The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ที่มาของแนวคิดเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ (Creative Economy) วิวัฒนาการทางความคิด แนวนโยบาย และตัวอย่างของประเทศที่ใช้แนวนโยบายเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ในการพัฒนาประเทศ จบท้ายด้วยความสร้างสรรค์ของในหลวงรัชกาลที่ 9 มหาราชานวัตกรรม

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by batkusuma, 2021-07-29 06:33:53

เศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์

ที่มาของแนวคิดเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ (Creative Economy) วิวัฒนาการทางความคิด แนวนโยบาย และตัวอย่างของประเทศที่ใช้แนวนโยบายเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ในการพัฒนาประเทศ จบท้ายด้วยความสร้างสรรค์ของในหลวงรัชกาลที่ 9 มหาราชานวัตกรรม

Keywords: เศรษฐกิจ สร้างสรรค์ นวัตกรรม

P a g e | 45

ใหบ้ คุ ลากรไดเ้ รยี นรวู้ ธิ กี ารทจ่ี ะปฏบิ ตั งิ านของตนเองใหด้ เี ลศิ ยง่ิ ขน้ึ เก่งกาจเชย่ี วชาญยงิ่ ขน้ึ
ดว้ ยความรวดเรว็ คลอ่ งตวั เทา่ ทนั การเปลย่ี นแปลงยง่ิ ขน้ึ และตอบสนองความตอ้ งการ
รสนิยมของตลาดไดด้ ยี ง่ิ ขน้ึ คาํ วา่ “ความสรา้ งสรรค”์ เรม่ิ เขา้ มามบี ทบาทมากขน้ึ ในระบบ
และวถิ กี ารผลติ เชน่ น้ี

ในทางเศรษฐศาสตร์ มนี กั วชิ าการรนุ่ ใหมๆ่ ทพ่ี ยายามนําเสนอแนวความคดิ ทว่ี า่ ความ
สรา้ งสรรคค์ อื ทุนประเภทหน่งึ ซง่ึ อาจเรยี กไดว้ า่ “ทุนความสรา้ งสรรค”์ (Creative capital) ใน
อดตี ทผ่ี า่ นมา นกั เศรษฐศาสตรม์ กั จะคนุ้ เคยกบั การแบง่ ทนุ ออกเป็น 4 ประเภท ไดแ้ ก่ “ทนุ
ทางกายภาพ” (Physical capital) เชน่ วตั ถุดบิ เทคโนโลยี ฯลฯ “ทุนลงทุน” (Investment
capital) ซง่ึ มกั จะหมายถงึ เงนิ ตรา “ทุนมนุษย”์ (Human capital) ไดแ้ ก่ คนทม่ี คี วามรมู้ ี
การศกึ ษา และ “ทุนทางสงั คม” (Social capital) ไดแ้ ก่ การทค่ี นมาทาํ กจิ กรรมรว่ มกนั เป็น
กลมุ่ อยา่ งไรกต็ าม นกั ทฤษฎดี า้ นการพฒั นาความจาํ เรญิ เตบิ โตทางเศรษฐกจิ ในยคุ ปัจจบุ นั
ต่างกต็ ระหนกั มากขน้ึ เรอ่ื ยๆวา่ ทนุ ทางกายภาพและทุนลงทุนแมจ้ ะเคยเป็นปัจจยั ทส่ี าํ คญั
อยา่ งมากตอ่ อตุ สาหกรรมการผลติ แบบดงั้ เดมิ แต่เมอ่ื อตุ สาหกรรมการผลติ และการบรกิ ารมี
ความกา้ วหน้ามากขน้ึ กลบั พบวา่ ทนุ เหลา่ นนั้ มผี ลอทิ ธพิ ลต่อการพฒั นาเศรษฐกจิ ในทศิ ทาง
ทถ่ี ดถอยน้อยลงไปมาก สงิ่ ทก่ี ลบั พบมากยง่ิ ขน้ึ กค็ อื ความเตบิ โตทางเศรษฐกจิ ในปัจจุบนั
มกั จะมพี น้ื ฐานมาจากสต๊อคของทนุ มนุษยแ์ ละสงิ่ ท่ี “อยใู่ นทุนมนุษย”์ ทป่ี ระเทศหรอื องคก์ ร
เหลา่ นนั้ มอี ยกู่ ลบั มคี วามสาํ คญั มากกวา่ ทวา่ ปัญหาทน่ี ่าสนใจคอื นกั เศรษฐศาสตรส์ ามารถ
วดั “สง่ิ ทม่ี คี ณุ คา่ ทอ่ี ยใู่ นตวั มนุษย”์ ออกมาไดอ้ ยา่ งชดั เจนไดห้ รอื ไม่ เหมอื นกบั ทน่ี กั
เศรษฐศาสตรเ์ คยกระทาํ ในอดตี นนั่ คอื การวดั คณุ คา่ ของสง่ิ ตา่ งๆออกมาเป็นมลู คา่ ทจ่ี บั ตอ้ ง
ได้ (Tangible) วดั ประเมนิ คา่ ได้ (Measurable) สงิ่ ทม่ี กั จะพบเหน็ กนั กค็ อื นกั เศรษฐศาสตร์
กระแสหลกั มกั จะวดั คณุ คา่ ของทนุ มนุษยอ์ ยบู่ นพน้ื ฐานของ “ระดบั การศกึ ษาทเ่ี ป็นทางการ”
“จาํ นวนปีทอ่ี ยใู่ นโรงเรยี น” และ “จาํ นวนวนั ทเ่ี ขา้ รบั การฝึกอบรม” ของคนงาน

ปัญหากค็ อื ตวั เลข/คา่ สถติ ทิ บ่ี ง่ ชถ้ี งึ “ระดบั การศกึ ษาทเ่ี ป็นทางการ” “จาํ นวนปีทอ่ี ยใู่ น
โรงเรยี น” ของประชากร และ “จาํ นวนวนั ทเ่ี ขา้ รบั การฝึกอบรม” ของคนงาน จะสามารถใช้

P a g e | 46

เป็นตวั บ่งบอกถงึ “ระดบั ความสรา้ งสรรค”์ ของคนในประเทศนนั้ /องคก์ รแหง่ นนั้ ไดห้ รอื ไม?่
ผเู้ ขยี นคาดเดาวา่ ผอู้ า่ นหลายท่านคง “สา่ ยหน้า” ไมเ่ หน็ ดว้ ยกบั ขอ้ สมมตฐิ านเชน่ นนั้

และน่คี อื เหตุผลสาํ คญั ทน่ี กั คดิ นกั เขยี นเชน่ John Howkins (2001)
จงึ เหน็ วา่ เราควรแยก “ทนุ ความสรา้ งสรรค”์ (Creative capital)
ออกมาเป็นทุนอกี ประเภทหน่งึ ต่างจาก “ทุนมนุษย”์ (Human
capital) เน่อื งจากนกั เศรษฐศาสตรก์ ระแสเดมิ มกั จะมงุ่ วดั มลู คา่ ของ
ทุนมนุษยจ์ ากมติ ทิ จ่ี บั ตอ้ งได้ (Tangible) และมติ ทิ เ่ี ป็นทางการ
(Formal) นนั่ คอื การวดั มลู คา่ ของทนุ มนุษยจ์ าก “ระดบั การศกึ ษา”
และ “จาํ นวนการฝึกอบรมทอ่ี งคก์ รจดั ใหอ้ ยา่ งเป็นทางการ” ดว้ ย
สมมตฐิ านพน้ื ฐานทว่ี า่ ประเทศใดหรอื องคก์ รใดทย่ี งิ่ มคี นเรยี นจบการศกึ ษาสงู เทา่ ไร คนมใี บ
ประกาศนยี บตั รหรอื ปรญิ ญาบตั รมากเทา่ ใด และยง่ิ มคี นทไ่ี ดผ้ า่ นหลกั สตู รการฝึกอบรมมาก
เทา่ ไร ประเทศนนั้ หรอื องคก์ รนนั้ ยงิ่ มที นุ มนุษยม์ ากเทา่ นนั้ และยงิ่ ประเทศใดหรอื องคก์ รใด
ยงิ่ มที ุนมนุษยม์ ากเทา่ ใด ความเจรญิ เตบิ โตกา้ วหน้ากจ็ ะทบทวมี ากขน้ึ เทา่ นนั้

อยา่ งไรกต็ าม การวดั คา่ ของทนุ มนุษยแ์ บบเดมิ คอื การวดั ทร่ี อ้ ยละของคนทจ่ี บการศกึ ษาใน

ระดบั ปรญิ ญาตา่ งๆ เชน่ นนั้ ทาํ ใหเ้ รามองขา้ มความสาํ คญั มากๆของผปู้ ระกอบการหรอื นกั

คดิ สรา้ งสรรคท์ างวฒั นธรรมหลายๆคนทอ่ี าจจะไมจ่ บปรญิ ญาเลยดว้ ยซ้ํา ยกตวั อยา่ งเชน่ บลิ

เกตส์ วลิ เลย่ี ม โฟลค์ เนอร์ เดวดิ กฟิ ฟิน จติ ร ภมู ศิ กั ดิ ์ วบิ ลู ย์ เขม็ เฉลมิ เป็นตน้ แนวคดิ การ

วดั คา่ ทุนมนุษยเ์ ชน่ น้มี กั มสี มมตฐิ านทว่ี า่ ทกั ษะเฉพาะดา้ น (Specific skills) เป็นเรอ่ื งสาํ คญั

และทกั ษะเหล่าน้มี าจากการเรยี นการสอนในสถาบนั การศกึ ษาเทา่ นนั้ แนวคดิ แบบน้ี

เหมาะสมมากสาํ หรบั โลกยคุ อุตสาหกรรม ทซ่ี ง่ึ มรี ปู แบบการผลติ ขนานใหญ่ (Mass

production) และจาํ เป็นตอ้ งปลกู ถา่ ยทกั ษะลงไปในหมมู่ วลแรงงานของเรา แต่ในโลกยคุ

สรา้ งสรรค์ การจาํ เรญิ เตบิ โตทางเศรษฐกจิ ตอ้ งการอะไรทม่ี ากไปกวา่ แคใ่ บปรญิ ญา

ปัจจบุ นั ความสามารถของมนุษยท์ จ่ี ะสรา้ งสรรคค์ วามคดิ ใหมๆ่ เทคโนโลยใี หมๆ่ ตวั แบบ
ทางธุรกจิ ใหมๆ่ รปู แบบทางวฒั นธรรมใหมๆ่ และอตุ สาหกรรมแบบใหมค่ อื ประเดน็ ทส่ี าํ คญั

P a g e | 47

สอดรบั กบั ยคุ สมยั และน่แี หละคอื “ทนุ ความสรา้ งสรรค”์ หากเศรษฐกจิ จะเจรญิ เตบิ โตและ
รงุ่ เรอื งเฟ่ืองฟุ้ง องคก์ รทุกประเภททุกรปู แบบทกุ ระดบั ตงั้ แตป่ ัจเจกบุคคล บรษิ ทั ชุมชน
เมอื ง รฐั และแมก้ ระทงั่ ประเทศชาติ จะตอ้ งรกั ษา ทาํ นุบาํ รงุ หลอ่ เลย้ี ง ขบั เคล่อื น และ
ลงทุนในความคดิ สรา้ งสรรคอ์ ยา่ งทวั่ ถงึ รอบดา้ น ซง่ึ การทเ่ี ราจะสามารถเขา้ ใจถงึ “ทนุ ความ
สรา้ งสรรค”์ น้ีได้ เราจาํ เป็นตอ้ งเขา้ ใจวา่ มนุษยเ์ ป็นสงิ่ มชี วี ติ ทม่ี รี ะนาบของศกั ยภาพเชงิ
ความคดิ สรา้ งสรรคท์ ก่ี วา้ งไกลมาก (Human creative potential) การวดั ความสรา้ งสรรคข์ อง
มนุษยใ์ นสงั คมหน่งึ ๆโดยใชว้ ธิ คี ดิ แบบเดมิ คอื การวดั ระดบั การศกึ ษาของคนในสงั คมนนั้ ถอื
เป็นการวดั ทย่ี งั ไมต่ รงเป้า นกั เศรษฐศาสตรร์ นุ่ ใหมเ่ ชน่ ศาสตราจารยร์ ชิ ารด์ ฟลอรดิ า้
นําเสนอแนวทางการวดั ทนุ ความสรา้ งสรรคข์ องสงั คมหน่งึ โดยใช้ “ตวั แบบการวดั ทเ่ี น้นไปท่ี
อาชพี ” (Occupationally based model of measurement) เพราะเขาเชอ่ื วา่ “อาชพี ” น่าจะ
เป็นตวั สะทอ้ นการไดใ้ ชค้ วามคดิ สรา้ งสรรคข์ องคนมากกวา่ การไปวดั ท่ี “ระดบั การศกึ ษา”

ศาสตราจารยร์ ชิ ารด์ ฟลอรดิ า้ ยกตวั อยา่ งความพยายามของทมี นกั เศรษฐศาสตรช์ าว

แคนาดาชุดหน่งึ (Coulombe, Tremblay and Merchand, 2004) ทไ่ี ดพ้ ยายามวดั “ทนุ ความ

สรา้ งสรรค”์ ออกมาในเชงิ ปรมิ าณ โดยจาํ แนกทุนความสรา้ งสรรคอ์ อกจาก “ทนุ มนุษย”์ และ

แสดงใหเ้ หน็ ถงึ ความสาํ คญั ของทนุ สรา้ งสรรคต์ ่อการจาํ เรญิ เตบิ โตทางเศรษฐกจิ นกั

เศรษฐศาสตรท์ มี น้ที าํ การศกึ ษาจากผลสาํ รวจการรหู้ นงั สอื ของผใู้ หญ่ (the International

Adult Literacy Survey) ในกลุ่ม 14 ประเทศ OECD ซง่ึ จากขอ้ มลู การสาํ รวจทาํ ใหพ้ บวา่ 1)

ในชว่ งปี 1960-1995 มี 3 ประเทศทม่ี อี ตั ราการรหู้ นงั สอื เพมิ่ ขน้ึ อยา่ งรวดเรว็ ทส่ี ดุ พรอ้ มกนั

นนั้ ทงั้ 3 ประเทศนนั้ ยงั มอี ตั ราการเตบิ โตทางเศรษฐกจิ ทร่ี วดเรว็ ทส่ี ดุ ดว้ ย 2) มี 3 ประเทศท่ี

มอี ตั ราการปรบั ปรงุ ยกระดบั ทกั ษะต่าํ ทส่ี ดุ (เมอ่ื เปรยี บเทยี บกนั ทงั้ 14 ประเทศ) ซง่ึ กพ็ บวา่

ทงั้ 3 ประเทศน้ีมอี ตั ราการเตบิ โตทางเศรษฐกจิ ชา้ กวา่ ประเทศอน่ื ๆเชน่ กนั

คลา้ ยๆกบั ทร่ี ชิ ารด์ ฟลอรดิ า้ ใหค้ วามสาํ คญั กบั การวดั ทนุ ความสรา้ งสรรคโ์ ดยเน้นไปท่ี
“อาชพี ” นกั เศรษฐศาสตรก์ ล่มุ น้ีทาํ การศกึ ษาเรอ่ื งทุนความสรา้ งสรรค์ แลว้ พวกเขาไดพ้ บวา่
หากเราวดั กนั ท่ี “ทกั ษะที่แท้จริง” (Actual skills) มากกวา่ การวดั กนั ท่ี “ระดบั การศกึ ษา”

P a g e | 48

หรอื “ใบประกาศนียบตั ร” เรากจ็ ะไดค้ าํ อธบิ ายการจาํ เรญิ เตบิ โตทางเศรษฐกจิ ทท่ี รงพลงั ทมี
นกั วจิ ยั ชุดน้พี บบทสรปุ ทน่ี ่าสนใจ 2 ประการไดแ้ ก่

1) ตวั ชว้ี ดั ทส่ี ะทอ้ นถงึ “ความสามารถในการรหู้ นงั สอื ” (Literacy) ของประชากรจะ
ชว่ ยในการคาดการณ์ถงึ การเตบิ โตทางเศรษฐกจิ ไดด้ กี วา่ การทว่ี ดั กนั ทแ่ี ค่ “จาํ นวนปีทอ่ี ยใู่ น
โรงเรยี น” น่ยี งั หมายรวมถงึ ความสาํ คญั ของความสามารถทจ่ี ะคดิ อยา่ งอสิ ระเป็นตวั ของ
ตวั เอง (Independent) และการคดิ ทส่ี รา้ งสรรค์ (Creative thinking) ทม่ี ตี อ่ ความเตบิ โตทาง
เศรษฐกจิ แน่นอนวา่ การมรี ะบบการศกึ ษาทเ่ี ขม้ แขง็ ยอ่ มมนี ยั สาํ คญั ตอ่ ความเขม้ แขง็ ทาง
เศรษฐกจิ แตข่ ณะเดยี วกนั การใชต้ วั เลขทบ่ี อกถงึ จาํ นวนวนั จาํ นวนชวั ่ โมงทเ่ี ดก็ เหล่าน้ีตอ้ ง
นงั่ อยบู่ นโต๊ะในหอ้ งเรยี นนนั้ บอกเราไดไ้ มม่ ากนกั วา่ เดก็ เหล่านนั้ จะเป็นอยา่ งไรตอ่ ไปใน
ฐานะของปัจเจกบคุ คลแต่ละคน สงิ่ ทเ่ี ราตอ้ งการคอื “การเรยี นร”ู้ ทแ่ี ทจ้ รงิ – ทงั้ ในหอ้ งเรยี น
และนอกหอ้ งเรยี น การสอนทต่ี อ้ งมที งั้ ระดบั พน้ื ฐาน ระดบั กา้ วหน้าและการแกไ้ ขปัญหาอยา่ ง
สรา้ งสรรค์ – เพอ่ื ทจ่ี ะชว่ ยกนั สรา้ งสรรคร์ ะบบเศรษฐกจิ ทด่ี ี

2) ขอ้ คน้ พบทน่ี ่าสนใจอกี ประการคอื “ความสามารถในการรหู้ นงั สอื ” (Literacy) มี
ความเชอ่ื มโยงในทางบวกต่อความสาํ เรจ็ ทางเศรษฐกจิ ในระยะยาว นกั เศรษฐศาสตรก์ ลุ่มน้ี
พบวา่ การเพม่ิ ขน้ึ ในทุก 1 เปอรเ์ ซน็ ตข์ องคะแนนการรหู้ นงั สอื (Literacy scores) (เทยี บกบั
คา่ เฉลย่ี นานาชาต)ิ มสี หสมั พนั ธก์ บั การเพม่ิ ขน้ึ ในผลติ ภาพแรงงาน (Labor productivity)
2.5 เปอรเ์ ซน็ ต์ และการเพมิ่ ขน้ึ ในผลติ ภณั ฑม์ วลรวมภายในประเทศต่อหวั (Per capita
GDP) 1.5 เปอรเ์ ซน็ ต์ (ทงั้ 2 ปัจจยั น้ีเทยี บกบั คา่ เฉลย่ี นานาชาตเิ ชน่ กนั ) ดงั นนั้ ยอ่ ม
หมายความวา่ การลงทุนทเ่ี พม่ิ ขน้ึ ในดา้ น “การรหู้ นงั สอื ” (Literacy) จะมคี วามสมั พนั ธก์ นั
อยา่ งมากกบั ผลทต่ี ามมาคอื การเตบิ โตของ GDP และ การเพมิ่ ขน้ึ ของผลติ ภาพ

ขอ้ คน้ พบจากการศกึ ษาขา้ งตน้ สะทอ้ นใหเ้ หน็ วา่ “การรหู้ นงั สอื ” การอ่านออก เขยี นได้ และ
“การเรยี นรทู้ แ่ี ทจ้ รงิ ” ซง่ึ จะทาํ ใหม้ นุษยค์ ดิ เป็น แกป้ ัญหาเป็น ถอื เป็นพน้ื ฐานทส่ี าํ คญั ของ
การพฒั นา “ศกั ยภาพเชงิ สรา้ งสรรค”์ ทอ่ี ยใู่ นตวั มนุษย์ และควรไดร้ บั การสนบั สนุนใสใ่ จ

P a g e | 49

มากกวา่ การมงุ่ ไปท่ี “จาํ นวนปีของการศกึ ษาและการฝึกอบรมทเ่ี ป็นทางการ” ดงั ทน่ี กั
เศรษฐศาสตร์ นกั วชิ าการกระแสหลกั และผกู้ าํ หนดนโยบายทวั่ โลกนิยมกระทาํ กนั
กลา่ วโดยสรปุ แลว้ จะเหน็ ไดว้ า่ การทป่ี ระเทศใดจะมกี ารพฒั นาเศรษฐกจิ ใหเ้ กดิ ความจาํ เรญิ
เตบิ โตทย่ี งั่ ยนื หรอื องคก์ รใดทจ่ี ะมกี ารพฒั นาธรุ กจิ ใหเ้ จรญิ รงุ่ เรอื งในระยะยาว ในโลกยคุ
ใหมท่ ม่ี วี ทิ ยาการและความรเู้ ป็นฐานสาํ คญั นนั้ ปัจจยั ทส่ี าํ คญั ชข้ี าดความเจรญิ รงุ่ เรอื งใน
ระยะยาวนนั้ นอกจากจะตอ้ งมกี ารสะสมและพฒั นาทนุ มนุษย์ (Human capital
accumulation) ทด่ี แี ลว้ จาํ เป็นตอ้ งสง่ เสรมิ สนบั สนุน และเสรมิ สรา้ ง “ทุนแหง่ ความ
สรา้ งสรรค”์ ขน้ึ ในตวั มนุษยด์ ว้ ย
แนวคดิ เรอ่ื ง “ทนุ ความสรา้ งสรรค”์ ยงั ไมจ่ บเพยี งแคน่ ้ี แตอ่ ยากใหผ้ อู้ า่ นไดพ้ กั สายตาและ
หลบั ตาคดิ ทบทวนสง่ิ ทเ่ี ป็นสาระทผ่ี เู้ ขยี นไดน้ ําเสนอไวใ้ นบทน้ี ผเู้ ขยี นจะไดเ้ ขยี นสาระ
เพม่ิ เตมิ เกย่ี วกบั ประเดน็ น้ีในบทต่อไปครบั

เอกสารประกอบ

Coulombe, S., Tremblay, J.F. and Merchand, S. (2004) Literacy Score, Human
Capital, and Growth Across 10 OECD Countries. Ottawa: Statistics Canada.

