35
รายละเอียดทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ท้งั 13 ทักษะ มรี ายละเอยี ดโดยสรปุ ดังน้ี
1.ทักษะการสังเกต ( Observing )หมายถึงการใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ในการสังเกต ไก้แก่ ใช้ตาดูรูปร่าง ใช้หูฟัง
เสียง ใช้ลิ้นชิมรส ใช้จมูกดมกลิ่น และใช้ผิวกายสัมผัสความรู้สึกร้อนเย็น หรือใช้มือจับต้องความอ่อนแข็ง เป็นต้น การใช้
ประสาทสัมผัสเหล่าน้ีจะใช้ทีละอย่างหรือหลายอย่างพร้อมกัน เพื่อรวบรวมข้อมูลก็ได้โดยไม่เพ่ิมความคิดเห็นของผู้สังเกต
ลงไป
2.ทักษะการวัด ( Measuring ) หมายถึง การเลือกและการใช้เครื่องมือวัดปริมาณของส่ิงของออกมาเป็นตัวเลขท่ี
แน่นอนได้อย่างเหมาะสม และถูกต้องโดยมีหน่วยกำกับเสมอในการวัดเพ่ือหาปริมาณของส่ิงที่วัดต้องฝึกให้ผู้เรียนหา
คำตอบ 4 คา่ คือ จะวดั อะไร วัดทำไม ใชเ้ คร่อื งมืออะไรวดั และจะวัดไดอ้ ย่างไร
3.ทกั ษะการจำแนกหรือทักษะการจัดประเภทสิ่งของ (Classifying) หมายถึง การแบ่งพวกหรือการเรียงลำดับวัตถุ
หรอื ส่ิงที่อยู่ในปรากฏการณ์โดยการหาเกณฑ์หรือสร้างเกณฑ์ในการจำแนกประเภท ซึ่งอาจใช้เกณฑ์ความเหมือนกัน ความ
แตกต่างกัน หรือความสัมพันธ์กันอย่างใดอย่างหน่ึงก็ได้ ซึ่งแล้วแต่ผู้เรียนจะเลือกใช้เกณฑ์ใด นอกจากนี้ควรสร้างความคิด
รวบยอดใหเ้ กดิ ข้ึนด้วยว่าของกลมุ่ เดียวกนั น้นั อาจแบ่งออกไดห้ ลายประเภท ทง้ั น้ขี ึ้นอยู่กบั เกณฑ์ที่เลือกใช้ และวัตถชุ ิ้นหน่ึง
ในเวลาเดยี วกนั จะต้องอยู่เพียงประเภทเดยี วเทา่ นน้ั
4.ทักษ ะการหาความสัมพันธ์ระหว่างมิติกับมิติและมิติกับ เวลา ( Space/space Relationship and
Space/Time Relationship)หมายถึง การหาความสัมพันธ์ระหว่างมิติต่างๆ ที่เก่ียวกับสถานท่ี รูปทรง ทิศทาง ระยะทาง
พน้ื ท่ี เวลา ฯลฯ เชน่ การหาความสัมพันธ์ระหว่าง มิติกับมิติ คอื การหารูปร่างของวตั ถุ โดยสังเกตจากเงาของวัตถุ เมื่อ
ใหแ้ สงตกกระทบวัตถใุ นมุมต่างๆกนั ฯลฯ
การหาความสัมพันธ์ระหว่าง เวลากับเวลา เช่น การหาความสัมพันธร์ ะหว่างจังหวะการแกว่งของลูกตุ้มนาฬิกา
กับจงั หวะการเต้นของชีพจร ฯลฯ
การหาความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งมติ กิ ับเวลา เช่น การหาตำแหนง่ ขอวัตถทุ เี่ คลือ่ นทไ่ี ปเมือ่ เวลาเปลีย่ นไป ฯลฯ
5.ทักษะการคำนวณและการใช้จำนวน ( Using Numbers ) หมายถึง การนำเอาจำนวนท่ีได้จากการวัด การ
สังเกต และการทดลองมาจัดกระทำให้เกิดค่าใหม่ เช่น การบวก ลบ คูณ หาร การหาค่าเฉล่ีย การหาค่าต่างๆ ทาง
คณิตศาสตร์ เพ่ือนำค่าที่ได้จากการคำนวณ ไปใช้ประโยชน์ในการแปลความหมาย และการลงข้อสรุป ซ่ึงในทาง
วิทยาศาสตร์เราต้องใช้ตัวเลขอยตู่ ลอดเวลา เช่น การอา่ น เทอรโ์ มมเิ ตอร์ การตวงสารต่าง ๆเปน็ ต้น
6.ทักษะการจัดกระทำและส่ือความหมายข้อมูล (Communication) หมายถึงการนำเอาข้อมูล ซึ่งได้มาจากการ
สงั เกต การทดลอง ฯลฯ มาจัดกระทำเสียใหม่ เช่น นำมาจัดเรียงลำดับ หาคา่ ความถี่ แยกประเภท คำนวณหาค่าใหม่ นำมา
จัดเสนอในรูปแบบใหม่ ตัวอย่างเช่น กราฟ ตาราง แผนภูมิ แผนภาพ วงจร ฯลฯ การนำข้อมูลอย่างใดอย่างหน่ึง หรือ
หลายๆอย่างเชน่ น้ีเรยี กวา่ การส่อื ความหมายขอ้ มูล
7.ทักษะการลงความเห็นจากข้อมูล( Inferring ) หมายถึง การเพิ่มเติมความคิดเห็นให้กับข้อมูลท่ีมีอยู่อย่างมี
เหตุผลโดยอาศัยความรู้หรือประสบการณ์เดิมมาช่วย ข้อมูลอาจจะได้จากการสังเกต การวัด การทดลอง การลงความเห็น
จากข้อมลู เดียวกนั อาจลงความเห็นไดห้ ลายอย่าง
8.ทักษะการพยากรณ์ (Predicting ) หมายถงึ การคาดคะเนหาคำตอบลว่ งหนา้ ก่อนการทดลองโดยอาศัยข้อมลู ท่ี
ไดจ้ ากการสงั เกต การวัด รวมไปถึงความสัมพันธร์ ะหว่างตวั แปรท่ีได้ศกึ ษามาแล้ว หรอื อาศยั ประสบการณ์ทเ่ี กดิ ซ้ำ ๆ
9.ทักษะการตั้งสมมุติฐาน( Formulating Hypothesis ) หมายถึง การคิดหาค่าคำตอบล่วงหน้าก่อนจะทำการ
ทดลอง โดยอาศัยการสังเกต ความรู้ ประสบการณ์เดิมเป็นพ้ืนฐาน คำตอบที่คิดล่วงหน้ายังไม่เป็นหลักการ กฎ หรือทฤษฎี
36
มาก่อน คำตอบท่ีคิดไว้ล่วงหน้าน้ี มักกล่าวไว้เป็นข้อความท่ีบอกความสัมพันธ์ ระหว่างตัวแปรต้นกับตัวแปรตามเช่น ถ้า
แมลงวันไปไขบ่ นกอ้ นเน้ือ หรือขยะเปียกแล้วจะทำใหเ้ กิดตัวหนอน
10.ทักษะการควบคุมตัวแปร ( Controlling Variables ) หมายถึงการควบคุมสิ่งอื่นๆ นอกเหนือจากตัวแปร
อิสระ ที่จะทำให้ผลการทดลองคลาดเคลื่อน ถ้าหากว่าไม่ควบคุมให้เหมือนๆกัน และเป็นการป้องกันเพ่ือมิให้มีข้อโต้แย้ง
ข้อผิดพลาดหรอื ตดั ความไมน่ า่ เชื่อถือออกไป
ตัวแปรแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ
1. ตัวแปรอิสระหรือตวั แปรต้น
2. ตัวแปรตาม
3. ตัวแปรทตี่ อ้ งควบคมุ
11.ทักษะการตีความและลงข้อสรุป ( Interpreting data ) ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ ส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปของ
ลกั ษณะตาราง รูปภาพกราฟ ฯลฯ การนำข้อมลู ไปใชจ้ งึ จำเป็นตอ้ งตีความให้สะดวกที่จะสอื่ ความหมายได้ถกู ตอ้ งและเขา้ ใจ
ตรงกนั
การตีความหมายขอ้ มลู คือ การบรรยายลักษณะและคณุ สมบัติ
การลงข้อสรุป คือ การบอกความสัมพันธ์ของข้อมูลท่ีมีอยู่ เช่น ถ้า ความดันน้อย น้ำจะเดือด ที่อุณหภูมิต่ำหรือน้ำ
จะเดอื ดเร็ว ถา้ ความดนั มากน้ำจะเดือดทอี่ ณุ หภูมิสูงหรือนำ้ จะเดือดช้าลง
12.ทักษะการกำหนดนิยามเชิงปฏิบัติการ (Defining Operationally )หมายถึง การกำหนดความหมาย และ
ขอบเขตของคำต่าง ๆท่ีมีอยู่ในสมมุติฐานที่จะทดลองให้มีความรัดกุม เป็นที่เข้าใจตรงกันและสามารถสังเกตและวัดได้ เช่น
“ การเจริญเติบโต ” หมายความว่าอย่างไร ต้องกำหนดนิยามให้ชัดเจน เช่น การเจริญเติบโดหมายถึง มีความสูงเพิ่มข้ึน
เปน็ ต้น
13.ทักษะการทดลอง (Experimenting) หมายถึง กระบวนการปฏบิ ัติการโดยใช้ทกั ษะต่างๆ เช่น การสังเกต การ
วดั การพยากรณ์ การตัง้ สมมตุ ฐิ าน ฯลฯ มาใชร้ ่วมกันเพื่อหาคำตอบ หรอื ทดลองสมมตุ ิฐานทต่ี ั้งไว้ ซึง่ ประกอบดว้ ยกจิ กรรม
3 ขัน้ ตอน
1. การออกแบบการทดลอง
2. การปฏิบตั ิการทดลอง
3. การบันทึกผลการทดลอง
การใช้กระบวนการวิทยาศาสตร์ แสวงหาความรู้ หรอื แก้ปัญหาอยา่ งส่ำเสมอ ช่วยพฒั นาความคิดสรา้ งสรรค์ทาง
วิทยาศาสตร์ เกิดผลผลติ หรือผลติ ภณั ฑท์ างวทิ ยาศาสตร์ เกดิ ผลผลิตหรือผลิตภณั ฑท์ างวิทยาศาสตร์ ที่แปลกใหม่ และมี
คณุ ค่าต่อการดำรงชีวิตของมนษุ ย์มากข้ึน
คุณลักษณะของบคุ คลทม่ี ีจิตวทิ ยาศาสตร์ 6 ลักษณะ
1.เปน็ คนท่ีมเี หตผุ ล
1) จะตอ้ งเปน็ คนทยี่ อมรบั และเชอื่ ในความสำคัญของเหตผุ ล
2)ไมเ่ ชอ่ื โชคลาง คำทำนาย หรอื สงิ่ ศกั ดสิ์ ิทธติ์ า่ ง ๆ
3)คน้ หาสาเหตขุ องปญั หาหรอื เหตกุ ารณแ์ ละหาความสมั พนั ธข์ องสาเหตกุ บั ผลทเ่ี กดิ ขน้ึ
4) ตอ้ งเปน็ บคุ คลทส่ี นใจปรากฏการณต์ า่ ง ๆ ทเ่ี กดิ ขน้ึ และจะตอ้ งเปน็ บคุ คลทพ่ี ยายามคน้ หาคำตอบวา่
ปรากฏการณต์ า่ ง ๆ นน้ั เกดิ ขน้ึ ไดอ้ ยา่ งไร และทำไมจงึ เกดิ เหตกุ ารณเ์ ชน่ นน้ั
2.เปน็ คนทีม่ คี วามอยากรอู้ ยากเหน็
1) มคี วามพยายามทจ่ี ะเสาะแสวงหาความรูใ้ นสถานการณใ์ หม่ ๆ อยเู่ สมอ
37
2) ตระหนกั ถงึ ความสำคัญของการแสวงหาขอ้ มลู เพม่ิ เตมิ เสมอ
3) จะตอ้ งเปน็ บคุ คลทช่ี อบซกั ถาม คน้ หาความรโู้ ดยวธิ กี ารตา่ ง ๆ อยเู่ สมอ
3.เปน็ บคุ คลทมี่ ีใจกวา้ ง
1) เปน็ บคุ คลทก่ี ลา้ ยอมรบั การวพิ ากษว์ จิ ารณจ์ ากบคุ คลอนื่
2) เปน็ บคุ คลทจ่ี ะรบั รแู้ ละยอมรบั ความคดิ เหน็ ใหม่ ๆ อยู่เสมอ
3) เปน็ บุคคลทเ่ี ตม็ ใจทจ่ี ะเผยแพรค่ วามรแู้ ละความคดิ ใหแ้ กบ่ คุ คลอน่ื
4) ตระหนกั และยอมรบั ขอ้ จำกดั ของความรู้ท่ีคน้ พบในปจั จบุ นั
4.เปน็ บคุ คลทมี่ คี วามซอื่ สตั ย์ และมใี จเปน็ กลาง
1) เปน็ บคุ คลที่มคี วามซอ่ื ตรง อดทน ยตุ ธิ รรม และละเอยี ดรอบคอบ
2) เปน็ บคุ คลท่มี คี วามมั่นคง หนักแนน่ ตอ่ ผลทไี่ ดจ้ ากการพสิ จู น์
3) สงั เกตและบนั ทกึ ผลตา่ ง ๆ อยา่ งตรงไปตรงมา ไมล่ ำเอยี ง และมอี คติ
5.มคี วามเพยี รพยายาม
1) ทำกจิ กรรมทไี่ ดร้ บั มอบหมายใหเ้ สรจ็ สมบรู ณ์
2)ไม่ทอ้ ถอยเมอ่ื ผลการทดลองลม้ เหลว หรอื มอี ปุ สรรค
3) มีความตง้ั ใจแนว่ แนต่ อ่ การคน้ หาความรู้
6. มคี วามละเอยี ดรอบคอบ
1)รจู้ ักใชว้ จิ ารณญาณกอ่ นทจี่ ะตดั สนิ ใจใด ๆ
2)ไมย่ อมรบั สง่ิ หนงึ่ สง่ิ ใดจนกวา่ จะมกี ารพสิ จู นท์ เี่ ชอ่ื ถอื ได้
3)หลกี เลย่ี งการตดั สนิ ใจ และการสรปุ ผลทยี่ งั ไม่มกี ารวเิ คราะหแ์ ลว้ เปน็ อยา่ งดี
เรอ่ื ง กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์
การดำเนนิ การเรื่องใดเร่อื งหนงึ่ จะตอ้ งมีการกำหนดขน้ั ตอน อยา่ งเปน็ ลำดบั ต้ังแตต่ ้นจนแลว้ เสร็จตามจดุ ประสงค์
ที่กำหนด
กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ จงึ เป็นแนวทางการดำเนินการโดยใชท้ ักษะวิทยาศาสตร์ใช้ในการจดั การ
ซ่ึงมีลำดับขั้นตอน 5 ขัน้ ตอน ดงั น้ี
1. การกำหนดปญั หา
2. การต้งั สมมติฐาน
38
3. การทดลองและรวบรวมข้อมูล
4. การวิเคราะห์ข้อมลู
5. การสรุปผล
ขน้ั ตอนที่ 1 การกำหนดปญั หา เปน็ การกำหนดหัวเรือ่ งที่จะศึกษาหรอื ปฏบิ ัติการแกป้ ัญหาเปน็
ปญั หาท่ไี ด้มาจากการสังเกต จากข้อสงสัยในปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่พบเหน็ เชน่ ทำไมต้นไมท้ ีป่ ลูกไวใ้ บเหย่ี วเฉา ปญั หามี
หนอนมาเจาะกิง่ มะมว่ งแก้ไขไดอ้ ย่างไร ปลากดั ขยายพันธ์ุไดอ้ ย่างไร
ตวั อย่างการกำหนดปัญหา
ปา่ ไม้หลายแห่งถูกทำลายอยู่ในสภาพทไี่ มส่ มดลุ หน้าดินเกิดการพังทลาย ไม่มีตน้ ไม้ หรอื วชั พชื หญา้ ปก
คลมุ ดิน เม่อื ฝนตกลงมานำ้ ฝนจะกดั เซาะหนา้ ดินไปกับกระแสน้ำแต่บริเวณพ้ืนที่มีวชั พืชและหญา้ ปกคลมุ ดนิ จะช่วยดูดซับ
น้ำฝนและลดอัตราการไหลของน้ำ ดงั น้นั ผ้ดู ำเนนิ การจึงสนใจอยากทราบว่า อตั ราการไหลของน้ำจะขน้ึ อยู่กบั ส่ิงที่ช่วยดูด
ซบั น้ำหรือไม่ โดยทดลองใช้แผ่นใยขัดเพ่ือทดสอบอัตราการไหลของน้ำ จึงจัดทำโครงงาน การทดลอง การลดอัตราไหล
ของนำ้ โดยใชแ้ ผน่ ใยขดั
ขน้ั ตอนที่ 2 การต้งั สมมตฐิ านและการกำหนดตัวแปรเป็นการคาดคะเนคำตอบของปัญหาใดปัญหาหนงึ่ อย่างมี
เหตุผล โดยอาศัยขอ้ มูลจากการสังเกต การศกึ ษาจากเอกสารท่เี กี่ยวข้อง การพบผู้รใู้ นเร่อื งนัน้ ๆ ฯลฯ และกำหนดตัว
แปรทเ่ี กี่ยวข้องกับการทดลอง ไดแ้ ก่ ตวั แปรตน้ ตวั แปรตาม ตวั แปรควบคมุ
สมมตฐิ าน ตัวอย่าง
แผ่นใยขดช่วยลดอัตราการไหลของนำ้ (ทำให้นำ้ ไหลชา้ ลง)
ตวั แปร
ตวั แปรตน้ คือ แผ่นใยขดั
ตัวแปรตาม คอื ปรมิ าณน้ำที่ไหล
ตวั แปรควบคุม คอื ปริมาณน้ำท่ีเทหรอื รด
ข้นั ตอนที่ 3 การทดลองและรวบรวมขอ้ มลู เป็นการปฏบิ ัติการทดลองค้นหาความจริงให้สอดคล้องกับสมมตฐิ าน
ทตี่ ัง้ ไวใ้ นข้ันตอนการตง้ั สมมติฐาน (ข้ันตอนท่ี 2 ) และรวบรวมข้อมลู จากการทดลองหรือปฏบิ ตั กิ ารน้นั อยา่ งเป็นระบบ
ตัวอย่าง
การออกแบบการทดลอง
วัสดอุ ปุ กรณ์จัดเตรยี มวสั ดุอปุ กรณ์ โดยจดั เตรียม กระบะ จำนวน 2 กระบะ
- ทรายสำหรบั ใส่กระบะทงั้ 2 ใหม้ ีปริมาณเทา่ ๆ กนั
- กิง่ ไม้จำลอง สำหรับปกั ในกระบะท้ัง 2 จำนวนเทา่ ๆ กัน
- แผ่นใยขดั สำหรบั ปบู นพน้ื ทรายกระบะใดกระบะหน่ึง
- นำ้ สำหรับเทลงในกระบะทั้ง 2 กระบะปริมาณเท่า ๆ กัน
ข้ันตอนท่ี 4 การวิเคราะห์ข้อมูลและทดสอบสมมติฐานเป็นการนำข้อมูลที่รวบรวมได้จากขั้นตอนการทดลองและรวบรวม
ข้อมูล (ข้ันตอนที่ 3 ) มาวิเคราะห์หาความสัมพันธ์ของข้อเท็จจริงต่าง ๆ เพือ่ นำมาอธบิ ายและตรวจสอบกับสมมตฐิ านท่ีต้ัง
ไว้ในขั้นตอนการต้ังสมมติฐาน (ข้ันตอนที่ 2) ถ้าผลการวิเคราะห์ไม่สอดคล้องกับสมมติฐาน สรุปได้ว่าสมมติฐานน้ันไม่
ถกู ตอ้ ง ถา้ ผลวิเคราะห์สอดคลอ้ งกับสมมติฐาน ตรวจสอบหลายคร้งั ได้ผลเหมอื นเดิมก็สรุปได้วา่ สมมติฐานและการทดลอง
