P a g e | 151
- 19 -
ก่อนจะถงึ ยคุ เศรษฐกจิ สร้างสรรค:์ สงั คมสารสนเทศ (3)
(The Information Society)
“If the first Industrial Revolution was British, the first Information
Technology Revolution was American, with a Californian Inclination.”
Manuel Castells (1996:53)1
ในบทความฉบบั กอ่ นหน้าน้ี ผเู้ ขยี นไดเ้ ขยี นถงึ ววิ ฒั นาการของสงั คมสารสนเทศกอ่ นทจ่ี ะ
นํามาสแู่ นวคดิ สงั คมเศรษฐกจิ เชงิ สรา้ งสรรคใ์ นปัจจบุ นั เราไดย้ อ้ นรอยลกึ ไปถงึ ทศวรรษท่ี
1940 ซง่ึ มกี ารประดษิ ฐค์ อมพวิ เตอรเ์ ครอ่ื งแรกขน้ึ มาใชท้ างการทหารของกองทพั
สหรฐั อเมรกิ า รวมไปถงึ การพฒั นาคอมพวิ เตอรเ์ พอ่ื ประยกุ ตใ์ ชใ้ นทางพาณิชย์ นบั จากนนั้ มา
โลกใบน้ไี ดห้ มนุ เวยี นเปลย่ี นไปอยา่ งมากยากทช่ี นรนุ่ กอ่ นจะสามารถจนิ ตนาการนกึ ถงึ ภาพท่ี
เปลย่ี นแปลงไปอยา่ งมากมายในยคุ สมยั ปัจจุบนั ยงั ไมพ่ กั ตอ้ งคดิ คนึงถงึ จนิ ตภาพของโลกใน
อนาคต 2-3 ทศวรรษขา้ งหน้าวา่ วถิ มี นุษยจ์ ะเปลย่ี นเชน่ ใดบา้ ง
ในทน่ี ้ี ผเู้ ขยี นใครข่ อยอ้ นกลบั ไปหานกั ทฤษฎคี นสาํ คญั ทเ่ี ป็นผบู้ กุ เบกิ
แนวคดิ “สงั คมยคุ หลงั อตุ สาหกรรม” (Post-industrial society) นาม “แด
เนียล เบลล”์ (Daniel Bell) เบลลเ์ ป็นนกั คดิ อกี คนหน่ึงทใ่ี หค้ วามสาํ คญั กบั
บทบาทของคอมพวิ เตอร์ โดยเขาถอื วา่ คอมพวิ เตอรค์ อื “หวั ใจ” สาํ คญั
ของการมาถงึ ของสงั คมสารสนเทศ ดงั คาํ กล่าวของเขาทว่ี า่
P a g e | 152
“สงั คมยคุ หลงั อุตสาหกรรมกค็ อื สงั คมสารสนเทศ เสมอื นกบั ทส่ี งั คมยคุ
อตุ สาหกรรมคอื สงั คมแหง่ การผลติ สนิ คา้ ” (Bell, 1973)
อยา่ งไรกต็ าม กอ่ นทจ่ี ะมกี ารกลา่ วถงึ “สงั คมสารสนเทศ” นกั คดิ นกั วชิ าการสว่ นใหญ่มกั จะ
วเิ คราะหก์ นั วา่ สงั คมยคุ หลงั อตุ สาหกรรมน่าจะหมายถงึ การทส่ี งั คมเคล่อื นไคลไปสกู่ ารเป็น
“สงั คมเศรษฐกจิ แบบเน้นบรกิ าร” (Service economy/ Service society) กลา่ วคอื มแี นวโน้ม
วา่ สดั สว่ นทส่ี าํ คญั ของภาคเศรษฐกจิ ทเ่ี ดมิ “ภาคอตุ สาหกรรมการผลติ ” (Manufacturing
sector) เคยเป็นสดั สว่ นสว่ นใหญ่ของผลติ ภณั ฑม์ วลรวมภายในประเทศ (GDP) จะเปลย่ี นไป
เป็น “ภาคบรกิ าร” (Service sector) เชน่ ธุรกจิ การเงนิ การธนาคาร ธรุ กจิ ดา้ นการคมนาคม
ขนสง่ และการทอ่ งเทย่ี ว ธุรกจิ ดา้ นการดแู ลรกั ษาสขุ ภาพ ธุรกจิ ดา้ นการศกึ ษา ธุรกจิ ดา้ น
กฬี าและการบนั เทงิ เป็นตน้ สว่ นหน่ึงทเ่ี ป็นประจกั ษพ์ ยานของการเตบิ โตของธุรกจิ ดา้ นการ
บรกิ าร ไดแ้ ก่ การเพม่ิ ขน้ึ อยา่ งรวดเรว็ ของการจา้ งงานในสายวชิ าชพี (Professional) และ
งานทต่ี อ้ งใชค้ วามรคู้ วามชาํ นาญทางเทคนคิ เฉพาะดา้ น (Technical) แตค่ รนั้ เมอ่ื
“คอมพวิ เตอรแ์ ละเทคโนโลยกี ารสอ่ื สาร” ไดร้ บั การพฒั นามากขน้ึ อยา่ งรวดเรว็ เบลลก์ ม็ ี
ความมนั่ ใจอยา่ งมากวา่ “ความรแู้ ละสารสนเทศ” นนั่ แลทจ่ี ะเป็นลกั ษณะสาํ คญั ของสงั คมยคุ
หลงั อุตสาหกรรม (มใิ ชแ่ ค่ “การบรกิ าร”)
“แนวคดิ พน้ื ฐานของผมกค็ อื วา่ ความรแู้ ละสารสนเทศคอื ทรพั ยากรเชงิ กล
ยทุ ธ และเป็นหน่วยแหง่ การแปลงรปู แบบของสงั คมยคุ หลงั อตุ สาหกรรม
... เฉกเช่นเดยี วกบั ทก่ี ารผสมผสานกนั ของพลงั งาน ทรพั ยากรและ
เทคโนโลยเี ครอ่ื งจกั รเคยเป็นหน่วยแหง่ การเปลย่ี นรปู แปลงโฉมของ
สงั คมยคุ อุตสาหกรรม” (Bell, 1980: 53)
นอกจากดาเนยี ล เบลลแ์ ลว้ ยงั มนี กั คดิ นกั เขยี นชอ่ื ดงั อกี ทา่ นหน่ึงทก่ี ลา่ ววเิ คราะหท์ ศิ ทาง
ทางเศรษฐกจิ สงั คมไปในแนวทางเดยี วกนั นนั่ คอื จอหน์ นายสบ์ ติ ต์ (John Naisbitt) นกั
อนาคตวทิ ยาชอ่ื ดงั ผเู้ ขยี นหนงั สอื อนั ลอื ลนั ่ เป็นทก่ี ลา่ วขวญั ถงึ กนั ทวั่ โลกชอ่ื “อภมิ หา
แนวโน้มโลก” (Megatrends, 1984) นายสบ์ ติ ตไ์ ดเ้ ขยี นไวอ้ ยา่ งกระชบั สนั้ ๆแต่มนี ยั ยะวา่
P a g e | 153
“เทคโนโลยคี อมพวิ เตอรก์ ค็ อื ยคุ แหง่ สารสนเทศ เหมอื นกบั ท่ี
เครอ่ื งจกั รกลกค็ อื การปฏวิ ตั อิ ตุ สาหกรรม” (Naisbitt, 1984: 22)
แนวคดิ เรอ่ื งสงั คมเศรษฐกจิ สารสนเทศไดก้ ลายมาเป็นประเดน็ ทก่ี ล่าวถงึ กนั อยา่ งกวา้ งขวาง
ทงั้ ในแวดวงวชิ าการ มกี ารศกึ ษาวจิ ยั และจดั สมั มนาถกเถยี งกนั ทางวชิ าการอยา่ งแพรห่ ลาย
หรอื ในแวดวงงานเขยี นวรรณกรรมทงั้ ทเ่ี ป็น วรรณกรรมเชงิ นยิ าย (Fiction) และเชงิ สารคดี
(Non-fiction) หรอื แมก้ ระทงั่ บรรดาวารสารจุลสารทงั้ ทเ่ี ป็นและไมเ่ ป็นวชิ าการ ทงั้ ระดบั
Best-sellers หรอื ระดบั ธรรมดาๆทงั้ หลายตา่ งกเ็ ล่นประเดน็ เรอ่ื งน้ี
แตง่ านเขยี นทจ่ี ดั ไดว้ า่ เป็นผลงานทเ่ี ขยา่ วงการนกั เขยี นนกั อ่านไดม้ ากทส่ี ดุ และควรจะได้
กล่าวถงึ ในทน่ี ้ี ไดแ้ ก่ งานเขยี นของ อลั วนิ ทอ๊ ฟเฟลอร์ (Alvin Toffler) ผทู้ ท่ี าํ ใหแ้ นวคดิ
“สงั คมยคุ หลงั อตุ สาหกรรม” โดง่ ดงั แพรห่ ลายไมจ่ าํ กดั วงอยแู่ ต่ในหมนู่ กั คดิ นกั วชิ าการ
ปัญญาชน จากหนงั สอื เรอ่ื ง “อนาคตระทกึ ” (Future Shock, 1970) และประสบความสาํ เรจ็
อยา่ งใหญ่หลวงอกี ครงั้ กบั การทาํ ใหแ้ นวคดิ “สงั คมสารสนเทศ” มชี อ่ื เสยี งโดง่ ดงั เป็นทร่ี บั รู้
ของสาธารณชนจากหนงั สอื ชอ่ื “คล่นื ลกู ทส่ี าม” (The Third Wave, 1980) นอกจากน้ี งาน
เขยี นชน้ิ สาํ คญั อกี เล่มหน่ึงทม่ี ชี อ่ื เสยี งโดง่ ดงั ในระดบั ใกลเ้ คยี งกนั และควรทจ่ี ะไดก้ ลา่ วถงึ อกี
ครงั้ ในทน่ี ้ีกค็ อื หนงั สอื “อภมิ หาแนวโน้มโลก” (Megatrends, 1984) ของจอหน์ นายสบ์ ติ ต์
ผลพวงทต่ี ามมากค็ อื งานเขยี นทม่ี ชี อ่ื เสยี งเหล่าน้ีไดช้ ว่ ยทาํ ใหส้ ถานะของงานเขยี นรปู แบบ
ใหมท่ ม่ี ลี กั ษณะเสมอื นงานเขยี นสไตลแ์ บบ “ลกู ผสม” (Hybrid) ไดเ้ จรญิ งอกเงยขน้ึ มา ท่ี
กลา่ ววา่ เป็นงานเขยี นสไตลล์ กู ผสมกเ็ พราะจะจดั ใหง้ านเขยี นเหล่าน้ีเป็นงานเขยี น
วรรณกรรมเชงิ วชิ าการ (Academics) ตามจารตี เชงิ วชิ าการแบบเดมิ กไ็ มใ่ ชเ่ สยี ทเี ดยี ว อกี
P a g e | 154
ทงั้ ยงั ถกู ปฏเิ สธจากบรรดานกั วชิ าการนกั วจิ ยั ผเู้ ครง่ ครดั เน่อื งจากงานเขยี นแนวน้แี มจ้ ะใช้
ขอ้ มลู เชงิ วจิ ยั มาประกอบการเขยี น แตก่ ส็ อดใสจ่ นิ ตนาการของผเู้ ขยี นแทรกลงไปในขอ้ เขยี น
อยตู่ ลอดเวลา ซง่ึ กบั หลกั ของงานเขยี นเชงิ วชิ าการแนวจารตี ทเ่ี ชอ่ื วา่ งานเขยี นเชงิ วชิ าการท่ี
ดตี อ้ งปลอดจากคา่ นิยม (Value free) ของผเู้ ขยี น กล่าวอกี นยั หน่ึงกค็ อื หา้ มมใิ หผ้ เู้ ขยี นใส่
ความคดิ ความเชอ่ื และคา่ นิยมของตนเองเขา้ ไปในงานเขยี น แตค่ รนั้ จะจดั ใหง้ านเขยี น
เหล่าน้ีเป็นงานเขยี นวรรณกรรมเชงิ นวนิยาย (Fiction) กย็ งิ่ ไมใ่ ชไ่ ปใหญ่และไมเ่ ป็นทย่ี อมรบั
ในหมนู่ กั เขยี นเรอ่ื งสนั้ และนวนยิ าย เน่ืองจากงานเขยี นเหลา่ น้ีมกั จะสอดใสแ่ นวคดิ ทฤษฎเี ชงิ
วชิ าการและมกั จะอา้ งองิ ขอ้ มลู ทไ่ี ดจ้ ากการวจิ ยั ทาํ ใหบ้ รรดากวนี พิ นธแ์ ละนกั ประพนั ธ์
วรรณกรรมไมย่ อมรบั วา่ งานเขยี นเหลา่ น้ีจดั อยใู่ นประเภทของวรรณคดี อยา่ งไรกต็ าม แม้
งานเขยี นเชงิ ลกู ผสมเหล่าน้ีจะดเู หมอื นไมม่ พี น้ื ทใ่ี นความหมายของวงวรรณกรรมแนว
อนุรกั ษ์แบบเดมิ แตท่ วา่ งานเขยี นแนวน้ที ใ่ี ชท้ งั้ ขอ้ มลู จากการศกึ ษาวจิ ยั และแนวคดิ ทฤษฎี
เชงิ วชิ าการ ผสมผสานกบั การใชจ้ นิ ตนาการแบบนวนิยายมงุ่ มองไปยงั อนาคตเชน่ น้ีกลบั
ไดร้ บั การตอ้ นรบั อยา่ งลน้ หลาม เป็นทย่ี อมรบั แพรห่ ลายในหมนู่ กั อา่ น จนกลายเป็นหนงั สอื
ขายดตี ดิ อนั ดบั เป็นทย่ี อมรบั กนั ขน้ึ มา ดว้ ยเหตนุ ้ี ในทางกลบั กนั งานเขยี นในแนวน้ไี ดช้ ว่ ย
“เปิดพน้ื ทใ่ี หม”่ ในวงวรรณกรรม หรอื แมก้ ระทงั่ ในรา้ นหนงั สอื กต็ อ้ งเปิดพน้ื ทใ่ี หก้ บั งาน
เขยี นในแนวน้ีมากขน้ึ
กลบั มาพจิ ารณากนั ถงึ ปรากฎการณ์ “คอมพวิ เตอร”์ อกี ครงั้ หน่งึ
เป็นทท่ี ราบกนั ดวี า่ คอมพวิ เตอรไ์ ด้ กอ่ ใหเ้ กดิ การเปลย่ี นแปลง
ขน้ึ ในโลกแหง่ การทาํ งานของสงั คมยคุ อตุ สาหกรรมอยา่ ง
มากมาย แต่สง่ิ ทท่ี าํ ใหเ้ กดิ การนํามาซง่ึ การกอ่ ตวั ของสงั คม
รปู แบบใหมท่ เ่ี รยี กวา่ “สงั คมสารสนเทศ” กค็ อื สง่ิ ท่ี แดเนยี ล เบลล์ เรยี กวา่ การเกดิ “การ
หลอมรวมขนานใหญ่” (Explosive convergence) ของ “คอมพวิ เตอร”์ กบั “โทรคมนาคม”
(Telecommunications)2 ปรากฏการณ์น้ีไดช้ ว่ ยทะลทุ ะลวงและทลายช่องวา่ งทเ่ี คยแยกหา่ ง
ตา่ งกนั ระหวา่ งกระบวนการของความรกู้ บั การโทรคมนาคม (Bell, 1980: 513)
P a g e | 155
นกั ทฤษฎกี ารสอ่ื สารผเู้ รอื งนามชาวแคนาดา มารแ์ ชล แมค๊ ลฮู าน
(Marshall McLuhan, 1911-1980) สงั เกตเหน็ การกอ่ ตวั ทางสงั คม
เชน่ น้ี แลว้ เขามงุ่ มองไปยงั “โทรทศั น์” (Television) ซง่ึ มกี าร
เชอ่ื มโยงไปทวั่ โลกดว้ ยเทคโนโลยดี าวเทยี มเพอ่ื การสอ่ื สาร เขา
เรยี กปรากฏการณ์ใหมน่ ้ีวา่ จะนํามาซง่ึ การเกดิ “หมบู่ า้ นโลก”
(Global village) เน่ืองจากมนุษยชาตทิ วั่ โลกจะ “พง่ึ พงิ องิ กนั ทางอเิ ลก็ ทรอนิกส”์ (Electronic
interdependence) มากขน้ึ จนในทส่ี ดุ สามารถสอ่ื สารถงึ กนั ไดอ้ ยา่ งรวดเรว็ และทวั่ ถงึ ราวกบั
วา่ อยใู่ นหมบู่ า้ นเดยี วกนั แนวคดิ เชน่ น้ถี กู นํามาสานตอ่ โดยจอหน์ นายสบ์ ติ ต์
“ความสาํ คญั ของสป๊ ตุ นกิ 23 ไมไ่ ดอ้ ยทู่ ว่ี า่ มนั เป็นจุดเรมิ่ ตน้ ของ
ยคุ อวกาศ แต่มนั คอื การนํามาซง่ึ ยคุ แหง่ การสอ่ื สารคมนาคม
ผา่ นทางดาวเทยี มไปทวั่ โลก” (Naisbitt, 1984: 2)
การผสมผสานกนั ของเทคโนโลยดี าวเทยี ม โทรทศั น์ โทรศพั ท์ เคเบล้ิ ใยแกว้ (Fibre optic
cable) และคอมพวิ เตอรไ์ มโครอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ ไดผ้ กู โยงพนั พวั โลกใบน้ีใหบ้ รรจบเขา้ กบั แกน
ระนาบความรทู้ เ่ี ป็นเอกภาพหน่งึ เดยี วกนั
“มนั [เทคโนโลยดี งั กล่าว] ไดช้ ว่ ยหยดุ ความลอ่ งลอยรน่ื ไหล (Float) ของ
สารสนเทศ เป็นครงั้ แรกทเ่ี ราคอื เศรษฐกจิ โลกอยา่ งแทจ้ รงิ เพราะมนั ครงั้
แรกสาํ หรบั พวกเราบนโลกน้ที ส่ี ามารถแลกเปลย่ี นเรยี นรขู้ อ้ มลู
สารสนเทศไดอ้ ยา่ งฉบั พลนั ทนั ทที วั่ โลกไดอ้ ยา่ งแทจ้ รงิ ” (Naisbitt, 1984:
57)
การผสานกนั ของเทคโนโลยสี มยั ใหมท่ าํ ใหเ้ กดิ การพฒั นาตอ่ ยอดความรเู้ พม่ิ มากขน้ึ ซง่ึ มใิ ช่
เพยี งแคก่ ารเพมิ่ ของความรใู้ นเชงิ ปรมิ าณเทา่ นนั้ แต่ยงั เป็นการเพมิ่ และการเปลย่ี นแปลงใน
เชงิ คณุ ภาพดว้ ย ดงั ยกตวั อยา่ งเชน่ การเปลย่ี นแปลงในดา้ นสอ่ื สารมวลชน จากสอ่ื มวลชน
รปู แบบเกา่ ทเ่ี น้นการสอ่ื สารแบบทเ่ี ป็นมาตรฐาน (Standardized messages) คอื การสอ่ื สาร
ทเ่ี น้นผลติ สอ่ื ทเ่ี ป็นมาตรฐานรปู แบบเดยี วกนั ไปยงั มวลชนจาํ นวนมาก แตส่ าํ หรบั การ
P a g e | 156
สอ่ื สารมวลชนแนวใหมส่ ามารถประยกุ ตใ์ ชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศสมยั ใหมด่ าํ เนินการสอ่ื ได้
ทงั้ แบบการสอ่ื สารแบบกวา้ ง (Broadcasting) และการสอ่ื สารแบบวงแคบ (Narrowcasting)
การเชอ่ื มโยงคอมพวิ เตอร,์ สายเคเบล้ิ และดาวเทยี มเขา้ ดว้ ยกนั ทาํ ใหส้ อ่ื มวลชนสามารถ
จาํ แนก (Segmentation) และแยกแยะ (Splitting) ผสู้ ง่ และผรู้ บั สารใหเ้ ป็นหน่วยยอ่ ยๆ ทไ่ี ม่
จาํ เป็นตอ้ งใชส้ ารแบบเดยี วเหมอื นๆกนั หรอื ต่อเน่ืองกนั กล่าวโดยสรปุ กค็ อื เราสามารถทจ่ี ะ
นําเอาขอ้ มลู สารสนเทศมาดาํ เนินกระบวนการ, ทาํ การคดั เลอื กคดั สรร และดงึ เอามาใชใ้ หเ้ ขา้
กนั กบั ความตอ้ งการของผคู้ นแต่ละคน แต่ละกลุ่ม และแตล่ ะความเชย่ี วชาญความชาํ นาญได้
อลั วนิ ทอ๊ ฟเฟลอร์ กล่าวถงึ ปรากฎการณ์ของเทคโนโลยสี ารสนเทศสมยั ใหมเ่ ชน่ น้ีวา่ ทาํ ให้
เกดิ การ “สลายแยกยอ่ ยมวลชนขนานใหญ่” (De-massification) ซง่ึ ปรากฏไดช้ ดั ในดา้ น
สอ่ื สารมวลชน
“ดงั นนั้ คลน่ื ลกู ทส่ี ามจงึ เป็นการเรม่ิ ตน้ ของยคุ ใหม่ – ยคุ ของสอ่ื ทแ่ี ยก
ยอ่ ยหมมู่ วลชน (The de-massified media) มณฑลแหง่ สารสนเทศใหม่
(A new info-sphere) ไดผ้ ดุ บงั เกดิ ขน้ึ มาเคยี งคไู่ ปกบั มณฑลแหง่
เทคโนโลยใี หม่ (The new techno-sphere)” (Toffler, 1980:15)
ทน่ี ่าสนใจคอื มณฑลแหง่ สารสนเทศใหมแ่ ละเทคโนโลยใี หมน่ ้ีมไิ ดจ้ าํ กดั ขอบเขตอยใู่ นพน้ื ท่ี
ระดบั แคบๆ เชน่ ระดบั ทอ้ งถน่ิ หรอื ระดบั ภมู ภิ าค แตท่ วา่ มนั ไดข้ ยายการดาํ เนินการไปใน
บรบิ ทขอบขา่ ยระดบั โลก สงั เกตไดง้ า่ ยๆกค็ อื เราไมจ่ าํ เป็นตอ้ งเดนิ ทางเคลอ่ื นทไ่ี ปไหนเลย
เพราะเทคโนโลยสี ามารถนําเอาสารสนเทศใหมๆ่ ทะลทุ ะลวงมาสง่ ถงึ ทพ่ี กั อาศยั ทบ่ี า้ นของ
เราหรอื ทส่ี าํ นกั งานของเราไดอ้ ยา่ งไมล่ าํ บากยากเยน็ !!!