Florida, Richard (2007) The Flight of Creative Class: The New Global Competition
for Talent. HarperCollins.

Howkins, John. (2001) The Creative Economy: How People Make Money From
Ideas. Penguin books.

P a g e | 51

-8–
ทุนความสรา้ งสรรค์ มาจากคนสรา้ งสรรคแ์ ละสงั คมท่ีสร้างสรรค์

(Creative Capital, Creative People, Creative Society)

‘Ideas are a capital that bears interest only in the hands of talent.’
Antoine de Rivarol

ในบทความฉบบั ทแ่ี ลว้ ผเู้ ขยี นไดก้ ล่าวเกรนิ่ นําถงึ ความสาํ คญั ของ “ทนุ ความสรา้ งสรรค”์ ว่า
เป็นทุนทม่ี คี วามสาํ คญั และจาํ เป็นสาํ หรบั การขบั เคล่อื นประเทศและองคก์ รในยคุ เศรษฐกจิ
สมยั ใหม่ อนั ทจ่ี รงิ แลว้ ผเู้ ขยี นอยากทจ่ี ะใชค้ าํ วา่ “ยคุ เศรษฐกจิ สงั คมหลงั สมยั ใหม”่ (Post-
modern era) มากกวา่ แตเ่ น่อื งจากคาํ วา่ “หลงั สมยั ใหม”่ (Post-modern) เป็นคาํ ทม่ี ี
ความหมายลกึ ซง้ึ มแี นวคดิ ทฤษฎที เ่ี กย่ี วขอ้ งมากมาย และยงั มขี อ้ ถกเถยี งเกย่ี วกบั เรอ่ื งน้ีอกี
ไมน่ ้อย ซง่ึ ผเู้ ขยี นจะไดก้ ลบั มาเขยี นสาธยายถงึ เรอ่ื ง Post-modern ใหล้ งลกึ มากขน้ึ ตอ่ ไปอกี
ในอนาคต
ในบทน้ี ผเู้ ขยี นจะไดก้ ลา่ วถงึ ประเดน็ เรอ่ื ง “ทนุ ความสรา้ งสรรค”์ เพม่ิ เตมิ ต่อไป ดงั ทไ่ี ดเ้ คย
กลา่ วมาในบทกอ่ นหน้าน้ีแลว้ วา่ มคี วามพยายามของนกั วชิ าการแขนงตา่ งๆ ทจ่ี ะศกึ ษา
แนวคดิ เรอ่ื งของความสรา้ งสรรคไ์ วอ้ ยา่ งหลากหลายความคดิ มากมายมติ มิ มุ มอง โดยเฉพาะ
อยา่ งยงิ่ ในสาขาวชิ าการดา้ นจติ วทิ ยาไดม้ กี ารศกึ ษาเรอ่ื งของ “ความสรา้ งสรรคข์ องคน”
(Individual creativity) กนั อยา่ งแพรห่ ลาย แตก่ ระนนั้ กย็ งั ไมส่ ามารถตกลงกนั ไดใ้ นหลายๆ
เรอ่ื งหลายๆประเดน็ เชน่ ความคดิ สรา้ งสรรคถ์ อื เป็นองคป์ ระกอบสว่ นหน่ึงทฝ่ี ังอยใู่ นตวั ของ
มนุษยท์ ุกคนเลยหรอื ไม?่ หรอื กระบวนการเชน่ ไรจงึ จะสามารถก่อใหเ้ กดิ ความคดิ สรา้ งสรรค์
ของมนุษยไ์ ด?้

P a g e | 52

ดงั นนั้ ผเู้ ขยี นจะขอหลกี เลย่ี งประเดน็ ทย่ี งั ถกเถยี งกนั ไมร่ จู้ บเหลา่ นนั้ แต่จะขอกลบั มาสู่
ประเดน็ เรอ่ื งของ “ทุนความสรา้ งสรรค”์ (Creative capital) ซง่ึ นกั คดิ นกั เขยี นนาม John
Howkins ผเู้ ชย่ี วชาญดา้ นธรุ กจิ สรา้ งสรรคแ์ ละเขยี นหนงั สอื เรอ่ื ง Creative Economy (2001)
ไดจ้ าํ แนกทนุ ความสรา้ งสรรคอ์ อกมาเป็น “ทุน” ประเภทหน่งึ อยา่ งชดั เจน แตก่ ระนนั้ เขากย็ งั
ไดช้ ใ้ี หเ้ หน็ ว่าทนุ ความสรา้ งสรรคไ์ มส่ ามารถดาํ รงอยหู่ รอื ผดุ บงั เกดิ ขน้ึ มาได้ หากปราศจาก
“ตวั ชว่ ย” อนั ไดแ้ กท่ ุนประเภทอ่นื ๆ ดงั นนั้ Howkins จงึ ไดย้ ้าํ เน้นถงึ ความเชอ่ื มโยงเกย่ี วพนั
กนั ระหวา่ งทุนความสรา้ งสรรค์ (Creative capital) กบั ทุนมนุษย์ (Human capital) ทนุ ทาง
ปัญญา (Intellectual capital) และ ทนุ ทางโครงสรา้ ง (Structural capital)

แน่นอนวา่ ทนุ ความสรา้ งสรรคย์ อ่ มอยใู่ นตวั มนุษย์ หากปราศจากมนุษยย์ อ่ มไมม่ ที างทจ่ี ะเกดิ
ทุนความสรา้ งสรรค์ ดงั นนั้ ทุนความสรา้ งสรรคก์ บั ทนุ มนุษยย์ อ่ มเป็น 2 สง่ิ ทค่ี กู่ นั
เปรยี บเสมอื น 2 ดา้ นของเหรยี ญเดยี วกนั หากปราศจากมนุษยย์ อ่ มไมบ่ งั เกดิ ความ
สรา้ งสรรคอ์ ยา่ งแน่นอน

แตเ่ รอ่ื งยงั ไมจ่ บเพยี งแคน่ นั้ ปัจจยั ทุนมนุษยเ์ พยี งอยา่ งเดยี วยงั ไมอ่ าจกอ่ ใหเ้ กดิ ความ
สรา้ งสรรคไ์ ด้ เชน่ มนุษยท์ ม่ี กี ารศกึ ษาไดร้ บั ประกาศนียบตั รหรอื ปรญิ ญาบตั รชนั้ สงู กม็ ไิ ด้
หมายความวา่ จะตอ้ งมคี วามสรา้ งสรรคเ์ สมอไป ในทางกลบั กนั หากมนุษยข์ าดความรแู้ ละ
ไมไ่ ดร้ บั การศกึ ษาทด่ี พี อ ความคดิ สรา้ งสรรคก์ ย็ ากทจ่ี ะผดุ บงั เกดิ ขน้ึ มา เน่ืองเพราะระบบ
การศกึ ษาทด่ี มี กั จะนํามาซง่ึ การพฒั นาภมู ปิ ัญญา และหากมนุษยข์ าดไรเ้ สยี ซง่ึ “ภมู ปิ ัญญา”
(Intellectual) กย็ อ่ มเป็นการยากทค่ี วามสรา้ งสรรคจ์ ะถกู พฒั นาขน้ึ มาได้ สงั คมใดทม่ี นุษย์
ขาดภมู ปิ ัญญา ไรซ้ ง่ึ สตปิ ัญญา ไมแ่ สวงหาและเคารพในความรู้ สงั คมนนั้ มกั จะเตม็ ไปดว้ ย
ความมดื บอด อวชิ ชา และมกั จะนําไปสกู่ ารทาํ ลายมากกวา่ ความคดิ รเิ รมิ่ สรา้ งสรรค์ ดว้ ยเหตุ
น้ี อาจจะกลา่ วไดว้ า่ ความสรา้ งสรรคจ์ ะเกดิ ขน้ึ กต็ อ่ เมอ่ื มนุษยม์ ี “ทุนทางปัญญา” (Intellectual
capital) – ซง่ึ อาจจะเป็นไดท้ งั้ ภมู ปิ ัญญาทต่ี นเอง/องคก์ ร/สงั คมสรา้ งสมขน้ึ มาหรอื เป็นภมู ิ
ปัญญาทเ่ี รยี นรหู้ ยบิ ฉวยมาจากผอู้ ่นื /องคก์ รอน่ื /สงั คมอน่ื – แลว้ มาผสมผสานเขา้ กบั คา่ นยิ ม
ความคดิ ของตนเอง จนเกดิ เป็นสง่ิ แปลกใหมข่ น้ึ มา

P a g e | 53

อยา่ งไรกต็ าม ความคดิ สรา้ งสรรคข์ องมนุษยอ์ นั เกดิ จากความผสมผสานทางความคดิ ของทนุ
ทางปัญญาชุดเดมิ ๆ จนเกดิ เป็นความแปลกใหมข่ น้ึ มานนั้ ความคดิ สรา้ งสรรคจ์ ะเกดิ ขน้ึ ได้
หรอื ไม่ จะเกดิ ขน้ึ ไดเ้ รว็ หรอื ชา้ มากหรอื น้อย สงู หรอื ต่าํ ยอ่ มขน้ึ อยกู่ บั ทุนอกี ประเภทหน่งึ ท่ี
เรยี กวา่ “ทนุ ทางโครงสรา้ ง” (Structural capital) ของสงั คมนนั้ ๆ ประเทศนนั้ ๆ หรอื องคก์ ร
นนั้ ๆ

ทนุ ทางโครงสรา้ ง – หรอื นกั วชิ าการบางทา่ นเรยี กวา่ “ทุนโครงสรา้ งพน้ื ฐาน”
(Infrastructure capital) คอื วธิ กี ารทป่ี ระเทศหรอื องคก์ รแหง่ นนั้ ใชใ้ นการบรหิ ารจดั การทุน
มนุษยแ์ ละทุนทางปัญญา โดยทวั่ ไปแลว้ ทนุ ทางโครงสรา้ งจะมคี วามกวา้ งครอบคลมุ
นบั ตงั้ แตน่ โยบายและแนวทางการสรรหา คดั เลอื ก วา่ จา้ ง ดแู ลรกั ษา ใหค้ ณุ ใหโ้ ทษ
ฝึกอบรมและพฒั นา ระบบการบรหิ ารสารสนเทศเพอ่ื การบรหิ าร ระบบการจดั การความรู้
รปู แบบความสมั พนั ธแ์ ละการทาํ งานรว่ มกนั ของคนในองคก์ ร รวมถงึ การบรหิ ารจดั การและ
การคมุ้ ครองทรพั ยส์ นิ ทางปัญญา เป็นตน้ องคก์ รทม่ี ที ุนทางโครงสรา้ งทด่ี จี ะเป็นองคก์ รท่ี
เปรยี บเสมอื น “ชมุ ชนทม่ี สี มั พนั ธภาพทด่ี ”ี (A community of relationships) ทซ่ี ง่ึ บคุ ลากร
(ทนุ มนุษย)์ อยภู่ ายใตส้ ภาพแวดลอ้ มและโครงสรา้ งทเ่ี ออ้ื ตอ่ การแปลงแนวความคดิ /ภมู ิ
ปัญญา (Intellectual capital) ใหก้ ลายเป็นผลงานทส่ี รา้ งสรรค์

กลา่ วโดยสรุป จกั รกลทส่ี าํ คญั สาํ หรบั การขบั เคล่อื นองคก์ รในยคุ เศรษฐกจิ สรา้ งสรรคจ์ ะตอ้ ง
ประกอบดว้ ยทนุ ทงั้ 4 ประการ ไดแ้ ก่ ทนุ มนุษย์ ทุนทางปัญญา ทุนเชงิ โครงสรา้ ง และทุน
ความสรา้ งสรรค์

คาํ ถามทน่ี ่าคดิ ตอ่ ไปคอื แลว้ ทนุ ความสรา้ งสรรคจ์ ะปรากฎออกมาในรปู แบบใดบา้ ง?

จากรายงาน The Economy of Culture in Europe จดั ทาํ โดย KEA
European affairs ได้ ศกึ ษาและสรปุ ถงึ “คณุ ลกั ษณะของความ
สรา้ งสรรค”์ ในดา้ นตา่ งๆของมนุษย์ โดยพบวา่ ความสรา้ งสรรคข์ อง
มนุษยส์ ามารถพบไดใ้ น 4 ลกั ษณะสาํ คญั ไดแ้ ก่

P a g e | 54

1) ความสรา้ งสรรคเ์ ชงิ ศลิ ปะ (Artistic creativity) หรอื อาจจะเรยี กวา่ เป็น “ความ
สรา้ งสรรคท์ างวฒั นธรรม” (Cultural creativity) ความสรา้ งสรรคด์ า้ นน้ขี องมนุษยจ์ ะ
เกย่ี วขอ้ งกบั ความสามารถของมนุษยใ์ นการคดิ ฝันจนิ ตนาการ (Imagination),
ความสามารถของมนุษยท์ จ่ี ะกอ่ ใหเ้ กดิ ความคดิ ทแ่ี ปลกๆใหมๆ่ ไมซ่ ้ํารอยเดมิ
(Generate original ideas), ความสามารถทม่ี นุษยจ์ ะตคี วามความเป็นไปของโลกได้
ดว้ ยมมุ มองวธิ คี ดิ แบบใหมๆ่ ทไ่ี มเ่ หมอื นกนั รวมทงั้ สามารถนําเสนอมมุ มองทแ่ี ปลก
ใหมเ่ หล่านนั้ ออกมาในรปู แบบตา่ งๆได้
อยา่ งหลากหลายทงั้ ในแงข่ องการ
นําเสนอออกมาในรปู ของตวั บทตวั อกั ษร
(Text) เชน่ บทความ วรรณกรรม กวี
นพิ นธ์ ฯลฯ หรอื ถา่ ยทอดออกมาเป็น
เสยี ง (Sound) เชน่ เสยี งดนตรี บทเพลง
ลาํ นํา บทสนทนา ฯลฯ และ การ
ถ่ายทอดออกมาเป็นรปู ภาพ (Image)
เชน่ ภาพวาด จติ รกรรม Animation
ภาพแกะสลกั ฯลฯ

2) ความสรา้ งสรรคท์ างวทิ ยาศาสตร์ (Scientific creativity) เป็นคณุ ลกั ษณะของมนุษย์
ในดา้ นของความอยากรอู้ ยากเหน็ (Curiosity) ความปรารถนาอยากทจ่ี ะลอง ทดลอง
ทดสอบ (A willingness to experiment) และ ความสามารถทจ่ี ะสรา้ งความเชอ่ื มโยง
แบบใหมๆ่ เพอ่ื การแกไ้ ขปัญหาทเ่ี กดิ ขน้ึ เชน่ การคดิ คน้ สตู รทางวทิ ยาศาสตร์
คณิตศาสตร์ โปรแกรมคอมพวิ เตอร์ รปู ทรงทางสถาปัตยกรรม เป็นตน้

3) ความสรา้ งสรรคท์ างเศรษฐกจิ (Economic creativity) ถอื เป็นกระบวนการทส่ี าํ คญั
และทรงพลงั ในสงั คมสมยั ใหม่ ดว้ ยความสรา้ งสรรคใ์ นการดาํ เนินธรุ กจิ การทาํ
การตลาดเชงิ รกุ การแขง่ ขนั กนั ในดา้ นการผลติ สนิ คา้ และบรกิ ารเพอ่ื ตอบสนองความ
ตอ้ งการของลกู คา้ การออกแบบผลติ ภณั ฑแ์ ละบรกิ ารทม่ี งุ่ ตอบโจทยเ์ ป้าประสงคท์ ่ี

P a g e | 55

หลากหลาย การสรา้ งสรรคธ์ รุ กจิ เพอ่ื สงั คมและสง่ิ แวดลอ้ ม ฯลฯ สง่ิ เหล่าน้ีลว้ น
ขบั เคล่อื นใหเ้ กดิ การคน้ คดิ นวตั กรรมใหมๆ่ อยตู่ ลอดเวลา

4) ความสรา้ งสรรคท์ างเทคโนโลยี (Technological innovation) เป็นผลรวมทเ่ี กดิ จาก
ความสรา้ งสรรคท์ งั้ 3 ประการขา้ งตน้ โดยพน้ื ฐานแลว้ เทคโนโลยคี อื สงิ่ ทม่ี นุษยส์ รา้ ง
และพฒั นาขน้ึ มาเพอ่ื ใชช้ ว่ ยในการดาํ รงชวี ติ การทาํ งานและการจดั การแกไ้ ขปัญหา
ต่างๆทม่ี นุษยต์ อ้ งเผชญิ ดงั นนั้ โดยพน้ื ฐานแลว้ มนุษยจ์ งึ เป็นสงิ่ มชี วี ติ ทม่ี คี วาม
สรา้ งสรรคท์ างเทคโนโลยี เมอ่ื ไรกต็ ามทส่ี งั คมมกี ารเปลย่ี นแปลงหรอื ประสบกบั
ปัญหา มนุษยก์ จ็ ะพฒั นาเทคโนโลยใี หมม่ าเพอ่ื ใชแ้ กไ้ ขปัญหาหรอื ชว่ ยในการ
ดาํ รงชวี ติ ใหส้ อดคลอ้ งกบั ความเป็นไปทางสงั คมนนั้

นอกจากแนวคดิ ทุนแหง่ ความสรา้ งสรรคข์ อง Howkins แลว้ อกี กระแสแนวคดิ หน่ึงทค่ี วรได้
กลา่ วอา้ งองิ ถงึ ไวใ้ นทน่ี ้ี กค็ อื แนวคดิ ทุนความสรา้ งสรรคจ์ ากรายงาน A Study on Creativity
Index ซง่ึ มี Desmond Hui แหง่ ศนู ยว์ จิ ยั นโยบายทางวฒั นธรรม มหาวทิ ยาลยั ฮอ่ งกงเป็น
หวั หน้าทมี วจิ ยั การศกึ ษาในรายงานน้ีมงุ่ ทจ่ี ะพฒั นา “ตวั ชว้ี ดั ความสรา้ งสรรค”์ (Creativity
index) ขน้ึ มา ดว้ ยความเชอ่ื ทว่ี า่ ความสรา้ งสรรคค์ อื เครอ่ื งมอื ทส่ี าํ คญั ทจ่ี ะนํามาซง่ึ ความ
จาํ เรญิ เตบิ โตทางเศรษฐกจิ

ความน่าสนใจสาํ หรบั รายงานฉบบั น้ีกค็ อื การมอง “ความสรา้ งสรรค”์ (Creativity) วา่ เป็น
กระบวนการทางสงั คมซง่ึ จะถกู กาํ หนด กาํ กบั
ปรบั รปู แบบอยา่ งตอ่ เน่ืองโดยคา่ นยิ ม, บรรทดั
ฐาน, การปฏบิ ตั ิ และปฏสิ มั พนั ธเ์ ชงิ โครงสรา้ ง
ของทนุ 4 ประเภท ไดแ้ ก่ 1) ทนุ มนุษย์ 2) ทนุ
ทางสงั คม 3) ทนุ ทางวฒั นธรรม และ 4) ทนุ
เชงิ โครงสรา้ งหรอื ทนุ เชงิ สถาบนั แนวคดิ น้ถี กู
กลา่ วขานในนามของ “ตวั แบบ 5ซ”ี (the 5Cs
model) นนั่ คอื หากทนุ ทงั้ 4 ประเภทดงั กล่าว

P a g e | 56

(ทนุ มนุษย,์ ทนุ ทางสงั คม, ทุนทางวฒั นธรรม, และทนุ เชงิ โครงสรา้ ง) ไดถ้ กู ขบั เคล่อื นให้
แสดงบทบาทหรอื กจิ กรรมทส่ี มั พนั ธเ์ ชอ่ื มโยงกนั อยา่ งสรา้ งสรรคซ์ ง่ึ Hui เรยี กวา่ “วงจรของ
กจิ กรรมอนั สรา้ งสรรค”์ (Cycle of creative activity) แลว้ ผลกระทบทเ่ี กดิ ขน้ึ ตามมากจ็ ะ
ก่อใหเ้ กดิ “ผลลพั ธข์ องความสรา้ งสรรค”์ (Outcomes of creativity)

หากพจิ ารณาในแงน่ ้ี ความสรา้ งสรรคจ์ งึ ไมไ่ ดเ้ ป็นเพยี งแค่ “ทนุ ” หรอื “เครอ่ื งมอื ” ของการ
พฒั นาเศรษฐกจิ เทา่ นนั้ แต่ความสรา้ งสรรคย์ งั เป็น “ผลลพั ธ”์ (Outcomes) อนั เน่ืองมาจาก
การผสมผสาน การปะทะสงั สรรคข์ องทุนทงั้ 4 ประเภท กล่าวไดว้ า่ สงั คมใด/องคก์ รใดมกี าร
บรหิ ารจดั การใหท้ ุนทงั้ 4 ประเภทนนั้ ไดม้ าเชอ่ื มโยง บรู ณาการ สงั เคราะหก์ นั อยา่ งลงตวั ก็
จะนําไปสกู่ ารเปลย่ี นรปู แปลงโฉมเป็น “ความสรา้ งสรรคท์ ม่ี คี ณุ คา่ ” ซง่ึ นนั่ กค็ อื การกอ่ ใหเ้ กดิ
ผลลพั ธค์ วามสรา้ งสรรคข์ องสงั คม/องคก์ ารนนั้ ในทส่ี ดุ

ขอ้ น่าสงั เกตอกี ประการหน่ึงสาํ หรบั กลมุ่ นกั คดิ ทใ่ี หค้ วามสาํ คญั กบั การขบั เคลอ่ื นเศรษฐกจิ
เชงิ สรา้ งสรรค์ (Creative economy) โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ทป่ี รากฏในกลุ่มประเทศในสหภาพ
ยโุ รป ไมว่ า่ จะเป็น องั กฤษ ฝรงั่ เศส หรอื แมแ้ ตใ่ นหลายประเทศในเอเชยี เชน่ ญป่ี ่นุ เกาหลี
ใต้ หรอื ฮอ่ งกง นกั คดิ และนกั กาํ หนดนโยบายในประเทศเหลา่ น้ีมกั ใหค้ วามสาํ คญั กบั “ทนุ
ทางวฒั นธรรม” (Cultural capital) เป็นพเิ ศษ

ผเู้ ขยี นจะไดก้ ลา่ วถงึ ปรากฏการณ์การเชน่ น้ีและโดยเฉพาะอยา่ งแนวคดิ เกย่ี วกบั “ทุนทาง
วฒั นธรรม” ในโอกาสตอ่ ไป

เอกสารประกอบ

Centre for Cultural Policy Research, The University of Hong Kong (2005) A Study
on Creativity Index 2005. Home Affairs Bureau, the Hong Kong Special
Administrative Region Government.

