The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

แผนการจัดการเรียนรู้ เทอม 1

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by มณฑิดา ฝั่งซ้าย, 2024-01-29 10:02:12

แผนการจัดการเรียนรู้ เทอม 1

แผนการจัดการเรียนรู้ เทอม 1

245 5. สาระการเรียนรู้ พืช 4 ตรึงคาร์บอนอนินทรีย์2 ครั้ง ครั้งแรกเกิดขึ้นที่เซลล์มีโซฟิลล์โดย PEP และเอนไซม์เพบคาร์บอก ซิเลส ได้สารประกอบที่มีคาร์บอน 4 อะตอม คือ OAA ซึ่งจะมีการเปลี่ยนแปลง ทางเคมีได้สารประกอบที่มี คาร์บอน 4 อะตอม คือ กรดมาลิก ซึ่งจะถูกลำเลียงไปจนถึงเซลล์บันเดิลชีทและปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ ในคลอ โรพลาสต์เพื่อใช้ในวัฏจักรคัลวินต่อไป พืช CAM มีกลไกในการตรึงคาร์บอนไดออกไซด์คล้ายพืช 4 แต่มีการ ตรึงคาร์บอนอนินทรีย์ทั้ง 2 ครั้งในเซลล์เดียวกัน โดยเซลล์มีการตรึงคาร์บอนอนินทรีย์ครั้งแรกในเวลากลางคืน และปล่อยออกมาในเวลากลางวันเพื่อใช้ในวัฏจักรคัลวินต่อไป 6. กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) ขั้นที่ 1 ขั้นสร้างความสนใจ 1) ครูกระตุ้นความสนใจของนักเรียนโดยแจกบัตรคำ กิจกรรมพืชชนิดต่างๆ ให้นักเรียน ซึ่งบกเรียน ซึ่ง บัตรคำจะมีประเภทของพืชต่างๆ เช่น ข้าวจ้าว ข้าวสาลี ถั่ว สัปปะรด กระบองเพชร เป็นต้น 2) ครูเขียนคำว่า 3 4 และ CAM บนกระดาน 3) ครูพูดประเภทของพืชแล้วให้นักเรียนยืนขึ้น ตามประเภทของพืช แล้วนำบัตรคำที่ตนเองได้มาติดหน้า กระดานตามประเภทที่ครูกำหนด ยกตัวอย่างเช่น แนวคำตอบ : พืช 3 เช่น ข้าวสาลี พืช 4 เช่น ข้าวโพด และพืช CAM เช่น สับประรด กระบองเพชร เป็นต้น 4) ครูทบทวนความรู้เกี่ยวกับการตรึงคาร์บอนในวัฏจรึงคาร์บอนในวัฏจักรคัลวินของพืช โดยใช้คำถาม ดังนี้ - สารที่เสถียรชนิดแรกที่เกิดขึ้นในวัฏจักรคัลวิน คืออะไร แนวคำตอบ : สารที่เสถียรชนิดแรกในวัฏจักรคัลวิน คือ PGA ซึ่งเป็นสารที่มีคาร์บอน 3 อะตอม โดยครู ย้ำ โดยครูย้ำให้นักเรียนทราบว่า พืชที่ตรึงคาร์บอนได้สารที่เสถียรชนิดแรกเป็นสารที่มีคาร์บอน 3 อะตอมนี้เรียกว่า พืช 3 ขั้นที่ 2 ขั้นสำรวจและค้นหา 1) ครูนำเข้าสู่บทเรียนเรื่องโครงสร้างของใบพืช 3 และพืช 4 ตัดตามขวางจากหนังสือเรียนมาให้ นักเรียนศึกษา 2) นักเรียนแบ่งกลุ่มออกเป็น 2 กลุ่ม และร่วมกันศึกษาและสรุปลงในกระดาษ A4 โดยมีหัวข้อดังนี้ ชั่วโมงที่ 1


246 - กลุ่มที่ 1 : ศึกษาโครงสร้างภายในใบ กลไกลการตรึงแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ และยกตัวอย่างพืชตาม ชนิดของพืช 3 - กลุ่มที่ 2 : ศึกษาโครงสร้างภายในใบ กลไกลการตรึงแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ และยกตัวอย่างพืชตาม ชนิดของพืช 4 ขั้นที่ 3 ขั้นอธิบายความรู้ 1) นักเรียนส่งตัวแทนกลุ่มออกมานำเสนอข้อมูลของกลุ่มตนเอง หลังจากนั้นนักเรียนและครูร่วมกัน อภิปรายผลจากการสืบค้นข้อมูล โดยมีแนวคำถามดังนี้ - จงเปรียบเทียบโครงสร้างภายในของใบ 3 และ 4 แนวคำตอบ : โครงสร้างภายในใบของพืช 3 ประกอบด้วย mesophyll cell 2 แบบ คือ palisade mesophyll และ spongy mesophyll และมีกลุ่มเนื้อเยื่อลำเลียงแทรกอยู่ อาจมีกลุ่มเซลล์ล้อมรอบกลุ่มท่อ ลำเลียง ซึ่งเรียกว่า bundle sheath cell ส่วนโครงสร้างภายในของพืช 4 ประกอบด้วย epidermal cell mesophyll cell และ bundle sheath cell ที่มีคลอโรพลาสต์ ซึ่ง bundle sheath cell เป็นเซลล์ที่อยู่ล้อมรอบ มัดท่อลำเลียงน้ำ - นักเรียนคิดว่ากลไกลการตรึงคาร์บอนออกไซด์ของพืช 3 และ 4 เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร แนวคำตอบ : แตกต่างกัน เนื่องจากพืช 3 บางชนิดไม่พบ bundle sheath cell บางชนิดมี bundle sheath cell ซึ่งแตกต่างจากเนื้อเยื่อใบของพืช 4 ซึ่งจะพบ bundle sheath cell ที่มีคลอโรพลาสต์อย่าง ชัดเจน ดังนั้น คาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศเมื่อผ่านเข้าสู่ปากใบพืช 3 จะเข้าสู่วัฏจักรคัลวิน ส่วนพืช 4 คาร์บอนไดออกไซด์ที่ผ่านเข้าสู่ปากใบจะถูกเปลี่ยนให้เป็นสารที่มีคาร์บอน 4 อะตอมก่อน ขั้นที่ 2 ขั้นสำรวจและค้นหา 1) ครูถามคำถามกระตุ้นความสนใจเพื่อนำเข้าสู่บทเรียนเรื่องถัดไป “นักเรียนได้ทราบแล้วว่าพืชบางชนิด เช่น พืชกลุ่มกระบองเพชรซึ่งเป็นพืชทนแล้งเจริญได้ในที่แห้งแล้งและอุณหภูมิสูง พืชเหล่านี้มีการปรับตัวเพื่อลด การสูญเสียน้ำอย่างไร” แนวคำตอบ : ลำต้นอวบน้ำ ใบลดรูปกลายเป็นหนาม 2) ครูมอบหมายให้นักเรียนสืบค้นข้อมูลจากแหล่งความรู้ต่างๆ เช่น หนังสือเรียนชีววิทยา ม.5 เล่ม 3 เรื่อง การตรึงคาร์บอนในพืช CAM แล้วบันทึกลงสมุดของตนเอง ชั่วโมงที่ 1


247 ขั้นที่ 3 ขั้นอธิบายความรู้ 1) นักเรียนและครูร่วมกันอภิปราย และโดยการสรุปผลจากการสืบค้นข้อมูล ควรมีแนวดังนี้ “การตรึง 2 ในวัฎจักรคัลวินจะเกิดขึ้นในขณะที่มีแสง เพราะต้องนำสารผลิตภัณฑ์จากปฏิกิริยาแสง มาใช้ใน กระบวนการตรึง 2 แต่พnช CAM มีการตรึงคาร์บอนในเวลากลางคืนโดยปากใบเปิดให้ 2 เข้าไปสร้าง OAA แล้วสะสมไว้ในรูปของกรดมาลิกในแวคิวโอลในเวลากลางคืน กรดมาลิกนี้จะสลายได้ 2 ในเวลากลางวัน ทำให้ปฎิกิริยาการตรึง 2ในวัฏจักรคัลวินของพืช CAM เกิดขึ้นได้” ขั้นที่ 4 ขั้นขยายความรู้ 1) ครูเสริมความรู้เพิ่มเติมว่าพืชที่มีการตรึงคาร์บอนแบบนี้พบเป็นครั้งแรกในพืชวงศ์ Crassulaceae การตรึงคาร์บอนของพืซกลุ่มนี้จึงเรียกว่า Crassulacean Acid Metabolism: CAM ซึ่งทำให้เรียกพืชกลุ่มนี้ว่าพืช CAM ปัจจุบันพบว่ามีพืชในวงศ์อื่นอีกหลายชนิดที่มีการตรึงคาร์บอนที่จัดอยู่ในกลุ่มพืช CAM เช่น กระบองเพชร แก้วมังกร เศรษฐีพันล้าน สับปะรดสี นมตำเลีย ลิ้นมังกร เป็นต้น 2) ครูเขียนตารางให้นักเรียนร่วมกันเปรียบเทียบกลไกลการตรึงแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ได้ของพืช 3 4 และ CAM ดังนี้ ข้อเปรียบเทียบ พืช 3 พืช 4 พืช CAM 1. จำนวนครั้งของการตรึงคาร์บอน 1 ครั้ง 2 ครั้ง 2 ครั้ง 2. ช่วงเวลาที่เกิดการตรึงคาร์บอนโดย PEP - กลางวัน กลางคืน 3. การเกิดวัฏจักรคัลวิน เกิด เกิด เกิด 4. สารที่ใช้ตรึงคาร์บอน RuBP ครั้งแรก PEP ครั้งที่สอง RuBP ครั้งแรก PEP ครั้งที่สอง RuBP 5. แหล่งสร้าง G3P ทุกเซลล์ที่มีคลอ โรพลาสต์ เซลล์บันเดิลชีท ทุกเซลล์ที่มีคลอ โรพลาสต์ 6. สารตัวแรกที่เกิดจากการตรึงคาร์บอน PGA OAA OAA 7. การเกิดโฟโตเรสไพเรชัน สูง ต่ำมาก ต่ำมาก ขั้นที่ 5 ขั้นประเมิน 1) ครูตรวจสรุปผลการศึกษาโครงสร้างภายในใบ กลไกลการตรึงแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ของพืช 3 และ 4 2) ครูประเมินจากการตอบคำถามของนักเรียนในชั้นเรียน 3) ครูประเมินการนำเสนอผลการศึกษาหน้าชั้นเรียน


