หนังสือเรียนสาระการพฒั นาสังคม
รายวชิ าสงั คมศึกษา
(สค21001)
ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนตน
หลักสตู รการศึกษานอกระบบระดบั การศึกษาขัน้ พน้ื ฐาน
พุทธศกั ราช 2551
(ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ. 2560)
หามจําหนา ย
หนงั สือเรียนเลมน้ี จัดพมิ พด วยเงนิ งบประมาณแผน ดนิ เพ่อื การศึกษาตลอดชีวติ สําหรบั ประชาชน
ลขิ สทิ ธิ์เปน ของ สาํ นกั งาน กศน. สํานักงานปลัดกระทรวงศกึ ษาธกิ าร
สํานกั งานสงเสริมการศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศยั
สาํ นกั งานปลดั กระทรวงศกึ ษาธิการ
กระทรวงศกึ ษาธิการ
หนงั สอื เรียนสาระการพัฒนาสงั คม
รายวชิ าสังคมศึกษา (สค21001)
ระดบั มธั ยมศึกษาตอนตน
(ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. 2560)
เอกสารทางวิชาการลาํ ดับท่ี 36/2557
คาํ นาํ
สํานกั งานสงเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย ไดด ําเนินการจัดทําหนังสือ
เรยี นชุดใหมน ีข้ ึน้ เพ่ือสาํ หรับใชใ นการเรียนการสอนตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษา
ขน้ั พน้ื ฐานพทุ ธศักราช 2551 ท่ีมีวัตถุประสงคในการพัฒนาผูเ รียนใหมีคุณธรรม จริยธรรม มีสติปญญา
และศักยภาพในการประกอบอาชีพการศึกษาตอ และสามารถดํารงชีวติ อยูในครอบครัว ชมุ ชน สังคมได
อยา งมีความสุขโดยผูเรียนสามารถนําหนังสือเรียนไปใชดว ยวิธีการศึกษาคน ควา ดวยตนเอง ปฏิบัติ
กิจกรรม รวมทัง้ แบบฝก หัด เพอ่ื ทดสอบความรูค วามเขาใจในสาระเน้อื หา โดยเม่ือศึกษาแลว ยังไมเ ขาใจ
สามารถกลับไปศึกษาใหมไ ด ผูเรยี นอาจจะสามารถเพ่ิมพูนความรูห ลังจากศึกษาหนังสือเรียนนี้ โดยนํา
ความรไู ปแลกเปลยี่ นกบั เพอ่ื นในชนั้ เรยี น ศึกษาจากภูมิปญ ญาทองถิน่ จากแหลงเรยี นรูและจากส่อื อื่น ๆ
ในการดาํ เนนิ การจดั ทาํ หนงั สอื เรยี นตามหลกั สูตรการศึกษานอกระบบระดับการศกึ ษาขน้ั พนื้ ฐาน
พุทธศักราช 2551 ไดร บั ความรวมมอื ทด่ี จี ากผทู รงคุณวุฒิและผูเกี่ยวขอ งหลายทา นท่ีคนควาและเรียบเรียง
เนื้อหาสาระจากส่ือตา ง ๆ เพื่อใหไดส ื่อท่ีสอดคลอ งกับหลักสูตรและเปนประโยชนต อผูเ รียนท่ีอยู
นอกระบบอยางแทจริง สํานักงานสงเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย ขอขอบคุณ
คณะทปี่ รกึ ษา คณะผเู รียบเรยี ง ตลอดจนคณะผูจัดทาํ ทกุ ทานทไี่ ดใหค วามรว มมือดว ยดีไว ณ โอกาสนี้
สํานักงานสงเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย หวังวาหนังสือเรียนชุดน้ี
จะเปนประโยชนใ นการจัดการเรียนการสอนตามสมควร หากมีขอเสนอแนะประการใด สํานักงาน
สงเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย ขอนอมรบั ไวดวยความขอบคุณยิง่
สํานักงาน กศน.
กันยายน 2557
สารบัญ
หนา
คาํ นํา
คาํ แนะนํา
โครงสรางรายวชิ าสงั คมศกึ ษา (สค21001)
ขอบขา ยเนอื้ หา
บทที่ 1 ภูมิศาสตรก ายภาพทวีปเอเชีย...............................................................1
เรื่องที่ 1 ลกั ษณะทางภูมศิ าสตรก ายภาพของประเทศ
ในทวปี เอเชยี .............................................................................. 3
เรื่องที่ 2 การเปล่ียนแปลงสภาพภมู ศิ าสตรก ายภาพ.................................. 9
เร่ืองที่ 3 วิธีใชเคร่ืองมอื ทางภมู ิศาสตร ....................................................17
เร่ืองที่ 4 สภาพภมู ิศาสตรก ายภาพของไทย
ท่ีสงผลตอทรัพยากรตาง ๆ .......................................................23
เร่ืองท่ี 5 ความสําคัญของการดาํ รงชวี ติ ใหส อดคลอ ง
กบั ทรัพยากรในประเทศ ...........................................................29
บทที่ 2 ประวัติศาสตรท วีปเอเชีย....................................................................41
เรือ่ งท่ี 1 ประวตั ศิ าสตรส ังเขปของประเทศในทวปี เอเชีย.........................43
เร่ืองที่ 2 เหตกุ ารณส าํ คัญทางประวตั ิศาสตรที่เกิดขึ้นในประเทศไทย
และประเทศในทวีปเอเชยี .........................................................62
เรื่องท่ี 3 พระราชกรณยี กิจของพระบาทสมเดจ็ พระปรมินทรมหาภมู พิ ลอดลุ ยเดช
(รชั กาลท่ี 9) และสมเดจ็ พระนางเจา สิรกิ ติ ์ิ พระบรมราชินนี าถ
ทส่ี งผลตอ การเปล่ยี นแปลงของประเทศไทย..............................82
บทที่ 3 เศรษฐศาสตร.................................... ...............................................109
เรือ่ งที่ 1 ความหมายความสําคญั ของเศรษฐศาสตรม หภาค
และจุลภาค.............................................................................110
เรอ่ื งที่ 2 ระบบเศรษฐกจิ ในประเทศไทย................................................112
เรอื่ งที่ 3 คุณธรรมในการผลติ และการบริโภค........................................125
เรอ่ื งที่ 4 กฎหมายและขอมลู การคมุ ครองผบู รโิ ภค................................127
เรอ่ื งท่ี 5 ระบบเศรษฐกิจของประเทศตา ง ๆ ในเอเชีย...........................130
เรื่องท่ี 6 ประชาคมเศรษฐกจิ อาเซยี น....................................................135
สารบัญ (ตอ)
บทที่ 4 การเมืองการปกครอง.............................................................................. 146
เรื่องท่ี 1 การเมอื งการปกครองทใี่ ชอยใู นปจ จุบัน
ของประเทศไทย .....................................................................147
เรอ่ื งท่ี 2 เปรียบเทียบรูปแบบทางการเมืองการปกครอง
ระบอบประชาธิปไตยและระบบอนื่ ๆ.....................................158
แนวเฉลยกจิ กรรม ……………………………………………………………………………………….167
บรรณานกุ รม ……………………………………………………………………………………….175
คณะผูจัดทาํ ……………………………………………………………………………………….179
คาํ แนะนาํ ในการใชห นงั สือเรยี น
หนังสือสาระการพัฒนาสังคม รายวิชาสังคมศึกษา (สค21001) ระดับมัธยมศึกษาตอนตน
เปนหนังสือเรียนที่จัดทําขึ้นสําหรับผูเรียนท่ีเปนนักศึกษานอกระบบในการศึกษาหนังสือสาระ
การพัฒนาสงั คม รายวิชาสงั คมศึกษา (สค21001) ระดบั มธั ยมศึกษาตอนตน ผเู รยี นควรปฏิบัติ ดังนี้
ศึกษาโครงสรางรายวิชาใหเ ขา ใจในหัวขอและสาระสําคัญ ผลการเรียนรูท่ีคาดหวัง และขอบขาย
เน้ือหาของรายวิชาน้นั ๆ โดยละเอยี ด
1. ศึกษารายละเอียดเน้อื หาของแตล ะบทอยางละเอียด และทํากจิ กรรมตามทีก่ ําหนด
แลวตรวจสอบกบั แนวตอบกจิ กรรมตามท่กี ําหนด ถา ผูเรยี นตอบผดิ ควรกลับไปศึกษาและทําความเขา ใจ
ในเน้อื หานั้นใหมใ หเ ขาใจ กอ นท่จี ะศกึ ษาเรอื่ งตอ ๆ ไป
2. ปฏิบัติกิจกรรมทา ยเรื่องของแตละเรื่อง เพื่อเปน การสรุปความรู ความเขาใจของเนื้อหา
ในเรอ่ื งนนั้ ๆ อีกครง้ั และการปฏบิ ัติกิจกรรมของแตละเนอ้ื หา แตล ะเร่อื ง ผูเ รยี นสามารถนาํ ไปตรวจสอบ
กับครแู ละเพอื่ น ๆ ที่รว มเรียนในรายวชิ าและระดับเดียวกนั ได
3. หนงั สอื เรยี นเลมน้มี ี 4 บท คอื
บทท่ี 1 ภมู ศิ าสตรก ายภาพทวปี เอเชีย
บทท่ี 2 ประวตั ศิ าสตรทวีปเอเชีย
บทที่ 3 เศรษฐศาสตร
บทท่ี 4 การเมอื งการปกครอง
โครงสรางรายวชิ าสงั คมศึกษา (สค21001)
สาระสาํ คญั
การศึกษาเรียนรูเกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดลอ มทางกายภาพทั้งของประเทศไทย
และทวีปเอเชีย วิวัฒนาการความสัมพันธข องมนุษยกับส่ิงแวดลอม การจัดการทรัพยากรท่ีมีอยูอยา ง
จํากัด เพ่ือใหใ ชอยางเพียงพอในการผลิตและบริโภค การใชขอ มูลทางประวัติศาสตรเพื่อวิเคราะห
เหตกุ ารณใ นอนาคต การเรียนรเู รอ่ื งการเมืองการปกครอง สามารถนําไปใชป ระโยชนในการดําเนินชีวิต
ประจาํ วันได
ผลการเรยี นรทู คี่ าดหวงั
1. อธิบายขอ มูลเก่ียวกับภูมิศาสตร ประวัติศาสตร เศรษฐศาสตร การเมืองการปกครองที่
เกี่ยวของกับประเทศในทวีปเอเชยี
2. นําเสนอผลการเปรียบเทียบสภาพภูมิศาสตร ประวัติศาสตร เศรษฐศาสตร การเมือง
การปกครองของประเทศในทวีปเอเชยี
3. ตระหนกั และวิเคราะหถึงการเปลีย่ นแปลงท่ีเกิดขนึ้ กับประเทศในทวปี เอเชยี ทมี่ ีผลกระทบตอ
ประเทศไทย
ขอบขา ยเนอื้ หา
บทท่ี 1 ภูมิศาสตรก ายภาพทวปี เอเชีย
เรอื่ งท่ี 1 ลักษณะทางภูมิศาสตรก ายภาพของประเทศในทวปี เอเชีย
เร่อื งที่ 2 การเปล่ยี นแปลงสภาพภมู ศิ าสตรก ายภาพ
เรอ่ื งท่ี 3 วิธใี ชเ ครอ่ื งมือทางภมู ศิ าสตร
เรอ่ื งที่ 4 สภาพภมู ิศาสตรก ายภาพของไทยทส่ี ง ผลตอทรพั ยากรตาง ๆ
เร่ืองที่ 5 ความสําคญั ของการดํารงชีวติ ใหส อดคลอ งกับทรพั ยากรในประเทศ
บทที่ 2 ประวตั ศิ าสตรท วีปเอเชยี
เรื่องท่ี 1 ประวตั ศิ าสตรสังเขปของประเทศในทวีปเอเชีย
เรื่องท่ี 2 เหตุการณส าํ คญั ทางประวัตศิ าสตรทเ่ี กดิ ขน้ึ ในประเทศไทยและ
ประเทศในทวปี เอเชีย
เรือ่ งท่ี 3 พระราชกรณียกจิ ของพระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหาภูมิพลอดลุ ยเดช
(รัชกาลที่ 9) และสมเด็จพระนางเจาสิริกิติ์ พระบรมราชนิ นี าถ ท่ีสงผล
ตอ การเปลี่ยนแปลงของประเทศไทย
บทท่ี 3 เศรษฐศาสตร
เร่อื งท่ี 1 ความหมายความสําคญั ของเศรษฐศาสตรมหภาคและจุลภาค
เร่อื งที่ 2 ระบบเศรษฐกิจในประเทศไทย
เรอื่ งท่ี 3 คุณธรรมในการผลติ และการบรโิ ภค
เรื่องท่ี 4 กฎหมายและขอ มูลการคุมครองผูบรโิ ภค
เร่ืองท่ี 5 ระบบเศรษฐกจิ ของประเทศตา ง ๆ ในเอเชยี
เรอ่ื งท่ี 6 ประชาคมเศรษฐกจิ อาเซยี น
บทท่ี 4 การเมอื งการปกครอง
เรอ่ื งท่ี 1 การเมืองการปกครองทใ่ี ชอ ยใู นปจ จุบนั ของประเทศไทย
เรอื่ งที่ 2 รูปแบบการเมืองการปกครองระบอบประชาธิปไตยและระบบอื่น ๆ
สื่อประกอบการเรียนรู
1. หนังสือเรียนรายวิชาสังคมศึกษา สาระการพัฒนาสังคม ระดับมัธยมศึกษาตอนตน
หลักสตู รการศกึ ษานอกระบบและระดับการศึกษาขัน้ พื้นฐาน พุทธศักราช 2551
2. เครือ่ งมือทางภมู ศิ าสตร เชน แผนที่ ลูกโลก เข็มทิศ รูปถา ยทางอากาศและภาพถา ย
จากดาวเทยี ม
3. เวบ็ ไซต
4. หนังสือพิมพ วารสาร เอกสารทางวิชาการตามหองสมุดและแหลงเรียนรูใ นชุมชน
และหองสมุดประชาชน หอ งสมุดเฉลิมราชกุมารใี นทองถิ่น
1
บทท่ี 1
ภูมศิ าสตรกายภาพทวีปเอเชยี
สาระสําคัญ
ภูมิศาสตรกายภาพ คือวิชาท่ีเกี่ยวของกับลักษณะการเปล่ียนแปลงของสิ่งแวดลอม
ทางกายภาพ (Physical Environment) ท่ีอยูรอบตัวมนุษย ทั้งสวนท่ีเปนธรณีภาค อุทกภาค
บรรยากาศภาค และชีวภาค ตลอดจนความสัมพันธทางพื้นที่ (Spatial Relation) ของส่ิงแวดลอม
ทางกายภาพตาง ๆ ดงั กลาวขา งตน
การศกึ ษาภูมศิ าสตรท างกายภาพทวีปเอเชียทําใหสามารถวิเคราะหเหตุผลประกอบกับการ
สังเกตพิจารณาสิ่งที่ผันแปรเปลี่ยนแปลงในภูมิภาคตาง ๆ ของทวีปเอเชียไดเปนอยางดี การศึกษา
ภูมิศาสตรกายภาพแผนใหมตองศึกษาอยางมีเหตุผล โดยอาศัยหลักเกณฑทางภูมิศาสตรหรือ
หลกั เกณฑสถติ ิ ซง่ึ เปน ขอ เทจ็ จริงจากวชิ าในแขนงท่ีเกยี่ วของกันมาพิจารณาโดยรอบคอบ
ผลการเรียนรูท่คี าดหวัง
1. อธิบายลกั ษณะทางภูมิศาสตรก ายภาพของประเทศในทวีปเอเชียได
2. มคี วามรทู างดานภูมิศาสตรก ายภาพ สามารถเขาใจสภาพกายภาพของโลกวา
มอี งคประกอบและมกี ารเปลยี่ นแปลงที่มผี ลตอสภาพความเปน อยูของมนษุ ยอ ยางไร
3. สามารถอธิบายการใชและประโยชนของเคร่ืองมอื ทางภมู ิศาสตรไ ด
4. อธบิ ายความสมั พนั ธของสภาพภูมิศาสตรกายภาพของไทยที่สงผลตอทรัพยากรตาง ๆ
และสงิ่ แวดลอ มได
5. อธิบายความสัมพันธของการดํารงชีวิตใหสอดคลองกับทรัพยากรในประเทศไทย
และประเทศในทวปี เอเชียได
ขอบขายเนอื้ หา
เร่อื งท่ี 1 ลกั ษณะทางภมู ศิ าสตรก ายภาพของประเทศในทวีปเอเชยี
1.1 ทต่ี งั้ และอาณาเขต
1.2 ลักษณะภูมปิ ระเทศ
1.3 สภาพภูมิอากาศ
เรอ่ื งที่ 2 การเปลีย่ นแปลงสภาพภูมศิ าสตรก ายภาพ
2.1 การเปลีย่ นแปลงสภาพภูมศิ าสตรก ายภาพทส่ี งผลกระทบตอ วิถีชวี ิต
ความเปนอยูของคน
2
เรอื่ งท่ี 3 วิธใี ชเ คร่อื งมอื ทางภมู ิศาสตร
3.1 แผนท่ี
3.2 ลกู โลก
3.3 เข็มทิศ
3.4 รปู ถา ยทางอากาศและภาพถา ยจากดาวเทยี ม
3.5 เคร่อื งมอื เทคโนโลยีเพอ่ื การศกึ ษาภมู ศิ าสตร
เร่อื งท่ี 4 สภาพภูมิศาสตรกายภาพของไทยทสี่ ง ผลตอทรพั ยากรตา ง ๆ และสง่ิ แวดลอม
เรือ่ งท่ี 5 ความสาํ คญั ของการดาํ รงชีวติ ใหส อดคลองกบั ทรัพยากรในประเทศ
