The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

แผนการจัดการเรียนรู้ เทอม 1

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by มณฑิดา ฝั่งซ้าย, 2024-01-29 10:02:12

แผนการจัดการเรียนรู้ เทอม 1

แผนการจัดการเรียนรู้ เทอม 1

45 8. การวัดและการประเมินผลการเรียนรู้ จุดประสงค์การเรียนรู้ วิธีการวัดผล การเรียนรู้ เครื่องมือวัดผล การเรียนรู้ เกณฑ์การวัด ประเมินผล ด้านความรู้ (K : Knowledge) - นักเรียนสามารถบอกชนิดของผลได้ - ตรวจชิ้นงาน - Mind mapping เรื่อง ชนิดของผล ผ่านเกณฑ์การ ประเมินไม่ น้อยกว่า ร้อยละ 70 ด้านทักษะกระบวนการ (P : Process) - นักเรียนสามารถจำแนกชนิดของผล โดยใช้จำนวนรัง ไข่เป็นเกณฑ์ผ่านบัตรภาพ - สังเกตการ ตอบคำถามใน ชั้นเรียน - แบบสังเกต พฤติกรรม รายบุคคล ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A : Attribute) - นักเรียนมีวินัย ใฝ่เรียนรู้ และรับผิดชอบต่อหน้าที่ของ ตนเองที่ได้รับมอบหมาย - สังเกต พฤติกรรม ในขณะทำ กิจกรรมในชั้น เรียน - แบบสังเกต คุณลักษณะอัน พึงประสงค์ - แบบสังเกต พฤติกรรมการ ทำงานกลุ่ม


46


47


48


49 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 4 รายวิชาชีววิทยาเพิ่มเติม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 บทที่ 8 การสืบพันธุ์ของพืชดอก เวลาทั้งหมด 8 ชั่วโมง เรื่อง วัฏจักรชีวิตแบบสลับของพืชดอก เวลา 2 ชั่วโมง ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 ผู้สอน นางสาวมณฑิดา ฝั่งซ้าย 1. มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐาน ว 4.3 เข้าใจส่วนประกอบของพืช การแลกเปลี่ยนแก๊สและคายน้ำของพืช การลำเลียงของพืช การสังเคราะห์ด้วยแสง การสืบพันธุ์ของพืชดอกและการเจริญเติบโต และการตอบสนองของพืช รวมทั้งนำความรู้ ไปใช้ประโยชน์ 2. ผลการเรียนรู้ อธิบายวัฏจักรชีวิตแบบสลับของพืชดอก 3. สาระสำคัญ พืชแต่ละต้นไม่ว่าจะเป็นพืชดอกหรือพืชไร้ดอกจะมีช่วงระยะที่แตกต่างกัน 2 ระยะสลับกัน คือ ระยะที่ สร้างสปอร์ เรียกว่า ระยะสปอโรไฟต์ (Sporophyte) แล้วระยะที่สร้างเซลล์สืบพันธุ์ เรียกว่า ระยะแกมีโทไฟต์ (Gametophyte) พืชดอกเป็นพืชที่มีวิวัฒนาการสูงที่สุดในอาณาจักรพืช มีการสืบพันนธุ์แบบอาศัยเพศ โดยมีดอก เป็นอวัยวะที่ทำหน้าที่สร้างสปอร์ แล้วเจริญแกมีโทไฟต์ที่ทำหน้าที่สร้างเซลล์สืบพันธุ์ ดังนั้น วัฏจักรชีวิตของพืช ดอกจึงเป็น วัฏจักรชีวิตแบบสลับ (Alternation of generation) 4.จุดประสงค์การเรียนรู้ 4.1 ด้านความรู้ (K) - นักเรียนสามารถอธิบายวัฏจักรชีวิตแบบสลับของพืชดอกได้ 4.2 ด้านทักษะ/กระบวนการ (P) - นักเรียนสืบค้นและสรุปเกี่ยวกับวัฏจักรชีวิตแบบสลับของพืชได้ 4.3 ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A) - นักเรียนมีวินัย ใฝ่เรียนรู้ และรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตนเองที่ได้รับมอบหมาย


50 5. สาระการเรียนรู้ พืชดอกมีวัฏจักรชีวิตแบบสลับ ประกอบด้วย ระยะที่สร้างสปอร์เรียกว่า ระยะสปอโรไฟต์(2n) เกิดจาก การแบ่งเซลล์แบบไมโอซิสของ สปอร์มาเทอร์เซลล์ และระยะที่สร้างเซลล์สืบพันธุ์เรียกว่า ระยะแกมีโทไฟต์(n) โดยประกอบด้วยเซลล์สืบพันธุ์เพศผู้ และเซลล์สืบพันธุ์เพศเมีย ส่วนประกอบของดอกที่เกี่ยวข้องกับการสืบพันธุ์ โดยตรง คือชั้นเกสรเพศผู้และชั้นเกสรเพศเมีย ซึ่งจำนวนรังไข่เกี่ยวข้องกับการเจริญเป็นผลชนิดต่าง ๆ 6. กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) ขั้นที่ 1 ขั้นสร้างความสนใจ 1) ครูกระตุ้นความมสนใจของนักเรียนโดยใช้คำถาม ดังนี้ - นักเรียนดอกไม้มีความสำคัญกับวงจรของพืชอย่างไร แนวคำตอบ : ดอกไม้เป็นอวัยวะที่พืชใช้ในการสร้างเซลล์สืบพันธุ์ และสืบพันธุ์ โดยมีส่วนที่สำคัญ คือ เกสรเพศผู้และเกสรเพศเมีย ส่วนกลีบเลี้ยงและกลีบดอกเป็นอีกปัจจัยที่ช่วยในการสืบพันธุ์ เช่น กลีบดอกที่มีสีสัน สวยงามช่วยล่อแมลงมาผสมเกสร ขั้นที่ 2 ขั้นสำรวจและค้นหา 1) ครูเขียนคำศัพท์บนกระดาน แล้วให้นักเรียนสืบค้นข้อมูลจากแหล่งการเรียนรู้ เช่น หนังสือเรียน ชีววิทยา ม.5 เล่ม 3 อินเทอร์เน็ต ห้องสมุด เพื่อหาความหมายของคำศัพท์ ดังนี้ - Alternation of generation แนวคำตอบ : วัฏจักรชีวิตแบบสลับของพืชดอก ซึ่งมี 2 ระยะสลับกัน คือ ระยะสปอโรไฟต์ สลับกับระยะ แกมีโทไฟต์ - ระยะ Sporophyte แนวคำตอบ : ระยะที่พืชมีการสร้างสปอร์ - ระยะ Gametophyte แนวคำตอบ : ระยะที่พืชมีการสร้างเซลล์สืบพันธุ์ - Diploid แนวคำตอบ : จำนวนโครโมโซมที่มีสองชุด - Haploid แนวคำตอบ : จำนวนโครโมโซมที่มีชุดเดียว - Microspore mother cell แนวคำตอบ : กลุ่มเซลล์ที่อยู่ภายในอับเรณู ซึ่งจะแบ่งเซลล์แบบไมโอซิส ได้เซลล์ใหม่ 4 เซลล์ เรียกว่า ชั่วโมงที่ 1


51 ไมโครสปอร์ - Megaspore mother cell แนวคำตอบ : กลุ่มเซลล์ที่อยู่ภายในออวุล ซึ่งจะแบ่งเซลล์แบบไมโอซิส ได้เซลล์ใหม่ 4 เซลล์ เรียกว่า เมกะสปอร์ - Male gametophyte แนวคำตอบ : เรณู หรือ แกมีโทไฟท์เพศผู้ - Female gametophyte แนวคำตอบ : ถุงเอ็มบริโอ หรือ แกมีโทไฟต์เพศเมีย 2) ครูแจกใบงาน เรื่อง วัฏจักรของพืชดอก ให้นักเรียนศึกษาคำชี้แจงและลงมือทำใบงานความรู้ที่ได้จาก การสืบค้นความหมายของคำศัพท์บนกระดานทำใบงาน ขั้นที่ 3 ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป 1) นักเรียนและครูร่วมกันอภิปรายผลจากการทำใบงานที่ 4 เรื่อง วัฏจักรชีวิตแบบสลับของพืชดอก 2) ครูสรุปองค์ความรู้เพิ่มเติมในส่วนที่นักเรียนยังไม่เข้าใจ ขั้นที่ 4 ขั้นขยายความรู้ 1) ครูเสริมความรู้เกี่ยวกับวัฏจักรชีวิตของเฟิร์นให้แก่นักเรียนเพิ่มเติม เพื่อให้เห็นภาพชัดมากขึ้น ขั้นที่ 5 ขั้นประเมิน 1) ครูตรวจสอบความเข้าใจของนักเรียน โดยการให้นักเรียนร่วมกันตอบคำถามจากบัตรคำถาม ภายในชั้น เรียน โดยมีชุดคำถาม ดังนี้ - สปอร์มาเทอร์เซลล์ ทำหน้าที่อะไร แนวคำตอบ : แบ่งเซลล์แบบไมโอซิส เพื่อสร้างสปอร์ - สปอร์ของพืชดอกมีกี่ชนิด อะไรบ้าง แนวคำตอบ : 2 ชนิด คือ ไมโครสปอร์ และเมกะสปอร์ - แกมีโทไฟต์เพศผู้และเพศเมียของพืชดอกคืออะไร ทำหน้าที่อะไร แนวคำตอบ : แกมีโทไฟต์เพศผู้ คือ เรณู ทำหน้าที่สร้างเซลล์สืบพันธุ์ คือ สเปิร์ม แกมีโทไฟต์เพศเมีย คือ ถุงเอ็มบริโอ ทำหน้าที่สร้างเซลล์สืบพันธุ์ คือ ไข่ ชั่วโมงที่ 2