Howkins, John. (2001) The Creative Economy: How People Make Money From
Ideas. Penguin books.

P a g e | 57

KEA European affairs (2006) The Economy of Culture in Europe. Study prepared
for Europe Commission.

P a g e | 58

-9-
ปัจจยั ขบั เคล่ือนเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์
ริชารด์ ฟลอริด้ากบั ตวั แบบ “สามที” (3T)

ในบทความ 2 บททแ่ี ลว้ ผเู้ ขยี นไดเ้ ขยี นถงึ ทุนแหง่ ความสรา้ งสรรคไ์ ว้ โดยศกึ ษาจากงาน

เขยี นและรายงานการศกึ ษาตา่ งๆของบรรดานกั คดิ นกั เขยี นทส่ี นใจในเรอ่ื ง Creative

Economy ซง่ึ ตา่ งกก็ ล่าวในลกั ษณะทค่ี ลา้ ยคลงึ รว่ มกนั วา่ ในโลกของเศรษฐกจิ สงั คมยคุ

สมยั ใหม่ ทนุ ทม่ี คี วามสาํ คญั อยา่ งยงิ่ ยวดกค็ อื “ทนุ แหง่ ความสรา้ งสรรค”์ ของสงั คมนนั้ ๆ

ในคราวน้ี ผเู้ ขยี นขอกลา่ วถงึ เรอ่ื งน้ี แตจ่ ากมมุ มองของนกั คดิ นกั เขยี นคนสาํ คญั อกี ทา่ นหน่งึ
ซง่ึ ผเู้ ขยี นเอ่ยถงึ ชอ่ื ของทา่ นบอ่ ยมากและขอยกใหท้ า่ นเป็นนกั คดิ เรอ่ื งเศรษฐกจิ เชงิ
สรา้ งสรรคใ์ นระดบั “ตวั พอ่ ” ของวงการเลย นนั่ กค็ อื ศาสตราจารยร์ ิชารด์ ฟลอริด้า
(Richard Florida) ผทู้ ผ่ี เู้ ขยี นกลา้ กล่าวฟันธงไดเ้ ลยวา่ งานเขยี นเรอ่ื งเศรษฐกจิ เชงิ สรา้ งสรรค์
เล่มใดทไ่ี มก่ ล่าวอา้ งองิ ถงึ แนวคดิ ทฤษฎขี องนกั คดิ นกั เขยี นท่านน้ี ผเู้ ขยี นถอื วา่ งานเขยี นเลม่
นนั้ ยงั ไมเ่ สรจ็ สมบรู ณ์หรอื ผเู้ ขยี นยงั ไมม่ คี วามรทู้ แ่ี ทจ้ รงิ

โดยกรอบทางวชิ าการดงั้ เดมิ ศาสตราจารยร์ ชิ ารด์ ฟลอรดิ า้ ถกู จดั ให้
เป็นนกั เศรษฐศาสตร์ แต่เมอ่ื ทา่ นนําเสนอแนวคดิ เรอ่ื ง “ชนชนั้
สรา้ งสรรค”์ (Creative class) ปรากฎวา่ แนวคดิ น้ขี องทา่ นไปซอ้ นทบั
เขา้ กบั ระเบยี บวชิ าการดา้ น “สงั คมวทิ ยา” (Sociology) ดงั นนั้ จงึ มผี ู้
จดั ใหท้ า่ นเป็น “นกั เศรษฐศาสตรส์ งั คม” ไมว่ า่ จะเรยี กหรอื ขนานนาม
ใหท้ า่ นเป็น “นกั ” อะไรกต็ าม แต่ดเู หมอื นแนวคดิ ทเ่ี ป็นฐานคดิ สาํ คญั
ของทา่ นผนู้ ้ีกค็ อื การพฒั นาเศรษฐกจิ ใหเ้ กดิ ความจาํ เรญิ เตบิ โตอยา่ งยงั่ ยนื

P a g e | 59

ศาสตราจารยร์ ชิ ารด์ ฟลอรดิ า้ เคยกล่าวไวใ้ นหนงั สอื The Flight of Creative Class (2007)1

วา่ คาํ ถามทส่ี าํ คญั ทท่ี า่ นสนใจมาโดยตลอดกค็ อื “เราจะสามารถบรหิ ารจดั การความ

สรา้ งสรรคเ์ พอ่ื ใหเ้ กดิ การพฒั นาเศรษฐกจิ อยา่ งยงั่ ยนื ไดอ้ ยา่ งไร?” “อะไรคอื พลงั ขบั เคลอ่ื น

ความจาํ เรญิ เตบิ โตทางเศรษฐกจิ ?” “เราควรจะตอ้ งทาํ อะไรเพอ่ื ทส่ี รา้ งหลกั ประกนั ความ

มนั่ ใจวา่ สงั คมของเราจะเจรญิ รดุ หน้าตอ่ ไปในอนาคต ทศวรรษหน้า...ศตวรรษหน้า?”

จากการทาํ การศกึ ษาวจิ ยั มาหลายปี ศาสตราจารยร์ ชิ ารด์ ฟลอรดิ า้ ไดต้ กผลกึ ทางความคดิ
แลว้ พฒั นาเป็นตวั แบบหรอื สตู รสาํ เรจ็ ขน้ึ มาวา่ ตวั แบบสามที (“3Ts”) ของการพฒั นา
เศรษฐกจิ อนั ไดแ้ ก่ Technology, Talent, และ Tolerance

ปัจจยั แรก “เทคโนโลยี” (Technology) เป็นปัจจยั ทส่ี าํ คญั มากของเศรษฐกจิ สรา้ งสรรค์

ศาสตราจารยร์ ชิ ารด์ ฟลอรดิ า้ กลา่ วถงึ นกั คดิ หลายคนโดยเฉพาะ Robert Solow2 จาก MIT

ผไู้ ดร้ บั รางวลั โนเบลสาขาเศรษฐศาสตรเ์ มอ่ื ปี ค.ศ.1987 เป็นผหู้ น่ึงทท่ี ุม่ เททาํ การศกึ ษา

ปัจจยั ทก่ี ่อใหเ้ กดิ การพฒั นา จนในทส่ี ดุ พบวา่ ปัจจยั ดา้ น “เทคโนโลย”ี คอื พลงั ขบั เคลอ่ื นท่ี

สาํ คญั ต่อการจาํ เรญิ

เตบิ โตทางเศรษฐกจิ

ในขณะท่ี นกั

เศรษฐศาสตรช์ าว

อเมรกิ นั แหง่ Stanford

University อกี ทา่ นหน่ึง

คอื Paul Romer

นําเสนอแนวคดิ ทว่ี า่ การ

เตบิ โตทางเศรษฐกจิ

เป็นกระบวนการภายใน

(Endogenous

process) ทอ่ี ยบู่ นพน้ื ฐานของการสงั ่ สม (Accumulation) และการใช้ (Exploitation) ความรู้

P a g e | 60

ของมนุษยอ์ ยา่ งตอ่ เน่ือง การสรา้ งสมและประยกุ ตใ์ ชค้ วามรอู้ ยา่ งต่อเน่ืองเมอ่ื มาถงึ จดุ หน่ึงจะ
เกดิ พฒั นาการของแนวความคดิ ใหมๆ่ สตู รสาํ เรจ็ แบบใหมๆ่ รวมทงั้ เกดิ การพฒั นา
เทคโนโลยแี บบใหมๆ่ ดงั นนั้ หากสงั คมใดมกี จิ กรรมของมนุษยใ์ นทางสรา้ งสรรคอ์ ยา่ ง
ต่อเน่ือง เชน่ มกี ารวจิ ยั และพฒั นาอยา่ งสม่าํ เสมอ กจ็ ะมโี อกาสทจ่ี ะคน้ พบสตู รสาํ เรจ็ ใหม่
อยา่ งต่อเน่ืองเชน่ กนั

ปัจจยั ทส่ี อง “ความสามารถ” (Talent) นกั เศรษฐศาสตรช์ นั้ นําเชน่ โรเบริ ต์ ลกู สั (Robert
Lucas)23 ผไู้ ดร้ บั รางวลั โนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ (ปี ค.ศ. 1995) อกี ทา่ นหน่งึ ชใ้ี หเ้ หน็ วา่
ความจาํ เรญิ เตบิ โตทางเศรษฐกจิ เป็นผลพวงมาจากทุนมนุษย์ เชน่ เดยี วกบั เอ๊ดเวริ ด์ เกร
เซอร์ (Edward Glaeser)34 จากมหาวทิ ยาลยั ฮารว์ ารด์ กไ็ ดแ้ สดงทศั นะอยา่ งมนั่ ใจวา่ ยงิ่ สงั คม
ทเ่ี ป็นเมอื งมากขน้ึ เทา่ ใดและยงิ่ พน้ื ทใ่ี ดมคี วามหนาแน่นของเมอื งมากขน้ึ เทา่ ใดกจ็ ะยงิ่ เป็น
ทๆ่ี มคี วามไดเ้ ปรยี บในเชงิ ผลติ ภาพ (Productivity advantage) มากขน้ึ เทา่ นนั้ นนั่ เป็น
เพราะพน้ื ทน่ี นั้ สามารถทจ่ี ะไดป้ ระโยชน์จากเศรษฐกจิ ของการผสมผสานพลงั งานความ
สรา้ งสรรคข์ องมนุษย์ (Economies of people’s creative energy) ลกู สั อา้ งถงึ แนวคดิ เมอื งท่ี
ขยายตวั ดว้ ยทุนมนุษย์ (the human capital-augmenting functions of cities) ของเจน เจ
คอบส์ (Jane Jacobs) นกั คดิ นกั เขยี นและนกั กจิ กรรมชาวอเมรกิ นั ทล่ี กู สั ยกยอ่ งแนวคดิ ของ
เธออยา่ งมากวา่ เป็นผทู้ ส่ี มควรไดร้ บั รางวลั โนเบลสาขาเศรษฐศาสตรจ์ ากแนวคดิ Jane
Jacobs’ externalities ในหนงั สอื The Economy of Cities อนั เป็นแนวคดิ ทเ่ี ชอ่ื มนั่ วา่ เมอื งท่ี
พฒั นากา้ วหน้านนั้ มกั จะเป็นเมอื งทอ่ี ดุ มไปดว้ ยทนุ มนุษยท์ ม่ี คี วามหลากหลายทงั้ ดา้ น
ความสามารถและความเชย่ี วชาญหลงั ่ ไหลจากภายนอกเขา้ มาสเู่ มอื งแหง่ นนั้ สาํ หรบั แนวคดิ
น้ีเชอ่ื วา่ เป็นบทบาทหน้าทข่ี องเมอื งทจ่ี ะตอ้ งนําพาทุนมนุษยเ์ ขา้ มาและเพม่ิ พนู ทุนมนุษย์
และเน่ืองจากสถานทใ่ี ดกต็ ามทม่ี ที ุนมนุษยม์ ากกวา่ กย็ อ่ มจะเตบิ โตไดเ้ รว็ กวา่ ทท่ี ม่ี ที นุ มนุษย์
น้อยกวา่ การเตบิ โตของเมอื ง (Urbanization) และความหนาแน่นของเมอื งจงึ เป็นปัจจยั
สาํ คญั ของการเกดิ นวตั กรรมและการเพม่ิ ผลติ ภาพ อยา่ งไรกต็ าม ตอ้ งยา้ํ เน้นอกี ครงั้ วา่ การ
วดั เรอ่ื งของความสามารถน้ีจะตอ้ งวดั จาก “อาชพี ทส่ี รา้ งสรรค”์ (Creative occupations)

P a g e | 61

มากกวา่ การวดั ทุนมนุษยจ์ าก “การศกึ ษา” แบบเดมิ ๆ นนั่ เพราะเรามงุ่ เน้นทส่ี ง่ิ ทค่ี น “ทาํ
จรงิ ๆ” มากกวา่ “ความสาํ เรจ็ จากการศกึ ษาในอดตี ”

ปัจจยั ทส่ี าม คอื “ขนั ติธรรม” (Tolerance) ในขณะทเ่ี มอ่ื นกั เศรษฐศาสตรม์ องเทคโนโลยแี ละ
ความสามารถวา่ เป็นตวั ขบั เคล่อื นสาํ คญั ของการเตบิ โตทางเศรษฐกจิ พวกเขามกั จะคดิ ถงึ สงิ่
เหล่าน้ีไปในทาํ นองเดยี วกนั กบั เวลาทเ่ี ขาคดิ ถงึ ปัจจยั การผลติ แบบเดมิ ๆ เชน่ วตั ถุดบิ นนั่
คอื พวกเขามกั จะมองวา่ มนั เป็นเสมอื นองคป์ ระกอบของของสง่ิ หน่ึง (Constituting a stock)
ตามทศั นะเชน่ น้ี สถานทต่ี ่างๆจะประกอบไปดว้ ยชดุ ของเทคโนโลยแี ละความสามารถชดุ หน่ึง
และชุดขององคป์ ระกอบชุดน้ีจะก่อใหเ้ กดิ อตั ราการเกดิ นวตั กรรมและการเตบิ โตทาง
เศรษฐกจิ ทแ่ี ตกตา่ งกนั แต่ทวา่ ทรพั ยากรอยา่ งเทคโนโลยี ความรแู้ ละทนุ มนุษย์ มลี กั ษณะ
พน้ื ฐานทแ่ี ตกตา่ งไปจากปัจจยั การผลติ แบบเดมิ ๆอยา่ งเชน่ ทด่ี นิ หรอื วตั ถุดบิ เพราะ
ทรพั ยากรแบบใหมน่ ้ีไมใ่ ชเ่ ป็นชุดของวสั ดุ (Stocks) แตม่ นั เป็นเสมอื น “กระแส” (Flows)
มนุษยม์ ใิ ชส่ ง่ิ มชี วี ติ ทจ่ี ะยดึ ตดิ อยกู่ บั สถานทใ่ี ดสถานทห่ี น่ึงตลอดไป พวกเขาสามารถ
เคล่อื นทไ่ี ปไดอ้ ยตู่ ลอดเวลา เทคโนโลยแี ละความสามารถกเ็ ชน่ เดยี วกนั เป็นสงิ่ ทม่ี นุษย์
สามารถนําพามนั เคลอ่ื นทไ่ี ปดว้ ย ดงั นนั้ ปัจจยั 3Ts น้ีจงึ เป็น “ปัจจยั เคลอ่ื นท”่ี (Mobile
factors) และมนั พรอ้ มทจ่ี ะเคลอ่ื นทจ่ี ากทห่ี น่งึ ไปยงั สอู่ กี ทห่ี น่ึงไดเ้ สมอ

กญุ แจสาํ คญั จงึ อยทู่ ก่ี ารทต่ี อ้ งทาํ ความเขา้ ใจวา่ “ทาํ ไมพน้ื ทบ่ี างพน้ื ท่ี เมอื งบางเมอื งจงึ มี
ความโดดเดน่ เหนอื กวา่ ทอ่ี น่ื ๆในการทจ่ี ะสรา้ ง ดงึ ดดู และรกั ษาปัจจยั การผลติ ทส่ี าํ คญั
เหลา่ น้ไี วไ้ ด?้ ” คาํ ตอบท่ี ศาสตราจารยร์ ชิ ารด์ ฟลอรดิ า้ เชอ่ื กค็ อื พน้ื ทน่ี นั้ ๆ มกั มลี กั ษณะท่ี
“เปิดกวา้ ง หลากหลาย และมขี นั ตธิ รรม” (Openness, diversity and tolerance)

คาํ วา่ “ขนั ตธิ รรม” น้ี ศาสตราจารยร์ ชิ ารด์ ฟลอรดิ า้ มไิ ดห้ มายถงึ เพยี งแคเ่ รอ่ื งของ “การ
ยอมรบั ในความแตกต่างหลากหลายของคน” (แมว้ า่ น่ีจะเป็นจดุ เรมิ่ ตน้ ทส่ี าํ คญั ) แตส่ งั คมท่ี
ประสบความสาํ เรจ็ อยา่ งแทจ้ รงิ จะตอ้ งขจดั สงิ่ ทข่ี ดั ขวางต่อการเป็นสงั คมเปิดกวา้ งและ
เปิดรบั ความแตกต่าง (Inclusive) และเป็นทท่ี ซ่ี ง่ึ กระตอื รอื รน้ ทจ่ี ะขบั เคลอ่ื นเอา
ความสามารถทส่ี รา้ งสรรคข์ องคนออกมา ดงั นนั้ สงั คมเชน่ น้จี งึ มใิ ชแ่ คม่ ขี นั ตอิ ดทนยอมรบั ตอ่

P a g e | 62

ความแตกตา่ งหลากหลายเทา่ นนั้ แต่ตอ้ ง “เปิดรบั ขบั เคล่อื นเชงิ รกุ ” (Proactively inclusive)
นนั่ คอื ตอ้ งสง่ เสรมิ ใหเ้ กดิ ความแตกต่างหลากหลาย

ศาสตราจารยร์ ชิ ารด์ ฟลอรดิ า้ ทาํ การศกึ ษาวจิ ยั พบวา่ มสี หสมั พนั ธห์ รอื ความเกย่ี วเน่ือง
สมั พนั ธก์ นั อยา่ งมากระหวา่ งปัจจยั “สถานทท่ี เ่ี ปิดกวา้ งต่อผอู้ พยพ ศลิ ปิน เกย์ โบฮเี มย่ี น
และคนหลายเชอ้ื ชาติ สภาพทางสงั คมเศรษฐกจิ ทแ่ี ตกต่างกนั ” กบั “สถานทท่ี ม่ี คี วามจาํ เรญิ
เตบิ โตทางเศรษฐกจิ ในระดบั สงู ” ผลการศกึ ษาน้ีชใ้ี หเ้ หน็ วา่ พน้ื ทใ่ี ดยง่ิ มกี ารเปิดกวา้ งตอ่
ความแตกตา่ งหลากหลาย ยง่ิ มคี วามเจรญิ เตบิ โตทางเศรษฐกจิ ในระดบั สงู เขาพบวา่ สถานท่ี
เชน่ นนั้ มกั จะไดป้ ระโยชน์จากความไดเ้ ปรยี บทางเศรษฐกจิ ทงั้ ในแงข่ องการไดย้ ดึ กุมขดี
ความสามารถอนั สรา้ งสรรคข์ องกลุ่มคนทม่ี คี วามหลากหลายกวา้ งขวาง และยงั ไดย้ ดึ กมุ สว่ น
แบ่งของ “กระแส” น้ดี ว้ ย

ขอ้ คน้ พบเกย่ี วกบั ความหลากหลายกบั การเตบิ โตทางเศรษฐกจิ น้ี ยงั ยนื ยนั อยใู่ นงาน

ศกึ ษาวจิ ยั ชน้ิ อ่นื ๆ เชน่ Meric Gertler and Tara Vinodrai นกั วจิ ยั แหง่ มหาวทิ ยาลยั โตรอน

โต (Toronto University) ทาํ การศกึ ษารว่ มกบั Gary Gates และ Richard Florida พบว่า

ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งคนเชอ้ื สายโบฮเี มยี นกบั การเตบิ โตดา้ นเทคโนโลยชี นั้ สงู มไิ ดเ้ พยี งแคม่ ี

ความสมั พนั ธต์ ่อกนั เทา่ นนั้ แต่ยงั มคี วามสมั พนั ธอ์ ยา่ งมากโดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ ในพน้ื ทข่ี อง

ประเทศแคนาดา การวจิ ยั ของหน่วยงานถงั ความคดิ ดา้ นเศรษฐกจิ ของออสเตรเลยี

(Australian think tank National Economies) พบวา่ ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งเกย,์ โบฮเี มยี น.

