145 3.1 มัดท่อลำเลียง (vascular bundle) อยู่เป็นกลุ่มๆ ด้านในเป็นไซเลม ด้านนอกเป็นโฟลเอ็มเรียงตัวใน แนวรัศมีเดียวกัน 3.2 วาสคิวลาร์เรย์(vascular ray) เป็นเนื้อเยื่อพาเรงคิมาที่อยู่ระหว่างมัดท่อลำเลียง เชื่อมต่อระหว่าง คอร์เทกซ์และพิธ 3.3 พิธ (pith) อยู่ชั้นในสุดเป็นไส้ในของลำต้นประกอบด้วยเนื้อเยื่อพาเรงคิมา ทำหน้าที่สะสมแป้งหรือ สารต่างๆ เช่น ผลึกแทนนิน (Tannin) พิธที่แทรกอยู่ในมัดท่อลำเลียงจะดูดคล้ายรัศมี เรียกว่า พิธเรย์ (Pith Ray) ทำหน้าที่สะสมอาหาร ช่วยลำเลียงน้ำ เกลือแร่ และอาหารไปทางด้านข้างของลำต้น ลำต้นพืชใบเลี้ยงเดี่ยว ลำต้นพืชใบเลี้ยงเดี่ยวส่วนใหญ่มีการเจริญเติบโตขั้นต้น ( Primary Growth ) เท่านั้น มีชั้นต่างๆ เช่นเดียวกับพืชใบเลี้ยงคู่ต่างกันที่มัดท่อลำเลียงรวมกันเป็นกลุ่มๆประกอบด้วยเซลล์ค่อนข้างกลมขนาดใหญ่ 2 เซลล์ ซึ่งได้แก่ เซลล์ด้านล่างคือ ไซเลมและเซลล์เล็กๆ ด้านบนคือโฟลเอ็ม มัดท่อลำเลียงของพืชใบเลี้ยงเดี่ยวจะ กระจายทุกส่วนของลำต้น แต่มักอยู่รอบนอกมากว่ารอบในและมัดท่อลำเลียงไม่มีเนื้อเยื่อเจริญด้านข้างหรือ แคมเบียมคั่นอยู่ ที่มา : http://www.nana-bio.com/e-learning/plant%20organ/stem.html ขั้นที่ 4 ขั้นขยายความรู้ 1) ครูเสนอการเจริญของลำต้นแบบทุติยภูมิของลำต้น ดังนี้การเจริญขั้นที่สองของลำต้น เกิดจากการแบ่ง เซลล์ออกทางด้านข้างของวาสคิวลาร์แคมเบียม (Vascular cambium) ซึ่งพบขั้นระหว่างเนื้อเยื่อลำเลียงน้ำและ แร่ธาตุ (Xylem) และเนื้อเยื่อลำเลียงอาหาร (Phloem) การแบ่งเซลล์ของวาสคิวลาร์แคมเบียมจะแบ่งได้ 2 ทิศทาง คือแบ่งเข้าด้านใน และแบ่งออกด้านนอกการแบ่งเข้าด้านในของวาสคิวลาร์แคมเบียม จะเกิดได้เร็วกว่า แบ่งออกด้านนอก และเจริญเป็นเนื้อเยื่อลำเลียงน้ำและแร่ธาตุ เรียกเนื้อเยื่อลำเลียงน้ำและแร่ธาตุที่เกิดจากวาสคิว
146 ลาร์แคมเบียมว่า เนื้อเยื่อลำเลียงน้ำและแร่ธาตุขั้นที่สอง (Secondary Xylem) การแบ่งออกทางด้านนอกแบ่งได้ ช้ากว่าเข้าด้านในและเจริญไปเป็นเนื้อเยื่อลำเลียงอาหารเรียกเนื้อเยื่อลำเลียงอาหารที่เปลี่ยนแปลงมาจากวาสคิว ลาร์แคมเบียมว่า เนื้อเยื่อลำเลียงอาหารขั้นที่สอง (Secondary phloem) 2) นักเรียนดู VDO เพิ่มเติมในหัวข้อโครงสร้างภายในของลำต้นพืชในการเจริญเติบโตทุติยภูมิ (Secondary growth) เพื่อให้นักเรียนเห็นภาพได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น โดยขณะที่ดู VDO ครูจะคอยเป็นคนอธิบาย เพิ่มเติมให้แก่นักเรียน ลิงค์วิดีโอ : https://youtu.be/YE2UTzXRysk ที่มา : http://www.nana-bio.com/e-learning/plant%20organ/stem03.html
147 ขั้นที่ 5 ขั้นประเมิน 1) ครูให้นักเรียนแก้ไข เพิ่มเติม ตรวจความถูกต้องของแบบบันทึกการศึกษาที่กลุ่มของตนเองทำเสร็จ เรียบร้อยแล้ว จากนั้นให้แต่ละกลุ่มออกมานำเสนอผลการศึกษาโครงสร้าง และหน้าที่ของรากพืชที่ตัดตามขวาง โดยกำหนดให้แต่ละกลุ่มใช้เวลาไม่เกิน 3 นาที 2) หลังจากนำเสนอจบครูทบทวน หรือเพิ่มเติมในเนื้อหา สาระสำคัญที่นักเรียนไม่ได้ลงรายละเอียด หรือ นำเสนอข้อมูลคลาดเคลื่อน 7. สื่อ/อุปกรณ์ แหล่งการเรียนรู้ 7.1 สื่อ/อุปกรณ์ 7.1.1 Power point ประกอบการสอน โครงสร้างตัดตามขวางของลำต้น 7.1.2 VDO แสดงการแบ่งเซลล์ในการเจริญเติบโตแบบทุติยภูมิ (Secondary growth) 7.2 แหล่งการเรียนรู้ 7.2.1 หนังสือเรียนชีววิทยาเพิ่มเติม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เล่ม 3 7.2.2 อินเทอร์เน็ต
148 8. การวัดและการประเมินผลการเรียนรู้ จุดประสงค์การเรียนรู้ วิธีการวัดผล การเรียนรู้ เครื่องมือวัดผล การเรียนรู้ เกณฑ์การวัด ประเมินผล ด้านความรู้ (K : Knowledge) - นักเรียนสามารถระบุ และอธิบายโครงสร้างภายในของ ลำต้นได้ - ตรวจสอบ ชิ้นงาน - การถามตอบ - ตารางบันทึก การสำรวจ - แบบสังเกต การตอบคำถาม ผ่านเกณฑ์การ ประเมินไม่ น้อยกว่า ร้อยละ 70 ด้านทักษะกระบวนการ (P : Process) - นักเรียนสามารถศึกษา และบันทึกภาพลำต้นพืชใบ เลี้ยงคู่ และพืชใบเลี้ยงเดี่ยวที่ตัดตามขวาง ระบุเนื้อเยื่อ ชั้นต่าง ๆ ภายใต้กล้องจุลทรรศน์ใช้แสงเชิงประกอบได้ - สังเกตทักษะ กระบวนการ ทาง วิทยาศาสตร์ - แบบสังเกต ทักษะ กระบวนการ ทาง วิทยาศาสตร์ ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A : Attribute) - นักเรียนมีวินัย ใฝ่เรียนรู้และมีความรับผิดชอบ - การสังเกต พฤติกรรม - แบบสังเกต พฤติกรรม รายบุคคลด้าน คุณลักษณะ อันพึงประสงค์
149
150
151
152 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 14 รายวิชาชีววิทยาเพิ่มเติม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 บทที่ 9 โครงสร้างและการเจริญเติบโตของพืชดอก เวลาทั้งหมด 18 ชั่วโมง เรื่อง ใบของพืชดอก เวลา 1 ชั่วโมง ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 ผู้สอน นางสาวมณฑิดา ฝั่งซ้าย 1. มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐาน ว 4.3 เข้าใจส่วนประกอบของพืช การแลกเปลี่ยนแก๊สและคายน้ำของพืช การลำเลียงของพืช การสังเคราะห์ด้วยแสง การสืบพันธุ์ของพืชดอกและการเจริญเติบโต และการตอบสนองของพืช รวมทั้งนำความรู้ ไปใช้ประโยชน์ 2. ผลการเรียนรู้ สังเกต และอธิบายโครงสร้างภายในของใบพืชจากการตัดตามขวาง 3. สาระสำคัญ การเจริญเติบโตของใบ มีต้นกำเนิดมาจากใบเริ่มเกิดหรือเนื้อเยื่อกำเนิดใบ โดยใบเริ่มเกิดจะเจริญและ พัฒนาไปเป็นใบอ่อน บริเวณตรงกลางของโคนใบเริ่มเกิดจะเห็นเซลล์ขนาดเล็กรูปร่างยาวเรียงตัวเป็นแนวยาวจาก ลำต้นอ่อนขึ้นไปจนเกือบถึงส่วนปลาย เซลล์เหล่านี้ต่อไปจะเจริญไปเป็นเนื้อเยื่อท่อลำเลียงจากลำต้นสู่ใบ จากนั้น เซลล์ของใบอ่อนเจริญเติบโตและเปลี่ยนสภาพต่อจนกระทั่งเซลล์เจริญเต็มที่ได้เป็นใบที่เจริญเต็มที่และมีสีเขียวเข้ม โครงสร้างภายนอกของใบ ส่วนใหญ่ประกอบด้วย 2 ส่วน ได้แก่ 1. ก้านใบ (petiole) เป็นส่วนที่ด้านหนึ่ง ติดกับลำต้นหรือกึ่งและอีกด้านหนึ่งติดกับแผ่นใบที่ซอกก้านใบมีตาตามซอก พืชใบเลี้ยงเดี่ยวอาจมีหรือไม่มีก้านใบ ก้านใบอาจแผ่ออกเป็นแผ่น เรียก กาบใบ (leaf sheath) เช่น ข้าวโพด กล้วย 2. แผ่นใบ (blade) เป็นส่วนที่แผ่ เป็นแผ่นแบน แผ่นใบของพืชแต่ละชนิดจะมีขนาดความหนา และลักษณะรูปร่างแตกต่างกัน ลักษณะแบนของแผ่น ใบมีประโยชน์ในการช่วยเพิ่มพื้นที่ผิวเพื่อรับแสงมาใช้เป็นแหล่งพลังงานในกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช และช่วยในการระบายความร้อน 4.จุดประสงค์การเรียนรู้ 4.1 ด้านความรู้ (K) - นักเรียนสามารถอธิบาย และเปรียบเทียบโครงสร้างภายนอกของใบพืชใบเลี้ยงคู่และใบพืชใบเลี้ยงเดี่ยว 4.2 ด้านทักษะ/กระบวนการ (P) - นักเรียนสามารถสร้างสมุดภาพใบของพืชดอก และบอกความแตกต่างรหว่างใบพืชใบเลี้ยงคู่ และใบพืช ใบเลี้ยงเดี่ยว
153 4.3 ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A) - ความใฝ่รู้ใฝ่เรียน มุ่งมั่นอดทน ความคิดสร้างสรรค์ และรับผิดชอบต่องานที่ได้รับมอบ 5. สาระการเรียนรู้ ใบมีหน้าที่สังเคราะห์ด้วยแสง แลกเปลี่ยนแก๊ส และคายน้ำ ใบของพืชดอกประกอบด้วย ก้านใบแผ่นใบ เส้นกลางใบ และเส้นใบ พืชบางชนิดอาจไม่มีก้านใบ ที่โคนก้านใบอาจพบหรือไม่พบหูใบ หากสังเกตที่ใบ พืชใบ เลี้ยงเดี่ยวจะมีเส้นใบ ทอดยาวขนานกันไปตามความยาวของใบ เช่น ใบข้าวหรือใบข้าวโพด ส่วนเส้นใบของพืชใบ เลี้ยงคู่จะแยกเป็นตาข่ายมองเห็นอย่างชัดเจน เช่น ใบมะม่วง และขนุน 6. กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) ขั้นที่ 1 ขั้นสร้างความสนใจ 1. ครูนำใบของพืชหลาย ๆ ชนิดทั้งพืชใบเลี้ยงคู่ และพืชใบเลี้ยงเดี่ยว ลักษณะต่าง ๆ ผสมรวมกันใส่ใน ตระกร้า จากนั้นให้นักเรียนช่วยกันจำแนกชนิดของใบ ตามเกณฑ์ที่นักเรียนสร้างขึ้น เช่น ใช้สี ใช้ขนาด ใช้ลักษณะ ของเส้นใบ 2. นักเรียนส่งตัวแทนออกมานำเสนอการจำแนกชนิดของใบ โดยใช้เกณฑ์ที่นักเรียนสร้างขึ้น ขั้นที่ 2 ขั้นสำรวจและค้นหา 1. นักเรียนศึกษาหนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชีววิทยา ม.5 เล่ม 3 หรือ เอกสารประกอบการสอน เรื่อง ใบของพืชดอก จากนั้นร่วมกันอภิปรายความคิดเห็น และสรุปองค์ความรู้ที่ได้จาก การศึกษาร่วมกัน 2. นักเรียนจำแนกชนิดของใบอีกครั้ง โดยใช้เกณฑ์ที่ได้ศึกษามาในการจำแนก คือ ใบของพืชใบเลี้ยงคู่ และใบของพืชใบเลี้ยงเดี่ยว แต่ละชนิดแบ่งย่อยได้อีกเป็น ใบเดี่ยว และใบประกอบ ดังนี้