น้ันเป็นจรงิ สามารถนำไปอา้ งองิ หรอื เปน็ ทฤษฎตี ่อไปนี้
39
ตัวอย่าง
-วิธกี ารทดลอง นำทรายใส่กระบะท้ัง 2 ใหม้ ปี รมิ าณเทา่ ๆ กัน ทำเป็นพน้ื ลาดเอียง
กระบะที่ 1 วางแผน่ ใยขัดในกระบะทรายแล้วปักกิ่งไม้จำลอง
กระบะที่ 2 ปกั กง่ิ ไมจ้ ำลองโดยไมม่ ีแผ่นใยขัด
ทดลองเทน้ำจากฝกั บวั ท่ีมปี ริมาณนำ้ เท่า ๆ กนั พร้อม ๆ กัน ทง้ั 2 กระบะ การทดลองควรทดลอง
มากกวา่ 1 ครัง้ เพื่อให้ไดผ้ ลการทดลองทีม่ ีความนา่ เชอ่ื ถอื
-ผลการทดลอง
กระบะท่ี 1 (มีแผ่นใยขัด) น้ำ ท่ีไหลลงมาในกระบะ จะไหลอย่างช้า ๆ เหลือปริมาณน้อย พื้นทรายไม่พัง กิ่งไม้
จำลองไมล่ ้ม
กระบะท่ี 2 (ไมม่ ีแผ่นใยขดั ) นำ้ ท่ไี หลลงสู่พ้ืนกระบะจะไหลอย่างรวดเร็ว พร้อมพัดพาเอากิ่งไมจ้ ำลองมาดว้ ย พ้ืน
ทรายพงั ทลายจำนวนมาก
ขน้ั ตอนท่ี 5 การสรุปผล เป็นการสรุปผลการศึกษา การทดลอง หรือการปฏิบัติการน้ัน ๆ โดยอาศัยข้อมูลและ
การวเิ คราะหข์ ้อมูลจากขัน้ ตอนการวิเคราะห์ข้อมลู (ขนั้ ตอนที่ 4 ) เปน็ หลกั
สรุปผลการทดลอง
จากการทดลองสรุปได้ว่าแผ่นใยขัดมีผลต่อการไหลของน้ำ ทำให้น้ำไหลได้อย่างช้าลง รวมทั้งช่วยให้ก่ิง
ไม้จำลองยึดตดิ กับทรายในกระบะได้ ซ่ึงต่างจากกระบะท่ีมีแผ่นใยขัดท่ีน้ำไหลอย่างรวดเร็ว ละพัดเอาก่ิงไม้และทรายลงไป
ดว้ ย
เม่ือดำเนินการเสร็จส้ิน 5 ข้ันตอนน้ีแล้ว ผู้ดำเนินการต้องจัดทำเป็นเอกสารรายงานการศึกษา การทดลองหรือ
การปฏิบตั กิ ารนน้ั เพ่อื เผยแพร่ต่อไป
เทคโนโลยี
เทคโนโลย(ี Technology) หมายถึง ความรู้ วิชาการรวมกับความรู้วิธีการและความชำนาญที่สามารถนำไปปฏิบตั ิ
ให้เกิดประโยชน์สูงสุด สนองความต้องการของมนุษย์เป็นส่ิงท่ีมนุษย์พัฒนาขน้ึ เพ่ือช่วยในการทำงานหรอื แก้ปัญหาต่าง ๆ
เช่น อุปกรณ์, เคร่ืองมือ, เคร่ืองจักร, วัสดุ หรือ แมก้ ระท่ังที่ไม่ไดเ้ ป็นส่ิงของท่ีจับต้องได้ เช่น ระบบหรือกระบวนการต่าง ๆ
เทคโนโลยี มคี วามสัมพนั ธ์กบั การดำรงชีวิตของมนุษย์มาเป็นเวลานาน เป็นสิง่ ที่มนษุ ยใ์ ชแ้ ก้ปัญหาพ้นื ฐาน ในการดำรงชวี ิต
เช่น การเพาะปลูก ที่อยู่อาศัย เคร่ืองนุ่งห่ม ยารักษาโรค ในระยะแรกเทคโนโลยีที่นำมาใช้ เป็น เทคโนโลยีพ้ืนฐานไม่
สลับซับซ้อนเหมือนดังปัจจุบัน การเพ่ิมของประชากร และข้อจำกัดด้านทรัพยากรธรรมชาติ รวมทั้งมีการพัฒนา
ความสัมพันธก์ บั ตา่ งประเทศเปน็ ปัจจยั ด้านเหตุสำคญั ในการนำและพัฒนาเทคโนโลยมี าใช้มากขนึ้
เทคโนโลยใี นการประกอบอาชพี
เทคโนโลยีกับการพัฒนาอุตสาหกรรม การนำเทคโนโลยีมาใช้ในการผลิต ทำให้ประสิทธิภาพในการผลิตเพ่ิมข้ึน
ประหยัดแรงงาน ลดต้นทุนและ รักษาสภาพแวดล้อม เทคโนโลยีท่ีมีบทบาทในการพัฒนาอุตสาหกรรมในประเทศไทย เช่น
คอมพิวเตอร์ และอิเล็กทรอนิกส์ การสื่อสาร เทคโนโลยีชีวภาพและพันธุกรรม วิศวกรรม เทคโนโลยีเลเซอร์ การส่ือสาร
การแพทย์ เทคโนโลยพี ลังงาน เทคโนโลยีวสั ดศุ าสตร์ เชน่ พลาสติก แก้ว วัสดุกอ่ สร้าง โลหะ
1. เทคโนโลยีกับการพัฒนาด้านการเกษตร ใช้เทคโนโลยีในการเพ่ิมผลผลิต ปรับปรุงพันธ์ุพืชและสัตว์ เป็นต้ น
เทคโนโลยีมีบทบาทในการพัฒนาอย่างมาก แต่ท้ังนี้การนำเทคโนโลยีมาใช้ในการพัฒนาจะต้องศึกษาปัจจัย
แวดล้อมหลายด้าน เช่น ทรัพยากรส่ิงแวดล้อม ความเสมอภาคในโอกาสและการแข่งขันทางเศรษฐกิจและสังคม
เพอื่ ใหเ้ กดิ ความ ผสมกลมกลนื ตอ่ การพฒั นาประเทศชาตแิ ละส่วนอืน่ ๆอกี มาก
เทคโนโลยที ีใ่ ชใ้ นชวี ติ ประจำวนั
40
การนำเทคโนโลยีมาใช้ในชวี ิตประจำวนั ของมนุษย์มีมากมายเนอ่ื งจากการได้รับการพฒั นาทางด้านเทคโนโลยีกนั
อยา่ งกวา้ งขวาง เช่น การส่งจดหมายผา่ นทางอนิ เตอรเ์ นต็ การหาความรู้ผ่านอินเตอรเ์ นต็ การพดู คุยและแลกเปลี่ยน
ความคดิ เห็นกัน การอา่ นหนังสือผ่านอินเตอร์เน็ต ลว้ นแตเ่ ปน็ เทคโนโลยีท่ีมีกาวหน้างอย่างรวดเร็ว เปน็ การประหยัดเวลา
ในและสามารถหาความรตู้ ่าง ๆ ไดร้ วดเร็วยง่ิ ขน้ึ
ใบความรทู้ ่ี 2
โครงงาน
เรอื่ ง ประเภทของโครงงานวทิ ยาศาสตร์
โครงงานวิทยาศาสตร์เป็นกิจกรรมเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ต้องใช้กระบวนการทาง
วิทยาศาสตร์ในการศึกษาคน้ คว้า โดยผู้เรียนจะเป็นผดู้ ำเนินการดว้ ยตนเองท้ังหมด ต้งั แต่เร่ิมวางแผนในการศกึ ษาค้นคว้า
การเก็บรวบรวมข้อมูล จนถงึ เรือ่ งการแปลผล สรปุ ผล และเสนอผลการศึกษา โดยมผี ชู้ ำนาญการเป็นผู้ใหค้ ำปรึกษา
ลักษณะและประเภทของโครงงานวิทยาศาสตร์ จำแนกได้เป็น 4 ประเภท ดงั นี้
1. โครงงานประเภทสำรวจ เป็นโครงงานที่มีลักษณะเป็นการศึกษาเชิงสำรวจ รวบรวมข้อมูลแล้วนำข้อมูล
เหล่าน้ันมาจัดกระทำและนำเสนอในรูปแบบต่าง ๆ ดังน้ันลักษณะสำคัญของโครงงานประเภทน้ีคือ ไม่มีการ
จดั ทำหรอื กำหนดตัวแปรอสิ ระที่ตอ้ งการศกึ ษา
2. โครงงานประเภททดลอง เปน็ โครงงานที่มีลักษณะกิจกรรมทีเ่ ป็นการศกึ ษาหาคำตอบของปญั หาใดปัญหาหนึ่ง
ดว้ ยวิธีการทดลอง ลกั ษณะสำคญั ของโครงงานนคี้ อื ต้องมีการออกแบบการทดลองและดำเนินการทดลองเพ่ือ
หาคำตอบของปัญหาท่ีต้องการทราบหรือเพื่อตรวจสอบสมมติฐานที่ตั้งไว้ โดยมีการจัดกระทำกับตัวแปรต้น
หรอื ตวั แปรอสิ ระ เพ่ือดูผลท่เี กดิ ขน้ึ กับตัวแปรตาม และมกี ารควบคุมตวั แปรอนื่ ๆ ที่ไม่ตอ้ งการศึกษา
3. โครงงานประเภทการพัฒนาหรือประดิษฐ์ เป็นโครงงานที่มีลักษณะกิจกรรมท่ีเป็นการศึกษาเกี่ยวกับการ
ประยุกต์ ทฤษฎี หรือหลักการทางวิทยาศาสตร์ เพือ่ ประดิษฐเ์ ครือ่ งมือ เครื่องใช้ หรอื อุปกรณ์เพื่อประโยชน์ใช้
สอยต่าง ๆ ซ่ึงอาจเป็นการประดิษฐ์ของใหม่ ๆ หรอื ปรับปรงุ ของเดมิ ท่ีมีอยู่ให้มีประสิทธิภาพสูงขึน้ ซ่ึงจะรวม
ไปถึงการสร้างแบบจำลองเพ่ืออธบิ ายแนวคิด
41
4. โครงงานประเภทการสร้างทฤษฎีหรืออธิบาย เป็นโครงงานท่ีมีลักษณะกิจกรรมท่ีผู้ทำจะต้องเสนอแนวคิด
หลักการ หรือทฤษฎีใหม่ ๆ อย่างมีหลักการทางวิทยาศาสตร์ในรูปของสูตรสมการหรือคำอธิบายอาจเป็น
แนวคิดใหม่ท่ียังไม่เคยนำเสนอ หรืออาจเป็นการอธิบายปรากฏการณ์ในแนวใหม่ก็ได้ ลักษณะสำคัญของ
โครงงานประเภทน้ี คือ ผู้ทำจะต้องมีพื้นฐานความรู้ทางวิทยาศาสตร์เป็นอย่างดี ต้องค้นคว้าศึกษาเร่ืองราวที่
เก่ียวข้องอยา่ งลกึ ซึง้ จึงจะสามารถสร้างคำอธบิ ายหรือทฤษฎีได้
เรอ่ื งขน้ั ตอนการทำโครงงานวทิ ยาศาสตร์
การทำกจิ กรรมโครงงานเปน็ การทำกจิ กรรมทเ่ี กิดจากคำถามหรือความอยากรอู้ ยากเห็นเกยี่ วกับเร่ืองต่าง ๆ ดังนน้ั
การทำโครงงานจึงมีขนั้ ตอนดังน้ี
1.ขน้ั สำรวจหรอื ตดั สนิ ใจเลอื กเรอ่ื งทจี่ ะทำ
การตัดสินใจเลือกเรื่องทีจ่ ะทำโครงงานควรพิจารณาถงึ ความพร้อมในด้านต่าง ๆ เช่นแหล่งความรเู้ พยี งพอท่จี ะ
ศึกษาหรือขอคำปรึกษา มีความรแู้ ละทักษะในการใชเ้ ครื่องมอื อปุ กรณ์ต่างๆ ที่ใช้ในการศึกษา มผี ทู้ รงคุณวุฒริ ับเปน็ ที่
ปรึกษา มเี วลา และงบประมาณเพียงพอ
2.ขน้ั ศกึ ษาข้อมูลทเี่ ก่ยี วขอ้ งกบั เร่อื งท่ตี ัดสนิ ใจทำ
การศึกษาข้อมูลท่ีเก่ียวข้องกับเร่ืองที่ตัดสินใจทำ จะช่วยให้ผู้เรียนได้แนวคิดที่จะกำหนดขอบข่ายเร่ืองที่จะศึกษา
ค้นคว้าให้เฉพาะเจาะจงมากขึ้นและยังได้ความรู้ เร่ืองที่จะศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมจนสามารถออกแบบการศึกษา ทดลอง
และวางแผนดำเนินการทำโครงงานวทิ ยาศาสตรอ์ ยา่ งเหมาะสม
3.ข้ันวางแผนดำเนนิ การ
การทำโครงงานวทิ ยาศาสตรไ์ ม่วา่ เรื่องใดจะตอ้ งมีการวางแผนอยา่ งละเอียด รอบคอบ และมกี ารกำหนดขั้นตอนใน
การดำเนินงานอย่างรัดกุม ท้ังน้ีเพื่อให้การดำเนินงานบรรลุจดุ มุ่งหมายหรือเป้าหมายท่ีกำหนดไว้ ประเด็นที่ต้องรว่ มกันคิด
วางแผนในการทำโครงงานมีดังน้ี คือ ปัญหา สาเหตุของปัญหา แนวทาง และวิธีการแก้ปัญหาที่สามารถปฏิบัติได้ การ
ออกแบบการศึกษาทดลองโดยกำหนดและควบคุมตวั แปร วสั ดุอุปกรณแ์ ละสารเคมี เวลา และสถานที่จะปฏิบตั ิงาน
4.ข้นั เขยี นเค้าโครงของโครงงานวทิ ยาศาสตร์
การเขยี นเคา้ โครงของโครงงานวิทยาศาสตรม์ รี ายละเอยี ดดงั นี้
4.1ชื่อโครงงาน เปน็ ขอ้ ความสัน้ ๆ กะทดั รดั ชัดเจน ส่ือความหมายตรง และมคี วามเฉพาะเจาะจงวา่ จะศึกษาเรื่อง
ใด
4.2ชอ่ื ผทู้ ำโครงงาน เป็นผรู้ บั ผดิ ชอบโครงงาน ซ่งึ อาจเป็นรายบุคคลหรอื กลุ่มกไ็ ด้
4.3 ช่อื ทีป่ รึกษาโครงงาน ซึง่ เปน็ อาจารยห์ รอื ผทู้ รงคณุ วุฒกิ ็ได้
4.4 ที่มาและความสำคัญของโครงงาน เป็นการอธิบายเหตุผลที่เลือกทำโครงงานนี้ ความสำคัญของโครงงาน
แนวคดิ หลักการ หรือทฤษฎที ี่เกี่ยวกับโครงงาน
4.5 วัตถุประสงค์โครงงาน เป็นการบอกจุดมุ่งหมายของงานที่จะทำ ซ่ึงควรมีความเฉพาะเจาะจงและเป็นสิ่งที่
สามารถวัดและประเมนิ ผลได้
4.6 สมมติฐานของโครงงาน(ถา้ มี)สมมตฐิ านเปน็ คำอธิบายที่คาดไวล้ ่วงหนา้ ซ่ึงจะผิดหรือถูกก็ได้ สมมตฐิ านที่ดคี วร
มเี หตุผลรองรับ และสามารถทดสอบได้
4.7 วัสดุอุปกรณ์และสิ่งที่ต้องใช้ เป็นการระบุวัสดุอุปกรณ์ที่จำเป็นใช้ในการดำเนินงานว่ามีอะไรบ้าง ได้มาจาก
ไหน
4.8 วธิ ีดำเนินการ เป็นการอธบิ ายขนั้ ตอนการดำเนินงานอย่างละเอยี ดทุกข้นั ตอน
4.9 แผนปฏิบัตกิ าร เป็นการกำหนดเวลาเร่มิ ต้นและเวลาเสร็จงานในแตล่ ะขั้นตอน
4.10 ผลที่คาดว่าจะได้รับ เป็นการคาดการณ์ผลท่ีจะได้รับจากการดำเนินงานไว้ล่วงหน้า ซ่ึงอาจได้ผลตามที่
คาดไวห้ รือไมก่ ็ได้
4.11 เอกสารอา้ งองิ เป็นการบอกแหลง่ ข้อมลู หรือเอกสารที่ใชใ้ นการศึกษาคน้ ควา้
42
5.ขน้ั ลงมอื ปฏบิ ตั ิ
การลงมือปฏบิ ตั ิเปน็ ขนั้ ตอนท่ีสำคัญตอนหน่งึ ในการทำโครงงานเน่อื งจากเปน็ การลงมือปฏิบตั ิจริงตามแผนท่ีได้
กำหนดไวใ้ นเค้าโครงของโครงงาน อย่างไรกต็ ามการทำโครงงานาจะสำเรจ็ ไดด้ ว้ ยดี ผเู้ รียนจะตอ้ งคำนงึ ถึงเร่ืองความพร้อม
ของวสั ดุอุปกรณ์ และส่ิงอนื่ ๆ เช่นสมุดบันทกึ กจิ กรรมประจำวัน ความละเอียดรอบคอบและความเปน็ ระเบียบในการ
ปฏิบตั งิ าน ความประหยัดและความปลอดภัยในการปฏบิ ัติงาน ความนา่ เช่ือถอื ของข้อมูลท่ไี ด้จากการปฏิบัตงิ าน การ
เรยี งลำดับก่อนหลงั ของงานส่วนยอ่ ย ๆ ซ่ึงต้องทำแตล่ ะส่วนใหเ้ สร็จกอ่ นทำสว่ นอื่นต่อไปในข้ันลงมือปฏิบัตจิ ะต้องมีการ
บนั ทึกผล การประเมินผล การวิเคราะห์ และสรุปผลการปฏิบตั ิ
6.ขน้ั เขยี นรายงานโครงงาน
การเขยี นรายงานการดำเนินงานของโครงงาน ผเู้ รียนจะต้องเขียนรายงานใหช้ ดั เจน ใช้ศัพทเ์ ทคนคิ ท่ีถูกต้อง ใช้
ภาษากะทัดรดั ชัดเจน เข้าใจงา่ ย และต้องครอบคลมุ ประเด็นสำคัญ ๆ ทง้ั หมดของโครงงานได้แก่ ชอื่ โครงงาน ชื่อผู้ทำ
โครงงาน ชือ่ ที่ปรึกษา บทคัดยอ่ ท่มี าและความสำคญั ของโครงงาน จุดหมาย สมมติฐาน วธิ ีดำเนนิ งาน ผลการศกึ ษา
ค้นคว้า ผลสรปุ ของโครงงาน ข้อเสนอแนะ คำขอบคุณบุคลากรหรือหนว่ ยงานและเอกสารอ้างอิง
7.ขน้ั เสนอผลงานและจดั แสดงผลงานโครงงาน
หลงั จากทำโครงงานวิทยาศาสตร์เสรจ็ แล้วจะต้องนำผลงานทีไ่ ด้มาเสนอและจัดแสดง ซึ่งอาจทำได้หลายรปู แบบ เชน่ การ
จัดนิทรรศการ การประชุมทางวชิ าการ เปน็ ต้น ในการเสนอผลงานและจดั แสดงผลงานโครงงานวทิ ยาศาสตร์ ควรนำเสนอ
ให้ครอบคลมุ ประเดน็ สำคญั ๆ ทั้งหมดของโครงงาน
การทำแผงสำหรบั แสดงโครงงานใหใ้ ชไ้ มอ้ ัดมีขนาดดงั รปู
60 ซม.
60 ซม.
120 ซม.
ตดิ บานพับมหี ว่ งรบั และขอสบั ทำมมุ ฉากกบั ตวั แผงกลาง
ขน้ั ตอนการเขียนโครงงานวทิ ยาศาสตร์
1) ชอ่ื โครงงาน.....................................................................................................................
2) ผู้ทำโครงงาน...................................................................................................................
3) ชอื่ อาจารย์ทีป่ รึกษา..........................................................................................................
