังคหะ. แปลโดย นาวาอากาศเอกแย้ม ประพฒั น์

ทอง. ม.ป.ท. : ม.ป.พ.
สุนทร ณ รังส.ี ปรัชญาอนิ เดยี ประวัตแิ ละลทั ธิ. พิมพค์ รง้ั ท่ี 3. กรุงเทพฯ: สานกั พิมพ์แหง่

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2545.
เสถียรโกเศศและนาคะประทปี . หิโตปเทศ. กรุงเทพมหานคร: ศยาม, 2538.
เสถียร โพธนิ นั ทะ. ปรชั ญามหายาน. กรงุ เทพมหานคร: โรงพิมพ์มหามงกุฎราชวทิ ยาลัย, 2541.
องคก์ ารคา้ ครุ สุ ภา. เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน เลม่ 1. พมิ พ์คร้ังท่ี 20. กรุงเทพมหานคร: โรงพมิ พ์

พมิ พไ์ ทย, 2510.

176

องค์การคา้ ครุ สุ ภา. เสภาเรอ่ื งขุนช้างขนุ แผน เล่ม 2. พมิ พ์ครง้ั ที่ 20. กรงุ เทพมหานคร: โรงพิมพ์
พมิ พ์ไทย, 2510.

องคก์ ารคา้ คุรุสภา. เสภาเรื่องขนุ ช้างขนุ แผน เล่ม 3. พมิ พค์ ร้งั ท่ี 20. กรงุ เทพมหานคร: โรงพมิ พ์
พิมพ์ไทย, 2510.

อรรถวตั ิ ศริ สิ ิทธิธงไชย. เหรยี ญยอดนิยม อมตะแดนสยาม. กรงุ เทพ: จปู ติ ัส, ม.ป.ป.
อรรถวตั ิ ศิรสิ ิทธิธงไชย. เหรยี ญยอดนยิ ม อมตะแดนสยาม 3. กรุงเทพ: จปู ิตสั , ม.ป.ป.

ภาษาต่างประเทศ
A. K. Bag. Mathematics in ancient and medieval India. Varanasi: Vidya Vilas press,

1979.
Adrain Snodgrass. The Symbolism of the Stupa. 3rd printing. New York: Cornell

University, 1991.
Anton Glaser. History of Binary and Other Nondecimal Numeration. Pennsylvania:

Tomash Publisher, 1981.

Burton, Daid M. The History of Mathematics : An Introduction. New York: McGraw Hill, 2011.

Chandra, Lokesh. A Ninth Century Scroll of the Vajradhatu Mandala. New Delhi: Pradeep Kumar
Goel, 1997.

Chandra, Lokesh. Dictionary of Buddhist Iconography Volume 1-15. Delhi: Rajkamal Eletric
Press, 2004.

Computer. New York: John Wiley & Sons, 2000.

Conze, Edward. Buddhist Wisdom Books; Containing the Diamond Sutra and the Heart Sutra.
London: George Allen & Unwin, 1958.

E. Wood, Thomas. Mind only A Philosophical and Doctrine Analysis of the Vijnanavada. Delhi:
Motilal Banarsidass Publishers Private Limited, 1994.

Georges Ifrah. The Universal history of numbers from prehistory to the invention of the

computer. translated in English by David Bellos, E.F. Harding, Sophie Wood, and Ian Monk.

Toronto: John Wisley and sons, 2000.

177

Ifrah, Georges. From One to Zero : A Universal History of Numbers. New York: Penguin, 1987.
Ifrah, Georges. The Universal History of Numbers : From Prehistory to the Invention of the
Kaplan, Robert. The Nothing that is : A Natural History of Zero. New York: Oxford University

Press, 1999.

Mammitzsch, Ulrich H.R. Evolution of The Garbhadhatu Mandala. New Delhi: Pradeep Kumar
Goel, 1991.

Maslow, A. H. A Theory of Human Motivation. Psychological Review. 50(4), Jul 1943.
Peter M. Higgins. Number Story: From Counting to Cryptography. New York: Copernicus, 2008.
Piyasilo. Mandala of the Five Buddhas. Selangor: Academic Art, 1989.
Saso, Michael. Homa Rites and Mandala Meditation in Tendai Buddhism. New Delhi: Pradeep

Kumar Goel, 1991.
Snodgrass, Adrian. The Matrix and Diamond World Mandalas in Shingon Buddhism. New Delhi:

Pradeep Kumar Goel, 1988.
Suzuki Daisetz Teitaro. Outline of Mahayana Buddhism. New York: Schocken Book inc, 1970.
TaKaKusu, Junjiro. The Essentials of Buddhist Philosophy. Delhi: Motilal Banarsidass, 1975.
Tylor, Edward B. Primitive culture : Researches into the development of mythology,

philosophy, religion, art and custom. London: Bradbury, Evans and co., 1871.
Yamamoto, Chikyo. Mahavairocana-sutra. Delhi: Rajkamal Eletric Press, 2001.

ภาคผนวก

179

ภาคผนวก ก
ต้นฉบบั คัมภีรต์ รนี ิสงิ เห สานวน ก

(หน้าตน้ ) สิทธกิ ารยี ถ้าจทาตรีน่สิ ่งิ เหท่านให้ตง้ั กาหลงั ไหว่ตวั ลงตรอี าทตี ย ๖ จัน ๑๕ องั คาน ๔
พุท ๑๗ หัด ๑๙ สุก ๒๑ เสา ๑๐ ราหู ๑๒ เอาประสมกัน ลับ ๑๐๘ ตรีกาลังเทว่ดา เอาคุณ

