P a g e | 202
ประเดน็ ใหแ้ ตกวา่ จะถอดรหสั แนวทางการ “ฟ้ืนฟูตน้ มะมว่ ง” ทงั้ 9 วธิ กี ารใหอ้ อกมาเป็น
แนวทางทเ่ี หมาะสมกบั การ “ฟ้ืนฟูทรพั ยากรมนุษยใ์ นองคก์ าร” ไดอ้ ยา่ งไร?
เน่ืองดว้ ยภมู ปิ ัญญาอนั มขี อบเขตจาํ กดั ของผเู้ ขยี นเอง ในทน่ี ้ผี เู้ ขยี นจงึ ใครข่ อนําเสนอแนว
ทางการถอดรหสั การฟ้ืนฟูทรพั ยากรมนุษยต์ ามแนวทางการฟ้ืนฟูตน้ มะมว่ งทงั้ 9 วธิ ี โดยเป็น
การนําเสนอในลกั ษณะของการยกรา่ งเป็น “ประเดน็ ตงั้ ตน้ ” (Proposition) เพอ่ื ทจ่ี ะเชอ้ื ชวนให้
บคุ คลทวั่ ไป รวมทงั้ ปราชณ์ ผรู้ ู้ นกั วชิ าการและผปู้ ฏบิ ตั งิ านทเ่ี ชย่ี วชาญและทส่ี นใจในดา้ นการ
บรหิ ารจดั การและพฒั นาทรพั ยากรมนุษยแ์ ละองคก์ าร จะไดเ้ ขา้ มารว่ มกนั ขบคดิ ถกแถลง
แสวงหาทางออกรว่ มกนั วา่ “แนวทางการฟ้ืนฟูทรพั ยากรมนุษยแ์ ละองคก์ าร” แตล่ ะขอ้ ของ “การ
ฟ้ืนฟูตน้ มะมว่ ง” ทงั้ 9 ขอ้ แทท้ จ่ี รงิ แลว้ คอื อะไร มนี ยั ยะความหมายอะไร และมเี ครอ่ื งมอื ท่ี
เหมาะสมดา้ นการพฒั นาทรพั ยากรมนุษยแ์ ละองคก์ ารอะไรทจ่ี ะใชเ้ พอ่ื การฟ้ืนฟูทรพั ยากรมนุษย์
และองคก์ ารไดอ้ ยา่ งไรบา้ ง? ทงั้ น้ี ใครข่ อใหผ้ อู้ ่านจนิ ตนาการถงึ บรบิ ทองคก์ ารทก่ี าํ ลงั เผชญิ กบั
ปัญหาคุณภาพของบุคลากรตกต่าํ แมบ้ างองคก์ ารจะเป็นองคก์ รทม่ี ศี กั ยภาพดี แต่บุคลากรบาง
กลุ่มกลบั ไรผ้ ลงาน คนดคี นเก่งถูกทาํ ลายเสยี ขวญั กาํ ลงั ใจจนหมดพลงั ในการทาํ งาน คาํ ถามคอื
เราจะฟ้ืนฟูคนและองคก์ ารเหล่าน้ี – โดยใชแ้ นวทางการฟ้ืนฟูตน้ มะมว่ ง 9 ขอ้ – อยา่ งไร? ใน
การน้ี ผเู้ ขยี นขอนําเสนอแนวทางการตคี วามตามหลกั การพฒั นาทรพั ยากรมนุษยแ์ ละองคก์ าร
เป็นการตงั้ ตน้ ดงั น้ี
1) เพาะเมด็ มะมว่ ง (พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ทรงพระนพิ นธเ์ ป็นภาษาองั กฤษวา่
Culturing the seeds) ผเู้ ขยี นใครข่ อถอดรหสั นยั น้ใี นเชงิ การพฒั นาทรพั ยากรมนุษย์
วา่ การ “เพาะเมด็ มะมว่ ง” น่าจะหมายถงึ “การบม่ เพาะบุคลากรรนุ่ ใหม”่ หรอื “การ
พฒั นาบุคลากรพนั ธุใ์ หม”่ ขน้ึ มา ขยายความวา่ หมายถงึ การนําเอาคนรนุ่ ใหมท่ อ่ี งคก์ ร
ไดส้ รรหาคดั เลอื กเขา้ มานนั้ มาทาํ การบม่ เพาะปลกู ฝังสรา้ งสรรคค์ า่ นิยมวฒั นธรรม
และอุดมการณ์ใหผ้ สมกลมกลนื ไปกบั คา่ นิยมและวฒั นธรรมขององคก์ าร การบม่ เพาะ
หรอื พฒั นาสรา้ งสรรคบ์ ุคลากรรนุ่ ใหม/่ พนั ธใุ์ หมค่ อื รากฐานทส่ี าํ คญั ตอ่ การพฒั นา
องคก์ รอยา่ งยงั ่ ยนื ในระยะยาว
2) ถนอมรากท่ียงั มีอยใู่ ห้งอกใหม่ (พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ทรงพระนิพนธเ์ ป็น
ภาษาองั กฤษวา่ Nursing the roots so they grow again.) ผเู้ ขยี นใครข่ อถอดรหสั
นยั น้ีในเชงิ การพฒั นาทรพั ยากรมนุษยแ์ ละองคก์ ารวา่ “ราก” หมายถงึ องคค์ วามรู้ ภมู ิ
ปัญญา ขดี ความสามารถดงั้ เดมิ (Competence) ทอ่ี งคก์ รมอี ยู่ เพยี งแตท่ ผ่ี า่ นมา
202
P a g e | 203
อาจจะขาดการเอาใจใสด่ แู ลและพฒั นาสง่ิ เหลา่ น้ขี น้ึ มาเทา่ นนั้ (คลา้ ยๆกบั การท่ี
สงั คมไทยเคยมภี มู ปิ ัญญาดงั้ เดมิ แตข่ าดการเหลยี วแล เพราะมวั แตห่ ลงไหลไดป้ ลม้ื
ไปกบั ภมู ปิ ัญญาตะวนั ตก จนในทส่ี ดุ ภมู ปิ ัญญาดงั้ เดมิ ทเ่ี ป็น “รากเหงา้ ” ทแ่ี ทจ้ รงิ ถกู
ละเลย หรอื ถูกทาํ ลายสญู หายไปอยา่ งน่าเสยี ดาย) ดงั นนั้ การฟ้ืนฟูทด่ี กี ค็ อื การ