154 ขั้นที่ 3 ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป 1. ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปโครงสร้าง หน้าที่ของใบ และการจำแนกชนิดของใบ ดังนี้ ตาราง : ลักษณะใบของพืช ลักษณะใบของพืช ใบพืชใบเลี้ยงคู่ ใบพืชใบเลี้ยงเดี่ยว ใบของพืชกลุ่มนี้มีลักษณะกว้าง มีการแตกแขนง เป็นร่างแหออกจากแกนกลางของใบ เส้นใบเป็นร่างแห มีลักษณะใบเรียวยาวและตั้งตรง โดยมีเส้นใบเรียงตัวกัน ในแนวขนาน และมีจำนวนใบเรียงตัวกันเป็นเลขคี่หรือ เดี่ยว เส้นใบขนาน ใบของพืชส่วนใหญ่ประกอบด้วยส่วนแบน ๆ ที่แผ่ขยายออกไป เรียกว่า แผ่นใบ (blade) และมีก้าน ใบ (petiole) เชื่อมติดอยู่กับ ลำต้น หรือกิ่งทางด้านข้าง และอาจมีทูใบ (stipule) ที่โคนก้านใบ การที่ใบพืชมีลักษณะแบนมีประโยชน์ช่วยเพิ่มพื้นที่ผิวในการรับ แสงเพื่อให้ได้พลังงานไปใช้ในการตรึงคาร์บอนไดออกไซด์ และ ช่วยในการระบายความร้อน โดยทั่วไปใบของพืชมีสีเขียวเนื่องจาก คลอโรฟิลล์ซึ่งเป็นสารสีที่รับพลังงานแสง แต่ใบบางชนิดมีสีแดง หรือม่วง เป็นเพราะภายในใบมีการสร้างสารสีอื่น ๆ เช่น แอนโทไซ ยานิน (anthocyanin) แคโรที่นอยด์ (carotenoid) ซึ่งถ้ามี มากกว่าคลอโรฟิลล์จะทำให้ใบมีสีแดงหรือเหลือง ภาพ : โครงสร้างภายนอกของใบพืชใบเลี้ยงคู่ ที่มา : http://www.nana-bio.com/elearning/plant%20organ/leaf.htm
155 ตาราง : การจำแนกชนิดของใบ ชนิดของใบ ใบเดี่ยว (simple leaf) ใบประกอบ (compound leaf) ใบที่มีแผ่นใบเพียงแผ่นเดียวบนก้านใบที่แตกออกจากกิ่ง หรือลำต้น ใบเดี่ยว ใบที่มีใบย่อย (leaflet) มากกว่าหนึ่งใบบนก้านใบ ใบประกอบ ขั้นที่ 4 ขั้นขยายความรู้ 1. นักเรียนทำสมุดภาพใบของพืชดอก ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้ วัสดุ อุปกรณ์ ขั้นตอนการปฏิบัติ 1. ใบของพืชใบเลี้ยงคู่ และ เดี่ยวอย่างละ 1 ชนิด หรือ ตามความชอบ 2. กระดาษปอนด์ขนาด A4 3. เทปกาวชนิดใส หรือกาว นำการปอนด์พับครึ่งในแนวขวาง จากนั้นนำใบวางลงบนกระดาษด้านที่โดนพับ ปิด ใช้เทปกาว หรือกาวติดใบเข้ากับกระดาษ จากนั้นชี้บอกส่วนประกอบของ ต่าง ๆ ของใบ และชนิดของใบนั้น ๆ หน้าปกของกระดาษตกแต่งให้สวยงาม ระบุหัวข้อว่า ใบของพืชดอก พร้อมระบุชื่อของใบที่นำมาใช้ เช่น ใบขนุน ใบ มะพร้าว ใบมะลิซ้อน ใบหญ้าขน เป็นต้น ขั้นที่ 5 ขั้นประเมิน 1. นักเรียนนำเสนอชิ้นงานของตนเองที่สำเร็จแล้ว โดยบอกชื่อของใบที่ตนนำมาใช้ ระบุส่วนประกอบต่าง ๆ ของใบ บอกความแตกต่างระหว่างใบทั้ง 2 ชนิดที่นำมาใช้ ครูและเพื่อนร่วมชั้นร่วมกันอภิปรายแลกเปลี่ยนความ คิดเห็น หรือแก้ไขประเด็นความเข้าใจคลาดเคลื่อน เช่น นำใบประกอบมา 1 ใบจากก้านใบแล้วระบุว่าเป็นใบเดี่ยว เป็นต้น
156 7. สื่อ/อุปกรณ์ แหล่งการเรียนรู้ 7.1 สื่อ/อุปกรณ์ 7.1.1 Power point ประกอบการสอน ใบของพืชดอก 7.1.2 ภาพโครงสร้างของใบ 7.1.3 วัสดุ อุปกรณ์สำหรับทำสมุดภาพ 7.2 แหล่งการเรียนรู้ 7.2.1 หนังสือเรียนชีววิทยาเพิ่มเติม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เล่ม 3 7.2.2 อินเทอร์เน็ต 8. การวัดและการประเมินผลการเรียนรู้ จุดประสงค์การเรียนรู้ วิธีการวัดผล การเรียนรู้ เครื่องมือวัดผล การเรียนรู้ เกณฑ์การวัด ประเมินผล ด้านความรู้ (K : Knowledge) - นักเรียนสามารถอธิบาย และเปรียบเทียบโครงสร้าง ภายนอกของใบพืชใบเลี้ยงคู่และใบพืชใบเลี้ยงเดี่ยว - การถามตอบ - ตรวจชิ้นงาน - แบบสังเกต การตอบคำถาม - แบบประเมิน ชิ้นงาน ผ่านเกณฑ์การ ประเมินไม่ น้อยกว่า ร้อยละ 70 ด้านทักษะกระบวนการ (P : Process) - นักเรียนสามารถสร้างสมุดภาพใบของพืชดอก และ บอกความแตกต่างรหว่างใบพืชใบเลี้ยงคู่ และใบพืชใบ เลี้ยงเดี่ยว - ตรวจชิ้นงาน - แบบประเมิน ชิ้นงาน ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A : Attribute) - นักเรียนมีวินัย ใฝ่เรียนรู้และมีความรับผิดชอบ - สังเกต พฤติกรรม ในขณะทำ กิจกรรมในชั้น เรียน - ตรวจชิ้นงาน - แบบสังเกต พฤติกรรม รายบุคคล - แบบสังเกต พฤติกรรมการ ทำงานกลุ่ม - แบบประเมิน ชิ้นงาน
157
158
159
160 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 15 รายวิชาชีววิทยาเพิ่มเติม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 บทที่ 9 โครงสร้างและการเจริญเติบโตของพืชดอก เวลาทั้งหมด 18 ชั่วโมง เรื่อง โครงสร้างภายในของใบพืชดอก เวลา 2 ชั่วโมง ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 ผู้สอน นางสาวมณฑิดา ฝั่งซ้าย 1. มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐาน ว 4.3 เข้าใจส่วนประกอบของพืช การแลกเปลี่ยนแก๊สและคายน้ำของพืช การลำเลียงของพืช การสังเคราะห์ด้วยแสง การสืบพันธุ์ของพืชดอกและการเจริญเติบโต และการตอบสนองของพืช รวมทั้งนำความรู้ ไปใช้ประโยชน์ 2. ผลการเรียนรู้ สังเกต และอธิบายโครงสร้างภายในของใบพืชจากการตัดตามขวาง 3. สาระสำคัญ โครงสร้างภายในของใบตัดตามขวางประกอบด้วยเนื้อเยื่อ 3 กลุ่ม ได้แก่ เอพิเดอร์มิส มีโซฟิลล์ และ เนื้อเยื่อท่อลำเลียง 4.จุดประสงค์การเรียนรู้ 4.1 ด้านความรู้ (K) - นักเรียนสามารถอธิบายโครงสร้างภายในของใบพืชดอกที่ตัดตามขวางได้ 4.2 ด้านทักษะ/กระบวนการ (P) - นักเรียนสามารถทดลองและเขียนแผนภาพสรุปโครงสร้างภายนอก และภายในของใบพืชดอกได้ 4.3 ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A) - ความใฝ่รู้ใฝ่เรียน มุ่งมั่นอดทน ความคิดสร้างสรรค์ และรับผิดชอบต่องานที่ได้รับมอบ 5. สาระการเรียนรู้ โครงสร้างภายในของใบตัดตามขวางประกอบด้วยเนื้อเยื่อ 3 กลุ่ม ได้แก่ เอพิเดอร์มิส มีโซฟิลล์ และ เนื้อเยื่อท่อลำเลียง 1. เอพิเดอร์มิส อยู่ชั้นนอกสุดประกอบด้วยเชลล์ผิว เซลล์คุม เซลล์ข้างเคียงเซลล์คุม (subsidiary cell) และอาจมีขนหรือต่อม ผิวด้านนอกของเอพิเดอร์มิสมีสารคิวทินเคลือบอยู่ เพื่อป้องกันการระเหยของน้ำ ใบที่เป็น แผ่นแบนมีเอพิเดอร์มิสด้านบน (upper epidermis) และเอพิเดอร์มิสด้านล่าง (lower epidermis) ส่วนใหญ่ปาก ใบจะพบมากที่เอพิเดอร์มิสด้านล่าง โดยบริเวณถัดเข้าไปจากปากใบอาจพบช่องอากาศ (air space)
161 2. มีโซฟิลล์ (mesophy Il) อยู่ระหว่างชั้นเอพิเดอร์มิสด้านบนและด้านล่าง ประกอบด้วยเซลล์พาเรงคิมา ที่มีคลอโรพลาสต์จำนวนมาก จึงทำหน้าที่สังเคราะห์ด้วยแสง ในพืชใบเลี้ยงคู่โดยทั่วไปพบเซลล์ในมีโซฟิลล์รูปร่าง แตกต่างกันเป็น 2 แบบ คือ 2.1 แพลิเซดมีโซฟิลล์ (palisade mesophyll) มักอยู่ติดกับเอพิเดอร์มิสด้านบน ประกอบด้วย เซลล์พาเรงคิมา รูปร่างยาว เรียงตัวเป็นแถวตั้งฉากกับผิวใบ โดยผนังเซลล์ด้านบนติดเอพิเดอร์มิสด้านบน ผนังเซลล์ ด้านล่างติดเซลล์ด้านล่าง ผนังเซลล์ด้านข้างจะไม่สัมผัสกัน และมีระยะห่างกันค่อนข้างสม่ำเสมอ แพลิเซดมีโซฟิลล์ อาจมี 1 แถวหรือมากกว่า ภายในเซลล์มีคลอโรพลาสต์หนาแน่นมาก 2.2 สปองจีมีโซฟิลล์ (spongy mesophyIl) อยู่ถัดจากแพลิเซดมีโซฟิลล์ลงไปจนถึง ชั้นเอพิเดอร์มิสด้านล่าง ประกอบด้วยเชลล์ที่มีรูปร่างไม่แน่นอน ช่องว่างระหว่างเซลล์กว้าง ซึ่งในพืชบางชนิดมีการ เรียงตัวอย่างหลวม ๆ จึงทำให้ช่องว่างระหว่างเซลล์กว้างมากจนเห็นเป็นช่องอากาศ ภายในเชลล์มีคลอโรพลาสต์ หนาแน่นเช่นกันแต่น้อยกว่าแพลิเซดมีโซฟิลล์สำหรับใบพืชใบเลี้ยงเดี่ยว มีโซฟิลล์มักประกอบด้วยเซลล์ที่มีลักษณะ คล้ายกัน ไม่สามารถแยกเป็นพาลิเซดมีโซฟิลล์ หรือสปองจีมีโซฟิลล์ได้เหมือนพืชใบเลี้ยงคู่ 