The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ที่มาของแนวคิดเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ (Creative Economy) วิวัฒนาการทางความคิด แนวนโยบาย และตัวอย่างของประเทศที่ใช้แนวนโยบายเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ในการพัฒนาประเทศ จบท้ายด้วยความสร้างสรรค์ของในหลวงรัชกาลที่ 9 มหาราชานวัตกรรม

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by batkusuma, 2021-07-29 06:33:53

เศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์

ที่มาของแนวคิดเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ (Creative Economy) วิวัฒนาการทางความคิด แนวนโยบาย และตัวอย่างของประเทศที่ใช้แนวนโยบายเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ในการพัฒนาประเทศ จบท้ายด้วยความสร้างสรรค์ของในหลวงรัชกาลที่ 9 มหาราชานวัตกรรม

Keywords: เศรษฐกิจ สร้างสรรค์ นวัตกรรม

P a g e | 96

ขน้ึ ระหวา่ ง “ภาครฐั ” และ “ภาคเอกชน” ในการสง่ เสรมิ สนบั สนุนการวจิ ยั ทางวทิ ยาศาสตร์
เพอ่ื เป้าหมายในระยะยาว ทงั้ 2 ภาคสว่ นนนั้ ควรจะตอ้ งมกี ารทาํ งานรว่ มมอื กนั อยา่ งใกลช้ ดิ
และมที า่ ทที เ่ี กอ้ื หนุนเตมิ เตม็ ซง่ึ กนั และกนั ดงั นนั้ แนวคดิ ของ UNCTAD กม็ ลี กั ษณะหนุน
เน่อื งแนวคดิ ของ UNESCO นนั่ กค็ อื วทิ ยาศาสตร์ (Science) และการวจิ ยั และพฒั นา
(R&D) ถอื เป็นสว่ นหน่ึงของเศรษฐกจิ เชงิ สรา้ งสรรคอ์ ยา่ งแน่นอน แตท่ น่ี ่าเสยี ดายกค็ อื การ
พบวา่ ทงั้ “วทิ ยาศาสตร”์ กบั “อตุ สาหกรรม” และ “ภาครฐั ” กบั “ภาคเอกชน” ดเู หมอื นจะยงั
ไมม่ ที า่ ทที ช่ี ดั เจนในการทาํ งานรว่ มมอื กนั เพอ่ื พฒั นางานวจิ ยั ทางวทิ ยาศาสตรท์ เ่ี กย่ี วขอ้ งกบั
อุตสาหกรรมเชงิ สรา้ งสรรคเ์ ทา่ ใดนกั

นอกจากน้ียงั มปี ระเดน็ วา่ “การกฬี า” (Sport) ถอื เป็นสว่ นหน่งึ ของอตุ สาหกรรมเชงิ

สรา้ งสรรคห์ รอื ไม่ เพราะมบี างแนวคดิ จดั ใหก้ ารกฬี าเป็นสว่ นหน่ึงของเศรษฐกจิ เชงิ

สรา้ งสรรค์ บางประเทศ มกี ระทรวงทร่ี บั ผดิ ชอบทงั้ ดา้ น “วฒั นธรรม” และ “กฬี า” หรอื

แมก้ ระทงั่ ประเทศไทยกม็ ี “กระทรวงการทอ่ งเทย่ี วและกฬี า” เน่ืองจากประเทศเหล่าน้มี ี

แนวความคดิ วา่ “การกฬี า” ถอื เป็นแหล่งรายไดท้ ส่ี าํ คญั อกี ทงั้ ยงั ก่อใหเ้ กดิ ปัจจยั ในทางบวก

(Positive externalities) ทจ่ี ะไปกระตนุ้ ความคกึ คกั ทางเศรษฐกจิ ในภาคสว่ นอน่ื อกี ดว้ ย แต่

สาํ หรบั แนวคดิ ของ UNCATD แลว้ กลบั เหน็ วา่ “การกฬี า” ถอื เป็นกจิ กรรมทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั การ

ฝึกอบรม (Training), กฎกตกิ ามารยาท (Rules) และการแขง่ ขนั (Competition) มากกวา่ ท่ี

จะเน้นสาระดา้ นความสรา้ งสรรค์ ดงั นนั้ ตามเกณฑข์ อง UNCTAD แลว้ “การกฬี าไม่จดั อยู่

ในอุตสาหกรรมเชงิ สรา้ งสรรค”์

P a g e | 98

- 14 -
เศรษฐกิจบนฐานความรู้
ฐานสาํ คญั ของเศรษฐกิจเชิงสรา้ งสรรค์ (1)

ก่อนทแ่ี นวคดิ เศรษฐกจิ เชงิ สรา้ งสรรคจ์ ะกลายเป็นแนวนโยบายการพฒั นาทส่ี าํ คญั ของกลุ่ม
ประเทศในสหภาพยโุ รป (และต่อมาไดก้ ลายเป็นนโยบายการพฒั นาทส่ี าํ คญั ของหลาย
ประเทศในโลกน้ี รวมทงั้ ประเทศไทยในปัจจุบนั ) เป็นทน่ี ่าสงั เกตวา่ มแี นวคดิ หน่ึงทไ่ี ดป้ รากฏ
ตวั ออกมากอ่ นหน้าแนวคดิ เศรษฐกจิ เชงิ สรา้ งสรรค์ และไดถ้ กู กล่าวถงึ โดยองคก์ รโลกบาล
เชน่ UN UNCTAD UNESCO ฯลฯ ดงั ทผ่ี เู้ ขยี นไดก้ ล่าวไวใ้ นบทความบางฉบบั กอ่ นหน้าน้ี
แลว้ นนั่ กค็ อื แนวคดิ “เศรษฐกจิ บนฐานความร”ู้ (Knowledge-based economy)

หากกลา่ วจาํ เพาะในบรบิ ทของประเทศไทย เมอ่ื ศกึ ษาสาํ รวจ

ววิ ฒั นาการทางความคดิ ดา้ นการพฒั นา เศรษฐกจิ สงั คมของประเทศ

ไทยยอ้ นหลงั กลบั ไป เรากจ็ ะสามารถคน้ พบรอ่ งรอยทส่ี าํ คญั เกย่ี วกบั

แนวคดิ เศรษฐกจิ บนฐานความรปู้ รากฎอยใู่ นกระบวนการจดั ทาํ

“แผนพฒั นาเศรษฐกจิ และสงั คมแหง่ ชาตฉิ บบั ท่ี 10” (พ.ศ. 2550 –

2554) ซง่ึ มกี ารกลา่ วถงึ แนวโน้มของเศรษฐกจิ สงั คมไทยทก่ี าํ ลงั กา้ ว

เขา้ สยู่ คุ ของเศรษฐกจิ บนฐานความรู้ และต่อมากไ็ ดถ้ กู บรรจุผนวกเป็นแนวคดิ พน้ื ฐานท่ี

สาํ คญั ของแผนฯ10 ทก่ี าํ ลงั ใชเ้ ป็นแผนแมบ่ ทสาํ คญั ของประเทศไทยในปัจจุบนั

P a g e | 99

และหากจะยอ้ นรอยลกึ ลงไปอกี ในบรบิ ททก่ี วา้ งขวางขน้ึ
ผเู้ ขยี นใครข่ อใหท้ า่ นผอู้ ่านทอ่ งเวลายอ้ นกลบั ไปเมอ่ื เดอื น
มนี าคมปี ค.ศ. 2000 (พ.ศ. 2543) มเี หตุการณ์ทส่ี าํ คญั คอื
การประชมุ ของบรรดาผนู้ ํารฐั บาลของกลมุ่ ประเทศใน
สหภาพยโุ รปท่ี European Council ณ กรงุ ลสิ บอน ประเทศโปรตุเกส ผลจากการ ประชมุ
ครงั้ นนั้ ซง่ึ อาจเรยี กตอ่ มาวา่ เป็น “วาระแห่งลิสบอน” บรรดาผนู้ ําประเทศในกลุม่ สหภาพ
ยโุ รปไดม้ กี ารตงั้ เป้าหมายทม่ี งุ่ มนั่ ทา้ ทายรว่ มกนั นนั่ กค็ อื ภายในปี ค.ศ. 2010 (พ.ศ.2553)
พวกเขาจะทาํ ใหส้ หภาพยโุ รปเป็นกลุ่มประเทศทม่ี ี

“เศรษฐกิจบนฐานความร้ทู ม่ี ขี ดี ความสามารถในการแขง่ ขนั และมี
ศกั ยภาพมากทส่ี ดุ ในโลก สามารถทจ่ี ะสรา้ งความจาํ เรญิ เตบิ โตทาง
เศรษฐกจิ ทย่ี งั่ ยนื พรอ้ มไปกบั การมงี านทาํ ทม่ี ากขน้ึ และดขี น้ึ และมี
ความเป็นเอกภาพทางสงั คมมากยงิ่ ขน้ึ ”01

ผลจากการประชมุ ท่ี Lisbon เมอ่ื ปี 2000 ไดผ้ ลกั ดนั ใหบ้ รรดารฐั บาล, มหาวทิ ยาลยั และ
บรรษทั ทงั้ หลายในกลุ่มสหภาพยโุ รปต่างเพม่ิ การลงทนุ ในดา้ นการวจิ ยั และการพฒั นากนั
อยา่ งมาก ดว้ ยความเชอ่ื ทว่ี า่ ความจาํ เรญิ เตบิ โตทางเศรษฐกจิ และการจา้ งงานจะเพม่ิ ขน้ึ
อยา่ งมาก หากมกี ารลงทนุ ในอตุ สาหกรรมเทคโนโลยสี ารสนเทศและการสอ่ื สาร (ICT
industries) อนั ถอื เป็นอุตสาหกรรมระดบั Flagship ทส่ี าํ คญั ทส่ี ดุ ในเศรษฐกจิ ยคุ ดจิ ติ อล
รวมทงั้ การสง่ เสรมิ เพมิ่ พนู นวตั กรรม โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ใน “เศรษฐกจิ ความร”ู้ (Knowledge
economy)

เราจะเหน็ ไดว้ า่ ณ รงุ่ อรณุ ของสหสั วรรษใหมค่ อื เมอ่ื ปี คศ. 2000 แนวคดิ ทป่ี รากฎกายขน้ึ มา
และต่อมาไดก้ ลายเป็นแนวคดิ ทส่ี าํ คญั ของการขบั เคลอ่ื นโลกใบน้ี จนกระทงั่ พฒั นาการมาถงึ
ปัจจบุ นั กลายรา่ งมาเป็นแนวคดิ เศรษฐกจิ เชงิ สรา้ งสรรคน์ นั้ คอื แนวคดิ “เศรษฐกจิ บน

1 แปลจากขอ้ ความ “the most competitive and dynamic knowledge-based economy in the world, capable of
sustainable economic growth with more and better jobs and greater social cohesion”.

P a g e | 100

ฐานความร”ู้ ดงั นนั้ ผเู้ ขยี นจงึ เหน็ วา่ หากจะเขา้ ใจแนวคดิ เศรษฐกจิ เชงิ สรา้ งสรรคใ์ หส้ มบรู ณ์
แบบยง่ิ ขน้ึ เราพงึ ควรทบทวนทาํ ความเขา้ ใจในแนวคดิ เศรษฐกจิ บนฐานความรเู้ สยี กอ่ น

ทาํ ความเข้าใจเศรษฐกิจฐานความรู้ จากมมุ มองวิชาการด้านการจดั การ

หากทบทวนวรรณกรรมดา้ นการบรหิ ารจดั การสมยั ใหมโ่ ดยเฉพาะนบั ตงั้ แตช่ ว่ งทศวรรษท่ี
1990 เป็นตน้ มา นกั คดิ นกั เขยี นเหลา่ นนั้ ลว้ นชช้ี วนใหเ้ หน็ ถงึ ภาพพลวตั ของโลกทก่ี าํ ลงั ถกู
ขบั เคล่อื นไปอยา่ งรวดเรว็ จนเกดิ การเปลย่ี นแปลงจากระบบเศรษฐกจิ แบบเน้นการผลติ เชงิ
อุตสาหกรรม (Production-based, Manufacturing-based economy) สรู่ ะบบเศรษฐกจิ บน
ฐานความรู้ (Drucker, 1993; Powell & Snellman, 2004) ผลทต่ี ามมากค็ อื บรรดาประเทศ
ทงั้ หลาย ทงั้ ทเ่ี ป็นประเทศซง่ึ ไดช้ อ่ื วา่ เป็นประเทศทพ่ี ฒั นาแลว้ และบรรดาประเทศทก่ี าํ ลงั
พฒั นาแต่มวี สิ ยั ทศั น์อนั ยาวไกลลว้ นแลว้ แตว่ าดหวงั ภาพสงั คมแหง่ อนาคตใหก้ ลายเป็น
“สงั คมเศรษฐกจิ บนฐานความร”ู้ (Knowledge-based society) แทบทงั้ สน้ิ ดงั ตวั อยา่ งของ
ประเทศทม่ี กั จะถกู อา้ งองิ ถงึ อยา่ งมากในชว่ งเวลานนั้ เชน่ การประกาศ “วสิ ยั ทศั น์ 2563”
(Vision 2020) ของอดตี ผนู้ ําแหง่ ประเทศมาเลเซยี เมอ่ื ปี ค.ศ. 1991

“ครงั้ หน่ึง ทด่ี นิ คอื ปัจจยั พน้ื ฐานทส่ี าํ คญั ทส่ี ดุ ของความรงุ่ เรอื งและความ
มงั่ คงั่ และแลว้ คลน่ื ลกู ทส่ี องกพ็ ดั ผา่ นเขา้ มา มนั คอื ยคุ
แหง่ อตุ สาหกรรม ปลอ่ งไฟทงั้ หลายกผ็ ดุ โผล่ขน้ึ มาใน
ผนื นาป่าสวนทเ่ี คยเป็นแหลง่ เพาะปลกู เกษตรกรรม มา
บดั น้แี ละจะเพมิ่ มากยง่ิ ขน้ึ ต่อไป ความรจู้ ะมใิ ชเ่ ป็น

เพยี งแคฐ่ านแหง่ อาํ นาจแต่ยงั เป็นฐานแหง่ ความเจรญิ รงุ่ เรอื ง… จะตอ้ งไม่
สงวนความพยายามใดๆ ในอนั ทจ่ี ะสรา้ งสงั คมมาเลเซยี ใหร้ มุ่ รวยดว้ ย
สารสนเทศ”2

2 แปลจากคาํ ปาฐกถาของ ดร.มหาเธยี ร์ มฮู มั หมดั (1991) “There was a time when land was the most
fundamental basis of prosperity and wealth. Then came the second wave, the age of industrialization.
Smokestacks rose where the fields were once cultivated. Now, increasingly, knowledge will not only be the

P a g e | 101

นบั จากทศวรรษท่ี 1990 เป็นตน้ มา คาํ วา่ การสรา้ งเศรษฐกจิ สงั คมบนฐานขอ้ มลู -สารสนเทศ-
ความรไู้ ดก้ ลายเป็นวาทกรรมทก่ี ลา่ วถงึ อยา่ งตอ่ เน่อื งมาจวบจนถงึ ทศวรรษปัจจบุ นั “ความร”ู้
ไดก้ ลายมาเป็นปัจจยั การผลติ ทส่ี าํ คญั ทส่ี ดุ แทนท่ี “ทุน ทด่ี นิ และแรงงาน” ในชว่ งทผ่ี า่ นมา มี
ผพู้ ยายามวเิ คราะหแ์ ละจาํ แนกใหเ้ หน็ ถงึ ความแตกตา่ งของปัจจยั ความรเู้ มอ่ื เปรยี บเทยี บกบั
ปัจจยั การผลติ อ่นื ๆ แบบเดมิ เชน่ ทนุ ทด่ี นิ และแรงงาน ไวอ้ ยา่ งน่าสนใจ 3 ประการคอื

1) ความรเู้ ป็นสงิ่ ทว่ี ดั ไดย้ ากกวา่ ปัจจยั อน่ื ๆ ธนาคารโลกนิยามความรไู้ วอ้ ยา่ ง
น่าสนใจ “ความรเู้ ปรยี บดงั่ แสง ไรน้ ้ําหนกั แตจ่ บั
ตอ้ งได้ มนั สามารถทอ่ งไปทวั่ โลกไดอ้ ยา่ ง
งา่ ยดาย ชว่ ยจุด ประกายชวี ติ ใหก้ บั ผคู้ นไดใ้ น
ทกุ ๆ ท”่ี 3 (World Bank, 1999) เมอ่ื ใดทค่ี วามรู้
ถกู ผลติ ออกมา กเ็ ป็นเรอ่ื งงา่ ยทจ่ี ะผลติ ซ้ําหรอื
ลอกแบบ (Copy) ความรนู้ นั้ ในราคาทไ่ี มส่ งู นกั น่ี
คอื ตน้ เหตทุ ท่ี าํ เอาบรรดาชาตอิ ตุ สาหกรรมชนั้ นํา
ทงั้ หลายจงึ ตอ้ งเอาจรงิ เอาจงั กบั กฎหมายสทิ ธบิ ตั รหรอื สทิ ธทิ รพั ยส์ นิ ทางปัญญา
ตอ้ งมรี ะบบควบคมุ ความปลอดภยั ทางอนิ เตอรเ์ น็ตและควบคมุ ไมใ่ หค้ นภายนอก
เขา้ ถงึ แหล่งขอ้ มลู และความรไู้ ดง้ า่ ยๆ

2) ในขณะทส่ี นิ คา้ ประเภทอน่ื ๆจะตกอยภู่ ายใตก้ ฎแหง่ ผลตอบแทนทล่ี ดลง (Law of
diminishing returns) ความรกู้ ลบั กลายเป็นตวั ทส่ี รา้ งอตั ถประโยชน์สว่ นตา่ งมาก
ขน้ึ (Marginal utility) ยง่ิ คนและองคก์ รมคี วามรมู้ าก
ขน้ึ เทา่ ใด คนและองคก์ รนนั้ กจ็ ะมคี ณุ คา่ เพม่ิ มากขน้ึ
เทา่ นนั้ และความรกู้ จ็ ะเป็นตวั ตอ่ ยอดใหค้ วามรมู้ ผี ลติ

basis of power but also prosperity… No effort must be spared in the creation of an information rich Malaysian
society.”
3 แปลจาก “Knowledge is like light. Weighless and tangible, it can easily travel the world, enlightening the
lives of people everywhere.”

P a g e | 102

ภาพมากยงิ่ ขน้ึ ดงั นนั้ หากประเทศใดตอ้ งการบรรลถุ งึ ความเป็นสงั คมเศรษฐกจิ
บนฐานความรทู้ ม่ี ผี ลติ ภาพมาก ก็ จาํ เป็นตอ้ งเป็นประเทศทร่ี วบรวมคลงั ของ
คนทาํ งานทม่ี คี วามรจู้ าํ นวนมาก (Critical mass of knowledge workers) ไวใ้ น
ภมู สิ งั คมหน่งึ ๆ ดงั เชน่ ทซ่ี ลิ คิ อนแวลล่ี (Silicon Valley) ในแคลฟิ อรเ์ นีย วง
แหวนอเิ ลก็ ทรอนกิ สแ์ หง่ มวิ นิค (Munich electornic belt) ในเยอรมนั ยา่ นซนิ ชู
(Hsinchu) ของไตห้ วนั เป็นตน้
3) แนวคดิ “สงั คมบนฐานความร”ู้ หรอื “เศรษฐกจิ บนฐานความร”ู้ มแี นวโน้มทจ่ี ะ
เป็นคนละเรอ่ื งกบั ความเป็นจรงิ กลา่ วคอื มกั จะเป็นวสิ ยั ทศั น์ของสงั คมหน่งึ ๆ
นนั่ กค็ อื มนั เป็นสง่ิ ทย่ี งั ไมเ่ กดิ ขน้ึ แตเ่ ป็นภาพฝันทส่ี งั คมนนั้ สรา้ งขน้ึ มา และหาก
คนสว่ นใหญ่เชอ่ื ในภาพฝันน้ี มนั กจ็ ะกลายเป็นพลงั ทส่ี ง่ ผลกระทบตอ่ ความเป็น
จรงิ ทางเศรษฐกจิ และสงั คมในอนาคต

เมอ่ื กล่าวถงึ คาํ วา่ “เศรษฐกจิ สงั คมบนฐานความร”ู้ กย็ อ่ มมกั จะหมายถงึ วา่ เศรษฐกจิ และ
สงั คมนนั้ เป็นสงั คมทม่ี คี วามรเู้ ป็นปัจจยั พน้ื ฐานในการผลติ ความรกู้ ลายเป็นเสมอื นพลงั
ขบั เคล่อื นสาํ คญั ทจ่ี ะกอ่ ใหเ้ กดิ นวตั กรรม ความกา้ วหน้าทางเศรษฐกจิ ความทนั สมยั และการ
พฒั นา อยา่ งไรกต็ าม เป็นการยากทจ่ี ะประมาณการหรอื ระบใุ หแ้ น่ชดั วา่ สดั สว่ นของความรู้
ต่อการจาํ เรญิ เตบิ โตทางเศรษฐกจิ หรอื การพฒั นาสงั คมนนั้ ควรเป็นเทา่ ใด ไดเ้ คยมกี ารศกึ ษา
การเตบิ โตทางเศรษฐกจิ ของประเทศสหรฐั อเมรกิ าในชว่ งปี 1929 ถงึ ปี 1948 พบวา่ ความรมู้ ี
อทิ ธพิ ลตอ่ ความจาํ เรญิ เตบิ โตทางเศรษฐกจิ ประมาณรอ้ ยละ 26 เทา่ นนั้ แตใ่ นชว่ งปี 1948
ถงึ 1973 สดั สว่ นของความรทู้ ส่ี ง่ ผลตอ่ อตั ราการจาํ เรญิ เตบิ โตทางเศรษฐกจิ สงู ถงึ รอ้ ยละ 54

(Stehr, 2001) ในขณะทธ่ี นาคารโลกกป็ ระมาณการการเตบิ โต
ทางเศรษฐกจิ ของประเทศเกาหลใี ตว้ า่ สดั สว่ นสว่ นใหญ่ทส่ี ง่ ผล
อยา่ งสงู ตอ่ ความจาํ เรญิ ทางเศรษฐกจิ ของเกาหลใี ต้ ในชว่ ง
ทศวรรษ 1970 และ 1980 นนั่ กค็ อื การเพมิ่ ขน้ึ ของปัจจยั
ความรใู้ นอตุ สาหกรรมอยา่ งตอ่ เน่อื ง เมอ่ื เปรยี บเทยี บระหวา่ งเกาหลใี ตก้ บั กาน่า พบวา่ เมอ่ื

P a g e | 103

ตน้ ทศวรรษท่ี 1960 ทงั้ กาน่าและเกาหลใี ตม้ อี ตั ราผลติ ภณั ฑม์ วลรวมประชาชาตใิ นระดบั
ใกลเ้ คยี งกนั แต่เมอ่ื ผา่ นมา 3 ทศวรรษ ผลติ ภณั ฑม์ วลรวมประชาชาตขิ องเกาหลใี ตเ้ พม่ิ ขน้ึ
มากกวา่ 6 เทา่ ในขณะทก่ี าน่ายงั อยใู่ นระดบั คงทเ่ี หมอื นเดมิ คาํ อธบิ ายของผชู้ าํ นาญการ
ของธนาคารโลก กค็ อื กาน่ายงั อาศยั ปัจจยั การผลติ แบบเดมิ แต่เกาหลใี ตไ้ ดห้ นั มาใชค้ วามรู้
เป็นปัจจยั การผลติ อยา่ งเขม้ ขน้ (World Bank, 1999) ปัจจยั ทม่ี กั ใชเ้ ป็นตวั ชว้ี ดั การเป็นสงั คม
เศรษฐกจิ บนฐานความรโู้ ดยทวั่ ไปไดแ้ ก่

