143
เรอ่ื งที่ 1 การปองกันอันตรายจากการประกอบอาชีพ
สขุ ภาพกบั การประกอบอาชีพมีความสัมพันธกนั อยา งมาก คอื
1. การประกอบอาชีพทําใหเรามีความเปนอยูที่ดีและในขณะเดียวกันการที่เราจะ
สามารถประกอบอาชีพไดจ าํ เปนตองมีสขุ ภาพทดี่ ีท้งั รางกายและจติ ใจ ท้งั สองสิ่งนี้ตองควบคกู นั ไปจึง
จะทํางานไดอยางมีประสิทธิภาพ
2. ความสมั พนั ธในทางลบ คอื การประกอบอาชพี สง ผลเสยี ตอ สขุ ภาพ ทําใหเ กดิ โรค
และอันตรายได ดังนน้ั จึงจําเปนทตี่ องควบคมุ และปองกนั โรค รวมทัง้ อันตรายจากการประกอบอาชีพ
นอกจากนคี้ วรใหการศึกษาแกประชาชนใหประกอบอาชีพไดอยา งปลอดภัย
ปจจยั ที่เปน สาเหตุของการเกิดโรคและอันตรายจากการประกอบอาชีพ ปจจยั ทีส่ าํ คญั ไดแ ก
1. บุคคลผปู ฏิบตั งิ านและควบคมุ การทาํ งาน เปนผูควบคมุ กาํ หนด และปฏิบัติการทาํ
ส่งิ ตา ง ๆ องคป ระกอบตาง ๆ ของบคุ คลทส่ี ง ผลใหเกดิ โรคหรอื อนั ตรายจากการทาํ งาน ไดแ ก
1.1 สภาวะทางรางกายและจิตใจ รางกายและจิตใจออนแอทําใหเกิดโรคหรือ
อนั ตรายได
1.2 ลกั ษณะนิสัยการทํางาน ตองรักการทํางาน ละเอียด รอบคอบ จึงจะไมเกิด
โรคหรืออนั ตราย
1.3 การขาดความรูความสามารถในการทาํ งานและประสบการณก็เปนอีกปจจัย
หนึง่ ที่ทําใหเ กดิ โรค
2. สภาพแวดลอ มทางกายภาพ ไดแ ก สถานทท่ี ํางาน แสง เสียง ฯลฯ
3. สารเคมี เปน ส่ิงทมี่ ีประโยชนแ ละโทษในการประกอบอาชพี
4. เชอื้ โรคและพษิ ของเชอ้ื โรค เม่อื เขาสรู างกายอาจเกดิ อนั ตรายได
5. เคร่ืองจักร เคร่อื งมอื และในการทาํ งาน หากใชอยา งไมถ ูกตอ ง อาจเกดิ อนั ตรายได
144
สภาพการณท ่ไี มปลอดภัย (Unsafe Conditions)
เครอื่ งจกั ร : ไมม อี ุปกรณปองกนั สว นท่ีเคลื่อนไหว หรือมไี มเพียงพอ
เครือ่ งมือ : อปุ กรณช าํ รุด เปนอันตราย
ส่ิงของ : วัสดุ วางไมเปนระเบยี บ
อาคาร : ส่ิงปลูกสรางไมมัน่ คง
สารเคมี : วตั ถุมพี ษิ ไมมีทเ่ี กบ็ โดยเฉพาะ
สภาพ ความรอ น ความเยน็ แสงสวาง เสียงดัง ฝุนละออง ไอระเหย ฯลฯ
การกระทําทไ่ี มปลอดภยั (Unsafe Acts)
เดนิ เครอื่ งจกั รหรือทาํ งานที่ไมใ ชห นา ท่ีของตน หรือไมรูงาน
เดินเคร่อื งเรว็ เกินควร
ถอดอุปกรณป องกนั อันตรายออก
ใชเ ครอ่ื งมอื ไมถูกวิธี ไมเ หมาะสม หรือไมปลอดภยั
ทาปฏบิ ัตงิ านไมเหมาะสม
ไมใ ชอ ปุ กรณปองกันสว นบุคคล
ประมาท มกั งาย หรือหยอกลอ กนั ในขณะทาํ งาน
จงใจฝา ฝนกฎระเบยี บ
อน่ื ๆ
1.1 ความปลอดภัยท่วั ไปในบรเิ วณโรงงาน
ขอพงึ ปฏิบตั ิเพอ่ื ความปลอดภยั ในโรงงาน
1. หา มสูบบหุ รีใ่ นบรเิ วณโรงงาน ยกเวนบรเิ วณที่อนุญาตใหส ูบได
2. หามท้ิงกนบหุ ร่ลี งบนพ้นื ตอ งทิง้ ลงในภาชนะท่ีจัดไวใ หเ ทาน้ัน
3. หามนําไมข ีดไฟ หรอื ไฟแชค็ ชนิดจงั หวะเดียวเขา ไปในบริเวณท่ีหามสูบบหุ ร่ี
4. หา มหงุ ตม อาหารในบริเวณท่ีหามสูบบหุ รี่
5. หา มนําอาหารหรือเครื่องดมื่ เขา ไปในบรเิ วณทผ่ี ลิตสารเคมอี ันตรายและคลงั พสั ดุ
6. หา มเกบ็ เสื้อผา รองเทา หมวก ถงุ มอื และของใชส ว นตัวอื่น ๆ ไวในท่ีตามใจชอบ
ใหจ ดั เก็บไวในตูทจ่ี ัดไวใหเทาน้ัน
7. หามบวนนาํ้ ลายลงบนพื้นโรงงาน หรอื ในบรเิ วณท่ที ํางาน
8. ใหท ง้ิ ขยะมูลฝอยในถังท่จี ดั ไวไหเทา นัน้
9. ควรรักษาความสะอาดของเคร่ืองใชประจาํ ตัวอยา งสมาํ่ เสมอ
145
10. ตองสวมเส้อื ผา รองเทา ใหเรยี บรอ ยตลอดเวลาทที่ าํ งานในโรงงาน และสวม
หมวกพรอ มทง้ั อปุ กรณปองกนั อนั ตรายอ่ืน ๆ ที่จาํ เปน เม่ือทาํ งานในโรงงาน
11.หากมีอบุ ัตเิ หตุเกิดข้ึน ใหร ายงานตอผูบ งั คับบัญชาทนั ที
12.หากรสู กึ เจบ็ ปว ยในเวลาทาํ งานใหร ีบรายงานตอผูบงั คบั บญั ชาเพอ่ื จะไดทําการ
รกั ษาพยาบาลทันที
13.ใหเดนิ ตามทางทจ่ี ดั ไวใ นโรงงาน อยา วงิ่ เมอื่ ไมมเี หตจุ ําเปน
14.จัดเก็บและเรยี งส่งิ ของใหเปนระเบียบ เพ่ือใหม ีทางเดินหรอื ทาํ งานไดสะดวกและ
ปลอดภัย
15. หามเลนเยา แหย หรอื หยอกลอกันในบรเิ วณทีท่ าํ งาน
16. หา มฝก ขบั ขย่ี านพาหนะในบริเวณโรงงาน
17. ตองเรียนรูถงึ วิธกี ารดับเพลงิ และการใชอุปกรณด ับเพลงิ ประเภทตา ง ๆ
การใชแ ละเกบ็ รักษาเคร่ืองมอื อุปกรณการทํางาน
1. ใหเกบ็ เครอื่ งมอื และอุปกรณตาง ๆ ใหเ ปนระเบยี บเรียบรอยและเก็บรักษาใหอยู
ในสภาพท่ีดี เมอื่ จะใชหรอื เตรียมจะใช ตอ งวางไวใ นทที่ ี่ไมเปนอนั ตรายแกบุคคลอ่ืน
2. ในขณะปฏบิ ตั งิ านบนทส่ี ูงหามวางเครื่องมือหรืออุปกรณอื่นใดบนนั่งรานแทน
บนั ได หรือทสี่ งู เวนแตจ ะไดมที เ่ี กบ็ ไวไมใหตก
3. เคร่ืองมือไฟฟาชนิดมือถือหรือชนิดเคลื่อนยายได และไมมีฉนวนหุมสองช้ัน
จะตอ งมีสายไฟฟาชนดิ สามสายและปลก๊ั ท่ีตอไปยงั สายดิน
4. ผูป ฏบิ ตั ิงานทกุ คนเม่อื พบเหน็ เคร่อื งมือเคร่ืองใช หรืออุปกรณซ่ึงถาปลอยท้ิงไว
อาจกอ ใหเ กดิ อันตราย หรอื พบเหน็ เครอื่ งมืออปุ กรณที่ใชปองกันอันตรายน้ันไมไดมาตรฐาน ใหแจง
ผูบงั คับบัญชาทราบโดยทันที
5. ในการปฏิบัตงิ านแตล ะครงั้ หามผูปฏบิ ัตงิ านใชเครอื่ งมอื ทชี่ ํารุดบกพรอง
การใชอุปกรณย กยายส่งิ ของ
1. อุปกรณยกของจะตองไมบ รรทุกน้ําหนักเกินกวามาตรฐานการใชงานท่ีกําหนด
ไว
2. ผูปฏบิ ตั ิงานท่ที ํางานเกี่ยวกับอุปกรณยกของจะตองสวมเครื่องปอ งกันอันตรายท่ี
เหมาะสมกับงาน เชน หมวกนริ ภยั รองเทานิรภยั และถงุ มือนริ ภัย ฯลฯ
3. การทํางานเกย่ี วกับอุปกรณย กของจาํ เปนที่จะตองมกี ารประสานงานกับเจาหนา ท่ี
คนอน่ื ทท่ี าํ งานอยใู นบริเวณเดยี วกัน
4. ผูใชปนจ่ัน กวาน และเครน จะตองเปนผูท่ีมีหนาที่และไดรับอนุญาตจาก
ผูบงั คับบัญชาแลว เทานนั้
146
5. กอ นทําการใชปนจน่ั กวาน และเครนในแตล ะวัน ผใู ชจ ะตอ งตรวจสอบใหแ นใจ
วาปนจ่ัน กวาน และเครนอยูในสภาพทเ่ี หมาะสมกับการใชงานและสามารถใชงานไดอยางปลอดภัย
เชน ตรวจหารอยราย รอยแตก การหลุดหลวมของนอตระบบไฮดรอลิกส ระบบควบคุมการทํางาน สมอ
เกีย่ ว โซ และเชอื ก เปนตน
6. ผูใชป น จน่ั จะตองไมยกของหนกั ขามศรี ษะบคุ คลอน่ื นอกจากหัวหนางานจะส่ัง
และผูปฏิบัติงานที่ทํางานอยูใกล ๆ หรืออยูใตอุปกรณยกของนั้น จะตองระมัดระวังส่ิงของตกลงมา
ตลอดเวลา
7. ในขณะท่ปี นจนั่ หรือเคร่อื งยกอ่นื ๆ กําลงั ยกของคา งอยู ผใู ชจ ะตอ งเอาใจใสและ
ควบคมุ อยางดี
8. ในการปฏิบัติงาน ผูใชปน จนั่ หรือเครือ่ งยกอ่ืน ๆ ตอ งดูสัญญาณจากพนักงานผูมี
ความรูค วามชาํ นาญ และมหี นา ที่ในเรอ่ื งน้ีแตเ พยี งผูเดยี วเทา นั้น
9. เม่ือใชปนจั่น กวาน และเครนในบริเวณที่มีสายไฟหรืออุปกรณไฟฟาที่มี
กระแสไฟฟาไหลผานอยู ผใู ชจ ะตอ งไมนาํ สวนหนึ่งสว นใดของปนจัน่ กวาน และเครนซ่ึงไมมีเคร่ือง
ปอ งกันเขาใกลส ายไฟหรอื อปุ กรณไฟฟา นอ ยกวา ระยะทีก่ ฎหมายกาํ หนดไว
10. สลิงที่ใชกับเคร่ืองยกตาง ๆ จะตองเปนชนิดที่ทําดวยลวด โซเหล็ก หรือเชือก
มะนลิ า
11. สลิงทุกเสนจะตองมีความแข็งแรงพอที่จะรับนํ้าหนักไดไมนอยกวา 8 เทาของ
ส่ิงของที่จะยก
12. กอ นที่จะใชส ลงิ จะตอ งตรวจดูใหละเอยี ดถีถ่ ว นวาจะใชไดอ ยางปลอดภยั หรือไม
หา มใชส ลงิ ทหี่ งกิ งอหรือมเี สนเกลียวขาดจนทาํ ใหค วามแขง็ แรงนอ ยกวาทก่ี าํ หนดไวใ นขอ 11
13. เมื่อจะใชสลิงยกของที่มีขอบแข็งคม จะตองใชไมหรือสิ่งรองรับอื่น ๆ ที่
เหมาะสมรองกันไวไ มใ หส ลิงชํารดุ เสยี หาย
การใชเ ครื่องกลงึ
1. หามวางเคร่อื งมอื หรือวัตถตุ า ง ๆ ไวบ นแทน เลื่อนของเครอื่ งกลึง เวนแตเคร่ืองมือ
ทจี่ าํ เปน ตอ งใชในงานท่กี าํ ลังทําอยเู ทานน้ั
2. จะตอ งจัดหาลงั ถงั หรือภาชนะอน่ื ๆ ทเ่ี หมาะสมไวส ําหรับใสเศษวตั ถุ
3. ผูปฏิบัติงานทุกคนท่ีปฏิบัติงานกับเครื่องจักรกลจะตองสวมแวนตานิรภัยเพื่อ
ปอ งกันอันตรายซงึ อาจเกดิ ขนึ้ กับดวงตา และตองใชแ ผนปดหนาอกท่ีทําดวยผาท่ีมีสวนประกอบของ
ใยสังเคราะหนอ ยท่ีสดุ เพื่อปองกนั เศษโลหะท่ีรอ น ซ่งึ อาจจะกระเด็นถูกผิวหนงั หรือเส้อื ผา ทสี่ วมใส
4. หา มวดั ขนาดชน้ิ งานขณะท่ีเครอ่ื งกลึงกาํ ลงั หมุน
5. หา มใชมอื ไปจบั เพ่ือดึงเศษโลหะออกจากชิ้นงาน โดยเฉพาะขณะทกี่ าํ ลงั กลึงอยู
147
การใชเคร่ืองขัดหรือหินเจียร
1. จะตองติดตงั้ เคร่อื งขัดหรอื หินเจียรใหยึดแนนกับพื้นโตะหรือฐานอื่น ๆ ท่ีมั่นคง
แข็งแรง
2. จะตองมีฝาครอบเคร่ืองขัดเพื่อปองกันไมใหผูปฏิบัติงานไดรับอันตรายจากเศษ
โลหะท่กี ระเด็นออกมา
3. จะตองไมตั้งอัตรารอบหมุนของจานขัดเกินอัตรารอบหมุนเร็วท่ีบริษัทผูผลิต
กําหนดไว
4. จะตองปรบั แผนรองขัด (Work Rest) ใหพอเหมาะโดยใหหางจากจานขัดไมเกิน
1/8 นว้ิ
5. จานขัดท่ีสึกมากจนใชการไดไ มด ี จะตอ งเปล่ียนใหมท นั ที
6. จานขัดทชี่ าํ รุดจะตอ งท้งิ ไป อยานาํ กลบั มาใชอีก
7. ผูป ฏบิ ัติงานทีป่ ฏิบตั ิงานกับเคร่ืองขัดจะตองสวมแวนนิรภัยเพื่อปองกันอันตราย
อนั อาจจะเกดิ ขึน้ กบั ดวงตา และสวมเครือ่ งกรองอากาศหายใจปองกันอันตรายจากฝุนที่อาจจะเกิดกับ
ระบบหายใจ และสวมถงุ มือปองกันเศษโลหะ
การใชเ ครอ่ื งตดั
1. ในการทํางานกับเคร่ืองตัด ผูปฏิบัติงานจะตองสวมเคร่ืองปองกันอันตรายสวน
บคุ คล เชน เคร่ืองปองกนั ดวงตา ถงุ มือ รองเทา ผาหรอื หนังกนั เศษโลหะ
2. เครอื่ งตดั จะตองมีเคร่อื งปองกันอันตรายประจําเครื่อง เชน แผนใสนิรภัยปองกัน
เศษชนิ้ งานกระเด็นเขาตา หรอื มฝี าครอบวงลอ
3. ในหองปฏิบัติงานจะตองมีระบบระบายอากาศท่ีเพียงพอ เพ่ือกําจัดฝุนโลหะที่
เกิดขึ้น ถา ไมม รี ะบบระบายอากาศ จะตองใหผูปฏิบัติงานสวมอุปกรณปองกันฝุนตลอดระยะเวลาท่ี
ปฏบิ ัติงานกับเคร่อื งตัดดงั กลา ว
การใชเ ครือ่ งปม โลหะ
1. ควรใชเ ครอื่ งปม ท่ีอยูในสภาพท่ีปลอดภัยตอการใชงาน หรือมีการติดตั้งอุปกรณ
ปองกนั อนั ตรายแลวเทา นัน้
2. ถา ตอ งปม งานชิน้ เล็กหรืองานท่ีคอนขางยุง ยาก ควรใชเครื่องมอื ชวยจบั ช้นิ งาน
3. เมื่อตองการตดิ ต้งั เคลือ่ นยาย และปรบั แตงแมพ มิ พ ควรใชบ ล็อกนริ ภยั ทกุ คร้ัง
4. การติดตั้ง เคล่ือนยาย หรือปรับแตงแมพิมพ ตองกระทําโดยบุคคลท่ีไดรับการ
ฝกอบรมแลวเทา นัน้
148
การใชเ ครอ่ื งจกั รทวั่ ไป
1. ขจัดสวนที่เปนอันตรายทุกสวนของเครื่องจักรใหหมดไป (อาจใชหุนยนตชวย
ทาํ งานในจดุ ที่มอี นั ตราย เปน ตน ) หรอื ทําการปองกันสว นที่มีอนั ตรายนน้ั เชน ตดิ ต้งั ท่ปี อ งกัน หรือฝา
ครอบ หรอื ใชเคร่อื งจักรอตั โนมตั ิ
2. ทาํ งานตามระเบยี บวธิ ปี ฏบิ ัติงานอยางเครง ครัด
3. สวมใสเสอ้ื ผา ท่รี ดั กมุ อยาสวมเสอื้ ปลอ ยชาย
4. สวมใสเคร่ืองปองกันและใชเคร่ืองมือที่ถูกตองและเหมาะสมกับงานท่ีทํา และ
ตองระวังในการใชถ งุ มือ เพราะถุงมือบางอยา งอาจจะไมเหมาะกับงานบางอยา ง
5. ในการตรวจสอบ ซอมแซม และทําความสะอาดเครื่องจักรน้ัน จะตองหยุด
เคร่อื งจักรใหเ รยี บรอยและมเี ครื่องหมายช้ีบอกหรอื ตดิ ปายแขวนวา “หา มเดินเครอ่ื ง”
6. ใหตรวจตราเครื่องจักรกอนเดินเครื่องและตรวจสอบเปนระยะ ๆ และระวัง
อนั ตรายขณะตรวจตราเครอ่ื งจักรและกอนเริ่มเดนิ เคร่อื ง
7. เมื่อจะตองทํางานรวมกัน จะตองแนใ จวา ทุกคนเขาใจในสัญญาณเพื่อการสื่อสาร
ตาง ๆ อยา งชัดเจนและถูกตองตรงกนั
8. อยาเขาไปในสวนท่ีเปนอันตรายของเครื่องจักร หรือสวนที่ทํางานเคลื่อนไหว
ตลอดเวลาถา จําเปน ตองเขา ไปในบรเิ วณน้ัน ตอ งแนใจวาเครอ่ื งจกั รไดหยุดเดินเคร่ืองแลว
การใชเ คร่ืองมอื
1. เลือกใชเ คร่อื งมือทเี่ หมาะสมกบั งานทที่ ํา
2. รักษาเคร่อื งมือใหอยูในสภาพที่ดีอยูเสมอ โดยตรวจสอบสภาพกอนการใชงานทุก
คร้งั
3. ซอมแซมหรอื หาเครือ่ งมอื ใหมท ดแทนเครอื่ งมอื ท่ชี ํารดุ หรือแตกหักโดยทันที
4. ลางนา้ํ มนั จากเครอื่ งมอื หรือชิ้นงาน เพือ่ ปองกนั อุบตั เิ หตจุ าการลื่นไถล
5. ตรวจสอบและปฏบิ ัตติ ามขอ แนะนําการใชเ ครื่องมือ
6. จับหรือถอื เครอื่ งมือใหก ระชบั การจบั แบบหลวม ๆ อาจกอใหเ กิดอุบตั ิเหตไุ ด
7. อยา เรม่ิ งานโดยไมต รวจสอบสภาพตา ง ๆ โดยรอบหรือบรเิ วณพน้ื ทีท่ ่ีทาํ งานกอน
การใชส ายพานลาํ เลยี ง
1. สายพานลาํ เลียงตอ งมีสวติ ซห ยุดฉกุ เฉิน และตองตรวจสอบใหรูจุดท่ีติดตั้งสวิตซ
ฉุกเฉนิ กอนที่จะเริม่ ใชส ายพานลาํ เลยี ง
2. มอี ปุ กรณค รอบหรือบังสวนทีห่ มุนไดของสายพาน เชน ลกู กล้งิ มเู ล ฯลฯ
3. ถาของทีล่ าํ เลียงมีโอกาสตกลงมาได ตอ งมีสวนปดหรือครอบปองกัน
149
4. อยา กาวหรือกระโดดขา มสายพานลาํ เลียงขณะทํางาน
5. เมอื่ จําเปน ตองซอ มหรือตรวจตราสายพานลาํ เลยี งเพราะมีการทํางานผิดพลาดตอง
ปดสวิตซทาํ งานกอนท่จี ะซอมหรอื ตรวจตราสายพานลําเลียงนน้ั
การเชื่อมโลหะ
1. ขณะทําการเช่ือมดวยไฟฟาภายในอาคาร จะตองใชฉากกั้นกําบังเพื่อเปนเครื่อง
ปอ งกนั อนั ตรายแกผ ูปฏิบัติงานคนอ่นื หรอื ผูท ีอ่ ยใู กลเ คียง
2. ขณะทาํ การเชื่อมหรือการตัดดวยกาซหรือไฟฟา ผูเชื่อมหรือตัดจะตองใชเครื่อง
กําลงั หนาทเ่ี หมาะสม มีเลนสป อ งกนั นัยนต าตามประเภทของการเชอ่ื มหรอื การตดั นน้ั และตอ งสวมถุง
มอื หนังดว ย
3. จะตองมีเครื่องดับเพลิงประจําพ้ืนท่ี และพรอมท่ีจะใชไดเสมอในกรณีเกิดเพลิง
ไหม
4. เมือ่ จะใชเครอื่ งเช่ือมไฟฟา ผูทําการเชอื่ มจะตองมั่นใจวาตนไมไดสัมผัสกับพ้ืนที่
เปย กชืน้