52 - ระยะแกมีโทไฟต์ แตกต่างกับระยะสปอโรไฟต์ อย่างไร แนวคำตอบ : ระยะแกมีโทไฟต์ ทำหน้าที่สร้างเซลล์สืบพันธุ์ ซึ่งเป็นระยะที่มีโครโมโซมเพียงหนึ่งชุด ระยะสปอโรไฟต์ทำหน้าที่สร้างเซลล์สืบพันธุ์ ซึ่งเป็นระยะที่มีโครโมโซม 2 ชุด - กระบวนการแบ่งเซลล์แบบใดทำให้เซลล์อยู่ในสภาพแฮพลอดย์และดิพลอดย์ ตามลำดับ แนวคำตอบ : ไมโอซิส และไมโทซิส ตามลำดับ 7. สื่อ/อุปกรณ์ แหล่งการเรียนรู้ 7.1 สื่อ/อุปกรณ์ 7.1.1 ใบงานที่ 4 เรื่อง วัฏจักรชีวิตแบบสลับของพืชดอก 7.1.2 บัตรคำถาม 7.2 แหล่งการเรียนรู้ 7.2.1 หนังสือเรียนชีววิทยา ม.5 เล่ม 3 7.2.2 อินเทอร์เน็ต 7.2.3 YouTube


53 8. การวัดและการประเมินผลการเรียนรู้ จุดประสงค์การเรียนรู้ วิธีการวัดผล การเรียนรู้ เครื่องมือวัดผล การเรียนรู้ เกณฑ์การวัด ประเมินผล ด้านความรู้ (K : Knowledge) - นักเรียนสามารถอธิบายวัฏจักรชีวิตแบบสลับของพืช ดอกได้ - ตรวจสอบ ชิ้นงาน - ใบงาน เรื่อง วัฏจักรชีวิต แบบสลับของ พืชดอก ผ่านเกณฑ์การ ประเมินไม่ น้อยกว่า ร้อยละ 70 ด้านทักษะกระบวนการ (P : Process) - นักเรียนสืบค้นและสรุปเกี่ยวกับวัฏจักรชีวิตแบบสลับ ของพืชได้ - การตอบ คำถามในชั้น เรียนของ นักเรียน - แบบสังเกต พฤติกรรม รายบุคคลด้าน คุณลักษณะ อันพึงประสงค์ ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A : Attribute) - นักเรียนมีวินัย ใฝ่เรียนรู้ และรับผิดชอบต่อหน้าที่ของ ตนเองที่ได้รับมอบหมาย - การสังเกต พฤติกรรม - แบบสังเกต พฤติกรรม รายบุคคลด้าน คุณลักษณะ อันพึงประสงค์


54


55


56


57 ใบงานที่ 4 เรื่อง วัฏจักรชีวิตแบบสลับของพืชดอก รายวิชาชีววิทยา ว32242 สอนโดย นางสาวมณฑิดา ฝั่งซ้าย ตอนที่ 1 คำชี้แจง : ให้นักเรียนพิจารณาวัฏจักรชีวิตของพืชดอก แล้วเติมคำที่ขาดหายไปลงในกล่องสี่เหลี่ยมให้สมบูรณ์ ตอนที่ 2 คำชี้แจง : ให้นักเรียนพิจารณาส่วนประกอบที่กำหนดให้ในตาราง แล้วทำเครื่องหมาย ✓ ลงในตารางให้ตรงกับ จำนวนชุดโครโมโซม ข้อ ส่วนประกอบ แฮพลอยด์ (n) ดิพลอยด์ (2n) 1. ไซโกต (Zygote) 2. อับเรณู (Anther) 3. เมกะสปอร์ (Megasporogenesis) 4. สปอโรไฟต์ (Sporophyte) 5. ถุงเอ็มบริโอ (Embryo sac)


58 ใบงานที่ 4 เรื่อง วัฏจักรชีวิตแบบสลับของพืชดอก รายวิชาชีววิทยา ว32242 สอนโดย นางสาวมณฑิดา ฝั่งซ้าย ตอนที่ 1 คำชี้แจง : ให้นักเรียนพิจารณาวัฏจักรชีวิตของพืชดอก แล้วเติมคำที่ขาดหายไปลงในกล่องสี่เหลี่ยมให้สมบูรณ์ ตอนที่ 2 คำชี้แจง : ให้นักเรียนพิจารณาส่วนประกอบที่กำหนดให้ในตาราง แล้วทำเครื่องหมาย ✓ ลงในตารางให้ตรงกับ จำนวนชุดโครโมโซม ข้อ ส่วนประกอบ แฮพลอยด์ (n) ดิพลอยด์ (2n) 1. ไซโกต (Zygote) ✓ 2. อับเรณู (Anther) ✓ 3. เมกะสปอร์ (Megasporogenesis) ✓ 4. สปอโรไฟต์ (Sporophyte) ✓ 5. ถุงเอ็มบริโอ (Embryo sac) ✓ สปอโรไฟต์ ไมโครสปอร์ มาเทอร์เซลล์ ดิพลอยด์ แฮพลอยด์ ถุงเอ็มบริโอ เรณู เมกะสปอร์ มาเทอร์เซลล์ เมกะสปอร์ ไมโครสปอร์


59 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 5 รายวิชาชีววิทยาเพิ่มเติม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 บทที่ 8 การสืบพันธุ์ของพืชดอก เวลาทั้งหมด 8 ชั่วโมง เรื่อง การสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศของพืชดอก เวลา 1 ชั่วโมง ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 ผู้สอน นางสาวมณฑิดา ฝั่งซ้าย 1. มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐาน ว 4.3 เข้าใจส่วนประกอบของพืช การแลกเปลี่ยนแก๊สและคายน้ำของพืช การลำเลียงของพืช การสังเคราะห์ด้วยแสง การสืบพันธุ์ของพืชดอกและการเจริญเติบโต และการตอบสนองของพืช รวมทั้งนำความรู้ ไปใช้ประโยชน์ 2. ผลการเรียนรู้ อธิบาย และเปรียบเทียบกระบวนการสร้าง เซลล์สืบพันธุ์เพศผู้และเพศเมียของพืชดอก และอธิบายการ ปฏิสนธิของพืชดอก 3. สาระสำคัญ การสร้างไมโครสปอร์ของพืชดอกเกิดขึ้นภายในอับเรณู โดยไมโครสปอร์มาเทอร์เซลล์แบ่งเซลล์แบบไมโอ ซิสได้ไมโครปอร์ โดยไมโครสปอร์นี้แบ่งเซลล์แบบไมโทซิสได้ 2 เซลล์ คือ ทิวบ์เซลล์และเจเนอเรทิฟเซลล์ เมื่อมีการ ถ่ายเรณูไปตกบนยอดเกสรเพศเมีย ทิวบ์เซลล์จะงอกหลอดเรณูและเจเนอเรทิฟเซลล์แบ่งไมโทซิสได้เซลล์สืบพันธุ์ เพศผู้ 2 เซลล์ การสร้างเมกะสปอร์เกิดขึ้นภายในออวุลในรังไข่โดยเซลล์ที่เรียกว่า เมกะสปอร์มาเทอร์เซลล์แบ่งไมโอซิสได้ เมกะสปอร์ ซึ่งในพืชส่วนใหญ่จะเจริญพัฒนาต่อไปได้เพียง 1 เซลล์ ที่เหลืออีก 3 เซลล์จะฝ่อ เมกะสปอร์จะแบ่งไม โทซิส 3 ครั้ง ได้ 8 นิวเคลียส ที่ประกอบด้วย 7 เซลล์โดยมี 1 เซลล์ ที่ทำหน้าที่เป็นเซลล์สืบพันธุ์ เรียก เซลล์ไข่ ส่วน อีก 1 เซลล์มี 2 นิวเคลียส เรียก โพลาร์นิวคลีไอ 4.จุดประสงค์การเรียนรู้ 4.1 ด้านความรู้ (K) - นักเรียนสามารถอธิบายกระบวนการสร้างเซลล์สืบพันธุ์ของพืชดอกได้ 4.2 ด้านทักษะ/กระบวนการ (P) - นักเรียนสามารถเปรียบเทียบกระบวนการสร้างเซลล์สืบพันธุ์เพศผู้และเพศเมียของพืชดอกได้ 4.3 ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A) - นักเรียนมีวินัย ใฝ่เรียนรู้และมีความรับผิดชอบ


60 5. สาระการเรียนรู้ พืชดอกสร้างไมโครสปอร์และเมกะสปอร์ซึ่งอาจสร้างในดอกเดียวกันหรือต่างดอกหรือต่างต้นกัน การสร้าง ไมโครสปอร์ของพืชดอกเกิดขึ้นโดยไมโครสปอร์มาเทอร์เซลล์แบ่งเซลล์แบบ ไมโอซิสได้ไมโครสปอร์โดยไมโครสปอร์ นี้ แบ่งเซลล์แบบไมโทซิสได้ 2 เซลล์คือ ทิวบ์เซลล์ และเจเนอเรทิฟเซลล์เมื่อมีการถ่ายเรณูไปตกบนยอดเกสรเพศ เมีย ทิวบ์เซลล์จะงอกหลอดเรณู และเจเนอเรทิฟเซลล์แบ่งไมโทซิสได้เซลล์สืบพันธุ์ เพศผู้ 2 เซลล์ การสร้างเมกะ สปอร์เกิดขึ้นภายในออวุลในรังไข่ โดยเซลล์ที่เรียกว่า เมกะสปอร์มาเทอร์เซลล์ แบ่งไมโอซิสได้เมกะสปอร์ซึ่งในพืช ส่วนใหญ่จะเจริญพัฒนาต่อไปได้เพียง 1 เซลล์ที่เหลืออีก 3 เซลล์จะฝ่อ เมกะสปอร์จะแบ่งไมโทซิส 3 ครั้ง ได้ 8 นิวเคลียส ที่ประกอบด้วย 7 เซลล์โดยมี 1 เซลล์ที่ทำหน้าที่เป็นเซลล์สืบพันธุ์เรียกเซลล์ไข่ ส่วนอีก 1 เซลล์มี 2 นิวเคลียส เรียก โพลาร์นิวคลีไอ 6. กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) ขั้นที่ 1 ขั้นสร้างความสนใจ 1) ครูนำเข้าสู่บทเรียนโดยให้นักเรียนตอบคำถามผ่านแอพพลิเคชั่นเพื่อการศึกษา Quizizz จาก : https://quizizz.com/admin/quiz/5ecf3670f6705e001e2bb30f/-5 2) ครูถามกระตุ้นความมสนใจของนักเรียนโดยใช้คำถาม “พืชดอกสามารถสืบพันธุ์ได้อย่างไร” แนวคำตอบ : พืชใช้อวัยวะที่เรียกว่า ดอก ในการสืบพันธุ์ โดยมีส่วนประกอบของดอกที่มีส่วนสำคัญใน การสืบพันธุ์ คือ เกสรเพศผู้และเกสรเพศเมีย ซึ่งอาจอยู่ภายในดอกเดียวกันหรือคนละดอก ขั้นที่ 2 ขั้นสำรวจและค้นหา 1) ให้นักเรียนแบ่งกลุ่มออกเป็น 2 กลุ่ม โดยแต่ละกลุ่มมีหน้าที่ดังนี้ - กลุ่มที่ 1 ศึกษาการสร้างเซลล์สืบพันธุ์เพศผู้ – กลุ่มที่ 2 ศึกษาการสร้างเซลล์สืบพันธุ์เพศเมีย 2) ให้สมาชิกในกลุ่มที่ 1 จับคู่กับสมาชิกในกลุ่มที่ 2 จากนั้นให้นักเรียนเเต่ละคู่เเลกเปลี่ยนความรู้กัน จากนั้นทำใบงาน เรื่อง การสร้างเซลล์สืบพันธุ์ของพืช ขั้นที่ 3 ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป 1) ครูสุ่มนักเรียน 1 - 2 คู่ ออกมานำเสนอใบงานหน้าชั้นเรียน 2) นักเรียนและครูร่วมกันอภิปรายผลจากการทำใบงานให้ได้ใจความว่า “ดอกทำหน้าที่ในการสืบพันธุ์ แบบอาศัยเพศ ภายในอับเรณูซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเกสรเพศผู้ มีไมโครสปอร์มาเทอร์เซลล์ที่แบ่งเซลล์แบบไมโทซิส