4) คำนำ
5) สารบญั
43
6) บทท่ี 1 บทนำ
- ทมี่ าและความสำคัญ
- วตั ถปุ ระสงค์
- ตัวแปรท่ีศกึ ษา
- สมมตฐิ าน
- ประโยชน์ท่ีคาดว่าจะได้รับ
7) บทท่ี 2 เอกสารท่ีเกีย่ วขอ้ งกับการทำโครงงาน
8) บทท่ี 3 วธิ ีการศึกษา/ทดลอง
- วัสดุอปุ กรณ์
- งบประมาณ
- ขัน้ ตอนการดำเนนิ งาน
- แผนปฏิบัติงาน
-
9) บทท่ี 4 ผลการศึกษา/ทดลอง
- การทดลองได้ผลอย่างไรบ้าง
10)บทท่ี 5 สรุปผลและขอ้ เสนอแนะ
- ข้อสรุปผลการทดลอง
- ขอ้ เสนอแนะ
11)เอกสารอ้างอิง
เรอ่ื ง การนำเสนอโครงงานวทิ ยาศาสตร์
การแสดงผลงานจดั ได้วา่ เปน็ ขั้นตอนสำคัญอีกประการหนึง่ ของการทำโครงงานเรียกได้ว่าเปน็ งานขน้ั สดุ ท้ายของ
การทำโครงงานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นการแสดงผลิตผลของความคิด และการปฏบิ ัติการท้งั หมดท่ผี ูท้ ำโครงงาน
ได้ทุม่ เทเวลาไป และเป็นวิธกี ารท่ีจะทำใหผ้ อู้ ืน่ รบั รแู้ ละเข้าใจถงึ ผลงานนั้น ๆ มผี กู้ ล่าวว่าการวางแผนออกแบบเพื่อจดั แสดง
ผลงานนน้ั มีความสำคญั เท่า ๆ กับการทำโครงงานน้ันเอง ผลงานที่ทำจะดียอดเยยี่ มเพยี งใด แตถ่ ้าการจัดแสดงผลงานทำ
ไดไ้ มด่ ี ก็เทา่ กับไมไ่ ด้แสดงความดยี อดเยี่ยมของผลงานนน้ั นนั่ เอง
การแสดงผลงานนน้ั อาจทำได้ในรปู แบบต่าง ๆ กนั เช่น การแสดงในรูปนทิ รรศการ ซึ่งมีทง้ั การาจัดแสดงและการ
อธิบายด้วยคำพูด หรอื ในรปู แบบของการจดั แสดงโดยไม่มีการอธบิ ายประกอบหรอื ในรูปของการรายงานปากเปลา่ ไมว่ า่
การแสดงผลงานจะอยู่ในรูปแบบใด ควรจะจดั ให้ครอบคลุมประเด็นสำคัญดังต่อไปน้ี
1. ชอ่ื โครงงาน ชอ่ื ผูท้ ำโครงงาน ชอ่ื ทป่ี รึกษา
2. คำอธบิ ายถงึ เหตจุ งู ใจในการทำโครงงาน และความสำคญั ของโครงงาน
3. วธิ ีการดำเนินการ โดยเลอื กเฉพาะข้นั ตอนทเี่ ดน่ และสำคญั
4. การสาธิตหรอื แสดงผลที่ได้จากการทดลอง
5. ผลการสงั เกตและข้อมูลเด่น ๆ ทไี่ ดจ้ ากการทำโครงงาน
ในการจดั นิทรรศการโครงงานนัน้ ควรได้คำนึงถึงสง่ิ ต่าง ๆ ตอ่ ไปนี้
- ความปลอดภยั ของการจดั แสดง
44
- ความเหมาะสมกบั เน้อื ทจี่ ัดแสดง
- คำอธิบายท่ีเขียนแสดงควรเน้นประเด็นสำคัญ และส่ิงที่น่าสนใจเท่าน้ัน โดยใช้ข้อความกะทัดรัด
ชัดเจน และเขา้ ใจง่าย
- ดึงดูดความสนใจผู้เข้าชม โดยใช้รูปแบบการแสดงท่ีน่าสนใจ ใช้สีท่ีสดใส เน้นจุดที่สำคัญหรือใช้
วสั ดตุ ่างประเภทในการจดั แสดง
- ใช้ตารางและรูปภาพประกอบ โดยจดั วางอย่างเหมาะสม
- ส่งิ ทแี่ สดงทกุ อยา่ งตอ้ งถูกต้อง ไม่มกี ารสะกดผดิ หรืออธิบายหลักการท่ีผิด
- ในกรณีทเี่ ปน็ สิง่ ประดษิ ฐ์ สิง่ นัน้ ควรอยู่ในสภาพทีท่ ำงานได้อย่างสมบรู ณ์
ในการแสดงผลงาน ถ้าผู้นำผลงานมาแสดงจะต้องอธิบายหรอื รายงานปากเปล่าหรอื คำถามตา่ ง ๆ จากผู้ชมหรือต่อ
กรรมการตัดสินโครงงาน การอธบิ ายตอบคำถาม หรือรายงานปากเปล่านั้น ควรได้คำนงึ ถึงส่ิงตา่ ง ๆ ตอ่ ไปน้ี
1. ต้องทำความเข้าใจกบั สง่ิ ทอี่ ธบิ ายเป็นอย่างดี
2. คำนึงถึงความเหมาะสมของภาษาทใี่ ชก้ บั ระดบั ผู้ฟัง ควรใหช้ ดั เจนและเขา้ ใจงา่ ย
3. ควรรายงานอย่างตรงไปตรงมา ไม่อ้อมคอ้ ม
4. พยายามหลีกเล่ียงการอ่านรายงาน แต่อาจจดหัวข้อสำคัญ ๆ ไว้เพื่อช่วยให้การรายงานเป็นไปตาม
ขนั้ ตอน
5. อย่าท่องจำรายงานเพราะทำให้ดไู ม่เปน็ ธรรมชาติ
6. ขณะที่รายงานควรมองตรงไปยังผู้ฟัง
7. เตรียมตวั ตอบคำถามทเี่ กยี่ วกับเร่ืองน้นั ๆ
8. ตอบคำถามอยา่ งตรงไปตรงมา ไมจ่ ำเปน็ ตอ้ งกล่าวถงึ ส่ิงที่ไม่ไดถ้ าม
9. หากตดิ ขดั ในการอธิบาย ควรยอมรับโดยดี อย่ากลบเกล่อื น หรอื หาทางหลกี เลี่ยงเปน็ อย่างอ่ืน
10.ควรรายงานใหเ้ สรจ็ ภายในระยะเวลาทกี่ ำหนด
11.หากเป็นไปได้ควรใชส้ อ่ื ประเภทโสตทศั นูปกรณ์ ประกอบการรายงานด้วย เชน่ แผน่ ใส หรือสไลด์ เป็น
ตน้
ข้อควรพจิ ารณาและคำนึงถึงประเด็นต่าง ๆ ท่ีกล่าวมาในการแสดงผลงานนน้ั จะคล้ายคลึงกันในการแสดงผลงาน
ทกุ ประเภท แต่อาจแตกต่างกันในรายละเอยี ดปลีกย่อยเพียงเล็กน้อย สงิ่ สำคัญก็คือ พยายามใหก้ ารแสดงผลงานนัน้ ดึงดดู
ความสนใจผู้ชม มคี วามชัดเจน เขา้ ใจงา่ ย และมีความถกู ต้องในเน้ือหา
45
แบบทดสอบกอ่ นเรยี น (Pre-test)
รายวชิ า พว 11001 วทิ ยาศาสตร์
ระดับประถมศึกษา
เนอ้ื หาการเรยี นรู้ เร่อื ง กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ และเทคโนโลยี โครงงานวทิ ยาศาสตร์
คำชี้แจง : จงเลือกคำตอบที่ถูกต้องท่ีสุดเพียงข้อเดียว
1. วิทยาศาสตร์ หมายถึงอะไร
ก. ความรู้ที่แสดงหรือพิสูจนไ์ ด้ว่าถูกต้องเป็นความจริง
ข. ความรู้ที่ได้จากการสังเกตและค้นคว้าจนได้เป็นหลักฐานและเหตุผล
ค. ความรู้ที่ได้จากการศึกษาปรากฏการณ์ธรรมชาติ ซึ่งพสิ ูจน์ได้ว่าถูกต้องแล้วจัดเข้าเป็นระเบียบ และหมวดหมู่
ง. ถูกทุกข้อ
2. ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับ “ การสังเกต การตั้งปัญหา การตั้งสมมติฐาน การทดลอง และการสรุปผล”
ก.วิธีการทางวิทยาศาสตร์
ข. ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
ค. เจตคติทางวิทยาศาสตร์
ง. ไม่มีข้อใดถูก
3.กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ข้ันตอนใดท่ีจะนำไปสู่การสรุปผลและการศึกษาต่อไป
ก. การรวบรวมข้อมูล
ข. การตั้งสมมติฐานและการออกแบบการทดลอง
ค. การสังเกต
ง. การหาความสัมพันธ์ของข้อเท็จจริง
4. ข้อใดไม่ใช่ประสาทสัมผัสทั้ง 5
ก. หู จมูก
ข. ผวิ กาย ตา
ค. ปาก ตา
ง. หู ล้ิน
46
5. ข้อใดไม่ใช่ข้ันตอนของ “ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์”
ก. การแก้ปัญหา
ข. การต้ังสมมติฐาน
ค. การทดลอง
ง. การสรุปและแปลความหมาย
6. ข้อใดไม่เป็นวิทยาศาสตร์
ก. โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์
ข. น้ำเกิดจากก๊าซไฮโดรเจนและออกซิเจนรวมตัวกัน
ค. แม่เหล็กข้ัวเดียวกันเกิดแรงผลักกัน
ง. คนทำดี ตายแล้วจะได้ขึ้นสวรรค์
7. สมมติฐานทางวิทยาศาสตร์จะเปลี่ยนเป็นทฤษฎีได้เมื่อใด
ก . ทดสอบแล้วเป็นจริงทุกคร้ัง
ข. เป็นที่ยอมรับโดยท่ัวไป
ค. มีเคร่ืองมือพิสูจน์
ง. อธิบายได้กว้างขวาง
8. การสังเกตของนักวิทยาศาสตร์ทำให้เกิดส่ิงใดเป็นอันดับแรก
ก. สมมติฐาน
ข. การทดลอง
ค. ปัญหา
ง. กฎ
9. ในกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ถ้าหากผลการทดลองท่ีได้จากการทดสอบสมมติฐาน ไม่สอดคล้องกับสมมติฐาน
จะต้องทำอย่างไร
ก. สังเกตใหม่
ข. ออกแบบการทดลองใหม่
ค. ต้ังปัญหาใหม่
ง. เปลี่ยนสมมติฐาน
10. ข้อใดไม่ใช่คุณลักษณะของบุคคลท่ีมีเจตคติทางวิทยาศาสตร์
ก. เป็นคนมีเหตผุ ล
ข. เป็นคนช่างสังเกต
ค. เป็นคนอยากรู้อยากเห็น
ง. เป็นคนละเอียดรอบคอบ
47
ใบงานที่ 2.1
เรอื่ ง ธรรมชาตขิ องวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
1. วทิ ยาศาสตร์ หมายถงึ
………………………………………………………………………………………………….………………….......………………………………………………
…………………………..…………………………………………………..……………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………..…...............................
2. กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ หมายถึง………………………………………………..……….................………….……………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………..……………………………………………………………………
…………………………………………………………………………….....……………………..……………
3. กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ มกี ีข่ นั้ ตอนอะไรบา้ ง
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………….……………...................…………………….…………
4. เทคโนโลยี หมายถงึ ………………………………………………….…………………………………....……………………………….………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………............................................……………………..…………
.....................................................................................................................
48
๕. ใหน้ ักศึกษาอธบิ ายประเภทและวธิ กี ารใชอ้ ปุ กรณว์ ิทยาศาสตร์
..................................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................
ช่อื - สกุล......................................................................................................................................................
ใบงานที่ 2.๒
เร่ือง โครงงานวทิ ยาศาสตร์
คำสงั่ ผู้เรียนเขียนเค้าโครงงานที่จะทำ จำนวน 1 โครงงาน
1. ชื่อโครงงาน...........................................................................................................................................................
2. ช่ือผู้ทำโครงงาน
1 ............................................................................................................................. ......................
2 ...................................................................................................................................................
3 ............................................................................................................................. ......................
3. ช่ือที่ปรึกษา............................................................................................................................................................
4. ที่มาและความสำคัญของโครงงาน
..................................................... ......................................................................................................................
................................................................................................................... ........................................................
...................................................................................................................... .....................................................
...........................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ..............................................
5. จุดมุ่งหมายของการศึกษาค้นคว้า
............................................................................................................................. ..............................................
.................................................... ........................................................................... ............................................
............................................................................................................................. ..............................................
6. สมมติฐานการค้นคว้า
............................................................................................................................. .............................................................
................................................. ............................................................................. ..............................
............................................................................................................................. ..............................................
7. วิธีการดำเนนิ การ
7.1วัสดุ อุปกรณ์ และสารเคมี
................................................................................................... ........................................................................
..................................... ..................................................................... .................................................................
.................................................................................................................. .........................................................
...................................................................................................................... .....................................................
...................................................................................................................... .....................................................
7.2 วิธีดำเนินการทดลอง
............................................................................................. ..............................................................................
..................................................................................................................... ......................................................
8. ผลการทดลอง
49
............................................................................................................................. ..............................................
............................................................................ ..............................................................................................
9. สรุปและข้อเสนอแนะ
......................................................................................... ..................................................................................
................................................................................................ ...........................................................................
..................................................................................................................................... ......................................
............................................................................................................................. ..............................................
............................................................................................................................. ..............................................
............................................... ................................................................................ ............................................
10. เอกสารอ้างอิง
........................................................................................................................ ...................................................
.................................................................... ................................................................... ....................................
............................................................................................................................. ..............................................
............................................................................................................................. ..............................................
................................................................ ....................................................................... ....................................
ชอื่ -สกุล............................................................................................................ ..............
47
แผนการจดั การเรียนรู้ ครงั้ ท3่ี
กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ สาระความรพู้ น้ื ฐาน รายวชิ า วทิ ยาศาสตร์ ( พว 11001)จำนวน 3 หนว่ ยกติ
เวลาเรยี น 35 ชวั่ โมง (พบกลมุ่ 6 ชว่ั โมง การเรยี นรดู้ ว้ ยตนเอง 29 ชว่ั โมง)
เนอื้ หาการเรยี นรู้ เรอ่ื ง สิ่งมชี ีวิตและส่ิงแวดลอ้ ม
วนั ท.ี่ ................ เดอื น...........................................พ.ศ......................
มาตรฐานการเรียนรู้ที่2.2มีความรู้ ความเข้าใจ ทักษะ และเห็นคุณค่าเกี่ยวกับกระบวนการทาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี
สิ่งมีชีวิต ระบบนิเวศ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในท้องถิ่นและประเทศ สาร แรง พลังงานกระบวนการ
เปล่ยี นแปลงของโลก และดาราศาสตร์ มจี ิตวทิ ยาศาสตรแ์ ละนำความรู้ไปใชป้ ระโยชนใ์ นการดำเนินชวี ติ
มาตรฐานการเรียนรู้ระดับ มนุษย์มีความจำเป็นต้องศึกษาและเรียนรู้เก่ียวกับสง่ิ มีชวี ติที่อยู่รอบตัวเราทั้งพืชและสัตว์เพ่ือให้
สามารถดำรงชีวติและอยู่ร่วมกันได้อย่างปลอดภัย ท้ังน้ีเพราะว่าส่ิงมีชีวติท่ีอยู่รอบตัวเรานั้นสามารถให้ท้ังคุณและโทษ ซึ่ง
การที่มนุษย์มคี วามร้เู ร่อื งส่งิ มีชีวิตสามารถชว่ ยให้ปรับตัว และสามารถทีจ่ ะใชป้ ระโยชนห์ รือหลีกเลีย่ งจากสิ่งเหล่านั้นได้
ตวั ชว้ี ดั 1. จำแนกสงิ่ มชี ีวติ ในแหล่งท่ีอยู่
2. อธบิ าย ความสัมพนั ธ์ของกลุม่ สิ่งมีชีวติ ในระบบนิเวศ ความสัมพันธ์ระหวา่ งสภาพแวดล้อมกบั การ ดำรงชีวิต
ของส่งิ มีชีวติ ในชุมชนและท้องถนิ่
3.อธิบายความหมายประเภทของ ทรัพยากรธรรมชาติ การใช้และการดูแลรักษา ทรัพยากรธรรมชาติและ
สง่ิ แวดล้อมในชมุ ชน และท้องถ่ินได้
4.อธิบายเกยี่ วกับปรากฏการณท์ างธรรมชาติ และการพยากรณ์ทางอากาศ
เนอ้ื หา
1.ลกั ษณะและการจัดกล่มุ ของส่ิงมชี ีวิต
2. พืช
3. สัตว์
4. หว่ งโซ่อาหาร
5.ความสมั พนั ธ์ระหว่างสภาพแวดล้อมกบั การดำรงชีวติ ของสง่ิ มชี วี ิต
6.ทรัพยากรธรรมชาติ
วธิ ีการเรยี น : แบบพบกลมุ่ (ON-Site)
กระบวนการจดั การเรียนรู้
การกำหนดสภาพ ปญั หา ความตอ้ งการในการเรยี นรู้ (O : Orientation)
48
1.ขน้ั นำเขา้ สบู่ ทเรยี น (เวลา 30 นาท)ี
1.1 ครูทักทายนักศึกษา และนำเข้าสู่บทเรยี นโดยให้นกั ศกึ ษาแสดงความคิดเห็นในเรอื่ งส่ิงมชี วี ติ และ
ส่ิงแวดลอ้ มตามความเข้าใจของนักศกึ ษา ครูให้นักศึกษาทำแบบทดสอบก่อนเรยี นเรื่องส่ิงมีชวี ติ และสง่ิ แวดล้อม
1.2 ครชู ้ีแจง สาระสำคัญ จุดประสงค์การเรยี นรู้ เนอ้ื หา สงิ่ มีชีวติ และส่งิ แวดล้อม
การแสวงหาขอ้ มลู และการจดั การเรยี นรู้ (N : New ways of learning)
2.กระบวนการจัดการเรยี นรู้(N:newway of lerling)(เวลา 4 ชวั่ โมง)
2.1.ครูอธิบายเน้อื หาตามหนงั สือเรียนรายวิชา วิทยาศาสตรเ์ ร่ืองส่ิงมีชวี ิตและสงิ่ แวดลอ้ ม
2.2.ครูให้ผู้เรียนแบ่งกล่มุ กลุ่มละไมเ่ กนิ 5 คน พดู คยุ ทบทวนเรอื่ ง สิ่งมชี วี ติ และสิง่ แวดลอ้ มใหส้ รปุ รว่ มกันแลว้
เลอื กตวั แทน 1 คนพูดหนา้ ช้ันสรุปใหเ้ พ่อื นฟัง ในหวั ข้อต่อไปน้ี
1.ลกั ษณะและการจดั กลมุ่ ของสิง่ มชี ีวิต
2. พชื
3. สตั ว์
4. ห่วงโซ่อาหาร
5. ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งสภาพแวดลอ้ มกับการดำรงชวี ิตของส่ิงมีชวี ติ
6. ทรพั ยากรธรรมชาติ
2.๓.ครูให้นักศึกษาศึกษาค้นคว้าจากแหล่งเรียนรู้เพ่ิมเติม ส่ือ ส่ิงพิมพ์อินเตอร์เน็ต และใบความรู้ท่ี1 และ2 ครู
และผ้เู รยี นรว่ มกันสรปุ เรือ่ งสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดลอ้ ม
2.4.ครูสอนและสอดแทรกคุณธรรม 12 ประการ ในเร่ือง ความสะอาด ความสุภาพ ความขยัน ความประหยัด
ความซื่อสัตย์สุจริต ความสามัคคี ความมีน้ำใจ ความมีวินัย ศาสน์ กษัตริย์ รักความเป็นไทย และยึดมั่นในวิถีชีวิตและการ
ปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตรยิ ์ทรงเป็นประมุข
2.5.ครใู หผ้ ูเ้ รยี นทำแบบฝึกหดั /ใบงานท่ี 3.๑
การปฏบิ ัติและนำไปประยกุ ต์ (I : Implementation)
3. ขนั้ การปฏบิ ตั แิ ละนำไปประยกุ ตใ์ ช(้ 30 นาที )
3.1 ครูสุ่มตัวแทนกลุ่มนำเสนอ เพื่อแลกเปล่ียนความคิดเห็นซ่ึงกันและกันสรุปส่ิงที่ได้เรียนรู้ร่วมกันและให้
นกั ศึกษาบันทกึ ความรทู้ ไ่ี ด้ ลงในแบบบนั ทกึ การเรยี นรู้ กศน.
