The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by angela_milk_201, 2022-03-05 06:24:17

วิจัย:การศึกษาการอ่านพื้นฐานของนักเรียนชั้น อนุบาลปีที่3 โรงเรียนหนองหว้า(ชมายนุกูล) ที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเล่นกลางแจ้งภาษาแสนสนุก

การอ่าน

การศึกษาการอ่านพืน้ ฐานของนกั เรียน
ชนั้ อนุบาลปีที่ 3/3 โรงเรยี นบ้านหนองหวา้ (ชมายนกุ ลู )
ทไ่ี ด้รับการจัดกิจกรรมการเลน่ กลางแจ้งภาษาแสนสนกุ

นางสาวนิกษารัตน์ แซล่ ง่ิ 5881101046

วิจยั ฉบบั น้เี ป็ นส่วนหนง่ึ ของการปฏบิ ัติงานวชิ าชีพครูในสถานศึกษา 2
ภาคเรียนท่ี 2 ปี การศึกษา 2562

สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย คณะครุศาสตร์
มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช

การศึกษาการอ่านพืน้ ฐานของนกั เรียน
ชนั้ อนุบาลปีที่ 3/3 โรงเรยี นบ้านหนองหวา้ (ชมายนกุ ลู )
ทไ่ี ด้รับการจัดกิจกรรมการเลน่ กลางแจ้งภาษาแสนสนกุ

นางสาวนิกษารัตน์ แซล่ ง่ิ 5881101046

วิจยั ฉบบั น้เี ป็ นส่วนหนง่ึ ของการปฏบิ ัติงานวชิ าชีพครูในสถานศึกษา 2
ภาคเรียนท่ี 2 ปี การศึกษา 2562

สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย คณะครุศาสตร์
มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช

การศกึ ษาการอ่านพน้ื ฐานของนกั เรยี นชั้นอนบุ าลปที ่ี 3/3 โรงเรยี นบ้านหนองหวา้ (ชมายนุกลู )
ท่ีไดร้ ับการจัดกจิ กรรมการเล่นกลางแจง้ ภาษาแสนสนกุ

นกิ ษารตั น์ แซล่ ่งิ

บทคัดย่อ

การวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาการอ่านพื้นฐานของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 3/3 โรงเรียนบ้าน
หนองหว้า (ชมายนุกูล) ที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเล่นกลางแจ้งภาษาแสนสนุก มีวัตถุประสงค์เพอื่
เปรียบเทียบการอ่านพื้นฐานของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 3/3 โรงเรียนบ้านหนองหว้า (ชมายนุกูล)
ก่อนและหลงั การจดั กิจกรรมการเล่นกลางแจง้ ภาษาแสนสนกุ เครอื่ งมือทใี่ ชใ้ นการวจิ ยั คือ แผนการจัด
กิจกรรมการเล่นกลางแจ้งภาษาแสนสนุก กิจกรรมกลางแจ้งภาษาแสนสนุกจำนวน 20 เกม แบบทดสอบ
การอ่านพื้นฐาน แบบประเมินการอ่านพื้นฐานของนักเรียนหลังจากการจัดกจิ กรรมการเล่นกลางแจง้
ภาษาแสนสนุกโดยระยะเวลาในการทดลองในภาคเรยี นท่ี 2 ปกี ารศึกษา 2562 ใช้เวลาในการทดลอง 5
สัปดาห์ สัปดาห์ละ 4 วัน ได้แก่ วันจันทร์ วันอังคาร วันพุธ วันพฤหสั บดี จัดกิจกรรมในช่วงกิจกรรม
กลางแจง้ วันละ 50 นาที ในช่วงเวลา 10.10–11.00 รวมเปน็ ระยะเวลาในการทดลองทัง้ สิ้น 20 คร้ัง
วเิ คราะหข์ ้อมูลด้วยสถิติ ค่าร้อยละ คา่ เฉลย่ี และคา่ เบีย่ งเบนมาตรฐาน

ผลการวิจัย พบว่า การอ่านพื้นฐานของนักเรียน ระดับชั้นอนุบาลปีที่ 3/3 โรงเรียนหนองหว้า
(ชมายนกุ ูล) หลังการจดั กิจกรรมการเลน่ กลางแจง้ ภาษาแสนสนกุ สูงกว่าก่อนการจัดกิจกรรม
คำสำคญั : กจิ กรรมการเล่นกลางแจง้ การอ่านพ้ืนฐาน นักเรียน

ประกาศคณุ ูปการ

รายงานวิจัยเล่มนี้สำเร็จลุล่วงตามวัตถุประสงค์ได้ ต้องกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูง
ในความอนุเคราะห์จากอาจารย์สุพรรณกิ าร์ ศรสี ุวรรณ อาจารยท์ ่ีปรึกษาท่ไี ด้ใหค้ วามรู้ ให้คำปรึกษา
ตลอดจนคำแนะนำแก้ไขในข้อบกพร่องทุกขั้นตอนเป็นอย่างดียิ่ง ทำให้วิจัยเล่มนี้มีความสมบูรณ์
ผวู้ จิ ัยจึงขอขอบพระคุณไว้ ณ ที่น้ีเป็นอย่างสงู

ขอขอบพระคณุ อาจารยจ์ ุฬาลักษณ์ สุตระ คุณครูเอือ้ มภรณ์ มารคคงคแ์ ก้ว และคุณครู

อาภารณ์ จิตจังดวง ผู้เชี่ยวชาญที่ทรงคุณวุฒิที่ให้ความอนุเคราะห์ตรวจ แก้ไขปรับปรุง และ

ขอ้ เสนอแนะต่าง ๆ ในการสร้างเคร่ืองมือ

ขอขอบพระคุณ นายสมยศ ทองคงใหม่ ผู้อำนวยการโรงเรียนหนองหวา้ (ชมายนุกูล)และ
คณะครูในโรงเรียนทุกท่านที่ให้ความอนุเคราะห์และสนับสนุนในการเก็บรวบรวมข้อมูล ทั้งกลุ่ม
ตวั อย่างทเ่ี ขา้ รับการทดลองที่ให้ความช่วยเหลอื ในการสบื คน้ ข้อมลู แก่ผวู้ จิ ัยเป็นอยา่ งดี

ทา้ ยทีส่ ุดขอขอบคุณเพอ่ื น ๆ ในสาขาการศึกษาปฐมวยั รุ่น 5881101.02 ทกุ ท่านทีไ่ ด้ให้
ความรว่ มมือตลอดมา รวมทั้งขอขอบคณุ คุณพอ่ คณุ แมแ่ ละสมาชิกในครอบครัวของขา้ พเจ้าตลอดจน
ผูท้ ่ีเก่ียวขอ้ งทกุ ฝ่ายที่คอยสง่ เสรมิ สนบั สนนุ ให้กำลังใจ จนทำใหว้ จิ ัยเล่มนี้สำเรจ็ ได้ด้วยดี

นกิ ษารตั น์ แซ่ล่ิง

สารบัญ หนา้

บทท่ี 1
1
บทที่ 1 บทนำ 3
ความเปน็ มาและความสำคญั ของปญั หา 3
วตั ถปุ ระสงคข์ องการวิจัย 3
กรอบแนวคิดในการวจิ ัย 3
สมมติฐานการวจิ ัย 3
ขอบเขตของการวจิ ัย 3
ประชากร 4
กลุ่มตวั อยา่ ง 4
ตัวแปรท่ีศกึ ษา 4
เนอ้ื หาทใี่ ช้ในการทดลอง 4
ระยะเวลาที่ใช้ในการทดลอง
นิยามศัพท์เฉพาะ 5

ประโยชน์ของการวจิ ยั 6

บทที่ 2 เอกสารและงานวจิ ัยทีเ่ กีย่ วขอ้ ง 7
7
การจดั กิจกรรมกลางแจง้ ภาษาแสนสนุก 7
ความหมายของกจิ กรรมเกมกลางแจง้ 8
ความสำคญั ของการจดั กจิ กรรมเกมกลางแจง้
วตั ถปุ ระสงคข์ องการจัดกจิ กรรมกลางแจ้ง 9
9
ประเภทของกจิ กรรมเกมกลางแจง้ 11
หลกั การจัดกิจกรรมกลางแจง้ สำหรับเด็กปฐมวยั
ประโยชน์ของกิจกรรมกลางแจ้ง 14
14
การอา่ นพ้นื ฐาน 15
ความหมายของการอ่าน 16
ความสำคญั ของของการอ่าน 19
พฒั นาการทางการอา่ น 20
องค์ประกอบของการอ่าน 22
ทฤษฎีในการอ่าน
แนวทางการจดั กิจกรรมในการอา่ น 24
งานวิจัยท่ีเกี่ยวข้อง

สารบญั (ตอ่ )

บทท่ี หน้า

บทที่ 3 วธิ ดี ำเนินการวจิ ัย 26

ประชากรและกลุม่ ตวั อย่าง 26

เคร่ืองมือทใ่ี ชใ้ นการวิจัย 26

ขนั้ ตอนการสรา้ งและตรวจสอบคุณภาพเครื่องมอื 26

แบบแผนการวจิ ยั 29

การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล 29

การวิเคราะหข์ ้อมลู 33

สถิติท่ีใช้ในการวเิ คราะหข์ ้อมูล 34

บทท่ี 4 ผลการวเิ คราะห์ขอ้ มลู 36

สัญลกั ษณท์ ี่ใชใ้ นการวิเคราะหข์ อ้ มูล 36

การนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล 36

ผลการวเิ คราะห์ขอ้ มูล 36

บทท่ี 5 สรุปผล อภิปรายผล และขอ้ เสนอแนะ 45

วัตถุประสงค์ของการวิจัย 45

สมมตฐิ านการวิจยั 45

วธิ กี ารดำเนินการวิจัย 45

สรุปผล 46

อภปิ รายผล 47

ขอ้ เสนอแนะในการทำวจิ ัยครง้ั ต่อไป 48

บรรณานุกรม

ภาคผนวก

ภาคผนวก ก รายนามผู้ทรงคณุ วุฒิในการตรวจสอบเคร่อื งมือการวจิ ยั

ภาคผนวก ข หนงั สือขอความอนุเคราะห์ในการตรวจสอบเครื่องมือทใ่ี ชใ้ นการวจิ ยั

ภาคผนวก ค คมู่ อื การใชแ้ ผนการจดั กจิ กรรมการเล่นกลางแจง้ ภาษาแสนสนุก

แผนการจดั กิจกรรมการเลน่ กลางแจ้งภาษาแสนสนกุ

ภาคผนวก ง คู่มือการใช้แบบทดสอบการอ่านพืน้ ฐานของนักเรยี น

แบบทดสอบการอา่ นพ้นื ฐานของนักเรียน

ภาคผนวก จ ผลการตรวจสอบค่าดัชนีความสอดคล้องของวตั ถปุ ระสงคข์ องผทู้ รงคุณวฒุ ิ (IOC)

สารบัญ (ต่อ) หนา้

บทท่ี

ภาคผนวก ฉ ผลการวิเคาระห์ขอ้ มูลจากโปรแกรม SPSS
ภาคผนวก ช ภาพประกอบการดำเนินการวจิ ยั
ประวัตผิ ้วู ิจัย

สารบญั ภาพประกอบ หนา้

ภาพประกอบท่ี 3
29
1 กรอบแนวคิดในการวจิ ยั
2 แบบแผนการทดลอง

บญั ชตี าราง

ตารางท่ี หนา้

1 แสดงระยะเวลาดำเนนิ การจัดกิจกรรมการเลน่ กลางแจ้งภาษาแสนสนุก 30

เพ่ือพฒั นาการอ่านพ้นื ฐานของนักเรียนช้นั อนบุ าล

2 ข้อมลู ท่ัวไปของกลุ่มตัวอย่าง 37

3 การศึกษาการอ่านพ้ืนฐานของนักเรียนระดบั ชัน้ อนุบาลปีท่ี 3/3 37
โรงเรยี นหนองหว้า(ชมายนกุ ลู ) กอ่ นการจัดกจิ กรรมการเลน่ กลางแจ้ง
ภาษาแสนสนกุ เปน็ รายบุคคล

4 การศกึ ษาการอา่ นพืน้ ฐานของนักเรยี นระดบั ชั้นอนุบาลปที ี่ 3/3 40

โรงเรยี นหนองหวา้ (ชมายนุกลู ) หลงั การจดั กจิ กรรมการเล่นกลางแจ้ง

ภาษาแสนสนุก เป็นรายบุคคล

5 การเปรียบเทียบการอ่านพ้ืนฐานด้านการออกเสียงกอ่ นและหลัง 42

การจัดกิจกรรมการเลน่ กลางแจง้ ภาษาแสนสนุก

6 การเปรียบเทียบการอา่ นพ้ืนฐานดา้ นทิศทางการอ่านก่อนและหลัง 43

การจัดกิจกรรมการเลน่ กลางแจง้ ภาษาแสนสนุก

7 การเปรยี บเทียบการอา่ นพื้นฐานดา้ นการเข้าใจความหมายของคำกอ่ นและหลัง 43

การจัดกิจกรรมการเล่นกลางแจ้งภาษาแสนสนกุ 44
8 การเปรยี บเทียบการอ่านพืน้ ฐานก่อนและหลัง

การจัดกิจกรรมการเล่นกลางแจ้งภาษาแสนสนกุ

สารบญั แผนภมู ิ หนา้

แผนภูมิท่ี 44

1 การเปรียบเทยี บคะแนนเฉลย่ี การอ่านพ้นื ฐานกอ่ นและหลัง
การจดั กิจกรรมการเล่นกลางแจ้งภาษาแสนสนุกโดยภาพรวม

บทที่ 1
บทนำ

ความเป็นมาและความสำคัญของปญั หา
การจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตน

ได้หรือว่าผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนา
ตามธรรมชาติและเต็มศักยภาพ (การพัฒนาเด็กปฐมวัยตามแนวพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ
พ.ศ. 2542) ซึ่งสอดคล้องกับ (สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา, 2552 : บทนำ) ที่กล่าวว่า นักการศึกษา
ทุกสาขาทั่วโลก ให้ความสนใจด้านการพัฒนาเด็กปฐมวัยด้วยความเชื่อว่า การเรียนรู้ในช่วงวัยนี้
มีผลกระทบในระยะยาวต่อคุณภาพชีวิตของคน เพราะเป็นช่วงที่สมองมีการเจริญเติบโตในอัตราสูงสุด
ดังนั้นสิ่งแวดล้อมที่ดีรอบตัวนักเรยี น การเลี้ยงดู การดูแลอย่างอบอุ่นใกล้ชิด การช่วยเหลือ และปกป้อง
จากอันตราย รวมถึงความพร้อมในการตอบสนองความต้องการพื้นฐานตามวัยได้อย่างเหมาะสมทุกด้าน
เปน็ พน้ื ฐานสำคัญท่ีจะสง่ ผลต่อสติปญั ญา สมรรถนะ และความสามารถของเด็กอย่างถาวร เพ่ือให้นักเรียน
เจริญเติบโตสมวยั และอยใู่ นสังคมได้อย่างมคี วามสุข

การอ่านพื้นฐานมีความสำคัญ และมีประโยชน์ต่อการดำรงชีวิตของเด็กปฐมวัย เพราะเป็น
ทักษะที่จำเป็นในการอ่านของนักเรียน เป็นการเริ่มต้นการอ่านตัวหนังสือที่ถูกต้อง และมีความหมาย
ซึ่งการอ่านเป็นเป็นการเตรียมความพร้อมทางภาษาให้กับนักเรียนปฐมวัย โดยสังเกตวิธีการที่นักเรียน
มีพัฒนาการทางภาษาอย่างเป็นธรรมชาติ นักการศึกษาเริ่มตระหนักถึงความสำคัญของสิ่งแวดล้อม
ต่อพัฒนาการด้านการเรียนรู้ภาษาของนักเรียน เช่น ถ้านักเรียนมาจากบ้านที่เห็นคุณค่าของวรรณคดี
และการอ่าน ทั้งยังมีกิจกรรมการอ่านนิทานให้ก่อนนอนทุกวัน นักเรียนเหล่านี้จะสนใจตัวหนังสือ
และจะเรียนรู้การอ่านพื้นฐาน ได้เร็วกว่านักเรียนที่ไม่มีประสบการณ์เช่นนี้ อีกทั้งการอ่านเป็นรากฐาน
ในการเรียนรู้วิชาอื่น ๆ นอกจากนี้นักเรยี นวัยก่อนประถมศึกษาเป็นช่วงระยะเวลาที่สำคัญ ในการปลูกฝัง
ให้มีนิสัยรักการอ่าน และเห็นความสำคัญของการอ่านเป็นลำดับแรก เพราะการอ่านไม่ใช่สิ่งที่ติดตัว
มาตงั้ แตเ่ กิด เหมือนทักษะการฟงั และการพดู แตจ่ ะต้องมกี ารฝกึ ฝนเป็นเวลานานหากไม่ส่งเสริมตั้งแต่อายุ
ยังน้อยแล้วก็หวังได้ยากว่านักเรียนจะเห็นความสำคัญของการอ่านในภายหน้า (สำนักงานคณะกรรมการ
การศึกษาแงชาติ : ออนไลน์)

จากการสำรวจการอ่านของประชาชนของสำนักงานสถิติแห่งชาติ พ.ศ.2561 พบว่าอัตราการ
อ่านของเด็กต่างจังหวัดมีอัตราการอ่านต่ำกว่าเด็กในกรุงเทพมหานคร จึงทำให้รู้ว่าการอ่านเป็นปัญหา
ระดับชาติ จากการศึกษาข้อมูลเพิม่ เตมิ ว่าอัตราการไม่รู้หนังสือของคนไทยในสังคม เกิดจากการมุ่งให้เดก็
อ่านได้โดยไม่คำนึงถึงการสอนท่ีเหมาะสมกับธรรมชาติของเด็กเป็นการทำลายความสนใจ และทัศนคติท่ดี ี
ของเด็กทมี่ ีต่อภาษาตัง้ แต่เด็กยังอ่านไมอ่ อกของเดก็ ซึง่ สอนคล้องกบั สภาพปัญหาการจดั กจิ กรรมการเรียน

การสอนที่เกี่ยวกับการอ่านในปัจจุบันพบว่า นักเรียนชั้นอนุบาล 3/3 จำนวน 33 คน พบว่า มีพัฒนาการ
ด้านการอ่านของนักเรียนยังไม่พร้อมเท่าที่ควร และเนื่องจากนักเรียนใกล้กำลังศึกษาต่อในระดับ
ประถมศึกษา ซึ่งเน้นการอ่านเป็นสำคัญ ในขณะที่นักเรียนอ่านรูปภาพหรือตัวอักษร เพื่อฝึกการอ่าน
พื้นฐาน พบว่า นักเรียนออกเสียงพยัญชนะไม่ถูกต้อง โดยบางคนยังไม่รู้การออกเสียงพยัญชนะ และออก
เสียงประสมคำ ซึ่งบางคนยังอ่านทิศทางจากขวามาซ้าย ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้จัดเป็นสภาพปัญหาส่วนหนึง่
ของการอ่าน โดยสาเหตุสว่ นใหญ่สืบเนอื่ งมาจากการท่ีครูขาดทกั ษะในการสง่ เสรมิ กิจกรรมทช่ี ว่ ยพัฒนาการ
อ่านพืน้ ฐาน จึงเป็นผลทำใหเ้ ด็กอา่ นพ้นื ฐานไม่ถูกตอ้ ง