5. หา มสวมถุงมอื ท่เี ปยกน้ํามันหรือจาระบหี ยิบจับเครือ่ งเช่อื ม
6. ถงั ออกซเิ จนและอะเซทิลีนจะตอ งมกี ารยึดใหแ นน เพอื่ ปองกนั การลม และจะตอง
ไมว างทออะเซทลิ ีนนอนราบกบั พื้นเปนอันขาด
7. ใหใชไกบังคับแรงเคลื่อน (Pressure Regulator) บังคับใหออกซิเจนและ
อะเซทลิ นี ไหลไปยังไฟเช่ือมอยางสมํา่ เสมอ
8. ในขณะทําการเปดลิ้นถังออกซิเจน หามผูปฏิบัติงานคนหน่ึงคนใดยืนอยูหนา
เคร่ืองบงั คบั ออกซเิ จน
9. หา มทําการเชือ่ ม ตดั หรอื บดั กรใี กลตวั ถงั หรอื ท่ีตัวถัง หรือภาชนะอื่น ที่เคยใสว ตั ถุ
ตดิ ไฟหรือวตั ถุที่เกดิ ระเบิดได จนกวาจะไดทําการระบายอากาศ หรือลางถังหรือภาชนะเหลานั้นให
สะอาดแลว
10. เม่อื ทาํ การเช่ือมหรือเผาหรือใหความรอนกับตะกั่ว แคดเมียม วัตถุอาบสังกะสี
หรือวัตถุอ่ืนใด รวมท้ังสารท่ีใชชวยในการเชื่อม จนทําใหเกิดควันขึ้น จะตองจัดใหมีระบบระบาย
อากาศท่ดี ีพอ เพือ่ ปอ งกนั มิใหผ ปู ฏบิ ตั ิงานสูดควันพิษท่ีเปนอันตรายเขาไป ถาหากไมสามารถทําการ
ระบายอากาศได จะตองสวมหนากากหรือเครื่องชวยหายใจที่ไดรับการรับรองแลวตลอดเวลาที่
ปฏิบตั งิ าน
11. เมื่อทําการเช่ือมในสถานท่ีอับอากาศจะตองมีการระบายอากาศออกอยางมี
ประสิทธภิ าพ
150
คนละแหง 12. การเกบ็ รักษาถังออกซิเจนและถังอะเซทิลีนเปนจํานวนมาก จะตองแยกเก็บไว
การเชื่อม 13. การเชอ่ื มดว ยไฟฟาหรอื กา ซใกลกับแบตเตอรี่ ตองยกแบตเตอร่ีใหพนจากบรเิ วณ
การพนสี
1. ดวงโคม พัดลมดูดอากาศและสายไฟในหองพนสี จะตองใชชนิดที่มีความ
ทนทานตอไอระเหยของสีไดด ี
2. สวติ ซดวงโคม เตาเสยี บ หรอื อุปกรณอ ่นื ๆ ท่อี าจกอใหเ กดิ ประกายไฟ จะตองไม
ติดตงั้ ไวภายในหองพน สี
3. หามสบู บหุ ร่ี จดุ ไฟหรอื ทาํ ใหเกิดประกายไฟภายในหองพน สี
4. ในขณะทําการพน สีในหองพนสี ผูปฏิบัติงานทุกคนจะตองสวมหนากาก หมวก
เส้อื แขนยาวไมพ บั แขน ถุงมอื กางเกงขายาว และรองเทาหุม สน
5. ขณะท่ีกําลังทําการพนสี ทุกคนที่อยูในหองพนสีจะตองสวมหนากากแบบที่มี
เครื่องกรอง หรอื ใชผาปดปากและจมูก
การทาํ งานเกย่ี วกบั แบตเตอรี่
1. หามสูบบุหร่ี จุดไฟ หรือทําใหเกิดประกายไฟภายในหองอัดแบตเตอรี่ หรือใน
หอ งเก็บแบตเตอร่ี เพ่ือปอ งกันการระเบดิ ของกา ซไฮโดรเจน
2. เมือ่ จะปฏิบตั กิ ารใด ๆ เกี่ยวกบั นํา้ กรด ผูปฏบิ ัติงานจะตองสวมถุงมือยาง แวนตา
นิรภยั และผา กนั เปอ นทําดวยยาง
3. ในกรณที นี่ ้ํากรดหกหรอื กระเดน็ ถกู สวนหน่งึ สวนใดของรางกายใหใชนํ้าสะอาด
ลางออกทันที แลว รีบไปพบแพทย
4. กอ นทําการตอ หรือปลดสายข้ัวแบตเตอร่ี ตองแนใ จวาไดต ดั วงจรไฟฟาแลว
5. ในการยกหรือเคลอื่ นยา ยแบตเตอรี่หรอื กลอ งบรรจุแบตเตอร่หี า มเอียงหรือตะแคง
แบตเตอร่ี เพือ่ ปองกนั การหกหรอื กระเดน็ ของนํา้ กรด
6. ข้ัวของแบตเตอรีข่ นาดใหญค วรปด กน้ั ดวยฉนวน เพ่อื ปองกนั การลัดวงจร
7. ในการเคล่อื นยา ยแบตเตอรตี่ อ งระมัดระวังไมใหแบตเตอร่ีกระทบซึ่งกันและกัน
หรือกระแทกกับส่งิ อื่นที่อาจจะทาํ ใหแตกหรอื ราวได และหามวางแบตเตอรีซ่ อนกันโดยเดด็ ขาด
151
การใชเครอื่ งปอ งกันนัยนตาและหู
1. เมื่อปฏบิ ตั งิ านในสถานท่ีท่ีอาจเกิดอนั ตรายกบั นัยนตา จะตองสวมเครื่องปองกัน
นัยนต าชนิดทีไ่ ดม าตรฐาน
2. ผูปฏบิ ตั งิ านทีท่ าํ งานเกี่ยวกบั การติดตั้งหรือซอมบํารุง และลักษณะงานเปนงานที่
กอ ใหเกิดประกายไฟฟา เศษวตั ถกุ ระจาย จะตอ งสวมแวน นริ ภัยปอ งกันนยั นตา
3. การปฏิบัติงานในท่ีที่มีเสียงดังมาก ๆ จนเปนอันตรายตอระบบการไดยินของ
ผูปฏบิ ตั งิ าน จะตองกาํ หนดใหผปู ฏิบัติงานทุกคนใชเคร่ืองปองกันอันตรายตอหูชนิดเสียบหรือชนิด
ครอบดวย
1.2 ความปลอดภยั ในการทํางานเกีย่ วกบั ไฟฟา
กฎขอ บงั คบั ทว่ั ไป
1. พนกั งานทท่ี ํางานเกี่ยวกบั การซอม ตอเตมิ ติดตัง้ อปุ กรณไ ฟฟาตองสวมเส้ือผาที่
แหงและสวมรองเทาพ้ืนยาง พรอมท้ังตัดกระแสไฟฟาที่มายังจุดท่ีทํางานตลอดระยะเวลาท่ีทํางาน
เกย่ี วกับไฟฟา
2. เครอื่ งมือทใ่ี ชก ับงานไฟฟา ชนิดใชมอื จับ ตอ งมีฉนวนซง่ึ อยใู นสภาพดหี มุ ทด่ี า มจับ
3. ในกรณีทม่ี ีการปฏบิ ตั ิงาน ตรวจสอบ ซอมแซม หรอื ติดต้งั ไฟฟา ที่เก่ียวกับการผลิต
ตองตดั สวิตซต วั ท่ีเกย่ี วขอ ง พรอมล็อกกญุ แจปองกนั การสบั สวิตซ
อปุ กรณแ ละเครื่องจกั รไฟฟา
1. มอเตอรท ใ่ี ชในบรเิ วณที่มีวตั ถไุ วไฟตองเปนชนิดกันระเบดิ
2. หลอดไฟฟา หรอื โคมไฟ ซง่ึ ใชใ นบริเวณทมี่ ีวัตถุไวไฟ ตอ งเปนชนิดทม่ี ีฝาครอบ
มิดชิด และมตี ะแกรงโลหะหมุ รอบนอกอีกชั้นหน่งึ
3. สวติ ซไ ฟฟาในบริเวณท่ีมีวัตถุไวไฟตองเปนชนิดที่มีกลองโลหะหุมมิดชิด และ
เตา เสยี บทใ่ี ชตอ งเปนชนิดทม่ี ฝี าปด
4. การติดตง้ั สวติ ซทุกตวั ตอ งเลอื กชนดิ ท่ีมีอัตราทนกระแสสูงพอที่จะใชกับกระแส
สงู สดุ ในวงจรท่ีใชนน้ั ได
5. การติดต้ังแผงสวิตซตองมีตูปดมิดชิด และตองต้ังหางจากเครื่องจักรพอสมควร
สว นทเ่ี ปน โลหะของแผงสวติ ซตอ งตอ ลงดนิ
6. เมอื่ ใชอุปกรณไ ฟฟา ทัง้ หมดพรอมกันในวงจรแตล ะวงจร จะตองมีกระแสไฟฟา
ไมเ กนิ ขนาดของกระแสไฟฟา สงู สดุ ท่ยี อมใหใ ชก ับไฟฟา ของวงจรน้ัน
152
7. การติดต้ังซอมแซม หรือแกไขดัดแปลงหมอแปลงไฟฟา ซ่ึงแปลงไฟจาก
ไฟฟาแรงสูงต้งั แต 12,000 โวลตขึน้ ไป ตอ งติดตอขอความชวยเหลือหรือขอคําแนะนําจากเจาหนาท่ี
ของการไฟฟา เสยี กอ น
8. ตองมีการตรวจสอบ และทดสอบเคร่ืองกําเนิดไฟฟาฉุกเฉิน ใหอยูในสภาพท่ี
พรอ มจะใชงานไดอ ยา งปลอดภัยอยูเสมอ
9. หามพนกั งานทํางานเก่ยี วกับหมอแปลงไฟฟาทีม่ ีความดันตั้งแต 380 โวลตข้ึนไป
กอนไดร บั อนญุ าตจากหวั หนา ฝายซอมบาํ รงุ
10. การซอ มแซม ดดั แปลง หรอื แกไขอปุ กรณและเคร่ืองจักรไฟฟาเปนหนาที่ของ
พนักงานหนวยซอ มบํารุงเทา นั้น
วิธปี อ งกนั อันตรายจากไฟฟาช็อต
1. ผูปฏบิ ตั ิงานที่เกย่ี วขอ งกบั ไฟฟา ตองมีความรเู กีย่ วกบั ไฟฟา
2. เมื่อพบสงิ่ ผิดปกติตาง ๆ เกดิ ข้นึ กับสายไฟ ตองแจง ใหผบู งั คับบญั ชาทราบทนั ที
3. ในการปฏิบตั งิ านท่ีเกย่ี วของกบั ไฟฟา ตองใชผ ชู ํานาญงานเทาน้ัน
4. ตอ งปดตูสวติ ซไฟฟา เสมอ และจะตอ งไมมสี ่งิ กีดขวางวางอยบู ริเวณตไู ฟฟา
5. ตอ งตดิ ตงั้ สายดนิ เสมอ
6. ตรวจสอบอุปกรณป องกนั ไฟฟาดดู ไฟฟา รว่ั กอ นใชอุปกรณไ ฟฟานน้ั ๆ เสมอ
7. การเปด หรอื ปด ระบบไฟฟา ตอ งแนใ จกอนวา ปลอดภยั แลว
8. เมอ่ื เลกิ ใชอ ปุ กรณไฟฟา แลวใหเกบ็ เขา ท่เี สมอ
9. ถาตอ งทาํ งานอยใู กลระบบไฟฟา เชน มีสายไฟฟาอยูเ หนือศีรษะตองระมัดระวัง
อยาไปสมั ผสั ถูกสายไฟฟาดงั กลาว
10. หามทาํ งานโดยไมส วมชดุ ปองกันไฟฟา ดดู โดยเด็ดขาด
1.3 ความปลอดภยั ในการทาํ งานกับวัตถอุ ันตราย
วตั ถุอันตราย
วัตถุอันตราย หมายถึง วัตถุท่ีสามารถลุกไหมได ติดไฟได และระเบิดได วัตถุ
อันตรายตาง ๆ เหลาน้ี มักจะมีกฎหมายควบคุมเปนพิเศษ และมีขอบังคับเพ่ือใหทํางานไดโดย
ปราศจากอบุ ตั เิ หตุ
153
วตั ถุอนั ตราย แบง ออกไดเปน
1. สารระเบดิ ได
สารเหลา น้จี ะลกุ ติดไฟไดงา ยและระเบิดขึ้นเม่อื มคี วามรอน มีการกระแทกหรือ
มีการเสียดสี สารระเบิดไดมีช่ือเรียกแตกตางกันไป ผูที่ทํางานกับสารเหลานี้ควรจะจดจําช่ือสาร
เหลา นี้ใหไดแ ละมีการตดิ ปา ยวา เปนสารอนั ตราย หรือวัตถุอันตราย นอกจากน้ียังควรรูถึงวิธีการใช
สารเหลา น้ีอยางถกู ตอ งดวย
2. สารลุกไหมไ ด
สารลกุ ไหมไ ด เชน สารฟอสฟอรัสแดงและสารฟอสฟอรัสเหลืองสามารถลุก
ตดิ ไฟไดเ องเมื่อสมั ผสั กบั อากาศ ตวั อยางสารลุกไหมไ ด เชน พวกคารไบด และสารประกอบโลหะ
ของโซเดยี ม ซึ่งจะลุกตดิ ไฟไดเม่อื สมั ผสั กบั น้ํา
3. สารไวไฟ
กา ซไวไฟ เชน กาซถานหิน กาซอะเซทิลีน กาซโพรเพน ฯลฯ กาซเหลาน้ีมี
คุณสมบัติไวไฟและยังสามารถระเบิดไดอีกดวยหากกาซเหลานี้ผสมอยูในอากาศในสัดสวนที่
พอเหมาะ นอกจากนี้สารละลายไวไฟตาง ๆ เชน น้ํามัน ทินเนอร ก็ยังมีคุณสมบัติไวไฟและยัง
สามารถระเบิดอยา งรนุ แรงไดอ ีกดว ย
สารเหลานจ้ี ะกอใหเ กดิ อุบัตเิ หตไุ ดง ายถา มีการเคล่อื นยา ยผิดวิธี ดงั นนั้ ผทู ที่ ําการ
ขนยายจะตอ งรวู ิธขี นยา ยทถี่ ูกตองดว ย
อันตรายของวัตถุอนั ตราย
1. กา ซคารบอนมอนอกไซด (Carbon Monoxide)
กาซคารบอนมอนอกไซดเกิดจากการเผาไหมท่ีไมสมบูรณ เกิดขึ้นไดทั้งใน
โรงงานและในสถานทที่ ํางาน กา ซคารบอนมอนอกไซดเ ปนกาซท่ีเบากวากา ซออกซิเจนเล็กนอย เปน
กา ซทไ่ี มมีสี ไมมกี ลิน่ และไมม ีการกระตนุ เตอื นใด ๆ จงึ เปนกาซทีอ่ ันตรายตอ รา งกาย เพราะกาซน้จี ะ
ทําใหเมด็ เลือดขนถายออกซิเจนนอ ยลง เปนเหตุใหเกิดอาการขาดออกซเิ จน (Suffocation) ได
เมอ่ื ตอ งทํางานในสถานท่ที ม่ี ีกา ซคารบ อนมอนนอกไซด ควรปฏบิ ตั ิดงั น้ี
1. กอนเริ่มงาน ตองตรวจดูความหนาแนนของกาซคารบอนไดออกไซดดวย
เครือ่ งตรวจวัดกาซกอน
2. ใหร ะบายอากาศออกจนกวาความหนาแนนของกาซคารบอนไดออกไซดจะ
ต่ํากวา 50 ppm (0.005%)
3. ตอ งสวมใสหนากากกรองที่เหมาะสม
4. ถาความหนาแนนของกาซคารบอนมอนอกไซดสูง หรือความเขมขนของ
ออกซิเจนต่ํา ใหใชเ ครื่องชวยหายใจ หรอื หนา กากแบบมอี ากาศเสรมิ
154
2. สารละลายอินทรยี (Organic Solvents)
มีสารละลายอินทรียเปนจํานวนมากที่ใชในสถานที่ทํางานและบานพักอาศัย
สารละลายอินทรยี เ หลา น้ีสามารถแทรกซึมเขาสรู า งกายไดห ลายทางท้ังทางระบบหายใจในรูปของไอ
ระเหย เพราะเปนสารท่ีสามารถระเหยไดในอุณหภูมิปกติ และแพรผานผิวหนังไดเพราะเปนตัวทํา
ละลายไขมันนอกจากน้ียังอาจทําใหหมดสติได เพราะจะไปรบกวนการทํางานของระบบประสาท
สวนกลาง ดังนั้นจึงจําเปนอยางยิ่งท่ีจะตองรูคุณสมบัติของสารละลายอินทรียที่จะใชเหลาน้ัน และ
จะตองใชอยา งถกู ตองเพ่ือใหเ กดิ อนั ตรายนอ ยทีส่ ดุ
ระบายอากาศ วธิ ปี ฏิบตั ิงานกบั สารละลายอินทรียอ ยางปลอดภยั
ประกายไฟ 1. ระวงั อยาใหสารละลายอินทรียห ก
2. ปดฝาภาชนะบรรจุสารละลายอนิ ทรยี เสมอ
ทําได 3. ไมลางมอื ดว ยสารละลายอินทรยี
4. ตรวจตราระบบระบายอากาศอยูเสมอ อยาใหมสี ่งิ ใดไปขดั ขวางทาง
5. หามใชส ารละลายอนิ ทรยี ใ กลบริเวณท่ีมไี ฟหรอื บรเิ วณทอ่ี าจเกดิ
6. สวมใสอ ุปกรณปอ งกนั ทีเ่ หมาะสมเสมอขณะใชสารละลายอนิ ทรีย
7. ตอ งใชระบบระบายอากาศเสมอในขณะใชสารละลายอนิ ทรีย
8. หลกี เล่ียงการสมั ผัสไอระเหยของสารละลายอนิ ทรยี ใหมากท่ีสดุ เทา ที่จะ
3. ฝุน
ปกติโรคปอดท่เี กดิ จากฝนุ ที่หายใจเขาไปจะมชี ื่อเรยี กวา โรคปอดฝุนหรือนิวโม
โคนิซิส (Pneumoconiosis) ฝุนที่สูดดมเขามาจะฝงตัวอยูในปอดและปอดไมสามารถขจัดสิ่ง
แปลกปลอมเหลาน้ไี ด เมอ่ื มกี ารสะสมมากขึ้น ปอดจะรูสกึ แนน อดึ อดั ทาํ ใหหายใจไมออก วิธีแกไขท่ี
ดีท่สี ุด คอื การปองกันโรคนี้ไวกอน โดยปรับปรุงสภาพแวดลอมในบริเวณท่ีทํางานและปรับเปลี่ยน
วิธีการทาํ งาน เชน การขจดั ฝนุ ในสถานท่ีทํางาน หรอื การสวมใสห นากากปอ งกันฝุน
155
วิธีใชห นากากปอ งกนั ฝุน อยา งถกู วธิ ี
1. หนา กากควรกระชบั กบั ใบหนา ซ่งึ ฝุนจะไมสามารถแทรกเขา ไประหวางรอง
ของหนา กากกบั ใบหนาได
2. แมส ภาพของสถานท่ที ํางานโดยท่ัวไปจะสะอาด แตอ าจจะมีฝุนขนาดเล็กอยู
ได จงึ ควรสวมหนากากปองกันฝุน ไว ถา บริเวณน้นั มีฝนุ ขนาดเล็กอยไู ด จงึ ควรสวมหนา กากปอ งกัน
ฝุนไว ถาบรเิ วณนนั้ มีฝุนอยู
3. หามสวมหนา กากกรองฝนุ ในบรเิ วณทอี่ บั อากาศ หรอื บริเวณท่ีมกี าซพิษ
4. ควรเก็บรักษาหนากากไวในที่ท่ีอากาศถายเทดี และเก็บอยางถูกหลักวิธี
รวมทั้งควรเปลี่ยนไสกรองเมือ่ จําเปน
5. หนากากกันฝนุ โดยทว่ั ไปจะใชสําหรับงานชว่ั คราวเทาน้นั
4. สารเคมีจําเพาะ
สารเคมีจําเพาะจะถูกจัดเปนสารเคมีอันตราย เพราะจะกอใหเกิดอันตรายตอ
สุขภาพรางกาย เชน กอใหเกิดโรคมะเร็งจากการทํางาน โรงผิวหนัง ระบบประสาทเสื่อม ฯลฯ
ปจ จุบนั มีการใชสารเคมอี ยูอยางกวา งขวางในงานอุตสาหกรรมจงึ ตอ งระมัดระวงั เปนอยางยิง่
การปองกันอันตรายจากการใชส ารเคมีจาํ เพาะ
1. อยา ทําหกหรอื กระเด็นลงบนพนื้
2. กอ นเรม่ิ ทํางานตองสวมอุปกรณป องกันอันตรายสวนบุคคลหรือติดต้ังระบบ
ระบายอากาศทว่ั ไปในทที่ ํางาน
3. จดั การปฏิบตั ิงานใหเ ปน ไปตามระเบียบขอบังคับของกฎหมาย
4. เมื่อตอ งการขนยา ยหรอื เกบ็ สารเคมีเหลา นนั้ จะตองบรรจุลงภาชนะที่เหมาะสม
ใหเ รียบรอ ย
5. หา มสบู บหุ ร่ี รับประทานอาหาร หรอื ด่ืมนาํ้ ในขณะทก่ี าํ ลงั ทาํ งานกบั สารเคมี
6. หามสัมผัสเสอ้ื ผาทีเ่ ปอ นสารเคมี
7. จัดใหม ีการสวมชดุ ปอ งกนั หรอื อุปกรณปอ งกันอนั ตรายจากสารเคมี
8. หา มนาํ สารเคมีนอ้ี อกไปหรอื เขา ไปยงั หนว ยงานอนื่ โดยไมไ ดรบั อนุญาต
9. เสื้อผาท่ีสวมใสขณะทํางานยอมมีสารเคมีปนเปอนจึงควรท่ีจะชําระลาง
รา งกายเปลย่ี นเสือ้ ผาใหม กอนท่จี ะรบั ประทานอาหารหรือกอนกลับบาน และนําเสื้อผาท่ีใสทํางาน
น้นั ไปซักหรือทําความสะอาดทันที
156
5. สภาพไรอากาศหรืออบั อากาศ
อบุ ัตเิ หตุจากการขาดอากาศหายใจมกั เกดิ ขน้ึ ไดในบรเิ วณทเ่ี ปนใตถุนอาคาร ถัง
หรือบริเวณอุโมงคขดุ เจาะ ฯลฯ
อาการขาดอากาศมีผลโดยตรงตอการทํางานของสมอง และบอยคร้ังท่ีนําไปสู
ความสูญเสยี อยา งใหญห ลวง ท้งั น้เี พราะการอยใู นท่แี คบหรืออับอากาศซ่ึงมักไมคอยมีคนไดเขาไปบอย