สงฆ์ ๑๔ คูนได้ ๑๕๑๒ ดังนีแล้ว จึงเอาคุน ธรรม ๓๘ หานกลับดังนิ่ ๓๙ เสดดังท่ิ ๓๐
เอาเสฎหานกลับได้เสฎ ดังน่ิลับดังท่ิ ๑ เอาประสมกับเสฎได้ดังนิ่ ๑๐ เอา (หน้า ๒) ปัยบวกกับ ๑๐๘
ดังน่ิ ๑๑๘ แล้วจึงเอา ๙ หานลับดังนิ่ ๑๓ ได้เสฎ ดังน่ิ ๑ แล้วเอาเสฎมาลบลงกับดังที่ ๑๒
ชื่อทศมงคนแลฯ แล้วตังทศมงคนลงเอา ๔ หานลับเป็น ๓ แล้วตังทศมงคนลงเอา ๒ บวก เอา ๒
คูน เอา ๔ หานลับเป็น ๗ ตังทศมงคนลงเอา ๒ ลบ เอา ๒ คูน เอา๔ หาน ลับเป็น ๕ ตังทศมงค
นลงเอา ๔ บวก เอา ๔ หาน ลบั เป็น ๔ ตังทศมงคนลงเอา ๒ คนู เอา ๔ หาน ลบั เป็น ๖ ตังทศ (หนา้ ๓)
มงคนลงเอา ๒ ลบ เอา ๒ คูน เอา๔ หาน ลับเป็น ๕ ตังทศมงคนลงเอา ๒ บวก ๔ หาน ลบ ๒ เอา ๔
หารลับเป็น ๑ ตังทศมงคนลงเอา ๒ คูน ๔ หาน ลบั เป็น ๖ เอา๖ คูณ เปน็ ดงั ทิ่ ๓๖ เอา ๔ หาน ลับ
เป็น ๙ ตังทศมงคนลงเอา ๒ ลบ ๒ คูน ๔ หาน ลับเป็น ๕ ตังทศมงคนลงเอา ๔ ลบ เอา ๔ หาน
ลับน้นั เป็น ๒ ตงั ทศมงคนลงเอา ๒ คูน เอา ๔ ลบ เอา ๔ หาน ลับเปน็ ๘ ตังทศมงคนลงเอา ๒ ลบ เอา
๒ คูน เอา ๔ (หนา้ ๔)

(หน้าต้น) สิทธิการิยะ ถ้าจะทาตรีนิสิงเหท่านให้ต้ังกาลังไว้ ตัวลงตรีอาทิตย์ ๖ จันทร์ ๑๕
อังคาร ๔ พุธ ๑๗ พฤหัส ๑๙ ศุกร์ ๒๑ เสาร์ ๑๐ ราหู ๑๒ เอาประสมกัน ลัพธ์ ๑๐๘ ตรีกาลัง
เทวดา เอาคุณพระสงฆ์ ๑๔ คูณได้ ๑๕๑๒ ดังนี้แล้ว จึงเอาคุณพระธรรม ๓๘ หารลบดังนี้ ๓๙ เสก
ดงั ท่ี ๓๐ เอาเศษหารกลับได้เศษ ดังนี้ลบดังท่ี ๑ เอาประสมกับเศษได้ดังน้ี ๑๐ เอา (หนา้ ๒) ไปบวกกับ
๑๐๘ ดังน้ี ๑๑๘ แล้วจึงเอา ๙ หารกลับดังนี้ ๑๓ ได้เศษดังนี้ ๑ แล้วเอาเศษมาลบลงกับดังที่ ๑๒
ช่ือทศมงคลแลฯ แล้วต้ังทศมงคลลงเอา ๔ หารลบเป็น ๓ แล้วตั้งทศมงคลลงเอา ๒ บวก เอา ๒
คูณ เอา ๔ หารลบเป็น ๗ ตั้งทศมงคลลงเอา ๒ ลบ เอา ๒ คูณ เอา ๔ หาร ลบเปน็ ๕ ต้ังทศมงคล
ลงเอา ๔ บวก เอา ๔ หาร ลบเป็น ๔ ต้ังทศมงคลลงเอา ๒ คูณ เอา ๔ หาร ลบเป็น ๖ ตั้งทศ (หน้า ๓)
มงคนลงเอา ๒ ลบ เอา ๒ คูณ เอา๔ หาร ลบเปน็ ๕ ตงั้ ทศมงคลลงเอา ๒ บวก ๔ หาร ลบ ๒ เอา ๔
หารลบเปน็ ๑ ตัง้ ทศมงคลลงเอา ๒ คูณ ๔ หาร ลบเปน็ ๖ เอา๖ คณู เป็นดังที่ ๓๖ เอา ๔ หาร ลบ
เป็น ๙ต้งั ทศมงคลลงเอา ๒ ลบ ๒ คณู ๔ หาร ลบเป็น ๕ ตงั้ ทศมงคลลงเอา ๔ ลบ เอา ๔ หาร ลบ
น้ันเป็น ๒ ต้ังทศมงคลลงเอา ๒ คูณ เอา ๔ ลบ เอา ๔ หาร ลบเป็น ๘ ต้ังทศมงคลลงเอา ๒ ลบ เอา ๒
คูณ เอา ๔ (หน้า๔)

180

หานลับเป็น ๕ ตังทศมงคนลง เอาเลกทังงปวงคูนหานเป็นตรีนิสิงเห ดังนิ่แล ฯ ทังงน่ิกาลังท่ิตรีนิสัง
เห ๑๒ ปิดทังง ๑๒ น่ิเป็น ๖๐ เป็นกาลังแลฯ ตรีนิสิงเหน้ัน ครื สิ่ง ๓ ตวั ครืทอรอันเป็น โพทิสัด
เจ้าตัว ๑ ครื กาลราชสิตัว ๑ ครื ปัลทอรราชสิตัว ๑ สัตะนาเข ครื ทัง ๗ ตัว ครื ชัดทันตัว ๑ ครื
ชางปาเลไลตัว ๑ ครืไอยพัดตวั ๑ ครืชางคิริเชกตวั ๑ ครื ชางคิริวนั ตวั ๑ (หน้า๕) ครื ชางปัดไจ้ยนาเค
นติ่ วั ๑ฯ ปญฺจพิสสลนู เมวจฯ ครื เพชลูทัง ๕ ครื ลทอม ๑ ครื หดั บดี ๑ ครื อินสวน ๑ ครื

อุมาเทสะวะดี ๑ ครื ณราย ๑ จตุเทวา ครื เทวดาทัง ๔ ครื จัตตุโลกกบาน ๑ ครื ท้าวทศรดมะหา
ราชองค์ ๑ ครื ท้าววิรุญหก ๑ ครื ท้าววิรุญปัก ๑ ครื ท้าวเวดสูวันมะหาราชองค์ ๑ นสฺสราชาครื