• “การลงทนุ ในดา้ นการศกึ ษา” หรอื “การวจิ ยั และพฒั นา”

• การลงทุนในโครงสรา้ งพน้ื ฐานดา้ นเทคโนโลยโี ทรคมนาคมและการสอ่ื สาร
(ICT) อยา่ งมาก

• การสนบั สนุนของรฐั บาลต่อการวจิ ยั และพฒั นา (R&D) และบคุ ลากรดา้ นการ

วจิ ยั และพฒั นา

• การสรา้ งสถาบนั วจิ ยั ในดา้ นทส่ี าํ คญั เชน่ ดา้ นเทคโนโลยชี วี ภาพ ดา้ น

เทคโนโลยโี ทรคมนาคมและการสอ่ื สาร (ICT and informatics) รวมถงึ ดา้ น

สงั คมศาสตร์

• การผลกั ดนั ระบบการศกึ ษาใหม้ งุ่ ไปสกู่ ารเป็นสถาบนั การศกึ ษาชนั้ นํา และ

การสรา้ ง “ศนู ยแ์ หง่ ความเป็นเลศิ ” (Centres of excellence) ในดา้ นตา่ งๆ

อยา่ งไรกต็ าม มผี พู้ ยายามชใ้ี หเ้ หน็ ถงึ คณุ ลกั ษณะของสงั คมบนฐานความรวู้ า่

ประกอบไปดว้ ยคณุ สมบตั ดิ งั ตอ่ ไปน้ี

• เป็นสงั คมท่ี คนในสงั คมมรี ะดบั และมาตรฐานทางการศกึ ษาสงู กวา่ สงั คมอ่นื ๆ
และมแี นวโน้มทแ่ี รงงานเหลา่ น้ีจะไดร้ บั การวา่ จา้ งใหเ้ ป็นบคุ ลากรทใ่ี ชค้ วามรมู้ าก
ขน้ึ (Knowledge workers)

• ภาคอตุ สาหกรรมมกั จะผลติ สนิ คา้ ดว้ ยเทคโนโลยภี มู ปิ ัญญาประดษิ ฐท์ ม่ี กี ารบรู
ณาการสารสนเทศและความรเู้ ป็นอยา่ งดี (Integrated artificial intelligence)

P a g e | 104

• องคก์ รตา่ งๆ ในสงั คม (ทงั้ ภาครฐั ภาคเอกชน และประชาสงั คม) จะเปลย่ี นแปลง
รปู แบบไปเป็นองคก์ รทใ่ี ชป้ ัญญาและเรยี นรู้ (Intelligent organizations)

• มกี ารจดั การความรู้ (Organized knowledge) เพม่ิ มากขน้ึ จนปรากฏออกมาใน
รปู แบบของความชาํ นาญเชงิ ดจิ ติ อล (Digitalized expertise) มกี ารจดั เกบ็ ขอ้ มลู
ลงในธนาคารขอ้ มลู (Data banks) มกี ารพฒั นาระบบชาํ นาญการ (Expert
systems) เป็นตน้

• มศี นู ยค์ วามชาํ นาญการทห่ี ลากหลาย (Multiple centres of expertise) และมกี าร
ผลติ ความรทู้ ห่ี ลากหลาย

• มวี ฒั นธรรมของการผลติ ความรแู้ ละการใชค้ วามรใู้ หเ้ ป็นประโยชน์ (Evers, 2000)

นยั ทส่ี าํ คญั สาํ หรบั แวดวงวชิ าการดา้ นการบรหิ ารจดั การและการพฒั นาองคก์ ารกค็ อื หาก
เศรษฐกจิ สงั คมจะกา้ วสกู่ ารเป็นเศรษฐกจิ สงั คมบนฐานความรู้ องคก์ ารทงั้ หลายทเ่ี ป็น
องคาพยพอยใู่ นสงั คมเหล่านนั้ กจ็ ะตอ้ งพฒั นาตนเองจนกลายเป็นองคก์ รทต่ี อ้ งใชฐ้ านความรู้
ทเ่ี ขม้ ขน้ มากขน้ึ (More knowledge-intensive) (Alvesson,1995) และตอ้ งพง่ึ พาอาศยั
ความรเู้ ชงิ นวตั กรรมใหมม่ าสรา้ งคณุ คา่ ขององคก์ รมากยงิ่ ขน้ึ (Kim & Mauborgne, 1997)
ดงั นนั้ นํามาสคู่ าํ ถามสาํ คญั ทว่ี า่ ควรมกี ารบรหิ ารจดั การองคก์ รอยา่ งไรเพอ่ื ทจ่ี ะก่อใหเ้ กดิ
รปู แบบของความรใู้ หมๆ่ และจะใชค้ วามรใู้ หมเ่ หลา่ นนั้ ใหเ้ กดิ ประโยชน์ตอ่ องคก์ รไดอ้ ยา่ งไร
แตค่ าํ ถามทผ่ี เู้ ขยี น – ในฐานะนกั วชิ าการคนหน่ึง – สนใจใครร่ เู้ ป็นอยา่ งยง่ิ กค็ อื มนี กั คดิ
นกั เขยี นดา้ นการบรหิ ารจดั การทา่ นใดท่ี “มาก่อนคนอน่ื ” (Prime movers) นนั่ คอื เป็นนกั คดิ
ทค่ี ดิ และนําเสนอแนวคดิ เกย่ี วกบั เรอ่ื งน้กี ่อนคนอน่ื ในขณะทค่ี นและสงั คมโดยทวั่ ไปอาจจะ
ยงั มองเหน็ ภาพเหล่านนั้ ไมช่ ดั หรอื อาจจะเหน็ บา้ งแต่กย็ งั เป็นภาพทพ่ี รา่ เลอื น

ในคราวหน้าผเู้ ขยี นจะไดก้ ล่าวถงึ บุคคลเหลา่ น้ีท่ี “มาและเหน็ กอ่ นคนอ่นื ”

เอกสารประกอบ

P a g e | 105

Alvesson, M. (1995). Management of knowledge-intensive companies. Berlin and
New York: Walter de Gruyter.

Drucker, P.F. (1988). "The Coming of the New Organization," Harvard Business
Review 66 (January-February).

___________ (1993) Post-Capitalist Society. Oxford: Butterworth Hienemann.

Evers, H.D. (2005) ‘“Knowledge” and the Sociology of Science,’ in Menkhoff, T.,
Evers, H.D., Chay, Y.W. (eds.) Governing and Managing Knowledge in Asia.
Singapore: World Scientific Publishing.

Kim, C.K. and Maubourgne, R. (1997) "Value Innovation - The Strategic Logic of High
Growth". Harvard Business Review 75, January-February, 103-112.

Muhamad, Mahathir (1991) Wawasan 2020. Kuala Lumpur: Government printing
office.

Powell, W.W. and Snellman, K. (2004) “The Knowledge Economy”. Annual Review
of Sociology, 30, 199-220.

Prahalad, C.K. and Hamel, G. (1994) Competing for the future. Boston, Mass:
Harvard Business Scholl Press.

Stehr, N. (1994) Knowledge Societies. London: Sage.

World Bank (1999) World Development Report 1998/99: Knowledge for
Development. New York: Oxford University Press.

P a g e | 107

- 15 -

เศรษฐกจิ บนฐานความร:ู้

ฐานสำคญั ของเศรษฐกจิ เชิงสรา้ งสรรค์ (2)

The Prime mover of Knowledge Society: จาก “ดรคั เกอร”์ ถึง “ทอฟฟเลอร”์

แนวคดิ สงั คมเศรษฐกจิ บนฐานความรแู้ ละแนวคดิ การบรหิ ารจดั การองคก์ รบนฐานความรไู้ ด้
ถกู พฒั นาขน้ึ มาอยา่ งมาก โดยเฉพาะอยา่ งในชว่ งปลายของสหสั วรรษทแ่ี ลว้ ไดม้ นี กั คดิ คน
สาํ คญั ทถ่ี อื ไดว้ า่ เป็นหวั ขบวน “ผบู้ ุกเบกิ ” ทม่ี าก่อนคนอ่นื หรอื สามารถมองเหน็ และ
พยากรณ์เศรษฐกจิ สงั คมก่อนทค่ี นอ่นื จะเหน็ ในทน่ี ้ี ผเู้ ขยี นเหน็ วา่ มนี กั คดิ นกั เขยี นคนสาํ คญั
2 ทา่ นทค่ี วรจะกลา่ วถงึ และสาํ รวจความคดิ แนวคดิ ของเขา ไดแ้ ก่ ปีเตอร์ ดรคั เกอร์ และ อลั
วนิ ทอฟฟเลอร์

ปี เตอร์ ดรคั เกอร์ (Peter F. Drucker) กบั สงั คมยคุ หลงั ทุนนิยม
แทบจะไมต่ อ้ งกลา่ วถงึ สรรพคณุ ของศาสตราจารย์ ปีเตอร์ ดรคั
เกอร์ (1909-2005) วา่ คอื ใคร ทาํ อะไร เพราะในฐานะ “กรู ดู า้ นการ
บรหิ ารจดั การอนั ดบั 1” ของโลกกอ็ าจกลา่ วไดว้ า่ “ไมม่ ใี ครใน
วงการบรหิ ารจดั การทไ่ี มร่ จู้ กั ดรคั เกอร”์ แนวความคดิ ของครคั
เกอรท์ ท่ี ง้ิ ประดบั ไวใ้ หก้ บั โลกใบน้นี นั้ มมี ากมาย แตท่ ผ่ี เู้ ขยี นขอ
กล่าวถงึ ในทน่ี ้กี ค็ อื แนวคดิ ของเขาทม่ี คี ณุ ูประการต่อแนวคดิ การ
บรหิ ารจดั การในยคุ เศรษฐกจิ บนฐานความรู้

เมอ่ื ปี ค.ศ. 1988 ดรคั เกอรไ์ ดว้ าดภาพองคก์ รในอนาคตยคุ หลงั ปี ค.ศ. 2000 ไวอ้ ยา่ ง
น่าสนใจ โดยชใ้ี หเ้ หน็ ถงึ ความสาํ คญั ของ “สารสนเทศ” (Information) และอทิ ธพิ ลอนั ทรง
พลงั ของ “เทคโนโลยสี ารสนเทศ” ทจ่ี ะทาํ ใหเ้ กดิ การเปลย่ี นแปลงแนวทางการบรหิ ารจดั การ
องคก์ รและอาํ นาจทเ่ี พมิ่ มากขน้ึ ของ “คนงานความร”ู้

“อกี 20 ปีขา้ งหน้านบั จากน้ีไป ธุรกจิ ขนาดใหญ่จะมกี ารลดระดบั ฝ่ายจดั การลงมา
ครง่ึ หน่งึ และผบู้ รหิ ารจะลดลงไปอกี หน่ึงในสาม งานต่างๆจะถกู ดาํ เนินการโดยบรรดา

P a g e | 108

ผชู้ าํ นาญการทม่ี ารวมตวั กนั เป็นทมี งานขา้ มสายงาน การประสานงานและการควบคมุ
โดยสว่ นใหญ่แลว้ จะขน้ึ อยกู่ บั ความพอใจของบคุ ลากรทจ่ี ะบรหิ ารจดั การตนเอง
เทคโนโลยสี ารสนเทศคอื เบอ้ื งหลงั ของความเปลย่ี นแปลงเหลา่ น้ี คอมพวิ เตอรจ์ ะ
สอ่ื สารกนั รวดเรว็ มากขน้ึ และดกี วา่ อาศยั พวกผบู้ รหิ ารระดบั กลาง แต่ทงั้ น้ีตอ้ งมผี ใู้ ชท้ ่ี
มคี วามรซู้ ง่ึ สามารถแปลงขอ้ มลู ใหเ้ ป็นสารสนเทศ
รอ่ งรอยทจ่ี ะบ่งบอกวา่ องคก์ รบนฐานสารสนเทศแบบใหมน่ ้ีจาํ เป็นตอ้ งมนี นั้ สามารถดู
ไดจ้ ากหน่วยบนฐานความรอู้ ยา่ งเชน่ โรงพยาบาลและวงซมิ โฟนีออรเ์ คสตรา้ นนั่ คอื
หน่ึงองคก์ รแบบน้จี าํ เป็นตอ้ งมี “สกอร”์ (Score) อนั ไดแ้ ก่ ชดุ ของวตั ถปุ ระสงคท์ เ่ี รยี บ
งา่ ยและชดั เจนซง่ึ สามารถแปลงไปสกู่ ารปฏบิ ตั ไิ ด้ และ สอง ตอ้ งมี “โครงสรา้ ง” ท่ี
บคุ ลากรทกุ คนมคี วามรบั ผดิ ชอบในดา้ นสารสนเทศโดยการตงั้ คาํ ถามวา่ : ใครตอ้ งพง่ึ
ฉนั ในสารสนเทศเรอ่ื งใด? และฉนั ตอ้ งพง่ึ สารสนเทศของใคร?
องคก์ รบนฐานสารสนเทศกต็ อ้ งจดั การกบั ปัญหาในดา้ นการบรหิ ารจดั การเชน่ เดยี วกนั
นนั่ คอื การกระตุน้ จงู ใจและใหร้ างวลั ตอบแทนแก่ผชู้ าํ นาญการ; การสรา้ งวสิ ยั ทศั น์ท่ี
สามารถสรา้ งเอกภาพใหเ้ กดิ ขน้ึ กบั กลมุ่ ผชู้ าํ นาญการ; การดดั แปลงโครงสรา้ งการ
บรหิ ารจดั การทใ่ี ชก้ ารไดก้ บั ทมี งาน; และสรา้ งความมนั่ ใจวา่ องคก์ รจะมอี ุปทาน การ
เตรยี มการ และการทดสอบกลมุ่ ผบู้ รหิ ารระดบั สงู
การแกป้ ัญหาเหล่าน้คี อื ความทา้ ทายดา้ นการบรหิ ารสาํ หรบั ในชว่ งเวลาทเ่ี หลอื ของ
ศตวรรษน้”ี (Drucker, 1988)

อยา่ งไรกต็ าม แมด้ รคั เกอรจ์ ะเขยี นความขอ้ น้ไี วต้ งั้ แต่ชว่ งปลายของศตวรรษทแ่ี ลว้ แตค่ วาม
ทา้ ทายน้มี ใิ ชจ่ ะจบสน้ิ ไปแลว้ ในชว่ งทเ่ี หลอื ของศตวรรษทแ่ี ลว้ เพราะเมอ่ื โลกกา้ วเขา้ สรู่ งุ่
อรณุ ของสหสั วรรษใหม่ ความทา้ ทายเหล่าน้ีกย็ งั คงอยใู่ นองคก์ รตา่ งๆทวั่ โลก และอาจกลา่ ว
ไดว้ า่ ยงั คงเป็นปัญหาทท่ี า้ ทายดา้ นการบรหิ ารจดั การสาํ หรบั องคก์ รตา่ งๆในชว่ งเวลาทเ่ี หลอื
ของสหศวรรษใหมเ่ ชน่ เดยี วกนั
สง่ิ ทด่ี เู หมอื นจะเป็นสงิ่ ทต่ี ดิ อยใู่ นใจของดรคั เกอรม์ าอยา่ งยาวนานกค็ อื การทบ่ี รรดาประเทศท่ี
พฒั นาแลว้ มกั จะมผี ลติ ภาพ (Productivity) ทค่ี อ่ นขา้ งต่าํ อยา่ งไมน่ ่าเชอ่ื ประเทศเหล่าน้ี
ตอ้ งการการทาํ งานทเ่ี ป็นระบบอยา่ งตอ่ เน่ืองเพอ่ื ใหเ้ กดิ “ผลติ ภาพของความร”ู้ และการเพมิ่
“คนงานความร”ู้ (Knowledge worker) ความสาํ คญั ของ “ผลติ ภาพของความร”ู้ (Knowledge
productivity) ไมใ่ ชเ่ ป็นเพยี งแคป่ ัจจยั ทจ่ี ะกอ่ ใหเ้ กดิ ขดี ความสามารถในการแขง่ ขนั เทา่ นนั้
แต่จะเป็นปัจจยั ชข้ี าด (Decisive factor) สาํ หรบั องคก์ รตา่ งๆในบรรดาประเทศอตุ สาหกรรม

P a g e | 109

การเพมิ่ ผลติ ภาพของความรู้ (Knowledge productivity) จะเป็นตวั ตดั สนิ ชข้ี าดขดี
ความสามารถในการแขง่ ขนั ทแ่ี ทจ้ รงิ
สาํ หรบั ดรคั เกอรแ์ ลว้ ความรตู้ า่ งจากทรพั ยากรอน่ื ๆ ตรงท่ี “…มนั (ความร)ู้ จะเป็นตวั ทาํ ให้
ตวั มนั เองลา้ สมยั อยา่ งต่อเน่ือง เน่ืองจากวา่ ความรทู้ ก่ี า้ วหน้าทนั สมยั ในวนั น้ีจะกลายเป็น
อวชิ ชาในวนั พรงุ่ ...” ดรคั เกอรต์ งั้ ขอ้ สงั เกตวา่ ความรทู้ แ่ี ทข้ องสงั คมยคุ น้คี อื “…ความรทู้ ต่ี อ้ ง
มกี ารพฒั นาปรบั ปรงุ เปลย่ี นแปลงอยา่ งต่อเน่อื ง” ดงั เชน่ ความรสู้ าขาเภสชั ศาสตร์
(Pharmacology) และ พนั ธกุ รรมศาสตรป์ ระยกุ ต์ (Applied genetics) ทก่ี ่อใหเ้ กดิ การ
เปลย่ี นแปลงอยา่ งมากและตอ่ เน่ืองในแวดวงสาธารณสขุ หรอื ความกา้ วหน้าของ
คอมพวิ เตอรแ์ ละการสอ่ื สารในแวดวงเทคโนโลยสี ารสนเทศ เป็นตน้
ในงานเขยี นชน้ิ สาํ คญั ชน้ิ หน่ึงของเขาคอื Managing for the Future (1992) ดรคั เกอรก์ ลา่ ว
วา่ ทรพั ยากรทท่ี รงพลงั อยา่ งแทจ้ รงิ รวมทงั้ ปัจจยั การผลติ ทส่ี าํ คญั ทส่ี ดุ ในปัจจบุ นั หาใช่
ทรพั ยากรเงนิ ทนุ หรอื ทด่ี นิ และแรงงานไม่ แต่มนั คอื “ความร”ู้

“จากน้ไี ปกุญแจสาํ คญั คอื ความรู้ โลกจะมใิ ชก่ ลายเป็นแรงงานเขม้ ขน้ หรอื วตั ถุ
เขม้ ขน้ หรอื พลงั งานเขม้ ขน้ แตค่ อื ความรเู้ ขม้ ขน้ (Knowledge intensive)”

ในงานเขยี นเรอ่ื ง Post-Capitalist society (1993) ครคั เกอรก์ ลา่ วถงึ รปู แบบของสงั คมแบบ
ใหมแ่ ละแตกต่างออกไปวา่ จะเขา้ มาแทนทล่ี ทั ธทิ ุนนยิ มแบบเดมิ พลงั ขบั ดนั เดยี วกนั น้ีแหละ
ทเ่ี ป็นตวั ทาํ ลายลทั ธมิ ารก์ ซสิ ตแ์ ละลทั ธคิ อมมวิ นิสต์ และกจ็ ะทาํ ใหล้ ทั ธทิ ุนนิยมกลายเป็นสงิ่
ลา้ หลงั สงั คมแบบใหมน่ ้ีคอื “สงั คมหลงั ทนุ นิยม” ทซ่ี ง่ึ ระบบเศรษฐกจิ จะเปลย่ี นผนั จาก
เศรษฐกจิ อตุ สาหกรรมสเู่ ศรษฐกจิ ความรู้ (Knowledge economy) ทซ่ี ง่ึ ตลาดเสรจี ะเป็น
เสมอื นแหล่งทม่ี าของการบรู ณาการทางเศรษฐกจิ แต่สงั คมยคุ หลงั ทนุ นิยมน้เี ป็นเพยี ง “ระยะ
ผา่ น” ทจ่ี ะกา้ วไปสู่ “สงั คมความร”ู้ (Knowledge society) ทซ่ี ง่ึ จะเตม็ ไปดว้ ยการแลกเปลย่ี น
ความรู้ (Exchange knowledge)

“ความรนู้ นั้ จะกลายเป็นทรพั ยากร (the knowledge) มากกวา่ จะเป็นแค่
ทรพั ยากรหน่งึ (a resource) ทจ่ี ะทาํ ใหส้ งั คมของเราเขา้ สยู่ คุ หลงั ทนุ นิยม
มนั จะเปลย่ี น...โครงสรา้ งของสงั คม มนั จะสรา้ งพลวตั ทางสงั คมแบบใหม่
ขน้ึ มา มนั จะสรา้ งพลวตั ทางเศรษฐกจิ ใหมข่ น้ึ มา มนั จะสรา้ งการเมอื งแบบ
ใหมข่ น้ึ มา” (Drucker, 1993)

P a g e | 110

หน้าทส่ี าํ คญั ของผบู้ รหิ ารกค็ อื การจดั การคนงานความรู้ (Managing knowledge workers)
คนงานความรจู้ ะแตกตา่ งจากบคุ ลากรแบบเดมิ กลา่ วคอื “พวกเขาจะมาพรอ้ มกบั ความรใู้ น
หวั และพรอ้ มทจ่ี ะจากไปกบั ความรเู้ หลา่ นนั้ ” ดงั นนั้ ผบู้ รหิ ารจะใชแ้ นวทางการบรหิ ารจดั การ
แบบเดมิ ๆไมไ่ ดอ้ กี ต่อไป ในหลายกรณีพวกเขาจะไมป่ ฏบิ ตั ติ นเสมอื นหน่งึ พนกั งานของ
บรษิ ทั แตพ่ วกเขามกั จะแสดงอตั ลกั ษณ์ของตนออกมาบนฐานของความรขู้ องพวกเขา เชน่
ผชู้ าํ นาญการดา้ น... ทป่ี รกึ ษาดา้ น... พนกั งานจา้ งสญั ญาพเิ ศษดา้ น...พนกั งานชวั ่ คราวดา้ น
... ฯลฯ มากกวา่ ทจ่ี ะแสดงตนเสมอื นหน่งึ พนกั งานของบรษิ ทั หรอื องคก์ รทจ่ี า่ ยเงนิ เดอื น
ใหก้ บั พวกเขา
นยั (Meaning) ขององคก์ ารกจ็ ะเปลย่ี นไป การแสวงหาตวั แบบองคก์ รทโ่ี ดดเดน่ ยอดเยย่ี ม
(the “one” right organization) แบบเดมิ นนั้ จะถอื เป็นเรอ่ื งทพ่ี น้ ยคุ พน้ สมยั “ทกุ องคก์ รใน
ประเทศทพ่ี ฒั นาแลว้ (และมใิ ชภ่ าคธุรกจิ อยา่ งเดยี ว) จะตอ้ งถกู ออกแบบเพอ่ื ตอบสนอง
ภารกจิ เฉพาะแบบหน่ึง กาละ (Time) แบบหน่ึง และ เทศะ (Place) และวฒั นธรรมแบบหน่งึ ”

อลั วิน ทอฟเฟลอร์ (Alvin Toffler) กบั คล่ืนลกู ท่ีสาม

“อารยธรรมใหมก่ าํ ลงั ก่อรปู ขน้ึ มองเหน็ หรอื ยงั วา่ เรายนื อยตู่ รงจุดไหน...”
ทอฟฟเลอร์ “คลน่ื ลกู ทส่ี าม” น.297