5.1 ประเทศไทย
5.2 ประเทศในเอเชยี
ส่ือประกอบการเรยี นรู
1. แบบเรียนรายวิชาสังคมศึกษา สาระการพัฒนาสังคม ระดับมัธยมศึกษาตอนตน หลักสูตร
การศึกษานอกระบบระดบั การศกึ ษาขน้ึ พื้นฐาน พุทธศกั ราช 2551
2. เครื่องมือทางภมู ิศาสตร เชน แผนที่ ลกู โลก เข็มทิศ รูปถา ยทางอากาศและภาพถา ยจากดาวเทียม
3. เวบ็ ไซต
3
เรอ่ื งที่ 1 ลกั ษณะทางภมู ศิ าสตรก ายภาพของประเทศในทวปี เอเชยี
1.1 ทต่ี ้งั และอาณาเขต ทวปี เอเชียเปนทวีปทม่ี ีขนาดใหญที่สุดในโลก มีพื้นที่ประมาณ 44,648,953
ลา นตารางกิโลเมตร มดี ินแดนทีต่ อเนื่องกบั ทวีปยุโรปและทวีปแอฟริกา แผนดินของทวีปยุโรปกับทวีปเอเชีย
ท่ีตอเน่ืองกัน เรียกรวมวา ยูเรเชีย พื้นท่ีสวนใหญอยูเหนือเสนศูนยสูตรมีทําเลที่ตั้งตามพิกัดภูมิศาสตร คือ
จากละติจูด 11 องศาใต ถึงละติจูด 77 องศา 41 ลิปดาเหนือ บริเวณแหลมเชลยูสกิน (Chelyuskin)
สหพันธรัฐรัสเซีย และจากลองจิจูดท่ี 26 องศา 04 ลิปดาตะวนั ออก บริเวณแหลมบาบา (Baba) ประเทศตุรกี
ถงึ ลองจิจดู 169 องศา 30 ลิปดาตะวันตก ทีบ่ ริเวณแหลมเดชเนฟ (Dezhnev) สหพันธรัฐรัสเซยี โดยมอี าณา-
เขตติดตอ กบั ดินแดนตา ง ๆ ดงั ตอ ไปนี้
ทิศเหนือ จรดมหาสมุทรอารกติก มีแหลมเชลยูสกินของสหพันธรัฐรัสเซียเปนแผนดินอยูเหนือสุด
ท่ลี ะตจิ ูด 77 องศาเหนือ
ทิศใต จรดมหาสมทุ รอินเดีย มีเกาะโรติ (Roti) ของติมอร-เลสเต เปน ดินแดนอยูใตท่ีสุดท่ีละติจูด 11
องศาใต
ทศิ ตะวนั ออก จรดมหาสมทุ รแปซิฟก มีแหลมเดชเนฟของสหพันธรัฐรัสเซียเปน แผนดนิ อยูตะวันออก
ท่สี ุด ที่ลองจจิ ูด 170 องศาตะวนั ตก
ทศิ ตะวันตก จรดทะเลเมดเิ ตอรเ รเนยี นและทะเลดํา มีทวิ เขาอูราลกั้นดนิ แดนกบั ทวปี ยุโรป และมี
ทะเลแดงกับคาบสมุทรไซไน (Sinai) ก้ันดินแดนกับทวีปแอฟริกา มีแหลมบาบาของตุรกีเปนแผนดิน
อยตู ะวันตกสดุ ท่ลี องจิจดู 26 องศาตะวนั ออก
1.2 ลักษณะภูมิประเทศ ทวีปเอเชียมีลักษณะภูมิประเทศแตกตางกันหลายชนิดในสวนท่ีเปน
ภาคพน้ื ทวปี แบงออกเปนเขตตา ง ๆ ได 5 เขต คือ
1) เขตทีร่ าบตา่ํ ตอนเหนอื เขตที่ราบตาํ่ ตอนเหนือ ไดแก ดินแดนทีอ่ ยูทางตอนเหนอื ของทวีปเอเชีย
ในเขตไซบีเรีย สวนใหญอยูในเขตโครงสรางแบบหินเกา ท่ีเรียกวา แองการาชีลด มีลักษณะภูมิประเทศ
เปนท่ีราบขนาดใหญ มีแมน้ําออบ แมนํ้าเยนิเซและแมนํ้าลีนาไหลผาน บริเวณน้ีมีอาณาเขตกวางขวางมาก
แตไมคอยมีผูคนอาศัยอยู ถึงแมวาจะเปนที่ราบ เพราะเน่ืองจากมีภูมิอากาศหนาวเย็นมากและทําการ
เพาะปลกู ไมได
2) เขตที่ราบลุมแมน้ํา เขตที่ราบลุมแมนํ้า ไดแก ดินแดนแถบลุมแมน้ําตาง ๆ ซึ่งมีลักษณะ
ภูมปิ ระเทศเปน ท่รี าบและมกั มีดินอุดมสมบูรณเหมาะแกการเพาะปลกู สว นใหญอยูทางเอเชียตะวันออก เอเชียใต
และเอเชียตะวันออกเฉียงใต ไดแก ทร่ี าบลุมฮวงโห ท่รี าบลุมแมน ้าํ แยงซเี กยี งในประเทศจีน ทีร่ าบลุมแมน้ําสินธุ
ที่ราบลุมแมน้ําคงคาและท่ีราบลุมแมนํ้าพรหมบุตรในประเทศปากีสถาน อินเดีย และบังกลาเทศ ท่ีราบลุม
แมน้ําไทกริส ท่ีราบลุมแมนํ้ายูเฟรทีสในประเทศอิรัก ท่ีราบลุมแมนํ้าโขงตอนลางในประเทศกัมพูชาและ
เวยี ดนาม ทีร่ าบลุมแมน ้าํ แดงในประเทศเวียดนาม ท่ีราบลุมแมน้ําเจาพระยาในประเทศไทย ที่ราบลุมแมนํ้า
สาละวนิ ตอนลา ง ที่ราบลุมแมน ํ้าอิระวดใี นประเทศสาธารณรัฐแหงสหภาพพมา
4
3) เขตเทอื กเขาสูง เปนเขตเทือกเขาหินใหมตอนกลาง ประกอบไปดวยท่ีราบสูงและเทือกเขา
มากมาย เทือกเขาสูงเหลาน้ีสวนใหญเปนเทือกเขาท่ีแยกตัวไปจากจุดรวม ท่ีเรียกวา ปามีรนอต หรือภาษา
พน้ื เมอื งเรียกวา “ปามรี ด ุนยา” แปลวา หลังคาโลกจากปามรี นอต มเี ทือกเขาสูง ๆ ของทวีปเอเชียหลายแนว
ซึง่ อาจแยกออกไดด งั น้ี
เทือกเขาท่ีแยกไปทางทิศตะวนั ออก ไดแก เทอื กเขาหมิ าลยั เทือกเขาอาระกันโยมาและเทือกเขา
ทม่ี แี นวตอเน่อื งลงมาทางใต มีบางสวนทจ่ี มหายไปในทะเลและบางสว นโผลข ึน้ มาเปน เกาะในมหาสมุทรอินเดีย
และมหาสมุทรแปซิฟก ถัดจากเทือกเขาหิมาลัยข้ึนไปทางเหนือมีเทือกเขาที่แยกไปทางตะวันออก ไดแก
เทือกเขาคุนลุน เทือกเขาอัลตินตัก เทือกเขานานซานและแนวท่ีแยกไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ไดแก
เทือกเขาเทียนชาน เทือกเขาอัลไต เทือกเขาคินแกน เทือกเขายาโบลนอย เทือกเขาสตาโนวอยและ
เทือกเขาโกลมี า เทือกเขาทีแ่ ยกไปทางทศิ ตะวันตกแยกเปนแนวเหนือและแนวใต แนวเหนือ ไดแก เทือกเขา
ฮินดูกูช เทือกเขาเอลบูชร สวนแนวทิศใต ไดแก เทือกเขาสุไลมาน เทือกเขาซากรอส ซ่ึงเมื่อเทือกเขาท้ัง 2 นี้
มาบรรจบกันทอ่ี ารเ มเนยี นนอตแลว ยังแยกออกอีกเปน 2 แนวในเขตประเทศตรุ กี คือ แนวเหนือเปน เทอื กเขา
ปอนตกิ และแนวใตเ ปน เทอื กเขาเตารัส
4) เขตท่รี าบสงู ตอนกลางทวปี เขตที่ราบสงู ตอนกลางเปน ทร่ี าบสูงอยูระหวางเทือกเขาหินใหม
ที่สําคัญ ๆ ไดแก ที่ราบสูงทิเบตซึ่งเปนที่ราบสูงขนาดใหญและสูงท่ีสุดในโลก ที่ราบสูงยูนนาน ทางใตของ
ประเทศจีนและที่ราบสูงท่ีมีลักษณะเหมือนแองช่ือ “ตากลามากัน” ซ่ึงอยูระหวางเทือกเขาเทียนซานกับ
เทอื กเขาคุนลนุ แตอ ยสู ูงกวาระดบั นา้ํ ทะเลมากและมีอากาศแหง แลง เปน เขตทะเลทราย
5
5) เขตที่ราบสูงตอนใตและตะวันตกเฉียงใต เขตที่ราบสูงตอนใตและตะวันตกเฉียงใต ไดแก
ที่ราบสูงขนาดใหญทางตอนใตของทวีปเอเชีย ซึ่งมีความสูงไมมากเทากับท่ีราบสูงทางตอนกลางของทวีป
ที่ราบสูงดังกลาว ไดแก ที่ราบสูงเดคคานในประเทศอินเดีย ที่ราบสูงอิหรานในประเทศอิหรานและ
อฟั กานสิ ถานทรี่ าบสูงอนาโตเลียในประเทศตรุ กแี ละทร่ี าบสูงอาหรับในประเทศซาอุดีอาระเบยี
1.3 สภาพภมู อิ ากาศ สภาพภมู ศิ าสตรและพืชพรรณธรรมชาติในทวปี เอเชยี แบงได ดังน้ี
1) ภูมิอากาศแบบปาดิบชื้น เขตภูมิอากาศแบบปาดิบชื้น อยูระหวางละติจูดที่ 10 องศาเหนือ
ถึง 10 องศาใต ไดแก ภาคใตของประเทศไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย และฟลิปปนส มีความแตกตางของ
อณุ หภูมริ ะหวางกลางวันและกลางคืนไมมากนกั มีปรมิ าณน้ําฝนมากกวา 2,000 มิลลิเมตร (80 นิ้ว) ตอป และมี
ฝนตกตลอดป
พืชพรรณธรรมชาตเิ ปน ปาดงดบิ ซึ่งไมม ฤี ดูที่ผลัดใบและมีตนไมหนาแนน สวนบริเวณปากแมน้ํา
และชายฝง ทะเลมพี ืชพรรณธรรมชาตเิ ปนปาชายเลน
2) ภูมอิ ากาศแบบมรสมุ เขตรอ นหรือรอ นช้ืนแถบมรสุม เปน ดินแดนที่อยูเ หนือละตจิ ดู 10 องศา
เหนอื ขึ้นไป มฤี ดูแลงและฤดฝู นสลับกนั ประมาณปล ะเดือน ไดแก บริเวณคาบสมุทรอินเดีย และคาบสมุทร
อนิ โดจนี เขตน้เี ปนเขตท่ไี ดรบั อิทธิพลของลมมรสุม ปริมาณน้ําฝนจะสูงในบริเวณดานตนลม (Winward side)
และมีฝนตกนอยในดานปลายลม (Leeward side) หรือเรยี กวา เขตเงาฝน (Rain shadow)
พืชพรรณธรรมชาติเปนปามรสุมหรือปาไมผลัดใบในเขตรอน พันธุไมสวนใหญเปนไมใบกวาง
และเปนไมเน้ือแข็งทมี่ คี าในทางเศรษฐกิจหรือปาเบญจพรรณ เชน ไมสกั ไมจ นั ทน ไมประดู เปนตน ปามรสุม
มีลักษณะเปนปาโปรงมากกวาปาไมในเขตรอนชื้น บางแหงมีไมขนาดเล็กข้ึนปกคลุมบริเวณดินชั้นลางและ
บางแหง เปน ปา ไผห รือหญา ปะปนอยู
3) ภูมิอากาศแบบทุงหญาเมืองรอน มีลักษณะอากาศคลายเขตมรสุม มีฤดูแลงกับฤดูฝน
แตปริมาณนํ้าฝนนอยกวา คือ ประมาณ 1,000 - 1,500 มิลลิเมตร (40 - 60 น้ิว) ตอป อุณหภูมิเฉล่ียตลอดป
ประมาณ 21 องศาเซลเซยี ส (70 องศาฟาเรนไฮต) อณุ หภูมกิ ลางคืนเย็นกวากลางวัน ไดแก บริเวณตอนกลาง
ของอินเดีย สาธารณรฐั แหง สหภาพพมา และคาบสมทุ รอินโดจีน
พืชพรรณธรรมชาติเปนปาโปรงแบบเบญจพรรณ ถัดเขาไปตอนในจะเปนทุงหญาสูงตั้งแต 60 -
360 เซนตเิ มตร (2 - 12 ฟุต) ซง่ึ จะงอกงามดีในฤดูฝน แตแ หงเฉาตายในฤดหู นาวเพราะชวงนอี้ ากาศแหงแลง
4) ภูมิอากาศแบบมรสุมเขตอบอุน อยูในเขตอบอุนแตไดรับอิทธิพลของลมมรสุมมีฝนตก
ในฤดูรอน ฤดูหนาวคอนขางหนาว ไดแก บริเวณภาคตะวันตกของจีน ภาคใตของญ่ีปุน คาบสมุทรเกาหลี
ฮอ งกง ตอนเหนอื ของอนิ เดียในสาธารณรัฐประชาชนลาวและตอนเหนอื ของเวียดนาม
พืชพรรณธรรมชาตเิ ปนไมผลดั ใบหรอื ไมผ สม มที ้ังไมใ บใหญท ่ผี ลดั ใบและไมสนท่ีไมผ ลัดใบ ในเขต
สาธารณรฐั ประชาชนจนี เกาหลี ทางใตข องเขตนเี้ ปนปา ไมผ ลัดใบ สว นทางเหนือมีอากาศหนาวกวาปาไมผสม
และปา ไมผ ลัดใบ เชน ตนโอก เมเปล ถา ขึ้นไปทางเหนืออากาศหนาวเย็นจะเปน ปา สนท่มี ีใบเขียวตลอดป
5) ภูมิอากาศแบบอบอุนภาคพ้ืนทวีป ไดแก ทางเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ
สาธารณรัฐประชาชนจีน เกาหลีเหนือ ภาคเหนือของญ่ีปุนและตะวันออกเฉียงใตของไซบีเรีย มีฤดูรอน
6
ทอี่ ากาศรอ น กลางวันยาวกวากลางคืน นาน 5 - 6 เดือน เปนเขตปลูกขาวโพดไดดีเพราะมีฝนตกในฤดูรอน
ประมาณ 750 - 1,000 มม. (30 - 40 นวิ้ ) ตอ ป ฤดูหนาวอณุ หภูมเิ ฉล่ียถึง 7 องศาเซลเซียส (18 องศาฟาเรน
ไฮต) เปน เขตที่ความแตกตางระหวา งอุณหภมู ิมีมาก
พืชพรรณธรรมชาติเปนปาผสมระหวางไมผลัดใบและปาสนลึกเขาไปเปนทุงหญา สามารถ
เพาะปลกู ขาวโพด ขาวสาลแี ละเลี้ยงสัตวพวกโคนมได สว นแถบชายทะเลมีการทาํ ปาไมบางเลก็ นอ ย
6) ภูมิอากาศแบบทุงหญากึ่งทะเลทรายแถบอบอุน มีอุณหภูมิสูงมากในฤดูรอนและอุณหภูมิ
ตา่ํ มากในฤดูหนาว มฝี นตกบา งในฤดใู บไมผลแิ ละฤดูรอ น ไดแ ก ภาคตะวนั ตกของคาบสมทุ รอาหรับ ตอนกลาง
ของประเทศตุรกี ตอนเหนอื ของภาคกลางของอิหรา น ในมองโกเลียทางตะวนั ตกเฉยี งเหนือของจีน
พชื พรรณธรรมชาตเิ ปน ทุงหญาสน้ั (Steppe) ทุงหญา ดงั กลา ว มีการชลประทานเขาถงึ ใชเลี้ยงสัตว
และเพาะปลกู ขาวสาลี ขาวฟาง ฝา ย ไดดี
7) ภมู อิ ากาศแบบทะเลทราย มคี วามแตกตางระหวา งอณุ หภูมิกลางวันกับกลางคืนและฤดูรอน
กบั ฤดหู นาวมาก ไดแ ก ดินแดนท่ีอยภู ายในทวีปท่มี ีเทอื กเขาปดลอม ทําใหอิทธิพลจากมหาสมุทรเขาไปไมถึง
ปริมาณฝนตกนอ ยกวาปละ 250 มม. (10 นวิ้ ) ไดแ ก บริเวณคาบสมุทรอาหรับ ทะเลทรายโกบี ทะเลทรายธาร
และที่ราบสูงทเิ บต ท่ีราบสูงอิหรา น บรเิ วณทีม่ ีนา้ํ และตน ไมข นึ้ เรยี กวา โอเอซสิ (Oasis)
พืชพรรณธรรมชาติเปนอินทผลัม ตะบองเพชรและไมประเภทมีหนาม ชายขอบทะเลทราย
สวนใหญเปนทุงหญาสลับปาโปรง มีการเล้ียงสัตวประเภทที่เลี้ยงไวใชเนื้อและทําการเพาะปลูกตองอาศัย
การชลประทานชว ย
8) ภูมิอากาศแบบเมดิเตอรเรเนียน อากาศในฤดูรอน รอนและแหงแลงในเลบานอน ซีเรีย
อสิ ราเอลและตอนเหนอื ของอิรกั
พืชพรรณธรรมชาติเปนไมตนเต้ีย ไมพุมมีหนาม ตนไมเปลือกหนาท่ีทนตอความแหงแลง ในฤดู
รอนไดด ี พืชที่เพาะปลูก ไดแ ก สม องนุ และมะกอก
9) ภูมิอากาศแบบไทกา (กึ่งข้ัวโลก) มีฤดูหนาวยาวนานและหนาวจัด ฤดูรอนสั้น มีน้ําคางแข็ง
ไดท ุกเวลาและฝนตกในรปู ของหิมะ ไดแก ดนิ แดนทางภาคเหนอื ของทวปี บริเวณไซบเี รีย
พืชพรรณธรรมชาตเิ ปนปาสน เปน แนวยาวทางเหนือของทวีป ท่ีเรียกวา ไทกา (Taiga) หรือ
ปาสนของไซบเี รยี
10) ภมู อิ ากาศแบบทนุ ดรา (ขวั้ โลก) เขตนี้มีฤดหู นาวยาวนานมาก อากาศหนาวจัด มีหิมะปกคลุม
ตลอดป ไมมีฤดูรอน พืชพรรณธรรมชาติเปนพวกตะไครนํา้ และมอสส
11) ภูมิอากาศแบบที่สูง ในเขตที่สูงอุณหภูมิจะลดลงตามระดับความสูงในอัตราความสูงเฉลี่ย
ประมาณ 1 องศาเซลเซียสตอ ความสูง 10 เมตร จงึ ปรากฏวา ยอดเขาสงู บางแหงแมจะอยูในเขตรอน ก็มีหิมะ
ปกคลมุ ทง้ั ป หรือเกอื บตลอดป ไดแก ที่ราบสงู ทเิ บต เทอื กเขาหมิ าลัย เทอื กเขาคุนลุน และเทือกเขาเทยี นชาน
ซึ่งมีความสูงประมาณ 5,000 - 8,000 เมตร จากระดับนํ้าทะเล มีหิมะปกคลุมและมีอากาศหนาวเย็นแบบ
ขว้ั โลก พชื พรรณธรรมชาติเปน พวกตะไครนํา้ และมอสส
7
การแบง ภูมิภาค
ทวีปเอเชยี นอกจากจะเปน อนภุ มู ิภาคของทวีปยเู รเชีย ยงั อาจแบงออกเปนสว นยอ ย ดังน้ี
เอเชียเหนือ หมายถึง รัสเซีย เรียกอีกอยางวาไซบีเรีย บางครั้งรวมถึงประเทศทางตอนเหนือของ
เอเชียดว ย เชน คาซัคสถาน
เอเชยี กลาง ประเทศในเอเชยี กลาง ไดแก
- สาธารณรฐั ในเอเชยี กลาง 5 ประเทศ คอื คาซัคสถาน อซุ เบกิสถาน ทาจกิ สิ ถาน เตริ ก เมนสิ ถาน
และคีรก ซี สถาน
- ประเทศแถบตะวนั ตกของทะเลสาบแคสเปย น 3 ประเทศ คือ จอรเ จีย อารเ มเนยี และ
อาเซอรไ บจานบางสว น
เอเชียตะวนั ออก ประเทศในเอเชียตะวันออก ไดแ ก
- เกาะไตห วันและญ่ีปนุ ในมหาสมทุ รแปซิฟก
- เกาหลีเหนือและเกาหลีใตบ นคาบสมุทรเกาหลี
- สาธารณรัฐประชาชนจีนและมองโกเลยี