เครอื ขา่ ยอเิ ลก็ ทรอนกิ สท์ ก่ี วา้ งไกลทวั่ โลกของหอ้ งสมดุ , ธนาคารขอ้ มลู , สาํ นกั งานสถติ ,ิ
สาํ นกั วจิ ยั , หนงั สอื พมิ พแ์ ละสาํ นกั พมิ พท์ งั้ หลาย, บรรดาจดหมายเหตุ (Archives) สามารถ
นําขอ้ มลู มาเสริ ฟ์ ใหบ้ รกิ ารไดท้ วั่ ถงึ ทกุ ผทู้ ุกคน ในทุกท่ี และ ณ ทกุ เวลา มผี อู้ ธบิ าย
ปรากฏการณ์ทเ่ี กดิ ใหเ้ หน็ ภาพทช่ี ดั เจนอยา่ งน่าต่นื เตน้ ในขณะนนั้ วา่
P a g e | 157
“หนงั สอื ทงั้ หมดในหอ้ งสมดุ รฐั สภาสามารถเกบ็ บรรจไุ ดใ้ นเครอ่ื ง
คอมพวิ เตอรเ์ ครอ่ื งหน่ึงซง่ึ มขี นาดทไ่ี มไ่ ดใ้ หญ่ไปกวา่ ตเู้ ยน็ ทบ่ี า้ นเรา 1
เครอ่ื ง” (Sussman, 1989: 61)
“...”เราบนั ทกึ ทกุ อยา่ ง ทกุ ท่ี ทุกเวลา” ขอ้ ความน้ปี รากฏอยใู่ นนามบตั ร
ของแซม ฟิลลปิ ส์ บุรษุ ผวิ ขาวผปู้ รารถนาจะใหน้ กั ดนตรผี วิ ดาํ รสู้ กึ สบาย
ใจเวลาเขา้ ไปท่ี Sun Record สตดู โิ อบนั ทกึ เสยี งทเ่ี ขากบั เพอ่ื นอกี คน
เป็นพนงั าน ทเ่ี มอื งเมมฟิส มลรฐั เทนเนสซี สหรฐั อเมรกิ า ในสมยั ทย่ี งั มี
การแบ่งแยกสผี วิ กนั อยา่ งรนุ แรง ในเดอื นกรกฎาคม 1953 หนุ่มน้อยวยั
18 ปีทอ่ี อกจะเป็นหนุ่มขอ้ี ายนามวา่ เอลวสิ เพรสลยี ์ ไดเ้ ดนิ ทางมา
สตดู โิ อแหง่ น้ี เพอ่ื จา้ งใหฟ้ ิลปิ สบ์ นั ทกึ แผน่ เสยี งของเขาในอลั บมั้ ชอ่ื My
Happiness ดว้ ยเงนิ 3.96 ดอลลาร์ แลว้ ไอห้ นุ่มขอ้ี ายกไ็ ดแ้ ผน่ เสยี งหน่ึง
แผน่ กลบั ไปบา้ น แมว้ า่ เอลวสิ จะเวยี นไปเวยี นมาทส่ี ตดู โิ อแหง่ น้เี ป็นวา่
เล่นหลงั จากวนั นนั้ เป็นตน้ มา แต่กวา่ ฟิลปิ สจ์ ะเหน็ พรสวรรคข์ องเขาเวลา
กผ็ า่ นไป 1 ปี โดยการเปิดตวั แผน่ เสยี งเพลงชดุ That’s All Right ถดั
จากนนั้ อกี 1 ปีครง่ึ เอลวสิ จงึ ไดอ้ ดั แผน่ เสยี งกบั RCA หลงั จากตอ้ งใช้
ความพยายามอยอู่ ยา่ งหนกั
ถา้ เอลวสิ กาํ ลงั กระเสอื กระสนเพอ่ื เขา้ สธู่ รุ กจิ เพลงในสมยั น้ีละกอ้ เขาไม่
จาํ เป็นตอ้ งรอนานถงึ 2 ปีครง่ึ กวา่ จะไดข้ ายแผน่ เสยี งไปทวั่ ประเทศ แต่
เขาสามารถใช้ MP3 เป็นชอ่ งทางไดอ้ ยา่ งสบาย เหมอื นกบั คาํ โฆษณาใน
นามบตั รของแซม ฟิลลปิ ส์ ยงั ไงยงั งนั้ เพราะ MP3 สามารถบนั ทกึ และ
กระจายเพลงทกุ ประเภทไดท้ ุกท่ี ทกุ เวลา อยา่ งอสิ ระเสรไี มต่ อ้ งผา่ น
นายหน้าคนกลาง และบรษิ ทั อดั เสยี งใดๆทงั้ สน้ิ ... ปรากฏการณ์แหง่
ความแรงของ MP3 ไดพ้ ลกิ โฉมหน้าอุตสาหกรรมเพลงทม่ี มี ลู คา่ มากถงึ
3.8 หมน่ื ลา้ นดอลลารแ์ ทบไมอ่ าจกลบั ไปเป็นเหมอื นดงั เดมิ ไดอ้ กี ตอ่ ไป
P a g e | 158
บรษิ ทั วจิ ยั อตุ สาหกรรมอเิ ลก็ ทรอนกิ สข์ องเยอรมนั ชอ่ื The Fraunhofer
Institute ไดเ้ ปิดตวั MP3 ออกสตู่ ลาดเมอ่ื ปี 1991 โดยใชก้ ารบบี อดั และ
การสง่ สญั ญาณเสยี งระบบดจิ ติ อล วธิ กี ารกแ็ สนงา่ ย เพยี งแคซ่ อ้ื เครอ่ื ง
บนั ทกึ ซดี รี าคา 300 ดอลลาร์ กส็ ามารถขโมยดาวน์โหลดเพลงในคอล
เลก็ ชนั ่ ของวงสเ่ี ตา่ ทองหรอื เดอะ บที เทลิ ส์ ทม่ี อี ยทู่ งั้ หมด มาเซฟลงใน
ซดี แี ค่ 2 แผน่ เทา่ นนั้ เทา่ น้ีคณุ กส็ ามารถถอนทุนคนื จากการซอ้ื ฮารด์ แวร์
ทไ่ี ดล้ งทนุ ไปเพยี ง 300 ดอลลาร์ คณุ สามารถสรา้ งหอ้ งสมดุ เพลงของ
ตวั เองได้ โดยลงทุนซอ้ื แคแ่ ผน่ ซดี เี ปลา่ เทา่ นนั้ ...” (ดอน แทบ็ สกอ็ ตตแ์ ละ
คณะ, 2544: 3-4)
การปฏวิ ตั เิ ทคโนโลยสี ารสนเทศและการสอ่ื สารไดช้ ว่ ยบบี อดั กาละและเทศะ (Space and
Time) ชว่ ยยน่ ยอ่ เวลา ระยะทางและพน้ื ทใ่ี หก้ บั เรา ฟรานเชส แครน์ ครอสส์ (Frances
Cairncross) เรยี กปรากฏการณ์น้ีวา่ “ระยะทางตายแลว้ ” เพราะการบบี อดั กาละและเทศะของ
เทคโนโลยสี มยั ใหมไ่ ดป้ ฏวิ ตั วิ ถิ ชี วี ติ ยคุ ใหมข่ องเราใหก้ า้ วไปสู่ “โลกภมู ”ิ (World
oikoumene) ยคุ ใหมแ่ ห่งอนาคตทซ่ี ง่ึ ระยะทางไกล/ใกลไ้ มใ่ ชป่ ระเดน็ สาํ คญั
แดเนยี ล เบลล์ วเิ คราะหใ์ หเ้ หน็ วา่ สงั คมแบบเกา่ เป็นสงั คมแบบทเ่ี น้นพน้ื ท่ี (Space-bound)
หรอื ถกู จาํ กดั ขอบเขตดว้ ยเวลา (Time-bound) อนั เป็นสงั คมทย่ี ดึ เหน่ียวเขา้ ดว้ ยกนั โดย
ระบบการเมอื งแบบทเ่ี น้นพน้ื ทด่ี นิ แดนและการใชอ้ าํ นาจแบบทเ่ี น้นความเป็นทางการสงู ดว้ ย
แนวคดิ แบบสาํ นกั งานนิยม (Bureaucratic authorities) การกาํ หนดตารางเวลาทาํ งานท่ี
ชดั เจนแน่นอนตายตวั และตอ้ งตดั ความเป็นสว่ นตวั ออกไปในพน้ื ทข่ี องสาํ นกั งานหรอื สถานท่ี
ทาํ งาน แนวคดิ อตุ สาหกรรมนิยม (Industrialism) ชว่ ยตอบสนองรองรบั คา่ นยิ มเชน่ น้ี องคก์ ร
คอื สถานทท่ี าํ งานทม่ี พี น้ื ท่ี (Work-place) เชน่ โรงงานและสาํ นกั งานทเ่ี ป็นหลกั เป็นแหล่ง
แน่นอน และมเี วลาทาํ งาน (Office hour) ทร่ี ะบุเวลาเรม่ิ งาน – เวลาพกั – เวลาเลกิ งานไว้
อยา่ งชดั เจน โลกยคุ อตุ สาหกรรมจงึ เป็นสงั คมทไ่ี มไ่ ดอ้ อกแบบจงั หวะและลลี าการดาํ เนนิ ชวี ติ
ทเ่ี ป็นไปตามธรรมชาติ แต่ออกแบบจงั หวะการกา้ วยา่ งของชวี ติ เปรยี บประดจุ ดงั
“เครอ่ื งจกั ร”
P a g e | 159
อาจกลา่ วไดว้ า่ เราสามารถเปรยี บ “นาฬกิ า” และ “ตารางเวลารถไฟ” วา่ คอื สญั ลกั ษณ์ของ
สงั คมยคุ อุตสาหกรรม ดว้ ยการสาํ แดงเวลาออกมาเป็นชวั ่ โมง, นาที และวนิ าที สาํ หรบั
กาํ หนดการเดนิ รถไฟในแต่ละวนั แต่สาํ หรบั โลกยุคหลงั อุตสาหกรรม โดยเฉพาะ
สงั คมสารสนเทศ สงิ่ ทเ่ี ปรยี บเสมอื นสญั ญลกั ษณ์ของยคุ แหง่ สารสนเทศน้ี ไดแ้ ก่
“คอมพวิ เตอร”์ ซง่ึ มคี วามสามารถสงู มากเพราะสามารถสาํ แดงเวลาออกมาในลกั ษณะของ
“นาโนวนิ าท”ี (Nano-seconds) หรอื พนั ๆจลุ วนิ าที
การเชอ่ื มโยงกนั ของ “เวลา” เขา้ กบั “เทคโนโลยกี ารสอ่ื สารสมยั ใหม”่ จงึ นํามาซง่ึ การ
เปลย่ี นแปลงกรอบแนวคดิ เกย่ี วกบั -กาละเทศะใหม่ (New space-time) อยา่ งลกึ ซง้ึ สาํ หรบั
สงั คมสมยั ใหมย่ คุ หลงั อุตสาหกรรม
“ความเปลย่ี นแปลงในดา้ นการขนสง่ และการสอ่ื สาร – อนั เป็นโครงสรา้ ง
พน้ื ฐานของสงั คม – เมอ่ื เรว็ ๆน้ี หมายถงึ การเฉอื นระยะทางใหแ้ คบลง
และลดเวลาใหส้ นั้ ลง จนเกอื บจะเป็นการหลอมรวมเขา้ ดว้ ยกนั พน้ื ทถ่ี กู
ทาํ ใหก้ วา้ งใหญ่ขน้ึ ไปทวั่ โลกและผกู โยงเขา้ ดว้ ยกนั จนเกอื บจะเป็น “เวลา
เดยี วกนั ” ความรสู้ กึ เกย่ี วกบั เวลา – ในทางศาสนาและทางวฒั นธรรม –
ซง่ึ เคยเป็นไปในลกั ษณะของความตอ่ เน่ืองและเกย่ี วโยงกบั อดตี , ปัจจบุ นั
– ในทางสงั คมวทิ ยา – ไดก้ ลายเป็นเรอ่ื งทม่ี งุ่ ไปยงั อนาคต” (Bell, 1980:
62)
เพอ่ื ชใ้ี หเ้ หน็ วา่ สงั คมยคุ หลงั อุตสาหกรรมคอื สงั คมสารสนเทศ แดเนยี ล เบลล์ ไดน้ ําเสนอ
ขอ้ มลู ทางสถติ อิ ยา่ งละเอยี ดและดว้ ยความระมดั ระวงั รอบคอบ แลว้ คอ่ ยๆก่อรา่ งสรา้ งจนิ ต
ภาพใหเ้ หน็ ถงึ โครงสรา้ งของสงั คมสารสนเทศ โดยเบลลไ์ ดน้ ําเอาขอ้ มลู การคาํ นวณ “ภาค
สารสนเทศขนั้ ปฐม”34 (Primary information sector) ซง่ึ มารค์ พอรตั (Marc Porat)
ทาํ การศกึ ษาสาํ รวจขอ้ มลู ไวเ้ มอ่ื ปี คศ.1967 เอามาผสมผสานเชอ่ื มโยงเขา้ กบั ขอ้ มลู การ
คาํ นวณของเบลลเ์ อง ซง่ึ เบลลไ์ ดท้ าํ การศกึ ษาสาํ รวจ “ภาคสารสนเทศขนั้ ทตุ ยิ ภมู ”ิ 45
(Secondary information sector)
P a g e | 160
เมอ่ื รวมขอ้ มลู ของทงั้ ภาคสว่ นเขา้ ดว้ ยกนั แลว้ เบลลไ์ ดช้ ใ้ี หเ้ หน็ วา่ เศรษฐกจิ สารสนเทศใน
ประเทศสหรฐั อเมรกิ าสามารถคดิ ไดเ้ ป็นสดั สว่ นประมาณรอ้ ยละ 46 ของผลติ ภณั ฑม์ วลรวม
ประชาชาติ (GNP) และหากพจิ ารณาในเชงิ คา่ จา้ งกจ็ ะพบวา่ มากกวา่ รอ้ ยละ 50 ของคา่ จา้ ง
ทงั้ หมดตกอยใู่ นกลุม่ เศรษฐกจิ สารสนเทศ นนั่ กค็ อื มากกวา่ ครง่ึ หน่ึงของรายไดป้ ระชาชาติ
สหรฐั อเมรกิ าอยใู่ นภาคสว่ นสารสนเทศ!!!
หากตคี วามในแงน่ ้ีแลว้ เบลลจ์ งึ มนั่ ใจเป็นอยา่ งยงิ่ วา่ ประเทศสหรฐั อเมรกิ าในชว่ งทศวรรษท่ี
1970 ไดก้ ลายเป็นเศรษฐกจิ สารสนเทศแลว้ (Bell, 1980: 521) อตั ราการขยายตวั อยา่ ง
คกึ คกั ของกจิ กรรมดา้ นสารสนเทศนบั ตงั้ แต่ปี 1967 สอดรบั กบั การเพม่ิ ขน้ึ อยา่ งรวดเรว็ ของ
“คนงานสารสนเทศ” (Information workers) ในโครงสรา้ งของสายอาชพี ทงั้ หมด
(Occupational structure) จากเดมิ ทม่ี กี ารจดั ให้ “งานทเ่ี กย่ี วกบั สารสนเทศ” จดั อยใู่ นกลมุ่
“งานภาคบรกิ าร” (Service sector) แตเ่ บลลเ์ หน็ วา่ ควรจบั แยกเอา “ภาคสารสนเทศ”
(Information sector) ออกมาจาก “ภาคบรกิ าร” โดยเบลลไ์ ดแ้ สดงใหเ้ หน็ วา่ ในชว่ งกลางปี
1970 “คนงานสารสนเทศ” ในประเทศสหรฐั อเมรกิ าไดก้ ลายเป็นกลุ่มคนงานทม่ี สี ดั สว่ นท่ี
ใหญ่ทส่ี ดุ ในโครงสรา้ งการปะกอบอาชพี กล่าวคอื คนงานสารสนเทศไดค้ รอบครองสดั สว่ น
เกอื บรอ้ ยละ 47 ของแรงงานภาคพลเรอื น ในขณะทค่ี นงานภาคอตุ สาหรรมการผลติ มสี ดั สว่ น
รอ้ ยละ 28 คนงานภาคบรกิ ารคดิ เป็นรอ้ ยละ 22 และแรงงานภาคเกษตรกรรมคดิ เป็นรอ้ ยละ
3 เทา่ นนั้ และดว้ ยการใหค้ าํ นิยามทก่ี ระชบั รวบรดั มากขน้ึ (Inclusive definition) เบลลอ์ า้ ง
วา่
“ในปี 1975 คนงานสารสนเทศโดยรวมแลว้ มจี าํ นวนมากกวา่ กลุ่มคนงาน
ทงั้ หมดทม่ี ไิ ดท้ าํ งานสารสนเทศ” (Bell, 1980: 523-4)
แตน่ ายสบ์ ติ ตไ์ ปไกลกวา่ นนั้ นายสบ์ ติ ตใ์ ชฐ้ านขอ้ มลู จากการศกึ ษาการเปลย่ี นแปลงเชงิ
อาชพี ในชว่ งทศวรรษท่ี 1970 ของเดวดิ เบริ ช์ (David Birch) แลว้ ทาํ การประมาณการวา่
ในชว่ งตน้ ทศวรรษท่ี 1980 คาดวา่ มากกวา่ รอ้ ยละ 65 ของแรงงานสหรฐั อเมรกิ าทงั้ หมดจะ
อยใู่ นเศรษฐกจิ ภาคสารสนเทศ (Naisbitt, 1984: 4)
P a g e | 161
แนวทางการวเิ คราะหเ์ ชน่ น้ี ตอ่ มายงั ถกู นําไปใชก้ บั บรรดาประเทศอุตสาหกรรมอน่ื ๆ เชน่
จากการประมาณการสาํ หรบั ประเทศองั กฤษ พบวา่ “...อาชพี ดา้ นสารสนเทศ...จะมจี าํ นวนถงึ
รอ้ ยละ 65 ของประชากรวยั แรงงานทงั้ หมด...” (Barron and Curnow, 1979: 19)
“ปัจจบุ นั เราผลติ ขอ้ มลู สารสนเทศแบบมวลใหญ่ (Mass-produce
information) อนั เป็นหนทางเดยี วกนั กบั ทเ่ี ราเคยผลติ รถยนตแ์ บบขนาน
ใหญ่ (Mass-produce cars)… ความรเู้ ชน่ น้ีคอื พลงั ขบั เคล่อื นเศรษฐกจิ
ในหว้ งทผ่ี า่ นมา...” (Naisbitt, 1984: 7)
แต่สาํ หรบั สงั คมสารสนเทศ – ในมมุ มองของผนู้ ําเสนอแนวคดิ น้ี – ไดน้ ํามาซง่ึ การ
เปลย่ี นแปลงในระดบั ทล่ี กึ ซง้ึ ลงลกึ สฐู่ านรากของสงั คม มนั นํามาซง่ึ วถิ กี ารผลติ แผนใหมอ่ นั
เป็นวถิ กี ารผลติ ทไ่ี ดเ้ ปลย่ี นแหลง่ ทม่ี าของการสรา้ งความมงั่ คงั่ และปัจจยั ทส่ี าํ คญั ในการผลติ
สาํ หรบั ปัจจยั ทเ่ี คยเป็นแกน่ แกนกลางสาํ คญั ของสงั คมยคุ อตุ สาหกรรม นนั่ คอื “แรงงาน” และ
“ทุน” ไดถ้ กู เขา้ มาทดแทนโดยปัจจยั ทส่ี าํ คญั ชุดใหม่ นนั่ คอื “สารสนเทศ” และ “ความร”ู้
แนวคดิ ทฤษฎคี ลาสสกิ ทน่ี กั คดิ ในอดตี ไมว่ า่ จะเป็น จอหน์ ลอ็ ค, อาดมั สมธิ , รคิ ารโ์ ด และ
แมก้ ระทงั่ คารล์ มารก์ ซ์ เคยเสนอวา่ “แรงงาน” คอื แหล่งทม่ี าของมลู คา่ (Labor theory of
value) ตอ้ งเปิดทางใหแ้ ก่แนวคดิ ทฤษฎใี หมท่ เ่ี หน็ วา่ แหล่งทม่ี าของมลู คา่ ทส่ี าํ คญั มาจาก
“ความร”ู้ (Knowledge theory of value)
นกั คดิ ทน่ี ่าจะนําเสนอแนวคดิ สงั คมสารสนเทศใหเ้ หน็ ภาพไดอ้ ยา่ งอลงั การมากทส่ี ดุ คนหน่ึง
น่าจะไดแ้ ก่นกั คดิ นกั เขยี นชาวญป่ี ่นุ โยเนจิ มาสดุ ะ (Yoneji Masuda) ผนู้ ําเสนอวสิ ยั ทศั น์วา่
ดว้ ย “คอมพโู ทเปีย” (Computopia) ซง่ึ เขาหมายถงึ สงั คมสารสนเทศในยคุ ศตวรรษท่ี 21 อนั
เป็นสงั คมทเ่ี ทคโนโลยคี อมพวิ เตอรแ์ ละการสอ่ื สารจะชว่ ยทาํ ใหผ้ คู้ นเป็นอสิ ระ ปราศจากชน
ชนั้ ปราศจากการกดขท่ี างอาํ นาจ ปราศจาการเมอื งและการบรหิ ารแบบรวมศนู ยอ์ าํ นาจ แต่
จะเกดิ ประชาธปิ ไตยทผ่ี คู้ นมสี ว่ นรว่ มอยา่ งเตม็ ท่ี และมรี ะบบการปกครองทอ้ งถนิ่ ดว้ ย
พลเมอื ง (Local citizen management systems) แกนกลางของสงั คมจะเตม็ ไปดว้ ย “ชุมชน
P a g e | 162
อาสาสมคั ร” (Voluntary communities) ทซ่ี ง่ึ ผคู้ นมเี ป้าหมายในการทาํ งานเพอ่ื ตอบสนอง
เตม็ เตมิ ใหแ้ กช่ วี ติ ทห่ี ลากหลายแตกต่างกนั ไป
“เรากาํ ลงั มงุ่ หน้าไปสศู่ ตวรรษท่ี 21 ดว้ ยเป้าหมายอนั ยง่ิ ใหญ่ทจ่ี ะสรา้ ง
คอมพโู ทเปียบนโลกใบน้ี อนุสาวรยี แ์ หง่ ประวตั ศิ าสตรท์ อ่ี าจจะสามารถ
บรรจลุ งในแคแ่ ผน่ ชปิ สเ่ี หลย่ี มหลายชน้ิ ในกลอ่ งเลก็ ๆ ใบหน่ึงได้ แต่
กลอ่ งใบเลก็ น้แี หละทจ่ี ะเกบ็ บนั ทกึ ทางประวตั ศิ าสตรม์ ากมายไว้ รวมถงึ
บนั ทกึ เกย่ี วกบั พลเมอื งโลกจาํ นวน 4 พนั ลา้ นคนซง่ึ สามารถเอาชนะ
เหนือวกิ ฤตพิ ลงั งานและการเพม่ิ ทวคี ณู ของประชากร, การบรรลถุ งึ การ
ยตุ อิ าวธุ นวิ เคลยี รแ์ ละการปลดอาวธุ จนหมดสน้ิ , การเอาชนะเหนือความ
ไมร่ หู้ นงั สอื , และการสรา้ งสมั พนั ธภาพเกลยี วกลมไดอ้ ยา่ งลงตวั ระหวา่ ง
พระเจา้ กบั มนุษย,์ การปราศจากการใชอ้ าํ นาจหรอื แมป้ ระทงั่ กฎหมายมา
บบี บงั คบั , แตจ่ ะเตม็ ไปดว้ ยความรว่ มมอื อยา่ งสมคั รใจของพลเมอื ง... ผล
ทต่ี ามมากค็ อื การสรา้ งสรรคอ์ ารยธรรมใหม.่ .. ซง่ึ จะไมใ่ ชเ่ ป็นอารยธรรม
เชงิ วตั ถุอนั มสี งิ่ กอ่ สรา้ งขนาดใหญ่มหมึ าเป็นสญั ญลกั ษณ์ แต่แทบจะเป็น
อารยธรรมทม่ี องไมเ่ หน็ (Invisible civilization) ทแ่ี น่ชดั กค็ อื มนั ควรทจ่ี ะ
ถกู เรยี กขานวา่ เป็น “อารยธรรมสารสนเทศ” (Information civilization)”
(Masuda, 1985: 633-4)
1 มกราคม 2554
บา้ นชยั พฤกษ/์ วชั รพล
เอกสารประกอบ
ดอน แทบ็ สกอ็ ตต,์ เดวดิ ทคิ อลล์ และอเลก็ ซ์ โลว่ี (2544) ทุนดจิ ติ อล. (แปลและเรยี บเรยี ง
โดย บุญเลศิ วงศพ์ รม) กรงุ เทพฯ: เอ.อาร.์ บซิ เิ นส เพลส.
Bell, D. (1973) The Coming of Post-Industrial Society. New York: Basic Books.
P a g e | 163
______ (1980) “The Social Framework of the Information Society”. In Forester 1980:
500-49.
Cairncross, F. (1997) The Death of Distance. Harvard Business School Press.
Forester, T. (ed.) (1980) The Microelectronics Revolution. Oxford: Basil Blackwell.
______________ (1985) The Information Technology Revolution. Oxford: Basil
Blackwell.
Masuda, Y. (1985) “Computopia” in Forrester 1985: 620-34.
McLuhan, M. (1967) Understanding Media: The Extensions of Man. London:
Sphere Books.
Naisbitt, J. (1984) Megatrends: Ten New Directions Transforming Our Lives. New
York: Warner Books.
Porat, M. (1977) The Information Economy: Definition and Measurement.
Washington D.C.: US Department of Commerce.
Sussman, L. (1989) “The Information Revolution: Human Ideas and Electrical
Impulses”, Encounter, 73, 60-5.
Toffler, A. (1970) Future Shock. New York: Random House.
_______ (1980) The Third Wave. Bantam Books.
1 Castells, M. (1996) The Rise of the Network Society.+ The Information Age: Economy,
Society and Culture Vol. I. Oxford: Blackwell.