การจัดกิจกรรมการเลน่ กลางแจ้งภาษาแสนสนกุ เป็นกิจกรรมกลางแจ้งที่สำคญั สำหรับนกั เรียน
เพราะอยใู่ นกิจกรรม 6 หลกั ของนักเรียนปฐมวัย โดยจัดกิจกรรมใหภ้ าษาในการอา่ นเข้ามาเก่ยี วข้องในการ
เรียนรู้ เนื่องจากเปน็ การเล่นทีม่ ีกฎเกณฑ์ กติกาไม่ซับซ้อน สามารถเล่นเป็นกลุ่มได้ เพื่อที่จะส่งเสริมการ
อ่านพื้นฐานให้กับนักเรียน เพราะในขณะที่นักเรียนเล่นนั้นจะได้ใช้สติปัญญาในด้านของภาษา ช่วยให้
นักเรียนมีพัฒนาการทางภาษามากขึ้น เนื่องจากเป็นการจัดกิจกรรมเกมกลางแจ้งภาษาแสนสนุก เพื่อ
ส่งเสริมการอ่านที่ไม่ใช่การอ่านจากหนังสือเรียน แต่เป็นกิจกรรมที่ให้นักเรียนได้มีส่วนร่วมในการทำ
กิจกรรมโดยใช้ความสนุก และการจัดกิจกรรมเกมกลางแจ้งภาษาแสนสนุก โดยจัดกิจกรรมสอดแทรก
คำศัพท์ หรือภาษาในการอ่านไดอ้ ย่างถูกวธิ ี ให้นักเรียนเรียนรพู้ ยัญชนะตน้ สระ และการออกเสยี งโดยผ่าน
การเล่นที่ไม่ใช่การท่องจำจากตัวหนังสือ ซึ่งสอดคล้องกับ กุลยา ตันติผลาชีวะ (2552) ที่ได้อธิบายว่า
ธรรมชาติของเด็กในวัยนี้เป็นวัยที่ไม่ชอบอยู่นิ่ง อยากรู้ อยากเห็น อยากลงมือทดลองกระทำด้วยตนเอง
ดังนั้นการจัดกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้เด็กได้เคลื่อนไหวจึงเป็นกิจกรรมที่สามารถตอบสนองธรรมชาติ
การเรียนรู้ของเด็กได้ดีที่สุด โดยแนวคิดทฤฎีอาร์โนลด์ กีเซล (Arnold Gesell) สามารถนำมาอธิบาย
พัฒนาการของมนุษย์ในด้านการเจริญเติบโตพัฒนาการทางร่างกาย และสามารถนำไปเชื่อมโยงกับ
พัฒนาการทางสตปิ ัญญาไดอ้ กี ด้วย

จากเหตุผลดังกลา่ ว ผู้วิจัยจึงสนใจที่จะศึกษาการอ่านพืน้ ฐานของนักเรยี น ชั้นอนุบาลปีที่ 3/3
โรงเรียนบ้านหนองหว้า(ชมายนุกูล) ก่อน และหลังการจัดกิจกรรมการเล่นกลางแจ้งภาษาแสนสนุก
ว่ามีมากน้อยเพียงใดและเปรียบเทยี บการอ่านพื้นฐานของนักเรียนช้ันอนุบาลปีที่ 3/3 โรงเรียนบ้านหนอง
หว้า(ชมายนุกูล) หลังการจัดกิจกรรมการเล่นกลางแจง้ ภาษาแสนสนกุ ว่าสงู กว่าก่อนการจัดกจิ กรรมหรือไม่
อย่างไร ทั้งนี้เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาและส่งเสริมการอ่านพื้นฐานของนักเรียนในเวลาที่เหมาะสม
และมปี ระสทิ ธภิ าพต่อไป

วัตถปุ ระสงค์ของการวิจัย

เพ่อื เปรยี บเทียบการอ่านพน้ื ฐานของนักเรียนระดับช้ันอนบุ าลปที ี่ 3/3 โรงเรียนบ้าน
หนองหว้า(ชมายนุกูล)กอ่ น และหลงั การจดั กจิ กรรมการเล่นกลางแจ้งภาษาแสนสนุก

กรอบแนวคิดในการวจิ ัย ตัวแปรตาม

ตัวแปรอสิ ระ การอ่านพ้นื ฐาน
1. การอ่านออกเสียง
การจัดกิจกรรมการเล่นกลางแจ้งภาษา 2. ทิศทางการอ่าน
แสนสนุก 3. การเขา้ ใจความหมายของ

1. ข้นั นา คา
2. ข้นั กิจกรรม
3. ข้นั สรุป

ภาพประกอบท่ี 1 กรอบแนวคิดในการวจิ ยั

สมมตฐิ านการวจิ ยั

การอ่านพื้นฐานของนักเรียน ระดับชั้นอนุบาลปี3/3 โรงเรียนบ้านหนองหวา้ (ชมายนุกลู )

หลังการจดั กจิ กรรมการเล่นกลางแจง้ ภาษาแสนสนุก

ขอบเขตของการวิจยั

ประชากรและกลุ่มตัวอยา่ ง
ประชากร
ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นนักเรียน ชาย - หญิง อายุระหว่าง 5-6 ปี

ซ่งึ กำลงั ศึกษาอยู่ในระดับชั้นอนุบาลปีที่ 3 จำนวน 4 หอ้ งเรยี น จำนวนนกั เรียน 136 คน ภาคเรียนที่ 2
ปกี ารศกึ ษา 2562 โรงเรียนบ้านหนองหว้า(ชมายนุกลู ) จังหวดั นครศรีธรรมราช

กลุ่มตวั อย่าง
กล่มุ ตัวอย่างที่ใช้ในการวจิ ัยครัง้ นี้ เปน็ นกั เรยี น ชาย – หญิง อายุระหว่าง 5-6 ปี
ซึ่งกำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นอนุบาลปีที่ 3/3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2562 โรงเรียนหนองหว้า
(ชมายนุกูล) จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งได้มาด้วยการใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยการสุ่ม จำนวนนักเรียน 33
คน

ตัวแปรทศ่ี กึ ษา
1. ตัวแปรอสิ ระ ได้แก่ การจัดกิจกรรมการเลน่ เกมกลางแจง้ ภาษาแสนสนุก
2. ตวั แปรตาม ได้แก่ การอา่ นพื้นฐาน ซ่งึ แบ่งออกเป็น 3 ด้าน ได้แก่ ดา้ นการอา่ น

ออกเสียง ด้านทิศทางการอา่ น และด้านการเข้าใจความหมายของคำ
เนื้อหาและระยะเวลาในการทดลอง
เนือ้ หาท่ใี ชใ้ นการทดลอง
เนื้อหาที่ใช้ในการทดลองสอดคล้องตามหลักสูตรสถานศึกษาของโรงเรียนบ้าน

หนองหวา้ (ชมายนุกลู )ชัน้ อนุบาลปีท่ี 3 ซ่ึงกำหนดใหด้ ำเนินการจัดกิจกรรมการเล่นเกมกลางแจง้ ภาษา
แสนสนกุ ในกิจกรรมกลางแจง้

ระยะเวลาทใ่ี ชใ้ นการทดลอง
การวิจัยในครั้งนี้ทำการทดลองในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2562 ใช้เวลาใน

การศึกษา 5 สปั ดาห์ กำหนดให้แต่ละสัปดาห์จดั กิจกรรม 4 วัน ได้แก่ วนั จันทร์ วันอังคาร วนั พธุ และ
วันพฤหัสบดี วันละ 50 นาที รวมทงั้ ส้นิ 20 วนั

นยิ ามศพั ทเ์ ฉพาะทีใ่ ช้ในการวิจยั
1. การจัดกิจกรรมการเล่นกลางแจ้งภาษาแสนสนุก หมายถึง การจัดกิจกรรมกลางแจง้

โดยให้นักเรียนทำกิจกรรมเรียงแกว้ คำศพั ท์ กิจกรรมวิ่งเทน้ำ กิจกรรมหาไข่คำศัพท์ กิจกรรมปิงปอง
พยัญชนะ กิจกรรมข้ามเก้าอี้เรียงภาษา กิจกรรมทรงตัวประกอบคำศัพท์ กิจกรรมป้ายพยัญชนะ
กิจกรรมกระต่ายขาเดียวเรียงภาษา กิจกรรมส่งบอลภาษา กิจกรรมกระโดดประกอบคำ โดยมีครู
คอยสังเกตการและอำนวยความสะดวกให้กับเด็กซึ่งสามารถเล่นได้ทั้งในร่มและกลางแจ้ง โดยมี
กระบวนการในการจัดกิจกรรมการเล่นกลางแจ้งภาษาแสนสนุก 3 ขนั้ ตอน ดงั นี้

1.1 ขั้นนำ เป็นการเตรียมนักเรียนให้พรอ้ มก่อนการทำกิจกรรมโดยใช้เพลง และออก
เสียงพยัญชนะ ก-ฮ และสระพื้นฐานจำนวน 28 ตัว เพื่อกระตุ้นให้นักเรียนเกิดความสนใจก่อนเริ่ม
กิจกรรม

1.2 ขนั้ กจิ กรรม เปน็ ข้ันทคี่ รูมกี ารนำกิจกรรมการเลน่ ภาษาแสนสนุกมาให้นักเรียนทำ
กิจกรรม โดยให้นักเรียนทำท่าการบริหาร อธิบายและสาธิตการเล่น ตัวแทนนักเรียนออกมาสาธิต
นกั เรยี นและครูรว่ มกันทบทวนข้อตกลง แบ่งกลมุ่ นกั เรียน นักเรียนร่วมกนั ทำกจิ กรรม และตรวจสอบ
ความถกู ต้อง

1.3 ขั้นสรุป ขั้นสรุป เป็นขั้นที่ให้นักเรียนออกเสียงพยัญชนะต้น และบอกชื่อสระของ
คำศพั ทอ์ อกเสยี งพยัญชนะ ก-ฮ และสระพ้ืนฐานจำนวน 28 ตวั และเก็บอุปกรณใ์ นการทำกจิ กรรม

2. การอา่ นพ้ืนฐาน หมายถึง การใชต้ ามองตัวอักษรแล้วเปล่งเสียงหรือออกเสียงออกมา
เป็นเสียงอ่านหรือคำพูด เพื่อใช้ในการสื่อความหมาย และการอ่านจากรูปภาพหรือสัญลักษณ์ที่
สามารถตคี วามหมายหรือแปลรปู ภาพ โดยการอ่านพ้นื ฐาน 3 ด้าน คอื

2.1 ดา้ นการอา่ นออกเสียง หมายถงึ การออกเสียงออกมาให้ผู้อ่นื ได้ยินหรือออกเสียง
คนเดียวจากการอ่านตัวอักษรหรือรูปภาพ ซึง่ สามารถออกเสียงพยัญชนะอกั ษรต่ำ (ก ด จ ต บ ป อ)
อักษรสูง (ข ฉ ส ถ ผ ห) อักษรต่ำ (ค ช ท พ ร น ม)

2.2 ด้านทิศทางการอ่าน หมายถึง การอ่านตัวอักษรหรือรูปภาพจากทิศทางซ้ายไป
ทางขวา โดยใช้การสงั เกตตัวอกั ษรหรอื รปู ภาพ

2.3 ด้านการเข้าใจความหมายของคำ หมายถึง การตีความหมายจากคำทีส่ ามารถบง่
บอกลกั ษณะของคำนั้น ๆ หรอื เข้าใจความหมายออกมาเป็นรปู ภาพสัญลกั ษณน์ ้นั ๆ

ประโยชน์ของการวิจยั

1. ความรทู้ ี่ไดร้ บั
จากการดำเนินงานวจิ ัยครั้งนผี้ ้วู ิจยั ไดร้ ับความรู้เกย่ี วกบั การพัฒนานกั เรยี นในเร่ือง

ของการอ่านพนื้ ฐาน โดยการจดั กิจกรรมการเลน่ กลางแจ้งภาษาแสนสนุก
2. การนำผลวิจยั ไปใช้
1. ใช้ในการพัฒนาเด็กนักเรียนในเรือ่ งการอา่ นพ้นื ฐาน
2. สามารถนำผลการวิจยั ครัง้ น้ไี ปประยุกตก์ บั การจัดกิจกรรมการเรยี นการสอนของ

นักเรียนในระดับชั้นอนุบาล
3. เปน็ แนวทางสำหรบั ครู ผ้ปู กครอง และผู้ทเ่ี กย่ี วขอ้ งอ่นื ๆ สามารถนำการจดั

กิจกรรมการเลน่ กลางแจง้ ภาษาแสนสนุกใช้กบั เด็กนกั เรียน

บทที่ 2
เอกสารและงานวจิ ยั ท่ีเกย่ี วข้อง

งานวจิ ยั เร่ืองการศึกษาการอา่ นพ้ืนฐานของนักเรียน ชน้ั อนบุ าลปีท่ี 3/3 โรงเรียนบา้ นหนอง
หว้า(ชมายนกุ ูล) ท่ไี ดร้ ับการจัดกจิ กรรมกลางแจ้งภาษาแสนสนกุ ในคร้ังนีผ้ วู้ ิจัยไดศ้ ึกษาแนวคิด ทฤษฎี
ต่าง ๆ และงานวิจยั ที่เกย่ี วข้องดังนี้

1. การจดั กจิ กรรมกลางแจ้งภาษาแสนสนกุ
1.1 ความหมายของกิจกรรมเกมกลางแจ้ง
1.2 ความสำคญั ของการจดั กจิ กรรมเกมกลางแจ้ง
1.3 วตั ถุประสงค์ของการจดั กจิ กรรมกลางแจ้ง
1.4 ประเภทของกิจกรรมเกมกลางแจ้ง
1.5 หลักการจดั กิจกรรมกลางแจง้ สำหรับเด็กปฐมวัย
1.6 ประโยชน์ของกจิ กรรมกลางแจ้ง

2. การอา่ นพ้นื ฐาน
2.1 ความหมายของการอา่ น
2.2 ความสำคญั ของของการอา่ น
2.3 พฒั นาการทางการอา่ น
2.4 องค์ประกอบของการอ่าน
2.5 ทฤษฎีในการอ่าน
2.6 แนวทางการจัดกจิ กรรมในการอ่าน

3. งานวจิ ัยทเ่ี ก่ยี วขอ้ ง

1. การจดั กจิ กรรมเกมกลางแจง้ ภาษาแสนสนุก

1.1 ความหมายของกจิ กรรมกลางแจ้ง
พัฒนา ชัชพงศ์ (2552, น.54) ได้ให้ความหมายของกจิ กรรมการเล่นกลางแจ้งว่าเป็น

ช่วงเวลาที่เราให้เด็กได้ออกนอกห้องเรียนไปสู้สนามเด็กเล่น ทั้งที่บริเวณกลางแจ้ง และในร่ม
จุดมุ่งหมายของการบรรจุกิจกรรมกลางแจ้งไว้ในตารางกิจกรรมของเด็กปฐมวัยทุกวัน ก็เพื่อที่จะให้
โอกาสให้เดก็ ไดพ้ ฒั นาทุก ๆ ดา้ น โดยยึดเอาความสนใจ ความสามารถของเด็กแตล่ ะคนเปน็ หลัก

วราภรณ์ รกั วิจยั (2541, น. 24-26) กล่าวถึงความหมายกจิ กรรมกลางแจง้ วา่ หมายถึง
การเล่นออกกำลงั นอกหอ้ งเรยี น เพื่อทำใหเ้ ด็กแข็งแรง เคล่อื นไหวส่วนตา่ ง ๆ ของรา่ งกายไดอ้ ยา่ งเสรี
เด็กได้แสดงออกทางอารมณ์ และจินตนาการ ได้พฒั นากล้ามเนือ้ ใหญ่ – เล็ก รวมท้งั ประสาทสัมผสั

สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ (2544 , น.15-16) ได้ให้
ความหมาย ของการจัดกิจกรรมกลางแจ้ง หมายถึง การจัดกิจกรรมที่เปิดโอกาสใหเ้ ด็กได้มีโอกาสได้
เคลื่อนไหวร่างกาย และประกอบกิจกรรมการเล่นต่าง ๆ ในที่โล่งแจ้ง เช่น สนามหรือตามร่มไมห้ รอื
ภายในอาคารพลศกึ ษา โดยมเี ปา้ หมายหลักเพื่อใหเ้ ดก็ ได้รับความสนุกสนาน รู้จักเลน่ เปน็ กล่มุ เคารพ
กฎกติกา และสามารถสร้างความปลอดภัยในการเล่น อันจะเปน็ องค์ประกอบพน้ื ฐานที่จะนำไปสู่การ
พัฒนาการทางร่างกาย จติ ใจ อารมณ์ สงั คม และภาษา

สรุป กิจกรรมกลางแจ้ง หมายถึง กิจกรรมที่เปิดโอกาสให้เด็กได้เคลื่อนไหวออกกำลงั
หรอื ประกอบกจิ กรรมการเลน่ ในสนามนอกห้องเรียน โดยมีจดุ มุง่ หมายสง่ เสริมพฒั นาการด้านร่างกาย
โดยเฉพาะกล้ามเนอื้ ใหญข่ องเด็กเปน็ หลัก และรวมไปถึงส่งเสรมิ พฒั นาการด้านอารมณ์ จิตใจ สังคม
และสตปิ ัญญาของเดก็ ด้วย

1.2 ความสำคัญของการจดั กจิ กรรมกลางแจง้
วราภรณ์ รักวิจัย (2541, น.96) กล่าวว่า การเล่นกลางแจ้ง หมายถึง การเล่นออก

กำลงั นอกห้องเรยี นเพ่อื ทำใหเ้ ด็กแข็งแรง เคลื่อนไหวส่วนต่าง ๆ ของรา่ งกายได้อยา่ งเสรี เดก็ ได้แสดง
อารมณ์ และจนิ ตนาการ ได้พัฒนากล้ามเน้อื ใหญเ่ ลก็ รวมทงั้ ประสาทสัมผัส

เยาวพา เดชะคุปต์, 2542, น.20) กลา่ วว่า การเล่นกลางแจ้งจะชว่ ยสง่ เสริมพัฒนาการ
ทางด้านร่างกาย คือ เสริมความแข็งของกล้ามเนื้อ และการเคลื่อนไหว ซึ่งพัฒนาการดังกล่าวมี
ความสำคัญมากตอ่ เด็กในวัยนี้