3. วาสคิวลาร์บันเดิล ของพืชใบเลี้ยงคู่และพืชใบเลี้ยงเดี่ยวมีหลายกลุ่มเรียงเป็นแนวระนาบเดียวตามแนว แผ่นใบ มีขนาดกลุ่มแตกต่างกัน วาสคิวลาร์บันเดิลขนาดใหญ่อยู่บริเวณเส้นกลางใบ ที่เหลือมีขนาดเล็กลดหลั่นกัน ไปอยู่ที่บริเวณเส้นใบและเส้นใบย่อย ประกอบด้วยไซเล็มและโฟลเอ็ม ในพืชบางชนิดที่เป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยวจะพบ เซลล์บันเดิลชีท (bundlesheath cell) ล้อมรอบวาสคิวลาร์บันเดิล เช่น ข้าวโพด อ้อย ข้าว ข้าวพ่าง การะเกด 6. กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) ขั้นที่ 1 ขั้นสร้างความสนใจ 1. ครูตั้งคำถามเพื่อกระตุ้นความสนใจของนักเรียนว่า “จากที่เรียนมาก่อนหน้านี้ โครงสร้างภายในของ ราก และลำต้นมีการเรียงตัวของเนื้อเยื่อที่คล้ายกัน แล้วนักเรียนคิดว่าโครงสร้างภายในของใบพืชจะเรียงตัว คล้ายกันกับราก และลำต้นหรือไม่” แนวคำตอบ : ครูเปิดโอกาสให้นักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระ 2. ครูแบ่งนักเรียนเป็นกลุ่ม ๆ ละ 5-6 คน และตัวแทนกลุ่มออกมารับคู่มือปฏิบัติการ หรือสามารถใช้ หนังสือเรียนแทนได้ (ถ้ามี) จากนั้นแต่กลุ่มร่วมกันศึกษาขั้นตอนการปฏิบัติอย่างละเอียด นักเรียนสามารถซักถาม ข้อสงสัยก่อนเริ่มทำปฏิบัติการ ครูสามารถแจ้งข้อควรระวัง หรือข้อห้ามในการปฏิบัติได้ 3. ตัวแทนกลุ่มออกมารับอุปกรณ์หน้าชั้นเรียน ตรวจสอบอุปกรณ์ว่าถูกต้อง ครบถ้วนหรือไม่ ขั้นที่ 2 ขั้นสำรวจและค้นหา 1.แต่กลุ่มเริ่มลงมือทำปฏิบัติการ ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
162 วัสดุ และอุปกรณ์ ขั้นตอนการทดลอง 1. กล้องจุลทรรศน์ 2. สีย้อมซาฟรานิน หรือสีผสมอาหารสี แดง 3. พืชศึกษาทั้งพืช ใบเลี้ยงคู่และพืชใบ เลี้ยงเดี่ยว เช่น ลำ ต้นหมอน้อย ลำ ต้นหญ้า 4. ใบมีดโกน 5. จานเพาะเชื้อ และน้ำ 6. เข็มเขี่ยปลาย แหลม หรือพู่กัน 7. สไลด์ และ กระจกปิดสไลด์ 8. หลอดหยดสาร 9. กระดาษทิชชู 1. นำโครงสร้างของพืชที่ต้องการศึกษา (ลำต้น) มาล้างให้สะอาด 2. ขั้นตอนการตัดเนื้อเยื่อมี 2 วิธี ได้แก่ 2.1 ม้วนใบพืชเข้าหากันแล้วตัดแบบ Free hand section 2.2 ตัดใบพืชเป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วนำไปแทรกในแครอท หรือโฟมที่หั่นเป็นแท่งสีเหลี่ยมผืน ผ้าขนาดตามที่ต้องการก่อนจะตัดเนื้อเยื่อผ่านชิ้นแครอท 3. ใช้พู่กันเลือกชิ้นส่วนของเนื้อเยื่อพืช ที่ลอยน้ำมีสีเขียวอ่อนๆ (ยิ่งใสยิ่งดี) วางลงบนแผ่น สไลด์ หยดน้ำเล็กน้อย เพื่อไม่ให้แห้ง นำไปส่องดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ด้วยเลนส์วัตถุ กำลังขยายต่ำสุด เลือกชิ้นส่วนที่มีความบางสม่ำเสมอ ไม่มีรอยเฉือน เห็นเนื้อเยื่อต่างๆ ชัดเจน 4. จากนั้นนำมาย้อมด้วยสี Safranin O ประมาณ 2 - 3 นาที จึงล้างสีออกโดยหยดน้ำ ลงบนชิ้นเนื้อเยื่อพืชแล้วใช้กระดาษทิชชูซับออก หรือใช้พู่กันเขี่ยมาล้างในน้ำกลั่นในจาน เพาะเชื้อ จนไม่มีสีละลายออกมา 5. หยดน้ำเล็กน้อย ปิดด้วยกระจกปิดสไลด์ ระวังอย่าให้มีฟองอากาศ โดยเอียงกระจกปิด สไลด์ ให้ขอบอีกด้านหนึ่งของกระจกปิดสไลด์ แตะกับหยดน้ำประมาณ 45 องศา ขอบอีก ด้านหนึ่งของกระจกปิดสไลด์วางพาดบนเข็มเขี่ยปลายแหลม ค่อย ๆ ลดระดับของเข็มเขี่ย ลงมาพร้อม ๆ กับค่อย ๆ เลื่อนปลายเข็มเขี่ยออกจากกระจกปิดสไลด์ จนกระจกปิดสไลด์ ปิดแนบสนิทกับแผ่นสไลด์พอดี ใช้ทิชชูซับน้ำและสีย้อมให้เรียบร้อย และเช็ดด้านล่าง แผ่นสไลด์ให้แห้ง 6. นำแผ่นสไลด์ที่เตรียมได้ ไปตรวจดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ โดยเริ่มต้นดูด้วยที่ เลนส์ใกล้ วัตถุกำลังขยายต่ำสุด ไปจนถึง 40 x จากนั้นถ่ายภาพเก็บไว้ 7. เปรียบเทียบความแตกต่างโครงสร้างรากของพืชใบเลี้ยงคู่และพืชใบเลี้ยงเดี่ยว 2. หลังจากจบการทำปฏิบัติการแล้วให้นักเรียนเก็บ ล้างทำความสะอาดอุปกรณ์การทดลองให้เรียบร้อย จากนั้นแต่ละกลุ่มมร่วมกันวาด หรือติดภาพที่ถ่ายไว้ อภิปราย ชี้ส่วนประกอบ และสรุปผลการปฏิบัติการลงใน แบบบันทึกผล ขั้นที่ 3 ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป 1. ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปโครงสร้างภายในของลำต้น ดังนี้
163 ตาราง โครงสร้างภายในของใบพืช โครงสร้างภายในของใบพืช ภาพ : โครงสร้างภายในของใบชบา (พืชใบเลี้ยงคู่) ที่มา : https://www.slideshare.net/somycha/ss-64271101 โครงสร้างภายในของใบ ใบ คือ อวัยวะของพืชที่เจริญจากข้อทางด้านข้างของลำต้นพืช ซึ่งอาจอยู่ติดกับลำต้นหรือกิ่ง เพื่อทำหน้าที่ ในการสร้างอาหาร ภายในเซลล์ของใบจะมีคลอโรฟิลล์ทำหน้าที่ดูดรับพลังงานแสงมาใช้ในการสังเคราะห์ด้วยแสง ส่วนใบพิเศษ เป็นใบที่เปลี่ยนแปลงไปทำหน้าที่พิเศษ นอกจากการทำหน้าที่สังเคราะห์ด้วยแสงเพื่อสร้างอาหาร หายใจ และการคายน้ำ ส่วนต่าง ๆ ของใบเมื่อตัดตามขวาง และนำมาส่องดูด้วยกล้องจุลทรรศน์พบว่าประกอบด้วยชั้นต่าง ๆ 3 ชั้นคือ 1. เอพิเดอร์มิส (Epidermis) เป็นเยื่อหุ้มใบที่มีอยู่ทั้งด้านบนและด้านล่างของใบประกอบด้วยเซลล์แถว เดียว และรูปร่างสี่เหลี่ยมผืนผ้าเหมือนในลำต้นเป็นเซลล์ที่ไม่มีคลอโรพลาสต์ มีคิวทินเคลือบที่ด้านนอกของผนัง เซลล์ป้องกันการระเหยของน้ำออกจาก เอพิเดอร์มิส บางเซลล์มีการเปลี่ยนแปลงไปเป็นเซลล์คุม (Guard cell) อยู่ กันเป็นคู่ ๆ มีรูปร่างคล้ายเมล็ดถั่ว หรือคล้ายไต เซลล์คุม 2 เซลล์จะหันด้านเว้าและมีความหนามากกว่ามาประกบ กันทำให้เกิดช่องว่าง เรียกว่า ปากใบหรือรูใบ (Stomata) 2. มีโซฟิลล์ (Mesophyll) อาจเรียกว่าเป็นส่วนของเนื้อใบ หมายถึงส่วนของเนื้อเยื่อที่อยู่ระหว่าง เอพิ เดอร์มิส ด้านบน และเอพิเดอร์มิส มีโซฟิลล์แบ่งออกเป็นสองชั้นคือ
164 2.1 แพลิเซดมีโซฟิลล์ (Palisade mesophyll) เป็นชั้นที่อยู่ใต้เอพิเดอร์มิส ด้านบนเข้ามาในเนื้อ ใบประกอบด้วยเซลล์ยาว และแคบเรียงตั้งฉากกับเอพิเดอร์มิส ด้านบน (ลักษณะคล้ายเสารั้ว) เซลล์เรียงกันเป็น แถวอัดแน่น อาจจัดตัวเรียงเป็นแถวเดียวหรือหลายแถวขึ้นอยู่กับชนิดของพืช ภายในเซลล์เหล่านี้มี คลอโรพลา สต์อยู่กันอย่างหนาแน่นเต็มไปหมด 2.2 สปันจีมีโซฟิลล์ (Spongy mesophyll) เป็นชั้นที่อยู่ถัดจากแพลิเซดมีโซฟิลล์ เข้าไปอีกจนถึง เอพิเดอร์มิสด้านล่าง เป็นเซลล์ที่อยู่กันอย่างหลวม ๆไม่เป็นระเบียบ เซลล์มีรูปร่างค่อนข้างกลม มีช่องว่างระหว่าง เซลล์มาก ผิวเซลล์จึงมีโอกาสสัมผัสกับอากาศได้มาก ทำให้แก๊สต่าง ๆ แพร่เข้าออกได้สะดวก ในแต่ละเซลล์มี ปริมาณ คลอโรพลาสต์ น้อยกว่าเซลล์ในชั้น แพลิเซดมีโซฟิลล์จึงทำให้ด้านล่างของใบมีสีเขียวน้อยกว่าด้านบนของ ใบ 3. มัดท่อลำเลียง (Vascular bundle) คือส่วนของเส้นใบขนาดต่าง ๆกันที่อยู่ภายในเนื้อใบนั่นเอง มัดท่อ ลำเลียงประกอบด้วย ไซเลม และโฟลเอ็มมาเรียงติดต่อกันเป็นเส้นใบ มัดท่อลำเลียงมีกลุ่มเซลล์ที่เรียกว่า บันเดิล ชีท (Bundle sheath) ล้อมรอบ จึงทำให้มัดท่อลำเลียงมีความแข็งแรงเพิ่มขึ้น บันเดิลชีท ขั้นที่ 4 ขั้นขยายความรู้ 1. ครูเสนอการเจริญเปลี่ยนแปลงของใบพืชเพื่อไปทำหน้าที่พิเศษ ดังนี้ 1) มือเกาะ (Leaf tendril) เป็นใบที่เปลี่ยนแปลงไปเพื่อยึดและพยุงลำต้นให้ไต่ขึ้นที่สูงได้ เช่น ถั่วลันเตา มะระ ตำลึง เป็นต้น โดยอาจเปลี่ยนแปลงมาจากทั้งใบหรือส่วนต่าง ๆ ของใบ เช่น หูใบ ก้านใบ ปลายใบ หรือใบย่อย 2) หนาม (Leaf spine) เป็นใบที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นหนาม เพื่อใช้เป็นเครื่องป้องกัน อันตรายต่างๆจากศัตรูหรือ สัตว์ ที่จะมากิน และป้องกันการระเหยของน้ำ อาจเปลี่ยนแปลงมาจากใบหรือส่วนใดส่วนหนึ่งของใบก็ได้เช่นหนาม ของต้นเหงือกปลาหมอ เปลี่ยนแปลงมาจากขอบใบและหูใบ หนามของต้นกระบองเพชรและ เปลี่ยนแปลงมาจาก ใบทั้งใบ หนามของมะขามเทศเปลี่ยนแปลงมาจากหูใบ หนามของสับปะรด เปลี่ยนแปลงมาจากขอบใบ 3) ใบสะสมอาหาร (Storage leaf) เป็นใบที่เปลี่ยนแปลงไปเป็น อวัยวะสำหรับเก็บหรือสะสมอาหารหรือน้ำ ใบ ประเภทนี้จะมีลักษณะอวบอ้วน เนื่องจากเก็บอาหาร และอมน้ำไว้มาก เช่น ใบเลี้ยงของพืชต่างๆ ใบว่านหางจระเข้ กลีบหัวหอม และ กลีบของกระเทียม 4) ใบเกล็ด (Scale leaf) เป็นใบที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นเกล็ดเล็กๆ ใบเกล็ดมักไม่มี คลอโรฟิลล์ เช่น เช่นใบเกล็ดของ ขิง ข่า เผือก 5) ทุ่นลอย (Floating leaf) พืชน้ำบางชนิด เช่นผักตบชวา สามารถลอยน้ำอยู่ได้ โดยอาศัยก้านใบอาศัยก้านใบ พองโตออก ภายในมีเนื้ออยู่กันอย่างหลวมๆ และมีช่องว่างอากาศใหญ่ทำให้มีอากาศอยู่มาก จึงช่วยพยุงให้ลำต้น ลอยน้ำอยู่ได้