อลั วนิ ทอฟเฟลอรถ์ อื เป็นนกั วชิ าการแนว “อนาคตวทิ ยา” ทม่ี ชี อ่ื เสยี ง
ยคุ แรกๆ หรอื อาจกลา่ วไดว้ า่ เป็นหน่ึงในกลุ่มผบู้ ุกเบกิ ทพ่ี ยายามฉาย
ภาพของความเปลย่ี นแปลงทางเศรษฐกจิ สงั คม การเมอื งและ
เทคโนโลยใี นระดบั สากล แลว้ จงึ ไดน้ ําเสนอแนวคดิ ทส่ี าํ คญั คอื การ
ขบั เคลอ่ื นทางอารยธรรมของมนุษยโ์ ลก จากคล่นื ลกู ทห่ี น่ึง สคู่ ล่นื ลกู ท่ี
สอง และกาํ ลงั กา้ วเขา้ สสู่ งั คมยคุ คลน่ื ลกู ทส่ี าม

“...อารยธรรมอตุ สาหกรรมกาํ ลงั จะตายจากไป และในทา่ มกลางสญั ญาณแหง่
ความเปลย่ี นแปลงทงั้ หลายน้ี เราจะตอ้ งคน้ หาแนวโน้มใหมอ่ อกมาใหไ้ ด้
แนวโน้มทไ่ี มใ่ ชอ่ ตุ สาหกรรมอกี ตอ่ ไป จากน้ี เราจงึ จะคน้ พบและมองเหน็
คล่นื ลกู ทส่ี าม

P a g e | 111

ความเปลย่ี นแปลงของคลน่ื ลกู ทส่ี ามน้ีแหละทจ่ี ะวางกรอบใหแ้ กช่ วี ติ สว่ น
ทเ่ี หลอื อยขู่ องเรา หากเราปรารถนาจะเหน็ การเปลย่ี นกระแสระหวา่ ง
อารยธรรมเก่ากบั ใหมอ่ ยา่ งราบรน่ื หากเราหวงั จะธาํ รงไวซ้ ง่ึ ความเป็นตวั
ของตวั เองและสามารถผา่ นพน้ วกิ ฤตชนดิ ต่างๆนบั ไมถ่ ว้ นในเฉพาะหน้าน้ี
ไปได้ เรากจ็ ะตอ้ งพยายามเขา้ ใจและพยายามสรา้ งสรรคอ์ ารยธรรมคล่นื
ลกู ทส่ี าม”

ทอฟฟเลอร์ “คลน่ื ลกู ทส่ี าม” น.105

แมว้ า่ ทอฟเฟลอรจ์ ะถกู วพิ ากษว์ จิ ารณ์โดยกลุม่ นกั คดิ บางสาํ นกั เชน่ กลุ่มนกั คดิ ยคุ หลงั
สมยั ใหม่ (Postmodernists) ทว่ี า่ แนวคดิ ของเขาคอ่ นขา้ งจะเป็นกระแสคดิ แบบเสน้ ตรง
(Linearity) คอื เป็นการมองประวตั ศิ าสตรแ์ บบเชงิ เดย่ี ว โดยสรปุ เหมารวมประวตั ศิ าสตรแ์ บบ
เรยี บงา่ ยจนเกนิ ไป ดงั เชน่ ทท่ี อฟฟเลอรน์ ําเสนอแนวคดิ “ทฤษฎคี ลน่ื ” (Wave Theory) วา่
อารยธรรมของมนุษยล์ ว้ นเคล่อื นจากคลน่ื ลกู ทห่ี น่ึงถงึ ลกู ทส่ี าม ซง่ึ มสี าระสาํ คญั ทว่ี า่ แม้
ประวตั ศิ าสตรม์ นุษยจ์ ะเตม็ ไปดว้ ยความสลบั ซบั ซอ้ นและความขดั แยง้ ในตวั เอง แต่เราก็
สามารถทจ่ี ะสงั เกตเหน็ แบบแผนชวี ติ ของมนุษยไ์ ด้ โดยเขาเหน็ วา่ แบบแผนของมนุษยชาติ
ก่อรปู จากคลน่ื สามกระแสใหญ่เหล่านนั้ อยา่ งไรกต็ าม เมอ่ื พจิ ารณาโดยภาพรวมแลว้ การ
นําเสนอภาพแหง่ อนาคตของทอฟฟเลอร์ รวมถงึ การวเิ คราะหภ์ าพในอดตี และการวเิ คราะห์
ภาพในปัจจบุ นั กถ็ อื ไดว้ า่ เตม็ ไปดว้ ยขอ้ มลู สนบั สนุนทางประวตั ศิ าสตรแ์ ละมแี งม่ มุ มองท่ี
น่าสนใจ โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ เมอ่ื พจิ ารณาในแงข่ องการวเิ คราะหถ์ งึ พลงั พลวตั ร (Dynamic
Driving Forces) ทข่ี บั เคล่อื นกงลอ้ อนาคตแหง่ มนุษยชาติ ดเู หมอื นวา่ การอธบิ ายความถงึ
ปัจจยั และววิ ฒั นาการทางสงั คมลว้ นแต่ฉายภาพทน่ี ่าสนใจและมเี หตุผลทม่ี นี ้ําหนกั

หากจะหยบิ ยมื คาํ และแนวการวเิ คราะหม์ าจากทอฟฟเลอรเ์ พอ่ื สรปุ ภาพรวมการ
คลค่ี ลายทางประวตั ศิ าสตรข์ องมนุษยชาติ อาจกล่าวไดว้ า่ กระแสการเปลย่ี นแปลงแรกเรมิ่
ขน้ึ เมอ่ื ประมาณหน่งึ หมน่ื ปีทผ่ี า่ นมา เรยี กวา่ เป็นยคุ เกษตรกรรม สาระสาํ คญั กค็ อื คนในยคุ น้ี
หยดุ การเป็นชนเผา่ เรร่ อ่ นและการล่าเหยอ่ื และเรม่ิ ทจ่ี ะรวมตวั ตงั้ หลกั แหลง่ เป็นหมบู่ า้ นและ
พฒั นาวฒั นธรรมขน้ึ มา คลน่ื ลกู ทส่ี องเป็นยคุ แหง่ เครอ่ื งจกั รและแรงงาน เกดิ การปฏวิ ตั ิ
อตุ สาหกรรมในศตวรรษท่ี 18 รวมทงั้ สงครามกลางเมอื งในอเมรกิ าคนเรม่ิ ละทง้ิ วฒั นธรรม
เกษตรกรรมและการทาํ ไรน่ า ไปสกู่ ารงานในโรงงานอุตสาหกรรมในตวั เมอื ง คล่นื ลกู น้ถี งึ
จุดสงู สดุ ในสงครามโลกครงั้ ทส่ี อง และระเบดิ ปรมาณูทป่ี ระเทศญป่ี ่นุ ปัจจุบนั สงั คมมนุษย์

P a g e | 112

เรมิ่ เคล่อื นเขา้ สยู่ คุ คล่นื ลกู ทส่ี าม ซง่ึ เน้นเรอ่ื งของความคดิ มากกวา่ แรงงาน เป็นยคุ ทเ่ี ราอาจ
เรยี กมนั วา่ เป็นยคุ แหง่ ความรหู้ รอื ยคุ สารสนเทศ ซง่ึ ถกู ขบั ดนั โดยพลงั เทคโนโลยสี ารสนเทศ
อกี ทงั้ ยงั มแี รงผลกั ดนั รว่ มอ่นื ๆ ไดแ้ ก่การเรยี กรอ้ งตอ้ งการของสงั คมทวั่ โลกเพอ่ื ใหไ้ ดม้ าซง่ึ
ความมอี สิ ระเสรแี ละความเป็นตวั ของตวั เองเพม่ิ มากขน้ึ

ในยคุ คล่นื ลกู ทส่ี ามน้ี ทรพั ยากรทม่ี คี วามสาํ คญั มากทส่ี ดุ คอื ความรู้ อะไรคอื ความมงั่
คงั่ ? ทอฟฟเลอรไ์ ดก้ ลา่ วถงึ การสรา้ งความมงั่ คงั่ ของโลกในยคุ คล่นื ลกู ทส่ี ามไวอ้ ยา่ งน่าสนใจ:

1. ระบบการสรา้ งความมงั่ คงั่ แบบใหมจ่ ะขน้ึ อยกู่ บั การแลกเปลย่ี นขอ้ มลู สารสนเทศและ

ความรเู้ พมิ่ มากขน้ึ น่คี อื ระบบ “อภ-ิ สญั ลกั ษณ์” (Super-symbolic) หากไมม่ กี าร
แลกเปลย่ี นความรู้ ความมงั่ คงั่ ใหมก่ จ็ ะไมถ่ กู สรา้ งขน้ึ

2. ระบบใหมจ่ ะกา้ วพน้ ไปจากการผลติ แบบมวลชนขนาดใหญ่ (Mass production) ไปสู่

การผลติ แบบยดื หยนุ่ ไมเ่ น้นปรมิ าณแตป่ รบั ใหเ้ หมาะสมกบั ลกู คา้ (Flexible,

customized, or de-massified production)

3. ปัจจยั การผลติ แบบเดมิ คอื ทด่ี นิ แรงงาน วตั ถุดบิ และ ทุน จะมคี วามสาํ คญั น้อยลง

โดยทค่ี วามรเู้ ชงิ สญั ลกั ษณ์ (Symbolic knowledge) จะกา้ วเขา้ มาแทนท่ี
4. สารสนเทศทางอเิ ลก็ ทรอนกิ สจ์ ะกลายเป็นสอ่ื กลางของการแลกเปลย่ี น แทนทเ่ี งนิ ท่ี

เป็นกระดาษหรอื วตั ถุโลหะ ทุนจะกลายเป็นสงิ่ ไหลล่นื ทพ่ี รอ้ มจะไหลไปรวมกระจกุ

หรอื แตกกระจายไดอ้ ยา่ งรวดเรว็

5. จะมกี ารจดั กลุม่ สนิ คา้ และบรกิ ารใหเ้ ขา้ สรู่ ะบบ ซง่ึ ทาํ ใหเ้ กดิ มาตรฐานทห่ี ลากหลาย

นําไปสสู่ งครามการควบคมุ ขอ้ มลู สารสนเทศทม่ี าตรฐานเหล่าน้ีกาํ หนด

6. ระบบองคก์ รแบบสาํ นกั งานธปิ ไตย (Bureaucracy) ทเ่ี คลอ่ื นไปชา้ ๆ อุย้ อา้ ย จะถกู

แทนทโ่ี ดยหน่วยงานขนาดเลก็ ๆ (Demassified) ทมี งานแบบชวั่ คราวหรอื “เฉพาะ
กจิ ธปิ ไตย” (Ad-hocracy) รวมทงั้ การทาํ งานแบบพนั ธกจิ ทางธรุ กจิ ทซ่ี บั ซอ้ น สาย

การบงั คบั บญั ชาจะถกู ทาํ ใหแ้ บนราบหรอื ขจดั ใหน้ ้อยลงไปเพอ่ื ทจ่ี ะทาํ ใหเ้ กดิ การ

ตดั สนิ ใจทร่ี วดเรว็ การจดั การความรใู้ นองคก์ รแบบสาํ นกั งานธปิ ไตยจะถกู แทนทโ่ี ดย

ระบบสารสนเทศทไ่ี หลล่นื อยา่ งอสิ ระ

7. การทดแทนคนงานกนั - แบบเดยี วกนั กบั แนวคดิ การทดแทนกนั ของอะไหล่ – จะ

น้อยลงไปเรอ่ื ยๆ คนงานในอุตสาหกรรมแบบเก่าจะทาํ งานกบั เครอ่ื งมอื การผลติ ไมก่ ่ี

แบบ แต่ทุกวนั น้ี เครอ่ื งมอื ของการสรา้ งความมงั่ คงั่ ทท่ี รงอาํ นาจทส่ี ดุ คอื “สญั ลกั ษณ์”

P a g e | 113

(Symbolics) ทอ่ี ยใู่ นหวั ของคนงาน ดงั นนั้ คนงานจงึ เป็นผกู้ ุม “เครอ่ื งมอื การผลติ ท่ี

สาํ คญั ” เอาไวใ้ นตวั และจะไมส่ ามารถหาใครมาทดแทนได้ หากขาดเครอ่ื งมอื ในการ

ดงึ เอาสง่ิ เหลา่ นนั้ ออกมา
8. วรี ชนรนุ่ ใหมจ่ ะมใิ ชห่ มายถงึ “ผใู้ ชแ้ รงงานคอปกน้ําเงนิ ” “นกั การเงนิ ” หรอื “ผจู้ ดั การ”

อกี ต่อไป แตจ่ ะหมายถงึ “นกั สรา้ งนวตั กรรม” (Innovator) (ไมว่ า่ จะอยใู่ นหรอื นอก

บรษิ ทั ขนาดใหญ่) ผซู้ ง่ึ ผสมผสานความรเู้ ชงิ จนิ ตนาการเขา้ กบั การปฏบิ ตั ไิ ดส้ าํ เรจ็

9. ผผู้ ลติ กบั ผบู้ รโิ ภคจะผนึกผสานกนั ในวงจรการสรา้ งความมงั่ คงั่ ผบู้ รโิ ภคจะมใิ ชเ่ ป็น

แคผ่ จู้ า่ ยเงนิ แตย่ งั เป็นผใู้ หข้ อ้ มลู ทางการตลาดหรอื การออกแบบโดยผา่ น

กระบวนการผลติ ผซู้ อ้ื (Buyers) และซพั พลายเออร์ (Suppliers) จะแลกเปลย่ี น

ขอ้ มลู สารสนเทศ และความรกู้ นั ถงึ วนั หน่ึงลกู คา้ อาจจะกลายเป็นผกู้ ดป่มุ รโี มทสงั่
การกระบวนการผลติ ดงั นนั้ ผบู้ รโิ ภคและผผู้ ลติ อาจจะหลอมรวมกนั จนกลายเป็น

“ผผู้ ลติ โภค” (Prosumer)

P a g e | 114

เอกสารประกอบ

ภาษาองั กฤษ

Drucker, P.F. (1988). "The Coming of the New Organization," Harvard Business
Review. 66 (January-February).

___________ (1992) Managing for the Future: the 1990s and beyond. Penguin
books.

___________ (1993) Post-Capitalist Society. Oxford: Butterworth Hienemann.
Toffler, A. (1970) Future Shock. Bantam Book.
________ (1980) The Third Wave. Bantam Book.
________ (1990) Power shift. Bantam Book.
Toffler, A. and Toffler, H. (2006) Revolutionary Wealth. Borzoi book.

ภาษาไทย

อลั วนิ ทอฟฟเลอร์ (2532) คล่ืนลกู ท่ีสาม (แปลและเรยี บเรยี งโดย สกุ ญั ญา ตรี ะวนชิ รจติ
ลกั ษณ์ แสงอไุ ร ยบุ ล เบญจรงคก์ จิ วภิ า อตุ มฉนั ท)์ กรงุ เทพฯ: นานมี

P a g e | 115

- 16 -

The Prime mover of Knowledge Society

เมื่อสงั คมวิทยาครกึ ครนื้ บริหารจดั การไมค่ ึกคกั

ในบทความฉบบั ก่อนหน้าน้ี ผเู้ ขยี นไดอ้ า้ งองิ ถงึ แนวคดิ ของปีเตอร์ ดรคั
เกอร์ (Peter Drucker) วา่ ดว้ ย “สงั คมยคุ หลงั ทนุ นยิ ม” ทป่ี รากฎในงาน
เขยี นเรอ่ื ง Post-Capitalist Society ตพี มิ พเ์ มอ่ื ปี ค.ศ. 1993 ทาํ ใหด้ ู
เหมอื นวา่ แนวคดิ น้ีเพง่ิ เกดิ ขน้ึ เมอ่ื ทศวรรษท่ี 1990 แต่หากไดศ้ กึ ษา
ยอ้ นหลงั กลบั ไปอกี หลายสบิ ปี จะพบวา่ ดรคั เกอรเ์ คยเขยี นนําเสนองานทางความคดิ ใน
ลกั ษณะเชน่ น้ีมาตงั้ แตเ่ มอ่ื ปลายทศวรรษท่ี 1950 แลว้

เมอ่ื ปี ค.ศ.1957 ดรคั เกอรต์ พี มิ พง์ านเขยี นเรอ่ื ง The Landmarks of
Tomorrow: A Report on the New Post-Modern World1 (ภมู ทิ ศั น์
แหง่ อนาคต: รายงานวา่ ดว้ ยโลกยคุ หลงั สมยั ใหม)่ ในหนงั สอื เล่มน้ีดรคั
เกอรไ์ ดจ้ ดุ ประเดน็ ขน้ึ มาวา่

“ณ หว้ งเวลาหน่งึ ซง่ึ ไมอ่ าจจะระบตุ ายตวั ไดใ้ นชว่ ง 20 ปีทแ่ี ลว้ เรา
ไดเ้ คล่อื นคลอ้ ยไปอยา่ งแทบไมท่ นั สงั เกตเหน็ จากยคุ สมยั ใหมแ่ ละกา้ วไปสยู่ คุ
ใหมอ่ กี ยคุ หน่ึง...ถงึ แมจ้ ะยงั ไมม่ ชี อ่ื กต็ าม” (Drucker, 1957: p.ix)

นอกจากน้ี เขายงั ไดก้ ลา่ วเพมิ่ เตมิ ในเชงิ ของการ “โยกกระบวนทศั น์” (Paradigm shift) ทาง
ปรชั ญาจากโลกทศั น์สมยั ใหมแ่ บบคารเ์ ตเซยี น (Cartesian)2 ไปสู่ “เอกภพใหมแ่ หง่ แบบแผน
, เป้าประสงคแ์ ละกระบวนการ” (New universe of pattern, purpose, and process) เรา
กาํ ลงั มงุ่ สเู่ ทคโนโลยแี ละอาํ นาจใหมๆ่ ทจ่ี ะครอบงาํ ธรรมชาตพิ รอ้ มไปกบั ความรบั ผดิ ชอบและ
ภยั อนั ตรายทงั้ หลายทจ่ี ะสง่ ผลตามมา และการเปลย่ี นรปู แปลงโฉมทางสงั คมอนั เป็นผลมา
จากการขยายตวั ของการศกึ ษาและความรู้

P a g e | 116

หากจะกลา่ วโดยภาพรวมแลว้ ดรคั เกอรถ์ อื เป็นนกั อนาคตวทิ ยาผมู้ องโลกในแงด่ ี เน่ืองเพราะ
เขามคี วามเชอ่ื วา่ โลกยคุ หลงั สมยั ใหมจ่ ะนํามาถงึ ซง่ึ การสน้ิ สดุ ของยคุ แหง่ ความยากไรแ้ ละ
อวชิ ชา (Poverty and ignorance) ความเสอ่ื มคลายของรฐั ชาติ (The decline of Nation-
States) เพราะชาตติ า่ งๆจะหลอมรวมเขา้ ดว้ ยกนั เป็นโลกทไ่ี รพ้ รมแดน สน้ิ สดุ ยคุ แหง่ การ
ตอ่ สทู้ างอุดมการณ์ และกระบวนการของการสรา้ งความทนั สมยั จะแพรก่ ระจายไปทวั่ โลก (A
worldwide process of modernization)

แนวคดิ ของดรคั เกอรด์ เู หมอื นจะชว่ ยกอ่ กระแสทางความคดิ ซง่ึ ไปสอดคลอ้ งกบั กระแส
แนวคดิ “สงั คมยคุ หลงั อุตสาหกรรม” (Post-industrial society) ซง่ึ แพรร่ ะบาดไปทวั่ แวดวง
วชิ าการ โดยเฉพาะทางดา้ น “สงั คมวทิ ยา” ในหว้ งทศวรรษต่อมา

ในปี ค.ศ.1959 นกั สงั คมวทิ ยานามอโุ ฆษชาวอเมรกิ นั คอื ซี ไรท์ มลิ ส์ (C.
Wright Mills) ตพี มิ พห์ นงั สอื ชน้ิ สาํ คญั ของเขาคอื The Sociological
Imagination (จนิ ตนาการทางสงั คมวทิ ยา) ในงานเขยี นชน้ิ น้ีเขาอา้ งวา่
“เราไดม้ าถงึ จดุ แหง่ ความสน้ิ สดุ ของสง่ิ ทเ่ี ราเรยี กวา่ ยคุ สมยั ใหม่ (The
Modern Age)3”

“ยคุ สมยั ใหมก่ าํ ลงั ถกู เขา้ แทนทโ่ี ดยหว้ งแหง่ หลงั สมยั ใหม”่ 34 (1959: 165-6)

ดว้ ยจนิ ตนาการทางสงั คมวทิ ยา มลิ สเ์ ชอ่ื วา่ โลกยคุ หลงั สมยั ใหมจ่ ะกอ่ ใหเ้ กดิ ความจรงิ ชดุ ใหม่
อกี ชุดหน่ึงขน้ึ มา (New realities) ซง่ึ ทาํ ใหไ้ มว่ า่ จะเป็นสงั คมหรอื ตวั เราเองลว้ นแลว้ แต่
ตอ้ งการการนิยามใหมล่ งลกึ ในระดบั พน้ื ฐาน เน่อื งจากรปู แบบทางความคดิ ความคาดหวงั
ภาพลกั ษณ์ มาตรฐานหรอื แมแ้ ต่ความรสู้ กึ ทเ่ี คยใชไ้ ดใ้ นโลกยคุ หน่ึง กจ็ ะใชก้ ารไมไ่ ดใ้ นโลก
ยคุ หลงั อุตสาหกรรมอกี ต่อไป แมก้ ระทงั่ อุดมการณ์ 2 ขวั้ ทเ่ี ฟ่ืองฟูในยคุ หลงั สงครามโลกครงั้
ท่ี 2 หรอื ยคุ สมยั ใหม่ - ทงั้ ลทั ธมิ ารก์ ซสิ ม์ (Marxism) และเสรนี ยิ ม (Liberalism) – นนั้ ตา่ งก็
มาถงึ ทางตนั ไมส่ ามารถเดนิ หน้าตอ่ ไปในโลกยุคหลงั อุตสาหกรรมได้

P a g e | 117

อาจกล่าวไดว้ า่ หว้ งทศวรรษ 1960 ถอื เป็นชว่ งเวลาอนั คกึ คกั ของนกั สงั คมวทิ ยาตะวนั ตกท่ี
ศกึ ษาวจิ ยั และตงั้ วงนําเสนอ ถกเถยี งกนั ถงึ แนวคดิ ปรชั ญาและรปู แบบของเศรษฐกจิ สงั คม
การเมอื งยคุ ใหม่

จนกระทงั่ ชว่ งปลายทศวรรษท่ี 1960 และชว่ งรงุ่ อรณุ ของทศวรรษ 1970 มนี กั สงั คมวทิ ยา
จาํ นวนไมน่ ้อยเรม่ิ ทจ่ี ะสงั เกตเหน็ มากขน้ึ และเรม่ิ ผลติ ผลงานชน้ิ สาํ คญั ๆออกมาเพอ่ื ชช้ี วน
ผคู้ นใหเ้ หน็ ถงึ ขบวนการความเคลอ่ื นไหวทข่ี บั เคล่อื นจากสงั คมอตุ สาหกรรม (Industrial
society) ไปสสู่ งั คม “หลงั อตุ สาหกรรม” (Post-industrial society)

ยกตวั อยา่ งเชน่ ในปี ค.ศ. 1973 นกั สงั คมวทิ ยาชาวอเมรกิ นั คอื แด

เนียล เบลล์ (Daniel Bell 1919-) ไดก้ ่อรปู ทางความคดิ และนําเสนอ

ทศั นะอนั ทรงอทิ ธพิ ลอยา่ งยง่ิ ในเวลาต่อมาในหนงั สอื ชอ่ื ดงั The

coming of post-industrial society นนั่ คอื ทศั นภาพวา่ ดว้ ยการผดุ

บงั เกดิ “สงั คมหลงั อตุ สาหกรรม” ทซ่ี ง่ึ อตุ สาหกรรมการผลติ ในโรงงาน Daniel Bell