พยายามกลบั ไปสบื เสาะคน้ หารากเหงา้ ขดี ความสามารถพน้ื ฐานดงั้ เดมิ ขององคก์ ร
(Back to the roots/ to basic) แลว้ จงึ ทาํ การบาํ บดั ฟ้ืนฟูและพฒั นาองคค์ วามรู้ ภมู ิ
ปัญญา ขดี ความสามารถพน้ื ฐานเหลา่ นนั้ ใหก้ ลบั มา “งอกเงย” ขน้ึ มาใหมอ่ กี ครงั้
(ความขอ้ น้ีคลา้ ยคลงึ กบั แนวคดิ เรอ่ื ง Core Competence ทเ่ี ขยี นและนําเสนออยา่ ง
ยอดเยย่ี มโดย Hamel and Prahalad (1994))
3) ปักชาํ ก่ิงท่ีเหมาะแก่การปักชาํ . (พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ทรงพระนพิ นธเ์ ป็น
ภาษาองั กฤษวา่ Culturing (cutting) the branches.) การปักชาํ กง่ิ คอื การตดั /นํากงิ่
ทเ่ี หมาะสมไปปักลงในวสั ดุชาํ เพอ่ื ใหเ้ กดิ รากขน้ึ มา เป็นวธิ กี ารทง่ี า่ ย ไดผ้ ลเรว็ และ
ตน้ ทนุ ต่าํ จุดสาํ คญั จุดหน่งึ ในทน่ี ้คี อื การไดม้ าซง่ึ “กงิ่ ทเ่ี หมาะ” แกก่ ารปักชาํ หากจะ
ถอดรหสั นยั น้ีในเชงิ การพฒั นาทรพั ยากรมนุษยแ์ ละองคก์ าร กอ็ าจตคี วามไดว้ า่ “กงิ่ ท่ี
เหมาะ” กค็ อื กลุ่มคนทเ่ี ป็นกลุ่ม “คนดคี นเก่ง” ซง่ึ หมายถงึ กลุม่ “ดาวดวงเดน่ ” และ
“กลุ่มมา้ งาน” อนั เป็นกลมุ่ ทเ่ี หมาะแก่การปักชาํ “การปักชาํ ” ในความหมายดา้ นการ
บรหิ ารจดั การทรพั ยากรมนุษยก์ ค็ อื การบรหิ ารจดั การใหก้ ลมุ่ คนทเ่ี หมาะสมเหล่าน้ี
ไดร้ บั การพฒั นาทด่ี ี มแี รงจงู ใจและอยใู่ นสภาพแวดลอ้ มทเ่ี หมาะสม เมอ่ื วธิ กี ารขอ้ น้มี า
ปรบั ประยกุ ตใ์ ชใ้ นหลกั วชิ าการดา้ นการบรหิ ารจดั การทรพั ยากรมนุษย์ “การปักชาํ กงิ่
ทเ่ี หมาะแกก่ ารปักชาํ ” กค็ อื “การบรหิ ารจดั การคนดคี นเก่ง” (Talent management)
นนั่ เอง
4) เอากิ่งดีมาเสียบยอดก่ิงของต้นท่ีไมม่ ีผลให้มีผล. (พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั
ทรงพระนพิ นธเ์ ป็นภาษาองั กฤษวา่ Grafting on the other tree.) การเสยี บยอดคอื
การนําเอากง่ิ ของยอดพนั ธทุ์ ด่ี ไี ปเสยี บทาบกบั ยอดของตน้ ทไ่ี มม่ ผี ล โดยมเี ป้าประสงค์
หลกั เพอ่ื ใหไ้ ดผ้ ลผลติ จากตน้ เดมิ ทเ่ี รว็ กวา่ การเรม่ิ ปลกู ใหม่ หากจะถอดรหสั นยั น้ใี น
เชงิ การพฒั นาทรพั ยากรมนุษยแ์ ละองคก์ าร กอ็ าจตคี วามไดว้ า่ “กง่ิ ด”ี คอื กลุ่มคนท่ี
เป็นกลุม่ “คนดคี นเก่ง” ซง่ึ หมายถงึ กลุ่ม “ดาวดวงเดน่ ” และ “กลุ่มมา้ งาน” อนั เป็นกลมุ่
ทเ่ี หมาะแกก่ ารขยายพนั ธุ์ การ “เอากงิ่ ดมี าเสยี บยอดกงิ่ ของตน้ ทไ่ี มม่ ผี ลใหม้ ผี ล” ใน
203
P a g e | 204
ความหมายดา้ นการบรหิ ารจดั การทรพั ยากรมนุษยจ์ งึ น่าจะหมายถงึ การสาํ รวจหากลมุ่
“คนดคี นเก่ง” ในองคก์ รแลว้ จดั ใหเ้ ป็น “ตน้ แบบ” ทอ่ี งคก์ รตอ้ ง “ถอดแบบ” เพอ่ื ใชเ้ ป็น
แบบอยา่ งในการนําเอาไปพฒั นาคนกลมุ่ อน่ื ๆ โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ กลุ่ม “เดก็ มปี ัญหา”
และ “กลุ่มไมต้ ายซาก” เพอ่ื ปรบั ปรุงคนกลุ่มทเ่ี สมอื น “ตน้ ทไ่ี มม่ ผี ล” ใหเ้ ปลย่ี นแปลง
ไปเป็น “ตน้ ทม่ี ผี ล” ทงั้ น้ี การ “เอากง่ิ ดมี าเสยี บยอดกง่ิ ของตน้ ทไ่ี มม่ ผี ลใหม้ ผี ล”น้ี ใน
ดา้ นการบรหิ ารจดั การทรพั ยากรมนุษยแ์ ละองคก์ ารอาจจะหมายรวมถงึ การจบั คใู่ ห้
บุคลากรกลุ่มตน้ แบบทด่ี ที าํ หน้าทเ่ี ป็น "พเ่ี ลย้ี ง” (Mentoring) หรอื เป็น “โคช๊ ”
(Coaching) ใหแ้ ก่กลมุ่ บุคลากรทย่ี งั มผี ลงานไมด่ ี