เอเชียตะวันออกเฉียงใต ดินแดนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต คือ ประเทศบนคาบสมุทรมลายู
คาบสมุทรอินโดจีน เกาะตาง ๆ ในมหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแปซิฟก เอเชียตะวันออกเฉียงใต
ประกอบดวย
- ประเทศตาง ๆ ในแผนดินใหญ ไดแก สาธารณรัฐแหงสหภาพพมา ไทย สาธารณรัฐ-
ประชาธิปไตยประชาชนลาว กัมพูชาและเวียดนาม
- ประเทศตาง ๆ ในทะเล ไดแก มาเลเซีย ฟลิปปนส สิงคโปร อินโดนีเซีย บรูไนและติมอร
ตะวันออก (ตมิ อร - เลสเต) ประเทศอินโดนีเซียแยกไดเปน 2 สวน โดยมที ะเลจีนใตคั่นกลาง ทั้งสองสวนมีท้ัง
พ้นื ท่ที ่ีเปนแผน ดินใหญแ ละเกาะ
เอเชียใต เอเชยี ใตอ าจเรียกอกี อยางวาอนุทวีปอินเดยี ประกอบดว ย
- บนเทือกเขาหมิ าลยั ไดแก อนิ เดยี ปากสี ถาน เนปาล ภฏู านและบังกลาเทศ
- ในมหาสมุทรอินเดยี ไดแ ก ศรลี ังกาและมลั ดีฟส
เอเชียตะวนั ตกเฉียงใต (หรอื เอเชียตะวันตก) ประเทศตะวันตกโดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกามักเรียก
ภูมิภาคน้ีวาตะวันออกกลางบางคร้ัง “ตะวันออกกลาง” อาจหมายรวมถึงประเทศในแอฟริกาเหนือ เอเชีย
ตะวันตกเฉยี งใตแบงยอยไดเ ปน
- อะนาโตเลยี (Anatolia) ซ่ึงกค็ อื เอเชียไมเนอร (Asia Minor) เปนพื้นที่สวนท่ีเปนเอเชียของ
ตรุ กี
- ประเทศตุรกี 97 % ของตรุ กี
- ทเ่ี ปนเกาะ คอื ไซปรสั ในทะเลเมดเิ ตอรเ รเนียน
- กลุมเลแวนตหรือตะวันออกใกล ไดแ ก ซเี รีย อิสราเอล จอรแ ดน เลบานอนและอริ กั
8
- ในคาบสมุทรอาหรับ ไดแก ซาอุดิอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส บาหเรน กาตาร โอมาน
เยเมนและอาจรวมถึงคเู วต
- ท่ีราบสูงอิหราน ไดแ ก อิหรานและพ้นื ที่บางสว นของประเทศอืน่ ๆ
- อัฟกานิสถาน
กิจกรรมที่ 1.1 ลักษณะทางภูมศิ าสตรก ายภาพของประเทศในทวีปเอเชยี
1) ใหผ เู รียนอธิบายจดุ เดนของลกั ษณะภมู ปิ ระเทศในทวปี เอเชีย ทั้ง 5 เขต
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
2) ภูมิอากาศแบบใดทม่ี หี ิมะปกคลมุ ตลอดปแ ละพชื พรรณทป่ี ลกู เปนประเภทใด
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
9
เรอื่ งที่ 2 การเปลย่ี นแปลงสภาพภูมศิ าสตรก ายภาพ
การเปล่ียนแปลงสภาพภูมิศาสตรกายภาพ หมายถึง ลักษณะการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดลอม
ทางกายภาพท่ีอยูรอบตัวมนุษย ทั้งสวนที่เปนธรณีภาค อุทกภาค บรรยากาศภาคและชีวภาค ตลอดจน
ความสมั พันธทางพ้ืนท่ขี องส่งิ แวดลอ มทางกายภาพตา ง ๆ ดงั กลา วขา งตน
การเปลี่ยนแปลงทางภูมิศาสตรกอใหเกิดความเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ ทั้งภูมิประเทศและ
ภมู ิอากาศในประเทศไทยและประเทศในทวีปเอเชีย สวนมากเกิดจากปรากฏการณตามธรรมชาติและเกิดผล
กระทบตอ ประชาชนทอี่ าศยั อยู รวมท้ังสงิ่ กอ สรางปรากฏการณต า ง ๆ ท่มี กั จะเกดิ มีดงั ตอไปน้ี
2.1 การเกิดแผนดินไหว แผนดินไหวเปนปรากฏการณธรรมชาติที่เกิดจากการเคล่ือนที่ของ
แผน เปลือกโลก (แนวระหวางรอยตอธรณีภาค) ทําใหเกิดการเคลื่อนตัวของช้ันหินขนาดใหญเลื่อนเคลื่อนที่
หรือแตกหักและเกิดการโอนถายพลังงานศักยผานในช้ันหินที่อยูติดกัน พลังงานศักยนี้อยูในรูปเคลื่อนไหว
สะเทือน จุดศูนยกลางการเกิดแผนดินไหว (focus) มักเกิดตามรอยเลื่อน อยูในระดับความลึกตาง ๆ ของ
ผวิ โลก สว นจดุ ท่อี ยูใ นระดับสงู กวา ณ ตาํ แหนง ผิวโลก เรยี กวา “จดุ เหนือศูนยก ลางแผน ดินไหว” (epicenter)
การส่ันสะเทือนหรอื แผน ดนิ ไหวนี้จะถกู บันทกึ ดว ยเครือ่ งมอื ทเ่ี รยี กวา ไซสโ มกราฟ
1) สาหตุการเกดิ แผนดินไหว
- แผนดินไหวจากธรรมชาติ เปนธรณีพิบัติภัยชนิดหน่ึง สวนมากเปนปรากฏการณ
ทางธรรมชาตทิ ่เี กิดจากการสน่ั สะเทือนของพื้นดิน อันเน่ืองมาจากการปลดปลอยพลังงานท่ีสะสมไว ภายใน
โลกออกมาอยางฉบั พลนั เพื่อปรบั สมดลุ ของเปลอื กโลกใหค งท่ีโดยปกติเกิดจากการเคล่ือนไหวของรอยเลื่อน
ภายในช้ันเปลือกโลกท่ีอยูดานนอกสุดของโครงสรางของโลก มีการเคลื่อนท่ีหรือเปล่ียนแปลงอยางชา ๆ
อยูเสมอ แผน ดินไหวจะเกิดขึ้นเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงมากเกินไป ภาวะน้ีเกิดข้ึนบอยในบริเวณขอบเขตของ
แผนเปลือกโลกท่ีแบงชั้นเปลือกโลกออกเปนธรณีภาค (lithosphere) เรียกแผนดินไหวที่เกิดขึ้นบริเวณ
ขอบเขตของแผนเปลือกโลกน้ีวา แผนดินไหวระหวางแผน (interpolate earthquake) ซ่ึงเกิดไดบอยและ
รนุ แรงกวา แผนดินไหวภายในแผน (intraplate earthquake)
- แผน ดินไหวจากการกระทาํ ของมนษุ ย ซ่ึงมีท้ังทางตรงและทางออ ม เชน การทดลองระเบิด
ปรมาณู การทําเหมือง สรางอางเก็บนํ้าหรือเขื่อนใกลรอยเลื่อน การทํางานของเคร่ืองจักรกล การจราจร
เปน ตน
2) การวัดระดับความรุนแรงของแผนดินไหว โดยปกติจะใชมาตราริคเตอร ซึ่งเปนการวัดขนาด
และความสัมพนั ธข องขนาดโดยประมาณกบั ความส่นั สะเทือนใกลศูนยก ลาง
ระดบั ความรุนแรงของแผนดินไหว
1 - 2.9 เล็กนอย ผูคนเร่ิมรสู กึ ถึงการมาของคล่นื มอี าการวงิ เวียนเพยี งเลก็ นอ ยในบางคน
3 - 3.9 เล็กนอย ผคู นทีอ่ ยใู นอาคารรสู ึกเหมือนมอี ะไรมาเขยาอาคารใหส ่นั สะเทอื น
4 - 4.9 ปานกลาง ผทู ่อี าศัยอยทู ้ังภายในอาคารและนอกอาคาร รสู กึ ถึงการส่ันสะเทือน วัตถหุ อย
แขวนแกวง ไกว
5 - 5.9 รุนแรงเปน บรเิ วณกวาง เคร่อื งเรอื นและวตั ถุมกี ารเคล่ือนที่
10
6 - 6.9 รุนแรกมาก อาคารเร่มิ เสยี หาย พงั ทลาย
7.0 ข้ึนไป เกดิ การสนั่ สะเทือนอยางมากมาย สงผลทําใหอาคารและสิ่งกอสรางตาง ๆ เสียหาย
อยางรนุ แรง แผน ดินแยก วัตถบุ นพน้ื ถูกเหวี่ยงกระเดน็
3) ขอ ปฏบิ ตั ใิ นการปอ งกันและบรรเทาภยั จากแผนดินไหว
กอ นเกดิ แผน ดินไหว
1. เตรียมเครื่องอุปโภคบริโภคท่ีจําเปน เชน ถานไฟฉาย ไฟฉาย อุปกรณดับเพลิง น้ํา
อาหารแหง ไวใ ชใ นกรณไี ฟฟา ดบั หรอื กรณฉี ุกเฉินอนื่ ๆ
2. จัดหาเคร่ืองรับวิทยุท่ีใชถานไฟฉายหรือแบตเตอร่ีสําหรับเปดฟงขาวสาร คําเตือน
คําแนะนาํ และสถานการณต าง ๆ
3. เตรยี มอปุ กรณนริ ภยั สําหรบั การชวยชีวิต
4. เตรยี มยารกั ษาโรคและเวชภัณฑใหพรอมท่ีจะใชใ นการปฐมพยาบาลเบือ้ งตน
5. จัดใหม ีการศึกษาถึงการปฐมพยาบาล เพ่ือเปนการเตรียมพรอมที่จะชวยเหลือผูที่ไดรับ
บาดเจบ็ หรืออนั ตรายใหพ น ขดี อนั ตรายกอ นท่ีจะถงึ มือแพทย
6. จําตาํ แหนงของวาลว เปด-ปดน้ํา ตําแหนงของสะพานไฟฟา เพ่ือตัดตอนการสงนํ้าและ
ไฟฟา
7. ยึดเครอ่ื งเรือน เคร่ืองใชไมส อยภายในบา น ที่ทาํ งานและในสถานศกึ ษาใหม น่ั คง แนนหนา
ไมโ ยกเยกโคลงเคลงเพื่อไมใหไ ปทาํ ความเสยี หายแกช ีวิตและทรัพยสนิ
8. ไมค วรวางสิ่งของที่มนี ํา้ หนกั มาก ๆ ไวใ นทสี่ ูง เพราะอาจรว งหลน มาทาํ ความเสยี หายหรือเปน
อนั ตรายได
9. เตรยี มการอพยพเคลื่อนยา ย หากถึงเวลาทจี่ ะตองอพยพ
10. วางแผนปองกันภัยสําหรับครอบครัว ท่ีทํางานและสถานที่ศึกษา มีการชี้แจงบทบาท
ทสี่ มาชิกแตล ะบุคคลจะตองปฏิบัติ มีการฝกซอมแผนที่จัดทําไว เพ่ือเพิ่มลักษณะและความคลองตัว ในการ
ปฏิบัตเิ ม่ือเกิดเหตกุ ารณฉ กุ เฉิน
ขณะเกดิ แผนดินไหว
1. ต้งั สติ อยูใ นท่ีทแี่ ข็งแรงปลอดภยั หา งจากประตู หนาตา ง สายไฟฟา เปนตน
2. ปฏิบัติตามคําแนะนํา ขอควรปฏิบัติของทางราชการอยางเครงครัด ไมต่ืนตระหนก
จนเกนิ ไป
3. ไมค วรทําใหเกิดประกายไฟ เพราะหากมกี ารร่วั ซึมของแกส หรอื วตั ถไุ วไฟ อาจเกดิ ภัยพิบตั ิ
จากไฟไหม ไฟลวก ซาํ้ ซอนกับแผนดินไหวเพมิ่ ข้นึ อีก
4. เปดวิทยรุ บั ฟงสถานการณ คําแนะนํา คําเตอื นตา ง ๆ จากทางราชการอยางตอ เนอ่ื ง
5. ไมควรใชลิฟต เพราะหากไฟฟาดับอาจมีอนั ตรายจากการติดอยูภายในลิฟต
6. มุดเขาไปนอนใตเตยี งหรอื ตง่ั อยาอยใู ตค านหรอื ทที่ ่มี นี าํ้ หนกั มาก
11
7. อยูใ ตโตะ ทแ่ี ขง็ แรง เพื่อปอ งกนั อนั ตรายจากส่งิ ปรักหักพังรวงหลน ลงมา
8. อยหู างจากสงิ่ ที่ไมม่นั คงแขง็ แรง
9. ใหร บี ออกจากอาคารเมอ่ื มีการสง่ั การจากผูท ค่ี วบคุมแผนปองกนั ภยั หรอื ผทู ีร่ บั ผิดชอบในเรอื่ งน้ี
10. หากอยใู นรถ ใหห ยุดรถจนกวาแผนดนิ จะหยดุ ไหวหรอื ส่ันสะเทอื นหลงั เกดิ แผน ดินไหว
11. ตรวจเช็คการบาดเจ็บและทําการปฐมพยาบาลผูท่ีไดรับบาดเจ็บ แลวรีบนําสง
โรงพยาบาลโดยดว นเพื่อใหแพทยไ ดท าํ การรักษาตอไป
12. ตรวจเช็คระบบน้ํา ไฟฟา หากมีการรั่วซึมหรือชํารุดเสียหาย ใหปดวาลวเพื่อปองกันน้ําทวม
เออ ยกสะพานไฟฟา เพ่อื ปอ งกนั ไฟฟารัว่ ไฟฟา ดูดหรือไฟฟา ช็อต
13. ตรวจเช็คระบบแกส โดยวิธีการดมกลิ่นเทานั้น หากพบวามีการรั่วซึมของแกส (มีกล่ิน)
ใหเปดประตูหนาตา ง แลว ออกจากอาคารแจงเจา หนา ทีป่ อ งกนั ภัยฝายพลเรอื นผูท ร่ี ับผิดชอบไดท ราบในโอกาส
ตอ ไป
14. ไมใชโทรศพั ทโ ดยไมจาํ เปน
15. อยา กดนํา้ ลางสวมจนกวา จะมีการตรวจเช็คระบบทอเปนทเ่ี รยี บรอยแลว เพราะอาจเกิด
การแตกหกั ของทอในสว มทาํ ใหนํ้าทวมเออ หรือสงกล่ินทไ่ี มพ ึงประสงค
16. ออกจากอาคารท่ีชํารดุ โดยดวน เพราะอาจเกดิ การพงั ทลายลงมา
17. สวมรองเทา ยางเพ่อื ปอ งกันส่ิงปรักหกั พัง เศษแกว เศษกระเบือ้ ง
18. รวมพล ณ ทห่ี มายที่ไดต กลงนดั หมายกันไวแ ละตรวจนบั จาํ นวนสมาชิกวาอยูครบหรอื ไม
19. รวมมือกับเจาหนาท่ีในการเขาไปปฏิบัติงานในบริเวณท่ีไดรับความเสียหายและผูไมมี
หนาท่ีหรือไมเกยี่ วของไมค วรเขาไปในบรเิ วณนั้น ๆ หากไมไ ดร ับการอนุญาต
20. อยาออกจากชายฝง เพราะอาจเกิดคลื่นใตน าํ้ ซดั ฝง ได แมวา การสั่นสะเทือนของแผนดิน
จะสนิ้ สดุ ลงแลว ก็ตาม
ผลกระทบตอประชากรท่ีเกดิ จากแผน ดนิ ไหว
จากเหตุการณแผนดนิ ไหวคร้ังรายแรงลา สุดในทวีปเอเชีย ในมณฑลเสฉวน ประเทศจีน เมื่อวันที่
12 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 มคี วามรุนแรงอยทู ีข่ นาด 7.9 รกิ เตอร ทีค่ วามลกึ : 19 กิโลเมตร โดยจุดศูนยกลาง
การสน่ั อยทู ่ี เขตเหวินฉวน มณฑลเสฉวน ทางตะวันตกเฉียงเหนือ ของนครเฉิงตู 90 กิโลเมตร แผนดินไหวครั้งน้ี
สรางความเสียหายใหกับประเทศจีนอยางมหาศาล ทั้งชีวิตประชาชน อาคารบานเรือน ถนนหนทาง โดยมี
ผูเสียชีวิต 68,516 คน บาดเจ็บ 365,399 คน และสูญหาย 19,350 คน (ตัวเลขอยางเปนทางการ วันท่ี 29
พฤษภาคม พ.ศ. 2551)
นอกจากประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนแลว แผนดินไหวก็ยังสามารถรูสึกไดในประเทศ
เพอื่ นบานของจนี อาทเิ ชน ประเทศไทย ประเทศบงั กลาเทศ ประเทศอนิ เดยี ประเทศปากสี ถาน
แมว า การเกิดแผนดินไหวไมส ามารถปอ งกันได แตเ ราควรเรียนรูขอปฏิบัติในการปองกันท้ังกอน
การเกดิ แผน ดนิ ไหวและขณะเกิดแผนดินไหว เพือ่ ปองกนั ความเสียหายทเ่ี กดิ กบั ชีวิต
12
2.2 การเกิดพายุ พายุ คือ สภาพบรรยากาศท่ีถูกรบกวนแบบใด ๆ ก็ตาม โดยเฉพาะท่ีมีผลกระทบตอ
พ้ืนผวิ โลกและบง บอกถงึ สภาพอากาศทร่ี ุนแรง เมอ่ื พูดถึงความรุนแรงของพายุจะกลาวถึงความเร็วท่ีศูนยก ลาง
ซง่ึ อาจสูงถึง 400 กม./ชม. ความเร็วของการเคลื่อนตัว ทิศทางการเคล่ือนตัวของพายุและขนาดความกวาง
หรือเสนผาศูนยกลางของตัวพายุ ซึ่งบอกถึงอาณาบริเวณท่ีจะไดรับความเสียหายวา ครอบคลุมเทาใด
ความรนุ แรงของพายุจะมหี นวยวัดความรุนแรงคลายหนว ยริกเตอรข องการวัดความรนุ แรงแผนดนิ ไหว มักจะมี
ความเรว็ เพม่ิ ขน้ึ เรือ่ ย ๆ
ประเภทของพายุ พายแุ บง เปน ประเภทใหญ ๆ ได 3 ประเภท คือ
1) พายฝุ นฟา คะนอง มีลักษณะเปน ลมพดั ยอ นไปมาหรือพัดเคล่ือนตัวไปในทิศทางเดียวกัน อาจเกิด
จากพายุท่ีออ นตวั และลดความรุนแรงของลมลงหรือเกดิ จากหยอ มความกดอากาศต่ํา รองความกดอากาศต่ํา
อาจไมมีทศิ ทางที่แนนอนหากสภาพการณแวดลอมตา ง ๆ ของการเกิดฝนเหมาะสมกจ็ ะเกดิ ฝนตก มลี มพัด
2) พายุหมนุ เขตรอ นตาง ๆ เชน เฮอรร ิเคน ไตฝุนและไซโคลน ซึ่งลวนเปนพายุหมุนขนาดใหญ
เชน เดยี วกนั และจะเกดิ ข้นึ หรอื เร่ิมตนกอ ตัวในทะเล หากเกิดเหนือเสน ศนู ยสูตรจะมีทิศทางการหมุนทวนเข็ม
นาฬิกาและหากเกิดใตเ สนศนู ยสูตรจะหมุนตามเขม็ นาฬิกา โดยมีชอ่ื ตา งกนั ตามสถานท่เี กิด กลาวคอื
พายเุ ฮอรรเิ คน (Hurricane) เปน ชื่อเรยี กพายุหมุนทีเ่ กดิ บรเิ วณทิศตะวนั ตกของมหาสมุทร
แอตแลนติก เชน บริเวณฟลอริดา สหรัฐอเมริกา อาวเม็กซิโก ทะเลแคริบเบียน เปนตน รวมท้ังมหาสมุทร
แปซิฟกบริเวณชายฝง ประเทศเม็กซิโก