165 6) ใบประดับ หรือใบดอก (Bract) เป็นใบที่เปลี่ยนแปลงพิเศษเพื่อรองรับดอก โดยอยู่บริเวณก้านดอกส่วนมากมีสี เขียว แต่มีหลายชนิดที่มีสีอื่นๆ สวยงามคล้ายดอก เช่น เฟื่องฟ้า หน้าวัว คริสต์มาส 7) ใบสืบพันธุ์ เป็นใบที่เปลี่ยนแปลงมาเพื่อสืบพันธุ์ เพื่อช่วยในการแพร่พันธุ์ เช่น ใบของต้นตายหงายเป็น 8) กับดักแมลง เป็นใบที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นกับดักแมลง หรือสัตว์เล็ก ภายในกับดักจะมีต่อมสร้างน้ำย่อยอาหาร จำพวก โปรตีน เช่นต้น กาบหอย หยาดน้ำค้าง สาหร่ายข้าวเหนียว หม้อข้าวหม้อแกงลิง เป็นต้น 9) ฟิลโลด (Phyllode) หรือ Phyllodium (Gr. phyllon = ใบ) เป็นส่วนต่างๆ ของใบที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นแผ่น แบนคล้ายตัวใบ พืชที่มีใบแบบนี้มักจะไม่มีใบที่แท้จริง เช่น ใบกระถินณรงค์เปลี่ยนแปลงมาจากก้านใบ ขั้นที่ 5 ขั้นประเมิน 1. ครูให้นักเรียนแก้ไข เพิ่มเติม ตรวจความถูกต้องของแบบบันทึกการศึกษาที่กลุ่มของตนเองทำเสร็จ เรียบร้อยแล้ว จากนั้นให้แต่ละกลุ่มออกมานำเสนอผลการศึกษาโครงสร้าง และหน้าที่ของใบพืชที่ตัดตามขวาง โดย กำหนดให้แต่ละกลุ่มใช้เวลาไม่เกิน 3 นาที 2. หลังจากนำเสนอจบครูทบทวน หรือเพิ่มเติมในเนื้อหา สาระสำคัญที่นักเรียนไม่ได้ลงรายละเอียด หรือ นำเสนอข้อมูลคลาดเคลื่อน 7. สื่อ/อุปกรณ์ แหล่งการเรียนรู้ 7.1 สื่อ/อุปกรณ์ 7.1.1 Power point ประกอบการสอน โครงสร้างภายในของใบพืช 7.1.2 กระดาษฟลิปชาร์ต 7.2 แหล่งการเรียนรู้ 7.2.1 หนังสือเรียนชีววิทยาเพิ่มเติม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เล่ม 3 7.2.2 อินเทอร์เน็ต
166 8. การวัดและการประเมินผลการเรียนรู้ จุดประสงค์การเรียนรู้ วิธีการวัดผล การเรียนรู้ เครื่องมือวัดผล การเรียนรู้ เกณฑ์การวัด ประเมินผล ด้านความรู้ (K : Knowledge) - นักเรียนสามารถอธิบายโครงสร้างภายในของใบพืช ดอกที่ตัดตามขวางได้ - การถามตอบ - ตรวจแบบ บันทึกการ ทดลอง - แบบสังเกต การตอบคำถาม - แบบประเมิน บันทึกการ ทดลอง ผ่านเกณฑ์การ ประเมินไม่ น้อยกว่า ร้อยละ 70 ด้านทักษะกระบวนการ (P : Process) - นักเรียนสามารถทดลองและเขียนแผนภาพสรุป โครงสร้างภายนอก และภายในของใบพืชดอกได้ - ตรวจแบบ บันทึกการ ทดลอง - แบบประเมิน บันทึกการ ทดลอง ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A : Attribute) - นักเรียนมีวินัย ใฝ่เรียนรู้และมีความรับผิดชอบ - สังเกต พฤติกรรม ในขณะทำ กิจกรรมในชั้น เรียน - แบบสังเกต พฤติกรรม รายบุคคล
167
168
169
170 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 16 รายวิชาชีววิทยาเพิ่มเติม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 บทที่ 10 การลำเลียงของพืช เวลาทั้งหมด 8 ชั่วโมง เรื่อง การลำเลียงน้ำ เวลา 2 ชั่วโมง ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 ผู้สอน นางสาวมณฑิดา ฝั่งซ้าย 1. มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐาน ว 4.3 เข้าใจส่วนประกอบของพืช การแลกเปลี่ยนแก๊สและคายน้ำของพืช การลำเลียงของพืช การสังเคราะห์ด้วยแสง การสืบพันธุ์ของพืชดอกและการเจริญเติบโต และการตอบสนองของพืช รวมทั้งนำความรู้ ไปใช้ประโยชน์ 2. ผลการเรียนรู้ สืบค้นข้อมูล และอธิบายกลไกการลำเลียงน้ำ และธาตุอาหารของพืช 3. สาระสำคัญ พืชดูดน้ำ และธาตุอาหารต่าง ๆ จากดิน โดยเซลล์ขนรากแล้วลำเลียงผ่านชั้นคอร์เทกซ์เข้าสู่เนื้อเยื่อ ลำเลียงน้ำในชั้นสตีลซึ่งเป็นการดูดน้ำจากดินสู่เนื้อเยื่อลำเลียงน้ำในแนวระนาบ และลำเลียงไปยังส่วนต่าง ๆ ของ พืชในแนวดิ่ง ในสภาวะปกติการลำเลียงน้ำจากรากสู่ยอดของพืชอาศัยแรงดึงจากการคายน้ำ ร่วมกับแรงโคฮีชัน แรงแอดฮีชัน ในภาวะที่บรรยากาศมีความชื้นสัมพัทธ์สูงมากจนไม่สามารถเกิดการคายน้ำได้ตามปกติน้ำที่เข้าไปในเซลล์ รากจะทำให้เกิดแรงดันเรียกว่า แรงดันราก ทำให้เกิดปรากฏการณ์กัตเตชัน 4.จุดประสงค์การเรียนรู้ 4.1 ด้านความรู้ (K) - นักเรียนสามารถอธิบายกลไกการลำเลียงน้ำ และธาตุอาหารของพืช และการลำเลียงไปยังส่วนต่าง ๆ ของพืชได้ 4.2 ด้านทักษะ/กระบวนการ (P) - นักเรียนสามารถเขียนแผนภาพอธิบายกลไกการลำเลียงน้ำ และความแตกต่างของแต่ละวิธีได้ 4.3 ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A) - นักเรียนมีความใฝ่รู้ใฝ่เรียน มีส่วนร่วมในชั้นเรียน และรับผิดชอบต่องานที่ได้รับมอบ 5. สาระการเรียนรู้ พืชดูดน้ำ และธาตุอาหารต่าง ๆ จากดิน โดยเซลล์ขนรากแล้วลำเลียงผ่านชั้นคอร์เทกซ์เข้าสู่เนื้อเยื่อ ลำเลียงน้ำในชั้นสตีลซึ่งเป็นการดูดน้ำจากดินสู่เนื้อเยื่อลำเลียงน้ำในแนวระนาบ โดยการออสโมซิส และการแพร่
171 แบบฟาซิลิเทต และลำเลียงไปยังส่วนต่าง ๆ ของพืชในแนวดิ่ง ในสภาวะปกติการลำเลียงน้ำจากรากสู่ยอดของพืช อาศัยแรงดึงจากการคายน้ำ ร่วมกับแรงโคฮีชัน แรงแอดฮีชัน ในภาวะที่บรรยากาศมีความชื้นสัมพัทธ์สูงมากจนไม่สามารถเกิดการคายน้ำได้ตามปกติน้ำที่เข้าไปในเซลล์ รากจะทำให้เกิดแรงดันเรียกว่า แรงดันราก ทำให้เกิดปรากฏการณ์กัตเตชัน ซึ่งเป็นการกำจัดน้ำในรูปแบบของหยด น้ำทางรูหยาดน้ำ ภาพสรุปการลำเลียงน้ำในรากพืช ที่มา : https://www.facebook.com/825402417826638/posts/890311268002419/ วันที่สืบค้นข้อมูล : 25 ส.ค.66 6. กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) ขั้นที่ 1 ขั้นสร้างความสนใจ 1. ครูให้นักเรียนสังเกตต้นผักกาดที่ครูแช่น้ำสีแดงไว้จนลำต้นมีสีแดงเหมือนกันกับน้ำ แล้วใช้คำถาม กระตุ้นการเรียนรู้ดังต่อไปนี้ - ทำไมต้นไม้จึงสามารถเปลี่ยนเป็นสีแดงได้ แนวคำตอบ : ต้นไม้ดูดน้ำจากในแก้วขึ้นไปเลี้ยงลำต้น และส่วนต่าง ๆ - พืชสามารถดูดน้ำจากในดินขึ้นไปยังส่วนต่าง ๆ ของลำต้นได้อย่างไร แนวคำตอบ : พืชใช้รากในการดูดซึมน้ำ และธาตุอาหารจากในดินขึ้นไปยังส่วนต่าง ๆ คำถามชวนสืบค้น พืชลำเลียงน้ำ และธาตุอาหารโดยใช้กระบวนการอย่างไร และเกิดอะไรขึ้นบ้าง ซึ่ง นักเรียนจะต้องร่วมกันสืบค้นในขั้นถัดไป
172 ขั้นที่ 2 ขั้นสำรวจและค้นหา 1. ครูแบ่งกลุ่มนักเรียนออกเป็นกลุ่ม ๆ ละ 5 - 6 คน และให้ตัวแทนออกมารับอุปกรณ์หน้าชั้นเรียนกับ คุณครู 2. นักเรียนภายในกลุ่มร่วมกันศึกษาหนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชีววิทยา ม. 5 เล่ม 3 และวีดิโอ เรื่อง การลำเลียงน้ำและธาตุอาหาร จากนั้นร่วมกันอภิปรายความคิดเห็น และสรุปองค์ความรู้ ที่ได้จากการศึกษาร่วมกัน ลงในกระดาษลิปชาร์ต 3. ตัวแทนกลุ่มออกมารับการดาษฟลิปชาร์ตหน้าชั้นเรียน และร่วมกันเขียนแผนภาพการลำเลียงน้ำ และ ธาตุอาหารของพืช ซึ่งควรจะปรกอบด้วยรายละเอียด ดังนี้ ภาพสรุปการลำเลียงน้ำของพืช ที่มา : https://ngthai.com/science/33440/plant-transport-system/ วันที่สืบค้นข้อมูล : 29 ส.ค.66 ขั้นที่ 3 ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป 1. ครูและนักเรียนร่วมกันสรุป การลำลียงน้ำ และธาตุอาหารของพืช ดังนี้ การดูดน้ำของพืชเริ่มต้นที่บริเวณปลายรากของพืชที่อยู่ใต้ดินลงไป โดยจะมีขนรากที่เป็นเซลล์ เอพิเดอร์มิส (Epidermis) ช่วยเพิ่มพื้นที่ในการดูดน้ำ ซึ่งใช้วิธีการดูดน้ำแบบออสโมซิส (Osmosis) คือ น้ำจาก บริเวณที่มีความเข้มข้นน้อย (น้ำจะมาก) เคลื่อนที่ผ่านเยื่อเลือกผ่านมายังบริเวณที่มีความเข้มข้นมาก (น้ำจะน้อย) ดังนั้น ภายในเซลล์ของขนรากจะมีแวคิวโอลที่บรรจุสารละลายความเข้มข้นสูงไว้เพื่อให้น้ำออสโมซิสเข้ามาได้ง่าย แต่ถ้าใส่ปุ๋ยให้แก่ต้นไม้มากเกินไปจะทำให้ดินบริเวณนั้นมีความเข้มข้นสูงกว่าเซลล์ของขนราก น้ำก็จะออสโมซิส เข้ามาได้ยากขึ้นและส่งผลให้ต้นไม้เหี่ยวตายได้