3.2นักศกึ ษานำความร้ทู ไ่ี ดจ้ ากการเรียนรมู้ าเปน็ แนวทางในการแก้ปัญหาและการดำเนินชีวิตในประจำวนั ต่อไป
ข้นั ประเมนิ ผล (E :Evaluation)
4. ขน้ั สรุปและประเมนิ ผล (1 ชวั่ โมง)
4.1.ครูสรปุ เนอื้ หาที่เรียนเพ่ิมเตมิ และขอ้ เสนอแนะใหก้ บั ผู้เรยี น
4.๒ ครูให้นักศึกษาทำแบบทดสอบหลังเรียน เรื่องความสัมพันธ์ส่ิงมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม จำนวน 10 ข้อ พร้อม
เฉลยและประเมนิ ผลให้นกั ศึกษาบันทกึ คะแนนลงในแบบบนั ทึกการเรยี นรู้ กศน.
4.3 ครูให้นักศึกษาสรุปการทำความดีและคุณธรรมที่ได้ปฏิบัติ พร้อมบันทึกลงในสมุดบันทึกความดี เพ่ือการ
ประเมนิ คุณธรรม
4.3ครูติดตามงานทีไ่ ดม้ อบหมายนักศกึ ษา เพ่ือตดิ ตามความคบื หน้าทางแอปพลิเคชนั Line ดงั น้ี
4.4 ตดิ ตามงานทไ่ี ดร้ ับมอบหมายสัปดาหท์ ่ีผ่านมา
4.5 ตดิ ตามการทำกจิ กรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต (กพช.)
4.6 ติดตามสอบถามสุขภาพของนักศึกษา (การตรวจสุขภาพ/ความสะอาด/การแต่งกาย)
4.7 ติดตามสอบถามการทำความดใี นแตล่ ะวัน สัปดาห์ท่ีผ่านมาและติดตามการบันทึก กิจกรรมท่ีทำความดีลงใน
สมุดบนั ทกึ บันทึกความดเี พอ่ื การประเมินคณุ ธรรม
49
4.8ติดตามสอบถามเก่ยี วกับงานอดเิ รก สุนทรยี ภาพ การเล่นกฬี า การใชเ้ วลาว่างให้เปน็ ประโยชน์ ฯลฯ
4.9ตดิ ตามความก้าวหน้าการทำรายงาน
สอื่ และแหล่งการเรียนรู้
1. แอปพลิเคชนั LINE
2. หนังสอื เรยี นวชิ ารายวชิ าวทิ ยาศาสตร์ จากลิ้งhttp://loei.nfe.go.th/media/uploads/2014-07-
01/20140701-1404202215.pdf
3. แบบทดสอบก่อนเรยี น เรื่องส่งิ มีชีวิตและสงิ่ แวดลอ้ ม
และดวงจนั ทร์แบบปรนัย จำนวน 10 ข้อ (ชุดแบบทดสอบ หรือ Google Form)
4. แบบทดสอบหลังเรียน เร่อื งสิง่ มีชีวติ และสง่ิ แวดลอ้ ม แบบปรนัย จำนวน 10 ข้อ (ชดุ แบบทดสอบ หรือ
Google Form)
5. ใบงานท่ี 3.1
6.แบบบนั ทกึ การเรยี นรู้ กศน.
ขั้นมอบหมายงาน
1.ครูมอบหมายให้นักศึกษาไปอา่ นทบทวนเน้อื หาเพ่มิ เติมจากหนังสอื เรียนรายวิชาวทิ ยาศาสตร์( พว 11001) จากล้ิง
http://loei.nfe.go.th/media/uploads/2014-07-01/20140701-1404202215.pdf (แบบเรียนออนไลน์) โดย
ศึกษาในเร่ือง ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งดวงอาทิตย์ โลก และดวงจันทร์และการนำผลที่ได้จากการวางแผนไปประยุกตใ์ ช้ใน
ชวี ติ ประจำวัน และสรปุ ลงในแบบบันทึกการเรียนรู้ กศน.
2. ครูมอบหมายให้นักศึกษาไปศกึ ษาค้นควา้ เน้ือหาจากหนังสอื เรยี นออนไลนร์ ายวิชาวิทยาศาสตร์( พว 11001) จากล้งิ
http://loei.nfe.go.th/media/uploads/2014-07-01/20140701-1404202215.pdfและศกึ ษาเนื้อหาจากใบ
ความรู้ และทำใบงานท่ี 1 เร่ือง ส่งิ มชี วี ิตและสง่ิ แวดล้อม ใหน้ กั ศกึ ษาสง่ งาน ตามวนั เวลาที่ครูกำหนด ( ส่งงานในการพบ
กลมุ่ ครัง้ ต่อไป หรือ ทาง LINE ตามวันเวลาที่ครกู ำหนด )
การวดั และประเมินผล (E:evaluation)
1. การสงั เกตพฤตกิ รรมการมรี ายบคุ คล/รายกลุ่ม
2. การตรวจแบบบนั ทึกการเรยี นรู้ กศน.
3. ประเมินการนำเสนอผลงาน/ชิน้ งาน
4. การตรวจใบงาน
5. การตรวจแบบทดสอบ
6. การประเมินคุณธรรม
วธิ กี ารเรยี น : แบบออนไลน์ (ON-Line)
กระบวนการจัดการเรยี นรู้
การกำหนดสภาพ ปัญหา ความตอ้ งการในการเรยี นรู้ (O : Orientation)
1.ขน้ั นำเขา้ สบู่ ทเรยี น (เวลา 30 นาท)ี
1.1 ครูทักทายนักศึกษา และนำเข้าสู่บทเรียนโดยให้นักศึกษาแสดงความคิดเห็นในเรื่องสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม
ตามความเข้าใจของนักศึกษา ครูให้นักศึกษาทำแบบทดสอบก่อนเรียน เร่ืองส่ิงมีชีวิตและส่ิงแวดล้อม ผ่านทาง LINE กลุ่ม
พร้อมอธิบายถงึ เหตผุ ลความจำเป็นท่ตี อ้ งจดั กจิ กรรมการเรยี นรูปแบบออนไลน์
1.2 ครูชแ้ี จง สาระสำคญั จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ เนื้อหา ส่ิงมชี ีวติ และส่ิงแวดลอ้ ม
50
1.3 ครนู ำเข้าสูบ่ ทเรยี นโดยครูเปิดวดี ีทศั น์ จากลงิ้ คh์ ttps://www.youtube.com/watch?v=QYLsD-CDptU ,
https://www.youtube.com/watch?v=hgSGJzJR4qEนกั ศึกษาร่วมกนั วเิ คราะห์และแลกเปล่ยี นเรยี นรู้แสดงความคดิ เห็น
ผ่านทาง แอปพลิเคชนั LINE เพ่ือเช่ือมโยงเข้าสบู่ ทเรยี นต่อไป
1.3 ครแู ละนกั ศกึ ษาสรปุ ส่ิงที่อภิปรายร่วมกัน แลกเปลย่ี นเรยี นรู้ และบันทึกลงในแบบบนั ทึกการเรยี นรู้ กศน.ผา่ น
ทาง แอปพลเิ คชัน LINE
การแสวงหาขอ้ มลู และการจดั การเรยี นรู้ (N : New ways of learning)
2.กระบวนการจัดการเรยี นรู้(N:newway of lerling)(เวลา 3 ชม.)
2.1.ครูอธบิ ายวิธกี ารจดั เก็บ วิเคราะหข์ ้อมูลอยา่ งงา่ ยและเผยแพร่ข้อมลู
2.2.ครูอธิบายสง่ิ มชี วี ติ และสิ่งแวดลอ้ ม
2.3.ครูให้ผู้เรียนแบ่งกลุ่มกลุ่มละไม่เกิน 5 คน พูดคุยทบทวนส่ิงมีชีวิตและส่ิงแวดล้อม ให้สรุปร่วมกันแล้ว เลือก
ตวั แทน 1 คนสรปุ ให้เพ่อื นฟงั ผา่ นแอปพลิเคชนั LINE
2.4.ครูและผู้เรียนร่วมกันระดมสมองผ่านแอปพลิเคชัน LINE เร่ืองการใช้ประโยชน์จากอิทธิพลของดวงอาทิตย์
ดวงจันทร์ และปรากฏการณท์ างดาราศาสตร์
2.5.ครูสอนและสอดแทรกคุณธรรม 12 ประการ ในเรื่อง ความสะอาด ความสุภาพ ความขยัน ความประหยัด
ความซ่ือสัตย์สุจริต ความสามัคคี ความมีน้ำใจ ความมีวินัย ศาสน์ กษัตริย์ รักความเป็นไทย และยึดมั่นในวิถีชีวิตและการ
ปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอนั มีพระมหากษตั รยิ ์ทรงเปน็ ประมุข
2.6.ครูใหผ้ ้เู รียนทำแบบฝกึ หดั /ใบงานท่ี 3.๑
การปฏบิ ัติและนำไปประยุกต์ (I : Implementation)
3. ขน้ั การปฏบิ ัติและนำไปประยกุ ต์ใช(้ 30 นาที )
3.1 ครูสุ่มตัวแทนนำเสนอ เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกันสรุปสิ่งที่ได้เรียนรู้ร่วมกันและให้นักศึกษา
บนั ทึกความรู้ทไี่ ด้ ลงในแบบบนั ทกึ การเรียนรู้ กศน.
3.2นักศกึ ษานำความรู้ทีไ่ ด้จากการเรียนรมู้ าเป็นแนวทางในการแก้ปัญหาและการดำเนินชวี ติ ในประจำวันต่อไป
ข้นั ประเมนิ ผล (E :Evaluation)
4. ขน้ั สรปุ และประเมนิ ผล(เวลา 1ชว่ั โมง)
4.1.ครสู รปุ เนอ้ื หาท่ีเรยี นเพิม่ เติมและข้อเสนอแนะใหก้ ับผเู้ รยี น
4.2 ครูให้นักศึกษาทำแบบทดสอบหลังเรียน รายวิชาวิทยาศาสตร์(พว 11001)สิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม แบบ
ปรนัย จำนวน 10 ข้อ พร้อมเฉลยและประเมินผลให้นักศกึ ษาบันทกึ คะแนนลงในแบบบันทึกการเรยี นรู้ กศน.
4.3 ครูให้นักศึกษาสรุปการทำความดีและคุณธรรมที่ได้ปฏิบัติ พร้อมบันทึกลงในสมุดบันทึกความดี เพื่อการ
ประเมินคุณธรรม
ส่อื และแหลง่ การเรยี นรู้
1.www.etvthai.tv
2.ทีวดี จิ ิตอลช่อง 52 (กศน.)
51
3. แอปพลิเคชัน LINE
4. หนังสอื เรียนออนไลน์รายวชิ าวิทยาศาสตร์( พว 11001) จากล้งิ
http://loei.nfe.go.th/media/uploads/2014-07-01/20140701-1404202215.pdf
5.https://www.youtube.com/watch?v=QYLsD-CDptU,
https://www.youtube.com/watch?v=hgSGJzJR4qE
6. แบบทดสอบกอ่ นเรียน เร่ือง สิง่ มชี วี ติ และส่ิงแวดล้อม แบบปรนยั จำนวน 10 ข้อ (Google Form)
7. แบบทดสอบหลังเรียน สิง่ มีชีวิตและส่งิ แวดล้อม แบบปรนัย จำนวน 10 ขอ้ (Google Form)
8. ใบงานที่ 3.1
9.แบบบันทกึ การเรยี นรู้ กศน.
ข้ันมอบหมายงาน
1.ครูมอบหมายให้นักศึกษาไปอ่านทบทวนเนื้อหาเพิ่มเติมจากหนังสือเรียนรายวิชาวิทยาศาสตร์ (พว
1 1 0 0 1 ) จ า ก ลิ้ ง http://loei.nfe.go.th/media/uploads/2014-07-01/20140701-1404202215.pdf
(แบบเรียนออนไลน์) โดยศึกษาในเร่ือง สิ่งมีชีวิตและส่ิงแวดล้อม และการนำผลที่ได้จากการวางแผนไปประยุกต์ใช้ใน
ชีวติ ประจำวัน และสรุปลงในแบบบนั ทึกการเรียนรู้ กศน.
2. ครมู อบหมายใหน้ ักศึกษาไปศึกษาค้นคว้าเนอื้ หาจากหนงั สอื เรยี นออนไลน์รายวชิ าวิทยาศาสตร์
(พว11001) จากล้งิ http://loei.nfe.go.th/media/uploads/2014-07-01/20140701-1404202215.pdf และ
ศึกษาเนื้อหาจากใบความรู้ และทำใบงานท่ี 1 เรื่อง สิ่งมีชีวิตและส่ิงแวดล้อมให้นักศึกษาส่งงาน ตามวันเวลาที่ครกู ำหนด (
สง่ งานในการพบกลุ่มครงั้ ต่อไป หรอื ทาง LINE ตามวนั เวลาทีค่ รกู ำหนด )
การวดั และประเมนิ ผล (E:evaluation)
1. การสงั เกตพฤติกรรมการมรี ายบุคคล/รายกลุ่ม
2. การตรวจแบบบนั ทึกการเรียนรู้ กศน.
3. ประเมนิ การนำเสนอผลงาน/ช้นิ งาน
4. การตรวจใบงาน
5. การตรวจแบบทดสอบ
6. การประเมนิ คุณธรรม
วธิ กี ารเรยี น : แบบหนงั สอื เรยี น มอบหมายงาน (ON - Hand)
กระบวนการจัดการเรยี นรู้
การกำหนดสภาพ ปญั หา ความตอ้ งการในการเรยี นรู้ (O : Orientation)
1.ขนั้ นำเขา้ สบู่ ทเรยี น (เวลา 30 นาท)ี
1.1 ครูสำรวจความพร้อมของนักศึกษาในการเรียนรู้ สำหรับนักศึกษาไม่มีอินเตอร์เน็ต และเคร่ืองมือสื่อสาร โดย
นำหนังสือเรียน ใบความรู้ และใบงาน ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ที่บ้านในรายวิชาวิทยาศาสตร์( พว 11001)จากหนังสือท่ีครูได้
นำไปให้ พร้อมใหน้ ักศกึ ษา ศึกษาใบความรู้ จัดทำใบงาน พรอ้ มทัง้ ทำแบบทดสอบกอ่ นเรียน
1.2 ครใู ห้นกั ศกึ ษา ศกึ ษาเรยี นรู้ท่ีบ้าน เพื่อเช่อื มโยงเข้าสูบ่ ทเรียนและมอบหมายงานตอ่ ไป
1.3 นกั ศึกษาสรุปส่งิ ทไี่ ดเ้ รียนรู้ บันทกึ ลงในแบบบนั ทึกการเรยี นรู้ กศน. และนำส่งตามวนั เวลาท่ีครู กำหนด
การแสวงหาขอ้ มลู และการจดั การเรยี นรู้ (N : New ways of learning)
2.กระบวนการจดั การเรยี นรู้(N:newway of lerling)(เวลา 4 ชวั่ โมง)
2.1 ครูมอบหมายใหน้ ักศึกษาไปศึกษาหาความรู้ จากหนังสือ รายวิชาวทิ ยาศาสตร์( พว 11001)ในหัวขอ้
ส่ิงมชี ีวิตและสงิ่ แวดลอ้ ม
52
2.2ครมู อบหมายงานใหน้ กั ศึกษาไปศึกษาค้นควา้ จากหนงั สือ รายวิชาวทิ ยาศาสตร์( พว 11001) จากใบความรู้
หรอื จากแหลง่ การเรยี นรู้ตา่ งๆ และใหน้ กั ศกึ ษาจดั ทำสรุปความรู้เปน็ แผนผังความคดิ ลงในแบบบันทึกการเรยี นรู้ กศน. ใน
หวั ขอ้ ส่ิงมีชวี ิตและสิ่งแวดล้อม และใหน้ ักศึกษาส่งงานนำส่งตามวนั เวลาท่ีครู กำหนด
2.3 ครูมอบหมายครูมอบหมายให้นักศึกษาไปศึกษาค้นคว้าเนอ้ื หาจากหนังสือเรียนรายวิชาวทิ ยาศาสตร์( พว
11001)และทำใบงาน ดังน้ี
- ใบงานที่ 3.1 เรื่อง ลักษณะและการจดั กลมุ่ ของส่ิงมีชวี ติ และส่งิ แวดล้อม
2.4 ครมู อบหมายให้นักศกึ ษา บนั ทึกสมุดบันทึกความดี เพื่อประเมินคุณธรรม 12 ประการ ในเรื่อง ความสะอาด
ความสภุ าพ ความกตัญญู กตเวทคี วามขยนั ความประหยัด ความซ่อื สัตย์ ความมนี ้ำใจ ความมวี ินัย ศาสน์ กษัตรยิ ์ รกั ความ
เปน็ ไทย และยึดม่นั ในวถิ ชี วี ิตและการปกครองตามระบอบประชาธปิ ไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
การปฏิบตั ิและนำไปประยกุ ต์ (I : Implementation)
3. ขน้ั การปฏบิ ัตแิ ละนำไปประยกุ ตใ์ ช(้ 30 นาที )
3.1 ครูมอบหมายให้ผู้เรยี นสรปุ ส่ิงท่ีได้เรียนรู้รว่ มกันและใหน้ กั ศกึ ษาบนั ทึกความรู้ที่ได้ ลงในแบบบันทึกการ
เรียนรู้ กศน.
3.2นักศึกษานำความรู้ที่ไดจ้ ากการเรยี นรู้มาเป็นแนวทางในการแกป้ ัญหาและการดำเนนิ ชวี ิตในประจำวนั ต่อไป
ข้ันประเมนิ ผล (E :Evaluation)
4. ขนั้ สรปุ และประเมนิ ผล(เวลา 1ชวั่ โมง)
4.1 ครูให้นักศึกษาทำแบบทดสอบก่อนเรียน เร่ือง รายวิชาวิทยาศาสตร์ (พว 11001) แบบปรนัย จำนวน 10
ข้อ จากชุด แบบทดสอบ พร้อมเฉลยและประเมนิ ผล ใหน้ ักศกึ ษาบนั ทึกคะแนนลงในแบบบนั ทกึ การเรยี นรู้ กศน.
4.2 ครูให้นักศึกษาสรุปการทำความดีและคุณธรรมท่ีได้ปฏิบัติ พร้อมบันทึกลงในสมุดบันทึกความดี เพ่ือการ
ประเมนิ คุณธรรม
4.3 ครตู ดิ ตามงานที่ได้มอบหมายนักศึกษา เพื่อติดตามความคืบหน้า
4.4 ติดตามงานท่ไี ดร้ ับมอบหมายสัปดาหท์ ่ีผา่ นมา
4.5 ตดิ ตามการทำกจิ กรรมพัฒนาคณุ ภาพชีวติ (กพช.)
4.6 ตดิ ตามสอบถามสุขภาพของนกั ศกึ ษา (การตรวจสขุ ภาพ/ความสะอาด/การแต่งกาย)
4.7 ติดตามสอบถามการทำความดีในแต่ละวัน สัปดาห์ท่ีผ่านมาและติดตามการบันทึก กิจกรรมที่ทำความดีลงใน
สมดุ บันทกึ บันทกึ ความดเี พอื่ การประเมนิ คณุ ธรรม
4.8 ตดิ ตามสอบถามเก่ียวกับงานอดเิ รก สุนทรยี ภาพ การเลน่ กฬี า การใช้เวลาว่างให้เปน็ ประโยชน์ ฯลฯ
4.9 ติดตามความกา้ วหนา้ การทำรายงาน
สื่อและแหล่งการเรียนรู้
1. หนังสือเรียนวชิ ารายวิชาวิทยาศาสตร์(พว 11001)
2. แบบทดสอบก่อนเรียน เร่ือง ส่ิงมชี วี ติ และสิ่งแวดล้อม แบบปรนยั จำนวน 10 ขอ้
3.แบบทดสอบหลังเรยี น เรอ่ื ง สิ่งมชี ีวิตและสงิ่ แวดลอ้ ม แบบปรนัย จำนวน 10 ขอ้
๔. ใบงานท่ี 3.1 เรอื่ ง ลักษณะและการจดั กลุ่มของสิ่งมชี ีวิตและสิ่งแวดลอ้ ม
5.แบบบนั ทึกการเรียนรู้ กศน.