พายไุ ตฝ ุน (Typhoon) เปนชื่อพายหุ มนุ ทเี่ กิดทางทศิ ตะวันตกของมหาสมุทรแปซิฟกเหนือ
เชน บรเิ วณทะเลจนี ใต อาวไทย อาวตงั เกย๋ี ประเทศญ่ปี นุ
พายุไซโคลน (Cyclone) เปนชื่อพายุหมุนที่เกิดในมหาสมุทรอินเดียเหนือ เชน บริเวณอาว
เบงกอล ทะเลอาหรับ เปนตน แตถาพายุน้ีเกิดบริเวณทะเลติมอรและทิศตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ
ออสเตรเลยี จะเรยี กวา พายวุ ลิ ลี - วลิ ลี (Willy - Willy)
พายุโซนรอน (Tropical Storm) เกิดขึ้นเม่ือพายุเขตรอนขนาดใหญออนกําลังลงขณะ
เคลอื่ นตัวในทะเลและความเรว็ ท่จี ุดศูนยก ลางลดลงเม่ือเคล่ือนเขาหาฝง มคี วามเรว็ ลม 62 - 117 กโิ ลเมตรตอ
ชั่วโมง
พายุดีเปรสชนั่ (Depression) เกดิ ข้นึ เมอื่ ความเร็วลดลงจากพายุโซนรอ น ซ่งึ กอ ใหเ กิดพายุ
ฝนฟา คะนองธรรมดาหรอื ฝนตกหนกั มีความเรว็ ลมนอยกวา 61 กิโลเมตรตอช่วั โมง
3) พายทุ อรน าโด (Tornado) เปนช่ือเรยี กพายุหมนุ ทเ่ี กิดในทวีปอเมริกา มีขนาดเนื้อทีเ่ ล็กหรือ
เสนผา ศนู ยกลางนอ ย แตหมนุ ดวยความเร็วสงู หรือความเรว็ ที่จดุ ศนู ยกลางสูงมากกวา พายหุ มุนอืน่ ๆ กอ ความ
เสยี หายไดรุนแรงในบริเวณที่พัดผาน เกิดไดทั้งบนบกและในทะเล หากเกิดในทะเล จะเรียกวา นาคเลนน้ํา
(water spout) บางครงั้ อาจเกิดจากกลมุ เมฆบนทอ งฟาแตหมุนตัวยื่นลงมาจากทองฟาไมถึงพ้ืนดิน มีรูปราง
เหมือนงวงชาง จึงเรยี กกันวา ลมงวงชาง
13
ความเร็วของพายุ สามารถแบง ออกเปน 5 ระดบั ไดแ ก
1) ระดับท่ี 1 มีความเร็วลม 119 - 153 กิโลเมตรตอช่ัวโมง ทําลายลางเล็กนอย ไมสงผลตอสิ่ง
ปลกู สรา ง มีน้ําทว มขังตามชายฝง
2) ระดับที่ 2 มีความเร็วลม 154 - 177 กิโลเมตรตอชั่วโมง ทําลายลางเล็กนอย ทําใหหลังคา
ประตู หนา ตางบา นเรือนเสยี หายบาง ทําใหเกิดนา้ํ ทว มขงั
3) ระดับที่ 3 มีความเร็วลม 178 - 209 กิโลเมตรตอชั่วโมง ทําลายลางปานกลางทําลาย
โครงสรา งท่ีอยูอาศัยขนาดเล็ก นา้ํ ทว มขังถึงพ้ืนบานช้ันลาง
4) ระดับที่ 4 มีความเร็วลม 210 - 249 กิโลเมตรตอชั่วโมง ทําลายลางสูง หลังคาบานเรือน
บางแหงถูกทําลาย น้ําทว มเขามาถงึ พน้ื บา น
5) ระดับที่ 5 มีความเร็วลมมากกวา 250 กิโลเมตรตอช่ัวโมง จะทําลายลางสูงมาก หลังคา
บา นเรอื น ตึกและอาคารตาง ๆ ถูกทาํ ลาย พังทลาย นํา้ ทวมขงั ปรมิ าณมาก ถึงขั้นทําลายทรพั ยสินในบา น
อาจตอ งประกาศอพยพประชาชน
ลําดบั ชน้ั การเกดิ พายุฝนฟา คะนอง
1) ระยะเจรญิ เตบิ โต โดยเร่ิมจากการที่อากาศรอนลอยตัวข้ึนสูบรรยากาศ พรอมกับการมีแรง
มากระทําหรอื ผลักดันใหมวลอากาศยกตวั ข้นึ ไปสูความสูงระดับหนึ่ง โดยมวลอากาศจะเย็นลงเมื่อลอยสูงขึ้น
และเร่ิมที่จะเคล่ือนตัวเปนละอองน้ําเล็ก ๆ เปนการกอตัวของเมฆคิวมูลัส ในขณะที่ความรอนแฝงจากการ
กล่นั ตวั ของไอนา้ํ จะชว ยใหอัตราการลอยตัวของกระแสอากาศภายในกอนเมฆเร็วมากย่ิงขึ้น ซึ่งเปนสาเหตุให
ขนาดของเมฆคิวมูลัสมีขนาดใหญข้ึนและยอดเมฆสูงเพิ่มข้ึนเปนลําดับ จนเคลื่อนท่ีข้ึนถึงระดับบนสุดแลว
(จุดอ่มิ ตัว) จนพฒั นามาเปนเมฆควิ มโู ลนิมบัส กระแสอากาศบางสวนก็จะเร่ิมเคล่ือนที่ลงและจะเพ่ิมมากข้ึน
จนกลายเปนกระแสอากาศที่เคลอื่ นทีล่ งอยา งเดยี ว
2) ระยะเจริญเตบิ โตเตม็ ที่ เปน ชวงทีก่ ระแสอากาศมที งั้ ไหลข้นึ และไหลลงปริมาณความรอ นแฝง
ท่ีเกิดขึ้นจากการกล่ันตัวลดนอยลง ซึ่งมีสาเหตุมาจากการท่ีหยาดน้ําฟาท่ีตกลงมามีอุณหภูมิตํ่า ชวยทําให
อณุ หภูมิของกลมุ อากาศเยน็ กวา อากาศแวดลอม ดังน้นั อตั ราการเคลื่อนที่ลงของกระแสอากาศจะมคี าเพ่ิมข้ึน
เปน ลําดับ กระแสอากาศที่เคลื่อนท่ีลงมา จะแผขยายตัวออกดานขางกอใหเกิดลมกระโชกรุนแรง อุณหภูมิ
จะลดลงทนั ทีทันใด และความกดอากาศจะเพ่ิมขึน้ อยา งรวดเร็วและยาวนาน แผออกไปไกลถึง 60 กโิ ลเมตร
ได โดยเฉพาะสวนท่ีอยูดานหนาของทิศทาง การเคลื่อนที่ของพายุฝนฟาคะนอง พรอมกันน้ันการท่ีกระแส
อากาศเคลอ่ื นทข่ี ้ึนและเคล่อื นท่ีลงจะกอ ใหเ กดิ ลมเชยี รร ุนแรงและเกดิ อากาศปน ปวนโดยรอบ
3) ระยะสลายตัว เปนระยะที่พายุฝนฟาคะนองมีกระแสอากาศเคล่ือนที่ลงเพียงอยางเดียว
หยาดนาํ้ ฝนตกลงมาอยา งรวดเร็วและหมดไปพรอม ๆ กับกระแสอากาศที่ไหลลงก็จะเบาบางลง
การหลบเลี่ยงอันตรายจากพายุฝนฟาคะนอง เน่ืองจากพายุฝนฟาคะนองสามารถ ทําใหเกิด
ความเสียหายตอทรัพยส ินและอันตรายตอ ชีวิตของมนษุ ยไ ด จึงควรหลบเลย่ี งจากสาเหตุดงั กลาว คือ
1) ในขณะปรากฏพายฝุ นฟาคะนอง หากอยูใกลอาคารหรือบานเรือนที่แข็งแรงและปลอดภัย
จากนาํ้ ทวม ควรอยแู ตภ ายในอาคารจนกวา พายุฝนฟา คะนองจะยุตลิ ง ซงึ่ ใชเวลาไมนานนัก การอยูในรถยนต
14
จะเปน วิธีการทป่ี ลอดภยั วิธีหนง่ึ แตค วรจอดรถใหอยูหางไกลจากบริเวณท่ีน้ําอาจทวมได อยูหางจากบริเวณ
ท่เี ปนน้ําข้นึ จากเรอื ออกหางจากชายหาดเมอื่ ปรากฏพายุฝนฟาคะนอง เพือ่ หลกี เล่ยี งอนั ตรายจากนํ้าทว มและ
ฟา ผา
2) ในกรณที ่ีอยูในปา ในทงุ ราบหรือในท่ีโลง ควรคุกเขาและโนมตัวไปขางหนา แตไมควรนอน
ราบกับพ้ืน เนือ่ งจากพืน้ เปย กเปน สื่อไฟฟา และไมควรอยูในทตี่ ่ํา ซง่ึ อาจเกดิ น้าํ ทวมฉับพลันได ไมควรอยูในที่
โดดเดีย่ วหรืออยูส ูงกวา สภาพสง่ิ แวดลอม
3) ออกหางจากวัตถุที่เปนสื่อไฟฟาทุกชนิด เชน ลวด โลหะ ทอน้ํา แนวร้ัวบาน รถแทรกเตอร
จักรยานยนต เครอ่ื งมอื อปุ กรณทําสวนทุกชนิด รางรถไฟ ตนไมสูง ตนไมโดดเดี่ยวในท่ีแจง ไมควรใชอุปกรณ
ไฟฟา เชน โทรทัศน ฯลฯ และควรงดใชโทรศัพทช่วั คราว นอกจากกรณีฉุกเฉิน ไมควรใสเคร่ืองประดับโลหะ
เชน ทองเหลอื ง ทองแดง ฯลฯ ในทแ่ี จงหรือถือวัตถุโลหะ เชน รม ในขณะปรากฏพายฝุ นฟา คะนอง นอกจากน้ี
ควรดแู ลสงิ่ ของตา ง ๆ ใหอยูในสภาพที่แขง็ แรงและปลอดภยั อยูเ สมอโดยเฉพาะสงิ่ ของท่อี าจจะหกั โคนได เชน
หลงั คาบา น ตนไม ปายโฆษณา เสาไฟฟา ฯลฯ
ผลกระทบตอ ประชากรที่เกดิ จากพายุ
จากกรณีการเกดิ พายไุ ซโคลน “นารก สี ” (Nargis) ทีส่ าธารณรฐั แหงสหภาพพมา ถอื เปน ขาวใหญ
ท่ีทั่วโลกใหความสนใจอยางยิ่ง เพราะมหันตภัยคร้ังนี้ ไดคราชีวิตชาวพมาไปนับหม่ืนคน สูญหายอีกหลาย
หมน่ื ชีวิต บา นเรอื น ทรพั ยส ินและสาธารณูปโภคตาง ๆ เสยี หายยับเยิน
“นารกีส” เปนชื่อเรียกของพายุหมุนเขตรอน มีผลพวงมาจากการเกิดภาวะโลกรอน
มคี วามเร็วลม 190 กโิ ลเมตรตอช่วั โมง พายุ “นารก สี ” เรม่ิ กอ ตัว เม่อื วนั ท่ี 27 เมษายน 2551 ในอาวเบงกอล
ตอนกลางและพัดเขาบริเวณสามเหลี่ยมปากแมน้ําอิระวดี ที่นครยางกุงและบาสเซน สาธารณรัฐแหง
สหภาพพมา ในเชา วันท่ี 3 พฤษภาคม 2551
ความรุนแรงของไซโคลน “นารกีส” จัดอยูในความรุนแรงระดับ 3 คือ ทําลายลางปานกลาง
ทาํ ลายโครงสรางที่อยูอาศัยขนาดเล็ก นํ้าทวมขังถึงพื้นบานช้ันลางพัดหลังคาบานเรือนปลิววอน ตนไมและ
เสาไฟฟาหักโคน ไฟฟาดับทั่วเมือง ในขณะที่ทางภาคเหนือและภาคใตของประเทศไทยก็เจอหางเลข
อทิ ธพิ ล “นารกีส” เล็กนอ ย ซึ่งทาํ ใหห ลายจงั หวดั เกดิ ฝนตกชกุ มีนํ้าทว มขัง
พิบตั ิภยั ธรรมชาตไิ มม ีทางเลยี่ งได ไมวาจะประเทศไหนหรอื แผนดินใด แตมีวธิ ปี องกันทด่ี ีทส่ี ดุ คือ
รัฐบาลตองมีหนวยงานซ่ึงทําหนาที่ early warning คือ เตือนประชาชนคนของตนแตแรกดวยขอมูลท่ีมี
ประสิทธิภาพและทันการณ จากน้ันก็ตองรีบดําเนินการตาง ๆ อยางเหมาะสม เชน ยายผูคนใหไปอยูในท่ี
ปลอดภัย ท้ังน้ี นับเปนโชคดีของประเทศไทยท่ีเม่ือ นารกีส มาถึงบานเราก็ลดความแรงลงคงมีแตฝนเปน
สวนใหญ แมจะทําความเสียหายแกพืชไรของเกษตรกรไมนอยแตก็เพิ่มประมาณน้ําในเข่ือนสําคัญ ๆ
แตอยา งไรกต็ ามผลพวงภัยพบิ ัติทางธรรมชาติที่เกดิ ขนึ้ ท้ังหมดมาจาก “ภาวะโลกรอน” ซึ่งก็เกิดจากฝมอื มนุษย
ทั้งส้นิ
15
2.3 การเกิดคล่ืนสนึ ามิ คลนื่ สึนามิ (Tsunami) คือ คลนื่ ในทะเลหรอื คล่ืนยักษใ ตนาํ้ จะเกดิ ภายหลัง
จากการส่ันสะเทือนของแผนดินไหว แผนดินถลม การระเบิดหรือการปะทุของภูเขาไฟท่ีพ้ืนทองสมุทร
อยางรุนแรง ทําใหเกิดรอยแยก นํ้าทะเลจะถูกดูดเขาไปในรอยแยกน้ี ทําใหเกิดภาวะนํ้าลดลงอยางรวดเร็ว
จากนัน้ แรงอัดใตเปลือกโลกจะดันน้ําทะเลขึ้นมากอ พลงั คลืน่ มหาศาล คล่ืนสนึ ามิอาจจะเคลื่อนท่ีขามมหาสมุทร
ซึ่งหางจากจุดท่ีเกิดเปนพัน ๆ กิโลเมตร โดยไมมีลักษณะผิดสังเกต เพราะมีความสูงเพียง 30 เซนติเมตร
เคล่ือนท่ีดวยความเร็ว 600 - 1,000 กิโลเมตรตอช่ัวโมง แตเมื่อเคลื่อนตัวเขามาในเขตน้ําต้ืน จะเกิดแรงดัน
ระดบั น้ําใหส ูงข้นึ อยา งรวดเร็วและมแี รงปะทะอยางมหาศาลกลายเปนคลนื่ ยกั ษทมี่ ีความสงู 15 - 30 เมตร
สึนามิ สวนใหญเกดิ จากการเคลอ่ื นตัวของเปลอื กโลกใตท ะเลอยางฉบั พลนั อาจจะเปน การเกดิ แผน ดิน
ถลม ยบุ ตัวลงหรือเปลอื กโลกถูกดันข้นึ หรือยุบตัวลง ทาํ ใหมนี ํา้ ทะเลปรมิ าตรมหาศาลถูกดันขึ้นหรือทรุดตัวลง
อยา งฉับพลนั พลังงานจํานวนมหาศาลก็ถายเทไปใหเ กิดการเคลือ่ นตัวของนาํ้ ทะเลเปน คลน่ื สนึ ามทิ เ่ี หนือทะเล
ลึก จะดูไมตางไปจากคล่ืนทั่ว ๆ ไปเลย จึงไมสามารถสังเกตไดดวยวิธีปกติ แมแตคนบนเรือเหนือทะเลลึก
ทคี่ ลน่ื สึนามิเคลอื่ นผา นใตท องเรือไป กจ็ ะไมรูสกึ อะไรเพราะเหนือทะเลลึก คล่ืนน้ีสูงจากระดับนํ้าทะเลปกติ
เพยี งไมกฟี่ ตุ เทานน้ั จึงไมส ามารถแมแตจ ะบอกไดด ว ยภาพถายจากเครื่องบนิ หรอื ยานอวกาศ
นอกจากนี้แลว สึนามิ ยังเกิดไดจ ากการเกดิ แผน ดนิ ถลมใตทะเลหรอื ใกลฝ งทที่ ําใหม วลของดินและหนิ
ไปเคลอื่ นยา ยแทนทม่ี วลน้าํ ทะเลหรอื ภเู ขาไฟระเบดิ ใกลทะเล สง ผลใหเกิดการโยนสาดดินหนิ ลงน้ําจนเกิดเปน
คล่ืนสนึ ามิได ดังเชน การระเบดิ ของภเู ขาไฟกระกะตว้ั ในป ค.ศ. 1883 ซงึ่ สง คลื่นสนึ ามิออกไปทาํ ลายลางชีวติ
และทรพั ยส ินของผคู นในเอเชยี มจี าํ นวนผูตายถึงประมาณ 36,000 ชีวติ
16
คล่นื สนึ ามิกบั ผลกระทบตอสิง่ แวดลอม การเกดิ คลน่ื สึนามิกระทบตอ สง่ิ แวดลอมและสังคม ในหลาย ๆ
ดา น เชน เกิดการเปล่ยี นแปลงของพน้ื ทชี่ ายฝง ในชวงเวลาอันสนั้ รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงทีอ่ ยอู าศยั ของสัตวนํา้
บางประเภท ปะการังถูกทําลาย ประชาชนขาดทีอ่ ยูอ าศยั ไรท รัพยส ินสิน้ เนือ้ ประดาตวั กระทบตอ อาชพี ไมว า จะเปน
ชาวประมง อาชพี ทเ่ี กยี่ วกบั การบรกิ ารดานทองเท่ียว สิง่ ปลูกสรางอาคารบา นเรอื นเสียหาย ฯลฯ
ผลกระทบตอ ประชากรทีเ่ กดิ จากคลื่นสึนามิ
จากกรณีการเกดิ คลนื่ สึนามิ ในวนั ที่ 26 ธนั วาคม 2547 เวลา 0:58:50 น. (UT) หรอื เวลา 7:58:50 น.
ตามเวลาในประเทศไทย ไดเกิดแผนดินไหวขนาด 8.9 ตามมาตราริกเตอร ท่ีนอกชายฝงตะวันตกทางตอน
เหนอื ของเกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย จุดศูนยกลางอยูลึก 10 กม. หางจากเมืองบันดาเอเช ประมาณ
250 กม. และหางจากกรุงเทพฯ 1,260 กม. แผนดินไหวน้ีเปนแผนดินไหวที่ใหญเปนอันดับท่ี 5 นับตั้งแตป
ค.ศ. 1900 และใหญที่สุดนับต้ังแตแผนดินไหวอลาสกาในป ค.ศ. 1964 เหตุการณดังกลาวทําใหเกิดการ
สั่นสะเทือนรับรูไดในประเทศมาเลเซีย สิงคโปรและไทย แรงคล่ืนสูงประมาณ 6 เมตร ไดถาโถมตามแนว
ชายฝงสรางความเสียหายในวงกวาง ทําใหเกิดผูเสียชีวิตและบาดเจ็บเปนจํานวนมาก ในประเทศอินเดีย
ศรีลงั กา มาเลเซยี และจังหวัดทองเทยี่ วทางใตของประเทศไทย มีผเู สยี ชวี ติ นบั รอ ยและมีผูบาดเจ็บเปนจํานวน
มากในจงั หวัดภเู ก็ต พงั งา ตรงั และกระบ่ี
กิจกรรมที่ 1.2 การเปลยี่ นแปลงสภาพภูมศิ าสตรก ายภาพ
1) ใหผูเรียนอธิบายวาการเกิดแผนดินไหวอยางรุนแรงจะสงผลกระทบตอประชากรและ
ส่งิ แวดลอ มอยางไรบาง
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
.......................................................................
2) ใหบอกความแตกตา งและผลกระทบทเี่ กิดตอประชากรและส่งิ แวดลอมของพายฝุ นฟาคะนอง
พายหุ มุนเขตรอนและพายุทอรนาโด
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
......................................................................
17
3) คล่ืนสึนามิกับผลกระทบตอสิ่งแวดลอมมากมายหลายอยาง ในความคิดเห็นของผูเรียน
ผลกระทบดานใดที่เสยี หายมากท่ีสุด พรอมใหเ หตผุ ลประกอบ
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
.....................................................................................