นกั กย็ ากท่จี ะพบหรอื ชว ยชวี ติ ไดทนั หากมีอบุ ัตเิ หตเุ กดิ ขน้ึ
วธิ ีปองกนั การขาดอากาศหายใจมีดงั น้ี
1. ตรวจสอบความหนาแนน ของออกซิเจนกอ นลงมอื ปฏบิ ัตงิ าน
2. จัดระบบระบายอากาศทีเ่ หมาะสม
3. มีการปฐมพยาบาลอยา งถูกตอ งและเหมาะสม
ขอ พึงปฏบิ ตั เิ ม่ือตอ งทํางานในบรเิ วณทีม่ สี ภาพไรอากาศหรืออบั อากาศ
1. กอนเขา บริเวณอนั ตรายที่มีออกซเิ จนนอ ยหรือออกซิเจนใกลหมด เชน
ในบอหรอื ถงั จาํ เปนตองจดั ใหมีระบบระบายอากาศท่ดี ี (อยา งไรกต็ ามก็เปนอันตรายมากเชนกัน
ถาใชออกซเิ จนบรสิ ุทธ์อิ ยางเดยี ว) ความหนาแนน ของออกซเิ จนทเี่ หมาะสมคอื ไมนอยกวา 18%
2. หา มเขาไปในบริเวณทม่ี สี ภาพขาดออกซเิ จน ยกเวนผูมหี นา ท่ีเกย่ี วขอ งเทา นน้ั
3. ผูจะเขาไปในบริเวณอับอากาศ ตองมีการเฝาดูและติดตามโดยหัวหนางาน
หรือเพื่อนรว มงาน และระบบระบายอากาศจะตองจดั ใหม ีออกซเิ จนอยางนอ ย 18% ดวย
4. ถา ลักษณะงานไมสามารถจดั ระบบระบายอากาศไดใหใชอุปกรณชวยหายใจ
ทีเ่ หมาะสม เชน เคร่ืองกรองอากาศ หรอื ระบบสายลม
5. ถาสภาพที่ทํางานน้ันขาดอากาศมาก ๆ ใหสวมใสอุปกรณนิรภัย เชน
หนากาก เข็มขัดนริ ภยั หรือสายสงอากาศในขณะทปี่ ฏิบัติงานอยใู นบริเวณนนั้
6. ตรวจสอบอปุ กรณป อ งกันทุกคร้งั กอ นเริม่ ทาํ งาน
7. ถาไดรับอุบัติเหตุจะขาดอากาศหายใจ ผูทําการชวยเหลือจะตองสวมใส
อุปกรณชวยหายใจท่ีมีระบบระบายอากาศท่ีดี ดังอธิบายไวในขอ 4 ขางตน (หนากากปองกันกาซ
ไมไ ดจ ัดไวส ําหรบั กรณีขาดอากาศ ควรขนยา ยผปู ว ยออกไปสทู โี่ ลงโดยเร็วท่ีสุด และชวยหายใจดวย
การเปา ปาก ฯลฯ )
การจัดใหมีระบบระบายอากาศ
เพื่อสุขภาพทีด่ ีควรจัดใหมีระบบระบายอากาศทเ่ี หมาะสมในสถานประกอบการ
จําเปนอยางย่ิงที่จะตองจัดระบบระบายอากาศในสถานประกอบการท่ีมีอุณหภูมิและความรอนสูง
157
หรือมีกาซหรือไอที่เกิดข้ึนจากตัวทําละลายอินทรียหรือสารอ่ืน ๆ การปลอยปละละเลยท่ีจะจัดทํา
ระบบระบายอากาศจะเปนสาเหตุท่ีกอใหเกิดอาการปวดศีรษะและวิงเวียนศีรษะได และปญหาที่จะ
ตามมากค็ อื ความเจบ็ ปว ยตา ง ๆ ที่มสี าเหตจุ ากสารเคมอี นั ตราย
การเปดหนาตางหรือประตูนั้นเปนการถายเทอากาศทั่วไปตามปกติ การติดตั้ง
ระบบระบายอากาศเฉพาะที่หรือในตําแหนงที่จําเปนนั้น ควรติดตั้งใหเหมาะสมกับลักษณะของ
สารเคมีอนั ตรายท่จี ะตอ งใช แตค วรตระหนักไววา ในบางครั้งการเปดหนาตางอาจใหผลที่ตรงขาม
กันก็ได
1.4 ความปลอดภยั ในการทํางานกับผลิตภณั ฑเ คมี
ขอ พงึ ปฏบิ ตั ทิ ่วั ไปในการทํางานกับผลติ ภณั ฑเ คมี
1. กอนปฏิบัติงานตองทราบถึงชนิดของผลิตภัณฑและอันตรายที่อาจเกิดข้ึน ถา
สงสยั ใหป รึกษาผบู งั คบั บญั ชาท่เี กีย่ วของ
2. กอนขนยายผลิตภัณฑตองสังเกตวาหีบหอไมแตกหรือบุบสลายซ่ึงอาจจะทําให
ตกหลน สภู ายนอกได
3. หลีกเล่ยี งการสมั ผสั กบั ผลิตภณั ฑโดยตรง ใหสวมเครื่องปอ งกัน เชน ถงุ มือ
เสอ้ื คลมุ เครอื่ งกรองอากาศ หมวก แวน ตา ฯลฯ
4. หา มรับประทานอาหาร เครอื่ งดมื่ หรอื สูบบุหร่ีในขณะปฏิบตั งิ าน
5. ขณะปฏิบัติงานหามใชมือขย้ีตา หรือใชมือสัมผัสกับปากจนกวาจะลางมือให
สะอาดเสยี กอน
6. กอนรับประทานอาหาร สูบบุหรี่ หรือเขาหองสุขา ตองถอดอุปกรณปองกัน
อนั ตรายและลางมือใหสะอาดเสยี กอน
7. หา มผทู ี่ไมม ีหนา ท่ีเก่ียวขอ งปฏิบตั งิ านเกย่ี วกับผลติ ภณั ฑเ คมี
8. หากเกิดอุบัติเหตุ ภาชนะบรรจุผลิตภัณฑแตกเสียหาย ตองรีบรายงาน
ผบู งั คบั บัญชาทีร่ บั ผิดชอบทนั ที หรือจดั การเกบ็ กวาด เชด็ ถบู ริเวณใหสะอาดตามวิธีที่กําหนด ไมควร
ปลอยท้งิ ไว
9. ในขณะปฏบิ ตั ิงานหากพบวา มีการเจบ็ ปว ย หรอื วิงเวียนศีรษะใหหยุดปฏิบัติงาน
ทันที พรอมทงั้ รายงานใหผบู ังคับบญั ชาผรู ับผดิ ชอบทราบ หรือทําการปฐมพยาบาลอยางถูกตองแลว
รบี นาํ ไปพบแพทยพ รอมนําฉลากหรอื ผลติ ภณั ฑไปดว ย
10. อุปกรณปองกันอันตรายท่ีใชแลวตองทําความสะอาดหรือทําลายท้ิงตาม
คําแนะนาํ ทไ่ี ดกาํ หนดไว
158
11. เม่ือเสร็จส้ินการปฏิบัติงานแตละครั้ง ตองลางมือ อาบน้ํา และผลัดเปล่ียน
เส้อื ผา ทส่ี ะอาด
ความปลอดภยั ในการใชผ ลติ ภณั ฑเ คมีในการผลิต
1. พนกั งานตอ งอานคําแนะนาํ ขา งกลองบรรจผุ ลติ ภัณฑเ คมที กุ ชนิดใหละเอยี ดกอ น
ที่จะนาํ เขาโรงงานผลิต
2. กลอ งผลติ ภัณฑเ คมที ุกกลองทนี่ าํ เขา โรงงานผลิตตอ งอยูในสภาพดีไมแตกรว่ั
3. พนักงานตอ งสวมถุงมือ เสื้อคลุมแขนยาว หนากาก รองเทาหุมสน กอนเปด
กลองสารเคมที ีจ่ ะนาํ มาใชใ นการผลิต
4. ตองระมัดระวังเปน พิเศษในการบรรจผุ ลิตภัณฑเคมี พยายามใหฝุนหรือละออง
ของสารเคมีปลิวกระจายนอยท่สี ดุ
5. กลองเปลา ของผลติ ภณั ฑเคมี หลังจากใชแลวตองนําไปเก็บรวมกันในท่ีมิดชิด
(หากจําเปน ตอ งมกี ุญแจปด ) กอ นนาํ ไปทาํ ลาย เผาทิ้งหรือฝงดิน
6. หลังจากที่พนักงานทํางานเรียบรอยแลว ใหลางมือ ลางหนาหรืออาบนํ้า และ
เปลย่ี นเสอ้ื ผาใหมกอ นรบั ประทานอาหารหรอื สูบบหุ รี่
7. หา มสบู บุหรขี่ ณะปฏิบัตงิ าน
8. หา มรบั ประทานอาหารหรือเครือ่ งดม่ื ในบรเิ วณโรงงานผลิตหรอื โรงงานบรรจุ
ความปลอดภัยในการเก็บผลติ ภัณฑเ คมใี นคลงั พสั ดุ
1. พนกั งานตอ งอา นฉลากผลติ ภณั ฑเ คมที กุ ครงั้ กอ นทาํ การเกบ็ เขา คลงั พัสดุ
2. ผลติ ภัณฑเคมีบางอยา งตองเกบ็ ในทแ่ี หง สะอาด มีอากาศถายเทดี และ มี
อุณหภูมไิ มเกนิ 46 C
3. ผลิตภณั ฑเ คมตี องเก็บใหห างจากอาหารและภาชนะบรรจอุ าหาร
4. ไมควรเกบ็ ผลิตภณั ฑเ คมวี างซอนกันสงู เกินกวา 5 เมตร
5. หา มสบู บุหรใี่ นคลังพัสดุ ยกเวนบรเิ วณทกี่ าํ หนดให
6. พนักงานตองสวมถุงมือ หนากาก รองเทาและเสื้อแขนยาวขณะปฏิบัติงานซ่ึง
สัมผสั กับสารเคมีโดยตรง
7. ผลิตภัณฑเคมีท่ีตกหลนตามพื้นใหกวาดเก็บใสถังอยางระมัดระวังเพ่ือนําไป
ทําลายหรอื ฝงดนิ ในบรเิ วณท่กี ําหนด ถา เปน ผลิตภัณฑช นดิ เหลวใหใ ชท รายแหง กลบแลวกวาดเก็บไป
ฝง ดนิ หา มลางดว ยนา้ํ
8. ผลิตภณั ฑเคมีทุกชนดิ ตอ งปด ฉลากทกุ กลอ งกอ นนําเขาเก็บในคลังพัสดุ
9. คลงั เก็บผลติ ภัณฑเ คมี ตองปดกุญแจหลังจากเลิกงาน
159
การเกิดไอเคมไี วไฟ
การเกดิ ไอเคมไี วไฟในโรงงาน หมายถึง การปลอ ยไอเคมไี วไฟจํานวนมาก ซ่ึงอาจ
ลุกตดิ ไฟ หรือระเบดิ เมื่อมแี หลงทกี่ อ ใหเกดิ ประกายไฟ หรืออาจเกดิ จากการลุกไหมข องสารเคมีหรือ
กา ซท่มี ีจุดวาบไฟ (Flash Point) ตํา่ และมีชว งไวไฟกวาง
จดุ วาบไฟ (Flash Point) ของสารเคมเี หลว คือ อุณหภมู ิตํา่ สดุ ทีส่ ารเคมนี น้ั จะใหไอ
เคมที ี่สามารถผสมกบั อากาศเปนสวนผสมท่พี รอมจะลุกไหมเม่ือมีแหลง เกิดประกายไฟ
ชวงไวไฟ (Flammability Limit) คือ ชว งระหวา งความเขมขนตาํ่ สุด และสูงสดุ ของ
ไอเคมใี นอากาศซึ่งจะเกดิ การลกุ ไหมไดเม่ือมีแหลง เกิดประกายไฟ สว นผสมของไอเคมีและอากาศที่
ตาํ่ กวาชวงไวไฟน้ีจะเจอื จางเกนิ ไปท่ีจะลกุ ไหมได และในทาํ นองเดียวกนั สว นผสมทีส่ ูงกวา ชวงไวไฟ
นจี้ ะเขมขนเกนิ ไปทจี่ ะตดิ ไฟ
เมอ่ื เกิดกลุมไอเคมจี าํ นวนมาก หามพนักงานเขาไปในบริเวณท่ีเกิดไอเคมีนั้น ควร
รบั แจงหนว ยดบั เพลิงประจาํ โรงงานเตรียมพรอ มเพื่อทาํ การชวยเหลอื ทันที
วิธีปฏบิ ัติเมือ่ เกดิ กลุมไอเคมี
1. ปลอดภัยไวกอน เมื่อพบไอเคมีจํานวนมากไมวาจะเกิดจากการหกราดบนพ้ืน
หรือเกิดจากการรั่วจากทอสงเคมีหรือจากถังเคมีตาง ๆ หากมีขอสงสัยใหสมมุติไวกอนวากําลังเกิด
กลุม ไอเคมไี วไฟ อยาเสยี เวลาไปหาเครอ่ื งวัดประมาณไอเคมี เพราะกวา จะรู ประมาณไอและอากาศ
ก็มีมากเพยี งพอทจ่ี ะลุกไหมหรือระเบดิ ได และก็เปนเวลาท่ีทานไดเขาไปอยูในกลุมไอเคมีไวไฟเสีย
แลว
2. ออกไปใหพนจากบริเวณทเ่ี กิดกลมุ ไอเคมีไวไฟทันที และรับแจงใหหัวหนางาน
หรือผูจดั การทราบ
3. ใหใชนํ้าฉีดเปนฝอยเพื่อไลไอเคมี โดยใชหัวฉีดนํ้าจากตูดับเพลิงในกรณีที่เกิด
กลมุ ไอเคมีไวไฟบรเิ วณรแี อกเตอร ใหเ ปดวาลวน้าํ ปลอยนา้ํ จากหัวฝกบวั ซึ่งติดตงั้ อยูเหนือรีแอกเตอร
เพ่อื ไลไ อเคมี
4. หากกลุมไอเคมีไวไฟกาํ ลังลกุ ติดไฟใหฉีดนาํ้ หลอเครอ่ื งมอื เคร่อื งใชห รือถงั ตาง ๆ
ที่อยรู อบ ๆ บริเวณนนั้ เพือ่ ปอ งกันการลุกลามขยายตัวของไฟและการระเบิด อยาพยายามเขาไปดับ
ไฟทจ่ี ดุ ลุกไหม แตใ หห าแหลงทมี่ าของไอเคมีและจัดการกําจัดตนตอของการเกิดไอเสียกอนโดยไม
ตอ ง เขาไปในกลมุ ไอเคมี แลว จึงเขาทาํ การดับไฟ
160
1.4 ความปลอดภัยเก่ียวกับอคั คภี ยั
การปอ งกนั อัคคภี ยั ในบริเวณโรงงาน
พนักงานทุกคนจะตอ งปฏิบัตดิ ังน้ี
1. รูจักคุณสมบัติเคร่ืองดับเพลิงทุกชนิดท่ีใชอยูในโรงงาน และสามารถนํามาใช
งานไดทนั ที และเหมาะสมกับลกั ษณะของไฟเมือ่ ตองการ
2. หามนําเคร่ืองดับเพลิงมาฉีดเลน หรือหยอกลอกนั
3. ใหค วามสนใจกบั เครื่องมอื ดบั เพลิงในแผนก และจะตองมีการตรวจสอบสภาพ
ของเครื่องดบั เพลิงอยเู สมอ เมื่อพบหรอื สงสยั วาเครื่องดบั เพลงิ เครือ่ งใดอยใู นสภาพชาํ รดุ หรอื น้าํ หนัก
พรอ งไป ใหร ายงานผบู งั คบั บญั ชาตามลําดับช้ันทนั ที
4. จะตอ งไมตดิ ตั้งหรอื วางเครื่องจกั รหรือสงิ่ ของใด ๆ เอาไวในตําแหนงซ่ึงจะเปน
อปุ สรรคหรอื กีดขวางการนาํ เครอื่ งดับเพลิงมาใชโดยสะดวก
5. วัตถุซงึ่ ไวไฟหรือนํา้ มันเชอ้ื เพลิงชนิดบรรจุถงั เม่อื นํามาใชแลวจะตองปดฝาให
สนทิ และทภ่ี าชนะบรรจคุ วรจะมเี ครื่องหมายแสดงวาเปนสารไวไฟ
6. หามนํานํา้ มันเชอ้ื เพลิง หรอื เคมภี ัณฑไ วไฟใด ๆ ไปใชใ นการซกั ลา งเสื้อผา
7. พนกั งานทกุ คนจะตองทําความเขาใจกับวิธีปฏิบัติเมื่อเกิดเพลิงไหม พนักงานทุก
คนจะตองใหความรวมมอื ในการซอ มภาคปฏิบตั โิ ดยพรอ มเพรยี งกนั
8. ไมวาเพลิงจะเกิดจากอะไรก็ตาม หากเกิดขึ้นใกลกับสายไฟฟา เครื่องมือ
เคร่ืองใชหรอื แผงสวติ ซไ ฟฟา ใหปลดสะพานไฟตัดวงจรไฟฟาทนั ที
เมอื่ เกดิ เพลิงไหม
1. เม่ือเกิดเพลิงไหมข ้นึ ในบริเวณท่ที ํางาน จงอยาตื่นตระหนกจนเสียขวญั พยายาม
รักษาขวัญและกําลังใจไวใหมน่ั การตน่ื ตระหนกจนเสียขวัญอาจทาํ ใหเ หตุการณเลวรา ยลงอกี
2. รบี แจงใหเพื่อนรว มงานทุกคนในบรเิ วณเพลิงไหมและหนว ยดับเพลิงทราบ เพ่ือ
ดาํ เนินการดบั เพลงิ และแจงเหตเุ พลิงไหมไ ปยังหนว ยดับเพลงิ ของราชการ
3. พนักงานผไู มม หี นา ทเ่ี กย่ี วของกบั การดบั เพลิงตองรีบออกจากตัวอาคารโดยเร็ว
ตามแผนอพยพหนีไฟ และไปรวมกันท่ีบริเวณหนาประตูทางเขาโรงงาน เพ่ือรอคําส่ังจากผู
ประสานงานดบั เพลงิ ตอไป
4. พนักงานท่ีไดรับมอบหมายใหเปนหนวยดับเพลิงโรงงาน จะตองเตรียมหัวฉีด
สายดับเพลิง เพอ่ื ตอ เขากบั ขอตอ ทอ น้ําดับเพลิงและอยูในสภาพเตรียมพรอมโดยเร็วที่สุด ในกรณีที่
เพลงิ อยใู นตาํ แหนงทห่ี วั ฉีดใหญจะฉีดมาถึง อาจไมจําเปนตองใชทอดับเพลิงและหัวเล็กฉีดตอ ท้ังน้ี
ใหข ึน้ อยกู บั ดุลยพนิ จิ ของหนว ยดับเพลิงโรงงาน
161
การปอ งกนั อคั คีภัยในสํานักงาน
1. พนักงานทกุ คนจะตองทราบขอ บังคับเกย่ี วกบั ความปลอดภัยในสํานกั งานเปน อยา งดี
2. พนกั งานทกุ คนควรฝก ใชเ ครื่องดบั เพลงิ ใหเ ปน
3. พนักงานทุกคนตองปฏิบัติตามกฎขอบังคับความปลอดภัยในสํานักงานโดย
เครงครดั เชน หา มสูบบหุ รใี่ นบริเวณหามสูบ
4. บริษัทอาจจัดใหมีการซอมดับเพลิงเมื่อเกิดเพลิงไหมหรือกรณีฉุกเฉิน ณ
สาํ นักงานรวมกบั เจาหนา ท่ีของทางราชการ พนักงานทุกคนจะตองใหความรวมมือในการซอมโดย
พรอมเพรยี งกัน
5. หามวางสิง่ ของกดี ขวางทางออกฉกุ เฉนิ
เมอ่ื เกดิ เพลงิ ไหม
1. ใหพนักงานท่ีพบเพลิงไหมรีบดับเพลิงตามความสามารถทันทีหากเห็นวาไม
สามารถดบั เพลงิ ดว ยตนเองได ใหร ีบแจงผปู ระสานงานดับเพลิงทราบทนั ที
2. ผูประสานงานจะแจง ใหเจา หนา ที่บริหารของบริษทั ทราบ และเปด สัญญาณเพลิงไหม
3. เมื่อมีสัญญาณเพลิงไหมใหพนักงานทุกคนหยุดปฏิบัติงานทันทีและจัดเก็บ
เอกสารทีส่ ําคญั พรอ มทง้ั ของมคี า ไวในท่ีปลอดภยั แลวรบี ออกจากบรเิ วณท่ีทาํ งานในทิศทางตรงขาม
กบั บรเิ วณเกิดเพลงิ ไหม
4. การออกจากอาคาร หา มวิ่งและหามใชล ฟิ ตโดยเดด็ ขาด
5. ใหพนกั งานทอี่ อกจากอาคารแลว ทกุ คนไปรวมกันในบริเวณท่ีจอดรถอาคารเพ่ือ
ตรวจสอบจาํ นวนและรอรบั คําส่ังจากผปู ระสานงานตอไป
1.5 ความปลอดภยั ในสํานักงาน
พน้ื สาํ นกั งาน - ทางเดิน - ประตู
1. ควรใหพ ืน้ สํานักงานมคี วามสะอาดอยเู สมอ
2. พ้ืนสํานักงานควรอยูในแนวระดับราบไมลาดเอียงหรืออยูตางระดับกัน หากไม
สามารถหลกี เลีย่ งได ใหใ ชสีสันแสดงใหเ ห็นชดั เจน
3. ใหใชว ัสดกุ ันลนื่ ปูทบั บนกระเบื้องหรือพ้นื ขดั มันที่ล่ืน
4. ในขณะปฏิบตั ิงาน หามว่งิ หรอื ทาํ การลื่นไถลแทนการเดนิ
5. ในขณะที่มีการขัดหรือทําความสะอาดพื้น ผูปฏิบัติงานควรสังเกตปายคําเตือน
และเดินหรือปฏบิ ัตงิ านดวยความระมัดระวังมากย่งิ ขึน้
6. ในกรณีที่มีนํ้า น้ํามัน หรือสิ่งที่ทําใหเกิดการล่ืนบนพ้ืนสํานักงานใหแจง
เจาหนาที่ทรี่ ับผดิ ชอบโดยทันที โดยกอนแจงใหแ สดงเครือ่ งหมายเตอื นไวดว ย
162
7. ในกรณีท่ีพบเห็นวัสดุหรือเครื่องใชสํานักงาน เชน ดินสอ ที่หนีบกระดาษ
ยางลบ หรอื สง่ิ อนื่ ใดตกหลน อยูบนพ้นื ใหเก็บโดยทนั ทีเพราะอาจเปนสาเหตใุ หล่นื หกลมได