P a g e | 164
2 เคยมคี วามพยายามทจ่ี ะสมาสคาํ 2 คาํ น้ีเพอ่ื ใหเ้ กดิ คาํ ใหมว่ า่ “คอมพวิ นาคม” (Compunications) แต่
กลบั เป็นคาํ ทไ่ี มแ่ พรห่ ลาย ไมเ่ ป็นทน่ี ยิ มนกั และหายสาบสญู ไปไมเ่ ป็นทใ่ี ชก้ นั แลว้ ในทส่ี ดุ
3 สป๊ ุตนิก (Sputnik) คอื ดาวเทยี มดวงแรกของโลกทถ่ี ูกสง่ ขน้ึ ไปโคจรรอบโลกไดเ้ ป็นดวงแรกเมอ่ื 4
ตลุ าคม 1957 โดยประเทศสหภาพโซเวยี ตรสั เซยี ความสาํ เรจ็ ของโซเวยี ตรสั เซยี ในโครงการสป๊ ตุ นิกน้ี
เป็นทงั้ ตวั สรา้ งความตงึ เครยี ดทางการเมอื งระหวา่ งมหาอาํ นาจในยคุ สงครามเยน็ และเป็นตวั จุดประกาย
ใหเ้ กดิ การแขง่ ขนั ทางเทคโนโลยอี วกาศ (Space race) อนั นํามาซง่ึ ความกา้ วหน้าทางเทคโนโลยอี ยา่ ง
กา้ วกระโดดในเวลาต่อมา
4 หมายถงึ อุตสาหกรรมทผ่ี ลติ สนิ คา้ และบรกิ ารทางสารสนเทศทส่ี ามารถซอ้ื ขายไดโ้ ดยตรง
5 หมายถงึ กจิ กรรมทางสารสนเทศทอ่ี ยใู่ น “โครงสรา้ งทางเทคโน” (Technostructure) ของหน่วยงานทงั้
ในภาครฐั และภาคเอกชนซง่ึ มสี ว่ นโดยทางออ้ มตอ่ การผลติ สนิ คา้ สารสนเทศ เชน่ การวางแผน การตลาด
การประชาสมั พนั ธ์ ฯลฯ แต่กจิ กรรมเหล่าน้ไี มไ่ ดถ้ ูกนบั รวมอยใู่ นสถานะของการบรกิ ารทางสารสนเทศ
ในบญั ชปี ระชาชาติ
P a g e | 166
- 20 -
อังกฤษกับการเปน็ “ชาติแหง่ นวตั กรรม”
(1)
เมอ่ื เดอื นมนี าคม 2008 “กระทรวงนวตั กรรม, มหาวทิ ยาลยั และ
ทกั ษะ” (Department for Innovation, Universities and Skills)1
แหง่ ประเทศองั กฤษไดจ้ ดั ทาํ และเผยแพรเ่ อกสาร “รายงานปก
ขาว” (The White Paper) วา่ ดว้ ย “ชาตแิ หง่ นวตั กรรม”
(Innovation Nation) โดยรฐั มนตรผี ดู้ แู ลกระทรวงแหง่ น้ใี น
ขณะนนั้ คอื จอหน์ เดนแฮม (John Denham) ไดก้ ล่าวเกรน่ิ นํา
ในบทนําของรายงานไวอ้ ยา่ งน่าสนใจวา่
“เราตอ้ งการทจ่ี ะสรา้ งสรรคช์ าตแิ หง่ นวตั กรรม เน่อื งเพราะองั กฤษจะสามารถ
เป็นประเทศทเ่ี จรญิ กา้ วหน้าในเศรษฐกจิ โลกาภวิ ฒั น์ได้ กต็ ่อเมอ่ื เราได้
ปลดปลอ่ ยความสามารถของประชาชนของเราทวั่ ทุกคนออกมา
เราตอ้ งการใหน้ วตั กรรมเจรญิ งอกงามไปในทวั่ ทกุ ดา้ นทุกพน้ื ทข่ี องเศรษฐกจิ
และโดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ในทใ่ี ดกต็ ามทธ่ี ุรกจิ ซง่ึ มมี ลู คา่ เพม่ิ สงู จะสามารถเจรญิ
งอกงามและเตบิ โต เราจะตอ้ งสรา้ งนวตั กรรมในบรกิ ารของภาครฐั ดว้ ย
นวตั กรรมมคี วามสาํ คญั ตอ่ การสง่ มอบการดแู ลสขุ ภาพและการศกึ ษาพอๆกบั ท่ี
มนั มคี วามสาํ คญั ตอ่ ภาคอตุ สาหกรรม เชน่ การผลติ การคา้ ปลกี และในภาค
เศรษฐกจิ เชงิ สรา้ งสรรค์
นวตั กรรมจะเป็นกุญแจสาํ คญั ต่อบรรดาความทา้ ทายทย่ี ง่ิ ใหญ่ทส่ี ดุ ทส่ี งั คมเรา
กาํ ลงั เผชญิ กบั การทายทา้ เชน่ ภาวะโลกรอ้ นและการพฒั นาทย่ี งั่ ยนื เรา
จาํ เป็นตอ้ งสรา้ งความมนั่ ใจวา่ องั กฤษจะมสี ว่ นมงุ่ มนั่ ทมุ่ เทตอ่ การพฒั นาหาทาง
P a g e | 167
ออกเชงิ นวตั กรรมและธรุ กจิ ขององั กฤษรวมถงึ ประชาชนชาวองั กฤษจะไดร้ บั
ประโยชน์โภคผลจากโอกาสใหมๆ่ และความเจรญิ กา้ วหน้าทพ่ี วกเขาไดร้ ว่ มกนั
สรา้ งสรรคข์ น้ึ มา”
ผเู้ ขยี นมคี วามเหน็ วา่ รายงานปกขาวเรอ่ื ง “ชาตแิ หง่ นวตั กรรม”
(Innovation Nation) น้มี คี วามน่าสนใจและเป็นตวั ชว่ ยบ่งบอก
รอ่ งรอยทส่ี าํ คญั ของความพยายามในการพฒั นาประเทศองั กฤษ
ไปสกู่ ารเป็นประเทศทม่ี เี ศรษฐกจิ อยบู่ นพน้ื ฐานของความ
สรา้ งสรรคแ์ ละนวตั กรรมใหมๆ่ ซง่ึ นนั่ ยอ่ มหมายถงึ ความยงั่ ยนื
ของประเทศในระยะยาว ดงั นนั้ ในบทความชน้ิ น้ีผเู้ ขยี นจะหยบิ ยกเอาประเดน็ สาํ คญั ๆท่ี
นําเสนอในรายงานฉบบั น้ีและประเดน็ ทผ่ี กู้ าํ หนดนโยบายของประเทศน่าจะไดเ้ รยี นรแู้ ละ
ปรบั ประยกุ ตใ์ ชใ้ หเ้ หมาะสมกบั บรบิ ทสงั คมไทยทต่ี อ้ งการทจ่ี ะเป็นประเทศทม่ี เี ศรษฐกจิ เชงิ
สรา้ งสรรค์
องั กฤษกบั แนวคิดใหมข่ องนวตั กรรม
ในอดตี มกั มกี ารมอง “นวตั กรรม” กนั เพยี งแคว่ า่ เป็นเรอ่ื งของกระบวนการการลงทุนในการ
วจิ ยั ขนั้ พน้ื ฐานทจ่ี ะนําไปสสู่ นิ คา้ เชงิ พาณิชยกรรมโดย
ผบู้ รหิ ารในภาคอตุ สาหกรรมซง่ึ มสี ายตาอนั ยาวไกล
กระบวนการเชน่ น้ีแต่จาํ เดมิ มกั จะไดร้ บั การสนบั สนุน
โดยนโยบายทม่ี งุ่ เน้นดา้ นของอุปทาน (Supply-side
policy initiatives) กลา่ วคอื เชอ่ื วา่ ถา้ มกี ารสง่ เสรมิ การ
ทาํ วจิ ยั และพฒั นาดา้ นใดกต็ ามจนเกดิ นวตั กรรมใหมๆ่
ในทส่ี ดุ นวตั กรรมเหลา่ นนั้ กจ็ ะขายไดแ้ ละทาํ ใหเ้ รา
สามารถเป็นผนู้ ําทางอุตสาหกรรม อยา่ งไรกต็ าม การทจ่ี ะเกดิ นวตั กรรมไดจ้ าํ เป็นตอ้ งใช้
ทรพั ยากรจาํ นวนมหาศาลจากหลายๆดา้ น รวมทงั้ แรงผลกั ดนั ใหเ้ กดิ นวตั กรรมมใิ ชจ่ ะเกดิ
จากแตด่ า้ นของอุปทานเทา่ นนั้ แต่ “อปุ สงค”์ (Demand-side) หรอื ความตอ้ งการถอื เป็น
P a g e | 168
แรงผลกั ดนั ทส่ี าํ คญั เชน่ เดยี วกนั แน่นอนวา่ ผลลพั ธท์ ไ่ี ดจ้ ากการทาํ วจิ ยั ทางวทิ ยาศาสตรข์ นั้
พน้ื ฐานนนั้ ยอ่ มมคี วามสาํ คญั ตอ่ การเป็นเจา้ แหง่ นวตั กรรมในระยะยาว แต่เสน้ ทางกวา่ จะเกดิ
นวตั กรรมและนําไปสกู่ ารขายไดเ้ ชงิ พาณิชย์ – จากหอ้ งแลป็ ไปจนถงึ ตลาดและ
หา้ งสรรพสนิ คา้ นนั้ – ชา่ งเป็นระยะทางทย่ี าวไกล, ซบั ซอ้ นและเตม็ ไปดว้ ยความไมแ่ น่นอน
แหลง่ ทม่ี าอกี แหลง่ หน่งึ ของนวตั กรรมกค็ อื การประยกุ ตใ์ ชเ้ ทคโนโลยเี ชงิ ทดลองและทดสอบ
(Tried-and-tested technologies) อยา่ งสรา้ งสรรค์ รวมทงั้ บทบาทของการออกแบบในการ
พฒั นาสนิ คา้ และบรกิ ารเชงิ นวตั กรรม นอกจากน้ี นวตั กรรมมไิ ดจ้ าํ กดั อยแู่ ต่ในวงของ
ภาคเอกชนเทา่ นนั้ มแี นวโน้มมากขน้ึ เรอ่ื ยๆทเ่ี รยี กรอ้ งตอ้ งการใหห้ น่วยงานภาครฐั
สรา้ งสรรคน์ วตั กรรมในการออกแบบและสง่ มอบงานบรกิ ารภาครฐั
รฐั บาลคือผสู้ ร้างเงอื่ นไขของนวตั กรรมเพื่อสนองอปุ สงค์ (Demanding Innovations)
โฉมหน้าใหมส่ าํ หรบั องั กฤษคอื นวตั กรรมเพอ่ื สนองอปุ สงค์ แนวคดิ น้ีคอื ใชอ้ ปุ สงคห์ รอื ความ
ตอ้ งการเป็นตวั ขบั เคลอ่ื นนวตั กรรม โดยสง่ เสรมิ สนบั สนุนใหบ้ รรดาผสู้ รา้ งสรรคน์ วตั กรรม
(Innovators) ไดม้ าพบกบั ความตอ้ งการใหมๆ่ ทก่ี า้ วหน้า การทผ่ี ใู้ ช้ (Users) ไมว่ า่ จะเป็น
รายบุคคล, ธรุ กจิ หรอื หน่วยงานภาครฐั ไดเ้ ขา้ มารว่ มคดิ รว่ มกาํ หนดตกแต่งรปู แบบของ
นวตั กรรมตงั้ แต่ชว่ งตน้ ๆ ถอื เป็นกระบวนการทส่ี าํ คญั ของการพฒั นานวตั กรรมและในทส่ี ดุ ก็
คอื การสรา้ งรายไดต้ ดิ ตามมา
จดุ น้ีคอื บทบาททส่ี าํ คญั ของรฐั บาลทจ่ี ะตอ้ งสรา้ งเงอ่ื นไขและสภาพแวดลอ้ มทเ่ี ออ้ื ต่อการเกดิ
นวตั กรรม โดยรฐั บาลจะตอ้ งสรา้ งความมนั่ ใจวา่ เศรษฐกจิ ของชาตริ ะดบั มหภาคตอ้ งมี
เสถยี รภาพ ขณะเดยี วกนั กม็ ตี ลาดทเ่ี ปิดกวา้ งและมกี ารแขง่ ขนั ทเ่ี สรี นอกจากน้ี การมกี รอบ
การพฒั นาทช่ี ดั เจน สง่ เสรมิ การลงทนุ ในในทรพั ยากรมนุษยแ์ ละความรถู้ อื เป็นเงอ่ื นไขสาํ คญั
ต่อความเจรญิ งอกเงยของนวตั กรรม ในภาคเศรษฐกจิ บางดา้ น ภาครฐั อาจตอ้ งใหก้ าร
สนบั สนุนทางตรง เชน่ การออกกฎระเบยี บ การจดั ซอ้ื จดั หาและการบรกิ ารของหน่วยงาน
ภาครฐั ฯลฯ กส็ ามารถชว่ ยสง่ เสรมิ ตลาดสาํ หรบั นวตั กรรมใหมๆ่ นโยบายของรฐั บาลจงึ เป็น
P a g e | 169
ตวั สรา้ งขดี ความสามารถของธรุ กจิ และอุตสาหกรรมขององั กฤษ และคนองั กฤษนนั่ แหละกจ็ ะ
ไดป้ ระโยชน์จากโอกาสใหมๆ่ เหล่าน้ีทส่ี รา้ งสรรกนั ขน้ึ มา ดงั นนั้ รฐั บาลองั กฤษจงึ คาํ นึงถงึ
การวางกฎระเบยี บหรอื มาตรการทจ่ี ะสง่ เสรมิ การสรา้ งนวตั กรรมเพอ่ื ตอบรบั กบั อุปสงค์ เชน่
• การวางมาตรการใหท้ ุกกระทรวงจดั ทาํ “แผนการจดั ซอ้ื จดั หานวตั กรรม” (an
Innovation Procurement Plan) ถอื เป็นสว่ นหน่งึ ของแผนยทุ ธศาสตรเ์ ชงิ พาณิชย์
นนั่ คอื การทจ่ี ะทาํ อยา่ งไรทจ่ี ะผลกั ดนั นวตั กรรมโดยผา่ นการจดั ซอ้ื จดั หาและการใช้
นวตั กรรมโดยหน่วยงานภาครฐั
• DIUS จะปฏริ ปู การวจิ ยั ทางธุรกจิ ขนาดเลก็ โดยมงุ่ เน้นการวจิ ยั บนฐานเทคโนโลยี
เชอ่ื มโยงไปกบั กระทรวงกลาโหมและกระทรวงสาธารณสขุ
• DIUS กบั สมาพนั ธอ์ ตุ สาหกรรมองั กฤษ (Confederation of British Industry - CBI)
จะสง่ เสรมิ ใหเ้ กดิ การแลกเปลย่ี นความชาํ นาญการในดา้ นนวตั กรรมระหวา่ งภาครฐั กบั
ภาคเอกชน รวมถงึ การใหม้ ยี มื ตวั หรอื แตง่ ตงั้ (Secondment) บคุ ลากรผเู้ ชย่ี วชาญ
จากภาคเอกชนไปทาํ งานในภาครฐั เพอ่ื ชว่ ยเป็นพเ่ี ลย้ี งในกระบวนการจดั ซอ้ื จดั หา
สนิ คา้ และบรกิ ารเชงิ นวตั กรรมของหน่วยงานภาครฐั
• DIUS รว่ มกบั ผบู้ รหิ ารกระทรวงธุรกจิ , กจิ การและการปฏริ ปู กฎระเบยี บ (BERR) จะ
ทาํ งานรว่ มกบั สภาธุรกจิ (Business Council) แหง่ ประเทศองั กฤษเพอ่ื รว่ มกนั
พจิ ารณาวา่ กฎระเบยี บใดทส่ี ง่ เสรมิ หรอื เป็นอุปสรรคตอ่ การพฒั นานวตั กรรม เป็นตน้
การส่งเสริมนวตั กรรมของภาคธรุ กิจคือหวั ใจสาํ คญั
ธรุ กจิ คอื จกั รกลสาํ คญั ของนวตั กรรม เป็นหน่วยทส่ี รา้ งความมงั่ คงั่ และขบั เคล่อื นการปรบั ปรงุ
มาตรฐานการครองชพี เพอ่ื ทจ่ี ะทาํ ใหธ้ รุ กจิ สามารถสรา้ งสรรคน์ วตั กรรม รฐั บาลจงึ ตอ้ งแสดง
บทบาทสาํ คญั ในการรบั ประกนั กรอบนโยบายทช่ี ดั เจนและพรอ้ มทจ่ี ะใหก้ ารสนบั สนุน
ชว่ ยเหลอื หากนวตั กรรมของธุรกจิ เหล่านนั้ เกดิ ความผดิ พลาดลม้ เหลวขน้ึ มา การทจ่ี ะทาํ ให้
องั กฤษเป็นประเทศทเ่ี ป็นเลศิ ทส่ี ดุ ในธรุ กจิ นวตั กรรมของโลกน้ี การสง่ เสรมิ สนบั สนุนของ
หน่วยงานภาครฐั ทเ่ี กย่ี วขอ้ งเป็นสงิ่ สาํ คญั เชน่
P a g e | 170
• คณะกรรมการยทุ ธศาสตรท์ างเทคโนโลยี (The Technology Strategy Board - TSB)
จะขบั เคล่อื นใหเ้ กดิ ตน้ แบบทางนวตั กรรมใหมๆ่ (new Innovation Platforms) ขน้ึ มา
ใหไ้ ด้ 5 กลุ่มภายใน 3 ปีขา้ งหน้า รวมทงั้ การพฒั นาผสู้ าธติ ทางเทคโนโลยี
(Technology Demonstrators) เพอ่ื แสดงเครอ่ื งมอื นวตั กรรมใหเ้ หน็ การใชง้ านไดจ้ รงิ
ในทางปฏบิ ตั ิ
• ธุรกจิ ทวั่ ทกุ ภมู ภิ าคของประเทศองั กฤษ จาํ นวนอยา่ งน้อย 500 แหง่ จะไดร้ บั “บตั ร
สง่ เสรมิ นวตั กรรม” (Innovation voucher) ใหส้ ามารถทาํ งานรว่ มกบั สถาบนั ทม่ี อี งค์
ความรทู้ ต่ี รงกบั ทแ่ี ต่ละธรุ กจิ จะเลอื ก โดยคาดวา่ หากการดาํ เนนิ การเชน่ นนั้ ประสบ
ความสาํ เรจ็ สะทอ้ นใหเ้ หน็ ถงึ ความมปี ระสทิ ธผิ ลทางธรุ กจิ ภายในปี 2011 จะมธี ุรกจิ
เขา้ รว่ มเพม่ิ ขน้ึ เป็นจาํ นวน 1000 แหง่ คาดวา่ รฐั บาลตอ้ งลงทุนอยา่ งน้อย 3 รอ้ ยลา้ น
ปอนดส์ เตอรงิ สาํ หรบั การเรมิ่ ตน้ ประสานการทาํ งานกนั ระหวา่ ง SMEs กบั สถาบนั
ฐานความรู้
• DIUS จะตอ้ งสรา้ งความเชอ่ื มนั่ วา่ จะมงี บประมาณสนบั สนุนทเ่ี หมาะสมและเพยี งพอ
สาํ หรบั ทุกธุรกจิ เชงิ นวตั กรรมและในทุกขนั้ ตอนของการสรา้ งสรรคน์ วตั กรรม DIUS
จะจดั ใหม้ ี “คมู่ อื แนะนําการเงนิ สาํ หรบั นวตั กรรม” ทช่ี ดั เจน โดยตอ้ งเป็น “คมู่ อื ท่ี
เขา้ ทา่ ใชก้ ารไดจ้ รงิ ” (No Nonsense Guide) ทจ่ี ะเขา้ ถงึ แหลง่ เงนิ ทุน
• DIUS จะทาํ งานรว่ มกบั BERR, คณะกรรมการยทุ ธศาสตรท์ างเทคโนโลยี
(Technology Strategy Board) และ สาํ นกั งานกองทุนวทิ ยาศาสตร,์ เทคโนโลยี และ
ศลิ ปะแหง่ ชาติ (National Endowment for Science, Technology and the Arts –
NESTA) พจิ ารณาใหก้ ารสง่ เสรมิ สนบั สนุนนวตั กรรมในภาคบรกิ าร
• สาํ นกั ทรพั ยส์ นิ ทางปัญญาแหง่ ประเทศองั กฤษ (The UK-IPO) จะทาํ การตรวจสอบวา่
มดี า้ นใดทภ่ี าครฐั ควรเขา้ ไปชว่ ยบรษิ ทั ขนาดเลก็ ใหไ้ ดร้ บั การลงทุน โดยบรษิ ทั เหล่าน้ี
ตอ้ งจดั ทาํ รายงานสนิ ทรพั ยท์ จ่ี บั ตอ้ งไมไ่ ด้ (Intangible assets) ภายในสน้ิ ปี 2008.