173 เมื่อน้ำสามารถผ่านชั้นเอพิเดอร์มิสเข้ามาได้ น้ำจะต้องผ่านชั้นคอร์เทกซ์ (Cortex) เอนโดเดอร์ มิส (Endodermis) และเพริไซเคิล (Pericycle) เพื่อเข้าสู่ไซเล็ม (Xylem) ที่อยู่ในสตีล (Stele) โดยการลำเลียง ผ่านเข้ามาจากด้านข้าง (Lateral transport) ตามแนวรัศมีของราก ทั้งนี้ น้ำจะมีการเคลื่อนที่ 2 วิธีเพื่อเข้ามาสู่ไซ เล็ม ได้แก่ รูปแบบการเคลื่อนที่ของน้ำเข้าสู่ไซเล็ม วิธีการ Apoplast เป็นวิธีที่น้ำเคลื่อนที่ผ่านแต่ละเซลล์ โดยเคลื่อนที่ผ่าน ช่องว่างระหว่างผนังเซลล์ Simplast เป็นวิธีที่น้ำเคลื่อนที่ผ่านแต่ละเซลล์ โดยเคลื่อนที่ผ่าน ช่องพลาสโมเดสมาตา (plasmodesmata) ที่เชื่อมต่อ แต่ละเซลล์ไว้เพื่อให้เคลื่อนผ่านไซโทพลาซึมแต่ละ เซลล์ไปเลย แต่ก่อนที่น้ำจะเข้าสู่เพริไซเคิลและไซเลม จะต้องเจอกับชั้นเอนโดเดอร์มิสที่มีสารซูเบอรินเคลือบ อยู่ เรียกว่า แคสพาเรียน สตริป (Casparian strip) ทำให้ไม่สามารถผ่านเข้าไปได้ น้ำและแร่ธาตุจึงเปลี่ยน มาเคลื่อนที่แบบ apoplast แทน transmembrane เป็นการลำเลียงน้ำผ่านเยื่อหุ้มเซลล์และผนังเซลล์ จาก เซลล์หนึ่งสู่อีกเซลล์หนึ่งไปเรื่อย ๆ โดยไม่ผ่านช่องพ ลาสโมเดสมาตา(plasmodesmata) เมื่อน้ำสามารถผ่านเข้ามาในไซเล็มได้แล้ว ไซเล็มจะทำหน้าที่ในการลำเลียงน้ำจากรากไปสู่ยอดของต้นไม้ ซึ่งมี 3 วิธี ดังนี้ 1) แรงดันราก (Root pressure) แรงดันรากเกิดในภาวะที่มีน้ำในอากาศและในดินสูง ทำให้พืชไม่สามารถ คายน้ำได้ แต่รากยังคงออสโมซิสน้ำอย่างต่อเนื่อง ทำให้น้ำค่อย ๆ ดันขึ้นไปตามท่อไซเลม แต่พืชที่มีลำต้นสูง ๆ ไม่ได้ใช้วิธีนี้เป็นหลัก เพราะแรงดันน้ำของรากมีไม่มากพอที่จะส่งน้ำขึ้นไปสู่ยอดได้ ในพืชที่ลำต้นเตี้ย ๆ หากน้ำดัน ขึ้นมาเรื่อย ๆ อาจจะเกิดปรากฏการณ์ Guttation คือ น้ำโผล่ออกมาเป็นหยดน้ำตามรูที่ผิวใบที่เรียกว่า Hydathode 2) แรงดึงจากการคายน้ำ (Transpiration pull) แรงดึงจากการคายน้ำเป็นวิธีที่สำคัญสำหรับพืชที่มีลำต้น สูง ๆ เมื่อพืชคายน้ำออกมาทางปากใบ จะเกิดแรงดึงของน้ำที่อยู่ในท่อไซเลมดึงน้ำจากรากขึ้นไปเป็นสาย เพราะ แต่ละโมเลกุลของน้ำจะมีแรงโคฮีชัน (Cohesion) ต่อกัน คล้ายกับการจับมือกันเดินของเด็กอนุบาลเป็นสายยาว เพื่อไปยังสถานที่หนึ่ง
174 3) Capillary action เกิดจากแรงระหว่างโมเลกุลของน้ำกับผนังท่อไซเลม เรียกว่า แรงแอดฮีชัน (Adhesion) แต่จะดูดน้ำขึ้นมาได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น 2. นักเรียนออกมานำเสนอผลการศึกษาของกลุ่มตนเองหน้าชั้นเรียน ขั้นที่ 4 ขั้นขยายความรู้ 1. ครูอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเกิดกัตเตชันในพืช ดังนี้ กัตเตชัน (guttation) เป็นการเสียน้ำในรูปของหยดน้ำของพืช ซึ่งเกิดในกรณีที่ในอากาศอิ่มตัวด้วยน้ำ มี ความชื้นสูง การคายน้ำเกิดขึ้นได้น้อย แต่การดูดน้ำของรากยังเป็นปกติ เกิดขึ้นโดยน้ำถูกดันผ่านไซเลมเข้าสู่เทรคีด ที่เล็กที่สุดในใบ แล้วถูกดันออก ไปสู่กลุ่มเซลล์พาเรนไคมาที่เรียกอีพิเทม (epithem) เข้าสู่ช่องว่างที่สะสมน้ำได้ (water cavity) แล้วจึงออกจากใบทางรูเปิดที่เรียกไฮดา โทด (hydathode) ภาพ แสดงการเกิดกัตเตชันในหญ้าถอดปล้อง ที่มา : https://ngthai.com/science/33440/plant-transport-system/ วันที่สืบค้นข้อมูล : 29 ส.ค.66 ของเหลวที่ถูกขับออกทางไฮดาโทดมีองค์ประกอบต่างกัน ตั้งแต่เป็นน้ำบริสุทธิ์จนมีสารละลายที่เป็นแร่ ธาตุเช่นโพแทสเซียม และสารอินทรีย์เช่นน้ำตาลปนออกมา เมื่อน้ำระเหยไปหมดสารละลายเหล่านี้จะตกค้างอยู่ที่ ใบซึ่งเป็นผลเสียต่อพืช โดยสารละลายที่เกิด จากกัตเตชันจะส่งเสริมการงอกของสปอร์ราที่เป็นเชื้อก่อโรคของพืช ชนิดนั้น และทำให้เกิดสภาวะที่เหมาะสมที่จะทำให้แบค ทีเรียและ รา ที่ก่อโรคเข้าทำลายพืช 2. ครูเปิดวิดีโอ เรื่อง การลำเลียงน้ำของพืช ให้นักเรียนดูเพิ่มเติม เพื่อให้นักเรียนเห็นภาพได้มากขึ้น ขั้นที่ 5 ขั้นประเมิน 1. ครูประเมินจากชิ้นงาน และการนำเสนอของนักรียน
175 7. สื่อ/อุปกรณ์ แหล่งการเรียนรู้ 7.1 สื่อ/อุปกรณ์ 7.1.1 Power point ประกอบการสอน การลำเลียงน้ำของพืช 7.1.2 กระดาษฟลิปชาร์ต 7.2 แหล่งการเรียนรู้ 7.2.1 หนังสือเรียนชีววิทยาเพิ่มเติม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เล่ม 3 7.2.2 อินเทอร์เน็ต 7.2.3 วิดีโอ เรื่อง การลำเลียงน้ำของพืช ที่มา : https://youtu.be/qe807FFUKtw?si=iEqouyON5Fai52me 8. การวัดและการประเมินผลการเรียนรู้ จุดประสงค์การเรียนรู้ วิธีการวัดผล การเรียนรู้ เครื่องมือวัดผล การเรียนรู้ เกณฑ์การวัด ประเมินผล ด้านความรู้ (K : Knowledge) - นักเรียนสามารถอธิบายกลไกการลำเลียงน้ำ และธาตุ อาหารจากดินเข้าสู่ราก และการลำเลียงไปยังส่วนต่าง ๆ ของพืชได้ - การถามตอบ - ตรวจชิ้นงาน - แบบสังเกต การตอบคำถาม - แบบประเมิน ชิ้นงาน ผ่านเกณฑ์การ ประเมินไม่ น้อยกว่า ร้อยละ 70 ด้านทักษะกระบวนการ (P : Process) - นักเรียนสามารถเขียนแผนภาพอธิบายกลไกการ ลำเลียงน้ำ และความแตกต่างของแต่ละวิธีได้ - ตรวจชิ้นงาน - แบบประเมิน ชิ้นงาน ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A : Attribute) - นักเรียนมีความใฝ่รู้ใฝ่เรียน มีส่วนร่วมในชั้นเรียน และ รับผิดชอบต่องานที่ได้รับมอบ - สังเกต พฤติกรรม ในขณะทำ กิจกรรมในชั้น เรียน - แบบสังเกต พฤติกรรม รายบุคคล
176
177
178
179 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 17 รายวิชาชีววิทยาเพิ่มเติม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 บทที่ 10 การลำเลียงของพืช เวลาทั้งหมด 8 ชั่วโมง เรื่อง การแลกเปลี่ยนแก๊ส และการคายน้ำ เวลา 2 ชั่วโมง ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 ผู้สอน นางสาวมณฑิดา ฝั่งซ้าย 1. มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐาน ว 4.3 เข้าใจส่วนประกอบของพืช การแลกเปลี่ยนแก๊สและคายน้ำของพืช การลำเลียงของพืช การสังเคราะห์ด้วยแสง การสืบพันธุ์ของพืชดอกและการเจริญเติบโต และการตอบสนองของพืช รวมทั้งนำความรู้ ไปใช้ประโยชน์ 2. ผลการเรียนรู้ สืบค้นข้อมูล สังเกต และอธิบายการแลกเปลี่ยนแก๊สและการคายน้ำของพืช 3. สาระสำคัญ พืชมีการแลกเปลี่ยนแก๊ส และการคายน้ำผ่านทางปากใบเป็นส่วนใหญ่ ปากใบพบได้ที่ใบ และลำต้นอ่อน เมื่อความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศภายนอกต่ำกว่าความชื้นสัมพัทธ์ภายในใบพืช ทำให้น้ำภายในใบพืชระเหยเป็นไอ ออกมาทางรูปากใบ เรียกว่า การคายน้ำ 4.จุดประสงค์การเรียนรู้ 4.1 ด้านความรู้ (K) - นักเรียนสามารถสืบค้นข้อมูล และอธิบายการแลกเปลี่ยนแก๊สและการคายน้ำ ของพืชผ่านทางปากใบได้ 4.2 ด้านทักษะ/กระบวนการ (P) - นักเรียนสามรถเขียนแผนภาพสรุปลำดับกระบวนการเปิดและปิดของปากใบได้ 4.3 ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A) - นักเรียนมีความใฝ่รู้ใฝ่เรียน มีส่วนร่วมในชั้นเรียน และรับผิดชอบต่องานที่ได้รับมอบหมาย 5. สาระการเรียนรู้ พืชมีการแลกเปลี่ยนแก๊ส และการคายน้ำผ่านทางปากใบเป็นส่วนใหญ่ ปากใบพบได้ที่ใบ และลำต้นอ่อน เมื่อความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศภายนอกต่ำกว่าความชื้นสัมพัทธ์ภายในใบพืช ทำให้น้ำภายในใบพืชระเหยเป็นไอ ออกมาทางรูปากใบ เรียกว่า การคายน้ำ ในกรณีที่ในอากาศอิ่มตัวด้วยน้ำ มีความชื้นสูง การคายน้ำเกิดขึ้นได้น้อย แต่การดูดน้ำของรากยังเป็นปกติ พืชจะเสียน้ำในรูปของหยดน้ำเรียกว่ากัตเตชัน (guttation) พืชไม่สามารถคายน้ำ ในสภาพที่แดดจัดเพราะอาจเสียน้ำมากเกินไปและเหี่ยวก่อนที่รากจะลำเลียงน้ำได้ทัน