8. ในขณะเดินถึงมุมตึกใหเดินทางดานขวาของทางเดิน และเดินอยางชา ๆ ดวย
ความระมัดระวงั เพือ่ หลีกเล่ียงการชนกบั ผอู ื่นซง่ึ กาํ ลงั เดนิ มาจากอกี มมุ หนึ่ง
9. ควรตดิ ตัง้ กระจกเงาทํามุมในบรเิ วณมมุ อบั ทอ่ี าจเกดิ อุบัตเิ หตไุ ดงา ย
10. สายโทรศัพท สายเคร่ืองคิดเลข หรือสายไฟฟา ควรติดต้ังใหเรียบรอย เพ่ือ
ไมใหกดี ขวางทางเดนิ
11. อยายืนหรือเดินใกลบริเวณประตูท่ีปดอยู เพราะบุคคลอ่ืนอาจจะเปดประตูมา
กระแทกได
12. เมอ่ื จะผานเขา ออกบังตา หรือเปดปดประตูบานกระจก ควรเขาออกหรือเปดปด
ดวยความระมดั ระวังอยางชา ๆ และในการใชบ งั ตาหรือประตูทเี่ ปด ปด สองบาน ใหใ ชบ ังตาหรือบาน
ประตูทางดา นขวา
13. บังตาหรือประตูบานกระจกท่ีเปดปดสองทาง ใหติดเครื่องหมาย “ดึง” หรือ
“ผลกั ” ใหช ดั เจน
14. ไมควรจัดเก็บวัสดุอุปกรณส่ิงของตาง ๆ หรือปลอยใหมีส่ิงกีดขวางบริเวณ
ทางเดินหรอื ชอ งประตู
การใชบ ันได
การใชบ ันไดอยา งปลอดภัย
1. กอ นข้ึนหรอื ลงบนั ได ควรสังเกตส่งิ ที่อาจกอใหเกิดอนั ตรายขึน้ ได
2. ถาบริเวณบนั ไดมีแสงสวา งไมเพียงพอ หรือราวบันไดหรือขั้นบันไดชํารุด ให
แจง เจาหนาทเ่ี พอ่ื ทาํ การแกไขใหเรียบรอ ย
3. อยาปลอยใหมีเศษวัสดชุ น้ิ เล็กชิ้นนอ ยตกอยูตามข้ันบันได เชน เศษกรวด เศษ
แกว ฯลฯ
4. ไมควรติดตั้งส่ิงท่ีดึงดูดความสนใจ เชน กระจกเงา ภาพโปสเตอร
เครอื่ งประดบั ตกแตง ตา ง ๆ ไวบรเิ วณบนั ได
5. ควรจดั ใหม ีพรมหรือทเี่ ชด็ เทา บริเวณเชงิ บันได เพอื่ ความปลอดภัย
6. อยา ว่งิ ข้ึนหรือลงบันได ควรข้นึ ลงดวยความระมดั ระวงั
7. หามเลนหรอื หยอกลอกนั ในขณะข้นึ หรือลงบนั ได
8. การขึน้ ลงบันได ใหข ึน้ ลงทางดา นขวาและจบั ราวบันไดทุกครั้ง
9. อยา ปลอยราวบันไดจนกวาจะมกี ารข้ึนหรอื ลงบนั ไดเปน ท่ีเรียบรอยแลว
163
10. ในขณะขึ้นหรือลงบันได ใหใชสายตามองข้ันบันไดที่จะกาวตอไปและหาม
กระทําสงิ่ ใด ๆ ในลักษณะทีจ่ ะกอใหเ กดิ อันตราย เชน การอา นหนังสอื หรือคนสง่ิ ของในกระเปาถอื
เปนตน
11. อยาขึน้ หรอื ลงบันไดเปนกลมุ ใหญในเวลาเดียวกัน
การใชบ ันไดพาดและบนั ไดยืนอยางปลอดภัย
1. กอนใชบันไดพาดหรือบันไดยืน ตองตรวจสอบความแข็งแรงโดยทั่วไป ตอง
แนใ จวาไมมีรอยหัก รอยราว และมียางกนั ลืน่
2. เม่อื ใชบ นั ไดพาดกับผนัง ตอ งพาดใหไ ดประมาณ 70 องศาและควรสงู กวาจดุ ท่ีจะ
ทาํ งานอยา งนอ ย 60 เซนตเิ มตร
3. ถาเปน ไปได ควรยึดหัวและทายของบันไดดวยเชอื ก แตถา ทาํ ไมไดค วรใหค นอื่น
ชว ยใชมอื จับยดึ ให
4. พ้นื วางบันไดตองเรยี บ และปราศจากหลุม บอ หรอื โหนกนนู
5. ขณะปน บนั ไดขน้ึ หรือลงใหม องไปขา งหนาและไมท าํ งานบนบันไดดวยทาทางที่
ไมเ หมาะสม
6. กรณีมแี ผนรองยืนบนบันไดยืน ขาของบันไดตองหางกันไมเกิน 1.8 เมตร และ
แผนรองยนื ตอ งสงู ไมเกิน 2 เมตร
7. บนั ไดยนื ตอ งมีตัวล็อกขาท่กี างไวด วย
8. ถา ใชบ ันไดยนื ในจดุ ทีไ่ มแ นใ จวาจะมีความปลอดภัยเพียงพอตองมีผูชวยคอยยึด
จับบนั ไดน้ันไว
9. อยายืนบนแผนรองยืน เมอ่ื ตอ งอยสู งู เกิน 1.2 เมตร
โตะ ทาํ งาน - เกาอี้ - ตู
1. ตลอดเวลาการทาํ งานไมค วรเปดลนิ้ ชกั โตะ ล้นิ ชกั ตเู อกสาร หรอื ตอู ื่นใดคา งไว
ใหป ด ทกุ คร้งั ทไี่ มใชงาน
2. หามวางพสั ดุ ส่งิ ของ หรือกลอ งใตโตะ ทํางาน
3. หามเอนหรือพิงพนกั เกาอ้ี โดยใหรับนํา้ หนักเพยี งขางใดขางหนงึ่
4. ใหม พี นื้ ทเ่ี คล่อื นยา ยเกา อ้ี สาํ หรบั การเขา ออกทส่ี ะดวก
5. หามวางพัสดุ สิง่ ของตา ง ๆ บนหลังตเู พราะอาจตกหลน ลงมาเปนอนั ตราย
6. อยาเปดลน้ิ ชกั ตเู อกสารในเวลาเดียวกนั เกนิ กวา หนึง่ ล้ินชัก
7. การจดั เอกสารใสในลิน้ ชกั ตู ควรจดั ใสเ อกสารจากช้ันลางสุดข้ึนไป เพื่อเปนการ
ถวงดลุ นา้ํ หนัก และใหห ลีกเลยี่ งการใสเ อกสารในล้นิ ชกั มากเกนิ ไป
8. ใหใ ชห ูจบั ลิ้นชกั ทุกครัง้ เม่ือจะเปด ปดลิน้ ชกั เพ่อื ปอ งกันนิว้ ถกู หนีบ
9. การจัดวางตลู นิ้ ชกั ตตู อ งไมเ กะกะชองทางเดนิ ในขณะที่ปดใชงาน
164
สายไฟฟา และเตาเสียบ
1. สายไฟฟา ท่มี รี อยฉกี ขาด หรอื ปลั๊กไฟฟาท่ีแตกราว ตองทําการเปล่ียนทันที หาม
พันดวยเทปพนั สายไฟหรือดดั แปลงซอ มแซมอยา งใดอยา งหนึง่
2. เตาเสียบท่ีชํารุดจะตองทําการซอมแซมโดยทันที ในระหวางรอการซอมแซม
จะตองปดหรือครอบ เพ่อื ปอ งกนั ไมใหผูอื่นมาใชง าน
3. เคร่อื งมือหรืออุปกรณไ ฟฟาตาง ๆ ที่ใชภ ายในสาํ นักงาน ใหว างในตําแหนงท่ีใกล
เตาเสยี บมากที่สดุ เพ่อื หลีกเล่ียงสายไฟฟาท่ีทอดยาวไปตามพ้ืน หรอื หลีกเลย่ี งการใชส ายตอ ในกรณีที่
ไมอาจวางในตําแหนงใกลเตาเสียบได ใหแสดงเคร่ืองหมายใหชัดเจนเพื่อปองกันการเดินสะดุด
สายไฟฟา
4. ในการใชอุปกรณไฟฟาใหแนใจวาแรงดันไฟฟาเหมาะสมกับความตองการ
แรงดันไฟฟา ของอุปกรณนั้น ๆ
5. การวางหรือเคลือ่ นยา ยเคร่อื งใชส าํ นักงาน ตองระวงั อยา ใหมีการวางหรือเคล่ือนยาย
ไปทับถกู สายไฟฟา
การใชเครือ่ งใชส าํ นกั งาน
1. ในขณะขนยายกระดาษควรระมดั ระวังกระดาษบาดมอื
2. ใหเกบ็ ปากกาหรอื ดินสอ โดยการเอาปลายชลี้ ง หรอื วางราบในชิน้ ชัก
3. ใหท าํ การหบุ ขากรรไกรที่เปดซองจดหมาย ใบมดี คัดเตอร หรอื ของมีคมอื่น ๆ ให
เขาทกี่ อ นทําการเก็บ
4. การใชเ ครื่องตดั กระดาษ ตองระวงั น้วิ มอื ใหอ ยูหางจากใบมีด ขณะที่กําลังทําการ
ตัดกระดาษ และหลีกเลี่ยงการตัดกระดาษจํานวนมากเกินไปพรอมกันทีเดียว ถาไมไดใชงานใหลด
ใบมดี ลงใหต ่าํ ท่สี ดุ อยายกใบมดี คา งเอาไว
5. การแกะลวดเยบ็ กระดาษไมควรใชมือหรอื เลบ็ ใหใ ชท่ดี ึงลวดเย็บกระดาษทกุ ครงั้
6. เฟอรน ิเจอรทเ่ี ปน โลหะใหท าํ การลบมมุ ทกุ แหงเพ่อื ความปลอดภยั
7. ควรใชบันไดหรือช้ันเหยียบ เมื่อตองการหยิบของในที่สูง ไมควรยืนบนกลอง
โตะ หรอื เกา อตี้ ิดลอ
8. หลังเลกิ งานทกุ วัน ใหป ด ไฟฟาทุกดวงและตัดวงจรอุปกรณไฟฟาภายในหอ งทํางาน
ท้งั หมด
9. เครือ่ งใชส ํานกั งานท่อี าจกอใหเกดิ อันตราย เชน สายพาน ลูกกลิ้ง เกียร เฟอง ลอ
ฯลฯ ถาไมมกี ารติดต้งั อุปกรณปอ งกันอนั ตรายเอาไว ใหตดิ ตัง้ อุปกรณป อ งกนั อนั ตรายน้ันใหเ รียบรอ ย
กอนที่จะใชงาน
165
10. หามทําความสะอาด ปรับ แตง หรือเปลี่ยนแปลงสวนประกอบใด ๆ ของ
เครอื่ งใชสํานักงานท่อี าจกอ ใหเกิดอันตรายในขณะที่เครอ่ื งกาํ ลังทํางาน
11. ตองทําการศกึ ษาวิธีใชและขอควรระวงั ของเคร่อื งใชสํานักงานที่มีอันตรายใหดี
กอ นปรบั แตง
12. ถามีผูปฏิบัติงานสองคน หรือมากกวาสองคนข้ึนไปทํางานกับเคร่ืองใช
สํานักงานทม่ี ีอนั ตรายเครอื่ งเดียวกัน ผูปฏบิ ตั งิ านแตละคนจะตองระมัดระวังซงึ่ กนั และกนั
13. อยาถอดอุปกรณปองกันอันตรายหรือเปดแผงเครื่องใชสํานักงานที่มีอันตราย
โดยเด็ดขาด กรณเี คร่ืองขดั ขอ งใหต ิดตอชางเพอื่ มาทาํ การซอ มแซม
14. เคร่ืองใชสํานักงานท่ีใชกําลังไฟฟาและมิไดเปนชนิดที่มีฉนวนหุมสองชั้น
จะตองมรี ะบบสายดินติดอยูที่ครอบโลหะผานปลั๊ก และหามมีการดัดแปลงปล๊ักเพ่ือตัดวงจรสายดิน
ออก
15. ใหต ดั กระแสไฟฟาของเครอื่ งใชสํานกั งานที่ใชไ ฟฟาทุกครั้งที่ไมใชหรือเมื่อจะ
ปรบั แตงเครอื่ ง
การใชลิฟต
1. ในขณะเกิดเพลงิ ไหม หามทกุ คนใชล ิฟต ใหใชบ นั ไดหนีไฟเทานั้น
2. กอนใชลิฟตทุกครั้งใหสังเกตวาตัวลิฟตเล่ือนมาอยูในระดับเดียวกับพื้นแลว
หรือไม ถาตัวลฟิ ตอยตู า งระดับกบั พ้นื ใหร ะมดั ระวังการสะดุดขณะเดินเขาลิฟต สําหรับสุภาพสตรีที่
สวมรองเทา สน สูงหรอื สน เล็กตอ งกาวขา ม เพ่อื ปองกนั การลื่นและหกลม
3. ในการใชล ฟิ ต ใหเขา ลิฟตอ ยางรวดเรว็ และระมดั ระวัง อยาลงั เลใจ
4. หา มสบู บหุ ร่ีในลฟิ ต
5. เม่ือลิฟตเล่ือนถึงชั้นที่ตองการ ใหรอประตูลิฟตเปดเต็มท่ีแลวกาวออกจากลิฟต
อยา งรวดเรว็
166
6. หา มใชมอื จับหรือดันประตูลิฟตเพ่ือใหลิฟตรอบุคคลอื่น ใหใชปุมควบคุมประตู
ลฟิ ตท ี่ตดิ ตงั้ อยูภ ายในลฟิ ต
7. ในกรณเี กิดเหตฉุ กุ เฉนิ ขณะอยูในลิฟต ใหปฏิบัติตามขอแนะนํา ซึ่งติดอยูภายใน
ลฟิ ต พยายามควบคุมสติใหได อยาตกใจเปนอันขาด
กิจกรรม 5 ส สูความปลอดภยั
สถานทีท่ ํางานจะปลอดภัยดว ยการปฏิบัติ 5 ส
สถานทดี่ าํ เนินกิจกรรม 5 ส จะปลอดภัยกวา ถูกสุขอนามัยกวา และมีการผลิตดีกวา
ในการทาํ ใหส ถานที่ทาํ งานนา อยู นาดู สะดวกสบายและปลอดภยั น้นั จะตอ งกําจัดส่ิงที่ไมตองใชแลว
ออกไปใหหมด และจดั ส่งิ ทจ่ี ะเก็บใหเปนหมวดหมู เพอ่ื ความสะดวก สะอาด และสวยงาม
กิจกรรม 5 ส
สะสาง : แยกรายการสง่ิ ของทจ่ี ําเปนและไมจ ําเปน ทง้ิ สิ่งของทไ่ี มจ าํ เปน
ออกไปใหม ากที่สดุ เทา ทจ่ี ะทาํ ได
สะดวก : เก็บเครื่องมืออุปกรณไวในท่ีท่ีใชไดสะดวกและเก็บในสภาพที่
ปลอดภยั
สะอาด : จดั ระเบียบการดูแลความสะอาดของสถานที่ทํางาน เชน การกําจัด
ฝุนละออง
สขุ ลกั ษณะ : ดูแลเส้ือผาและรักษาสภาพสถานท่ีทํางานใหสะอาดเรียบรอย อยา
ปลอยใหสกปรกรกรุงรังเปนเดด็ ขาด
สรางนิสัย : ปฏิบัติ 4 ส ขา งตน จนเปน นิสัย
1.6 ความปลอดภยั ในการประกอบอาชีพเกษตรกรรม
ปจ จบุ นั การประกอบอาชีพเกษตรกรรม มกี ารนาํ เครอื่ งจักรกล เชน รถแทรกเตอร
167
รถไถนา เคร่ืองเก็บเก่ียว เครื่องผอนแรง เปนตน และสารเคมี เชน ปุยเคมี สารกําจัดศัตรูพืช สารฆา
แมลง เขามาใชอยา งมากมาย เพ่ือชวยเพมิ่ ผลผลติ ซึ่งสิ่งเหลานี้หากนาํ ไปใชอยางไมถูกตองจะมีผลเสีย
ตอสุขภาพและชีวติ อันตรายจากการประกอบอาชีพเกษตรกรรม มี 5 ประการ ดงั น้ี
ประการที่ 1 สารเคมี เชน ปุย สารกําจัดศัตรูพืช สารฆาแมลง สารพิษปราบวัชพืช
สารกําจดั เช้ือรา สารกาํ จดั สตั ว สารพิษกาํ จดั สาหราย ไสเ ดอื นฝอย หอยทาก สารเคมีเหลาน้ีหากใชถูก
วธิ กี ม็ ีประโยชน หากใชผดิ วธิ ีเปนโทษอยางมากเชน กนั เกษตรกรจาํ เปนตองทราบสิง่ เหลานี้
วธิ ีเกบ็ การใช โดยอา นจากฉลากขา งภาชนะบรรจุ
เมอ่ื ใชห มดแลว ตองทําลายภาชนะบรรจุโดยการเผาหรอื ฝง
ไมค วรสบู บหุ รีข่ ณะทําการฉดี พน
ระวังการสัมผสั สารเคมีทผ่ี ิวหนงั เนอื่ งจากสามารถดูดซมึ ทางผวิ หนังได
ระวงั การสูดดมหายใจเขาสทู างเดนิ หายใจ
ไมยืนใตล มขณะฉดี พน สารเคมี
เครอ่ื งใชต า ง ๆ สาํ หรบั การฉดี พน ตอ งดูแลไมใหเสอ่ื มสภาพ รว่ั ซมึ
เวลาผสมยาหามใชมอื กวน
ประการท่ี 2 อันตรายจากฝุนท่ีเกิดจากเกษตรกรรม ฝุนเกิดข้ึนจํานวนมากใน
กจิ กรรมนวดขาว และกิจกรรมอืน่ ๆ ในนา ปญหาที่เกิดขึ้นคือ ฝุนจะเปนสวนที่รับเอาเช้ือรา ละออง
เกสรดอกไม และพวกสเปอรปะปนอยู และจะนําโรคสูคนได ทําใหผูสัมผัสเกิดเช้ือรา โรคปอดฝุนฝาย
โรคปอดชานออย โรคปอดชาวนา วิธีปอ งกัน คอื
เกษตรควรสวมหนา กากปอ งกันฝุน
รกั ษาความสะอาดของผิวหนงั หลงั เสรจ็ งานแลว
ใชว ิธพี นนํา้ เพอ่ื ลดการฟุง กระจายของฝุน
หาความรูเพ่ือปองกันตัวเอง รวมท้ังเพ่ือใหทราบถึงภัยตาง ๆ ที่อาจเกิดขึ้น
เชน อาการเกดิ โรค จะไดส ามารถปองกันตัวเองไมใหเ กดิ โรคลุกลามตอไป
ประการท่ี 3 อันตรายจากการเปนโรคติดเชอ้ื จากสัตว ทส่ี าํ คญั คอื มา วัว ควาย แกะ
แพะ สกุ ร สุนขั สตั วป า ทกี่ นิ เนื้อ นก เปด ไก เปน ตน โรคติดเชื้อท่ีสําคัญ ไดแก โรคแอนแทรกซ โรค
กลวั นํา้ บาดทะยกั เลพโตสไปโรซสี กลากเกลอ้ื น ของเช้ือรา วธิ ปี องกนั คอื
168
เกษตรกรควรทราบแหลง โรค วธิ ีการแพรโรค
เมือ่ สัตวป วยตองเผาหรือฝง ทําลายเช้ือ ฉดี วัคซนี ปองกนั โรคแกสัตว
รักษาความสะอาดของผิวหนัง ระวังมิใหสัมผัสกับผิวหนังของสัตวที่เปน
โรค
ทาํ ความสะอาดแผลทันทเี มื่อมีบาดแผลเกดิ ข้นึ
ประการท่ี 4 อนั ตรายจากความรอน แสง เสยี ง ความสั่นสะเทอื น เกษตรกรอาจเปน
ตะคริว ออ นเพลยี หรือเปน ลม อนั เน่อื งมาจากการไดรบั ความรอนทีม่ าจากแสงอาทติ ย หรือไดร บั เสียง
ดังจากเคร่ืองจักรกล ซ่ึงมีผลตอสุขภาพจิตดวย รวมท้ังเกิดอาการหูตึง หรือหูหนวกได อันตรายจาก
แสงจา ซงึ่ พบมากทําใหเ กิดตอ สญู เสยี การมองเห็น และในการใชเคร่อื งจักรกม็ ปี ญ หา การสน่ั สะเทือน
จากเครอ่ื งจักร เชน รถแทรกเตอร เครอื่ งเกีย่ วขา ว เคร่อื งไถ เคร่อื งเจาะ เล่ือยไฟฟา ความส่ันสะเทือนมี
อันตรายตอ มือและแขน ทําใหเ กิดอาการปวดขอตอ เม่ือยลา ระบบยอยอาหารผิดปกติ กระดูกอักเสบ
วิธีปองกนั อนั ตรายเหลา น้ไี ดแ ก
การสวมใสอุปกรณปองกนั อันตรายสวนบคุ คล เชน ถงุ มือ อุดหู
การปองกนั เก่ียวกบั ความรอน ทาํ ไดโ ดยใหส วมเสอื้ ผาหนา แขนยาว แตเปน
ผา ท่ีระบายอากาศไดด ี
ด่มื น้ําผสมเกลือใหเขม ขน ประมาณ 0.1%
หยุดพักระหวางงานบอยขนึ้ หากอากาศรอนจัดมาก
ประการท่ี 5 อุบัติเหตุในงานเกษตรกรรม เชน การถูกของมีคมบาด ไดแก มีด
ขวาน เคยี ว เมื่อเกิดบาดแผลเกษตรกรไมมีเวลาที่จะทําความสะอาดแผลหรือปฐมพยาบาลโดยทันที
โอกาสทจ่ี ะไดรับเช้อื โรค เชน โรคบาดทะยัก จึงพบบอย และเปนสาเหตุการตายท่ีสําคัญหรือการใช
เคร่อื งยนตที่ใชไ ฟฟาก็อาจเกิดไฟฟา ดูด หรือเกิดการไหมต ามผวิ หนงั ข้ึนได ซึ่งควรตอ งเรยี นรเู รอ่ื งการ
ใชไฟฟา ใหถ กู ตองดวย นอกจากน้ยี งั มอี ันตรายจากการใชเครอ่ื งยนต เชน เชอื ก โซ สายพาน หนบี หรอื
บบี อัด ทาํ ใหม อี บุ ัตเิ หตุเกิดขึน้ ทน่ี ้ิวมอื เปนสว นใหญ