และ การเตบิ โตทางเทคโนโลยี มนี ยั สาํ คญั อยา่ งมาก ในการศกึ ษาเปรยี บเทยี บพน้ื ทต่ี า่ งๆ

และศนู ยก์ ลางของเมอื งต่างๆในประเทศออสเตรเลยี

Gianmarco Ottaviano แหง่ มหาวทิ ยาลยั Bologna และ Giovanni Peri แหง่ มหาวทิ ยาลยั
California at Davis5 ไดท้ าํ การวจิ ยั ทางเศรษฐมติ อิ ยา่ งละเอยี ด แลว้ ไดผ้ ลในเชงิ ยนื ยนั ถงึ
ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งความหลากหลายทางชาตพิ นั ธุ์ (Ethnic) และวฒั นธรรม กบั ความ
เตบิ โตทางเศรษฐกจิ ในพน้ื ทต่ี ่างๆในสหรฐั อเมรกิ า นกั วชิ าการทงั้ 2 ทา่ นเขยี นไวอ้ ยา่ ง
น่าสนใจวา่

P a g e | 63

“ยง่ิ สภาพแวดลอ้ มเมอื งมคี วามหลากหลายทางวฒั นธรรมมากเพยี งใด กจ็ ะยง่ิ
ทาํ ใหพ้ ลเมอื งทเ่ี กดิ ในสหรฐั อเมรกิ ามผี ลติ ภาพมากเทา่ นนั้ ”

นกั วชิ าการทงั้ สองยงั ไดน้ ําเสนอเหตุผล 2 ประการของขอ้ คน้ พบนนั้ ไดแ้ ก่

ประการแรก ผอู้ พยพทอ่ี พยพเขา้ มามกั จะมที กั ษะบางอยา่ งซง่ึ ชดเชยหรอื เสรมิ เตมิ เตม็ ทกั ษะ
ของคนทเ่ี กดิ ในสหรฐั อเมรกิ า

“แมก้ ระทงั่ ในผทู้ ม่ี กี ารศกึ ษาระดบั เดยี วกนั ทกั ษะในการแกป้ ัญหา, ความคดิ
สรา้ งสรรค์ และความสามารถในการปรบั ตวั อาจจะมคี วามแตกตา่ งกนั ระหวา่ ง
ชาวพน้ื เมอื งกบั คนงานทเ่ี กดิ จากต่างประเทศ ดงั นนั้ การเรยี นรรู้ ะหวา่ งกนั จงึ
อาจเกดิ ขน้ึ มาได”้

สง่ิ เหล่าน้ีสง่ ผลกระทบในทางบวกตอ่ อุตสาหกรรมไฮเทคและอตุ สาหกรรมเชงิ สรา้ งสรรค์

ประการทสี่ อง คนงานทเ่ี กดิ ในต่างประเทศอาจจะใหบ้ รกิ ารบางอยา่ งทท่ี รงคณุ คา่ ซง่ึ ไม่
สามารถหาไดจ้ ากคนงานชาวอเมรกิ นั

“สไตลสิ ตช์ าวอติ าเลยี น พอ่ ครวั ชาวเม๊กซโิ ก และนกั เตน้ ราํ ชาวรสั เซยี ได้
ใหบ้ รกิ ารทแ่ี ตกตา่ งไปจากชาวอเมรกิ นั ทป่ี ระกอบอาชพี เดยี วกนั น้ี”

และ อาจจะดว้ ยเหตุผลของการไดล้ ม้ิ รสอยา่ งความหลากหลาย จงึ อาจจะทาํ ใหช้ ว่ ยเพมิ่ พนู
มลู คา่ ของการผลติ โดยรวม ในโลกทม่ี คี วามเป็นโลกาภวิ ฒั น์มากขน้ึ เรอ่ื ยๆ คนแตล่ ะคนคอื ผู้
นําพามาซง่ึ ชดุ ของทกั ษะทโ่ี ดดเดน่ แตกต่างออกไปมาประชนั กนั ผลลพั ธก์ ค็ อื ศกั ยภาพของ
ความเจรญิ รงุ่ เรอื งของยคุ น้ีจงึ มอี ยา่ งมหาศาลมาก แต่มนั จะไมอ่ าจเป็นจรงิ ไดเ้ ลย จนกวา่ เรา
จะตระหนกั ถงึ ขอ้ เทจ็ จรงิ วา่ มนุษยท์ กุ คน แต่ละคนคอื แหล่งของพลงั แหง่ ความสรา้ งสรรคซ์ ง่ึ
สามารถนํามาซง่ึ ความจาํ เรญิ เตบิ โตทางเศรษฐกจิ และการเพม่ิ มาตรฐานการดาํ รงชพี

อกี เหตผุ ลหน่งึ ทก่ี ารเปิดกวา้ งและความขนั ตธิ รรมเป็นตวั กอ่ ใหเ้ กดิ นวตั กรรมและ
ความกา้ วหน้าทางเศรษฐกจิ ตามกฎทางฟิสกิ สแ์ ละเศรษฐศาสตรแ์ นวผลประโยชน์สว่ นตวั

P a g e | 64

(Self-interested economics) เชอ่ื วา่ สงั คม “วตั ถุนิยม” (Materialist) แบบเดมิ จะถกู จดั การใน
รปู ของการแลกกนั แบบฐานศนู ย์ (Zero-sum trade-offs) นนั่ คอื ถา้ คณุ จะไดอ้ ะไรบางสงิ่
บางอยา่ งทค่ี ณุ ไมม่ อี ยู่ คณุ กจ็ ะตอ้ งแลกโดยการใหบ้ างสงิ่ บางอยา่ งไป ไมว่ า่ จะอยใู่ นรปู ของ
เงนิ วตั ถุดบิ หรอื ผลติ ภณั ฑอ์ ตุ สาหกรรม ดงั นนั้ หากใครหรอื สงั คมใดชนะ อกี ฝ่ายคอื ฝ่าย
พา่ ยแพส้ ญู เสยี เน่ืองจากเศรษฐศาสตรแ์ นววตั ถุนยิ มมแี นวคดิ พน้ื ฐานอยบู่ นวตั ถุ คนใน
สงั คมเชน่ น้มี กั จะคนุ้ เคยกบั การประพฤตปิ ฎบิ ตั ทิ ว่ี า่ การมปี ฏสิ มั พนั ธก์ นั โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ
กบั คนแปลกหน้า จะตอ้ งเป็นการแลกเปลย่ี นแบบเกมฐานศนู ย์ (Zero-sum trade-offs)
(หลกั การงา่ ยๆกค็ อื “ถา้ ฉนั ใหเ้ ธอไปเทา่ ใด เธอกจ็ ะตอ้ งตอบแทนใหฉ้ นั ในมลู คา่ ทเ่ี ทา่ เทยี ม
กนั ดงั นนั้ ในกรณีทฉ่ี นั คาดวา่ ถา้ ฉนั ใหไ้ ปแลว้ คงยากทเ่ี ธอจะตอบแทนกลบั มาใหฉ้ นั ได้ ฉนั
กจ็ ะไมเ่ สย่ี งใหเ้ ธอไปหรอก) ธรรมเนียมปฏบิ ตั แิ ละคา่ นิยมของสงั คมเหลา่ น้ีไดก้ ลายเป็น
ภาพสะทอ้ นความเป็นจรงิ ทางเศรษฐกจิ ของทกุ วนั น้ี โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ การไมส่ ง่ เสรมิ ใหม้ ี
การเคล่อื นยา้ ยทางสงั คมและการเน้นถงึ เรอ่ื งของเสยี รภาพความมนั่ คง (Stability) และการ
รกั ษาสถานภาพ (Status quo) สง่ิ น้ีแลทเ่ี ป็นตวั ชะลอความกา้ วหน้าทางสงั คมและยงั ทาํ ให้
เป็นอปุ สรรคตอ่ การเจรญิ เตบิ โตทางเศรษฐกจิ ดว้ ย

เศรษฐกจิ แบบสรา้ งสรรคจ์ ะตอ้ งขจดั อปุ สรรคเชงิ วตั ถุเชน่ น้ี แลว้ ใหค้ วามสาํ คญั กบั วฒั นธรรม
ทโ่ี รนอลด์ องิ เกล้ิ ฮารต์ (Ronald Inglehart) นกั รฐั ศาสตรแ์ หง่ มหาวทิ ยาลยั มชิ แิ กนเรยี กวา่
วฒั นธรรม “หลงั วตั ถุนิยม” (Postmaterialist culture)56 สงั คมแบบน้จี ะเป็นสงั คมเปิด ทซ่ี ง่ึ
วตั ถุดบิ มคี า่ น้อยกวา่ ความคดิ สรา้ งสรรคท์ ส่ี ามารถสรา้ งมลู คา่ เพม่ิ ทางเศรษฐกจิ สงั คมแบบน้ี
ความรจู้ ะเป็นสง่ิ ทไ่ี มส่ ามารถมสี งิ่ ใดมาเทยี บเทยี มได้ (Nonrival) และเป็นสง่ิ ทค่ี นจาก
หลากหลายทส่ี ามารถเอาความรเู้ หล่าน้ีมาใชค้ รงั้ แลว้ ครงั้ เล่าและกอ่ ใหเ้ กดิ ความรใู้ หมห่ รอื สง่ิ
ใหมๆ่ เกดิ ขน้ึ

ในทส่ี ดุ แลว้ ยงิ่ ทใ่ี ดมแี นวคดิ แบบหลงั วตั ถุนิยม มขี นั ตธิ รรม และมกี ารยอมรบั แนวคดิ ใหมๆ่
มากเพยี งใด กย็ งิ่ มแี นวโน้มทค่ี วามเจรญิ เตบิ โตทางเศรษฐกจิ มากเพยี งนนั้ ยง่ิ ทแ่ี หง่ ใดมที นุ
ทางสงั คมแบบหลงั วตั ถนุ ยิ ม ทซ่ี ง่ึ คนในสงั คมพรอ้ มทจ่ี ะสาํ แดงทศั นะความคดิ เหน็ และมี
แนวคดิ ใหมๆ่ ทแ่ี หง่ นนั้ ยอ่ มมโี อกาสทจ่ี ะไดเ้ ปรยี บในเชงิ ความรสู้ าธารณะ (Public good

P a g e | 65

nature of knowledge) มากกวา่ ทอ่ี น่ื ๆ แตห่ ากทใ่ี ดยงั มลี กั ษณะทางสงั คมแบบวตั ถุนิยม
(Materialist places) ทน่ี นั่ มกั เป็นสงั คมแบบปิด ไมส่ นใจใยดตี อ่ แนวคดิ ใหมๆ่ ไมใ่ สใ่ จตอ่ การ
แลกเปลย่ี นทศั นะความคดิ เหน็ หรอื หากจะสดุ โตง่ ไปเลยกค็ อื เป็นปฏปิ ักษ์กบั ความคดิ ใหมๆ่
สงั คมแหง่ นนั้ กย็ อ่ มมอี ุปสรรคอยา่ งยงิ่ ตอ่ ความเจรญิ เตบิ โตทางเศรษฐกจิ

น่คี อื เหตผุ ลสาํ คญั ของการทจ่ี ะตอ้ งมปี ัจจยั ดา้ น “ขนั ตธิ รรม” เป็นองคป์ ระกอบสาํ คญั ประการ
หน่ึงทอ่ี ยใู่ น 3Ts ของการเตบิ โตทางเศรษฐกจิ

1 Florida, Richard (2007) The Flight of Creative Class: The New Global Competition for
Talent. HarperCollins.

2 งานเขยี นชน้ิ สาํ คญั ของทา่ นคอื Solow, R. (1956) "A Contribution to the Theory of Economic
Growth," Quarterly Journal of Economics 70(1): 65–94. ตวั แบบความจาํ เรญิ เตบิ โตทางเศรษฐกจิ
ทโ่ี ดง่ ดงั ของทา่ ถูกเรยี กวา่ “ตวั แบบthe Solow-Swan neo-classical growth model” เน่อื งจากเป็นตวั
แบบทค่ี น้ ควา้ และคน้ พบโดย Robert Solow และ Trevor W. Swan ตพี มิ พเ์ ผยแพรเ่ มอ่ื ปี ค.ศ. 1956
ชใ้ี หเ้ หน็ วา่ ปัจจยั ทเ่ี ป็นตวั กาํ หนดความเตบิ โตทางเศรษฐกจิ นนั้ สามารถจาํ แนกได้ 2 ปจจยั หลกั ไดแ้ ก่ 1)
การเพมิ่ ขน้ึ ของปัจจยั นําเขา้ (ไดแ้ กท่ นุ และแรงงาน) และ 2) ปัจจยั ความกา้ วหน้าทางเทคนิค ทา่ น
Solow ใชต้ วั แบบของทา่ นคาํ นวณพบวา่ 4 ใน 5 ของการเตบิ โตเพมิ่ ขน้ึ ของผลผลติ ต่อคนงานอเมรกิ นั
นนั้ เป็นผลมาจากความกา้ วหน้าทางเทคนิคเป็นสาํ คญั

3 Lucas, Robert (1988) "On the Mechanics of Economic Development," Journal of Monetary
Economics. 22: 3–42.

4 งานเขยี นชน้ิ ทน่ี ่าสนใจไดแ้ ก่ Glaeser, Edward L. and Saiz, Albert (2003) "The Rise of the Skilled
City," Harvard Institute of Economic Research Working Papers 2025, Harvard - Institute of
Economic Research.

P a g e | 66

5 Ottaviano, Gianmarco and Peri, Giovanni (2006) "The economic value of cultural diversity:
evidence from US cities," Journal of Economic Geography, Oxford University Press, 6(1), 9-
44.
6 อา่ นแนวคดิ น้ีไดใ้ น Inglehart, Ronald (1971) “The Silent Revolution in Post-Industrial Societies,”
American Political Science Review. 65: 991-1017.

P a g e | 67

- 10 -

ญ่ีป่ นุ : เศรษฐกิจสร้างสรรค์ คนสรา้ งสรรค์ เมอื งสรา้ งสรรค0์1

1. ม่งุ ส่กู ารเป็นผนู้ ําด้วยเอกลกั ษณ์ทางวฒั นธรรม

ประเทศญป่ี ุ่นคอื ตวั อยา่ งของประเทศชนั้ นําในเอเชยี ชาตหิ น่ึงทเ่ี อา
จรงิ เอาจงั กับการพัฒนาเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ Ken-ichi IMAI
ประธานบอร์ดแห่ง Stanford Japan Center กล่าวถึงสง่ิ ท่ีจําเป็น
สําหรบั ญ่ปี ุ่นสมยั ใหม่นัน่ คอื การกลบั ไปรอ้ื ฟ้ืนคน้ หาเสน่ห์และจุด
แขง็ ของระบบเศรษฐกิจของตนเอง แล้วทําการพฒั นาขยายจาก
พ้นื ฐานเหล่านัน้ แทนท่จี ะมานัง่ พร่ําบ่นถึงจุดอ่อนของตนเองใน
ปัจจุบนั เป้าหมายปลายทางของญ่ปี ุ่นกค็ อื การบ่มเพาะพฒั นาใหเ้ กดิ “เมอื งแห่งวฒั นธรรม
ทางเศรษฐกิจ” (an 'economic cultural city') โดยผ่านการมีกิจกรรมอันสร้างสรรค์ทาง
วฒั นธรรมของผคู้ นในพน้ื ทต่ี ่างๆทเ่ี ป็นกจิ วตั รประจาํ วนั ของพวกเขา ซง่ึ เราสามารถพบตวั
แบบแบบน้ีไดใ้ น “เกยี วโต” เมอื งหลวงในอดตี ของญป่ี ่นุ
IMAI นําเอาแนวคดิ ของศาสตราจารยฟ์ ลอรดิ า้ มาเป็นแนวทางในการนําเสนอแนวคดิ วา่
ดว้ ยการพฒั นาเมอื งเกยี วโตใหเ้ ป็นเมอื งแหง่ ความสรา้ งสรรค์ โดย Imai ไดก้ ลา่ ววา่ แมเ้ ขา
จะเป็นชาวโตเกยี ว แตต่ ่อมาไดย้ า้ ยมาอยเู่ มอื งเกยี วโตแลว้ กวา่ 12 ปี และเขาเชอ่ื วา่
สามารถนําเอาแนวคดิ ของฟลอรดิ า้ ทป่ี รากฏในหนงั สอื The Rise of The Creative Class
มาเป็นตวั แบบในการพฒั นา “วฒั นธรรมทางเศรษฐกจิ ” ของอดตี เมอื งหลวงแหง่ น้ีจนเรยี ก
ไดว้ า่ เป็น “ตวั แบบเกยี วโตใหม”่
สําหรบั ศาสตราจารย์ฟลอรดิ ้าแล้ว การเติบโตของชนชนั้ สร้างสรรค์นัน้ สามารถดูได้จาก
จํานวนร้อยละของคนท่ีทํางานอยู่อุตสาหกรรมเช่น วิทยาศาสตร์ชีวภาพ เทคโนโลยี
คอมพิวเตอร์ หรอื งานศิลปะ และ บรรดากลุ่มคนท่ีอาจถูกเรยี กได้ว่าเป็น “พวกอภิมหา

P a g e | 68

สรา้ งสรรค”์ (Super-creative core) ซง่ึ ในประเทศสหรฐั อเมรกิ ามคี นกลุ่มน้ีอยเู่ กนิ กว่ารอ้ ยละ
10 ของประชากรวยั แรงงานทงั้ หมด

นอกจากน้ี หากตคี วามในความหมายทก่ี วา้ งออกไป “ชนชนั้ สรา้ งสรรค”์ อาจจะหมายรวมถงึ
พวกทท่ี าํ งานอย่ใู นอุตสาหกรรมการเงนิ และดา้ นกฎหมาย ซง่ึ พวกน้ีมอี ย่ใู นสหรฐั อเมรกิ าถงึ
รอ้ ยละ 30 ของแรงงานทงั้ หมด และแรงงานพวกน้ีไดก้ ลายมาเป็นกลุ่มกระแสหลกั ของสงั คม
ปัจจุบนั

คนชนชัน้ สร้างสรรค์น้ีมักมีพฤติกรรมบางประการ เช่น พวกน้ีมักจะช่าง (ชอบ) เลือก
สถานท่ๆี ตนเองจะไปอยู่ หรอื ชอบคดิ ท่จี ะสรา้ งรูปแบบของงาน หรอื การมลี ลี าชวี ติ (Life
styles) ท่เี ป็นตวั ของตวั เอง ฯลฯ พฤติกรรมเหล่าน้ีจะกลายเป็นตวั กําหนดโครงสร้างทาง
สงั คมรปู แบบใหม่

ทน่ี ่าสนใจแปลกใหมส่ าํ หรบั พฤตกิ รรมของคนชนชนั้ น้ีคอื แทนทจ่ี ะเลอื กทจ่ี ะอย่ใู นพน้ื ทท่ี ถ่ี ูก
เรยี กขานว่ามคี วามสรา้ งสรรค์แลว้ และมโี ครงสรา้ งท่มี ุ่งเน้นการสรา้ งผลกําไร (อย่างเช่น ท่ี
Silicon Valley ในสหรฐั อเมรกิ า) คนพวกน้ีชอบท่จี ะไปเรม่ิ ต้นท่เี ลอื กท่จี ะไปอยู่ในท่ๆี ซ่ึงมี
สภาพแวดลอ้ มทเ่ี อ้อื (Accommodating environments) ใหพ้ วกเขาไดส้ ามารถแสวงหาหรอื
ค้นพบงานและรูปแบบการใช้ชีวิตท่ีเป็ นแบบของเขาเอง ภายใต้สภาพบริบทท่ีมีความ
สรา้ งสรรค์ (Creative context) และดว้ ยคนแบบน้ีแหละทจ่ี ะไปก่อใหเ้ กดิ โครงสรา้ งทางสงั คม
แบบใหม่

ศาสตราจารยฟ์ ลอรดิ า้ ใหค้ าํ แนะนําว่าการทจ่ี ะสงั ่ สมบ่มเพาะนวตั กรรมนนั้ สามารถเกดิ ขน้ึ ได้
ดว้ ย 3T นัน่ คอื T-Technology T-Talent T-Tolerance โดยทเ่ี ขาไดใ้ หค้ วามสาํ คญั อย่างมาก
ไปทก่ี ารผสมผสานของ 2T หลงั กล่าวคอื T-Talent (คนทม่ี คี วามเก่งความสามารถ) และ T-
Tolerance (สงั คมทม่ี ขี นั ตธิ รรม) นนั่ เป็นเพราะ หากเราจะสามารถดงึ ดดู เอาคนทม่ี คี วามเก่ง
ความสามารถ (Talent) มาได้ เราจําเป็นตอ้ งมสี งั คมทม่ี ขี นั ตธิ รรม มคี วามอดทนอดกลนั้ ต่อ
ความหลากหลาย และมบี รรยากาศของความมเี สรภี าพภายในสงั คม/องคก์ รของเรา และน่ีคอื

P a g e | 69

สงิ่ ทช่ี ่วยอธบิ ายว่าทําไมสถานทเ่ี ช่น ออสตนิ ทเ่ี ท๊กซสั ในปัจจุบนั จงึ กลายเป็นดนิ แดนแห่ง
ความสรา้ งสรรค์ กล่าวอกี นยั หน่งึ กค็ อื Austin Texas กลายมาเป็นคแู่ ขง่ ของ Silicon Valley

คาํ ถามสาํ หรบั Imai กค็ อื จะทาํ อยา่ งไรให้ เกยี วโตกลายมาเป็นคแู่ ขง่ ทท่ี ดั เทยี มกบั โตเกยี ว
ในลกั ษณะเดยี วกนั ?
ทกุ วนั น้ี โตเกยี วคอื ทๆ่ี เตม็ ไปดว้ ยผคู้ นทม่ี าจากหลากหลายสงั คมวฒั นธรรม นครหลวงแห่ง
น้ีมขี นั ติธรรมอย่างสูงท่ีจะยอมรบั เอาคนท่ีมเี อกลกั ษณ์ทุกประเภทจากทวั่ โลก โตเกียว
กลายเป็น “เตาหลอมรวม” (Melting pot) ท่ีซ่ึงสามารถยอมรบั ทุกสิ่งทุกอย่างท่ีมีความ
หลากหลายจากทัว่ โลกได้ โตเกียวจึงเป็นเมืองหลวงท่ีมีคลกั ษณะท่ีเรยี กว่า “ความไร้
ระเบยี บอย่างมโี ครงสรา้ ง” (structured disorder) ภาพอนั หลากหลายของโตเกยี วคอื ภาพ
สะทอ้ นของความอลหมา่ น (Chaos) อนั ทาํ ใหก้ ารทจ่ี ะประเมนิ แกน่ สารทแ่ี ทจ้ รงิ ของโตเกยี ว
เป็นไดแ้ ค่ภาพอนั พร่าเลอื น การพยายามทจ่ี ะสาํ รวจตรวจหาปรากฎการณ์ในระดบั จุลภาค
(a micro level phenomenon) ด้วยหวงั ท่จี ะฟ้ืนฟูกู้เอกลกั ษณ์โตเกยี วขน้ึ มาใหม่นัน้ จะทํา
ให้เห็นก็แต่ภาพพริบไหวอันหลากหลายของ “ความเป็ นต่างชาติ” (a variety or
foreignness) ซง่ึ กระจดั กระจายอยใู่ นภาพรวมของมหานครโตเกยี ว

2. เกียวโต: ถกั ทอศิลปหตั ถกรรมเข้ากบั เทคโนโลยีชนั้ สงู
สาํ หรบั เมอื งเกยี วโต มคี วามตรงกนั ขา้ มอยา่ งมากจากโตเกยี ว ดว้ ยขนาดทเ่ี ลก็ กวา่ และไม่
อาจเทยี บเทา่ ระดบั ความทนั สมยั เฉกเชน่ โตเกยี วได้ แตห่ ากมงุ่ สงั เกตลงไปในระดบั จลุ ภาค
มปี ระเดน็ ทส่ี ามารถนําพาเกยี วโตไปสกู่ ารฟ้ืนฟูกเู้ อกลกั ษณ์ขน้ึ มาอกี ครงั้ ได้ ทงั้ น้ีอาจเป็น
เพราะขนาดทเ่ี ลก็ กวา่ นนั่ เอง
ลองพจิ ารณาถงึ 3Ts ของเกยี วโต
เรมิ่ ตน้ ดว้ ย T- “Technology” เทคโนโลยี มกั มผี กู้ ล่าววา่ “เมอื งหลวงแหง่ การกอ่ ตงั้ ธรุ กจิ –
ตวั แบบเกยี วโต” กล่าวคอื เกยี วโตถอื ไดว้ า่ เป็น “บา้ นเกดิ ” ของกจิ การจาํ นวนมากทม่ี กั จะ
เรม่ิ ตน้ กอ่ รา่ งสรา้ งธรุ กจิ (Venture businesses) ดว้ ยเอกลกั ษณ์และเทคโนโลยที โ่ี ดดเดน่