ทัง ๖ ครื ท้าวองบาล่องค์ ๑ ครื ท้าวลาพิราชองค์ ๑ ครื ท้าว (หน้า๖) กระบิ่นล่ราชองค์ ๑ ครื ท้าว
ญารณมูลนีราชองค์ ๑ ครื ท้าวทศราชองค์ ๑ ครื ท้าวยมณ่ิราชองค์ ๑ นวเทวา ครื ทังง ๙
องค์ ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ๙ ฯ ปญฺจพฺรหฺมาสหบดี ครื พหรมทัง ๕
ครื ท้างสะหัมบ็ดีมหาพหรมองค์ ๑ ครื ท้าวจีตกระเทพพหรมองค์ ๑ ครื ฤาษรีองค์ ๑ ครื อันณะ
โคดมฃองค์ ๑ ครื เทพพหรมภกั บดอี งค์ ๑ ทเวราชาครื ทังง ๒ ครื รามเทพองค์ ๑ ครื ทา้ วว.ิ ..
(หน้า ม๗) หาราชองค์ ๑ อตฺถอรหนฺตา ครื อ่าระหันทังง ๘ ครื โมกขะลาองค์ ๑ ครื
ษารีปุดองค์ ๑ ครื กัปปะเถรองค์ ๑ ครื สามเนนองค์ ๑ ครื สังกับตะสามเป
นองค์ ๑ ครื

หารลบเป็น ๕ ตั้งทศมงคลลง เอาเลขท้ังปวงคูณหารเป็นตรีนิสิงเห ดังน้ีแล ฯ ทั้งน้ีกาลังท่ีตรีนิสังเห
๑๒ ปิดท้ัง ๑๒ นี้เป็น ๖๐ เป็นกาลังแลฯ ตรีนิสิงเหนั้น คือ สิ่ง ๓ ตัว คือทอรอันเป็นพระโพธิสัตว์
เจ้าตัว ๑ คือ กาลราชสิตวั ๑ คือ ปัลทอรราชสีห์ตัว ๑ สัตตะนาเข คือ ท้ัง ๗ ตัว คือ ฉัททัณต์ตัว ๑
คือช้างปาเลไลย์ตัว ๑ คือไอยพัดตัว ๑ คือช้างคีรีเชกตัว ๑ คือ ช้างคีรีวันตัว ๑ (หน้า๕) คือ ช้างปัจจัย
นาเคนทร์น้ีตัว ๑ฯ ปญฺจพิสสลูนเมวจฯ คือ พระเพชลูท้ัง ๕ คือ ลทอม ๑ คือ พระพฤหัสบดี ๑ คือ
พระอิศวร ๑ คือ พระอุมาเทวี ๑ คือ พระนารายณ์ ๑ จตุเทวา คือ เทวดาท้ัง ๔ คือ จตุโลกบาล ๑
คือ ท้าวทศรถมหาราชองค์ ๑ คือ ท้าววิรุฬหก ๑ คือ ท้าววิรุฬปัก ๑ คือ ท้าวเวสสุวัณมหาราชองค์
๑ นสฺสราชา คือ พระท้งั ๖ คือ ทา้ วองคบ์ าลองค์ ๑ คอื ท้าวลาพิราชองค์ ๑ คอื ทา้ ว (หนา้ ๖) กระบิลราช
องค์ ๑ คือ ท้าวญารณมูลน้ีราชองค์ ๑ คือ ท้าวทศราชองค์ ๑ คือ ท้าวยมณีราชองค์ ๑ นวเทวา คือพระ
ทั้ง ๙ พระองค์ พระ ๑ พระ ๒ พระ ๓ พระ ๔ พระ ๕ พระ ๖ พระ ๗ พระ ๘ พระ ๙ ฯ ปญฺจพฺรหฺ
มาสหบดี คือ พระพรหมท้ัง ๕ คือ ท้าวสหัมบดีมหาพรหมองค์ ๑ คือ ท้าวจิตกระเทพพรหมองค์ ๑
คือ ฤาษีองค์ ๑ คือ อันณะโคดม องค์ ๑ คือ เทพพรหมภักบดีองค์ ๑ ทเวราชา คือ พระท้ัง ๒ คือ
พระรามเทพองค์ ๑ คอื ท้าวว.ิ .. (หน้า๗)มหาราชองค์ ๑ อตฺถอรหนฺตา คือ พระอรหันต์ท้ัง ๘ คือ พระ
โมคัลลานะองค์ ๑ คือ พระสารีบุตรองค์ ๑ คือพระกัปปเถรองค์ ๑ คือ พระสามเณรองค์
๑ คือ พระสังกับตะสามเป็นองค์ ๑ คือ

181

นาคเสนองค์ ๑ ครื โรมานาคเสนองค์ ๑ ครื องคุลิมารองค์ ๑ฯ ปญฺจพุทฺธา นมามิหํ ครื
เจ้าทัง ๕ องค์ ตรีนิสิงฺเห แล ตรีสิง ๓ ตัว จะได้แก่ตัวไดยบางครื ได้แก่ ม อ อุ ม นั้นครื สุต
นั้น (หน้า ๘) ครื อะพิทาทังง ๗ คาภี นั้นครื วิไน้ทัง ๕ คาภีฯ สตฺตนาเค ครื ชาง ๗ ตัว
จะได้แก่ อักษรตัวไดยบาง ครื ได้แก่ สํ วิ ธา ปุ ก ย ป สํ นั้นครื สังคินี วิ นั้นครื วิพัง ธา
นั้นครื ธาตุกถา ปุ น้ันครื ปุกคล่ปันยัติ ก น้ันครื กถาวัตถุ ย น้ันครื ยม่ก ป น้ันครื
ปะถาร อักษร ๗ คาภีอยู่ไน้คาภี ฯ สังคินี มีอักษร ๑๓๖,๐๐๐ วิพังมีอักษร ๒๓๖,๐๐๐
ทาตุก่ถามีอักษร ๔๔,๐๐๐ ปุกคล่ปันยัติทิมี (หน้า ๙) อักษร ๔๔,๐๐๐ กถาวัดทุมีอักษร
๒๓๒,๐๐๐ ย่ม่กมีอักษร ๘๖,๐๐๐ ปะการ มีอักษร ๑,๔๕๖,๐๐๐ ปญฺจพิสสลู นเมวจ ครื
พิศลูกันทังง ๕ ครื จะไดแ้ ก่ อกั ษรตัวไดย ครืได้แก่ ปา อ กุ มุ สุ อกั ษรทังง ๕ ตัว ไดแ้ ก่ สินทังง ๕
ครื ปานา ครื อทนิ่ นาทาน ครื กาเมสมิดชา ครมื ุษา ครืสรุ า ฯ จตุเทวา ครื เทวดา ๔ องค์ ครื จัตุ
โลก่บาญ ทงั ง ๔ น้นั ได้แก่ อกั ษรตัวไดย ครื ได้แก่ น ม พ ท (หนา้ ๑๐) น นน้ั กกุ กสุ น ม นน้ั โกนาคม
พ นั้น ก้ษสพ ท นั้น ครื สิริสากยะมุนี น น้ันปัฎวิทาตุยุไลททป ม น้ันอาโปทาตุยูคาง พ นั้น
เตโชทาตยุ ูนาภี ท น้นั วาโยทาตยุ อู รุ ะฯ ทาตมุ ี ๒๑ เปน อกั ษร ๒๑ เกศา ครื ก โลมา ครื ข นกั ข้า
ครื ฆ ตะโจ ครื ง มังสัง ครื จ นะหะโร ครื ฉ อัฏิ ครื ช อัฏิม่ินชัง ครื ฌ วักกัง ครื ญ หัฎยัง ครื ฏ
ฆ ตะโจ ครื ง มังสัง ครื จ