โรคจากการทํางานท่ีสําคัญและพบบอยที่สุดในเกษตรกรคือ การปวดหลังจากการ
ทํางานอนั เนอ่ื งมาจากทาทางการทาํ งานที่ฝน ธรรมชาติ ทําใหเกิดอาการปวดเม่ือยกลามเน้ือ การปวด
เมื่อยกลามเน้ือทเี่ กดิ ขน้ึ ซา้ํ ๆ ทกุ วนั เรียกวา โรคบาดเจ็บซํ้าซาก หรือโรคบาดเจ็บซํ้าบอย สามารถแกไข
ได ควรจะไดเรยี นรวู ิธีการหาเครื่องทุนแรงหรือประยุกตวิธีการทํางานเพื่อบรรเทาอาการเหลาน้ันให
ลดนอ ยลง ตัวอยา งเชน การใชเ ครือ่ งหวา นเมลด็ พชื แทนการกม เงยในการหวานโดยคนก็จะทําใหการ
ทํางานเปนสุขขนึ้ ได
169
เรื่องที่ 2 การปฐมพยาบาลเบือ้ งตน
การปฐมพยาบาล คือ การใหก ารชว ยเหลือเบ้ืองตน ตอผปู ระสบอันตราย หรือเจบ็ ปว ย
ณ สถานทเี่ กดิ เหตกุ อ นทีจ่ ะถงึ มอื แพทย หรอื โรงพยาบาล เพ่อื ปอ งกนั มิใหเ กดิ อนั ตรายแกชีวติ หรือ
เกิดความพิการโดยไมสมควร
วัตถุประสงคของการปฐมพยาบาล
1. เพ่อื ใหมชี วี ติ อยู
2. เพือ่ ไมใหไ ดร บั อันตรายเพิม่ ขนึ้
3. เพ่ือใหก ลับคืนสูส ภาพเดิมไดโดยเรว็
หลักทัว่ ไปในการปฐมพยาบาล
1. อยาตืน่ เตน ตกใจ และอยา ใหคนมงุ เพราะจะแยง ผบู าดเจบ็ หายใจ
2. ตรวจดวู าผูบาดเจ็บยงั รสู ึกตวั หรือหมดสติ
3. อยากรอกยา หรอื นา้ํ ใหแกผูบาดเจบ็ ในขณะทไ่ี มรูสกึ ตวั
4. รบี ใหการปฐมพยาบาลตอ การบาดเจ็บทอี่ าจทาํ ใหเ กดิ อันตรายถงึ แกช ีวติ โดยเร็ว
กอ น สว นการบาดเจ็บอืน่ ๆ ทไี่ มรนุ แรงมากนักใหด ําเนนิ การปฐมพยาบาลในลําดบั ถดั มา
การบาดเจ็บทีต่ อ งไดร บั การชว ยเหลือโดยเร็ว คือ
1. การขาดอากาศหายใจ
2. การตกเลือด และมอี าการชอ็ ก
3. การสมั ผสั หรอื ไดรับสง่ิ มีพิษท่รี นุ แรง
การปฐมพยาบาลเมื่อเกดิ อาการบาดเจบ็
ขอเคลด็
สาเหตุ
เกดิ จากการฉกี ขาด หรือการยดึ ตัวของเน้อื เย่ือ กลา มเน้ือ หรอื เสนเอน็ รอบขอตอ
อาการ
- เวลาเคลือ่ นไหวจะรูสกึ ปวดบริเวณขอ ตอ ท่ีไดรับอนั ตราย
- บวมแดงบริเวณรอบ ๆ ขอ ตอ
170
การปฐมพยาบาล
- อยาใหขอ ตอ บรเิ วณทีเ่ จบ็ เคล่ือนไหว
- อยาใหของหนกั กดทบั บริเวณขอทเี่ จบ็
- ควรประคบดว ยความเย็นไวกอน
- ถา มีอาการปวดรุนแรง ใหรีบนําไปพบแพทย
ขดั ยอก
สาเหตุ
เกิดจากการทก่ี ลา มเน้ือยึดตวั มากเกินไป ซึง่ เกดิ ขนึ้ เพราะการเคล่ือนไหวอยางรนุ แรง
และรวดเรว็ มากเกนิ ไป
อาการ
เจบ็ ปวดบรเิ วณท่ไี ดรบั บาดเจบ็ ตอมามีอาการบวม
การปฐมพยาบาล
- ใหผ ูบาดเจ็บนงั่ หรือนอนในทาที่สบาย และปลอดภัย
- ถาปวดมากอาจบรรเทาอาการโดยการประคบความเย็นกอ น แลวตอดวยประคบ
ความรอน
ตาบาดเจบ็
การปฐมพยาบาลเกยี่ วกับตานนั้ ควรใหการปฐมพยาบาลเฉพาะตาท่บี าดเจ็บเลก็ นอ ย
เทานนั้ ถาบาดเจ็บรนุ แรงใหหาผา ปดแผลสะอาดปด ตาหลวม ๆ แลว นาํ ผูบาดเจ็บสง โรงพยาบาล
โดยเร็ว
ผงเขาตา
สาเหตุ
- มสี ิง่ แปลกปลอมเขาตา
- ระคายเคอื งตา คัน หรือปวดตา
การปฐมพยาบาล
- ใชน า้ํ สะอาดลางตาใหทั่ว
- ถา ผงไมอ อกใหห าผา สะอาดปด ตาหลวม ๆ แลวนาํ ผบู าดเจบ็ ไปพบแพทย
171
สารเคมีเขาตา
สาเหตุ
กรด หรือดา งเขา ตา
อาการ
- ระคายเคอื งตา
- เจบ็ ปวด และแสบตามาก
การปฐมพยาบาล
- ใหลางตาดว ยนา้ํ ทส่ี ะอาดโดยวิธกี ารใหน ํ้าไหลผา นลกู ตา จนกวาสารเคมี
จะออกมา
- ใชผา ปดแผลทสี่ ะอาดปดตาหลวม ๆ แลวนําผูบาดเจ็บไปพบแพทย
โดยเร็วทส่ี ุด
ไฟไหม หรอื นาํ้ รอ นลวก
สาเหตุ
บาดแผลอาจจะเกดิ จากถูกไฟโดยตรง ประกายไฟ ไฟฟา วตั ถุที่รอ นจดั นาํ้ เดือด
สารเคมี เชน กรด หรอื ดา งทีม่ คี วามเขมขน
อาการ
แบง เปน 3 ลักษณะ
- ลกั ษณะที่ 1 ผิวหนังแดง
- ลกั ษณะท่ี 2 เกดิ แผลพอง
- ลกั ษณะที่ 3 ทําลายชนั้ ผิวหนงั เขา ไปเปน อนั ตรายถงึ เนือ้ เยือ่ ทีอ่ ยใู ตผิวหนงั
บางครง้ั ผูบ าดเจ็บจะมีอาการชอ็ ก
การปฐมพยาบาล
บาดแผลในลกั ษณะที่ 1 และ 2 ซงึ่ ไมส าหสั ใหปฐมพยาบาลดงั น้ี
- ประคบดว ยความเย็นทนั ที
- ใชน้าํ มนั ทาแผลได และปด แผลดวยผาทส่ี ะอาด ใชผ า พนั แผลพันแตอยา
ใหแนน มาก
บาดแผลในลักษณะที่ 3 ใหปฐมพยาบาลดงั นี้
- ถาผบู าดเจ็บมอี าการช็อก รีบใหก ารปฐมพยาบาลอาการชอ็ กกอ น
172
- หามดึงเศษผาทถ่ี ูกไฟไหมซึ่งตดิ อยูกับรา งกายออก
- นาํ ผูบ าดเจบ็ สงโรงพยาบาลโดยเร็วที่สดุ เทาที่จะทาํ ได
กระดูกเคลือ่ น
สาเหตุ
กระดกู เคล่ือนเกดิ ขึน้ เพราะปลายกระดูกขางหนง่ึ ซ่ึงประกอบกันเขาเปน ขอ ตอ
เคลือ่ นทห่ี ลุดออกจากเสน เอ็นทห่ี ุม หอ บรเิ วณขอ ตอไว
อาการ
- ตึงและปวดมากบรเิ วณขอตอทหี่ ลุด
- ขอ ตอจะมรี ูปรา ง และตาํ แหนง ผิดไปจากเดมิ
การปฐมพยาบาล
- จัดใหผ บู าดเจ็บอยใู นทาทีส่ บายท่ีสุด
- หามกด หรอื ทําใหขอตอน้ันเคล่ือนไหวเปนอนั ขาด
- นําผบู าดเจบ็ สง แพทยใ หเรว็ ท่ีสุด
- การเคลอ่ื นยา ยผูบาดเจบ็ ควรใชเปลหาม
กระดูกหกั
กระดกู หักมีอยู 2 แบบ คือ
1. กระดกู หักชนดิ ธรรมดา หรือชนดิ ปด ไดแ ก การมกี ระดกู หกั เพยี งอยา งเดยี ว
ไมแทงทะลผุ วิ หนังออกมา
2. กระดกู หักชนิดมีบาดแผล หรอื ชนิดเปด ไดแก การมกี ระดกู หักแลว แทงทะลุ
ผิวหนงั ออกมา หรือวตั ถจุ ากภายนอกแทงทะลุผวิ หนงั เขาไปกระทบกบั กระดูก ทําใหก ระดกู หัก
อาการ
- บวม
- เวลาเคล่ือนไหวจะเจ็บบรเิ วณทไ่ี ดร บั อนั ตราย
- ถาจับบริเวณที่ไดรบั อันตรายจะรสู ึกนุมนิ่ม และอาจมเี สยี งปลายกระดกู ทห่ี กั เสียด
สีกัน
- อวัยวะเบีย้ วบดิ ผดิ รปู
173
การปฐมพยาบาล
- อยาเคล่อื นยา ยผปู ระสบอันตราย นอกจากจะจําเปน จรงิ ๆ การเคลือ่ นยาย
อาจทาํ ใหบ าดเจ็บมากขน้ึ ไปอกี
- คอยระวงั ใหป ลายกระดกู ทีแ่ ตกอยนู ิง่ ๆ
- ปองกันอยา ใหเ กดิ อาการช็อก
- ถา กระดกู ทห่ี กั แทงทะลุผวิ หนังออกมาขางนอก ใหหา มเลือดโดยใชน ว้ิ กด
หรอื ใชสายสาํ หรับรัดหา มเลือด
- ใชผา ปดแผลทสี่ ะอาด ปดปากแผล หรอื กระดกู ทโ่ี ผลอ อกมา
- ถามีความจาํ เปน ทจี่ ะตอ งเคลือ่ นยา ยผูบาดเจบ็ ควรใชเ ฝอกช่ัวคราว
สายคลอ งแขน หมอน และเปลเฝอ กช่ัวคราวอาจทาํ ดวยวตั ถใุ ด ๆ ก็ไดท ่อี ยใู กลม อื เชน กระดาน มว น
หนงั สือพิมพ มวนฟาง หรอื รม ใหผกู เฝอกกับแขน หรอื ขาตรงท่ีหักทั้งขางลาง และขา งบน และถา
สามารถทําไดใหผ ูกมดั จากท่ี ๆ แตกไปทง้ั สองขา ง จะทําใหเฝอ กชว่ั คราวแขง็ แรงขนึ้ ใชก ระดาษ ผา
สาํ ลี หรือวตั ถุอน่ื ๆ ทคี่ ลายกันรองเฝอก เพือ่ ใหบรเิ วณที่ไดรบั อนั ตรายอยใู นระดบั เดยี วกัน ซง่ึ การทํา
วิธนี เี้ ฝอ กจะพอดี ไมก ดกระดกู บางแหง มากเกินไป สําหรบั การใสเ ฝอกทแ่ี ขนหรอื ขาน้ัน ควรใสให
รอบทุกดา นดีกวาใสเ ฉพาะดานใดดานหน่ึง และใหใ ชผ าเปนชน้ิ ๆ หรอื เชือกทีเ่ หนยี ว ๆ ผูกเฝอ ก แต
ผาสําหรบั ผูกในยามฉกุ เฉินทีด่ ที สี่ ุดก็คือ ผา พนั แถบยาว ๆ
- บางครงั้ กอนจะเขา เฝอกจําเปนตองเคล่อื นยายผบู าดเจบ็ บา งเล็กนอย ควรจะใหใคร
คนหนึ่งจับแขน หรอื ขาสว นท่อี ยเู หนอื และสวนทอี่ ยตู าํ่ กวาบรเิ วณทกี่ ระดกู นั้นหักใหอยูน ิ่ง ๆ สวนคน
อ่ืน ๆ ใหชว ยกนั รบั นาํ้ หนักของรา งกายไว วิธที ่ีดที ่ีสดุ กค็ อื ใชเ ปลหาม
- กระดูกสันหลัง หรือคอหัก หรือสงสัยวาจะหัก จะตองใชความระมัดระวังเปน
พเิ ศษ ถาคนเจบ็ หมดสติอาจจะไมรูวากระดกู คอ หรอื กระดกู สนั หลังหัก นอกจากผทู ําการปฐมพยาบาล
นั้นจะมีความรใู นเรือ่ งน้เี ปน พิเศษ กระดูกหักธรรมดาอาจจะกลายเปน กระดกู หกั ชนิดมีบาดแผลไดถา
หากไมร ะมดั ระวงั ในการเคล่อื นยา ยผูบาดเจบ็ ดังนั้น หากสามารถทาํ ไดค วรงดเวนการเคล่อื นยายใด ๆ
จนกวาแพทยจะมาทาํ การชว ยเหลอื
การเคลอ่ื นยายผทู กี่ ระดูกคอหกั
- เม่ือจะทําการเคลื่อนยายผูบาดเจ็บท่ีกระดูกคอหัก ใหเอาบานประตู หรือแผน
กระดานกวา ง ๆ มาวางลงขางคนเจ็บ ใหปลายกระดานเลยศีรษะคนเจ็บไปประมาณ 4 น้ิว เปนอยาง
นอย
- ถา ผูบ าดเจ็บนอนหงาย ใหใ ครคนหนึ่งคกุ เขาลงเหนือศรี ษะ ใชมือทั้งสองจับศีรษะ
ไวใหน่ิง ๆ เพื่อใหศรี ษะ และหัวไหลเ คลอื่ นไหวเปน จังหวะเดียวกันกับรางกาย สวนคนอื่น ๆ จะเปน
คนเดยี ว หรือหลายคนก็ไดชว ยกนั จับเส้อื ผาของผบู าดเจ็บตรงหวั ไหล และตะโพก แลว
174
คอย ๆ เล่อื นผบู าดเจบ็ นนั้ วางลงบนแผน กระดาน หรือบานประตู ใหผูบาดเจ็บนอนหงายอยายกศีรษะ
ข้ึน และอยา ใหคอบดิ ไปมา
- ถาผูบาดเจ็บนอนคว่ําหนา ควรจะวางบานประตู หรือกระดานลงขาง ๆ ตัว
ผูบาดเจบ็ นัน้ เอาแขนเหยียดไปทางศีรษะ คกุ เขาลงเอามือจับขางศีรษะของผูบาดเจ็บ โดยใหมือปดหู
และมุมขากรรไกร แลวคอยพลิกคนเจ็บใหนอนหงายบนกระดาน เวลาพลิกใหนอนหงายจะตองให
ศรี ษะอยนู ง่ิ ๆ และใหอ ยูระดบั เดยี วกับลําตวั ทัง้ ศีรษะ และลาํ ตัวจะตอ งพลิกใหพ รอ ม ๆ กัน
- ระหวางท่ที ําการเคล่ือนยา ย ควรจะใชหนังรัด หรือผาพันแผลก็ไดหลาย ๆ อัน รัด
รอบตัวของผูบ าดเจบ็ ใหต ดิ แนน กับแผนกระดาษ หรอื ถา มีเปลกใ็ หใ ชเ ปลหาม
การเคลอื่ นยา ยผูทกี่ ระดกู สนั หลงั หกั
- อยารีบยกผูบาดเจ็บท่ีสงสัยวากระดูกสันหลังจะหัก ตองถามกอนวาสามารถ
เคลอื่ นไหว ไดหรือไม ถา ผบู าดเจ็บไมไดส ติ และสงสัยวา จะไดร ับอันตรายที่กระดูกสนั หลัง ใหปฏิบัติ
เชน เดียวกับผูที่กระดูกคอหกั
- ถา พบคนท่สี งสัยวากระดกู สันหลังหักนอนควํ่าหนาอยู คอย ๆ พลิกใหนอนหงาย
ลงบนแผน กระดาน หรือเปล แลว หาอะไรมารองสันหลงั ตอนลา ง
- ถา ผูบาดเจ็บนอนหงาย คอย ๆ เล่ือนใหน อนบนกระดาน โดยปฏบิ ัตเิ ชนเดียวกับผูที่
กระดกู คอหกั
- ผบู าดเจ็บที่สงสยั วากระดูกสนั หลงั หัก หามยกในทานง่ั โดยเดด็ ขาด
กะโหลกศรี ษะแตก สมองไดรับความกระทบกระเทอื น
ผทู ีป่ ระสบอนั ตรายจนกะโหลกศรี ษะแตก หรือสะเทือน จะมีอาการเลือดออกทางหู
ตา และจมกู อาจมขี องเหลวสีขาวไหลออกมาจากหู ตาดาํ อาจจะมีขนาดไมเทากัน หนาแดง หรือซีดก็
ได
การปฐมพยาบาล
- ถาหนา มีสปี กติ หรอื สีแดง ควรวางผูบาดเจ็บนอนลง แลวหนนุ ศรี ษะใหส ูงเล็กนอย
ถา หนา ซีดควรวางศรี ษะในแนวราบ
- พลิกศรี ษะใหอ ยูในลักษณะทไ่ี มถูกทบั บริเวณท่ีสงสัยวากระดูกจะแตก
- ถามีบาดแผลปรากฏใหหามเลือด และปดบาดแผลดวยผาปดแผลท่ีสะอาด ผูก
ผาพนั แผลดา นตรงขา มกับบาดแผล
- ใหความอบอุน แกผ ูบาดเจ็บอยเู สมอ และอยาใหส ารกระตุน ใด ๆ แกผูบ าดเจบ็
175
การหา มเลอื ดเมอื่ เกดิ อนั ตรายจากของมีคม
วธิ หี ามเลอื ดมีหลายวธิ ี ไดแ ก
1. การกดดวยนิว้ มือ มีวิธปี ฏบิ ตั ดิ งั น้ี
- ในกรณีทบ่ี าดแผลเลอื ดออกไมม าก จะหา มเลอื ดโดยใชผาสะอาดปดท่บี าดแผลแลว
พันใหแ นน ถา ยังมีเลอื ดไหลซึม ใหใ ชนิ้วมอื กดตรงบาดแผลดว ยกไ็ ด
- ในกรณีที่เสน โลหิตแดงใหญขาด หรือไดร บั อนั ตรายอยา งรุนแรงเปนบาดแผลใหญ
ควรใชนว้ิ มอื กดเพ่อื หา มเลอื ดไมใ หไ หลออกมา และใหก ดลงบรเิ วณระหวางบาดแผลกบั หัวใจ เชน
- เลอื ดไหลออกจากหนังศีรษะ และสว นบนของศรี ษะ ใหกดทีเ่ สนเลือดบริเวณขมับ
ดานที่มีบาดแผล
- เลอื ดไหลออกจากใบหนา ใหกดทีเ่ สน เลือดใตข ากรรไกรลา งดา นทม่ี ีบาดแผลหาง
จากมุมขากรรไกรไปขา งหนา ประมาณ 1 นวิ้
- เลือดไหลออกมาจากคอ ใหกดลงไปบริเวณตนคอขาง ๆ หลอดลมดานท่ีมี
บาดแผล แตก ารกดตาํ แหนงนนี้ านๆ อาจจะทาํ ใหผูถกู กดหมดสติได ฉะนั้นควรใชว ิธีนี้ตอเมอ่ื ใชว ธิ อี น่ื
ๆ ไมไดผ ลแลวเทา นัน้
- เลอื ดไหลออกมาจากแขนทอนบน ใหก ดลงไปท่ไี หปลาราตอนบนสดุ ใกลหัวไหล
ของแขนดา นท่มี บี าดแผล
- เลือดไหลออกมาจากแขนทอนลาง ใหกดที่เสนเลือดบริเวณแขนทอนบนดานใน
กึ่งกลางระหวางหัวไหลกับขอ ศอก
- เลือดออกทข่ี า ใหก ดเสนเลือดบริเวณขาหนบี ดา นที่มบี าดแผล
2. การใชสายรดั หามเลอื ด
ในกรณีทเ่ี ลือดไหลออกจากเสน โลหิตแดงทแ่ี ขน หรอื ขา ใชนิ้วมือกดแลว เลือด
ไมหยดุ ควรใชสายสําหรับหามเลือดโดยเฉพาะ
- สายรัดสําหรับแขน ใหใชรัดเสนโลหิตที่ตนแขน สายรัดสําหรับขาใหใชรัดเสน
โลหติ ที่โคนขา
- อยา ใชส ายรัดผกู รัดใหแนนเกินไป และควรจะคลายออกเปน เวลา 3 วินาที ทุก ๆ 10
นาที จนกวาเลือดจะหยุด
- ถาไมม ีสายรัดแบบมาตรฐาน อาจใชวัตถุท่ีแบน ๆ เชน เข็มขัด หนังรัด ผาเช็ดตัว
เนคไท หรือเศษผา ทําเปน สายรัดได แตอยา ใชเ ชอื กเสน ลวด หรอื ดา ยทาํ เปน สายรัด เพราะอาจจะบาด
หรอื เปน อนั ตรายแกผ วิ หนงั บริเวณทีผ่ ูกได
176
3. การยกบรเิ วณท่มี บี าดแผลใหสูงกวา หวั ใจ
ในกรณีทม่ี บี าดแผลเลือดออกทเ่ี ทา จดั ใหผบู าดเจ็บนอนลงแลว ยกเทาขน้ึ
กจิ กรรม ใหผูเรียนรวบรวมขอมลู การไดร ับอันตรายจากการทาํ งานของตนเอง สมาชกิ ใน
ครอบครวั และเพ่ือนรวมงาน ดังน้ี
1. ขาพเจาเคยไดร ับอนั ตรายจากการทํางาน ดงั นี้
งาน / หนา ท่ที ป่ี ฏบิ ตั ิ หรอื เคยปฏบิ ัต.ิ .....................................................................................
...........................................................................................................................................
อนั ตรายทเี่ คยไดร บั
1. ....................................................................................................................................
2. ....................................................................................................................................