เรอ่ื งที่ 3 วธิ ใี ชเ ครอ่ื งมอื ทางภมู ศิ าสตร
เครื่องมือทางภูมิศาสตร หมายถึง สิ่งที่มนุษยสรางขึ้นมาเพื่อตรวจสอบและบันทึกขอมูลทางดาน
ภมู ิศาสตร เคร่อื งมอื ภูมิศาสตรที่สําคญั ไดแก แผนที่ ลูกโลก เขม็ ทศิ รปู ถา ยทางอากาศ ภาพถายจากดาวเทียม
และเครื่องมือเทคโนโลยีเพอ่ื การศกึ ษาภูมิศาสตร ฯลฯ
3.1 แผนที่ เปนส่ิงที่มนุษยสรางขึ้นเพ่ือแสดงลักษณะที่ต้ังของส่ิงตาง ๆ ที่ปรากฏอยูบนพื้นผิวโลก
ทัง้ ทีเ่ กิดขนึ้ เองตามธรรมชาติและสง่ิ ทม่ี นษุ ยสรา งขน้ึ โดยการยอสวนใหมีขนาดเล็กลงตามทต่ี อ งการ พรอ มท้ังใช
เคร่อื งหมายหรือสัญลักษณแ สดงลักษณะแทนสง่ิ ตา ง ๆ ลงในวัสดพุ ้นื แบนราบ
ความสําคัญของแผนที่ แผนที่เปนท่ีรวบรวมขอมูลประเภทตาง ๆ ตามชนิดของแผนที่
จึงสามารถใชป ระโยชนจ ากแผนทไ่ี ดตามวตั ถุประสงค โดยไมจําเปนตอ งเดินทางไปเห็นพื้นท่ีจรงิ แผนที่ชวยให
ผูใชส ามารถรูสิ่งทป่ี รากฏอยบู นพน้ื โลกไดอ ยางกวางไกล ถูกตอ งและประหยดั
ประโยชนข องแผนที่ แผนที่มีประโยชนตองานหลาย ๆ ดาน คือ
1. ดานการเมืองการปกครอง เพื่อรักษาความม่ันคงของประเทศชาติใหคงอยูจําเปนจะตองมี
ความรูในเรอ่ื งภมู ิศาสตรก ารเมอื งหรอื ทเ่ี รียกกันวา “ภูมิรัฐศาสตร” และเครื่องมือทสี่ ําคัญของนกั ภมู ริ ฐั ศาสตร
ก็คอื แผนที่ เพ่อื ใชศึกษาสภาพทางภูมิศาสตรและนํามาวางแผนดําเนินการเตรียมรับหรือแกไขสถานการณ
ท่เี กดิ ขึ้นได
2. ดานการทหาร ในการพิจารณาวางแผนทางยุทธศาสตรของทหาร จําเปนตองหาขอมูลหรือ
ขาวสารทเ่ี กี่ยวกบั สภาพภูมิศาสตรและตําแหนงทางสิ่งแวดลอมท่ีถูกตองแนนอนเก่ียวกับระยะทาง ความสูง
เสน ทาง ลกั ษณะภูมิประเทศทส่ี าํ คัญ
3. ดา นเศรษฐกจิ และสังคม ดานเศรษฐกิจ เปนเคร่อื งบง ชคี้ วามเปน อยขู องประชาชนภายในชาติ
การดาํ เนนิ งานเพือ่ พัฒนาเศรษฐกจิ ของแตละภูมิภาคท่ีผานมา แผนท่ีเปนส่ิงแรกท่ีตองผลิตขึ้นมาเพื่อการใช
งานในการวางแผนพัฒนาเศรษฐกจิ และสังคมแหงชาติ ก็ตองอาศยั แผนที่เปนขอมูลพ้ืนฐานเพ่ือใหทราบทําเล
ท่ตี ัง้ สภาพทางกายภาพแหลงทรัพยากร
18
4. ดานสังคม สภาพแวดลอมทางสังคมมีการเปล่ียนแปลงอยูเสมอที่เห็นชัดคือสภาพแวดลอม
ทางภมู ิศาสตร ซงึ่ ทาํ ใหส ภาพแวดลอ มทางสังคมเปล่ียนแปลงไป การศึกษาสภาพการเปล่ียนแปลงตองอาศัย
แผนท่เี ปน สําคัญและอาจชวยใหการดาํ เนนิ การวางแผนพัฒนาสังคมเปนไปในแนวทางทีถ่ กู ตอง
5. ดานการเรียนการสอน แผนท่ีเปนตัวสงเสริมกระตุนความสนใจและกอใหเกิดความเขาใจ
ในบทเรียนดีข้ึน ใชเ ปน แหลงขอมูลทั้งทางดา นกายภาพ ภูมิภาค วฒั นธรรม เศรษฐกิจ สถติ ิและการกระจายของ
สง่ิ ตา ง ๆ รวมท้ังปรากฏการณทางธรรมชาตแิ ละปรากฏการณตา ง ๆ ใชเปนเคร่อื งชว ยแสดงภาพรวมของพ้ืนที่
หรอื ของภูมิภาค อนั จะนาํ ไปศกึ ษาสถานการณแ ละวิเคราะหค วามแตกตา งหรอื ความสมั พันธของพ้นื ท่ี
6. ดา นสง เสรมิ การทอ งเทย่ี ว แผนทม่ี คี วามจําเปนตอนักทองเท่ียวในอันท่ีจะทําใหรูจักสถานที่
ทอ งเท่ียวไดงา ย สะดวกในการวางแผนการเดนิ ทางหรอื เลือกสถานทท่ี องเที่ยวตามความเหมาะสม
ชนิดของแผนที่ แบงตามการใชงานได 3 ชนดิ ไดแก
1. แผนทีภ่ ูมิประเทศ เปนแผนท่ีแสดงความสูงตํ่าของพื้นผิวโลก โดยใชเสนช้ันความสูงบอกคา
ความสูงจากระดบั นา้ํ ทะเลปานกลาง แผนทชี่ นดิ น้ีเปน พ้นื ฐานท่ีจะนาํ ไปทําขอ มูลอื่น ๆ เกี่ยวกับแผนท่ี
2. แผนท่ีเฉพาะเร่ือง เปนแผนที่ท่ีแสดงลักษณะใดลักษณะหนึ่งโดยเฉพาะ ไดแก แผนท่ีรัฐกิจ
แสดงเขตการปกครองหรืออาณาเขต แผนท่แี สดงอณุ หภูมขิ องอากาศ แผนที่แสดงปริมาณนํ้าฝน แผนที่แสดง
การกระจายตัวของประชากร แผนท่เี ศรษฐกิจ แผนท่ปี ระวตั ศิ าสตร เปน ตน
3. เปน แผนทที่ รี่ วบรวมเร่ืองตาง ๆ ทง้ั ลักษณะทางกายภาพ ทางเศรษฐกิจ ทางสังคม ทางดาน
ประชากร และอ่นื ๆ ไวในเลม เดยี วกนั
องคป ระกอบของแผนทม่ี หี ลายองคป ระกอบ คือ
1. สัญลักษณ คือ เคร่ืองหมายที่ใชแ ทนสิ่งตาง ๆ ตามที่ตองการแสดงไวในแผนท่ี เพ่ือใหเขาใจ
แผนทไี่ ดง า ยข้ึน เชน จุด วงกลม เสน ฯลฯ
2. มาตราสว น คือ อัตราสวนระยะหางในแผนทก่ี บั ระยะหางในภูมิประเทศจริง
3. ระบบอางองิ ในแผนที่ ไดแ ก เสน ขนานละติจดู และเสน ลองตจิ ดู (เมรเิ ดยี น)
เสน ละติจดู เปนเสนสมมติที่ลากไปรอบโลกตามแนวนอนหรือแนวทิศตะวันออก ตะวันตก
แตละเสนหางกัน 1 องศา โดยมีเสน 0 องศา (เสนศูนยสูตร) แบงก่ึงกลางโลก เสนท่ีอยูเหนือเสนศูนยสูตร
เรียกวา “เสนองศาเหนือ” เสน ทอ่ี ยูใตเสน ศนู ยสูตร เรยี กวา “เสนองศาใต” ละติจดู มที ้งั หมด 180 เสน
เสน ลองตจิ ูด เปน เสน สมมติท่ลี ากไปรอบโลกในแนวตั้งจากขั้วโลกเหนือไปยังขั้วโลกใต แตละ
เสนหางกัน 1 องศา กําหนดใหเสนท่ีลากผานตําบลกรีนิช กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เปนเสน 0 องศา
(เมริเดยี นปฐม) ถา นับจากเสน เมริเดยี นปฐม ไปทางตะวันออก เรยี กเสนองศาตะวันออก ถา นบั ไปทางตะวนั ตก
เรยี กเสน องศาตะวนั ตก ลองตจิ ูด มที ้งั หมด 360 เสน
พิกัดภูมิศาสตร เปนตําแหนงที่ตั้งของจุดตาง ๆ บนพื้นผิวโลก เกิดจากการตัดกันของ
เสน ขนานละตจิ ดู และเสนเมรเิ ดยี น โดยเสน สมมตทิ งั้ สองน้ีจะตง้ั ฉากซึ่งกันและกนั
4. ขอบระวาง แผนทีท่ กุ ชนิดควรมขี อบระวาง เพอื่ ชว ยใหด เู รียบรอยและเปนการกําหนดขอบเขต
ของแผนท่ดี วย ขอบระวางมักแสดงดว ยเสน ตรงสองเสนหรือเสนเดียว
19
5. ระบบอา งองิ บนแผนท่ี คือระบบที่กาํ หนดขน้ึ เพ่อื อาํ นวยความสะดวกในการคํานวณหาตําแหนง
ที่ตง้ั และคาํ นวณหาเวลาของตําแหนงตาง ๆ บนพนื้ ผิวโลก ซึง่ แยกไดดงั น้ี
การคํานวณหาตําแหนงท่ีต้ัง จะใชละติจูดและลองติจูดเปนเกณฑ วิธีนี้เรียกวา การพิกัด
ภูมศิ าสตร
การคาํ นวณหาเวลา โดยใชหลักการวา 1 นาที = 15 ลิปดา และ 4 นาที = 1 ลองติจูด หรือ 1
องศา
6. สที ่ีใชในการเขียนแผนที่แสดงลกั ษณะภูมิประเทศ
สดี าํ หมายถงึ สง่ิ สาํ คญั ทางวฒั นธรรมท่มี นษุ ยส รางขึ้น เชน อาคาร วดั สถานท่รี าชการ
สนี ้าํ ตาล หมายถงึ ลกั ษณะภมู ปิ ระเทศทม่ี ีความสูง
สีน้าํ เงนิ หมายถึง ลกั ษณะภูมิประเทศทเ่ี ปน น้าํ เชน ทะเล แมน ํ้า หนองบงึ
สแี ดง หมายถึง ถนนสายหลัก พื้นท่ยี า นชมุ ชนหนาแนน และลกั ษณะภมู ปิ ระเทศสาํ คัญ
สเี ขียว พชื พนั ธุไ มต า ง ๆ เชน ปา สวน ไร
3.2 ลูกโลก เปนเครื่องมือทางภูมิศาสตรอยางหนึ่งที่ใชเปนอุปกรณในการศึกษาคนควาหรือใช
ประโยชนใ นดา นอื่น ๆ ลกู โลกจําลองเปน การยอสว นของโลกมลี กั ษณะทรงกลม บนผิวของลูกโลกจะมีแผนท่ี
โลก แสดงพ้ืนดิน พน้ื น้าํ สภาพภูมปิ ระเทศ ท่ตี ั้งประเทศ เมืองและเสนพิกัดทางภูมิศาสตร เพ่ือสามารถบอก
ตําแหนงตาง ๆ บนพ้นื ผิวโลกได ลูกโลกจําลองสรา งคลา ยลกู โลกจริง แสดงสแี ทนลักษณะภูมิประเทศตา ง ๆ
20
องคประกอบของลกู โลก ไดแก
เสน เมรเิ ดยี น เปน เสนสมมติที่ลากจากขว้ั โลกเหนือไปยังข้ัวโลกใต ซง่ึ กําหนดใหม ีคาเปน 0 องศา
ทีเ่ มอื งกรนี ชิ ประเทศอังกฤษ
เสน ขนาน เปนเสน สมมติท่ลี ากไปรอบโลกในแนวนอน ทุกเสน จะขนานกับเสนศูนยสตู ร
3.3 เข็มทิศ เปนเคร่ืองมือสําหรับใชในการหาทิศทางของจุดหรือวัตถุ โดยมีหนวยเปนองศา
เปรยี บเทยี บกับจดุ เร่มิ ตน อาศยั แรงดงึ ดูดระหวา งสนามแมเ หลก็ ขั้วโลกกบั เข็มแมเหล็ก ซึ่งเปนองคประกอบที่
สําคญั ทส่ี ุด เข็มแมเหลก็ จะแกวง ไกวอิสระในแนวนอนเพอ่ื ใหแ นวเขม็ ชอ้ี ยใู นแนว เหนือ - ใต ไปยังข้ัวแมเ หล็ก
โลกตลอดเวลา เข็มทิศมปี ระโยชนเพ่ือใชในการเดินทาง ไดแ ก การเดินเรอื ทะเล เคร่อื งบิน การใชเ ขม็ ทศิ จะตอ ง
มีแผนทป่ี ระกอบและตอ งหาทิศเหนอื กอ น
3.4 รูปถา ยทางอากาศและภาพถา ยจากดาวเทียม เปนรูปหรือขอมูลตัวเลขท่ีไดจากการเก็บขอมูล
ภาคพ้นื ดินจากกลองทีต่ ดิ อยูกบั ยานพาหนะ เชน เครอื่ งบนิ หรือดาวเทียม
ประโยชนของรูปถายทางอากาศและภาพถายจากดาวเทียม รูปถายทางอากาศและภาพถาย
จากดาวเทียมใหขอมูลพ้ืนผิวของเปลือกโลกไดเปนอยางดี ทําใหเห็นภาพรวมของการใชพื้นที่และ
การเปลี่ยนแปลงตางๆ ตามท่ีปรากฏบนพื้นโลกเหมาะแกการศึกษาทรัพยากรผิวดิน เชน ปาไม การใช
ประโยชนจ ากดิน หนิ และแร
3.5 เครอื่ งมอื เทคโนโลยีเพ่อื การศกึ ษาภมู ิศาสตร เทคโนโลยีทีส่ ําคัญดานภมู ศิ าสตร คือ
1) ระบบสารสนเทศภูมศิ าสตร (GIS) หมายถงึ การเก็บ รวบรวมและบันทกึ ขอ มลู ทางภูมิศาสตร
ดว ยระบบคอมพิวเตอรโดยขอ มูลเหลานี้สามารถปรับปรุงแกไขใหถูกตองทันสมัย และสามารถแสดงผลหรือ
นําออกมาเผยแพรเปนตัวเลข สถิติ รูปภาพ ตาราง แผนที่และขอความทางหนาจอคอมพิวเตอรหรือพิมพ
ออกมาเปนเอกสารได
21
ประโยชนข องระบบสารสนเทศภูมศิ าสตร (GIS) คือชว ยใหป ระหยัดเวลาและงบประมาณ
ชวยใหเห็นภาพจําลองพ้ืนที่ชัดเจนทําใหการตัดสินใจวางแผนจัดการและพัฒนาพื้นท่ีมีความสะดวกและ
สอดคลอ งกับศกั ยภาพของพืน้ ที่น้ันและชว ยในการปรบั ปรุงแผนท่ีใหทนั สมยั
2) ระบบพกิ ดั พ้นื ผิวโลก (GPS) เปน เครอ่ื งมอื รบั สัญญาณพกิ ัดพ้นื ผวิ โลกอาศัยระยะทางระหวา ง
เคร่ืองรับดาวเทียม GPS บนพ้ืนผิวโลกกับดาวเทียมจํานวนหน่ึงท่ีโคจรอยูในอวกาศและระยะทางระหวาง
ดาวเทยี มแตละดวง ปจ จุบันมดี าวเทยี มชนิดน้อี ยูป ระมาณ 24 ดวง เครื่องมือรับสัญญาณ มีขนาดและรูปราง
คลา ยโทรศพั ทม ือถือ เม่ือรับสัญญาณจากดาวเทียมแลวจะทราบคาพิกัด ณ จุดท่ีวัดไว โดยอาจจะอานคาเปน
ละตจิ ูดและลองจิจดู ได ความคลาดเคลือ่ นขึ้นอยูกบั ชนิดและราคาของเครือ่ งมือ
ประโยชนของเครื่องมือเทคโนโลยีเพ่ือการศึกษาภูมิศาสตร จะคลายกับการใชประโยชน
จากแผนทสี่ ภาพภูมิประเทศและแผนท่ีเฉพาะเรือ่ ง เชน จะใหคาํ ตอบวาถาจะเดินทางจากจุดหน่ึงไปยังอีกจุด
หน่ึง ในแผนท่ีจะมีระยะทางเทาใด ถาทราบความเร็วของรถจะทราบวาใชเวลานานเทาใด บางครั้งขอมูล
มีความสับสนมาก เชน ถนนบางชว งมสี ภาพถนนไมเ หมือนกัน คอื บางชวงเปนถนนกวา งทสี่ ภาพผวิ ถนนดี
บางชวงเปน ถนนลกู รัง บางชวงเปนหลมุ เปนบอ ทาํ ใหการคิดคํานวณเวลาเดนิ ทางลําบากแตระบบสารสนเทศ
ภูมิศาสตรจะชว ยใหค ําตอบได
22
กิจกรรมที่ 1.3 วิธใี ชเ ครือ่ งมอื ทางภมู ศิ าสตร
1) ถาตองการทราบระยะทางจากที่หน่ึงไปยังอีกที่หน่ึง ผูเรียนจะใชเคร่ืองมือทางภูมิศาสตร
ชนดิ ใด
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
...................................................................................................
2) ภาพถา ยจากดาวเทียม มีประโยชนอ ยา งไร
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
...................................................................................................
3) แผนที่มปี ระโยชนอยางไร
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
...................................................................................................
4) ถาตองการทราบวาประเทศไทยอยูพิกัดภูมิศาสตรที่เทาไหร ผูเรียนจะใชเครื่องมือทาง
ภูมิศาสตรชนิดใดไดบ าง
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
....................................................................................................