61 ได้ 4 ไมโครสปอร์ แต่ละไมโครสปอร์จะแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสได้ 2 นิวเคลียส คือ เจอเนอเรทีพนิวเคลียสกับทิวบ์ นิวเคลียส ส่วนภายในรังไข่มีออวุล ซึ่งภายในมีเมกะสปอร์มาเทอร์เซลล์ เมื่อแบ่งเซลล์แบบไมโอซิสได้เมกะสปอร์ จำนวน 4 เซลล์ ซึ่งในจำนวน 4 เซลล์จะหายไป 3 เซลล์ เหลือเพียง 1 เซลล์ แล้วเกิดการแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส 3 ครั้ง ได้ 7 เซลล์ 8 นิวเคลียส ซึ่งประกอบด้วยแอนติโพแดลจำนวน 3 เซลล์ ซินเนอร์จิดจำนวน 2 เซลล์ เอนโด สเปิร์มจำนวน 1 เซลล์ (2 นิวเคลียส) และเซลล์ไข่ 1 เซลล์” ขั้นที่ 4 ขั้นขยายความรู้ 1) รูปร่างลักษณะของเรณูและจำนวนเรณูมีความเหมาะสมในการถ่ายเรณูอย่างไร แนวคำตอบ : ลักษณะรูปร่างของเรณูที่แตกต่างกันจะมีผลต่อรูปแบบของการถ่ายเรณู การที่รูปร่างของ เรณูมีได้หลากหลาย เช่น กลม รี และสามเหลี่ยม อาจจะเหมาะสมกับการติดไปกับแมลงหรือสัตว์ที่เป็นพาหะถ่าย เรณูหรือบางชนิดอาจเหมาะสมกับการปลิวไปตามลม การมีลักษณะผิวขรุขระ มีหนามหรือปุ่มยื่นออกมา มีความ เหนียวชื้นทำให้ติดไปกับแมลงได้ง่ายและเมื่อตกบนยอดเกสรเพศเมียแล้วจะไม่ปลิวไปตามลม การที่เรณูมีจำนวน มากเป็นการเพิ่มโอกาสให้เรณูสามารถไปตกบนยอดเกสรเพศเมียทั้งในดอกเดียวกันและข้ามดอกโดยวิธีการต่าง ๆ กันได้มาก เมื่อมีการถ่ายเรณูแล้วจะมีการสร้างเซลล์สืบพันธุ์เพศผู้เพื่อเข้าไปผสมกับเซลล์ไข่ได้เป็นไซโกตและเจริญ ต่อไป ขั้นที่ 5 การประเมินผล 1) ครูตรวจใบงาน เรื่อง การสร้างเซลล์สืบพันธุ์ของพืชดอก 2) ครูทดสอบความเข้าใจของนักเรียนโดยการให้ตอบคำถาม ดังนี้ - เซลล์สืบพันธุ์เพศผู้ผสมกับเซลล์สืบพันธุ์เพศเมียที่อยู่ในถุงเอ็มบริโอได้อย่างไร แนวคำตอบ : เริ่มจากการถ่ายเรณูเมื่อเรณูตกลงยอดเกสรเพศเมีย ทิวบ์เซลล์จะงอกหลอดเรณูผ่านยอดเกสรเพศ เมียลงไปถึงรังไข่ - ขั้นตอนการปฏิสนธิของพืชดอกเป็นอย่างไร แนวคำตอบ : เรณูตกลงบนยอดเกสรเพศเมีย >> ทิวบ์นิวเคลียสงอกเป็นหลอดเรณูไปตามเกสรเพศเมีย >> เจ เนอร์ทิฟเซลล์แบ่งเซลล์แบบไมโทซิสได้สเปิร์ม 2 เซลล์ >> สเปิร์มไปผสมกับโพลาร์นิวคลีไอและเซลล์ไข่ 7. สื่อ/อุปกรณ์ แหล่งการเรียนรู้ 7.1สื่อ/อุปกรณ์ 7.1.1 ใบงาน เรื่อง การสร้างเซลล์สืบพันธุ์ของพืชดอก 7.2 แหล่งการเรียนรู้ 7.2.1 หนังสือเรียนชีววิทยา ม.5 เล่ม 3 7.2.2 อินเทอร์เน็ต 7.2.3 YouTube


62 8. การวัดและการประเมินผลการเรียนรู้ จุดประสงค์การเรียนรู้ วิธีการวัดผล การเรียนรู้ เครื่องมือวัดผล การเรียนรู้ เกณฑ์การวัด ประเมินผล ด้านความรู้ (K : Knowledge) - นักเรียนสามารถอธิบายกระบวนการสร้างเซลล์สืบพันธุ์ ของพืชดอกได้ - ตรวจสอบ ชิ้นงาน - ใบงาน เรื่อง การสร้างเซลล์ สืบพันธุ์ของพืช ดอก ผ่านเกณฑ์การ ประเมินไม่ น้อยกว่า ร้อยละ 70 ด้านทักษะกระบวนการ (P : Process) - นักเรียนสามารถเปรียบเทียบกระบวนการสร้างเซลล์ สืบพันธุ์เพศผู้และเพศเมียของพืชดอกได้ - สังเกต พฤติกรรม การทำงานใน กลุ่ม - แบบสังเกต พฤติกรรม รายบุคคลด้าน คุณลักษณะ อันพึงประสงค์ ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A : Attribute) - นักเรียนมีวินัย ใฝ่เรียนรู้และมีความรับผิดชอบ - การสังเกต พฤติกรรม - แบบสังเกต พฤติกรรม รายบุคคลด้าน คุณลักษณะ อันพึงประสงค์


63


64


65


66 ใบงานที่ 2 เรื่อง การสร้างเซลล์สืบพันธุ์ของพืชดอก รายวิชาชีววิทยา ว32242 สอนโดย นางสาวมณฑิดา ฝั่งซ้าย คำชี้แจง : จงเติมคำในตารางกระบวนการสร้างเซลล์สืบพันธุ์ ลักษณะที่พิจารณา การสร้างเซลล์สืบพันธุ์เพศผู้ การสร้างเซลล์สืบพันธุ์เพศเมีย แหล่งสร้างเซลล์สืบพันธุ์ …………………………………………… รังไข่ เซลล์เริ่มต้น (mother cell) …………………………………………… เมกะสปอร์มาเทอร์เซลล์ เซลล์ที่ได้จาก meiosis ของเซลล์เริ่มต้น ไมโครสปอร์ จำนวน 4 เซลล์ ………………………………………… เซลล์ที่ได้จากการแบ่งเซลล์แบบ mitosis …………………………………………… …………………………………………… เซลล์สืบพันธุ์ …………………………………………… …………………………………………… คำชี้แจง : จงเขียนขั้นตอนการสร้างเซลล์สืบพันธุ์ของพืชดอก 1. การสร้างเรณู (Pollen grian) ของพืชดอก ตอบ 2. การสร้างถุงเอ็มบริโอของพืชดอก ตอบ ตอนที่ 1 ตอนที่ 2


67 ใบงานที่ 2 เรื่อง การสร้างเซลล์สืบพันธุ์ของพืชดอก รายวิชาชีววิทยา ว32242 สอนโดย นางสาวมณฑิดา ฝั่งซ้าย คำชี้แจง : จงเติมคำในตารางกระบวนการสร้างเซลล์สืบพันธุ์ ลักษณะที่พิจารณา การสร้าง male gametophyte การสร้าง female gametophyte แหล่งสร้างเซลล์สืบพันธุ์ …………………………………………… รังไข่ เซลล์เริ่มต้น (mother cell) …………………………………………… เมกะสปอร์มาเทอร์เซลล์ เซลล์ที่ได้จาก meiosis ของเซลล์เริ่มต้น ไมโครสปอร์ จำนวน 4 เซลล์ ………………………………………… เซลล์ที่ได้จากการแบ่งเซลล์แบบ mitosis …………………………………………… …………………………………………… เซลล์สืบพันธุ์ สเปิร์ม …………………………………………… เซลล์ไข่ …………………………………………… คำชี้แจง : จงเขียนขั้นตอนการสร้างเซลล์สืบพันธุ์ จากข้อมูลในตารางตอนที่ 1 1. การสร้างเรณู (Pollen grian) ของพืชดอก ตอบ Microspore mother cell (2n) ----- เกิดการ meiosis -----> ได้ 4 microspore (n) ----- เกิดการ mitosis (นิวเคลียส) -- ---> ได้ เรณู ซึ่งมี 2 นิวเคลียส คือ Generative nucleus และ tube nucleus 2. การสร้างถุงเอ็มบริโอของพืชดอก ตอบ Megaspore mother cell (2n) ----- เกิดการ meiosis -----> ได้ 4 megaspore ซึ่งจะสลายไป 3 และได้ 1 megaspore (n) ----- เกิดการ mitosis ที่นิวเคลียส 3 ครั้ง -----> ได้ embryo sac (ถุงเอ็มบริโอ) (7เซลล์ 8 นิวเคลียส) ตอนที่ 1 อับเรณู ไมโครสปอร์มาเทอร์ เมกะสปอร์ จำนวน 4 เซลล์ เจเนอเรทีฟเซลล์และ ทิวบ์นิวเคลียส แอนติโพแดล,ซินเนอร์จิด ,โพลาร์นิวคลีไอ,เซลล์ไข่ ตอนที่ 2