พระนาคเสนองค์ ๑ คือ พระโรมานาคเสนองค์ ๑ คือ พระองคุลีมารองค์ ๑ฯ ปญฺจพุทฺธา นมามิหํ
คือพระเจ้าท้ัง ๕ พระองค์ ตรีนิสิงฺเห แล ตรีสิง ๓ ตัว จะได้แก่ตัวใดบ้างคือ ได้แก่ ม อ อุ ม น้ันคือ
สุต น้ัน (หน้า๘) คือพระอภิธรรมท้ัง ๗ คัมภีร์ น้ันคือพระวินัยทั้ง ๕ พระคัมภีร์ฯ สตฺตนาเค คือ ช้าง ๗
ตวั จะไดแ้ ก่ อักษรตัวใดบ้าง คือ ไดแ้ ก่ สํ วิ ธา ปุ ก ย ป สํ น้ันคือ พระสังคิณี วิ นั้นคือ พระวภิ ังค์
ธา นั้นคือพระธาตุกถา ปุ น้ันคือ พระปคุ คะละปัญญัติ ก น้ันคือพระกถาวัตถุ ย น้ันคือ พระยมก ป
นั้นคือ พระปะฐาน อกั ษร ๗ คัมภีร์อยู่ในคัมภีร์ ฯ พระสังคิณี มีอกั ษร ๑๓๖,๐๐๐ พระวิภังค์มีอักษร
๒๓๖,๐๐๐ พระทาตุก่ถามีอักษร ๔๔,๐๐๐ พระปุกคละปันยัติทิมี (หน้า๙) อักษร ๔๔,๐๐๐ พระกถา
วตั ถุมีอักษร ๒๓๒,๐๐๐ พระยมกมีอักษร ๘๖,๐๐๐ พระปะการ มีอกั ษร ๑,๔๕๖,๐๐๐ ปญฺจพิสสลู
นเมวจ คือ พระพิศลูกนั ทงั้ ๕ คือ จะไดแ้ ก่ อักษรตัวใด คอื ไดแ้ ก่ ปา อ กุ มุ สุ อักษรทั้ง ๕ ตวั ได้แก่
ศีลทั้ง ๕ คือ ปานา คือ อทินนาทาน คือ กาเมสุมิจฉา คือมุสา คือสุรา ฯ จตุเทวา คือ เทวดา ๔
พระองค์ คือ จัตุโลกบาล ทั้ง ๔ น้ัน ได้แก่ อักษรตัวได้ คือ ได้แก่ น ม พ ท (หน้า๑๐) น นั้นพระกุกกุสัน
ม นั้น โกนาคม พ นั้น พระกัสสะพ ท น้ัน คือ พระศรีศากยมุน้ี น นั้นปฎั วิทาตยุ ุไลททป ม น้ันอาโป
ทาตุยูคาง พ นั้น เตโชทาตุยูนาภี ท น้ัน วาโยทาตุยูอุระฯ ทาตุมี ๒๑ เป็น อักษร ๒๑ เกศา คือ ก
โลมา คอื ข นะขา คือ ฆ ตะโจ คือ ง มงั สงั คือ จ นะหะโร คือ ฉ อัฏิ คือ ช อัฏิมิญชัง คือ ฌ วักกัง

182

คือ ญ หะทะยัง คือ ฏ ฆ ตะโจ คือ ง มังสัง คือ จ
นะหะโร ครื ฉ อัฏิ ครื ช อัฏิมิ่นชัง ครื ฌ วักกัง ครื ญ หัฎยัง ครื ฏ ยักนัง ครื ฐ กิโลมะกัง ครื ฑ
ปหิ ะกัง ครื ฒ บัพภาสัง ครื ณ (หน้า ๑๑) อันตงั ครื ฏ อนั ตค่ ูนนังครื ถ อุท่ริยังครื ท ก่รีสัง ครื ธ ปัทโต
ครื ฬ ปัทธา ครื อ ฯ อนั ณีรูป ธรรมคุนบดิ า ๒๑ ธาตุนา ๑๒ เปนอักษร ๑๒ ปติ ัง ครื น เส่มหัง
ครื ป บุปโภ ครื ผ โลหิตตัง ครื พ เสโท ครื ภ เมโท ครื ม อัดสุ ครื ย อัดษา ครื ร เขโล ครื ล
สิงตาน่ิกา ครื ว ละสิกา ครื ส อักษร ๑๒ ตัวนี้เปน น้าธรรม ครื คุน มารดาแลฯ ฉวสฺสราชา ครื

ทังง ๖ ได้แก่ (หน้า ๑๒) อักษร ๖ ตัวน้ี จ ต ย ต น ป จ น้ัน เจ้าตุมม่หาราชกิ า ต น้ัน ครืท้าวว่ ด่งึ ษา ย
น้ัน ครื ยามา ต น้ัน ครื ดุฐสีกา น นั้น ครื นิ มาณะระดี ป นั้น ครื ประนิ่มิ่ด ๖ กามาทังง ๖
ชันแล เปนท่ิอยู่แห่งสมเดจ จักกระพัดตราทิราชเจ้าแลฯ ครื ชางแก้ว ๑ หม้าแก้ว ๑ นงแก้ว ๑
ขันแก้ว ๑ กาแพงแก้ว ๑ แก้วมะณีโชต ๑ ประสาทแก้ว ๑ ฯ ปญฺจอนฺทรา นเมว จ ไดแ้ ก่ รุ เว ส สํ
วิ ครื ขันทังง ๕ เอก ยกขฺ า ได้ (หน้า ๑๓) แก่ อุ นวเทวา ได้แก่ อ สํ วิ สุ โล ปุ ส พุ ภ ปญฺจพฺรหฺมาสห
บดี ได้แก่ สินทัง ๕ ทเวราชา ได้แก่ น ร อัตตอรหนฺตา ได้แก่ ปา อ อ มุ สุ วิ มา อุ ปญฺจพุทา นมา
มิหํ ได้แก่ น โม พุทฺ ธา ย ตร่ินิสิงเหมีอกั ษรเท่านีแล ฯ รูปงั อันวา่ รูป ฯ โสฬสมฆํ ลํ อิติ ครื โสลดมง
คล ฯ โลปกญฺ จ อสฺล ปสิสช ตกิ ยมเฺ วจ จ เมอื จะเอาผงดีน สอ่ ในตรนี สิ งิ เห ให้วา่ คาถา นี (หนา้ ๑๔)
จงึ ลบผงเทีษ เปน็ ประสทิ ิแล ฯ คุน พุทิเจา้ ๕๖ คุน ธัรรมเจ้า ๓๘ คุน ศงเจ้า ๑๕ ฯ ตรีนสิ งิ เฺ ห
สตฺตนาเค ปญฺจพิสสลู นเมว จ