(Manufacturing industry) ซง่ึ เคยแสดงบทบาทสาํ คญั ในการสรา้ งมลู คา่ เพม่ิ ทางการผลติ

อุตสาหกรรมในโลกยคุ สมยั ใหมน่ นั้ เรม่ิ มสี ดั สว่ นของการสรา้ งมลู คา่ ลดน้อยถดถอยลงไป

และการบงั เกดิ เกดิ รปู แบบใหมข่ องกจิ กรรมทางเศรษฐกจิ ทซ่ี ง่ึ มลู คา่ เพมิ่ จะมาจากการใช้

Know-how และทนุ ทางปัญญา (Intellectual capital) กลายเป็นสง่ิ โดดเดน่ มากขน้ึ อยา่ ง

ตอ่ เน่อื ง

อาแลง็ ตเู รน (Alain Touraine) นกั สงั คมวทิ ยาชาวฝรงั่ เศสนําเสนอ
แนวคดิ ทค่ี ลอ้ ยไปในทางเดยี วกบั เบลล์ แตแ่ นวคดิ ของเขามสี ไตลเ์ ชงิ
วพิ ากษม์ ากกวา่

กล่าวคอื ในงานเขยี นเร่อื ง “The Post-industrial Society” (1971)5 ตู
เรนชAใ้ีlaหinเ้ หToน็ uวraา่ ineสง่ิ ทท่ี าํ ใหส้ งั คมแบบใหมม่ คี วามแตกต่างไปจากสงั คมแบบเก่านนั้ กค็ อื การท่ี
ปัจจยั การผลติ ทส่ี าํ คญั ขนั้ พน้ื ฐานไดเ้ ปลย่ี นไปจากปัจจยั “ทด่ี นิ ” และ ปัจจยั “แรงงาน” ไปสู่
ปัจจยั “ความร”ู้ ตเู รนเหน็ วา่ ความรสู้ มยั ใหมท่ ถ่ี กู พฒั นาขน้ึ มาอยา่ งเป็นทางการมากขน้ึ และ

P a g e | 118

มคี วามเป็นระบบมากขน้ึ จะเป็นปัจจยั ทส่ี ง่ ผลกระทบกวา้ งไกลในระดบั สงั คมวงกวา้ ง นบั จาก
ประการแรกกค็ อื ความรจู้ ะทาํ ใหเ้ กดิ การเปลย่ี นแปลงโครงสรา้ งทางชนชนั้ (Class
structure) โดยจะเกดิ ชนชนั้ ใหมท่ ท่ี รงพลงั อนั เป็นชนชนั้ ทจ่ี ะถกู นยิ ามขน้ึ มาดว้ ยมติ ทิ าง
ความรแู้ ละระดบั การศกึ ษา เกดิ พวกชนชนั้ กลางใหม่ (New middle class) ซง่ึ มปี ัจจยั เรอ่ื ง
“การศกึ ษา” เป็นองคป์ ระกอบสาํ คญั ในการสรา้ งความแตกตา่ งทางชนชนั้ ผลทต่ี ามมากค็ อื
ใครกต็ ามทส่ี ามารถเขา้ ถงึ ความรู้ มกี ารศกึ ษาและครอบครอง – รวมทงั้ ควบคมุ – ขอ้ มลู
สารสนเทศได้ กจ็ ะกลายเป็นกลุ่มคนหรอื ชนชนั้ ใหมท่ ม่ี อี าํ นาจและอทิ ธพิ ลในสงั คมสมยั ใหมน่ ้ี

ไมว่ า่ จะโดยบงั เอญิ หรอื ไมก่ ต็ าม ปรากฎการณ์ทช่ี ว่ ยประทคุ วามรอ้ นแรงในทางวชิ าการนนั้ ก็
คอื การเกดิ วกิ ฤติ “ระทกึ น้ํามนั ” (Oil shock) เมอ่ื ปี ค.ศ. 1973 ทาํ ใหเ้ กดิ ความรสู้ กึ รว่ มกนั ใน
โลกตะวนั ตกวา่ โลกใบน้ีกาํ ลงั มาถงึ จดุ เปลย่ี นทส่ี าํ คญั อกี ครงั้ หน่ึง56

Best และ Kellner7 2 นกั เขยี นตงั้ ขอ้ สงั เกตไวอ้ ยา่ งน่าสนใจวา่ เราสามารถจดั แบ่งโลกทาง
วชิ าการของบรรดานกั คดิ นกั เขยี นเหลา่ น้อี อกไดเ้ ป็น 2 คา่ ย

กลุม่ แรกคอื กลุม่ นกั คดิ นกั เขยี นคดิ ทม่ี องการเปลย่ี นแปลงน้ีวา่ มี

ทศิ ทางไปในแงท่ ด่ี ี (Positive) กลุ่มน้ีมนี กั คดิ ทเ่ี ป็นแกนนําสาํ คญั

เชน่ ปีเตอร์ ดรคั เกอร,์ อามไิ ต เอ๊ทซโิ อน่ี (Amitai Etzioni), เฟรเด

อรกิ แฟรเ์ ร (Frederick Ferre), ซูซาน ซอนแทก็ (Susan Sontag),

Amitai Etzioni เลสล่ี ฟีดเลอร์ (Leslie Fiedler), อหี บั ฮสั ซนั (Ihab Hassan) เป็น
ตน้ 78 นกั คดิ กลุ่มน้ีเป็นกล่มุ ทส่ี รา้ งสรรคว์ าทกรรมทางสงั คมเชงิ บวก

(The affirmative social discourse) เพราะมงุ่ มองอนาคตไปในทางทส่ี ดใส ถงึ แมพ้ วกเขาจะ

เหน็ ประเดน็ ปัญหาบางประการทเ่ี กดิ ขน้ึ ในระยะเปลย่ี นผา่ น แต่พวกเขามคี วามเชอ่ื รว่ มกนั วา่

ความกา้ วหน้าทางเทคโนโลยแี ละกระบวนการสรา้ งความทนั สมยั (Modernization) และ

ความกา้ วหน้า (Progress) จะทาํ ใหเ้ หล่ามนุษยชาตสิ ามารถหลุดพน้ จากอดตี อนั ลา้ หลงั

ดงั เชน่ เอ๊ทซโิ อน่ี ทช่ี ใ้ี หเ้ หน็ วา่ สงครามโลกครงั้ ท่ี 2 คอื จดุ เปลย่ี นครงั้ สาํ คญั ในประวตั ศิ าสตร์

ทาํ ใหเ้ กดิ รปู แบบของการสอ่ื สาร, สารสนเทศและพลงั งานเปลย่ี นไปในชว่ งหลงั สงครามโลก

ครงั้ ท่ี 2 เขาเหน็ วา่ พฒั นาการความกา้ วหน้าทางเทคโนโลยเี ป็นดาบ 2 คม ในดา้ นหน่งึ มนั

P a g e | 119

เป็นเครอ่ื งมอื อนั ทรงพลงั ในการบ่อนเซาะทาํ ลายสง่ิ ทม่ี คี ณุ คา่ และคา่ นยิ มในอดตี แต่ในอกี
ดา้ นหน่งึ หากมนุษยชาตริ จู้ กั สรา้ งคา่ นยิ มบางประการทจ่ี ะชน้ี ําในการพฒั นา ใชแ้ ละควบคมุ
เทคโนโลยเี พอ่ื กอ่ ใหเ้ กดิ ประโยชน์อนั สรา้ งสรรคแ์ ก่มนุษยชาติ เทคโนโลยกี จ็ ะสามารถชว่ ย
มนุษยชาตใิ นการแกไ้ ขปัญหาทางสงั คมทงั้ หมดทงั้ ปวง กล่าวอกี นยั หน่ึงกค็ อื เมอ่ื ไรกต็ ามท่ี
สงั คมมนุษยม์ คี า่ นยิ มเชงิ ปทสั ถาน (Normative values) อนั สรา้ งสรรคด์ งี ามเป็นตวั ชน้ี ําการ
พฒั นาเทคโนโลยี เมอ่ื นนั้ สงั คมมนุษยก์ จ็ ะเป็น “สงั คมทค่ี กึ คกั เขม้ แขง็ ” (Active society)

อยา่ งไรกต็ าม นกั คดิ กล่มุ น้กี ม็ กั จะถกู วพิ ากษ์วจิ ารณ์วา่ เป็นกลุม่ ทพ่ี ยายามผลติ ซ้าํ

(Reproduction) ทางวาทกรรมของระบบทุนนยิ มอเมรกิ นั ดงั จะเหน็ ไดจ้ ากแกน่ แกนทาง

ความคดิ ของนกั คดิ กลุ่มน้แี ทบจะเป็นการกลา่ วยา้ํ ซ้ํารอยอุดมการณ์ทต่ี อ้ งการสรา้ ง “สงั คมอู้

ฟู่” (Affluent society)9 และสง่ เสรมิ คา่ นิยม “เฉลมิ ฉลองมหาอาํ นาจอเมรกิ นั ” (Great

American celebration)10 อนั เป็นหลกั คดิ ทส่ี นบั สนุนระบบทนุ นยิ มสมยั ใหมท่ เ่ี ฟ่ืองฟูในชว่ ง

ทศวรรษ 1950 และ 1960 โดยเชอ่ื วา่ ระบบทนุ นิยมจะสามารถฝ่าฟันเอาชนะเหนือปัญหา

วกิ ฤตการณ์ทุกประการไดแ้ ละจะนําพาสงั คมมนุษยไ์ ปสู่ “สงั คมอนั ยงิ่ ใหญ่” ในทส่ี ดุ

สาํ หรบั กล่มุ นกั คดิ ทม่ี องโลกแหง่ อนาคตในแงล่ บ (Negative discourse) มนี กั คดิ แกนนําคน
สาํ คญั ไดแ้ ก่ อารโ์ นลด์ ทอยน์บี (Toynbee), มลิ ส์ (Mills), เบลล์
(Bell) และ สไตเนอร์ (Steiner) เป็นตน้ 1011 คนกลมุ่ น้ีฉายใหเ้ หน็ ภาพ
ของสงั คมตะวนั ตกทถ่ี กู คกุ คามโดยการเปลย่ี นแปลงและความไร้
เสถยี รภาพ รวมทงั้ พฒั นาการของสงั คมและวฒั นธรรมแบบมวลชน
(Mass society and culture) เป็นปัจจยั สาํ คญั ทน่ี ําพาใหส้ งั คม
ตะวนั ตกอยใู่ นภาวะเสอ่ื มทรดุ จนเกดิ กลายเป็นวกิ ฤตทางอารยธรรมของตะวนั ตก ณ ชว่ ง
ปลายของยุคสมยั ใหม่ แนวคดิ ของทงั้ ทอยน์บ,ี เบลล์ ฯลฯ ต่างวเิ คราะหว์ า่ ในโลกยคุ หลงั
สมยั ใหม่ (Postmodern age) คอื ยคุ แหง่ การปลดปลอ่ ยสญั ชาตญาณ แรงขบั ดนั และเจตนา
รมทอ่ี ยภู่ ายในใหพ้ ลุ่งพลา่ นออกมาปรากฎในรปู ของขบวนการขบั เคลอ่ื นทางศลิ ปวฒั นธรรม
ยคุ สมยั ใหม่ ปฏกิ รยิ าทส่ี าํ แดงออกมาของคนรนุ่ น้จี งึ มไี ดห้ ลายลกั ษณ์หลากรปู แบบเชน่ การ
แสดงทา่ ทขี บถแขง็ ขนื (Rebellious) ดอ้ื แพง่ ไมเ่ ชอ่ื ฟังในกฎระเบยี บวนิ ยั (Disobedience)

P a g e | 120

ลทั ธปิ ัจเจกชนนยิ มแบบสดุ ๆ (Hyperindividualist) หรอื การใชช้ วี ติ แบบสาํ ราญนิยม
(Hedonism lifestyle) เป็นตน้ ปรากฏการณ์เชน่ น้ีถอื เป็นความเสย่ี งอยา่ งยง่ิ ต่อการสน้ิ สดุ
โลกทศั น์แบบเหตผุ ลนยิ ม (Rationality) และความออ่ นแองอ่ นแงน่ ของหลกั ศลี ธรรมจรรยา
ดงั้ เดมิ ของสงั คม ความป่วยไขท้ างคา่ นิยมวฒั นธรรมเชน่ น้จี ะสง่ ผลอยา่ งยงิ่ ตอ่ ความเขม้ แขง็
อยา่ งยงั่ ยนื ของสงั คมในอนาคต

กระแสแนวคดิ แบบกลุ่มท่ี 2 น้ี ต่อมาไดแ้ ตกแขนงขยายตวั ออกไปงอกเงยอยา่ งมากใน
ดนิ แดนของประเทศฝรงั่ เศส ในนามของขบวนการทางความคดิ แบบ “หลงั สมยั ใหม”่
(Postmodernism) ฝรงั่ เศสถอื เป็นประเทศหน่ึงซง่ึ เคยอดุ มไปดว้ ยจารตี ทางความคดิ ทเ่ี น้น
เหตุผลนิยม (Rationalism) โครงสรา้ งนิยม (Structuralism) ลทั ธมิ ารก์ ซแ์ บบเน้นโครงสรา้ ง
(Structural Marxism) และลทั ธอิ ตั ถภิ าวะนิยม (Existentialism) มี
นกั คดิ คนสาํ คญั ๆ เชน่ Claud Levi-Strauss, Ferdinand de
Saussure, Jacques Lacan, Louise Althusser, Jean Paul Satre
เป็นตน้ แต่นบั จากการลกุ ฮอื ของนกั ศกึ ษา ประชาชนและผใู้ ช้
แรงงานทเ่ี รยี กวา่ “พฤษภา 68” (Mai 68, May 1968) ถอื เป็น
ปรากฏการณ์ของการเขยา่ รปู แบบและฐานความคดิ ทางสงั คมแบบ “สมยั ใหม”่ (Modernism)
ของฝรงั่ เศส และปทู างไปสขู่ บวนการทางความคดิ แบบ “หลงั สมยั ใหม”่ ทต่ี อ่ มามกี ารเรยี ก
ขานวา่ แนวคดิ แบบ “หลงั โครงสรา้ ง” (Post-structuralism) ซง่ึ พยายามปลดปล่อยการถกู
ครอบงาํ เชงิ โครงสรา้ งของแนวคดิ แบบสมยั ใหม่ ทาํ ใหฝ้ รงั่ เศสนบั จากทศวรรษท่ี 1970
กลายเป็นดนิ แดนอนั อุดมสมบรู ณ์ไปดว้ ยนกั คดิ นกั ปรชั ญาทม่ี ชี อ่ื เสยี งซง่ึ มลี ลี าความคดิ ทเ่ี ป็น
เอกลกั ษณ์แกตา่ งกนั ออกไปไมม่ แี บบแผนหรอื สาํ นกั คดิ ทแ่ี น่นอนตายตวั แต่มเี ป้าหมาย
รว่ มกนั คอื การรอ้ื ถอนแบบแผนโครงสรา้ งทพ่ี วกแนวคดิ สมยั ใหมเ่ คยสรา้ งเอาไว้ นกั คดิ
เหล่าน้ี เชน่ มเิ ชล ฟูโกลต์ (Michel Foucault), ชารค์ แดรร์ ดิ า (Jacques Derrida), ชอง
ฟรองซวั ลโี อถารด์ (Jean Francois Lyotard), ชอง โบรดรยิ ารด์ (Jean Baudrillard), โร

J. Baudrillard Jacques Derrida

P a g e | 121

ลองด์ บารท์ (Roland Barthes) เป็นตน้ นกั คดิ เหลา่ น้ีต่อมาถกู ขนานนามวา่ เป็นสาํ นกั คดิ

แนว “หลงั สมยั ใหม”่ (Postmodernism) (ซง่ึ เจา้ ตวั ทุกคนลว้ นแลว้ แตป่ ฏเิ สธวา่ “ผมไมใ่ ชพ่ วก

หลงั สมยั ใหม”่ ) และเป็นแนวคดิ ทแ่ี ผข่ ยายอทิ ธพิ ลทางความคดิ และโลกวชิ าการดา้ น
สงั คMมiศchาeสlตFoรuแ์ cลaะuมltนุษยศาสตรอ์ ยา่ งมากในเวลาต่อมาจวบจนถงึ ปัจจุบนั Roland Barthes

ในขณะทข่ี บวนการทางปัญญาของนกั คดิ ทางสงั คมวทิ ยากาํ ลงั ดาํ เนนิ ไปอยา่ งคกึ คกั ในชว่ ง
ทศวรรษท่ี 1970-1980 แตท่ น่ี ่าสนใจกค็ อื แนวคดิ และวาทกรรมทน่ี ําเสนอ แลกเปลย่ี น
ถกเถยี งกนั อยา่ งรอ้ นแรงในทางสงั คมวทิ ยากลบั ไมค่ อ่ ยไหลซมึ โอนยา้ ยถ่ายเทมาทางดา้ น
การบรหิ ารจดั การ – ทงั้ ในทางวชิ าการและในทางปฏบิ ตั ิ – เทา่ ไรนกั แมก้ ระทงั่ แนวโน้ม
ทางเศรษฐกจิ สงั คมทก่ี ลมุ่ นกั คดิ ทม่ี องโลกในแงด่ ี (Optimists) นําเสนอภาพแหง่ “สงั คมยคุ
หลงั อุตสาหกรรม” เพอ่ื เป็นแสงสวา่ งนําทางทางปัญญาให้ แต่ดเู หมอื นแวดวงวรรณกรรม
ดา้ นการบรหิ ารจดั การแทบไมม่ ใี ครแตะประเดน็ อนั อดุ มดว้ ยปัญญาเชน่ น้ี

แลว้ อะไรคอื ประเดน็ ทน่ี กั คดิ นกั เขยี นดา้ นการบรหิ ารจดั การและบรรดาผบู้ รหิ ารในองคก์ ร
ตา่ งๆใหค้ วามใสใ่ จอยา่ งมากในชว่ งทศวรรษท่ี 1970-1980 ?

สง่ิ ทบ่ี รรดานกั คดิ นกั เขยี นดา้ นการบรหิ ารจดั การและบรรดาผบู้ รหิ ารในองคก์ รต่างๆ ในชว่ ง
ปลายทศวรรษท่ี 1970 มงุ่ ความสนใจเป็นอยา่ งยงิ่ กค็ อื การเตบิ โต (และบรรษทั อเมรกิ นั ถอื
วา่ เป็นการคกุ คามทส่ี าํ คญั ) อยา่ งรวดเรว็ และน่ามหศั จรรยข์ อง “อตุ สาหกรรมการผลติ ของ
ญป่ี ่นุ ” (The Japanese manufacturing industry) โดยเฉพาะอยา่ งอุตสาหกรรมผลติ รถยนต์
ของญป่ี ่นุ ทใ่ี ชเ้ วลาเพยี ง 2 ทศวรรษหลงั การพา่ ยแพใ้ นสงครามโลกครงั้ ท่ี 2 กลบั มาสรา้ ง
ความยง่ิ ใหญ่เป็นมหาอาํ นาจทางเศรษฐกจิ พชิ ติ อุตสาหกรรมผลติ รถยนตข์ องสหรฐั อเมรกิ า

แวดวงวชิ าการดา้ นการบรหิ ารจดั การอเมรกิ นั จงึ ทมุ่ เททรพั ยากรและความสนใจทงั้ มวล
ทาํ การศกึ ษาเพอ่ื แสวงหาความลล้ี บั ของการก่อรา่ งสรา้ งตวั แบบ “มหศั จรรยแ์ หง่ เอเชยี ” ของ
ญป่ี ่นุ จนในทส่ี ดุ ผลทต่ี ามมากค็ อื ในชว่ งทศวรรษท่ี 1980 การศกึ ษาวจิ ยั ดา้ นการบรหิ าร
จดั การอเมรกิ นั แทบจะมคี วามเหน็ พอ้ งตอ้ งกนั วา่ เหตปุ ัจจยั ทบ่ี รรษทั อตุ สาหกรรมญป่ี ่นุ
สามารถพฒั นาฟ้ืนฟูและยกระดบั ตนเองไดอ้ ยา่ งรวดเรว็ และสามารถสรา้ งความไดเ้ ปรยี บใน

P a g e | 122

การแขง่ ขนั ไดอ้ ยา่ งยงั่ ยนื นนั่ กเ็ พราะญป่ี ่นุ มที รพั ยากรเชงิ องคก์ ารทจ่ี บั ตอ้ งไมไ่ ด้

(Intangible organizational resource) นนั่ กค็ อื “วฒั นธรรมองคก์ าร” (Organizational

culture)

ทศวรรษท่ี 1980 จงึ เป็นหว้ งทแ่ี วดวงวชิ าการดา้ นการบรหิ ารและการบรหิ ารจดั การองคก์ ร
ของบรรษทั อเมรกิ นั หมกมนุ่ สาละวนอยกู่ บั ประเดน็ เรอ่ื งของ
“วฒั นธรรมองคก์ าร” เพอ่ื สรู้ บปรบมอื กบั บรรษทั อตุ สาหกรรมการผลติ
ของญป่ี ่นุ นกั คดิ นกั เขยี นดา้ นวฒั นธรรมองคก์ ารทม่ี ชี อ่ื เสยี งหลายคนจงึ
ปรากฎตวั ขน้ึ มาในชว่ งทศวรรษท่ี 1980 น้ี เชน่ เกอรต์ ฮฟิ สเตด (Geert
Hofstede), เอ๊ดการ์ ชายน์ (Edgar Schein) และโดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ ศาสตราจารยอ์ ชู ิ
(William Ouchi) ทน่ี ําเสนอทฤษฎี Z (Theory Z)12 อนั โดง่ ดงั เพอ่ื พฒั นาการบรหิ ารจดั การ
วฒั นธรรมองคก์ ารของบรรษทั อเมรกิ นั ใหส้ ามารถต่อกรกบั พวกญป่ี ่นุ ได้

กวา่ ทแ่ี วดวงวชิ าการและการบรหิ ารจดั การองคก์ ารจะหนั มาสนใจในเรอ่ื งของ “ทรพั ยากร
ทางความรแู้ ละภมู ปิ ัญญาทจ่ี บั ตอ้ งไมไ่ ด”้ (Intellectual resource) และประเดน็ เรอ่ื งของการ
พฒั นาองคก์ ารใหม้ คี วามสามารถทจ่ี ะเรยี นรแู้ ละใชค้ วามรแู้ ละความชาํ นาญทส่ี งั่ สมขน้ึ มาให้
เป็นประโยชน์นนั้ โลกกก็ า้ วลว่ งเขา้ มาสชู่ ว่ งทศวรรษท่ี 1990 แลว้

งานเขยี นทโ่ี ดดเดน่ ชน้ิ หน่งึ ทช่ี ว่ ยสรา้ งกระแส “สงั คมยคุ หลงั อุตสาหกรรมทใ่ี หค้ วามสาํ คญั กบั
ทรพั ยากรความร”ู้ ไดแ้ กง่ านเขยี นของ ทอม สจ๊วต (Tom Stewart) เรอ่ื ง “ทนุ ทางปัญญา:
ความมงั่ คงั่ ใหมข่ ององคก์ าร”1213 สจว๊ ตไดช้ ช้ี วนใหผ้ อู้ า่ นทเ่ี ป็นนกั บรหิ ารไดร้ จู้ กั กบั คาํ วา่
“ระเบยี บโลกใหม”่ (New world order) และนําเสนอวา่ ทรพั ยากรทางกายภาพ (Physical
resources) ทเ่ี คยเป็นปัจจยั การผลติ ทส่ี าํ คญั ในโลกยคุ ก่อนนนั้ จะถกู ลดบทบาทลงไป ดว้ ย
ทรพั ยากรชดุ ใหมท่ เ่ี รยี กวา่ “ทรพั ยากรบนฐานความร”ู้ (Knowledge-based resource) ซง่ึ จะ
เป็นตวั สรา้ งใหเ้ กดิ ความแตกตา่ งขน้ึ มา

“ทค่ี ณุ ชนะไดก้ เ็ พราะเศรษฐกจิ ทุกวนั น้ีแตกต่างไปจากเศรษฐกจิ ของวนั วานอยา่ ง
ลกึ ซง้ึ พวกเราเตบิ โตมาจากยคุ แหง่ อตุ สาหกรรม แตม่ นั ผา่ นไปแลว้ และถกู

P a g e | 123

แทนทโ่ี ดยยคุ แหง่ สารสนเทศ โลกแหง่ เศรษฐกจิ ทเ่ี รากาํ ลงั ลาจากไปคอื ทๆ่ี ซง่ึ
แหล่งทม่ี าของความมงั่ คงั่ มาจากวตั ถุทางกายภาพ สง่ิ ทพ่ี วกเราเคยซอ้ื -ขายกนั
คอื สงิ่ ของ (Things); คณุ สามารถจบั ตอ้ งสมั ผสั มนั ได้ ดมกลน่ิ มนั ได้ เตะไปทล่ี อ้
ยางได้ ปิดประตโู ครมแลว้ ฟังเสยี งกระทบจนพอใจได้ ทด่ี นิ และ
ทรพั ยากรธรรมชาติ เชน่ น้ํามนั สนิ แรแ่ ละพลงั งาน รวมทงั้ แรงงานและเครอ่ื งจกั ร
คอื องคป์ ระกอบสาํ คญั ทเ่ี คยสรา้ งใหเ้ กดิ ความมงั่ คงั่ ขน้ึ มา...” (Stewart, 1997: x)

แต่สภาพเชน่ น้ีกาํ ลงั จะเปลย่ี นไปแลว้ เมอ่ื โลกกา้ วสยู่ คุ แหง่ สารสนเทศ

17 ตค. 2553

บา้ นชยั พฤกษ/์ วชั รพล

1 Drucker, P. (1957) The Landmarks of Tomorrow: A Report on the New Post-Modern
World, New York: Harper&Row.

2 คารเ์ ตเซยี น (Cartesian) คอื กระบวนทศั น์วธิ คี ดิ แบบเรเน เดสก์ ารต์ (Rene Descartes) นกั ปรชั ญา
ชาวฝรงั่ เศสผทู้ ไ่ี ดร้ บั การกล่าวถงึ ในฐานะของนกั ปรชั ญาผทู้ รงอทิ ธพิ ลทางความคดิ มากทส่ี ดุ คนหน่ึงของ
โลกยคุ สมยั ใหม่ วาทะสาํ คญั ของเขาคอื “I think, therefore I am.”