68 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 6 รายวิชาชีววิทยาเพิ่มเติม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 บทที่ 8 การสืบพันธุ์ของพืชดอก เวลาทั้งหมด 8 ชั่วโมง เรื่อง การปฏิสนธิ เวลา 1 ชั่วโมง ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 ผู้สอน นางสาวมณฑิดา ฝั่งซ้าย 1. มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐาน ว 4.3 เข้าใจส่วนประกอบของพืช การแลกเปลี่ยนแก๊สและคายน้ำของพืช การลำเลียงของพืช การสังเคราะห์ด้วยแสง การสืบพันธุ์ของพืชดอกและการเจริญเติบโต และการตอบสนองของพืช รวมทั้งนำความรู้ ไปใช้ประโยชน์ 2. ผลการเรียนรู้ อธิบาย และเปรียบเทียบกระบวนการสร้าง เซลล์สืบพันธุ์เพศผู้และเพศเมียของพืชดอก และอธิบายการ ปฏิสนธิของพืชดอก 3. สาระสำคัญ การปฏิสนธิของพืชดอกเป็นการปฏิสนธิคู่ โดยคู่หนึ่งเป็นการรวมกันของสเปิร์มเซลล์หนึ่งกับเซลล์ไข่ได้เป็น ไซโกต ซึ่งจะเจริญและพัฒนาไปเป็นเอ็มบริโอ และอีกคู่หนึ่งเป็นการรวมกันของสเปิร์มอีกเซลล์หนึ่งกับโพลาร์นิวคลี ไอได้เป็นเอนโดสเปิร์มนิวเคลียส ซึ่งจะเจริญและพัฒนาต่อไปเป็นเอนโดสเปิร์ม 4.จุดประสงค์การเรียนรู้ 4.1 ด้านความรู้ (K) - นักเรียนสามารถอธิบายกระบวนการปฏิสนธิของพืชดอกได้ 4.2 ด้านทักษะ/กระบวนการ (P) - นักเรียนสามารถสืบค้นเกี่ยวกับการปฏิสนธิของพืชดอกได้ 4.3 ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A) - นักเรียนมีวินัย ใฝ่เรียนรู้ และรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตนเองที่ได้รับมอบหมาย 5. สาระการเรียนรู้ การปฏิสนธิ(Fertilization) คือกระบวนการที่เซลล์สืบพันธุ์เพศผู้ (เรณู) ผสมกับเซลล์สืบพันธุ์เพศเมีย (เซลล์ไข่) เมื่อเกิดการถ่ายละอองเรณู ละอองเรณูจะตกอยู่ที่บริเวณ stigma ซึ่งจะมีสารกึ่งเหลวคอยดักจับเรณูไว้ เมื่อมีสภาพที่เหมาะสม ละอองเรณูจะงอกและมีการเจริญของท่อเรณูเพื่อเข้าไปผสมกับเซลไข่ (egg cell) โดย ภายในท่อเรณูจะมีสเปิร์มอยู่ 2 ชนิด ทำ ให้เกิดการผสม 2 ครั้ง (double fertilization) คือสเปิร์ม 1 อันจะผสม


69 กับไข่ได้เป็น zygote ซึ่งจะพัฒนาต่อไปเป็นต้นอ่อน (embryo) ส่วนสเปิร์มอีกหนึ่งชนิดจะผสมกับ polar nuclei ได้เป็น endosperm ทำหน้าที่เป็นอาหารสะสมให้กับต้นอ่อน แต่ในพืชบางชนิดอาหารสะสมให้ต้นอ่อนเกิดจาก เนื้อเยื่อที่อยู่ในรังไข่ (nucellus) หรือ perisperm 6. กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) ขั้นที่ 1 ขั้นสร้างความสนใจ 1) ครูนำเข้าสู่บทเรียนโดยให้นักเรียนตอบคำถามจากบทเรียนที่แล้ว เพื่อเป็นการทบทวนความรู้ โดยมีชุด คำถามดังนี้ - ใน 1 เรณูมีสเปิร์มนิวเคลียสจำนวนเท่าใด แต่ละนิวเคลียสมีโครโมโซมจำนวนกี่ชุด แนวคำตอบ : นักเรียนควรสรุปได้ว่า ใน 1 เรณูจะมีสเปิร์มนิวเคลียส 2 สเปิร์ม นิวเคลียส และ แต่ละสเปิร์มนิวเคลียสมีโครโมโซม 1 ชุด - ใน 1 ถุงเอ็มบริโอมีเซลล์ไข่จำนวนเท่าใด และมีจำนวนโครโมโซมจำนวนกี่ชุดกี่ชุด แนวคำตอบ : ส่วนเซลล์ไข่มีจำนวน 1 เซลล์และมีโครโมโซม 1 ชุด ขั้นที่ 2 ขั้นสำรวจและค้นหา 1) ครูเขียนข้อความบนกระดาน แล้วให้นักเรียนลอกคำถามลงในสมุดบันทึกของตนเอง โดยมีแนวดังนี้ 1. สเปิร์มไปผสมกับโพลาร์นิวคลีไอและเซลล์ไข่ 2. เรณูตกลงบนยอดเกสรเพศเมีย 3. เจเนอเรทีฟเซลล์แบ่งเซลล์แบบไมโทซิสได้สเปิร์ม 2 เซลล์ 4. ทิวบ์นิวเคลียสแบ่งเซลล์ และงอกหลอดเรณูไปตามก้านเกสรเพศเมีย 2) นักเรียนศึกษา เรื่อง Double Fertilization in Angiosperms ในหนังสือเรียนชีววิทยา ม.5 เล่ม 3 เรื่อง การปฏิสนธิของพืช หรือแหล่งการเรียนรู้อื่นๆ เช่น ยูทูป อินเทอร์เน็ต 3) นักเรียนทำใบงาน เรื่อง การปฏิสนธิของพืชดอก ขั้นที่ 3 ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป 1) นักเรียนและครูร่วมกันเฉลยขั้นตอนการปฏิสนธิของพืชดอก โดยครูอธิบายคำตอบว่า เมื่อเรณูตกลงบน ยอดเกสรเพศเมีย เรณู ทิวบ์เซลล์จะแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส เพื่องอกหลอดเรณูไปตามก้านเกสรเพศเมีย แทงเข้าไป ในรังไข่ จากนั้นเจเนอเรทีฟเซลล์จะแบ่งเซลล์ ได้ 2 นิวเคลียส ได้จำนวนสเปิร์ม 2 เซลล์ เข้าไปผสมกับโพลาร์นิวคลี ไอและเซลล์ได้ โดยสเปิร์มที่ผสมกับโพลาร์นิวคลีไอจะเจริญเป็นเอนโดสเปิร์ม ส่วนสเปิร์มที่ผสมกับเซลล์ไข่จะเจริญ เป็นไซโกต ดังนั้น หมายเลขควรเรียงจาก 2 > 4 > 3 > 1 2) ครูสุ่มตัวแทน 1 คู่ ออกมานำเสนอข้อสรุปที่ได้จากการศึกษาการงอกหลอดเรณู


70 ขั้นที่ 4 ขั้นขยายความรู้ 1) ครูเสริมความรู้ในเรื่องการปฏิสนธิของพืชดอกว่า นอกจากการถ่ายเรณูในธรรมชาติโดยอาศัยลม น้ำ แมลง หรือสัตว์เป็นพาหะ แต่การถ่ายเรณูตามธรรมชาติในพืชเศรษฐกิจบางชนิดให้ผลผลิตจำนวนไม่มาก เช่น ทุเรียน มนุษย์จึงช่วยถ่ายเรณูทุเรียน โดยตัดอับเรณูที่แตกเก็บไว้ แล้วนำพู่กันมาแตะเรณูป้ายบนยอดเกสรเพศเมีย ในช่วงเวลาที่เกสรเพศเมียเจริญเต็มที่ นอกจากนี้การถ่ายเรณูโดยมนุษย์ยังสามารถผสมพันธุ์ทุเรียนแบบข้ามสาย พันธุ์ได้อีกด้วย ขั้นที่ 5 การประเมินผล 3) ครูทดสอบความเข้าใจของนักเรียนโดยการให้ตอบคำถาม ดังนี้ - กระบวนการเริ่มต้นของการผสมเกสรเกิดขึ้นได้อย่างไร แนวคำตอบ : เกิดขึ้นจากเรณูที่แตกออกจากอับเรณูไปตกลงบนยอดเกสรเพศเมีย - การปฏิสนธิคืออะไร แนวคำตอบ : กระบวนการที่สเปิร์ม เข้าไปผสมกับเซลล์ไข่ที่อยู่ภายในรังไข่ - ขั้นตอนการปฏิสนธิของพืชดอกเป็นอย่างไร แนวคำตอบ : 1) เรณูตกลงบนยอดเกสรเพศเมีย > 2) ทิวบ์นิวเคลียสแบ่งเซลล์ และงอกหลอดเรณูไปตาม ก้านเกสรเพศเมีย > 3) เจเนอเรทีฟเซลล์แบ่งเซลล์แบบไมโทซิสได้สเปิร์ม 2 เซลล์ > 4) สเปิร์มไปผสมกับโพลาร์ นิวคลีไอและเซลล์ไข่ 4) ครูตรวจใบงาน เรื่อง การปฏิสนธิของพืชดอก 7. สื่อ/อุปกรณ์ แหล่งการเรียนรู้ 7.2สื่อ/อุปกรณ์ 7.1.1 ใบงาน เรื่อง การปฏิสนธิของพืชดอก 7.2 แหล่งการเรียนรู้ 7.2.1 หนังสือเรียนชีววิทยา ม.5 เล่ม 3 7.2.2 อินเทอร์เน็ต 7.2.3 YouTube