นะหะโร คอื ฉ อัฏิ คอื ช อฏั มิ ิญชงั คือ ฌ วักกัง คอื ญ หะทะยัง คอื ฏ ยกั นงั คือ ฐ กิโลมะกัง คือ
ฑ ปิหะกัง คือ ฒ บัพภาสัง คือ ณ (หน้า ๑๑) อันตั้ง คือ ฏ อันตะคูณนังคือ ถ อุทริยังคือ ท กรีสัง คือ ธ
ปทั โต คือ ฬ ปัทธา คอื อ ฯ อันน้รี ูป พระธรรมคุณบิดา ๒๑ ธาตนุ า ๑๒ เป็นอกั ษร ๑๒ ปติ งั คอื น
เสมหัง คือ ป บุปโภ คือ ผ โลหิตตัง คือ พ เสโท คือ ภ เมโท คือ ม อัสสุ คือ ย อัดษา คือ ร เขโฬ
คือ ล สงิ คานิกา คือ ว ละสิกา คือ ส อักษร ๑๒ ตัวน้เี ป็น นา้ ธรรม คอื คณุ พระมารดาแลฯ ฉวสฺสรา
ชา คือ พระยาทั้ง ๖ ไดแ้ ก่ (หน้า ๑๒) อักษร ๖ ตวั นี้ จ ต ย ต น ป จ น้ัน เจ้าตุมมหาราชิกา ต นั้น คือ
ท้าวด่ึงษา ย น้ัน คือ ยามา ต น้ัน คือ ดุฐสีกา น น้ัน คือ นิมาณรดี ป นั้น คือ ปรนิมมิต ๖ กามา
ทั้ง ๖ ชันแล เป็นที่อยู่แห่งสมเด็จพระจักรพรรดิราชเจ้าแลฯ คือ ช้างแก้ว ๑ ม้าแก้ว ๑ นางแก้ว ๑
พระขรรค์แก้ว ๑ กาแพงแก้ว ๑ แก้วมณีโชติ ๑ ประสาทแก้ว ๑ ฯ ปญฺจอินฺทรา นเมว จ ไดแ้ ก่ รุ เว
ส สํ วิ คือ ขันธ์ท้ัง ๕ เอก ยกฺขา ได้ (หน้า ๑๓) แก่ อุ นวเทวา ได้แก่ อ สํ วิ สุ โล ปุ ส พุ ภ ปญฺจพฺรหฺ
มาสหบดี ได้แก่ สินท้ัง ๕ ทเวราชา ได้แก่ น ร อัตตอรหนฺตา ได้แก่ ปา อ อ มุ สุ วิ มา อุ ปญฺจพทุ า
นมามิหํ ได้แก่ น โม พุทฺ ธา ย ตรีนิสิงเหมีอักษรเท่านี้แล ฯ รูปัง อันว่ารูป ฯ โสฬสมํฆลํ อิติ คือ
โสฬสมงคล ฯ โลปกญฺ จ อสฺล ปสิสชติกยมฺเวจ จ เมื่อจะเอาผงดินสอในตรีนิสิงเหให้ว่า พระคาถา
นี้ ๗ ที (หนา้ ๑๔) จึงลบผงเถิด เป็นประสิทธิแล ฯ คุณพระพุทธเจ้า ๕๖ คุณพระธรรมเจ้า ๓๘ คุณพระสงฆเ์ จา้
๑๕ ฯ ตรีนสิ งิ ฺเห สตฺตนาเค ปญฺจพิสสลู นเมว จ

183

จตฺตุเทวา ฉวสฺสราชา ปญฺจอินฺตรา นเมว จ เอก ยกฺข นวเทวา ปญฺจ พฺรหฺมาสหบดี ทเวราชา
อตฺถอรหนฺตา ปญฺจพุทฺธา นมามิหํ ผิจะทาเลกในตรีนิสิงเห ให้ตังอัฐตราในรูปตรีนิสิงเหนีลงแล ฯ
๓ ๗ ๕ ๔ ๖ ๕ ๑ ๙ ๕ ๒ ๖ ๕ ตังดังนีใหไ้ ด้ ๑๒ ถาร (หน้า๑๕) แล้ว จงึ ใวใชตามอุปะเทนั้นเทยี เม่อื แรกจะทา
เทียนหนัก ตามถ่วาย พุทิเจ้า ตรงหน้า ประสิทิแล แล้วเอาผงด่ินส่อนั้นกุลีกวร กับน้ามรรหอม

เอาฑลาตัวเองเสก ๑๐๘ เอาไว้เป็นผงประทิวเสฎ หาคาหมีได้เหลย แล้วเอาผงไว้ใช้ตามอุปะเทสืพไปย
เทีษ ฯ สิทิการีย ผิจะทาเบญขันทังงห้า แหว้นกระดาศแหว้นเทฟา ผาแลตายพร้ายแลแหว้นเครื่อง
ทังงปวงให้ย (หน้า ๑๖) ตังงอัตรานีลง ๓ ๗ ๕ ๔ ๖ ๕ ๑ ๙ ๕ ๒ ๖ ๕ ทาเป็นประทัดผูกมือแล เอาเบญ
ขนั ทงั ๕ หานอัฐตราณีคาดไดล้ บั ดงั นี เป็นประทับถารน้ี นติ ๓ ๗ ๕ ๔ ๖ ๕ ๑ ๙ ๕ ๒ ๖ ๕ ผิ ๓ ๗ ๕ ๔ ๖
๕ ๑ ๙ ๕ ๒ ๖ ๕ ตราไว้ ผจิ ะทาแหวน้ กระดาดเอาลับเบญขันลงแผ่นกระดาษแลว้ เอาสนู ๐ เลกลบั