• ในชว่ งฤดรู อ้ นของปี 2009 บรรดาทป่ี รกึ ษาดา้ นการเชอ่ื มโยงธุรกจิ และการสง่ ออก
(export and
P a g e | 171
Business Link advisors) ขององคก์ รการคา้ และการลงทุนแหง่ สหราชอาณาจกั ร (UK
Trade and Investment - UKTI) จะไดร้ บั การฝึกอบรมจากสาํ นกั ทรพั ยส์ นิ ทางปัญญา
แหง่ ประเทศองั กฤษ (The UK-IPO) ในดา้ นการใหค้ าํ ปรกึ ษาเกย่ี วกบั การบรหิ าร
จดั การทรพั ยส์ นิ ทางปัญญาแกภ่ าคธรุ กจิ UK-IPO จะใหก้ ารสนบั สนุนทางออนไลน์
เพอ่ื ชว่ ยใหธ้ ุรกจิ ขนาดเลก็ สามารถใชท้ รพั ยส์ นิ ทางปัญญาของตนเองใหเ้ กดิ ประโยชน์
สงู สดุ โดยการจดสทิ ธบิ ตั ร (licensing) หรอื วธิ กี ารอน่ื ๆทจ่ี ะชว่ ยยกระดบั ความสาํ คญั
ไปสกู่ ารเป็นธุรกจิ เชงิ นวตั กรรม เครอื ขา่ ยน้จี ะถกู ใชเ้ พอ่ื สง่ เสรมิ โปรแกรมการการ
ตระหนกั ถงึ ความสาํ คญั ของทรพั ยส์ นิ ทางปัญญา
การสร้างฐานการวิจยั เชิงนวตั กรรมให้เข้มแขง็
องั กฤษถอื เป็นประเทศหน่งึ ทม่ี ฐี านการวจิ ยั ทม่ี คี ณุ ภาพในระดบั โลก ถอื ไดว้ า่ เป็น
องคป์ ระกอบทส่ี าํ คญั ของระบบนเิ วศน์นวตั กรรม ฐานการวจิ ยั ทด่ี จี ะนํามาซง่ึ แนวคดิ ใหมๆ่
หลายๆครงั้ กก็ ่อดอกออกผลใหเ้ กดิ ประโยชน์ทางเศรษฐกจิ และสงั คมมาแลว้ มากมาย องคก์ ร
ภาครฐั ทส่ี าํ คญั 3 หน่วยคอื สภาวจิ ยั (Research Councils), คณะกรรมการยทุ ธศาสตรท์ าง
เทคโนโลยี (Technology Strategy Board) และ กระทรวงนวตั กรรม, มหาวทิ ยาลยั และ
ทกั ษะ (DIUS) ไดร้ ว่ มกนั สนบั สนุนการพฒั นาฐานการวจิ ยั และขยายการแลกเปลย่ี นองค์
ความรแู้ บบเดมิ ใหก้ วา้ งขน้ึ จนเกดิ เป็นระเบยี บสาขาวชิ าการใหมๆ่ , ภาควชิ าใหมๆ่ , ธรุ กจิ
ใหมๆ่ รวมทงั้ เกดิ การพฒั นาและการสง่ มอบการบรกิ ารภาครฐั แบบใหมๆ่
เพอ่ื ทจ่ี ะรกั ษาความเป็นผนู้ ําและยกระดบั ความโดดเดน่ ในดา้ นการวจิ ยั ขององั กฤษ
• DIUS จะยงั คงใหม้ กี ารลงทนุ เพม่ิ ขน้ึ ในดา้ นวทิ ยาศาสตรแ์ ละจะขยายการแลกเปลย่ี น
ความรใู้ หก้ วา้ งขน้ึ ระหวา่ งฐานการวจิ ยั และดา้ นธุรกจิ ไปสสู่ าขาศลิ ปศาสตรแ์ ละ
มานุษยศาสตรแ์ ละภาคบรกิ าร เชน่ ในอตุ สาหกรรมเชงิ สรา้ งสรรค์
• UK-IPO จะยงั คงพฒั นาเครอ่ื งมอื ทางออนไลน์ทเ่ี รยี กวา่ ‘Lambert’ online toolkit ซง่ึ
เป็นตวั แบบการทาํ ขอ้ ตกลงสทิ ธบิ ตั รระหวา่ งมหาวทิ ยาลยั กบั ธรุ กจิ (model
P a g e | 172
university-business licensing agreements) ซง่ึ จะชว่ ยลดตน้ ทุนและความซบั ซอ้ น
ของการทาํ ธุรกรรมทางทรพั ยส์ นิ ทางปัญญา
• DIUS ไดม้ อบหมายใหม้ กี ารศกึ ษาเพอ่ื ทจ่ี ะแสวงหาแนวทางทจ่ี ะทาํ ใหม้ หาวทิ ยาลยั
สามารถบรหิ ารจดั การทรพั ยส์ นิ ทางปัญญาใหเ้ กดิ ประโยชน์แกท่ งั้ มหาวทิ ยาลยั เอง
และเพอ่ื ประโยชน์ของเศรษฐกจิ ในวงกวา้ งไดอ้ ยา่ งไร
• สาํ นกั งานกองทนุ วทิ ยาศาสตร,์ เทคโนโลยี และศลิ ปะแหง่ ชาติ (National
Endowment for Science, Technology and the Arts – NESTA) จะทาํ การพฒั นา
ดชั นชี ว้ี ดั นวตั กรรมขน้ึ มาใหมเ่ พอ่ื ทจ่ี ะใชว้ ดั ระดบั ความเป็น “ชาตนิ วตั กรรม” ของ
ประเทศองั กฤษ โดยดงึ เอาขอ้ มลู และความชาํ นาญการจากองคก์ รเครอื ขา่ ยเชน่
สาํ นกั งานสถติ แิ หง่ ชาติ (Office of National Statistics - ONS), DIUS, BERR, TSB,
สถาบนั การจดั การชนั้ สงู (Advanced Institute of Management - AIM), สภาการ
ออกแบบ (Design Council), สมาพนั ธอ์ ตุ สาหกรรมองั กฤษ (Confederation of
British Industry - CBI), และหน่วยงานอน่ื ๆ จะมกี ารจดั พมิ พต์ วั ชว้ี ดั นํารอ่ งขน้ึ ในปี
2009 และจะใชต้ วั ชว้ี ดั อยา่ งเตม็ ระบบในปี 2010
• จะมกี ารกอ่ ตงั้ ศนู ยว์ จิ ยั นวตั กรรมแหง่ ใหม่ (New Innovation Research Centre) ขน้ึ
โดยการรว่ มมอื กนั ของ DIUS, NESTA, สภาการวจิ ยั เศรษฐกจิ และสงั คม (Economic
and Social Research Council - ESRC) and TSB ศนู ยว์ จิ ยั แหง่ ใหมน่ ้ีจะเป็นการ
สรา้ งความมนั่ ใจวา่ จะมกี ารดาํ เนินการวจิ ยั นวตั กรรมทม่ี คี ณุ ภาพสงู และสง่ ต่อไปยงั
ชมุ ชนนโยบายนวตั กรรมขององั กฤษอยา่ งตอ่ เน่ือง
ทก่ี ลา่ วมาทงั้ หมดขา้ งตน้ เราไดเ้ หน็ ถงึ ความพยายามอยา่ งจรงิ จงั ของประเทศองั กฤษท่ี
มงุ่ มนั่ ทจ่ี ะสรา้ งสรรคใ์ หป้ ระเทศกลายเป็น “ชาตแิ หง่ นวตั กรรม” การนําเสนอแนวทางอยา่ ง
เป็นระบบและมกี ารสง่ มอบผลงานอยา่ งเป็นรปู ธรรม รวมทงั้ การเชอ่ื มโยงการทาํ งานอยา่ ง
ใกลช้ ดิ ระหวา่ งหน่วยงานภาครฐั กบั ภาคเอกชนถอื เป็นแบบอยา่ งทด่ี ขี องประเทศชนั้ นําท่ี
ประเทศไทยเราควรไดเ้ รยี นรแู้ ละถอื เป็นแบบอยา่ ง ในคราวหน้าผเู้ ขยี นจะไดก้ ลา่ วถงึ สว่ นท่ี
เหลอื ทส่ี าํ คญั ของรายงานฉบบั น้ี
P a g e | 173
1 เมอ่ื วนั ท่ี 5 มถิ ุนายน 2009 กระทรวงแหง่ น้ี (Department of Innovation, Universities and Skills –
DIUS) ไดถ้ กู ยบุ รวมเขา้ กบั กระทรวงธุรกจิ , กจิ การและการปฏริ ปู กฎระเบยี บ (Department for
Business, Enterprise and Regulatory Reform - BERR) แลว้ ตงั้ เป็นกระทรวงใหมช่ อ่ื “กระทรวงธรุ กจิ ,
นวตั กรรมและทกั ษะ” (Department for Business, Innovation and Skills - BIS) การยบุ รวมเป็น
กระทรวงใหมน่ ้ีมคี วามน่าสนใจเพราะเป็นความพยายามของรฐั บาลองั กฤษทจ่ี ะพฒั นากลไกและระบบ
การทาํ งานโดยมงุ่ หวงั ใหก้ ระทรวงใหมน่ ้ี (BIS) แสดงบทบาททส่ี าํ คญั ในการสรา้ งขดี ความสามารถของ
ประเทศองั กฤษใหม้ ขี ดี ความสามารถทจ่ี ะแขง่ ขนั ไดใ้ นเศรษฐกจิ โลก การควบรวมเป็นกระทรวงเดยี วกนั
น้จี ะทาํ ใหม้ หี น่วยงานของรฐั ทม่ี พี นั ธกจิ ทม่ี งุ่ สรา้ งความเขม้ แขง็ ทางเศรษฐกจิ ของประเทศ โดยตระหนกั
วา่ การทจ่ี ะแขง่ ขนั ในเศรษฐกจิ โลกไดพ้ รอ้ มไปกบั การสรา้ งงานในอนาคต ประเทศองั กฤษจาํ เป็นตอ้ งมี
สภาพแวดลอ้ มโดยเฉพาะในเชงิ กฎระเบยี บทส่ี ง่ เสรมิ สนบั สนุนกจิ การ, คนทม่ี ที กั ษะ, นวตั กรรม, และ
วทิ ยาศาสตรแ์ ละการวจิ ยั ในระดบั โลก
การควบรวมกนั ของ BERR กบั DIUS ทาํ ใหร้ ฐั บาลไดด้ งึ เอาความชาํ นาญการทส่ี าํ คญั 2 ฝ่ายเขา้ มาอยู่
ภายใตก้ ารบรหิ ารจดั การทเ่ี ป็นหน่ึงเดยี ว นนั่ คอื กระทรวงแหง่ ใหมน่ ้จี ะผสานเอาความชาํ นาญการของ
BERR ซง่ึ มคี วามสามารถในการวเิ คราะหจ์ ดุ แขง็ และความตอ้ งการของสว่ นตา่ งๆในภาคอตุ สาหกรรม
ขององั กฤษเพอ่ื นํามาสรา้ งเป็นยทุ ธศาสตรส์ าํ หรบั การพฒั นาจดุ แขง็ และความเชย่ี วชาญของ
ภาคอุตสาหกรรม รวมทงั้ การจดั วางสภาพแวดลอ้ มทเ่ี ออ้ื ต่อการประกอบกจิ การ ในขณะเดยี วกนั กผ็ สาน
เอาความชาํ นาญการของ DIUS ซง่ึ มคี วามเชย่ี วชาญในดา้ นอุดมศกึ ษาและมหาวทิ ยาลยั ระดบั โลก เพอ่ื
นํามาซง่ึ การเขา้ ถงึ และการประสานกบั การศกึ ษาชนั้ สงู , การลงทนุ ในดา้ นวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
และการกาํ หนดนโยบายทเ่ี กย่ี วกบั ทกั ษะและนวตั กรรม โดยมคี ณะกรรมการชดุ สาํ คญั เชน่
คณะกรรมการยทุ ธศาสตรท์ างเทคโนโลยแี หง่ ชาติ (the Technology Strategy Board) นอกจากน้ียงั ทาํ
ใหเ้ รอ่ื งของระบบการศกึ ษาชนั้ สงู และมหาวทิ ยาลยั จะกลายเป็นเรอ่ื งทอ่ี ยภู่ ายใตก้ ารคดิ พจิ ารณาของ
รฐั บาลอยา่ งใกลช้ ดิ มากยงิ่ ขน้ึ
สรปุ แลว้ การควบรวมกระทรวงและการตงั้ กระทรวงใหมน่ ้คี อื ความพยายามทส่ี าํ คญั ของรฐั บาลองั กฤษท่ี
ตระหนกั ถงึ แนวทางทจ่ี ะสง่ เสรมิ ผลกั ดนั ใหอ้ งั กฤษมขี ดี ความสามารถในการแขง่ ขนั และมผี ลติ ภาพมาก
ยง่ิ ขน้ึ ดงั ทป่ี รากฏในรายงาน the New Industries, New Jobs ซง่ึ BERR กบั DIUS รว่ มกนั จดั ทาํ
รายงานน้ีขน้ึ มาเมอ่ื เดอื นเมษายน 2009
P a g e | 174
P a g e | 175
- 21 -
อังกฤษกับการเปน็ “ชาติแหง่ นวตั กรรม”
(2)
ทาํ นวตั กรรมให้เป็นสากล
กระแสโลกาภวิ ฒั น์ทาํ ใหค้ วามเจรญิ กา้ วหน้าแพรส่ ะพดั ไปทวั่ โลก ธรุ กจิ การคา้ และการผลติ
ไดข้ ยายตวั ไปในระดบั สากลอยา่ งต่อเน่ืองทงั้ ในแงข่ องฐานลกู คา้ ทก่ี วา้ งใหญ่, หว่ งโซอ่ ุปทาน
(Supply chain) ทก่ี วา้ งไกล, การวจิ ยั และพฒั นา รวมถงึ การพฒั นาและประยกุ ตใ์ ชต้ วั แบบ
“นวตั กรรมแบบเปิดกวา้ ง”01 (Open innovation model) เน่อื งจากในโลกยคุ ใหมน่ ้ี ทกุ อยา่ ง
ขบั เคล่อื นทไ่ี ป (Mobile) อยา่ งรวดเรว็ มาก ไมว่ า่ จะเป็นผคู้ นทข่ี บั เคล่อื นนวตั กรรม,
แนวความคดิ ทพ่ี วกเขาสรา้ งสรรคแ์ ละประยกุ ตใ์ ช้ รวมทงั้ เงนิ ทนุ ทส่ี นบั สนุนนกั สรา้ งสรรค์
นวตั กรรม
รฐั บาลประเทศองั กฤษเขา้ ใจธรรมชาตทิ เ่ี ปลย่ี นแปลงไปเชน่ น้ี ในขณะเดยี วกนั กถ็ อื เป็น
เจตนารมณ์ทจ่ี ะทาํ ใหอ้ งั กฤษเป็น “ประเทศทน่ี ่าดงึ ดดู ใจมากทส่ี ดุ ” แห่งหน่ึงของโลกสาํ หรบั
การทจ่ี ะมาลงทนุ ของบรรดาธุรกจิ ทม่ี กี ารวจิ ยั และพฒั นาอยา่ งเขม้ ขน้ พรอ้ มไปกบั มกี าร
เคลอ่ื นไหว (Mobile) สงู ธุรกจิ เหลา่ น้มี กั มฐี านการวจิ ยั ทเ่ี น้นสง่ เสรมิ การประสานความเลศิ
จากหลายๆแหลง่ โดยไมต่ ดิ ยดึ ในพรมแดนขวางกนั้ ระหวา่ งประเทศ องั กฤษจงึ สง่ เสรมิ ระบบ
เศรษฐกจิ ทเ่ี ปิดกวา้ งเพอ่ื เออ้ื อาํ นวยใหเ้ กดิ “สากลานุวฒั น์” (Internationalisation) ของ
บรรดาธรุ กจิ ทใ่ี ชเ้ ทคโนโลยชี นั้ สงู
อยา่ งไรกต็ าม องั กฤษกต็ ระหนกั ดถี งึ ระดบั ความเขม้ ขน้ รนุ แรงของการแขง่ ขนั ทางนวตั กรรม
ในระดบั สากล รวมทงั้ มตี วั เรง่ ทส่ี าํ คญั คอื การทบ่ี รรดาประเทศเศรษฐกจิ เกดิ ใหม่ (Emerging
economies) มกี ารลงทุนดา้ นนวตั กรรมเพมิ่ มากขน้ึ ดงั นนั้ เพอ่ื ทจ่ี ะสรา้ งความมนั่ ใจวา่
P a g e | 176
องั กฤษจะเป็นสถานทท่ี น่ี ่าดงึ ดดู ใจมากทส่ี ดุ สาํ หรบั บรรดาธุรกจิ , คนและองคก์ รเชงิ
นวตั กรรม จงึ มแี ผนการโครงการทน่ี ่าสนใจเชน่
• กระทรวงนวตั กรรม, มหาวทิ ยาลยั และทกั ษะ (DIUS)12 จะรบั ผดิ ชอบในการนําและ
การบรหิ ารจดั การ “เครอื ขา่ ยวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลย”ี (FCO Science and
Innovation Network - SIN)3 ในอนาคต โดย DIUS กบั กระทรวงการต่างประเทศ
(FCO) จะรว่ มกนั ใหท้ นุ สนบั สนุนเครอื ขา่ ยน้ี และ DIUS จะเป็นเจา้ ภาพจดั ตงั้ ทมี
บรหิ ารจดั การซง่ึ ดงึ บคุ ลากรมาจากทงั้ DIUS กบั FCO เพอ่ื มาดแู ลการปฏบิ ตั งิ าน
ของเครอื ขา่ ยในต่างประเทศ
• ในชว่ งปี 2008 DIUS จะจดั ทาํ ยทุ ธศาสตรร์ ะดบั นานาชาตขิ น้ึ มา ซง่ึ จะเป็นการดงึ เอา
นโยบายทเ่ี ชอ่ื มโยงกนั ทงั้ หมดทงั้ ปวงทอ่ี ยใู่ นอาํ นาจของ DIUS มาบรู ณาการกนั ไม่
วา่ จะเป็นเรอ่ื งของอุดมศกึ ษาและการศกึ ษาต่อเน่ือง. ทกั ษะ, การวจิ ยั และนวตั กรรม
• เพอ่ื ใหส้ อดรบั กบั ยทุ ธศาสตรร์ ะดบั นานาชาติ คณะกรรมการยทุ ธศาสตรท์ าง
เทคโนโลยี (The Technology Strategy Board) จะพฒั นาแผนการตลาดเพอ่ื ชว่ ยให้
เกดิ การปรบั เปลย่ี นยกระดบั ความสามารถของธรุ กจิ องั กฤษในการแขง่ ขนั เพอ่ื ใหไ้ ด้
ทนุ สนบั สนุน (Grants) ตามกรอบของสหภาพยโุ รป (EU Framework Programme
7)
• ขณะเดยี วกนั คณะกรรมการยทุ ธศาสตรท์ างเทคโนโลยี (The Technology Strategy
Board) จะใหค้ าํ ปรกึ ษาชแ้ี นะแกร่ ฐั บาลเกย่ี วกบั โอกาสทอ่ี าจจะเกดิ ขน้ึ จากการนําเอา
กฎระเบยี บของสหภาพยโุ รปมากระตนุ้ นวตั กรรมทางธุรกจิ รวมทงั้ การนําเอาไป
ออกแบบโครงการตา่ งๆของคณะกรรมการยทุ ธศาสตรท์ างเทคโนโลยี
คนแห่งนวตั กรรม (Innovative people)
ดงั ทไ่ี ดเ้ คยกล่าวไวใ้ นบทความฉบบั กอ่ นๆแลว้ วา่ บรรดาความคดิ สรา้ งสรรคท์ งั้ หลาย สว่ น
ใหญ่แลว้ หาไดเ้ กดิ ขน้ึ มาจากเพยี งคนบางกลุ่มทม่ี แี รงบรรดาลใจหรอื มคี วามเป็นอจั ฉรยิ
P a g e | 177
ผดิ ปกตมิ นุษย์ ความคดิ ใหมๆ่ ทพ่ี ฒั นาจนเกดิ เป็นนวตั กรรมกเ็ ชน่ เดยี วกนั แทจ้ รงิ แลว้ สว่ น
ใหญ่แลว้ มที ม่ี าจากการทผ่ี คู้ นไดม้ ารว่ มกนั สรา้ งสรรค,์ รวบรวมและแลกเปลย่ี นความคดิ ซง่ึ
กนั และกนั ดงั นนั้ องั กฤษจงึ ตระหนกั ถงึ ความสาํ คญั ของการทจ่ี ะทาํ ใหป้ ระชาชนได้
ปลดปลอ่ ยความรคู้ วามสามารถ, พลงั งานอนั สรา้ งสรรค,์ และจนิ ตนาการของตนเองออกมา
เพราะสงิ่ เหลา่ น้นี ่แี หละทจ่ี ะทาํ ใหก้ ารสรา้ งสรรคน์ วตั กรรมเป็นไปไดอ้ ยา่ งเขม้ แขง็ และยงั่ ยนื
หากประชาชนชาวองั กฤษไดร้ บั การปลดปลอ่ ยใหก้ ลายเป็น “มนุษยแ์ หง่ นวตั กรรม”
(Innovative people) ผลทต่ี ามมากค็ อื คนเหล่าน้ีกจ็ ะมี “แรงผลกั ดนั ในตนเอง” (Self-
reinforcing) ธรุ กจิ เชงิ นวตั ตกรรมในปัจจุบนั ลว้ นเป็นองคก์ รทด่ี งึ ดดู ใจสาํ หรบั เหล่าแรงงานท่ี
มที กั ษะสงู และมคี วามคดิ สรา้ งสรรค์ และในทางกลบั กนั คนแหง่ นวตั กรรมกจ็ ะถกู ดงึ ใหไ้ ปมี
โอกาสทางวชิ าชพี ทต่ี ่นื เตน้ และทา้ ทาย ยงิ่ ไปกวา่ นนั้ คนกลมุ่ นกั สรา้ งนวตั กรรมมกั เป็น
ผสู้ รา้ งความรคู้ วามคดิ ใหมๆ่ ซง่ึ ตอ้ งการคนทม่ี ที กั ษะใหม้ าชว่ ยกนั นําเอานวตั กรรมไปใชห้ รอื
พฒั นาตอ่ ยอด
ในการทจ่ี ะทาํ ใหช้ าวองั กฤษมคี วามสามารถในเชงิ นวตั กรรมและประเทศองั กฤษจะสามารถ
ใชค้ นเหลา่ น้ีใหเ้ กดิ ประโยชน์สงู สดุ ได้ รฐั บาลองั กฤษมแี ผนการดงั น้ี:
• DIUS จะนําเอา The Leitch Review of Skills4 มาใชเ้ ป็นแนวทางในการยกระดบั
ทกั ษะของชาติ และเพม่ิ พนู โอกาสสาํ หรบั การสรา้ งสรรคน์ วตั กรรม รวมทงั้ นําเอา
ขอ้ เสนอแนะของ The Sainsbury review5 มาบรรจุไวใ้ นแผนยทุ ธศาสตรก์ ารปฏริ ปู
การศกึ ษา (FE reform)
• DIUS จะจดั ตงั้ สถาบนั พฒั นาทกั ษะแหง่ ชาติ National Skills Academy (NSA) อยา่ ง
น้อยทส่ี ดุ หน่ึงหน่วยในทกุ ๆภาคสว่ นเศรษฐกจิ ทส่ี าํ คญั ๆ และจะสง่ เสรมิ สนบั สนุนให้
อุตสาหกรรมและพน้ื ทท่ี เ่ี น้นนวตั กรรมเขา้ มารว่ มประมลู โดยรฐั บาลใหค้ วามสนใจท่ี
จะเหน็ แผนการจดั ตงั้ National Enterprise Academy โดยรฐั บาลจะทาํ งานรว่ มกบั
Peter Jones ในการพฒั นาแผนจดั ตงั้ National Skills Academy (NSA) และรว่ มกบั
James Dyson เพอ่ื จดั ตงั้ the Dyson School for Design Innovation.