P a g e | 70

ของตนเอง ยกตวั อยา่ งเชน่ บรษิ ทั เคยี วเซรา่ Kyocera Corporation, Horiba Ltd., Rohm
Co., Ltd. และ Murata Manufacturing Company Limited เป็นตน้ และควรกลา่ วไว้ ณ ทน่ี ้ี
วา่ สดั สว่ นของกาํ ไรของบรษิ ทั เหล่าน้ีสงู กวา่ เป็น 2 เทา่ ของบรษิ ทั อน่ื ๆโดยเฉลย่ี ของญป่ี ่นุ

สําหรบั ในแง่ของ T-"Talent" คนท่มี คี วามรูค้ วามสามารถ จากขอ้ มูลจํานวนของนักศกึ ษา
ระดบั อดุ มศกึ ษาเมอ่ื เทยี บกบั จาํ นวนของสาํ นกั งานธุรกจิ ในเมอื งเกยี วโต พบวา่ อยใู่ นอนั ดบั
ทส่ี งู ทส่ี ดุ ในญป่ี ่นุ

ในแง่ของ T- "Tolerance" มหาวทิ ยาลยั ทงั้ 36 แห่งในเมอื งเกยี วโตล้วนรบั เอานักศกึ ษา
ต่างชาตจิ ากทวั่ โลก และจากการสงั เกตของ Chihiro Suematsu ผูเ้ ขยี นเร่อื ง “การบรหิ าร
จัดการสไตล์เกียวโต” ("Kyoto-shiki Keiei (Kyoto-Style Management)") พบว่าความ
ภาคภูมิใจและความสุภาพ (the pride and nobleness) ซ่ึงปลูกฝังอยู่ในชาวเกียวโต
นํามาซง่ึ “ความมขี นั ตธิ รรม” ปลกู ฝังอยใู่ นคณุ ลกั ษณะของแต่ละบุคคลในเกยี วโต

Imai ไดข้ ยายความในแตล่ ะมติ เิ พมิ่ เตมิ โดยยกตวั อยา่ งมาจากประสบการณ์ของเขาเอง

ในแงข่ อง “เทคโนโลย”ี ดตู วั อยา่ งของบรษิ ทั เลก็ ๆทช่ี อ่ื ACT ซง่ึ มคี วามชาํ นาญพเิ ศษใน
ดา้ นการขดั เงา silicon carbide ทใ่ี ชส้ าํ หรบั next-generation semiconductors คณุ โอกาโม
โตะ พนกั งานคนหน่ึงของบรษิ ทั ACT ซง่ึ แต่เดมิ ไมไ่ ดม้ คี วามเชย่ี วชาญในงานดา้ นเคมี แต่
ตอนน้เี ขาไดใ้ ช้ the atomic force microscope ซง่ึ พฒั นามาจากมหาวทิ ยาลยั เกยี วโต
(Kyoto University) มาทาํ การปรบั ปรงุ การขดั เงาใหก้ บั วสั ดใุ นระดบั ทล่ี ะเอยี ดอ่อนมาก
ยง่ิ ขน้ึ ไปจนถงึ ระดบั โมเลกุลและระดบั อะตอม น่คี อื ตวั อยา่ งทด่ี ขี องจารตี ประเพณีทด่ี ที ม่ี กี าร
ผสาน “หตั ถอตุ สาหกรรม” (craftsmanship) เขา้ กบั เทคโนโลยชี นั้ นํา ซง่ึ จรงิ ๆแลว้ ตวั อยา่ ง
ในลกั ษณะน้ีสามารถพบไดท้ วั่ ไปในบรรดาบรษิ ทั ขนาดเลก็ ในเกยี วโต

ในแง่ของ “คนมีความสามารถ” (talent) นอกเหนือจากท่ีท่ีเกียวโตจะมบี รรดานักศึกษา
ระดบั บณั ฑติ ศกึ ษาจํานวนมากแลว้ คุณภาพของพวกเขากย็ งั อย่ใู นระดบั สงู ดว้ ย เม่อื เรว็ ๆ
น้ที เ่ี กยี วโตไดม้ งี านสมั มนาวชิ าการเรอ่ื ง “อธปิ ไตยของชาตหิ ลงั สงครามในอริ คั ” โดยไดเ้ ชญิ
ศาสตราจารยส์ ตฟี เครสเนอร์ (Steve Krasner) ผซู้ ง่ึ มอี ทิ ธพิ ลอยา่ งมากในดา้ นการบรหิ าร

P a g e | 71

ของสหรฐั อเมรกิ ามาเป็นองค์ปาฐก สงิ่ ท่นี ่าสนใจคอื กลบั กลายเป็นว่าคนกลุ่มท่ไี ด้สรา้ ง
บรรยากาศการอภปิ รายถกเถียงอย่างมชี วี ติ ชวี าด้วยภาษาองั กฤษท่ีคล่องแคล่วคอื กลุ่ม
นกั ศกึ ษาระดบั บณั ฑติ ศกึ ษาทเ่ี ป็นสตรเี พศซง่ึ ไดเ้ ขา้ รว่ มในการประชุมสมั มนาน้ี

จากประสบการณ์ของ Imai ในฐานะของคนทเ่ี คยเรยี นหนังสอื ในมหาวทิ ยาลยั ในประเทศ
สหรฐั อเมรกิ า พบวา่ องคป์ ระกอบสาํ คญั ทม่ี หาวทิ ยาลยั ในญป่ี ่นุ – ซง่ึ ใฝ่ฝันจะกา้ วไปสคู่ วาม
เป็ นมหาวิทยาลัยระดับโลก (world-class) – มักจะขาดไปก็คือ “นักศึกษาระดับ
บณั ฑติ ศกึ ษาทม่ี จี ติ วญิ ญาณ (spirited graduate students) ดงั นัน้ จงึ ถอื เป็นสญั ญาณทด่ี ที ่ี
จะกอบกู้ฟ้ืนฟูการก้าวสู่โลกาภิวฒั น์ เม่อื ได้เหน็ บรรดานักศึกษาเหล่านัน้ เขา้ ร่วมในการ
อภปิ รายถกเถยี งอยา่ งแขง็ ขนั ในประเดน็ ทย่ี ากๆ เช่น เร่อื ง “ความตลบแตลงเชงิ โครงสรา้ ง
ของอธปิ ไตย” (structured hypocrisy of sovereignty) ซง่ึ Professor Krasner ยกขน้ึ มา

ในแง่ของความมี “ขนั ตธิ รรม” (tolerance) เกยี วโตกําลงั ส่งเสรมิ สนับสนุนโครงการทฟ่ี ้ืนฟู
บา้ นแบบ Machiya (townhouses) และพฒั นาศลิ ปะทางคอมพวิ เตอรใ์ นระดบั โลก (world-

class computer art) และยงั แสดงถึงความพยายาม
อย่างกล้าหาญและสร้างสรรค์ เช่น การอนุมัติให้
ส่ ง เ ส ริ ม ก า ร พั ฒ น า ท่ี เ รี ย ก ว่ า "computer
manzai"(stand-up comedy) และ "zen computers"
ถอื เป็นเร่อื งทห่ี าไดย้ ากมากสําหรบั รฐั บาลหน่ึงๆทจ่ี ะ
Kyoto Machiya รเิ รมิ่ สร้างสรรค์โครงการท่ีมีอิสระในระดบั สูงมากๆ
เช่นน้ี ยงิ่ ไปกว่านัน้ โครงการน้ียงั ถูกบรหิ ารโดยศลิ ปินคอมพวิ เตอรน์ ามว่า Naoko Tosa
ซ่ึงเป็นผู้ท่ีทํางานอยู่ท่ี Center for Advanced Visual Studies, MIT จึงถือเป็นเร่ืองท่ีน่า
ต่นื เตน้ อยา่ งมากทจ่ี ะไดเ้ หน็ การเช่อื มโยงกนั ระหวา่ งมหาวทิ ยาลยั ในอเมรกิ ากบั เมอื งเกยี ว
โต และขอ้ เทจ็ จรงิ กค็ อื สงั คมทอ้ งถน่ิ ใหก้ ารยอมรบั ในโครงการน้ี

3. ญี่ป่ นุ ต้องการนักยทุ ธศาสตรท์ างวฒั นธรรม

P a g e | 72

ตัวอย่างเหล่าน้ี แม้จะเป็ นกรณีเล็กๆ แต่ก็ล้วนช้ีให้เห็นว่ามีความจําเป็ นท่ีจะต้องให้
ความหมายของคําว่า “ความสร้างสรรค์” ในแง่ทัศนะแบบใหม่ให้สอดคล้องกบั โลกยุค
สมยั ใหม่ โดยทวั่ ไปแลว้ คาํ ว่า “ความสรา้ งสรรค”์ (Creativity) มกั จะทาํ ใหเ้ ราเหน็ ภาพของ
ประดษิ ฐกรรมขนาดใหญ่ หรอื สนิ คา้ ใหมๆ่ ทม่ี นี วตั กรรม แมส้ ง่ิ เหล่าน้ีจะเป็นเรอ่ื งสาํ คญั อยู่
แลว้ แตค่ วามสรา้ งสรรคท์ เ่ี ป็นทต่ี อ้ งการในปัจจุบนั คอื ความสรา้ งสรรคป์ ระเภททก่ี อ่ ใหเ้ กดิ
งาน และสไตล์การใช้ชีวติ แบบใหม่ๆ อนั เกิดจากปฏิสมั พนั ธ์ในหมู่ผู้คนด้วยเอกลกั ษณ์
ปัจเจกบุคคลทช่ี ดั เจน ซง่ึ น่คี อื ปรากฎการณ์ทเ่ี กดิ ขน้ึ ในทุกๆทใ่ี นชวี ติ ประจาํ วนั

สง่ิ ท่เี ราต้องการคอื ปรากฎการณ์ท่สี ง่ิ ท่มี ลี กั ษณะความเป็นญ่ีปุ่นมากๆ เช่น Machiya of
Kyoto ถูกทาํ ใหเ้ กดิ เป็นจรงิ ขน้ึ มาใหมไ่ ดด้ ว้ ยการใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศ และเมอ่ื สถานท่ี
แห่งน้ีได้กลายเป็นสถานท่ีท่ีดึงดูดใจให้คนได้มาค้นหาคุณค่าหรอื ค่านิยมใหม่ๆ การท่ี
ค่านิยมทแ่ี ตกต่างหลากหลายกนั ไดม้ ามปี ฏสิ มั พนั ธ์ต่อกนั (interactions among different
values) ยอ่ มจะน้อมนํามาซง่ึ การเกดิ นวตั กรรมใหมๆ่ ตอ่ ไป

ประเดน็ สาํ คญั กค็ อื มนี กั ยทุ ธศาสตรค์ นใดทส่ี ามารถยนื หยดั ปรบั แปลงกระแสแนวโน้มเชน่ น้ี
ใหก้ ลายเป็นจรงิ ขน้ึ มา นกั ยทุ ธศาสตรท์ างธรุ กจิ จากเมอื งเกยี วโต อยา่ งเชน่ คาซอื โอะ อิ
นามรู ิ (Kazuo Inamori) แหง่ กลมุ่ บรษิ ทั เคยี วเซรา ไดร้ เิ รม่ิ ก่อสรา้ งระบบทก่ี อ่ ใหเ้ กดิ กาํ ไร
อยา่ งสงู แก่บรรษทั ในขณะเดยี วกนั กบั ทย่ี งั คงพทิ กั ษ์รกั ษาอตั ลกั ษณ์ของตนเองไวไ้ ด้
ดงั นนั้ น่คี อื หว้ งเวลาท่ี “วฒั นธรรม” จะถกู หยบิ ยกขน้ึ มาเป็นประเดน็ สาํ คญั

คาซอื โอะ คาวาซากิ (Kazuo Kawasaki) ดไี ซเนอรช์ อ่ื ดงั กอ้ งโลกคนหน่งึ
ไดเ้ รยี กตวั เขาเองวา่ “นกั ยทุ ธศาสตรท์ างวฒั นธรรม” เพอ่ื สะทอ้ นใหเ้ หน็
วา่ เราไมค่ วรเพยี งแคจ่ บั ประเดน็ ทางวฒั นธรรมอยา่ งแผว่ เบา แตเ่ ราควร
เปิดพน้ื ทใ่ี หมๆ่ สาํ หรบั “วฒั นธรรมทางเศรษฐกจิ (economic culture)
โดยการเชอ่ื มโยง “วฒั นธรรม” เขา้ กบั “เศรษฐกจิ ” ในสถานะทเ่ี ทา่ เทยี ม
กนั และในหว้ งเวลาน้ี เราควรจะตอ้ งมกี ารฟ้ืนฟูกอบกคู้ น้ หางานของบรรดานกั ยทุ ธศาสตร์
ทางวฒั นธรรม

P a g e | 73

ญ่ปี ุ่นจําเป็นตอ้ งมกี ารสรา้ ง “เมอื งแห่งเศรษฐกจิ วฒั นธรรม” (a cultural economic city) ท่ี
ซง่ึ คนจากทวั่ โลกลว้ นตอ้ งการทจ่ี ะมาอาศยั อย่แู ละทํางาน ในแงน่ ้ี มฉี ากทน่ี ่าต่นื เตน้ อย่าง
มากคอื นายแลรร์ ่ี เอลลสิ นั (Larry Elison) แห่งบรษิ ทั ออราเคลิ (Oracle) ผูซ้ ่งึ ครงั้ หน่ึงเคย
เป็นผนู้ ําคนหน่ึงแหง่ อุตสาหกรรมสารสนเทศแห่งสหรฐั อเมรกิ า เขามแี รงดงึ ดดู ใจทจ่ี ะมาอยู่
ท่ีเกียวโตและเขาได้พยายามซ้ือบ้านอยู่ใกล้กับ นานเซนจิ (Nanzenji) ซ่ึงเป็ นวดั ท่ีมี
ช่อื เสยี งและมปี ระวตั ิศาสตร์ ดงั นัน้ เกียวโตจงึ มสี ถานะท่ีเปรยี บเสมอื นเมอื งท่ีควรเป็น
แบบอย่างตน้ แบบทน่ี ่ายกย่อง บรรดาเมอื งต่างๆในญ่ีปุ่นจงึ ควรหนั มาแข่งขนั กนั เพ่อื ทจ่ี ะ
ดงึ ดูดเอาคนสาํ คญั ๆ จากญ่ปี ุ่นและทต่ี ่างๆทวั่ โลกเพ่อื มาสกู่ ารสรา้ ง “เศรษฐกจิ วฒั นธรรม”
เฉกเชน่ เดยี วกบั เกยี วโต
โดยการคลุกคลที างปัญญากบั บรรดาบคุ คลชนั้ นําเชน่ น้ี จะทาํ ใหจ้ ารตี ประเพณที ด่ี งี ามและมี
คณุ ภาพสงู ของญป่ี ่นุ ไดร้ บั การรอ้ื ฟ้ืนและทาํ นุบาํ รงุ รกั ษา ควบคไู่ ปกบั คณุ คา่ ทางวฒั นธรรม
ทเ่ี รม่ิ เป็นทย่ี อมรบั แพรห่ ลายออกไปในระดบั สากลกจ็ ะทาํ ใหเ้ กดิ มลู คา่ ทางเศรษฐกจิ
พรอ้ มๆกนั ไป ในทส่ี ดุ แลว้ กระบวนการและโครงการลกั ษณะเชน่ น้ีจะชว่ ยสนบั สนุนใหเ้ กดิ
ความคดิ รว่ มกนั ทว่ี า่ หลกั เกณฑม์ าตรฐานสาํ หรบั คณุ คา่ ในระดบั โลกนนั้ ควรจะตอ้ งมคี วาม
หลากหลายและยดื หยนุ่

1 บทความชน้ิ น้ี ผเู้ ขยี นไดร้ บั แรงบนั ดาลใจ มาจากขา่ วเชงิ บทความชน้ิ หน่งึ ซง่ึ ตพี มิ พใ์ นหนงั สอื พมิ พ์
Nihon Keizai Shimbun ฉบบั วนั ท่ี 17 มนี าคม 2004 จากนนั้ จงึ ทาํ การศกึ ษาและเกบ็ ขอ้ มลู เพมิ่ เตมิ
เกย่ี วกบั เศรษฐกจิ สรา้ งสรรคข์ องประเทศญป่ี ่นุ

P a g e | 74

- 11 -
เศรษฐกจิ เชงิ สรา้ งสรรคค์ อื อะไร?

ในบทความ 10 ชน้ิ ทผ่ี า่ นมา สว่ นใหญ่แลว้ แกน่ แกนหลกั ของเรอ่ื งมกั จะเป็นประเดน็ ทผ่ี เู้ ขยี นเขยี นถงึ
เรอ่ื งเกย่ี วกบั เศรษฐกจิ เชงิ สรา้ งสรรค์ (Creative economy) ไวม้ ากพอสมควร แต่ผอู้ า่ นจะสงั เกตเหน็ ได้
วา่ ผเู้ ขยี นยงั เขยี นออ้ มไปออ้ มมา ยงั ไมเ่ คยเขยี นอธบิ ายพงุ่ ไปถงึ คาํ วา่ “เศรษฐกจิ เชงิ สรา้ งสรรค”์
โดยตรงสกั ที มาในคราวน้ี ผเู้ ขยี นคดิ วา่ ถงึ เวลาแลว้ ทจ่ี ะตอ้ งอรรถาธบิ ายแนวคดิ “เศรษฐกจิ เชงิ
สรา้ งสรรค”์ ใหช้ ดั เจน

ในชว่ งทผ่ี า่ นมาผเู้ ขยี นพยายามเสาะแสวงหาทม่ี าทไ่ี ปของแนวคดิ

เศรษฐกจิ เชงิ สรา้ งสรรค์ จนในทส่ี ดุ ผเู้ ขยี นตงั้ ขอ้ สงั เกตวา่ หากจะ

สบื เสาะเลาะตะเขบ็ ทม่ี าทางความคดิ ของเรอ่ื งน้แี ลว้ เราจะสามารถสบื

พบแนวคดิ เรอ่ื ง Creative economy ทถ่ี กู นําเสนอออกมาอยา่ งชดั เจน

และเป็นทางการในระดบั สากลไดจ้ ากรายงานทช่ี อ่ื Creative

Economy Report 2008 ซง่ึ ถอื ไดว้ า่ เป็นครงั้ แรกทห่ี น่วยงานโลกบาล

อยา่ ง “องคก์ ารสหประชาชาต”ิ (United Nations) นําเสนอผลการศกึ ษา

เกย่ี วกบั เรอ่ื งน้อี อกมา โดยความคดิ รเิ รมิ่ และการทาํ งานรว่ มกนั ระหวา่ ง

2 หน่วยงานทอ่ี ยใู่ ตร้ ม่ เงาขององคก์ ารสหประชาชาติ ไดแ้ ก่ UNCTAD (United Nations Conference

on Trade and Development) กบั UNDP (United Nations Development Program)

ในรายงาน Creative Economy Report 2008 ซง่ึ จดั ทาํ โดย UNDP และ UNCTAD ไดน้ ําเสนอแนวคดิ
และภาพรวมของเศรษฐกจิ สรา้ งสรรคไ์ วอ้ ยา่ งน่าสนใจ ผเู้ ขยี นขอเรม่ิ จากแนวคดิ ใน “บทนํา” (Foreword)
ทน่ี ําเสนอโดย Kemal Dervis แหง่ UNDP และ ดร.ศภุ ชยั พานิชภกั ด์ิ เลขาธกิ าร UNCTAD (United
Nations Conference on Trade and Development) ทงั้ 2 ทา่ นน้ไี ดก้ ลา่ วถงึ การพฒั นาประเทศต่างๆ
ทวั่ โลกในชว่ งทผ่ี า่ นมาวา่ แมห้ ลายๆประเทศ – โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ กลุม่ ประเทศทพ่ี ฒั นาแลว้ – จะมี
ความเจรญิ เตบิ โตกา้ วหน้าทางเศรษฐกจิ มาอยา่ งตอ่ เน่อื ง แตก่ ารเตบิ โตทางเศรษฐกจิ เชน่ นนั้ กย็ งั ไม่
เพยี งพอตอ่ การสรา้ งเสรมิ สวสั ดภิ าพและมาตรฐานการดาํ รงชวี ติ ทเ่ี หมาะสมของประชาชนสว่ นใหญ่ใน
บรรดาประเทศทก่ี าํ ลงั พฒั นา ความทา้ ทายของการพฒั นากค็ อื การคน้ หาแนวทางการพฒั นาทใ่ี สใ่ จลงไป

P a g e | 75

ในรายละเอยี ดของแตล่ ะทแ่ี ละโดยอยา่ งยง่ิ เรอ่ื งของการขาดแคลนแรงงานทม่ี ที กั ษะ, การขาดแคลน
โครงสรา้ งพน้ื ฐาน และยงั มกี ารลงทนุ จากตา่ งประเทศในระดบั ต่าํ ดงั นนั้ จะทาํ อยา่ งไรทจ่ี ะสง่ เสรมิ
สนบั สนุนการพฒั นาทย่ี งั ่ ยนื และครอบคลมุ ทกุ ฝ่าย (Inclusive) ทาํ อยา่ งไรทจ่ี ะพฒั นาตวั แบบการพฒั นา
ทม่ี ลี กั ษณะองคร์ วม (Holistic) ทใ่ี สใ่ จในอตั ลกั ษณ์ทางวฒั นธรรมทห่ี ลากหลาย ความมงุ่ มาดปรารถนา
ทางเศรษฐกจิ (Economic aspiration) ชอ่ งวา่ งความเหลอ่ื มลา้ํ ทางสงั คมและความเสยี เปรยี บทาง
เทคโนโลยี สงิ่ สาํ คญั ทท่ี งั้ 2 ทา่ นมงุ่ เน้นกค็ อื โลกใบน้คี วรมกี ารเปลย่ี นแปลงไปสสู่ ภาพแวดลอ้ มใหมโ่ ดย
ทาํ ใหป้ ระเดน็ ดา้ น “วฒั นธรรม” และ “เทคโนโลย”ี เชอ่ื มโยงใสเ่ ขา้ ไปในวธิ คี ดิ การพฒั นาเศรษฐกจิ กระแส
หลกั