ภรณี คุรุรัตนะ (2542, น. 124) ได้กล่าวถึงการเล่นกลางแจ้งว่า เป็นกิจกรรมที่มี
ความสำคัญต่อเด็กมาก เพราะเด็กต้องมีความเคลื่อนไหว และพัฒนาความสัมพันธ์ของกล้ามเน้ือ
โรงเรยี นจึงควรมที ่ีว่างมากพอทจ่ี ะให้เด็กไดว้ ่ิงเล่นได้โดยไมช่ นกนั เคร่อื งเล่นก็ควรมคี รบเพื่อให้เด็กได้
มสี ่วนร่วมเตม็ ที่

สรปุ จากท่ีกลา่ วมาจะเหน็ ได้วา่ การละเล่นกลางแจ้งเป็นการเลน่ ท่ีเปดิ โอกาสใหเ้ ด็กได้
เล่นอยา่ งเต็มท่ี นอกจากน้นั ยงั ได้เหน็ สิ่งต่าง ๆ ได้รบั ประสบการณ์แปลก ๆ ครจู งึ ไม่ควรละเลยจัดให้
เดก็ ได้เลน่ กนั แกลง้ เพราะการละเลน่ กลางแจ้งมีความสำคญั ตอ่ พฒั นาการ โดยการจดั สภาพแวดล้อม
อุปกรณ์เครื่องเล่น กระตุ้นให้เด็กเกิดความอยากรู้อยากเหน็ เกิดการสำรวจค้นควา้ ด้วยตนเองภายใต้
บรรยากาศทเี่ ปน็ อิสระ เพ่อื เปน็ พ้ืนฐานในการเรยี นร้ตู อ่ ไป

1.3 วตั ถุประสงคข์ องการจดั กิจกรรมกลางแจ้ง
มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (2526, น.170 อ้างถึงในวีระพงศ์ บัญประจักษ์,

2545, น.22) ได้สรุปเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของการเล่นกลางแจ้งไว้ว่า เพื่อให้เด็กได้ออกกำลังกาย มี
สุขภาพดี แข็งแรง ไดร้ จู้ ักการแกป้ ัญหา และการปรับตัวเพ่ือการอยู่ร่วมกนั ในสงั คม

บุญเยี่ยม จิตรดอน และอารมณ์ สุวรรณปาล (2542, น.10-14) ได้กล่าวถึง
วัตถุประสงคใ์ นการเลน่ กลางแจง้ ดังน้ี

1) เพื่อให้เด็กได้ออกกำลังกายกลางแจ้งเป็นการส่งเสริมให้เด็กแข็งแรง และมี
สุขภาพดี

2) เด็กได้แนวคิด และประสบการณต์ รงนอกหอ้ งเรียน
3) เดก็ ได้รจู้ กั แกป้ ัญหาด้วยตนเอง และพฒั นาด้านสงั คม
4) พฒั นาดา้ นประสาทสมั ผัส
สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ (2544, น.11-13) กล่าวถึง
วัตถปุ ระสงค์ของการจัดกิจกรรมกลางแจง้ ไวด้ ังนี้
1) เพ่ือพฒั นาการเคลือ่ นไหวเบือ้ งตน้ ที
2) เพ่อื พฒั นาการประสานสัมพันธ์ของอวยั วะต่าง ๆ ของร่างกาย
3) เพือ่ พฒั นาสมรรถภาพทางกลไก
4) เพื่อพัฒนาทางด้านจิตใจ อารมณ์ สงั คม และสติปัญญา
5) เพ่อื พฒั นาความมรี ะเบียบวนิ ัย รจู้ ักเคารพกฎ กตกิ า การเล่นเป็นกล่มุ
สรุป การจัดกิจกรรมการแจ้ง มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้เด็กมีร่างกายแข็งแรง
และมีสุขภาพดีเปน็ การพัฒนากล้ามเนื้อใหญก่ ลา้ มเน้ือเล็ก ใหส้ ามารถเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่ว
ช่วยพัฒนาประสาทสัมผัสระหว่างมือกับตาเป็นการตอบสนองความอยากรูอ้ ยากเห็น ในสิ่งแวดล้อม
รอบตัวของเด็กทำให้เกิดความสนกุ สนาน ผอ่ นคลายความเครียด รวมทั้งเปน็ การสง่ เสริมการปรับตัว
ในการเล่น ทำงานรว่ มกับผู้อ่ืน พัฒนาทักษะการเรยี นรู้ตา่ ง ๆ การสังเกต เปรียบเทยี บ และภาษา

1.4 ประเภทของกจิ กรรมกลางแจ้ง
อารมณ์ สวุ รรณปาล (2542, น.22-23) ไดแ้ บง่ ประเภทการเล่นของเดก็ ไว้ โดยแบ่งการ

เล่นเปน็ 2 ลักษณะ คอื
1) การเล่นทีม่ ีอสิ ระ
2) การเล่นท่มี เี กณฑ์ โดยมีกฎ กติกาสนั้ ๆ ง่าย ๆ ไมส่ ลับซบั ซอ้ นจนเกินไป

สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ (2544, น.2-5) ได้แบ่งประเภท
ของกจิ กรรมกลางแจ้งไวด้ ังน้ี

1) การเคลอื่ นไหวพื้นฐาน
2) กิจกรรมเขา้ จงั หวะ
3) เกมเบด็ เตล็ด
4) การเล่นสมมติ
5) การละเล่นพ้ืนเมือง
6) การเลน่ แบบผลัด
7) กิจกรรมเสรมิ สมรรถภาพทางกลไก
สรปุ การจัดกจิ กรรมกลางแจง้ เป็นกจิ กรรมที่จัดใหเ้ ด็กได้มีโอกาสออกนอกห้องเรียน
เพื่อออกกำลงั เคลื่อนไหวร่างกาย และแสดงออกอย่างอิสระ โดยยดึ ความสนใจ และความสามารถของ
เด็กแต่ละคนเป็นหลัก เช่น การเล่นสนามเด็กเล่น การเล่นทราย การเล่นน้ำ การเล่นบทบาทสมมุติ
การเล่นในมมุ ช่างไม้ การเล่นเกมการละเลน่ เป็นต้น
1.5 หลักการจัดกิจกรรมกลางแจง้ สำหรับเดก็ ปฐมวัย
บุญเยย่ี ม จติ รดอน และอารมณ์ สุวรรณปาล (2542, น.18-20) ได้กล่าวถึงหลกั การจัด
พลศกึ ษาซงึ่ เป็นกิจกรรมหนึ่งของกจิ กรรมกลางแจ้ง ดงั น้ี
1) การจัดกิจกรรมพลศึกษาต้องพิจารณาความต้องการ ความสนใจ และ
ความสามารถของเดก็
2) การจัดกิจกรรมพลศึกษาต้องเป็นกิจกรรมที่พัฒนากล้ามเนื้อเล็ก และใหญ่
พัฒนาจิตใจ อารมณ์ สังคม และสติปญั ญา
3) วัสดุอุปกรณ์พลศึกษาเป็นความรับผิดชอบของสถานศึกษาที่จะต้องจัดหา
เพื่อสนองความต้องการ และพฒั นาการของเด็ก และมีพร้อมสำหรับเด็กเสมอ
4) การจัดกจิ กรรมพลศกึ ษาตอ้ งคำนงึ ถึงความแตกต่างของเด็กแต่ละคน
5) การจดั กจิ กรรมพลศกึ ษาต้องเสริมสร้างลกั ษณะนิสัยเดก็ ใหใ้ ชเ้ วลาว่างให้เป็น
ประโยชน์
6) จดั กิจกรรมพลศึกษาตอ้ งคำนงึ ถงึ ความต้องการของชุมชน และผู้ปกครอง

7) การจัดกิจกรรมพลศึกษาต้องคำนึงถึงเด็กที่มีความผิดปกติทางสมอง และ
ร่างกาย

8) กิจกรรมพลศึกษาควรประสานสมั พนั ธก์ บั ประสบการณอ์ ่ืน
9) การประเมนิ ผลดา้ นพลศึกษาต้องประเมินในด้านการเจรญิ เติบโตด้านร่างกาย
ของเดก็ เปน็ หลกั ส่วนได้ อนื่ ๆ เป็นสว่ นประกอบ
วีระพงศ์ บุญประจกั ษ์ (ออนไลน์:2555) ได้กลา่ วการจดั กิจกรรมกลางแจง้ ไวด้ ังนี้
1) การเล่นของเดก็ ต้องการการเรียนรู้ตามลำดับข้ันพัฒนาการ ซึ่งจำเป็นจะตอ้ ง
ได้รบั ความรว่ มมือจากบุคคลใกล้ชิด ได้แก่ บดิ า มารดา ครู ในการจัดของเลน่ ทเี่ หมาะสมสำหรับเด็ก
และควรปลอ่ ยใหเ้ ด็กได้มีอิสระเต็มท่ขี ณะท่เี ด็กเลน่
2) ควรให้เวลา และโอกาสในการเลน่ แกเ่ ดก็ และใหเ้ ด็กได้เล่นอยา่ งเสรี
3) ควรคำนึงถึงความสนใจของเด็กหรือความตั้งใจของเด็กอายุ 2-3 ขวบ
โดยเฉลย่ี ประมาณ 7-8 นาที และอายุ 5-6 ขวบ มคี วามต้งั ใจเฉล่ยี ประมาณ 13.6 นาที และในการจัด
กิจกรรมควรคำนึงถึงพัฒนาการ และจิตวิทยาของเด็ก เด็กอายุ 3-4 ขวบใช้เวลาในการจัดกิจกรรม
ประมาณ 15 นาที เด็กอายุ 5-6 ขวบ ใช้เวลาประมาณ 20 นาที การกำหนดเวลาอยา่ งเหมาะสมเป็น
สิ่งสำคัญ เพราะจะช่วยให้เด็กพัฒนาทางร่างกาย และจิตใจ ถ้าไม่กำหนดเวลาเด็กก็อาจจะเครียด
และทำกิจกรรมจนเหนอื่ ยทำใหห้ งดุ หงิด การทำกิจกรรมจะไม่ไดผ้ ล
สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ (ออนไลน์ : 2554) ได้เสนอแนว
ทางการจัดกิจกรรมกลางแจ้งมีจุดประสงค์เพื่อให้เด็กได้เคลื่อนไหวร่างกายด้วยความสนุกสนาน
ปลอดภัย และสามารถเล่นได้ตามกฎกติกา ระเบียบวิธีการเล่นที่ได้กำหนดไว้ดังนั้น ในการจัด
ประสบการณ์ การเล่น ครูควรดำเนนิ การ ดงั ตอ่ ไปน้ี ดังน้ี
1) ในการเลน่ ทกุ ครัง้ ครคู วรดำเนินการ ดงั ตอ่ ไปนี้

1.1) การนำนกั เรียนไปสนามเลน่ อย่างมรี ะเบียบ
1.2) การจัดรปู แบบแถวการเลน่ และอบอ่นุ ร่างกาย
1.3) การอบอุน่ รา่ งกายก่อนการเล่น
1.4) การเลน่ อยา่ งสนุกสนานและปลอดภัย
1.5) ใหน้ ักเรยี นไดเ้ ลน่ อิสระประมาณ 5 นาที
1.6) การคลายกล้ามเนอ้ื หลงั การเล่น
1.7) เมื่อเสร็จการเล่นทุกครั้งครูควรสรุปข้อดี ข้อเสีย และทำความสะอาด
ร่างกาย
2) ในการสอนทุกครั้ง ครูต้องอธิบายประกอบการสาธิตอย่างช้า ๆ ให้เด็กได้
ทดลองเลน่ หรอื บางกิจกรรม ครูทำใหน้ กั เรยี นดูและให้นกั เรียนทำตาม กอ่ นปลอ่ ยใหเ้ ล่นจรงิ

3) ให้มีการทดลองเลน่ กิจกรรมนั้น ๆ กอ่ นหรือให้นักเรียนออกมาแสดงหรอื สาธิต
กอ่ นที่จะให้นกั เรยี นเลน่ จรงิ หรือแข่งขนั

4) ในการเล่นควรจัดให้มกี ารแข่งขันเพือ่ เพิ่มความสนุกสนาน แต่ไม่ควรเน้นผล
ของการแพ้ - ชนะมากนัก โดยการจัดกิจกรรมในแต่ละวัน ควรเน้นให้นักเรียนเกิดความสนุกสนาน
และเกิดเจตคตทิ ่ีดีตอ่ การเลน่ และการออกกำลังกายของเด็ก

5) ในการจดั กิจกรรมควรคำนงึ ถึงเรือ่ งความปลอดภัยเป็นสำคญั ไมค่ วรปล่อยให้
เด็กได้เลน่ ตามลำพัง ครูควรดูแลเดก็ อย่างสม่ำเสมอ

6) กิจกรรมท่ีจัดใหเ้ ด็กในแต่ละวนั ควรจะเป็นกจิ กรรมท่ีสามารถพัฒนากล้ามเน้ือ
ทุกสว่ นของรา่ งกาย เรยี งลำดบั ความยาก – ง่าย และความหนกั - เบาของกจิ กรรม

สรุป หลักการจัดกิจกรรมกลางแจ้งสำหรับเด็กปฐมวัย สิ่งที่ควรคำนึงถึงเป็นสำคัญ
คือ ความสามารถ และความแตกต่างของเด็กแต่ละคน จะต้องเรียนรู้ถึงพัฒนาการของเด็กแต่ละวยั
ความสนใจของเด็กแต่ละคน และเปิดโอกาสให้เด็กเล่นอย่างอิสระรวมทั้งความปลอดภัยในการเล่น
ควรเนน้ ใหน้ กั เรียนเกิดความสนกุ สนาน และเกดิ เจตคตทิ ่ดี ตี ่อการเล่น และการออกกำลังกายของเด็ก

1.6 ประโยชนข์ องกจิ กรรมกลางแจง้
บุปผา พรหมศร (ออนไลน์ : 2552) กล่าวถึง ความสำคัญของการเล่นของเด็กว่ามี

ความสำคัญต่อเดก็ ดังน้ี
1) การเล่นเป็นความสุขของเด็กในขณะที่เด็กเล่น เด็กจะแสดงออกถึงความสด

ช่ืน เบกิ บาน
2) การเล่นเป็นการตอบสนองความต้องการของเด็ก การเล่นจะช่วยตอบสนอง

ความตอ้ งการของเดก็ หลายด้าน คอื
2.1) ความอยากรอู้ ยากเหน็
2.2) ความตอ้ งการทางกายทเ่ี ด็กชอบเคลอื่ นไหวไปมาอยเู่ สมอ
2.3) ความต้องการทางจิตใจเพราะการเล่นเป็นการกระทำที่เด็กพอใจ

และเป็นกิจกรรมที่เกิดจากตัวเด็กเองเป็นผู้กำหนด มากกว่าที่จะทำตามคำสั่งของใครตรงตามหลัก
จิตวทิ ยา ท่เี ด็กวัยนไี้ ม่ชอบให้ใครบังคบั ชอบทจ่ี ะทำอะไรดว้ ยตนเอง ถอื ตนเองเปน็ ศูนย์กลาง

2.4) การเลน่ เป็นการช่วยทดแทนในสง่ิ ท่ีเด็กต้องการ และอยากเปน็
3) การเล่นเป็นการเรียนรู้ของเด็ก โดยการเล่นช่วยใหเ้ ดก็ เรียนรู้ ดงั นี้

3.1) ช่วยให้เด็กเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัว เมื่อเด็กเล่น เด็กได้สัมผัสวัตถุ
ส่ิงของต่าง ๆ ดว้ ยตวั ของตวั เอง เดก็ จะได้เรียนรถู้ งึ รปู รา่ ง ขนาด นำ้ หนัก สี ความหยาบ ละเอียดของ
วัตถุ ได้สังเกตความแตกต่าง และเหมือนกันหรือคล้ายคลึงกันของสิ่งของ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเป็นการปู
พน้ื ฐานการเรียนรู้ รับรูจ้ ักรูปธรรมไปหานามธรรมมากข้ึนไปตามลำดบั ข้ันตอน

3.2) ช่วยให้เด็กเรียนรู้เกี่ยวกับตนเอง ทำให้เด็กรู้จักและเข้าใจตนเอง รู้ว่า
ตอ้ งการอะไร ไม่ชอบอะไร และจะทำอยา่ งไร เด็กสามารถแสดงอารมณ์ และความคดิ เหน็ ออกมาเป็น
การกระทำเพื่อทดลองและฝึกความสามารถของตนเอง

3.3) ช่วยให้เด็กเรียนรูใ้ นการที่จะอยูร่ ่วมกับผู้อื่น การเล่นกับเพื่อนบ้านหรือ
กับเพื่อนที่จะทำให้เดก็ ร้จู ักปรับตวั ให้เข้ากับผอู้ ื่น เดก็ จะเรียนรถู้ ึงการผลัดเปล่ียนการเล่นการรอคอย
การแบ่งปัน และร้จู กั ตัดสนิ ใจในปัญหาต่าง ๆ

3.4) ช่วยให้เด็กเรียนรู้ถึงหน้าที่และความรับผิดชอบของบุคคลที่มีต่อสังคม
จากการเล่นเลยี นแบบตา่ ง ๆ

4) การเล่นเป็นการทำงานของเด็ก การเล่นของเด็กไม่ได้หมายถึงการที่เด็ก
กระทำกิจกรรมทใ่ี ห้แต่ความสนุกเพลิดเพลนิ อย่างเดยี ว โดยไม่คำนงึ ถึงผลปลาย บางครั้งการเล่นของ
เด็กก็มีจุดมุ่งหมาย มีการแบ่งหน้าที่กันทำ มีความรับผิดชอบต่อสิ่งที่ทำเช่นเดียวกับการทำงานของ
ผู้ใหญ่

5) การเลน่ เปน็ การเตรยี มชวี ิตเดก็ การเลน่ เป็นการฝกึ ให้เดก็ รจู้ กั หน้าท่ี ท่ีจะต้อง
ทำการชว่ ยใหเ้ ด็กได้เล่น จะเปน็ การชว่ ยเสริมสรา้ งการรู้จกั พึง่ ตนเองของเดก็ ได้ในชีวิตต่อไปข้างหน้า
การเลน่ จะเปน็ การฝกึ ใหเ้ ดก็ รจู้ ักแก้ปญั หา ซง่ึ เปน็ สง่ิ สำคญั สำหรับการดำรงชวี ิตอยดู่ ว้ ยดี

6) การเลน่ เป็นสิง่ ท่ีช่วยพฒั นาเดก็ การเล่นจะช่วยพฒั นาเด็ก ดังนี้
6.1) พัฒนาทางด้านร่างกายการเล่นจะช่วยส่งเสริมพัฒนาการทางด้าน