เป็นหัวแหว้น แลจะทาเป็นหางพิรอดเสกตัวเอง ๑๐๘ ดีนักแล เอาผงดืนส่อไส่ใน้กระดาด (หน้า๑๗)
ห่อเทแหวน้ นั้นแล ฯ พจิ ะทาแหว้นเปนเครอ่ื งทังปวงเอาเข้าฟาผาแลตายพร้ายกด็ ี เงนิ ทองตะกัว บริ
สุดก็ดี ขวานฟาก็ดี ทังงน้ีญอนได้ แลท่ารวา่ แต่ตะกัวโกดเอาหมีได้ท่านว่าหมีตองตาราแล ให้ทาแต่
ตามกระบวรอยางรูบแหว้นท่ีทาไว้ณีเทีย ให้เอาคาค่าถ้านีเสก ฯ อิติปิโส ภควา อรหํ สมฺมา สมฺ
พุทฺโธ อนฺตเว เตชาโสตาปติผล

จตฺตุเทวา ฉวสฺสราชา ปญฺจอินฺตรา นเมว จ เอก ยกฺข นวเทวา ปญฺจ พฺรหฺมาสหบดี ทเวราชา
อตฺถอรหนฺตา ปญฺจพุทฺธา นมามิหํ ผิจะทาเลขในตรีนิสิงเห ให้ต้ังอัฐตราในรูปตรีนิสิงเหนี้ลงแล ฯ
๓ ๗ ๕ ๔ ๖ ๕ ๑ ๙ ๕ ๒ ๖ ๕ ตัง้ ดังนใ้ี หไ้ ด้ ๑๒ ฐาน (หน้า๑๕) แลว้ จงึ ไวใ้ ช้ตามอุปเท่นัน้ เทยี นเมอ่ื แรก
จะทาเทียนหนัก ตามถวายพระพุทธเจ้า ตรงหน้าพระประสิทธิแล แล้วเอาผงดินสอน้ันคลุก กับ
น้ามันหอมเอาทาตัวเองเสก ๑๐๘ คาบ เอาไว้เป็นผงประทิวเศษ หาค่ามิได้เลย แล้วเอาผงไว้ใช้ตามอุป
เท่สืบไปเถิด ฯ สิทธิการิยะ ผิจะทาเบญจขันธ์ทั้งห้า แหวนกระดาษแหวนฟ้าผ่า แลตายพรายแล
แหวนเคร่ืองทั้งปวงให้ (หน้า ๑๖) ต้ังอัตราน้ีลง ๓ ๗ ๕ ๔ ๖ ๕ ๑ ๙ ๕ ๒ ๖ ๕ ทาเป็นประทัดผูกมือแล
เอาเบญจขันธท์ ้ัง ๕ หารอตั รานี้ได้ลบดงั นี้ เปน็ บรรทัดฐานนี้ นติ ๓ ๗ ๕ ๔ ๖ ๕ ๑ ๙ ๕ ๒ ๖ ๕ ผิ ๓
๗ ๕ ๔ ๖ ๕ ๑ ๙ ๕ ๒ ๖ ๕ ตราไว้ ผิจะทาแหวน กระดาษเอาลบเบญจขนั ธล์ งแผน่ กระดาษแลว้ เอา
ศูนย์ ๐ เลขลบเปน็ หัวแหวน แลจะทาเปน็ หางพิรอดเสกตัวเอง ๑๐๘ คาบ ดีนักแล เอาผงดนิ สอใสใ่ น
กระดาษ (หน้า๑๗) หอ่ เทแหวนนั้นแล ฯ พจิ ะทาแหวนเป็นเครอ่ื งท้ังปวงเอาเขา้ ฟา้ ผ่าแลตายพร้ายก็ดี เงนิ
ทองตะกวั่ บริสทุ ธิก์ ็ดี ขวานฟา้ กด็ ี ทง้ั นย้ี อ่ มได้ แลทา่ นว่าแตต่ ะกวั่ โกฏเิ อามิได้ท่านว่ามติ อ้ งตาราแล
ให้ทาแต่ตามกระบวนอย่างรูปแหวนที่ทาไว้นี้เทียว ให้เอาคาถานี้เสก ฯ อิติปิโส ภควา อรหํ สมฺ
มา สมฺพุทฺโธ อนฺตเว เตชาโสตาปติผล

184

อนาคามเิ ตโชริท์ธิ สิทฺธิเตโช ชยฺย สฑฑฺ สตฺตรูวิ (หน้า ๑๘) นาสฺสนฺติฯ ๑๐๘ แล้วเสกด้วยค่าถ้าอัฐ

ตา ๑๐๘ คงแก่อาวุดษาระพัดแคล้วคลาดหอกดาบทังงปวงแลญาสนเทเลย ชือจักณะร้ายแก้ว
หาคาหมีได้เลย ประการหน่ึงท่านให้ลง ภัควัมบดี ฃางละ ๔ องค์ ครื อ่าระหันทัง ๔ องค์
แล ฯ เมือเพนวันจันก็ดี วันอังคานก็ดีท่ารให้เอาขมิ้นอ้อยมาตมให้สุก ตากแดดให้แห่งแล้วตังใบศีร
แล้วแกะใน้โบดเป็นรูป ภคั วัมบดี มือรัดอง (หนา้ ๑๙) แล้วจึงเอวลับนี ๗๕ ๙๓ ๓๙ ๕๗ อนั ลง

ภัควัมบดีใน้ วัน ก็ดี แล้วประกอบไปด้วนเครืองทังงปวงอันปาริสุด เมือทา ๆ ต่อหน้า เจ้า
ตามนีเทิด ลง ทังงองค์ทังถารสองคุลี ปลุกดว้ ยตรีนีสิงเห ๑๐๘ แล้วลงรักษ์ปดิ ทองไว้ เมือจะมีทีไป
ห่อผาโพกหัวแล้วคงต่ออาวุททังงปวง เป็นประเจียดก็ดี เป็นลองหนไปทางปํก ทางเรือดีนักแล ทา
ไส่ ไคร้ยิง ปนื มาปืน (หน้า ๒๐) แตกแล ผิจะปิดตรา มาเอา ห่อผาปะหาดดา ให้หาอุปะเทไปเท่ิด ใช้ได้
พันหนึ่งแลฯ อะนีภคั ่วมั แลฯ หัวแหวน้ แลฯ ...สิทธกิ าริยะผิจะทา..ให้ต้ังอัฐตราตรีนิสิงเหลงแล้วเอา
๓ หานเสด ๐ เสียเอาแต่ลับดังนี ๑๒๕ ๑๕๕ ๐๖๕ ๐๙๕ ตราไวล้ งแหว้นเครอื งแล ลูกแก้วลงภคั ่วัม
บดี ไชดจุ ่เดยี วกันแลฯ ผิจะทารดั เพช ๑๕ ไซรให้ตังอฐั ตราลงิ เอารัดเพช ๑๕ หาน อฐั ตราเสค ๐ (หนา้
๒๑) เสียเอาแต่ลับดังงนี ๒๕๐๓๑๐๑๓๐๑๙ ไช ดังกันแลฯ สิทธิการิยะ ผิจะไชผงให้ทัวสวรรชั้นเทว่
ดาไดยใหต้ งั อัฐตรา