5) เอาตามาต่อกิ่งของอีกต้น. (พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ทรงพระนพิ นธเ์ ป็น
ภาษาองั กฤษวา่ Bud-grafting on the other tree.) การตอ่ กงิ่ เป็นวธิ กี ารขยายพนั ธุ์
พชื อกี แบบหน่งึ โดยเอาตาของตน้ ไมต้ น้ หน่งึ ทม่ี คี ณุ ภาพดไี ปตดิ ทต่ี น้ หรอื กง่ิ ของอกี
ตน้ หน่งึ ซง่ึ เป็นชนดิ เดยี วกนั เพอ่ื หวงั ใหเ้ กดิ ตน้ ตอหรอื กง่ิ ทม่ี คี ุณภาพดใี นตน้ ไมน้ นั้
หากจะถอดรหสั นยั น้ใี นเชงิ การพฒั นาทรพั ยากรมนุษยแ์ ละองคก์ าร กอ็ าจตคี วามไดว้ า่
“ตา” หมายถงึ แงค่ ดิ มมุ มอง คุณลกั ษณะทด่ี ขี องบคุ ลากรกล่มุ ทม่ี คี ณุ ภาพ การ “เอาตา
มาต่อกง่ิ ของอกี ตน้ ” จงึ หมายถงึ การสง่ เสรมิ ใหน้ ําเอาแงค่ ดิ มมุ มอง คุณลกั ษณะทด่ี ี
ของบุคลากรกลุ่มทม่ี คี ุณภาพนนั้ ไปเผยแพร่ ถ่ายทอด ต่อยอดใหบ้ ุคลากรกลมุ่ อน่ื ๆ
ไดซ้ มึ ซบั รบั รจู้ นกลายเป็นแนวทางทพ่ี งึ ปฏบิ ตั ทิ วั่ ทงั้ องคก์ าร ดงั นนั้ ในแงน่ ้อี าจเรยี ก
แนวทางการพฒั นาทรพั ยากรมนุษยแ์ ละองคก์ ารเชน่ น้วี า่ เป็น “การปลกู ถ่ายพนั ธุกรรม
ทด่ี ที วั่ ทงั้ องคก์ าร” (Transplant Corporate DNA)
6) เอาก่ิงมาทาบก่ิง. (พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ทรงพระนิพนธเ์ ป็นภาษาองั กฤษวา่
splicing (approach grafting) the branches.) การทาบกงิ่ เป็นวธิ กี ารขยายพนั ธทุ์ ่ี
ใหไ้ ดต้ น้ พนั ธดุ์ ซี ง่ึ มลี กั ษณะทางสายพนั ธุเ์ หมอื นตน้ แมว่ ธิ หี น่งึ โดยกง่ิ พนั ธดุ์ จี ะทาํ
หน้าทเ่ี ป็นลาํ ตน้ ของตน้ พชื ใหม่ สว่ นตน้ ตอทน่ี ํามาทาบตดิ กบั กงิ่ ของตน้ พนั ธดุ์ จี ะทาํ
หน้าทเ่ี ป็นระบบราก เพอ่ื หาอาหารใหก้ บั ตน้ พนั ธดุ์ ี หากจะถอดรหสั นยั น้ใี นเชงิ การ
พฒั นาทรพั ยากรมนุษยแ์ ละองคก์ าร ผเู้ ขยี นมคี วามเหน็ วา่ สามารถตคี วามไดห้ ลาย
ประการ เชน่
การระดมกลุม่ คนดคี นเกง่ ใหม้ าทาํ งานรว่ มกนั ในลกั ษณะ Talent Project
Team หรอื Talent Taskforce เพอ่ื รว่ มกนั ปฏบิ ตั ภิ ารกจิ ทส่ี าํ คญั ขององคก์ าร
204
P a g e | 205
เชน่ การแกไ้ ขปัญหาสาํ คญั ๆ การกาํ หนดยทุ ธศาสตรก์ ารแขง่ ขนั การพฒั นา
นวตั กรรม การวางแผนสรา้ งทางเลอื กใหมๆ่ ทางธรุ กจิ ในอนาคต (Scenario
planning) เป็นตน้
การพฒั นาบุคลากรกล่มุ คนดคี นเกง่ ทม่ี คี ณุ ภาพใหเ้ ป็น “วทิ ยากรตน้ แบบ”
วทิ ยากรตน้ แบบเหลา่ น้ที าํ หน้าทส่ี รา้ งกระบวนการเพอ่ื ใหผ้ เู้ ขา้ รว่ มเรยี นรไู้ ด้
พฒั นาตนเองใหเ้ ป็นวทิ ยากรทจ่ี ะสานต่อตน้ แบบตอ่ ไป
การเอาความรู้ เทคนิค ประสบการณ์ของบคุ ลากรมาแลกเปลย่ี นเรยี นรแู้ บ่งปัน
รว่ มกนั (Knowledge sharing) ในสาขาวชิ าดา้ นการจดั การความรู้ เรยี ก
กจิ กรรมน้ีวา่ การสรา้ งชมุ ชนนกั ปฏบิ ตั ิ (Communities of Practice)
7) ตอนกิ่งให้ออกราก. (พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ทรงพระนิพนธเ์ ป็นภาษาองั กฤษวา่
layering the branches.) การตอนกง่ิ คอื การทาํ ใหก้ ง่ิ หรอื ตน้ พชื เกดิ รากขณะทต่ี ดิ อยู่
กบั ตน้ แม่ ทาํ ใหไ้ ดต้ น้ พชื ใหม่ ทม่ี ลี กั ษณะทางสายพนั ธเุ์ หมอื นกบั ตน้ แมท่ กุ ประการ
เมอ่ื ถอดรหสั นยั น้ใี นเชงิ การพฒั นาทรพั ยากรมนุษยแ์ ละองคก์ าร ผเู้ ขยี นมคี วามเหน็ วา่
สามารถตคี วามไดว้ า่ การ “ตอนกง่ิ ใหอ้ อกราก” คอื การทอ่ี งคก์ รเสรมิ สรา้ ง “กลมุ่ คนดี