71 8. การวัดและการประเมินผลการเรียนรู้ จุดประสงค์การเรียนรู้ วิธีการวัดผล การเรียนรู้ เครื่องมือวัดผล การเรียนรู้ เกณฑ์การวัด ประเมินผล ด้านความรู้ (K : Knowledge) - นักเรียนสามารถอธิบายกระบวนการปฏิสนธิของพืช ดอกได้ - ตรวจสอบ ชิ้นงาน - ใบงาน เรื่อง วัฏจักรชีวิต แบบสลับของ พืชดอก ผ่านเกณฑ์การ ประเมินไม่ น้อยกว่า ร้อยละ 70 ด้านทักษะกระบวนการ (P : Process) - นักเรียนสามารถสืบค้นเกี่ยวกับการปฏิสนธิของพืช ดอกได้ - การตอบ คำถามในชั้น เรียนของ นักเรียน - แบบสังเกต พฤติกรรม รายบุคคลด้าน คุณลักษณะ อันพึงประสงค์ ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A : Attribute) - นักเรียนมีวินัย ใฝ่เรียนรู้ และรับผิดชอบต่อหน้าที่ของ ตนเองที่ได้รับมอบหมาย - การสังเกต พฤติกรรม - แบบสังเกต พฤติกรรม รายบุคคลด้าน คุณลักษณะ อันพึงประสงค์


72


73


74


75


76 ใบงานที่ 3 เรื่อง การปฏิสนธิของพืชดอก รายวิชาชีววิทยา ว32242 สอนโดย นางสาวมณฑิดา ฝั่งซ้าย คำชี้แจง : ให้นักเรียนศึกษาจากแหล่งการเรียนรู้เพิ่มเติมจากสื่ออินเทอร์เน็ต หนังสือเรียนชีววิทยา เล่ม 3 แล้ว ตอบคำถามต่อไปนี้ 1. การปฏิสนธิของพืชดอกเกิดขึ้นเมื่อใด ตอบ เกิดขึ้นเมื่อสเปิร์มเข้าไปผสมกับเซลล์ไข่กับโพลาร์นิวคลีไอ 2. พิจารณาภาพที่กำหนดให้ A B C และ D คืออะไร ตามลำดับ 3. สเปิร์มของพืชสร้างมาจากเซลล์ใด ตอบ เกิดจากการแบ่งเซลล์ของเจเนอเรทีฟได้สเปิร์ม 2 นิวเคลียส 4.หลังเกิดการปฏิสนธิ บริเวณหมายเลข 1 และ 2 จะพัฒนาเป็นอะไร ตามลำดับ ตอบ หมายเลข 1 เจริญเป็นเอนโดสเปิร์ม หมายเลข 2 เจริญเป็นไซโกต Central cell A B C D ..................................................... ..................................................... ..................................................... ..................................................... แอนติโพแดล โพลาร์นิวคลีไอ ซินเนอร์จิด เซลล์ไข่


77 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 7 รายวิชาชีววิทยาเพิ่มเติม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 บทที่ 8 การสืบพันธุ์ของพืชดอก เวลาทั้งหมด 8 ชั่วโมง เรื่อง การเกิดผลและเมล็ด เวลา 2 ชั่วโมง ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 ผู้สอน นางสาวมณฑิดา ฝั่งซ้าย 1. มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐาน ว 4.3 เข้าใจส่วนประกอบของพืช การแลกเปลี่ยนแก๊สและคายน้ำของพืช การลำเลียงของพืช การสังเคราะห์ด้วยแสง การสืบพันธุ์ของพืชดอกและการเจริญเติบโต และการตอบสนองของพืช รวมทั้งนำความรู้ ไปใช้ประโยชน์ 2. ผลการเรียนรู้ - อธิบายการเกิดเมล็ดและการเกิดผลของพืชดอก โครงสร้างของเมล็ดและผล และยกตัวอย่าง การใช้ ประโยชน์จากโครงสร้างต่างๆของเมล็ด และผล - ทดลอง และอธิบายเกี่ยวกับปัจจัยต่าง ๆ ที่มีผลต่อการงอกของเมล็ด สภาพพักตัวของเมล็ด และบอก แนวทางในการแก้สภาพพักตัว ของเมล็ด 3. สาระสำคัญ เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการปฏิสนธิ จะมีกระบวนการการเกิดผลและเมล็ด โดยรังไข่ภายในเกสรตัวเมียจะ เจริญกลายเป็นผล (fruit) ส่วนผนังรังไข่จะเปลี่ยนเป็นผนังผล (pericarp) ซึ่งมีลักษณะหรือรูปร่างแตกต่างกันไป ผนังผลประกอบด้วยเนื้อเยื่อ 3 ชั้น ได้แก่ ผนังผลชั้นนอก (Exocarp) ผนังผลชั้นกลาง (Mesocarp) และผนังผล ชั้นใน (Endocarp) การงอกของเมล็ด ต้องได้รับสภาพแวดล้อมภายนอกที่เหมาะสมมากระตุ้นการเปลี่ยนแปลงภายในเมล็ด เอ็มบริโอจะเจริญเป็นต้นพืช ซึ่งกระบวนการที่เอ็มบริโอในเมล็ดเจริญเป็นต้นพืช เรียกว่า การงอก (Germination) 4.จุดประสงค์การเรียนรู้ 4.1 ด้านความรู้ (K) - นักเรียนสามารถอธิบายการเกิดเมล็ดและผลของพืชดออก 4.2 ด้านทักษะ/กระบวนการ (P) - นักเรียนสามารถบอกแนวทางในการประยุกต์โครงสร้างต่างๆ ของเมล็ดและผลไปใช้ประโยชน์ได้ 4.3 ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A) - นักเรียนมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ และงานที่ได้รับมอบหมายในชั้นเรียน


78 5. สาระการเรียนรู้ ภายหลังการปฏิสนธิออวุลจะมีการเจริญและพัฒนาไปเป็นเมล็ด และรังไข่จะมีการเจริญและพัฒนาไปเป็น ผล โครงสร้างของเมล็ดประกอบด้วย เปลือกเมล็ด เอ็มบริโอ และเอนโดสเปิร์ม โครงสร้างของผล ประกอบด้วย ผนังผล และเมล็ด ซึ่งแต่ละส่วนของโครงสร้างจะมีประโยชน์ต่อพืชเองและต่อสิ่งมีชีวิตอื่น 6. กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) ขั้นที่ 1 ขั้นสร้างความสนใจ 1) ครูกระตุ้นความสนใจของนักเรียนก่อนเข้าสู่บทเรียน โดยให้นักเรียนเล่นเกมแข่งขันกันบอกชื่อดอกไม้ โดยครูเป็นผู้กำหนดจำนวนพยางค์ ดังนี้ - 1 พยางค์ แนวคำตอบ : เข็ม บัว รัก - 2 พยางค์ แนวคำตอบ : กุหลาบ มะลิ ชบา เฟื่องฟ้า - 3 พยางค์ แนวคำตอบ : เบญจมาศ ทานตะวัน บานบุรี - 4 พยางค์ แนวคำตอบ : พุทธรักษา บานไม่รู้โรย คุณนายตื่นสาย 2) ครูถามคำถามกระตุ้นความสนใจของนักเรียน โดยมีคำถามดังนี้ - ถ้าเด็กทารกเกิดจากการปฏิสนธิของมนุษย์ แล้วส่วนใดของพืชที่ได้จากการปฏิสนธิ แนวคำตอบ : เปิดโอกาสให้นักเรียนได้เสนอความคิดเห็น เพื่อกระตุ้นให้นักเรียนแสดงความรู้เดิม ออกมา ขั้นที่ 2 ขั้นสำรวจและค้นหา 1) นักเรียนศึกษาโครงสร้างและการเกิดเมล็ดและผลของพืช จากแหล่งการเรียนรู้ อินเทอร์เน็ต หรือ หนังสือเรียนชีววิทยา เล่ม 3 แล้วทำใบงานที่ 5 เรื่อง โครงสร้างของเมล็ดพืช 2) นักเรียนแบ่งกลุ่มออกเป็น กลุ่มละ 5 - 6 คน จากนั้นร่วมกันศึกษาโครงสร้างของผล แล้วร่วมกันสร้าง แบบจำลองโครงสร้างของผล โดยการวาดรูป ชั่วโมงที่ 1 ชั่วโมงที่ 2