ร่างกายและสุขภาพของเด็ก เพราะในขณะที่เล่นเด็กได้เคลื่อนไหวทุกส่วนของร่างกาย เช่น ว่ิง
กระโดด ก้มตัว ดึง ลาก ผลักเครื่องเล่น และกระทำเหล่านีเ้ ป็นการช่วยให้กล้ามเนือ้ ทุกส่วนของเดก็
ได้รับการพัฒนา และทำงานประสานสัมพันธ์กันอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้เด็กที่มีร่างกาย
สมบูรณ์แข็งแรงจะมีพลังมากเกินกว่าที่จะใช้ให้หมดในแต่ละวัน การเล่นจะช่วยให้เด็กได้ใชพ้ ลังงาน
ส่วนเกินน้ี ถ้าเด็กไม่มีโอกาสได้เล่นสนุกสนานเพลิดเพลินจากการเล่น เด็กจะใช้พลังงานส่วนเกินน้ี
ช่วยให้ตัวเองเพลิดเพลินด้วยวิธีอื่น ที่อาจทำให้ได้รับอันตรายหรืออาจจะแสดงพฤติกรรม
ทีไ่ ม่เหมาะสม เชน่ รงั แกคน รงั แกสตั ว์ ซง่ึ เป็นพฤติกรรมท่ไี ม่ดอี ยา่ งยิ่ง

6.2) พัฒนาการด้านอารมณ์และจิตใจ การเล่นช่วยให้เด็กมีพัฒนาการทาง
อารมณ์และจิตใจที่ม่ันคง บางครั้งเด็กอาจจะเกดิ ความโกรธ คับข้องใจ เสียใจ น้อยใจ เนื่องจากเกดิ
ความต้องการแล้วไม่สมปรารถนา อารมณ์ผิดปกติเหล่านี้จำเปน็ จะต้องถูกระบายออกมา ถา้ เกบ็ สะสม
ไว้จะทำให้เดก็ มอี ารมณข์ ุ่นมัว โกรธอยู่ตลอดเวลา ทำใหไ้ ม่มีความสุข แตถ่ า้ เด็กได้ระบายออกโดยการ
เลน่ จะทำใหเ้ ดก็ มอี ารมณ์ดีขนึ้

6.3) พัฒนาการทางด้านสังคมการเลน่ เป็นสื่อหรอื แนวทางที่จะชว่ ยใหเ้ ด็กฝึก
วธิ กี ารเข้าสังคมเรยี นรทู้ ่ีจะอยรู่ ่วมกับผอู้ ่ืน ในขณะท่เี ดก็ เล่นกบั เพ่อื นในกล่มุ เด็กจะเรียนรใู้ นการท่ีจะ

แบ่งปันการให้ และการรับ การรอคอย แลกเปลี่ยนของการเล่น รู้จักการเป็นผู้นำ และผู้ตามที่ดี
รวมทั้งรู้บทบาทหน้าท่ีของการเป็นสมาชิกในกลุ่มอัน เป็นการเตรียมให้เด็กปรับตัวในสังคมได้ดี
เมื่อเติบโตเป็นผใู้ หญ่

6.4) พัฒนาการด้านสติปัญญา ในขณะท่ีเล่นเด็กได้มีโอกาสใช้ประสาทรับ
ความรู้สกึ หลายทาง เชน่ ตามองผรู้ ับฟังผิวหนังรบั ความร้สู ึก มือไดจ้ ับต้อง ฉะนน้ั ความไวของประสาท
สัมผสั การรบั รู้ความร้สู กึ จะเกดิ ตามประสบการณก์ ารเล่นเดก็ จะรวบรวมขอ้ มลู ทีไ่ ดร้ บั นเ้ี ข้าด้วยกันทำ
ให้เกิดเป็นความคิดขึ้น และนำไปสู่การเรียนรู้ด้วยตนเองนอกจากนีก้ ารเล่นจะช่วยใหเ้ ด็กมคี วามคิด
ริเรม่ิ และส่งเสริมให้เกดิ จินตนาการอันเปน็ การแสดงถึงความกา้ วหนา้ ทางระดับสติปัญญาของเดก็

สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ (ออนไลน์:2554) กล่าวถึง
ความสำคญั ของกจิ กรรมกลางแจง้ ดงั นี้

1) เป็นการตอบสนองพัฒนาการทางอารมณ์ของเด็กเพราะในขณะที่เล่นเด็กจะ
แสดงออกได้อย่างเต็มท่ี มีความสดชื่น สนุกสนาน เบิกบาน ทำให้เด็กรู้สึกเป็นสุขเพราะได้เล่นตามท่ี
ตนต้องการ ได้เคลื่อนไหวอย่างอิสระ ซึ่งจะช่วยให้เด็กลดความตึงเครียดทางจิตใจ และช่วยให้เกิด
ความแจม่ ใส

2) เป็นการตอบสนองความต้องการของเด็กในหลาย ๆ ด้าน เช่น ด้านความ
อยากรู้อยากเห็นซึ่งเด็กแสดงออกโดยการทดลอง หยิบ จับ สำรวจ เขย่าฟังเสียงยนต์หรอื ขว้างปลา
ดา้ นความต้องการทางร่างกาย ความต้องการทางจติ ใจ และเป็นการทดแทน ความตอ้ งการของเด็กซึ่ง
เด็กแสดงออกโดยการเลน่ สมมุติ

3) เปน็ การเรยี นรูข้ องเด็กท่ีจะแสดง ในสงิ่ ต่าง ๆ ที่อยูร่ อบ ๆ ตัว เชน่ เรยี นรู้เร่อื ง
ขนาด น้ำหนัก สี รูปร่าง ความเหมือน ความแตกต่าง เรยี นรู้เกยี่ วกับตนเอง เชน่ รวู้ ่าชอบหรือไม่ชอบ
อะไรทำ สิ่งใดได้หรือไม่ได้ เรียนรูเ้ กี่ยวกับการอยู่ร่วมกบั ผูอ้ ืน่ เช่น การผลัดกันเลน่ การรอคอย การ
แบ่งปัน การตัดสินปัญหาต่าง ๆ และเรียนรู้ถึงหน้าท่ี และความรับผิดชอบของตนที่มีต่อชุมชน เช่น
หน้าที่ของพ่อ แม่ ลูก ตำรวจ กำนัน หมอ ซึ่งเด็กจะเรียนรู้ได้มากจากการเล่นสมมุติ และจากการ
สังเกต

4) ช่วยพัฒนาคุณสมบัติหลายประการที่จะช่วยให้เด็กได้รับความสำเร็จในการ
ทำงาน เมอื่ เดก็ เติบโตขน้ึ เป็นผ้ใู หญเ่ ทา่ น้ัน ทักษะทีเ่ ดก็ ไดร้ ับจากการเล่นจะเปน็ พื้นฐานในการทำงาน
ของเด็ก ในอนาคตเพราะขณะที่เด็กเล่นเด็กจะมีโอกาสได้เรียนรู้ถึงภารกิจ และหน้าที่ของการเป็น
ผู้ใหญ่เป็นการฝกึ นสิ ยั ในเรื่องรักการทำงาน มีความรับผดิ ชอบ และรู้จกั ใชเ้ วลาวา่ งให้เป็นประโยชน์

5) เป็นการเตรียมชีวิตของเด็ก เป็นการฝึกให้เด็กรู้จักหน้าที่ตนเองต้องทำใน
อนาคต ฝกึ การพึ่งตนเองการเออื้ เฟื้อเผ่ือแผ่ การแบ่งปนั การเปน็ ผูน้ ำ และผูต้ ามท่ดี เี พื่อให้มีทัศนคติท่ี
ดีต่อการออกกำลังกาย และเพื่อเปน็ แนวทางในการที่จะไปเล่นกฬี าประเภทอืน่ ๆ ต่อไป ช่วยพัฒนา

เด็กในทุก ๆ ด้าน คือ ด้านร่างกายเกม และการเล่นเป็นการใช้พลังงานส่วนเกินในร่างกายของเด็ก
เป็นการฝึกกล้ามเนือ้ ให้ทำงานประสานกันอย่างมีประสิทธิภาพทางด้านอารมณ์ และจิตใจ เกมและ
การเลน่ จะช่วยให้เด็กเกิดพฒั นาการทางอารมณ์ และจติ ใจ ให้มัง่ คงแข็งแรงรูจ้ กั ปรบั อารมณ์ให้เข้ากับ
สภาวะแวดล้อม และการเล่นจะชว่ ยลดความคับขอ้ งใจของเด็กทางสังคม เกมและการเล่นจะช่วยให้
เด็กมพี ฒั นาการด้านความสมั พนั ธก์ ับผ้อู ื่นเปน็ การเรยี นรทู้ ่ีจะอยู่รวมกลุ่ม รู้จักบทบาทของสมาชิกใน
กลุ่ม ฝึกการสมาคมและฝึกเด็กในเร่ืองของการปรับตัวทางสติปัญญา เกมและการเลน่ ถือเป็นการฝึก
การเรียนรู้ดว้ ยตนเองของเดก็ เปน็ การฝึกเรื่องการคิดริเรม่ิ สร้างสรรค์ และส่งเสรมิ การจนิ ตนาการของ
เด็ก และภาษาของเด็กเชน่ เดยี วกัน

สรุป กิจกรรมกลางแจง้ ซง่ึ เกีย่ วข้องกับการเลน่ ของเด็กมปี ระโยชน์ต่อเด็ก ในการช่วย
ส่งเสริมพัฒนาการทางด้านร่างกายอารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญาเป็นการตอบสนองความ
ต้องการตามธรรมชาติของเดก็ ทช่ี อบเลน่ และช่วยลดความขัดขอ้ งใจของเด็ก ทไ่ี ด้รับในชีวติ ประจำวัน
นอกจากนี้กิจกรรมกลางแจ้งยังช่วยให้เด็กเกิดการเรียนรู้ในสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัวส่งเสริมความคิด
ริเร่ิม และสง่ เสริมจนิ ตนาการของเดก็ อกี ด้วย

2. การอ่านพน้ื ฐาน

2.1 ความหมายของการอ่าน
ประเทิน มหาขันธ์ (2554 :100) ให้ความหมายทักษะการอ่านของเด็กว่า คือ

ความสามารถในการจำแนกความแตกต่าง ความเหมอื นของคำไดก้ ารเขา้ ใจความหมายของคำ
ชุมจิรา เลาหบุตร (257 : 8) ได้กล่าวว่าการอ่าน คือการรับการถา่ ยทอดความหมาย

จากบุคคลหนึ่งไปสู่อกี บคุ คลหนึ่ง โดยใช้ตัวอกษรเป็นสื่อความคิดและเจตนาของผู้เขยี น หรือการทา่
ความเขา้ ใจกับสญั ลกั ษณท์ ี่ผเู้ ขยี นต้องการสอความหมาย

วชิราภรณ์ ชุมพล (2557 : 6) กล่าวว่า การอ่าน คือการสร้างความหมายจาก
สญั ลกั ษณโ์ ดยผา่ นกระบวนการทางความคิด ซงึ่ ผอู้ า่ นทำความเข้าใจเก่ยี วกับความหมายของส่ิงท่ีอ่าน
หรือจากที่ผู้เขียนถ่ายทอดความคิดออกมาเป็นภาษาจะเข้าใจมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับสถานการณ์
ความสามารถในการใช้ความคิดและความสนใจในการอานของเด็กเพราะถ้าเด็กสนใจในส่ิงใดแล้วเด็ก
จะทำส่ิงนัน้ ไดอ้ ย่างมีประสทิ ธิภาพ

สรปุ ความหมายการอ่าน คือ ความสามารถของเดก็ ในการอา่ นคำท่ีคุ้นตาไดก้ ารร้จู กั
คำศัพท์เข้าใจความหมายของคำ สามารถสังเกตความเหมือน ความต่างของคา ศพั ท์รจู้ กั ใชร้ ูปภาพใน
การคาดเดาหรือเนอื้ เรื่องได

2.2 ความสำคัญของการอา่ น
ฉวีวรรณ คหาภูินนท์ (2555 : 9) มีความเห็นว่าการอ่านมีความสำคัญตอ่ มนุษย์ต้งั แต่

เด็กจนถึงผู้ใหญ่ โดยการอ่านเป็นกระบวนที่จะต้องพัฒนาไปเรื่อย ๆ ให้สามารถอ่านไดอ้ ย่างรวดเรว็
แตกฉานและใช้ความคิด มีเหตุมีผลสามารถนำไปใช้ประโยชนได้อย่างถูกต้องและมีคุณธรรมนำไป
พัฒนาคุณภาพชีวิตและการประกอบอาชีพ เพิ่มพูนความรู้เสริมบุคลิกภาพ สามารถนำความรู้หรือ
ความคิดจากการอ่านไปเขียน หรือไปพดให้เกิดประโยชน์ทั้งกับตัวเองและสังคม พัฒนาประเทศให้
เจริญรุ่งเรืองได้

วรรณี โสมประยูร (2559 : 121-122) กลา่ วเพิม่ เตมิ เก่ียวกับความสำคัญของการอ่าน
ดงั นี้

1. การอ่านเปน็ เครื่องมือทส่ี ำคญั ยิง่ ในการศึกษาเลา่ เรยี นที่กระดบั ผูเ้ รียนจำเป็น
ต้องอาศยั ทักษะการอ่านทำความเขา้ ใจเนือ้ หาสาระของวิชาการต่าง ๆ เพื่อใหต้ นเองได้รบั ความรู้และ
ประสบการณต์ ามทีต่ ้องการ

2. ในชวี ิตประจำวันโดยท่ัวไป คนเราตองอาศัยการอ่านตดิ ตอ่ สอื่ สารเพ่อื ทำความ
เขาใจกับบุคคลอื่นร่วมไปกับทักษะการฟังการพูด และการเขียน ทั้งในด้านภารกิจส่วนตัวและการ
ประกอบอาชพี การงานตา่ ง ๆ ในสงั คม

3. การอ่านสามารถสนองความต้องการพื้นฐานของบุคคลในด้านต่าง ๆ ได้เป็น
อยา่ งดี เช่น ช่วยให้มน่ั คงปลอดภยั ชว่ ยให้ไดร้ ับประสบการณใ์ หม่ ชว่ ยให้เป็นที่ยอมรบั ของสงั คม ช่วย
ให้มีเกียรติยศ และชื่อเสียง

4. การอา่ นทัง้ หลายจะสง่ เสริมใหบ้ คุ คลไดข้ ยายความรปู้ ระสบการณ์เพิม่ ข้ึนอย่าง
ลึกซึ้ง และกว้างขวาง ทำให้เป็นผู้รอบรู้เกิดความมั่นใจในการพูดปราศรัย การบรรยายหรือการ
ปภิปรายปัญหาต่าง ๆ นบั ว่าเป็นการเพิ่มบคุ ลกิ ภาพ และความนา่ เชอ่ื ถอื ใหแ้ ก่ตนเอง

5. การอ่านหนังสือหรือสิ่งพิมพ์หลายชนิดนับว่าเป็นกิจกรรมนันทนาการที่
นา่ สนใจมาก เช่น อ่านหนังสอื พมิ พ์ นิตยสาร วารสาร นวนยิ าย การ์ตูน เปน็ การชว่ ยให้บุคคลรู้จักใช้
เวลาว่างให้เป็นประโยชนแ์ ละเกดิ ความเพลดิ เพลินสนกุ สนานได้เปน็ อย่างดี

6. การอ่านเรื่องดาวต่างๆ ในอดีต เช่น ศิลาจารึกประวัติศาสตร์เอกสารสำคัญ
วรรณคดีช่วยให้อนุชนรู้จักอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรม ของคนไทยเอาไว้และสามารถพัฒ น าใ ห้
เจริญรุ่งเรอื งตอ่ ไปได้

สรุป ความสำคญั ของการอ่าน คือ การอ่านถือได้ว่าเป็นทักษะที่มีความจำเป็นใน
ชีวิตประจำวัน และในยุคสังคมปัจจุบันเพื่อการแก้ปัญหาแสวงหาความรู้เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต
พัฒนาบุคลิกภาพเกิดความคิดสร้างสรรค์ และความเพลิดเพลินและนำความรู้ที่ได้ไปใช้ให้เกิด
ประโยชน์

2.3 พัฒนาการทางการอ่าน
สนิท ฉิมเล็ก (2560: 45) ได้กล่าวถึงขั้นพัฒนาทางการอ่านของเด็กปฐมวัยไว้

ดงั น้ี
ขั้นที่ 1 Emergent reading
1. ดูหนังสือเรื่องที่ชอบ พูดข้อความในหนังสือด้วยภาษาของตน ทํา

ทา่ ทางเหมือนอ่าน หนงั สอื
2. จับใจความและตรวจสอบความถูกต้องของเนื้อเรื่องโดยการใช้

ประสบการณ์ตรง
3. ไมส่ นใจข้อความตามลําดบั ของเรื่อง
4. อา่ นเรอื่ งสัน้ ๆ ที่บอกใหค้ รบู ันทกึ ให้
5. อา่ นและเขียนตวั ขีดเข่ยี
6. อา่ นดว้ ยตัวอักษรแลว้ พยายามลอกหรอื เขียนทับ

ขั้นท่ี 2 Advanced emergent reading
1. การกวาดตามองขอ้ ความตามบรรทัด ดขู อ้ ความที่มีตัวหนังสือใหญ่

และเขียนเว้นคำ
2. ตรวจสอบความถกู ตอ้ ง โดยการเดาจากประสบการณ์เดมิ และจดส่ิง

ช้ีแนะ
3. อา่ นขอ้ ความที่มตี วั อักษรและคำทีเ่ ห็นกนั อยู่เปน็ ประจำ
4. หาคำทีม่ ีตัวอักษรท่ีคลา้ ยคลงึ กนั โดยการตรวจสอบจากจุดท่ีเริ่มต้น

ของประโยค
ข้นั ท่ี 3 Emergent to early reading
1. รจู้ กั คำท่อี ย่ใู นชวี ิตประจำวนั เม่ือเห็นคำนั้นในบรบิ ทหรือส่ิงแวดล้อม
2. คาดเดาคำใหม่โดยดูรปู ประโยคและความหมาย
3. กวาดสายตาถูกทศิ ทางเม่อื มองข้อความท่คี นุ้ เคย
4. ชแ้ี ละบอกช่อื ของตวั อกั ษรสว่ นใหญ่ได้
5. พจิ ารณาตวั อกั ษรบางตวั เพอ่ื จะบอกว่าคอื ตวั อะไรแล้วพยายามลอก

และตกแต่งรูปร่าง ของตัวอักษร
6. จำคำบางคำทีม่ พี ยญั ชนะต้นเหมอื นกนั ได้

ขนั้ ท่ี 4 Emergent reading
1. ชห้ี รอื กวาดตามองจุดเร่ิมต้นและจุดจบของคำบางคำ
2. ใชเ้ สยี งพยัญชนะตน้ ทรี่ ู้จักในการคาดเดาและตรวจสอบคำทจ่ี บ

3. บอกขอ้ สงั เกตท่แี สดงว่ารู้คำว่าคำ ๆ เดยี วกันสามารถผสมกับคำอื่น
กลายเป็น คำใหม่ เชน่ เดก็ ชาย เดก็ หญงิ แม่คา้ แม่น้ำ

4. ลอกหรือเขียนสื่อความหมายโดยใช้ภาษาง่าย ๆ ของตนเองใช้รูป
ประโยคท่ถี กู ต้อง และกลบั มาอ่านได้

5. เล่นเกมโดยใช้บัตรคำท่ีมคี ำคุ้นเคยหรือเรยี งบตั รคำให้เป็นประโยค
ไดถ้ ูกต้อง

6. ชหี้ รือกวาดตามองจดุ เริ่มตน้ และจดุ ลงท้ายของประโยค
ข้นั ท่ี 5 Advance early reading