3 Mills, C. Wright (1959) The Sociological Imagination. New York: Oxford University Press.

4 แปลมาจากขอ้ ความทว่ี า่ “So now The Modern Age is being succeeded by a post-modern
period.”

5 Touraine, A. (1971) The Post-industrial Society, Tomorrow’s Social History: Classes,
Conflicts and Culture in the Programmed Society, trans. L.F.X. Mayhew. New York: Random
House.

6 ยงั มคี วามเคลอ่ื นไหวทน่ี ่าสนใจซง่ึ เกดิ ขน้ึ กอ่ นหน้าน้กี ค็ อื เมอ่ื ปี พ.ศ. 2511 มกี ารรวมตวั กนั ของคนกลมุ่
หน่ึงจากกวา่ 10 ประเทศมที งั้ นกั การทตู นกั วทิ ยาศาสตร์ นกั การศกึ ษา นกั เศรษฐศาสตร์ นกั
มนุษยศาสตร์ นกั อุตสาหกรรม และภาคประชาสงั คมฯลฯ ก่อตงั้ เป็น “สโมสรแหง่ กรุงโรม” (Club of

P a g e | 124

Rome) มาประชุมปรกึ ษาหารอื กนั เกย่ี วกบั “ความหายนะทม่ี นุษยก์ าํ ลงั จะเผชญิ ในอนาคต” ต่อมาไดม้ ี
การตพี มิ พร์ ายงานชน้ิ สาํ คญั อนั เป็นทก่ี ลา่ วขวญั กนั ในระดบั โลกไดแ้ ก่ The Limits to Growth เขยี น
โดย Donella H. Meadows, Dennis L. Meadows, Jørgen Randers, and William W. Behrens III
(1972)

7 ดู Best, S. and Kellner, D. (1991) Postmodern theory: Critical Interrogation. London:
Macmillan.

8 ตวั อยา่ งผลงานชน้ิ สาํ คญั ของนกั คดิ กลุ่มน้ี เชน่ Etzioni, Amitai (1968) The Active Society, New
York: The Free Press; Ferre, Frederick (1976) Shaping the Future: Resources for the
Postmodern World. New York: Harper&Row.; Sontag, Susan (1966) Against Interpretation.
New York: Deli; Fiedler, Leslie (1971) The Collected Essays of Leslie Fiedler. New York:
Stein and Day; Hassan, Ihab (1987) The Postmodern Turn: Essays in Postmodern Theory
and Culture. Columbus.

9 แนวคดิ สงั คมอฟู้ ู่ (Affluent society) มที ม่ี าจาก John Kenneth Galbraith นกั เศรษฐศาสตรเ์ ชงิ สถาบนั
แนวเคนเซย่ี นชอ่ื ดงั ชาวแคนาดา-อเมรกิ นั

10 คา่ นยิ ม “เฉลมิ ฉลองมหาอํานาจอเมรกิ นั ” (Great American celebration) เป็นคาํ ทป่ี รากฎอยใู่ นงาน
เขยี นของ C. Wright Mills (1959)

11 ตวั อยา่ งผลงานชน้ิ สาํ คญั ของนกั คดิ กลมุ่ น้ี เชน่ Toynbee, Arnold (1963). A Study of History.
New York: Oxford University Press; Bell, Daniel (1976) The Cultural Contradictions of
Capitalism. New York: Basic Books; Steiner, George (1971) In Bluebeard’s Castle. New
Haven: Yale University Press.

12 Ouchi, William G. (1981). Theory Z: How American Business Can Meet the Japanese
Challenge. New York: Avon Books

13 Stewart, T.A. (1997). Intellectual Capital: The New Wealth of Organization. New York:
Doubleday.

P a g e | 126

- 17 -

ก่อนจะถึงยคุ เศรษฐกจิ สร้างสรรค:์ สังคมสารสนเทศ (1)

(The Information Society)

“We live in a world that has become digital.”
Nicholas Negroponte1

เราเรยี นรปู้ ระวตั ศิ าสตรเ์ พอ่ื การปทู างไปสคู่ วามเขา้ ใจในอนาคตอยา่ งมรี ากฐานทม่ี นั่ คง
บทความชน้ิ น้ีกเ็ ชน่ เดยี วกนั ถอื เป็นสว่ นหน่ึงของชุดของบทความทผ่ี เู้ ขยี นมจี ดุ มงุ่ หมายท่ี
พยายามมงุ่ มองไปยงั อนาคตของสงั คมไทย อนั เป็นสงั คมทก่ี าํ หนดไวใ้ นนโยบายของรฐั บาล
และแผนพฒั นาเศรษฐกจิ และสงั คมแหง่ ชาตวิ า่ ตอ้ งการโน้มนําสงั คมไทยใหก้ า้ วไปสกู่ ารเป็น
สงั คมเศรษฐกจิ แหง่ ความสรา้ งสรรค์ แต่ทวา่ เราจะกา้ วไปสอู่ นาคตเชน่ นนั้ ไดอ้ ยา่ งไรเลา่ หาก
เรายงั ไมเ่ ขา้ ใจถงึ รากเหงา้ และทม่ี าทไ่ี ปเชงิ ววิ ฒั นาการทางประวตั ศิ าสตรท์ ข่ี บั เคลอ่ื นเรามา
จนถงึ จดุ น้ีในปัจจุบนั และกงลอ้ น้กี าํ ลงั จะถกู หมนุ เหวย่ี งเราไปยงั อนาคต ผเู้ ขยี นไมอ่ ยากให้
เราเป็นผโู้ ดยสารทม่ี ดื บอดต่อเรอ่ื งราวในอดตี และเฉ่ือยชาไมน่ ําพาตอ่ พลงั ทจ่ี ะพาเราไปยงั
อนาคต
หากตดิ ตามบทความชน้ิ กอ่ นหน้าน้ี กจ็ ะเหน็ ไดว้ า่ ผเู้ ขยี นไดก้ ลา่ วถงึ แนวคดิ “สงั คมยคุ หลงั
อุตสาหกรรม” (Post-industrial society) มาพอสงั เขปแลว้ และไดก้ ลา่ วทง้ิ ทา้ ยถงึ กระแสการ
ก่อตวั ของปรากฏการณ์ทส่ี าํ คญั คอื “สารสนเทศ” ดงั นนั้ ในคราวน้จี ะไดก้ ลา่ วถงึ อกี แนวคดิ
หน่งึ ทส่ี าํ คญั ยง่ิ ถอื เป็นพน้ื ฐานสาํ คญั ของเศรษฐกจิ เชงิ สรา้ งสรรคน์ นั่ กค็ อื “สงั คมสารสนเทศ”
(Information society)

P a g e | 127

“สารสนเทศ” ไดเ้ ขา้ มามบี ทบาทสาํ คญั ยงิ่ ในโลกยคุ ใหม่ และนํามาซง่ึ ความเปลย่ี นแปลงครงั้
ใหญ่ในระดบั ของการเปลย่ี นยคุ สมยั ทางประวตั ศิ าสตรเ์ ลยทเี ดยี ว กอ่ นทโ่ี ลกจะไดร้ จู้ กั กบั
“เศรษฐกจิ เชงิ สรา้ งสรรค”์ (Creative economy) หรอื “เศรษฐกจิ สงั คมบนฐานความร”ู้
(Knowledge-based socio-economy) สงั คมสารสนเทศคอื แนวคดิ ทางสงั คมทพ่ี ฒั นามากอ่ น
ทงั้ 2 แนวคดิ ดงั กลา่ ว

การท่ี “สารสนเทศ” ทวคี วามสาํ คญั ขน้ึ มาอยา่ งมหาศาลในหว้ งไมก่ ป่ี ีทผ่ี า่ นมา สาเหตทุ ม่ี สี ว่ น
สาํ คญั ยงิ่ เป็นเพราะการบงั เกดิ และพฒั นาการอยา่ งรวดเรว็ ของวทิ ยาการดา้ นอเิ ลค็ ทรอนิกส์
และการเกดิ “เครอ่ื งมอื ทางอเิ ลก็ ทรกนิกส”์ (Electronic devices) โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ การจตุ ิ
ขน้ึ มาของเครอ่ื งมอื ทางอเิ ลค็ ทรอนิกสท์ ส่ี าํ คญั ทช่ี อ่ื “คอมพวิ เตอร”์ (Computer) จนเกอื บจะ
กล่าวไดว้ า่ ทงั้ 2 คาํ ดงั กลา่ วคอื “สารสนเทศ” กบั “คอมพวิ เตอร”์ แทบจะเป็นกลายเป็นฝา
แฝดทเ่ี กย่ี วขอ้ งสมั พนั ธเ์ ชอ่ื มโยงกนั อยา่ งแนบแน่นยากทจ่ี ะตดั ขาดออกจากกนั ได้ การมาถงึ
ของ “คอมพวิ เตอร”์ ไดช้ ว่ ยก่อรปู แบบแผน พฤตกิ รรมและพฒั นาการทางสงั คมจนทาํ ใหเ้ กดิ
“สงั คมสารสนเทศ” มากยงิ่ ขน้ื ภาพทเ่ี ราไดเ้ หน็ และรบั รจู้ นกลายเป็นสง่ิ เคยชนิ เสยี แลว้ นนั่ ก็
คอื ภาพของผคู้ นทส่ี ามารถสง่ และรบั เอาสารสนเทศไดอ้ ยา่ งรวดเรว็ และกวา้ งขวางทวั่ ถงึ มาก
ขน้ึ นบั จากการอา่ นหนงั สอื พมิ พแ์ ละดหู นงั ฟังเพลงทางออนไลน์ การดโู ทรทศั น์ผา่ นเคเบล้ิ
หรอื จานดาวเทยี ม การสอ่ื สารผา่ นทางอนิ เตอรเ์ น็ตในรปู ของอเี มล์ Chat, Webboard, Blog,
Tweeter, Facebook ฯลฯ บรรดา Social Networking ทงั้ หลาย รวมถงึ การสอ่ื สารผา่ นทาง
Mobile Phone, GPS เป็นตน้

นบั วนั กจ็ ะเหน็ ภาพของการสอ่ื สารทเ่ี กดิ ขน้ึ ไดใ้ นทกุ ท่ี ทกุ เวลา ในทกุ แหง่ หน ในทกุ
หน่วยงาน ทุกกล่มุ คน ทุกชนทกุ ชนั้ ทกุ ภาคสว่ น ทุกเรอ่ื งทกุ กจิ กรรม ไมว่ า่ จะเป็นกจิ กรรม
ทางการเมอื ง การทาํ งานในสาํ นกั งาน โรงงานอตุ สาหกรรม การประกอบธุรกจิ การซอ้ื ขาย
การบรโิ ภค การเงนิ การธนาคาร การแพทย์ การทหาร งานบรกิ ารราชการ การศกึ ษา
สาธารณสขุ ศาสนา กฬี า วงการบนั เทงิ งานอดเิ รก งานศลิ ปะ กจิ กรรมภายในครวั เรอื น ไป
จนถงึ กระทงั่ กจิ กรรมทางเพศ อาชญากรรม การซอ้ื ขายมนุษย์ หรอื แมก้ ระทงั่ การพยายาม
กระทาํ อตั วบิ าตกรรม!!! เป็นตน้

P a g e | 128

ในแต่ละกจิ กรรมเหล่านนั้ สะทอ้ นถงึ ความพยายามของมนุษยท์ จ่ี ะ “แลกเปลย่ี นสญั ญลกั ษณ์”
นนั่ คอื มกี ารสง่ และรบั “สาร” อนั เป็นสญั ญลกั ษณ์ทท่ี งั้ ผสู้ ง่ และผรู้ บั เขา้ ใจรว่ มกนั ซง่ึ กจิ กรรม
เชน่ น้โี ดยพน้ื ฐานแลว้ กค็ อื กจิ กรรมทเ่ี ป็นไปตามปกตขิ องมนุษยท์ ก่ี ระทาํ กนั นบั ตงั้ แตท่ ม่ี นุษย์
เรม่ิ ใชส้ ญั ญลกั ษณ์ทเ่ี รยี กวา่ “ภาษา” ในการตดิ ตอ่ สอ่ื สารซง่ึ กนั และกนั

แตก่ ระนนั้ ในยคุ สมยั ใหมน่ ้ี กจิ กรรมทถ่ี อื เป็นเรอ่ื งปกตธิ รรมดาของมนุษยม์ านานนบั หมน่ื
นบั แสนปีเรมิ่ เปลย่ี นไป เมอ่ื มกี ารพฒั นา “เครอ่ื งมอื ตวั ใหม”่ มาชว่ ยในการตดิ ต่อสอ่ื สาร
รปู แบบใหม่ นนั่ กค็ อื “การสอ่ื สารทางอเิ ลก็ ทรอนิกส”์ (Electronic communications) การ
สอ่ื สารรปู แบบใหมเ่ ชน่ น้ไี ดส้ รา้ งประสบการณ์ใหมท่ างการสอ่ื สารภาษาและสญั ญลกั ษณ์
ใหแ้ กม่ นุษยช์ าติ จนมกี ารกล่าวขานวา่ มนั ไดน้ ําพามนุษยม์ าสยู่ คุ ทก่ี จิ กรรมแทบจะทุกดา้ น
ทกุ อยา่ งของมนุษยจ์ ะถกู สอดแทรกดว้ ยเครอ่ื งมอื อเิ ลก็ ทรอนิกส์ ซง่ึ อาจเรยี กปรากฎการณ์น้ี
ไดว้ า่ ยคุ แห่ง “อเิ ลค็ ทรอนิกสภ์ วิ ฒั น์” (Electronization)

ในการพฒั นาไปสสู่ งั คมแหง่ “สารสนเทศ” เชน่ น้ี มผี ทู้ ม่ี องปรากฏการณ์การเตบิ โตกา้ วหน้า
ของ “สารสนเทศ” และเครอ่ื งมอื การสอ่ื สารทางอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ ในหลากวธิ คี ดิ และหลาย
มมุ มอง ทงั้ ทเ่ี ป็นมมุ มองในทางทด่ี /ี ทางบวก และ ในแงร่ า้ ย/ทางลบ รวมทงั้ วธิ คี ดิ ของสาํ นกั
คดิ ตา่ งๆทม่ี ที งั้ เหน็ ดว้ ยและไมเ่ หน็ ดว้ ยกบั คาํ กลา่ วทก่ี ล่าววา่ สารสนเทศและคอมพวิ เตอร์
นํามาสกู่ ารเปลย่ี นแปลงของยคุ สมยั

ในประเดน็ แรกคอื มมุ มองของคนทม่ี องการพฒั นาคอมพวิ เตอรแ์ ละสารสนเทศอยา่ งครนุ่ คดิ
สามารถจาํ แนกออกไดเ้ ป็น 2 กลุม่ ใหญ่ๆ คอื กลุ่มแรกเป็นบรรดานกั คดิ นกั เขยี นและผคู้ นท่ี
มองพฒั นาการเหล่าน้ไี ปในทางทด่ี /ี ทางบวก และ กลุ่มทส่ี องคอื บรรดานกั คดิ นกั เขยี นและ
ผคู้ นทม่ี องพฒั นาการเหล่าน้ีไปในแงร่ า้ ย/ทางลบ กลา่ วคอื

ในดา้ นหน่งึ มนี กั คดิ นกั เขยี นจาํ นวนมากทม่ี องวา่ พฒั นาการของคอมพวิ เตอรแ์ ละการ

เตบิ โตอยา่ งรวดเรว็ ของเทคโนโลยสี ารสนเทศยอ่ มหมายถงึ การนําพามาซง่ึ ชวี ติ ท่ี

สะดวกสบาย คล่องตวั ไหลรน่ื ทาํ ให้

ผคู้ นสามารถสอ่ื สาร แลกเปลย่ี น เรยี นรู้

P a g e | 129

รบั รู้ นําเสนอและเขา้ ถงึ ขอ้ มลู ขา่ วสาร สารสนเทศและความรตู้ า่ งๆไดอ้ ยา่ งรวดเรว็ ฉบั ไว
และกวา้ งขวางทวั่ ถงึ มากยง่ิ ๆขน้ึ ตวั อยา่ ง ของงานเขยี นแนวน้ีมกั จะปรากฏในงานเขยี นแนว
การบรหิ ารจดั การเชน่ The Road Ahead ของ Bill Gates (1995) หรอื The World is Flat
ของ Thomas Friedman (2007) ฯลฯ รวมทงั้ งานเขยี นเชงิ วชิ าการเชน่ The Wealth of
Information ของ Tom Stonier (1983) หรอื The Information Society as Post-Industrial
Society ของ Yoneji Masuda (1985) เป็นตน้

แต่ในอกี ดา้ นหน่ึง กม็ นี กั คดิ นกั เขยี นและผคู้ นอกี จาํ นวนไมน่ ้อยทม่ี องพฒั นาการของ
เครอ่ื งมอื อเิ ลก็ ทรอนกิ สแ์ ละเทคโนโลยสี ารสนเทศวา่ หมายถงึ การทาํ ใหช้ วี ติ ของผคู้ นจะถกู
ควบคมุ และถกู ครอบงาํ ไดม้ ากและแนบเนยี นยงิ่ ขน้ึ ซง่ึ นนั่ ยอ่ มหมายถงึ การถกู รดิ รอนสทิ ธิ
เสรภี าพและการถุกรกุ ลา้ํ พน้ื ทแ่ี หง่ ชวี ติ ความคดิ และจติ ใจ – จะโดยรตู้ วั หรอื ไมก่ ต็ าม -
มนุษยจ์ ะสญู เสยี อสิ รภาพและความมอี ตั ลกั ษณ์ของตนเองไปในทส่ี ดุ ตวั อยา่ งทค่ี ลาสสกิ ของ
งานเขยี นแนวน้มี กั ปรากฎในนวนยิ ายแนววทิ ยาศาสตร์ (Scientific Fiction) เชน่ Brave New
World ของ Aldous Huxley (1932) 1984 ของ George Orwell (1949) และ Microserfs
ของ Douglas Coupland (2008) หรอื งานเขยี นเชงิ วชิ าการเชน่ Labor and Monopoly
Capital ของ Harry Braverman (1974) The Computerisation of Society: A Report to
the President of France ของ Nora and Minc (1980) The Control Revolution ของ
James Beniger (1986) Athens without Slaves… or Slaves Without Athens? ของ
Robins and Webster (1988) เป็นตน้

P a g e | 130

ประเดน็ ตอ่ มากค็ อื วธิ คี ดิ และมมุ มองของนกั คดิ นกั เขยี นจากสาํ นกั คดิ ต่างๆทม่ี ที งั้ เหน็ ดว้ ย
และไมเ่ หน็ ดว้ ยกบั คาํ กลา่ วทก่ี ลา่ ววา่ เทคโนโลยสี ารสนเทศและคอมพวิ เตอรเ์ ป็นตวั แปรหรอื
พลงั ขบั เคล่อื นสาํ คญั ทน่ี ําพาสงั คมมาสกู่ ารเปลย่ี นแปลงของยคุ สมยั
มนี กั คดิ จาํ นวนไมน่ ้อยทม่ี องวา่ การสอ่ื สารทางอเิ ลก็ ทรอนกิ สเ์ ป็นเพยี ง “เครอ่ื งมอื ตวั ชว่ ยอกี
ตวั หน่งึ ” ทช่ี ว่ ยใหม้ นุษยส์ ามารถบรรลุเป้าหมายในการสอ่ื สารเทา่ นนั้ หาไดม้ นี ยั ยะในเชงิ การ
เปลย่ี นแปลงยคุ สมยั ทางสงั คมไปสยู่ คุ แหง่ สารสนเทศ, ความร,ู ความสรา้ งสรรคแ์ ละ
นวตั กรรมดงั ทบ่ี รรดากลมุ่ คนบางกลมุ่ มกั จะกลา่ วอา้ ง ตวั อยา่ งของสาํ นกั คดิ เหล่าน้ีดงั เชน่