23
เรอ่ื งท่ี 4 สภาพภมู ศิ าสตรกายภาพของไทยท่ีสง ผลตอทรัพยากรตา ง ๆ และสงิ่ แวดลอ ม
ประเทศไทยมีความแตกตางกันทางสภาพภูมิศาสตรกายภาพ เน่ืองจากมีปจจัยท่ีกอใหเกิดลักษณะ
ภมู ปิ ระเทศ คือ
1) การผันแปรของเปลือกโลก เกิดจากพลังงานภายในโลกท่ีมีการบีบ อัด ใหยกตัวสูงขึ้นหรือ
ทรดุ ตา่ํ ลง สว นที่ยกตัวสงู ขึน้ ไดแ ก ภเู ขา ภูเขาไฟ เนินเขา ทีร่ าบสงู สวนท่ีลดตํา่ ลง ไดแก หุบเขา ทรี่ าบลุม
2) การกระทาํ ของตวั กระทาํ ตา ง ๆ เมอื่ เกิดการผนั แปรแบบแรกแลว กจ็ ะเกิดการกระทาํ จากตวั ตาง ๆ
เชน ลม น้าํ คล่ืน ไปกัดเซาะพังทลายภูมิประเทศหลัก ลักษณะของการกระทํามี 2 ชนิด คือ การกัดกรอน
ทาํ ลาย คอื การทําลายผวิ โลกใหตํา่ ลง โดย ลม อากาศ นาํ้ นํา้ แข็ง คล่นื ลมและ การสะสมเสรมิ สรา ง คือ
การปรบั ผิวโลกใหราบโดยเปน ไปอยางชา ๆ แตตอ เนอ่ื ง
3) การกระทาํ ของมนุษย เชน การสรา งเข่ือน การระเบิดภเู ขา
ดว ยเหตดุ งั กลาว นกั ภูมศิ าสตรไดใ ชห ลกั เกณฑความแตกตางทางดานกายภาพ เชน ภูมิประเทศ
ภูมิอากาศของทอ งถ่นิ มาใชในการแบง ภาคภมู ิศาสตร จงึ ทําใหประเทศไทยมีสภาพภมู ศิ าสตรท ี่แบง เปน 6 เขต
คือ
1. เขตภูเขาและหุบเขาทางภาคเหนือ ลักษณะภูมิประเทศเปนภูเขามากกวาภาคใด ๆ และ
เทือกเขาจะทอดยาวในแนวเหนือใตสลับกับท่ีราบหุบเขา โดยมีท่ีราบหุบเขาแคบ ๆ ขนานกันไป อันเปนตน
กําเนิดของแมน้ําลาํ คลองหลายสาย แควใหญนอยในภาคเหนือทําใหเกิดที่ราบลุมแมนํ้า ซึ่งอยูระหวางหุบเขา
อันอุดมสมบูรณไปดวยทรัพยากรธรรมชาติ ราษฎรสวนใหญประกอบอาชีพเพาะปลูก เลี้ยงสัตวและทํา
เหมอื งแร นอกจากนท้ี รพั ยากรธรรมชาตยิ งั เออ้ื อาํ นวยใหเ กดิ อุตสาหกรรมในครวั เรอื นทมี่ ชี ือ่ เสยี ง เปนท่ีรูจกั กนั
มาชา นาน ภาคเหนอื จะอยูในเขตรอ นท่มี ลี ักษณะภูมิอากาศคลา ยคลึงกับภูมิอากาศทางตอนใตของเขตอบอุน
ของประเทศทมี่ ี 4 ฤดู
2. เขตเทือกเขาทางภาคตะวันตก ลักษณะภูมิประเทศเปนพ้ืนที่แคบ ๆ ทอดยาวขนานกับ
พรมแดนประเทศพมา สวนใหญเปน ภเู ขา มีแหลง ทรัพยากรแรธาตแุ ละปา ไมของประเทศ มีปริมาณฝนเฉลี่ย
ตํ่ากวาทุกภาคและเปนภูมิภาคท่ีประชากรอาศัยอยูนอย สวนใหญอยูในเขตท่ีราบลุมแมนํ้าและชายฝงและ
มักประกอบอาชีพปลกู พชื ไรแ ละการประมง ลกั ษณะภมู อิ ากาศโดยทว่ั ไป มคี วามแหงแลง มากกวาในภาคอน่ื ๆ
เพราะมีเทอื กเขาสงู เปน แนวกาํ บงั ลม ทําใหอ ากาศในฤดูรอนและฤดูหนาวแตกตางกันอยางเดนชัด เนื่องจาก
แนวเทือกเขาขวางกั้น ทิศทางลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต กอใหเกิดบริเวณเงาฝนหรือพื้นท่ีอับลม ฝนจะตก
ดา นตะวันตกของเทอื กเขามากกวา ดานภาคตะวันออก
3. เขตท่รี าบของภาคกลาง ลกั ษณะภูมปิ ระเทศสว นใหญเปน ท่รี าบลุมแมน ํา้ อนั กวางใหญ
มีลักษณะเอียงลาดจากเหนือลงมาใต เปนท่ีราบที่มีความอุดมสมบูรณมากท่ีสุดเพราะเกิดการทับถมของ
ตะกอน เชน ที่ราบลุม แมน้ําเจา พระยา และทาจีน เปน แหลง ที่ทาํ การเกษตร (ทํานา) ที่ใหญท่ีสุด มีเทือกเขา
เปนขอบของภาค ทง้ั ดานตะวันตกและตะวันออก
4. เขตภเู ขาและท่ีราบบรเิ วณชายฝง ทะเลตะวนั ออก ลกั ษณะภูมปิ ระเทศเปน เทอื กเขาสงู และ
24
ทีร่ าบ ซ่งึ สวนใหญเปน ท่รี าบลูกฟูกและมีแมน ํา้ ทีไ่ หลลงสอู าวไทย แมนํ้าในภาคตะวันออกสวนมากเปนแมนํ้า
สายสน้ั ๆ ซ่ึงไดพดั พาเอาดนิ ตะกอนมาทิง้ ไว จนเกดิ เปนทร่ี าบแคบ ๆ ตามท่ีลุมลักษณะชายฝงและมีลักษณะ
ภูมิประเทศเปน เกาะ อา ว และแหลม ลกั ษณะภูมอิ ากาศ ภาคตะวนั ออกมีชายฝง ทะเลและมเี ทือกเขาเปนแนว
ยาว เปด รบั ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใตจากอาวไทยอยางเต็มที่ จึงทําใหภาคน้ีมีฝนตกชุกหนาแนนบางพ้ืนที่
ไดแ ก พนื้ ที่รับลมดานหนาของเทือกเขาและชายฝงทะเล อุณหภูมิของภาคตะวันออกจะมีคาสมํ่าเสมอตลอด
ท้งั ปและมีความชนื้ คอนขางสงู เหมาะแกการทาํ สวน
5. เขตทีร่ าบสงู ภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื ลักษณะภมู ิประเทศเปน ทรี่ าบสงู ขนาดตา่ํ ทางบริเวณ
ตะวนั ตกของภาคจะมีภูเขาสูง ทางบริเวณตอนกลางของภาคมีลักษณะเปนแองกะทะ เรียกวา “แองที่ราบ-
โคราช” มแี มน้าํ ชแี ละแมนา้ํ มูลไหลผา น ยังมีทร่ี าบโลงอยูห ลายแหง เชน ทงุ กุลารองไห ทงุ หมาหิว ซึง่ สามารถ
ทาํ นาไดแตไ ดผลผลติ ตํ่าและมีแนวทวิ เขาภพู านทอดโคง ยาวคอ นไปทางตะวนั ออกเฉียงเหนือของภาคถัดเลยจาก
แนวทิวเขาภูพานไปทางเหนือมีแอง ทรดุ ตํ่าของแผนดนิ เรยี กวา “แอง สกลนคร”
6. เขตคาบสมุทรภาคใต ลักษณะภมู ิประเทศเปนคาบสมุทรย่ืนไปในทะเล มีเทือกเขาทอดยาว
ในแนวเหนือใต ที่เปนแหลงทับถมของแรดีบุก และมีความสูงไมมากนักเปนแกนกลางบริเวณชายฝงทะเล
ทงั้ สองดานของภาคใตเปนท่ีราบ มีประชากรอาศยั อยูหนาแนน ภาคใตไ ดร บั อิทธพิ ลความช้ืนจากทะเลท้ังสอง
ดาน มีฝนตกชกุ ตลอดป และมีปริมาณฝนเฉลยี่ สูง เหมาะแกการเพาะปลกู พืชผลเมืองรอน ที่ตองการความชื้นสูง
ลกั ษณะภมู ิอากาศไดร ับอิทธพิ ลของลมมรสุมท้ังสองฤดู จึงเปนภาคท่ีมีฝนตกตลอดท้ังป ทําใหเหมาะแกการ
ปลูกพืชเมืองรอ นทีต่ อ งการความชุม ชน้ื สูง เชน ยางพารา ปาลมนํา้ มัน เปนตน
องคประกอบของสิ่งแวดลอมทางกายภาพของไทย ที่สําคัญมี 3 องคประกอบ ไดแก ลักษณะ
ภูมิประเทศ ภูมิอากาศ ทรัพยากรธรรมชาติ ซ่ึงมีความเกี่ยวพันซึ่งกันและกันและมีผลตอความเปนอยูของ
มนษุ ยท ัง้ ทางตรงและทางออม
1) ลกั ษณะภูมิประเทศ ลกั ษณะของเปลือกโลกทเ่ี ห็นเปนรูปแบบตา งๆ
แบงเปน 2 ประเภท คือ ลักษณะภูมิประเทศหลัก ไมเปลี่ยนรูปงาย ไดแก ที่ราบ ที่ราบสูง ภูเขา
และเนนิ เขา ลกั ษณะภูมิประเทศรองเปลย่ี นแปลงรปู ไดง า ย ไดแ ก หุบเขา หว ย เกาะ อาว แมน ้าํ สนั ดอนทราย
แหลม ทะเลสาบ
2) ลักษณะภูมิอากาศ หมายถึง คาเฉล่ียของลมฟาอากาศที่เกิดข้ึนเปนประจําในบริเวณใด
บรเิ วณหนึง่ ในชว งระยะเวลาหนึง่ ซ่ึงมปี จ จัยควบคุมอากาศ เชน ตาํ แหนงละตจิ ูด
3) ทรัพยากรธรรมชาติ ทรพั ยากรธรรมชาติ หมายถึง ส่ิงที่เกิดข้ึนเองตามธรรมชาติและมนุษย
สามารถนําไปใชประโยชนในการดํารงชีวิตได แบงออกเปน 4 ประเภท คือ ทรัพยากรดิน ทรัพยากรนํ้า
ทรพั ยากรปาไมและทรพั ยากรแรธ าตุ ทรัพยากรธรรมชาติ แบง เปน 3 ประเภท คือ
- ทรพั ยากรทใ่ี ชแลวหมดไปไมส ามารถเกดิ มาทดแทนใหมไ ด เชน นํ้ามนั แรธ าตุ
- ทรัพยากรท่ีใชแลวสามารถสรา งทดแทนได เชน ปา ไม สตั วบ ก สตั วนํา้
- ทรัพยากรทใ่ี ชแลว ไมห มดไป เชน นาํ้ อากาศ เปน ตน
25
การอนุรกั ษท รพั ยากรธรรมชาติ การอนรุ ักษ หมายถึง การรูจ ักใชท รพั ยากรธรรมชาตอิ ยางคมุ คา
และใหเกิดประโยชนมากทส่ี ุด โดยมวี ัตถุประสงค คอื
1. เพื่อปรับปรุงคุณภาพชีวิตของมนุษย หมายถึง การใชประโยชนสูงสุด และรักษาสมดุลของ
ธรรมชาติไวดว ย โดยใชเทคโนโลยีทท่ี ําใหเกิดผลเสยี ตอสภาพแวดลอมนอยท่ีสุด
2. เพ่ือรักษาทรัพยากรและสิ่งแวดลอมใหอยูในสภาพสมดุล โดยไมเกิดส่ิงแวดลอมเปนพิษ
(Polution) จนทําใหเ กดิ อันตรายตอมนุษยและส่งิ แวดลอม
1) ทรัพยากรดิน ดินเกิดจากการสลายตัวของหิน แรธาตุและอินทรียวัตถุตาง ๆ อันเน่ืองมาจากการ
กระทาํ ของลม ฟา อากาศและอน่ื ๆ สวนประกอบท่ีสาํ คัญของดนิ ไดแ ก อนินทรยี ว ัตถหุ รอื แรธ าตุ
ปญ หาของการใชท รัพยากรดนิ เกดิ จาก
1. การกระทําของธรรมชาติ เชน การสึกกรอนพังทลายท่ีเกิดจากลม กระแสนํ้าและ
การชะลางแรธ าตตุ า ง ๆ ในดิน
2. การกระทาํ ของมนุษย เชน การทาํ ลายปาไม การปลูกพชื ชนิดเดียวซ้ําซาก การเผาปาและ
ไรน า ทําใหสูญเสียหนา ดนิ ขาดการบาํ รุงรักษาดนิ
การอนรุ ักษทรัพยากรดิน โดยการปลกู พืชหมนุ เวยี น การปลูกพืชแบบข้นั บันไดปอ งกนั การเซาะ
ของนํา้ ปลกู พืชคลมุ ดิน ปอ งกนั การชะลางหนา ดนิ ไมตัดไมทาํ ลายปาและการปลูกปาในบริเวณท่ีมีความลาดชัน
เพ่ือปองกันการพงั ทลายของดิน
26
27
2) ทรัพยากรน้ํา น้ําเปนทรัพยากรที่จําเปนตอการดํารงชีวิตของมนุษยและสิ่งมีชีวิต ใชแลว
ไมหมดสน้ิ ไป แบงเปน
- น้ําบนดนิ ไดแก แมน้ํา ลําคลอง หนอง บึง ทะเลสาบ ปรมิ าณน้ํา ขึน้ อยูกบั ปริมาณน้ําฝน
- นาํ้ ใตดนิ หรือน้าํ บาดาล ปริมาณนาํ้ ขน้ึ อยูกบั นํ้าท่ไี หลซมึ ลงไปจากพื้นดนิ และความสามารถ
ในการกักนาํ้ ในชนั้ หนิ ใตดนิ
- น้ําฝน ไดจากฝนตก ซ่ึงแตละบริเวณจะมีปริมาณนํ้าแตกตางกัน ซึ่งในประเทศไทย
เกิดปญ หาวกิ ฤติการณเ กีย่ วกับทรพั ยากรนาํ้ คอื เกิดภาวะการขาดแคลนน้าํ และเกิดมลพิษทางน้ํา เชน นํ้าเสีย
จากโรงงานอุตสาหกรรม
การอนุรักษท รัพยากรนาํ้ โดยการ
1. การพฒั นาแหลงน้าํ ไดแก การขดุ ลอกหนอง คลองบึงและแมน้ําที่ตื้นเขิน เพื่อใหสามารถ
กักเก็บนํ้าไดมากข้ึน ตลอดจนการสรางเขื่อนและอา งกักเก็บนํา้
2. การใชน ้ําอยางประหยัด ไมป ลอยใหน้าํ สญู เสยี ไปโดยเปลา ประโยชนแ ละสามารถนํานํา้ ทีใ่ ช
แลวกลับมาหมนุ เวยี นใชไ ดใ หมอ ีก เชน น้าํ จากโรงงานอตุ สาหกรรม
3. การควบคุมรักษาตนน้ําลาํ ธาร ไมม กี ารอนญุ าตใหม กี ารตดั ตนไมทาํ ลายปา อยางเดด็ ขาด
4. ควบคุมมิใหเกิดมลพิษแกแหลงน้ํา มีการดูแลควบคุมมิใหมีการปลอยส่ิงสกปรกลงไป
ในแหลงนํา้
3) ทรพั ยากรปา ไม ปาไมม คี วามสําคัญตอมนุษยท ั้งทางตรงและทางออม เชน ชวยรักษาสภาพ
ดนิ นํา้ อากาศ บรรเทาความรุนแรงของลมพายุและยังไดรับผลิตภัณฑจากปาไมหรือใชเปนแหลงทองเท่ียว
พกั ผอ นหยอ นใจได ปา ไม แบง เปน 2 ประเภท คือ
1. ปา ไมไมผลัดใบ เชน ปา ดงดิบ หรือปาดิบเปนปา ไมบรเิ วณท่ีมีฝนตกชุก พบมากทางภาคใต
และภาคตะวันออก ปา ดิบเขา พบมากในภาคเหนอื ปาสนเขา พบทางภาคเหนอื และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ปา ชายเลนนํ้าเค็ม เปนปาไมต ามดนิ เลน น้าํ เค็มและนาํ้ กรอ ย
2. ปาไมผลัดใบ เชน ปาเบญจพรรณ เปนปาผลัดใบผสม พบมากที่สุดในภาคเหนือ ปาแดง
ปา โคก ปาแพะ เปน ปา โปรงพบมากในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ปาชายหาด เปน ตน ไมเลก็ ๆ ข้ึนตามชายหาด
ปา พรุ หรือปา บึง เปนปาไมท ่ีเกิดตามดนิ เลน
การอนุรักษทรัพยากรปาไม สามารถทําไดโดยการออกกฎหมายคุมครองปาไม คือ
พระราชบัญญัติปาสงวนแหงชาติ พ.ศ. 2507 การปองกันไฟไหมปา การปลูกปาทดแทนไมที่ถูกทําลายไป
การปอ งกนั การลักลอบตดั ไมแ ละการใชไมใ หเ กิดประโยชนและคุม คามากท่ีสุด
4) ทรัพยากรแรธ าตุ แรธ าตุ หมายถงึ สารประกอบเคมีทเ่ี กิดขนึ้ เองตามธรรมชาติ
แบง ออกเปน
- แรโลหะ ไดแ ก เหลก็ ทองแดง สังกะสี ดีบุก ตะกวั่
- แรอโลหะ ไดแ ก ยิปซมั่ ฟลูออไรด โปแตช เกลอื หนิ
- แรเ ช้อื เพลงิ ไดแ ก ลกิ ไนต หินนํ้ามนั ปโ ตรเลยี ม กา ซธรรมชาติ
28
การอนรุ ักษท รัพยากรแรธ าตุ
1. ขดุ แรมาใชเ ม่อื มีโอกาสเหมาะสม
2. หาวธิ ีใชแรใ หมีประสิทธิภาพและไดผ ลคมุ คา มากทสี่ ดุ
3. ใชแรอ ยา งประหยัด
4. ใชว ัสดุหรือส่งิ อ่ืนแทนสงิ่ ทีจ่ ะตอ งทาํ จากแรธ าตุ
5. นาํ ทรพั ยากรแรกลบั มาใชใหม เชน นําเศษเหล็ก เศษอลูมิเนยี ม มาหลอมใชใ หม เปนตน
ปจ จัยท่มี ีผลกระทบตอ ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสิ่งแวดลอ ม ไดแก
1. การเพ่ิมประชากรมีผลทาํ ใหต องใชทรัพยากรและสิ่งแวดลอมมากขึ้น จึงเกิดปญหาความ
เสื่อมโทรมของสภาพแวดลอ มตามมามากขนึ้
2. การใชเ ทคโนโลยีทนั สมยั ซงึ่ อาจทําใหเ กดิ ทงั้ ผลดแี ละผลเสยี ตอ ธรรมชาติและสิง่ แวดลอม
กิจกรรมที่ 1.4 สภาพภมู ิศาสตรกายภาพของไทยทีส่ ง ผลตอทรพั ยากรตา งๆ และสิ่งแวดลอ ม
1) ใหผ เู รียนอธิบายวาสภาพภมู ิศาสตรของประเทศไทย ทั้ง 6 เขต มีอะไรบาง และแตละเขตสวนมาก
ประกอบอาชพี อะไร
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
2) ผูเรียนคิดวาประเทศไทยมีทรัพยากรอะไรท่ีมากท่ีสุด บอกมา 5 ชนิด แตละชนิดสงผลตอ
การดําเนินชีวติ ของประชากรอยางไรบา ง
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
29
เรอื่ งที่ 5 ความสาํ คญั ของการดํารงชีวิตใหสอดคลอ งกบั ทรพั ยากรในประเทศ
5.1 ความสําคัญของการดํารงชวี ิตใหสอดคลองกับทรัพยากรของประเทศไทย
จากท่ีไดกลาวมาแลววา ประเทศไทยมีความแตกตางกันทางดานกายภาพ เชน ภูมิประเทศ
ภูมอิ ากาศของทองถ่ิน จึงทําใหแตละภาคมีทรัพยากรที่แตกตางกันตามไปดวย สงผลใหประชากร ในแตละ
ภมู ภิ าคประกอบอาชพี ตา งกันไปดวย เชน
ภาคเหนือ ในภาคเหนือมีทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ จากการที่ลักษณะภูมิประเทศของ
ภาคเหนือสวนใหญเปนทิวเขาและมีที่ราบหุบเขาสลับกันแตพ้ืนที่ราบมีจํากัด ทําใหประชากรต้ังถิ่นฐาน
อยา งหนาแนนตามทีร่ าบลุมแมน า้ํ ทรพั ยากรทส่ี ําคัญ คือ
1) ทรัพยากรดนิ ท้ังดินทรี่ าบหบุ เขา ดนิ ทม่ี นี าํ้ ทว มถงึ และดินทเ่ี หลอื คา งจากการกัดกรอ น
2) ทรพั ยากรนํา้ แบง เปน 2 ประเภท คือ
1. น้ําบนผิวดิน ไดแก แมนํ้าลําธาร หนองบึงและอางเก็บนํ้าตาง ๆ แมวาภาคเหนือจะมี
แมนา้ํ ลาํ ธาร แตบ างแหง ปรมิ าณนาํ้ กไ็ มเ พียงพอ เนอื่ งจากเปนแมนํ้าสายเลก็ ๆ และปจจุบันปริมาณนํ้าในแมน้ํา
ลาํ ธารในภาคเหนือลดลงมาก ทั้งน้ีเน่ืองจากการตัดไมทําลายปาในแหลงตนนํ้า แตอยางไรก็ตามยังมีแมน้ํา
หลายสาย เชน แมนํ้าปง วัง ยม นาน แมนํ้าปงจังหวัดเชียงใหมและแมนํ้ากกจังหวัดเชียงรายท่ีมีนํ้าไหล
ตลอดป แมในฤดูแลงก็ยังมีน้ําที่ทําการเกษตรไดบาง นอกจากน้ี ยังมีบึงน้ําจืดขนาดใหญ คือ กวานพะเยา
จังหวดั พะเยา บงึ บอระเพด็ จังหวดั นครสวรรค
2. น้าํ ใตด ิน ภาคเหนือมีนํ้าใตดินท่ีอยูในรูปของนํ้าบอและบอบาดาล จึงสามารถใชบริโภค
และทาํ การเกษตรได