P a g e | 178
• ในระยะเวลาอนั สนั้ น้ี DIUS จะตพี มิ พ์ “ยทุ ธศาสตรท์ กั ษะระดบั สงู ” (Higher Level
Skills Strategy) ซง่ึ จะเป็นเสมอื นกรอบโดยรวมทจ่ี ะขบั เคลอ่ื นยกระดบั ทกั ษะ
ระดบั สงู ทจ่ี ะมสี ว่ นสาํ คญั ตอ่ การสรา้ งสรรคน์ วตั กรรมในภาคธรุ กจิ
• รฐั บาลจะยงั คงสนบั สนุนโครงการ “ฝึกอบรมเพอ่ื สรา้ งรายได”้ (Train to Gain
programme) และโครงการการฝึกงาน (the Apprenticeship programme)
• หน่วยงาน Reformed Sector Skills Councils จะมงุ่ คน้ หาและกาํ หนด “ชอ่ งวา่ งทาง
ทกั ษะ” (skills gaps) ซง่ึ เป็นอปุ สรรคขดั ขวางการเกดิ นวตั กรรม
• คณะกรรมการดา้ นการจา้ งงานและทกั ษะ (UK Commission for Employment) ชุด
ใหมจ่ ะสง่ เสรมิ การทาํ งานทม่ี แี นวทางเน้นผลการปฏบิ ตั งิ านสงู (High Performance
Working practices) ทม่ี งุ่ สรา้ งมลู คา่ เพมิ่ ในธรุ กจิ
• รฐั บาลจะพฒั นากรอบการขยายและพฒั นาอดุ มศกึ ษาอยา่ งตอ่ เน่ือง และรอ้ งขอให้
the Higher Education Funding Council for England (HEFCE) ชว่ ยใหค้ าํ ปรกึ ษา
แนะแนววา่ ศนู ยอ์ ุดมศกึ ษาใหม่ 20 แหง่ (the 20 new HE centres) จะสามารถ
ปลดปล่อยศกั ยภาพของประชาชนและขบั เคลอ่ื นคนรนุ่ ใหมๆ่ อยา่ งไร
• BIS กบั the National Council of Graduate Entrepreneurship จะรว่ มกนั พฒั นา
“เครอื ขา่ ยกจิ การมหาวทิ ยาลยั ตามภมู ภิ าค” (regionally-based University
Enterprise Networks)
• DIUSจะทาํ งานรว่ มกบั กระทรวงยวุ ชน, โรงเรยี นและครอบครวั (Children, Schools
and Families - DCSF) เพอ่ื สง่ เสรมิ สนบั สนุนใหม้ กี ารเรยี นการสอนวชิ า STEM ให้
มากขน้ึ ในโรงเรยี น, วทิ ยาลยั และมหาวทิ ยาลยั
นวตั กรรมในบริการภาครฐั
นวตั กรรมในการบรกิ ารภาครฐั จะเป็นสงิ่ สาํ คญั ยงิ่ ต่อความสามารถขององั กฤษทจ่ี ะเผชญิ
ความทา้ ทายทางเศรษฐกจิ และสงั คมในครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี 21 การศกึ ษา, กฎหมาย, สขุ ภาวะ
และการคมนาคมขนสง่ ถอื เป็นปัจจยั พน้ื ฐานสาํ คญั สาํ หรบั กจิ กรรมทางนวตั กรรม สงิ่ เหล่าน้ี
P a g e | 179
จะตอ้ งมกี ารสง่ มอบอยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพและอยา่ งมจี นิ ตนาการเพอ่ื ตอบสนองตอ่ ความ
ตอ้ งการจากผใู้ ชบ้ รกิ ารภาครฐั ซง่ึ มแี ต่ปรมิ าณมากขน้ึ และมคี วามซบั ซอ้ นมากขน้ึ รฐั บาล
องั กฤษพยายามผลกั ดนั ใหเ้ กดิ นวตั กรรมในงานบรกิ ารภาครฐั โดยผา่ นการจดั สรรทรพั ยากร
และการปรบั โครงสรา้ งแรงจงู ใจ (Incentives) ปัจจยั ผลกั ดนั ทส่ี าํ คญั ๆ เชน่ ทศั นคตทิ ก่ี ลา้
เสย่ี ง, การจดั งบประมาณ, การตดิ ตามตรวจสอบ, การวดั ประเมนิ ผลการปฏบิ ตั งิ านและ การ
สรรหาบุคลากรจะตอ้ งไดร้ บั การจดั การใหไ้ ปในแนวทางเดยี วกนั เพอ่ื สนบั สนุนนวตั กรรม
นอกจากน้ี ดว้ ยการมภี าวะผนู้ ําทม่ี ปี ระสทิ ธภิ าพ กจ็ ะเป็นการเอาชนะเหนืออปุ สรรคทาง
วฒั นธรรมและสง่ิ จงู ใจ (Incentives) ทม่ี อี ยู่ บรรดาผทู้ ร่ี บั ผดิ ชอบการสง่ มอบบรกิ ารสาธารณะ
ยงั จะตอ้ งเรยี นรบู้ ทเรยี นของนวตั กรรมแบบเปิด (Open innovation) และนําเอาแนวทางการ
แกไ้ ขปัญหาเชงิ นวตั กรรมจากทงั้ ภาคเอกชนและภาคประชาสงั คมมาประยกุ ตใ์ ช้
เพอ่ื ทจ่ี ะเป็นการสรา้ งความมนั่ ใจวา่ การบรกิ ารภาครฐั ขององั กฤษมคี วามเป็นนวตั กรรมมาก
ทส่ี ดุ ในโลก:
• เพอ่ื ทจ่ี ะชว่ ยใหผ้ กู้ าํ หนดนโยบายมคี วามเขา้ ใจในระดบั ความเสย่ี งทย่ี อมรบั ไดใ้ นการ
จดั การและดาํ เนินการตามนโยบายเชงิ นวตั กรรม สาํ นกั งานตรวจสอบการเงนิ ภาครฐั
(National Audit Office: NAO) จะดาํ เนนิ การศกึ ษาบทบาทของความเสย่ี งในการ
กระตุน้ หรอื หยดุ ยงั้ นวตั กรรมในภาครฐั
• สถาบนั ซนั นงิ เดล (Sunningdale Institute)56 จะทาํ งานรว่ มกบั ภาคเี พอ่ื สรา้ งสรรค์
ศนู ยน์ วตั กรรมไวทฮ์ อลล์ (Whitehall Innovation Hub) อนั เป็นภาคคี วามรว่ มมอื ใหม่
ของบรรดาองคก์ รทจ่ี ะควา้ (capture) รวบรวมความรู้ และกระจายการเรยี นรเู้ กย่ี วกบั
นวตั กรรมภาครฐั
• NESTA (National Endowment for Science, Technology and the Arts)7 จะจดั ตงั้
หอ้ งแลป็ เพอ่ื ทดลองนวตั กรรมการบรกิ ารสาธารณะ (Public Services Innovation
Laboratory) โดยจะมกี ารทาํ งานอยา่ งเหมาะสมกบั บรรดาภาคี เชน่ มลู นิธคิ นหนุ่ม
สาว (the Young Foundation), หน่วยนวตั กรรม (The Innovation Unit), IDeA,
Design Council และ Innovation Exchange หอ้ งแลป็ จะทดลองวธิ กี ารใหมๆ่ ในอนั ท่ี
P a g e | 180
จะเปิดเผย, กระตนุ้ , บ่มเพาะ และประเมนิ ผลนวตั กรรมในภาครฐั ทส่ี ง่ ผลการ
เปลย่ี นแปลงอยา่ งลกึ ซง้ึ
• DIUS จะจดั ประชมุ รวบรวมเป็นเครอื ขา่ ยนวตั กร (a Network of Whitehall
Innovators) เพอ่ื แสดงใหเ้ หน็ ถงึ พนั ธผกู พนั ของผบู้ รหิ ารระดบั สงู ของรฐั บาล
• The Design Council จะพฒั นาและทดลองโปรแกรมเสรมิ สรา้ งนวตั กรรมเพอ่ื
ตอบสนองความตอ้ งการของผปู้ ฏบิ ตั งิ านในภาครฐั โดยใชต้ ามตวั แบบแนวทางของ
ภาคเอกชน
• DIUS พรอ้ มกบั สาํ นกั คณะรฐั มนตรี (the Cabinet office) จะพจิ ารณาคณุ คา่ ของ
“อาํ นาจทจ่ี ะสรา้ งนวตั กรรม” (power to innovate) ในการสรา้ งเสรมิ ขดี ความสามารถ
ของบคุ ลากรเพอ่ื แสวงหาแนวทางใหมๆ่ ของการสง่ มอบบรกิ ารทม่ี คี ณุ ภาพสงู ,
พืน้ ที่แห่งนวตั กรรม (Innovative Places)
ถงึ แมว้ า่ การสอ่ื สารจะแพรก่ ระจายไปในระดบั โลก แตน่ วตั กรรมยงั คงกระจกุ ตวั อยใู่ นเฉพาะ
บางพน้ื ท่ี ไมว่ า่ จะเป็นในเขตเมอื ง เขตชนบท ในเขตภมู ภิ าค หรอื ในระดบั ชาติ มใิ ชว่ า่ ความรู้
ทุกประเภทจะสามารถจบั มาจดั ใหเ้ ป็นชดุ เป็นรหสั ได้ (Codified) และไมใ่ ชว่ า่ เราจะชว่ ย
บรรดานวตั กรใหม้ ามปี ฏสิ มั พนั ธต์ อ่ กนั ไดง้ า่ ยๆ การ
จดั กลุ่มพน้ื ท่ี (Clusters) เป็นเรอ่ื งสาํ คญั เพราะจะทาํ ให้
องคก์ ารเชงิ นวตั กรรมสามารถทจ่ี ะอยใู่ กลช้ ดิ กบั แหลง่
ทส่ี าํ คญั เชน่ อยใู่ กลก้ บั ตลาดและลกู คา้ ซง่ึ จะทาํ ให้
องคก์ รสามารถคาดการณ์พยากรณ์ความตอ้ งการใน
อนาคตได้
ในประเทศองั กฤษ ผลงานการสรา้ งสรรคน์ วตั กรรมจะ
แตกตา่ งกนั อยา่ งมากในแตล่ ะพน้ื ท่ี ซง่ึ มนั จะสะทอ้ น
ออกมาถงึ ความเชย่ี วชาญชาํ นาญการและ
P a g e | 181
ประวตั ศิ าสตรท์ แ่ี ตกต่างกนั ออกไปในแต่ละพน้ื ทแ่ี ต่ละภาคสว่ น ตามปกตแิ ตเ่ ดมิ นโยบาย
ดา้ นนวตั กรรมขององั กฤษมกั จะมงุ่ เน้นไปทอ่ี ตุ สาหกรรมการผลติ ทใ่ี ชเ้ ทคโนโลยชี นั้ สงู และ
แน่นอนนโยบายเชน่ น้ยี งั คงมคี วามสาํ คญั แตท่ วา่ ในอนาคต ยทุ ธศาสตรน์ วตั กรรมตามพน้ื ท่ี
(Spatial innovation strategies) จะตอ้ งพฒั นาขน้ึ มาบนฐานความโดดเดน่ ทแ่ี ตกต่างกนั
ออกไปในแตล่ ะภมู ภิ าค (Region’s distinctiveness) ยงิ่ ไปกวา่ นนั้ ดว้ ยกระแสความเป็น
สากลของการผลติ ความรู้ (internationalisation of knowledge production) จะทาํ ใหห้ ลายๆ
ภมู ภิ าคขององั กฤษจะไมจ่ าํ เป็นตอ้ งพง่ึ พาแตก่ ารสรา้ งความรขู้ องตนเองเทา่ นนั้ แต่สามารถ
ซมึ ซบั รบั เอาความรมู้ าจากแหล่งอน่ื ๆได้ ดงั นนั้ เพอ่ื ทจ่ี ะทาํ ใหแ้ ตล่ ะพน้ื ทม่ี นี วตั กรรมทส่ี อด
รบั กบั คณุ ลกั ษณะของพน้ื ทแ่ี ละทาํ ใหท้ กุ พน้ื ทไ่ี ดร้ บั ประโยชน์จากเขา้ การเขา้ ถงึ นวตั กรรมทวั่
ทงั้ องั กฤษ
• DIUS จะสนบั สนุนใหเ้ กดิ ภาคคี วามรว่ มมอื ดา้ นนวตั กรรมขน้ึ มาใหม่ อนั จะเป็นการดงึ
เอาแหล่งทุน, มหาวทิ ยาลยั , ธรุ กจิ และองคก์ รปกครองสว่ นภมู ภิ าคมารว่ มกนั พฒั นา
แนวทางการแกไ้ ขปัญหาเชงิ นวตั กรรม (Innovative solutions) ทต่ี อบสนองตอ่ ปัญหา
ขอ้ ทา้ ทายในระดบั ภมู ภิ าคและระดบั ทอ้ งถน่ิ
• คณะกรรมการยทุ ธศาสตรท์ างเทคโนโลยแี หง่ ชาติ รว่ มกบั องคก์ รพฒั นาสว่ นภมู ภิ าค
(Regional Development Agencies – RDAs)8 จะรว่ มกนั กาํ หนดยทุ ธศาสตรใ์ หไ้ ป
ในแนวทางเดยี วกนั และจะรว่ มกนั จดั สรรทุนจาํ นวน 180 ลา้ นปอนดเ์ สตอรงิ สาํ หรบั
การวจิ ยั ทางเทคโนโลยแี ละนวตั กรรม
• เพอ่ื ทจ่ี ะพฒั นา “ดชั นีชว้ี ดั นวตั กรรม” NESTA จะรว่ มกบั RDAs และ Das รวมทงั้
ศนู ยว์ จิ ยั นวตั กรรม ทาํ การสาํ รวจศกึ ษาขอบขา่ ยสาํ หรบั การวดั นวตั กรรมในระดบั
ภมู ภิ าคซง่ึ จะทาํ ใหเ้ หน็ แบบแผนนวตั กรรมในระดบั พน้ื ทท่ี แ่ี ตกต่างกนั ออกไป
• DIUS จะรว่ มกบั RDAs, คณะกรรมการยทุ ธศาสตรท์ างเทคโนโลย,ี และหน่วยงาน
องคก์ รสว่ นทอ้ งถนิ่ และภาคอี น่ื ๆ เชน่ ธุรกจิ เอกชนและมหาวทิ ยาลยั มารว่ มกนั จดั
วางโปรแกรมการพฒั นานวตั กรรมทงั้ ในระดบั ภมู ภิ าคและระดบั ชาตใิ หส้ อดคลอ้ งไป
ในแนวทางเดยี วกนั และ เมอ่ื ใดทเ่ี หน็ วา่ เหมาะสม กจ็ ะมกี ารใชข้ อ้ ตกลงรว่ มกนั จาก
P a g e | 182
หลายๆพน้ื ท่ี (Multi-area agreements) มาสนบั สนุนสง่ เสรมิ นวตั กรรมขา้ มระหวา่ ง
บรรดาหน่วยงานและองคก์ รบรหิ ารสว่ นทอ้ งถน่ิ
บทเรียนท่ีต้องเรียนรจู้ ากองั กฤษ
สาระสาํ คญั ขา้ งตน้ ลว้ นแลว้ แตเ่ ป็นเน้อื หาทผ่ี เู้ ขยี นไดร้ บั จากการอา่ น “รายงานปกขาว” (The
White Paper) เรอ่ื ง “ชาตนิ วตั กรรม” (The Innovation Nation) ของประเทศองั กฤษ ผเู้ ขยี น
ขอย้าํ วา่ การนําเอาเน้ือหาสาระจากรายงานปกขาวมาถ่ายทอดน้ี มจี ุดประสงคเ์ พอ่ื ใหเ้ หน็
แบบอยา่ ง แนวคดิ และแนวทางของประเทศชนั้ นําในการพฒั นาประเทศสกู่ ารธาํ รงรกั ษา
ความเป็นประเทศชนั้ นําในอนาคต แตผ่ เู้ ขยี นมไิ ดต้ อ้ งการใหป้ ระเทศไทยลอกเลยี นแบบหรอื
เอาตามประเทศชนั้ นําน้ีเสยี ทงั้ หมด ในขณะทป่ี ระเทศไทยกาํ ลงั พดู ถงึ นโยบายเศรษฐกจิ
สรา้ งสรรคแ์ ละชาวไทยทุกคนต่างกต็ อ้ งการนําพาประเทศใหห้ ลุดพน้ จากความมดื มนใน
ปัจจบุ นั ไปสแู่ สงสวา่ งทป่ี ลายอโุ มงในอนาคต ผเู้ ขยี นไดพ้ อมองเหน็ “แสงสวา่ งวาบ”ขน้ึ มา
บา้ งในบางประเทศ จงึ ไดน้ ํามานําเสนอใหผ้ อู้ ่านไดพ้ อมองเหน็ เป็นแนวทางการเรยี นรสู้ าํ หรบั
การพฒั นาประเทศไทยของเรา
แลว้ อะไรคอื สงิ่ ทเ่ี ราควรเรยี นรจู้ ากประเทศองั กฤษบา้ ง? ผเู้ ขยี นเหน็ วา่ เราไดเ้ รยี นรวู้ า่ ...
• การมวี สิ ยั ทศั น์แหง่ อนาคตและมนี โยบายทช่ี ดั เจนและชาญฉลาดของรฐั บาลคอื ปัจจยั
สาํ คญั ของประเทศชาติ รวมทงั้ สะทอ้ นถงึ ความมงุ่ มนั่ ของผบู้ รหิ าร โดยเฉพาะอยา่ ง
ยงิ่ ของรฐั บาล
• การปรบั เปลย่ี นกระบวนทศั น์ (Paradigm shift) วา่ ดว้ ย “นวตั กรรม” เป็นสงิ่ สาํ คญั
ประเทศองั กฤษคอื ตวั อยา่ งของการปรบั เปลย่ี นแนวความคดิ ...
o จากเดมิ เป็นแนวคดิ “นวตั กรรมแบบไรท้ ศิ ทาง” (Supply-led innovation) ไปสู่
แนวคดิ “นวตั กรรมทม่ี งุ่ ตอบสนองอปุ สงค”์ (Demand-led innovation)
P a g e | 183
o จากการพฒั นา “นวตั กรรมแบบปิด” (Closed innovation) ไปสกู่ ารพฒั นา
สรา้ งสรรค์ “นวตั กรรมแบบเปิดกวา้ ง” (Open innovation)
o จากการพฒั นา “นวตั กรรมแบบลกู ทงุ่ ” (Localized Innovation) ไปสกู่ าร
พฒั นา “นวตั กรรมใหเ้ ป็นสากล” (International innovation)
• องั กฤษไดแ้ สดงใหเ้ หน็ ถงึ “แบบอยา่ ง” ของประเทศบนฐานความรู้ (Knowledge-
based Nation) กล่าวคอื เมอ่ื องั กฤษตงั้ ใจจะขบั เคลอ่ื นการพฒั นาประเทศไปทางไหน
ประเทศน้จี ะตอ้ งมกี ารศกึ ษา วจิ ยั สาํ รวจ ทบทวนอยา่ งมหี ลกั วชิ าการ เตม็ ไปดว้ ย
สารสนเทศและองคค์ วามรอู้ ยา่ งเขม้ ขน้ ดงั จะเหน็ ไดว้ า่ ในรายงานปกขาวน้ี จะมกี าร
กล่าวถงึ รายงานหรอื Review ฉบบั ตา่ งๆ ทม่ี ผี เู้ ชย่ี วชาญทาํ การศกึ ษาในประเดน็ ดา้ น
ต่างๆ เชน่ รายงานวา่ ดว้ ยแนวโน้มอุตสาหกรรมในอนาคต รายงานวา่ ดว้ ยทกั ษะท่ี
สาํ คญั ต่อประเทศในอนาคต รายงานวา่ ดว้ ยเทคโนโลยแี ละนวตั กรรมในอนาคต เป็น
ตน้ โดยรายงานเหล่าน้ีกจ็ ะมกี ารนําเสนอแนวทางทส่ี ามารถนําไปดาํ เนินการพฒั นา
ตอ่ ได้
• ความน่าสนใจยง่ิ ในรายงานปกขาวคอื รปู แบบการทาํ งานของหน่วยงานภาครฐั ของ
องั กฤษจะเตม็ ไปดว้ ยการประสานงาน การทาํ งานรว่ มกนั การรว่ มกนั สนบั สนุนทาง
การเงนิ การรว่ มกนั เป็นเจา้ ภาพของหน่วยราชการ กระทรวงต่างๆและภาคที ่ี
เกย่ี วขอ้ งทงั้ ภาครฐั อ่นื ๆ ภาคเอกชน และภาคประชาสงั คม น่ีคอื บทเรยี นสาํ คญั
โดยเฉพาะหน่วยงานภาครฐั (และภาคการเมอื ง) ของประเทศไทยทต่ี อ้ งตระหนกั วา่
หากรฐั บาลไทยจะกา้ วไปสกู่ ารพฒั นาเศรษฐกจิ เชงิ สรา้ งสรรคห์ รอื เชงิ นวตั กรรม เรา
จะสามารถทาํ งานขา้ มกรมขา้ มกระทรวงไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ...ไดห้ รอื ไม?่
• ในการพฒั นา “ชาตนิ วตั กรรม” ประเทศองั กฤษใหค้ วามสาํ คญั อยา่ งครบถว้ นทกุ มติ ิ
ไดแ้ ก่
P a g e | 184
o ปรบั แนวคดิ การพฒั นานวตั กรรมทม่ี ที งั้ คณุ คา่ และมลู คา่ นนั่ คอื การสง่ เสรมิ
การพฒั นานวตั กรรมทส่ี ามารถสรา้ งรายไดท้ างธุรกจิ (Business innovation)
o นวตั กรรมจะเกดิ ขน้ึ ได้ ตอ้ งสง่ เสรมิ ใหป้ ระเทศมโี ครงสรา้ งพน้ื ฐานทางการวจิ ยั
ทเ่ี ขม้ แขง็ (Strong research base) โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ หอ้ งแลป็ และการวจิ ยั
ในสถาบนั อดุ มศกึ ษาคอื ฐานการพฒั นานวตั กรรมทส่ี าํ คญั
o นวตั กรรมเกดิ ขน้ึ ไดก้ ต็ ่อเมอ่ื มนุษยม์ จี ติ วญิ ญาณของนวตั กรรม ดงั นนั้ จงึ ตอ้ ง
พฒั นาคนใหเ้ ป็น Innovative people
o นวตั กรรมจะเกดิ ขน้ึ ได้ การลงทนุ ดา้ นนวตั กรรมจะเกดิ ขน้ึ ได้ และคนทม่ี ี
ความสามารถทางนวตั กรรมจะมาทาํ งานอยา่ งแขง็ ขนั กต็ อ่ เมอ่ื ประเทศ
องั กฤษมสี ภาพแวดลอ้ มทเ่ี ออ้ื ดงั นนั้ พน้ื ทเ่ี ชงิ นวตั กรรม (Innovative places)
จงึ เป็นแมเ่ หลก็ ทส่ี าํ คญั
o ประการสดุ ทา้ ย ภาครฐั คอื สว่ นสาํ คญั ของนวตั กรรมทม่ี กั จะถกู มองขา้ ม
แทจ้ รงิ แลว้ นวตั กรรมในภาครฐั (Innovation in Public sector) มคี วามสาํ คญั
ยงิ่ เพราะนวตั กรรมของภาครฐั ยอ่ มสง่ ผลต่อการบรกิ ารประชาชนสว่ นใหญ่
ของประเทศ หากมกี ารพฒั นานวตั กรรมในงานบรกิ ารภาครฐั ยอ่ มหมายถงึ
การปรบั แนวทางแกไ้ ขปัญหาของประชาชนใหท้ นั สมยั อยตู่ ลอดเวลา และท่ี
สาํ คญั ยงิ่ กค็ อื หากภาครฐั จดั ซอ้ื นวตั กรรมทผ่ี ลติ ในประเทศ นนั่ ยอ่ มหมายถงึ
เงนิ ทนุ กอ้ นใหญ่ทส่ี นบั สนุนการพฒั นานวตั กรรมในประเทศนนั่ เอง
1 นวตั กรรมแบบเปิดกวา้ ง (Open innovation) เป็นแนวคดิ ทส่ี าํ คญั ของศาสตราจารยเ์ ฮนร่ี เชสโบร
(Henry Chesbrough) แหง่ มหาวทิ ยาลยั แคลฟิ อรเ์ นีย เบอรค์ เลย์ ศ.เชสโบรเหน็ วา่ ในโลกทม่ี กี าร
เปลย่ี นแปลงและแขง่ ขนั อยา่ งเขม้ ขน้ การพฒั นานวตั กรรมทอ่ี ยบู่ นพน้ื ฐานการวจิ ยั และพฒั นาภายใน
องคก์ รของตนเองแต่เพยี งอยา่ งเดยี วถอื เป็นการไมเ่ พยี งพอ ดงั นนั้ บรษิ ทั ควรขจดั พรมแดนขวางกนั้
ระหวา่ งความคดิ สรา้ งสรรคแ์ ละผลการวจิ ยั และพฒั นาจากภายในกบั ภายนอกองคก์ าร การเปิดกวา้ ง การ
P a g e | 185
สรา้ งเครอื ขา่ ยและการทาํ งานรว่ มกนั ขา้ มองคก์ รจงึ เป็นหวั ใจสาํ คญั ของนวตั กรรมแบบเปิดกวา้ ง อ่านดู
รายละเอยี ดใน Chesbrough, H.W. (2003). Open Innovation: The new imperative for creating and