คนเกง่ ” ทเ่ี คย “ถูกบนั่ ทอนจนสญู เสยี ขวญั เสยี กาํ ลงั ใจและความมนั่ ใจ” ใหก้ ลบั มามี
พลงั มคี วามเขม้ แขง็ มคี วามมนั่ ใจทจ่ี ะกลบั มาสรา้ งสรรคผ์ ลงานทด่ี ไี ดอ้ กี ครงั้ หน่ึง ใน
ขณะเดยี วกนั กส็ ง่ เสรมิ สนบั สนุนใหม้ โี ครงการทบ่ี คุ ลากรกลุ่มทย่ี งั มผี ลงานต่าํ ไดม้ า
เรยี นรแู้ ละพฒั นาจากกลุม่ บุคลากรทด่ี มี คี ุณภาพขององคก์ รดว้ ย
8) รมควนั ต้นท่ีไมม่ ีผลให้ออกผล. (พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ทรงพระนพิ นธเ์ ป็น
ภาษาองั กฤษวา่ Smoking the fruitless tree, so that it bears fruit..) การรมควนั
เป็นภมู ปิ ัญญาโบราณ ทก่ี ระทาํ ในชว่ งทใ่ี บมะมว่ งสะสมอาหารไวเ้ ตม็ ทแ่ี ลว้ การ
รมควนั จะเรง่ ใหใ้ บแกข่ องมะมว่ งหลดุ รว่ งก่อนเวลาปรกติ ก่อนทใ่ี บจะรว่ ง อาหารท่ี
สะสมทใ่ี บจะเคล่อื นยา้ ยกลบั ไปสะสมทป่ี ลายยอด ทาํ ใหม้ สี ภาพเหมาะสมแก่การผลติ า
ดอก นอกจากน้ียงั พบวา่ ในควนั ไฟมแี กส๊ เอทลิ นี (ethylene) ซง่ึ เป็นสารตวั การสาํ คญั
ทก่ี ระตุน้ ใหม้ ะมว่ งออกดอกอกี ดว้ ย ผเู้ ขยี นใครข่ อถอดรหสั นยั น้ใี นเชงิ การพฒั นา
ทรพั ยากรมนุษยแ์ ละองคก์ ารวา่ หมายถงึ “การบาํ บดั ฟ้ืนฟูคนทม่ี แี ววมศี กั ยภาพได้
ฉายแววหรอื เปลง่ ศกั ยภาพของตนขน้ึ มาอกี ครงั้ ” ขยายความวา่ หมายถงึ การทค่ี นบาง
205
P a g e | 206
คนบางกลุ่มทม่ี เี คยมแี ววมศี กั ยภาพ แต่กลบั ไมไ่ ดฉ้ ายแววใชศ้ กั ยภาพของตนเอง
ออกมา อาจจะเน่ืองมาจากการขาดการบรหิ ารจดั การทด่ี แี ละ/หรอื ถกู จบั ใหอ้ ยใู่ น
สภาพแวดลอ้ มทไ่ี มเ่ หมาะสม ดงั นนั้ การบาํ บดั ทด่ี กี ค็ อื การรกั ษาพยาบาลทงั้ การ
บาํ บดั ฟ้ืนฟูสภาพจติ ใจ รา่ งกายและสภาพแวดลอ้ มทเ่ี หมาะสมเพอ่ื ทพ่ี วกเขา/เธอจะได้
กลบั ใชศ้ กั ยภาพทม่ี อี ยสู่ รา้ งสรรคผ์ ลงานผลดิ ดอกออกผลอกี ครงั้ อยา่ งไรกต็ าม การท่ี
จะฟ้ืนฟูคนกลมุ่ “เดก็ มปี ัญหา” และ “ไมต้ ายซาก” ใหก้ ลบั มามผี ลงานนนั้ อาจ
จาํ เป็นตอ้ งมกี ารจดั โครงการพเิ ศษใหก้ บั คนกลมุ่ น้ี เชน่ ในหลกั การของการพฒั นา
องคก์ ารแหง่ การเรยี นรเู้ หน็ วา่ จะกระตนุ้ ใหค้ นเกดิ การเรยี นรไู้ ดก้ โ็ ดยการสรา้ ง
บรรยากาศใหเ้ กดิ “ความเครยี ดอยา่ งสรา้ งสรรค”์ (Creative tension) ขน้ึ ในองคก์ ร
หรอื ในหลกั การของการบรหิ ารการเปลย่ี นแปลง มกี ารนําเสนอวา่ บคุ ลากรในองคก์ ร
จะเหน็ หรอื ตระหนกั ถงึ ความสาํ คญั ของการเปลย่ี นแปลงกต็ อ่ เมอ่ื องคก์ รไดก้ ระตนุ้ ให้
เกดิ “ความรสู้ กึ ถงึ ความจาํ เป็นเรง่ ดว่ น” (Sense of urgency) ของการทจ่ี ะตอ้ ง
เปลย่ี นแปลง ดงั นนั้ เครอ่ื งมอื ทส่ี าํ คญั ดา้ นการบรหิ ารและพฒั นาทรพั ยากรมนุษยแ์ ละ
องคก์ รสาํ หรบั การฟ้ืนฟูทรพั ยากรบคุ คลตามรหสั นยั ขอ้ น้ีคอื การบรหิ ารจดั การเพอ่ื ให้
เกดิ ผลงาน (Performance Management) ควบคไู่ ปกบั การบรหิ ารจดั การความ
ผกู พนั ตอ่ องคก์ ร (Engagement management)
9) ทาํ ‘ชวี าณูสงเคราะห’์ (พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ทรงพระนพิ นธเ์ ป็นภาษาองั กฤษ
วา่ Culturing the cells in a container.) ชวี าณูสงเคราะห์ บา้ งกว็ า่ หมายถงึ การ
นําเอาเซลลข์ องเน้ือเยอ่ื ออกมาเพาะใหม่ บา้ งกว็ า่ คอื การปลกู เน้อื เยอ่ื บา้ งกห็ มายถงึ