อนาคามิเตโชริท์ธิ สิทฺธเิ ตโช ชยยฺ สฑฑฺ สตฺตรูวิ (หน้า ๑๘) นาสฺสนตฺ ิฯ ๑๐๘ คาบ แลว้ เสกด้วยคาถาอัฐ
ตา ๑๐๘ คาบ คงแก่อาวุธสารพัดแคล้วคลาดหอกดาบทั้งปวงแล อย่าสนเท่เลย ชื่อจักรนารายณ์
แก้วหาค่ามิได้เลย ประการหน่ึงท่านให้ลงพระภัควัมบดี ข้างละ ๔ พระองค์ คือพระอรหันต์ท้ัง ๔
พระองค์แล ฯ เมื่อเพ็ญวันจันทร์ก็ดี วนั อังคารก็ดีท่านให้เอาขมิ้นอ้อย มาต้มให้สุก ตากแดดให้แห้ง
แล้วตั้งบายศรีแล้วแกะในโบสถ์เป็นรูป พระภัควัมบดี มือรัดองค์ (หน้า ๑๙) แล้วจึงเอาลบน้ี ๗๕ ๙๓

๓๙ ๕๗ อันลงพระภัควัมบดีใน วัน ก็ดี แล้วประกอบไปด้วยเครื่องทั้งปวงอนั บริสุทธ์ิ เมื่อ
ทา ๆ ต่อหนา้ พระเจ้า ตามนเ้ี ถดิ ลง ท้งั องค์ท้ังฐานสูงคุลี ปลกุ ด้วยตรีนสิ งิ เห ๑๐๘ แลว้ ลงรกั ปิดทอง
ไว้ เมื่อจะไปไหน ห่อผ้าเอาโพกหัวแล้วคงต่ออาวุธท้ังปวง เป็นประเจียดก็ดี เป็นล่องหนไปทางบก
ทางเรอื ดนี ักแล ทาใสไ่ ว้ ใครยงิ ปนื มา ปนื (หน้า ๒๐) แตกแล ผจิ ะปดิ ตา มาเอาพระห่อผ้าประหาดดา ให้
หาอปุ เท่ไปเถดิ ใช้ไดพ้ ันหนึ่งแลฯ อนั น้ีภัควัมแลฯ หวั แหวนแลฯ ...สทิ ธกิ าริยะผจิ ะทา..ใหต้ ง้ั อัฐตรา
ตรีนิสิงเหลงแล้วเอา ๓ หารเสก ๐ เสียเอาแต่ลบดังน้ี ๑๒๕ ๑๕๕ ๐๖๕ ๐๙๕ ตราไว้ลงแหวนคือ
องค์แล ลูกแก้วลงภัควัมบดี ใช้ดุจเดียวกันแลฯ ผิจะทารัดเพช ๑๕ ไซร์ให้ตั้งอัฐตราลงเอารัดเพช
๑๕ หาร อัฐตราเสก ๐ (หน้า ๒๑) เสียเอาแต่ลบดังนี้ ๒๕๐๓๑๐๑๓๐๑๙ ใช้กันแลฯ สิทธิการิยะ ผิจะ
ใช้ผงให้ท่ัวสวรรค์ชั้นเทวดาโดยให้ต้ังอัฐตรา

185

ลง ๓ หาร แล้วเอา ฯ คูณ เอาณี ฯ หานแต่ถึง ชันนี ชือชัน เพชลูกัน เอาคาถานีเสกฯ สีโรเม
พทุ ธฺ เทวญฺ จ สงฺฆาเต อคฺคสาวกา ทเวเนตฺตาสุรโิ ยจนฺโท ทเว องฺคา พฺรหฺมา
เทวตา ทเวพาหากิตตฺ าตามกขฺ า เตวสุรสจฺ ติ ตฺ ิ หทฺทโย จ วสสฺ นูกญฺเจว หตเฺ ต จ (หนา้ ๒๒) (ปร) เม
สุรา ปาทา นารายฺยกญเอก อตฺตา นเมวทนฺตรโถ พลเตโช อินโท สหสํสา สพฺพทมฺมานิ ปร
สทิ ฺธิเม ฯ๙ ฯ เทวากานิ นกิ าวาเท วาหกิ ญฺ สกุ าหิวา กก เรภภเร ภานิสุภย ยภ ยสนิ เสก

ผงดิ่นส่อด้วยสิโรเมแลฯ ให้ตังอัฐตราลง ๓ ถารเอา ฯ หาณแตจนถึง นีชื่อว่าจัก อินแล เอา
ค่าถ้านเี สกฯ กาสตรฺ า ตรปายย ชุนมิ ห ยทุสลิ สินา
ทหกรวิ กรปารวินุภาทยนฺตุ มสฺส รมทฺทํ รพุทฺธยฺย ปรยุตต โกรธา สุรา มมวิ ประประ วิ (หน้า ๒๓)
นาสฺ สนฺติ ๙ .....เทวากานิ นิกาวาเท วาหิกญฺ สุกาหิวา กก เรภภเร ภานิสุภย ยภ ยสนิ ๙

เสกผงดิ่นส่อแลฯ ให้ตังอัฐตราลง ๓ ถาร เอา ฯ คูน แล้วเอา ฯ หาณแต่ถึงนี ชือชัน
พหรมแล