180 6. กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) ขั้นที่ 1 ขั้นสร้างความสนใจ 1. ครูใช้คำถามกระตุ้นการเรียนรู้ ดังนี้ - ทำไมเราถึงรู้สึกสดชื่น เย็นสบายเวลาอยู่ใต้ต้นไม้ขนาดใหญ่ ขณะที่อากาศร้อนระอุ แนวคำตอบ : ต้นไม้ขนาดใหญ่มีใบจำนวนมาก ทำให้เกิดการคายน้ำในปริมาณที่สูง ส่งผลให้เมื่อเราไปอยู่ ใต้ต้นไม้ใหญ่แล้วรู้สึกสดชื่น เย็นสบาย - ทำไมพืชจึงต้องมีการคายน้ำ แนวคำตอบ : เพื่อให้เกิดแรงที่ใช้ในการลำเลียงน้ำ และธาตุอาหารของพืช - การแลกเปลี่ยนแก๊สของพืชจะเกิดขึ้นเมื่อใด แนวคำตอบ : การแลกเปลี่ยนแก๊สของพืชจะเกิดขึ้นเมื่อปากใบเปิด และจะหยุดลงเมื่อปากใบปิด ขั้นที่ 2 ขั้นสำรวจและค้นหา 1. ครูแบ่งกลุ่มนักเรียนออกเป็นกลุ่ม ๆ ละ 5 - 6 คน 2. นักเรียนร่วมกันศึกษาหนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชีววิทยา ม.5 เล่ม 3 และวีดิโอ เรื่อง กลไกการควบคุมการเปิดและปิดของปากใบ จากนั้นร่วมกันอภิปรายความคิดเห็น และสรุปองค์ ความรู้ที่ได้จากการศึกษาร่วมกันลงในสมุด ขั้นที่ 3 ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป 1. นักเรียนตัวแทนกลุ่มออกมารับกระดาษฟลิปชาร์ตหน้าชั้นเรียน และร่วมกันเขียนแผนภาพกลไกการ ควบคุมการเปิดและปิดของปากใบ ซึ่งควรจะประกอบด้วยรายละเอียดดังนี้ ภาพตัวอย่างแผนภาพ กลไกการเปิดและปิดของปากใบ ที่มา : https://www.cpiagrotech.com/knowledge-076/ วันที่สืบค้นข้อมูล : 25 ส.ค.66
181 2. หลังจากนั้นครูและนักเรียนร่วมกันสรุป กลไกการควบคุมการเปิดและปิดของปากใบ ดังนี้ ปากใบเปิดโดยแสงแดดกระตุ้นให้เซลล์คุมปั๊มไฮโดรเจนไอออน (H + ) ออกจากเซลล์ เมื่อศักย์ไฟฟ้าในเซลล์ ลดลงจากเดิม ช่องเปิดเฉพาะของโพแทสเซียมไอออน (K + inward rectifier) จะเปิดให้โพแทสเซียมไอออน (K + ) ที่ อยู่ในเซลล์ประกอบไหลเข้าไปในเซลล์คุม นอกจากนี้ภายในเซลล์คุมจะมีการเพิ่มความเข้มข้นของตัวถูกละลาย หลายชนิดอีกด้วย เช่น ซูโครส จึงทำให้พลังงานความเข้มข้นของน้ำภายในเซลล์คุมต่ำกว่าเซลล์ข้างเคียง (มีน้ำอยู่ น้อยกว่า) K + ที่เพิ่มขึ้นจะถูกขนส่งแบบใช้พลังงานเข้าสู่แวคิวโอล (vacuole) และเซลล์จะสะเทินประจุของ K + ด้วยสารมาเลท (malate) ความเข้มข้นของตัวละลายที่เพิ่มขึ้นในเซลล์คุม จะดึงให้น้ำไหลเข้าไปในเซลล์คุมด้วย ความต่างศักย์ของพลังงานความเข้มข้นน้ำของเซลล์ประกอบที่สูงกว่าภายในเซลล์คุม เมื่อน้ำไหลเข้าไปในเซลล์คุม แล้ว จะทำให้ภายในเซลล์คุมมีพลังงานความดันสูงกว่าเซลล์รอบข้าง เซลล์คุมจึงเต่ง ทำให้ช่องปากใบเปิดกว้างขึ้น ขั้นที่ 4 ขั้นขยายความรู้ 1. ครูอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับหน้าที่ของปากใบ ชนิดของปาก และการคายน้ำของพืช ดังนี้ ปากใบของพืช (stomata) มีหน้าที่สำคัญคือเป็นทางเข้าออกของน้ำและอากาศของพืชโดยตรง ซึ่งปากใบ ของพืชส่วนใหญ่จะอยู่ทางด้านล่างผิวใบของพืช เพราะเป็นที่รู้จักกันคือพืชต่างๆจะสังเคราะห์แสงได้ดีในช่วงที่มี แสงแดดมาก ปากใบจึงต้องอยู่ด้านล่างของพืช และผิวใบด้านบนของพืชก็จะมีสารคิวทินเคลือบอยู่หนา ซึ่งก็จะ ช่วยลดการคายน้ำออกทางปากใบพืชได้อีกทางหนึ่ง ปากใบของพืช (stomata) เป็นเซลล์ชนิดหนึ่งที่มีลักษณะพิเศษเรียกว่าเซลล์คุม (guard cell) มีรูปร่าง คล้ายเมล็ดถั่วสองอันประกบกัน และมีเซลล์ประกอบ (subsidiary cell) อยู่โดยรอบปากใบเป็นช่องทางให้น้ำแพร่ ออกจากช่องว่างภายในใบสู่อากาศ และขณะเดียวกันก็เป็นช่องทางให้คาร์บอนไดออกไซด์แพร่จากอากาศเข้าสู่ ช่องว่างภายในใบได้ ปากใบมีอยู่ทั้งด้านบนและด้านล่างของแผ่นใบ พืชส่วนใหญ่จะมีจำนวนปากใบด้านล่างของ แผ่นใบมากกว่าด้านบน ผิวของแผ่นใบจะมีไขมันเคลือบอยู่หนาเพื่อลดการคายน้ำ ใบพืชจะมีจำนวนและขนาดของ ปากใบกระจายทั่วแผ่นใบไม่สม่ำเสมอกัน ปากใบไม่ได้มีอยู่เฉพาะบนแผ่นใบเท่านั้น ยังพบปากใบอยู่บนผิวของ ผลได้ด้วยเช่นกัน เช่น ผิวของผลมังคุด การลำเลียงธาตุอาหารที่อาศัยการไหลไปกับกระแสของการคายน้ำ เมื่อ ปากใบของผิวผลปิดแคบลง ในช่วงที่ฝนตกชุก (ไอน้ำในอากาศมีมาก ไม่มีแรงขับเคลื่อนให้น้ำไหลออกจากต้นพืช) ทำให้ธาตุอาหารไม่สามารถส่งไปได้เพียงพอกับการสร้างผนังเซลล์ของผลที่กำลังขยายขนาด จึงทำให้เซลล์แตกและ เกิดอาการเนื้อแก้วยางไหลของผลมังคุด ชนิดของปากใบ 1) ปากใบแบบธรรมดา (typical stomata) เป็นปากใบของพืชทั่วไปโดยมีเซลล์คุมอยู่ในระดับเดียวกับ เซลล์เอพิเดอร์มิส พืชที่ปากใบเป็นแบบนี้เป็นพวกเจริญอยู่ในที่ ๆ มีน้ำอุดมสมบูรณ์พอสมควร (mesophyte)
182 ภาพปากใบแบบธรรมดา ที่มา : https://www.facebook.com/biokruking/posts/756525731200671/ วันที่สืบค้นข้อมูล : 25 ส.ค.66 2) ปากใบแบบจม (sunken stomata) เป็นปากใบที่อยู่ลึกเข้าไปในเนื้อใบเซลล์คุมอยู่ลึกกว่าหรือต่ำกว่า ชั้น เซลล์เอพิเดอร์มิสพบในพืชที่อยู่ในที่แห้งแล้ง (xerophyte) เช่น พืชทะเลทราย พวกกระบองเพชร พืชป่าชาย เลน (halophyte) เช่น โกงกาง แสม ลำพู เป็นต้น ภาพปากใบแบบจม ที่มา : https://www.facebook.com/biokruking/posts/756525731200671/ วันที่สืบค้นข้อมูล : 25 ส.ค.66 3) ปากใบแบบยกสูง (raised stomata) เป็นปากใบที่มีเซลล์คุมอยู่สูงกว่าระดับเอพิเดอร์มิสทั่วไป เพื่อ ช่วยให้น้ำระเหยออกจากปากใบได้เร็วขึ้นพบได้ในพืชที่เจริญอยู่ในน้ำที่ ที่มีน้ำมากหรือชื้นแฉะ (hydrophyte) ใบพืชใบเลี้ยงเดี่ยวบางชนิด เช่น หญ้า ข้าวโพด ที่ชั้นเอพิเดอร์มิสมีเซลล์ขนาดใหญ่และผนังเซลล์บาง เรียกว่า บัลลิฟอร์มเซลล์ (bulliform cell) ช่วยทำให้ใบม้วนงอได้เมื่อพืชขาดน้ำช่วยลดการคายน้ำของพืชให้ น้อยลง พืชบางชนิดอาจมีเอพิเดอร์มิสหนามากกว่า 1 ชั้น ซึ่งพบมากทางด้านหลังใบมากกว่าทางด้านท้องใบ เรียกว่า มัลติเปิล เอพิเดอร์มิส (multiple epidermis) ซึ่งพบในพืชที่แห้งแล้งช่วยลดการของได้ เซลล์ชั้นนอกสุด เรียกว่า เอพิเดอร์มิส ส่วนเซลล์แถวที่อยู่ถัดเข้าไปเรียกว่า ไฮโพเดอร์มิส (hypodermis)
183 ภาพปากใบแบบสูง ที่มา : https://www.facebook.com/biokruking/posts/756525731200671/ วันที่สืบค้นข้อมูล : 25 ส.ค.66 ประเภทของการคายน้ำ การคายน้ำของพืชเป็นไปในลักษณะของการแพร่เป็นส่วนใหญ่ แบ่งเป็น 3 ประเภท ตามตำแหน่งที่ไอน้ำ ออกมา คือ 1) Stomatal transpiration เป็นการคายน้ำที่กำจัดไอน้ำออกมาทางปากใบซึ่งมีอยู่มากมายตามผิวใบ ปากนี้เป็นทางที่มีการคายน้ำออกมากที่สุด 2) Cuticular transpiration เป็นการคายน้ำที่กำจัดไอน้ำออกมาทางผิวใบที่มี cuticle ฉาบอยู่ข้างนอก สุดของ epidermis แต่เนื่องจาก cuticle ประกอบด้วยสาร cutin ซึ่งเป็นสารประกอบคล้ายขี้ผึ้ง ไปน้ำจึงแพร่ออก ทางนี้ได้ยาก ดังนี้ พืช จึงคายน้ำออกทางนี้ได้น้อยและ ถ้าหากพืชใดมี cuticle หนามากน้ำก็ยิ่งออกได้ยากมากขึ้น ทั้ง stomatal และcuticular transpiration ต่างก็เป็นการคายน้ำที่กำจัดไอน้ำออกมาจากใบ จึงเรียกการคายน้ำ ทั้ง 2 ประเภทนี้รวม ๆ กันว่า Foliar transpiration การคายน้ำออกจากใบดังกล่าวนี้จะเกิดที่ปากใบประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์และที่ cuticle ประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ 3) Lenticular transpiration เป็นการคายน้ำที่กำจัดไอน้ำออกมาทาง lenticel ซึ่งเป็นรอยแตกตามลำ ต้นและกิ่ง การคายน้ำประเภทนี้เกิดขึ้นน้อยมาก เพราะ lenticel มีในพืชเป็นส่วนน้อยและเซลล์ของ lenticel ก็ เป็น cork cell ด้วยไอน้ำจึงออกมาได้น้อย การคายน้ำในรูปหยดน้ำ เป็นการคายน้ำในรูปหยดน้ำเล็ก ๆ ทางรูเปิดเล็ก ๆ ตามปลายเส้นใบที่ขอบใบที่ เรียกว่า โฮดาโธด (hydathode) การคายน้ำนี้เรียกว่า กัตเตชัน (guttation)ซึ่งเกิดขึ้นเมื่ออากาศมีความชื้นมากๆ อุณหภูมิต่ำและลมสงบ ขั้นที่ 5 ขั้นประเมิน 1. ครูประเมินจากแผนภาพกลไกลการควบคุมการเปิดและปิดของปากใบ ของนักเรียนแต่ละกลุ่ม 2. ครูใช้คำถามทบทวนการเรียนรู้ ต่อไปนี้ - ทำไมพืชจึงต้องมีกการแลกเปลี่ยนแก๊ส