79 ขั้นที่ 3 ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป 1) ครูสุ่มตัวแทนกลุ่ม 3 กลุ่ม ออกมานำเสนอแบบจำลองโครงสร้างผลของกลุ่มตนเอง 2) ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายผลจากการสร้างแบบจำลองโครงสร้างผล โดยมีแนวการอภิปรายว่า ผลประกอบด้วย 2 ส่วน คือ ผนังผล และเมล็ด ซึ่งผนังผลแบ่งออกเป็น 3 ชั้น ได้แก่ ผนังชั้นนอก ผนังชั้น กลาง และผนังชั้นใน ส่วนเมล็ดเจริญมาจากออวุลที่มีส่วนประกอบหลัก คือ เปลือกหุ้มเมล็ด เอนโดสเปิร์ม และ เอ็มบริโอ เมล็ด ประกอบด้วยส่วนสำคัญ คือ เปลือกหุ้มเมล็ด ต้นอ่อน และอาหารสำหรับเลี้ยงต้นอ่อน ส่วนที่คล้าย ต้นและใบเล็ก ๆ อยู่ภายในเมล็ด คือ ต้นอ่อนและส่วนที่มีสีขาวหนา แยกออกได้เป็น 2 ซีก คือ อาหารสำหรับเลี้ยง ต้นอ่อน 1. เปลือกหุ้มเมล็ด เกิดมาจากเยื่อที่หุ้มไข่ ทำหน้าที่ป้องกันอันตรายให้กับเอมบริโอ ป้องกันการสูญเสียน้ำ เปลือกหุ้มเมล็ดมี 2 ชั้น เปลือกชั้นนอก หนา เหนียว และแข็ง เรียกว่า เทสตา (testa) ส่วนเปลือกชั้นในมักเป็นเยื่อ บาง ๆ เรียกว่า เทกเมน (tegmen) 2. เอนโดสเปิร์ม ทำหน้าที่สะสมอาหารพวกแป้ง ไขมัน โปรตีน และน้ำตาล ให้แก่ เอ็มบริโอ (ต้นอ่อน) 3.เอ็มบริโอ เจริญจากไซโกต มีส่วนประกอบที่สำคัญ คือ ใบเลี้ยง มีหน้าที่เก็บสะสม อาหารให้แก่เอมบริโอ และป้องกันการบุบสลายของเอมบริโอขณะที่มีการงอก และลำต้นอ่อน ประกอบ 2 ส่วนคือ ลำต้นอ่อนเหนือใบเลี้ยง เรียกว่า เอปิคอติล(epicotyl) มีส่วนปลายสุดเรียกว่า ยอดอ่อน ซึ่งเจริญเป็นลำต้น กิ่ง ก้าน ใบ และดอก ส่วนลำต้นอ่อนใต้ใบเลี้ยง เรียกว่า ไฮโปคอตอล (hypocotyl) มีส่วนปลายสุดเรียกว่า รากอ่อน จะเจริญเป็นรากแก้ว ขั้นที่ 4 ขั้นขยายความรู้ 1) หลังจากเรียนเรื่อง โครงสร้างของผลและเมล็ดพืช ให้นักเรียนยกตัวอย่างประโยชน์ที่ได้จากโครงสร้าง ต่างๆ ของเมล็ดและผล โดยครูอาจให้นักเรียนแต่ละคนยกตัวอย่าง 1 ตัวอย่าง โดยตัวอย่างของนักเรียนแต่ละคน ห้ามซ้ำกัน ขั้นที่ 5 ขั้นประเมิน 1) ตรวจใบงานที่ 5 เรื่อง โครงสร้างของเมล็ดพืช 2) ประเมินชิ้นงาน เรื่อง โครงสร้างของผล 7. สื่อ/อุปกรณ์ แหล่งการเรียนรู้ 7.1 สื่อ/อุปกรณ์ 7.1.1 ใบงานที่ 5 เรื่อง โครงสร้างของเมล็ดพืช 7.1.2 อุปกรณ์วาดแบบจำลองโครงสร้างผล


80 7.2 แหล่งการเรียนรู้ 7.2.1 หนังสือเรียนชีววิทยา ม.5 เล่ม 3 7.2.2 อินเทอร์เน็ต 8. การวัดและการประเมินผลการเรียนรู้ จุดประสงค์การเรียนรู้ วิธีการวัดผล การเรียนรู้ เครื่องมือวัดผล การเรียนรู้ เกณฑ์การวัด ประเมินผล ด้านความรู้ (K : Knowledge) - นักเรียนสามารถอธิบายการเกิดเมล็ดและผลของพืชด ออก - ตรวจสอบ ชิ้นงาน - ใบงาน เรื่อง โครงสร้างของ เมล็ดพืช - ภาพวาด แบบจำลอง โครงสร้างของ ผล ผ่านเกณฑ์การ ประเมินไม่ น้อยกว่า ร้อยละ 70 ด้านทักษะกระบวนการ (P : Process) - นักเรียนสามารถบอกแนวทางในการประยุกต์ โครงสร้างต่างๆ ของเมล็ดและผลไปใช้ประโยชน์ได้ - การตอบ คำถามในชั้น เรียนของ นักเรียน - แบบสังเกต พฤติกรรม รายบุคคล ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A : Attribute) - นักเรียนมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ และงานที่ได้รับ มอบหมายในชั้นเรียน - การสังเกต พฤติกรรม - แบบสังเกต พฤติกรรม รายบุคคลด้าน คุณลักษณะ อันพึงประสงค์


81


82


83


84 ใบงานที่ 5 เรื่อง โครงสร้างของเมล็ดพืช รายวิชาชีววิทยา ว32242 สอนโดย นางสาวมณฑิดา ฝั่งซ้าย คำชี้แจง : ให้นักเรียนเติมคำหรือข้อความลงในแผนผัง เรื่อง โครงสร้างของเมล็ดพืช ให้สมบูรณ์ เมล็ด เปลือกหุ้มเมล็ด ลักษณะ : หน้าที่ : รากแรกเกิด คือ คือ ลำต้นใต้ใบเลี้ยงที่เป็นส่วนของแกนของเอ็มบริโอ ที่อยู่ใต้ใบเลี้ยง คือ ลำต้นเหนือใบเลี้ยงที่เป็นส่วนของเอ็มบริโอที่อยู่ เหนือใบเลี้ยงขึ้นไป ใบเลี้ยง ทำหน้าที่ หน้าที่ เก็บสะสมอาหารจำพวกแป้ง น้ำตาล โปรตีน หรือไขมันขึ้นอยู่กับชนิดของ พืช แต่พืชใบเลี้ยงคู่บางชนิดจะไม่มีส่วนนี้ เช่น ถั่ว มะขาม หรือ พืชบางชนิด ส่วน นี้อาจไม่พัฒนา เช่น กล้วย


85 ใบงานที่ 5 เรื่อง โครงสร้างของเมล็ดพืช รายวิชาชีววิทยา ว32242 สอนโดย นางสาวมณฑิดา ฝั่งซ้าย คำชี้แจง : ให้นักเรียนเติมคำหรือข้อความลงในแผนผัง เรื่อง โครงสร้างของเมล็ดพืช ให้สมบูรณ์ เมล็ด เปลือกหุ้มเมล็ด ลักษณะ : หนา เหนียว และแข็ง หน้าที่ : ป้องกันอันตรายเอ็มบริโอที่อยู่ภายในเมล็ด ป้องกันการสูญเสียน้ำ และ ป้องกันการงอกจนกว่าจะได้รับสภาวะที่เหมาะสมในพืช เอ็มบริโอ รากแรกเกิด คือ แรดิเคิลที่อยู่บริเวณส่วนปลายสุดของแกน เอ็มบริโอ ไฮโพคอลทิล คือ ลำต้นใต้ใบเลี้ยงที่เป็นส่วนของแกนของเอ็มบริโอ ที่อยู่ใต้ใบเลี้ยง เอพิคอลทิล คือ ลำต้นเหนือใบเลี้ยงที่เป็นส่วนของเอ็มบริโอที่อยู่ เหนือใบเลี้ยงขึ้นไป ใบเลี้ยง ทำหน้าที่ ดูดซึม ลำเลียงสารอาหารจากเอนโดสเปิร์ม ในพืชบางชนิด และป้องกันยอดอ่อนไม่ให้ได้รับ อันตราย เอนโดสเปิร์ม หน้าที่ เก็บสะสมอาหารจำพวกแป้ง น้ำตาล โปรตีน หรือไขมันขึ้นอยู่กับชนิดของ พืช แต่พืชใบเลี้ยงคู่บางชนิดจะไม่มีส่วนนี้ เช่น ถั่ว มะขาม หรือ พืชบางชนิด ส่วน นี้อาจไม่พัฒนา เช่น กล้วย


86 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 8 รายวิชาชีววิทยาเพิ่มเติม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 บทที่ 9 โครงสร้างและการเจริญเติบโตของพืชดอก เวลาทั้งหมด 18 ชั่วโมง เรื่อง เนื้อเยื่อพืช เวลา 2 ชั่วโมง ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 ผู้สอน นางสาวมณฑิดา ฝั่งซ้าย 1. มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐาน ว 4.3 เข้าใจส่วนประกอบของพืช การแลกเปลี่ยนแก๊สและคายน้ำของพืช การลำเลียงของพืช การสังเคราะห์ด้วยแสง การสืบพันธุ์ของพืชดอกและการเจริญเติบโต และการตอบสนองของพืช รวมทั้งนำความรู้ ไปใช้ประโยชน์ 2. ผลการเรียนรู้ อธิบายเกี่ยวกับชนิดและลักษณะของเนื้อเยื่อพืช และเขียนแผนผังเพื่อสรุปชนิดของเนื้อเยื่อพืช 3. สาระสำคัญ พืชดอกประกอบด้วยอวัยวะต่างๆ ได้แก่ ราก ลำต้น ใบ และดอก ซึ่งอวัยวะเหล่านี้ประกอบไปด้วย เนื้อเยื่อที่ทำหน้าที่แตกต่างกัน โดยเนื้อเยื่อพืชแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ เนื้อเยื่อเจริญและเนื้อเยื่อถาวร โดย เนื้อเยื่อเจริญแบ่งออกได้เป็น เนื้อเยื่อเจริญส่วนปลาย เนื้อเยื่อเจริญเหนือข้อ และเนื้อเยื่อเจริญด้านข้าง ส่วน เนื้อเยื่อถาวรเปลี่ยนแปลงมาจากเนื้อเยื่อเจริญ เพื่อทำหน้าที่เฉพาะ แบ่งออกได้เป็น 3 ระบบ คือ ระบบเนื้อเยื่อผิว ระบบเนื้อเยื่อพื้น และระบบเนื้อเยื่อท่อลำเลียง 4.จุดประสงค์การเรียนรู้ 4.1 ด้านความรู้ (K) - นักเรียนสามารถอธิบายเกี่ยวกับชนิดและลักษณะของเนื้อเยื่อพืชได้ 4.2 ด้านทักษะ/กระบวนการ (P) - นักเรียนสามารถจำแนกประเภทและเขียนแผนผังสรุปชนิดของเนื้อเยื่อพืชได้ 4.3 ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A) - นักเรียนมีวินัย ใฝ่เรียนรู้ และรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตนเองที่ได้รับมอบหมาย 5. สาระการเรียนรู้ เนื้อเยื่อพืชแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่คือ เนื้อเยื่อเจริญ และเนื้อเยื่อถาวร เนื้อเยื่อเจริญแบ่งเป็นเนื้อเยื่อเจริญ ส่วนปลาย พบได้ 2 บริเวณ ถ้าพบบริเวณปลายยอด เรียกว่า เนื้อเยื่อเจริญปลายยอด มีหน้าที่แบ่งเซลล์ทำให้ลำต้น และกิ่งยาวขึ้น ถ้าพบบริเวณปลายราก เรียกว่า เนื้อเยื่อเจริญปลายราก มีหน้าที่แบ่งเซลล์ทำให้นรากยาวขึ้น