profiting from technology. Boston: Harvard Business School Press
2 ในบทความตอนทแ่ี ลว้ ผเู้ ขยี นไดก้ ล่าวไวแ้ ลว้ วา่ กระทรวงแหง่ น้ี (DIUS)ไดถ้ กู ควบรวมเขา้ กบั กระทรวง
ธรุ กจิ , กจิ การและการปฏริ ปู กฎระเบยี บ (Department for Business, Enterprise and Regulatory
Reform - BERR) แลว้ ตงั้ เป็นกระทรวงใหมช่ อ่ื “กระทรวงธรุ กจิ , นวตั กรรมและทกั ษะ” (Department for
Business, Innovation and Skills - BIS) ในปัจจบุ นั ดงั นนั้ หากขอ้ ความใดในบทความน้กี ล่าวถงึ DIUS
นนั่ ยอ่ มหมายถงึ BIS ในความเป็นจรงิ ในปัจจบุ นั
3 “เครอื ขา่ ยวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลย”ี (Science and Innovation Network – SIN) เป็นเครอื ขา่ ยท่ี
กอ่ ตงั้ ขน้ึ มาโดยกระทรวงการตา่ งประเทศแหง่ ประเทศองั กฤษ (Foreign and Commonwealth Office –
FCO) เมอ่ื ปี ค.ศ. 2000 มวี ตั ถุประสงคเ์ พอ่ื ตอบสนองรองรบั ตอ่ ความสาํ คญั ทเ่ี พม่ิ มากขน้ึ ของ
วทิ ยาศาสตร,์ เทคโนโลยี และนวตั กรรม ปัจจบุ นั เครอื ขา่ ย SIN มี 39 ภารกจิ และมบี ุคลากรทป่ี ฏบิ ตั งิ าน
มงุ่ มนั่ ตามพนั ธกจิ เหล่านนั้ อยใู่ น 29 ประเทศทวั่ โลก โดยพน้ื ฐานแลว้ เครอื ขา่ ย SIN เป็นการ
ประสานงานกนั ระหวา่ ง BIS กบั FCO และยงั ทาํ งานรว่ มกนั กบั สาํ นกั งานวทิ ยาศาสตร์ (The
Government Office for Science) และหวั หน้าทป่ี รกึ ษาดา้ นวทิ ยาศาสตร์ (The Chief of Scientific
Adviser) ของรฐั บาล การทาํ งานมกั จะผา่ นทางสถานฑตู และสถานกงศลุ ในต่างประเทศ รวมทงั้ เครอื ขา่ ย
อ่นื ๆทส่ี าํ คญั เชน่ บรติ ชิ เคาน์ซลิ (British council) และกระทรวงพาณิชยแ์ ละการลงทุน (UKTI)
4 Leitch Review of Skills คอื รายงานเกย่ี วกบั ทกั ษะทจ่ี าํ เป็นสาํ หรบั ประเทศองั กฤษ โดยรฐั บาลองั กฤษ
ไดใ้ หท้ นุ สนบั สนุนแก่ลอรด์ แซนด้ี ลที ช์ (Lord Sandy Leitch) ในการจดั ทาํ รายงานการศกึ ษาสาํ รวจ
อยา่ งอสิ ระ เพอ่ื นําเสนอวา่ ทกั ษะอะไรทจ่ี าํ เป็นสาํ หรบั ประเทศองั กฤษในระยะยาว ขอ้ ตกลงตามสญั ญา
การทาํ รายงานฉบบั น้ีระบุวา่ Lord Leitch จะตอ้ งนําเสนอรายงานวา่ ดว้ ยชุดของทกั ษะทจ่ี าํ เป็นทจ่ี ะทาํ ให้
องั กฤษในปี 2020 สามารถเจรญิ รุง่ เรอื ง มผี ลติ ภาพและก่อใหเ้ กดิ ความยตุ ธิ รรมทางสงั คมได้
5 The Sainsbury Review เป็นรายงานชน้ิ สาํ คญั ทล่ี อรด์ เซนสเ์ บอรแ่ี หง่ เทอรว์ ลิ ล์ (Turville)
ทาํ การศกึ ษาทบทวนระบบวทิ ยาศาสตรแ์ ละนวตั กรรมของประเทศองั กฤษ และยงั นําเสนอบทบาทของ
วทิ ยาศาสตรแ์ ละนวตั กรรมทจ่ี ะทาํ ใหป้ ระเทศองั กฤษยงั คงมขี ดี ความสามารถในการแขง่ ขนั ไดใ้ นโลกยคุ
เศรษฐกจิ โลกาภวิ ฒั น์ รฐั บาลองั กฤษใหค้ วามสาํ คญั กบั รายงานฉบบั น้มี ากโดยไดอ้ นุมตั ทิ ุนสนบั สนุน
โครงการทางวทิ ยาศาสตรแ์ ละนวตั กรรมทด่ี าํ เนินการตามแนวทางของรายงานฉบบั น้ี
P a g e | 186
6 สถาบนั ซนั นงิ เดลคอื สถาบนั เสมอื นจรงิ (Virtual academy) ทร่ี วบรวมเอาบรรดานกั คดิ ชนั้ นําดา้ นการ
บรหิ ารจดั การองคก์ รภาครฐั จากองั กฤษ ยโุ รปและอเมรกิ าเหนือมาเป็นเสมอื นทป่ี รกึ ษาในการพฒั นา
ระบบราชการองั กฤษ โดยมเี ลขาธกิ ารคณะรฐั มนตรเี ป็นประธานของสถาบนั และผอู้ าํ นวยการสถาบนั
(Chairman) คอื ศาสตราจารยแ์ คร่ี คเู ปอร์ จากมหาวทิ ยาลยั แลงคาสเตอร์ สถาบนั แหง่ น้ีมงุ่ หวงั ทจ่ี ะ
เชอ่ื มโยงเอาแนวคดิ ทท่ี นั สมยั ระดบั สงู มาชว่ ยชแ้ี นะแนวทางการทาํ งานการบรกิ ารของหน่วยงานภาครฐั
ดงั นนั้ หน่วยงานแหง่ น้ีจงึ เป็นเสมอื นทป่ี รกึ ษาซง่ึ หน่วยงานภาครฐั สามารถใชบ้ รกิ ารไดใ้ นอตั ราราคาท่ี
เหมาะสมกบั หน่วยงานภาครฐั
7 NESTA เป็นหน่วยงานทม่ี หี น้าทใ่ี นการรว่ มคดิ ทาํ วจิ ยั แลว้ เสนอเน้อื หาตรงใหก้ บั รฐั บาลเพอ่ื
ประกอบการกาํ หนดนโยบายดา้ นการรงั สรรคน์ วตั กรรม NESTA มบี ทบาทสาํ คญั ในการสนบั สนุนใหค้ น
องั กฤษคดิ รเิ รม่ิ โครงการดา้ นนวตั กรรม หน่วยงานแหง่ น้ี ถอื กาํ เนิดขน้ึ จากกฎหมายรายไดข้ องรฐั บาล
ทม่ี าจากพรรคแรงงานเมอ่ื สบิ ปีทแ่ี ลว้ กอ่ ตงั้ โดยเงนิ ทไ่ี ดม้ าจากสลากกนิ แบง่ รฐั บาลจาํ นวนเงนิ 300 ลา้ น
ปอนด์ NESTA จงึ มรี ายไดจ้ ากดอกเบย้ี ทาํ ใหเ้ ป็นองคก์ รท่ี
พง่ึ ตวั เองได้ กาํ หนดกลยทุ ธเ์ องไดแ้ ละไมต่ อ้ งทาํ ตามทร่ี ฐั บาลกาํ หนด
8 Regional Development Agencies (RDAs) เป็นหน่วยงานทม่ี พี นั ธกจิ ทจ่ี ะกระจายโอกาสและความ
เจรญิ ทางเศรษฐกจิ และสงั คมสปู่ ระชาชนใน 9 ภมู ภิ าคของประเทศองั กฤษ โดยใชแ้ นวทางทม่ี งุ่ เน้นธุรกจิ
RDAs จงึ เป็นหน่วยงานทเ่ี ปรยี บเสมอื นผนู้ ําเชงิ กลยทุ ธ (Strategic leader) คอื กาํ หนดทศิ ทางเชงิ
ยทุ ธศาสตรส์ าํ หรบั การพฒั นาเศรษฐกจิ โดยมกี ารระดมทศั นะความคดิ เหน็ ของประชาชนทท่ี าํ งานอยใู่ น
แตล่ ะภมู ภิ าค ผสานเขา้ กบั การพฒั นาธุรกจิ และเศรษฐกจิ ในแต่ละพน้ื ท่ี จดุ มงุ่ หมายคอื การสรา้ งความ
จาํ เรญิ ทางเศรษฐกจิ และชวี ติ ทด่ี ขี องทกุ ภมู ภิ าค และการพยายามป้องกนั ไมใ่ หเ้ กดิ ชอ่ งวา่ งของระดบั การ
เตบิ โตทแ่ี ตกต่างกนั ในแตล่ ะภมู ภิ าค การก่อตงั้ RDAs เกดิ ขน้ึ เมอ่ื ปี 1999 ตอ่ มาในปี 2000 จงึ มกี าร
ก่อตงั้ องคก์ รการพฒั นาลอนดอน (London Development Agency)
P a g e | 187
ถอดรหสั “พระมหาชนก” จากมมุ มองด้านการพฒั นามนุษยแ์ ละองคก์ าร
อจั ฉริยภาพอนั สรา้ งสรรคข์ องพระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยหู่ วั 01
ผศ.ดร.สมบตั ิ กสุ มุ าวลี
คณะพฒั นาทรพั ยากรมนุษย์ นิดา้
“พระมหาชนก” ถอื เป็นพระราชนพิ นธช์ น้ิ สาํ คญั ชน้ิ หน่ึงของพระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหาภมู พิ ลอ
ดุลยเดช ทไ่ี ดร้ บั ความชน่ื ชมและยกยอ่ งทงั้ ในแงข่ องคุณคา่ ความงดงามทางภาษา คุณคา่ ในเชงิ คตธิ รรม
และการนําไปตคี วามในสาขาวชิ าการดา้ นต่างๆ อยา่ งกวา้ งขวาง สาํ หรบั บทความชน้ิ น้ี เป็นความ
พยายามของผเู้ ขยี นทจ่ี ะ “อา่ นและตคี วาม” คณุ คา่ ของพระราชนิพนธ์ “พระมหาชนก” จากมมุ มองเลก็ ๆ
ของนกั วชิ าการดา้ นการพฒั นาทรพั ยากรมนุษยแ์ ละองคก์ ารคนหน่งึ ซง่ึ ตอ้ งการใชส้ ตปิ ัญญาเทา่ ทพ่ี งึ จะมี
สะทอ้ นใหเ้ หน็ ถงึ แนวคดิ ดา้ นการพฒั นาทรพั ยากรมนุษยแ์ ละองคก์ ารอนั ยงิ่ ใหญ่ทบ่ี รรจุอยา่ งลกึ ซง้ึ อยใู่ น
วรรณกรรมเพชรน้ําเอกชน้ิ น้ี โดยผเู้ ขยี นตอ้ งการชใ้ี หเ้ หน็ วา่ พระราชนิพนธ์ “พระมหาชนก” ถอื เป็น
หนงั สอื ตาํ ราชน้ิ เอกทแ่ี สดงใหเ้ หน็ ถงึ แนวคดิ การพฒั นาทรพั ยากรมนุษยแ์ ละองคก์ ารของพระบาทสมเดจ็
พระเจา้ อยหู่ วั ไวท้ งั้ อยา่ ง “ชดั เจน” และท่ี “ซ่อนเรน้ แนบนยั ” ซง่ึ ตอ้ งใชส้ ตปิ ัญญาในการอ่านและตคี วาม
อยา่ งแยบคาย
ทาํ ความรจู้ กั กบั “พระมหาชนก”
พระราชนพิ นธเ์ รอ่ื ง “พระมหาชนก” จดั พมิ พแ์ ละจดั จาํ หน่ายครงั้ แรกเป็น “ฉบบั ปกแขง็ ” เมอ่ื
เดอื นมถิ ุนายน พ.ศ. 2539 ในโอกาสเฉลมิ ฉลองกาญจนาภเิ ษกแหง่ รชั กาล ต่อมาจงึ จดั พมิ พเ์ ป็น “ฉบบั
ปกออ่ น” เป็นครงั้ แรกเมอ่ื เดอื นมกราคม พ.ศ. 2540 และพมิ พค์ รงั้ ท่ี 2 เมอ่ื เดอื นมถิ ุนายน พ.ศ. 2549
อยา่ งไรกต็ าม เมอ่ื พ.ศ. 2542 เน่ืองในโอกาสมหามงคลเฉลมิ พระชนมพรรษาครบ 6 รอบ ทรงพระ
กรณุ าโปรดเกลา้ โปรดกระหมอ่ มใหพ้ มิ พพ์ ระราชนพิ นธเ์ รอ่ื ง “พระมหาชนก ฉบบั การต์ นู ”
สาํ หรบั บทความชน้ิ น้ี ผเู้ ขยี นใชพ้ ระราชนพิ นธเ์ รอ่ื ง “พระมหาชนก: The story of Mahajanaka”
ฉบบั พมิ พค์ รงั้ ท่ี 2 เป็นเอกสารประกอบและการตคี วามในเชงิ วชิ าการในครงั้ น้ี
สาํ หรบั ผอู้ ่านทย่ี งั ไมค่ นุ้ เคยกบั พระราชนิพนธน์ ้ี พงึ ทราบถงึ ทม่ี าทไ่ี ปของหนงั สอื เล่มน้ีเสยี กอ่ น
โดยพจิ ารณาจาก “พระราชปรารภ” ทป่ี รากฏอยใู่ นสว่ นแรกสดุ ของหนงั สอื โดยมเี น้อื ความวา่
187
P a g e | 188
“เมอ่ื พ.ศ. ๒๕๒๐ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ทรงสดบั พระธรรมเทศนาของสมเดจ็
พระมหาวรี วงศ์ (วนิ ธมฺมสาโร มหาเถร) วดั ราชผาตกิ าราม เรอ่ื งพระมหาชนกเสดจ็
ทอดพระเนตรพระราชอทุ ยาน ในกรุงมถิ ลิ า. เรอ่ื งมใี จความวา่ ทท่ี างเขา้ สวนหลวงมี
ตน้ มะมว่ งสองตน้ ตน้ หน่งึ มผี ล อกี ตน้ หน่งึ ไมม่ ผี ล ทรงลม้ิ รสมะมว่ งอนั โอชา แลว้
เสดจ็ เยย่ี มอทุ ยาน. เมอ่ื เสดจ็ กลบั ออกจากสวนหลวง ทอดพระเนตรเหน็ ตน้ มะมว่ งทม่ี ี
ผลรสดถี กู ขา้ ราชบรพิ ารดงึ ทง้ื จนโคน่ ลง สว่ นตน้ ทไ่ี มม่ ลี กู กย็ งั คงตงั้ อยตู่ ระหงา่ น
แสดงวา่ สง่ิ ใดดี มคี ุณภาพ จะเป็นเป้าหมายของการยอ้ื แยง่ และจะเป็นอนั ตรายใน
ทา่ มกลางผทู้ ข่ี าดปัญญา.
พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ทรงสนพระราชหฤทยั จงึ ทรงคน้ เรอ่ื งพระมหาชนก
ในพระไตรปิฎก (พระสตุ ตนั ตปิฎก ขทุ ทกนิกายชาดก เล่มท่ี ๔ ภาคท่ี ๒) และทรง
แปลเป็นภาษาองั กฤษ ตรงจากมหาชาดก ตงั้ แตต่ น้ เรอ่ื ง โดยทรงดดั แปลง
เลก็ ๆน้อยๆ เพอ่ื ใหเ้ ขา้ ใจงา่ ยขน้ึ
พระมหาชนกบาํ เพญ็ วริ ยิ บารมที ไ่ี มห่ วงั ผลตอบแทนใดๆ จนกระทงั่ ไดท้ รง
ครองราชสมบตั ิ และนําความเจรญิ มงั่ คงั่ แกก่ รุงมถิ ลิ าดว้ ยพระปรชี าสามารถ”12
จะเหน็ ไดจ้ ากขอ้ ความในพระราชปรารภวา่ พระมหาชนกถอื เป็น “มหาชาดก” ซง่ึ เป็นสว่ นหน่ึง
อยใู่ น “พระไตรปิฎก” พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ไดท้ รงใชค้ วามวริ ยิ ะในการศกึ ษาคน้ ควา้ จากตน้
ตาํ รบั แลว้ ทรงดดั แปลงเป็นพระราชนพิ นธท์ งั้ ในภาษาไทยและภาษาองั กฤษเพอ่ื ใหบ้ คุ คลทวั่ ไปทงั้ ไทย
และสากลไดอ้ า่ นและเรยี นรจู้ ากมหาชาดกน้ี
มปี ราชณ์ผรู้ ใู้ นอดตี เคยกลา่ วถงึ เรอ่ื งน้ไี ว้ อาทิ พลตรหี ลวงวจิ ติ รวาทการ23เคยกลา่ วถงึ ในเชงิ ยก
ยอ่ ง “มหาชนก” วา่ เป็นเรอ่ื งหน่ึงท่ี “ไพเราะงดงามอยา่ งยงิ่ ” ในบรรดาวรรณคดชี าดกทงั้ หลาย
“เป็นเรอ่ื งแสดงวริ ยิ ะ คอื ความมานะพยายามและเนกขมั มะ คอื ความเสยี สละละทง้ิ
ความสขุ สมบรู ณ์ เขา้ ไปบาํ เพญ็ พรต...”34
“วรรณคดชี าดก” หรอื “ทศชาตชิ าดก” คอื เรอ่ื งราวการบาํ เพญ็ เพยี รบารมขี องพระพทุ ธเจา้ เมอ่ื
ครงั้ เสวยชาตเิ ป็นพระโพธสิ ตั วใ์ นอดตี “สบิ ชาต”ิ กอ่ นทพ่ี ระองคจ์ ะทรงประสตู ใิ นชาตสิ ดุ ทา้ ยเป็นเจา้ ชาย
สทิ ธตั ถะและตรสั รเู้ ป็นสมเดจ็ พระสมั มาสมั พธุ เจา้ ไดใ้ นทส่ี ดุ คนไทยสมยั ก่อนจาํ ชอ่ื ชาดกเหล่าน้ไี ดข้ น้ึ ใจ
โดยยอ่ ชอ่ื เป็น “หวั ใจ” ใหจ้ าํ งา่ ยวา่ “เต ช สุ เน ม ภู จ นา วิ เว” เรยี กวา่ “หวั ใจพระเจา้ สบิ ชาต”ิ ชาดก
ทงั้ สบิ เรอ่ื งน้ีถอื เป็น “ยอดของวรรณคดชี าดก”45 สาํ หรบั การบาํ เพญ็ เพยี รบารมใี นอดตี “สบิ ชาต”ิ ของพระ
188
P a g e | 189
โพธสิ ตั ว์ ในแตล่ ะชาตจิ ะมี “คตธิ รรม” ทแ่ี ตกต่างกนั ออกไป ทเ่ี ดน่ ๆและมกั เป็นทร่ี จู้ กั กนั เชน่ พระ
เวสสนั ดรชาดก เป็นวรรณคดชี าดกทม่ี คี ตธิ รรมเรอ่ื งการทรงบาํ เพญ็ ทานบารมี คอื การใหท้ าน สาํ หรบั
“มหาชนกชาดก” มคี ตธิ รรมอนั โดดเดน่ ในเรอ่ื งของการทรงบาํ เพญ็ วริ ยิ บารมี คอื มคี วามพากเพยี ร
พยายาม ไมท่ อ้ ถอย เป็นตน้
พระราชนิพนธ์ “พระมหาชนก” กบั แนวคิดการพฒั นามนุษยแ์ ละองคก์ าร
สมเดจ็ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั เมอ่ื ไดท้ รงสดบั พระธรรมเทศนาชาดกเรอ่ื งน้แี ลว้ ไดท้ รง
บาํ เพญ็ วริ ยิ ะศกึ ษาคน้ ควา้ , แปลและดดั แปลงเป็นพระราชนพิ นธเ์ รอ่ื ง “พระมหาชนก” ดว้ ยภาษาทง่ี า่ ย
ขน้ึ แตว่ จิ ติ รงดงามยง่ิ แลเมอ่ื ผเู้ ขยี น – ในฐานะของนกั วชิ าการดา้ นการพฒั นาทรพั ยากรมนุษยแ์ ละ
องคก์ าร – ไดอ้ า่ นดว้ ยความประทบั ใจทงั้ ในสนุ ทรยี รสทางภาษาอนั อลงั การ (ทงั้ ภาษาไทยและองั กฤษ),
ความวจิ ติ รพสิ ดารของภาพประกอบ แลว้ พนิ ิจพเิ คราะหต์ วั บทเน้อื หาของหนงั สอื เล่มน้ผี า่ นเลนสข์ อง
วชิ าการดา้ นการพฒั นามนุษยแ์ ละองคก์ าร และดว้ ยสตปิ ัญญาอนั จาํ กดั ของผเู้ ขยี นเอง ผเู้ ขยี นพบวา่ ตวั
บทพระราชนพิ นธ์ “พระมหาชนก” มกี ลวธิ กี ารเขยี นและการนําเสนอทซ่ี ่อนเรน้ “คตธิ รรม” อนั จะเป็น
ประโยชน์สาํ หรบั การพฒั นาทรพั ยากรมนุษยแ์ ละองคก์ รไวอ้ ยา่ งแยบยลยง่ิ นกั โดยในทน่ี ้ี ผเู้ ขยี นจะขอ
นําเสนอคตธิ รรมสาํ หรบั วชิ าการและเป็นแนวปฏบิ ตั สิ าํ หรบั แวดวงการพฒั นาทรพั ยากรมนุษยแ์ ละ
องคก์ ารไว้ 3 ประการ ดงั น้ี
1) คตธิ รรมการพฒั นามนุษยใ์ หม้ ี “ความเพยี รโดยธรรม”
2) คตธิ รรมการพฒั นามนุษยต์ ามแนวทาง “การอนุบาลตน้ มะมว่ ง”
3) คตธิ รรมการพฒั นาองคก์ ารโดย “การตงั้ สถาบนั อบรม”
การพฒั นามนุษยใ์ ห้มี “ความเพียรโดยธรรม”
ดงั ทไ่ี ดก้ ลา่ วแต่เบอ้ื งตน้ แลว้ วา่ ความโดดเดน่ ของวรรณคดชี าดก “มหาชนก” คอื เรอ่ื งของการ
บาํ เพญ็ ความเพยี รหรอื วริ ยิ บารมี ผรู้ ทู้ ก่ี ล่าวถงึ คตธิ รรมเรอ่ื งน้มี กั จะยกเอาตอนสาํ คญั คอื “พระมหาชน
กวา่ ยน้ําอยใู่ นมหาสมทุ ร 7 วนั ” มาเป็นอุทาหรณ์ พลตรหี ลวงวจิ ติ รวาทการกล่าวถงึ ขอ้ ความในชาดกตน้
ตาํ รบั ของเรอ่ื งน้ีวา่ เมอ่ื อ่านแลว้ สามารถจนิ ตนาการวาดรปู ลกั ษณะของพระมหาชนกวา่
189
P a g e | 190
“…เป็นผมู้ มี านะเขม้ แขง็ มาแต่เดก็ ... พออายุ 16 ปี กส็ ามารถลงเรอ่ื สาํ เภา โดยอา้ งวา่
จะมาทาํ การคา้ ขายทางสวุ รรณภมู ิ (คอื ดนิ แดนทเ่ี ป็นเมอื งเราในเวลาน้)ี มาตามทางเรอื
แตก คนอ่นื ๆจมน้ํา และเป็นอาหารของปลารา้ ยถงึ แกค่ วามตายหมดสน้ิ เหลอื แตพ่ ระ
มหาชนกองคเ์ ดยี วยงั มชี วี ติ อยใู่ นน้ําไดถ้ งึ 7 วนั ”56
ผอู้ ่านจะสามารถซมึ ซบั ความขอ้ น้ีไดอ้ ยา่ งละเอยี ดพสิ ดารมากขน้ึ ในพระราชนพิ นธพ์ ระมหาชนก
โดยเฉพาะในบทท่ี ๑๗ อนั เป็นบทสนทนาระหวา่ งพระมหาชนกกบั พระมารดา ซง่ึ เป็นบททส่ี ะทอ้ นถงึ
“ความมงุ่ มนั่ เดด็ เดย่ี ว” ของพระมหาชนก
“...”ขา้ แตพ่ ระมารดา หมอ่ มฉนั จกั ไปเมอื งสวุ รรณภมู .ิ ” พระนางตรสั หา้ มวา่ : “ลกู รกั
ชอ่ื วา่ มหาสมทุ รสาํ เรจ็ ประโยชน์น้อย มอี นั ตรายมากอยา่ ไปเลย. ทรพั ยข์ องพอ่ มมี าก
พอประโยชน์ เอาราชสมบตั แิ ลว้ .” พระกมุ ารทลู วา่ : “หมอ่ มฉนั จกั ไปแทจ้ รงิ .” ทลู ลา
พระมารดาถวายบงั คม กระทาํ ประทกั ษณิ แลว้ ออกไปขน้ึ เรอื .”67
แตเ่ มอ่ื ขน้ึ เรอื แล่นเรอื มาได้ 7 วนั ตอ้ งเผชญิ กบั ภาวะ “เรอื แตก”
“พวกพาณิชประมาณเจด็ รอ้ ยคนขน้ึ สเู่ รอื . เรอื แล่นไปไดเ้ จด็ รอ้ ยโยชน์ ใชเ้ วลาเจด็ วนั .
เรอื แลน่ ดว้ ยกาํ ลงั คล่นื ทร่ี า้ ยกาจ ไมอ่ าจทรงตวั อยไู่ ด้ แผน่ กระดานกแ็ ตกดว้ ยกาํ ลงั
คล่นื น้ําเขา้ มาแตท่ น่ี นั้ ๆ เรอื กจ็ มลงในกลางมหาสมทุ ร. มหาชนกลวั มรณภยั รอ้ งไห้
คร่าํ ครวญ กราบไหวเ้ ทวดาทงั้ หลาย...”78
ในขณะทเ่ี รอื กาํ ลงั จะแตก ผคู้ นทวั่ ไปกาํ ลงั แตกตน่ื เอาแต่ร่าํ รอ้ ง คร่าํ ครวญ กราบไหวเ้ พรยี กหา
ความชว่ ยเหลอื จากสงิ่ ศกั ดสิ ์ ทิ ธทิ ์ งั้ หลาย คาํ ถามคอื พระมหาชนกมปี ฏกิ รยิ าต่อเหตุการณ์อนั ฉุกเฉนิ น่า
หวาดกลวั ตอ่ ภยั อนั มหนั ตต์ ่อชวี ติ น้อี ยา่ งไร?