184 แนวคำตอบ เพื่อนำก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่จำเป็นต้องใช้ใน photosynthesis (กระบวนการสังเคราะห์ ด้วยแสง) เข้ามาภายในใบ - ปากใบสามารถเปิดและปิดได้อย่างไร แนวคำตอบ ปากใบเปิดโดยแสงแดดกระตุ้นให้เซลล์คุมปั๊มไฮโดรเจนไอออน (H + ) ออกจากเซลล์ เมื่อ ศักย์ไฟฟ้าในเซลล์ลดลงจากเดิม ช่องเปิดเฉพาะของโพแทสเซียมไอออน (K + inward rectifier) จะเปิดให้ โพแทสเซียมไอออน (K + ) ที่อยู่ในเซลล์ประกอบไหลเข้าไปในเซลล์คุม นอกจากนี้ภายในเซลล์คุมจะมีการเพิ่มความ เข้มข้นของตัวถูกละลายหลายชนิดอีกด้วย เช่น ซูโครส จึงทำให้พลังงานความเข้มข้นของน้ำภายในเซลล์คุมต่ำกว่า เซลล์ข้างเคียง (มีน้ำอยู่น้อยกว่า) K + ที่เพิ่มขึ้นจะถูกขนส่งแบบใช้พลังงานเข้าสู่แวคิวโอล (vacuole) และเซลล์จะ สะเทินประจุของ K + ด้วยสารมาเลท (malate) ความเข้มข้นของตัวละลายที่เพิ่มขึ้นในเซลล์คุม จะดึงให้น้ำไหลเข้า ไปในเซลล์คุมด้วยความต่างศักย์ของพลังงานความเข้มข้นน้ำของเซลล์ประกอบที่สูงกว่าภายในเซลล์คุม เมื่อน้ำไหล เข้าไปในเซลล์คุมแล้ว จะทำให้ภายในเซลล์คุมมีพลังงานความดันสูงกว่าเซลล์รอบข้าง เซลล์คุมจึงเต่ง ทำให้ช่อง ปากใบเปิดกว้างขึ้น 7. สื่อ/อุปกรณ์ แหล่งการเรียนรู้ 7.1 สื่อ/อุปกรณ์ 7.1.1 Power point ประกอบการสอน การแลกเปลี่ยนแก๊สและการคายน้ำของพืช 7.1.2 กระดาษฟลิปชาร์ต 7.2 แหล่งการเรียนรู้ 7.2.1 หนังสือเรียนชีววิทยาเพิ่มเติม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เล่ม 3 7.2.2 อินเทอร์เน็ต 7.2.3 วิดีโอ เรื่อง การแลกเปลี่ยนแก๊ส และการคายน้ำ ที่มา : https://youtu.be/ZwLBRbdcmq4?si=1Cn1qJYlG3p6ODxX
185 8. การวัดและการประเมินผลการเรียนรู้ จุดประสงค์การเรียนรู้ วิธีการวัดผล การเรียนรู้ เครื่องมือวัดผล การเรียนรู้ เกณฑ์การวัด ประเมินผล ด้านความรู้ (K : Knowledge) - นักเรียนสามารถสืบค้นข้อมูล และอธิบายการ แลกเปลี่ยนแก๊สและการคายน้ำ ของพืชผ่านทางปากใบ ได้ - การถามตอบ - ตรวจชิ้นงาน - แบบสังเกต การตอบคำถาม - แบบประเมิน ชิ้นงาน ผ่านเกณฑ์การ ประเมินไม่ น้อยกว่า ร้อยละ 70 ด้านทักษะกระบวนการ (P : Process) - นักเรียนสามรถเขียนแผนภาพสรุปลำดับกระบวนการ เปิดและปิดของปากใบได้ - ตรวจชิ้นงาน - แบบประเมิน ชิ้นงาน ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A : Attribute) - นักเรียนมีความใฝ่รู้ใฝ่เรียน มีส่วนร่วมในชั้นเรียน และ รับผิดชอบต่องานที่ได้รับมอบหมาย - สังเกต พฤติกรรม ในขณะทำ กิจกรรมในชั้น เรียน - แบบสังเกต พฤติกรรม รายบุคคล
186
187
188
189 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 18 รายวิชาชีววิทยาเพิ่มเติม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 บทที่ 10 การลำเลียงของพืช เวลาทั้งหมด 8 ชั่วโมง เรื่อง ปัจจัยที่มีผลต่อการคายน้ำ เวลา 2 ชั่วโมง ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 ผู้สอน นางสาวมณฑิดา ฝั่งซ้าย 1. มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐาน ว 4.3 เข้าใจส่วนประกอบของพืช การแลกเปลี่ยนแก๊สและคายน้ำของพืช การลำเลียงของพืช การสังเคราะห์ด้วยแสง การสืบพันธุ์ของพืชดอกและการเจริญเติบโต และการตอบสนองของพืช รวมทั้งนำความรู้ ไปใช้ประโยชน์ 2. ผลการเรียนรู้ สืบค้นข้อมูล สังเกต และอธิบายการแลกเปลี่ยนแก๊สและการคายน้ำของพืช 3. สาระสำคัญ ความชื้นในอากาศ ลม อุณหภูมิสภาพน้ำในดิน ความเข้มของแสง เป็นปัจจัยที่มีผลต่อการคายน้ำของพืช 4.จุดประสงค์การเรียนรู้ 4.1 ด้านความรู้ (K) - นักเรียนสามารถอธิบาย และยกตัวอย่างปัจจัยที่มีผลต่อการคายน้ำของพืชได้ 4.2 ด้านทักษะ/กระบวนการ (P) - นักเรียนสามารถเขียนผังมโนทัศน์ปัจจัยที่มีผลต่อการคายน้ำของพืชได้ 4.3 ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A) - นักเรียนมีความใฝ่รู้ใฝ่เรียน มีส่วนร่วมในชั้นเรียน และรับผิดชอบต่องานที่ได้รับมอบ 5. สาระการเรียนรู้ ความชื้นในอากาศ ลม อุณหภูมิสภาพน้ำในดิน ความเข้มของแสง เป็นปัจจัยที่มีผลต่อการคายน้ำของพืช แสงสว่าง ถ้าความเข้มของแสงสว่างมากจะทำให้ปากใบเปิดกว้าง เนื่องจากเซลล์คุมมีคลอโรพลาสต์จึงเกิด กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงได้ ซึ่งทำให้สารละลายในเซลล์คุมมีความเข้มข้นสูง น้ำจากเซลล์ข้างเคียงจึงออสโม ซิสเข้ามาในเซลล์คุมดังกล่าว ทำให้เซลล์เต่ง ปากใบจึงเปิด ความกดอากาศ อากาศที่มีความกดอากาศต่ำาความ หนาแน่นของอากาศจะน้อย น้ำจะระเหยออกจากต้นพืชได้ง่ายขึ้น ทำให้อัตราการคายน้ำสูงขึ้น ความชื้นในอากาศ ถ้าบรรยากาศภายนอกมีปริมาณไอน้ำต่ำ จะทำให้เกิดอัตราการคายน้ำสูง (ปากใบเปิด) ในทางตรงกันข้ามเมื่อไอน้ำ หรือความชื้นในอากาศเพิ่มขึ้น อัตราการคายน้ำจะต่ำ (ปากใบปิด) ปริมาณแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ เมื่อปริมาณ แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ภายในช่องว่างของใบต่ำ ปากใบจะเปิด แต่เมื่อใบขาดความชื้นขาดน้ำปากใบจะปิด ไม่ว่า
190 ปริมาณแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์จะเป็นเช่นไรก็ตาม หมายความว่าพืชทนต่อการขาดแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ได้ นานกว่าการขาดน้ำ อุณหภูมิเมื่ออุณหภูมิของอากาศสูงขึ้น ปากใบจะเปิด ส่งผลให้อัตราการรคายน้ำสูงขึ้น ลม ลมทำให้ไอน้ำบริเวณรอบปากใบลดลง หรือมีความชื้นต่ำลง ส่งผลให้อัตราการคายน้ำสูงขึ้น 6. กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) ขั้นที่ 1 ขั้นสร้างความสนใจ 1. ครูทบทวนเรื่องการแลกเปลี่ยนแก๊สและการคายน้ำของพืช และชวนนักเรียนพูดคุยในหัวข้อ “การคาย น้ำสามารถเกิดได้สม่ำเสมอหรือไม่” โดยครูเปิดโอกาสให้นักเรียนได้แสดงความคิดเห็นประกอบเหตุผลอย่างอิสระ แนวคำตอบ : ไม่สามารถเกิดได้สม่ำเสมอ เนื่องจากปัจจัยบางประการไม่เอื้อต่อการเกิดการคายน้ำของพืช เช่น น้ำในดินน้อยจนเกินไป ทำให้พืชต้องหยุด หรือลดการคายน้ำลง จากนั้นครูชวนพูดคุยเกี่ยวกับปัจจัยที่ส่งผลต่อการคายน้ำของพืช เพื่อกระตุ้นให้นักเรียนเกิดความอยากรู้ ในเรื่องนี้ ขั้นที่ 2 ขั้นสำรวจและค้นหา 1. นักเรียนศึกษาหนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชีววิทยา ม.5 เล่ม 3 และวีดิโอ เรื่อง ปัจจัยที่มีผลต่อการคายน้ำของพืช 2. นักเรียนนั้นร่วมกันอภิปรายความคิดเห็น และสรุปองค์ความรู้ที่ได้จากการศึกษาร่วมกันลงในกระดาษ ในรูปแบบผังมโนทัศน์ 3. นักเรียนส่งตัวแทนออกมานำเสนอผังมโนทัศน์ของกลุ่มตนเองหน้าชั้นเรียน ขั้นที่ 3 ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป 1. ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปปัจจัยที่มีผลต่อการคายน้ำของพืช ซึ่งมีเนื้อหาดังนี้ 1) ความชื้นในอากาศ ถ้าหากความชื้นในบรรยากาศมีน้อย คือ อากาศแห้ง เช่น ในหน้าแล้งหรือตอน กลางวัน ความชื้นในบรรยากาศจึงแตกต่างกับความชื้นในช่องว่างที่อากาศในใบมาก (ซึ่งมีช่องว่างอากาศในใบนี้จะ มีไอน้ำอิ่มตัวอยู่ตลอดเวลา) ทำให้การคายน้ำเกิดขึ้นได้มากและรวดเร็ว ถ้าความชื้นในบรรยากาศมีมากขึ้น คือ อากาศชื้น เช่น ในหน้าฝน หรือตอนเช้ามืด หรือตอนก่อนและหลังฝนตกใหม่ๆ ใบจะคายน้ำได้น้อยและช้าลง ตาม ทฤษฎีถ้าความชื้นอิ่มตัวใบไม่ควรจะคายน้ำเลย ซึ่งก็เป็นความจริง กล่าวคือ ใบจะไม่คายน้ำออกมาเป็นไอน้ำ แต่ มันคายมาเป็นหยดน้ำอย่างหนึ่งที่เรียกว่า guttation นั่นเอง 2) ลม โดยทั่วไปทำให้พืชคายน้ำได้มากขึ้น โดยที่ลมช่วยพัดพาไอน้ำที่ระเหยออกมาจากใบและอยู่บริเวณ รอบ ใบให้พ้นไปจากผิว บริเวณนั้นจึงมีไอน้ำน้อยหรือมีอากาศแห้งเข้ามาแทนที่ ก็สามารถรับไอน้ำจากใบได้อีก ดังนั้น ใบจึงคายน้ำออกมาได้เรื่อย ๆ ตามหลักของการแพร่ การที่มีลดพัดยังทำให้ใบเคลื่อนไหวอีกด้วย ซึ่งเป็นผล ให้เซลล์ mesophyll มีการเคลื่อนไหว จึงช่วยไล่ไอน้ำใน messophyll ออกมามากขึ้น การคายน้ำก็มีอัตราสูงขึ้น แต่ถ้าลมแรงมากจนเป็นพายุ ปากใบมักจะปิด การคายน้ำก็ลดลง และถ้าไม่มีลมหรือลมสงบไอน้ำที่คายออกมาจาก