การเพาะพนั ธใุ์ นหลอดแกว้ สรปุ โดยรวม น่าจะหมายถงึ การการเพาะเซลลท์ จ่ี ะไดม้ า
ซง่ึ พนั ธไุ์ มใ้ หมท่ ม่ี คี วามแกรง่ กลา้ และใหด้ อกออกผลไดด้ กี วา่ เดมิ ผเู้ ขยี นใครข่ อ
ถอดรหสั นยั น้ีในเชงิ การพฒั นาทรพั ยากรมนุษยแ์ ละองคก์ ารวา่ หมายถงึ การทอ่ี งคก์ ร
รเิ รมิ่ โครงการบ่มเพาะสรา้ งสรรคค์ า่ นยิ ม วฒั นธรรมองคก์ ารใหม่ อนั เป็นคา่ นยิ ม
วฒั นธรรมทเ่ี หมาะกบั ยคุ สมยั และจะชว่ ยสรา้ งเสรมิ ความแขง็ แกรง่ ใหก้ บั องคก์ าร
อยา่ งยงั ่ ยนื ในอนาคต
วธิ กี ารฟ้ืนฟูทรพั ยากรบคุ คลและองคก์ ารทงั้ 9 ขอ้ ขา้ งตน้ ถอื เป็นการถอดรหสั และตคี วามรหสั นยั “การ
ฟ้ืนฟูตน้ มะมว่ ง 9 วธิ กี าร” จากมมุ มองของผเู้ ขยี นเอง ซง่ึ ตงั้ อยบู่ นพน้ื ฐานของภมู ปิ ัญญาอนั มขี อบเขต
จาํ กดั ดว้ ยเหตนุ ้ี ณ ทน่ี ้ผี เู้ ขยี นใครข่ อสอบถามวานไหวท้ า่ นผอู้ า่ นใหช้ ว่ ยกนั ขบคดิ วา่ การตคี วามและการ
206
P a g e | 207
ถอดรหสั เชน่ น้ีของผเู้ ขยี น ผอู้ า่ นเหน็ ดว้ ยหรอื ไม?่ ใครข่ อเชอ้ื เชญิ ผทู้ ส่ี นใจใครถ่ กแถลงชว่ ยกนั ขบคดิ
และนําเสนอครบั
นยั ของ 9 วิธีการฟ� ื นฟูตน้ มะม่วง
ตอ่ การพฒั นาทรพั ยากรมนุษยแ์ ละองคก์ าร
การฟื� นฟตู ้นมะมว่ ง นัยของการพฒั นาคนและองคก์ าร
หน่ึง เพาะเมด็ มะมว่ ง. บม่ เพาะบคุ ลากรรนุ่ ใหม่
สอง ถนอมรากทย่ี งั มอี ยใู่ หง้ อกใหม.่ พฒั นารากเหงา้ /ภมู ปิ ัญญา/ขดี ความสามารถหลกั ขององคก์ ร
สาม ปักชาํ กง่ิ ทเ่ี หมาะแก่การปักชาํ . Talent management
ส่ี เอากง่ิ ดมี าเสยี บยอดกง่ิ ของตน้ ไมท้ ่ี สาํ รวจหาBest practices และบุคลากรตน้ แบบ แลว้ ดาํ เนนิ การ
ไมม่ ผี ลใหม้ ผี ล. coaching and mentoring
หา้ เอาตามาต่อกง่ิ ของอกี ตน้ . Corporate DNA transplant
หก เอากงิ่ มาทาบกงิ่ . Talent taskforce/สรา้ งวทิ ยากรตน้ แบบ/knowledge Sharing
เจด็ ตอนกง่ิ ใหอ้ อกราก. Encourage the Problem Child
แปด รมควนั ตน้ ทไ่ี มม่ ผี ลใหอ้ อกผล. Performance management for Deadwood
เกา้ ทาํ ‘ชวี าณูสงเคราะห.์ ’ การสรา้ งสรรคว์ ฒั นธรรมองคก์ ารใหม่
(Culturing the cells in a container)
• ขอ้ สงั เกตประการต่อมาของผเู้ ขยี นทม่ี ตี ่อแนวทางการฟ้ืนฟูตน้ มะม่วงทงั้ 9 วธิ ใี นพระราชนิพนธ์
“พระมหาชนก” น้ี จะสงั เกตเหน็ ไดว้ ่าผปู้ ระพนั ธพ์ ระมหาชนกมแี นวคดิ และน้ําใจทย่ี งิ่ ใหญ่ยง่ิ นัก
เน่ืองจากแนวทางการฟ้ืนฟูต้นมะม่วงทน่ี ําเสนอนัน้ มไิ ดจ้ ํากดั การฟ้ืนฟูอยู่เพยี งแค่ท่ี “ต้นทเ่ี คย
ใหด้ อกผลด”ี เท่านัน้ แต่ทว่า แมก้ ระทงั่ “ต้นทไ่ี ม่ออกดอกผล” กย็ งั ตอ้ งใสใ่ จดแู ลบําบดั ฟ้ืนฟูให้
กลบั มาออกดอกผลใหด้ ดี งั เดมิ ดว้ ย หากถอดรหสั และตคี วามแนวคดิ เช่นน้ีตามแนวทางของการ
บรหิ ารจดั การทรพั ยากรมนุษยแ์ ละองคก์ าร อาจกลา่ วไดว้ ่าการฟ้ืนฟูทรพั ยากรมนุษยใ์ นองคก์ าร
กค็ วรต้องบําบดั ฟ้ืนฟูทรพั ยากรบุคคลทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็น “กลุ่มบุคลากรท่เี คยมผี ลงานดี แต่
ถูกบนั่ ทอนจนหมดสภาพ” และ “กลุ่มบุคลากรทย่ี งั ไม่แสดงผลงานใหป้ รากฏเป็นประจกั ษ์” อน่ึง
หากผู้ใดได้ตดิ ตามแนวคดิ ด้านการบรหิ ารจดั การทรพั ยากรมนุษย์และในองค์การร่วมสมยั ใน
ปัจจุบนั จะพบว่าแนวทางการบรหิ ารจดั การทรพั ยากรมนุษยข์ องตะวนั ตกปัจจุบนั มกั จะมุ่งเน้น