ขัน้ มอบหมายงาน
4.1 ครูมอบหมายให้นกั ศึกษาศกึ ษาเรียนรูจ้ ากหนังสือเรยี นรายวิชาวิทย่าศาสตร์( พว 11001) โดยศกึ ษาในการมี
สว่ นรว่ ม การบอกความหมายความสำคัญประโยชนข์ องขอ้ มลู ดา้ นต่างๆ และสรุปลงในแบบบนั ทกึ การเรยี นรู้ กศน.
4.2 ครูมอบมายงานให้นักศึกษาได้ศึกษาเพิ่มเติมและบันทึก เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างส่ิงมีชีวิตและส่ิงแวดล้อม
พร้อมจดั ทำรปู เลม่ นำเสนอรายงาน ตามวนั เวลาที่ครกู ำหนด ก่อนสอบปลายภาคเรียน
53
การวัดและประเมนิ ผล(E:evaluation)
1. การสงั เกตพฤตกิ รรมการมรี ายบุคคล/รายกลุ่ม
2. การตรวจแบบบนั ทึกการเรยี นรู้ กศน.
3. ประเมนิ การนำเสนอผลงาน/ชนิ้ งาน
4. การตรวจใบงาน
5. การตรวจแบบทดสอบ
6. การประเมินคุณธรรม
วธิ กี ารเรยี น : แบบผา่ นชอ่ งทาง ETV (ON-Air)
กระบวนการจดั การเรยี นรู้
การกำหนดสภาพ ปัญหา ความตอ้ งการในการเรยี นรู้ (O : Orientation)
1.ขนั้ นำเขา้ สบู่ ทเรยี น (เวลา 30 นาท)ี
1.1 ครูทักทายนักศึกษา และนำเข้าสู่บทเรียนโดยให้นักศึกษาแสดงความคดิ เห็นในเร่ือง สง่ิ มีชีวิตและส่ิงแวดล้อม
บอกความหมายความสำคัญประโยชน์ของข้อมูลด้านต่างๆตามความเข้าใจของนักศึกษา โดยครูแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ร่วมกัน
วิเคราะห์ และแสดงความคิดเห็นร่วมกันในกลุ่ม LINE พร้อมทั้งทำแบบทดสอบก่อนเรียน(ชุดแบบทดสอบ หรือ Google
Form) ผ่านทางGoogle Classroom หรือ LINE กลุ่ม พร้อมอธิบายถึงเหตุผลความจำเป็นที่ต้องจัดกิจกรรมการเรียน
รูปแบบ( ON-Air )
1.2 ครูนำเข้าสบู่ ทเรียนโดย ให้นกั ศึกษาสมัครเป็นสมาชิก ETV ตามลงิ้ ตอ่ ไปน้ี
https://www.youtube.com/watch?v=QYLsD-CDptU,
https://www.youtube.com/watch?v=hgSGJzJR4qE
เพือ่ ให้นักศึกษามีรหัสผ่านเพื่อเข้าไปศกึ ษาหาความรูต้ าม ตารางออนแอร์ ในแตล่ ะวันของสถานีวิทยุโทรทัศน์เพื่อการศึกษา
กระทรวงศกึ ษาธกิ ารตามล้งิ รายการโทรทศั น์สง่ เสริมการศกึ ษานอกระบบโรงเรยี น
การแสวงหาขอ้ มลู และการจดั การเรยี นรู้ (N : New ways of learning)
2.กระบวนการจัดการเรยี นรู้(N:newway of lerling)(เวลา 4 ชว่ั โมง)
2.1 ครูมอบหมายให้นักศึกษาเข้าไปศึกษาหาความรู้ ของสถานีวิทยุโทรทัศน์เพ่ือการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ
ตามเว็บไซต์ www.etvthai.tv โดยเข้าสู่ระบบด้วยรหัสผ่านท่ีนักศึกษาสมัครไว้แล้ว โดยสามารถดูตาราง ออนแอร์ได้ ตาม
ลิ้ งhttp://www.etvthai.tv/Front_ETV/FETV_Schedule.aspx แ ล ะ ส าม ารถ ดู ราย ก ารย้ อ น ห ลั งได้ ต าม ลิ้ ง
http://www.etvthai.tv/home/home_External.aspx
อกี ชอ่ งทางการศึกษาหาความรู้โดยผา่ น ทวี ดี จิ ิตอลชอ่ ง 52 (กศน.) สามารถตดิ ตามขา่ วสารและตารางออนแอร์ได้ใน
เฟสบุค๊ :ETV สือ่ ดิจทิ ัลเพ่อื การศึกษา สำนักงาน กศน. ตามล้ิงน้ี https://www.facebook.com/etv.digital/
54
2.2 ครมู อบหมายให้นักศกึ ษาเรียนรแู้ บบ (ON-Air) ใน
เรื่องการเรียนรู้ในหวั ขอ้ ต่อไปนี้
1. ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งสิ่งมีชีวิตและสงิ่ แวดลอ้ ม
2. การใช้ประโยชน์จากสง่ิ มีชวี ติ และสิง่ แวดลอ้ ม
3. การนำผลที่ได้จากการวางแผนไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันและให้นักศึกษาสรุปลงในแบบบันทึก
การเรียนรู้ กศน. นำส่งผ่านทาง Google Classroom หรอื แอปพลเิ คชนั LINE
2.3 ครูมอบหมายให้นักศึกษาเลือกหัวข้อที่นักศึกษาสนใจ จำนวน 1 เรื่อง ให้ไปศึกษาค้นคว้าจากหนังสือ เรียน
ออนไลน์รายวิชา จากลิงค์ http://online.anyflip.com/zocht/wabr/mobile/index.htmและจากการศึกษาในรูปแบบ
(ON-Air)ทั้งในเว็บไซต์ www.etvthai.tv และทีวีดิจิตอลช่อง 52 (กศน.) หรือจากแหล่งการเรยี นรู้ต่างๆ และให้นักศึกษา
จดั ทำสรุปความรู้เปน็ แผนผงั ความคิด ลงในแบบบนั ทกึ การเรียนรู้ กศน. ในหวั ข้อ ดังน้ี
1ลักษณะและการจดั กลุ่มของสิ่งมชี ีวติ
๒ เรอ่ื งพืช
๓ เร่อื งสัตว์
๔ หว่ งโซ่อาหาร
๕ ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งสภาพแวดล้อมกับการดำรงชวี ติ ของสิ่งมชี ีวติ
และส่งงานผา่ นทาง แอปพลิเคชัน LINE
2.4 ครูสอนและสอดแทรกคุณธรรม 11 ประการ ในเรื่อง ความสะอาด ความสุภาพ ความกตัญญู กตเวทีความ
ขยัน ความประหยัด ความซ่อื สตั ย์ ความมีน้ำใจ ความมีวนิ ัย ศาสน์ กษตั ริย์ รักความเป็นไทย และยึดมั่นในวิถชี ีวติ และการ
ปกครองตามระบอบประชาธปิ ไตยอันมีพระมหากษตั รยิ ท์ รงเปน็ ประมุข ผา่ นทาง LINE กลุม่
การปฏบิ ตั ิและนำไปประยกุ ต์ (I : Implementation)
3. ขน้ั การปฏบิ ตั แิ ละนำไปประยกุ ตใ์ ช(้ 30 นาที )
3.1 ครูสุ่มตัวแทนนำเสนอ เพ่ือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกันสรุปส่ิงท่ีได้เรียนรู้ร่วมกันและให้นักศึกษา
บันทึกความรทู้ ไ่ี ด้ ลงในแบบบนั ทกึ การเรยี นรู้ กศน.
3.2นกั ศึกษานำความรู้ท่ไี ด้จากการเรยี นร้มู าเป็นแนวทางในการแก้ปัญหาและการดำเนินชวี ติ ในประจำวนั ตอ่ ไป
ข้ันประเมนิ ผล (E :Evaluation)
4. ขน้ั สรุปและประเมนิ ผล (1 ชวั่ โมง)
4.1 ครูตดิ ตามงานทไี่ ด้มอบหมายนกั ศกึ ษา เพือ่ ติดตามความคบื หนา้ ทางแอปพลิเคชัน Line ดงั นี้
4.1.1 ตดิ ตามงานท่ีไดร้ ับมอบหมายสปั ดาห์ที่ผ่านมา
4.1.2 ตดิ ตามการทำกจิ กรรมพฒั นาคุณภาพชวี ติ (กพช.)
4.1.3 ติดตามสอบถามสขุ ภาพของนกั ศกึ ษา (การตรวจสขุ ภาพ/ความสะอาด/การแต่งกาย)
4.1.4 ติดตามสอบถามการทำความดีในแต่ละวัน สัปดาห์ที่ผ่านมาและติดตามการบันทึก กิจกรรมท่ีทำ
ความดีลงในสมุดบันทกึ บันทึกความดเี พอ่ื การประเมินคุณธรรม
4.1.5 ติดตามสอบถามเก่ียวกับงานอดิเรก สุนทรียภาพ การเล่นกีฬา การใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์
ฯลฯ
4.1.6 ติดตามความกา้ วหน้าการทำรายงาน
สอ่ื และแหล่งการเรียนรู้
55
1.www.etvthai.tv
2.ทวี ีดจิ ิตอลช่อง 52 (กศน.)
3.หนงั สอื เรยี นวชิ ารายวชิ าวทิ ยาศาสตร(์ พว 11001)
4. แบบทดสอบก่อนเรียน เรื่อง ความสมั พันธร์ ะหว่างส่งิ มีชวี ิตและส่ิงแวดลอ้ มแบบปรนัย จำนวน 10 ข้อ
5. แบบทดสอบหลงั เรยี น เร่ือง ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งสิง่ มีชวี ิตและส่งิ แวดลอ้ มแบบปรนัย จำนวน 10 ข้อ
๖. ใบงานที่ 3.1 เรื่อง ลกั ษณะและการจัดกลุ่มของสงิ่ มีชีวิตและส่ิงแวดลอ้ ม
7.แบบบนั ทึกการเรียนรู้ กศน.
ขนั้ มอบหมายงาน
4.1 ครูมอบหมายให้นักศึกษาไปอ่านทบทวนเนื้อหาเพ่ิมเติมจากหนังสือเรียนออนไลน์รายวิชาวิทยาศาสตร์( พว
11001) จากล้ิง http://loei.nfe.go.th/media/uploads/2014-07-01/20140701-1404202215.pdf โดย
ศึกษาในเรอ่ื ง ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งสงิ่ มชี ีวติ และส่งิ แวดลอ้ มและสรุปลงในแบบบนั ทกึ การเรียนรู้ กศน.
4.2 ครูมอบหมายให้นักศึกษาไปศึกษาค้นคว้าเนื้อหาจากหนังสือเรียนออนไลน์รายวิชาวิทยาศาสตร์( พว
11001) จากลิ้ง http://loei.nfe.go.th/media/uploads/2014-07-01/20140701-1404202215.pdf และ
ศกึ ษาเนื้อหาจากใบความรู้ และทำใบงานที่ 1 เร่ือง ลักษณะและการจัดกลมุ่ ของส่ิงมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม ใบงานที่ 2 เร่ือง
ความสัมพนั ธ์ระหว่างสภาพแวดล้อมของสิ่งมีชีวติ และให้นักศึกษาสง่ งานทาง LINE
4.3 ครูมอบมายงานให้แต่ละคน/หรือรายกลุ่มดำเนินการวางแผนการดำเนินงานจัดทำรายงานกลุ่มละ 1 เร่ือง
พรอ้ มจดั ทำรูปเลม่ รายงาน นำเสนอช้ินงาน และสง่ ช้ินงาน ตามวันเวลาที่ครกู ำหนด กอ่ นสอบปลายภาคเรียน
การวัดและประเมินผล (E:evaluation)
1. การสงั เกตพฤติกรรมการมีรายบคุ คล/รายกลุ่ม
2. การตรวจแบบบนั ทกึ การเรียนรู้ กศน.
3. ประเมินการนำเสนอผลงาน/ชน้ิ งาน
4. การตรวจใบงาน
5. การตรวจแบบทดสอบ
6. การประเมินคณุ ธรรม
56
วธิ กี ารเรยี น : ผา่ น แอปพลเิ คชนั (ON-Demand)
กระบวนการจัดการเรียนรู้
การกำหนดสภาพ ปญั หา ความตอ้ งการในการเรยี นรู้ (O : Orientation)
1.ขน้ั นำเขา้ สบู่ ทเรยี น (เวลา 1. ชม.)
1.1 ครูทักทายนักศึกษา และนำเข้าสู่บทเรียนโดยให้นักศึกษาแสดงความคิดเห็นในเร่ืองความสัมพันธ์ระหว่าง
สงิ่ มีชวี ิตและส่ิงแวดล้อมตามความเข้าใจของนักศึกษา พร้อมท้ังแลกเปลย่ี นเรียนรู้ ร่วมกนั วิเคราะห์ และแสดงความคดิ เห็น
ร่วมกันในช้ันเรียน พร้อมท้ังทำแบบทดสอบก่อนเรียน(Google Form) ผ่านทางแอปพลิเคชันLINE กลุ่ม พร้อมอธิบายถึง
เหตุผลความจำเปน็ ท่ีตอ้ งจดั กจิ กรรมการเรยี นรูปแบบ (ON-Demand)
1.2 ครูนำเขา้ สบู่ ทเรยี นโดยครเู ปิดวีดีทัศน์ เรือ่ ง ความสมั พันธร์ ะหวา่ งสิ่งมชี วี ติ และสิ่งแวดลอ้ มจากลงิ ค์
https://www.youtube.com/watch?v=lQR5xZ_0RFcให้นักศึกษารับชมเพ่ือให้นักศึกษามีความรู้ความเข้าใจในเร่ือง
ความสัมพันธ์ระหว่างส่ิงมีชีวิตและส่ิงแวดล้อมนักศึกษาร่วมกันวิเคราะห์และแลกเปล่ียนเรียนรู้แสดงความคิดเห็นผ่านทาง
แอปพลเิ คชัน LINE เพอ่ื เชอื่ มโยงเขา้ สู่บทเรยี นตอ่ ไป
1.3 ครแู ละนกั ศึกษาสรปุ ส่ิงทีอ่ ภปิ รายร่วมกัน แลกเปล่ียนเรยี นรู้ และบนั ทกึ ลงในแบบบันทกึ การเรียนรู้ กศน.ผา่ น
ทาง แอปพลิเคชนั LINE
การแสวงหาขอ้ มลู และการจดั การเรยี นรู้ (N : New ways of learning)
2.กระบวนการจดั การเรยี นรู้(N:newway of lerling)(เวลา 3 ชวั่ โมง)
2.1 ครูมอบหมายใหน้ ักศกึ ษาไปศึกษาหาความรู้ เรือ่ ง ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งสิ่งมีชีวติ และสิ่งแวดลอ้ มและการนำ
ผลทไ่ี ดจ้ ากการวางแผนไปประยกุ ต์ใช้ในชวี ติ ประจำวนั จากล้ิงhttp://pattana.nfe.go.th/main/read_book/52/ ศกึ ษา
หาความรู้ ผา่ นเว็บไซต์ www.etvthai.tvและช่อง Youtubeหรือจากส่อื และแหล่งเรียนรู้ตา่ งๆ และให้สรุปลงในแบบ
บันทึกการเรียนรู้ กศน. ในหัวข้อต่อไปนี้
1. ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งสิ่งมีชวี ิตและสง่ิ แวดล้อม
2. การใชป้ ระโยชน์จากความสมั พนั ธร์ ะหว่างส่งิ มชี ีวติ และส่ิงแวดล้อม
ครูมอบหมายให้นักศึกษาเลือกทำรายงานที่นักศึกษาสนใจ 1 เรื่อง ให้ไปศึกษาค้นคว้าจากหนังสือ เรียนออนไลน์รายวิชา
วทิ ยาศาสตร์( พว 11001) จากล้ิง http://pattana.nfe.go.th/main/read_book/52/ cหรือจากแหล่งการเรยี นรตู้ ่างๆ
และใหน้ ักศึกษาจดั ทำสรปุ ความรเู้ ป็นแผนผงั ความคดิ ลงในแบบบันทกึ การเรียนรู้ กศน. ในหวั ข้อ ดังน้ี
1 ลักษณะและการจัดกล่มุ ของสิง่ มชี วี ติ
๒ เรื่องพืช
๓ เรอ่ื งสัตว์
๔ ห่วงโซ่อาหาร
๕ ความสัมพนั ธ์ระหว่างสภาพแวดล้อมกบั การดำรงชีวติ ของสิ่งมีชวี ิต
เปน็ รายบุคคลในการเรยี นออนไลนค์ ร้งั ต่อไปผ่านทาง แอปพลเิ คชัน LINE
2.3 ครสู อนและสอดแทรกคณุ ธรรม 12 ประการ ในเรื่อง ความสะอาด ความสภุ าพ ความกตญั ญู
กตเวทีความขยนั ความประหยดั ความซือ่ สัตย์ ความมีน้ำใจ ความมีวนิ ัย ศาสน์ กษตั ริย์ รักความเป็นไทย และยึดม่ันในวิถี
ชีวิตและการปกครองตามระบอบประชาธปิ ไตยอนั มพี ระมหากษตั ริย์ทรงเป็นประมุข ผา่ นทาง LINE กลุม่
การปฏบิ ัติและนำไปประยุกต์ (I : Implementation)
57
3. ขนั้ การปฏบิ ตั แิ ละนำไปประยกุ ตใ์ ช้ ( 30 นาที )
3.1 ครูสุ่มตวั แทนกลุ่มนำเสนอ เพ่ือแลกเปลี่ยนความคดิ เห็นซงึ่ กนั และกนั สรุปสง่ิ ท่ีได้เรยี นรรู้ ว่ มกนั และให้
นักศกึ ษาบันทึกความรู้ทไ่ี ด้ ลงในแบบบนั ทึกการเรียนรู้ กศน.
3.2นักศกึ ษานำความรทู้ ่ีไดจ้ ากการเรียนรูม้ าเป็นแนวทางในการแก้ปัญหาและการดำเนินชวี ติ ในประจำวันต่อไป
ข้ันประเมนิ ผล (E :Evaluation)
4. ขน้ั สรุปและประเมนิ ผล (1 ชว่ั โมง)
4.1 ครูติดตามงานที่ได้มอบหมายนักศึกษา เพ่ือติดตามความคืบหน้าทางแอปพลิเคชัน Line
ดังน้ี
4.2 ติดตามงานที่ไดร้ ับมอบหมายสปั ดาห์ทผ่ี า่ นมา
4.3 ตดิ ตามการทำกจิ กรรมพฒั นาคณุ ภาพชวี ิต (กพช.)
4.4 ติดตามสอบถามสุขภาพของนักศกึ ษา (การตรวจสขุ ภาพ/ความสะอาด/
การแตง่ กาย)
4.5 ติดตามสอบถามการทำความดใี นแต่ละวัน สปั ดาห์ท่ีผา่ นมาและติดตามการ
บนั ทึก กิจกรรมทท่ี ำความดลี งในสมดุ บนั ทึกบนั ทกึ ความดีเพ่ือการประเมิน
คณุ ธรรม
4.6 ติดตามสอบถามเก่ยี วกับงานอดเิ รก สุนทรยี ภาพ การเลน่ กฬี า การใช้เวลาวา่ งให้เป็นประโยชน์ ฯลฯ
4.7 ตดิ ตามความกา้ วหน้าการทำรายงาน
ส่ือและแหลง่ การเรยี นรู้
1.www.etvthai.tv
2.ทวี ีดจิ ติ อลช่อง 52 (กศน.)
3. หนงั สอื เรียนวิชารายวิชาวทิ ยาศาสตร(์ พว 11001)
4. แบบทดสอบกอ่ นเรียน เรือ่ ง สงิ่ มีชวี ิตและสิ่งแวดล้อม แบบปรนยั จำนวน 10 ขอ้
5. แบบทดสอบหลงั เรยี น เรือ่ ง สิง่ มีชวี ติ และส่ิงแวดล้อม แบบปรนัย จำนวน 10 ข้อ
6. ใบงานที่ 3.1 เร่ือง ลักษณะการจัดกล่มุ ของสง่ิ มีชีวิตและสงิ่ แวดล้อม
7.แบบบันทกึ การเรียนรู้ กศน.
ข้ันมอบหมายงาน
1 ครูมอบหมายใหน้ ักศึกษาไปอา่ นทบทวนเนอื้ หาเพิม่ เติมจากหนังสือเรียนรายวชิ าวิทยาศาสตร์( พว 11001) จา
กลิ้ง http://loei.nfe.go.th/media/uploads/2014-07-01/20140701-1404202215.pdf โดยศึกษาในเรือ่ ง
สงิ่ มีชีวิตและสง่ิ แวดลอ้ ม และสรุปลงในแบบบนั ทึกการเรียนรู้ กศน.