“...แต่พระมหาสตั วไ์ มท่ รงกนั แสง ไมท่ รงคร่าํ ครวญ ไมไ่ หวเ้ ทวดาทงั้ หลาย. พระองค์
ทรงทราบวา่ เรอื จะจม จงึ คลุกน้ําตาลกรวดกบั เนย เสวยจนเตม็ ทอ้ ง แลว้ ชบุ ผา้ เน้อื
เกลย้ี งสองผนื ดว้ ยน้ํามนั จนชุม่ ทรงนุ่งใหม้ นั่ . ทรงยนื เกาะเสากระโดง ขน้ึ ยอด
เสากระโดงเวลาเรอื จม. มหาชนเป็นภกั ษาแหง่ ปลาและเตา่ น้ําโดยรอบมสี เี หมอื น
โลหติ . พระมหาสตั วเ์ สดจ็ ไปทรงยนื ทย่ี อดเสากระโดง. ทรงกาํ หนดทศิ วา่ เมอื งมถิ ลิ า
อยทู่ ศิ น้ี กก็ ระโดดจากยอดเสากระโดง ล่วงพน้ ฝงู ปลาและเตา่ ไปตกในทส่ี ดุ อุสภะ
หน่ึง (70 เมตร) เพราะพระองคม์ พี ระกาํ ลงั มาก.”89
190
P a g e | 191
เน้ือความขอ้ น้ีสรา้ งความประทบั ใจใหแ้ กผ่ เู้ ขยี นบทความชน้ิ น้เี ป็นอยา่ งยงิ่ เน่อื งจากผเู้ ขยี น
พบวา่ เป็นขอ้ ความทไ่ี ดแ้ อบแฝงคตธิ รรมทส่ี าํ คญั ๆ หลายประการ คตธิ รรมเทา่ ทผ่ี เู้ ขยี นพอจะจบั ความ
ไดต้ ามความเขา้ ใจดว้ ยสตปิ ัญญาอนั จาํ กดั ของผเู้ ขยี น มอี าทิ
• ความมีสติสมั ปชญั ญะ เน้อื ความขา้ งตน้ เป็นคตธิ รรมเตอื นใจสาธชุ นใหต้ งั้ มนั่ ในการมี
สตสิ มั ปชญั ญะ ทงั้ ในยามปกตแิ ละแมเ้ มอ่ื มภี ยั พาลบงั เกดิ ขน้ึ กไ็ มค่ วรตน่ื เตน้ ทุรนทุ
รายจนเกนิ ควร ควรตงั้ สตใิ หม้ นั่ รวบรวมสมั ปชญั ญะเพอ่ื ฝ่าฟันผา่ นวกิ ฤตใหไ้ ด้ ฉะนนั้
ผใู้ ดมสี ตสิ มั ปชญั ญะ ผนู้ นั้ ยอ่ มมโี อกาสรอดพน้ จากภยั พาลมากกวา่ ผอู้ น่ื
• ตนเป็นที่พ่ึงแห่งตน เน้อื ความขา้ งตน้ สะทอ้ นถงึ คา่ นยิ มทผ่ี ปู้ ระพนั ธต์ อ้ งการสอ่ื ใหเ้ หน็
ถงึ ความมงุ่ มนั่ เดด็ เดย่ี วทจ่ี ะพง่ึ ตนเองอยา่ งเขม้ แขง็ ไมว่ า่ จะในยามปกตสิ ขุ หรอื เมอ่ื ภยั
พาลมาย่าํ กราย สาธุชนมพิ งึ คร่าํ ครวญ ร่าํ รอ้ งโวยวาย เรยี กรอ้ งความสงสารเหน็ อก
เหน็ ใจและแบมอื ขอความชว่ ยเหลอื จากผอู้ น่ื มวิ า่ จะเป็นเพอ่ื นมนุษย์ องคก์ ร รฐั บาล
หรอื สงิ่ ศกั ดสิ ์ ทิ ธทิ ์ งั้ หลาย สาํ หรบั ผเู้ ขยี นแลว้ ถอื วา่ น่คี อื คตธิ รรมอนั ประเสรฐิ ยงิ่ ทจ่ี ะชว่ ย
แกไ้ ขจดุ อ่อนทส่ี าํ คญั ของปถุ ุชนไทยทวั่ ไปในปัจจุบนั ซง่ึ กาํ ลงั ถกู สงั่ สอนอบรมและหล่อ
หลอมใหก้ ลายเป็นชนชาตทิ ไ่ี มช่ อบการพง่ึ ตนเองได้ แต่กลบั นิยมชมชอบผทู้ จ่ี ะมาแจก
มาปรนเปรอ มาใหท้ งั้ ในรปู ของวตั ถุและการบรกิ าร จนสญู เสยี จติ วญิ ญาณแหง่ การใช้
ความมานะพยายามของการยนื บนลาํ แขง้ ของตนเอง และเมอ่ื ใดทถ่ี ูกตดั ขาดจากการ
ใหค้ วามชว่ ยเหลอื หรอื เมอ่ื ตอ้ งผจญกบั ภยั พาล มหาชนเหล่าน้กี ม็ กั จะออกมาคร่าํ
ครวญ ร่าํ รอ้ งโวยวายโจมตวี า่ “เพราะความไมเ่ ป็นธรรม”, “เพราะสองมาตรฐาน”,
“เพราะโครงสรา้ งอนั เหลอ่ื มล้าํ ” เราจงึ ตอ้ งผจญภยั พาลเชน่ น้ี ฯลฯ สดุ ทา้ ย ถงึ ทส่ี ดุ หมู่
ชนเหลา่ น้กี ก็ า้ วลว่ งไปถงึ ขนั้ ของการดา่ ทอสงิ่ ศกั ดสิ ์ ทิ ธิ ์ “เพราะเทวดาไมอ่ ารกั ษ์” พวก
เราจงึ ตอ้ งเผชญิ ทกุ ขเ์ ชน่ น้ี โดยมไิ ดห้ นั กลบั มามองตนเองวา่ ไดใ้ ชค้ วามเพยี รในการ
พง่ึ ตนเองเพยี งพอแลว้ หรอื ยงั ในทางตรงกนั ขา้ ม พระราชนพิ นธพ์ ระมหาชนกสะทอ้ น
ใหเ้ หน็ คตธิ รรมทว่ี า่ เมอ่ื ภยั มาถงึ พระมหาชนก “ไมท่ รงกนั แสง ไมท่ รงคร่าํ ครวญ ไม่
ไหวเ้ ทวดาทงั้ หลาย” กลา่ วคอื ไมร่ อ้ งให้ พร่าํ เพอ้ คร่าํ ครวญ ร่าํ รอ้ งโวยวายเรยี กรอ้ ง
ความสงสารเหน็ อกเหน็ ใจและความชว่ ยเหลอื จากใคร แมแ้ ตส่ งิ่ ศกั ดสิ ์ ทิ ธิ ์ แตต่ ระหนกั
วา่ ดว้ ยสตปิ ัญญาและการหยดั ยนื ดว้ ยตนเองเทา่ นนั้ คอื หนทางแหง่ ความรอด
• การมีเป้าหมายเขม็ ม่งุ ที่ชดั เจนในชีวิต สงิ่ ทท่ี าํ ใหพ้ ระมหาชนกสามารถครอง
สตสิ มั ปชญั ญะไดอ้ ยา่ งดี อกี ทงั้ หยดั ยนื ดว้ ยความสามารถแหง่ ตนอยา่ งมงุ่ มนั่ เดด็ เดย่ี ว
191
P a g e | 192
นนั้ สาเหตสุ าํ คญั กเ็ น่ืองเพราะการมี “เป้าหมายทช่ี ดั เจน” : “ฉนั จกั ไปเมอื งสวุ รรณภมู ”ิ
“ฉนั จกั ไปแทจ้ รงิ ” ดงั นนั้ แมน้ ในยามมหนั ตภยั มาเยอื น พระมหาชนกกม็ ไิ ดส้ ะทก
สะทา้ นโลเลออ่ นขอ้ ให้ แตย่ งั คงยนื หยดั ในเป้าหมายทม่ี งุ่ มนั่ “...ทรงกาํ หนดทศิ วา่ เมอื ง
มถิ ลิ าอยทู่ ศิ น้ี กก็ ระโดดจากยอดเสากระโดง ล่วงพน้ ฝงู ปลาและเตา่ …” ในขณะท่ี
มหาชนผโู้ ลเลไรจ้ ุดหมายมดื บอดในชวี ติ ทแ่ี น่นอนลว้ นตา่ งตอ้ งเผชญิ กบั ชะตากรรมคอื
กลายเป็น “เป็นภกั ษาแหง่ ปลาและเตา่ ” ไป ดงั นนั้ การปลกู ฝังใหค้ นมเี ป้าหมายแหง่
ชวี ติ ทช่ี ดั เจน ถอื เป็นคตธิ รรมอกี ขอ้ หน่งึ ทส่ี าํ คญั สาํ หรบั การพฒั นามนุษย์
• การมีความร้ปู ัญญา นอกจากการมสี ตสิ มั ปชญั ญะ, การยดึ ถอื คณุ คา่ แหง่ การพง่ึ ตนเอง
และการมเี ป้าหมายในชวี ติ ทช่ี ดั เจนแลว้ คตธิ รรมทส่ี าํ คญั อกี ประการหน่งึ ทซ่ี อ่ นเรน้ เป็น
รหสั นยั อยใู่ นขอ้ ความขา้ งตน้ ของพระราชนพิ นธพ์ ระมหาชนกกค็ อื “สาธุชนพงึ มปี ัญญา
ความรคู้ กู่ าย” ปัญญาความรจู้ ะเป็นสง่ิ ทท่ี าํ ใหม้ นุษยก์ ลายเป็นทรพั ยากรมนุษยท์ ่ี
สามารถเอาตวั รอดไดอ้ ยา่ งยงั ่ ยนื ผอู้ ่านบทความชน้ิ น้คี งตงั้ คาํ ถามวา่ “คตธิ รรมขอ้ น้ี
ปรากฎอยตู่ รงสว่ นใดในขอ้ ความขา้ งตน้ ของพระราชนิพนธพ์ ระมหาชนก?” ผเู้ ขยี นก็
ตอ้ งตงั้ คาํ ถามกลบั ไปวา่ “มผี อู้ า่ นทา่ นใดตงั้ ขอ้ สงสยั ไหมวา่ เหตใุ ดพระมหาชนกจงึ วา่ ย
น้ําลอยตวั อยเู่ หนือน้ําไดถ้ งึ 7 วนั ?” ตรงน้แี ลคอื ความรหู้ รอื ภมู ปิ ัญญาทม่ี มี าแต่โบราณ
ผเู้ ขยี นบทความชน้ิ น้ใี ครข่ อยกเอาขอ้ เขยี นของพลตรหี ลวงวจิ ติ รวาทการ ผชู้ ว่ ยไขขอ้
ขอ้ งใจและอธบิ ายความวา่ นอกจากสตสิ มั ปัชญั ญะแลว้ ภมู ปิ ัญญาความรคู้ อื สงิ่ สาํ คญั ท่ี
จะทาํ ใหเ้ รารอดพน้ ภาวะวกิ ฤต
“มาถงึ ตรงน้ี มขี อ้ สงั เกตอยอู่ ยา่ งหน่งึ คอื ความในชาดกวา่ เมอ่ื ก่อนทพ่ี ระมหา
ชนกจะกระโดดลงไปในน้ํานนั้ ไดเ้ อาผา้ ทรงของพระองคช์ บุ น้ํามนั เสยี ก่อน นนั่
เป็นขอ้ หน่งึ ซง่ึ แสดงวา่ ความรใู้ นวทิ ยาศาสตรข์ องคนครงั้ กระนนั้ ไดก้ า้ วหน้า
ไปมาก เพราะในเวลาน้พี วกนกั วา่ ยน้ําขา้ มชอ่ งองั กฤษกต็ อ้ งใชน้ ํามนั ทาตวั
เสยี กอ่ น มฉิ ะนนั้ กไ็ มส่ ามารถจะวา่ ยขา้ มไปได”้ 910
คตธิ รรมประการสดุ ทา้ ยทจ่ี ะกล่าวถงึ ในบทความชน้ิ น้กี ค็ อื คตธิ รรมอนั เป็นบทรวบยอดของ
บทความฉบบั แรกน้ไี ดแ้ ก่ “การมคี วามเพยี รพยายามโดยบรสิ ทุ ธ”ิ ์ ยอ่ มนํามาซง่ึ ความสาํ เรจ็ คตธิ รรมขอ้
น้ีปรากฎชดั นบั จากบทท่ี 18 ถงึ บทท่ี 27 ในพระราชนพิ นธพ์ ระมหาชนก ตามทอ้ งเรอ่ื งคอื นบั จากทพ่ี ระ
มหาชนก “…กระโดดจากยอดเสากระโดง ลว่ งพน้ ฝงู ปลาและเต่า ไปตกในทส่ี ดุ อุสภะหน่งึ (70 เมตร)
เพราะพระองคม์ พี ระกาํ ลงั มาก.” หลงั จากนนั้ พระมหาชนกจงึ ทรงวา่ ยน้ําขา้ มมหาสมทุ รอยเู่ จด็ วนั
192
P a g e | 193
ในบทท่ี 19 เป็นการเปิดตวั ตวั ละครทส่ี าํ คญั ตามทอ้ งเรอ่ื งกล่าวถงึ เทพธดิ าชอ่ื “นางมณี
เมขลา” ผไู้ ดร้ บั มอบหมายจาก “ทา้ วโลกบาลทงั้ ส”่ี ใหท้ าํ หน้าทต่ี รวจตรามหาสมทุ รดแู ลสตั วท์ งั้ หลาย
เพอ่ื ชว่ ยผทู้ ย่ี งั ไมส่ มควรตายในมหาสมทุ รใหร้ อดพน้ จากมรณะ ผทู้ ไ่ี มส่ มควรตายเหล่าน้มี กั จะไดแ้ ก่ผู้
ประกอบคณุ ความดี เชน่ เป็นผกู้ ตญั �รู คู้ ุณบาํ รุงมารดา เป็นตน้ นอกจากน้ี ในบทท่ี 19 ยงั เป็นบทท่ี
ผอู้ า่ นจะไดส้ มั ผสั ถงึ ความมี “อารมณ์ขนั ” ของพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ทท่ี รงกล่าวถงึ เหตุผลอนั ทาํ
ใหพ้ ระมหาชนกตอ้ งวา่ ยอยใู่ นน้ําถงึ 7 วนั
“นางมณเี มขลามไิ ดต้ รวจตรามหาสมทุ รเป็นเวลาเจด็ วนั . เล่ากนั วา่ นางเสวยทพิ ย
สมบตั เิ พลนิ กเ็ ผลอสตมิ ไิ ดต้ รวจตรา. บางอาจารยก์ ล่าววา่ นางเทพธดิ าไปเทพสมาคม
เสยี . นางคดิ ไดว้ า่ : “วนั น้ีเป็นทเ่ี จด็ ทเ่ี รามไิ ดต้ รวจตรามหาสมทุ ร มเี หตุอะไรบา้ ง
หนอ.” เมอ่ื นางตรวจดกู เ็ หน็ พระมหาสตั ว์ จงึ คดิ วา่ : “ถา้ มหาชนกกมุ ารจกั ตายใน
มหาสมทุ ร เราจกั ไมไ่ ดเ้ ขา้ เทวสมาคม.” คดิ ฉะน้แี ลว้ ตกแตง่ สรรี ะ สถติ อยใู่ น
อากาศไมไ่ กลพระมหาสตั ว.์ ”1011
คตธิ รรมเรอ่ื ง “ความเพยี รโดยธรรมอนั บรสิ ทุ ธ”ิ ์ ปรากฎอยา่ งงดงามในบทสนทนาตอบโต้
ระหวา่ ง “นางมณีเมขลา” กบั “พระมหาชนก” ซง่ึ ผเู้ ขยี นบทความชน้ิ น้ถี อื ไดว้ า่ เป็นบทสนทนาทท่ี รง
ประพนั ธไ์ ดอ้ ยา่ งวจิ ติ รและสะทอ้ นถงึ คา่ นยิ มเรอ่ื งความเพยี รพยายามอยา่ งไมท่ อ้ ถอยไดอ้ ยา่ งยอดเยย่ี ม
เหลอื เกนิ ดงั จะไดย้ กใหเ้ หน็ ดงั ตอ่ ไปน้ี
คาถาแรกของนางมณีเมขลาในบทท่ี 20 ถอื เป็น “บทลองใจ” พระมหาชนก
“น้ใี คร. เมอ่ื แลไมเ่ หน็ ฝัง่ กอ็ ุตสาหพยายามวา่ ยอยทู่ า่ มกลางมหาสมทุ ร ทา่ นรอู้ าํ นาจ
ประโยชน์อะไร จงึ พยายามวา่ ยอยอู่ ยา่ งน้ีนกั หนา”1112
ในบทท่ี 21 พระมหาชนก –หลงั จากวา่ ยน้ํามา 7 วนั มไิ ดพ้ บปะสนทนากบั ใคร – แลเหน็ นาง
มณเี มขลาในอากาศ จงึ ไดต้ อบกลบั ไปวา่
“ดกู อ่ นเทวดา เราไตรต่ รองเหน็ ปฏปิ ทาแหง่ โลก แลอานิสงสแ์ หง่ ความเพยี ร
เพราะฉะนนั้ ถงึ จะมองไมเ่ หน็ ฝัง่ เรากต็ อ้ งพยายามวา่ ยอยทู่ า่ มกลางมหาสมทุ ร”1213
ในบทน้ีมปี ระเดน็ ทน่ี ่าสนใจตรงทพ่ี ระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ไดท้ รงมคี าํ อธบิ ายเพม่ิ เตมิ ซง่ึ มี
บางชว่ งบางตอนถูกตอ้ งตรงใจผเู้ ขยี นบทความชน้ิ น้ยี ง่ิ นกั นนั่ คอื
193
P a g e | 194
“...บทวา่ ตสมฺ า ความวา่ เพราะเราไตรต่ รองอยู่ คอื รวู้ า่ ชอ่ื วา่ ความเพยี รของบุรุษ
ยอ่ มไมเ่ สยี หาย ยอ่ มตงั้ อยใู่ นความสขุ ฉะนนั้ แมจ้ ะมองไมเ่ หน็ ฝัง่ กต็ อ้ งพยายาม คอื
กระทาํ ความเพยี ร”1314
มอี กี คาถาหน่ึงทพ่ี ระมหาชนกไดต้ รสั กบั นางมณีเมขลาเกย่ี วกบั ความเพยี รไวอ้ ยา่ งน่าสนใจ
ความวา่
“บคุ คลเมอ่ื กระทาํ ความเพยี ร แมจ้ ะตายกช็ อ่ื วา่ ไมเ่ ป็นหน้ีในระหวา่ งหมญู่ าติ เทวดา
และบดิ ามารดา อน่ึง บุคคลเมอ่ื ทาํ กจิ อยา่ งลกู ผชู้ าย ยอ่ มไมเ่ ดอื ดรอ้ นในภายหลงั ”1415
นอกจากน้ี เน่อื งจากพระราชนิพนธพ์ ระมหาชนกใชภ้ าษาทง่ี ดงามแต่ยากต่อการอ่านทาํ ความ
เขา้ ใจสาํ หรบั ผทู้ ไ่ี มส่ นั ทดั ทางภาษา ดงั นนั้ มบี างบทสนทนาทผ่ี เู้ ขยี นพบวา่ เมอ่ื อ่านเป็นบทภาษาไทย
อาจจะยากตอ่ ความเขา้ ใจ แต่เมอ่ื อ่านบททแ่ี ปลเป็นภาษาองั กฤษ กลบั พบวา่ สามารถอ่านทาํ ความเขา้ ใจ
ไดอ้ ยา่ งชดั แจง้ จบั ใจเหลอื เกนิ ดงั เชน่ “บทลองใจลองปัญญา” บทหน่งึ ทน่ี างมณีเมขลาตงั้ คาํ ถามในเชงิ
ทา้ ทายพระมหาชนก ความวา่
“Any enterprise that is not achieved through perseverance, is fruitless;
obstacles will occur. When any enterprise undertaken with such
misdirected effort results in Death showing his face, what is the use of
such enterprise and misdirected effort?”16
การถกู ทา้ ทายดว้ ยการตงั้ คาํ ถาม “ลองใจลองปัญญา” ของนางมณเี มขลาวา่ จะมปี ระโยชน์อนั ใด
เล่ากบั การใชค้ วามพยายามมงุ่ มนั่ ทมุ่ เทของบรุ ุษ แตก่ ลบั ตอ้ งมาพบกบั ความตายกอ่ นทง่ี านการนนั้ จะ
บรรลุมรรคผลเชน่ นนั้ “มปี ระโยชน์อนั ใดเลา่ ” ถอื เป็นความเพยี รทไ่ี รค้ า่ มใิ ชห่ รอื ? แลว้ จะบาํ เพญ็ เพยี รไป
เพอ่ื อนั ใด?
ในบทท่ี 25 พระมหาชนกไดก้ ลา่ วตอบโตน้ างมณเี มขลาดว้ ยขอ้ ความคาถาทส่ี ะทอ้ นคณุ คา่ ของ
ความเพยี รไวอ้ ยา่ งงดงาม ความวา่
“ดกู อ่ นเทวดา ผใู้ ดรแู้ จง้ วา่ การงานทท่ี าํ จะไมล่ ลุ ว่ งไปไดจ้ รงิ ๆ ชอ่ื วา่ ไมร่ กั ษาชวี ติ ของ
ตน ถา้ ผนู้ นั้ ละความเพยี รในฐานะเชน่ นนั้ เสยี กจ็ ะพงึ รผู้ ลแหง่ ความเกยี จครา้ น.
ดกู อ่ นเทวดา คนบางพวกในโลกน้เี หน็ ผลแหง่ ความประสงคข์ องตนจงึ ประกอบการ
งานทงั้ หลาย การงานเหลา่ นนั้ จะสาํ เรจ็ หรอื ไมก่ ต็ าม. ดกู ่อนเทวดา ทา่ นกเ็ หน็ ผลแหง่
194
P a g e | 195
กรรมประจกั ษแ์ กต่ นแลว้ มใิ ชห่ รอื คนอน่ื ๆ จมในมหาสมทุ รหมด เราคนเดยี วยงั วา่ ย
ขา้ มอยู่ และไดเ้ หน็ ทา่ นมาสถติ อยใู่ กลๆ้ เรา เรานนั้ จกั พยายามตามสตกิ าํ ลงั จกั ทาํ
ความเพยี รทบ่ี ุรุษควรทาํ ไปใหถ้ งึ ฝัง่ แหง่ มหาสมทุ ร.”1617
เมอ่ื เหน็ ถงึ ความมงุ่ มนั่ แหง่ ความเพยี รพยายามของบุรษุ อยา่ งแทจ้ รงิ นางมณเี มขลาจงึ กลา่ ว
คาถาสรรเสรญิ ดงั ปรากฎในบทท่ี 26 วา่
“ทา่ นใดถงึ พรอ้ มดว้ ยความพยายามโดยธรรม ไมจ่ มลงในหว้ งมหรรณพ ซง่ึ ประมาณ
มไิ ด้ เหน็ ปานน้ี ดว้ ยกจิ คอื ความเพยี รของบุรษุ ทา่ นนนั้ จงไปในสถานท่ี ทใ่ี จของ
ทา่ นยนิ ดนี นั้ เถดิ ”1718
ความขา้ งตน้ แสดงใหเ้ หน็ ถงึ ความปิตขิ องนางมณเี มขลาทพ่ี งึ พอใจเป็นยง่ิ นกั กบั ความเพยี ร
พยายามอยา่ งมงุ่ มนั่ ของพระมหาชนก จงึ ไดส้ อบถามถงึ เป้าหมายปลายทางของพระมหาชนก (อนั ไดแ้ ก่
“มถิ ลิ านคร”) แลว้ นางจงึ อุม้ พระมหาชนกพาเหาะขน้ึ ไปในอากาศ “เหมอื นคนอมุ้ ลกู รกั ฉะนนั้ ” พระ
มหาชนกหลบั ไหลไปในมอื ของนางมณีเมขลา จนถงึ ปลายทาง นางมณีเมขลากเ็ อาไปวางไวบ้ นแผน่ ศลิ า
อนั เป็นมงคลในสวนมะมว่ งแหง่ มถิ ลิ านคร.
บรรดาขอ้ ความดงั กลา่ วขา้ งตน้ ลว้ นสะทอ้ นใหเ้ หน็ ถงึ คตธิ รรมเกย่ี วกบั คณุ คา่ หรอื คณุ ธรรมขนั้
พน้ื ฐานของมนุษยผ์ ซู้ ง่ึ สามารถประสบความสาํ เรจ็ บรรลุถงึ เป้าหมายทางทพ่ี งึ ประสงคไ์ ดก้ ด็ ว้ ยการใช้
“ความเพยี รพยายามมงุ่ มนั่ โดยธรรม” เป็นทต่ี งั้
กล่าวโดยสรุปแลว้ คา่ นยิ มเรอ่ื ง “ความเพยี รพยายามโดยธรรม” (Righteous patience) จงึ เป็น
คุณธรรมขนั้ พน้ื ฐานทส่ี งั คมและองคก์ รทงั้ หลายควรน้อมนําเอาไปใชใ้ นการบรหิ ารจดั การและพฒั นา
บุคลากรของตนเองใหย้ ดึ มนั่ ในคุณคา่ ทว่ี า่ “ความเพยี รยอ่ มนํามาซง่ึ ความสาํ เรจ็ ” หรอื “ความสาํ เรจ็ จะ
ลุลว่ งไดก้ ด็ ว้ ยความเพยี ร” ดงั นนั้ หากสงั คมและองคก์ รใดทป่ี ระกอบไปดว้ ยผคู้ น บคุ ลากรและผบู้ รหิ ารท่ี
เชอ่ื มนั่ เตม็ เป่ียมไปดว้ ยความเพยี รพยายามโดยธรรม สงั คมและองคก์ รนนั้ กจ็ ะ “ไดไ้ ปในสถานทท่ี ใ่ี จของ
ทา่ นนนั้ ยนิ ด”ี แต่หากสงั คมและองคก์ รใดทผ่ี คู้ น บคุ ลากรและผบู้ รหิ ารขาดเสยี ซง่ึ ความเพยี รพยายาม
โดยธรรม เอาแตร่ ่าํ รอ้ ง คร่าํ ครวญ ไหวว้ อนขอความชว่ ยเหลอื จากผอู้ น่ื โดยมคิ ดิ จะใชค้ วามเพยี ร
สตปิ ัญญาความรู้ ขวนขวายพง่ึ ตนเอง สงั คมและองคก์ รนนั้ กค็ งจะ “จมลงไปในหว้ งมหรรณพอนั
ประมาณมไิ ด”้ ในทส่ี ดุ เป็นแน่แท.้
195
P a g e | 196
คติธรรมการพฒั นามนุษยต์ ามแนวทาง “การฟื้ นฟตู ้นมะม่วง”
หากพจิ ารณาจากบทนําใน “พระราชปรารภ” ของพระราชนพิ นธพ์ ระมหาชนกจะเหน็ ไดว้ า่ จุดเน้นสาํ คญั
ทส่ี ดุ ประการหน่ึงปรากฎอยใู่ นตอนทว่ี า่ ดว้ ย “ตน้ มะมว่ งสองตน้ ” ทท่ี างเขา้ สวนหลวงของพระราชอุทยาน
ในกรุงมถิ ลิ า โดยเน้ือความน้ปี รากฏอยใู่ น “ตอนท่ี 32” ของพระราชนิพนธ์ ความวา่ ...