ใหค้ วามสาํ คญั กบั การบรหิ ารจดั การเพ่อื ใหไ้ ดเ้ หน็ ผลงานอย่างชดั เจนและรวดเรว็ แนวคดิ เช่นน้ี
จะให้ความสําคญั อย่างยงิ่ กบั กลุ่มคนท่มี ผี ลงานดเี พ่อื ให้องค์การมผี ลประกอบการในระดบั สูง
(High performer/ High performance organization) องค์กรเหล่าน้ีมักจะบริหารงานโดยมุ่ง
ผลสมั ฤทธเิ ์ ป็นประการสาํ คญั (Result-based management) ดงั นัน้ แนวคดิ การบรหิ ารจดั การ
207
P a g e | 208
ทรพั ยากรมนุษย์สมยั ใหม่กระแสหลกั จึงมกั จะมุ่งเน้น “บํารุงรกั ษาคนเก่งท่ีมีผลงานสูง” ใน
ขณะเดยี วกนั กพ็ รอ้ มทจ่ี ะ “ขบั ไล่ไสสง่ คนทผ่ี ลงานต่าํ ออกไป” สภาพการเช่นน้ีสง่ ผลใหอ้ งคก์ รท่ี
มแี นวคดิ เช่นน้ีมกั จะเตม็ ไปดว้ ยความเครยี ด ความกดดนั ความไมไ่ วว้ างใจกนั และการแก่งแยง่
แขง่ ขนั การทรยศหกั หลงั กนั เพอ่ื ไมใ่ หต้ นเองตกผแู้ พห้ รอื ผทู้ ม่ี ผี ลงานต่าํ ในองคก์ ร เพราะเมอ่ื ใด
ท่ใี ครกต็ ามตกเป็นผู้แพ้หรอื ผูท้ ่มี ผี ลงานต่ํา เม่อื นัน้ พ้นื ท่ขี องพวกเขา/เธอในองค์การกจ็ ะหด
แคบลงไปเร่ือยๆ แต่ในทางตรงข้าม ด้วยแนวคิด ปรชั ญา มุมมองและน้ําใจท่ีย่ิงใหญ่กว่า
หลักการฟ้ื นฟูต้นมะม่วงด้วย 9 วิธีการ สะท้อนให้เห็นถึงหลักคิดแบบ “มนุ ษย์นิยม”
(Humanism) และ “มนุษยธรรมนิยม” (Humanitarianism) ท่ีให้ความเอาใจใส่ดูแลบุคลากร
ครอบคลุมทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มคนท่มี ผี ลงานดหี รอื ยงั ไม่มผี ลงานชดั เจนก็ตาม ด้วยหลกั
ความคดิ พน้ื ฐานในแง่บวกทเ่ี ช่อื ว่าคงไม่มมี นุษยค์ นใดท่อี ยากเป็นคนไม่เก่งไม่ดี มนุษย์ทุกคน
ลว้ นแล้วแต่อยากเป็นคนดคี นเก่ง และมนุษย์ทุกคนย่อมสามารถพฒั นาฟ้ืนฟูได้ องค์กรท่ดี จี งึ
ควรมคี วามมุ่งมนั่ ท่ชี ดั เจนในการเปิดโอกาสและพฒั นาบุคลากรเพ่อื ดงึ เอาความสามารถและ
ความดงี ามของบุคลากรออกมา
คติธรรมการพฒั นาองคก์ ารโดย “การตงั้ สถาบนั อบรมและพฒั นาคน”
คตธิ รรมประการสดุ ทา้ ยทส่ี อดคลอ้ งกบั หลกั วชิ าการดา้ นการพฒั นาทรพั ยากรมนุษยแ์ ละองคก์ ารมาก
ทส่ี ดุ ปรากฎอยใู่ นตอนสดุ ทา้ ย (ตอนท่ี 37) ของพระราชนิพนธ์ “พระมหาชนก” นนั่ คอื เมอ่ื ไดเ้ หน็
เหตกุ ารณ์ตา่ งๆ โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ เหตกุ ารณ์การทาํ ลายตน้ มะมว่ ง ทาํ ใหพ้ ระมหาชนกกล่าวประกาศวา่
“ถงึ เวลาอนั ควร” ทจ่ี ะตอ้ ง “สถาปนามหาวชิ ชาลยั ” ขน้ึ ในกรุงมถิ ลิ า
(ตอนท่ี 37) พระราชาตรสั ตอ่ : “เมอ่ื นางมณีเมขลาอมุ้ เราขน้ึ จากทะเล นางกล่าววา่ : ‘ทา่ น
ตอ้ งใหส้ าธุชนไดร้ บั พรแหง่ โพธญาณจากโอษฐข์ องทา่ น. ถงึ กาลอนั สมควรทา่ นจงตงั้ มหา
วชิ ชาลยั .’ คราวนนั้ เราเศรา้ หมองดว้ ยน้ําเคม็ ตลอดเจด็ วนั จงึ ฟังวา่ เราสมควรตงั้ ชอ่ื สถาบนั
ตามปซู ง่ึ ชาวสวุ รรณภมู เิ รยี กวา่ ‘ปทู ะเล’. บดั น้เี ราลงั เลสงสยั วา่ ถกู ตอ้ งหรอื ไม.่ ทา่ นอาจารย์
ทศิ าปาโมกขจ์ งเผยมนสกิ าร.” พราหมณ์สนองพระราชโองการวา่ : “พระราชอาญามพิ น้
เกลา้ เทวดาน่าจะไดก้ ล่าววา่ ‘โพธยิ าลยั ’ อนั เป็นนามของสถาบนั ฤษดี ดั ตนทว่ี ดั พระเชตุพน
ในเทวมหานคร เมอื งสวุ รรณภมู .ิ แตห่ ากจะเรยี กวา่ ‘ปทู ะเลยม์ หาวชิ ชาลยั ’ กน็ ่าจะ
เหมาะสมเหมอื นกนั .” พระราชาตรสั วา่ : “เป็นพระคณุ ของทา่ นอาจารย.์ เราแน่ใจวา่ ถงึ กาล
ทจ่ี ะตงั้ สถาบนั แลว้ . เป็นสจั จะวา่ ควรตงั้ มานานแลว้ . เหตุการณ์ในวนั น้แี สดงความจาํ เป็น.