การผดุ บงั เกิดของกระบวนทศั น์ใหม่

ในรายงานฉบบั น้ีกล่าวถงึ การผดุ บงั เกดิ ของ “กระบวนทศั น์ใหมข่ องการพฒั นา” (A new development
paradigm) ซง่ึ มใิ ชจ่ ะจดจอ่ อยกู่ บั เรอ่ื งของความจาํ เรญิ เตบิ โตทางเศรษฐกจิ เทา่ นนั้ แตย่ งั ครอบคลุม
เชอ่ื มโยงแงม่ ุมทางเศรษฐกจิ เขา้ กบั มติ ดิ า้ นวฒั นธรรม สงั คมและเทคโนโลยที งั้ ในระดบั มหภาคและ
ระดบั จุลภาค

ผเู้ ขยี นใครข่ อคนั่ ตรงน้ีสกั นดิ หน่ึง หากใครไดต้ ดิ ตามพฒั นาการทาง
ความคดิ ขององคก์ ารสหประชาชาติ จะพบวา่ น่ไี มใ่ ชเ่ ป็นครงั้ แรกทอ่ี งคก์ ร
โลกบาลแหง่ น้ีเอ่ยถงึ คาํ วา่ “กระบวนทศั น์ใหมข่ องการพฒั นา” อยา่ งน้อย
ทส่ี ดุ เมอ่ื ปี ค.ศ. 1990 องคก์ ารสหประชาชาตโิ ดย UNDP กเ็ คยจดั ทาํ
รายงานประจาํ ปีฉบบั หน่ึงทช่ี อ่ื “รายงานการพฒั นามนุษย”์ (Human
Development Report) และนบั จากปี 1990 เป็นตน้ มา UNDP ไดม้ กี าร
จดั ทาํ และเผยแพร่ “รายงานการพฒั นามนุษย”์ ออกมาทุกปีจวบจนถงึ
ปัจจบุ นั ซง่ึ ในรายงานดงั กลา่ ว UNDP กไ็ ดเ้ คยประกาศ “กระบวนทศั น์
ใหมข่ องการพฒั นา” ทน่ี ําเสนอแนวคดิ วา่ การพฒั นาทแ่ี ทจ้ รงิ นนั้ เป้าหมาย (Ends) ของการพฒั นาควร
อยทู่ ่ี “มนุษย”์ โดยมี “เศรษฐกจิ ” เป็นเครอ่ื งมอื (Means) ของการพฒั นา ซง่ึ ตา่ งจาก “กระบวนทศั น์ของ
การพฒั นาแบบเดมิ ” (Conventional) ทม่ี งุ่ เน้นเป้าหมายของการพฒั นาอยทู่ ่ี “การจาํ เรญิ เตบิ โตทาง
เศรษฐกจิ ” โดยมี “มนุษย”์ และทรพั ยากรต่างๆเป็นเครอ่ื งมอื ของการพฒั นา

P a g e | 76

“เราจะพฒั นาไปทาํ ไม ถา้ เศรษฐกจิ เจรญิ เตบิ โต แตผ่ คู้ นกลบั เตม็ ไปดว้ ยความทกุ ขย์ าก
หมน่ หมอง?” น่คี อื คาํ ถามใหญ่ทน่ี ํามาสกู่ ารจดุ ประกายแนวคดิ Human Development
ซง่ึ ถอื เป็นกระบวนทศั น์ใหมใ่ นขณะนนั้ 01

อยา่ งไรกต็ าม เมอ่ื โลกกา้ วเขา้ สชู่ ว่ งครง่ึ ทา้ ยของทศวรรษท่ี 2000 องคก์ ารสหประชาชาตกิ ไ็ ดพ้ ฒั นา
กระบวนทศั น์ใหมข่ องการพฒั นาขน้ึ มาอกี ชุดหน่งึ โดยเรยี กวา่ “การพฒั นาเศรษฐกจิ เชงิ สรา้ งสรรค”์
(Creative economy) หวั ใจอนั เป็นแกน่ กลางของกระบวนทศั น์ใหมน่ ้ีคอื “ความสรา้ งสรรค”์ (Creativity)
ความรู้ (Knowledge) และการเขา้ ถงึ ขอ้ มลู สารสนเทศ (Access to information) ไดก้ ลายมาเป็นจกั รกล
ทท่ี รงพลงั ซง่ึ ขบั เคลอ่ื นความจาํ เรญิ เตบิ โตทางเศรษฐกจิ และสง่ เสรมิ การพฒั นาในโลกยคุ โลกาภวิ ฒั น์น้ี

เน่อื งจากสภาพความเป็นจรงิ ของโลกยคุ ใหมน่ ้คี อื ปรากฏการณ์ “โลกาภวิ ฒั น์” (Globalization) และ “การ
เชอ่ื มโยงถงึ กนั ” (Connectivity) ความเป็นจรงิ เชน่ น้ไี ดส้ ง่ ผลกระทบตอ่ การเปลย่ี นแปลงอยา่ งลกึ ซง้ึ ตอ่
วถิ ลี ลี าการใชช้ วี ติ ของผคู้ นทวั่ ทงั้ โลก เกดิ การปรบั เปลย่ี นรปู แบบแบบแผนโดยรวมของการผลติ ทาง
วฒั นธรรม การบรโิ ภค และการคา้ ในโลกใบน้ที ถ่ี กู สอดใสเ่ ตมิ เตม็ ไปดว้ ยรปู ภาพ (Image) เสยี ง (Sound)
ตวั บท (Text) และสญั ลกั ษณ์ (Symbols)

เป็นทช่ี ดั เจนวา่ เราจาํ เป็นอยา่ งยง่ิ ทจ่ี ะตอ้ งทาํ ความเขา้ ใจใหด้ ยี ง่ิ ขน้ึ ในปฏสิ มั พนั ธอ์ นั ซบั ซอ้ นระหวา่ ง
เศรษฐกจิ วฒั นธรรม เทคโนโลยี และสงั คมซง่ึ เป็นตวั ชน้ี ําพลงั ขบั เคล่อื นของเศรษฐกจิ โลกและวถิ ชี วี ติ
ของผคู้ นในศตวรรษน้ี เมอ่ื มาถงึ ตรงจดุ น้ี ทงั้ 2 ทา่ นกน็ ําเสนอขน้ึ มาวา่ ในยคุ แหง่ การเปลย่ี นผา่ นครงั้
สาํ คญั น้ี “ความสรา้ งสรรค”์ และ “ความร”ู้ ไดก้ ลายมาเป็นเครอ่ื งมอื อนั ทรงพลงั ของการกอ่ ดอกออกผล
ของการพฒั นา

ในบรบิ ทเชน่ น้ี การเชอ่ื มต่อกนั ของความสรา้ งสรรค,์ วฒั นธรรม, เศรษฐศาสตร์ และเทคโนโลยี แลว้
สาํ แดงออกมาในรปู ของความสามารถทจ่ี ะสรา้ งสรรคแ์ ละเกดิ การไหลเวยี นของทนุ ทางปัญญา กอ่ ใหเ้ กดิ
ศกั ยภาพทจ่ี ะเกดิ การสรา้ งงาน สรา้ งรายไดแ้ ละการสง่ ออก ในขณะเดยี วกนั กจ็ ะทาํ ใหเ้ กดิ การมสี ว่ นรว่ ม
ของทุกฝ่ายในสงั คม เกดิ ความหลากหลายทางวฒั นธรรมและสง่ เสรมิ การพฒั นามนุษย์ น่คี อื สง่ื ทท่ี าํ ให้
เกดิ “เศรษฐกจิ เชงิ สรา้ งสรรค”์ (Creative economy) ขน้ึ ในฐานะทเ่ี ป็นองคป์ ระกอบสาํ คญั ของการสรา้ ง
ความจาํ เรญิ เตบิ โตทางเศรษฐกจิ การจา้ งงาน การคา้ นวตั กรรม และความยดึ โยงกนั ของสงั คมในบรรดา
ประเทศทม่ี คี วามกา้ วหน้าทางเศรษฐกจิ มากทส่ี ดุ

1 หากทา่ นผอู้ ่านสนใจกระบวนทศั น์ Human Development น้กี รุณาหาอา่ นไดจ้ าก สมบตั ิ กสุ มุ าวลี (2539)

P a g e | 77

“ความสรา้ งสรรค”์ ในบรบิ ทเชน่ น้ี จงึ มนี ยั ความหมายหมายถงึ การกอ่ รปู ความคดิ ใหมๆ่ และ
ความสามารถทจ่ี ะประยกุ ตใ์ ชค้ วามคดิ ใหมๆ่ เหลา่ นนั้ ไปก่อใหเ้ กดิ การผลติ ผลงานใหมๆ่ ทเ่ี ป็นตน้ ตาํ รบั
(Original work) ไมว่ า่ จะเป็นผลงานทางศลิ ปะ, ผลติ ผลทางวฒั นธรรม, สงิ่ ประดษิ ฐท์ อ่ี อกแบบเพอ่ื การใช้
งานดา้ นต่างๆ (functional creations), ประดษิ ฐกรรมทางวทิ ยาศาสตรแ์ ละนวตั กรรมทางเทคโนโลยี

ความสรา้ งสรรคจ์ งึ มนี ยั ยะในเชงิ เศรษฐกจิ อยา่ งมาก เพราะมนั จะมคี ณุ ูประการทจ่ี ะกอ่ ใหเ้ กดิ การเป็น
ผปู้ ระกอบการ (Entrepreneurship) บ่มเพาะใหเ้ กดิ นวตั กรรม เพม่ิ พนู ผลติ ภาพ และสนบั สนุนความ
จาํ เรญิ เตบิ โตทางเศรษฐกจิ

เราสามารถพบความสรา้ งสรรคไ์ ดใ้ นทุกสงั คมและในทกุ ประเทศ ไมว่ า่ จะเป็นประเทศร่าํ รวยหรอื ยากจน,
ใหญ่และเลก็ , กา้ วหน้าหรอื กาํ ลงั พฒั นา คาํ วา่ “ความสรา้ งสรรค”์ นนั้ มคี วามเกย่ี วขอ้ งเชอ่ื มโยงกบั คาํ
อน่ื ๆเชน่ ความเป็นตน้ ตาํ รบั (Originality) การมจี นิ ตนาการ (Imagination) แรงบรรดาลใจ (Inspiration)
ความสามารถทจ่ี ะคดิ เพอ่ื ทจ่ี ะใหเ้ กดิ การกระทาํ ในแนวทางใหมๆ่ (Ingenuity) ความเป็นนกั ประดษิ ฐ์
(Inventiveness) เป็นตน้

หากกล่าวในระดบั ปัจเจกบคุ คล ความสรา้ งสรรคข์ องแตล่ ะคนมกั จะปรากฎอยใู่ นรปู แบบของความเป็น
คนชา่ งคดิ ชา่ งฝัน ชา่ งจนิ ตนาการ และชา่ งนําเสนอ ควบคไู่ ปกบั การมคี วามรแู้ ละการสงั่ สมภมู ปิ ัญญา
และหากกล่าวในระดบั สงั คม เชน่ เดยี วกนั ทุกสงั คมตา่ งกม็ คี ลงั ของทุนทางวฒั นธรรมทจ่ี บั ตอ้ งไมไ่ ดแ้ ต่
แฝงฝังอยใู่ นอตั ลกั ษณ์และคา่ นิยมของผคู้ นในสงั คมนนั้

กลมุ่ แนวคดิ น้เี ชอ่ื วา่ ศตวรรษท่ี 21 คอื ศตวรรษทท่ี เ่ี ราจะไดเ้ ป็นประจกั ษ์พยานถงึ การประสานเชอ่ื มโยง
กนั ของความสรา้ งสรรค์ วฒั นธรรม และ เศรษฐศาสตร์ หากสงั คมใดทส่ี ง่ิ เหล่าน้ปี ะทะสงั สรรคก์ นั อยา่ งลง
ตวั กจ็ ะบงั เกดิ “เศรษฐกจิ เชงิ สรา้ งสรรค”์ ขน้ึ มา

บทสรปุ “นิยามเศรษฐกิจสร้างสรรค”์

แมใ้ นรายงาน Creative Economy Report 2008 จะยอมรบั วา่ ยงั ไมม่ คี าํ นิยามทเ่ี ป็นเอกภาพหน่งึ
เดยี วกนั สาํ หรบั คาํ วา่ “Creative Economy” สว่ นใหญ่แลว้ คาํ ๆน้มี กั จะถกู นําไปใชใ้ นแนวทเ่ี ป็นอตั วสิ ยั
(Subjective) นนั่ คอื แลว้ แต่ใครจะตคี วามความหมายของมนั จากมมุ มองของผเู้ ชย่ี วชาญแต่ละกลุ่มแต่ละ
คน อยา่ งไรกต็ าม ในทส่ี ดุ แลว้ รายงาน Creative Economy Report 2008 กไ็ ดน้ ําเสนอคาํ นิยาม
“Creative economy” โดยนําเอาความหมายตามแนวทางของ UNCTAD ซง่ึ สามารถสรปุ ไดด้ งั น้ี

P a g e | 78

• “เศรษฐกจิ เชงิ สรา้ งสรรค”์ คอื แนวคดิ ทม่ี วี วิ ฒั นาการมาจากแนวคดิ เศรษฐกจิ บนฐานความรู้
(Knowledge-based economy) โดยเศรษฐกจิ เชน่ น้มี ปี ัจจยั พน้ื ฐานทส่ี าํ คญั มาจาก “สนิ ทรพั ยท์ ่ี
สรา้ งสรรค”์ (Creative assets) ซง่ึ มศี กั ยภาพในอนั ทจ่ี ะกอ่ ใหเ้ กดิ ความจาํ เรญิ เตบิ โตและการ
พฒั นาเศรษฐกจิ

• เศรษฐกจิ เชงิ สรา้ งสรรคจ์ ะก่อใหเ้ กดิ การสรา้ งรายได้ การสรา้ งงานและการมรี ายไดจ้ ากการ
สง่ ออก ในขณะเดยี วกนั กจ็ ะก่อใหเ้ กดิ โอกาสการมสี ว่ นรว่ มทางสงั คมเพอ่ื ใหเ้ กดิ ความเขม้ แขง็
เหนียวแน่นทางสงั คม (Social inclusion) เคารพในความหลากหลายทางวฒั นธรรม และ การ
พฒั นามนุษย์

• เศรษฐกจิ เชงิ สรา้ งสรรคจ์ ะครอบคลุมหลายแงม่ มุ ทงั้ ในมติ ดิ า้ นเศรษฐกจิ , สงั คม, และวฒั นธรรม
อกี ทงั้ ยงั มคี วามเกย่ี วขอ้ งสมั พนั ธก์ บั การพฒั นาเทคโนโลยี ทรพั ยส์ นิ ทางปัญญาและเป้าประสงค์
ดา้ นการทอ่ งเทย่ี ว

• เศรษฐกจิ เชงิ สรา้ งสรรคค์ อื ชดุ ของกจิ กรรมทางเศรษฐกจิ ทเ่ี น้นบนฐานความรู้ พรอ้ มดว้ ยมติ ดิ า้ น
การพฒั นา และมคี วามเชอ่ื มโยงไปทงั้ ในระดบั มหภาคและจุลภาค ทงั่ ทงั้ ระบบเศรษฐกจิ

• เศรษฐกจิ เชงิ สรา้ งสรรคค์ อื ทางเลอื กหน่งึ ของการพฒั นาทจ่ี าํ เป็นตอ้ งมกี ารตอบสนองในเชงิ
นโยบายทม่ี คี วามเป็นสหวทิ ยาการเชงิ นวตั กรรม (Innovative multidisciplinary) และตอ้ งมกี าร
ดาํ เนนิ การแบบขา้ มหน่วยขา้ มกระทรวง (Interministerial actions)

• หวั ใจสาํ คญั ของเศรษฐกจิ เชงิ สรา้ งสรรคค์ อื “อตุ สาหกรรมเชงิ สรา้ งสรรค”์ (Creative industries)

ในบทความฉบบั หน้า ผเู้ ขยี นจะไดล้ ว้ งลกึ เขา้ ไปในหวั ใจของเศรษฐกจิ เชงิ สรา้ งสรรค์ นนั่ กค็ อื
“อตุ สาหกรรมเชงิ สรา้ งสรรค”์

P a g e | 79

เอกสารประกอบ
สมบตั ิ กสุ มุ าวลี (2539) แนวคิดการพฒั นามนุษยแ์ ละสาระสาํ คญั ของรายงานการพฒั นามนุษย์

1990-1995. กรงุ เทพฯ: สาํ นกั วจิ ยั สถาบนั บณั ฑติ พฒั นบรหิ ารศาสตร.์
___________ (2539) “แนวคดิ การพฒั นามนุษยใ์ น Human Development Report’ วารสาร

ธรรมศาสตร์ 22, 2 (พฤษภาคม-สงิ หาคม 2539)
UNCTAD and UNDP (2008) Creative Economy Report 2008. United Nations.

P a g e | 80

- 12 -
อตุ สาหกรรมสร้างสรรค์ (Creative industries) (1)

ในบทความชน้ิ ทแ่ี ลว้ ผเู้ ขยี นไดอ้ รรถาธบิ ายถงึ ทม่ี าของแนวคดิ เศรษฐกจิ เชงิ สรา้ งสรรค์ และ
ไดท้ ง้ิ ทา้ ยไวว้ า่ ในตอนตอ่ ไปจะไดก้ ล่าวถงึ “หวั ใจ” ของเศรษฐกจิ เชงิ สรา้ งสรรค์ นนั่ กค็ อื
“อตุ สาหกรรมเชงิ สรา้ งสรรค”์ (Creative industries) อนั เป็นภาคสว่ นทางเศรษฐกจิ ทไ่ี ดร้ บั
การกล่าวขานวา่ มพี ลวตั การขบั เคล่อื นและการเปลย่ี นแปลงทท่ี รงพลงั มากทส่ี ดุ ในเศรษฐกจิ
การคา้ ของโลกปัจจบุ นั และอนาคต ดงั นนั้ ในคราวน้ีจงึ เป็นเรอ่ื งทว่ี า่ ดว้ ยอุตสาหกรรมเชงิ
สรา้ งสรรคค์ รบั โดยผเู้ ขยี นจะยดึ เอากรอบแนวคดิ ขององคก์ ร “การประชมุ สหประชาชาตวิ า่
ดว้ ยการคา้ และการพฒั นา” (UNCTAD) เป็นฐานความคดิ หลกั

ตามกรอบแนวคดิ ของ UNCTAD “อตุ สาหกรรมเชงิ

สรา้ งสรรค”์ จะหมายรวมถงึ วงจรของการสรา้ ง (Creation),

การผลติ (Production) และการจดั จาํ หน่ายกระจาย

(Distribution) สนิ คา้ และบรกิ ารทใ่ี ชค้ วามสรา้ งสรรค์

(Creativity) และทนุ ทางภมู ปิ ัญญา (Intellectual capital) เป็นปัจจยั พน้ื ฐานหลกั (Primary

inputs)

อุตสาหกรรมเชงิ สรา้ งสรรคจ์ ะประกอบไปดว้ ยกจิ กรรมทอ่ี ยบู่ นฐานของความรซู้ ง่ึ มที งั้ การ
ผลติ สนิ คา้ ทจ่ี บั ตอ้ งไดเ้ ป็นรปู ธรรมและ
การบรกิ ารเชงิ ปัญญาหรอื เชงิ ศลิ ปะทจ่ี บั
ตอ้ งไมไ่ ดแ้ ตม่ เี น้ือหาสาระ (Content) ท่ี
สรา้ งสรรค,์ มมี ลู คา่ ทางเศรษฐกจิ และมงุ่
ตอบสนองตลาด อุตสาหกรรมสรา้ งสรรค์

จะเกย่ี วขอ้ งกบั ภาคสว่ นตา่ งๆทม่ี คี วามหลากหลายซง่ึ มกี ารดาํ เนินกจิ กรรมทส่ี รา้ งสรรค์

P a g e | 81

แตกต่างกนั ไปไมว่ า่ จะเป็นดา้ นศลิ ปะและหตั ถกรรมตามวฒั นธรรมแบบดงั้ เดมิ , ดา้ นดนตรี
คตี ศลิ ป์ , ดา้ นการตพี มิ พ,์ ดา้ นทศั นะศลิ ป์ , ดา้ นศลิ ปะการแสดง ไปจนถงึ กล่มุ กจิ กรรมท่ี
มงุ่ เน้นการบรกิ ารและกจิ กรรมทใ่ี ชเ้ ทคโนโลยอี ยา่ งเขม้ ขน้ เชน่ ดา้ นภาพยนตร,์ ดา้ นโทรทศั น์
และการกระจายเสยี งวทิ ย,ุ สอ่ื ใหมๆ่ และการออกแบบ ภาคสรา้ งสรรคม์ โี ครงสรา้ งทาง
การตลาดทย่ี ดื หยนุ่ และจาํ แนกแยกไดห้ ลายกลุ่ม ไมว่ า่ จะเป็นกลุ่มบรรดาศลิ ปินอสิ ระหรอื
กจิ การธุรกจิ ขนาดเลก็ ไปจนถงึ กลุ่มธรุ กจิ ขนาดใหญ่ทส่ี ดุ ของโลก

จากรายงานทางเศรษฐกจิ ของโลกพบวา่ ในชว่ งปี 2000-2005 การคา้ ระหวา่ งประเทศใน
ประเภทของสนิ คา้ และบรกิ ารเชงิ สรา้ งสรรค์ มอี ตั ราการ
เตบิ โตสงู ถงึ รอ้ ยละ 8.7 ต่อปี ขอ้ มลู ของ UNCTAD ชใ้ี หเ้ หน็
วา่ มลู คา่ การสง่ ออกสนิ คา้ และบรกิ ารเชงิ สรา้ งสรรคข์ องโลก
ในปี 2005 มปี รมิ าณสงู ถงึ 424.4 พนั ลา้ นดอลลารส์ หรฐั คดิ