248 7. สื่อ/อุปกรณ์ แหล่งการเรียนรู้ 7.1 สื่อ/อุปกรณ์ 7.1.1 สรุปผลการศึกษาโครงสร้างภายในใบ กลไกลการตรึงแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ของพืช 3 และ 4 7.2 แหล่งการเรียนรู้ 7.2.1 หนังสือเรียนชีววิทยา ม.5 เล่ม 3 7.2.2 อินเทอร์เน็ต 8. การวัดและการประเมินผลการเรียนรู้ จุดประสงค์การเรียนรู้ วิธีการวัดผล การเรียนรู้ เครื่องมือวัดผล การเรียนรู้ เกณฑ์การวัด ประเมินผล ด้านความรู้ (K : Knowledge) - นักเรียนสามารถอธิบายโครงสร้างของใบพืช 3 และ 4 ได้ - ตรวจสอบ ชิ้นงาน - การตอบ คำถามใน ห้องเรียน - สรุปผลการศึกษา โครงสร้างภายในใบ กลไกลการตรึงแก๊ส คาร์บอนไดออกไซด์ ของพืช 3 และ 4 ผ่านเกณฑ์การ ประเมินไม่ น้อยกว่า ร้อยละ 70 ด้านทักษะกระบวนการ (P : Process) - เปรียบเทียบกลไกลการตรึงแก๊ส คาร์บอนไดออกไซด์ได้ของพืช 3 4 และ CAM ได้ - การตอบ คำถามใน ห้องเรียน - แบบสังเกต พฤติกรรม รายบุคคลด้าน คุณลักษณะ อันพึงประสงค์ ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A : Attribute) - นักเรียนมีความใฝ่เรียนรู้และมุ่งมั่นในการทำงาน - การสังเกต พฤติกรรม - แบบสังเกต พฤติกรรม รายบุคคลด้าน คุณลักษณะ อันพึงประสงค์


249


250


251


252 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 24 รายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 บทที่ 11 การสังเคราะห์ด้วยแสง เวลาทั้งหมด 14 ชั่วโมง เรื่อง ปัจจัยบางประการที่มีผลต่อการสังเคราะห์ด้วยแสง เวลา 3 ชั่วโมง ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 ผู้สอน นางสาวมณฑิดา ฝั่งซ้าย 1. มาตรฐานการเรียนรู้ สาระชีววิทยา : เข้าใจส่วนประกอบของพืช การแลกเปลี่ยนแก๊สและคายน้ำของพืช การลำเลียงของพืช การสังเคราะห์ด้วยแสง การสืบพันธุ์ของพืชดอกและการเจริญเติบโต และการตอบสนองของพืช รวมทั้งนำความรู้ ไปใช้ประโยชน์ 2. ผลการเรียนรู้ สืบค้นข้อมูล อภิปราย และสรุปปัจจัยความเข้มของแสง ความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซด์และ อุณหภูมิที่มีผลต่อการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช 3. สาระสำคัญ การสังเคราะห์ด้วยแสงของพืชมีความสำคัญอย่างมากเพราะไม่เพียงแต่ผลิตอาหารให้แก่ผู้บริโภค แต่ยัง เป็นการลดแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ และเพิ่มแก๊สออกซิเจนให้แก่ระบบนิเวศอีกด้วย ดังนั้นการศึกษาเกี่ยวกับปัจจัย ที่มีผลต่อการสังเคราะห์ด้วยแสงจึงมีความสำคัญ จากการศึกษาพบว่า อัตราการสังเคราะห์ด้วยแสงขึ้นอยู่กับปัจจัย หลายประการ 4.จุดประสงค์การเรียนรู้ 4.1 ด้านความรู้ (K) - นักเรียนสามารถสืบค้นข้อมูล และระบุปัจจัยบางประการที่มีผลต่ออัตราการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช - นักเรียนสามารถวิเคราะห์และอธิบายเกี่ยวกับความเข้มแสง ความเข้มข้นของแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ และอุณหภูมิที่มีผลต่ออัตราการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช 4.2 ด้านทักษะ/กระบวนการ (P) - ทดลอง อภิปราย และสรุปเกี่ยวกับปัจจัยบางประการที่มีผลต่ออัตราอัตราการสังเคราะห์ด้วยแสงของ พืช 4.3 ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A) - นักเรียนมีความใฝ่เรียนรู้และรับผิดชอบต่อหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย


253 5. สาระการเรียนรู้ ปัจจัยที่มีผลต่อการสังเคราะห์ด้วยแสง เช่น ความเข้มของแสง ความเข้มข้นของ คาร์บอนไดออกไซด์ อุณหภูมิปริมาณน้ำในดิน ธาตุอาหาร อายุใบ 6. กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) ขั้นที่ 1 ขั้นสร้างความสนใจ 1) ครูกระตุ้นความสนใจของนักเรียนโดยการจับไม้สั้นไม้ยาว และให้นักผู้โชคดีเป็นคนตอบคำถามของครู - นักเรียนคิดว่ามีปัจจัยใดบ้างที่ส่งผลต่อการสังเคราะห์ด้วยแสง แนวคำตอบ : เปิดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระ ขั้นที่ 2 ขั้นสำรวจและค้นหา 1) นักเรียนแบ่งกลุ่มออกเป็น 6 กลุ่ม ร่วมกันทำกิจกรรมการทดลอง เรื่อง ปัจจัยที่มีผลต่อการสังเคราะห์ ด้วยแสงของพืช และบันทึกผลกิจกรรมการทดลอง พร้อมตอบคำถามท้ายกิจกรรม 2) ครูให้นักเรียนสืบค้น เรื่องปัจจัยบางประการที่มีผลต่ออัตราการสังเคราะห์ด้วยแสงเพิ่มเติม จากแหล่ง การเรียนรู้ต่างๆ เช่น อินเทอร์เน็ต หนังสือเรียนชีววิทยา ม.5 เล่ม 3 พร้อมปรับปรุงผลงาน ขั้นที่ 3 ขั้นอธิบายความรู้ 1) ให้แต่ละกลุ่มออกมานำเสนอผลที่ได้จากการทำกิจกรมหน้าชั้นเรียน 2) นักเรียนและครูร่วมกันอภิปรายผลการทำกิจกรรม 3) นักเรียนและครูร่วมกันเฉลยคำตอบ โดยมีแนวคำถามดังนี้ - การใช้สารละลาย NaHCO3 มีวัตถุประสงค์อย่างไร แนวคำตอบ : เพื่อให้เป็นคาร์บอนที่แผ่นใบไม้นำไปใช้ในการสังเคราะห์ด้วยแสง - ผลการทดอลงทั้ง 2 ชุด เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร เพราะเหตุใด แนวคำตอบ : ต่างกัน คือชุดที่วางไว้ในที่มีแสงจะมีฟองแก๊สเกาะที่ผิวใบและปล่อยแก๊สออกจากผิวใบทำ ให้แผ่นใบไม้ลอยขึ้นผิวน้ำ ส่วนชุดที่วางในที่มืดในเวลาที่เท่ากันจะไม่มีฟองแก๊สเกาะที่ผิวใบและใบไม้จมอยู่ต้านล่าง ชั่วโมงที่ 1 ชั่วโมงที่ 3