87 เนื้อเยื่อเจริญเหนือข้อ มีหน้าที่แบ่งเซลล์เพิ่มจำนวนข้อปล้องของพืชใบเลี้ยงเดี่ยวให้ยาวขึ้น และเนื้อเยื่อเจริญ ด้านข้าง มีหน้าที่แบ่งเซลล์เพิ่มจำนวนออกทางด้านข้างทำให้รากและลำต้นขยายขนาดใหญ่ขึ้น เนื้อเยื่อถาวรอาจ แบ่งได้เป็น 3 ระบบ คือ ระบบเนื้อเยื่อผิว ประกอบด้วยเอพิเดอร์มิสทำหน้าที่ป้องกันเนื้อเยื่อด้านในของพืช และเพ ริเดิร์ม เจริญขึ้นมาแทนเอพิเดอร์มิสของทั้งรากและลำต้น ระบบเนื้อเยื่อพื้น ประกอบด้วยเนื้อเยื่ออื่นที่ไม่ใช่เนื้อเยื่อ ผิวและเนื้อเยื่อท่อลำเลียง ได้แก่ พาเรงคิมา คอลเลงคิมา สเกลอเรงคิมา และระบบเนื้อเยื่อท่อลำเลียง ประกอบด้วยไซเล็มทำหน้าที่ลำเลียงน้ำ ธาตุอาหาร และโฟลเอ็มทำหน้าที่ลำเลียงอาหาร 6. กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) ขั้นที่ 1 ขั้นสร้างความสนใจ 1) ครูนำภาพต้นไผ่และต้นมะม่วงมาให้นักเรียนเปรียบเทียบ แล้วถามคำถามกระตุ้นความสนใจ ดังนี้ - ทำไมลำต้นของต้นไผ่กับต้นมะม่วงจึงแตกต่างกัน แนวตอบ : ต้นไผ่เป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยว มีเนื้อเยื่อเจริญเหนือข้ออยู่ระหว่างข้อ ทำให้ต้นไผ่มีลำต้นสูง ส่วน ต้นมะม่วง เป็นพืชใบเลี้ยงคู่มักพบเนื้อเยื่อเจริญด้านข้าง แต่ไม่พบในพืชใบเลี้ยงเดี่ยว ซึ่งเนื้อเยื่อเจริญด้านข้าง หรือ แคมเบียมจะทำให้ลำต้นขยายขนาดกว้างขึ้น ดังนั้นต้นไผ่จึงมีลำต้นที่ผอมสูงกว่าต้นมะม่วง - อวัยวะของพืชทำหน้าที่สัมพันธ์กันอย่างไร แนวตอบ : อวัยวะของพืช ได้แก่ ราก ลำต้น ใบ ดอก ซึ่งราก ทำหน้าที่ดูดนำและธาตุอาหารที่อยู่ในดิน ลำเลียงไปสู่ส่วนต่างๆ ผ่านลำต้นซึ่งภายในมีท่อลำเลียงน้ำและอาหาร นอกจากนี้ลำต้นพืชช่วยค้ำจุนให้พืชตั้งตรง ได้ เมื่อน้ำและธาตุอาหารลำเลียงมาสู่ใบซึ่งเป็นอวัยวะที่มีหน้าที่หลักในการสังเคราะห์ด้วยแสง เพื่อผลิตอาหาร ให้กับพืช ส่วนดอกเป็น อวัยวะสืบพันธุ์ทำหน้าที่สร้างเซลล์สืบพันธุ์ให้กับพืช เมื่อดอกได้รับการผสมเกสรจะมีเพียง เกสรเพศเมียที่พัฒนาต่อไปเป็นผลซึ่งภายในมีเมล็ดทำหน้าที่แพร่พันธุ์ ขั้นที่ 2 ขั้นสำรวจและค้นหา 1) ครูตั้งคำถามเพื่อเชื่อมโยงเข้าสู่บทเรียน ดังนี้ - นักเรียนทราบหรือไม่ว่าเนื้อเยื่อเจริญและเนื้อเยื่อถาวรนี้อยู่ที่ส่วนใดของอวัยวะพืช - เนื้อเยื่อเจริญและเนื้อเยื่อถาวรมีรูปร่างลักษณะเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร แนวคำตอบ : ครูเปิดโอกาสให้นักเรียนอภิปรายและแลกเปลี่ยนคำตอบภายในกลุ่มโดยยังไม่ลงสรุป เพื่อ กระตุ้นความสนใจและให้นักเรียนตอบคำถามนี้หลังจากที่ได้เรียนเรื่องเนื้อเยื่อพืชไปแล้ว 2) นักเรียนแบ่งกลุ่มกลุ่มละ 5 – 6 คน ร่วมกันศึกษาข้อมูล เรื่อง เนื้อเยื่อเจริญและเนื้อเยื่อถาวรของพืช จากแหล่งการเรียนรู้ต่างๆ เช่น หนังสือเรียนชีววิทยา ม.5 เล่ม 3, อินเทอร์เน็ต, ยูทูป 3) ครูแจกกระดาษลิปชาร์ตให้นักเรียนแต่ละกลุ่ม และให้เวลาในการทำงานกลุ่ม 30 นาที


88 ขั้นที่ 3 ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป 1) นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันสรุปแผนผังชนิดและลักษณะของเนื้อเยื่อพืชที่ตนเองได้จากการศึกษา โดยใช้ กระดาษฟลิปชาร์ต 2) ครูสุ่มตัวแทนนักเรียนออกมานำเสนอกระดาษลิปชาร์ตของกลุ่มตนเอง ขั้นที่ 4 ขั้นขยายความรู้ 1) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปชนิด ลักษณะ บริเวณที่พบ และหน้าที่ของเนื้อเยื่อต่าง ๆ ดังตาราง เนื้อเยื่อ บริเวณที่พบ หน้าที่ เนื้อเยื่อ เจริญ เนื้อเยื่อเจริญส่วน ปลาย ยอด และราก ช่วยเพิ่มความยาว ความสูงของพืชจัดเป็นการเจริญเติบโต ปฐมภูมิ เนื้อเยื่อเจริญเหนือ ข้อ ข้อตรงบริเวณ เหนือข้อล่าง หรือโคนของ ปล้อง ทำให้ปล้องยาวขึ้น เป็นการเจริญเติบโตปฐมภูมิ พบในพืชใบ เลี้ยงเดี่ยว เช่น หญ้า ข้าว ข้าวโพด อ้อย และไผ่ เป็นต้น เนื้อเยื่อเจริญ ด้านข้าง แนวขนานกับ เส้นรอบวงของ ราก และลำต้น เพิ่มขนาดความกว้างหรือเส้นผ่านศูนย์กลางของลำต้นและ ราก ทำให้ลำต้นและรากขยายขนาดใหญ่ขึ้น เป็นการ เจริญเติบโตทุติยภูมิ (secondary growth) พบได้ในพืชใบ เลี้ยงคู่ทุกชนิด และพืชใบเลี้ยงเดี่ยวบางชนิด เช่น หมากผู้ หมากเมีย จันทน์ผา เป็นต้น เนื้อเยื่อเจริญชนิดนี้เรียกอีก อย่างว่า แคมเบียม (cambium) แบ่งเป็น 2 ชนิด คือ ถ้าพบ อยู่ระหว่างเนื้อเยื่อท่อลำเลียงน้ำและเนื้อเยื่อท่อลำเลียง อาหารจะเรียกว่า วาสคิวลาร์แคมเบียม (vascular cambium) ซึ่งเมื่อแบ่งเซลล์ทำให้เกิดเนื้อเยื่อท่อลำเลียง เพิ่มมากขึ้น และถ้าพบอยู่ในเนื้อเยื่อชั้นผิวหรือเอพิสเดอร์ มิส หรือพบถัดเข้าไป เรียกว่า คอร์กแคมเบียม (cork cambium) ซึ่งเมื่อแบ่งเซลล์ทำให้เกิดเนื้อเยื่อคอร์ก cork เนื้อเยื่อ ถาวร ระบบ เนื้อเยื่อ ผิว เอพิ เดอร์มิส รอบนอกสุด ของส่วนต่าง ๆ ของพืช เนื้อเยื่อที่ประกอบขึ้นมาจากเซลล์เอพิเดอร์มอล (epidermal cell) ที่มีลักษณะแบน ซึ่งกลุ่มเซลล์จะเรียงตัว กันเพยงชั้นเดียว โดยมีการเรียงตัวอัดแน่นจนไม่มีช่องว่าง ระหว่างเซลล์ ไม่มีคลอโรพลาสต์ และมักพบคิวตินมาเคลือบ