2. ครูมอบหมายให้นักศึกษาไปศึกษาคน้ ควา้ เน้ือหาจากหนังสือเรยี นออนไลนร์ ายวชิ าวทิ ยาศาสตร์( พว 11001)
จากลิ้ง http://loei.nfe.go.th/media/uploads/2014-07-01/20140701-1404202215.pdf และศึกษาเนอ้ื หา
จากใบความรู้ และทำใบงานท่ี 1 เรือ่ ง ลกั ษณะการจัดกลุ่มของสงิ่ มชี ีวิตและสิ่งแวดล้อม ใบงานท่ี 2 เรอื่ ง ความสัมพันธ์
ระหวา่ งส่งิ มีชีวิตและส่ิงแวดล้อมให้นักศึกษาส่งงานทาง LINE
3. ครูมอบมายงานให้แต่ละคน/หรือรายกลุ่มดำเนินการวางแผนการดำเนินงานจัดทำรายงานกลุ่มละ 1 เรื่อง
พรอ้ มจดั ทำรปู เล่มรายงาน นำเสนอช้นิ งาน และส่งชิ้นงาน ตามวันเวลาท่ีครูกำหนด ก่อนสอบปลายภาคเรยี น
การวัดและประเมนิ ผล (E:evaluation)
1. การสังเกตพฤติกรรมการมรี ายบุคคล/รายกลุ่ม
2. การตรวจแบบบันทกึ การเรียนรู้ กศน.
3. ประเมินการนำเสนอผลงาน/ชิ้นงาน
4. การตรวจใบงาน
58
5. การตรวจแบบทดสอบ
6. การประเมนิ คุณธรรม
แบบสังเกตพฤติกรรมการปฏิบตั ิกจิ กรรมของนกั เรยี นรายบุคคล
59
เลข ่ทีชื่อ – สกลุ ผลการประเมนิ
มีความ ้ัตงใจในการทำงาน
มีความรับผิดชอบ
ตรง ่ตอเวลา
ความสะอาดเรียบร้อย
ผลสำเร็จของงาน
รวมคะแนน
๓ ๓ ๓ ๓ ๓ ๑๕ ผา่ น ไม่ผ่าน
เกณฑ์การประเมนิ ระดบั คณุ ภาพ เกณฑท์ ผ่ี ่าน
๓ ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมสม่ำเสมอ ดี ๑๑ – ๑๕ คะแนน ดี ตงั้ แต่ ๑๐ คะแนน
๒ ปฏิบตั หิ รือแสดงพฤตกิ รรมบอ่ ยครง้ั ปานกลาง ๖ – ๑๐ คะแนน พอใช้ ขน้ึ ไป
๑ ปฏบิ ัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครงั้ หรือน้อยคร้ัง ปรับปรุง ๑ – ๕ คะแนน ปรบั ปรุง
แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการปฏบิ ตั กิ จิ กรรมกลมุ่
กลุ่มท.่ี .............
60
เลข ่ทีชอ่ื – สกลุ รวม ผลการประเมนิ
ีมส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น
ีมความกระตือรือร้นในการทำงาน
รับผิดชอบในงาน ่ีทไ ้ดรับมอบหมาย
ีม ั้ขนตอนในการทำงานอย่างเ ็ปนระบบ
ใช้เวลาในการทำงานอ ่ยางเหมาะสม
๓ ๓ ๓ ๓ ๓ ๑๕ ผา่ น ไมผ่ า่ น
เกณฑก์ ารประเมนิ ระดบั คณุ ภาพ เกณฑท์ ผ่ี า่ น
๓ ปฏบิ ัติหรือแสดงพฤตกิ รรมสม่ำเสมอ ดี ๑๑ – ๑๕ คะแนน ดี ตั้งแต่ ๑๐ คะแนน
๒ ปฏิบตั ิหรือแสดงพฤติกรรมบอ่ ยคร้งั ปานกลาง ๖ – ๑๐ คะแนน พอใช้ ขนึ้ ไป
๑ ปฏบิ ัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครง้ั หรือน้อยครั้ง ปรับปรุง ๑ – ๕ คะแนน ปรบั ปรุง
กจิ กรรมการเรยี นรู้ดว้ ยตนเอง(จำนวน 29 ชวั่ โมง)
ใบงาน กรต. ครั้งที่ 3
สาระความรพู้ น้ื ฐาน รายวชิ าวทิ ยาศาสตร์ รหสั พว 11001
ระดบั ประถมศกึ ษา
61
คำสั่ง ให้นักศึกษาแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 3 คน และไปทำกิจกรรมการเรียนรู้ต่อเน่ือง (กรต) โดยการไปศึกษาค้นคว้า อ่าน
หนังสือ จดบันทึก จากหนังสือแบบเรียน ตำรา หนังสือ และส่ืออ่ืนๆ ในห้องสมุดประชาชนจังหวัด ห้องสมุดประชาชน
อำเภอ โรงเรียนประถมศึกษา โรงเรียนมัธยมศึกษา ในพื้นท่ีอำเภอเมืองนราธิวาสหรืออำเภออ่ืนๆ สื่อออนไลน์ หรือไป
สอบถามขอความร้จู ากบุคคล ในหวั ข้อตอ่ ไปน้ี
หวั ขอ้ ท1่ี . ความสัมพนั ธ์ของกลุม่ สงิ่ มชี วี ติ กบั สภาพแวดล้อม
หวั ข้อท2่ี . การใช้ทรัพยากรธรรมชาติในท้องถน่ิ
หัวข้อท3่ี .การป้องกนั และแกไ้ ขปัญหาสิง่ แวดลอ้ มในท้องถนิ่
ข้ันตอนของการไปเรยี นรตู้ อ่ เนอื่ ง (กรต.) ของนักศกึ ษา มดี งั น้ี
1. แผนการเรียนรู้ต่อเนื่อง (กรต.) ในแต่ละแต่ละสัปดาห์ แต่ละครั้งที่ครู กศน.ตำบล/ครู ศรช. หรือครูประจำกลุ่ม
กล่มุ มอบหมาย
2. ให้บริหารเวลาและใช้เวลาในการศึกษาเรียนรู้ด้วยตนเองและทำกิจกรรมการเรียนรู้ต่อเนื่อง (กรต.) สัปดาห์ละ
15 ชงั่ โมงเป็นอยา่ งน้อย
3. อ่านหนังสือ สอบถามผู้รู้ และจดบันทึกทุกครั้งทีมีการทำกิจกรรม กรต. และเก็บหลักฐานไว้ทุกครั้งเพื่อส่ง
ครกู ศน.ตำบล/ครศู รช. หรอื ครปู ระจำกลุ่ม ตรวจใหค้ ะแนนการทำ กรต.
4. จัดทำรายงานเป็นเล่ม ตามแบบรายงานท่ีศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยกำหนดและให้
สง่ ในวันท่ีมีการนำเสนอผลการทำกรต. ในเรือ่ งนนั้ ๆ
5. สมาชิกในกลุ่มรว่ มกันนำเสนอ/นำด้วยตนเอง(ในกรณีทำคนเดียว) โดยใหน้ ำเสนอผลงานตามข้อ4 กลุ่มละ/คน
ละไม่เกิน 10 นาที ในวนั พบกลุ่มครัง้ ต่อไป
ใบความรทู้ ี่ 1
ปจั จยั ตอ่ การเจรญิ เตบิ โตของพชื
62
1. แสงสว่าง
2. ท่ียึดเหน่ียว
3. อณุ หภมู คิ วามรอ้ นพอเหมาะ
4. อากาศ
5. น้ำ
6. ธาตุอาหาร
ปัจจัยท่ไี มส่ ่งเสริมการเจริญเติบโต ได้แก่ โรค แมลงวชั พืช สารพษิ (ชะลอการเจริญเตบิ โต)
ปจั จยั ทค่ี วบคมุ การเจรญิ เตบิ โตและผลผลติ ของพชื
1. พนั ธุกรรม(พนั ธ์ุพชื )สามารถกำหนดเลือกได้
2. สภาพแวดลอ้ ม เช่น อณุ หภมู คิ วามชน้ื ส่วนประกอบของอากาศ โรค แมลง ธาตุอาหารไม่สามารถควบคมุ ไดแ้ ตส่ ามารถเลอื ก
ชว่ งเวลาทเี่ หมาะสมได้
3. การปฏิบัติดูแลรักษา เชน่ การกำจัดวัชพชื ใส่ปุย๋ การป้องกนั ศัตรูพืช
ดนิ (Soil)
สว่ นประกอบของดนิ ท่เี กย่ี วข้องกบั การเจริญเตบิ โตของพืช แบ่งได้เป็น 4 ส่วนคือ อนนิ ทรยี ์วตั ถอุ ินทรยี ว์ ัตถุ น้ำ และ
อากาศ
- ดนิ ใหท้ ่ยี ึดเกาะแก่พืชและเปน็ แหล่งธาตอุ าหาร น้ำและอากาศ
- ธาตุอาหารตวั ทน่ี ้อยท่ีสุดจะเป็นตัวกำหนดการเจรญิ เติบโตและผลผลติ ของพืช Low of minimum
- ความอดุ มสมบรู ณ์ของดิน (Soil fertility) หมายถึงสมบตั ิของดินในการใหธ้ าตอุ าหารทจ่ี ำเปน็ แก่พืชในปริมาณ
และอตั ราสว่ นท่เี หมาะสม
- ความสามารถในการใหผ้ ลผลิต (Soil productivity) หมายถึงความสามารถของดินในการใหผ้ ลผลติ ภายใต้การ
ดแู ลและสภาพแวดล้อมท่เี หมาะสม
63
ธาตอุ าหารพชื (Plant Nutrients)
ธาตอุ าหารท่จี ำเปน็ ต่อการดำรงชพี ของพชื มี 16 ธาตุ แบ่งเป็น 4 กลุ่ม
1. คารบ์ อน (C) ไฮโดรเจน (H) และออกซิเจน (O) เป็นส่วนประกอบประมาณ 94-99.5% ของน้ำหนักสดของพืชและพชื
ได้รับจากอากาศและน้ำ
2. ไนโตรเจน (N) ฟอสฟอรัส (P) และโปตสั เซียม (K) มักเรียกธาตุอาหารหลกั หรอื ปุ๋ย เพราะพชื ต้องการใชม้ ากและดินมักจะ
ขาดธาตุเหล่านี้ จงึ มกั ใชเ้ ป็นปุ๋ยสำหรับพชื ในไรน่ าท่ัวไป
3. แคลเซียม (Ca) แมกนเี ซียม (Mg) และกำมะถัน (S) เรียกว่าธาตุรอง เพราะพืชตอ้ งการใชม้ ากรองจาก N, P, K
4. เหลก็ (Fe) แมงการนีส (Mn) สังกะสี (Zn) ทองดอง (Cu) โบรอน (B) โมลิบดีนัม(Mo) คลอรีน (Cl) พชื ต้องการในปรมิ าณ
น้อยมากแต่ก็ขาดไม่ไดจ้ ึงเรียกกลุม่ นว้ี ่า จุลธาตุ
- จลุ ธาตมุ ักขาดในดินทราย, ดนิ มี pH สูง หรอื มีอินทรยี ว์ ัตถมุ าก
- N, P มักขาดในดินทวั่ ไป K มีมากยกเวน้ ในดินทราย
ไนโตรเจน (N)
แหล่งใหญใ่ นดนิ คืออินทรยี ว์ ตั ถซุ ึง่ เฉลี่ยจะมี N ประมาณ 5% พชื ใช้ N ในรปู NH4+, NO2-, NO3-หนา้ ท่ีและความสำคญั
ของ N พชื ต้องการมากเพราะต้องใช้ในการเจริญเตบิ โตสร้างกรดอะมิโน สรา้ งโปรตีน เป็นส่วนประกอบของเอนไซม์และ
วิตามิน
พชื ท่ไี ดร้ บั N ในปรมิ าณทพ่ี อเหมาะจะสง่ ผลให้
1. กระตุ้นให้เตบิ โตและแข็งแรง
2. ส่งเสรมิ การเติบโตของต้นและใบ
3. ทำใหใ้ บสีเขยี ว
4. เพ่ิมโปรตนี ใหพ้ ชื
5. ควบคุมการออกดอก
6. เพม่ิ ผลผลิตและเมล็ด
7. ทำใหพ้ ืชต้ังตัวได้เรว็ ในระยะแรก
พืชได้รบั N นอ้ ยเกินไปจะแสดงอาการดงั นี้
1. ใบลำตน้ เหลืองผิดปกติ
2. ใบลา่ งเหลอื งปลายใบค่อยๆแหง้ ใบร่วงก่อนกำหนด
3. พืชไม่โตลำต้นผอมสูง ผลผลิตต่ำ
ผลเสยี จากการท่ีพชื ไดร้ บั N มากเกนิ ไป
1. คุณภาพเมลด็ ผล ใบ เส่ือม
2. พชื แกเ่ รว็
3. ผลผลิตเมลด็ ลดลงเพราะมุ่งสร้างดอกลำตน้ กิ่ง ใบ มากกว่าดอกและเมล็ด
64
4. ต้นอ่อนลม้ ง่ายเชน่ ขา้ ว
5. ต้านทานโรคลดลง
แหล่งของ N มาจาก
- อากาศ
- จุลินทรยี ์ Symbiotic
- จุลินทรยี ์Non- Symbiotic
- ฝน
- ปุ๋ย
การสญู เสยี N
- พืชใช้ไป
- การชะลา้ งโดยนำ้ ฝน
- กลายเป็นก๊าซ NO (Nitric Oxide), N2O (Nitrous Oxide), N2 (Nitrogen)
- ดนิ กรด NO2จะเกดิ การสญู เสียในรูปกา๊ ซ N2เช่น 2HNO2 + CO(NH2) -> CO2 +3H2O + 2N2
ฟอสฟอรสั (P)
พืชต้องการ P ประมาณ 0.3-0.5% (โดยน้ำหนกั แหง้ ) พืชใช้ในรปู H2PO4-H2PO = 4PH ทีเ่ หมาะสม 6-7 ฟอสเฟตถกู ตึง
งา่ ยพืชใช้ได้ 10-25% ของปริมาณท่ใี ส่ให้พชื โดยเฉพาะดินกรดจะถูกตรงึ ทันทดี ้วย polar adsorption เมือ่ pH ต่ำจะถูก
ตรึงโดยโลหะ เชน่ Fe, Al และ Mn สว่ น pH จะถูกตงึ โดย Ca และ Mg ปริมาณ P ในดินนาไทยมี 0.020% เปรียบเทียบ
กับพม่า 0.082% มาเลย์เซีย 0.040% ญปี่ ุ่น 0.080% ฟิลิปปินส์ 0.059%
หนา้ ทแี่ ละความสำคญั ของ P เปน็ องคป์ ระกอบของอนิ ทรยี ส์ ารหลายชนดิ
1. ทำปฏิกริ ยิ ากบั น้ำตาลฟอสเฟตมีบทบาทในการสังเคราะห์แสง
2. เปน็ องค์ประกอบของ DNA และ RNA ฟอสโฟไลปิด
3. ฟอสเฟตพลงั งานสูงใน ATP
4. สร้างพันธะเคมีเพือ่ เช่ือมโมเลกุลท่ีซับซ้อนและมน่ั คง (C-P-C)
อาการทีพ่ ชื ขาด P
1. ใบขยายขนาดชา้ จึงเล็ก
2. จำนวนใบนอ้ ยออกดอกชา้
3. จำนวนดอกผล เมล็ด ลดลง
4. ใบลว่ งเรว็ กวา่ ปกติ
โปตสั เซยี ม (K)
มรี ากในดนิ พืชต้องการ 2-5% (โดยน้ำหนกั แหง้ ) รูปของไอคอนที่พชื ใช้ได้ K+
หนา้ ทแ่ี ละความสำคญั ของ K
1. ใชใ้ นกระบวนการสรา้ งน้ำตาลและแป้ง
2. การเคลือ่ นย้ายนำ้ ตาลและแปง้ (เพ่ิมเท่าตวั )
3. การสงั เคราะห์แสงและหายใจถา้ แสงน้อยควรเพ่ิม K เชน่ หน้าฝน, อากาศหนาว, พืชหวั ต้องการ K มาก
65
4. การปลุกฤทธ์ิ
5. เพม่ิ ความตา้ นทานโรค
6. เพิ่มคณุ ภาพผักผลไม้
อาการทพี่ ชื ขาด K
1. ใบพืชสีซดี แล้วเปลี่ยนเปน็ สนี ำ้ ตาล
2. เมลด็ ลบี น้ำหนักเบา หัวมแี ป้งน้อย นำ้ มาก ผลไมเ้ น้ือฟ่าม
3. เหยี่ วเฉาง่ายเมอ่ื ความชนื้ ต่ำ
** การใช้ปูนทำให้ K ถูกชะล้างน้อยลง
แคลเซยี ม (Ca)
ในพชื มี 0.1-5% (โดยนำ้ หนักแห้ง) พืชใช้ Ca ในรูป Ca++พชื ใบเล้ยี งคู่ต้องการ Ca มากกว่าพืชใบเลยี้ งเด่ียว Ca
มาจากองค์ประกอบหลายชนิดแตเ่ รารจู้ กั กันมากในกลมุ่ ของเกลือแคลเซยี มอิสระ พวกปนู ตา่ งๆได้แก่ หินปนู (CaCO3),
โดโลไมท์ (CaMg(CO3) 2), ยปิ ซ่ัม (CaSO4) เป็นต้น
หนา้ ทแ่ี ละความสำคญั ของ Ca
1. จำเปน็ ในการแบ่งเซลล์
2. เป็นองคป์ ระกอบของโครงสรา้ งผนังเซลล์โดยเฉพาะการเจริญเติบโตของยอดหรือปลายราก
3. เปน็ ตัวแกค้ วามเปน็ สารพิษตา่ งๆเช่น พิษของทองแดง, กรด Oxalic acid
4. เปน็ ตัวตา้ นฤทธ์ขิ องฮอร์โมนพืชพวก Auxin
5. ส่งเสริมการดดู ดงึ ไนเตรทไนโตรเจนจึงชว่ ยสร้างโปรตีนในทางอ้อม
6. ลดการดดู ดึงธาตุ K
อาการทพ่ี ชื ขาด Ca
1. เกิดกบั ส่วนยอดหรือใบอ่อน
2. ใบออ่ นบดิ เบยี้ วขอบใบมว้ นลงลา่ ง ขอบใบขาดเปน็ ร้วิ แหง้ ขาวหรือเป็นจุดสนี ้ำตาลตามขอบใบยอดแห้งตาย (die back)
3. รากไม่เจรญิ เทา่ ทค่ี วรรากส้นั
4. อาการก้นเนา่ ในผลมะเขอื เทศไส้เนา่ ของกะหล่ำดอก ต้นคืน่ ช่ายผิวฉกี ขาด ยอดอ่อนตาย เปน็ ตน้
แมกนเี ซยี ม (Mg)
ปกติพืชมี Mg อย่ใู นช่วง 0.15-0.35% (โดยนำ้ หนักแห้ง)พชื ใช้ Mg ในรปู Mg++
องค์ประกอบที่หาได้ง่ายคอื โดโลไมท์ (CaMg(CO3) 2)
หนา้ ทแี่ ละความสำคญั ของ Mg
1. เปน็ องค์ประกอบของคลอโรฟลิ ล์ (ส่วนท่ีเป็นสเี ขยี วของพชื )
2. เป็นตัวนำใหเ้ กดิ ปฏิกิรยิ าการใช้ P
3. มีสว่ นในการสร้างกำมะถนั โดยทำงานรว่ มกับกำมะถนั (S)
4. เปน็ เอนไซมท์ ่ีเกี่ยวกบั การหายใจของเซลล์
5. มสี ่วนในการสรา้ งองค์ประกอบทางพนั ธุกรรม
อาการทพ่ี ชื ขาดMg