3. ....................................................................................................................................
การปอ งกนั และแกไ ข
1. ....................................................................................................................................
2. ....................................................................................................................................
3. ....................................................................................................................................
2. สมาชกิ ในครอบครวั เคยไดรับอนั ตรายจาการทาํ งาน คือ .........................................................
งาน / หนา ท่ีท่ีปฏบิ ัติ หรือเคยปฏบิ ัต.ิ .................................................................................
.................................................................................................... ......................................
อนั ตรายทเ่ี คยไดร บั
1. ....................................................................................................................................
2. .....................................................................................................................................
3. ....................................................................................................................................
การปองกนั และแกไ ข
1. .....................................................................................................................................
2. ....................................................................................................................................
3. .....................................................................................................................................
177
3. เพ่อื นรว มงานทเี่ คยไดรบั อนั ตรายจากการทาํ งาน ดงั น้ี
งาน / หนาทที่ ีป่ ฏิบัติ หรอื เคยปฏิบัต.ิ .................................................................................
.................................................................................................... ......................................
อันตรายท่ีเคยไดรบั
1. .....................................................................................................................................
2. ....................................................................................................................................
3. .....................................................................................................................................
การปอ งกนั และแกไข
4. ....................................................................................................................................
5. ....................................................................................................................................
6. ....................................................................................................................................
178
บทท่ี 9
ทักษะชวี ิตเพอื่ การส่อื สาร
สาระสําคญั
การมคี วามรคู วามเขาใจเกี่ยวกบั ทักษะท่ีจําเปนสําหรับชีวิตมนุษย โดยเฉพาะทักษะ
การสื่อสาร ทักษะการสรางสัมพันธภาพระหวา งบคุ คล ทกั ษะการเขาใจผูอื่น จะชวยใหบ ุคคลดํารงชวี ติ
อยูในครอบครัว ชมุ ชน และสงั คมอยางมคี วามสุข
ผลการเรียนรทู ี่คาดหวงั เพอ่ื ใหผูเรยี น
1. มีความรูความเขาใจเก่ียวกับทักษะชีวิตที่จําเปน 3 ประการ ไดแก ทักษะการ
ส่ือสาร ทักษะการสรางสมั พนั ธภาพระหวางบคุ คล และทกั ษะการเขา ใจผอู น่ื
2. ประยกุ ตใชท กั ษะชวี ติ ในการดาํ เนนิ ชีวิต และในการทํางานอยา งมีประสทิ ธิภาพ
ขอบขายเน้อื หา
เรอื่ งที่ 1 ความหมายของทักษะชีวิต
เรอ่ื งท่ี 2 ทกั ษะชวี ิตท่จี าํ เปน 3 ประการ
179
เรื่องที่ 1 ความหมายของทกั ษะชวี ิต
คําวา ทักษะ (Skill) หมายถงึ ความชดั เจน และความชํานาญในเรอ่ื งใดเร่อื งหนง่ึ ซึ่ง
บคุ คลสามารถสรางขนึ้ ไดจากการเรยี นรู ไดแ ก ทักษะการอาชีพ การกฬี า การทํางานรวมกับผูอ่ืน การ
อาน การสอน การจัดการ ทักษะทางคณติ ศาสตร ทกั ษะทางภาษา ทักษะทางการใชเทคโนโลยี ฯลฯ ซ่ึง
เปน ทักษะภายนอกทส่ี ามารถมองเห็นไดชัดเจนจากการกระทํา หรือจากการปฏิบัติ ซึ่งทักษะดังกลาว
นั้นเปนทกั ษะท่ีจําเปนตอการดํารงชวี ิต ทีจ่ ะทาํ ใหผ ูมที ักษะเหลานั้นมีชีวิตที่ดี สามารถดํารงชีพอยูใน
สังคมได โดยมโี อกาสที่ดกี วาผไู มมีทักษะดังกลาว ซึ่งทักษะประเภทนี้เรียกวา Livelihood skill หรือ
Skill for living ซึ่งเปนคนละอยางกับทักษะชีวิต ที่เรียกวา Life skill (ประเสริฐ ตันสกุล) ดังนั้น
ทกั ษะชีวิต หรอื Life skill จงึ หมายถงึ คุณลกั ษณะ หรอื ความสามารถเชงิ สงั คม จิตวทิ ยา (Psychosocial
competence) ที่เปนทักษะภายในท่ีจะชวยใหบุคคลสามารถเผชิญสถานการณตาง ๆ ที่เกิดข้ึนใน
ชีวติ ประจําวันไดอ ยา งมีประสทิ ธภิ าพ และเตรียมพรอ มสําหรบั การปรบั ตวั ในอนาคต ไมวาจะเปนเรอ่ื ง
การดูแลสขุ ภาพ เอดส ยาเสพตดิ ความปลอดภัย ส่ิงแวดลอม คุณธรรมจริยธรรม ฯลฯ เพอ่ื ใหส ามารถมี
ชีวิตอยใู นสังคมไดอ ยา งมีความสุข หรือจะกลาวงา ย ๆ ทักษะชีวิต ก็คือ ความสามารถในการแกปญหา
ทีต่ อ งเผชิญในชีวติ ประจําวัน เพ่อื ใหอ ยรู อดปลอดภยั และสามารถอยูร วมกับผอู น่ื ไดอยา งมีความสขุ
1.1 องคป ระกอบของทกั ษะชวี ิต
องคป ระกอบของทักษะชีวิต จะมีความแตกตางกันตามวัฒนธรรม และสถานที่ แต
ทกั ษะชวี ิตท่ีจาํ เปนที่สุดที่ทุกคนควรมี ซ่ึงองคการอนามัยโลกไดสรุปไว และถือเปนหัวใจสําคัญใน
การดาํ รงชวี ติ คอื
1. ทักษะการตัดสินใจ (Decision making) เปนความสามารถในการตัดสินใจ
เกี่ยวกบั เรอื่ งราวตา ง ๆ ในชีวติ ไดอ ยางมีระบบ เชน ถา บคุ คลสามารถตัดสนิ ใจเกี่ยวกับการกระทําของ
ตนเองทเ่ี กย่ี วกับพฤติกรรมดา นสุขภาพ หรอื ความปลอดภยั ในชวี ติ โดยประเมินทางเลือก และผลที่ได
จากการตดั สินใจเลือกทางที่ถูกตองเหมาะสม ก็จะมีผลตอ การมีสุขภาพที่ดีท้งั รา งกาย และจิตใจ
2. ทักษะการแกปญหา (Problem Solving) เปนความสามารถในการจัดการกับ
ปญหาทีเ่ กิดขึ้นในชวี ติ ไดอยางมรี ะบบ ไมเกิดความเครยี ดทางกาย และจิตใจ จนอาจลกุ ลามเปน ปญหา
ใหญโตเกินแกไข
3. ทักษะการคิดสรางสรรค (Creative thinking) เปนความสามารถในการคิดที่จะ
เปนสวนชวยในการตัดสินใจ และแกไขปญหาโดยการคิดสรางสรรค เพ่ือคนหาทางเลือกตาง ๆ
รวมทงั้ ผลทจี่ ะเกิดขน้ึ ในแตล ะทางเลอื ก และสามารถนําประสบการณมาปรับใชในชีวิตประจําวันได
อยา งเหมาะสม
180
4. ทกั ษะการคิดอยางมวี จิ ารณญาณ (Critical thinking) เปนความสามารถใน การ
คิดวิเคราะหขอ มลู ตา ง ๆ และประเมินปญ หา หรอื สถานการณที่อยูรอบตัวเรา ที่มีผลตอการ ดําเนิน
ชวี ติ
5. ทักษะการส่ือสารอยางมีประสิทธิภาพ (Effective communication) เปน
ความสามารถในการใชคําพูด และทาทาง เพ่ือแสดงออกถึงความรูสึกนึกคิดของตนเองไดอยาง
เหมาะสมกบั วฒั นธรรม และสถานการณต า ง ๆ ไมว า จะเปน การแสดงความคิดเห็น การแสดง ความ
ตองการ การแสดงความช่ืนชม การขอรอง การเจรจาตอรอง การตักเตือน การชวยเหลือการปฏิเสธ
ฯลฯ
6. ทักษะการสรางสัมพันธภาพระหวางบุคคล (Interpersonal relationship) เปน
ความสามารถในการสรางความสัมพันธที่ดีระหวางกันและกัน และสามารถรักษาสัมพันธภาพไวได
ยืนยาว
7. ทักษะการตระหนักรูในตน (Self awareness) เปนความสามารถในการคน หารจู กั
และเขาใจตนเอง เชน รขู อ ดี ขอเสียของตนเอง รูความตองการ และส่ิงท่ีไมตองการของตนเอง ซึ่งจะ
ชว ยใหเ รารูตวั เองเวลาเผชญิ กับความเครยี ด หรอื สถานการณต าง ๆ และทักษะน้ียงั เปนพืน้ ฐานของการ
พฒั นาทักษะอน่ื ๆ เชน การสอื่ สาร การสรางสมั พันธภาพ การตัดสนิ ใจ ความเห็นใจผอู ่ืน
8. ทักษะการเขาใจผูอื่น (Empathy) เปนความสามารถในการเขาใจความเหมือน
หรอื ความแตกตางระหวา งบุคคล ในดานความสามารถ เพศ วยั ระดับการศึกษา ศาสนา ความเช่ือ สี
ผิว อาชีพ ฯลฯ ชวยใหสามารถยอมรับบุคคลอื่นที่ตางจากเรา เกิดการชวยเหลือบุคคลอ่ืนท่ีดอยกวา
หรือไดร บั ความเดือดรอ น เชน ผตู ดิ ยาเสพตดิ ผตู ดิ เชอ้ื เอดส
9. ทักษะการจัดการกับอารมณ (Coping with emotion) เปนความสามารถในการ
รบั รูอารมณข องตนเอง และผูอ่ืน รูวาอารมณมีผลตอการแสดงพฤติกรรมอยางไร รูวิธีการจัดการกับ
อารมณโกรธ และความเศรา โศก ทีส่ ง ผลทางลบตอ รางกาย และจติ ใจไดอยา งเหมาะสม
10. ทักษะการจดั การกบั ความเครียด (Coping with stress) เปน ความสามารถในการ
รับรูถึงสาเหตุของความเครียด รูวิธีผอนคลายความเครียด และแนวทางในการควบคุมระดับ
ความเครยี ด เพื่อใหเกิดการเบ่ียงเบนพฤติกรรมไปในทางท่ีถูกตอง เหมาะสม และไมเกิดปญหาดาน
สุขภาพ
1.2 กลวธิ ีในการสรางทกั ษะชวี ิต
จากองคป ระกอบของทักษะชวี ิต 10 ประการ เม่อื จะนาํ ไปใชพ ัฒนาทักษะชีวติ
สามารถแบงไดเปน 2 สวน ดงั น้ี
181
1. ทักษะชีวิตทั่วไป คือ ความสามารถพื้นฐานท่ีใชเผชิญปญหาปกติใน
ชีวิตประจําวัน เชน ความเครียด สุขภาพ การคบเพ่ือน การปรับตัว ครอบครัวแตกแยก การบริโภค
อาหาร ฯลฯ
2. ทักษะชวี ิตเฉพาะ คอื ความสามารถท่จี ําเปน ในการเผชญิ ปญหาเฉพาะ เชน ยาเสพ
ตดิ โรคเอดส ไฟไหม นา้ํ ทว ม การถูกลวงละเมิดทางเพศ ฯลฯ
เร่อื งท่ี 2 ทกั ษะชีวติ ที่จําเปน 3 ประการ
ทกั ษะการส่ือสารอยา งมีประสทิ ธิภาพ (Effective communication)
ทักษะการสรา งสัมพนั ธภาพระหวางบุคคล (Interpersonal relationship)
ทักษะการเขาใจผูอ ่นื (Empathy)
2.1 ทักษะการส่อื สารอยางมีประสิทธภิ าพ
การสื่อสาร เปนกระบวนการสรางความเขาใจกันระหวางบุคคล โดยอาจเปนการ
สอ่ื สารทางเดียว (one-way communication) คอื การส่อื ขาวสารจากผูสงสาร ไปยังผูรับสาร โดยไมมี
การสื่อสารกลบั หรอื สะทอ นความรสู ึกกลับไปยังผสู ง สารอกี ครัง้ สวนการสอื่ สารสองทาง (Two-way
Communication) เปน การสือ่ ขา วสารจากผูสง สารไปยังผูรับสาร และมีการส่ือสารกลับ หรือสะทอน
ความรสู ึกกลับจากผูร ับสาร ไปยังผสู งสารอกี คร้งั จงึ เรียกวา เปนการสอ่ื สารสองทาง
การสื่อสารระหวางบุคคล นับวาเปนความจําเปนอยางย่ิง เพราะในการดําเนินชีวิต
ปกตใิ นปจจบุ ัน การสื่อสารเขามามบี ทบาทอยา งยงิ่ ในทุกกิจกรรม ไมวาจะเปนการสื่อสารดวย การ
พดู การเขียน การแสดงกริ ิยาทาทาง หรือการใชเคร่ืองมือสื่อสารที่เปนเทคโนโลยีสมัยใหม ตาง ๆ
เชน โทรศพั ท Internet e-mail ฯลฯ ทง้ั นี้ การสือ่ สารดวยวธิ ใี ด ๆ กต็ าม ควรทาํ ใหผูสง สาร และผูรับ
สารเกดิ ความเขาใจอนั ดตี อ กนั และเกิดสมั พันธภาพท่ดี ีตามมา ซึ่งทกั ษะท่ีจําเปนในการสื่อสาร ไดแก
การรจู ักแสดงความคดิ เหน็ หรอื ความตองการใหถ กู กาลเทศะ และการรูจกั แสดงความชื่นชมผูอ ่ืน การ
รจู กั ขอรอ ง การเจรจาตอ รองในสถานการณคับขันจําเปน การตักเตือนดวยความจริงใจ และใชวาจา
สภุ าพ การรูจกั ปฏิเสธเมื่อถูกชักชวนใหปฏิบัติในส่ิงที่ผิดขนบธรรมเนียมประเพณี หรือผิดกฎหมาย
เปน ตน
การส่อื สารดวยการปฏเิ สธ
หลาย ๆ คนไมกลาปฏิเสธคาํ ชกั ชวนของเพ่ือน หรือคนรัก เม่ือไปทําในส่ิงทตี่ นเองไม
เหน็ ดว ย เชน การมีเพศสมั พันธที่ไมปลอดภัย การเท่ียวซองโสเภณี การเสพยาเสพติด ฯลฯ อันท่ีจริง
การปฏเิ สธเปนสิทธิของทุกคน การปฏเิ สธคําชกั ชวนของเพอ่ื น หรอื คนรกั เม่อื ทาํ ในส่งิ ท่ตี นเองไมเ ห็น
182
ดวยอยางเหมาะสม และไดผลจะชวยปองกันการมีพฤติกรรมเสี่ยงได คนสวนใหญไมกลาปฏิเสธคํา
ชกั ชวนของเพื่อน หรือคนรัก เพราะกลวั วาเพ่ือน หรือคนรักจะโกรธ แตถาสามารถปฏิเสธไดถูกตอง
ตามข้นั ตอนจะไมทาํ ใหเสียเพ่อื น
การปฏิเสธท่ดี ี
จะตองปฏิเสธอยางจริงจัง ท้ังทาทาง คําพูด และน้ําเสียง เพื่อแสดงความต้ังใจอยาง
ชดั เจนท่จี ะขอปฏิเสธ
การปฏเิ สธมี 3 ข้ันตอน คอื
1. บอกความรสู กึ เปน ขออางประกอบเหตุผล เพราะการบอกความรูสึกจะโตแยง ยาก
กวาการบอกเหตผุ ลอยา งเดยี ว
2. การขอปฏิเสธเปนการบอกปฏเิ สธชัดเจนดว ยคําพูด
3. การถามความเห็นชอบเพ่ือรักษานํ้าใจของผูชวน และความขอบคุณเมื่อผูชวน
ยอมรับการปฏเิ สธ
ตัวอยา งการปฏิเสธเม่ือถกู ชวนไปเสพยาเสพตดิ
แดงเปน ผชู วน และแอมเปน ผปู ฏิเสธ
แดง : คนื น้ีมีปารต ที้ ่ีหอ ง แอม ไปใหไดน ะ มขี องดอี ยางวาใหม ๆ มาใหลอง
แอม : ของอยา งวา นั้นไมด ีตอสุขภาพ ขอไมล อง แดงคงไมว า นะ ขอบคณุ มากที่ชวน
แดง : ....................................