• พวกนักคิดแนวมารก์ ซิสต์ (Marxist) มองวา่ บรรดา
เทคโนโลยแี ละการสอ่ื สารสมยั ใหมเ่ ป็นตวั ชว่ ยเสรมิ แรงแนวคดิ
ของพวกเขา นนั่ กค็ อื “ทฤษฎกี ารตอ่ สทู้ างชนชนั้ ” (Class
Struggle) กลา่ วคอื บรรดาเทคโนโลยแี ละการสอ่ื สารสมยั ใหม่
ทาํ ใหค้ นสามารถเขา้ ถงึ ขอ้ มลู สารสนเทศไดอ้ ยา่ งรวดเรว็ กวา้ งขวางและทวั่ ถงึ ได้
แตกตา่ งกนั ออกไป การทค่ี นกลุ่มตา่ งๆ มคี วามสามารถในการเขา้ ถงึ ขอ้ มลู
สารสนเทศไดแ้ ตกตา่ งกนั ยอ่ มสะทอ้ นถงึ สถานะทางชนชนั้ (Class status) ของ
ตนเองภายในโครงสรา้ งทางชนชนั้ เชน่ คนทอ่ี ยใู่ นชนชนั้ นายทุน รวมถงึ กระฎุมพี
ยอ่ มสามารถเขา้ ถงึ สารสนเทศไดอ้ ยา่ งรวดเรว็ และกวา้ งขวางทวั่ ถงึ กวา่ ผคู้ นทอ่ี ยใู่ น
ชนชนั้ กรรมาชพี ฯลฯ ในมมุ มองของพวกมารก์ ซสิ ต์ ชนชนั้ นายทนุ และกระฎุมพคี อื ผู้
ทไ่ี ดเ้ ปรยี บมากยงิ่ ขน้ึ เน่ืองจากสามารถครอบครองปัจจยั และเครอ่ื งมอื การผลติ

P a g e | 131

(Factor and means of production) ทส่ี าํ คญั คอื สารสนเทศและเทคโนโลยี
สารสนเทศ ดงั นนั้ บรรดาเทคโนโลยแี ละการสอ่ื สารสารสนเทศสมยั ใหมจ่ งึ เป็นตวั
ชว่ ยขยายชอ่ งวา่ งใหถ้ ่างกวา้ งและกระตุน้ ใหเ้ กดิ ความขดั แยง้ ทางชนชนั้ มากขน้ึ อนั
จะนําไปสกู่ ารปฏวิ ตั ทิ างชนชนั้ ดงั ทพ่ี วกมารก์ ซสิ ตว์ าดหวงั ไว้

• สาํ หรบั พวกสาํ นักคิดแนวมารก์ ซิสตใ์ หม่ (Neo-Marxist) เชน่ นกั คดิ สาํ นกั แฟรงค์
เฟิรต์ (Frankfurt) ทม่ี ี ทโี อดอร์ อารโ์ ดโน่ (Theodore W. Adorno (1903-1969)) เป็น
หวั ขบวนในอดตี หรอื ศนู ยศ์ กึ ษาวฒั นธรรมรว่ มสมยั
(Centre for Contemporary Cultural Studies) แหง่
มหาวทิ ยาลยั เบอรม์ งิ่ แฮม ทม่ี นี กั คดิ คนสาํ คญั คอื สจ๊วต
ฮอลล์ (Stuart Hall) นกั คดิ กล่มุ น้ีกลบั วเิ คราะหว์ า่ บรรดา
เทคโนโลยแี ละการสอ่ื สารสมยั ใหมค่ อื เครอ่ื งมอื ชนั้ ยอดท่ี
จะชว่ ยธาํ รงสถานะทางอาํ นาจของระบบทนุ นิยมตอ่ ไป กลา่ วคอื ระบบทุนนิยมเป็น
ระบบทช่ี าญฉลาดกวา่ ทพ่ี วกมารก์ ซสิ ตค์ ดิ ไว้ เพราะพวกทุนนิยมมคี วามสามารถใน
การปรบั ตวั อยตู่ ลอดเวลา โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ การปรบั ตวั จากการมวี ถิ กี ารผลติ
(Mode of Production) แบบ “อตุ สาหกรรมการผลติ ” (Manufacturing industry) ซง่ึ
เป็นรปู แบบการผลติ ทม่ี กี ารกดขข่ี ดู รดี แรงงานและทรพั ยากรในระดบั เขม้ ขน้ โอกาสท่ี
จะเกดิ ความขดั แยง้ ระหวา่ งชนชนั้ อนั นําไปสกู่ ารตอ่ สเู้ พอ่ื โคน่ ลม้ ระบบทนุ นิยมจงึ
เป็นไปไดส้ งู ดงั นนั้ เพอ่ื หลกี เลย่ี งจุดตดั แหง่ ความขดั แยง้ เชน่ น้ี พวกทนุ นยิ มจงึ ตอ้ ง
คดิ หา “ตวั ชว่ ย” ทจ่ี ะชว่ ยธาํ รงสถานภาพทางเศรษฐกจิ สงั คมและโครงสรา้ งทาง
อาํ นาจเชน่ น้ีต่อไป ดงั นนั้ จงึ เกดิ การพฒั นา “อตุ สาหกรรมวฒั นธรรม” (Culture
industry) พรอ้ มไปกบั การพฒั นาเทคโนโลยแี ละการสอ่ื สาร อเิ ลก็ ทรอนิกสส์ มยั ใหม่
ซง่ึ เป็นตวั ชว่ ยเสรมิ แรง “อตุ สาหกรรมวฒั นธรรม” ดว้ ยเหตุน้ี บรรดาเทคโนโลยแี ละ
การสอ่ื สารสมยั ใหมจ่ งึ เป็นเพยี งตวั ชว่ ยของชนชนั้ นําในระบบทุนนยิ มทจ่ี ะสามารถ
ธาํ รงรกั ษาและยกระดบั สถานะการนํา (Hegemony) ของตนเองไดด้ ว้ ยวธิ กี ารการ

P a g e | 132

ครอบงาํ ทางอดุ มการณ์ (Ideological domination) โดยมบี รรดาเทคโนโลยแี ละการ
สอ่ื สารสมยั ใหมเ่ ป็นเสมอื นกลไกแหง่ การครอบงาํ (Domination apparatus)

• สาํ นักคิดแนวเวเบอรเ์ ร่ียน (Weberian) ซง่ึ รบั เอาอทิ ธพิ ลทางความคดิ ของแม๊กซ์
เวเบอร์ (Max Weber) มาเป็นหลกั นําทางความคดิ แนวคดิ น้ีเชอ่ื วา่ ระบบความคดิ
และระบบการบรหิ ารจดั การทเ่ี หมาะสมอยา่ งยง่ิ สาํ หรบั สงั คมอตุ สาหกรรมสมยั ใหมค่ อื
ระบบ “สาํ นกั งานนิยม” (Bureaucracy) เน่ืองเพราะสงั คม
สมยั ใหมน่ บั จากหลงั การปฏวิ ตั อิ ตุ สาหกรรมเป็นสงั คมท่ี
ผคู้ นมี ความแตกตา่ งหลากหลายมากขน้ึ แต่ใน
ขณะเดยี วกนั สงั คมทเ่ี ป็นองคาพยพใหญ่และหน่วยทาง
สงั คมขนาดยอ่ ยลงมากค็ อื องคก์ ารมบี ทบาทสาํ คญั ในการ
สรา้ งผลติ ภาพ ซง่ึ การทจ่ี ะเพมิ่ ผลติ ภาพขององคก์ ารยคุ
ใหมต่ อ้ งการระบบการทาํ งาน ระบบการผลติ ระบบการสอ่ื สารและระบบการบรหิ าร
จดั การทม่ี คี วามเป็นประสทิ ธภิ าพและมคี วามเป็นเอกภาพสงู การแบง่ งานกนั ทาํ อยา่ ง
ชดั เจนและมกี ารจดั แบง่ สว่ นยอ่ ยๆใหเ้ ป็นระบบ มกี ารจดั สายการบงั คบั บญั ชาลดหลนั ่
กนั ตามลาํ ดบั ชนั้ มโี ครงสรา้ งทางอาํ นาจทจ่ี าํ แนกการทาํ งานตามหน้าทโ่ี ดยมศี นู ย์
การบงั คบั บญั ชาทเ่ี ป็นผคู้ มุ กฎ กตกิ า มารยาททเ่ี ป็นทางการ อกี ทงั้ ตอ้ งตดั เรอ่ื งของ
ความสมั พนั ธแ์ ละทรพั ยากรสว่ นตวั ออกจากความสมั พนั ธแ์ ละทรพั ยากรทเ่ี ป็น
ทางการของสว่ นรวม ทงั้ หมดน้ีคอื แนวคดิ การบรหิ ารจดั การแบบ “สาํ นกั งานนิยม” ท่ี
เป็นอดุ มคตใิ นฝัน (Ideal type) ของสงั คมและองคก์ ารอตุ สาหกรรมยคุ ใหม่ นกั คดิ
แนวเวเบอรเ์ รย่ี นใหม่ (Neo-Weberian) เชน่ ชารล์ ส์ แพรโ์ รว์ (Charles Perrow) ไม
เคลิ รดี (Michael J. Reed) เหน็ วา่ การพฒั นาเทคโนโลยกี ารสอ่ื สารและสารสนเทศ
ทางอเิ ลก็ ทรอนกิ สจ์ ะชว่ ยทาํ ใหก้ ารจดั การความแตกตา่ งหลากหลายทางสงั คมยคุ ใหม่
สามารถแบง่ เป็นระบบยอ่ ยๆ (Subsystems) ไดเ้ ป็นระบบมากขน้ึ อกี ทงั้ ยงั จะชว่ ย
เสรมิ สง่ อาํ นาจในการสอ่ื สารและการตรวจตราดแู ล (Surveillance) ความผดิ ปกตแิ ละ
ความบดิ เบอื นในการทาํ หน้าท่ี (Dysfunctional) ของหน่วยยอ่ ยต่างๆไดอ้ ยา่ งมี

P a g e | 133

ประสทิ ธภิ าพมากขน้ึ กลา่ วโดยสรปุ กค็ อื บรรดาเทคโนโลยสี ารสนเทศและการสอ่ื สาร
สมยั ใหมค่ อื เครอ่ื งมอื เสรมิ สรา้ งระบบสาํ นกั งานนิยมใหแ้ ขง็ แกรง่ มากยง่ิ ขน้ึ ดงั จะเหน็
ไดจ้ าก หน่วยงานไมว่ า่ จะเป็นทงั้ ภาคธุรกจิ เอกชนและภาครฐั ราชการ ตา่ งกใ็ ช้
เครอ่ื งมอื เทคโนโลยสี ารสนเทศสมยั ใหมใ่ นการควบคมุ การทาํ งานของคนเพอ่ื ชว่ ย
เพมิ่ ผลงานขององคก์ าร อนั เป็นการโตแ้ ยง้ นกั คดิ การบรหิ ารจดั การสมยั ใหมท่ ม่ี กั จะ
อา้ งวา่ “ระบบสาํ นกั งานนิยมตายแลว้ ” (The End of Bureaucracy) ในทางตรงกนั
ขา้ ม ระบบสาํ นกั งานนิยมยงั คงอย.ู่ ..และจะอยยู่ งั้ ยนื ยงไปอกี นานดว้ ย!!!

• สาํ หรบั นักเศรษฐศาสตร์ (Economists) ทา่ ทขี องนกั เศรษฐศาสตรส์ ว่ นใหญ่ทม่ี ตี ่อ
บรรดาเทคโนโลยสี ารสนเทศและการสอ่ื สารสมยั ใหมก่ ม็ ไิ ดต้ น่ื เตน้ วา่ เครอ่ื งมอื สอ่ื สาร
ทางอเิ ลก็ ทรอนิกสเ์ หล่าน้ีจะนํามาซง่ึ การเปลย่ี นแปลงครงั้ ยง่ิ ใหญ่แต่ประการใด
ยกตวั อยา่ งเชน่ มมุ มองของโรเบริ ต์ โซโลว์ (Robert Solow) นกั เศรษฐศาสตรช์ าว
อเมรกิ นั ผไู้ ดร้ บั รางวลั โนเบลเมอ่ื ปี ค.ศ. 1987 ทา่ นโซโลว์ กล่าวยอมรบั วา่ ไดเ้ หน็
ปรากฏการณ์ของการพฒั นาการและขยายตวั อยา่ งรวดเรว็ ของเทคโนโลยกี ารสอ่ื สาร
และสารสนเทศ แต่กไ็ มเ่ หน็ วา่ มนั จะสง่ ผลในเชงิ ผลดิ อกออกผลอนั ใดทเ่ี ป็นรปู ธรรม
“เราเหน็ ยคุ แหง่ คอมพวิ เตอรใ์ นทกุ ท่ี ยกเวน้ แตใ่ นตวั เลขสถติ ดิ า้ นผลติ ภาพ”12 ดงั นนั้
ในมมุ มองของนกั เศรษฐศาสตรจ์ งึ มองบรรดาเทคโนโลยสี ารสนเทศและการสอ่ื สาร
สมยั ใหมว่ า่ เป็นเพยี งทรพั ยากร เครอ่ื งมอื หรอื ปัจจยั การผลติ หน่ึงเทา่ นนั้ โดยท่ี “กฎ
หรอื กลไกตลาด” (Laws of the market) จะเป็นตวั กาํ หนดวา่ : ใคร คนกลุม่ ใด ควรจะ
ไดใ้ ชค้ อมพวิ เตอรแ์ ละสอ่ื อเิ ลก็ ทรอนิกสใ์ หมน่ ้?ี ใคร คนกลุ่มใด หน่วยงานใดควรได้
โฆษณา ประชาสมั พนั ธท์ างโทรทศั น์ วทิ ยแุ ละสอ่ื ออนไลน์? ใคร คนกลุ่มใด
หน่วยงานใดควรจะมสี ทิ ธใิ นการเผยแพรก่ ระจายเสยี งเพลงของตนไปยงั บรรดามติ ร
รกั แฟนเพลง? ฯลฯ ทงั้ หมดอยภู่ ายใตก้ ฎและกลไกตลาด

• สาํ หรบั พวกนักทฤษฎีแนวเสรีนิยม (Liberal theorists) นกั คดิ กลมุ่ น้ีมกั จะให้
คณุ คา่ กบั คา่ นิยมแบบประชาธปิ ไตยเสรนี ยิ ม ปัจเจกชนนยิ ม (Individualism) และ

P a g e | 134

ความหลากหลายแบบพหนุ ยิ ม (Pluralism) กลา่ วคอื สงั คมหน่งึ ๆจะประกอบไปดว้ ย
กลุ่มคนทม่ี คี า่ นยิ มและผลประโยชน์อนั หลากหลาย ทุกคนทุกกลมุ่ ยอ่ มมสี ทิ ธแิ ละ
เสรภี าพทจ่ี ะแสดงออกถงึ คา่ นิยม ความตอ้ งการและพลงั อาํ นาจของตนเองไดอ้ ยา่ ง
เตม็ ทเ่ี ทา่ เทยี มกนั ภายใตก้ ฎระเบยี บมาตรฐานเดยี วกนั สงิ่ ทเ่ี รยี กวา่ “อตั ตาธปิ ไตย”
(Autocracy) “อภสิ ทิ ธช์ นาธปิ ไตย” (Aristocracy) หรอื “อาํ มาตยาธปิ ไตย”
(Bureaucratic authority) ทส่ี ะทอ้ นถงึ ความเหล่อื มลา้ํ ไมเ่ ทา่ เทยี มกนั ทางสงั คมอนั จะ
เป็นอุปสรรคต่อสทิ ธเิ สรภี าพของมนุษยถ์ อื เป็นสงิ่ ทไ่ี มพ่ งึ ประสงคต์ อ้ งขจดั ใหห้ มดสน้ิ
ไป สาํ หรบั ทา่ ทที ม่ี ตี ่อพฒั นาการทางเทคโนโลยกี ารสอ่ื สารและสารสนเทศนนั้ นกั คดิ
เสรนี ยิ มไมค่ อ่ ยใสใ่ จนกั วา่ สงิ่ เหล่าน้ีจะนําพามาซง่ึ การเปลย่ี นผา่ นทางยคุ สมยั มาสู่
สงั คมรปู แบบใหมห่ รอื ไม่ แต่ประเดน็ ทค่ี นกลมุ่ น้สี นใจกค็ อื สทิ ธแิ ละเสรภี าพในการ
เขา้ ถงึ เทคโนโลยสี ารสนเทศและการสอ่ื สารไดอ้ ยา่ งเสมอภาคเทา่ เทยี มกนั “ความ
เหล่อื มลา้ํ ทางดจิ ติ อล” (Digital divided) ถอื เป็นเรอ่ื งใหญ่ของสทิ ธเิ สรภี าพของ
ประชาชน อกี ทงั้ นกั คดิ กล่มุ ยงั เหน็ วา่ เครอ่ื งมอื ทางอเิ ลก็ ทรอนกิ สส์ มยั ใหมจ่ ะ
กลายเป็นเครอ่ื งมอื หรอื “อาวธุ ” สาํ คญั ทจ่ี ะถกู นํามาใชเ้ พอ่ื การต่อสทู้ างอาํ นาจของ
บรรดากลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ ภายในสงั คมแบบพหนุ ยิ ม

• สดุ ท้ายคือกล่มุ นักคิดที่เช่ือว่าเทคโนโลยีคือตวั กาํ หนดทิศทางของโลก

(Technological determinists) นกั คดิ กลมุ่ น้ีแมจ้ ะเชอ่ื มนั่ วา่ เทคโนโลยคี อื พลงั ขบั

เคลอ่ื นทส่ี าํ คญั ทส่ี ดุ ในโลกน้ี แตห่ ลายๆคนในกลุ่มน้ีกม็ องวา่ พฒั นาการของเครอ่ื งมอื

สอ่ื สารทางอเิ ลก็ ทรอนิกสก์ เ็ ป็นเพยี งอกี พฒั นาการหน่งึ ของวทิ ยาการทาง

วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี หาใชส่ ง่ิ แปลกใหมท่ จ่ี ะทาํ ใหเ้ กดิ การเปลย่ี นแปลงถงึ ขนั้

เปลย่ี นยคุ เปลย่ี นสมยั ความกา้ วหน้าของเทคโนโลยกี ารสอ่ื สารและสารสนเทศเป็น

เพยี งตวั ชว่ ยตวั หน่ึงทส่ี นบั สนุนความเจรญิ กา้ วหน้าของการพฒั นาจกั รกลในยคุ

อุตสาหกรรมสมยั ใหม่ ซง่ึ จะชว่ ยเกอ้ื หนุนใหม้ นุษยไ์ ดม้ ชี วี ติ ความเป็นอยทู่ ่ี

สะดวกสบายมากยง่ิ ขน้ึ ชว่ ยขจดั ปัดเป่าปัญหาอปุ สรรคทม่ี นุษยเ์ คยเผชญิ กบั ความ

ยากลาํ บากในอดตี เชน่ การตดิ ตอ่ สอ่ื สารในระยะทางไกลๆ หรอื การจดั เกบ็ ขอ้ มลู ใน

P a g e | 135

พน้ื ทอ่ี นั จาํ กดั หรอื ความยงุ่ ยากในการเรยี กใชข้ อ้ มลู ทเ่ี กบ็ บนั ทกึ เอาไว้ ฯลฯ
เทคโนโลยสี ารสนเทศและการสอ่ื สารจงึ เป็นเพยี ง “เครอ่ื งมอื ” ตวั หน่ึง ทช่ี ว่ ยให้ “ฝัน”
ของมนุษยใ์ นอดตี “เป็นจรงิ ได”้ ในอนาคต

จะเหน็ ไดว้ า่ นกั คดิ นกั เขยี นจากหลายสาํ นกั คดิ ขา้ งตน้ แมจ้ ะมคี วามเหน็ วา่ ความกา้ วหน้า
และพฒั นาการของเทคโนโลยสี ารสนเทศและการสอ่ื สารถอื เป็นปรากฏการณ์ทส่ี าํ คญั ทาง
สงั คม แตน่ กั คดิ เหลา่ น้ีกห็ าไดม้ คี วามเหน็ วา่ มนั จะก่อใหเ้ กดิ การเปลย่ี นรปู แปลงโฉมทาง
สงั คมอยา่ งลกึ ซง้ึ แตป่ ระการใด นนั่ คอื โดยพน้ื ฐานทางสงั คมแลว้ ยงั คงต่อเน่อื งเหมอื นเดมิ
“ไมม่ อี ะไรเปลย่ี นแปลง”

อยา่ งไรกต็ าม ยงั มนี กั คดิ นกั เขยี นอกี กลุ่มหน่งึ ทเ่ี ชอ่ื มนั่ วา่ “การมาถงึ ของเครอ่ื งมอื ทาง
อเิ ลก็ ทรอนกิ ส”์ คอื การมาถงึ ซง่ึ การเปลย่ี นแปลงทางสงั คมทล่ี งลกึ ถงึ ระดบั รากเหงา้ “การ
มาถงึ ของเครอ่ื งมอื ทางอเิ ลก็ ทรอนิกส”์ ไดท้ าํ ใหส้ ารสนเทศแพรก่ ระจายไดอ้ ยา่ งฉบั พลนั ทนั ที
(Real time) ในทกุ ๆท่ี ทกุ เวลา ครอบคลุมทงั่ ทงั้ โลก และอาจจะถกู จดั เกบ็ เรยี กใช้ ต่อเตมิ
ตดั แปะ เสรมิ แต่ง ยกั ยา้ ย ถา่ ยโอน ตอ่ ยอด ลอกเลยี น เขยี นใหม่ ฯลฯ ได้ โดยทก่ี าละและ
เทศะ (Time and Space) มใิ ชข่ อ้ จาํ กดั อกี ตอ่ ไป (ตราบเทา่ ทย่ี งั มไี ฟฟ้าใช!้ )

นนั่ คอื การมาถงึ ของเครอ่ื งมอื ทางอเิ ลก็ ทรอนกิ สน์ ํามาซง่ึ การเปลย่ี นแปลงในระดบั พน้ื ฐาน
ทางสงั คม ถงึ ขนั้ ของการเปลย่ี นแปลงยคุ สมยั ทางประวตั ศิ าสตรเ์ ลยทเี ดยี ว!!!