1. คาดเดาข้อความจากสิ่งชี้แนะโดยดูพยัญชนะตัวแรกของ
คำประกอบกบั ความร้เู ดมิ เกย่ี วกับความสัมพนั ธ์ระหวา่ งรปู ตวั อกั ษรกบั เสียงอกั ษร

2. จำและตรวจสอบตัวอักษรท่สี มั พนั ธก์ บั เสียงของคำ
3. ตรวจสอบคำที่อ่านด้วยการชี้ตัวอักษรในคำพร้อม ๆ กับออกเสียง
ไปดว้ ย
4. ใชร้ ูปและเสียงตวั อักษรเป็นหลักในการสะกดคำใหม่ทีไ่ ม่ร้จู กั หรือคำ
ท่ีไมแ่ น่ใจ
พัชรี ผลโยธิน และวรนาท รักสกุลไทย (2561: 21) ได้อธิบายขั้นตอนของการ
อ่านของเด็กไวด้ ังนี้
ขั้นที่ 1 การคาดเดาภาษาหนังสือ แก้ไขความผิดพลาดของความหมาย
ด้วยตนเอง และ พยายามใชป้ ระสบการณ์จากการพูดคุยกลบั มาเป็นภาษาทใี่ ช้อ่าน
ขั้นที่ 2 การแก้ไขความผิดในประโยคด้วยตนเอง การตระหนักว่า
ตวั หนังสือมีรูปร่างคงที่ สามารถชบี้ อกคำที่เหมอื นกันซ่ึงอยู่ในหน้าเดียวกนั และสามารถมองตามตัว
อักษรบนแผ่นกระดาษขนาดใหญ่ได้
ขั้นที่ 3 จำคำที่คุ้นเคยได้ การคาดคะเนความหมายจากบริบท การใช้
วิธีการอ่านไปในทศิ ทางเดียวกันจนเป็นนิสยั และสามารถระบุและบอกชื่อตวั อกั ษรได้เกือบหมด
ขั้นที่ 4 การเขา้ ใจเกี่ยวกบั การเรม่ิ ต้นและการลงโทษเมอื่ นาํ มาใช้ในการเดา
คำ การใชเ้ สียงชว่ งต้นของคำในการเดาคำใหม่ ๆ ในบริบท และสามารถใช้คำท่ีรู้จักมาแต่งประโยค
ได้
ข้ันท่ี 5 การแกป้ ญั หาการอ่านคำ ใช้เสยี งเรมิ่ ตน้ และเสียงควบกล้ำไปพร้อม
กับคำบอกใบ้ของบริบท สามารถรู้ว่าเสียงของคำที่ได้ยินประกอบด้วยตัวอักษรอะไร และสร้าง
คำศัพทจ์ ากสง่ิ ท่พี บเห็นไดม้ ากข้ึน

ฉวีวรรณ คูหาภินันท์ (2561: 34) ได้กล่าวถึงพัฒนาการทางการอ่านของเด็ก
ปฐมวัย ไวด้ งั น้ี

1. คาดเดาภาษาหนังสือ หมายถงึ พดู ข้อความดว้ ยภาษาของตน ทำท่าทาง
เหมือนอ่านหนงั สอื จบั ใจความโดยใชป้ ระสบการณ์ตรง

2. แก้ไขความผิดในประโยคด้วยตนเอง หมายถึง ชี้บอกคำที่เหมือนกัน หา
คำทีม่ ตี วั อักษรคลา้ ยคลงึ กัน อา่ นขอ้ ความท่ีมีตวั อกั ษรและคำทเ่ี หน็ กันอยูเ่ ปน็ ประจำ

3. จำคำทค่ี ุ้นเคยได้ หมายถึง รจู้ ักคำที่อย่ใู นชีวติ ประจำวนั อา่ นคำจากภาพ
ชีแ้ ละบอกชอ่ื ตัวอักษรสว่ นใหญไ่ ด้ จำคำที่มพี ยญั ชนะต้นเหมือนกนั ได้

4. คาดเดาคำ หมายถึง ใช้เสียงพยัญชนะต้นที่รู้จักในการคาดเดาและ
ตรวจสอบคำ สามารถผสมคำกับคำอนื่ กลายเปน็ คำใหม่ ใช้คำที่รู้จักแตง่ ประโยคได้

5. แกไ้ ขปัญหาการอ่านคำ หมายถึง จำตวั อกั ษรที่สมั พนั ธ์กับเสยี งของคำ รู้
ว่าเสยี งของคำทไ่ี ดย้ นิ ประกอบดว้ ยตัวอักษรอะไร สร้างคำศัพท์จากสง่ิ ทพ่ี บเห็นได้

สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (2556:ออนไลน์) กล่าวถึง
พัฒนาการทางการอ่านของเดก็ ดงั น้ี

ขั้นที่ 1 (อายุ 3–4 ปี) เด็กวัยนี้สนใจหนังสือ เห็นการสร้างความหมายจาก
หนังสือเป็นเรื่องอัศจรรย์ ฟังคำที่อ่าน เล่นคำ สนใจตัวหนังสือที่อยู่รอบ ๆ ตัว ใช้ตัวหนังสือ
ประกอบการเขยี นภาพถือหนังสือกลับหัวอา่ น

ข้นั ที่ 2 (อายุ 4–5 ปี) เด็กเลียนแบบการอา่ น อา่ นเรอ่ื งที่คนุ้ เคย จำชอ่ื และ
คำต่าง ๆ ในสิ่งแวดล้อม เริ่มอ่านคำจากภาพ พูดคำที่เริ่มต้นเหมือน ๆ กัน เริ่มมีความรู้ในการอ่าน
หนังสือ จำคำสำคญั ในจโคลง กลอน นิทาน

ขั้นที่ 3 (อายุ 5-6 ปี) เด็กอ่านหนังสือคำคล้องจองท่ีคุน้ เคย ใช้ภาพเป็นสื่อ
สำหรับอา่ นจำตัวอักษร อ่านคำเร่มิ ตน้ ลงท้าย สังเกตความแตกตา่ ง จบั คู่ทเี่ หมือนกนั ในหนังสอื โคลง
กลอน อ่านคำได้ในบริบทหน่งึ แต่ไมส่ ามารถอ่านได้ในบริบทอ่นื

สรุป พัฒนาการทางการอ่านของเด็กปฐมวัย หมายถึง การที่เด็กเชื่อมโยง
ความคิด จากภาพสญั ลกั ษณ์ต่าง ๆ ด้วยการคน้ หาความหมายจากตัวอักษรเพ่อื สื่อความหมายออกมา
โดยในขั้นแรกจะ ได้แก่ การคาดเดาภาษา การแก้ไขความผิดในประโยคด้วยตนเอง จนถึงการรู้จัก
แก้ปญั หาในการอา่ นคำและสามารถสร้างคำจากสิง่ ทพ่ี บเห็นไดม้ ากข้นึ

2.4 องคป์ ระกอบของการอ่าน
Smith and Johnson (2014: 20-27) ได้อธิบายถึงองค์ประกอบต่าง ๆ ที่มีผล

ตอ่ พัฒนาการการอ่าน
1. ระดับสติปัญญาการอ่านจัดเป็นงานประเภทหนึง่ ที่เด็กจะตอ้ งพัฒนาให้

เกิดความสำเร็จการพัฒนาด้านการอ่านนี้พบว่าเด็กบางคนจะทำได้ดีกว่าเด็กบางคนและทั้งน้ี
เน่อื งมาจากระดับสติปญั ญาที่ไม่เทา่ กันนนั่ เองผลจากการวจิ ัยทำให้ทราบวา่ ความสามารถในด้านการ
อา่ นและระดบั สติปัญญามคี วามสมั พนั ธก์ ันสูง

2. วุฒิภาวะและความพรอ้ มการเร่ิมตน้ สอนอาจจะตอ้ งคำนึงถึงความพร้อม
และความสามารถของเด็กควบคู่กันไปเพราะการอ่านต้องอาศัยทักษะต่างๆที่เป็นทักษะย่อยๆ
ประกอบกันเช่นการใช้สายตาการใช้อวัยวะในการออกเสียงเป็นต้นการที่รอให้เดก็ พร้อมหรือพัฒนา
ความพรอ้ มในการอ่านนจ้ี ะช่วยป้องกนั ความล้มเหลวในการอา่ นทเ่ี กิดขน้ึ

3. แรงจูงใจ แรงจูงใจที่จะทำให้เด็กอ่านมีแรงจูงใจภายในและภายนอก
แรงจงู ใจภายในเกิดขึน้ จากการ ค้นพบคณุ คา่ ของการอา่ นดว้ ยตนเองเชน่ ไดร้ ู้เห็นจากเหตุการณ์ต่าง ๆ
รอบตัวได้รับความเพลิดเพลินสนุกสนานจากการอ่านเป็นต้น ส่วนแรงจูงใจภายนอกได้มาจากการ
ส่งเสริมของพอ่ แม่ครูอาจารย์และเพ่อื น ๆ ในรปู ของการใหร้ างวัล คำชมเชย การรายงานการแนะนำ
ด้านการอ่านเปน็ ต้น

4. สภาพรา่ งกายเดก็ ที่มีสขุ ภาพสมบูรณ์แขง็ แรงจะมีทกั ษะการอ่านมากกว่า
เด็กที่เจ็บป่วยเป็นประจำเพราะสภาพรา่ งกายทีไ่ ม่สมบูรณ์จะทำให้เดก็ ขาดสมาธิ และต้องขาดเรียน
บ่อยซึง่ จะมผี ลตอ่ การเรียนการสอนอา่ นของเด็ก

5. สภาพอารมณ์ทุกคนไม่ว่าจะเป็นผู้ปกครองหรือครูต่างระดับถึง
ความสำคัญของ การอ่านและพยายามคาดหวังให้เด็กเป็นคนที่อ่านหนังสือเก่งและคล่องสภาวะ
ความเครยี ดจะทำใหก้ ารอ่านการเขยี นไม่ประสบความสำเร็จ

6. สภาพแวดล้อมสภาพแวดล้อมทัง้ ภายในและภายนอกโรงเรียนจะมีผลต่อ
การอ่านของเดก็ เดก็ ทมี่ าจากครอบครวั รกั การอา่ นอ่านหนงั สอื เป็นประจำ และรู้คุณค่าของการอ่านจะ
มีความรอบรู้ และชำนาญกว่าเด็กท่ีมาจากครอบครวั ไมส่ นใจการอ่าน และไม่เคยพูดถึงเรอื่ งราวต่าง ๆ
ทไ่ี ด้อา่ นส่วนสภาพแวดลอ้ มทางโรงเรียนเสน้ จำนวนหนังสือท่ีมอี ยปู่ ระเภทของหนงั สือ

7. การจดั โปรแกรมการอา่ นผูเ้ ช่ยี วชาญด้านการอ่านได้แสดงความคดิ เห็นว่า
การจัดการเรยี นการสอนเก่ยี วกบั การอ่านน้นั จะมีอิทธิพลต่อการอ่านมากนอกจาก ขึ้นอยู่กับอุปกรณ์
และวิธกี ารสอนประเภทของหนงั สือและการสนับสนนุ ของครูจะมีอทิ ธิพลดงึ ดูดความสนใจของเด็กเข้า
ไปสู่การอา่ นหนงั สือได้

เชริษา ใจแผว้ (2557:ออนไลน์) ไดส้ รปุ แนวคดิ เกย่ี วกับองค์ประกอบของการอา่ น
ดงั นี้

1. องคป์ ระกอบทางการ หรือวุฒิภาวะโดยท่วั ไป
2. องคป์ ระกอบทางด้านสติปัญญา
3. องคป์ ระกอบทางดา้ นสง่ิ แวดล้อมและอารมณ์
4. องค์ประกอบด้านความสามารถการจำแนกความแตกต่างของสิ่งที่เห็น
หรือความสามารถในการรบั รู้ภาพท่เี ห็น
5. องคป์ ระกอบด้านการจำแนกภาพด้วยสายตาจำแนกด้วยหแู ละจำรปู คำ
6. องคป์ ระกอบด้านความสนใจและแรงจงู ใจ
7. องคป์ ระกอบอื่นด้านฐานะเศรษฐกิจสงั คม
8. องค์ประกอบดา้ นความเช่อื มนั่ ในตนเอง
สรุป องค์ประกอบของการอ่าน ของเด็กนั้นขึ้นอยู่กับระดับสติปัญญาวุฒิภาวะ
ความพร้อมทางด้านร่างกายและอารมณ์การจัดสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมการให้ความสนใจและคำ
ชมเชยแรงจูงใจฐานะทางเศรษฐกิจของครอบครัวโดยท่ีครูจะต้องคำนึงถงึ องค์ประกอบเหล่านี้ในการ
จดั กิจกรรมเพื่อส่งเสรมิ พัฒนาการดา้ นการอา่ นของเด็กอย่างตอ่ เน่ืองพร้อมที่จะเรียนในข้ันท่ีสูงต่อไป
ด้วยดี
2.5 ทฤษฎใี นการอา่ น
สุนนั ทา มัน่ เศรษฐวทิ ย์ (2556:ออนไลน)์ ไดก้ ลา่ วทฤษฎกี ารอ่านไว้ ดงั น้ี
ทฤษฎีเน้นความสัมพันธ์ของข้อความเป็นทฤษฎที ี่เน้นใจความสำคัญของ
ศาลหลักในข้อความหนึ่งจะมีใจความสำคัญเมื่อผู้อ่านได้อ่านสารแล้วจะนำใจความสำคัญในแต่ละ
ข้อความมารวมกันโดยใหต้ ่อเนื่องและทำความเขา้ ใจ เรานั้นอีกครัง้ หนึง่ ที่จะดีน้ียังแยกตามความคดิ
ของนกั การศกึ ษาไดแ้ ก่

1. ทฤษฎีของ Trabasso ได้กล่าวว่า การอ่านเป็นกระบวนการท่ี
เกี่ยวข้องและมีความสัมพันธ์กัน 2 ประการ คือ ผู้การรับรู้ข้อความที่จะอ่านต่อจากนั้นจะทำการ
เปรียบเทียบโดยอาศัยประสบการณ์เดิมเพื่อให้เกิดความรู้ใหม่สมองจะบันทึกเกี่ยวกับคำและ
ความหมายทฤษฎีนี้ได้เน้นว่าระดับการอ่านของผู้อ่านไม่คงที่จนกว่าสารที่รับรู้จะได้รับการ
เปรียบเทียบเช่นฉันเห็นลูกบอลสีแดงเมื่ออ่านเสร็จแล้วถ้าเด็กไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อนก็
จำเปน็ ตอ้ งถามผู้รแู้ นะนำช่วยตดั สินเมื่อเดก็ ไดพ้ บเห็นส่ิงท่ีมีสแี ดงก็จะใช้ประสบการณ์เดิมที่เคยมีมา
พจิ ารณาและตัดสินลำดับขน้ั ตามพ้ืนฐานทฤษฎแี บ่งไว้ 3 ข้นั ดงั น้ี

1) การรับสารโดยใช้สายตารับรู้

2) การใช้ประสบการณเ์ ดมิ ของจรงิ และภาพทำการเปรียบเทียบ
กับสารท่ีได้รับว่าแตกต่างจากประสบการณ์เดมิ หรือไม่ถา้ เป็นเรื่องท่ีไม่รู้จกั ผู้อ่านจะต้องทบทวน 2-3
ครงั้ จนกวา่ จะตัดสนิ ใจว่าอะไรคือคำตอบทีแ่ ท้จริงตาม

3) คำตอบที่ได้จากการเปรียบเทียบกับประสบการณ์เดิมหรือ
อาศยั ความรจู้ ากแหลง่ อื่นมาช่วยตัดสินนน้ั ถือวา่ เปน็ ความรจู้ ริง

2. ทฤษฎีของ Chase and Clark เป็นทฤษฎีที่เน้นความสัมพันธ์
ของใจความทอ่ี ่านกับประสบการณ์เดมิ ลำดับขน้ั ท่สี ะดีการอา่ นดังนี้

1) ผูอ้ ่านจะรับสารทำการเปรียบเทียบกับประสบการณ์ของจริง
และภาพถ้าไมต่ รงกบั ข้อมลู ดงั กล่าวหรือไม่แน่ใจก็จะใช้วธิ ีการอ่านซำ้ ข้อความนน้ั

2) สารทใี่ ห้ความรู้สกึ ทางลบจะใช้เวลาอา่ นนานในการรับรู้แล้ว
เก็บไว้นานกว่าสารที่ให้ความรู้สึกทางบวกซึ่งระยะเวลาการเก็บจะสั้นกว่าหรืออาจลืมได้เร็วกว่า
สถานทร่ี ับความรูส้ ึกทางลบตัวอยา่ งเช่นมาลีเป็นเดก็ ดีเธอไดร้ ับคำชมเชยจากครูความรู้สึกทางบวกนิด
ไมท่ ำการบ้านจนโดนทำโทษด้วยการตี 3 ตีเป็นความรสู้ กึ ทางลบ

3) ความเข้าใจเก่ียวกับรูปร่างลักษณะและความหมายของคำที่
ได้ บนั ทึก ไวใ้ นสมอง

3. ทฤษฎีของ Rumelhart ไดก้ ลา่ วถึงการอา่ นว่าเป็นกระบวนการ
ทที่ ำงานคลา้ ยกับเครอื่ งคอมพวิ เตอร์ทม่ี ีความซับซ้อนแต่ละขั้นตอนจะมีความสัมพนั ธก์ ันถ้าขาดอย่าง
ใดอย่างหน่ึงก็จะทำให้การอ่านไมส่ มบูรณ์ผ้อู าจจะเร่ิมต้นดว้ ยการพิจารณารูปร่างของคำที่รู้จักเพ่ือทำ
ความเข้าใจความหมายต่อจากนัน้ จะทำการเปรียบเทยี บความหมายของคำกับความรู้เดิมที่มอี ยู่เพ่อื
เป็นการพิสจู น์หาข้อเท็จจริงโดยผู้อ่านจะต้องมีความรูเ้ กี่ยวกบั หน้าที่ของคำความหมายการสะกดคำ
และชนดิ ของคำองค์ประกอบเหล่านจี้ ะชว่ ยให้ผู้อ่านแปลความหมายของสารได้

นิไพพรรณ เกิดสว่าง (2556:ออนไลน์) ได้กล่าวถึงทฤษฎีการเชื่อมโยง
ความสมั พนั ธว์ ่าในการสอนอ่านน้นั ครูควรวางเงื่อนไขอย่างหนง่ึ คอื การเชอ่ื มโยงความสมั พันธ์ เชน่ ถ้า
สอนใหเ้ ด็กอ่านคำวา่ แมว ครูควรนำรปู แมว และมบี ัตรคำว่าแมวมาให้เด็กดพู ร้อมกับออกเสยี งแมวไป
ดว้ ย ทำอยา่ งนห้ี ลาย ๆ ครั้งนักเรียนจะเกิดความคิดรวบยอดเก่ียวกับ คำวา่ แมวว่ามีรูปร่างเสียงและ
ตัวอักษรเช่นไร