(ตอนท่ี 32) วนั หน่ึง เมอ่ื นายอุทยานบาลนําผลไมน้ ้อยใหญ่ตา่ งๆ และดอกไมต้ ่างๆมา
ถวาย พระมหาชนกทอดพระเนตรเหน็ ของเหล่านนั้ ทรงยนิ ดยี กยอ่ งนายอุทยานบาลนนั้
ตรสั วา่ : “ดกู ่อนนายอุทยานบาล เราใครจ่ ะเหน็ อุทยาน ทา่ นจงตกแต่งไว.้ ” นายอุทยาน
บาลรบั พระราชดาํ รสั แลว้ ทาํ ตามรบั สงั่ แลว้ กราบบงั คมทลู ใหท้ รงทราบ. พระมหาสตั ว์
ประทบั บนคอชา้ ง เสดจ็ ออกจากพระนครดว้ ยราชบรพิ ารเป็นอนั มาก ถงึ ประตพู ระราช
อุทยาน.1819
ทใ่ี กลป้ ระตพู ระราชอุทยานนนั้ มตี น้ มะมว่ งสองตน้ มใี บเขยี วชอุ่ม. ตน้ หน่งึ ไมม่ ผี ล ตน้
หน่งึ มผี ล. ผลนนั้ มรี สหวานเหลอื เกนิ . ใครๆไมอ่ าจเกบ็ ผลจากนนั้ เพราะผลซง่ึ มรี สเลศิ
อนั พระราชายงั มไิ ดเ้ สวย. พระมหาสตั วป์ ระทบั บนคอชา้ งทรงเกบ็ เอาผลหน่งึ เสวย. ผล
มะมว่ งนนั้ พอตงั้ อยทู่ ป่ี ลายพระชวิ หาของพระมหาสตั ว์ ปรากฎดุจโอชารสทพิ ย.์ พระ
มหาสตั วท์ รงคดิ วา่ : “เราจกั กนิ ใหม้ ากเวลากลบั ” แลว้ เสดจ็ เขา้ สพู่ ระราชอุทยาน.1920
จากตอนท่ี 32 จะเหน็ ไดว้ า่ ทใ่ี กลป้ ระตพู ระราชอุทยานมตี น้ มะมว่ ง 2 ตน้ ทงั้ 2 ตน้ มคี วามเหมอื นกนั
ตรงทม่ี ใี บเขยี วชอมุ่ ตน้ หน่งึ มผี ลและมรี สหวานโอชา ทวา่ อกี ตน้ ไมม่ ผี ล หากจะตคี วามในแงม่ มุ ดา้ น
ทรพั ยากรมนุษยแ์ ละองคก์ าร ชวนใหค้ ดิ ไดว้ า่ ตน้ มะมว่ งกเ็ ปรยี บเสมอื นดงั “บุคลากร” ในองคก์ าร
ทรพั ยากรบุคคลเหล่าน้แี ตล่ ะบุคคลลว้ นแลว้ แตม่ หี น้าทท่ี ต่ี อ้ งประกอบกจิ การงานทแ่ี ตกต่างกนั ออกไป
แต่ทงั้ หมดน้ีกเ็ พอ่ื สรา้ งสรรคผ์ ลแหง่ งานและการกอ่ ประโยชน์โภคผลแก่องคก์ าร ในดา้ นหน่ึง ขณะทม่ี ี
ทรพั ยากรบุคคลบางกลมุ่ ทส่ี ามารถทาํ งานก่อดอกออกผลแก่กจิ การไดอ้ ยา่ งงดงาม (มผี ลและมรี สหวาน
โอชา) อยา่ งไรกต็ าม ยงั มที รพั ยากรบคุ คลบางกลุ่มทม่ี ชี อ่ื เป็นบคุ ลากรไดร้ บั คา่ จา้ งสวสั ดกิ ารเหมอื นกบั
คนอ่นื ๆ แมจ้ ะดเู หมอื นมหี น่วยกา้ นทด่ี ี (มใี บเขยี วชอมุ่ ) แต่ทวา่ ไมส่ ามารถทาํ งานทก่ี อ่ ประโยชน์งอกเงย
ตอ่ องคก์ ารดงั ทค่ี วรจะเป็น (ไมม่ ผี ล)
การตคี วามในแงม่ มุ เชน่ น้ี ทาํ ใหผ้ เู้ ขยี นหวนราํ ลกึ ถงึ ตวั แบบทางความคดิ ดา้ นการบรหิ ารจดั การเชงิ กล
ยทุ ธทส่ี าํ คญั ทช่ี อ่ื The BCG Matrix21 ซง่ึ พฒั นาขน้ึ มาโดยบรษิ ทั ทป่ี รกึ ษาทช่ี อ่ื บอสตนั คอนซลั ตง้ิ กรุป๊
(Boston Consulting Group) โดยผเู้ ขยี นใครข่ อประยกุ ต์ The BCG Matrix มาใชใ้ นงานดา้ นการบรหิ าร
196
P a g e | 197
จดั การทรพั ยากรมนุษยใ์ นองคก์ าร แบง่ คนออกเป็น 4 กลุ่มบนพน้ื ฐานของ 2 ตวั แปรคอื 1) ตวั แปรดา้ น
ผลการทาํ งาน (Performance) กบั 2) ตวั แปรดา้ นศกั ยภาพ (Potential) เมอ่ื เอาตวั แปรทงั้ 2 ตวั มาไขว้
กนั (Matrix) กจ็ ะทาํ ใหพ้ บวา่ ในองคก์ รหน่งึ ๆ จะประกอบไปดว้ ยคน 4 กลุ่ม ไดแ้ ก่
1) กลุ่มดาวเดน่ (Star) เปรยี บดงั ตน้ มะมว่ งทใ่ี หผ้ ลหวานหอมโอชาทพิ ย์
2) กลมุ่ มา้ งาน (Working Horse) เปรยี บดงั่ คนทท่ี าํ งานปัจจบุ นั ไดผ้ ลงานดี แต่ไมม่ ศี กั ยภาพ
มากไปกวา่ น้ีในอนาคต
3) กลมุ่ เดก็ มปี ัญหา (Problem child) เปรยี บดงั่ ตน้ มะมว่ งทด่ี ดู มี ใี บเขยี วชะอมุ่ แตก่ ลบั ไม่
สามารถผลดิ อกออกผลทห่ี อมหวานออกมาได้
4) กลุ่มไมต้ ายซาก (Deadwood) เปรยี บดงั่ ตน้ มะมว่ งทไ่ี รท้ งั้ ใบและผล
การแบ่งบุคลากรออกเป็น 4 ประเภทดงั กล่าวสามารถแสดงใหเ้ หน็ เป็นแผนภาพดงั น้ี
โดยทวั่ ไปแลว้ องคก์ ารสว่ นใหญ่มกั จะประกอบไปดว้ ยกล่มุ คนทงั้ 4 กลุ่มผสมผเสปนเปกนั ไป บางองคก์ ร
อาจมคี นบางกลุม่ มากกวา่ คนอกี บางกลมุ่ อาจกลา่ วไดว้ า่ องคก์ ารทย่ี อดเยย่ี ม มผี ลประกอบการดี
บคุ ลากรมคี ุณภาพและเป็นทช่ี น่ื ชมยกยอ่ งจากคนทวั่ ไป องคก์ ารเชน่ น้มี กั มบี ุคลากรกลุม่ “ดาวเดน่ ” และ
197
P a g e | 198
“มา้ งาน” เป็นสดั สว่ นมากกวา่ คนกลุ่มอน่ื ๆ อกี 2 กล่มุ ทงั้ น้ี ตามหลกั การของการบรหิ ารจดั การแลว้
องคก์ รใดจะมคี นกล่มุ ใดเป็นสดั สว่ นมากกวา่ คนกลุม่ ใด ยอ่ มขน้ึ อย่กู บั 2 ปัจจยั สาํ คญั ไดแ้ ก่
1) ปัจจยั ดา้ นความเอาใจใสม่ งุ่ มนั่ ตอ่ การบรหิ ารจดั การทรพั ยากรมนุษยแ์ ละองคก์ าร
(HROD strategic intention) โดยผบู้ รหิ ารองคก์ รมฐี านทางความคดิ ทเ่ี ชอ่ื มนั่ วา่
“คณุ ภาพขององคก์ าร ขน้ึ อยกู่ บั ความสามารถและคณุ ภาพในการบรหิ ารจดั การ
คน” ปัจจยั ดา้ นทรพั ยากรคนจงึ เป็นปัจจยั ทส่ี ามารถควบคุมได้ กล่าวอกี นยั หน่งึ
คอื องคก์ รใดกต็ ามทเ่ี อาจรงิ เอาจงั ใหค้ วามสาํ คญั เอาใจใสใ่ นการบรหิ ารจดั การ
ทรพั ยากรบคุ คลอยา่ งเป็นระบบ รจู้ กั การบรหิ ารบคุ ลากรอยา่ งถกู ตอ้ งตามหลกั
วชิ า องคก์ รประเภทน้กี ม็ กั จะมกี ลุ่มคนทม่ี ผี ลงานดแี ละสามารถดงึ ศกั ยภาพ
ออกมาใชใ้ นการทาํ งานไดอ้ ยา่ งเตม็ ท่ี ดงั นนั้ องคก์ รเชน่ น้จี งึ มกั จะมคี นกลุม่ “ดาว
เดน่ ” และ “มา้ งาน” มากกวา่ คนกลมุ่ อน่ื เฉกเชน่ เดยี วกบั พระราชอทุ ยานทเ่ี ตม็
ไปดว้ ย “ตน้ มะมว่ งทม่ี ใี บเขยี วชอมุ่ และผลผิ ลทห่ี อมหวานโอชาเหลอื เกนิ ”
2) ปัจจยั ดา้ นความไมเ่ อาใจใสข่ าดความมงุ่ มนั่ ต่อการบรหิ ารจดั การทรพั ยากรมนุษย์
และองคก์ าร (Mindless HROD) โดยผบู้ รหิ ารองคก์ รมฐี านทางความคดิ ทไ่ี ม่
เชอ่ื มนั่ วา่ “คณุ ภาพขององคก์ าร ขน้ึ อยกู่ บั ความสามารถและคณุ ภาพในการ
บรหิ ารจดั การคน” แต่ความสาํ เรจ็ ขององคก์ ารอาจมาจาก “ปัจจยั อน่ื ๆ” ทไ่ี มใ่ ช่
ทรพั ยากรบคุ คล ดงั นนั้ จงึ ไมไ่ ดใ้ สใ่ จทจ่ี ะควบคมุ ดแู ลและพฒั นาทรพั ยากรคน
อยา่ งเอาจรงิ เอาจงั กล่าวอกี นยั หน่ึง ปัจจยั ขอ้ น้หี มายถงึ การทอ่ี งคก์ รไมไ่ ดใ้ สใ่ จ
หรอื ใหค้ วามสาํ คญั กบั การบรหิ ารจดั การทรพั ยากรบุคคลอยา่ งเป็นระบบถกู ตอ้ ง
ตามหลกั วชิ า บคุ ลากรในองคก์ ารประเภทน้จี งึ มกั จะถูกปลอ่ ยปละละเลยใหท้ าํ งาน
แสดงผลงานหรอื ใชศ้ กั ยภาพทาํ งานไปตามแต่ “โชค” จะอาํ นวย องคก์ รเชน่ น้ีหาก
โชคดกี อ็ าจจะไดค้ นดมี ฝี ีมอื ทาํ งานเก่งมคี วามสามารถทจ่ี ะเป็น “ดาวดวงเดน่ ”
หรอื “มา้ งาน” มาทาํ งานกไ็ ด้ แตเ่ มอ่ื องคก์ ารขาดความเอาใจใสใ่ นการบรหิ าร
จดั การทด่ี ี พวกเขา/เธอทเ่ี ป็นบคุ ลากรชนั้ ดเี หลา่ น้ีจงึ ตกอยใู่ นสภาพแวดลอ้ มทแ่ี ย่
และขาดการสรา้ งแรงจงู ใจทด่ี ี ในทส่ี ดุ แลว้ พวกเขา/เธอกอ็ าจแปรสภาพกลายไป
เป็น “เดก็ มปี ัญหา” หรอื “ไมต้ ายซาก” เฉกเชน่ เดยี วกนั กบั “ตน้ มะมว่ งทม่ี ใี บเขยี ว
ชอมุ่ แต่กลบั ไมผ่ ลดิ อกออกผล”
198
P a g e | 199
สงิ่ ทน่ี ่าเสยี ดายคอื มอี งคก์ รจาํ นวนมากทย่ี งั มแี นวคดิ และแนวทางการบรหิ ารจดั การทรพั ยากรบคุ คลแบบ
ท่ี 2) คอื ขาดการเอาใจใสแ่ ละการบรหิ ารจดั การทรพั ยากรบคุ คลและอลคก์ ารทด่ี ี ดงั นนั้ แมบ้ างครงั้ จะโชค
ดไี ดร้ บั เอาคนดคี นเก่งเขา้ ไปอยใู่ นองคก์ ร แตด่ ว้ ยความปลอ่ ยปะละเลยขาดการเอาใจใสใ่ นการบรหิ าร
จดั การทด่ี ี ในทส่ี ดุ คนดคี นเกง่ เหลา่ นนั้ ถกู ทาํ ใหก้ ลบั กลายไปเป็น “ตน้ มะมว่ งทม่ี ใี บเขยี วชอมุ่ แต่กลบั ไม่
ผลดิ อกออกผล” และทซ่ี ้ํารา้ ยไปกวา่ นนั้ กค็ อื บางองคก์ รนอกจากไมใ่ สใ่ จดแู ลคนดคี นเก่งแลว้ กลบั กลุม้
ซุ่มรมุ ทาํ รา้ ย ใชง้ านเกนิ ควร ฉกฉวยแยง่ ชงิ ผลงาน จนคนดคี นเก่งเหล่านนั้ หมดสภาพทงั้ ทางกายและใจ
เปรยี บเสมอื นดงั่ “ตน้ มะมว่ งทห่ี กั โคน่ ลง” ในขณะท่ี บรรดากลมุ่ “เดก็ มปี ัญหา” และ “ไมต้ ายซาก” ทม่ี ี
ศกั ยภาพแต่ไรผ้ ลงาน กลบั ดาํ รงอยไู่ ดอ้ ยา่ งสขุ สบายโดยปราศจากภยั พาลใดมากลา้ํ กราย ผเู้ ขยี นเหน็ วา่
ตรงกบั สภุ าษติ ไทยทว่ี า่ “จงทาํ ดไี ด้ แต่อยา่ เดน่ จะเป็นภยั ” ความขอ้ น้เี ราสามารถถอดรหสั ไดจ้ ากตอนท่ี
33 ของพระราชนิพนธพ์ ระมหาชนก
(ตอนท่ี 33) คนอ่นื ๆมอี ปุ ราชเป็นตน้ จนถงึ คนรกั ษาชา้ งรกั ษามา้ รวู้ า่ พระราชาเสวยผลมรี ส
เลศิ แลว้ กเ็ กบ็ เอาผลมากนิ กนั . ฝ่ายคนเหล่าอ่นื ยงั ไมไ่ ดผ้ ลนนั้ กท็ าํ ลายกง่ิ ดว้ ยทอ่ นไม้ ทาํ
เสยี ไมม่ ใี บ ตน้ กห็ กั โคน่ ลง. มะมว่ งอกี ตน้ หน่งึ ตงั้ อยงู่ ดงาม ดจุ ภเู ขามพี รรณดงั แกว้ มณี.
พระราชาเสดจ็ ออกจากพระราชอุทยาน ทอดพระเนตรเหน็ ดงั นนั้ จงึ ตรสั ถามเหลา่ อมาตยว์ า่
: “น่ีอะไรกนั .” เหล่าอมาตยก์ ราบทลู วา่ : “มหาชนทราบวา่ พระองคเ์ สวยผลรสเลศิ แลว้ ต่างก็
แยง่ กนั กนิ ผลมะมว่ งนนั้ .” พระราชตรสั ถามวา่ : “ใบและวรรณะของตน้ น้ีสน้ิ ไปแลว้ ใบและ
วรรณะของตน้ นอกน้ียงั ไมส่ น้ิ ไป เพราะเหตุไร.” อมาตยท์ งั้ หลายกราบทลู วา่ : “ใบและ
วรรณะของอกี ตน้ หน่งึ ไมส่ น้ิ ไป เพราะไมม่ ผี ล.” พระราชาสดบั ดงั นนั้ ไดค้ วามสงั เวช. ทรง
ดาํ รวิ า่ : “ตน้ น้มี วี รรณะสดเขยี วตงั้ อยแู่ ลว้ เพราะไมม่ ผี ล แต่ตน้ น้ถี กู หกั โคน่ ลง เพราะมผี ล.
แมร้ าชสมบตั นิ ้ีกเ็ ชน่ กบั ตน้ ไมม้ ผี ล บรรพชาเชน่ กบั ตน้ ไมห้ าผลมไิ ด.้ ภยั ยอ่ มมแี กผ่ มู้ คี วาม
กงั วล ยอ่ มไมม่ แี ก่ผไู้ มม่ คี วามกงั วล. กเ็ ราจกั ไมเ่ ป็นเหมอื นตน้ ไมม้ ผี ล. จกั เป็นเหมอื นตน้ ไม้
หาผลมไิ ด.้ ”2122
อยา่ งไรกต็ าม แม้ “ตน้ มะมว่ งจะหกั โคน่ ลงไปแลว้ ” แมค้ นดคี นเกง่ จะหมดสภาพทงั้ ไมก่ ่อผลติ ภาพและ
โคน่ ลม้ ลง แตส่ งิ่ ทพ่ี ระราชนิพนธพ์ ระมหาชนกชท้ี างไวก้ ค็ อื “ทุกปัญหายอ่ มมที างออก” แมต้ น้ มะมว่ งจะ
โคน่ ลง แต่ยอ่ มมที างฟ้ืนฟูได้ น่ีคอื บทบาทของ “ภาวะผนู้ ํา” ทจ่ี ะตอ้ งปลกุ ปลอบสรา้ งขวญั กาํ ลงั ใจและตงั้
สตใิ หม้ นั่ เพอ่ื รว่ มกนั “ฟ้ืนฟูตน้ มะมว่ ง” แตก่ ระนนั้ การฟ้ืนฟูตน้ มะมว่ งนนั้ ตอ้ งไมท่ าํ ไปแบบตาม
อาํ เภอใจไรห้ ลกั การ เพราะจาํ ตอ้ งใช้ “หลกั วชิ า” และอาศยั “ผรู้ จู้ รงิ ” มาชว่ ยวางรากฐานในการฟ้ืนฟูตน้
มะมว่ ง ความขอ้ น้ีปรากฎอยใู่ นตอนท่ี 34 ดงั น้ี
199
P a g e | 200
(ตอนท่ี 34) พระราชเสดจ็ สพู่ ระนคร เสดจ็ ขน้ึ ปราสาท. ประทบั ทพ่ี ระทวารปราสาท ทรง
มนสกิ ารถงึ วาจาของนางมณีเมขลา ในกาลทน่ี างอมุ้ พระมหาสตั วข์ น้ึ จากมหาสมทุ ร.
พระราชาทรงจดจาํ คาํ พดู ของเทวดาไมไ่ ดท้ ุกถอ้ ยคาํ เพราะพระสรรี ะเศรา้ หมองดว้ ยน้ําเคม็
ตลอดเจด็ วนั . แต่ทรงทราบวา่ เทวดากล่าวชว้ี า่ พระองคจ์ ะยงั เขา้ มรรคาแหง่ ความสขุ ไมไ่ ด้
หากไมก่ ลา่ วธรรมใหส้ าธชุ นไดส้ ดบั . นางมณีเมขลาใหพ้ ระองคต์ งั้ สถาบนั การศกึ ษา ใหช้ อ่ื
วา่ ปทู ะเลยม์ หาวชิ ชาลยั . แมใ้ นกาลนนั้ กจ็ ะสาํ เรจ็ กจิ และไดม้ รรคาแหง่ บรมสขุ . พระมหา
สตั วท์ รงดาํ รวิ า่ : “ทุกบคุ คลจะเป็นพอ่ คา้ วาณิช เกษตรกร กษตั รย์ หรอื สมณะ ตอ้ งทาํ หน้าท่ี
ทงั้ นนั้ . อยา่ งไรกต็ าม กอ่ นอ่นื เราตอ้ งหาทางฟ้ืนฟูตน้ มะมว่ งทม่ี ผี ล.” บดั นนั้ จงึ ใหเ้ รยี ก
เสนาบดี ตรสั สงั่ วา่ : “จงไปเชญิ อุทจิ จพราหมณ์มหาศาลใหม้ าพรอ้ มดว้ ยลกู ศษิ ยส์ องสาม
คน.”2223
ภาวะผนู้ ําทด่ี ยี อ่ มแตกตา่ งจากปุถุชนธรรมดาทวั่ ไปทงั้ หลาย เมอ่ื เหน็ ภยั พาลคบื คลานเขา้ มาหรอื เหน็
ปัญหาเกดิ ขน้ึ ปุถุชนมกั จะตน่ื ตระหนก ร่าํ รอ้ งโวยวาย กล่าวโทษใสร่ า้ ยกนั คนเหลา่ น้มี กั “พลกิ วกิ ฤตใิ ห้
กลายเป็นหายนะ” ในทางตรงขา้ มผทู้ ม่ี ภี าวะผนู้ ําคอื ผทู้ ต่ี งั้ อยใู่ นสตสิ มั ปัชชญั ญะ ใชป้ ัญญา เรยี กระดมผรู้ ู้
มาชว่ ยกนั ขบคดิ เพอ่ื แสวงหาทางออกและฟ้ืนฟูกปู้ ัญหาเหล่านนั้ พระมหาชนกคอื แบบอยา่ งแหง่ ภาวะ
ผนู้ ํา เมอ่ื เหน็ ปัญหา แมต้ นเองจะมคี วามทุกขใ์ จหนกั หนากบั ปัญหาทเ่ี กดิ ขน้ึ แต่กต็ งั้ สตเิ รยี กระดมป
ราชณ์ราชบณั ฑติ แลว้ เตอื นสตวิ า่ แทนทจ่ี ะมานงั่ พร่าํ บน่ เสยี อกเสยี ใจ แตค่ วรจะมาชว่ ยกนั คดิ และ
ดาํ เนินการ “พลกิ วกิ ฤตใหก้ ลายเป็นโอกาส” มากกวา่ ในตอนน้ี พระอจั ฉรยิ ภาพของพระบาทสมเดจ็ พระ
เจา้ อยหู่ วั ไดป้ รากฏใหเ้ หน็ เดน่ ชดั อกี ครงั้ เมอ่ื ทรงนําเสนอ “แนวทางการฟ้ืนฟู้ตน้ มะมว่ ง” อยา่ งเป็นระบบ
ถูกตอ้ งตามหลกั วชิ าถงึ 9 วธิ กี าร ดงั ทป่ี รากฏในตอนท่ี 35
(ตอนท่ี 35) อทุ จิ จพราหมณ์มหาศาลรบี มาเฝ้าพระราชา พรอ้ มดว้ ยลกู ศษิ ยส์ องคน คอื จารุ
เตโชพราหมณ์และคเชนทรสงิ หบณั ฑติ . สองคนน้ี คนแรกชาํ นาญการปลกู คนทส่ี องชาํ นาญ
การถอน. ทนั ใดทม่ี าถงึ คเชนทรสงิ หบณั ฑติ กท็ รุดลงแทบพระบาทของพระราชาแลว้ ทลู วา่
“ขา้ พระองคผ์ ดิ ไปเอง เมอ่ื เหลา่ อมาตยข์ อใหข้ า้ พระองคช์ ว่ ยเกบ็ มะมว่ งถวายพระอปุ ราช ขา้
พระบาทจงึ นําเอา “ยนั ตกลเกบ็ เกย่ี ว” มาใช้ มไิ ดค้ ดิ วา่ จะทาํ ใหต้ น้ มะมว่ งถอนรากโคน่ ลงมา
พระพทุ ธเจา้ ขา้ ขอรบั .” พระราชตรสั วา่ : “อยา่ โทมนสั ไปเลย อาจารยผ์ ดู้ าํ รกิ าร ตน้ มะมว่ ง
โคน่ ไปแลว้ ณ บดั น้ปี ัญหาคอื ฟ้ืนฟูตน้ มะมว่ งไดอ้ ยา่ งไร. เรามวี ธิ เี กา้ อยา่ งทอ่ี าจใชไ้ ด.้ หน่งึ
เพาะเมด็ มะมว่ ง. สอง ถนอมรากทย่ี งั มอี ยใู่ หง้ อกใหม.่ สาม ปักชาํ กงิ่ ทเ่ี หมาะแกก่ ารปักชาํ .
ส่ี เอากงิ่ ดมี าเสยี บยอดกง่ื ของตน้ ทไ่ี มม่ ผี ลใหม้ ผี ล. หา้ เอาตามาตอ่ กงิ่ ของอกี ตน้ . หก เอา
200
P a g e | 201
กงิ่ มาทาบกง่ิ . เจด็ ตอนกงิ่ ใหอ้ อกราก. แปด รมควนั ตน้ ทไ่ี มม่ ผี ลใหอ้ อกผล. เกา้ ทาํ ‘ชวี าณู
สงเคราะห’์ . ทา่ นพราหมณ์มหาศาล จงใหพ้ ราหมณ์อนั เตวาสกิ ไปพจิ ารณา” อุทจิ จพราหมณ์
รบั สนองพระราชโองการ วา่ : .ขา้ พระองคผ์ ทู้ รงภมู ปิ ัญญา จะใหค้ เชนทรสงิ หบณั ฑติ นํา
เครอ่ื ง ‘ยนั ตกล’ ไปยกตน้ มะมว่ งใหต้ งั้ ตรงทนั ที และจะใหจ้ ารเุ ตโชพราหมณ์เกบ็ เมด็ และกง่ิ
ไปดาํ เนินการตามพระราชดาํ ร.ิ ” พระราชโปรดใหส้ องคนนนั้ รบี ไป แตข่ อใหพ้ ราหมณ์
มหาศาลคอยรบั พระราชดาํ รติ อ่ ไป.2324
มปี ระเดน็ ทผ่ี เู้ ขยี นสนใจและเหน็ วา่ เป็นประเดน็ ทส่ี าํ คญั เป็นอยา่ งยงิ่ ในตอนท่ี 35 น้กี ค็ อื
• วิธี 9 อยา่ งในการฟื้ นฟตู ้นมะมว่ ง ผเู้ ขยี นไดเ้ คยสอบถามความคดิ เหน็ จากนกั วชิ าการดา้ น
การเกษตรบางทา่ น พบวา่ แนวทางการฟ้ืนฟูตน้ มะมว่ งทงั้ 9 วธิ กี ารนนั้ ถอื เป็นภมู ปิ ัญญาท่ี
สาํ คญั และลา้ํ ลกึ อยา่ งยงิ่ ในวชิ าการทางเกษตรศาสตร์ สะทอ้ นใหเ้ หน็ วา่ ผปู้ ระพนั ธ์ “พระ
มหาชนก” ไดศ้ กึ ษาคน้ ควา้ ศาสตรท์ างดา้ นน้มี าอยา่ งลกึ ซง้ึ อยา่ งไรกต็ าม ผเู้ ขยี นบทความน้มี ไิ ด้
เป็นนกั วชิ าการทม่ี คี วามรคู้ วามเขา้ ใจทางการเกษตร แต่ผเู้ ขยี น – ในฐานะของนกั วชิ าการดา้ น
การพฒั นาทรพั ยากรมนุษยแ์ ละองคก์ าร – ใครข่ อตงั้ ขอ้ สงั เกตในทน่ี ้วี า่ น่ีคอื “รหสั นยั ทล่ี กึ ซง้ึ ”
ยง่ิ นกั และน่าจะเป็นรหสั นยั ทน่ี กั วชิ าการดา้ นการพฒั นาทรพั ยากรมนุษยแ์ ละองคก์ ารพงึ ขบคดิ ตี
201