3) ทรพั ยากรแร มีเหมอื งแรใ นทกุ จงั หวดั ของภาคเหนือ แรท่ีสําคัญไดแก ดีบุก ทังสเตน พลวง
ฟลอู อไรด ดนิ ขาว ถานลิกไนตและนํา้ มนั ปโ ตรเลียม
4) ทรพั ยากรปาไม ภาคเหนอื มอี ตั ราพ้ืนทีป่ า ไมตอ พ้ืนที่ทงั้ หมดมากกวาทกุ ภาค จังหวดั ที่มปี าไม
มากท่ีสดุ คือ เชียงใหม ปาไมส วนใหญเ ปน ปา เบญจพรรณและปาแดง ไมท ส่ี ําคัญคือ ไมส ัก
5) ทรัพยากรดานการทองเท่ียว ภาคเหนือมีธรรมชาติที่สวยงาม สามารถดึงดูดนักทองเท่ียว
ใหม าชมวิวทิวทัศน มที ง้ั น้ําตก วนอุทยาน ถ้ํา บอนํ้ารอน เชน ดอยอินทนนทจังหวัดเชียงใหม ภูช้ีฟาจังหวัด
เชยี งราย
ประชากร ภาคเหนือเปนภาคที่ประชากรอาศัยอยูเบาบาง เนื่องจากภูมิประเทศ เต็มไปดวยภูเขา
ประชากรสวนใหญอาศัยอยูหนาแนนตามท่ีราบลุมแมน้ํา สวนใหญสืบเชื้อสายมาจากไทยลานนา นิยม
เรียกคนภาคเหนอื วา “คนเมือง” ประชากรในภาคเหนือสามารถรักษาวัฒนธรรมดงั้ เดิมไวไดอยางเหนียวแนน
เชน ประเพณสี งกรานต ประเพณที านสลากหรือตานกว ยสลาก ประเพณีลอยกระทง
30
นอกจากนี้ยังมชี าวไทยภเู ขาอาศัยอยูเปนจํานวนมาก เชน เผามง มูเซอ เยา ลีซอ อกี อ กะเหรยี่ ง ฯลฯ
จังหวดั ท่ีมีชาวเขามากท่สี ุด คอื เชียงใหม แมฮองสอนและเชียงราย การอพยพของชาวเขาเขามาในประเทศ
ไทยจํานวนมากทําใหเกิดปญหาติดตามมา คือ ปญหาการตัดไมทําลายปา เพ่ือทําไรเล่ือนลอย ปญหา
การปลูกฝน รฐั บาลไดแกไ ขปญ หา โดยหามาตรการตาง ๆ ที่ทําใหชาวเขาหันมาปลูกพืชเมืองหนาว เชน ทอ
กาแฟ สตรอเบอร่ี บวย อะโวคาโด และดอกไมเมืองหนาว ฯลฯ นอกจากน้ีหนวยงานท่ีเกี่ยวของ ยังไดจัด
การศกึ ษาเพอื่ ใหชาวเขาไดเ รียนภาษาไทย ปลูกจิตสาํ นึกความเปนคนไทย เพอ่ื ใหเขา ใจถึงสิทธิหนาที่ การเปน
พลเมืองไทยคนหนึ่ง
การประกอบอาชพี ของประชากรในภาคเหนอื ประชากรในภาคเหนือจะมีอาชีพทํานา ซ่ึงปลูกท้ัง
ขา วเจาและขา วเหนยี ว ในพื้นที่ราบลุมแมน ้ํา เนอื่ งจากมดี ินอดุ มสมบรู ณแ ละมกี ารชลประทานท่ีดี จึงสามารถ
ทํานาไดปล ะ 2 คร้งั แตผลผลิตรวมยงั นอยกวาภาคกลางและภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ นอกจากน้ี ยังประกอบ
อาชีพทําไร (ขาวโพด ถ่ัวเหลือง ถั่วลิสง หอม กระเทียม ออย) การทําสวนผลไม (ล้ินจี่ ลําไย) อุตสาหกรรม
(โรงบมใบยาสูบ การผลิตอาหารสาํ เรจ็ รปู และอาหารกระปอง) อุตสาหกรรมพ้ืนเมือง (เคร่ืองเขิน เคร่ืองเงิน
การแกะสลักไมสัก การทํารมกระดาษ) อุตสาหกรรมการทองเท่ียวเน่ืองจากภาคเหนือโดยเฉพาะจังหวัด
เชยี งใหม มที ัศนียภาพที่สวยงาม มโี บราณสถานมากมายและมวี ัฒนธรรมที่เกาแกทง่ี ดงาม
ภาคตะวนั ตก เนือ่ งจากทวิ เขาในภาคตะวันตกเปนทวิ เขาที่ทอดยาวมาจากภาคเหนือ ดังน้ันลักษณะ
ภมู ิประเทศจงึ คลายกับภาคเหนอื คอื เปนทิวเขาสูงสลบั กบั หุบเขาแคบ ซงึ่ เกดิ จากการเซาะของแมนํ้า ลําธาร
31
อยางรวดเร็ว ทิวเขาสวนใหญเปนหินคอนขางเกา สวนใหญเปนหินปูน พบมากที่จังหวัดกาญจนบุรี ราชบุรี
และเพชรบุรี ภเู ขาหนิ ปนู เหลานี้จะมยี อดเขาหยกั แหลมตะปมุ ตะปา นอกจากน้ยี งั มหี นิ ดนิ ดาน หินแกรนติ และ
หนิ ทราย และมที ่รี าบในภาคตะวนั ตก ไดแ ก ท่รี าบลุมแมนาํ้ แควใหญ ท่ีราบลมุ แมนา้ํ แควนอย ทร่ี าบลมุ แมน า้ํ
แมก ลองมที รพั ยากรทีส่ ําคญั คือ
1) ทรัพยากรดิน ดินในภาคตะวันตกสวนใหญเกิดจากการผุพังของหินปูน ดินจึงมีสภาพเปน
กลางหรือดา ง ซ่ึงถอื วาเปนดนิ ที่อดุ มสมบรู ณ เหมาะกับการเพาะปลูก
2) ทรพั ยากรนา้ํ ภาคตะวนั ตกเปนภาคท่ีมีฝนตกนอยกวาทุกภาคในประเทศ เพราะอยูในพื้นท่ี
อับฝน แบงเปน 2 ประเภท คอื
1. น้ําบนผิวดิน ไดแก แมนํ้า ลําธาร หนองบึงและอางเก็บนํ้าตาง ๆ แมวาจะมีฝนตกนอย
เพราะมที วิ เขาตะนาวศรแี ละทิวเขาถนนธงชัยขวางลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต ดังนั้นฝนจึงตกมากบนภูเขา ซึ่งใน
ภาคตะวันตกมีปาไมและแหลงตนน้ําลําธารอุดมสมบูรณ จึงทําใหตนนํ้าลําธารมีนํ้าหลอเลี้ยงอยูเสมอ เชน
แมน้ําแควใหญ แมนาํ้ แควนอย และแมน า้ํ แมกลอง นอกจากน้ีลักษณะภูมิประเทศในภาคตะวันตก มีลักษณะ
เปนหบุ เขาจํานวนมาก จงึ เหมาะอยางย่งิ ในการสรา งเขอ่ื น เชน เขือ่ นภมู ิพล เขื่อนศรนี ครนิ ทร เขื่อนวชิราลงกรณ
เขือ่ นเขาแหลม เขื่อนแกง กระจาน และเขือ่ นปราณบรุ ี
2. นํ้าใตดิน ภาคตะวันตกมีการขุดบอบาดาล ปริมาณน้ําที่ขุดไดไมมากเทากับนํ้าบาดาล
ในภาคกลาง
3) ทรพั ยากรแร ภาคตะวันตกมีหินอคั นแี ละหนิ แปร มีดีบุกซ่ึงพบในหินแกรนิต ทังสเตน ตะก่ัว
สงั กะสี เหลก็ รัตนชาติ และหินนาํ้ มนั
4) ทรัพยากรปาไม ภาคตะวันตกมคี วามหนาแนนของปาไมรองจากภาคเหนือ จังหวัดท่ีมีปาไม
มากทส่ี ุด คือ จังหวดั กาญจนบุรี
5) ทรัพยากรดานการทอ งเทยี่ ว สถานที่ทอ งเทย่ี วสว นใหญเปนภูเขา ถํ้า น้ําตก เขื่อน อุทยาน-
แหง ชาติ ฯลฯ
ประชากร ภาคตะวันตกเปน ภาคท่มี ีความหนาแนนของประชากรนอ ยทส่ี ุด จงั หวดั ที่มีประชากร
หนาแนน ทส่ี ดุ คือ จงั หวัดราชบรุ ี เพราะมีพืน้ ทเี่ ปน ท่รี าบลมุ แมนํา้
การประกอบอาชีพของประชากร ภาคตะวันตกมีลักษณะภูมิประเทศเปนภูเขาคลายกับ
ภาคเหนอื และมพี ืน้ ท่รี าบคลา ยกบั ภาคกลาง ประชากรสวนใหญจงึ อาศยั ในพ้ืนทรี่ าบและมอี าชีพเกษตรกรรม
อาชีพท่ีสําคัญคือการทําไรออย (โดยเฉพาะท่ีจังหวัดกาญจนบุรีและราชบุรี) ปลูกสับปะรด ขาวโพด
มนั สําปะหลัง ฝาย องนุ การทาํ นา ตามท่ีราบลุมแมน้ํา การเลี้ยงโคนม การทําโองเคลือบดินเผา ทํานาเกลือ
อาชีพการประมง การทําเคร่ืองจักสาน นอกจากนี้ยังมี การทําเหมืองแรดีบุก ทังสเตน ตะกั่ว สังกะสี เหล็ก
รตั นชาตแิ ละหินนํ้ามนั
ภาคกลาง ภมู ปิ ระเทศในภาคกลางเปนท่รี าบลมุ แมน้ํา เพราะแมนํ้าหลายสายไหลผานทําใหเกิดการ
ทับถมของตะกอนและมภี เู ขาชายขอบ พน้ื ที่แบงไดเ ปน 2 เขตยอ ย คือ ภาคกลางตอนบน เปนทร่ี าบลุมแมนํ้า
และท่ีราบลูกฟูก มีเนินเขาเต้ีย ๆ สลับเปนบางตอน ในเขตภาคกลางตอนลาง คือต้ังแตบริเวณจังหวัด
32
นครสวรรคลงมาจนถึงอา วไทย มลี ักษณะเปน ท่ีราบลมุ น้าํ ทว มถงึ และเปน ลานตะพกั ลํานํา้ (Stream Terrace)
ทรพั ยากรที่สาํ คญั คอื
1) ทรัพยากรดิน ภาคกลางมีดินที่อุดมสมบรู ณกวาภาคอ่นื ๆ เพราะเกดิ จากการทับถมของโคลน
ตะกอนที่มากบั แมน า้ํ ประกอบกบั มกี ารชลประทานทดี่ ี จึงทาํ การเกษตรไดด ี เชน การทํานา
2) ทรัพยากรนา้ํ ภาคกลางเปน ภาคที่มีนาํ้ อุดมสมบูรณ แบงเปน 2 ประเภท คอื
1. น้ําบนผิวดิน มีแมนํ้าท่ีสําคัญหลอเลี้ยง คือ แมน้ําเจาพระยา ซึ่งจะมีนํ้าไหลตลอดทั้งป
เนื่องจากมแี มน ้าํ สายเล็ก ๆ จํานวนมากไหลลงมาสแู มน ้ําเจาพระยา มกี ารชลประทานท่ีดี เพื่อกักเก็บน้ําไวใช
ในฤดูแลง นอกจากน้ยี ังมีทะเลสาบขนาดใหญ คอื บึงบอระเพ็ด ซึ่งเปนแหลงเพาะพันธุปลาน้ําจืดท่ีใหญที่สุด
ในโลก
2. น้าํ ใตด นิ เน่อื งจากภาคกลางมีลักษณะเปนแองขนาดใหญ จงึ มีบริเวณนา้ํ บาดาลมากท่ีสุด
ของประเทศ
3) ทรัพยากรแร หนิ ในภาคกลางสวนใหญเ ปน หินเกิดใหมท่ีมีอายุนอย มีหินอัคนีซ่ึงเปนหินเกา
พบไดท างตอนเหนือและชายขอบของภาคกลางและมีน้าํ มนั ท่จี งั หวดั กาํ แพงเพชร
4) ทรัพยากรปาไม ภาคกลางมีพ้ืนที่ปาไมนอยมาก จังหวัดท่ีมีปาไมมากคือจังหวัดท่ีอยูทาง
ตอนบนของภาค คือ จงั หวดั เพชรบูรณ พษิ ณุโลก อุทยั ธานี สโุ ขทยั และกําแพงเพชร
5) ทรัพยากรดานการทองเที่ยว สถานท่ีทองเท่ียวสวนใหญเปนน้ําตกและแมนํ้า ซ่ึงปจจุบัน
แมนํ้าหลายสายจะมีตลาดนํ้าใหนักทองเที่ยวไดมาเย่ียมชมมีวนอุทยาน หวยขาแขง จังหวัดอุทัยธานี
นอกจากนี้ยงั มีโบราณสถานที่เปน มรดกโลก เชน อุทยานประวตั ิศาสตรท ่ีจังหวดั พระนครศรีอยธุ ยา
ประชากร ภาคกลางเปน ภาคท่ีมปี ระชากรมากเปน อนั ดบั สองรองจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ประชากรสว นใหญจะหนาแนนมากในบริเวณท่ีราบลมุ แมนาํ้ เจาพระยา เพราะความอุดมสมบูรณเ หมาะแกก าร
เพาะปลกู จังหวดั ท่ตี ดิ กับชายทะเลก็จะมีประชากรอาศัยอยหู นาแนน นอกจากนภี้ าคกลางจะมอี ัตราการเพิ่มของ
ประชากรรวดเร็วมาก เน่อื งจากมกี ารอพยพเขา มาหางานทาํ ในเมอื งใหญก นั มาก
การประกอบอาชีพของประชากร ภาคกลางมีความอุดมสมบูรณ ทั้งทรัพยากรดิน และนํ้า
นับเปนแหลงอูข า วอนู ้ําของประเทศ ในภาคกลางตอนบนประกอบอาชีพทํานาขาวและทําไร (ขาวโพด ออย
มันสําปะหลัง) รองลงมาคือ อุตสาหกรรม ภาคกลางตอนลางจะมีอาชีพปลูกขาวในบริเวณราบลุมแมนํ้า
เนอ่ื งจากทด่ี นิ เปน ดนิ เหนียวมนี า้ํ แชขังและมีระบบการชลประทานดี จึงสามารถทํานาไดปละ 2 ครั้ง นับเปน
แหลง ปลูกขา วท่ีใหญท ส่ี ดุ ในประเทศและมีการทาํ นาเกลอื นากงุ ในแถบจังหวดั ชายทะเล
ภาคตะวันออก ภาคตะวันออกเปนภาคท่ีเล็กท่ีสุด ตอนเหนือของภาคมีภูมิประเทศเปน ที่ราบลุม
เกดิ จากการเคลอ่ื นไหวและการบีบอัดตัวของเปลือกโลก ทําใหตอนกลางของภาคโกงตัวเปนทิวเขาไปจนถึง
ดานตะวันออกเฉียงใต ขณะเดียวกันตอนเหนือของภาคเกิดการทรุดตัวเปนแองกลายเปนท่ีราบลุมแมน้ํา
และเกดิ การทับถมของโคลนและตะกอน ตอนกลางของภาคเปนทวิ เขา ภูมิประเทศสวนใหญเ ปน หุบเขาแคบ ๆ
33
มีท่ีราบตามหุบเขา เรียกวา ท่ีราบดินตะกอนเชิงเขาตอนใตของภาคเปนท่ีราบชายฝงทะเลภาคตะวันออก
มที รัพยากรท่สี ําคัญ คอื
1) ทรพั ยากรดนิ ดินสว นใหญไมค อ ยสมบรู ณ เพราะเปนดินรวนปนทรายและน้ําฝน จะชะลาง
ดิน เหมาะแกก ารปลูกพืชสวน เชน ทุเรียน เงาะ ระกาํ สละ มังคดุ ฯลฯ และใชปลูกพืชไร เชน มันสําปะหลัง
ออย ฯลฯ การทํานาก็มบี า งบริเวณตอนปลายของแมน ํา้ บางปะกง
2) ทรัพยากรน้ํา ภาคตะวันออกมีนํ้าอยางอุดมสมบูรณ แตเนื่องจากแมนํ้าในภาคตะวันออกเปน
แมน้ําสายส้ัน ๆ ทําใหการสะสมน้ําในแมน้ํามีนอย เม่ือถึงชวงหนาแลงมักจะขาดแคลนน้ําจืด เพราะเปน
ภูมภิ าคท่ีมนี กั ทองเที่ยวจํานวนมาก นอกจากน้ีในหนา แลงนํ้าทะเลเขา มาผสมทาํ ใหเ กิด น้ํากรอย ซง่ึ ไมส ามารถ
ใชบริโภคหรือเพาะปลกู ได การสรางเขอื่ นกไ็ มสามารถทําไดเ พราะสภาพภูมปิ ระเทศไมอ าํ นวย
3) ทรัพยากรแร ภาคตะวันออกมีแรอยูบาง เชน เหล็ก แมงกานีส พลวง แตมีแรท่ีมีช่ือเสียง
คอื แรรตั นชาติ เชน พลอยสีแดง พลอยสนี ้ําเงินหรือไพลินและพลอยสีเหลอื ง โดยผลิตเปนสนิ คาสง ออกไปขาย
ยังตา งประเทศ
4) ทรัพยากรปาไม ปาไมในภาคตะวันออกจะเปนปาดงดิบและปาชายเลน แตก็ลดจํานวนลง
อยางรวดเร็ว เพราะมกี ารขยายพืน้ ทกี่ ารเกษตร สรา งนคิ มอุตสาหกรรม ฯลฯ
5) ทรัพยากรดานการทอ งเทยี่ ว เปนภาคทม่ี ที รัพยากรทองเที่ยวมากมาย โดยเฉพาะจังหวดั
ท่อี ยูชายทะเล เกาะตางๆ นาํ้ ตก ฯลฯ
ประชากร ภาคตะวนั ออกเปนอกี ภาคหนึ่งท่ีมีการเพิ่มของประชากรคอนขางสูง เน่ืองจากมีการ
ยายมาทํามาหากิน การเจริญเตบิ โตของเขตอตุ สาหกรรม รวมท้งั การทองเทย่ี วเปน เหตุจงู ใจใหคนเขามาตั้งถ่ิน
ฐานเพิ่มมากขนึ้
การประกอบอาชีพของประชากร มีอาชพี ที่สําคญั คือ
1. การเพาะปลูก มกี ารทาํ นา ทาํ สวนผลไม ท้ังเงาะ ทเุ รียน มงั คุด ระกํา สละ สวนยางพารา
ทาํ ไรอ อย และมนั สําปะหลัง
2. การเลยี้ งสตั ว เปน แหลงเล้ยี งเปดและไก โดยเฉพาะท่ีจงั หวัดชลบุรีและฉะเชงิ เทรา
3. การทําเหมืองแร ภาคตะวันออกเปนแหลงที่มีแรรัตนชาติมากที่สุด เชน ทับทิม ไพลิน
บษุ ราคัม สง ผลใหป ระชากรประกอบอาชีพเจยี รนยั พลอยดว ย โดยเฉพาะจงั หวัดจนั ทบุรแี ละตราด
4. อตุ สาหกรรมในครวั เรือน เชน การผลติ เสอ่ี จันทบุรี เคร่อื งจกั สาน
5. การทองเที่ยว เน่ืองจากมีทัศนียภาพที่สวยงามจากชายทะเลและเกาะตาง ๆ อุตสาหกรรมการ
ทองเทีย่ วจึงสรา งรายไดใ หก บั ภมู ิภาคนี้เปน อยางมาก
ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ ลกั ษณะภมู ิประเทศสว นใหญ เปนทรี่ าบสูงแองกะทะและยังมีท่ีราบลุมแมนํ้าชี
และแมนาํ้ มูลทเ่ี รยี กวา แอง โคราช ซ่งึ เปนทีร่ าบลมุ ขนาดใหญท ี่สดุ ของภาคตะวันออกเฉียงเหนอื เพราะมีแมน า้ํ
มลู และแมน ํ้าชไี หลผาน จึงมกั จะมนี าํ้ ทวมเมอื่ ฤดนู าํ้ หลาก มีทรพั ยากรทส่ี าํ คัญ คอื
1) ทรัพยากรดิน ดินในภาคนี้มักเปนดินทราย ไมอุมน้ํา ทําใหการเพาะปลูกไดผลนอย
แตก ส็ ามารถแบงไดตามพนื้ ท่ี คือ
34
บริเวณทีร่ าบลุมแมนํ้า แมน าํ้ ชี แมน ํา้ มูลและแมน้ําโขง จะมีความอุดมสมบูรณคอนขางมาก
นิยมปลูกผกั และผลไม สวนท่ีเปน นา้ํ ขงั มักเปน ดนิ เหนียว ใชทํานา
บริเวณลาํ ตะพักลาํ นํา้ สว นใหญเ ปน ดินทราย ใชทํานาไดแตผลผลิตนอย เชน ทุงกุลารองไห
บริเวณทส่ี ูงกวา นี้ นิยมปลกู มนั สําปะหลงั
บรเิ วณท่สี งู และภูเขา เนอ้ื ดินหยาบเปนลูกรัง ท่ดี ินนี้มักเปนปา ไม
2) ทรัพยากรนํา้ ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนอื จะมีปญ หาในเรอ่ื งของน้ํามากกวาภาคอน่ื ๆ แมวาฝน
จะตกหนัก แตใ นหนาแลง จะขาดแคลนน้าํ เพอ่ื การเกษตรและการบรโิ ภค นาํ้ ในภาคนี้ จะแบงเปน 2 ประเภท คือ
น้ําบนผิวดิน ไดแก น้ําในแมนํ้าชี แมนํ้ามูลและแมนํ้าสายตาง ๆ ในฤดูฝน จะมีปริมาณ
นาํ้ มาก แตใ นฤดูแลงน้ําในแมนํ้าจะมนี อย เนอ่ื งจากพ้นื ดนิ เปน ดนิ ทราย เมื่อฝนตกไมสามารถอุมนํ้าได สวนนํ้า
ในแมน า้ํ ลาํ คลองกม็ ีปรมิ าณนอย เพราะน้ําจะซึมลงพืน้ ทราย แตภาคนถี้ ือวา โชคดีท่ีมเี ขอื่ น อางเก็บน้าํ และฝาย
มากกวา ทกุ ๆ ภาค
นํา้ ใตด นิ ปริมาณนํ้าใตดนิ มมี าก แตมปี ญหานํา้ กรอ ยและนํ้าเค็ม การขุดบอตองขุดใกลแหลง
แมนา้ํ เทา นัน้ หรอื ตอ งขดุ ใหลึกจนถงึ ช้นั หนิ แข็ง
3) ทรพั ยากรแร ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือมีแรโพแทชมากท่ีสุด จะมีอยูมากบริเวณตอนกลาง