นบั แต่อปุ ราช จนถงึ คนรกั ษาชา้ งคนรกั ษามา้ และนบั แตค่ นรกั ษามา้ จนถงึ อปุ ราช และ
208
P a g e | 209
โดยเฉพาะเหล่าอมาตย์ ลว้ นจารกิ ในโมหภมู ทิ งั้ นนั้ . พวกน้ขี าดทงั้ ความรวู้ ชิ าการ ทงั้ ความรู้
ทวั่ ไป คอื ความสาํ นกึ ธรรมดา : พวกน้ีไมร่ แู้ มแ้ ตป่ ระโยชน์สว่ นตน. พวกน้ชี อบผลมะมว่ ง
แต่กท็ าํ ลายมะมว่ ง.” พราหมณ์มหาศาลเหน็ พอ้ งกบั พระราชดาํ ริ และกล่าววา่ : พระราชาผู้
เป็นบณั ฑติ ขา้ พระองคย์ งั มศี ษิ ยท์ ด่ี ไี วใ้ จได้ และจะประดษิ ฐาน ‘ปทู ะเลยม์ หาวชิ ชาลยั ’ ได้
แน่นอน มถิ ลิ ายงั ไมส่ น้ิ คนด!ี ” (จบ)
คตธิ รรมขอ้ น้ีมคี วามสาํ คญั ยง่ิ ต่อวชิ าการดา้ นการพฒั นาทรพั ยากรมนุษยแ์ ละองคก์ าร เป็นการย้าํ
เตอื นว่าองคก์ ารคอื ทๆ่ี ซ่งึ ประกอบไปด้วยผูค้ นท่มี คี วามแตกต่าง หลากหลาย ทงั้ พ้นื ภูมหิ ลงั ทงั้
ดา้ นความรู้ ความสามารถ ประสบการณ์และทศั นคติ แต่คนเหล่าน้ีตอ้ งมาอยู่รวมตวั กนั ในหน่วย
ทางสงั คมทเ่ี รยี กว่า “องคก์ าร” เพอ่ื ประกอบกจิ กรรมหน้าทก่ี ารงานใหบ้ รรลุเป้าหมายบางประการ
ร่วมกนั การท่อี งค์การจะสามารถประกอบกจิ การเพ่อื ใหบ้ รรลุเป้าหมายได้ย่อมต้องการบุคลากร
และผบู้ รหิ ารทม่ี คี วามรู้
“ทงั้ ทเ่ี ป็นความรวู้ ชิ าการ และความรทู้ วั่ ไป คอื ความสาํ นึกธรรมดา”
ความขอ้ น้ีสอดคลอ้ งกบั หลกั การดา้ นการพฒั นาทรพั ยากรมนุษยท์ ว่ี า่ บุคลากรทม่ี ดี มี คี ุณภาพคอื
บุคลากรทม่ี ที งั้ ความรู้ (Knowledge) ความเขา้ ใจ (Understanding) ทกั ษะ (Skill) และทศั นคติ
(Attitude) ทด่ี ี ดงั นนั้ องคก์ ารทด่ี คี วรจะตอ้ งมกี ารจดั ตงั้ “สถาบนั อบรมและพฒั นา” เฉก
เชน่ เดยี วกบั ทพ่ี ระมหาชนกดาํ รใิ หม้ กี าร “ประดษิ ฐาน ‘ปทู ะเลยม์ หาวชิ ชาลยั ’” ขน้ึ ในมถิ ลิ า
เพอ่ื ทจ่ี ะไดเ้ ป็นแหล่งแหง่ การเรยี นรู้ อบรมและพฒั นาบคุ ลากรและผบู้ รหิ ารใหม้ ที งั้ ความรทู้ าง
วชิ าการและการมจี ติ สาํ นึกในการทาํ งานทด่ี ี เพราะมฉิ ะนนั้ แลว้ หากปราศจาก “สถาบนั อบรมและ
พฒั นา” ทด่ี ี อาจจะทาํ ใหเ้ กดิ ปรากฏการณ์แหง่ ความอวชิ ชาและเตม็ ไปดว้ ยโมหภมู ใิ นองคก์ าร
“นบั แตอ่ ปุ ราช จนถงึ คนรกั ษาชา้ งคนรกั ษามา้ และนบั แต่คนรกั ษามา้ จนถงึ อปุ ราช และ
โดยเฉพาะเหล่าอมาตย์ ลว้ นจารกิ ในโมหภมู ทิ งั้ นนั้ .”
อาการของ “โมหภมู ”ิ คอื
“พวกน้ีไมร่ แู้ มแ้ ต่ประโยชน์สว่ นตน. พวกน้ชี อบผลมะมว่ ง แต่กท็ าํ ลายมะมว่ ง.”
องคก์ ารใดกต็ ามจะมคี วามเสย่ี งสงู มาก หากปล่อยใหบ้ ุคลากรทาํ งานไป โดยไม่มกี ารอบรมและ
พฒั นาบคุ ลากรใหม้ คี วามรู้ ความสามารถและทศั นคตทิ เ่ี หมาะสมในการทาํ งาน การสถาปนา
“สถาบนั อบรมและพฒั นา” กเ็ พอ่ื ชว่ ยใหเ้ กดิ การพฒั นาบุคลากรและผบู้ รหิ ารใหม้ คี ุณภาพ โดยตอ้ ง
209
P a g e | 210
อาศยั ปราชณ์ผรู้ มู้ าชว่ ยในการสถาปนาสถาบนั อบรมและพฒั นาน้ใี หด้ าํ เนินไปไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ งตาม
หลกั วชิ า
และเมอ่ื ไดน้ ําเนนิ การสถาปนาจดั ตงั้ “หน่วยอบรมและพฒั นา” ทอ่ี ยบู่ นฐานของวชิ าความรคู้ ู่
คุณธรรม เป็นเชน่ น้ีแลว้ กห็ วงั วา่ องคก์ ารทงั้ หลาย “คงไมส่ น้ิ คนด”ี (จบ)
ขอพระองคท์ รงพระเจรญิ
1 ความดงี ามอนั ใดทพ่ี งึ มขี องบทความชน้ิ น้ขี ออทุ ศิ แด่ “คณุ พอ่ สมศกั ดิ์กุสมุ าวล”ี ผเู้ ป็นตน้ แบบแหง่ ความเพยี รของ
ผเู้ ขยี นและตอ้ งลว่ งลบั ไปกอ่ นเวลาอนั ควร
2 ภมู พิ ลอดุลยเดช, พระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหา. (2549) พระมหาชนก-The story of Mahajanaka. กรงุ เทพฯ :
อมรนิ ทรพ์ รน้ิ ตง้ิ แอนดพ์ บั ลชิ ชง่ิ , หน้า 6.