การหาทางออกเมื่อถูกเซาซี้ หรือสบประมาท บางครั้งผูชวนพูดเซาซี้เพื่อชวนให
สาํ เรจ็ ผูถ ูกชวนไมควรหวน่ั ไหวกบั คําพดู เพราะจะทาํ ใหข าดสมาธิในการหาทางออก ควรยืนยันการ
ปฏิเสธดว ยทาทมี ่นั คง และหาทางออกโดยวธิ ีตอ ไปนี้
ปฏเิ สธซ้าํ โดยไมต อ งใชขอ อา ง พรอมท้ังบอกลา แลว เดนิ จากไปทันที
การตอ รอง โดยการชวนไปทํากจิ กรรมอืน่ ท่ีดกี วา
การผดั ผอน โดยการยดื ระยะเวลาออกไปเพอ่ื ใหผูชวนเปลยี่ นความตัง้ ใจ เชน
183
ขั้นตอน ตัวอยา งคาํ พดู
1. อางความรูสกึ ประกอบเหตผุ ล “ฉนั ไมชอบ มนั ไมดตี อสขุ ภาพ”
2. ขอปฏิเสธ “ขอไมไปนะเพื่อน”
3. การขอความเห็นชอบ “เธอคงเขาใจนะ”
4. ถูกเซา ซ้ี หรือถกู สบประมาท “ไมล องดีกวา เราขอกลบั กอนนะ”
“ฉันคิดวา เรากลบั บานกันเลยดกี วา ”
4.1 การปฏิเสธซํา้ “แดงคิดวา เราควรรอไปอีกสักระยะหนึ่ง เมือ่ เราทงั้ สอง
4.2 การตอรอง พรอ มท่จี ะรับผดิ ชอบครอบครวั คอยคิดเรือ่ งน”้ี
4.3 การผดั ผอ น
สถานการณท่ีชวนไปเท่ยี วซอง
ชัยเปนผชู วน ยุทธเปน ผูปฏิเสธ
ชัย : วันนกี้ นิ ขาวเย็นแลว ไปเทยี่ วอยา งวากนั นะ
ยทุ ธ : เราไมช อบสถานทอี่ ยา งน้ัน กลัวติดโรคดว ย ขอไมไ ปนะเพอื่ น
ชยั : เราไปหลายหนไมเหน็ เปนอะไรเลย ชกั สงสัยแลว วา นายเปนผชู าย
เตม็ รอยหรือเปลา ชวนท่ีไรไมไ ปสกั ที
ยทุ ธ : ไมละ เอาไวค ราวหลงั พวกนายไปเท่ยี วทีอ่ น่ื เราจะไปดว ย
คร้ังน้ีขอตวั กอนนะ ขอบใจมากทช่ี วน
ในเรอ่ื งความรัก ผูหญิงเมื่อมีความรัก จะมีความรูสึกชอบ หรือรัก ตองการความรัก
ความอบอุน ความใกลชิดผูกพันทางใจ ไมคาดคิดวาฝายชายตองการอะไรจากความใกลชิด จึงขาด
ความระมดั ระวงั อาจเผลอตัวเผลอใจไปตามที่ฝายชายตองการ เปนคานิยมของชาย โดยถือเปนเร่ือง
ปกติท่ีจะมีเพศสัมพันธกับหญิงบริการ หรือคนรักเพื่อปลดเปลื้องความใคร เพราะเมื่อผูชายรัก หรือ
ชอบผูหญิงมักจะตองการผกู พันทางกาย คือ ความรัก ความใคร เมื่อผูชายตองการผูกพันทางกายก็จะ
คดิ หาวธิ กี ารตาง ๆ เพอ่ื ทาํ ใหเกิดพฤติกรรมที่จะนาํ ไปสูส ิ่งทต่ี นตองการ โดยคิดวาฝายหญิงก็ตองการ
เชนกนั
การมีเพศสัมพันธครั้งแรก ฝายหญิงไมไดมีความสุขทางเพศอยางที่ฝายชายเขาใจ
ตรงกนั ขามจะมีความวิตกกังวล กลัวต้ังครรภ กลัวแฟนจะทอดทิ้ง หรือดูถูก กลัวเพื่อนรู กลัวพอแม
เสยี ใจ แตฝ ายชายจะมคี วามสขุ ทางเพศ และภูมิใจท่ีไดเปนเจาของ การมีเพศสัมพันธในคร้ังตอ ๆ มา
ฝายหญงิ มกั จะยนิ ยอมเพราะความรกั ความผูกพัน ความกังวล กลัวถูกทอดท้ิงหากไมยอม แตฝายชาย
184
ถือเปน เรือ่ งปกติ เปนการหาความสุขรวมกัน ปญหาที่ตามมาคือ การตั้งครรภ หรือโรคตาง ๆ ฉะน้ัน
การคบเพอื่ นตา งเพศ ผูหญิงควรปฏิบตั ิตนอยา งไรบา ง เชน
- ไมควรอยดู ว ยกนั ตามลาํ พังสองตอ สองในท่ลี บั ตา เพราะความใกลช ิดสามารถไปสู
การมเี พศสมั พนั ธไ ด
- ผูหญงิ ควรแตงกายมดิ ชดิ ไมแตงกายลอแหลม
- ผูหญิงควรระมัดระวังตัวขณะอยูใกลชิดกับเพ่ือนตางเพศ ควรรักนวลสงวนตัว
ระวังการสัมผสั หรอื ถูกเนอ้ื ตองตัว
สําหรับผูช าย เมอื่ มีโอกาสอยกู ันตามลําพังสองตอสองควรยับยั้งชั่งใจ และไมคิดหา
วิธตี า ง ๆ ท่จี ะทาํ ใหเ กดิ พฤตกิ รรมท่จี ะนําไปสสู ง่ิ ทต่ี นตองการ โดยคาดคิดเอาเองวา ฝา ยหญิงกต็ อ งการ
เชนเดียวกับตน
ตัวอยา งการส่ือสารดวยการปฏเิ สธ
ปจจุบนั ปญหาการมเี พศสมั พันธกอ นวัยอนั ควร ลกุ ลาม รุนแรงถึงข้ันเปนปญหาการ
ตง้ั ครรภท ่ีไมพึงประสงคเ พิ่มสูงขึ้นในกลุมวัยรนุ วยั เรยี น ทําใหต องออกกลางคัน หรือแอบไปทําแทง
จนทาํ ใหเกิดอันตรายถงึ แกช วี ติ เปนจํานวนมาก
ดังน้นั เรือ่ งที่พอ แมไ มอ ยากใหเ กดิ เร่ืองหนึ่งคือ ไมอยากใหลูกมี “เซ็กส” กอนวัยอัน
ควร อยากใหเรยี นหนงั สอื จบ ใหเปน ผูใหญทรี่ ับผิดชอบตวั เองไดม ากกวา น้ี
แตข าวเดก็ วัยรนุ ตอนนก้ี ็ออกมามากเหลอื เกนิ วาเหน็ เรื่อง “เซ็กส” เปนเร่ืองธรรมดา
ไมเ ห็นจะเสยี หายตรงไหน บางคนเปลย่ี นคูเปนวา เลน บางคูก็เชาหอพักอยดู วยกัน เชาไปเรียนดวยกัน
เยน็ กลับมานอนดวยกัน พอแมอ ยูต า งจงั หวดั ไมร ูเรอื่ ง คิดวาลูกคงตงั้ ใจเรยี นอยางเดียว ท่ไี หนได
เร่ืองน้ีพอแมจะทําเฉยไมไดแมลูกเราจะเปนเดก็ เรยี บรอ ย ยังไมมีทีทาวาจะสนใจเพศ
ตรงขา มก็ตาม พอ แมก ็ตองชวนคุยเม่ือมีโอกาส หากพอแมลูกดูโทรทัศนดวยกัน จะมีฉากอยางวาใน
ละครไทยอยูหลายเร่ือง เชน พระเอกเสียทีนางราย หรือนางเอกใจออนยอมพระเอกกอน แตสุดทาย
ไมไดแ ตงงานกนั พอแมก็ถือโอกาสน้ีชวนลูกคุยเสียเลย ไมวาจะเปนลูกชาย หรือลูกสาวก็ตองระวัง
เรื่องนดี้ วยกันทงั้ น้ัน ซึ่งอาจแนะนาํ ลูกดงั นี้
อยาอยูก ันตามลําพงั สองตอ สองในที่ลับตาคน แมอีกฝายจะชวนก็ไมตองตามใจ ให
รจู ักปฏเิ สธ
ถา ดูแลว อกี ฝายจะผกู มดั โดยอางวา “รกั จริงหวังแตง ” หรอื อะไรกแ็ ลว แต
ท่ีจะสรรหามาพราํ่ พรรณนา ตอ งใหลูกเราพูดกับอีกฝา ยแบบเปด ใจ เปด เผย ดวยทาทีที่มั่นใจวา “ไม
ตองการใหมอี ะไรกนั เกนิ เลยกวา น้ี เพราะเรายังเด็กยังไมสมควร” หรือ “ยังไมพรอม” แมวาเราจะรัก
เขามากก็ควรคบกันแคเปน แฟนกอน เวลายงั มีอกี ยาวนาน ใครจะรูวาคนนใ้ี ชคูแทห รือไม
ตองรจู ักหลีกเลยี่ ง หรอื กลา ปฏิเสธที่จะมีเพศสัมพันธ ถาอกี ฝา ยยังต้ือ
185
ตอ งใหร จู ักเอาตวั รอดใหได
ใหเ บ่ยี งเบนความสนใจของอีกฝา ยไปยงั เรือ่ งอื่น เชน อาจชวนไปเลน กีฬา
หรอื ชวนคุยในเรอื่ งที่คดิ วา อีกฝา ยจะหยดุ ฟง
ถา อกี ฝายยงั ไมย อมฟง เหตผุ ล โดยอาจจะมีขอ อางวา “ถา ไมยอม แสดงวา
ไมรกั จรงิ ” หากถงึ ข้ันนลี้ ะกอ ตองใหลกู คิดใหมแ ลววา ควรจะคบกนั เปนแฟนตอไปอกี ไหม เพราะอีก
ฝายคงตอ งพยายามหาโอกาสอกี เรือ่ ย ๆ แลว แนใ จไหมวา ลกู จะไมใจออ นเขาสกั วัน
ท่ีสาํ คัญ พอ แมตองชวนลกู คยุ ถงึ ผลเสียของการมีเพศสมั พนั ธก อนวยั
อันควรดว ย
2.2 ทกั ษะการสรางสัมพันธภาพระหวา งบคุ คล
คงไดยินคาํ พูดนี้บอย ๆ วา “คนเราอยูคนเดียวในโลกไมได” เราตองพ่ึงพาอาศัยกัน
ซ่งึ จะตอ งมีสมั พันธภาพทด่ี ตี อ กนั
การที่จะสรา งสัมพันธภาพใหเ กิดข้นึ ระหวางกนั นัน้ เปน เรือ่ งไมยาก แรกเริม่ คอื
1. มกี ารติดตอ พบปะกนั
เราจะตอ งมีการติดตอพบปะพูดคุยกบั คนทตี่ องการมีสัมพันธภาพกับเขา ใหเวลากับ
เขา ทาํ งานรวมกนั ทํากิจกรรมรวมกนั เลน กีฬาดว ยกนั และในที่สดุ เราก็มโี อกาสสรางมิตรภาพท่ีดีตอ
กนั
2. มีความสนใจและประสบการณร ว มกัน
ประสบการณเปนส่ิงท่ีนําคนสองคนใหมารวมมือกัน การชวยเหลือกันในระหวาง
การเลาเรียน หรือการทํางานดวยกัน มีความสนใจในเรื่องเดียวกัน การรวมประสบการณ และ
แลกเปล่ียนประสบการณระหวา งกนั เปนการสรา งมติ รภาพที่ดใี หเกิดข้นึ ได
3. มีทศั นคตแิ ละความเชอื่ ที่คลา ยคลงึ กัน
ชวงวัยรุนเปนชวงท่ีความคิด ทัศนคติ และความรูสึกอาจมีการเปล่ียนแปลงอยาง
รวดเรว็ ถา คนไหนมคี วามคิดเหน็ คลา ยคลงึ กับเรา เราจะรูส ึกพอใจ แตถาคนไหนมคี วามคดิ แตกตางกบั
เรา เราจะรสู กึ ไมพ อใจ แตในความเปนจริงตองเขา ใจวา คนสวนใหญไมไดมีความเห็นเหมือนกันทุก
เรอ่ื ง แมในคนทีเ่ ปน มติ รตอ กนั เพยี งใดก็ตาม
จะสรา งสัมพันธภาพท่ีดีไดอ ยางไร
การเรียนรูวิธกี ารสรางสัมพนั ธภาพท่ีดีเปน สาํ คัญ และทุกคนควรจะคนหาเพ่ือใหเกิด
มิตรภาพ ดงั น้ี
1. ความใสใจ เอาใจใสซ่ึงกันและกัน ดูแลกันทั้งยามสขุ ยามทกุ ข
186
2. ความไวเน้อื เช่อื ใจ การอยกู บั ผูอ่นื อยา งมคี วามสขุ เราตองไววางใจในตวั เขา
และตองใหเขาไวว างใจในตวั เราดว ย
3. การยอมรับ เราจะตอ งรูจกั ใหการยอมรับ และนับถอื คนอน่ื รูจ กั แสดงความ
ชืน่ ชม และยนิ ดกี บั ความสาํ เรจ็ ของผอู ื่น
4. การมสี วนรวม และการแบงปน สัมพนั ธภาพทด่ี ีคอื การไดมีสวนรวมแบงปนใน
ประสบการณ รจู กั รับฟงความคิด และยอมรับความจรงิ จากคนสว นมาก
5. การมีความยืดหยนุ คนท่มี ีความยืดหยุนจะเปนคนท่ีสามารถมีความสุข แมจะอยู
กบั คนท่ีมีความเหน็ ตา งกนั
6. ความเห็นอกเห็นใจผูอ่ืน การแสดงความเห็นอกเห็นใจ จะทําไดงายถามี
สมั พนั ธภาพทด่ี ีตอกัน เพราะจะไมเ กิดความเขาใจผิดตอกัน
จากการท่คี นเราตอ งมีสัมพนั ธภาพทด่ี ีกบั ผูอนื่ น้ัน ก็เพื่อที่จะสามารถอยูรวมกับผูอื่น
ได โดยท่ีไดรับการชวยเหลือจากผูอ่ืนตามสมควร ไมวาจะเปนเพื่อน พอแม พ่ีนอง หรือคน อื่น ๆ
โดยเฉพาะการมสี ัมพนั ธภาพที่ดรี ะหวางพอ แมก บั ลูกวยั รนุ เปนสิ่งทีส่ าํ คัญมาก เพอ่ื ลูกจะไดเ ติบโตเปน
ผใู หญทดี่ ี และประสบความสําเรจ็ ในชีวติ ตอไป
การสรางสมั พันธภาพดว ยการให
การฝกใหเ ปน ผูเสียสละ หรอื เปน ผใู หนน้ั พอแมจะตอ งสอนลูก หรือเปน
ตวั อยา งในการเปน ผูใ หเสมอ
การใหโ ดยทัว่ ไปนนั้ เรามักจะนึกถึงแตการใหส่งิ ของ หรือเงนิ ทอง แตค วาม
จริงยงั มีส่ิงสําคญั ท่ที กุ คนควรใหแกก นั ไดแ ก การใหร อยย้ิม ใหค วามจรงิ ใจ ใหก ารชวยเหลือ ให
คําชมเชย ใหความเมตตา ใหอภยั ฯลฯ ซึ่งการใหส่งิ เหลา นไ้ี มต องเสียเงินทองซอ้ื หา แตตอ งเปนการให
ที่ออกมาจากใจจรงิ จะเปน การสรา งมติ รภาพท่ดี ตี อ กนั
ใหน กึ เสมอวา จงเปนผูใหเถดิ ใหผ อู ่ืนใหม ากข้นึ รบั ใหน อ ยลง จึงจะเปน การ
ทาํ ใหครอบครัวเรามคี วามสขุ และสงั คมจะอบอุน เพอ่ื ลูกไดซึมซับ และนําไปใชในการเปนผูใหเสมอ
กบั เพื่อน ๆ พี่ นอง และคนอนื่ ๆ ท่อี ยรู วมกัน
การฝกใหเ ปน คนนา รกั นา คบหา
เคยไดย ินอาจารยท านหนงึ่ พูดในรายการโทรทศั นน านมาแลววา “ลูกเราไมวาจะเปน
อยา งไร มันก็ดนู ารักไปหมดในสายตาพอแม แตเราจะตอ งสอนลกู เราใหเปน คนนา รกั เพ่ือที่คนอ่ืนเขา
จะไดรกั ลกู เราดว ย”
187
พวกเราทเ่ี ปน ผูใ หญค งเคยเหน็ เด็กประเภทน้ีบา ง เชน
- เห็นผใู หญแ ลวไมไ หว ทําเปนมองไมเหน็
- พูดจาไมเพราะ หนา บึ้งตึง
- ไมรจู กั กาลเทศะ
- เอาแตใจตัวเอง
- ทําทาอวดดี
เดก็ ท่เี ปน อยา งนี้ ผใู หญก จ็ ะมองวา ไมน า รกั เลย บางทีทําใหอดคิดไมไ ดว า
พอ แมค งไมมเี วลาสั่งสอน
สวนในกลุมของเด็กวัยรุนดวยกัน ไดลองถามวาเพื่อนแบบไหนที่ไมอยากคบ
ดว ย ก็ไดคําตอบวา
- ประเภททชี่ อบดถู ูกเพ่ือน
- เอาเปรยี บไมชว ยงานกลมุ
- ข้อี ิจฉาเพือ่ น เหน็ เพอ่ื นมดี ไี มไ ด
- ชอบพดู ใหคนอืน่ หนา แตก หมอไมร บั เยบ็
- คุยโมโ ออ วดตนเอง และวา คนอ่นื
- ชอบแกลงเพอ่ื น
ถาเปนอยางนเี้ พื่อนก็ไมอยากคบหาสมาคม และไมอ ยากใหเ ขา รวมกลมุ
เพราะเขา ท่ไี หนก็วงแตกกระเจิงทุกที จนเพ่อื น ๆ เออื มระอา
คนเปน พอแมค งเศรา ใจมาก ถาลูกเรากลายเปนคนนา รงั เกียจที่ไมม ใี คร
อยากคบ ดังน้นั พอ แมตอ งพยายามพดู คุยยกตัวอยางคนทีท่ ําตัวนารัก และคนที่ทําตัวไมนารักให ลูก
เห็น เพ่ือเปรียบเทียบ และเอาเปนตัวอยาง ซ่ึงลักษณะของคนนารักน้ัน พระเทพวิสุทธิกวี แหง วัด
โสมนสั วิหาร กรุงเทพมหานคร ไดกลาววา คนทนี่ า รักยอ มมคี ณุ สมบตั ิ 9 ประการ คอื
1. ไมเ ปน คนอวดดี
2. ไมพ ดู มากจนเขาเบอื่
3. เปนคนออ นนอ มถอมตน
4. รูจ ักผอ นส้นั ผอนยาว
5. พูดจาออ นหวาน
6. เปนคนเสยี สละ ไมเ อาเปรียบผูอ น่ื
7. เปนคนกตัญูกตเวที
8. เปนคนไมมีนสิ ัยรษิ ยา เสยี ดสีผูอ ่นื
9. เปนคนมีนิสัยสขุ ุมรอบคอบ ไมยกตนขมทาน
188
“พอ แมท ห่ี วังใหลกู เปนทร่ี ักของผใู หญ และเพื่อนฝงู ตองพยายามเพาะนสิ ัย
ดังกลา วใหก บั ลูก กจ็ ะทําใหการอยูรวมกับผูอ่ืนในสังคมเกิดเปนสัมพันธภาพท่ีดีระหวางกันและกัน
ทุกคนกจ็ ะมแี ตความสขุ ”
2.3 ทกั ษะการเขาใจผูอืน่
การที่บุคคลจะอยูในครอบครัว อยูในสังคมอยางมีความสุข จําเปนตองรูจักตนเอง
และรจู ักผูทต่ี นเกีย่ วขอ งสัมพันธด ว ย ดงั ภาษิตจีนที่วา “รูเ ขา รูเรา รบรอ ยครงั้ ชนะรอ ยครง้ั ”
ดงั นนั้ การทเี่ ราจะทําความรูจักผูอ่นื ซงึ่ เราจะตอ งเกย่ี วขอ งสัมพันธดวย ไมวาจะเปน
ภายในครอบครัวของเราเอง หรอื ในสถานศกึ ษา ในสถานทีท่ าํ งาน เพราะเราไมสามารถอยูคนเดียวได
ในทกุ ที ทกุ สถานการณ
หลกั ในการเขาใจผอู ืน่ มีดังนี้
1. ตอ งคาํ นงึ วาคนทกุ คนมศี กั ดศ์ิ รีความเปนมนุษยเชนเดียวกับเรา จึงควรปฏิบัติกับ
เพ่ือนมนุษยท ุกคนดว ยความเคารพในศกั ดิศ์ รขี องความเปน มนษุ ยเทา เทียมกนั ไมวาจะเปน คนจน
คนรวย คนแก เด็ก คนพิการ ฯลฯ
2. บุคคลทุกคนมีความแตกตางกัน ท้ังพื้นฐานความรู ฐานะทางเศรษฐกิจ สภาพ