เกดิ ทีใ่ บลา่ งเพราะเปน็ ธาตุท่ีเคล่ือนยา้ ยได้ อาการใบล่างเหลอื ง แตเ่ สน้ ใยยังเขยี วต่อไปจะเปล่ยี นเปน็ สขี าวและสีน้ำตาล
และตายในทสี่ ุด
ตวั อยา่ งการขาด Mg ในพชื ตา่ งๆ
- ขา้ วฟา่ งและฝ้ายถา้ ขาดใบจะมสี มี ว่ งแดง
66
- พชื ตระกลู ถว่ั ถา้ ขาด Mg จะเกดิ สีซดี (Chlorosis) แต่เสน้ ใยยังเขยี วอยู่
- มนั ฝรัง่ จะทำใหเ้ กิดโรคทีเ่ รียกว่า Potato sickness
- สม้ จะทำให้เกิดโรคท่ีเรียกวา่ Bronzing
- ต้นแอปเปลิ จะทำใหเ้ กิดโรคทเี่ รยี กว่า Blotch ใบจะหลุดล่วงกอ่ นกำหนด
กำมะถนั (S)
พชื ปกตมิ ี S อยูป่ ระมาณ 0.1-0.5% (โดยน้ำหนกั แห้ง) พืชใช้ S ในรปู SO4, SO3ทัว่ ไปอยู่ในรูปซลั ไฟด์และซัลเฟตในดินใน
แร่ไฟไรท์ (FeS2), ยปิ ซั่ม (CaSO4) เป็นต้น ปยุ๋ เชน่ แอมโมเนยี มซัลเฟต มี S อยู่ 24% ยปิ ซมั มี S อยู่ 18% การใส่
กำมะถันในดินทำใหเ้ กิดความเปน็ กรดจัด
หนา้ ทแ่ี ละความสำคญั ของ S
1. จำเปน็ ต่อการสรา้ งโปรตีนและกรดอะมิโน
2. เปน็ องค์ประกอบของวติ ามิน B1, Coenzyme A, Glutathione, และ Enzyme อนื่ ๆ
3. มผี ลทางอ้อมต่อการแย่งเซลล์ซง่ึ มผี ลต่อการเจริญเตบิ โตของสว่ นยอดพชื
4. เป็นองค์ประกอบของสารท่รี ะเหยได้เชน่ กลีบของหวั หอม, กระเทียม, กะหล่ำปลี
5. เพิม่ ปรมิ าณน้ำมันในพชื เช่น ถัว่ เหลือง
อาการที่พชื ขาดS
1. มีใบสีเขยี วอ่อนหรือเหลอื งคลา้ ยขาด N แต่การขาด S จะเกิดที่ยอด
2. ใบมขี นาดเล็กลงยอดพชื ชะงกั การเจรญิ เติบโต
3. ลำต้นลีบเลก็ แคระแกนเน้ือไม้แขง็ รากยาวผิดปกติ พชื อายุน้อยอาจตายได้
ตวั อยา่ งการขาด S ในพชื ตา่ งๆ
- มนั ฝรั่งถ้าขาดจะเกดิ อาการใบเหลืองรวมทงั้ เส้นใบใบจะม้วนขนึ้ ทีละนอ้ ยมรี อยแห้งตายเลก็ ๆระหวา่ งเสน้ ใบ การ
เจรญิ ลดลง
- ผกั จะมใี บล่างหนาและกระดา้ ง ลำต้นมีสเี ขยี วเหลืองเกิดขึ้น ผอมบาง
- ตระกูลถ่ัวใบอ่อนจะสีเขียวอ่อนจนเหลืองรวมท้ังเส้นใบ มโี ปรตีนต่ำ มปี มน้อย
พืชท่ตี ้องการ S มาก ได้แก่ พืชตระกลู ถวั่ , หอม, กะหลำ่ ปลี, หนอ่ ไม้ฝรัง่ , กระเทยี ม และดอกไม้บางชนดิ
พชื ทีต่ อ้ งการ S ลองลงมา ได้แก่ ฝา้ ย, ยาสบู และมันฝรัง่
พชื ทีต่ อ้ งการ S น้อย ได้แก่ หญา้ ต่างๆ, ข้าวโพด, ข้าวฟ่าง เป็นตน้
เหล็ก (Fe)
หนา้ ทแี่ ละความสำคญั ของ Fe
1. เป็นองคป์ ระกอบและชว่ ยสร้างคลอโรฟิลล์
2. ช่วยในการดดู ธาตุอาหารอ่ืนๆ
3. จำเป็นในการสงั เคราะห์โปรตีนและคลอโรพลาส
4. เปน็ องค์ประกอบเอนไซม์หลายชนดิ
5. เป็นตวั เรง่ ปฏกิ ิริยาท่สี ำคัญของพืช
6. เปน็ องค์ประกอบของ Cytochrome ซ่งึ สำคัญในกระบวนการหายใจของพชื
อาการท่ีพชื ขาด Fe
1. จะเกิดอาการขาวซีดที่ใบอ่อนและจะตายจากยอดลงมา (die back) โดยที่ใบล่างยงั เขียวอยู่
2. จาก Fe มากเกนิ ไป มักเกดิ กับข้าวในดินเปรย้ี วจัดทำใหใ้ บมสี ีเขียวปนนำ้ เงิน ต่อมาใบจะแหง้ อย่างรวดเร็ว การ
เจรญิ ของตน้ และรากลดลงรากเปลยี่ นเป็นสนี ้ำตาล
การแกไ้ ข
โดยการใช้ปุย๋ K
67
แมงกานสี (Mn)
หนา้ ทแ่ี ละความสำคญั ของ Mn
1. บทบาทสำคัญในการสงั เคราะหแ์ สง
2. จะเปน็ ในการสงั เคราะห์โปรตนี คาร์โบไฮเดรต และไขมัน
3. กระตนุ้ การทำงานของ Enzymes
4. มีสว่ นใน Metabolism ของ Fe และ N
อาการท่พี ชื ขาดMn
อาการใบเหลอื งแตเ่ ส้นใบเขียว เกดิ กบั ตน้ อ่อน การเจริญเติบโตช้าไมอ่ อกดอกออกผล ในพืชตระกลู หญ้าเชน่ ขา้ ว
จะเกดิ การขาด Mn ง่าย
อาการเปน็ พษิ จากการไดร้ บั Mn มากเกินไป
- ตาข้างแตกก่งิ มากมาย (Withes broom)
- ทำใหเ้ กิดการขาด Ca ทใี่ บอ่อน
ทองแดง (Cu)
หนา้ ทแ่ี ละความสำคญั ของ Cu
1. สำคญั ตอ่ การสรา้ งละอองเกสรและการปฏิสนธิ
2. บทบาททางอ้อมในการสร้างคลอโรฟลิ ล์
3. เปน็ ตัวเรง่ Enzyme หลายชนิด
4. ช่วยในกระบวนการหายใจ
5. เปน็ องคป์ ระกอบของโปรตีน
อาการที่พชื ขาด Cu
ใบพืชเขียวจดั ในชว่ งแรกและตอ่ มาค่อยๆเหลืองลง
ตวั อยา่ งการขาด Cu ในพชื ตา่ งๆ
- พวกสม้ จะเกดิ อาการตายจากยอดลงมา
- ข้าวโพดใบอ่อนจะมสี เี ขยี วอ่อนแกมเหลืองท่ีฐานใบและปลายใบจะแหง้ ตาย มักเกิดกบั ใบตอนบนมากกวา่ ตองล่าง
อาการจากการไดร้ บั Cu มากเกนิ ไป
การเจริญเติบโตลดลงและอาจแสดงอาการขาด Fe ด้วย
สงั กะสี (Zn)
หนา้ ทแี่ ละความสำคญั ของ Zn
1. เกีย่ วขอ้ งกบั ฮอรโ์ มนท่คี วบคุมการเจรญิ เตบิ โต
2. มีส่วนในการขยายพันธพุ์ ชื บางชนดิ
3. บทบาททางอ้อมในการสร้างคลอโรฟลิ ล์
4. เป็นตวั เรง่ Enzyme หลายชนดิ
อาการท่ีพชื ขาด Zn
- ยอดยืดช้าใบเปน็ กระจุก ใบเลก็ แคบ ไมอ่ อกผล น้ำหนักเมลด็ ลดลง
- มีกิจกรรมของออกซเิ จนลดลงถึง 50%
68
โมลบิ ดนี มั (Mo)
หนา้ ทแี่ ละความสำคญั ของ MO
1. จำเปน็ ในการตรงึ ไนโตรเจน
2. เป็นตวั กอ่ ใหเ้ กดิ Metabolism ของไนโตรเจน
3. เป็นตวั เรง่ Enzyme หลายชนิด
อาการทีพ่ ชื ขาดMO
มักเกดิ อาการใบลา่ งแหง้ ตายขอบใบหงิกงอ มีจุดดา่ งเกดิ ขึ้น
โบรอน (B)
หนา้ ทแ่ี ละความสำคญั ของ B
1. เกี่ยวข้องกับการดูดดงึ Ca ของรากพืช
2. ชว่ ยใหพ้ ชื ใช้ K ได้มากขึน้
3. มีบทบาทในการสังเคราะหแ์ ละย่อยโปรตีนคารโ์ บไฮเดรต
4. ปรับสดั ส่วนระหว่าง K และ Ca ในพืชให้เหมาะสม
5. ชว่ ยให้ดดู N ไดด้ ี
6. เกย่ี วขอ้ งกบั การดดู และคายน้ำและกระบวนการสงั เคราะห์แสง
7. จำเปน็ สำหรับการงอกของเกสรพืช
8. ชว่ ยในการขนยา้ ยน้ำตาล
อาการทีพ่ ชื ขาด B
- ยอดชะงักการเจรญิ เติบโตทำให้ตน้ แคระแกน
- รากเจริญน้อยส้ันผดิ ปกติ
- เกดิ จุดนำ้ ตาลหรอื ดำในจุดต่างๆขอพชื โดยเฉพาะพชื ท่ีให้หัวที่รากจะมีการแตกเป็นรอ่ ง
- พวกกะหลำ่ จะเกิดการตายของท่อน้ำท่ออาหาร (ไสด้ ำ)
คลอรนี (Cl)
ยังไม่ทราบแนช่ ดั ตอ่ อาจมีความสำคัญต่อการสงั เคราะห์แสงและทำให้พืชแก่เรว็ ขนึ้ ธาตุอาหารต่างๆในรปู ของปุ๋ย มีดังนี้
N – ยูเรีย, แอมโมเนียมซลั เฟต, แอมโมเนียไนเตรท, แอมโมเนยี มคลอไรด์
K – โปตัสเซยี มคลอไรด์ (KCl) และโปตสั เซยี มซลั เฟต (K2SO4) มี K2O ประมาณ 48-60%
P – Basic slag จากกระบวนการผลติ เหลก็ กล้า มี P4O5ประมาณ 17-20%
– กระดูสัตว์ Ca3(PO4) มี P2O5ประมาณ 20-28%
– Rock phosphate ละลายด้วยกรดได้ P สงู เชน่ ซเู ปอรฟ์ อสเฟต, ซเู ปอร์ฟอสเฟตเข้มข้น
N-P – Mono-ammonium phosphate 11-48-0
– Di- ammonium phosphate (DAP) 16-48-0, 18-46-0
N-K – Potassium nitrate 13-0-46
P-K – Potassium metaphosphate 0-55035
N ในรปู แอมโมเนยี มเหมาะกับดินกรดระบายอากาศไมด่ ี เชน่ ขา้ ว
N ในรรูปไนเตรทเหมาะกบั ดินดา่ ง
ความเปน็ กรดเปน็ ด่าง
ความเป็นกรดเป็นด่าง มผี ลต่อพืช 2 ประการ
69
1. มีผลต่อการดูดอาหารและน้ำโดยตรงจากใบออ่ น H+และ OH-
2. มผี ลต่อความสามารถในการละลายได้ของธาตุอาหารซ่งึ มที ัง้ ประโยชนแ์ ละโทษ คือเป็นพิษถ้าละลายมากไป เช่น ใน
กลมุ่ ของโลหะ ได้แกเ่ หล็ก(Fe), อลูมีเนยี ม(AI), แมงกานีส(Mn), เปน็ ตน้ นอกจากน้ียังมผี ลตอ่ กิจกรรมของจลุ นิ ทรยี ์
ดนิ กรด หรือดนิ เปรยี้ ว เกดิ จากอนุภาคของดินปลดปลอ่ ย H+ออกมา การวัดความเข้มข้นของ H+จะใช้ pH ซ่ึงมีค่า
ตั้งแต่ 1 ถึง 14 pH 7 จะแสดงความเป็นกลาง นอ้ ยกว่า 7 และมากกว่า 7 เป็นดา่ ง
วธิ กี ารวดั อาจใช้
- pH meter
- นำ้ ยาเปล่ียนสี
- กระดาษทดสอบ pH
ดนิ กรดมกั ขาด Ca, Mg และ K ไดง้ า่ ย ส่วน pH สงู กว่า 8.5 มกั มี Ca ตำ่ เพราะส่วนใหญป่ ระจุบวกที่แลกเปลีย่ นในดินจะ
เป็นพวก Na
- pH ต่ำกวา่ 5 ธาตุ P มกั ทำปฏิกิริยากบั Fe และ Al ทำใหพ้ ชื ใช้ไดน้ ้อย
- พืชสว่ นใหญ่เจริญได้ดีที่ pH 6.0 - 7.0
- สว่ นการปลูกพืชในน้ำยาจะปรบั pH ที่ 5.5
ใบความรทู้ ี่ 2
โครงสรา้ งและหนา้ ทข่ี องระบบตา่ ง ๆ ในรา่ งกายสตั ว์
สตั วต์ ่าง ๆ เป็นสิง่ มชี วี ิตที่อาศัยอยู่ในแหลง่ ที่อยู่ที่แตกต่างกัน และสัตวต์ ่าง ๆ เหลา่ นี้บางชนิดมเี น้ือเย่ือหรืออวยั วะท่ยี ัง
ไม่มีการพัฒนาให้เห็นได้ชดั เจน แต่บางชนิดก็มีการพฒั นาให้เห็นได้อย่างชัดเจน มีความซับซอ้ นของโครงสร้างของรา่ งกายท่ี
แตกต่างกันออกไป ซ่ึงมผี ลทำให้ระบบตา่ ง ๆ มสี ่วนประกอบของโครงสรา้ งและหนา้ ทก่ี ารทำงานที่แตกตา่ งกนั ออกไปดว้ ย
1. ระบบย่อยอาหารของสตั ว์
1.1 การย่อยอาหารในสัตว์มีกระดูกสันหลัง
สัตวม์ กี ระดูกสนั หลังทุกชนดิ เช่น ปลา กบ กิ้งกา่ แมว จะมีระบบทางเดนิ อาหารสมบรู ณ์ ซ่ึงทางเดนิ อาหารของ
สตั ว์มกี ระดูกสนั หลงั ประกอบดว้ ย
ปาก → หลอดอาหาร → กระเพาะอาหาร → ลำไส้เลก็ → ทวารหนัก
70
รปู แสดงทางเดนิ อาหารของววั
1.2 การยอ่ ยอาหารในสัตวไ์ ม่มีกระดูกสนั หลงั
1.2.1 การย่อยอาหารในสัตวท์ ไ่ี ม่มีกระดูกสนั หลงั ท่ีมที างเดินอาหารไมส่ มบรู ณ์
71
รูปแสดงระบบย่อยอาหารของสตั ว์ไมม่ ีกระดูกสันหลังทีม่ ีทางเดนิ อาหารไม่สมบูรณ์
ชนดิ ของสตั ว์ ลักษณะทางเดนิ อาหารและการยอ่ ยอาหาร
1. ฟองนำ้ - ยงั ไมม่ ที างเดนิ อาหาร แตม่ เี ซลลพ์ เิ ศษอย่ผู นงั ดา้ นในของฟองน้ำ
เรียกวา่ เซลลป์ ลอกคอ (Collar Cell) ทำหนา้ ที่จบั อาหาร แล้ว
สร้างแวควิ โอลอาหาร (Food Vacuole) เพือ่ ยอ่ ยอาหาร
2. ไฮดรา แมงกะพรนุ ซแี อนนีโมนี - มีทางเดนอาหารไม่สมบรู ณ์ มปี าก แต่ไมม่ ีทวารหนกั อาหารจะผา่ น
บริเวณปากเข้าไปในช่องลำตัวทีเ่ รียกวา่ ชอ่ งแกสโตรวาสควิ ลาร์
(Gastro vascular Cavity) ซงึ่ จะยอ่ ยอาหารท่ีบรเิ วณชอ่ งนี้ และกาก
อาหารจะถกู ขบั ออกทางเดิมคือ ปาก
3. หนอนตัวแบน เชน่ พลานาเรีย - มีทางเดนิ อาหารไมส่ มบรู ณ์ มีชอ่ งเปดิ ทางเดียวคือปาก ซ่ึงอาหารจะ
พยาธิใบไม้ เข้าทางปาก และย่อยในทางเดินอาหาร แลว้ ขับกากอาหารออกทาง
เดมิ คือ ทางปาก
1.2.2 การยอ่ ยอาหารในสัตวไ์ มม่ ีกระดูกสันหลังที่มีทางเดนิ อาหารสมบรู ณ์
72
ชนดิ ของสตั ว์ ลกั ษณะทางเดนิ อาหารและการยอ่ ยอาหาร
1. หนอนตวั กลม เชน่ พยาธิ - เปน็ พวกแรกที่มที างเดินอาหารสมบรู ณ์ คอื มชี ่องปากและ
ไส้เดอื น พยาธเิ สน้ ดา้ ย ช่องทวารหนกั แยกออกจากกัน
2. หนอนตวั กลมมีปลอ้ ง เช่น - มที างเดนิ อาหารสมบรู ณ์ และมโี ครงสรา้ งทางเดนอาหารทมี่ ี
ไสเ้ ดอื นดิน ปลงิ นำ้ จดื และแมลง ลกั ษณะเฉพาะแต่ละสว่ นมากขน้ึ
2. ระบบหมุนเวยี นเลอื ดในสัตว์
ในสตั ว์ชน้ั สูงมีระบบหมุนเวยี นเลือดซ่ึงประกอบด้วยหวั ใจเปน็ อวยั วะสำคญั ทำหน้าทส่ี บู ฉีดเลือดไปยงั สว่ นต่าง ๆ ของ
ร่างกาย และมหี ลอดเลือดเป็นทางลำเลยี งเลอื ดไปท่ัวทุกเซลล์ของร่างกาย แตใ่ นสัตว์บางชนดิ ใชช้ อ่ งว่างระหวา่ งอวัยวะเป็น
ทางผ่านของเลอื ด
ระบบหมนุ เวียนเลือดมี 2 แบบ ดังน้ี
2.1 ระบบหมุนเวยี นเลอื ดแบบวงจรปิด (Closed Circulation System) ระบบน้เี ลอื ดจะไหลอย่ภู ายในหลอดเลือด
ตลอดเวลา โดยเลือดจะไหลออกจาหวั ใจไปตามหลอดเลือดชนิดตา่ ง ๆ แล้วไหลกลับเข้าสู่หวั ใจใหม่เชน่ นเ้ี รือ่ ยไป พบในสตั ว์
จำพวกหนอนตัวกลมมปี ล้อง เช่น ไส้เดอื นดนิ ปลิงน้ำจดื และสัตวม์ ีกระดูกสันหลังทุกชนดิ
73
รปู แสดงระบบหมุนเวยี นเลือดแบบปดิ
รูปแสดงระบบหมนุ เวียนเลือดแบบวงจรปิดของสัตวช์ นิดต่าง ๆ
2.2 ระบบหมุนเวยี นเลอื ดแบบวงจรเปดิ (Open Circulation System)ระบบน้ีเลือดท่ีไหลออกจากหวั ใจจะไม่อยใู่ น
หลอดเลือดตลอดเวลาเหมือนวงจรปิด โดยจะมีเลอื ดไหลเข้าไปในช่องวา่ งลำตวั และทวี่ ่างระหว่าอวัยวะตา่ ง ๆ พบในสัตว์
จำพวกแมลง กงุ้ ปู และหอย
รปู แสดงระบบหมนุ เวียนเลือดแบบวงจรเปิด
3. ระบบหายใจในสัตว์
สตั วต์ า่ ง ๆ จะแลกเปล่ียนก๊าซกับส่งิ แวดล้อมโดยกระบวนการแพร่ (Diffusion) โดยสตั วแ์ ต่ละชนดิ จะมโี ครงสร้างที่ใช้