1 Negroponte, Nicholas (1995) Being Digital. New York: Alfred A.Knopf.

2 Robert Solow (1987) New York Times Book review, 12 July 1987. ปรากฏการณ์เชน่ น้ตี อ่ มาถูก
เรยี กขานวา่ “ความยอกยอ้ นทางผลติ ภาพ” (Productivity paradox) กลา่ วคอื มสี ญั ญาณทช่ี ดั เจนวา่
เทคโนโลยสี ารสนเทศ, การสอ่ื สาร และอนิ เตอรเ์ น็ตไดก้ ่อใหเ้ กดิ การเปลย่ี นแปลงขน้ึ ในอตุ สาหกรรม
ชว่ ยลดคา่ ใชจ้ า่ ยและเพม่ิ ประสทิ ธภิ าพการทาํ งาน แต่กลบั เป็นเรอ่ื งยากทจ่ี ะพสิ จู น์และวดั ผลกระทบทม่ี ี
ตอ่ ผลติ ภาพไดอ้ ยา่ งชดั เจนออกมาเป็นคา่ เชงิ ปรมิ าณ

P a g e | 137

- 18 -

ก่อนจะถงึ ยุคเศรษฐกจิ สร้างสรรค:์ สังคมสารสนเทศ (2)

(The Information Society)

“The information age has indeed revolutionized the technical elements of industrial
society… While it might be evolutionary, in the sense that all changes and benefits

will not appear overnight, it will be revolutionary in its effect upon our society.”
Melvin Kranzberg (1985)1

คงยากทจ่ี ะปฏเิ สธไดว้ า่ นบั วนั “สารสนเทศ” และ “เทคโนโลยสี ารสนเทศ” จะเขา้ มามี
บทบาทและกลายมาเป็นสว่ นหน่ึงทส่ี าํ คญั ของชวี ติ มนุษยย์ คุ สมยั ปัจจบุ นั ดวั ย “สารสนเทศ”
และ “เทคโนโลยสี ารสนเทศ” ทาํ ใหเ้ ราสามารถทจ่ี ะสอ่ื สารแลกเปลย่ี นเรยี นรรู้ ว่ มกนั ระหวา่ ง
“ตวั เรา” กบั “คนอน่ื ๆ (ทไ่ี มใ่ ชเ่ รา)” รวมทงั้ “สภาพแวดลอ้ มภายนอก (รอบๆตวั เรา)” ไดเ้ รว็
ขน้ึ กวา้ งขวางขน้ึ และทวั่ ถงึ มากขน้ึ
และอาจคดิ ไปไดไ้ กลถงึ ขนาดวา่ “สารสนเทศ” ไดก้ ลายมาเป็นสว่ นหน่ึงทส่ี าํ คญั ต่อ “ความอยู่
รอด” ในการดาํ รงชวี ติ ของมนุษยส์ มยั ใหม่ ผทู้ น่ี ําเสนอแนวคดิ เชน่ น้ีคน
แรกๆไดแ้ ก่ นอรเ์ บิรต์ ไวเนอร์ (Norbert Weiner, 1894-1964)
ศาสตราจารยด์ า้ นคณติ ศาสตรช์ าวอเมรกิ นั ผคู้ ดิ คน้ และตน้ ตาํ รบั ของ
ทฤษฎี “ไซเบอรเ์ นตกิ ส”์ (Cybernetics) หรอื “ทฤษฎแี หง่ สาร” (Theory
of message) อนั ลอื ลนั ่ กล่าวไวอ้ ยา่ งน่าสนใจวา่

P a g e | 138

“การดาํ รงชวี ติ อยา่ งมปี ระสทิ ธผิ ลคอื การดาํ รงชวี ติ ดว้ ยขอ้ มลู สารสนเทศอยา่ ง
พอเพยี ง ดงั นนั้ การสอ่ื สารและการควบคมุ จงึ กลายเป็นสาระสาํ คญั ของชวี ติ
ดา้ นในของมนุษย์ หรอื แมก้ ระทงั่ มนั อาจจะกลายเป็นสาระสาํ คญั ของชวี ติ ทาง
สงั คมของมนุษยเ์ สยี ดว้ ยซ้ํา”12

งานเขยี นชน้ิ สาํ คญั ของไวเนอรอ์ ยใู่ นชว่ งปลายทศวรรษท่ี 1940 และตน้ ทศวรรษท่ี
1950 อนั เป็นหว้ งเวลาทส่ี าํ คญั ของประวตั ศิ าสตรส์ มยั ใหมเ่ พราะถอื ไดว้ า่ เป็นชว่ งตน้ ของการ
เกดิ พฒั นาการในระดบั ของ “การปฏวิ ตั ยิ คุ สมยั ” โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ การเปลย่ี นแปลงทางดา้ น
เทคโนโลยกี ารควบคมุ และการสอ่ื สาร นนั่ คอื “เทคโนโลยสี ารสนเทศ” (Information
technology)

การถอื กาํ เนดิ ขน้ึ ของ “สารสนเทศ” มไิ ดเ้ ป็นเพยี งแคเ่ รอ่ื งของ “แนวความคดิ ”
(Concept) เทา่ นนั้ แตย่ งั หมายถงึ “อุดมการณ์” (Ideology) อกี ทงั้ ยงั เชอ่ื มโยงอยา่ งไม่
สามารถแยกออกไดก้ บั การพฒั นาของ “คอมพวิ เตอร”์ (Computer) ซง่ึ มพี ฒั นาการทเ่ี ป็นไป
อยา่ งรวดเรว็ โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ ในหว้ งยคุ แหง่ “สงคราม” และหว้ งหลงั สงครามตอ่ มา

หว้ งเวลาและจงั หวะการกา้ วยา่ งแหง่ ความเจรญิ กา้ วหน้าของเทคโนโลยสี ารสนเทศ
ชใ้ี หเ้ หน็ วา่ “พฒั นาการของคอมพวิ เตอร”์ มคี วามสมั พนั ธอ์ ยา่ งใกลช้ ดิ แนบแน่นไปกบั
ววิ ฒั นาการและเหตุผลเงอ่ื นไข/ความจาํ เป็น “ทางการทหารและความมนั่ คง” ของชาติ
ตะวนั ตก โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ มหาอาํ นาจสหรฐั อเมรกิ าซง่ึ ใหค้ วามสาํ คญั อยา่ งยงิ่ กบั การ
พฒั นาชน้ิ สว่ นสาํ คญั ของคอมพวิ เตอร์ นนั่ คอื “แผงวงจรอเิ ลก็ ทรอนกิ สข์ นาดเลก็ ” เพอ่ื
นําไปใชท้ างการทหารในชว่ งสงครามโลกครงั้ ท่ี 2

เครอ่ื งอเิ ลก็ ทรอนกิ สด์ จิ ติ อลคอมพวิ เตอรถ์ กู สรา้ งและพฒั นาขน้ึ มาเพอ่ื ตอบสนอง
รองรบั เหตุผลทางการทหาร โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ถกู นําไปใชส้ าํ หรบั การคาํ นวณวถิ ขี องจรวด
เครอ่ื งยงิ ลกู ระเบดิ และการวเิ คราะหอ์ าวธุ ระเบดิ ปรมาณู (Atomic bomb) นอกจากน้ี ยงั มี
การพฒั นาเครอ่ื งมอื อเิ ลก็ ทรอนกิ สด์ จิ ติ อลเหล่าน้ีในศนู ยว์ จิ ยั ของพลเรอื น เชน่ ท่ี Bell
Laboratories ของบรษิ ทั AT&T ไดร้ บั ทุนสนบั สนุนอยา่ งมหาศาลจากรฐั บาลอเมรกิ นั ในชว่ ง

P a g e | 139

สงครามโลกครงั้ ท่ี 2 ซง่ึ บญั ชาการโดยหน่วยงานของรฐั บาลอเมรกิ นั ทม่ี ชี อ่ื เสยี งมากใน
ขณะนนั้ คอื “สาํ นกั งานวจิ ยั และพฒั นาวทิ ยาศาสตร”์ (Office of Scientific Research and
Development - OSRD) มผี อู้ าํ นวยการชอ่ื ดงั ในประวตั ศิ าสตรค์ อื Vannevar Bush (1890-
1974) วศิ วกรชาวอเมรกิ นั ผเู้ หน็ ความสาํ คญั ของการดงึ เอา
นกั วทิ ยาศาสตรช์ นั้ นํากวา่ 6,000 คนมาชว่ ยพฒั นายทุ ธปัจจยั ทาง
การทหาร มกี ารประมาณการวา่ ในบางชว่ งมนี กั ฟิสกิ สก์ วา่ 2 ใน 3
ของจาํ นวนทงั้ หมดในสหรฐั อเมรกิ าทท่ี าํ งานภายใตก้ ารบรหิ าร
จดั การของ Bush ซง่ึ ผลจากการระดมความรว่ มมอื และการทาํ งาน
รว่ มกนั ระหวา่ งกองทพั กบั นกั วจิ ยั และวทิ ยาศาสตรพ์ ลเรอื น ภายใตก้ ารประสานเชอ่ื มโยงของ
Bush ทาํ ใหต้ อ่ มาไดพ้ ฒั นาอาวธุ กวา่ 200 ชนิด ซง่ึ ลว้ นแลว้ แต่มสี ว่ นเกอ้ื หนุนให้
สหรฐั อเมรกิ าชนะสงคราม โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ โครงการทม่ี ชี อ่ื เสยี งทส่ี ดุ ของเขาคอื โครงการ
แมนฮตั ตนั (Manhattan project) ไดน้ ําไปสกู่ ารประดษิ ฐแ์ ละพฒั นาอาวธุ ทส่ี าํ คญั ทส่ี ดุ คอื
ระเบดิ ปรมาณู และควรจะตอ้ งกลา่ วถงึ อกี โครงการหน่ึงของเขากค็ อื โครงการ Memex
(Memory Extension) อนั เป็นโครงการทน่ี ําไปสกู่ ารพฒั นาระบบฐานขอ้ มลู ขนาดใหญ่ซง่ึ
ตอ่ มามอี ทิ ธพิ ลต่อการพฒั นา Hypermedia และ Hypertext รวมทงั้ บรรดาสอ่ื ดจิ ติ อล (Digital
media) ในเวลาต่อมา

กลา่ วโดยสรุปคอื การพฒั นา “อเิ ลก็ ทรอนิกส”์ ถอื เป็นภารกจิ ทส่ี าํ คญั ของกจิ การดา้ น
กลาโหมของสหรฐั อเมรกิ านบั ตงั้ แตส่ งครามโลกครงั้ ท่ี 2 และยง่ิ ไปกวา่ นนั้ หลงั สงครามโลก
ครงั้ ท่ี 2 กเ็ กดิ ภาวการณ์ความขดั แยง้ ทางอุดมการณ์ระหวา่ ง 2 คา่ ยมหาอาํ นาจทาง
อดุ มการณ์ ไดแ้ ก่ “คา่ ยอดุ มการณ์ทนุ นยิ มเสร”ี ทม่ี สี หรฐั อเมรกิ าและกลุม่ ประเทศยโุ รป
ตะวนั ตกเป็นแกนนํา กบั “คา่ ยอุดมการณ์สงั คมนยิ มคอมมวิ นสิ ต”์ ทม่ี สี หภาพโซเวยี ตรสั เซยี
เป็นหวั เรอื ใหญ่ นําไปสบู่ รรยากาศของ “สงครามเยน็ ” (Cold war) และ “สงครามตวั แทน”
(Proxy war) ไปทวั่ โลก

ดว้ ยเหตผุ ลทางการทหารและการต่อสทู้ างอุดมการณ์เชน่ น้ี ทาํ ใหส้ หรฐั อเมรกิ ายงิ่
ตอ้ งยกระดบั เสรมิ บทบาทและพลานุภาพทางการทหารใหเ้ ขม้ ขน้ ยง่ิ ขน้ึ ในระดบั โลก สภาพ

P a g e | 140

การเชน่ น้ีถอื เป็นตวั กระตนุ้ เสรมิ แรงและถอื เป็นโอกาสสาํ คญั สาํ หรบั การพฒั นาระบบ
สารสนเทศใหม้ คี วามละเอยี ดซบั ซอ้ นและกา้ วหน้ามากยง่ิ ๆขน้ึ เพราะการสอ่ื สารและการ
ควบคมุ ระบบการสอ่ื สารและสารสนเทศถอื เป็นเครอ่ื งมอื สาํ คญั ในการควบคมุ และครอบงาํ
ทางอดุ มการณ์

นอกจากเหตผุ ลดา้ นการทหารและการต่อสทู้ างอุดมการณ์แลว้ ปรากฏการณ์ทส่ี าํ คญั
อกี ประการหน่ึงกค็ อื “การขยายตวั ในระดบั โลกของบรษิ ทั ขา้ มชาตอิ เมรกิ นั ” นบั จากหลงั
สงครามโลกครงั้ ท่ี 2 เน่อื งจากววิ ฒั นาการการเตบิ โตของบรรษทั ขนาดใหญ่ของอเมรกิ นั ท่ี
มาถงึ จดุ ของการทจ่ี ะตอ้ งออกไปลงทุนเพอ่ื แสวงหาทรพั ยากรและตลาดใหมๆ่ ในสเกลระดบั
โลก การขยายตวั ไปสพู่ น้ื ทร่ี ะยะไกลอยา่ งรวดเรว็ ทาํ ใหใ้ หบ้ รรษทั ขา้ มชาตขิ องอเมรกิ นั ตอ้ ง
เผชญิ กบั ปัญหาทค่ี ลา้ ยๆกบั ท่ี Pentagon หรอื
กระทรวงกลาโหมของสหรฐั อเมรกิ าตอ้ งเผชญิ หน้ากบั คู่
ต่อสทู้ างการทหาร กล่าวคอื เมอ่ื บรรดาบรรษทั ขา้ มชาติ
อเมรกิ นั มกี ารขยายตวั แตกหน่อออกไปในระดบั สากล
(Diversified and Internationalized) บรรษทั ขา้ มชาติ
เหลา่ น้ีตอ้ งเผชญิ กบั ปัญหาของการทจ่ี ะ “บญั ชาการและควบคมุ ” (Command and control)
ใหไ้ ดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพในระยะทางไกล

บรรษทั ขา้ มชาตเิ หลา่ น้ีไดพ้ บกบั ความจรงิ คลา้ ยกบั คาํ กลา่ วทน่ี อรเ์ บริ ต์ ไวเนอรก์ ลา่ ว
ไวข้ า้ งตน้ ทว่ี า่ “การดาํ รงชวี ติ อยา่ งมปี ระสทิ ธผิ ลคอื การดาํ รงชวี ติ ดว้ ยขอ้ มลู สารสนเทศอยา่ ง
พอเพยี ง” ฉนั ใด “ความอยรู่ อดของบรรษทั ขา้ มชาตกิ ค็ อื การมรี ะบบการสอ่ื สารทด่ี ”ี ฉนั นนั้
ดงั นนั้ ความมปี ระสทิ ธภิ าพ ความมปี ระสทิ ธผิ ล และ ความอยรู่ อด (รวมถงึ การขยายตวั
เจรญิ เตบิ โตรงุ่ เรอื ง) ของบรรษทั มใิ ชม่ เี พยี งแคก่ ารมคี นงาน ระบบปฏบิ ตั กิ ารและ โรงงานท่ี
ทาํ หน้าทผ่ี ลติ สนิ คา้ และ/หรอื การใหบ้ รกิ ารเทา่ นนั้ เครอ่ื งมอื ทางอเิ ลก็ ทรอนกิ สท์ จ่ี ะชว่ ยใน
การสอ่ื สารขอ้ มลู สารมนเทศ เชน่ คอมพวิ เตอรแ์ ละดาวเทยี ม ฯลฯ ถอื เป็นธรุ กจิ ปัจจยั หรอื
“ตวั ชว่ ย” ทส่ี าํ คญั ทจ่ี ะตอ้ งไดร้ บั การพฒั นามาตอบสนองรองรบั

P a g e | 141

สรปุ แลว้ ววิ ฒั นาการ, การผดุ บงั เกดิ และการมาบรรจบกนั จนกลายเป็นปมทซ่ี บั ซอ้ น
ระหวา่ ง กจิ การทางทางการทหาร, สงครามทางอุดมการณ์, การเตบิ โตขยายตวั ของทนุ นิยม
อุตสาหกรรม และความกา้ วหน้าทางวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยนี บั จากทศวรรษท่ี 1950 ได้
กลายเป็นสว่ นหน่ึงทส่ี าํ คญั ยงิ่ ของการกอ่ ตวั ขน้ึ มาของ “สงั คมสารสนเทศ”

คอมพิวเตอรเ์ คร่ืองแรกของโลก

เมอ่ื ปี ค.ศ. 1943 กองทพั สหรฐั อเมรกิ าไดท้ าํ สญั ญาวา่ จา้ งคณะวศิ วกรรมศาสตร์
(Moor School of Electrical Engineering) แหง่ มหาวทิ ยาลยั
เพนซลิ วาเนยี (University of Pennsylvania) เพอ่ื ใหท้ าํ งานลบั ภายใต้
ชอ่ื รหสั โครงการวา่ “Project PX” เพอ่ื ประดษิ ฐเ์ ครอ่ื งมอื
อเิ ลก็ ทรอนกิ สท์ ช่ี ว่ ยในการคาํ นวณและเรง่ ตารางการยงิ วถิ ขี องกระสนุ
ปืนใหญ่และระเบดิ ไฮโดรเจน ผลทไ่ี ดก้ ค็ อื คอมพวิ เตอรอ์ เิ ลก็ ทรอนิกส์
ดจิ ติ อลเครอ่ื งแรกของโลกทช่ี อ่ื ENIAC (เอน็ นแิ อ๊ค) (Electronal Numeral Integrator and
Computer) ซง่ึ ออกแบบและพฒั นาโดยทมี วศิ วกรแหง่ มหาวทิ ยาลยั เพนซลิ วาเนยี นําโดย
J.P. Eckert และ J.W. Mauchly เปิดตวั ครงั้ แรกเมอ่ื “วนั วาเลนไทน์” 14 กุมภาพนั ธ์ 1946

ENIAC มคี วามยาว 40 ฟุต และสงู 20 ฟุต มนี ้ําหนกั 30 ตนั คาํ นวณในระบบเลขฐานสบิ
อาศยั หลอดสญุ ญากาศจาํ นวน 17,468 หลอด และตวั หน่วงสญั ญาณ (Relays) 1,500 ชน้ิ
ครสิ ตลั ไดโอด 7,200 ชน้ิ รซี สิ เตอร์ 70,000 ตวั และ คาปาซเิ ตอร์ 10,000 ตวั ใชเ้ น้ือทห่ี อ้ ง
15,000 ตารางฟุต เทยี บไดก้ บั พน้ื ทโ่ี รงยมิ เนเซยี มหน่ึงโรง เวลาทาํ งานตอ้ งใชพ้ ลงั งานไฟฟ้า
ถงึ 150 กโิ ลวตั ต์ เทยี บไดก้ บั การเปิดไฟกระพรบิ ทงั้ เมอื งฟิลาเดลเฟีย23
หากเอาสมรรถนะของ ENIAC มาเทยี บกบั วทิ ยาการในปัจจบุ นั แลว้ จะพบวา่ ENIAC
สามารถทาํ งานเทยี บไดก้ บั ไมโครคอมพวิ เตอรข์ นาดเทา่ กบั แสตมป์
ดวงเดยี วเท่านนั้ !!!

สาํ หรบั คอมพวิ เตอรต์ วั แรกทถ่ี กู พฒั นาขน้ึ มาเพอ่ื นํามาใชใ้ นทาง
พาณชิ ยค์ อื UNIVAC-1 (Universal Automatic Computer 1) ดว้ ย

P a g e | 142

ฝีมอื การออกแบบและพฒั นาโดยทมี วศิ วกรชุดเดยี วกบั ENIAC นนั่ คอื นําโดย J.P. Eckert
และ J.W. Mauchly ดาํ เนินการครงั้ แรกในนามของบรษิ ทั Eckert-Mauchly Computer
Corporation แตต่ ่อมาถกู ซอ้ื กจิ การและดาํ เนินการสาํ เรจ็ ในชอ่ื ของ Remington Rand
ผลงานทส่ี รา้ งชอ่ื เสยี งโดง่ ดงั ใหก้ บั UNIVAC-1 กค็ อื การจดั ทาํ สาํ มะโนประชากรของ
สหรฐั อเมรกิ า (US Census) ในชว่ งตน้ ทศวรรษท่ี 1950 หลงั จากนนั้ เป็นตน้ มา ไดเ้ กดิ
บรษิ ทั เอกชนของสหรฐั อเมรกิ า เชน่ IBM, Sperry Rand, Honeywell, Burroughs, NCR
ฯลฯ ทแ่ี ขง่ ขนั กนั ออกแบบและพฒั นา – ภายใตก้ ารสนบั สนุนทางการเงนิ จากกองทพั และทมี
วจิ ยั จากมหาวทิ ยาลยั – คอมพวิ เตอรร์ นุ่ ใหมๆ่ ทม่ี สี มรรถนะการทาํ งานสงู ขน้ึ อยา่ งตอ่ เน่ือง
จนเกดิ เป็น “อตุ สาหกรรมคอมพวิ เตอร”์ (The Industry computer) โดยทใ่ี นชว่ งแรกของการ
แขง่ ขนั ของธรุ กจิ เครอ่ื งจกั รคอมพวิ เตอร์ ถอื ไดว้ า่ IBM ไดก้ ลายมาเป็นผมู้ อี ทิ ธพิ ลสงู สดุ ดว้ ย
ตวั แบบคอมพวิ เตอรเ์ มนเฟรมรนุ่ 360/370 mainframe computer ทาํ ใหค้ รอบงาํ กระบวน
ทศั น์ทางความคดิ วา่ ดว้ ยคอมพวิ เตอรแ์ บบเมนเฟรมมาเกอื บ 3 ทศวรรษ นบั จาก 1950 –
1980 แต่ตอ่ มาในชว่ งทศวรรษท่ี 1990 จงึ เกดิ การโยกกระบวนทศั น์ทางคอมพวิ เตอรข์ นาน
ใหญ่มาสู่ “กระบวนทศั น์แบบไมโครคอมพวิ เตอร”์

นกั วชิ าการบางทา่ นดงั เชน่ ศาสตราจารยม์ านูเอล คาสเตลส์ (ซง่ึ จะไดก้ ลา่ วถงึ ตอ่ ไป
ในชว่ งทา้ ยของบทความน้ี) เรยี กปรากฏการณ์น้ีวา่ “การปฏวิ ตั ภิ ายในการปฏวิ ตั ”ิ
(Revolution within the Revolution)

ดว้ ยเหตนุ ้ี จงึ อาจกล่าวไดว้ า่ การมาถงึ ของ “คอมพวิ เตอร”์ ถอื เป็นตวั จุดกระตุน้ ใหเ้ กดิ
การปฏวิ ตั ยิ คุ สมยั ซง่ึ นกั คดิ บางทา่ นมองวา่ เป็นการปฏวิ ตั ทิ ค่ี อ่ ยๆววิ ฒั น์มามากกวา่ 1
ศตวรรษ เพราะแทจ้ รงิ แลว้ กอ่ นหน้าน้ีกไ็ ดม้ กี ารสาํ แดงความกา้ วหน้าทางอเิ ลก็ ทรอนิกสม์ า
บา้ งแลว้ ดงั เชน่ การเกดิ โทรเลข, โทรศพั ท,์ เครอ่ื งเล่นแผน่ เสยี ง (Gramophone),
ภาพยนตร,์ วทิ ยุ และโทรทศั น์ แตท่ วา่ การกาํ เนิดขน้ึ มาของ “คอมพวิ เตอร”์ น่ีแหละคอื ตวั
จดุ ประกายการเปลย่ี นแปลงทส่ี าํ คญั ทส่ี ดุ ของยคุ สมยั น้ี เน่ืองจากเครอ่ื งมอื อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์
สมยั กอ่ นเหล่านนั้ เป็นเพยี งตวั ชว่ ยผอ่ นแรงหรอื สรา้ งความบนั เทงิ ใหก้ บั มนุษยเ์ ทา่ นนั้ แต่
เครอ่ื งจกั รคอมพวิ เตอรท์ าํ ใหพ้ ฒั นาการมาถงึ ขนั้ ทเ่ี ครอ่ื งจกั รสามารถคดิ แทนมนุษยไ์ ด้

P a g e | 143

ดงั เชน่ ท่ี เฮอรเ์ บริ ต์ ไซมอ่ น (Herbert Simon, 1919-2001) นกั เศรษฐศาสตรช์ อ่ื ดงั ผไู้ ดร้ บั
รางวลั โนเบลดา้ นเศรษฐศาสตรเ์ มอ่ื ปี 1978 ในฐานะผบู้ ุกเบกิ ดา้ นการวจิ ยั เกย่ี วกบั
กระบวนการตดั สนิ ใจในองคก์ าร34 กลา่ วไวอ้ ยา่ งน่าสนใจวา่

“คอมพวิ เตอรม์ คี วามโดดเดน่ เป็นเอกลกั ษณ์ในดา้ นขดี สมรรถนะของมนั
สาํ หรบั การจดั การ (Manipulating) และการแปลงขอ้ มลู สารสนเทศ แลว้ นําไป
ดาํ เนินการต่อไดโ้ ดยอตั โนมตั แิ ละไมต่ อ้ งใหม้ นุษยเ์ ขา้ ไปยงุ่ เกย่ี วแทรกแซง อนั
เป็นการทาํ หน้าทท่ี เ่ี มอ่ื กอ่ นจะสามารถกระทาํ ไดก้ โ็ ดยสมองของมนุษยเ์ ทา่ นนั้ ”