254 ตังเดิม เพราะชุดที่วางไว้ในที่มีแสงสามารถงเคราะห์ด้วยแสงได้จึงได้ 2ที่ปล่อยออกมาจากใบ แต่ชุดที่วางในที่มืด ไม่สามารถสังเคราะห์ด้วยแสงได้จึงไม่มี 2 ปล่อยออกมาจากใบ - เพราะเหตุใดจึงต้องมีชุดการทดลองในที่มืด แนวคำตอบ : ชุดการทดลองในที่มืดเป็นชุดที่โปรียบเทียบกับชุดที่มีแสง เพื่อสรุปว่าแสงจำเป็นต่อการ สังเคราะห์ด้วยแสง นอกจากนี้ทั้ง 2 ชุด ยังมีการใช้ 0,ในการหายใจระดับเซลล์และได้ CO2จากการหายใจระดับ เซลล์เหมือนกัน - ถ้าต้องการศึกษาว่าความเข้มแสง อุณหภูมิ สารสีในใบ และอายุใบ มีผลต่ออัตราการสังเคราะห์ด้วยแสง หรือไม่ จะออกแบบการทดลองหรือเปลี่ยนแปลงวิธีการที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างไร แนวคำตอบ : นักเรียนสามารถใช้การทดลองที่นักเรียนได้ทำในปฏิบัติการนี้ แต่มีการควบคุมโดยกำหนด ให้ตัวแปรอิสระเป็นปัจจัยที่ต้องการศึกษา ดังนี้ - ความเข้มแสง อาจจัดชุดการทดลองหลายชุด แต่ละชุดให้ใบพืชได้รับแสงที่มีความเข้มแสงแตกต่างกัน - สารสีในใบ อาจจัดชุดการทดลองหลายชุด แต่ละชุดใช้ใบไม้ที่มีสารสี่ต่างกัน โดยควรเลือกใบไม้ที่มีหลาย สีในหนึ่งใบ แล้วเลือกเจาะแผ่นใบบริเวณที่มีสีแตกต่างกัน เพื่อนำมาใช้ในการทดลอง - อายุใบ อาจจัดชุดการทดลองหลายชุด แต่ละชุดใช้ใบไม้ที่อ่อนแก่ต่างกัน - อุณหภูมิ อาจจัดชุดการทดลองหลายชุด แต่ละชุดให้ใบพืชได้รับอุณหภูมิต่างกัน โดยถ้าต้องการควบคุม อุณหภูมิให้ได้อุณหภูมิตามต้องการตลอดเวลา อาจทำได้โดยถ้าอุณหภูมิสูงขึ้นกว่าที่ต้องการให้ใส่น้ำแข็งลงไปทีละ น้อย ๆ แล้ววัดอุณภูมิว่าใกล้เคียงกับก่อนการทดลองหรือยัง 4) ครูเสริมความรู้ในส่วนที่นักเรียนยังไม่เข้าใจเพิ่มเติม ขั้นที่ 4 ขั้นขยายความรู้ 1) ครูเสริมความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีโรงงานผลิตพืช เป็นการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการปลูกพืชในระบบปิด หรือกึ่งปิด โดยควบคุมปัจจัยต่างๆ เช่น ความเข้มแสง ปริมาณ 2 อุณหภูมิ ความชื้น ให้มีความเหมาะสมต่อ การเจริญเติบโตของพืช หรือเหมาะสมต่อวัตถุประสงค์ที่ต้องการ เช่น เพิ่มคุณภาพของผลผลิต หรือควบคุมให้พืช สร้างสารที่ต้องการ เทคโนโลยีดังกล่าวสามารถช่วยลดการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช รวมถึงลดการใช้น้ำและ ทรัพยากรอื่นๆได้ จึงเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ขั้นที่ 5 ขั้นประเมิน 1) ครูตรวจบันทึกผลการทดลอง เรื่อง ปัจจัยที่มีผลต่อการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช 2) ครูประเมินจากการตอบคำถามของนักเรียนในชั้นเรียน 3) ครูประเมินการนำเสนอผลการศึกษาหน้าชั้นเรียน


255 7. สื่อ/อุปกรณ์ แหล่งการเรียนรู้ 7.1 สื่อ/อุปกรณ์ 7.1.1 บันทึกผลการทดลอง เรื่อง ปัจจัยที่มีผลต่อการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช 7.2 แหล่งการเรียนรู้ 7.2.1 หนังสือเรียนชีววิทยา ม.5 เล่ม 3 7.2.2 อินเทอร์เน็ต


256 8. การวัดและการประเมินผลการเรียนรู้ จุดประสงค์การเรียนรู้ วิธีการวัดผล การเรียนรู้ เครื่องมือวัดผล การเรียนรู้ เกณฑ์การวัด ประเมินผล ด้านความรู้ (K : Knowledge) - นักเรียนสามารถสืบค้นข้อมูล และระบุปัจจัยบาง ประการที่มีผลต่ออัตราการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช - นักเรียนสามารถวิเคราะห์และอธิบายเกี่ยวกับความ เข้มแสง ความเข้มข้นของแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ และ อุณหภูมิที่มีผลต่ออัตราการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช - ตรวจสอบ ชิ้นงาน - การตอบ คำถามใน ห้องเรียน - บันทึกผลการ ทดลอง เรื่อง ปัจจัยที่มีผลต่อ การสังเคราะห์ ด้วยแสงของพืช - แบบสังเกต พฤติกรรม รายบุคคลด้าน คุณลักษณะ อันพึงประสงค์ ผ่านเกณฑ์การ ประเมินไม่ น้อยกว่า ร้อยละ 70 ด้านทักษะกระบวนการ (P : Process) - ทดลอง อภิปราย และสรุปเกี่ยวกับปัจจัยบางประการ ที่มีผลต่ออัตราอัตราการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืชได้ ถูกต้อง - การสังเกต พฤติกรรม - แบบบันทึก ผลการประเมิน ด้านทักษะ กระบวนการ ทาง วิทยาศาสตร์ ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A : Attribute) - นักเรียนมีความใฝ่เรียนรู้และรับผิดชอบต่อหน้าที่ที่ ได้รับมอบหมาย - การสังเกต พฤติกรรม - แบบสังเกต พฤติกรรม รายบุคคลด้าน คุณลักษณะ อันพึงประสงค์


257


258


259


260 การทดลอง เรื่อง ปัจจัยบางประการที่มีผลต่ออัตราการสังเคราะห์ด้วยแสง สมาชิกกลุ่ม 1. ...................................................................................................................................................... 2. ...................................................................................................................................................... 3. ...................................................................................................................................................... 4......................................................................................................................................................... 5.......................................................................................................................................................... 6.......................................................................................................................................................... วัตถุประสงค์ 1. เพื่อเปรียบเทียบอัตราการการสังเคราะห์แสงของพืชในที่ร่มและในที่รับแสง วัสดุและอุปกรณ์ ตอนที่ 1 1. ใบพืชสีเขียว 2. เครื่องเจาะกระดาษ 3. โซเดียมไบคาร์บอเนต (NaHCO3) 4. กระบอกฉีดยา 5. โคมไฟ 6. บีกเกอร์ 7. น้ำยาล้างจาน วิธีการทดลอง 1. นำใบพืชสีเขียวมาเจาะเป็นแผ่นกลมด้วยเครื่องเจาะกระดาษ แล้วนำไปแช่ใน น้ำผสมน้ำยาล้างจาน เป็นเวลา 5 นาที 2. เตรียมสารละลายโซเดียมไบคาร์บอเนต (NaHCO3) ปริมาณ 1 กรัม ละลาย ในน้ำปริมาตร 50 mL 3. นำแผ่นใบพืชออกจากน้ำผสมน้ ายาล้างจาน เพื่อใส่สารละลายโซเดียมไบคาร์บอเนต NaHCO3 ที่ เตรียมไว้ 4. นำใบพืชใส่ลงในกระบอกฉีดยา แล้วดูดสารละลายโซเดียมไบคาร์บอเนต NaHCO3 5. ทำการไล่อากาศของจากกระบอกฉีดยา แล้วปิดปลายกระบอกฉีดยาด้วยนิ้ว เสร็จแล้วดึงลูกสูบ กระบอกฉีดยาลงด้านล่าง แล้วค่อย ๆ ปล่อยลูกสูบกระบอกฉีดยาทำซ้ำจนใบพืชจมลงทุกใบ


261 6. นำหลอดฉีดยาหลอดที่ 1 ที่มีแผ่นใบไม้ที่จมอยู่ วางไว้ใต้โคมฟโดยให้หลอดไฟห่างจากพื้น 20 cm และ นำหลอดฉีดยาหลอดที่ 2 ที่มีแผ่นใบไม้ที่จมอยู่ วางไว้ในที่มืด สังเกตที่ผิวของแผ่นใบไม้ และบันทึกจำนวนแผ่น ใบไม้ที่ลอยขึ้นมาในแต่ละหลอดทุก 1 นาที เป็นเวลา 10 นาที ผลการศึกษา เวลา (นาที) จำนวนฟองแก๊สที่เกิดขึ้น ใบที่ได้รับแสง ใบที่ไม่ได้รับแสง 15 30 45 สรุปและอภิปรายผล ……………………………………………………………………………………………………………………………………………….................... ..................................................................................................................………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………


262 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 25 รายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 บทที่ 12 การควบคุมการเจริญเติบโตและการตอบสนองของพืช เวลาทั้งหมด 9 ชั่วโมง เรื่อง ฮอร์โมนพืช เวลา 3 ชั่วโมง ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 ผู้สอน นางสาวมณฑิดา ฝั่งซ้าย 1. มาตรฐานการเรียนรู้ สาระชีววิทยา : เข้าใจส่วนประกอบของพืช การแลกเปลี่ยนแก๊สและคายน้ำของพืช การลำเลียงของพืช การสังเคราะห์ด้วยแสง การสืบพันธุ์ของพืชดอกและการเจริญเติบโต และการตอบสนองของพืช รวมทั้งนำความรู้ ไปใช้ประโยชน์ 2. ผลการเรียนรู้ สืบค้นข้อมูล อธิบายบทบาทและหน้าที่ของออกซิน ไซโทไคนิน จิบเบอเรลลิน เอทิลีน และกรดแอบไซซิก และอภิปรายเกี่ยวกับการนำไปใช้ประโยชน์ทางการเกษตร 3. สาระสำคัญ ฮอร์โมนพืช (Plant Hormone) คือสารอินทรีย์ที่พืชสร้างขึ้นเองตามธรรมชาติในบริเวณอวัยวะหรือ เนื้อเยื่อส่วนใดส่วนหนึ่งของต้นพืช ก่อนทำการเคลื่อนย้ายสารดังกล่าวไปยังเนื้อเยื่อเป้าหมาย เพื่อส่งสัญญาณใน การเริ่มกระบวนการสร้าง ทำการควบคุม หรือเปลี่ยนแปลงส่วนต่างๆของพืช ทั้งด้านการเจริญเติบโตการงอกของ เมล็ด การออกดอกออกผล และการผลัดใบ รวมไปถึงการยับยั้งการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาภายในต้นพืช ฮอร์โมนพืชมีอยู่ในพืชทุกชนิดทุกสายพันธุ์ในอาณาจักรพืช (Plant Kingdom) แม้แต่ในสาหร่ายหรือพืชโบราณต่าง มีฮอร์โมนพืชทำหน้าที่เป็นตัวส่งสัญญาณ เพื่อควบคุมการเจริญเติบโตในด้านต่างๆ เช่นกัน 4.จุดประสงค์การเรียนรู้ 4.1 ด้านความรู้ (K) - นักเรียนสามารถอธิบายบทบาทและหน้าที่ของออกซิน ไซโทไคนิน จิบเบอเรลลิน เอทิลีน และกรดแอบ ไซซิกได้ 4.2 ด้านทักษะ/กระบวนการ (P) - นักเรียนสามารถสืบค้นข้อมูล อธิบายบทบาทและหน้าที่ของออกซิน ไซโทไคนิน จิบเบอเรลลิน เอทิลีน และกรดแอบไซซิก และอภิปรายเกี่ยวกับการนำไปใช้ประโยชนทางเกษตร 4.3 ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A) - นักเรียนมีความใฝ่เรียนรู้และรับผิดชอบต่อหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย


263 5. สาระการเรียนรู้ พืชสร้างสารควบคุมการเจริญเติบโตหลายชนิดที่ส่วนต่าง ๆ ซึ่งสารนี้เป็นสิ่งเร้าภายในที่มีผลต่อการ เจริญเติบโตของพืชเช่น ออกซิน ไซโทไคนิน จิบเบอเรลลิน เอทิลีน และกรดแอบไซซิก 6. กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) ขั้นที่ 1 ขั้นสร้างความสนใจ 1) ครูตั้งประเด็นคำถาม ถามนักเรียนเพื่อนำไปสู่การอภิปรายเกี่ยวกับฮอร์โมนพืช และสารสังเคราะห์ที่มี สมบัติคล้ายฮอร์โมนพืช ดังนี้ - นักเรียนเคยบ่มผลไม้หรือไม่และใช้วิธีใด - นักเรียนเคยสังเกตต้นหูกวางหรือไม่ ก่อนที่ใบหูกวางจะร่วงมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรเกิดขึ้นบ้าง แนวคำตอบ : การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจากฮอร์โมนพืช ขั้นที่ 2 ขั้นสำรวจและค้นหา 1) นักเรียนแบ่งกลุ่มออกเป็น 5 กลุ่ม แต่ละกลุ่มส่งตัวแทนออกมาจับสลากหัวข้อที่ต้องศึกษา 2) นักร่วมกันสืบค้นตามหัวข้อที่ได้รับมอบหมาย และตกแต่งให้สวยงาม โดยมีหัวข้อดังนี้ - กลุ่มที่ 1 ศึกษาเกี่ยวกับฮอร์โมนออกซิน - กลุ่มที่ 2 ศึกษาเกี่ยวกับไซโทไคนิน - กลุ่มที่ 3 ศึกษาเกี่ยวกับจิบเบอเรลลิน - กลุ่มที่ 4 ศึกษาเกี่ยวกับเอทิลีน - กลุ่มที่ 5 ศึกษาเกี่ยวกับกรดแอบไซซิก ขั้นที่ 3 ขั้นอธิบายความรู้ 1) นักเรียนออกมานำเสนอผลการสืบค้นของกลุ่มตนเองทุกกลุ่ม ชั่วโมงที่ 1 ชั่วโมงที่ 2


264 2) นักเรียนและครูร่วมกันอภิปรายและลงข้อสรุปจากการนำเสนอผลการสืบค้นของทุกกลุ่ม 3) ครูเสริมองค์ความรู้และตอบคำถามของนักเรียนในส่วนที่นักเรียนยังไม่เข้าใจ ขั้นที่ 2 ขั้นสำรวจและค้นหา 1) นักเรียนจับกลุ่มเดิมร่วมกันสืบค้นข้อมูลและนำเสนอเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์จากการสังเคราะห์ที่ เกี่ยวข้องกับการทำงานของฮอร์โมนพืชเพื่อใช้ในการเกษตร ในประเด็นดังนี้ - ชื่อทางการค้า - ชื่อกลุ่มฮอร์โมนพืชที่เกี่ยวข้อง - วิธีการนำไปใช้และระยะเวลาการเจริญเติบโตของพืชที่นำไปใช้ - ผลของสารสังเคราะห์ที่มีต่อพืช ขั้นที่ 3 ขั้นอธิบายความรู้ 1) นักเรียนออกมานำเสนอผลงานของกลุ่มตนเองหน้าชั้นเรียน 2) ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายและลงข้อสรุปที่ได้จากการศึกษา ขั้นที่ 4 ขั้นขยายความรู้ 1) ครูเขียนตารางให้นักเรียนร่วมกันลงข้อสรุปเกี่ยวกับฮอร์โมนพืชที่ได้ศึกษามา หน้าที่ของสารควบคุมการเจริญเติบโต ออกซิน ไซโทไคนิน จิเบอเรลลิน เอทิลีน กรดแอบ ไซซิก 1. ชักนำให้เกิดยอดในการเพาะเลี้ยง เนื้อเยื่อ ✓ 2. เร่งการเกิดรากในกิ่งตอน ✓ 3. ทำให้ผลไม้สุกเร็วขึ้น ✓ 4. ทำให้ต้นไม้เตี้ยแคระ (การยับยั้ง) ✓ 5. ใช้กำจัดวัชพืช ✓ 6. กระตุ้นการไหลของน้ำยางพารา ✓ ชั่วโมงที่ 2


265 7. ยืดอายุการปักแจกันของไม้ตัดดอก เช่น กุหลาบ คาร์เนชัน (การยัลยั้ง) ✓ 8.กระตุ้นให้ปากใบเปิด เพื่อลดการคายน้ำ เมื่อพืชเริ่มขาดแคลนน้ำ ✓ 9. กระตุ้นการเจริญเติบโตของเอ็มบริโอ ✓ 10. กระตุ้นการงอกของเมล็ด ✓ หมายเหตุ : การยับยั้ง หมายถึง ยับยั้งการทำงานของฮอร์โมนพืชชนิดนั้นๆ 2) จากนั้นครูเปิดคลิปการประยุกต์ใช้ความรู้เรื่อง ฮอร์โมน ที่นำมาใช้ในการผลิตฮอร์โมนใช้เองที่บ้าน จากลิงค์ : https://youtu.be/Zp47RMOJuss ขั้นที่ 5 ขั้นประเมิน 1) ครูประเมินจากการนำเสนอเกี่ยวกับการศึกษาฮอร์โมน 2) ครูประเมินจากการนำเสนอเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์จากการสังเคราะห์ที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของ ฮอร์โมนพืชเพื่อใช้ในการเกษตร 3) ครูประเมินจากการตอบคำถามของนักเรียนในชั้นเรียน 7. สื่อ/อุปกรณ์ แหล่งการเรียนรู้ 7.1 สื่อ/อุปกรณ์ 7.1.1 คลิปวิดีโอการประยุกต์ใช้ความรู้เรื่อง ฮอร์โมน ที่นำมาใช้ในการผลิตฮอร์โมนใช้เองที่บ้าน 7.2 แหล่งการเรียนรู้ 7.2.1 หนังสือเรียนชีววิทยา ม.5 เล่ม 3 7.2.2 อินเทอร์เน็ต 7.2.3 ยูทูป


266 8. การวัดและการประเมินผลการเรียนรู้ จุดประสงค์การเรียนรู้ วิธีการวัดผล การเรียนรู้ เครื่องมือวัดผล การเรียนรู้ เกณฑ์การวัด ประเมินผล ด้านความรู้ (K : Knowledge) - นักเรียนสามารถอธิบายบทบาทและหน้าที่ของออกซิน ไซโทไคนิน จิบเบอเรลลิน เอทิลีน และกรดแอบไซซิกได้ - การนำเสนอ ผลงานหน้าชั้น เรียน- การตอบ คำถามใน ห้องเรียน - แบบประเมิน ชิ้นงาน - แบบสังเกต พฤติกรรม รายบุคคลด้าน คุณลักษณะ อันพึงประสงค์ ผ่านเกณฑ์การ ประเมินไม่ น้อยกว่า ร้อยละ 70 ด้านทักษะกระบวนการ (P : Process) - นักเรียนสามารถสืบค้นข้อมูล และอภิปรายเกี่ยวกับ การนำฮอร์โมนไปใช้ประโยชนทางเกษตร - การนำเสนอ ผลงานหน้าชั้น เรียน - แบบประเมิน ชิ้นงาน ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A : Attribute) - นักเรียนมีความใฝ่เรียนรู้และรับผิดชอบต่อหน้าที่ที่ ได้รับมอบหมาย - การสังเกต พฤติกรรม - แบบสังเกต พฤติกรรม รายบุคคลด้าน คุณลักษณะ อันพึงประสงค์