สรุป ทฤษฎีการอ่านเป็นทฤษฎีการเชื่อมโยงข้อความแนวทางในการกำหนด
รูปแบบการจัดประสบการณ์ให้ผู้รับสารได้รับสารซึ่งการรับสารสกัดเกี่ยวข้องกับตัวอักษรข้อความ
รูปภาพและประสบการณเ์ ดิมของผู้รบั สารทีม่ ีส่วนทำให้ความสามารถในการเข้าใจสารมมี ากขึ้น การ
สรา้ งประสบการณ์ให้ผู้รับสารทำให้ความสามารถในการรบั สารมีประสิทธิภาพมากยิง่ ขนึ้ ในการสอน
อา่ นแบบการสอนจากระดับเรือ่ งราวมาสู่คำควรเป็นแบบองค์รวมซง่ึ ถือวา่ เปน็ การสอนภาษาธรรมชาติ

โดยจะสอนใหเ้ ด็กอ่านเป็นแบบทำเปน็ ประโยชน์โดยไมแ่ ยกการสอนออกเปน็ สระพยญั ชนะหรือหน่วย
ย่อยๆแต่จะยังคงใหค้ วามสำคัญกับการสอนทีม่ กี ารเรียงลำดบั ทักษะมีการจัดเรียงตามความยากง่าย
และเริม่ ฝึกอ่านโดยใช้หนังสอื ที่มีคำส้ันๆไปสหู่ นังสือทีม่ ีความซบั ซ้อนมากยิง่ ข้ึน

2.6 แนวทางการจดั กิจกรรมในการอา่ น
ฉววี รรณ คูหาภนิ นั ท์ (2558:ออนไลน)์ ไดก้ ล่าววา่ กจิ กรรมพัฒนาทักษะการอ่าน

จะเกิดผลสำเร็จได้มากน้อยเพียงใดนั้นต้องคำนึงถึงรูปแบบวิธีการของการจัดกิจกรรมการอ่านและ
ปัจจัยต่างๆที่มีผลต่อการส่งเสริมทักษะการอ่านให้แก่เด็กได้แก่ความเหมาะสมกับวัยความต้องการ
ความสนใจและพัฒนาการด้านต่างๆของเด็กผลของกิจกรรมนั้นเด็กจะได้รับความรู้และความ
สนกุ สนานท่ไี ดร้ ่วมกจิ กรรมรวมถึงทำให้เด็กมีทักษะการอ่านมากขึ้น

ประทิน มหาขันธ์ (2557:ออนไลน์) ได้กล่าวว่าแนวทางในการพัฒนาทักษะการ
อา่ นมดี ังนี้

1. การฝึกสร้างความคิดรวบยอดความสำเร็จในการอา่ นของเด็กขึ้นอยู่กับ
ความสามารถในการคิดคำหนึ่งคำนนั้ ๆได้ในลักษณะนามมาทำเป็นการพัฒนาความเข้าใจความหมาย
ของคำ

2. การจำแนกเสียงความสามารถในการจำแนกเสียง ช่วยให้การอ่าน
เปน็ ไปอยา่ งถกู ตอ้ งและความสามารถในการจำแนกเสียงนัน้ สามารถพฒั นาไดโ้ ดยการฝึกฝนซึ่งอาจจะ
กระทำโดยการฝกึ ฟังเสียงดนตรเี สยี งพูดเมอ่ื เด็กสามารถจำแนกประเภทเสียงไดแ้ ลว้ ครูควรฝึกให้เด็ก
ได้เรียนออกเสยี งพยัญชนะหรือเสียงของคำเมื่อเด็กเรียนอ่านเด็กก็สามารถโยงเสียงคำที่เด็กได้ยนิ ได้
เหน็ อย่างถกู ต้องและเห็นความแตกตา่ งของเสียงคำได้นอกจากการฝึกเรือ่ งออกเสยี งแล้วเด็กควรเห็น
ภาพของคำเหล่านั้นประกอบดว้ ย

3. การฝึกจำแนกภาพการฝึกฝนให้เด็กสามารถจำแนกภาพได้ทำให้เด็กจำ
เลขตัวอักษรและจำคำได้ดียิ่งขึ้นและความสามารถในการจำตัวอักษรก็ดีการจำคำก็ดีจะช่วยให้เด็ก
อา่ นไดเ้ รว็ ข้นึ

4. การฝึกทักษะในการพูดและการอ่านสิ่งที่ช่วยเสริมทักษะในการพูด
ได้แก่การเล่านิทานการสนทนาเปน็ ตน้ สว่ นการฝกึ ทกั ษะการอ่านน้ำได้แก่การมีหนังสือหรือสิ่งตีพิมพ์
ให้เดก็ อา่ นอยเู่ สมอ หรอื ว่าอา่ นใหเ้ ดก็ ฟงั

5. การเรียนรู้คำศพั ท์ที่คุน้ เคยการเรียนรู้คำศัพท์ทใ่ี ช้กันอยู่ท่ัวๆไปจะช่วย
ให้เดก็ มที ักษะในการอ่านมากยงิ่ ขึ้น

6. การฝึกทักษะในการโยงความหมายกับสัญลักษณ์ที่เป็นตัวอักษรเข้า
ด้วยกนั การเช่ือมความหมายของคำกับสญั ลักษณห์ รอื ตัวอักษรเปน็ ทักษะเบื้องต้นของการอ่านเพราะ
เหตุว่าการอ่านอาจจะ อ่านจากการแปลความหมายของคำว่าออกมาจากสัญลักษณ์ซึ่งในการแปล

ความหมายนั้นผู้อ่านจำเป็นต้องใช้ประสบการณ์ของตนในการเชื่อมโยงคำให้เข้ากับความหมาย
เหตุการณ์ฝึกทักษะในการหยิบถือหรือรักษาหนงั สือการรักษาหนงั สือถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้เดก็
เกิดนิสัยในการรักการอา่ นรู้จักระมัดระวังในการใชแ้ ละเก็บหนงั สอื

สภุ ทั รา คงเรอื ง (2556:ออนไลน)์ ได้กลา่ วว่า ไดเ้ สนอรูปแบบการจดั กจิ กรรมการ
อ่านร่วมกันไว้ซ่ึงผู้ศึกษาไดน้ ำเฉพาะแนวทางกจิ กรรมการเล่นภาษามาใช้ในกิจกรรมการอ่านดงั นี้คอื
กจิ กรรมการเลน่ เกมภาษาเป็นกิจกรรมทสี่ ะท้อนหลกั การทีว่ ่าเด็กควรมีโอกาสไดอ้ า่ นในช่วงเวลาต่างๆ
ตลอดทัง้ วนั ซงึ่ การอา่ นนัน้ ไม่จำเปน็ ต้องเปน็ กจิ กรรมการอ่านอยา่ งเป็นทางการจากสอื่ เปน็ หนังสือหรือ
ข้อความแต่อาจจะเปน็ การเลน่ เกมที่เกย่ี วข้องกับภาษาในลกั ษณะต่างๆด้วยเดก็ ทำโดยลำพังหรือเป็น
กลุ่มยอ่ ย

ชลาธิป สมาหิโด (2558:ออนไลน์) ได้กล่าวว่า ความสนใจของเด็กวัยต่างๆ
เปลี่ยนแปลงไปตามช่วงวัยการจัดการสอนอ่านในเด็กปฐมวัยตอ้ งคำนงึ ถึงความสนใจของเด็กโดยแบ่ง
ความสนใจของเด็กปฐมวัยต่างๆไว้ 11 ช่วงวัยสำหรับเด็กที่มอี ายุ 3-6 ปีเด็กในวัยน้ีชอบดูรูปภาพใน
หนังสือชอบฟังนิทานส้ันๆง่ายๆและกลอนสั้นๆเดก็ เริ่มมีความคดิ คำนึงมีจินตนาการชอบเรือ่ งนางฟา้
เทวดาเรื่องเก่ียวกับชีวิตและสิง่ แวดล้อมเด็กยงั คงชอบหนังสอื ทม่ี ีรูปภาพในการจัดกิจกรรมการอ่านครู
ควรยึดหลักสำคญั คอื

1. ความพร้อมของเด็กซึ่งมีความแตกต่างกันโดยสำรวจและสร้างความ
พร้อมให้กับเดก็ ก่อนความพรอ้ มเกี่ยวกับการอา่ นคือการกวาดสายตาการจบั หนงั สือการอา่ นบนลงล่าง
การอา่ นจากซ้ายไปขวา

2. ความตอ้ งการของเด็กธรรมชาติเดก็ เช่นความอยากรอู้ ยากเห็นประเภท
หนงั สือตอ้ งเหมาะสมกับชว่ งอายุความสนใจ

3. ส่งเสรมิ ให้เดก็ มที ัศนคติที่ดีในการอ่านครูตอ้ งมุ่งส่งเสริมให้ผเู้ รียนมีนิสัย
รกั การอ่านโดยสร้างบรรยากาศท่ีดกี ารมีสมั พันธภาพท่ีดรี ะหวา่ งครกู ับเดก็ กิจกรรมนา่ สนใจเราใจตรง
กบั ความต้องการของเดก็

4. บรรยากาศภายในหอ้ งเรียนมแี สงสวา่ งเพียงพอมีโต๊ะเก้าอีเ้ สือ่ หมอนท่ี
น่งั สบายมีช้ันเก็บวางหนังสือ

5. นำหนงั สอื ใหมๆ่ มาเสนอแนะให้เดก็ ๆอ่าน
สรปุ การจดั กจิ กรรมการอา่ นน้นั ครเู ปน็ ผูม้ ีบทบาทสำคัญมากทั้งเป็นผดู้ ำเนินการ
จดั กิจกรรมกระตุน้ ให้เด็กเกิดประสบการณใ์ นการอา่ นการเปน็ แบบอย่างที่ดใี นการสอนอา่ นใหเ้ ด็กควร
รู้ถึงการอ่านจากซ้ายไปขวาการฝึกให้เด็กคาดเดาเนื้อหาและภาพรวมการทำให้เด็กเห็นตัวหนังสือ
บ่อยๆให้อา่ นซำ้ การชี้ทีต่ ัวหนังสือใหเ้ ด็กรู้สกึ การอ่านเป็นเรื่องที่น่าสนใจรวมทั้งการใช้เกมการศกึ ษา
บัตรคำหรอื สือ่ อ่ืนมาชว่ ยในการเสริมการอา่ นของเด็ก

3. งานวจิ ยั ทเ่ี กี่ยวข้อง

สุมารี บัวหลวง (2557) ได้ศึกษาผลของการใช้เกมการเล่นกลางแจ้งที่มีต่อพฤติกรรม
ร่วมมือของเด็กปฐมวัย โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาพฤติกรรมร่วมมือของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจดั
ประสบการณ์เกมการเล่นกลางแจ้ง และเปรียบเทียบพฤติกรรมร่วมมือของเด็กปฐมวัยก่อนและหลัง
การจัดประสบการณ์เกมการเล่นกลางแจ้ง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งน้ีเป็นเด็กปฐมวยั ชาย
หญิง ที่มีอายุ 5-6 ปี ศึกษาอยู่ชั้นอนุบาลปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2557 โรงเรียนวัดสันติ
ธรรมราษฎร์บำรุง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครนายก ซึ่งได้มาโดยการเลือก
แบบเจาะจง เพอ่ื จัดประสบการณเ์ กมการเลน่ กลางแจง้ เป็นระยะเวลา 8 สัปดาห์ สัปดาหล์ ะ 3 วนั วนั
ละ 30 นาที รวม 24 ครั้ง เครื่องมอื ท่ีใชใ้ นการวิจัยครั้ง คือ 1) คู่มือการจัดประสบการณ์เกมการเลน่
กลางแจ้ง 2) แผนการจัดประสบการณ์เกมการเล่นกลางแจ้ง และ 3) แบบสังเกตพฤติกรรมร่วมมือ
ของเดก็ ปฐมวยั โดยใช้ผู้สงั เกต 2 คน ไดค้ ่าความเชอ่ื มน่ั ของผู้สังเกต (RAI) เท่ากบั 0.76 ค่าดัชนีความ
สอดคล้องระหว่างลักษณะพฤติกรรมกับจุดประสงค์ (IOC) เท่ากับ 0.90 – 1.00 สถิติที่ใช้ในการ
วิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ t-test แบบ Dependent Sample
ผลการวิจัยพบว่า ภายหลังได้รับการจัดประสบการณ์เกมการเล่นกลางแจ้ง เด็กปฐมวัยมีพฤติกรรม
ร่วมมือสงู ข้ึน อยา่ งมนี ยั สำคัญทางสถิติที่ระดับ .05

ภาวรี อรณุ เลศิ (2558) ไดศ้ ึกษาผลของการจัดกิจกรรมนทิ านทม่ี ีตอ่ ทกั ษะการอ่านของเด็ก
ปฐมวัย กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้เป็นเด็กปฐมวัย ชาย หญิง ที่มีอายุ 4-5 ปี ศึกษาอยู่ชั้น
อนุบาลปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2558 โรงเรียนสาธิต ซึ่งได้มาโดยการการสุ่มตัวอย่างแบบ
กลุ่ม(Cluster Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้ง คือ แผนการจัดกิจกรรมนิทานจำนวน 20
แผน แบบทดสอบทกั ษะการอา่ นด้านการหาความสัมพันธ์ระหว่างภาพกับคำของเด็กปฐมวยั สถิติที่ใช้
ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ t-test แบบ Dependent Sample
ผลการวิจัยพบว่า เด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมนิทาน มีคะแนนทักษะการอ่านด้านการหา
ความสัมพันธ์ระหว่างภาพกับคำ หลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่
ระดบั .05

อุมารัตน์ บุญเกิด (2557) ได้ศึกษาผลการใช้กิจกรรมนิทานภาพคำคล้องจองท่ีมีต่อทักษะ
การอ่านเด็กปฐมวัย กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้เป็นเด็กปฐมวัย ชาย หญิง ที่มีอายุ 4-5 ปี
ศึกษาอยู่ชั้นอนุบาลปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2557 จำนวน 25 คน โรงเรียนแย้มจาดวิชชา
นุสรณ์ ซึ่งได้มาโดยการการสุ่มอยา่ งง่าย (Simple Random Sampling) เคร่ืองมอื ทีใ่ ช้ในการวิจัยคร้ัง
นี้ ประกอบด้วยแผนการจัดกิจกรรมนิทาน จำนวน 24 แผน และแบบทดสอบทกั ษะการอ่านของเด็ก
ปฐมวัย วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการหาคะแนนเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และDependent - test

ผลการวิจัยพบว่า เด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมหนังสือนิทานคำคล้องจองมีคะแนนทักษะการ
อ่าน หลงั การทดลองสงู กว่าก่อนการทดลองอยา่ งมนี ยั สำคัญทางสถิติทร่ี ะดับ .05

บทที่ 3

วธิ ีการดำเนนิ การ

งานวิจัยเรื่อง การศึกษาการอ่านพื้นฐานของนักเรียน ชั้นอนุบาลปีที่ 3/3 โรงเรียนหนอง
หว้า (ชมายนุกูล) ที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเล่นกลางแจ้งภาษาแสนสนุก โดยผู้วิจยั มีวิธีดำเนนิ การ
วิจัยดังนี้คือ ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ขั้นตอนการสร้างและตรวจสอบ
คุณภาพเครือ่ งมอื แบบแผนการวิจยั การเกบ็ รวบรวมข้อมลู การวิเคราะห์ขอ้ มูล และสถิติท่ีใช้ในการ
วิเคราะห์ข้อมลู

ประชากรและกลมุ่ ตัวอย่าง

ประชากร
ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นนักเรียน ชาย - หญิง อายุระหว่าง 5-6 ปี
ซ่ึงกำลงั ศึกษาอยู่ในระดับชั้นอนุบาลปีท่ี 3 จำนวน 4 ห้องเรียน จำนวนนักเรียน 136 คน ภาคเรียนที่ 2
ปีการศึกษา 2562 โรงเรียนบา้ นหนองหว้า(ชมายนกุ ลู ) จงั หวัดนครศรธี รรมราช
กลมุ่ ตวั อย่าง
กลุ่มตวั อยา่ งที่ใช้ในการวิจัยครั้งน้ี เปน็ นกั เรียน ชาย – หญงิ อายรุ ะหวา่ ง 5-6 ปี
ซึ่งกำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นอนุบาลปีที่ 3/3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2562 โรงเรียนหนองหว้า
(ชมายนุกูล) จังหวัดนครศรีธรรมราช ซ่ึงได้มาด้วยการใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยการสุ่ม จำนวนนักเรียน 33
คน

เคร่ืองมอื ทใ่ี ชใ้ นการวิจัย

เครือ่ งมือทใี่ ชใ้ นการวิจยั คร้ังนี้
1. แผนการจัดกิจกรรมการเล่นกลางแจ้งภาษาแสนสนุก
2. กิจกรรมการเลน่ กลางแจ้งภาษาแสนสนุก
3. แบบทดสอบการอ่านพนื้ ฐานของนกั เรียน
4. แบบสังเกตการอา่ นพ้นื ฐานของนกั เรยี น

ขนั้ ตอนการสร้างและตรวจสอบคณุ ภาพเคร่อื งมอื

1. ขน้ั ตอนการสร้างและตรวจสอบแผนการจัดกจิ กรรมการเล่นกลางแจง้ ภาษาแสนสนุก
1.1 ผู้วิจัยศึกษาหลักสูตรการศึกษาปฐมวัยและคู่มือหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย

พุทธศกั ราช 2560 (สำหรับเด็กอายุ 3-5 ปี) และตวั อยา่ งแผนการจัดกิจกรรมการเล่นกลางแจ้งภาษา
แสนสนุก

1.2 ผู้วจิ ยั ศึกษาเอกสารและหนงั สือที่เก่ยี วข้องกบั การอ่านพ้ืนฐานของนกั เรยี น

1.3 ผู้วิจัยได้สร้างแผนการจัดกิจกรรมการเล่นกลางแจ้งภาษาแสนสนุก จำนวน 20

แผน ซ่งึ มีองค์ประกอบดังนี้

1.3.1 ชอื่ กิจกรรม

1.3.2 จุดประสงค์ของการจัดกิจกรรม

1.3.3 ขน้ั ตอนในการดำเนินกิจกรรม

1) ขั้นนำ

2) ข้ันกิจกรรม

3) ขั้นสรุป

1.3.4 สอ่ื ที่ใชใ้ นการจัดกจิ กรรม

1.3.5 การประเมนิ ผล

1.4 ผู้วิจัยนำแผนการจัดกิจกรรมการเล่นกลางแจ้งภาษาแสนสนุกของนักเรียน

ท่ผี ู้วจิ ัยสรา้ งขน้ึ เสนอต่ออาจารยท์ ปี่ รกึ ษาวิจยั พจิ ารณาตรวจสอบความถูกต้อง