ลง ๓ หาร แล้วเอา ฯ คูณ เอาน้ี ฯ หารแต่ถึง ชั้นนี้ ชื่อช้ัน เพชลูกัน เอาคาถานี้เสกฯ สีโรเม
พทุ ธฺ เทวญฺ จ สงฆฺ าเต อคคฺ สาวกา ทเวเนตฺตาสรุ โิ ยจนฺโท ทเว องฺคา พฺรหฺมา
เทวตา ทเวพาหากติ ตฺ าตามกขฺ า เตวสุรสฺจิตฺติ หทฺทโย จ วสฺสนกู ญฺเจว หตเฺ ต จ (หน้า๒๒) (ปร) เม
สุรา ปาทา นารายฺยกญเอก อตฺตา นเมวทนฺตรโถ พลเตโช อินโท สหสํสา สพฺพทมฺมานิ ปร
สิทฺธิเม ฯ ๙ ฯ เทวากานิ นิกาวาเท วาหิกญฺ สุกาหิวา กก เรภภเร ภานิสุภย ยภ ยสนิ

เสกผงดนิ สอด้วยสิโรเมแลฯ ใหต้ งั้ อัฐตราลง ๓ ฐานเอา ฯ หารแตจ่ นถึง นช้ี ือ่ วา่ จักพระอินทร์แล
เอาพระคาถาน้เี สกฯ กาสตฺรา ตรปายย ชุนิมห ยทสุ ลิ สนิ า
ทหกรวิ กรปารวินุภาทยนฺตุ มสฺส รมทฺทํ รพุทฺธยฺย ปรยุตต โกรธา สุรา มมวิ ประประ วิ (หน้า ๒๓)
นาสฺ สนฺติ ๙ .....เทวากานิ นิกาวาเท วาหิกญฺ สุกาหิวา กก เรภภเร ภานิสุภย ยภ ยสนิ ๙

คาบ เสกผงดินสอแลฯ ให้ต้ังอัฐตราลง ๓ ฐาน เอา ฯ คูณ แล้วเอา ฯ หารแต่ถึงนี้ ช่ือชั้นพระ
พรหมแล

186

เอาค่าถ้านีเสกฯ หลํงฺการํ กาวิ จนฺทํปาปํ หิการํ ปมตลํ หลงฺการํ ปราจฺจ เต วเทยนฺติ ๙
เสกผงดิ่นส่อแลฯ โสฬสส มงคฺ ลญเจว นวโลกตุ ฺตรธมม (หนา้ ๒๔) ขขนฺธา จตตฺ าโร จมหาราชา ปญจฺ
พทุ ธามหามนุ ี เตปติ ก ธมมฺ ขนธา ฉกามาวจราชา ปญจทสิ
ภเว สญฺจทสิปลิลเมวจ เตรสฺสทุตบฺตนิ ปา ปา ชหารญจ ทสฺสเอกรรสู ุรา อตฺต ทฺเว จนฺทิมหิจสุ
ริย สตฺต สมฺโพชฺชงเคจุทฺทสุส จกฺกวตติจ เอกาทสาส วิสฺสนุราชา สพฺพภยฺยา วินาสฺสนฺติ

สพฺพสตร ทุเร ทุเร แลฯ ให้ตังอัฐตราลง ๓ ถาร แล้วเอา ฯ คูน ฯ หาน แต่ (หน้า ๒๕) ถึงน่ิ ชือ

ชัน เจ้า ๕ องค เสกด้วยณราจนจบ ๙ อิติปิโส ๙ เสกผงด่ินสอแล ฯ ให้ตังอัฐ

ตราลง ๓ ถาร แลว้ เอา ฯ เสกดว้ ยเวกาหาไชกนั สะเนียดจังไร้แล ฯ ๐ ครันทาทวรทังง ๕ สะ
การ แล้ว เอาผงดิ่นส่อไวแตล่ ่อแห่งไชตามอปุ ะเทนีเทิ่ดอันหน่ึงผง ใน้ชัน เพชลูกันใชไ้ ด้แต่การทง้ั
ปวง ประสิทิกันสะเนียดจังไร้ดีนักแลฯ (หน้า๒๖) ผงใน้ชัน อินกันพูดพร้ายทังงปวงแลฯ ..ผงในชันพหรม
ใชได้เปน็ สิงห่นารถ ตระบะเดชะ มากจะเริญสะวัดดี อานุภาพมากนักแลฯ ผงในชัน เจ้า ๕ พองค์
ใช เมือ เขา ณ่รงสงครามดีนักแลฯ

เอาคาถาน้ีเสกฯ หลํงฺการํ กาวิ จนฺทํปาปํ หิการํ ปมตลํ หลงฺการํ ปราจฺจ เต วเทยนฺติ ๙
เสกผงดินสอแลฯ โสฬสส มงคฺ ลญเจว นวโลกตุ ตฺ รธมม (หนา้ ๒๔) ขขนฺธา จตฺตาโร จมหาราชา ปญจฺ
พุทธามหามุน้ี เตปิตก ธมฺมขนธา ฉกามาวจราชา ปญจทสิ
ภเว สญฺจทสิปลิลเมวจ เตรสฺสทุตบตฺ นิ ปา ปา ชหารญจ ทสฺสเอกรรสู ุรา อตฺต ทฺเว จนฺทิมหจิ สุ
ริย สตฺต สมฺโพชฺชงเคจุทฺทสุส จกฺกวตติจ เอกาทสาส วิสฺสนุราชา สพฺพภยฺยา วินาสฺสนฺติ

สพฺพสตร ทุเร ทุเร คาบแลฯ ให้ตง้ั อฐั ตราลง ๓ ฐาน แลว้ เอา ฯ คณู ฯ หาร แต่ (หน้า๒๕) ถึงนี้ ชอ่ื ช้ัน
พระเจ้า ๕ พระ องค์ เสกด้วยณราจนจบ ๙ คาบ พระ อิติปิโส ๙ คาบ เสกผงดินสอแล ฯ ให้ต้งั อัฐ

ตราลง ๓ ฐาน แล้วเอา ฯ เสกด้วยเวกาหาใช้กันเสนียดจังไรแล ฯ ๐ คร้ันทาทวารท้ัง ๕
สถาน แล้ว เอาผงดินสอไวแ้ ต่ละแห่งใช้ตามอุปเทน่ ้ีเถดิ อันหนึ่งผงในชั้นพระเพชลูกันใช้ได้แตก่ ารทั้ง
ปวง ประสิทธิกันเสนียดจังไรดีนักแลฯ (หน้า๒๖) ผงในช้ันพระอินทร์กันภูตพรายทั้งปวงแลฯ ผงในช้ัน
พรหม ใช้ไดเ้ ป็นสิงหนาถ ตบะเดชะมาก จะเจริญสวัสดี อานุภาพมากนักแลฯ ผงในชั้นพระเจ้า ๕
พระองค์ ใช้เมื่อเข้าสงครามดีนักแลฯ


Click to View FlipBook Version