เป็นรอ้ ยละ 3.4 ของปรมิ าณการคา้ ของโลกโดยรวม มแี นวโน้มมากขน้ึ เรอ่ื ยๆวา่ อุตสาหกรรม
สรา้ งสรรคไ์ ดก้ ลายเป็นทางเลอื กเชงิ กลยทุ ธสาํ หรบั บรรดากลุ่มประเทศทม่ี คี วามกา้ วหน้าทาง
เศรษฐกจิ มากทส่ี ดุ ซง่ึ ประเทศเหลา่ น้ีเชอ่ื วา่ อุตสาหกรรมเชงิ สรา้ งสรรคจ์ ะนํามาซง่ึ ความ
จาํ เรญิ เตบิ โตทางเศรษฐกจิ มกี ารสรา้ งงานและการสรา้ งความเขม้ แขง็ ทางสงั คม (Social
inclusion) อยา่ งต่อเน่ือง ปรากฏการณ์ทส่ี าํ คญั อกี ประการหน่ึงไดแ้ กก่ ารพฒั นาแนวคดิ
“เมอื งแหง่ ความสรา้ งสรรค”์ (Creative cities) จนกลายเป็นสงิ่ ทแ่ี พรห่ ลายไปทวั่ ทงั้ ยโุ รปและ
อเมรกิ าเหนอื เมอื งสรา้ งสรรคก์ ลายเป็นนวตั กรรมทางสงั คมทส่ี าํ คญั ทเ่ี ป็นตวั สรา้ งความ
คกึ คกั เขม้ แขง็ ใหแ้ ก่เศรษฐกจิ และสงั คมของเมอื ง ทาํ ใหเ้ มอื งมกี ารสรา้ งงานทน่ี ่าทา้ ทาย มี
สถานทท่ี าํ งานทน่ี ่าทาํ งาน และกลายเป็นแหล่งดงึ ดดู ใจโดยเฉพาะบรรดาคนหนุ่มสาวรนุ่ ใหม่
ทม่ี ไี ฟทาํ งานสรา้ งสรรค์

นอกจากยโุ รปและอเมรกิ าเหนอื แลว้ ยงั มี
สญั ญาณชดั เจนวา่ บรรดาประเทศกาํ ลงั
พฒั นา โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ในแถบเอเชยี

P a g e | 82

เรมิ่ ทจ่ี ะไดร้ บั อานิสงสจ์ ากพลวตั ของเศรษฐกจิ สรา้ งสรรคใ์ นระดบั โลก และเรมิ่ มกี ารกาํ หนด
นโยบายทจ่ี ะสง่ เสรมิ ใหเ้ กดิ เศรษฐกจิ สรา้ งสรรคข์ น้ึ ในประเทศตนเอง ทพ่ี อจะเหน็ เป็น
รปู ธรรม ไดแ้ กป่ ระเทศอนิ เดยี เกาหลใี ต้ และเขตปกครองพเิ ศษฮอ่ งกง แต่ประเทศทไ่ี ดก้ ลาย
มาเป็นผนู้ ําในดา้ นน้ีคอื ประเทศจนี เน่ืองเพราะจนี ไดก้ ลายเป็นประเทศผผู้ ลติ และผสู้ ง่ ออก
ชนั้ นําของโลกในดา้ นสนิ คา้ สรา้ งสรรคท์ ม่ี มี ลู คา่ เพม่ิ สงู เฉพาะในเซย่ี งไฮ้ อตุ สาหกรรม
สรา้ งสรรคค์ ดิ เป็นรอ้ ยละ 7 ของ GDP และเพอ่ื ใหเ้ ซย่ี งไฮก้ ลายเป็นเมอื งแหง่ ความ
สรา้ งสรรค์ รฐั บาลจงึ ตงั้ เป้าหมายใหก้ ารลงทุนในอตุ สาหกรรมสรา้ งสรรคเ์ พม่ิ ขน้ึ เป็นรอ้ ยละ
10 ของ GDP ทงั้ หมดในเซย่ี งไฮ้ สาํ หรบั ปี 2010 ทน่ี ่าสนใจคอื ในชว่ งปี 1996-2005 บรรดา
ประเทศกาํ ลงั พฒั นาไดม้ กี ารสง่ ออกสนิ คา้ สรา้ งสรรค์ (Creative products) เชน่ คอมพวิ เตอร์
, กลอ้ งถา่ ยรปู , โทรทศั น์, วสั ดโุ สตทศั นูปกรณ์ รวมทงั้ การกระจายถา่ ยทอดภาพและเสยี ง
(Broadcasting) ฯลฯ เพมิ่ ขน้ึ อยา่ งมาก จาก 5 หมน่ื 1 พนั ลา้ นเหรยี ญดอลลารส์ หรฐั ในปี
1996 เพม่ิ เป็น 2 แสน 7 หมน่ื 4 พนั ลา้ นเหรยี ญดอลลารส์ หรฐั เมอ่ื ปี 2005 การเตบิ โตอยา่ ง
รวดเรว็ และน่าตน่ื ตาตน่ื ใจของสนิ คา้ สรา้ งสรรคจ์ ากประเทศกาํ ลงั พฒั นาเชน่ น้ีเป็นตวั บง่ ชถ้ี งึ
“ยทุ ธศาสตรก์ ารไลก่ วดกนั ” (Catching-up strategy) ทบ่ี รรดาประเทศกาํ ลงั พฒั นาตา่ งกเ็ รง่
ยกระดบั ขดี ความสามารถของตนเองทจ่ี ะสง่ ออกสนิ คา้ เชงิ สรา้ งสรรคท์ ม่ี มี ลู คา่ เพม่ิ ไปยงั
ตลาดโลก ในขณะเดยี วกนั กเ็ ป็นการยนื ยนั วา่ ปรมิ าณอปุ สงคท์ ม่ี ตี อ่ สนิ คา้ เชงิ สรา้ งสรรคใ์ น
ตลาดโลกไดม้ กี ารขยายตวั อยา่ งตอ่ เน่อื ง ซง่ึ มคี วามจาํ เป็นทจ่ี ะตอ้ งมหี ลายอตุ สาหกรรมทเ่ี ขา้
มาเกย่ี วขอ้ งนบั ตงั้ แตอ่ ุตสาหกรรมตน้ น้ํา กลางน้ํา และไปจนถงึ อตุ สาหกรรมปลายน้ํา นนั่ คอื
นบั ตงั้ แต่กระบวนการของการจดั ซอ้ื จดั หาวตั ถุดบิ และชน้ิ สว่ น, กระบวนการการผลติ และการ
ประกอบชน้ิ สว่ น ไปจนถงึ กระบวนการทางการขาย การตลาดและการจดั จาํ หน่าย รวมทงั้
การบรโิ ภค อปุ สงคท์ เ่ี พมิ่ ขน้ึ อยา่ งตอ่ เน่อื งเชน่ น้ชี ว่ ยตอกย้าํ ถงึ ศกั ยภาพของเศรษฐกจิ
สรา้ งสรรคว์ า่ จะเป็นปัจจยั สาํ คญั ในการสรา้ งคณุ ูปการต่อความจาํ เรญิ เตบิ โตทางเศรษฐกจิ
ตอ่ ไป

อยา่ งไรกต็ าม สาํ หรบั ประเทศกาํ ลงั พฒั นาสว่ นใหญ่แลว้ คงตอ้ งยอมรบั วา่ ประเทศเหล่าน้ียงั
ขาดขดี ความสามารถพอทจ่ี ะขบั เคล่อื นสมรรถนะความสรา้ งสรรคข์ องตนเองไดอ้ ยา่ งเตม็

P a g e | 83

ศกั ยภาพ อุปสรรคทส่ี าํ คญั น่าจะไดแ้ ก่ “ปัจจยั ภายใน” คอื การขาดนโยบายทผ่ี นึกกาํ ลงั กนั
เพอ่ื การสนบั สนุนสง่ เสรมิ อุตสาหกรรมสรา้ งสรรคอ์ ยา่ งชดั เจน และทส่ี าํ คญั คอื “ปัจจยั
ภายนอก” นนั่ คอื การมี “อคต”ิ อยา่ งเป็นระบบในระดบั โลก (Global systemic biases) ทม่ี ตี อ่
สนิ คา้ จากประเทศกาํ ลงั พฒั นา

เริ่มต้นท่ีออสเตรเลีย แต่เติบโตท่ีองั กฤษ

จุดกาํ เนดิ ของคาํ วา่ “อุตสาหกรรมเชงิ สรา้ งสรรค”์

บงั เกดิ ขน้ึ ครงั้ แรกเมอ่ื ปี ค.ศ. 1994 โดยประเทศ

ออสเตรเลยี ไดน้ ําเสนอรายงานทช่ี อ่ื “Creative Nation

Report” เพอ่ื ชน้ี ําทศิ ทางทางนโยบายของประเทศทจ่ี ะ

มงุ่ เน้นการพฒั นาอตุ สาหกรรมทางวฒั นธรรม (Cultural Industry Development) แนวคดิ

ของออสเตรเลยี สอดรบั กบั กลุ่มประเทศในเครอื จกั รภพ (The Commonwealth) คอื มงุ่ เน้น

การสง่ เสรมิ การพฒั นาเอกลกั ษณ์ทางวฒั นธรรมใหเ้ ป็นฐานสาํ คญั ของการพฒั นาเศรษฐกจิ

ของประเทศ แนวคดิ เชน่ น้ีไดก้ ลายเป็นแนวคดิ ทโ่ี ดง่ ดงั แพรห่ ลายในวงกวา้ งอยา่ งมาก เมอ่ื

นกั วางแผนนโยบายของประเทศองั กฤษไดน้ ําเอาแนวคดิ น้ไี ปกาํ หนดเป็นนโยบายของ

ประเทศ กล่าวคอื เมอ่ื ปี 1997 รฐั บาลองั กฤษโดย กรมวฒั นธรรม, สอ่ื และการกฬี า

(Department of Culture, Media and Sport) ไดจ้ ดั ตงั้ “ทมี ทาํ งานอตุ สาหกรรมเชงิ

สรา้ งสรรค”์ (Creative Industries Task Force) ขน้ึ มา นบั จากนนั้ เป็นตน้ มา คาํ วา่

“อตุ สาหกรรมเชงิ สรา้ งสรรค”์ ไดถ้ กู พฒั นาใหม้ ขี อบเขตทก่ี วา้ งไกลไปจากเดมิ ทเ่ี คยมี

ความหมายแคบๆเพยี งแค่ “อตุ สาหกรรมเชงิ วฒั นธรรม” (Cultural industries) ทเ่ี น้นไปท่ี
เรอ่ื งของศลิ ปะวฒั นธรรมเทา่ นนั้ แต่สาํ หรบั ประเทศองั กฤษไดข้ ยายความหมายอตุ สาหกรรม

P a g e | 84

เชงิ สรา้ งสรรคใ์ หก้ วา้ งครอบคลุมไปถงึ กจิ กรรมเชงิ พาณชิ ยท์ ม่ี ศี กั ยภาพซง่ึ ในอดตี มกั จะถกู
มองวา่ เป็นกจิ กรรมทไ่ี มม่ นี ยั ยะทางเศรษฐกจิ

หลากหลายตวั แบบ

หากศกึ ษาจากรายงาน Creative Economy Report 2008 จะพบวา่ มกี ารจดั แบ่งแนวคดิ

เศรษฐกจิ สรา้ งสรรคอ์ อกเป็น 4 ตวั แบบ (Model) ซง่ึ แต่ละตวั แบบจะสะทอ้ นถงึ ระบบการ

จาํ แนกคณุ ลกั ษณะของอตุ สาหกรรมสรา้ งสรรคท์ แ่ี ตกตา่ งกนั ออกไป 4 แบบ แน่นอนวา่ แตล่ ะ

ตวั แบบยอ่ มมเี หตุผลและคาํ อธบิ ายทแ่ี ตกตา่ งกนั ออกไป ขน้ึ อยกู่ บั สมมตฐิ านทเ่ี กย่ี วกบั

เป้าประสงคแ์ ละวถิ ปี ฏบิ ตั ิ (Mode of operation) ของอุตสาหกรรมทแ่ี ตกต่างกนั ออกไป

เพราะฉะนนั้ แต่ละตวั แบบกจ็ ะมพี น้ื ฐานนําไปสกู่ ารจาํ แนกอุตสาหกรรมในเศรษฐกจิ

สรา้ งสรรคอ์ อกเป็น “กลุม่ อตุ สาหกรรมหลกั ” (Core creative industries) กบั “กลุ่ม

อตุ สาหกรรมชายขอบ” (Peripheral) ทแ่ี ตกต่างกนั ออกไป ตวั แบบทงั้ 4 มดี งั น้ี

1) ตวั แบบ UK DCMS เป็นตวั แบบทก่ี ลุ่มประเทศสหราชอาณาจกั ร (United Kingdom)
โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ ประเทศองั กฤษพฒั นาขน้ึ มาในชว่ ง
ปลายทศวรรษท่ี 1990 เน่อื งจากประเทศองั กฤษมนี โยบาย
การสรา้ งความทนั สมยั (Modernise UK) ดงั นนั้ จงึ
จาํ เป็นตอ้ งปรบั เปลย่ี นตาํ แหน่ง (Reposition) ทาง

เศรษฐกจิ ขององั กฤษเสยี ใหม่ ดว้ ยการนําเสนอแนวคดิ ทว่ี า่ ภายใตโ้ ลกโลกาภวิ ฒั น์
ยคุ ใหมท่ ม่ี กี ารแขง่ ขนั กนั อยา่ งเขม้ ขน้ ในระดบั โลก องั กฤษจาํ เป็นตอ้ งพฒั นาระบบ
เศรษฐกจิ ทข่ี บั เคล่อื นโดยความสรา้ งสรรค์ (Creativity) และนวตั กรรม (Innovation)
ดงั นนั้ สาํ หรบั ประเทศองั กฤษและกลุ่มสหราชอาณาจกั รแลว้ อุตสาหกรรมเชงิ
สรา้ งสรรคจ์ งึ หมายถงึ อุตสาหกรรมทต่ี อ้ งการความคดิ สรา้ งสรรค์ ตอ้ งใชท้ กั ษะและ
ความสามารถทโ่ี ดดเดน่ (Talent) ดว้ ยศกั ยภาพทจ่ี ะกอ่ ใหเ้ กดิ ความมงั่ คงั่ และการ
สรา้ งงาน โดยสง่ เสรมิ ใหเ้ กดิ การพฒั นาระบบสนิ ทรพั ยท์ างปัญญา (Intellectual
property) และการสรา้ งความจาํ เรญิ เตบิ โตทางเศรษฐกจิ บนพน้ื ฐานของสนิ ทรพั ยท์ าง

P a g e | 85

ปัญญาเหล่านนั้ ภายใตน้ โยบายเศรษฐกจิ สรา้ งสรรคเ์ ชน่ น้ี องั กฤษโดยกระทรวง
วฒั นธรรม, สอ่ื และการกฬี า (Department of Culture, Media and Sport- DCMS)
ไดจ้ ดั ให้ 13 อตุ สาหกรรมอยใู่ นกลุ่มอุตสาหกรรมเชงิ สรา้ งสรรค์ (ดรู ายละเอยี ดไดใ้ น
ภาพท1่ี ) ซง่ึ เดมิ DCMS เรยี ก 13 อตุ สาหกรรมน้วี า่ “อุตสาหกรรมเชงิ วฒั นธรรม”
(Cultural industries) แต่ตอ่ มารฐั บาลองั กฤษไดห้ นั มาใชเ้ ป็นคาํ วา่ “อตุ สาหกรรมเชงิ
สรา้ งสรรค”์ (Creative industries) แทน ดว้ ยเหตุผลทว่ี า่ ตอ้ งการลดความเป็นไปไดท้ ่ี
คนจะนําเอาคาํ วา่ “เชงิ วฒั นธรรม” (Cultural) ไปผกู โยงเขา้ กบั คาํ วา่ “วฒั นธรรม
ชนั้ สงู ” (High Culture) จนอาจทาํ ใหเ้ กดิ ความเขา้ ใจผดิ วา่ อุตสาหกรรมขององั กฤษ
เหมาะกบั กลมุ่ ผบู้ รโิ ภคทต่ี อ้ งการเสพวฒั นธรรมชนั้ สงู เทา่ นนั้

1. The UK DCMS model

เศรษฐกจิ เชงิ สร้างสรรคข์ องประเทศองั กฤษประกอบด้วย 13 อตุ สาหกรรม
สร้างสรรค์ ได้แก่
7. Film and video
1. Advertising 8. Music
2. Architecture 9. Performing arts
3. Art and antique market 10. Publishing
4. Craft 11. Software
5. Design 12. Television and radio
6. Fashion 13. Video and computer

games

2) ตวั แบบ “ตวั บทเชงิ สญั ลกั ษณ์” (Symbolic texts model) ตวั แบบอุตสาหกรรมเชงิ

สรา้ งสรรคแ์ บบน้เี ป็นทค่ี นุ้ เคยรจู้ กั กนั อยา่ งดใี นกลุม่ แนวคดิ “อตุ สาหกรรมเชงิ

วฒั นธรรม” (Cultural industries) โดยแนวคดิ น้ีมพี ฒั นาการทางความคดิ มาจาก

สาขาวชิ าการดา้ น “วฒั นธรรมศกึ ษาเชงิ วพิ ากษ”์ (Critical cultural studies) ซง่ึ แตก

หน่อมาจากสาํ นกั คดิ เชงิ วพิ ากษข์ องกลมุ่ นกั คดิ สาํ นกั แฟรงคเ์ ฟิรต์ (Frankfurt

P a g e | 86

school) และไดเ้ ป็นสาขาวชิ าการทแ่ี พรห่ ลายอยา่ งมากในยโุ รปและโดยเฉพาะอยา่ ง
ยงิ่ ในประเทศองั กฤษซง่ึ มจี ารตี ทางวชิ าการเชงิ วพิ ากษ์สบื ตอ่ กนั มาสงู มาก มผี ลงานท่ี
โดง่ ดงั เชน่ งานเขยี นของศาสตราจารย์ Stuart Halls และกลมุ่ นกั คดิ ท่ี the Centre
for Contemporary Cultural Studies แหง่ มหาวทิ ยาลยั เบอรม์ ง่ิ แฮม รวมทงั้ ผลงาน
ศกึ ษาวจิ ยั ทโ่ี ดง่ ดงั เรอ่ื ง The Cultural Industries (2002, 2007) ของศาสตราจารย์
David Hesmondhalgh ผอู้ าํ นวยการ The Media Industries Research Centre
(MIRC) แหง่ มหาวทิ ยาลยั ลดี ส์ หากกล่าวโดยสงั เขปแลว้ แนวคดิ ของกลุ่มน้ีมอง
บรรดาศลิ ปะ “ชนั้ สงู ” (High) หรอื ศลิ ปะแบบซเี รยี ส (Serious arts) วา่ เป็นเสมอื น
อาณาบรเิ วณพเิ ศษสาํ หรบั การเสพศลิ ปะของพวกกลุ่มผมู้ อี าํ นาจทางสงั คมและ
การเมอื ง ดงั นนั้ ตวั แบบน้ีจงึ มงุ่ ความสนใจไปท่ี “วฒั นธรรมปวงประชา” (Popular
culture) เสยี มากกวา่ สาํ หรบั ตวั แบบน้ีมองวา่ กระบวนการของการก่อรปู และ
แพรก่ ระจายทางวฒั นธรรมของสงั คมหน่ึงๆนนั้ จะเกดิ ขน้ึ ไดก้ โ็ ดยผา่ น “การผลติ ทาง
วฒั นธรรม” (Industrial production), มกี ารแพรก่ ระจาย (Dissemination) และการ
บรโิ ภค (Consumption) ตวั บทเชงิ สญั ญลกั ษณ์ อนั หมายถงึ ขอ้ ความ (Message) ท่ี
จะถกู สง่ /สอ่ื สาร/นําความไปโดยวธิ กี ารทางสอ่ื (Media) ทห่ี ลากหลาย เชน่ ผา่ นทาง
สอ่ื สง่ิ พมิ พ,์ ภาพยนตร,์ การกระจายภาพและเสยี ง (Broadcasting) และหนงั สอื พมิ พ์
(The Press)

P a g e | 87

2. The symbolic texts model

อตุ สาหกรรมเชิงสร้างสรรคข์ องกลุ่ม “ตวั บทเชงิ สญั ญลกั ษณ”์ ประกอบด้วยกล่มุ
อตุ สาหกรรม ดงั น�ี

Core cultural industries Peripheral cultural industries
 Advertising  Creative arts
 Film
 Internet Borderline cultural industries
 Music  Consumer electronics
 Publishing  Fashion
 Television and radio  Software
 Video and computer games  Sport

ในบทความฉบบั หน้าผเู้ ขยี นจะไดก้ ลา่ วถงึ อกี 2 ตวั แบบทเ่ี หลอื ใหจ้ บครบั

P a g e | 88

- 13 -

อตุ สาหกรรมเชิงสรา้ งสรรค์ (Creative industries) (2)

บทความฉบบั ทแ่ี ลว้ ผเู้ ขยี นไดเ้ ขยี นถงึ “หวั ใจ” ของเศรษฐกจิ เชงิ สรา้ งสรรค์ นนั่ กค็ อื
“อุตสาหกรรมเชงิ สรา้ งสรรค”์ (Creative industries) อนั เป็นภาคสว่ นทางเศรษฐกจิ ทถ่ี อื ไดว้ า่
มพี ลวตั การขบั เคลอ่ื นและการเปลย่ี นแปลงทท่ี รงพลงั มากทส่ี ดุ ในเศรษฐกจิ การคา้ ของโลก
ปัจจบุ นั และอนาคต โดยผเู้ ขยี นไดย้ ดึ เอาแนวทางขององคก์ ร “การประชุมสหประชาชาตวิ า่
ดว้ ยการคา้ และการพฒั นา” (UNCTAD) มานําเสนอวา่ มกี ารจดั กล่มุ แนวคดิ ทเ่ี กย่ี วกบั
อุตสาหกรรมเชงิ สรา้ งสรรคแ์ บง่ ออกเป็น 4 ตวั แบบ ในบทความฉบบั ทแ่ี ลว้ ผเู้ ขยี นได้
กล่าวถงึ 2 ตวั แบบแรกไปแลว้ มาในคราวน้กี จ็ ะไดก้ ลา่ วถงึ อกี 2 ตวั แบบสดุ ทา้ ย ดงั น้ี