และตอนเหนอื ของภาค นอกจากนยี้ ังมแี รเ กลอื หนิ มากทส่ี ุดในประเทศไทย
4) ทรัพยากรปาไม ปาไมในภาคตะวันออกเฉียงเหนือจะเปนปาแดง ซึ่งเปนปาผลัดใบเปน
ปา โปรง ปาแดงชอบดินลกู รงั หรือดนิ ทราย เชน ไมเตง็ รัง พลวง พะเยา ฯลฯ
5) ทรัพยากรดานการทองเท่ียว มีแหลงทรัพยากรธรรมชาติและที่มนุษยสรางข้ึน เชน
วิวทวิ ทัศน (ภกู ระดงึ ) เขื่อน ผาหนิ (จังหวดั อุบลราชธานี) หลกั ฐานทางโบราณคดี (จงั หวดั อุดรธานี)
ประชากร ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื มปี ระชากรหนาแนน อาศัยอยูตามแองโคราชบรเิ วณที่ราบลมุ
ของแมน ํา้ ชีและแมน ํ้ามูล
การประกอบอาชีพของประชากร ประชากรประกอบอาชีพทีส่ าํ คญั คอื
- การเพาะปลกู เชน การปลกู ขาว การทําไร (ขาวโพด มันสําปะหลัง ออย ปอ ยาสบู )
- การเล้ยี งสัตว เชน โค กระบือ และการประมงตามเขอื่ นและอางเกบ็ นา้ํ
- อตุ สาหกรรม สวนใหญเ ปน การแปรสภาพผลผลิตทางการเกษตร เชน โรงสีขา ว
โรงงานมนั สําปะหลงั อดั เมด็ โรงงานทําโซดาไฟ (จากแรเ กลอื หนิ และแรโ พแทช)
ภาคใต ลกั ษณะภูมปิ ระเทศของภาคใตเ ปนคาบสมุทร มีทิวเขาสูงทอดยาวจากเหนือจรดใต มีทะเล
ขนาบทั้ง 2 ดา น ทิวเขาที่สําคัญ คอื ทวิ เขาภูเก็ต ทิวเขานครศรีธรรมราชและทิวเขาสันกาลาคีรี และมีแมน้ํา
ตาปซ่ึงเปนแมนํ้าที่ยาวและมีขนาดใหญท่ีสุดของภาคใต ที่เหลือจะเปนแมนํ้าสายเล็กๆ และส้ัน เชน แมนํ้า
ปต ตานี แมน ้ําสายบรุ ี และแมนาํ้ โก-ลก มีชายฝงทะเลทั้งทางดานอาวไทย ซึ่งมีลักษณะเปนชายฝงแบบยกตัว
เปน ทร่ี าบชายฝง ทเ่ี กดิ จากคลืน่ พดั พาทรายมาทบั ถม จนกระท่งั กลายเปนหาดทรายทสี่ วยงาม และมีชายฝงทะเล
ดา นทะเลอันดามนั ท่ีมลี กั ษณะเวา แหวงเพราะเปน ฝงทะเลทจ่ี มนํ้าและมปี า ชายเลนข้ึนอยา งหนาแนน
35
1) ทรัพยากรดิน ลกั ษณะดินของภาคใตจ ะมี 4 ลักษณะ คอื
1. บรเิ วณชายฝง เปนดนิ ทราย ท่ีเหมาะแกการปลกู มะพราว
2. บริเวณที่ราบ ดินบริเวณท่ีราบลุมแมนํ้า เกิดจากการทับถมของตะกอนเปนชั้นๆ
ของอนิ ทรียว ัตถุ นยิ มทํานา
3. บรเิ วณที่ดอนยังไมไดบ อกลกั ษณะดิน นยิ มปลูกปาลม นํ้ามนั และยางพารา
4. บริเวณเขาสูง มีลกั ษณะเปนดินที่มหี นิ ติดอยู จงึ ไมเ หมาะแกการเพาะปลูก
2) ทรัพยากรน้ํา แมน ้าํ สวนใหญใ นภาคใตเ ปน สายสน้ั ๆ แตกม็ ีนํา้ อุดมสมบูรณ เนื่องจากมฝี นตก
เกือบตลอดป แตบ างแหง ยังมีการขดุ นา้ํ บาดาลมาใช
3) ทรัพยากรแร แรทส่ี าํ คญั ในภาคใต ไดแก ดบี ุก (จงั หวัดพังงา) ทังสเตน เหล็ก ฟลูออไรด ยิปซ่ัม
ดินขาว ถา นหนิ ลิกไนต
4) ทรัพยากรปาไม ปา ไมใ นภาคใตเปนปาดงดิบและปา ชายเลน
5) ทรัพยากรดานการทองเที่ยว มีทรัพยากรดานการทองเท่ียวมาก เชน ทิวทัศนตามชายฝงทะเล
เกาะ และอทุ ยานแหงชาตทิ างทะเล นาํ้ ตก สุสานหอยลานปท ่ีจงั หวัดกระบ่ี
ประชากร ประชากรอาศยั อยหู นาแนนตามท่ีราบชายฝงต้ังแตจังหวัดนครศรีธรรมราชลงไปถึง
จังหวัดปตตานี เพราะเปน ท่ีราบผนื ใหญ
การประกอบอาชีพของประชากร อาชีพทส่ี าํ คญั คอื
- การทาํ สวน เชน ยางพารา ปาลม นา้ํ มันและสวนผลไม
- การประมง ทํากนั ทกุ จังหวัดท่มี ชี ายฝงทะเล
- การทาํ เหมอื งแรด ีบกุ
- การทองเที่ยว ภาคใตมีภูมิประเทศที่สวยงาม ทําใหมีแหลงทองเที่ยวตามธรรมชาติมากมาย
หลายแหง เชน ทิวทัศนชายฝงทะเล เกาะแกงตาง ๆ ฯลฯ สามารถทํารายไดจากการทองเที่ยวมากกวา
ภาคอื่น ๆ
5.2 ความสาํ คัญของการดาํ รงชีวิตใหสอดคลองกับทรัพยากรของประเทศในเอเชีย
ลกั ษณะประชากรของทวีปเอเชีย เอเชยี เปนทวปี ทใ่ี หญแ ละมีประชากรมากเปน อันดับ 1 ของโลก
ถือเปนทวีปแหลง อารยธรรม เพราะเปน ดินแดนท่คี วามเจริญเกิดขึ้นกอนทวีปอื่น ๆ ประชากรรูจักและตั้งถ่ิน
ฐานกันมากอน สวนใหญอาศัยอยูหนาแนนบริเวณชายฝงทะเลและท่ีราบลุมแมน้ําตาง ๆ เชน ลุมแมน้ํา
เจาพระยา ลุมแมน้ําแยงซีเกียง ลุมแมน้ําแดงและลุมแมนํ้าคงคา สวนบริเวณที่มีประชากรเบาบางจะเปน
บริเวณทแ่ี หง แลง กันดารหนาวเยน็ และในบริเวณที่เปนภเู ขาซบั ซอ น ซึ่งสว นใหญจะเปน บริเวณกลางทวปี
ประชากรในเอเชียประกอบดว ยหลายเชอื้ ชาติ ดงั นี้
1) กลมุ มองโกลอยด มีจาํ นวน 3 ใน 4 ของประชากรทั้งหมดของทวีป มีลักษณะเดน คอื
ผวิ เหลือง ผมดําเหยยี ดตรง นยั นตารี จมกู แบน อาศยั อยูในประเทศ จนี ญ่ปี นุ เกาหลี และไทย
2) กลมุ คอเคซอยด เปน พวกผวิ ขาว หนา ตารปู รางสูงใหญเหมือนชาวยโุ รป ตา ผมสีดาํ สวนใหญ
อาศยั อยูในเอเชยี ตะวันตกเฉยี งใตและภาคเหนอื ของอินเดีย ไดแ ก ชาวอาหรับ ปากีสถาน อินเดยี เนปาล
36
3) กลมุ นกิ รอยด เปน พวกผิวดํา ไดแก ชาวพื้นเมืองภาคใตของอินเดีย พวกเงาะซาไก มีรูปราง
เล็ก ผมหยกิ นอกจากนี้ยังอยูในศรีลังกาและหมูเกาะในเอเชียตะวนั ออกเฉยี งใต
4) กลมุ โพลิเนเซียน เปน พวกผิวสีคลํา้ อาศยั อยตู ามหมเู กาะแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต ไดแก
ชนพน้ื เมืองในหมเู กาะของประเทศอินโดนีเซยี
ประชากรของทวีปเอเชยี จะกระจายตัวอยตู ามพ้นื ทตี่ าง ๆ ซ่งึ ขึ้นอยูก ับความอดุ มสมบรู ณข องพ้ืนที่
ความเจรญิ ทางดา นวชิ าการในการนําเทคโนโลยีมาใชกับทรัพยากรธรรมชาติ เพ่ือใหเกิดประโยชนสูงสุดและ
ทําเลท่ีตั้งของเมืองท่ีเปนศูนยกลาง สวนใหญจะอยูกันหนาแนนบริเวณตามที่ราบลุมแมนํ้าใหญ ๆ ซ่ึงที่ดิน
อดุ มสมบรู ณ พืน้ ทเี่ ปนทรี่ าบเหมาะแกการปลูกขา วเจา เขตประชากรที่อยกู นั หนาแนน แบง ไดเปน 3 ลกั ษณะ คอื
1. เขตหนาแนนมาก ไดแก ที่ราบลุมแมนํ้าฮวงโห แมน้ําแยงซีเกียง ชายฝงตะวันออก ของจีน
ไตห วนั ปากแมน้ําแดง (ในเวียดนาม) ทีร่ าบลุม แมน้ําคงคา (อนิ เดยี ) ลุมแมนํ้าพรหมบุตร (บังคลาเทศ) ภาคใต
ของเกาะฮอนชู เกาะควิ ชู เกาะซโิ กกุ (ในญ่ีปุน) เกาะชวา (ในอนิ โดนเี ซยี )
2. เขตหนาแนนปานกลาง ไดแก เกาหลี ภาคเหนือของหมูเกาะญ่ีปุน ที่ราบดินดอนสามเหลี่ยม
ปากแมน้ําโขงในเวียดนาม ที่ราบลุมแมน้ําเจาพระยา ที่ราบปากแมนํ้าอิระวดีในพมา คาบสมุทรเดคคาน
ในอินเดยี ลมุ แมน า้ํ ไทกริส-ยเู ฟรตสี ในอริ ัก
3. เขตบางเบามาก ไดแก เขตไซบเี รยี ในรัสเซีย ทะเลทรายโกบีในมองโกเลีย แควนซินเกียงของจีน
ทีร่ าบสูงทเิ บต ทะเลทรายในคาบสมุทรอาหรบั ซ่งึ บรเิ วณแถบนีจ้ ะมอี ากาศหนาวเยน็ แหงแลง และทุรกนั ดาร
ลกั ษณะการต้ังถิ่นฐาน
ประชากรสวนใหญ อาศัยอยูหนาแนนบริเวณชายฝงทะเลและที่ราบลุมแมนํ้าตาง ๆ เชน ลุมแมน้ํา
เจา พระยา ลุมแมน้าํ แยงซเี กยี ง ลมุ แมน ้ําแดงและลุม แมน ้ําคงคา และในเกาะบางเกาะท่มี ดี ินอดุ มสมบรู ณ เชน
เกาะของประเทศฟล ิปปนส อินโดนเี ซียและญี่ปนุ สวนบรเิ วณท่ีมปี ระชากรเบาบาง จะเปนบริเวณท่ีแหงแลง
กันดาร หนาวเย็นและในบริเวณที่เปนภูเขาซับซอน ซ่ึงสวนใหญจะเปนบรเิ วณกลางทวปี มเี พียงสว นนอย
ที่อาศัยอยูในเมือง เมืองที่มีประชากรอาศัยเปนจํานวนมาก ไดแก โตเกียว บอมเบย กัลกัตตา โซล มะนิลา
เซียงไฮ โยะโกะฮะมะ เตหะราน กรุงเทพมหานคร เปนตน
ลักษณะทางเศรษฐกิจ ประชากรของทวีปเอเชียประกอบอาชีพท่ีตางกันขึ้นอยูกับสภาพแวดลอม
ทางธรรมชาติ ไดแก ภูมิอากาศ ภูมิประเทศ ทรัพยากรธรรมชาติและสภาพแวดลอมทางวัฒนธรรม ไดแก
ความเจริญในดา นวชิ าการ เทคโนโลยี การปกครองและขนบธรรมเนยี มประเพณี แบงได 3 กลุมใหญ ๆ คือ
1) เกษตรกรรม
การเพาะปลูก นับเปนอาชีพที่สําคัญในเขตมรสุมเอเชีย ไดแก เอเชียตะวันออก เอเชีย
ตะวนั ออกเฉยี งใตแ ละเอเชียใต ทําการเพาะปลกู ประมาณรอ ยละ 70 - 75 % ของประชากรทัง้ หมด เน่ืองจาก
ทวีปเอเชียมภี ูมปิ ระเทศเปนทร่ี าบลุมแมน ํ้าอันกวางใหญหลายแหง มีที่ราบชายฝงทะเล มีภูมิอากาศท่ีอบอุน
มคี วามช้ืนเพียงพอ นอกจากนยี้ ังมกี ารนําเทคโนโลยีที่ทันสมัยเขามาชวย หลายประเทศกลายเปนแหลง อาหาร
ที่สาํ คัญของโลก จะทําในทรี่ าบลุมของแมน ้ําตา ง ๆ พืชทีส่ าํ คญั ไดแ ก ขา ว ยางพารา ปาลม ปาน ปอ ฝาย ชา
กาแฟ ขา วโพด สม มนั สาํ ปะหลงั มะพรา ว
37
การเลี้ยงสตั ว เล้ียงมากในชนบท มีท้งั แบบฟารมขนาดใหญแ ละปลอยเลี้ยงตามทุงหญา ขึ้นอยู
กบั ลกั ษณะภมู ปิ ระเทศ ภมู อิ ากาศและความนยิ ม ซง่ึ เลี้ยงไวใ ชเ น้ือและนมเปนอาหาร ไดแก อฐู แพะ แกะ สุกร
โค กระบือ มาและจามรี
การทําปาไม เน่ืองจากเอเชียตั้งอยูในเขตปาดงดิบ มรสุมเขตรอนและเขตอบอุน จึงไดรับ
ความช้นื สงู เปน แหลงปาไมท ่ใี หญแ ละสําคัญของโลกแหงหน่งึ มที งั้ ปาไมเ นอื้ ออ นและปา ไมเน้ือแข็ง
การประมง นบั เปน อาชีพทส่ี าํ คัญของประชากรในเขตริมฝงทะเล ซ่ึงมีหลายประเภท ไดแก
ประมงน้ําจืด ประมงนํ้าเค็ม การงมหอยมุกและเลยี้ งในบริเวณลาํ คลอง หนองบงึ และชายฝง ทะเล
2) อุตสาหกรรม ไดแก
1. การทาํ เหมืองแร ทวปี เอเชียอุดมสมบูรณไปดวยแรธาตุและแรเชื้อเพลิง ไดแก แรเหล็ก
ถา นหนิ ปโ ตรเลยี มและกา ซธรรมชาติ ซ่ึงจนี เปน ประเทศทม่ี ีการทาํ เหมืองแรมากที่สุดในทวีปเอเชีย สวนถานหิน
เอเชียผลิตถานหินมากที่สุดในโลก แหลงผลิตสําคัญคือ จีน อินเดีย รัสเซีย และเกาหลี แรเหล็ก ผลิตมาก
ในรัสเซีย อนิ เดยี และจนี สวนนํา้ มันดบิ และกา ซธรรมชาติ เอเชยี เปน แหลงสํารองและแหลง ผลิตนํ้ามันดิบและ
กาซธรรมชาติมากทีส่ ุดในโลก ซง่ึ มมี ากบริเวณอา วเปอรเ ซยี ในภมู ิภาคเอเชีย ตะวันออกเฉยี งใต ไดแก อิหราน
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส อิรัก คูเวต โอมาน กาตาร ประเทศที่ผลิตน้ํามันดิบมาก คือ ซาอุดิอาระเบียและจีน
นอกจากนย้ี ังพบในอินโดนเี ซีย มาเลเซีย บรไู น ปากีสถาน พมา อุซเบกิสถาน เติรก เมนิสถาน อาเซอรไ บจาน
2. อตุ สาหกรรมทอผา ผลติ ภัณฑจากไมแ ละหนังสตั ว ซ่งึ อตุ สาหกรรมเหลา น้ี หลายประเทศ
ในเอเชียเริ่มจากอุตสาหกรรมในครัวเรือน แลวพัฒนาขึ้นเปนโรงงานขนาดเล็ก ขนาดกลาง ขนาดใหญ
นอกจากนยี้ ังมีอุตสาหกรรมอาหารสาํ เร็จรปู เครือ่ งจกั รกล ยานพาหนะ เคมี
38
3) พาณชิ ยกรรม ไดแก การสงสินคาออกและสินคานําเขาประเทศ สินคาที่ผลิตในทวีปเอเชีย
ท่เี ปนสนิ คา ออกสวนมากจะเปนเครือ่ งอปุ โภคบรโิ ภคและวัตถดุ ิบ ไดแก ขาวเจา กาแฟ ชา นํ้าตาล เคร่ืองเทศ
ยางพารา ฝาย ไหม ปอ ปาน ขนสัตว หนังสัตว ดีบุก ฯลฯ ญี่ปุนและจีนมีปริมาณการคากับตางประเทศ
มากที่สุดในทวีป
สนิ คา ออก จะเปน ประเภทเครอ่ื งจกั ร ประเทศทส่ี ง ออกมาก คอื ญ่ีปนุ สว นประเภทอาหาร เชน ขา วเจา
ขา วโพด ถว่ั เหลือง ไดแ ก ไทย พมา และเวยี ดนาม
สว นสินคา นาํ เขา ประเทศ สวนมากจะส่ังซ้ือจากยุโรปและอเมริกา ไดแก ผลิตภัณฑจากอุตสาหกรรม
เครือ่ งโลหะสาํ เรจ็ รปู เชน เคร่ืองจกั ร เคร่ืองยนต เคร่อื งไฟฟา เคมี เคมีภณั ฑ เวชภณั ฑต าง ๆ
กจิ กรรมที่ 1.5 ความสาํ คญั ของการดํารงชีวติ ใหสอดคลองกับทรพั ยากรในประเทศ
1) ใหผ ูเ รียนอธิบายวาในภาคเหนอื ของไทย ประชากรจะอาศัยอยูหนาแนนในบริเวณใดบาง พรอมให
เหตุผล ประชากรสวนใหญป ระกอบอาชีพอะไร
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
.........................................................
39
2) ผูเรียนคิดวาภาคใดของไทยท่ีสามารถสรางรายไดจากการทองเที่ยวมากท่ีสุด พรอมใหเหตุผล
และสถานท่ที องเทยี่ วดงั กลาว มอี ะไรบาง พรอมยกตวั อยาง
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
.........................................................
3) ปจ จัยใดทท่ี าํ ใหมีประชากรอพยพเขามาอาศัยอยใู นภาคตะวันออกมากขึ้น
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................
4) ทวปี ใดทก่ี ลาวกนั วา เปนทวีป “แหลง อารยธรรม” เพราะเหตใุ ดจงึ กลาวเชนนนั้
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
40
5) ในทวปี เอเชยี ประชากรจะอาศยั อยกู ันหนาแนน บรเิ วณใดบา ง เพราะเหตใุ ด
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
41
บทท่ี 2
ประวัติศาสตรทวีปเอเชีย
สาระสําคญั
ทวปี เอเชยี ประกอบดวย ประเทศสมาชกิ หลายประเทศ ในท่นี ีจ้ ะกลาวถึงประวัติศาสตรของประเทศ
ในแถบเอเชียท่ีมีพรมแดนติดและใกลเคียงกับประเทศไทย ไดแก ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน อินเดีย
สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว สาธารณรฐั แหง สหภาพพมา อนิ โดนเี ซีย ฟล ปิ ปนส และประเทศญ่ีปุน
โดยสงั เขป นอกจากน้ไี ดเ กิดเหตุการณส ําคัญ ๆ ในประเทศไทยและประเทศในทวปี เอเชยี ท่ีนา สนใจ เชน ยุคลา
อาณานิคม และยคุ สงครามเยน็ เปนตน
ผลการเรยี นรูที่คาดหวัง
หลังจากผเู รยี นเรียนเรอ่ื งประวัติศาสตรทวีปเอเชยี จบแลว ทาํ ใหผ ูเรียนสามารถ
1. บอกถึงประวัติศาสตรโดยสังเขปของสาธารณรัฐประชาชนจีน อินเดีย สาธารณรัฐประชาธิปไตย
ประชาชนลาว สาธารณรัฐแหงสหภาพพมา อนิ โดนเี ซีย ฟล ปิ ปน สและประเทศญ่ปี ุน ได
2. บอกเหตุการณส าํ คญั ทางประวัตศิ าสตรทเ่ี กิดข้นึ ในประเทศไทยและประเทศในทวีปเอเชยี ได
ขอบขายเนื้อหา
เรือ่ งที่ 1 ประวัติศาสตรส ังเขปของประเทศในทวีปเอเชยี ไดแ ก
1.1 ประวัตศิ าสตรประเทศสาธารณรฐั ประชาชนจีน
1.2 ประวตั ิศาสตรป ระเทศอินเดีย
1.3 ประวัตศิ าสตรสาธารณรฐั ประชาธปิ ไตยประชาชนลาว
1.4 ประวตั ิศาสตรป ระเทศสาธารณสาธารณรัฐแหง สหภาพพมา
1.5 ประวัตศิ าสตรประเทศอนิ โดนีเซยี
1.6 ประวัติศาสตรประเทศฟลปิ ปน ส
1.7 ประวัตศิ าสตรประเทศญป่ี นุ
เร่ืองท่ี 2 เหตุการณส าํ คัญทางประวัติศาสตรทเ่ี กิดขึ้นในประเทศไทยและประเทศใน
ทวีปเอเชยี
2.1 ยคุ ลา อาณานิคม
2.2 ยคุ สงครามเยน็