191 ปากใบก็จะยังคงอยู่ในบรรยากาศ ใกล้ๆ ผิวใบนั่นเอง จึงทำให้บรรยากาศรอบ ๆ ใบมีไอน้ำสูงกว่าบริเวณอื่น ๆ เมื่อเป็นเช่นนี้จะทำให้อัตราของการคายน้ำต่ำลงไป 3) อุณหภูมิ ถ้าอุณหภูมิของบรรยากาศสูง จะทำให้ใบคายน้ำได้มากและรวดเร็วขึ้น ทั้งนี้เพราะว่า เมื่อ อุณหภูมิสูง อุณหภูมิของน้ำในใบก็จะสูงขึ้น ทำให้น้ำระเหยเป็นไอได้ง่ายและเร็วขึ้น จึงระเหยออกไปจากใบได้มาก และเร็วขึ้นด้วย เมื่ออุณหภูมิสูง อากาศภายนอกสามารถอุ้มไอน้ำเอาไว้ได้มากขึ้น เช่นที่อุณหภูมิ 20 องศาเซลเซียส อากาศภายนอกสามารถอุ้มไอน้ำไว้ได้เป็น 2 เท่าของอุณหภูมิ 30 องศาเซลเซียส เป็นต้น อนึ่ง อุณหภูมิของ บรรยากาศยังเป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วยในการเปิดปากใบด้วยพืชบางชนิด ปากใบเปิดได้ดีที่อุณหภูมิ 25 - 30 องศา เซลเซียส ถ้าอุณหภูมิสูงกว่านี้ปากใบจะเปิดได้น้อยลง และถ้าอุณหภูมิต่ำ เช่น ที่อุณหภูมิจุดเยือกแข็งหรือใกล้จุด เยือกแข็ง ปากใบก็จะปิดหมด พืชบางชนิด ปากใบจะเปิดได้ดีเมื่อมีอุณหภูมิสูง เช่น ที่ 40 องศาเซลเซียส เป็นต้น การที่ปากใบเปิดได้มากหรือน้อยอย่างไรนั้น ก็มีผลทำให้การคายน้ำเกิดขึ้นได้มากหรือน้อยตามลำดับนั่นเอง 4) สภาพน้ำในดิน ถ้าในดินมีน้ำมากหรือดินแฉะ และสภาพอื่น ๆ ก็เหมาะสมกับการคายน้ำ น้ำในดินจะ ถูกดูดและลำเลียงไปยังใบได้มากและตลอดเวลาก็จะทำให้ใบคายน้ำได้ มาก แต่ถ้าน้ำในดินน้อยหรือดินแห้ง แม้ว่า สภาพอื่นๆ จะเหมาะสมกับการคายน้ำมาก อย่างไรก็ตามการคายน้ำก็เกิดขึ้นได้น้อย เพราะเมื่อดินแห้งก็ไม่มีน้ำที่ จะลำเลียงขึ้นไปยังใบ ใบจึงขาดน้ำที่จะระเหยออกไปได้ อนึ่ง สภาพอื่น ๆ ที่เหมาะสมแก่การคายน้ำที่กล่าวถังนั้น ได้แก่ ความสามารถของรากในการดูดน้ำจากดิน อุณหภูมิของดิน ความเข้มข้นของสารละลายในดิน เป็นต้น 5) ความเข้มของแสง ถ้าความเข้มข้นของแสงสว่างมาก จะช่วยให้การคายน้ำมีอัตราสูงขึ้นเพราะว่าแสง สว่างทำให้ปากใบเปิดกว้างขึ้น เนื่องจากที่เซลล์คุมมีเม็ดคลอโรพลาสต์อยู่ ซึ่งจะดูดเอาพลังงานแสงสว่างไปทำการ สังเคราะห์แสง เกิดเป็นน้ำตาลมากขึ้น และน้ำตาลนี้ละลายน้ำได้ดีกลายเป็นสารละลาย จึงทำให้เซลล์คุมมี สารละลายเข้มข้นขึ้นกว่าเซลล์ข้างเคียง ดังนั้นสารละลายในเซลล์ก็มีแรงดันออสโมติคเพิ่มขึ้น ทำให้ D.P.D.ของน้ำ ในเซลล์คุมสูงขึ้น และสูงกว่า D.P.D. ของน้ำในเซลล์ข้างเคียงด้วย (ซึ่งแต่เดิม ก่อนทำการสังเคราะห์แสง D.P.D. ของน้ำในเซลล์คุมกับเซลล์ข้างเคียงเท่ากัน) น้ำในเซลล์ข้างเคียงจึงแพร่เข้าไปในเซลล์คุมได้ เมื่อมีการแพร่มากๆ เข้าทำให้ turgor pressue ในเซลล์คุมสูงขึ้น เรื่อย ๆ จึงไปดันให้เซลล์คุมพองตัวเต่งขึ้น แต่เนื่องจากผนังด้านนอก ของเซลล์คุมบางและอ่อนนุ่มกว่าด้านใน จึงทำให้ผนังด้านนอกของเซลล์คุมนั้นโค้งออกไปมาก พร้อมกับดึงเอาผนัง ด้านใน ซึ่งหน้ากว่าแต่ยืดหยุ่นได้โค้งตามออกไปด้วย จึงทำให้ปากใบเปิดกว้างอก ใบก็คายน้ำได้มากขึ้นและรากก็ จะดูดน้ำขึ้นมาให้ทันกับปริมาณที่ระเหยไป ใบจึงเต่งอยู่ได้ ถ้าหากรากดูดส่งขึ้นมาไม่ทัน ใบและเซลล์คุมจะเหี่ยว เพราะเสียน้ำไปมาก ผนังด้านในของเซลล์คุมก็จะหดตัวทำให้ปากใบปิด น้ำจึงหยุดระเหยออกจากใบ ดังนั้น การ เหี่ยวของใบไม้บางชนิดในเวลากลางวัน จึงเป็นการป้องกันอันตรายจากการเสียน้ำจากใบได้เป็นอย่างดี จากรายงานในระยะหลัง ๆ นี้พบว่า การสังเคราะห์แสงในเซลล์คุมนั้น เกิดน้ำตาลขึ้นไม่มากนัก แต่น้ำตาล ส่วนใหญ่เกิดจากการย่อยแป้งที่สะสมไว้ เนื่องจากแสงที่ทำให้ pH ของเอนไซม์ ที่ใช้ย่อยแป้งเปลี่ยนแปลงเป็นค่าไป
192 จึงย่อยแป้งเป็นน้ำตาได้มากการปิดเปิดปากใบนอกจากจะเกิดจาก turgor pressure แล้วยังเกิดจากเหตุอื่นด้วย เช่น อุณหภูมิ ความชื้น และสภาพแวดล้อมอื่น ๆ ดังเช่นในฤดูร้อน อากาศแห้งแล้ง ปากใบจะปิดเพราะแสงมาก เกินไป ทำให้คาร์บอนไดออกไซด์เข้าไปในใบน้อยลง การสังเคราะห์แสงจึงเกิดขึ้นน้อยลงด้วยแสงสว่างทำให้ อุณหภูมิของบรรยากาศรอบ ๆ ใบไม้และของใบไม้เองสูงขึ้น ทำให้น้ำกลายเป็นไอมากขึ้น ก็คายน้ำออกมามากด้วย 2. นักเรียนเขียนผังมโนทัศน์สรุปปัจจัยที่มีผลต่อการคายน้ำของพืช ซึ่งควรมีเนื้อหาดังนี้ ขั้นที่ 4 ขั้นขยายความรู้ 1. ครูอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับความสำคัญของการน้ำ และประโยชน์ของการคายน้ำในพืช ดังนี้ ความสำคัญของการคายน้ำ กระบวนการคายน้ำเป็นกระบวนการสูญเสียน้ำที่พืชดูดขึ้นมาจากราก โดยน้ำที่พืชดูดขึ้นมานั้นจะถูก นำไปใช้ในกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง เพียง 1 - 2 % เท่านั้น นอกนั้นจะระเหยออกทางปากใบ ดังนั้นจึงมี การศึกษากันว่า กระบวนการคายน้ำที่เกิดขึ้นนี้มีประโยชน์อย่างไร ซึ่งผลจากการศึกษาในปัจจุบันนี้เชื่อกันว่า การ คายน้ำมีประโยชน์ต่อพืช โดยตรง เช่น ช่วยลดอุณหภูมิใบ ช่วยควบคุมการดูดและลำเลียงเกลือแร่ เป็นต้น นอกจากนี้ยังอาจเป็นโทษกับพืชมากกว่าด้วย เพราะทำให้พืชสูญเสียน้ำโดยเปล่าประโยชน์ และถ้าพืชเสียน้ำไป มาก ๆ โดยเฉพาะพืชที่อยู่ในที่แห้งแล้ง พืชจะปิดปากใบเพื่อลดการสูญเสียน้ำซึ่งมีผลทำให้การสังเคราะห์ด้วยแสง หยุดชะงักลง การเจริญเติบโตของพืช ก็จะถูกกระทบกระเทือน และถ้าพืชเกิดการขาดน้ำอย่างรุนแรง พืชจะเหี่ยว เฉาและตายในที่สุด
193 ประโยชน์ของการคายน้ำมีดังนี้ 1) ช่วยลดความร้อนของใบ เพราะเมื่อใบคายน้ำ ต้องการความร้อน แฝงที่จะทำให้น้ำกลายเป็นไอน้ำ จึง ดึงความร้อนจากใบไป ใบจึงมีอุณหภูมิต่ำลง 2) ช่วยในการดูดน้ำและเกลือแร่ การคายน้ำเป็นต้นเหตุทำให้เกิด แรงดึงจากการคายน้ำ (Transpiration pull) แรงดึงนี้สามารถดึงน้ำและเกลือแร่จากดินเข้าสู่รากได้ดีมาก ขั้นที่ 5 ขั้นประเมิน 1. ครูให้นักเรียนร่วมเล่นเกมตอบคำถามชิงของรางวัล โดยใช้คำถามดังนี้ - ในวันที่อากาศหนาวเย็น เกิดแม่คะนิ้ง การคายน้ำของพืชจะเป็นอย่างไร เกิดจากปัจจัยใด แนวคำตอบ : ลดลง เกิดจากปัจจัย ความชื้นในอากาศ อุณหภูมิ - ในวันที่แดดจ้า ลมพัดแรง การคายน้ำของพืชจะเป็นอย่างไร เกิดจากปัจจัยใด แนวคำตอบ : เพิ่มขึ้น เกิดจากปัจจัย ความชื้นในอากาศ ลม อุณหภูมิ ความเข้มของแสง - ในวันที่ฝนตกหนัก อากาศชื้นแฉะ การคายน้ำของพืชจะเป็นอย่างไร เกิดจากปัจจัยใด แนวคำตอบ : ลดลง เกิดจากปัจจัย ความชื้นในอากาศ สภาพน้ำในดิน - ในพื้นที่ชายเลน น้ำท่วมขังอยู่เนื่อง ๆ การคายน้ำของพืชจะเป็นอย่างไร เกิดจากปัจจัยใด แนวคำตอบ : เพิ่มขึ้น เกิดจากปัจจัย สภาพน้ำในดิน 7. สื่อ/อุปกรณ์ แหล่งการเรียนรู้ 7.1 สื่อ/อุปกรณ์ 7.1.1 Power point ประกอบการสอน ปัจจัยการคายน้ำของพืช 7.2 แหล่งการเรียนรู้ 7.2.1 หนังสือเรียนชีววิทยาเพิ่มเติม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เล่ม 3 7.2.2 อินเทอร์เน็ต
194 8. การวัดและการประเมินผลการเรียนรู้ จุดประสงค์การเรียนรู้ วิธีการวัดผล การเรียนรู้ เครื่องมือวัดผล การเรียนรู้ เกณฑ์การวัด ประเมินผล ด้านความรู้ (K : Knowledge) - นักเรียนสามารถอธิบาย และยกตัวอย่างปัจจัยที่มีผล ต่อการคายน้ำของพืชได้ - การถามตอบ - ตรวจชิ้นงาน - แบบสังเกต การตอบคำถาม - แบบประเมิน ชิ้นงาน ผ่านเกณฑ์การ ประเมินไม่ น้อยกว่า ร้อยละ 70 ด้านทักษะกระบวนการ (P : Process) - นักเรียนสามารถเขียนผังมโนทัศน์ปัจจัยที่มีผลต่อการ คายน้ำของพืชได้ - ตรวจชิ้นงาน - แบบประเมิน ชิ้นงาน ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A : Attribute) - นักเรียนมีความใฝ่รู้ใฝ่เรียน มีส่วนร่วมในชั้นเรียน และ รับผิดชอบต่องานที่ได้รับมอบหมาย - สังเกต พฤติกรรม ในขณะทำ กิจกรรมในชั้น เรียน - แบบสังเกต พฤติกรรม รายบุคคล