3) ตวั แบบ “Concentric circles model” ตวั แบบน้ีถกู นําไปใชใ้ นการจาํ แนกอุตสาหกรรม
สรา้ งสรรคใ์ นยโุ รป โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ ทป่ี รากฎอยใู่ นรายงานล่าสดุ The Economy
of Culture ซง่ึ จดั ทาํ โดย the European Commission (KEA European Affairs,
2006: 53-57) รายงานชน้ิ น้ีมกี ารนําเสนอแนวความคดิ และผลการศกึ ษาทเ่ี กย่ี วกบั
เศรษฐกจิ สรา้ งสรรคแ์ ละเศรษฐกจิ เชงิ วฒั นธรรมไวอ้ ยา่ งน่าสนใจเป็นอยา่ งยง่ิ ซง่ึ
ผเู้ ขยี นจะไดห้ าโอกาสเขยี นถงึ รายงานฉบบั น้ีอยา่ งพสิ ดารกวา่ น้ตี ่อไปในอนาคต ใน
รายงาน The Economy of Culture เรยี กตวั แบบน้วี า่ เป็น “กระบวนการแพรก่ ระจาย
รงั ส”ี (Radiation process) ตวั แบบน้ตี งั้ อยบู่ นพน้ื ฐานความคดิ ทว่ี า่ คณุ คา่ ทาง
วฒั นธรรม (Cultural values) ของสนิ คา้ ทางวฒั นธรรม (Cultural goods) เป็น
ตวั กาํ หนดคณุ ลกั ษณะทโ่ี ดดเดน่ ของอตุ สาหกรรมประเทศนนั้ ๆ ดงั นนั้ ยง่ิ เน้ือหาสาระ
ทางวฒั นธรรม (Cultural content) ของสนิ คา้ หรอื บรกิ ารแบบหน่ึงถกู ขบั เน้นใหโ้ ดด
เดน่ ออกมามากเทา่ ไร กจ็ ะยง่ิ ทาํ ใหอ้ ตุ สาหกรรมมเี หตผุ ลทห่ี นกั แน่นมากยง่ิ ขน้ึ ในอนั

P a g e | 89

ทจ่ี ะผลติ สนิ คา้ และบรกิ ารเหลา่ นนั้ ออกมา ตวั แบบน้ีเน้นวา่ แนวคดิ ทส่ี รา้ งสรรคจ์ ะ
เกดิ ขน้ึ จากศนู ยร์ วม 2 ทางหลกั ไดแ้ ก่

1) ความสรา้ งสรรคท์ ม่ี าจาก “ศลิ ปะเชงิ สรา้ งสรรคท์ เ่ี ป็นแกนหลกั ” (The core
creative arts) ซง่ึ จะสรรสรา้ งออกมาในรปู ของเสยี ง (ดนตร)ี , ตวั บท
(วรรณกรรม), และภาพ (Visual arts, Performing arts) หรอื

2) ความสรา้ งสรรคท์ ม่ี าจาก “อตุ สาหกรรมทางวฒั นธรรมทเ่ี ป็นแกนหลกั ”
(Other core cultural industries) ซง่ึ สรรสรา้ งออกมาในรปู ของภาพยนตร์
(Film) หรอื พพิ ธิ ภณั ฑแ์ ละหอ้ งสมดุ

แนวคดิ ทส่ี รา้ งสรรคท์ ม่ี าจากศนู ยร์ วมทงั้ 2 แหล่งเหลา่ น้ีจะแพรก่ ระจายอทิ ธพิ ลออก
ไปสชู่ นั้ ตอ่ ไป อนั ไดแ้ ก่ ชนั้ ของอุตสาหกรรมทางวฒั นธรรมทก่ี วา้ งออกไป (Wilder
cultural industries) ในชนั้ น้ีสดั สว่ นของเน้ือหาทางวฒั นธรรม (Cultural Content) จะ
ถกู พฒั นาไปสสู่ นิ คา้ หรอื บรกิ ารทม่ี เี น้ือหาเพอ่ื การพาณิชย์ (Commercial content)
มากขน้ึ และความสรา้ งสรรคก์ ย็ งั แพรก่ ระจายไปสชู่ นั้ อ่นื ๆ อนั ไดแ้ ก่ “อุตสาหกรรมท่ี
เกย่ี วขอ้ ง” (Related industries) เชน่ อตุ สาหกรรมโฆษณา, สถาปัตยกรรม, ดา้ นการ
ออกแบบ และอุตสาหกรรมแฟชนั ่

P a g e | 90

3. The concentric circles model

Advertising Related industries Design
Fashion
Architecture

Wider cultural industries

Heritage services Video and computer
Publishing games
Sound recording
Television and radio

Core creative Core cultural
arts industries
• Literature • Film
• Music • Museums and
• Performing arts
•Visual arts libraries

4) ตวั แบบ WIPO copyright model ตวั แบบน้เี ป็นแนวคดิ ทพ่ี ฒั นาขน้ึ มาโดยองคก์ าร

ทรพั ยส์ นิ ทางปัญญาโลก (World Intellectual Property Organisation - WIPO) ซง่ึ

ใหค้ วามสาํ คญั กบั การปกป้องความคดิ รเิ รม่ิ สรา้ งสรรคใ์ นฐานะทเ่ี ป็นทรพั ยส์ นิ ทาง

ปัญญาของมนุษย์ ตวั แบบน้มี พี น้ื ฐานความคดิ วา่ อตุ สาหกรรมสรา้ งสรรคค์ อื

อุตสาหกรรมทเ่ี กย่ี วขอ้ ง – ไมว่ า่ จะโดยทางตรงและหรอื ทางออ้ ม – กบั การสรา้ ง, การ

ประดษิ ฐ,์ การผลติ , การคดิ คน้ (Creation, manufacture, production), การถา่ ยทอด

และเผยแพรก่ ระจายภาพและเสยี ง (Broadcasting), และการจดั จาํ หน่าย

(Distribution) ผลงานทม่ี กี ารจดลขิ สทิ ธิ ์ (Copyrighted works) จุดเน้นของตวั แบบน้ี

อยทู่ ก่ี ารพทิ กั ษ์ปกป้องทรพั ยส์ นิ ทางปัญญาในฐานะทเ่ี ป็นผลงานแหง่ ความสรา้ งสรรค์

ซง่ึ ไดก้ ลายเป็นสนิ คา้ และบรกิ ารทม่ี มี ลู คา่ ทางเศรษฐกจิ ตวั แบบน้มี กี ารจดั แบ่ง

ประเภทอตุ สาหกรรมสรา้ งสรรคอ์ อกเป็น

1) กลุ่มอตุ สาหกรรมหลกั ทม่ี งุ่ ผลติ ทรพั ยส์ นิ ทางปัญญาและการจดทะเบยี น
ลขิ สทิ ธถิ์ อื เป็นเรอ่ื งทส่ี าํ คญั ของธรุ กจิ (Core copyright industries)

P a g e | 91

2) กลุ่มอุตสาหกรรมทจ่ี าํ เป็นตอ้ งนําเอาสนิ คา้ และบรกิ ารของกลมุ่ แรกสง่ มอบ
ต่อไปยงั ผบู้ รโิ ภค และการจดทะเบยี นลขิ สทิ ธถิ์ อื เป็นเรอ่ื งทส่ี าํ คญั ของธรุ กจิ
(Interdependent copyright industries) และ

3) กลุ่มอตุ สาหกรรมทม่ี บี างสว่ นของธุรกจิ มคี วามเกย่ี วขอ้ งกบั ทรพั ยส์ นิ ทาง
ปัญญา แต่เป็นเพยี งสว่ นเสย้ี วเลก็ น้อยเมอ่ื เทยี บกบั กระบวนการปฏบิ ตั งิ าน
ทงั้ หมด (Partial copyright industries)

4. The WIPO copyright model

Core copyright industries Interdependent Partial copyright
copyright industries industries
 Advertising
 Collecting societies  Blank recording  Architecture
 Film and video materials  Clothing, footwear
 Music  Design
 Performing arts  Consumer  Fashion
 Publishing electronics  Household goods
 Software  Toys
 Television and radio  Music instruments
 Visual and graphic  Paper
 Photocopiers,
arts
Photographic
equipments

UNCTAD กบั การสงั เคราะหค์ าํ นิยาม

ประเดน็ เรอ่ื งเศรษฐกจิ เชงิ สรา้ งสรรคแ์ ละอตุ สาหกรรมเชงิ
สรา้ งสรรคไ์ ดถ้ กู ยกขน้ึ มาเป็นวาระ (Agenda) ทางเศรษฐกจิ
และการพฒั นาในระดบั สากล เมอ่ื UNCTAD จดั ใหม้ กี าร
ประชมุ ระดบั รฐั มนตรคี รงั้ ท่ี 11 (the UNCTAD XI Ministerial

P a g e | 92

Conference) เมอ่ื ปี คศ.2004 นบั จากนนั้ มา UNCTAD จงึ ไดพ้ ยายาม กาํ หนดนิยาม
ความหมายของเศรษฐกจิ เชงิ สรา้ งสรรคแ์ ละอุตสาหกรรมเชงิ สรา้ งสรรคใ์ หม้ คี วามเป็น
เอกภาพเป็นทเ่ี ขา้ ใจในระดบั สากล สาํ หรบั แนวทางของ UNCTAD เกย่ี วกบั อุตสาหกรรมเชงิ
สรา้ งสรรคน์ นั้ ถอื ไดว้ า่ เป็นความพยายามทจ่ี ะขยายกรอบแนวคดิ ใหก้ วา้ งใหญ่มากขน้ึ ไม่
จาํ กดั ตวั อยใู่ นตวั แบบใดตวั แบบหน่ึง โดยเฉพาะอยา่ งในการตคี วามคาํ วา่ “ความสรา้ งสรรค”์
นนั้ ไดม้ กี ารตคี วามใหก้ วา้ งมากขน้ึ โดยครอบคลุมตงั้ แตก่ จิ กรรมทม่ี ปี ระกอบทางศลิ ปะอยา่ ง
เขม้ ขน้ ไปจนถงึ กจิ กรรมทางเศรษฐกจิ ทผ่ี ลติ สนิ คา้ เชงิ สญั ญลกั ษณ์ (Symbolic products)
พรอ้ มไปกบั การเชอ่ื มโยงไปถงึ เรอ่ื งของทรพั ยส์ นิ ทางปัญญา (Intellectual property) รวมไป
ถงึ สนิ คา้ และบรกิ ารทม่ี งุ่ ตอบสนองตลาดในวงกวา้ ง

นอกจากน้ี UNCTAD ยงั ไดม้ กี ารจาํ แนกอุตสาหกรรมสรา้ งสรรคอ์ อกเป็นทงั้ กลมุ่ “กจิ กรรม
ตน้ น้ํา” (Upstream activities) เชน่ กจิ กรรมทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั วฒั นธรรม
ตามจารตี ประเพณดี งั้ เดมิ ซง่ึ มที งั้ งานทศั นศลิ ป์ (Visual arts) และ
ศลิ ปะการแสดง (Performing arts) รวมไปถงึ กลมุ่ “กจิ กรรมปลายน้ํา”
(Downstream activities) ซง่ึ สว่ นใหญ่จะเป็นกจิ กรรมทเ่ี กย่ี วขอ้ งใกลช้ ดิ

กบั ตลาด เชน่ กจิ กรรมดา้ นการโฆษณา, ประชาสมั พนั ธ,์ การตพี มิ พ์ (Publishing) หรอื
กจิ กรรมทเ่ี กย่ี วกบั สอ่ื (Medias) ซง่ึ หากสงั เกตจะเหน็ ไดว้ า่ กลุ่มกจิ กรรมประเภทหลงั น้ี
สามารถสรา้ งมลู คา่ เชงิ พาณชิ ยไ์ ดจ้ ากตน้ ทนุ การผลติ ซ้ําทต่ี ่าํ และยงั งา่ ยต่อการถา่ ยโอนไปสู่
มติ ทิ างเศรษฐกจิ ในรปู แบบอ่นื ๆได้ เชน่ การนําเอาประโยชน์จากศลิ ปะการแสดงพน้ื บา้ น
(กจิ กรรมตน้ น้ํา) มาใชใ้ นกจิ กรรมโฆษณาประชาสมั พนั ธ,์ ใชใ้ นกจิ กรรมสงิ่ พมิ พ์ หรอื ใชท้ าํ
สอ่ื มลั ตมิ เี ดยี (กจิ กรรมปลายน้ํา) เป็นตน้ จากมมุ มองเชน่ น้ี ทาํ ใหเ้ หน็ ไดว้ า่ อุตสาหกรรมเชงิ
วฒั นธรรม (Cultural industries) ถอื เป็นสว่ นหน่ึง (Subset) ของอุตสาหกรรมเชงิ สรา้ งสรรค์

เมอ่ื เป็นเชน่ น้ี อุตสาหกรรมเชงิ สรา้ งสรรคจ์ งึ มนี ยั ความหมายและมขี อบขา่ ยทก่ี วา้ งไกล
เกย่ี วขอ้ งสมั พนั ธก์ บั หลากหลายภาคสว่ นยอ่ ยๆทงั้ หลาย นบั ตงั้ แตก่ จิ กรรมพน้ื ฐานเชงิ จารตี
ทต่ี อ้ งอาศยั ความรดู้ งั้ เดมิ พน้ื ถน่ิ และมรดกทางวฒั นธรรม เชน่ งานศลิ ปะ (Arts) และงาน
ฝีมอื หตั ถกรรม (Crafts) รวมทงั้ งานกจิ กรรมทเ่ี ป็นเทศกาลทางวฒั นธรรม (Cultural

P a g e | 93

festivities) ไปจนถงึ กลุม่ กจิ กรรมทเ่ี น้นการใชเ้ ทคโนโลยที เ่ี ขม้ ขน้ มากขน้ึ และกลุม่ กจิ กรรมท่ี
เน้นการใหบ้ รกิ าร (Service-led) เชน่ เทคโนโลยดี า้ นภาพและเสยี ง (Audiovisuals) และสอ่ื
รปู แบบใหมๆ่ (New medias)
โดยสรปุ แลว้ UNCTAD ไดจ้ าํ แนกอตุ สาหกรรมเชงิ สรา้ งสรรคอ์ อกเป็น 4 กลุ่มใหญ่ๆ ไดแ้ ก่
1) กลมุ่ มรดก (Heritage) 2) ศลิ ปะ (Arts) 3) สอ่ื (Media) และ 4) สงิ่ ทส่ี รา้ งสรรคข์ น้ึ มาเพอ่ื
การใชง้ าน (Functional creation) โดยมรี ายละเอยี ด ดงั น้ี

การจาํ แนกประเภท “อุตสาหกรรมเชิงสร้างสรรค์” ของ UNCTAD

1) มรดก (Heritage) มรดกทางวฒั นธรรมถอื ไดว้ า่ เป็นจดุ กาํ เนิดของศลิ ปะทกุ รปู แบบ
อกี ทงั้ ยงั ถอื ไดว้ า่ เป็นจติ วญิ ญาณทส่ี าํ คญั ของอตุ สาหกรรมเชงิ วฒั นธรรมและ
อุตสาหกรรมเชงิ สรา้ งสรรค์ มรดกคอื จดุ ศนู ยร์ วมสาํ คญั ทด่ี งึ เอาแงม่ มุ ทางวฒั นธรรม
มาจากทกุ มติ ิ ไมว่ า่ จะเป็นมติ เิ ชงิ ประวตั ศิ าสตร,์ มติ ดิ า้ นมานุษยวทิ ยา, มติ ทิ างชาติ
พนั ธวุ์ รรณา, มติ ทิ างสนุ ทรยี ะ และแงม่ มุ ทางสงั คม มรดกทางวฒั นธรรมคอื ปัจจยั ทม่ี ี
อทิ ธพิ ลสาํ คญั ทจ่ี ะกอ่ ใหเ้ กดิ ความสรา้ งสรรคแ์ ละเป็นจุดกาํ เนดิ ของสนิ คา้ และบรกิ าร
รวมทงั้ กจิ กรรมทางวฒั นธรรมจาํ นวนมากมายนบั ไมถ่ ว้ น สงิ่ ทต่ี ดิ ตามมาควบคไู่ ปกบั

P a g e | 94

มรดกกค็ อื แนวคดิ ทว่ี า่ ดว้ ย “ความรตู้ ามจารตี พน้ื ถนิ่ ” (Traditional knowledge) และ
“การสาํ แดงออกทางวฒั นธรรม” (Cultural expressions) ซง่ึ ฝังอยใู่ นการสรา้ งสรรค์
ศลิ ปะและหตั ถกรรม รวมทงั้ ทอ่ี ยใู่ นประเพณคี วามเชอ่ื ของผคู้ นและกจิ กรรมเทศกาล
ทางวฒั นธรรมทจ่ี ดั กนั เป็นประเพณี อุตสาหกรรมกลุ่มน้จี งึ สามารถจดั จาํ แนกไดเ้ ป็น
2 กลมุ่ ยอ่ ย ไดแ้ ก่

• กลุ่มทส่ี าํ แดงออกทางวฒั นธรรมตามจารตี ประเพณี (Traditional cultural
expressions) ไดแ้ ก่งานศลิ ปะและหตั ถกรรม, งานเทศกาล (Festivals) และ
การเฉลมิ ฉลอง (Celebrations)

• สถานทท่ี างวฒั นธรรม (Cultural sites) ไดแ้ ก่ สถานทเ่ี ชงิ โบราณคด,ี
พพิ ธิ ภณั ฑ,์ หอ้ งสมดุ , งานแสดงนิทรรศการตา่ งๆ (Exhibitions) เป็นตน้

2) ศิลปะ (Arts) จดั เป็นอุตสาหกรรมเชงิ สรา้ งสรรคท์ อ่ี ยบู่ นพน้ื ฐานของศลิ ปะและ
วฒั นธรรมอยา่ งแทจ้ รงิ ผลงานทางศลิ ปะกลุม่ น้ีมกั ไดแ้ รงบรรดาลใจมาจากมรดกทาง
วฒั นธรรม, คณุ คา่ ทางเอกลกั ษณ์ และความหมายเชงิ สญั ญลกั ษณ์ กลุม่ น้แี บง่ ออกได้
เป็น 2 กลมุ่ ยอ่ ยใหญ่ๆ ไดแ้ ก่

• ทศั นศลิ ป์ (Visual arts) เชน่ จติ รกรรม, งานแกะสลกั , การถา่ ยภาพ และ
โบราณวตั ถุ (Antiques)

• ศลิ ปะการแสดง (Performing arts) เชน่ การแสดงดนตรสี ด (Live music),
ละคร, นาฏศลิ ป์ , โอเปรา่ , ละครสตั ว์ (Circus), การแสดงเชดิ หนุ่ (Puppetry)
เป็นตน้

3) สื่อ (Media) อตุ สาหกรรมเชงิ สรา้ งสรรคก์ ลุ่มน้จี ะประกอบดว้ ย 2 กลมุ่ ยอ่ ยทม่ี งุ่ ผลติ
สารตั ถะทส่ี รา้ งสรรค์ (Creative content) โดยมเี ป้าหมายทจ่ี ะสอ่ื สารกบั
กลมุ่ เป้าหมายจาํ นวนมาก (แตจ่ ะแยกเอา “สอ่ื แนวใหม”่ (New media) ออกไปอยอู่ กี
กลุม่ หน่งึ )

P a g e | 95

• การจดั พมิ พแ์ ละสอ่ื สงิ่ พมิ พ์ (Publishing and printed media) ไดแ้ ก่ หนงั สอื ,
หนงั สอื พมิ พ,์ สาํ นกั พมิ พ์ และการตพี มิ พใ์ นแบบอ่นื ๆ

• ภาพและเสยี ง (Audiovisuals) ไดแ้ ก่ ภาพยนตร,์ โทรทศั น์, วทิ ย,ุ และการ
กระจายภาพและเสยี งในรปู แบบอน่ื ๆ

4) งานสร้างสรรคท์ ่ีม่งุ ใช้งาน (Functional creations) อตุ สาหกรรมเชงิ สรา้ งสรรค์
กลมุ่ น้ีประกอบไปดว้ ยอตุ สาหกรรมทเ่ี น้นตอบสนองอุปสงค์ (Demand-driven) และ
มงุ่ งานบรกิ าร (Service-oriented) โดยผลติ สนิ คา้ และบรกิ ารเพอ่ื มงุ่ เป้าหมายทเ่ี น้นใช้
งาน (Functional purposes) สามารถแบง่ ออกไดเ้ ป็น 3 กลุ่มยอ่ ย ดงั น้ี

• กลุ่ม “งานออกแบบ” (Design) เชน่ งานออกแบบตกแต่งภายใน (Interior),
งานกราฟฟิก, แฟชนั ่ , เครอ่ื งประดบั ตกแตง่ อาภรณ์, ของเล่น เป็นตน้

• กลุ่ม “สอ่ื แนวใหม”่ (New media) เชน่ ซอฟตแ์ วร,์ เกมสว์ ดิ โี อ, และ
digitalized creative content

• กลมุ่ “บรกิ ารเชงิ สรา้ งสรรค”์ (Creative services) เชน่ สถาปัตยกรรม, การ
โฆษณา, กจิ กรรมทางวฒั นธรรมและสนั ทนาการ, การวจิ ยั และพฒั นาเชงิ
สรา้ งสรรค์ (Creative R&D), งานบรกิ ารเชงิ สรา้ งสรรคท์ เ่ี น้นดจิ ติ อล และ
รปู แบบอน่ื ๆ

ประเดน็ สดุ ทา้ ยคอื ขอ้ ถกเถยี งทว่ี า่ วทิ ยาศาสตร์ (Science) และการวจิ ยั และพฒั นา (R&D)

ถอื เป็นสว่ นหน่งึ ของเศรษฐกจิ เชงิ สรา้ งสรรคห์ รอื ไม่ แทจ้ รงิ แลว้ เรอ่ื งน้เี ป็นประเดน็ ท่ี

“องคก์ ารการศกึ ษาวทิ ยาศาสตรแ์ ละวฒั นธรรมแหง่ สหประชาชาต”ิ

(UNESCO) เคยยกขน้ึ มาเป็นวาระทส่ี าํ คญั เมอ่ื ครงั้ การประชมุ ระดบั

โลกวา่ ดว้ ยวทิ ยาศาสตร์ (World Conference on Science) เมอ่ื ปี

ค.ศ. 1999 ซง่ึ ในทส่ี ดุ แลว้ UNESCO เสนอใหม้ กี ารเพมิ่ ความ

รว่ มมอื มากขน้ึ ระหวา่ ง “วทิ ยาศาสตร”์ กบั “อุตสาหกรรม” รวมทงั้ การเพมิ่ ความรว่ มมอื มาก


Click to View FlipBook Version