ความเปน อยู ระดบั การศึกษา การปลูกฝงคณุ ธรรม คา นยิ ม ระเบยี บ วินยั ความรับผิดชอบ ฯลฯ ดังน้ัน
หากเรายอมรับความแตกตา งระหวา งบคุ คลดงั กลาว จะทําใหเ ราพยายามทาํ ความเขา ใจเขา และส่ือสาร
กบั เขาดว ยกริ ยิ าวาจาสุภาพ ซึ่งหากยังไมเขาใจเรากจ็ ําเปน ตองอดทน และอธิบายดวยภาษาท่ีเขาใจงาย
ไมแ สดงอาการดูถูกดแู คลน หรือแสดงอาการหงดุ หงดิ รําคาญ เปน ตน
3. การเอาใจเขามาใสใ จเรา บุคคลท่ัวไปมักชอบใหคนอื่นเขาใจตนเอง ยอมรับ ใน
ความตองการ ควรเปน ตัวตนของตนเอง ดงั นั้นจงึ มักมคี ําพูดตดิ ปากเสมอ เชน ฉันอยา งนัน้ ฉันอยาง
น้ี ทาํ ไมเธอไมท าํ อยา งนน้ั ทําไมเธอไมทาํ อยางนี้ ทาํ ไมเธอถึงไมเ ขาใจฉัน ฯลฯ ซ่ึงเปนการเอาใจเรา
ไปยดั เยียดใสใจเขา และมกั ไมพ ึงพอใจในทุกเรือ่ ง ทุกฝา ย ท้ังนใี้ นดา นกลบั กัน หากเราคดิ ใหม ปฏิบัติ
ใหม โดยพยายามทาํ ความเขาใจผอู ืน่ ไมวาจะเปน พอ แมเ ขา ใจลูก หรือลูกเขา ใจ พอแม เพอ่ื นเขาใจ
เพื่อน โดยการทําความเขาใจวา เขาหรือเธอมเี หตผุ ลอะไร ทาํ ไมจึงแสดงพฤติกรรมเชนน้ัน เขามีความ
ตองการอะไร เขาชอบอะไร ฯลฯ เมื่อเราพยายามเขาใจเขา และปฏิบัติใหสอดคลองกับความชอบ
ความตอ งการของเขาแลว ก็จะทําใหการอยูรวมกัน หรือการทํางานรวมกันเปนไปดวยความราบร่ืน
และแสดงความสงบสนั ติสุขในครอบครัว ชุมชน และสงั คม
4. การรับฟงผูอ่ืน การท่ีเราจะเขาใจผูอื่นไดดีหรือไม ขึ้นอยูกับวาเรารับฟงความ
คิดเหน็ ความตองการของเขามากนอ ยเพียงใด บุคคลท่ัวไปในปจจุบันไมชอบฟงคนอื่นพูด แตชอบที่
จะพดู ใหค นอนื่ ฟง และปฏบิ ัติตาม ดงั นัน้ สิง่ สาํ คญั ท่ีเปน พ้ืนฐานที่จะทําใหเราเขาใจผูอ่ืนก็คือ ทักษะ
การฟง ซงึ่ จะตอ งเปนการฟงอยา งต้งั ใจ ไมขดั จงั หวะ หรือแสดงอาการเบ่ือหนาย และควรแสดงกิริยา
189
ตอบรบั เชน สบตา ผงกศรี ษะ ทั้งน้ี การฟงอยางตั้งใจ จะทําใหเรารับทราบความคดิ ความตอ งการ หรอื
ปญหาของผูท่ีเราเกี่ยวของดวย ไมวาจะเปนในฐานะลูกกับพอแม พอแมกับลูก นายจางกับลูกจาง
หวั หนา กบั ลูกนอ ง ฯลฯ ซึง่ จะทําใหเ ราเกดิ อาการเขา ใจ และสามารถแกป ญ หาไดอ ยา งถูกตองในทส่ี ุด
กจิ กรรม 1 ใหผ เู รยี นยกตัวอยาง วธิ กี ารสือ่ สารกบั พอแม และหัวหนางาน หรอื ลูกนอ ง ดังนี้
1. การสอ่ื สารกบั พอ แม กรณขี อไปเท่ยี วคา งคืนตางจังหวดั
.................................................................................................... .................................................
.................................................................................................... .................................................
......................................................................................................................................................
2. การสอื่ สารกบั หัวหนา งาน หรือลกู นอ ง กรณขี อขน้ึ เงินเดือน หรือลดโบนัส
.................................................................................................... .................................................
.................................................................................................... .................................................
.....................................................................................................................................................
กิจกรรม 2
ถา ทานมีลูกวัยรุนท่กี ําลังมีปญหาอกหัก ถูกแฟนบอกเลกิ ทานจะมีแนวทางชวยเหลือ
ลูกอยางไร โดยใชท ักษะการสื่อสาร การสรา งสมั พันธภาพ และทักษะการเขา ใจผอู นื่
.................................................................................................... .................................................
......................................................................................................................................................
.................................................................................................... .................................................
....................................................................................................................... ..............................
.................................................................................................... .................................................
.................................................................................................... .................................................
190
บทท่ี 10
อาชีพแปรรูปสมุนไพร
สมุนไพรกบั บทบาททางเศรษฐกจิ
สมุนไพร หมายถึง พืชที่มีสรรพคุณในการรักษาโรค หรืออาการเจ็บปวยตาง ๆ การใช
สมุนไพรสาํ หรบั รกั ษาโรค หรืออาการเจ็บปว ยตา งๆ นี้ จะตองนําเอาสมนุ ไพรตง้ั แตสองชนดิ ขน้ึ ไปมา
ผสมรวมกันซง่ึ จะเรยี กวา ยา ในตํารับยา นอกจากพชื สมุนไพรแลว ยังอาจประกอบดว ยสตั วและแรธ าตุ
อีกดวย เราเรียกพืช สัตว หรือแรธาตุท่ีเปนสวนประกอบของยานี้วา เภสัชวัตถุ สมุนไพรเปนสวน
หนึง่ ในแผนพฒั นาเศรษฐกิจและสังคมแหงชาติ กระทรวงสาธารณสุขไดดําเนิน โครงการ สมุนไพร
กบั สาธารณสขุ มูลฐาน โดยเนน การนาํ สมนุ ไพรมาใชบาํ บัดรักษาโรคใน สถานบรกิ ารสาธารณสขุ ของ
รฐั มากขึน้ และ สง เสรมิ ใหป ลกู สมนุ ไพรเพ่ือใชภ ายในหมูบ านเปนการสนบั สนุนใหม กี ารใชส มุนไพร
มากยิ่งขึ้น อันเปนวิธีหน่ึงท่ีจะชวยประเทศชาติประหยัดเงินตราในการส่ังซ้ือยาสําเร็จรูปจาก
ตางประเทศไดปล ะเปนจาํ นวนมาก
การผลติ สมนุ ไพรในรปู แบบการประกอบอาชีพ
ปจจุบันมีผูพยายามศึกษาคนควาเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑสมุนไพรใหสามารถนํามาใชใน
รูปแบบท่ีสะดวกยิง่ ขน้ึ เชน นํามาบดเปนผงบรรจุแคปซูล ตอกเปนยาเม็ด เตรียมเปนครีมหรือยาขี้ผ้ึง
เพือ่ ใชทาภายนอก เปนตน ในการศึกษาวจิ ัยเพ่ือนําสมนุ ไพรมาใชเ ปน ยาแผนปจจุบันนั้น ไดมีการวิจัย
อยางกวางขวาง โดยพยายามสกัดสารสําคัญจากสมุนไพรเพื่อใหไดสารท่ีบริสุทธ์ิ ศึกษาคุณสมบัติ
ทางดานเคมี ฟสิกสของสารเพ่ือใหทราบวาเปนสารชนิดใด ตรวจสอบฤทธ์ิดานเภสัชวิทยาใน
สัตวท ดลองเพ่ือดใู หไ ดผ ลดีในการรักษาโรคหรือไมเพียงใด ศึกษาความเปนพิษและผลขางเคียง เมื่อ
พบวาสารชนิดใดใหผ ลในการรกั ษาที่ดี โดยไมมพี ิษหรือมพี ิษขา งเคียงนอยจงึ นําสารนน้ั มาเตรียมเปน
ยารปู แบบท่เี หมาะสมเพื่อทดลองใชต อไป
การแปรรปู สมุนไพรเพอื่ การจาํ หนา ย
สมุนไพรถูกนาํ มาใชส ารพัดประโยชน และถูกแปรรูปออกมาในแบบตาง ๆ เพอื่ การจาํ หนา ย
ซ่ึงสามารถนํามาใชประกอบอาชีพ ทั่งอาชีพหลัก ละอาชีพเสริมได สิ่งสําคัญที่สุดของการแปรรูป
สมนุ ไพร คอื การปรงุ สมุนไพร
การปรุงสมุนไพร หมายถึง การสกัดเอาตัวยาออกมาจากเนื้อไมยา สารที่ใชสกัดเอาตัวยา
ออกมาทน่ี ิยมใชก ัน ไดแ ก น้ําและเหลา สมนุ ไพรท่ีนํามาปรงุ ตามภมู ปิ ญ ญาด้ังเดิมมี 7 รปู แบบ คือ
191
1.การตม เปน การสกดั ตัวยาออกมาจากไมยาดวยน้ํารอน เปนวิธีที่นิยมใชมากที่สุด ใชกับ
สวนของเนื้อไมท แี่ นนและแข็ง เชน ลาํ ตนและราก ซ่ึงจะตองใชการตมจึงจะไดตัวยาที่เปนสารสําคัญ
ออกมา ขอ ดีของการตม คือ สะอาด ปลอดจากเชื้อโรค มี 3 ลักษณะ
การตมกินตางนํ้า คือการตมใหเดือดกอนแลวตมดวยไฟออน ๆอีก 10 นาที หลังจากนั้น
นาํ มากนิ แทนนา้ํ
การตมเคีย่ วคอื การตมใหเดือดออ น ๆ ใชเ วลาตม 20-30 นาที
การตม 3 เอา 1 คอื การตม จากนํ้า 3 สวน ใหเ หลือเพียง 1 สว น ใชเ วลาตม 30-45 นาที
2.การชง เปน การสกัดตัวยาสมุนไพรดว ยนํ้ารอน ใชกับสวนที่บอบบาง เชน ใบ ดอก ท่ีไม
ตอ งการโดนนา้ํ เดอื ดนาน ๆ ตวั ยากอ็ อกมาได วิธีการชง คือ ใหนํายาใสแกวเติมนํ้ารอนจัดลงไป ปด
ฝาแกว ทงิ้ ไวจนเยน็ ลักษณะนเี้ ปนการปลอยตัวยาออกมาเต็มท่ี
3. การใชน้ํามัน ตัวยาบางชนิดไมยอยละลายน้ํา แมวาจะตมเคี่ยวแลวก็ตาม สวนใหญยาที่
ละลายน้ําจะไมละลายในนํ้ามันเชนกัน จึงใชน้ํามันสกัดยาแทน แตเน่ืองจากยานํ้ามันทาแลวเหนียว
เหนอะหนะ เปอนเส้อื ผา จงึ ไมน ยิ มปรุงใชกัน
4.การดองเหลา เปน การใชก บั ตวั ยาของสมนุ ไพรทไ่ี มล ะลายน้ํา แตละลายไดดีในเหลาหรือ
แอลกอฮอล การดองเหลามักมีกล่ินแรงกวายาตม เนื่องจากเหลามีกลิ่นฉุน และหากกินบอย ๆอาจทํา
ใหตดิ ได จงึ ไมน ิยมกนิ กนั จะใชต อ เมื่อกินยาเมด็ หรอื ยาตม แลวไมไดผ ล
5.การตม ค้ันเอานํา้ เปนการนําเอาสวนของตนไมท่ีมีนํ้ามาก ๆ ออนนุม ตําแหลกงาย เชน
ใบ หัว หรือเหงา นํามาตําใหละเอียด และค้ันเอาแตนํ้าออกมา สมุนไพรที่ใชวิธีการน้ีกินมากไมได
เชนกัน เพราะน้ํายาที่ไดจะมีกลิ่นและรสชาติที่รุนแรง ตัวยาเขมขนมาก ยากท่ีจะกลืนเขาไปท่ีเดียว
ฉะนน้ั กินครงั้ ละหนึ่งถวยชากพ็ อแลว
6.การบดเปน ผง เปน การนําสมุนไพรไปอบหรือตากแหงแลวบดใหเปนผง สมุนไพรท่ีเปน
ผงละเอยี ดมากย่งิ มสี รรพคณุ ดี เพราะจะถูกดูดซึมสูลําไสงาย จึงเขาสูรางกายไดรวดเร็ว สมุนไพรผง
ชนิดใดท่กี นิ ยากก็จะใชปนเปนเม็ดท่ีเรียกวา "ยาลูกกลอน" โดยใชน้ําเช่ือมน้ําขาวหรือน้ําผ้ึง เพื่อให
ตดิ กนั เปน เมด็ สวนใหญนยิ มใชน ํ้าผึ้งเพราะสามารถเกบ็ ไวไ ดน านโดย ไมข ึ้นรา
7.การฝน เปนวิธีการที่หมอพื้นบานนิยมกันมาก วิธีการฝน คือ หาภาชนะใสน้ําสะอาด
ประมาณครงึ่ หนง่ึ แลว นําหินลบั มดี เล็ก ๆ จมุ ลงไปในหินโผลเหนือนํ้าเล็กนอย นําสมุนไพรมาฝนจน
ไดน ํา้ สขี ุนเล็กนอย กนิ ครั้งละ 1 แกว
192
อยางไรกต็ าม การแปรรปู ผลติ ภณั ฑส มนุ ไพร ควรแปรรปู ในลักษณะอาหารหรือเคร่ืองใชท่ี
ไมจัดอยใู นประเภทยารกั ษา คือไมมสี รรพคุณในการรักษาหรือปองกัน บรรเทา บําบัดโรค เนื่องจาก
ผลติ ภณั ฑประเภทยาจะตองผา นการตรวจสอบท่ีมมี าตรฐานสูงและถกู ตอง มผี ชู าํ นาญการทม่ี คี ณุ วฒุ ใิ น
การดําเนินการดวย
ลกั ษณะของผูท จี่ ะประกอบอาชพี ผลิตภณั ฑสมุนไพรในการปรุงผลิตภัณฑจากสมุนไพร ผู
ปรุงจาํ เปน ตอ งรูหลักการปรงุ ผลติ ภัณฑจากสมนุ ไพร 4 ประการคอื
1. เภสัชวัตถุ ผูปรุงตองรูจักชื่อ และลักษณะของเภสัชวัตถุท้ัง 3 จําพวก คือ พืชวัตถุ สัตว
วตั ถุ และธาตุวตั ถุ รวมทง้ั รปู สี กลิ่นและรสของเภสชั วตั ถุนั้นๆ ตัวอยางเชน กะเพราเปนไมพุมขนาด
เล็ก มี 2 ชนิด คือ กะเพราแดงและกะเพราขาว ใบมีกลิ่นหอม รสเผ็ดรอน หลักของการปรุงยาขอน้ี
จาํ เปน ตองเรียนรูจากของจริง
2. สรรพคุณเภสัช ผูปรุงตองรูจักสรรพคุณของยา ซึ่งสัมพันธกับรสของสมุนไพรเรียกวา
รสประธาน แบงออกเปน
2.1 สมนุ ไพรรสเยน็ ไดแ ก ยาที่ประกอบดวยใบไมที่รสไมเผ็ดรอนเชน เกสรดอกไม สัตว
เขา (เขาสัตว 7 ชนิด) เนาวเขย้ี ว (เข้ยี วสัตว 9 ชนิด) และของที่เผาเปนถาน ตัวอยางเชน ยามหานิล ยา
มหากาฬ เปนตน ยากลุมนใ้ี ชสําหรับรกั ษาโรคหรอื อาการผิดปกติทางเตโชธาตุ
(ธาตุไฟ)
2.2 สมุนไพรรสรอน ไดแก ยาท่ีนําเอาเบญจกูล ตรีกฎก หัสคุณ ขิง และขามาปรุง
ตัวอยางเชน ยาแผนโบราณท่ีเรียกวายาเหลืองทั้งหลาย ยากลุมน้ีใชสําหรับรักษาโรคและอาการ
ผิดปรกตทิ างวาโยธาตุ (ธาตลุ ม)
2.3 สมนุ ไพรรสสุขมุ ไดแ ก ยาที่ผสมดว ย โกฐ เทยี น กฤษณา กระลําพกั ชะลูด อบเชย
ขอนดอก และแกนจันทนเ ทศ เปน ตน ตัวอยา งเชน ยาหอมทั้งหลาย ยากลมุ นใี้ ชร กั ษาความผดิ ปรกติ
ทางโลหิต
นอกจากรสประธานของสมนุ ไพรดงั ท่ีกลาวน้ีเภสัชวัตถยุ งั มรี สตา งๆ อีก 9 รสคอื รสฝาด รส
หวาน รสเบ่ือเมา รสขม รสมนั รสหอมเย็น รสเค็ม รสเปรี้ยว และรสเผ็ดรอน ในตําราสมุนไพรแผน
โบราณบางตําราไดเ พม่ิ รสจืดอีกรสหน่งึ ดว ย
3. คณาเภสัช ผูปรุงสมุนไพรตองรูจักเครื่องสมุนไพรที่ประกอบดวยเภสัชวัตถุมากกวา 1
ชนดิ ท่ีนาํ มารวมกนั แลว เรยี กเปนช่อื เดียว ตวั อยา งเชน
ทเวคนั ธา หมายถึงเคร่อื งสมุนไพรท่ีประกอบดว ยเภสัชวตั ถุ 2 ชนิด คอื รากบนุ นาค และ
รากมะซาง