1.5 ผู้วิจัยนำการจัดกิจกรรมการเล่นกลางแจ้งภาษาแสนสนุกที่ปรับปรุง

ตามข้อเสนอแนะของอาจารย์ท่ีปรึกษาวจิ ยั ไปใหผ้ ู้ทรงคุณวฒุ ิ ตรวจสอบความถกู ตอ้ งเก่ยี วกับขั้นตอน

และกระบวนการเรียนรู้ ตามแนวการจัดกิจกรรมการเล่นกลางแจ้งภาษาแสนสนุก และความ

สอดคลอ้ งขององคป์ ระกอบภายในแผนฯ ความเป็นไปได้ในการวิจยั ในเชิงปฏบิ ัติ และความเหมาะสม

กับกลุ่มผูเ้ รียน ระยะเวลา เน้ือหา สื่อ/อปุ กรณ์ และการวดั ประเมินผล จำนวน 3 ท่าน ดังนี้

1.5.1 อาจารยจ์ ฬุ าลกั ษณ์ สตุ ระ ผเู้ ชย่ี วชาญดา้ นการศกึ ษาปฐมวัย

1.5.2 คุณครูเออื้ มภรณ์ มารคคงค์แก้ว ครชู ำนาญการพิเศษ คศ.3

1.5.3 คุณครอู าภารณ์ จิตจงั ดวง ครชู ำนาญการ คศ.2

1.6 ผู้วิจัยนำแผนฯ ที่ได้รับจากผู้เชี่ยวชาญมาวิเคราะห์หาคา่ IOC โดยเลือกใช้เฉพาะ

ประเด็นที่มีค่า IOC มากกกว่า 0.67 และปรับแก้ประเด็นอื่น ๆ ให้สอดคล้องตามคำแนะนำ

ของผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งผลการตรวจสอบค่าดัชนีความสอดคล้องของวัตถุประสงค์ของผู้ทรงคุณวุฒิ

IOC = 1

1.7 ผู้วิจัยทดลองใช้แผนฯ ที่ได้รับการตรวจสอบจากอาจารย์ที่ปรึกษาฉบับสมบูรณ์

(Try out) กับกลุ่มนกั เรยี นทีม่ ีลักษณะใกล้เคียงกับกลมุ่ ตัวอยา่ งท่ีจะศกึ ษา 1 หอ้ งเรยี น

1.8 ผู้วิจัยนำผลการทอดลองใช้แผนไปปรับปรุงแก้ไขก่อนนำไปใช้จริงก่อนกลุ่ม

ตวั อย่าง

2. ขั้นตอนการสรา้ งและตรวจสอบคุณภาพของแบบทดสอบการอ่านพื้นฐานของนกั เรียน

2.1. ผู้วิจัยศึกษาหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย และคู่มือหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย

พทุ ธศกั ราช 2560

2.2. ผู้วิจัยศึกษาแนวคิด ทฤษฏีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับ การอ่านพื้นฐาน

จากนกั การศกึ ษา

2.3 ผู้วิจัยนำข้อมูลทีไ่ ด้จาการศึกษาในขอ้ 1 และ 2 มาสร้างแบบทดสอบการพ้ืนฐาน

และเกณฑ์การประเมินใหค้ รอบคลุมกับการอา่ นพื้นฐานของนักเรียน ทั้ง 3 ด้าน ได้แก่ การอ่านออก

เสียง ทิศทางการอา่ น การเขา้ ใจความหมายของคำ

2.4 ผ้วู ิจยั กำหนดเกณฑก์ ารใหค้ ะแนนแบบทดสอบการอ่านพนื้ ฐาน ออกเปน็ 2 ระดับ

คอื 1 และ 0

1. ออกเสยี งถกู ตอ้ ง (1 คะแนน)

ออกเสยี งไม่ถูกตอ้ ง (0 คะแนน)

2. อา่ นจากทางซา้ ยไปทางขวาได้ (1 คะแนน)

อา่ นจากทางขวาไปทางซา้ ย (0 คะแนน)

3. อา่ นใหฟ้ งั หนึง่ รอบ (1 คะแนน)

อ่านใหฟ้ ังสองรอบขนึ้ ไป (0 คะแนน)

2.5 ผวู้ จิ ัยสรา้ งคมู่ อื การใช้แบบทดสอบการอา่ นพ้ืนฐานของนักเรียน

2.6 ผ้วู ิจยั นำแบบดสอบการอ่านพน้ื ฐานของนกั เรยี น และคู่มือการใช้แบบทดสอบการ

อ่านพื้นฐานของนักเรียน เสนอต่อผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 3 คน เพื่อหาความเที่ยงตรงของเนื้อหา

แ ล ้ ว น ำ ค ะ แ น น ท ี ่ ไ ด ้ ม า ห า ค ่ า ด ั ช น ี ค ว า ม ส อ ด ค ล ้ อ ง ร ะ ห ว ่ า ง แ บ บ ส ั ง เ ก ต ก ั บ จ ุ ด ป ร ะ ส ง ค์

IOC มากกวา่ หรอื เทา่ กบั 0.5 ถือเปน็ เกณฑ์ที่เหมาะสม (บุญเชดิ ภญิ โญอนันตพงษ์. 2526: 89) และมี

เกณฑก์ ารเลอื กผู้ทรงคุณวฒุ ิดงั น้ี จบการศึกษาระดับปริญญาโทหรือปรญิ ญาตรีในสาขาวิชาวิจัยทาง

การศึกษา สาขาวิชาการวดั และประเมินผลทางการศกึ ษา มีประสบการณใ์ นการทำงานอยา่ งน้อง 5 ปี

จำนวน 1 ท่าน และจบการศึกษาระดับปริญญาโทหรือปริญญาตรีสาขาการศึกษาปฐมวัย และมี

ประสบการณ์การสอนในศาสตร์การศึกษาปฐมวัยอย่างน้อย 3 ปี จำนวน 3 ท่าน ซึ่งมีรายชื่อ

ผู้เชี่ยวชาญ ดงั น้ี

2.6.1 อาจารยจ์ ุฬาลักษณ์ สตุ ระ อาจารยผ์ เู้ ช่ียวชาญด้านการศึกษาปฐมวัย

2.6.2 คุณครเู ออื้ มภรณ์ มารคคงค์แก้ว ครชู ำนาญการพิเศษ คศ.3

2.6.3 คุณครูอาภารณ์ จิตจังดวง ครูชำนาญการ คศ.2

2.7 ผู้วิจัยนำแบบทดสอบการอ่านพื้นฐานของนักเรียน ที่ได้รับจากผู้ทรงคุณวุฒิ

มาวิเคราะห์หาค่า IOC โดยเลือกใช้เฉพาะประเด็นที่มีค่า IOC มากกกว่า 0.67 และปรับแก้ประเด็น

อื่น ๆ ให้สอดคล้องตามคำแนะนำของผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งผลการตรวจสอบค่าดัชนีความสอดคล้อง
ของวัตถุประสงค์ของผู้ทรงคุณวุฒิ IOC = 1

2.8 ผู้วิจัยทดลองใช้การอ่านพื้นฐานของนักเรียน ที่ได้รับการตรวจสอบจากอาจารย์
ที่ปรกึ ษาฉบับสมบรู ณ์ (Try out) กับกลมุ่ นกั เรียนท่ีที่มีลกั ษณะใกล้เคียงกับกลุ่มตัวอย่างท่ีศึกษา จำนวน
1 หอ้ งเรียน

2.9 ผู้วิจัยนำผลทดลองใช้แผนไปปรับปรุงแก้ไขก่อนนำไปใช้จริงกับกลุ่มตัวอย่าง

แบบแผนการวจิ ัย

การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลองผู้วิจัยใช้แบบแผนการทดลองแบบกลุ่มเดียววัดผล
ก่อนและหลงั การทดลอง (one group pretest posttest design) ดงั ภาพที่ 2

o1 x o2

ภาพประกอบที่ 2 แบบแผนการทดลอง

สญั ลักษณ์ท่ีใช้

o1 แทน การสงั เกตพฤติกรรมของนกั เรยี นกอ่ นการทดลอง

x แทน การจัดกิจกรรมการเล่นกลางแจ้งภาษาแสนสนุก

o2 แทน การสงั เกตพฤติกรรมของนักเรยี นหลงั การทดลอง

การเกบ็ รวบรวมข้อมูล

การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลอง ซึ่งผู้วิจัยดำเนินการวิจัยดว้ ยตนเอง เป็นการศึกษา
กลุ่มเดียว โดยเก็บรวบรวมข้อมูลจากการใช้แบบสังเกตพฤติกรรมทางสังคมของนักเรียน จากกลุ่ม
ตัวอย่าง ก่อน ระหว่าง และหลัง ที่ได้จัดกิจกรรมการเล่นกลางแจ้งภาษาแสนสนุก โดยดำเนินตาม
ขน้ั ตอนดังน้ี

ก่อนการทดลองดำเนินการ ดงั น้ี
1. ผู้วิจัยจัดกิจกรรมการเล่นกลางแจ้งภาษาแสนสนกุ เพือ่ ให้เดก็ ไดท้ ำกิจกรรมและ

ใช้แบบทดสอบการอ่านพืน้ ฐานของนักเรยี น เก็บข้อมูลก่อนการทดลอง (Pretest) กับกลุ่มตัวอย่างท่ี
ใชใ้ นการทดลอง เพื่อหาพน้ื ฐานการอ่าน

2. ผู้วิจัยดำเนินการทดลองด้วยตนเอง โดยกลุ่มตัวอย่างจะได้รับการจัดกิจกรรมการ
เลน่ กลางแจ้งภาษาแสนสนกุ ซ่งึ ทำการทดลองในกิจกรรมกลางแจง้ เปน็ เวลา 5 สัปดาห์ กำหนดให้แต่ละ

สัปดาห์จัดกิจกรรม 4 วัน ได้แก่ วันจันทร์ วันอังคาร วันพุธ และวันพฤหัสบดี วันละ 50 นาที รวมทั้งสิ้น

20 วัน ดงั ตารางท่ี 1

ตารางที่ 1 แสดงระยะเวลาดำเนนิ การจัดกิจกรรมการเล่นกลางแจง้ ภาษาแสนสนกุ เพือ่ พฒั นาการอ่าน

พื้นฐานของนักเรียนชน้ั อนุบาล

สัปดาหท์ ี่ กจิ กรรมกลางแจ้ง พยญั ชนะตน้ คำศพั ท์ การอ่านพ้นื ฐาน

ของการ ภาษาแสนสนุก

ทดลอง

1 1. กิจกรรมเรยี งแกว้ ก กระรอก กระตา่ ย 1. การออกเสยี ง

คำศัพท์ กระดาน กลางวนั 2. ทิศทางการอ่าน
กางเกง 3. การเขา้ ใจความหมายของ

คำ

2. กิจกรรมว่งิ เทน้ำ ด ดอกรัก ดวงตะวัน 1. การออกเสียง

ดอกบัว ดอกมะลิ 2. ทิศทางการอ่าน

ดาวทะเล 3. การเข้าใจความหมายของ

คำ

3. กจิ กรรมหาไข่ จ จง้ิ จอก จระเข้ 1. การออกเสียง
คำศพั ท์
จดหมาย จอหนัง 2. ทิศทางการอ่าน

จงิ โจ้ 3. การเขา้ ใจความหมายของ

คำ

4. กจิ กรรมปิงปอง ต ตกปลา ตน้ ไม้ ตาก 1. การออกเสยี ง

พยัญชนะ แดด ตะขาบ แตงโม 2. ทศิ ทางการอ่าน

3. การเข้าใจความหมายของ

คำ

2 5. กจิ กรรมข้ามเกา้ อี้ บ บัวลอย บวชชี บ่อน้ำ 1. การออกเสียง

เรียงภาษา บอลลูน บนั ได 2. ทศิ ทางการอ่าน

3. การเขา้ ใจความหมายของ

คำ

6. กจิ กรรมทรงตวั ป ประทดั ปราสาท 1. การออกเสยี ง
ประกอบคำศัพท์ ปลูกผกั ปิงปอง ปลกู 2. ทศิ ทางการอ่าน
ข้าว 3. การเข้าใจความหมายของ
คำ

7. กิจกรรมปา้ ย อ อกไก่ อาบน้ำ องนุ่ 1. การออกเสียง
พยัญชนะ อกี วั น่า อง่ึ อา่ ง 2. ทิศทางการอา่ น
3. การเข้าใจความหมายของ
สัปดาห์ที่ กจิ กรรมกลางแจง้ พยัญชนะตน้ คำศพั ท์ คำ
ของการ ภาษาแสนสนกุ
ทดลอง การอา่ นพ้ืนฐาน

3 8. กจิ กรรมกระตา่ ยขา ข ขัดสมาธิ ขา้ วผดั ขนม 1. การออกเสียง

4 เดยี วเรียงภาษา จีบ ขา้ วโพด ขนมปัง 2. ทิศทางการอา่ น

3. การเข้าใจความหมายของ

คำ

9. กิจกรรมส่งบอล ฉ ฉีดยา ฉลาม ฉลากยา 1. การออกเสยี ง

ภาษา ฉากถ่ายรูป ฉีดน้ำ 2. ทศิ ทางการอา่ น

3. การเขา้ ใจความหมายของ

คำ

10. กิจกรรมกระโดด ส สิงโต สุนขั สับปะรด 1. การออกเสยี ง

ประกอบคำ ส้มโอ สาล่ี 2. ทิศทางการอ่าน

3. การเข้าใจความหมายของ

คำ

11. กิจกรรมเรยี งแกว้ ถ ถ่วั งอก ถ่ายรูป ถงุ 1. การออกเสยี ง

คำศพั ท์ เทา้ ถา่ นไฟ ถุงมอื 2. ทิศทางการอา่ น

3. การเขา้ ใจความหมายของ

คำ

12. กจิ กรรมวง่ิ เทนำ้ ผ ผักบุ้ง ผักชี เผือก 1. การออกเสยี ง

ผกั กาด ผ้าม่าน 2. ทิศทางการอ่าน

3. การเขา้ ใจความหมายของ

คำ

13. กิจกรรมหาไข่ ห หนงั สอื หนอน หงอก 1. การออกเสียง

คำศัพท์ ไก่ หอ้ งน้ำ หงิ หอ้ ย 2. ทิศทางการอ่าน

3. การเข้าใจความหมายของ

คำ

14. กิจกรรมปงิ ปอง ค ควายปา่ คงิ คอง แคน 1. การออกเสยี ง

พยญั ชนะ ตาลปู ค่รู ัก คะนา้ 2. ทศิ ทางการอ่าน

3. การเขา้ ใจความหมายของ

คำ

15. กจิ กรรมขา้ มเก้าอี้ ช ชมพู่ ชาวนา ชาวสวน 1. การออกเสียง
เรียงภาษา
ชาวประมง ชาวไทย 2. ทิศทางการอา่ น
16. กจิ กรรมทรงตวั
ประกอบคำศัพท์ 3. การเข้าใจความหมายของ

กิจกรรมกลางแจง้ คำ
ภาษาแสนสนุก
17. กจิ กรรมป้าย ท ทงุ่ นา ทบั ทมิ 1. การออกเสียง
พยญั ชนะ
ทานตะวัน ทุเรียน 2. ทิศทางการอา่ น
18. กิจกรรมกระต่าย
ขาเดยี วเรยี งภาษา ทำอาหาร 3. การเข้าใจความหมายของ

19. กิจกรรมสง่ บอล คำ
ภาษา
สปั ดาหท์ ่ี พยัญชนะตน้ คำศัพท์ การอา่ นพืน้ ฐาน
ของการ 20. กจิ กรรมกระโดด
ทดลอง ประกอบคำ พ พะยนู พังพอน 1. การออกเสยี ง

5

แพนด้า เพนกวนิ 2. ทศิ ทางการอา่ น

พทุ รา 3. การเขา้ ใจความหมายของ

คำ

ร รปู ถา่ ย รดน้ำ ร้องไห้ 1. การออกเสียง

ระนาด รองเทา้ 2. ทศิ ทางการอา่ น

3. การเขา้ ใจความหมายของ

คำ

น นกั บนิ นักเรยี น 1. การออกเสยี ง

นักโทษ นาฬกิ า นก 2. ทิศทางการอา่ น

ฮกู 3. การเข้าใจความหมายของ

คำ

ม มะพรา้ ว มังคดุ 1. การออกเสยี ง

มะละกอ มะมว่ ง แมง 2. ทศิ ทางการอ่าน

มุม 3. การเขา้ ใจความหมายของ

คำ

3. ผู้วิจัยดำเนินการสังเกตการอ่านพื้นฐานของนักเรียน และระหว่างการทดลอง
ผู้วิจัยได้บันทึกการอ่านพื้นฐานของนักเรียน โดยให้เด็กทำกิจกรรมการเล่นกลางแจ้งภาษาแสนสนกุ
เพื่อดูการเปลี่ยนแปลงของการอ่านพื้นฐานที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเล่นกลางแจ้งภาษาแสนสนุก
และใช้เวลาในการบนั ทึกการอ่านพืน้ ฐานของนักเรียน ชว่ งเวลาขณะดำเนินการทดลอง

หลงั การทดลองดำเนินการ ดังน้ี

ผู้วิจัยใช้แบบทดสอบการอ่านพื้นฐานของนักเรียนหลังการจัดกิจกรรมการเล่น
กลางแจง้ ภาษาแสนสนกุ โดยวิจัยสงั เกตจากกล่มุ ทดลอง เปน็ เวลา 5 สปั ดาห์ เพือ่ ดคู วามเปล่ียนแปลง
ของการอ่านพ้นื ฐาน และผวู้ ิจยั ใช้แบบทดสอบการอ่านพื้นฐานของนกั เรียน ชดุ เดยี วกนั กบั ที่ใช้ในการ
ทดสอบการอ่านพ้ืนฐานกอ่ นการจดั กจิ กรรมกลางแจ้งภาษาแสนสนุก และระหว่างการจดั กิจกรรมการ
เล่นกลางแจ้งภาษาแสนสนุก นั้นผู้วิจัยได้ใช้แบบบันทึกการอ่านพื้นฐานของนักเรียน แล้วนำผลที่ได้
จากการการอ่านพืน้ ฐานของนักเรียนก่อนและหลงั การจดั กิจกรรมการเลน่ กลางแจง้ ภาษาแสนสนุกไป
ทำการวเิ คราะหข์ ้อมลู ดว้ ยวิธกี ารทางสถติ ิ

การวเิ คราะห์ขอ้ มูล

การวิเคราะห์ข้อมูล
1. ศึกษาการอ่านพื้นฐานของนักเรียนระดับชั้นอนุบาลปีที่ 3/3 โรงเรียนหนองหว้า

(ชมายนุกูล) ก่อน และหลังการจัดกิจกรรมการเลน่ กลางแจง้ ภาษาแสนสนุก วเิ คราะห์โดยหาค่าเฉล่ีย
̅ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) โดยเปรียบเทียบการเกณฑ์การแปลความหมายตามระดับ
พฤตกิ รรม ดังน้ี