89 ทับเพื่อป้องกันการระเหยของน้ำ แต่จะไม่พบในราก ทำ หน้าที่ป้องกันเนื้อเยื่อที่อยู่ด้านใน สามารถเปลี่ยนแปลงไป เป็นเซลล์ชนิดอื่นได้เช่น เซลล์คุม (guard cell) ขนราก (root hair) ขนหรือหนาม (trichome) เพอริ เดิร์ม บริเวณเส้นรอ บวง ของราก และลำต้น พบในพืชที่มีอายุมากขึ้น เกิดจากการแบ่งตัวของเนื้อเยื่อ บริเวณเส้นรอบวง ของรากและลำต้น คือ เนื้อเยื่อ คอร์ก แคมเบียม หรือ เฟลโลเจน(phellogen) การแบ่งตัวของ เนื้อเยื่อชนิดนี้ทำให้เอพิเดอร์มิส แตกออก เนื้อเยื่อที่มาแทน ที่นี้เรียกว่าเพอริเดอร์ม ซึ่งจัดว่าเป็นการเจริญเติบโตทุติยภูมิ (secondary growth) ทำให้ลำต้นและรากขยายขนาดขึ้น ระบบ เนื้อเยื่อ พื้น พาเรงคิ มา แทบทุกส่วน ของพืช เป็นเนื้อเยื่อที่ประกอบขึ้นมาจากเซลล์พาเรงคิมา (parenchyma cell) เป็นเซลล์ที่มีชีวิต ผนังเซลล์บาง สม่ำเสมอเป็นผนังเซลล์ปฐมภูมิ มีรูปร่างได้หลายแบบ หน้า ตัดค่อนข้างกลม มีช่องว่างระหว่างเซลล์ ทำหน้าที่สะสมสาร ต่าง ๆ โดยหน้าที่ขึ้นอยู่กับสารที่บรรจุอยู่ภายใน เช่น ถ้ามี คอลโรพลาสต์จะเรียกว่า chlorenchyma คอล เลงคิมา พบมากบริเวณ ใต้เอพิเดอร์ มิสของก้านใบ เส้นกลางใบ เป็นเนื้อเยื่อที่ประกอบขึ้นมาจากเซลล์คอลเลงคิมา (collenchyma cell) เป็นเซลล์ที่มีชีวิต มีลักษณะคล้ายพาเรงคิมา แต่มีผนัง เซลล์หนาไม่สม่ำเสมอกัน ช่วยเพิ่มความแข็งแรง สเกอ เรงคิมา กลุ่มมัดท่อ ลำเลียง เปลือก ของผลบาง ชนิด เป็นเนื้อเยื่อที่ประกอบขึ้นมาจากเซลล์สเคอเรงคิมา (sclerenchyma cell) เป็นเซลล์ที่ไม่มีชีวิตแล้วมีผนังเซลล์ ทั้งสองขั้นที่ค่อนข้างหนาหรือหนามาก ช่วยพยุงและให้ ความแข็งแรงให้กับพืช สามารถจำแนกตามรูปร่างเซลล์ได้ เป็น 2 ชนิด คือ ถ้าเป็นเส้นใย รูปร่างเรียวยาว หัวท้าย แหลม เรียกว่า ไฟเบอร์ (fiber) ถ้ารูปร่างไม่ยามมากนัก มี หลายแบบเช่น รูปดาว หลายเหลี่ยม เรียกว่าสเกลอรีด (sclereid)


90 ระบบ เนื้อเยื่อ ท่อ ลำเลียง ไซเล็ม พบที่ภายใน ของราก ลำต้น และใบของพืช สามารถจำแนกได้เซลล์ 4 ชนิด เป็นเซลล์ที่มีชีวิตคือ พาร เรงคิมา ช่วยสะสมอาหาร และเป็นเซลล์ที่ตายแล้วคือ ไฟ เบอร์ ช่วยเพิ่มความแข็งแรง เทรคีต รูปร่างเรียวยาวมีรูพรุน เวสเซลเมมเบอร์ รูปร่างอ้วนสั้น หัวท้ายทะลุถึงกันเหมือน ท่อประปา ซึ่งไซเล็มทำหน้าที่ลำเลียงน้ำและแร่ธาตุอาหาร จากรากไปสู่ส่วนต่าง ๆ ของพืช การลำเลียงทางไซล็ม เรียกว่า คอนดักชัน(conduction) โฟลเอ็ม พบที่ภายใน ของราก ลำต้น และใบของพืช สามารถจำแนกได้เซลล์ 4 ชนิด คือ พาเรงคิมา ช่วยสะสม อาหาร ไฟเบอร์ ช่วยเพิ่มความแข็งแรง ซีฟทิวบ์เมมเบอร์ (sieve tube member) เป็นเซลล์ที่มีชีวิต ตอนเกิดใหม่มี นิวเคลียสแต่เมื่อโตได้ถูกสลายไป ซึ่งจะมาเรียงต่อกันเป็นท่อ ลำเลียงอาหาร และคอมพาเนียนเซลล์ (companion cell) เป็นเซลล์ติดกับซีฟทิวบ์เมมเบอร์ มีนิวเคลียส เพื่อช่วยซีฟ ทิวบ์เมมเบอร์ในการขนส่งน้ำตาลไปยังส่วนต่างๆของพืช โฟลเอ็มทำหน้าที่ลำเลียงอาหารสารอินทรีย์จากใบไปส่วน ต่าง ๆ การลำเลียงทางโฟลเอ็ม เรียกว่า ทรานสโลเคชัน (translocation) ขั้นที่ 5 ขั้นประเมิน 1) ครูใช้แนวคำถาม สรุปความรู้เรื่องเนื้อเยื่อพืช โดยมีแนวคำถาม ดังนี้ - เนื้อเยื่อเจริญแตกต่างกับเนื้อเยื่อถาวรอย่างไร จงยกตัวอย่างเนื้อเยื่อแต่ละชนิด แนวตอบ : เนื้อเยื่อเจริญมีสมบัติแบ่งเซลล์ได้ เช่น คอร์กแคมเบียม วาสคิวลาร์แคมเบียม แต่เนื้อเยื่อถาวร พัฒนามาจากเนื้อเยื่อเจริญที่มีรูปร่างและหน้าที่เฉพาะ เช่น พาเรงคิมา ไซเล็ม โฟลเอ็ม - เนื้อเยื่อถาวรชนิดหนึ่ง มีน้ำตาลสะสมอยู่ ผนังเซลล์มีความหนาบางสม่ำเสมอ เนื้อเยื่อชนิดนี้คืออะไร แนวตอบ : พาเรงคิมา - เนื้อเยื่อในลำต้นของต้นไผ่กับต้นถั่วมีความเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร แนวตอบ : แตกต่างกัน ลำต้นของต้นไผ่มีเนื้อเยื่อเจริญเหนือข้อ และลำต้นของต้นถั่วมีเนื้อเยื่อเจริญ ด้านข้าง - เนื้อเยื่อไซเล็มและโฟลเอ็มทำหน้าที่อะไร และประกอบด้วยเซลล์อะไรบ้าง


91 แนวตอบ : เนื้อเยื่อไซเล็ม ทำหน้าที่ลำเลียงน้ำและธาตุอาหาร ประกอบด้วย เวสเซล เทรคีค ไฟเบอร์ และพาเรงคิมา ส่วนเนื้อเยื่อโฟลเอ็ม ทำหน้าที่ลำเลียงอาหารประเภทน้ำตาล ประกอบด้วย ซีฟทีวบ์ เซลล์คอมพา เนียน ไฟเบอร์และพาเรงคิมา 2) ครูนำนักเรียนเล่นเกม “ทายซิฉันคืออะไร” โดยกติกา คือ จะจับสลากลักษณะ รูปร่าง หรือข้อมูลอื่น ๆ ของเนื้อเยื่อพืช แล้วให้นักเรียนแต่ละกลุ่มแข่งกันหาคำตอบ (ต้องให้ตัวแทนของกลุ่มยกมือเพื่อตอบเท่านั้น) โดยใช้ เวลาข้อละ 10 วินาที ผู้ชนะคือกลุ่มที่ตอบถูกได้มากที่สุด ใช้คำถามดังนี้ - ฉันคืออะไร ลำเลียงน้ำและธาตุอาหารจากรากขึ้นสู่ลำต้น ? แนวคำตอบ : ไซเล็ม - ฉันคืออะไร สะสมสารต่าง ๆ ภายในของพืช ? แนวคำตอบ : พาเรงคิมา - ฉันคืออะไร พบเฉพาะบริเวณปลายราก ปลายยอด ? แนวคำตอบ : เนื้อเยื่อเจริญส่วนปลาย - ฉันคืออะไร พบเฉพาะพืชใบเลี้ยงเดี่ยว ? แนวคำตอบ : เนื้อเยื่อเหนือข้อ - ฉันคืออะไร ส่วนใหญ่เรียงตัวเพียงชั้นเดียวอยู่นอกสุด ? แนวคำตอบ : เอพิเดอร์มิส 7. สื่อ/อุปกรณ์ แหล่งการเรียนรู้ 7.1 สื่อ/อุปกรณ์ 7.1.1 Power point เรื่อง เนื้อเยื่อพืช 7.1.2 สลากกิจกรรม “ทายซิฉันคืออะไร” 7.2 แหล่งการเรียนรู้ 7.2.1 หนังสือเรียนชีววิทยา ม.5 เล่ม 3 7.2.2 อินเทอร์เน็ต


92 8. การวัดและการประเมินผลการเรียนรู้ จุดประสงค์การเรียนรู้ วิธีการวัดผล การเรียนรู้ เครื่องมือวัดผล การเรียนรู้ เกณฑ์การวัด ประเมินผล ด้านความรู้ (K : Knowledge) - นักเรียนสามารถอธิบายเกี่ยวกับชนิดและลักษณะของ เนื้อเยื่อพืชได้ - การตอบ คำถามในชั้น เรียนของ นักเรียน - แบบสังเกต พฤติกรรม รายบุคคลด้าน คุณลักษณะ อันพึงประสงค์ ผ่านเกณฑ์การ ประเมินไม่ น้อยกว่า ร้อยละ 70 ด้านทักษะกระบวนการ (P : Process) - นักเรียนสามารถจำแนกประเภทและเขียนแผนผังสรุป ชนิดของเนื้อเยื่อพืชได้ - ตรวจสอบ ชิ้นงาน - ผังมโนทัศน์ สรุปจำแนก ประเภทและ สรุปชนิดของ เนื้อเยื่อพืช - แบบประเมิน การนำเสนอ ผลงาน - แบบสังเกต พฤติกรรม การทำงานกลุ่ม ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A : Attribute) - นักเรียนมีวินัย ใฝ่เรียนรู้ และรับผิดชอบต่อหน้าที่ของ ตนเองที่ได้รับมอบหมาย - การสังเกต พฤติกรรม - แบบสังเกต พฤติกรรม รายบุคคลด้าน คุณลักษณะ อันพึงประสงค์


93


94


Click to View FlipBook Version