267


268


269


270 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 26 รายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 บทที่ 12 การควบคุมการเจริญเติบโตและการตอบสนองของพืช เวลาทั้งหมด 9 ชั่วโมง เรื่อง ปัจจัยที่มีผลต่อการงอกของเมล็ด เวลา 2 ชั่วโมง ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 ผู้สอน นางสาวมณฑิดา ฝั่งซ้าย 1. มาตรฐานการเรียนรู้ สาระชีววิทยา : เข้าใจส่วนประกอบของพืช การแลกเปลี่ยนแก๊สและคายน้ำของพืช การลำเลียงของพืช การสังเคราะห์ด้วยแสง การสืบพันธุ์ของพืชดอกและการเจริญเติบโต และการตอบสนองของพืช รวมทั้งนำความรู้ ไปใช้ประโยชน์ 2. ผลการเรียนรู้ ทดลอง และอธิบายเกี่ยวกับปัจจัยต่างๆที่มีผลต่อการงอกของเมล็ด สภาพพักตัวของเมล็ด และบอก แนวทางในการแก้สภาพพักตัวของเมล็ด 3. สาระสำคัญ การงอกของเมล็ด ต้องได้รับสภาพแวดล้อมภายนอกที่เหมาะสมมากระตุ้นการเปลี่ยนแปลงภายในเมล็ด เอ็มบริโอจะเจริญเป็นต้นพืช ซึ่งกระบวนการที่เอ็มบริโอในเมล็ดเจริญเป็นต้นพืช เรียกว่า การงอก (Germination) 4.จุดประสงค์การเรียนรู้ 4.1 ด้านความรู้ (K) - นักเรียนสามรถอธิบายเกี่ยวกับปัจจัยต่างๆ ที่มีผลต่อการงอกของเมล็ด สภาพพักตัวของเมล็ดได้ 4.2 ด้านทักษะ/กระบวนการ (P) - นักเรียนสามรถบอกแนวทางในการแก้สภาพพักตัวของเมล็ดได้ 4.3 ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A) - นักเรียนมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่และงานที่ได้รับมอบหมาย 5. สาระการเรียนรู้ เมล็ดที่เจริญเต็มที่จะมีการงอกโดยมีปัจจัยต่างๆที่มีผลต่อการงอกของเมล็ด เช่น น้ำหรือความชื้น ออกซิเจน อุณหภูมิและแสง เมล็ดบางชนิด สามารถงอกได้ทันทีแต่เมล็ดบางชนิดไม่สามารถงอกได้ทันทีเพราะอยู่ ในสภาพพักตัว เมล็ดบางชนิดมีสภาพพักตัวเนื่องจากมีปัจจัยบางประการที่มีผลยับยั้งการงอกของเมล็ด ซึ่งสภาพ พักตัวของเมล็ดสามารถแก้ไขได้หลายวิธีตามปัจจัยที่ยับยั้ง


271 6. กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) ขั้นที่ 1 ขั้นสร้างความสนใจ 1) ครูพูดคุยกับนักเรียนว่าจากการที่นักเรียนสังเกตเมล็ดของพืชแต่ละต้นว่ามีลักษณะภายนอกแตกต่างกัน และเอ็มบริโอก็มีลักษณะแตกต่างกัน ดังนั้น เมื่อนำไปเพาะจะงอกเหมือนกันหรือไม่ เพื่อนำเข้าสู่การทำกิจกรรการ งอกของเมล็ด 2) ครูนำเข้าสู่การเรียนรู้เรื่อง ปัจจัยที่มีผลต่อการงอกของเมล็ด โดยทบทวนว่านักเรียนทราบมาแล้วว่าพืช เป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในสภาพแวดล้อมแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงในเวลาเดียวกัน คือรากจะเจริญอยู่ใต้ดินที่มีอากาศน้อย ความชื้นสูง แร่ธาตุมาก แสงน้อยมาก ส่วนลำต้นอยู่ในสภาพแวดล้อมในอากาศที่มีความชื้นต่ำความเข้มของแสง มาก สภาพแวดล้อมดังกล่าว มีผลต่อการเจริญของพืชในการงอกของเมล็ด นักเรียนคิดว่าปัจจัยใดของ สภาพแวดล้อมจะมีผลต่อการงอกของเมล็ดบ้าง เพราะเหตุใด ขั้นที่ 2 ขั้นสำรวจและค้นหา 1) ครูให้นักเรียนแบ่งกลุ่มๆ ละ 4 - 5 คนเพื่อทำกิจกรรม เรื่อง การทำลายสภาพพักตัวของเมล็ดมะเขือ เทศ (กิจกรรมนี้ควรมอบหมายนักเรียนทำล่วงหน้าและนำผลมาอภิปรายร่วมกันในชั้นเรียน โดยเมล็ดที่นำมาใช้ใน การศึกษา อาจใช้เมล็ดที่ต่างจากที่กำหนดในหนังสือเรียน เช่น เมล็ดถั่วแดง เมล็ดมะขาม แทนเมล็ดถั่วเขียว หรือ ถั่วเหลืองก็ได้ซึ่งควรเป็นพืชที่งอกได้ง่ายและเจริญเติบโตเร็ว) ขั้นที่ 3 ขั้นอธิบายความรู้ 1) หลังจากการทำกิจกรรม ครูให้นักเรียนออกมานำเสนอผลการศึกษา โดยเปรียบเทียบจำนวนเมล็ดที่ งอกทั้งหมดที่งอกทั้งหมดในแต่ละวันเป็นระยะเวลา 5 วัน ขั้นที่ 2 ขั้นสำรวจและค้นหา 1) ครูให้นักเรียนสืบค้น ปัจจัย สาเหตุและวิธีการทำลายสภาพพักตัวของเมล็ด แล้วบันทึกลงในสมุด ขั้นที่ 3 ขั้นอธิบายความรู้ 1) นักเรียนและครูร่วมกันอภิปรายและสรุปผลการสืบเกี่ยวกับปัจจัยที่มีผลต่อการงอกของเมล็ด โดยมี หัวข้อดังนี้ - สาเหตุและวิธีการทำลายสภาพพักตัวของเมล็ด (ปัจจัยภายนอก) - การตรวจสอบคุณภาพของเมล็ดพันธุ์ (ปัจจัยภายใน) 2) นักเรียนและครูร่วมกันเฉลยคำถามท้ายกิจกรรม ชั่วโมงที่ 1 ชั่วโมงที่ 2


272 3) ครูสรุปองค์ความรู้เพิ่มเติมและตอบคำถามให้กับนักเรียนในส่วนที่นักเรียนยังไม่เข้าใจ ขั้นที่ 4 ขั้นขยายความรู้ 1) นักเรียนร่วมกันศึกษาผลการศึกษาการงอกของเมล็ดพันธุ์ถั่วเหลืองที่ได้จากแหล่งต่างกัน 3 แหล่ง ใน หนังสือเรียนชีววิทยา ม.5 เล่ม 3 แล้วร่วมกันตอบคำถาม ดังนี้ - เมื่อเพาะเมล็ดพันธุ์ครบ 7 วัน เมล็ดพันธุ์แต่ละแหล่งมีค่าดัชนีการงอกเป็นเท่าใด แนวคำตอบ : สูตร ดัชนีการงอกของเมล็ดพันธุ์ = { จำนวนต้นกล้าที่งอกในแต่ละวัน จำนวนวันหลังจากเพาะเมล็ด } ดัชนีการงอกของเมล็ดพันธุ์แหล่งที่ 1 = 25/4 + 20/5 + 25/6 = 14.42 ดัชนีการงอกของเมล็ดพันธุ์แหล่งที่ 2 = 40/3 + 20/4 + 30/5 = 24.33 ดัชนีการงอกของเมล็ดพันธุ์แหล่งที่ 3 = 15/2 + 30/3 + 40/4 + 8/5 + 2/6 = 29.43 2) ครูกล่าวเพิ่มเติมว่า การงอกของเมล็ดพืช เมื่อเมล็ดแห้งรับน้ำเข้าไปทำให้เกิดแรงตัน เปลือกเมล็ดแตก ออกเกิดกระบวนการเมแทบอลิซึม เกิดการขยายตัวของเอ็มบริโอ และแรดิเคิลแทงออกมาจากเปลือกเมล็ด ใน เมล็ดพืชใบเลี้ยงเดี่ยว พบว่า เอ็มบริโอจะสร้างจิบเบอเรลลินไปกระตุ้นให้เกิดการสร้างเอนไซม์ย่อยแป้งที่เก็บสะสม อยู่ในเมล็ดให้เป็นน้ำตาล เพื่อใช้เป็นแหล่งพลังงานสำหรับการเจริญของต้นกล้าต่อไป ขั้นที่ 5 ขั้นประเมิน 1) ครูประเมินจากการนำเสนอผลการทดลอง 2) ครูประเมินจากการตอบคำถามของนักเรียนในชั้นเรียน 7. สื่อ/อุปกรณ์ แหล่งการเรียนรู้ 7.1 สื่อ/อุปกรณ์ 7.1.1 บันทึกกิจกรรมการทดลอง 7.2 แหล่งการเรียนรู้ 7.2.1 หนังสือเรียนชีววิทยา ม.5 เล่ม 3 7.2.2 อินเทอร์เน็ต 7.2.3 ยูทูป


273 8. การวัดและการประเมินผลการเรียนรู้ จุดประสงค์การเรียนรู้ วิธีการวัดผล การเรียนรู้ เครื่องมือวัดผล การเรียนรู้ เกณฑ์การวัด ประเมินผล ด้านความรู้ (K : Knowledge) - นักเรียนสามรถอธิบายเกี่ยวกับปัจจัยต่างๆ ที่มีผลต่อ การงอกของเมล็ด สภาพพักตัวของเมล็ดได้ - การนำเสนอ ผลงานหน้าชั้น เรียน - การตอบ คำถามใน ห้องเรียน - แบบบันทึก ผลการทดลอง - แบบสังเกต พฤติกรรม รายบุคคลด้าน คุณลักษณะ อันพึงประสงค์ ผ่านเกณฑ์การ ประเมินไม่ น้อยกว่า ร้อยละ 70 ด้านทักษะกระบวนการ (P : Process) - นักเรียนสามรถบอกแนวทางในการแก้สภาพพักตัวของ เมล็ดได้ - การตอบ คำถามใน ห้องเรียน - แบบสังเกต พฤติกรรม รายบุคคลด้าน คุณลักษณะ อันพึงประสงค์ ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A : Attribute) - นักเรียนมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่และงานที่ได้รับ มอบหมาย - การสังเกต พฤติกรรม - แบบสังเกต พฤติกรรม รายบุคคลด้าน คุณลักษณะ อันพึงประสงค์