เกณฑ์การแปลความหมายในภาพรวม
คะแนน 24.01- 30.00 หมายถึง การอา่ นพ้นื ฐานอยใู่ นระดับดมี าก
คะแนน 18.01- 24.00 หมายถึง การอ่านพืน้ ฐานอยใู่ นระดบั ดี
คะแนน 12.01- 18.00 หมายถงึ การอา่ นพน้ื ฐานอยู่ในระดบั ปานกลาง
คะแนน 06.01- 12.00 หมายถึง การอา่ นพ้นื ฐานอยู่ในระดับพอใช้
คะแนน 00.00 – 6.00 หมายถึง การอ่านพื้นฐานอยูใ่ นระดับท่ีควรได้รับการ

ส่งเสรมิ
เกณฑก์ ารแปลความหมายในรายดา้ น
คะแนน 08.01 - 10.00 หมายถึง การอ่านพื้นฐานอยใู่ นระดับดมี าก
คะแนน 06.01 – 08.00 หมายถึง การอา่ นพ้นื ฐานอย่ใู นระดับดี
คะแนน 04.01 – 06.00 หมายถึง การอ่านพ้นื ฐานอยู่ในระดบั ปานกลาง

คะแนน 02.01 – 04.00 หมายถึง การอา่ นพืน้ ฐานอยใู่ นระดบั พอใช้
คะแนน 00.00 – 02.00 หมายถึง การอ่านพื้นฐานอยู่ในระดับที่ควรได้รับ
การส่งเสรมิ

เกณฑก์ ารแปลความหมายในรายข้อ
คะแนน 00.81 – 01.00 หมายถงึ พฤติกรรมทางสงั คมอยใู่ นระดับดมี าก
คะแนน 00.61 – 00.80 หมายถึง พฤติกรรมทางสังคมอยู่ในระดบั ดี

คะแนน 00.41 – 00.60 หมายถงึ พฤติกรรมทางสงั คมอยใู่ นระดับปานกลาง
คะแนน 00.21 – 00.40 หมายถงึ พฤตกิ รรมทางสงั คมอยูใ่ นระดบั พอใช้

คะแนน 00.00 – 00.20 หมายถึง พฤติกรรมทางสังคมอยู่ในระดับที่ควร
ไดร้ บั การส่งเสริม

2. เปรยี บเทียบการอ่านพื้นฐานของนักเรียน ระดบั ชัน้ อนุบาลปีที่ 3/3 โรงเรียนหนองหว้า
(ชมายนุกูล) ก่อน และหลงั การจัดกิจกรรมการเลน่ กลางแจ้งภาษาแสนสนุกวิเคราะห์โดยใช้ (t-test) แบบ
(dependent sample)

สถติ ิท่ีใชใ้ นการวเิ คราะห์ข้อมลู

ผู้วิจยั นำขอ้ มลู ที่ไดจ้ ากการทดลองมาวิเคราะห์ด้วยวธิ ีการทางสถติ ดิ งั นี้
1. สถิตพิ น้ื ฐาน ได้แก่
1.1 ค่าเฉล่ีย (mean) ใช้สูตร (มลิวลั ย์ สมศกั ด์ิ, 2552)

สูตร x̅ = ∑



เมอ่ื x̅ แทน คา่ เฉล่ยี ของกลมุ่ ตัวอยา่ ง

∑ x แทน ผลรวมของคะแนน
n แทน จำนวนตัวอย่าง
1.2 หาค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (standard deviation) ใช้สูตร (มลิวัลย์ สมศักดิ์,
2552)

สตู ร S.D. = √n ∑x 2−∑x 2
n(n−1)
เมือ่ S.D.
∑ x แทน แทน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
∑ 2 แทน
ผลรวมของคะแนนแต่ละคน

ผลรวมของคะแนนแต่ละคนยกกำลังสอง

n แทน จำนวนตวั อย่าง

2. สถติ ิทใี่ ชห้ าคุณภาพของเครื่องมอื

2.1 สถิติที่ใช้ในการตรวจคุณภาพของเครื่องมือด้วยความเที่ยงตรงของเนื้อหา

(Content Validity) โดยคำนวณจากสูตร (ลว้ น สายยศ; และองั คณา สายยศ. 2538: 79)

สตู ร IOC = ∑ R

N

เม่อื IOC แทน ดัชนคี วามสอดคลอ้ งระหวา่ งลกั ษณะพฤติกรรมกับ

จดุ ประสงค์

∑ R แทน ผลรวมของคะแนนความคิดเห็นของผเู้ ช่ยี วชาญเกี่ยวกบั
เนอ้ื หาทัง้ หมด

N แทน จำนวนผเู้ ชย่ี วชาญ

2.2 การหาคา่ ความเชอื่ มน่ั ของแบบสงั เกต โดยสตู รสมั ประสิทธแิ์ อลฟาของ

ครอนบาค (บญุ ชุม ศรสี ะอาด, 2545, หนา้ 99)

สตู ร a = k [∑ss2t 2i ]
k−1

เมื่อ a แทน ค่าสัมประสทิ ธคิ์ วามเชือ่ มน่ั

K แทน จำนวนข้อของเครื่องมอื วดั

∑ si2 แทน ผลรวมของความแปรปรวนของแต่ละข้อ
ความแปรปรวนรวมของคะแนนรวน
st2 แทน

3. สถติ ทิ ี่ใชใ้ นการทดสอบสมมติฐาน

สถิติสำหรับการทดสอบสมมติฐานเพื่อเปรียบเทียบพฤติกรรมทางสังคมของนักเรียน

ระดับชั้นอนุบาลปีที่ 2 โรงเรียนอนุบาลนครศรีธรรมราช “ณ นครอุทิศ” ก่อน และหลังการจัด

ประสบการณ์โดยใช้กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์โดยใชส้ ูตร t-test แบบ dependent sample test โดย

ใชส้ ตู ร (มลวิ ัลย์ สมศักด์ิ, 2552)

สูตร t = ∑D
√n ∑D 2−(∑ D)2
n−1
df = n - 1

เมื่อ D แทน ผลต่างของคะแนนแตล่ ะคู่

n แทน จำนวนคขู่ องกลมุ่ ตัวอย่าง

บทที่ 4
ผลการวิเคราะหข์ อ้ มลู

การศึกษาการอา่ นพ้นื ฐานของนักเรยี น ชน้ั อนุบาลปีที่ 3/3 โรงเรียนหนองหว้า(ชมายนุกูล)
ที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเล่นกลางแจ้งภาษาแสนสนุก ผู้วิจัยได้กำหนดสัญลักษณ์ที่ใช้ในวิเคราะห์
ข้อมูล และนำเสนอผลการวิเคราะหข์ อ้ มูลตามลำดับ ดงั นี้

สญั ลักษณท์ ีใ่ ช้ในการวเิ คราะห์ข้อมูล
ในการวิจัยครั้งนี้ เพื่อให้ข้อมูลที่ได้จากการทดลองและการแปลความหมายจากผล

การวเิ คราะหข์ อ้ มูลเกดิ ความเขา้ ใจตรงกนั ผูว้ จิ ัยจงึ ได้สญั ลักษณท์ ใี่ ชใ้ นการวิเคราะห์ข้อมูล ดังนี้
̅ แทน ค่าคะแนนเฉลี่ย (Mean)
S.D แทน คา่ ความเบย่ี งเบนมาตรฐาน (Standard Deviation)
T แทน ค่าความแตกตา่ ง T-Test

การนำเสนอผลวเิ คราะหข์ ้อมลู
การวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาและเปรียบเทียบการอ่านพื้นฐานของเด็กนักเรียน

ก่อนและหลังการจัดกิจกรรมการเล่นกลางแจ้งภาษาแสนสนุก ซึ่งนำเสนอผลการวิเคราะห์การอ่าน
พน้ื ฐานของนักเรียน ตามลำดบั ดงั น้ี

1. ขอ้ มลู ทั่วไปของกลมุ่ ตัวอย่าง
2. การศกึ ษาการอ่านพืน้ ฐานของนักเรียนระดับชั้นอนบุ าลปีท่ี 3/3 โรงเรียนหนองหว้า
(ชมายนุกลู ) กอ่ นและหลังการจดั กจิ กรรมกลางแจ้งภาษาแสนสนกุ เป็นรายบคุ คล

3. การเปรียบเทียบการอ่านพื้นฐานของนักเรียนระดับชั้นอนุบาลปีที่ 3/3 โรงเรียน
หนองหวา้ (ชมายนกุ ูล) ก่อนและหลงั การจดั กิจกรรมการเลน่ กลางแจง้ ภาษาแสนสนกุ เป็นรายด้าน

4. การเปรียบเทียบการอ่านพื้นฐานของนักเรียนระดับชั้นอนุบาลปีที่ 3/3 โรงเรียน
หนองหวา้ (ชมายนกุ ูล) กอ่ นและหลังการจดั กจิ กรรมการเล่นกลางแจ้งภาษาแสนสนกุ โดยภาพรวม

ผลการวิเคราะหข์ อ้ มลู
การนำเสนอผลการวิเคราะหข์ อ้ มูลการอ่านพ้ืนฐานของนักเรยี นปฐมวัย ตามลำดบั ดังนี้
1. ข้อมลู ทัว่ ไปของกลุ่มตวั อย่าง

ตารางที่ 2 ข้อมูลทัว่ ไปของกลุ่มตวั อย่าง

เพศ จำนวน รอ้ ยละ
ชาย 20 60.61
หญงิ 13 39.39
รวม 33 100

จากตารางท่ี 2 กลุม่ ตัวอย่างนักเรียนระดบั ชน้ั อนุบาลปีท่ี 3/3 ภาคเรียนท่ี 2

ปีการศึกษา 2562 โรงเรียนหนองหว้า(ชมายนุกลู ) จำนวน 33 คน พบว่าเป็นเพศชาย จำนวน 20 คน คิด

เปน็ รอ้ ยละ 60.61 และเพศหญงิ จำนวน 13 คน คิดเปน็ ร้อยละ 39.39 ตามลำดับ

2. การศึกษาการอ่านพื้นฐานของนักเรียนระดับ ชั้นอนุบาลปีที่ 3/3 โรงเรียนหนอง

หวา้ (ชมายนกุ ูล) ก่อนและหลงั การจัดกจิ กรรมการเลน่ กลางแจง้ ภาษาแสนสนุกเปน็ รายบคุ คล

ตารางที่ 3 การศกึ ษาการอา่ นพนื้ ฐานของนกั เรยี น ชั้นอนุบาลปที ี่ 3/3 โรงเรยี นหนองหวา้ (ชมายนุกูล)

ก่อนการจัดกิจกรรมการเล่นกลางแจง้ ภาษาแสนสนกุ เป็นรายบคุ คล

นาม ด้านการออกเสียง ดา้ นทิศทางการอา่ น ด้านการเข้าใจ คะแนน
สมมติ ความหมายของคำ รวม ระดบั คะแนน
คะแนน ระดับ คะแนน ระดับ คะแนน ระดับ (30)
(10) พฤติกรรม (10) พฤติกรรม (10) พฤติกรรม

1. นิว 2 ควรไดร้ ับ 1 ควรไดร้ ับ 2 ควรได้รบั 5 ควรไดร้ ับการ
การส่งเสริม การสง่ เสรมิ การส่งเสริม สง่ เสริม

2. ปลื้ม 3 พอใช้ 3 พอใช้ 4 พอใช้ 10 พอใช้

3. เบน 6 ปานกลาง 8 ดี 6 ปานกลาง 20 ดี
พอใช้
4. ชมพู่ 2 ควรได้รบั 5 ปานกลาง 3 พอใช้ 10
ดี
การสง่ เสรมิ

5. ไตเติล้ 7 ดี 8 ดี 5 ปานกลาง 20

6. โดนทั 5 ปานกลาง 7 ดี 5 ปานกลาง 17 ปานกลาง

7. นาวา 3 พอใช้ 5 ปานกลาง 4 พอใช้ 12 พอใช้

8. อ้มุ 3 พอใช้ 5 ปานกลาง 5 ปานกลาง 13 ปานกลาง

9. ไข่มกุ 4 พอใช้ 6 ปานกลาง 6 ปานกลาง 16 ปานกลาง

ด้านการออกเสียง ดา้ นทิศทางการอ่าน ด้านการเขา้ ใจ คะแนน
ความหมายของคำ รวม
นาม คะแนน ระดบั คะแนน ระดับ คะแนน ระดบั (30) ระดับคะแนน
สมมติ (10) พฤติกรรม คะแนน
(10) พฤติกรรม (10) พฤติกรรม
10. ไอซ์ 3 พอใช้
2 ควรได้รบั 5 ปานกลาง 10 พอใช้
11. เก้า การส่งเสริม 5 ปานกลาง

6 ปานกลาง 7 ดี 18 ปานกลาง

12. ภูมิ 3 พอใช้ 4 พอใช้ 3 พอใช้ 10 พอใช้

13. ไนท์ 4 พอใช้ 5 ปานกลาง 4 พอใช้ 13 ปานกลาง

14. ไอดา้ 2 ควรได้รบั 7 ดี 5 ปานกลาง 14 ปานกลาง

การสง่ เสริม

15. เฟิรน์ 3 พอใช้ 6 ปานกลาง 6 ปานกลาง 15 ปานกลาง

16. 1 ควรไดร้ บั 2 ควรได้รบั 3 พอใช้ 6 ควรไดร้ บั การ

ปงิ ปอง การส่งเสรมิ การส่งเสรมิ ส่งเสริม

17. 2 ควรไดร้ บั 3 พอใช้ 4 พอใช้ 9 พอใช้

สงกรานต์ การสง่ เสรมิ

18. 4 พอใช้ 4 พอใช้ 4 พอใช้ 12 พอใช้

พอรช์

19. ภเู ขา 3 พอใช้ 3 พอใช้ 4 พอใช้ 10 พอใช้

20. ปลม้ื 2 ควรไดร้ ับ 4 พอใช้ 4 พอใช้ 10 พอใช้
การส่งเสรมิ 4 พอใช้ 9 พอใช้
21. นาย 4 พอใช้ 3 พอใช้ 11 พอใช้
2 ควรไดร้ บั 4 พอใช้ 11 พอใช้
22. มงั กร การสง่ เสริม 3 พอใช้ 5 ปานกลาง 10 พอใช้
8 ดี 20 ดี
23. โปเต้ 2 ควรไดร้ ับ 5 ปานกลาง
การสง่ เสรมิ ด้านทศิ ทางการอา่ น คะแนน
24. มา 5 ปานกลาง รวม ระดบั คะแนน
วนิ 2 ควรได้รับ คะแนน ระดับ (30)
25. การส่งเสรมิ (10) พฤติกรรม 6 ปานกลาง
แพ็ทต้ี 14 ปานกลาง
2 ควรได้รบั 5 ปานกลาง ดา้ นการเข้าใจ 12 พอใช้
นาม การส่งเสริม 5 ปานกลาง ความหมายของคำ 15 ปานกลาง
สมมติ คะแนน ระดบั 12 พอใช้
6 ปานกลาง (10) พฤติกรรม 11 พอใช้
26. ข้าว 14 ปานกลาง
ฟา่ ง ดา้ นการออกเสียง 5 ปานกลาง 12 พอใช้
27. วาคิม 4 พอใช้ 22 ดี
คะแนน ระดบั 5 ปานกลาง
(10) พฤติกรรม 4 พอใช้
4 พอใช้
4 พอใช้ 5 ปานกลาง

3 พอใช้ 5 ปานกลาง

28. โอม 4 พอใช้ 6 ปานกลาง 7 ดี

29. ข้าว 3 พอใช้ 5 ปานกลาง
หอม

30. ภมู ิ 3 พอใช้ 4 พอใช้

31. ภผู า 2 ควรไดร้ ับ 7 ดี
การส่งเสรมิ

32. นทั 2 ควรไดร้ ับ 5 ปานกลาง
การส่งเสริม

33. อัน 7 ดี 8 ดี
ดา

จากตารางท่ี 3 พบว่า การอ่านพื้นฐานกอ่ นการจัดกิจกรรมการเล่นกลางแจ้งในด้านการออก
เสียงมีนักเรียนจำนวน 13 คน อยู่ในระดับพฤติกรรมพฤติกรรมควรได้รับการส่งเสริม มีนักเรียนจำนวน
14 คน อยใู่ นระดบั พอใช้ มีนักเรียนจำนวน 4 คน อยูใ่ นระดับปานกลาง และมนี กั เรยี นจำนวน 2 คน
อยู่ในระดับดี ด้านทิศทางการอ่านมีนักเรียนจำนวน 2 คน อยู่ในระดับพฤติกรรมพฤติกรรมควรได้รับ
การส่งเสรมิ มีนักเรยี นจำนวน 11 คน อยู่ในระดบั พอใช้ มนี กั เรียนจำนวน 12 คน อยูใ่ นระดับปานกลาง
และมีนกั เรยี นจำนวน 8 คน อยู่ในระดับดี ดา้ นการเข้าใจความหมายของคำมีนักเรยี นจำนวน 1 คน อยู่
ในระดับพฤตกิ รรมพฤติกรรมควรไดร้ ับการสง่ เสริม มีนักเรยี นจำนวน 15 คน อยใู่ นระดบั พอใช้ มนี ักเรียน
จำนวน 16 คน อยู่ในระดับปานกลาง และมีนักเรียนจำนวน 1 คน อยู่ในระดับดี ซึ่งคะแนนพฤติกรรมใน
ภาพรวมมนี ักเรียนจำนวน 1 คน อยใู่ นระดับพฤติกรรมพฤติกรรมควรได้รับการส่งเสริม มนี ักเรียนจำนวน
17 คน อยูใ่ นระดบั พอใช้ มนี กั เรียนจำนวน 10 คน อยู่ในระดบั ปานกลาง และมีนักเรยี นจำนวน 4 คน อยู่
ในระดับดี

ตารางที่ 4 การศึกษาการอา่ นพ้ืนฐานของนกั เรียนระดับชั้นอนุบาลปีที่ 3/3 โรงเรียนหนองหว้า(ชมายนุกูล)

หลังการจัดกิจกรรมการเลน่ กลางแจ้งภาษาแสนสนกุ เป็นรายบุคคล

นาม ด้านการออกเสยี ง ดา้ นทศิ ทางการอา่ น ดา้ นการเข้าใจ คะแนน
สมมติ ความหมายของคำ รวม ระดบั คะแนน
คะแนน ระดบั คะแนน ระดบั คะแนน ระดบั (30)
(10) พฤติกรรม (10) พฤติกรรม (10) พฤติกรรม

1. นิว 7 ดี 7 ดี 6 ดี 20 ดี

2. ปล้มื 8 ดี 9 ดีมาก 8 ดี 25 ดีมาก

3. เบน 10 ดีมาก 10 ดีมาก 10 ดีมาก 30 ดีมาก

4. ชมพู่ 8 ดี 9 ดมี าก 8 ดี 25 ดีมาก

5. ไตเตลิ้ 10 ดีมาก 10 ดมี าก 9 ดีมาก 29 ดีมาก

6. โดนทั 8 ดีมาก 10 ดีมาก 8 ดีมาก 26 ดีมาก

8. อุ้ม 8 ดี 9 ดมี าก 9 ดีมาก 27 ดีมาก


Click to View FlipBook Version