3 วจิ ติ รวาทการ, พล.ต. หลวง (2551) วรรณคดีชาดก: ทศชาติของพระพทุ ธองค์ (พมิ พค์ รงั้ ทส่ี าม). กรุงเทพ:
สาํ นกั พมิ พส์ รา้ งสรรคบ์ ๊คุ ส.์ อน่ึง ผพู้ งึ ทราบวา่ หนงั สอื เล่มน้ตี พี มิ พค์ รงั้ แรกเมอ่ื ปี พ.ศ. 2493
4 วจิ ติ รวาทการ, พล.ต. หลวง, เพิ่งอ้าง หน้า 24.
5 อ่านรายละเอยี ดไดใ้ น ถาวร สกิ ขโกศล “ชวนอา่ นวรรณคดชี าดก” บทนําใน วจิ ติ รวาทการ, พล.ต. หลวง, อ้างแล้ว
หน้า 7-11.
6 วจิ ติ รวาทการ, พล.ต. หลวง, อ้างแล้ว หน้า 24.
7 ภมู พิ ลอดุลยเดช, พระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหา. (2549) เพิ่งอ้าง, หน้า 51.
8 ภมู พิ ลอดุลยเดช, พระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหา. (2549) เพ่ิงอ้าง, หน้า 58.
9 ภมู พิ ลอดลุ ยเดช, พระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหา. (2549) เพิ่งอ้าง, หน้า 58.
10 วจิ ติ รวาทการ, พล.ต. หลวง, เพิ่งอ้าง หน้า 25.
11 ภมู พิ ลอดุลยเดช, พระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหา. (2549) เพิ่งอ้าง, หน้า 66.
12 ภมู พิ ลอดลุ ยเดช, พระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหา. (2549) เพิ่งอ้าง, หน้า 68.
13 ภมู พิ ลอดุลยเดช, พระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหา. (2549) เพิ่งอ้าง, หน้า 69.
210
P a g e | 211
14 ภมู พิ ลอดลุ ยเดช, พระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหา. (2549) เพ่ิงอ้าง, หน้า 69.
15 ภมู พิ ลอดลุ ยเดช, พระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหา. (2549) เพ่ิงอ้าง, หน้า 79.
16 ภมู พิ ลอดุลยเดช, พระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหา. (2549) เพ่ิงอ้าง, หน้า 84.
17 ภมู พิ ลอดลุ ยเดช, พระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหา. (2549) เพ่ิงอ้าง, หน้า 79.
18 ภมู พิ ลอดลุ ยเดช, พระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหา. (2549) เพ่ิงอ้าง, หน้า 94.
19 ภมู พิ ลอดลุ ยเดช, พระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหา. (2549) เพิ่งอ้าง, หน้า 120.
20 ภมู พิ ลอดุลยเดช, พระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหา. (2549) เพ่ิงอ้าง, หน้า 121.
21 ผสู้ นใจในตวั แบบน้ีสามารถศกึ ษาเพม่ิ เตมิ ไดจ้ าก Kiechel, Walter (2010) The Lords Of Strategy: the secret
intellectual history of the new corporate world. Harvard Business School Publishing.
22 ภมู พิ ลอดลุ ยเดช, พระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหา. (2549) เพ่ิงอ้าง, หน้า 124.
23 ภมู พิ ลอดุลยเดช, พระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหา. (2549) เพ่ิงอ้าง, หน้า 129.
24 ภมู พิ ลอดุลยเดช, พระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหา. (2549) เพิ่งอ้าง, หน้า 132.
211
เมอ่ื จาํ นวนประชากรโลกไดก้ า้ วเขา้ สู่ 7 พนั ลา้ นคนในยคุ ทน่ี ้ําดบิ หน้าดนิ เพาะปลกู พลงั งานและ
อาหารกาํ ลงั ขาดแคลนอยา่ งน่าวติ ก
ระบบคดิ เพอ่ื อย.ู่ ..และทาํ กนิ ของมนุษยก์ ต็ อ้ งไดร้ บั การเปลย่ี นแปลงขนานใหญ่
เศรษฐกจิ เชงิ สรา้ งสรรค์ จงึ ถูกนําเสนอขน้ึ ดว้ ยมุมมองและฐานคดิ ต่าง ๆ จากแทบทุกมุม
โลก เพอ่ื ใหม้ นุษยอ์ ยรู่ ว่ มกนั และอยรู่ ว่ มกบั สง่ิ แวดลอ้ มทท่ี งั้ ยากแคน้ และแขง่ ขนั ไดต้ ่อไป...
มผี ู้พยายามอธบิ ายเศรษฐกจิ เชงิ สรา้ งสรรค์หลายแบบ กล่าวถึงตํารา ค้นหาขอ้ สงั เกต
บา้ งกใ็ ชศ้ ลิ ปะแขนงต่าง ๆ ประกอบ
แต่ ดร.สมบตั ิ กุสุมาวลี นอกจากทําทงั้ หมดขา้ งต้นเป็นประเดมิ เพ่อื ให้ผู้อ่านสามารถ
มองไปรอบ ๆ ความเป็นไปของบรรดาผคู้ ดิ ผทู้ ําเศรษฐกจิ สรา้ งสรรคเ์ ชงิ ระบบในรปู บทความสนั้
ๆ ทเ่ี ชอ่ื มต่อเขา้ หากนั และเปรยี บเทยี บกนั ไดง้ า่ ยแลว้
ผเู้ ขยี นยงั พาใหผ้ อู้ ่านกม้ มองฐานคดิ ในวรรณกรรมทรงคุณค่าของไทย เร่อื ง พระมหาชนก
ผา่ นการตคี วามในฐานะนกั วชิ าการดา้ นการพฒั นาองคก์ ร และการพฒั นาทรพั ยากรมนุษยไ์ ดอ้ ยา่ ง
น่าสนใจ...
ดร. วรี ะศกั ดิ์ โควสรุ ตั น์
เลขาธกิ ารสมาคมสมาพนั ธ์ภาพยนตรแ์ ห่งชาติ อดตี รฐั มนตรวี ่าการกระทรวงการท่องเท่ยี วและ
กฬี า