274


275


276


277 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 27 รายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 บทที่ 12 การควบคุมการเจริญเติบโตและการตอบสนองของพืช เวลาทั้งหมด 9 ชั่วโมง เรื่อง การตอบสนองของพืชในลักษณะการเคลื่อนไหว เวลา 3 ชั่วโมง ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 ผู้สอน นางสาวมณฑิดา ฝั่งซ้าย 1. มาตรฐานการเรียนรู้ สาระชีววิทยา : เข้าใจส่วนประกอบของพืช การแลกเปลี่ยนแก๊สและคายน้ำของพืช การลำเลียงของพืช การสังเคราะห์ด้วยแสง การสืบพันธุ์ของพืชดอกและการเจริญเติบโต และการตอบสนองของพืช รวมทั้งนำความรู้ ไปใช้ประโยชน์ 2. ผลการเรียนรู้ สืบค้นข้อมูล ทดลอง และอภิปรายเกี่ยวกับ สิ่งเร้าภายนอกที่มีผลต่อการเจริญเติบโตของพืช 3. สาระสำคัญ ปัจจัยที่มีผลต่อการเจริญเติบโตของพืช แบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ ปัจจัยจากภายในและปัจจัย ทางด้านสิ่งแวดล้อมพืชจะเจริญเติบโตได้ดีนั้นต้องอาศัยการพึ่งพาทั้ง 2 ปัจจัยจึงจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทาง สรีรวิทยา พืชสามารถตอบสนองต่อปัจจัยภายนอกได้เช่นเดียวกับสิ่งมีชีวิตอื่นๆ โดยอาจเรียกปัจจัยเหล่านี้ว่า สิ่ง เร้า (Stimulus) 4.จุดประสงค์การเรียนรู้ 4.1 ด้านความรู้ (K) - สืบค้นข้อมูล ทดลอง และอภิปรายเกี่ยวกับสิ่งเร้าภายนอกที่มีผลต่อการเจริญเติบโตของพืชได้ 4.2 ด้านทักษะ/กระบวนการ (P) - นักเรียนสามารถประยุกต์ใช้ความรู้ที่ได้จากการศึกษาเรื่อง การตอบสนองของพืช มาประยุกต์ใช้ใน ชีวิตประจำวัน 4.3 ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A) - รับผิดชอบต่อหน้าที่และงานที่ได้รับมอบหมาย 5. สาระการเรียนรู้ แสงสว่าง แรงโน้มถ่วงของโลก สารเคมีและน้ำ เป็นสิ่งเร้าภายนอกที่มีผลต่อการเจริญเติบโตของพืช ความรู้เกี่ยวกับการตอบสนองต่อสิ่งเร้าภายใน และสิ่งเร้าภายนอกที่มีผลต่อการเจริญเติบโตของพืช สามารถนำมา ประยุกต์ใช้ควบคุมการเจริญเติบโตของพืช เพิ่มผลผลิต และยืดอายุผลผลิตได้


278 6. กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) ขั้นที่ 1 ขั้นสร้างความสนใจ 1) ก่อนเข้าสู่บทเรียน ครูถามคำถาม โดยมีแนวคำถามดังนี้ - พืชมีการตอบสนองต่อสิ่งเร้าจากสภาพแวดล้อมภายนอกอย่างไร แนวคำตอบ : เมื่อพืชได้รับสัญญาณจากสิ่งเร้าภายนอกที่มากระตุ้น พืชจะส่งสัญญาณด้วยการผลิต สารเคมีที่เรียกว่า ฮอร์โมน ลำเลียงไปทั่วร่างกายพืช ทำให้เซลล์มีการตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่มากระตุ้น ส่งผลให้พืช เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยา เพื่อความอยู่รอดในสภาพแวดล้อม 2) ครูนำภาพการตอบสนองของพืชต่อสิ่งแวดล้อมมาให้นักเรียนร่วมกันทายว่า เป็นการตอบสนองของพืช ต่อสิ่งใด ตัวอย่างภาพ ภาพที่ 1 : ดอกทานตะวัน ที่มา : https://shorturl.asia/Nr6Pu ค้นข้อมูลวันที่ 9 พ.ค.66 แนวคำตอบ : เป็นการตอบสนองต่อแสง 3) หลังจากนั้นครูทบทวนความรู้เดิมของนักเรียนว่าบริเวณปลายยอดพืชจะโค้งหาแสงเนื่องจากมีฮอร์โมน ชนิดใดเป็นตัวกระตุ้น แนวคำตอบ : ออกซิน 4) ครูเกริ่นนำต่อไปว่าการโค้งงอของปลายยอดพืชแสดงให้เห็นว่าพืชมีการตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่มากระตุ้น และการโค้งงอหรือการแสดงออกของพืชเกิดขึ้นได้เนื่องจากภายในเซลล์จะมีกระบวนการสื่อสารระหว่างเซลล์ซึ่ง นักเรียนจะได้เรียนในหัวข้อต่อไปนี้ ชั่วโมงที่ 1


279 ขั้นที่ 2 ขั้นสำรวจและค้นหา 1) ให้นักเรียนยกตัวอย่างสิ่งเร้าที่มีผลต่อพืชที่นักเรียนรู้จักมาคนละ 1 อย่าง แนวตอบ : พิจารณาคำตอบของนักเรียน ตัวอย่างคำตอบเช่น แสง น้ำ ความขึ้น สารเคมี แรงโน้ม ถ่วง การสัมผัส 2) หลังจากนักเรียนตอบคำถามครบทุกคนแล้ว ให้นักเรียนจับกลุ่ม 5 - 6 เพื่อให้นักเรียนร่วมกันสืบค้น ข้อมูลจากแหล่งการเรียนรู้ เช่น หนังสือเรียนชีววิทยา ม.5 เล่ม 3 สื่ออินเทอร์เน็ต เกี่ยวกับสิ่งเร้าที่นักเรียนตอบมา นั้น จัดว่าเป็นสิ่งเร้าประเภทใด 3) ครูเกริ่นนำต่อไปว่า จะเห็นว่าสิ่งที่นักเรียนยกตัวอย่างมาเป็นการตอบสนองที่มีทิศทางสัมพันธ์กับสิ่ง เร้าที่มากระตุ้น หรือเรียกว่า ทรอปีกมูฟเมนต์ จากนั้นให้นักเรียนทำกิจกรรม เรื่อง การตอบสนองของพืชต่อแรง โน้มถ่วงของโลก 4) ให้สมาชิกภายในกลุ่มแบ่งภาระหน้าที่รับผิดชอบ โดยสมาชิกในกลุ่มมีบทบาทและหน้าที่ของตนเอง ดังนี้ - สมาชิกคนที่ 1 : ทำหน้าที่เตรียมวัสดุอุปกรณ์กิจกรรม เรื่อง การตอบสนองของพืชต่อแรงโน้ม ถ่วงของ โลก - สมาชิกคนที่ 2 : ทำหน้าที่อ่านวิธีการทำกิจกรรม และนำมาอธิบายให้สมาชิกภายในกลุ่มฟัง - สมาชิกคนที่ 3 และ 4 : ทำหน้าที่บันทึกผลการทำกิจกรรม - สมาชิกคนที่ 5 และ 6 : ทำหน้าที่นำเสนอผลที่ได้จากการทำกิจกรรม 5) ในระหว่างการทำกิจกรรมให้สมาชิกภายในกลุ่มตั้งคำถามขั้นตอนการทำกิจกรรมที่ตนเองสงสัย แล้วให้สมาชิกร่วมกันสืบค้นจากแหล่งข้อมูลเพื่อตอบคำถาม ขั้นที่ 3 อธิบายความรู้ 1) ให้ตัวแทนของแต่ละกลุ่มออกมานำเสนอผลจากการทำกิจกรรม และอธิบายข้อสงสัยที่สมาชิกภายใน กลุ่มตั้งคำถาม และนำเสนอผลจากการสืบค้นคำตอบ 2) ครูพิจารณาผลจากการทำกิจกรรมและผลจากการสืบคันข้อสงสัยในขั้นตอนการทำกิจกรรมของ นักเรียน 3) ครูเสริมและเพิ่มเติมข้อมูล หากข้อมูลที่นักเรียนออกมานำเสนอยังไม่สมบูรณ์ 4) นักเรียนและครูร่วมกันอภิปรายผสจากการทำกิจกรรม 5) ครูถามคำถามท้ายกิจกรรม และเฉลยคำถามท้ายกิจกรรม โดยมีแนวคำถามดังนี้