5

4

มมุ มองเชน่ น้สี อดรบั กบั ทศั นะของนกั คดิ นกั เขยี นเชน่ เคริ ท์ วอนเนกทั (Kurt
Vonnegut, 1922-2007) นกั ประพนั ธช์ าวอเมรกิ นั ผไู้ ดร้ บั การยอมรบั ว่า
เป็นนกั เขยี นทม่ี อี ทิ ธพิ ลมากทส่ี ดุ คนหน่ึงในชว่ งศตวรรษท่ี 20 ของ
สหรฐั อเมรกิ า วรรณกรรมชอ่ื ดงั ของเขาเรอ่ื งหน่ึง คอื Player Piano
(1952) สะทอ้ นถงึ แนวคดิ ในเชงิ ลบแบบ Dystopian ดว้ ยความเกรงกลวั
วา่ เครอ่ื งจกั รจะเขา้ มาทาํ งานแทนงานสว่ นใหญ่ของมนุษย์ ใน Player Piano วอนเนกทั
นําเสนอแนวความคดิ ทว่ี า่ การเกดิ ขน้ึ มาของคอมพวิ เตอรห์ มายถงึ การนํามาซง่ึ “การปฏวิ ตั ิ
อุตสาหกรรมครงั้ ท่ี 3” (The Third Industrial Revolution)

ทงั้ น้ี การปฏวิ ตั อิ ตุ สาหกรรมครงั้ ท่ี 1 ในชว่ งศตวรรษท่ี 18 ถงึ 19 เกดิ ขน้ึ จากการ
คน้ พบเครอ่ื งจกั รทใ่ี ชพ้ ลงั งานจากไอน้ํา (Steam power) ทาํ ใหส้ ามารถนําเอาเครอ่ื งจกั ร
พลงั งานไอน้ําขนาดใหญ่มาทาํ งานทดแทน “แรงงานทางกายภาพ” ของมนุษยไ์ ด5้6

ในขณะท่ี การปฏวิ ตั อิ ตุ สาหกรรมครงั้ ท่ี 2 หรอื ทเ่ี รยี กวา่ “การปฏวิ ตั ทิ างเทคโนโลย”ี
เกดิ ขน้ึ หลงั จากการปฏวิ ตั อิ ตุ สาหกรรมครงั้ ท่ี 1 ไมน่ านนกั ประมาณศตวรรษ 19 จนถงึ ชว่ ง
สงครามโลกครงั้ ท่ี 1 ดว้ ยความกา้ วหน้าทางเทคโนโลยอี นั เป็นผลพวงจากการพฒั นา
เครอ่ื งจกั รไอน้ําทใ่ี ชก้ บั การขนสง่ เชน่ เรอื และรถไฟ นํามาสกู่ ารคน้ พบพลงั งานไฟฟ้า
(Electricity) การคน้ พบพลงั งานไฟฟ้านํามาซง่ึ การประดษิ ฐค์ ดิ คน้ เครอ่ื งใชไ้ ฟฟ้าขนานใหญ่

P a g e | 144

และการนําเอาพลงั งานไฟฟ้าไปใชใ้ นแทบทุกระบบและกระบวนการของการผลติ
(Electrification) พฒั นาการเชน่ น้ีทาํ ใหก้ ระบวนการการผลติ และการทาํ งานเป็นไปอยา่ งมี
ประสทิ ธภิ าพ ลดพลงั งาน ลดเวลา ลดทรพั ยากรและลดตน้ ทุนคา่ ใชจ้ า่ ยดาํ เนินการลง ท่ี
สาํ คญั ท่ี วอนเนกทั เน้นยา้ํ คอื ทาํ ใหเ้ กดิ การนําเอาเครอ่ื งใชไ้ ฟฟ้ามาทาํ งานทดแทนรปู แบบ
การทาํ งานแบบเดมิ ๆของมนุษยท์ ต่ี อ้ งทาํ แบบซ้ําๆเป็นกจิ วตั รเหมอื นเดมิ ทกุ วนั (Routine
mental work)

แตส่ าํ หรบั การปฏวิ ตั อิ ุตสาหกรรมครงั้ ท่ี 3 อนั เป็นการคน้ พบ “อเิ ลก็ ทรอนิกส์
คอมพวิ เตอร”์ (Electronic computer) นนั้ อาจกลา่ วไดว้ า่ งานประพนั ธเ์ รอ่ื ง Player Piano
ของวอนเนกทั ซง่ึ ตพี มิ พเ์ มอ่ื ปี 1952 ยงั จดั อยใู่ นชว่ ง “รงุ่ อรณุ ” หรอื “ปฐมวยั ” ของการปฏวิ ตั ิ
อุตสาหกรรมครงั้ ท่ี 3 เทา่ นนั้ เพราะยงั จดั เป็นชว่ งเดยี วกบั กระบวนทศั น์
“เมนเฟรมคอมพวิ เตอร”์ คอื เครอ่ื ง ENIAC และ UNIVAC-1 วอนเนกทั ประพนั ธว์ รรณกรรม
เรอ่ื งน้โี ดยทย่ี งั ไมไ่ ดโ้ ยกกระบวนทศั น์ไปสู่ “ไมโครคอมพวิ เตอร”์ เลย!!! อยา่ งไรกต็ าม วอน
เนกทั กไ็ ดฉ้ ายภาพแหง่ อนาคตของการปฏวิ ตั อิ ตุ สาหกรรมครงั้ ท่ี 3 ไวอ้ ยา่ งน่าทา้ ทายวา่ การ
คน้ พบ “อเิ ลก็ ทรอนิกสค์ อมพวิ เตอร”์ ทาํ ใหส้ ามารถพบเครอ่ื งจกั รทส่ี ามารถทาํ งานทดแทน
“งานทต่ี อ้ งใชค้ วามคดิ ” ของมนุษย์ นนั่ คอื คอมพวิ เตอรจ์ ะกลายเป็นตวั ทใ่ี ชส้ มองทาํ งาน
อยา่ งแทจ้ รงิ ในอนาคต (The real brainwork)

จาก “ยคุ คอมพิวเตอร”์ สู่ “ยคุ เครอื ข่าย”

เมอ่ื ปี ค.ศ. 1996 งานเขยี นชน้ิ สาํ คญั ทช่ี อ่ื The Rise of the Network Society ซง่ึ
เขยี นโดยศาสตราจารยด์ า้ นสงั คมวทิ ยาชาวสเปนชอ่ื มานูเอล คาสเตลส์
(Manuel Castells) สอนอยทู่ ่ี University of California, Berkeley ไดส้ รา้ ง
ความฮอื ฮาใหก้ บั แวดวงทางวชิ าการอนั เป็นการยนื ยนั ถงึ มมุ มองทางสงั คม
วทิ ยาวา่ โลกใบน้ีไดก้ า้ วเขา้ สโู่ ลกยคุ ใหมแ่ ลว้ หนงั สอื เลม่ น้ีถอื เป็นสว่ นหน่ึง
ของหนงั สอื ชดุ “ไตรภาค” (Trilogy) ทค่ี อ่ ยๆทยอยตพี มิ พเ์ ลม่ ละปี ไดแ้ ก่ 1) Rise of the
Network Society ตพี มิ พป์ ี ค.ศ. 1996 2) The Power of Identity ตพี มิ พป์ ี ค.ศ. 1997 และ

P a g e | 145

3) End of Millennium ตพี มิ พป์ ี ค.ศ. 1998 หนงั สอื ทงั้ 3 เล่มน้ีมชี อ่ื รองวา่ The Information
Age: Economy, Society and Culture Vol. I, Vol. II, Vol. III (ยคุ สารสนเทศ: เศรษฐกจิ ,
สงั คม และวฒั นธรรม) ตามลาํ ดบั

ศาสตราจารยค์ าสเตลสก์ ล่าวไวใ้ นบทนําของหนงั สอื เล่มน้ีวา่
เขาไดใ้ ชเ้ วลากวา่ 12 ปีในการ ทาํ การศกึ ษาวจิ ยั และเขยี นทาํ ความ
เขา้ ใจในสงิ่ ทเ่ี คล่อื นไหวเปลย่ี นแปลงไปเรว็ กวา่ ความสามารถในการ
ทาํ งานของเขาเอง แมจ้ ะมขี อ้ จาํ กดั อยา่ งไร คาสเตลสก์ ช็ ใ้ี หเ้ หน็ วา่
ณ ชว่ งปลายสหศั วรรษท่ี 2 มสี ญั ญาณทบ่ี ง่ ชว้ี า่ หลายๆเหตุการณ์ท่ี
มคี วามสาํ คญั ทางประวตั ศิ าสตรก์ าํ ลงั เปลย่ี นรปู แปลงโฉมภมู สิ งั คมของชวี ติ มนุษย์ (Social
landscape of human life) อยา่ งลา้ํ ลกึ โดยเฉพาะอยา่ ง “การปฏวิ ตั ทิ างเทคโนโลย”ี ซง่ึ มี
แกนกลางอยทู่ ่ี “เทคโนโลยสี ารสนเทศ” คอื จกั รกลสาํ คญั ในการปรบั เปลย่ี น (Reshape)
“พน้ื ฐานทางวตั ถุของสงั คม” (the material basis of society) ไปสรู่ ปู แบบใหมด่ ว้ ยอตั ราเรง่
ในการเปลย่ี นแปลงทร่ี วดเรว็ มาก

ศาสตราจารยค์ าสเตลสต์ งั้ ขอ้ สงั เกตวา่ ในอดตี การเปลย่ี นแปลงทางประวตั ศิ าสตร์
มกั จะเป็นไปในลกั ษณะ “คอ่ ยเป็นคอ่ ยไป” (Gradualism) แตท่ วา่ การเปลย่ี นทเ่ี กดิ ขน้ึ ในชว่ ง
ปลายศตวรรษท่ี 20 ถอื เป็นการเปลย่ี นแปลงทไ่ี มไ่ ดเ้ กดิ ขน้ึ บ่อยนกั ในประวตั ศิ าสตร์ เพราะ
เป็นการเปลย่ี นแปลงในระดบั ของการ “ปฏวิ ตั ยิ คุ สมยั ” อนั เป็นการเปลย่ี นแปลงทก่ี ่อใหเ้ กดิ
รปู แบบทางสงั คมใหมซ่ ง่ึ ถกู กาํ หนดคณุ ลกั ษณะโดย “วฒั นธรรมทางวตั ถุ” (Material culture)
อนั เป็นคาํ ท่ี คาสเตลส์ หยบิ ยมื มาจากแนวคดิ ของ Claude Fischer7 (1992) ผนู้ ําเสนอ
แนวคดิ วา่ “เทคโนโลยกี ค็ อื แนวคดิ วฒั นธรรมทางวตั ถุนนั่ เอง”78 ดงั นนั้ สงั คมสมยั ใหมค่ อื
สงั คมทถ่ี กู ผลกั ดนั ขบั เคล่อื นโดย “เทคโนโลยสี มยั ใหม”่ ทเ่ี ป็นตวั กาํ หนดวฒั นธรรมหรอื วถิ ี
ชวี ติ ของคนสมยั ใหม8่9

แน่นอนวา่ สาํ หรบั คาสเตลล์ เทคโนโลยสี ารสนเทศคอื ปัจจยั สาํ คญั ทก่ี าํ หนดวฒั นธรรม
ทางวตั ถุของคนสมยั ใหม่ ทน่ี ่าสนใจมากไปกวา่ นนั้ คอื เทคโนโลยสี ารสนเทศคอื อะไร? คาส

P a g e | 146

เตลลเ์ หน็ วา่ เทคโนโลยสี ารสนเทศคอื ชุดของเทคโนโลยหี ลายประเภททม่ี าประกอบหลอม
รวมกนั จนกลายเป็น “เทคโนโลยสี ารสนเทศ” (Converging set of technologies) อนั
ประกอบไปดว้ ย ไมโครอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ (Microelectronics), Computing (อนั หมายรวมถงึ
Machines และ Software), โทรคมนาคม (Telecommunications), Broadcasting,
Optoelectronics นอกจากน้ี คาสเตลลย์ งั หมายรวมถงึ “วศิ วพนั ธุกรรม” (Genetic
engineering) และบรรดาเทคโนโลยหี รอื Applications ทงั้ หลายทเ่ี ป็นผลพวงของการพฒั นา
ทเ่ี กย่ี วกบั วศิ วพนั ธุกรรมดว้ ย

สาเหตุทเ่ี ขาจดั ใหว้ ศิ วพนั ธกุ รรมเป็นสว่ นหน่ึงอยใู่ นเทคโนโลยสี ารสนเทศนนั้ ก็

เน่อื งมาจากเหตผุ ลทว่ี า่ วศิ วพนั ธกุ รรมเป็นศาสตรท์ ม่ี งุ่ เน้นไปทก่ี ารถอดรหสั (Decoding),

การจดั การกบั ขอ้ มลู (Manipulation) และการจดั โปรแกรมรหสั ขอ้ มลู ของสง่ิ มชี วี ติ (Eventual

reprogramming of information codes of living matter) อกี ทงั้ ยงั เน่อื งมาจากในชว่ ง

ทศวรรษท่ี 1990 ศาสตรท์ างดา้ นชวี วทิ ยา, อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ และ อนิ โฟเมตกิ ส์ (Infomatics) ท่ี

เคยเป็นระเบยี บวชิ าการทแ่ี ยกจากกนั กลบั เกดิ การผสานหลอมรวมและเชอ่ื มโยงกนั เป็นการ

ผสานขา้ มวชิ าการ (Cross-disciplines) โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ การพฒั นา Applications ทต่ี อ้ งใช้

วสั ดุรว่ มกนั และทล่ี กึ ลงไปกค็ อื เกดิ การพฒั นารว่ มกนั ระดบั ของฐานทางความคดิ

(Conceptual approach)

การผสานหลอมรวมกนั ขา้ มศาสตรข์ า้ มวทิ ยาการดงั กล่าวโดยมแี กนกลางสาํ คญั อยทู่ ่ี

เทคโนโลยสี ารสนเทศนนั้ ไดน้ ํามาซง่ึ การกา้ วกระโดดทางเทคโนโลยขี นานใหญ่

(Technological breakthroughs) ครงั้ สาํ คญั ในชว่ ง 2 ทศวรรษสดุ ทา้ ยของศตวรรษท่ี 20 เชน่

การพฒั นาวสั ดุสมยั ใหมท่ ท่ี นั สมยั กา้ วหน้า (Advanced materials) การพฒั นาแหล่งพลงั งาน

ใหมๆ่ (Energy sources) ทงั้ ทเ่ี ป็นพลงั งานทางเลอื กและพลงั งานทดแทน, การพฒั นา

เครอ่ื งมอื ทางการแพทยใ์ หมๆ่ (Medical applications), การพฒั นาเทคนคิ และเทคโนโลยี

ใหมๆ่ โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ในดา้ นนาโนเทคโนโลยี (Nanotechnology) รวมไปถงึ เทคโนโลยี

ดา้ นการคมนาคมและขนสง่ และอ่นื ๆอกี มากมาย

P a g e | 147

ทส่ี าํ คญั และลกึ ซง้ึ ยง่ิ ไปกวา่ นนั้ กค็ อื กระบวนการของการพฒั นาเทคโนโลยสี ารสนเทศ
ทเ่ี ป็นไปอยา่ งรวดเรว็ และแพรก่ ระจายไปทวั่ โลกไดท้ าํ ให้ “ภาษาดจิ ติ อล” (Digital language)
กลายเป็นภาษาสากลทส่ี ามารถสอ่ื สาร รบั รแู้ ละแลกเปลย่ี นเรยี นรเู้ หมอื นกนั ไปไดท้ วั่ โลก
กระบวนการเชน่ น้ที าํ ใหก้ ารสรา้ งสรรคพ์ ฒั นา, การจดั เกบ็ , เรยี กใช,้ ดาํ เนินการ และการสง่
ตอ่ ถา่ ยทอดขอ้ มลู สารสนเทศสามารถเป็นทเ่ี ขา้ ใจรว่ มกนั สามารถสอ่ื สารถงึ กนั ไดด้ ว้ ยภาษา
เดยี วกนั ทวั่ ทงั้ โลก

ทส่ี าํ คญั อกี ประการหน่ึงกค็ อื การปฏวิ ตั ทิ างเทคโนโลยสี ารสนเทศในชว่ ง 2 ทศวรรษ
สดุ ทา้ ยของครสิ ศตวรรษ 20 นํามาซง่ึ ระบบเศรษฐกจิ ใหม่ (New economy) อนั มลี กั ษณะ
สาํ คญั 2 ประการทพ่ี วั พนั กนั ไดแ้ ก่ 1) ระบบเศรษฐกจิ เชงิ สารสนเทศ (Informational
economy) และ 2) ระบบเศรษฐกจิ โลก (Global economy)

ทร่ี ะบบเศรษฐกจิ ใหมเ่ ป็นเศรษฐกจิ เชงิ สารสนเทศ (Informational) เน่ืองเพราะความ
มผี ลติ ภาพ (Productivity) และขดี ความสามารถในการแขง่ ขนั (Competitiveness) ของ
หน่วยต่างๆ ไมว่ า่ จะเป็นระดบั องคก์ าร บรษิ ทั หรอื ประเทศชาตใิ นสภาพของเศรษฐกจิ ใหมน่ ้ี
จะขน้ึ อยกู่ บั ความสามารถของหน่วยเหลา่ น้ีในการสรา้ งสรร (Generate), ดาํ เนินการ
(Process) และประยกุ ตข์ อ้ มลู สารสนเทศบนฐานของความรู้ (Knowledge-based
information) ไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ

ทร่ี ะบบเศรษฐกจิ ใหมเ่ ป็นเศรษฐกจิ ระดบั โลก (Global) ก็
เน่อื งเพราะกจิ กรรมทเ่ี ป็นแกนกลางของการผลติ , การบรโิ ภค, และ
การไหลเวยี น (Circulation) รวมทงั้ ปัจจยั การผลติ ตา่ งๆ (ไดแ้ ก่ ทนุ ,
แรงงาน, วตั ถุดบิ , การจดั การ, ขอ้ มลู สารสนเทศ, เทคโนโลยี และ
ตลาด) ลว้ นถกู จดั การในสเกลระดบั โลก ไมว่ า่ จะเป็นการจดั การเอง
โดยตรง หรอื อาจจะจดั การโดยผา่ นเครอื ขา่ ยของความเชอ่ื มโยงระหวา่ งหน่วยทางเศรษฐกจิ
อนั หลากหลาย

และทร่ี ะบบเศรษฐกจิ ใหมเ่ ป็นทงั้ เศรษฐกจิ เชงิ สารสนเทศและระดบั โลก กเ็ พราะว่า
ภายใตส้ ภาพการณ์ของประวตั ศิ าสตรใ์ หมน่ ้ี ทงั้ การเพม่ิ ยกระดบั ผลติ ภาพและการแขง่ ขนั

P a g e | 148

ลว้ นแลว้ แตต่ อ้ งดาํ เนนิ ไปในเครอื ขา่ ยของปฏสิ มั พนั ธใ์ นระดบั โลก (Global network of
global interaction)10

ดงั นนั้ เทคโนโลยสี ารสนเทศกบั การขยายตวั ของโลกาภวิ ฒั น์ (Globalization) จงึ
เปรยี บเสมอื นฝาแฝดทส่ี มั พนั ธก์ นั และเสรมิ แรงตอ่ กนั อยา่ งตอ่ เน่อื ง

กลา่ วโดยสรุปแลว้ มานูเอล คาสเตลลเ์ หน็ ว่าการปฏวิ ตั ขิ องเทคโนโลยสี ารสนเทศ
(Information technology revolution) ถอื เป็นการเปลย่ี นแปลงสงั คมครงั้ สาํ คญั ทาง
ประวตั ศิ าสตรเ์ ทยี บไดก้ บั การปฏวิ ตั อิ ตุ สาหกรรมครงั้ ท่ี 1 เมอ่ื ศตวรรษท่ี 18 เลยทเี ดยี ว แต่ท่ี
เหนอื กวา่ กค็ อื การเปลย่ี นแปลงครงั้ น้ีเป็นการเปลย่ี นแปลงเชงิ ปฏวิ ตั ทิ ร่ี วดเรว็ ครอบคลุม
กวา้ งขวางและลกึ ซง้ึ อยา่ งยงิ่ เน่ืองจากลกั ษณะของการเปลย่ี นแปลงเชงิ ปฏวิ ตั นิ ้มี าจาก
คณุ ลกั ษณะของ “ความครอบคลุมทก่ี วา้ งขวางไปทวั่ ” (Pervasiveness) อนั หมายความวา่
เทคโนโลยสี ารสนเทศคอื จกั รกลทส่ี าํ คญั ทท่ี าํ ใหก้ ารเปลย่ี นแปลงแพรก่ ระจายทะลทุ ะลวง
แทรกซมึ ไปทวั่ ทุกอาณาบรเิ วณ (Domains) ของพน้ื ทแ่ี ละกจิ กรรมต่างๆของมนุษยโ์ ลก
เทคโนโลยสี ารสนเทศไดเ้ ขา้ ไปเกย่ี วขอ้ งสมั พนั ธก์ บั ทุกสายใยทถ่ี กั ทอกจิ กรรมตา่ งๆเหล่านนั้
มนั มอี ทิ ธพิ ลทงั้ ในเชงิ ของการก่อใหเ้ กดิ การกระตนุ้ ความคดิ สรา้ งสรรคแ์ ละการพฒั นาสนิ คา้
และบรกิ ารรปู แบบใหมๆ่ มนั แทรกซมึ เขา้ ไปในทกุ ๆกระบวนการของการทาํ งานภายใน
องคก์ ารและกจิ กรรมทางสงั คมทกุ ดา้ นของมนุษย์ ทล่ี กึ ทส่ี ดุ คอื มนั ซอกซอนเขา้ ไปถงึ การ
กาํ หนดชวี ติ จติ ใจและจติ วญิ ญาณของมนุษยอ์ ยา่ งยากทจ่ี ะรเู้ ทา่ ทนั

1 Kranzberg, Melvin (1985) “The information age: evolution or revolution?” in Bruce R, Guile
(ed.) Information Technologies and Social Transformation. Washington D.C.: National
Academy of Engineering.

2 Weiner, Norbert (1968) The Human Use of Human Beings: Cybernetics and Society.
London: Sphere Books, P.19. ขอ้ ความขา้ งตน้ แปลจาก “To live effectively is to live with adequate
information. Thus, communication and control belong to the essence of man’s inner life, even
as they belong to his life in society.’

P a g e | 149

3 Forester, Tom (1987). High-tech society. Oxford: Blakwell.
4 "for his pioneering research into the decision-making process within economic organizations"
5 Simon, Herbert (1980) “What Computer Mean for Man and Society”, in Forester, T. (ed.) The
Microelectronics Revolution. Oxford: Basil Blackwell.
6 ผเู้ ขยี นจะไดเ้ ขยี นถงึ เรอ่ื งราวเกย่ี วกบั การปฏวิ ตั อิ ุตสาหกรรมตอ่ ไปในบทความชน้ิ อ่นื ในอนาคต
อนั ใกลน้ ้ี
7 Fischer, Claude (1992). America Calling: A Social History of the Telephone to 1940.
Berkeley, CA: University of California Press.
8 แปลจาก “Technology here is similar to the idea of material culture.”
9 คาสเตลลใ์ หค้ าํ นยิ ามของ “เทคโนโลย”ี ไวอ้ ยา่ งน่าสนใจวา่ หมายถงึ “การใชค้ วามรทู้ างวทิ ยาศาสตรม์ า
กาํ หนดวถิ ขี องการทาํ สงิ่ ต่างๆในทา่ ทที ส่ี ามารถผลติ ซ้าํ ได”้ (The use of scientific knowledge to
specify ways of doing things in a reproducible manner.)
10 Castells, M. (1996) The Rise of the Network Society. The Information Age: Economy,
Society and Culture Vol. I. Oxford: Blackwell, p. 66.


Click to View FlipBook Version