280 - การทดลองนี้ควรมีสมมติฐานอย่างไร แนวตอบ : พืชมีการตอบสนองต่อปัจจัยภายนอก ดังนั้นปลายยอดพืชจะเจริญเข้าหาแสง ซึ่งเป็นทิศ ทางตรงข้ามกับการเจริญของรากที่มีทิศทางเดียวกับแรงโน้มถ่วง - ตัวแปรต้น ตัวแปรตาม และตัวแปรควบคุมคืออะไร แนวตอบ : ตัวแปรตัน คือ ตำแหน่งของเมล็ดถั่วที่ขัดอยู่ในลักพณะที่ต่างกัน ตัวแปรตาม คือ การโค้งงอของปลายรากและปลายยอด ตัวแปรควบคุม คือ ชนิดและขนาดของเมล็ดพืช คุณภาพของเมล็ดพันธุ์ ปริมาณความชื้นและ อากาศภายในกล่อง รวมทั้งปริมาณแสงที่เมล็ดพืชได้รับ - หากไม่ใช้พลาสติกดำมาคลุมกล่อง นักเรียนคิดว่าจะได้ผลการทดลองเหมือนกันหรือไม่ อย่างไร แนวตอบ : ไม่เหมือนกัน เพราะแสงมีผลต่อการเจริญปลายยอดและปลายราก ขั้นที่ 4 ขั้นขยายความรู้ 1) หลังจากทำกิจกรรมเสร็จแล้ว นักเรียนและครูร่วมกันอภิปรายหาข้อสรุปให้ได้ว่าการเคลื่อนไหวแบบ ทรอพิซึม เป็นการตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่มีทิศทางสัมพันธ์กับสิ่งเร้าภายนอก ได้แก่ แสง แรงโน้มถ่วง สารเคมี น้ำ หรือความขึ้น และการสัมผัส โดยทิศทางที่พืชตอบสนองมี 2 แบบ คือ เบนเข้าหา (Positive tropism) และ เบน ออก (Negative tropism) 2) ครูถามคำถามท้าทายการคิดขั้นสูง เพื่อทดสอบความเข้าใจและนำความรู้ที่ได้จากการเรียนหัวข้อนี้มา ตอบคำถาม จากนั้นนักเรียนและครูร่วมกันอภิปรายคำตอบที่ถูกต้อง โดยมีแนวคำถามดังนี้ - หากทดลองนำพืชไปปลูกในยานอวกาศที่ลอยคว้างอยู่ในอวกาศ โดยภายในยานยังคงมีออกซิเจนและ แสงเพียงพอต่อการเจริญของพืชนักเรียนคิดว่า พืชจะมีลักษณะอย่างไร แนวตอบ : พืชจะมีรูปร่างที่แตกต่างกัน ไม่มีรูปแบบที่แน่นอนเนื่องจากขาดแรงโน้มถ่วง โดยเฉพาะราก พืชจะเจริญหาเข้าหาความชื้นหรือบริเวณที่มีอาหาร ส่วนปลายยอดพืชจะเจริญเข้าหาแสง ขั้นที่ 2 ขั้นสำรวจและค้นหา 1) ครูเกริ่นนำว่า นอกจากพืชจะเคลื่อนที่สัมพันธ์กับสิ่งเร้าแล้ว ยังมีการเคลื่อนไหวอีกแบบหนึ่งที่ไม่ สัมพันธ์กับสิ่งเร้าภายนอกเรียกว่าอะไร แนวตอบ : การเคลื่อนไหวที่ตอบสนองต่อแรงโน้มถ่วงของโลก (Geotropism หรือ Grovitropism) 2) ให้นักเรียนสืบคันข้อมูลเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวแบบแนสติก (Nastic movement) จากแหล่งการ เรียนรู้ เช่น หนังสือเรียนชีววิทยา ม.5 เล่ม 1 สื่ออินเทอร์เน็ต ชั่วโมงที่ 3


281 3) ให้นักเรียนยกตัวอย่างการเคลื่อนไหวแบบแนสติก (Nastic movement) ขั้นที่ 3 อธิบายความรู้ 1) ครูเซียนคำถามบนกระดานแล้วให้นักเรียนตอบคำถามลงในสมุดบันทึก ดังนี้ - สิ่งเร้าที่มากระตุ้นให้ดอกบัวหุบและบานคืออะไร แนวตอบ : แสงไปกระตุ้นให้การเจริญของกลุ่มเซลล์แตกต่างกัน โดยในช่วงที่มีแสงกลุ่มเชลล์ด้านในจะ เจริญเร็วกว่ากลุ่มเซลล์ด้านนอก ทำให้ดอกบัวบาน แต่ในช่วงไม่มีแสงกลุ่มเซลล์ด้านนอกจะเจริญเร็วกว่ากลุ่มเซลล์ ด้านใน ทำให้ดอกบัวหุบ - สิ่งเร้าที่มากระตุ้นให้ใบไมยราบหุบและกางคืออะไร แนวตอบ : เมื่อสัมผัสจะทำให้แรงดันเต่งภายในเซลล์พัสไวนัส (Pulvinus) ลดลงอย่างรวดเร็ว เซลล์จึง สูญเสียน้ำ ทำให้ใบไมยราบทุบ เมื่อเวลาผ่านไปน้ำจากเซลล์ข้างเคียง ทำให้แรงดันแต่งภายในเซลล์พัลไวนัสเพิ่มขึ้น เซลล์เต่ง ส่งผลให้ใบไมยราบกางออก - การหุบและบานของดอกบัวกับการหุบและกางของไมยราบแตกต่างกันอย่างไร แนวตอบ : ต่างกันสิ่งเร้าที่มากระตุ้น โดยการหุบและบนของดอกบัวมีแสงเป็นสิ่งเร้า ส่วนการหุบและ กางของไมยราบจะมีการสัมผัสเป็นสิ่งเร้า 2) นักเรียนและครูร่วมกันอภิปรายว่า "การเคลื่อนไหวแบบแนสติก (Nastic movement) จะมีแสง และอุณหภูมิเป็นปัจจัยภายนอกที่สำคัญ ซึ่งปัจจัยนี้จะส่งผลให้เกิดการหุบและบานของดอกไม้เนื่องจากการเจริญ ของเซลล์ภายในและภายนอกที่แตกต่างกัน นอกจากนี้จะส่งผลต่อกลุ่มเซลล์บางชนิดทำให้เกิดการหุบและกางของ พืชบางชนิด 3) ครูอธิบายต่อไปว่านอกจากสิ่งเร้าภายนอกแล้วพืชยังตอบสนองต่อสิ่งเร้าภายใน ทำให้พืชมีการ เคลื่อนไหว 2 แบบ คือ การเคลื่อนไหวแบบส่ายหรือนิวเทชันมูฟเมนต์ (Nutation movement) และการเคลื่อนไหวแบบบิด 4) ครูให้นักเรียนศึกษาข้อมูลจากหนังสือเรียนชีววิทยา ม.5 เล่ม 3 เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของพืชที่ ตอบสนองต่อเร้าภายใน ขั้นที่ 4 ขยายความเข้าใจ 1) ครูยกตัวอย่างการนำความรู้เกี่ยวกับการตอบสนองของพืชมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น มนุษย์อาศัยการเคลื่อนไหวแบบเป็นเกลียวของพืชมาตัดแปลงให้พุ่มไม้เลื้อยมีรูปร่างต่างๆ โดยนำเหล็กมาตัดให้ เป็นรูปต่าง ๆ


282 2) ให้นักเรียนยกตัวอย่าง 1 ตัวอย่างเกี่ยวกับการนำความรู้ที่ได้จากการศึกษาเรื่อง การตอบสนองของพืช มาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน ลงในกระดาษ A4 พร้อมนำเสนอหน้าชั้นเรียน 3) เพื่อตรวจสอบความเข้าใจของตนเองให้นักเรียนตอบคำถาม โดยนักเรียนและครูร่วมกันอภิปราย คำตอบที่ถูกต้อง - ปัจจัยที่มีผลต่อการเจริญเติบโตของพืชได้แก่อะไรบ้าง จงยกตัวอย่าง แนวตอบ : สารเคมีหรือสารควบคุมการเจริญเติบโตของพืช และสภาพแวดล้อม เช่น แสง ความชื้น แรง โน้มถ่วง และการสัมผัส - พืชตอบสนองต่อสิ่งเร้าหรือปัจจัยที่มากระตุ้นอย่างไร แนวตอบ : ใช้กระบวนการสื่อสารระหว่างเซลล์ โดยเซลล์พืชจะมีการรับสัญญาณ ส่งสัญญาณ และ ตอบสนองต่อสิ่งเร้า - เพราะเหตุใดปลายยอดพืชจึงเอนเข้าหาแสง และปลายรากพืชจึงเจริญไปในทิศทางเดียวกับแรงโน้ม ถ่วง แนวตอบ : เพราะปลายยอดพืชมีการตอบสนองต่อแสง (Positive phototropism) ส่วนรากพืช ตอบสนองต่อแรงโน้มถ่วง (Positive geotropism) - การหุบและบานของดอกบัวเป็นการตอบสนองของพืชต่อสิ่งเร้าชนิดใด เหมือนหรือแตกต่างกับการหุบ และกางใบของต้นไมยราบอย่างไร แนวตอบ : เป็นการเคลื่อนไหวแบบแนสติก (Nastic movement หรือเป็นการตอบสนองที่มี ทิศทางไม่สัมพันธ์กับสิ่งเร้า ซึ่งการหุบและบานของดอกบัวเป็นการตอบสนองต่อแสง ส่วนการหุบ และกางของใบไมยราบเป็นการตอบสนองต่อการสัมผัส) - การเคลื่อนไหวแบบแนสติก (Nastic movement) คืออะไร แนวตอบ : การตอบสนองที่มีทิศทางไม่สัมพันธ์กับสิ่งเร้าที่มากระตุ้น โดยมีปัจจัยภายนอกที่สำคัญ คือ แสงและอุณหภูมิ ขั้นที่ 5 ตรวจสอบผล 1) ครูประเมินการปฏิบัติการจากการทำกิจกรรม 2) ครูประเมินชิ้นงาน เรื่อง การตอบสนองของพืช มาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน 7. สื่อ/อุปกรณ์ แหล่งการเรียนรู้ 7.1 สื่อ/อุปกรณ์ 7.1.1 ชิ้นงานการศึกษาเรื่อง การตอบสนองของพืช มาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน


283 7.2 แหล่งการเรียนรู้ 7.2.1 หนังสือเรียนชีววิทยา ม.5 เล่ม 3 7.2.2 อินเทอร์เน็ต 7.2.3 ยูทูป 8. การวัดและการประเมินผลการเรียนรู้ จุดประสงค์การเรียนรู้ วิธีการวัดผล การเรียนรู้ เครื่องมือวัดผล การเรียนรู้ เกณฑ์การวัด ประเมินผล ด้านความรู้ (K : Knowledge) - สืบค้นข้อมูล ทดลอง และอภิปรายเกี่ยวกับสิ่งเร้า ภายนอกที่มีผลต่อการเจริญเติบโตของพืชได้ - การตอบ คำถามใน ห้องเรียน - แบบสังเกต พฤติกรรม รายบุคคลด้าน คุณลักษณะ อันพึงประสงค์ ผ่านเกณฑ์การ ประเมินไม่ น้อยกว่า ร้อยละ 70 ด้านทักษะกระบวนการ (P : Process) - นักเรียนสามารถประยุกต์ใช้ความรู้ที่ได้จากการศึกษา เรื่อง การตอบสนองของพืช มาประยุกต์ใช้ใน ชีวิตประจำวัน - ตรวจชิ้นงาน เรื่อง การ ตอบสนองของ พืช มา ประยุกต์ใช้ใน ชีวิตประจำวัน - การนำเสนอ หน้าชั้นเรียน - แบบประเมิน ชิ้นงาน - แบบสังเกต พฤติกรรม รายบุคคลด้าน คุณลักษณะ อันพึงประสงค์ ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A : Attribute) - รับผิดชอบต่อหน้าที่และงานที่ได้รับมอบหมาย - การสังเกต พฤติกรรม - แบบสังเกต พฤติกรรม รายบุคคลด้าน คุณลักษณะ อันพึงประสงค์


284


285


286


287 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 28 รายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 บทที่ 12 การควบคุมการเจริญเติบโตและการตอบสนองของพืช เวลาทั้งหมด 9 ชั่วโมง เรื่อง การตอบสนองต่อภาวะเครียด เวลา 1 ชั่วโมง ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 ผู้สอน นางสาวมณฑิดา ฝั่งซ้าย 1. มาตรฐานการเรียนรู้ สาระชีววิทยา : เข้าใจส่วนประกอบของพืช การแลกเปลี่ยนแก๊สและคายน้ำของพืช การลำเลียงของพืช การสังเคราะห์ด้วยแสง การสืบพันธุ์ของพืชดอกและการเจริญเติบโต และการตอบสนองของพืช รวมทั้งนำความรู้ ไปใช้ประโยชน์ 2. ผลการเรียนรู้ สืบค้นข้อมูล ทดลอง และอภิปรายเกี่ยวกับสิ่งเร้าภายนอกที่มีผลต่อการเจริญเติบโตของพืช 3. สาระสำคัญ ความเครียดในความหมายที่เกี่ยวข้องกับพืช เป็นสภาวะความเครียดที่เกิดจากปัจจัยภายนอก ได้แก่ สภาวะแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโต ส่งผลให้พืชมีการเจริญเติบโตที่ผิดปกติไปจากเดิม โดยสภาวะ แวดล้อมนั้นประกอบด้วยสิ่งที่ไม่มีชีวิต (abiotic) เช่น น้ำ อุณหภูมิ และสิ่งที่มีชีวิต (biotic) เช่น แมลงศัตรูพืช โดย ทุกปัจจัยที่ก่อให้เกิดความเครียดในพืช ท้ายที่สุดจะชักนำให้เกิดอนุมูลอิสระในพืชเกิดเป็น oxidative stress ซึ่ง เป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้เซลล์พืชเสียหาย และตายในที่สุด 4.จุดประสงค์การเรียนรู้ 4.1 ด้านความรู้ (K) - นักเรียนสามารถอธิบายการตอบสนองของพืชในสภาวะเครียดที่เกิดจากสิ่งเร้าทางกายภาพ และสิ่งเร้า ทางชีวภาพได้ 4.2 ด้านทักษะ/กระบวนการ (P) - นักเรียนสามารถวิเคราะห์สิ่งเร้าที่ทำให้พืชเกิดภาวะเครียดได้ 4.3 ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A) - นักเรียนมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่และงานที่ได้รับมอบหมาย 5. สาระการเรียนรู้ การตอบสนองของพืชแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มหลัก ๆ คือ กลุ่มพืชที่ไม่สามารถปรับตัวให้อยู่รอดได้กับกลุ่ม ที่สามารถปรับตัวให้อยู่รอดได้ความเครียดของต้นพืช เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดจากสภาพแวดล้อมที่ไม่


288 เหมาะสม พืชจะต้องปรับตัวให้อยู่ได้ภายใต้สภาวะที่ไม่เหมาะสมเหล่านี้ และในธรรมชาติพืชแต่ละชนิดก็จะมีสาย พันธุ์ที่ทนต่อสภาวะเหล่านี้ โดยสามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมหรือถูกทำให้มีคุณสมบัติพิเศษเฉพาะตัวด้วยการ ผสมพันธุ์ เพื่อให้ได้พันธุ์ที่เราต้องการมีความทนทานต่อความเครียด ซึ่งมักเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาที่ทำการ เพาะปลูก แต่วิธีการคัดเลือกพันธุ์ ผสมพันธุ์ เป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลาในการทดลอง 6. กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) ขั้นที่ 1 ขั้นสร้างความสนใจ 1) ครูอาจใช้คำถามกระตุ้นความสนใจของนักเรียนว่า นักเรียนเคยปลูกพืชแล้วลืมรดน้ำหรือไม่ และต้นพืช นั้นมีลักษณะแตกต่างจากต้นพืชที่รดน้ำอย่างไร แนวคำตอบ : ครูเปิดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระ ขั้นที่ 2 ขั้นสำรวจและค้นหา 1) นักเรียนแบ่งกลุ่มออกเป็น 2 กลุ่ม แล้วส่งตัวแทนออกมาสุ่มหัวข้อของกลุ่มที่ตัวเองจะได้ศึกษา โดยมี หัวข้อดังต่อไปนี้ - หัวข้อที่ 1 : ศึกษาภาวะเครียดจากสิ่งเร้าทางกายภาพ - หัวข้อที่ 2 : ศึกษาภาวะเครียดจากสิ่งเร้าทางชีวภาพ 2) นักเรียนร่วมกันอภิปรายภายในกลุ่มและลงข้อสรุปข้อมูลที่ศึกษามาได้ แล้วจัดทำ mind mapping พร้อมตกแต่งให้สวยงาม ขั้นที่ 3 ขั้นอธิบายความรู้ 1) นักเรียนออกมานำเสนอผลงานของกลุ่มตนเองหน้าชั้นเรียน 2) นักเรียนและครูร่วมกันอภิปรายและสรุปองค์ความรู้ที่ศึกษามา 3) ครูเสริมความรู้เพิ่มเติมและตอบคำถามในประเด็นที่นักเรียนยังไม่เข้าใจ ขั้นที่ 4 ขั้นขยายความรู้ 1) ครูขยายความรู้ให้กับนักเรียนว่า ปัจจุบันมนุษย์ได้นำความรู้เรื่องภาวะเครียดของพืชมาพัฒนาพันธุ์พืช ให้มีความทนต่อภาวะต่างๆที่ทำให้พืชเกิดภาวะเครียด เช่น ข้าวทนน้ำท่วมฉับพลัน ถั่วลิสงทนแล้ง ข้าวทนดินเค็ม ขั้นที่ 5 ขั้นประเมิน 1) ครูประเมินจากการนำเสนอผลงานหน้าชั้นเรียน 2) ครูประเมินจากการตอบคำถามของนักเรียนในชั้นเรียน 7. สื่อ/อุปกรณ์ แหล่งการเรียนรู้ 7.1 สื่อ/อุปกรณ์ 7.1.1 mind mapping เรื่อง การตอบสนองต่อภาวะเครียด


289 7.2 แหล่งการเรียนรู้ 7.2.1 หนังสือเรียนชีววิทยา ม.5 เล่ม 3 7.2.2 อินเทอร์เน็ต 7.2.3 ยูทูป 8. การวัดและการประเมินผลการเรียนรู้ จุดประสงค์การเรียนรู้ วิธีการวัดผล การเรียนรู้ เครื่องมือวัดผล การเรียนรู้ เกณฑ์การวัด ประเมินผล ด้านความรู้ (K : Knowledge) - นักเรียนสามารถอธิบายการตอบสนองของพืชใน สภาวะเครียดที่เกิดจากสิ่งเร้าทางกายภาพ และสิ่งเร้า ทางชีวภาพได้ - การนำเสนอ ผลงานหน้าชั้น เรียน - การตอบ คำถามใน ห้องเรียน - mind mapping เรื่อง การตอบสนอง ต่อภาวะเครียด - แบบสังเกต พฤติกรรม รายบุคคลด้าน คุณลักษณะ อันพึงประสงค์ ผ่านเกณฑ์การ ประเมินไม่ น้อยกว่า ร้อยละ 70 ด้านทักษะกระบวนการ (P : Process) - นักเรียนสามารถวิเคราะห์สิ่งเร้าที่ทำให้พืชเกิดภาวะ เครียดได้ - การตอบ คำถามใน ห้องเรียน - แบบสังเกต พฤติกรรม รายบุคคลด้าน คุณลักษณะ อันพึงประสงค์ ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A : Attribute) - นักเรียนมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่และงานที่ได้รับ มอบหมาย - การสังเกต พฤติกรรม - แบบสังเกต พฤติกรรม รายบุคคลด้าน คุณลักษณะ อันพึงประสงค์


290


291


292


293 บรรณานุกรม กระทรวงศึกษาธิการ. (2551). หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ชุมนุสหกรณ์ณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จำกัด. กระทรวงศึกษาธิการ. (2551). ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลางกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ชุมนุสหกรณ์ณ์การเกษตร แห่งประเทศไทย จำกัด.


Click to View FlipBook Version