ในการแลกเปลยี่ นกา๊ ซท่ีเหมาะสมกบั การดำรงชวี ติ และส่ิงแวดลอ้ มต่างกนั
74
รปู แสดงระบบหายใจของสัตวช์ นดิ ต่าง ๆ
ชนดิ ของสตั ว์ โครงสรา้ งทใ่ี ชใ้ นการแลกเปลยี่ นกา๊ ซ
1. สตั วช์ ้ันต่ำ เชน่ ไฮดรา
- ไม่มีอวยั วะในการหายใจโดยเฉพาะ การแลกเปลี่ยนกา๊ ซใช้เยอื่ หมุ้
แมงกะพรุน ฟองนำ้ พลานาเรยี เซลลห์ รือผิวหนงั ท่ชี ุ่มชน้ื
2. สตั วน์ ้ำช้ันสงู เช่น ปลา กุง้ ปู
- มเี หงอื ก (Gill) ซึง่ มีความแตกตา่ งกนั ในด้านความซบั ซ้อน แตท่ ำหน้าท่ี
หมกึ หอย ดาวทะเล เช่นเดยี วกนั (ยกเว้นสัตว์ครง่ึ บกครึง่ น้ำในช่วงท่เี ป็นลกู อ๊อดซง่ึ อาศัย
อยู่ในนำ้ จะหายใจดว้ ยเหงอื ก ตอ่ มาเมื่อโตเปน็ ตวั เตม็ วัยอยู่บนบก จงึ
3. สตั ว์บกช้ันตำ่ เชน่ ไสเ้ ดือนดนิ จะหายใจด้วยปอด)
4. สตั ว์บกชั้นสูง มี 3 ประเภท คือ - มีผวิ หนังทเี่ ปยี กช้ืน และมีระบบหมนุ เวยี นเลอื ดเร่งอัตราการ
4.1 แมงมมุ แลกเปลย่ี นกา๊ ซ
4.2 แมลงตา่ ง ๆ
4.3 สัตวม์ ีกระดกู สันหลงั - มีแผงปอดหรอื ลังบก (Lung Book) มลี กั ษณะเป็นเส้น ๆ ยื่นออกมา
นอกผวิ ร่างกาย ทำใหส้ ูญเสยี ความชน้ื ได้ง่าย
- มที ่อลม (Trachea) เปน็ ท่อทต่ี ดิ ต่อกบั ภายนอกร่างกายทางรหู ายใจ
และแตกแขนงแทรกไปยงั ทกุ ส่วนของร่างกาย
- มีปอด (Lung) มีลกั ษณะเป็นถงุ และมีความสัมพันธ์กบั ระบบ
หมุนเวียนเลอื ด
4. ระบบขบั ถ่ายในสตั ว์
ในเซลลห์ รอื ในร่างกายของสัตวต์ ่าง ๆ จะมปี ฏกิ ริ ิยาเคมีจำนวนมากเกดิ ขึน้ ตลอดเวลา และผลจากการเกดิ ปฏิกิรยิ าเคมี
เหล่าน้ี จะทำใหเ้ กิดผลติ ภณั ฑ์ที่มปี ระโยชนต์ อ่ สง่ิ มชี วี ิตและของเสยี ท่ีตอ้ งกำจัดออกด้วยการขบั ถ่าย สตั ว์แตล่ ะชนิดจะมี
อวัยวะและกระบวนการกำจัดของเสยี ออกนอกรา่ งกายแตกตา่ งกันออกไป สตั ว์ชนั้ ต่ำทมี่ ีโครงสรา้ งงา่ ย ๆ เซลลท์ ท่ี ำหน้าที่
75
กำจดั ของเสียจะสมั ผัสกบั ส่ิงแวดลอ้ มโดยตรง สว่ นสัตว์ช้ันสงู ที่มีโครงสรา้ งซบั ซอ้ น การกำจัดของเสียจะมีอวยั วะที่ทำหนา้ ท่ี
เฉพาะ
ระบบขบั ถ่ายของสตั วช์ นิดต่าง ๆ มีดังตอ่ ไปนี้
รปู แสดงระบบขับถ่ายของสตั วช์ นดิ ตา่ ง ๆ
ชนดิ ของสตั ว์ โครงสรา้ งหรอื อวยั วะขบั ถา่ ย
1. ฟองนำ้ - เย่ือห้มุ เซลล์เปน็ บริเวณทมี่ ีการแพรข่ องเสยี ออกจากเซลล
2. ไฮดรา แมงกะพรนุ - ใช้ปาก โดยของเสียจะแพร่ไปสะสมในช่องลำตวั แลว้ ขบั ออกทางปาก
และของเสียบางชนิดจะแพร่ทางผนังลำตวั
3. พวกหนอนตัวแบน เช่น พลานา - ใช้เฟลมเซลล์ (Flame Cell) ซึ่งกระจายอยู่ท้ังสองขา้ งตลอดความยาว
เรีย พยาธิใบไม้ ของลำตวั เปน็ ตัวกรองของเสียออกทางท่อซ่ึงมรี เู ปิดออกข้างลำตวั
4. พวกหนอนตวั กลมมีปล้อง เชน่ - ใช้เนฟริเดียม (Nephridium) รับของเสยี มาตามทอ่ และเปิดออกมา
ไส้เดือนดนิ ทางท่อซึ่งมรี ูเปิดออกขา้ งลำตัว
5. แมลง - ใช้ท่อมัลพิเกียน (Mulphigian Tubule) ซึง่ เปน็ ท่อเล็ก ๆ จำนวนมาก
อยรู่ ะหว่างกระเพาะกบั ลำไส้ ทำหนา้ ทด่ี ูดซึมของเสียจากเลือด และ
สง่ ต่อไปทางเดินอาหาร และขับออกนอกลำตัวทางทวารหนกั ร่วมกบั
กากอาหาร
6. สตั ว์มีกระดกู สันหลัง - ใช้ไต 2 ข้างพร้อมด้วยท่อไตและกระเพาะปสั สาวะเปน็ อวัยวะขบั ถา่ ย
5. ระบบประสาท
ระบบประสาทเปน็ ระบบทท่ี ำหน้าทเี่ กีย่ วกับการส่งั งาน การตดิ ตอ่ เชื่อมโยงกบั สงิ่ แวดล้อม การรบั คำสั่งและการปรับ
ระบบต่าง ๆ ในร่างกายให้ทำกิจกรรมได้ถูกตอ้ งเม่ืออยู่ในสภาพแวดล้อมท่ีแตกต่างกนั
ระบบประสาทของสตั วช์ นดิ ตา่ ง ๆ มีดังต่อไปน้ี
76
รูปแสดงระบบประสาทของสัตวช์ นดิ ตา่ ง ๆ
ชนดิ ของสตั ว์ ระบบประสาท
1. ฟองนำ้ - ไม่มีระบบประสาท
2. ไฮดรา แมงกะพรนุ - เป็นพวกแรกที่มีเซลล์ประสาท โดยเซลล์ประสาทเชอ่ื มโยงกนั คลา้ ย
รา่ งแห เรยี กวา่ ร่างแหประสาท (Nerve Net)
3. หนอนตัวแบน เช่น พลานาเรยี - เปน็ พวกแรกท่ีมีระบบประสาทเป็นศูนยค์ วบคุมอยู่บรเิ วณหวั และมี
เสน้ ประสาทแยกออกไป ซึง่ จะมีระบบประสาทแบบขั้นบันได
(Ladder Type System)
4. สัตวไ์ มม่ ีกระดูกสันหลงั ชั้นสงู - มีปมประสาท (Nerve Ganglion) บรเิ วณสว่ นหัวมากขน้ึ และเรียงต่อ
เชน่ ไส้เดอื นดิน แมลง หอย กนั เปน็ วงแหวนรอบคอหอยหรอื หลอดอาหาร ทำหนา้ ท่ีเปน็
ศนู ย์กลางระบบประสาท และมีเสน้ ประสาททอดยาวตลอดลำตวั
5. สตั วม์ ีกระดกู สันหลัง - มีสมองและไขสนั หลงั เปน็ ศูนย์ควบคุมการทำงานของร่างกาย มีเซลล์
ประสาทและเส้นประสาทอยู่ทกุ ส่วนของร่างกาย
6. ระบบสืบพนั ธใุ์ นสัตว์
6.1 ประเภทของการสบื พนั ธขุ์ องสตั ว์ แบง่ ออกเปน็ 2 ประเภท ดังนี้
1. การสบื พนั ธแ์ุ บบไมอ่ าศยั เพศ (Asexual Reproduction) เป็นการสบื พันธ์โุ ดยการผลิตหนว่ ยสิง่ มชี วี ิตจากหน่วยสาง
มีชวี ติ เดมิ ดว้ ยวธิ กี ารตา่ ง ๆ ที่ไม่ใช่จากการใชเ้ ซลลส์ ืบพันธุ์ ได้แก่ การแตกหน่อ การงอกใหม่ การขาดออกเปน็ ท่อน และ
พารธ์ โี นเจเนซิส
77
2. การสบื พันธแ์ุ บบอาศยั เพศ (Sexual Reproduction) เป็นการสืบพนั ธ์ุทเี่ กดิ จากการผสมพนั ธ์รุ ะหว่างเซลล์สบื พนั ธุ์
เพศผู้และเซลลส์ บื พันธเุ์ พศเมีย เกิดเปน็ สิง่ มชี วี ติ ใหม่ ได้แก่ การสบื พันธข์ุ องสัตว์ชัน้ ตำ่ บางพวก และสตั ว์ช้นั สงู ทุกชนดิ
สตั ว์บางชนดิ สามารถสบื พันธ์ุท้ังแบบอาศยั เพศและแบบไม่อาศยั เพศ เชน่ ไฮดรา การสบื พันธ์แุ บบไมอ่ าศัยเพศของ
ไฮดราจะใช้วธิ กี ารแตกหนอ่
6.2 ชนดิ ของการสบื พนั ธ์ุแบบไมอ่ าศัยเพศ มีหลายชนดิ ดงั น้ี
1. การแตกหนอ่ (Budding) เป็นการสบื พันธท์ุ หี่ นว่ ยสิง่ มชี ีวิตใหม่เจรญิ ออกมาภายนอกของตวั เดิมเรยี กว่า หนอ่
(Bud) หน่อท่ีเกดิ ขน้ึ นจ้ี ะเจริญจนกระท่ังได้เป็นสงิ่ มีชีวติ ใหม่ ซึ่งมีลกั ษณะเหมือนเดิม แต่มขี นาดเลก็ ว่า ซงึ่ ต่อมาจะหลุด
ออกจากตวั เดิมและเติบโตต่อไป หรืออาจจะตดิ อยู่กับตัวเดิมกไ็ ด้ สัตวท์ ่ีมกี ารสืบพนั ธล์ุ กั ษณะนี้ได้แก่ ไฮดรา ฟองนำ้
ปะการงั
รูปแสดงการแตกหน่อของไฮดรา
2. การงอกใหม่ (Regeneration) เปน็ การสบื พนั ธทุ์ ี่มกี ารสร้างส่วนของรา่ งกายท่ีหลดุ ออกหรอื สญู เสยี ไปให้เปน็
ส่งิ มีชวี ติ ตัวใหม่ ทำใหม้ จี ำนวนสงิ่ มชี วี ิตเพิ่มมากขึ้น สัตว์ที่มีการสืบพนั ธุ์ลกั ษณะน้ี ได้แก่ พลานาเรีย ดาวทะเล ซีแอนนีโมนี
ไสเ้ ดอื นดนิ ปลงิ น้ำจืด
รปู แสดงการงอกใหมข่ องพลานาเรยี และดาวทะเล
3. การขาดออกเปน็ ทอ่ น (Fragmentation) เปน็ การสบื พันธโุ์ ดยการขาดออกเปน็ ท่อน ๆ จากตัวเดมิ แล้วแตล่ ะท่อน
จะเจริญเติบโตเปน็ ตวั ใหม่ได้ พบในพวกหนอนตวั แบน
4. พารธ์ โี นเจเนซสี (Parthenogenesis)เปน็ การสืบพนั ธ์ุของแมลงบางชนิดซึง่ ตวั เมยี สามารถผลติ ไข่ที่ฟักเปน็ ตวั ไดโ้ ดย
ไม่ต้องมีการปฏิสนธิ ในสภาวะปรกติ ไข่จะฟักออกมาเปน็ ตัวเมียเสมอ แตใ่ นสภาพะทไ่ี ม่เหมาะสมกับการดำรงชีวิต เชน่
เกิดความแห้งแล้ง หนาเย็น หรือขาดแคลนอาหาร ตัวเมยี จะผลิตไข่ทฟี่ ักออกมาเปน็ ทั้งตัวผู้และตวั เมีย จากน้นั ตัวผูแ้ ละตวั
เมียเหล่านี้จะผสมพันธ์ุกัน แลว้ ตวั เมยี จะออกไข่ที่มีความคงทนต่อสภาวะท่ีไมเ่ หมาะสมดังกลา่ ว แมลงท่มี ีการสบื พนั ธุ์
ลกั ษณะนี้ ได้แก่ ตกั๊ แตนกง่ิ ไม้ เพลย้ี ไรน้ำ ในพวกแมลงสงั คม เช่น ผึง้ มด ต่อ แตน ก็พบว่ามีการสืบพันธ์ใุ นลกั ษณะนี้
เหมือนกัน แต่ในสภาวะปรกติไข่ที่ฟักออกมาจะได้ตวั ผู้เสมอ
6.3 ชนดิ ของการสบื พนั ธแ์ุ บบอาศยั เพสของสัตว์ มี 2 ชนดิ ดงั นี้
78
1. การสบื พันธขุ์ องสตั ว์ทม่ี ี 2 เพศในตวั เดียวกนั (Monoecious) โดยทัว่ ไปไมส่ ามารถผสมกันภายในตัว ต้องผสมขา้ ม
ตัว เนือ่ งจากไข่และอสุจิจะเจริญไม่พร้อมกนั เชน่ ไฮดรา พลานาเรยี ไสเ้ ดือนดิน
รปู แสดงการสบื พนั ธแ์ุ บบอาศัยเพศของไฮดราตวั อ่อนหลดุ จากรังไข่ แล้วเจรญิ เตบิ โตตอ่ ไป
2. การสบื พันธข์ุ องสตั ว์ทมี่ เี พศผู้และเพศเมยี แยกกนั อยตู่ า่ งตวั กนั (Dioeciously) ในการสืบพนั ธุข์ องสตั วช์ นิดนีม้ ีการ
ปฏสิ นธิ 2 แบบ คอื
2.1 การปฏสิ นธภิ ายใน (Internal Fertilization) คอื การผสมระหว่างตวั อสจุ ิกบั ไข่ท่อี ยู่ภายในร่างกายของเพศ
เมีย สตั วท์ ีม่ กี ารปฏสิ นธิแบบร้ี ได้แก่ สัตว์ท่ีวางไขบ่ นบกทุกชนดิ สตั ว์ที่เลยี้ งลกู ดว้ ยน้ำนม และปลาท่ีออกลูกเปน็ ตวั เชน่
ปลาเข็ม ปลาหางนกยูง ปลาฉลาม
2.2 การปฏสิ นธภิ ายนอก (External fertilization) คือการผสมระหวา่ งตัวอสจุ ิกบั ไข่ท่ีอยภู่ ายนอกร่างกายของ
สัตวเ์ พศเมยี การปฏสิ นธแิ บบนตี้ อ้ งอาศัยนำ้ เปน็ ตวั กลางให้ตัวอสจุ เิ คล่ือนทเ่ี ข้าไปผสมไข่ได้ สัตวท์ ่ีมีการปฏิสนธแิ บบน้ี
ได้แก่ ปลาตา่ ง ๆ สัตวค์ ร่ึงบกครึ่งนำ้ และสตั วท์ ว่ี างไข่ในนำ้ ทุกชนิด
7. ระบบโครงกระดูกและการเจริญเตบิ โตของสัตว์
7.1 ประเภทของโครงกระดูกหรือโครงรา่ งแข็งของสตั ว์ แบง่ ออกเปน็ 2 ชนดิ คอื
1. โครงร่างแขง็ ทอ่ี ยภู่ ายนอกรา่ งกาย (Exoskeleton) พบไดใ้ นแมลง เปลอื กกุ้ง ปู หอย เกล็ดและกระดองสตั ว์
ต่าง ๆ มีหนา้ ทป่ี ้องกันอันตรายท่อี าจเกิดขึ้นกบั อวัยวะท่อี ยู่ภายใน
79
รปู แสดงโครงร่างแขง็ ท่ีอย่ภู ายนอกรา่ งกายของสัตวช์ นิดตา่ ง ๆ
2. โครงร่างแขง็ ทอ่ี ยภู่ ายในรา่ งกาย (Endoskeleton) ไดแ้ ก่ โครงกระดกู ของสตั ว์ท่ีมีกระดูกสันหลังทัง้ หมด
7.2 การเจรญิ เติบโของสตั ว์
สตั วท์ ีม่ ีโครงร่างหุม้ นอกร่างกาย และมีโครงรา่ งแข้งอยภู่ ายในรา่ งกาย จะมแี บบแผนของการเจรญิ เติบโตแตกตา่ ง
กนั ดังนี้
1. การเจรญิ เตบิ โตของสตั วท์ ม่ี โี ครงรา่ งแขง็ หุม้ นอกรา่ งกาย เช่น แมลง กงุ้ ปู มกี ารเจริญเติบโตได้ยาก ดังนน้ั เมื่อ
เจรญิ วยั จะต้องมีการสลดั เปลือกเกา่ ทิง้ ไปทีเ่ รยี กว่า ลอกคราบ (Molting) เพื่อใหผ้ ิวร่างกายท่อี ่อนนิม่ เติบโตไดแ้ ลว้ จงึ สร้าง
โครงแขง็ หรอื เปลอื กมาหุ้มใหม่ และต่อไปก็จะเจรญิ ด้วยการลอกคราบอีก เป็นเชน่ นี้เร่ือย ๆ ไป ทำใหล้ ักษณะเส้นกราฟการ
เจรญิ เติบโตเป็นรูปขนั้ บันได ซ่ึงเส้นกราฟจะมีลักษณะเพ่ิมขนึ้ อย่างฉบั พลนั เป็นระยะท่ีส่งิ มีชวี ิตมีการลอกคราบและเติบโต
ขึ้น สลบั กับการเพ่มิ ขน้ึ อยา่ งช้า ๆ ในบางช่วง
80
กราฟแสดงการเจริญเติบโตของมวนนำ้
ส่วนหอยมโี ครงรา่ งแข็งห้มุ นอกรา่ งกายเหมอื นกนั แต่ไมต่ ้องลอกคราบ มนั จะสรา้ งเปลือกเพิม่ ข้ึนเรือ่ ย ๆ ตวั มันท่ี
อยูภ่ ายในกจ็ ะขยายใหญต่ ามไปด้วย
สำหรับแมลง การเจริญเตบิ โตของแมลงแบง่ ออกไดเ้ ปน็ 2 พวก ดังน้ี
ชนดิ การเจรญิ เตบิ โตของแมลง ลักษณะการเจรญิ เตบิ โต
1. ไม่มีเมตามอรโ์ ฟซสี (Ametamorphosis) - ไม่มีการเปล่ยี นแปลงรปู ร่างในการเจริญเติบโต คือ
ไข่ (egg) →ตวั ออ่ น (young) เหมอื นตวั เตม็ วยั แต่
เลก็ กวา่ →ตวั เตม็ วยั (adult)
ตัวอยา่ งแมลง เช่น ตัวสองงา่ ม ตวั สามง่าม แมลงหาง
ดดี
วฏั จักรชีวิตของแมลงสองงา่ ม - มีการเปล่ียนแปลงรปู ร่างเป็นขนั้ ๆ ในระหว่างกาน
เจรญิ เตบิ โต แมลงที่เจรญิ เติบโตลักษณะน้ี ได้แก่
2. มเี มตามอร์โฟซสี (Metamorphosis) แมลงต่าง ๆ ทนี่ อกเหนือจากขอ้ 1.
2.1 เมตามอรโ์ ฟซีสแบบสมบูรณ์ (Complete
- มกี ารเปลย่ี นแปลงรูปรา่ งครบ 4 ขน้ั คอื
Metamophosis)
ไข่ (egg) →ตวั ออ่ น (larva) →ดกั แด้ (pupa)
→ตวั เตม็ วยั (adult)
ตัวอย่างแมลง เชน่ ผ้ึง ด้วง แมลงวัน มด ตอ่ แตน
ไหม
81
ชนดิ การเจริญเติบโตของแมลง ลกั ษณะการเจรญิ เติบโต
วัฏจกั รชีวิตของดว้ ง วัฏจกั รชีวติ ของแมลงวนั
2.2 เมตามอรโ์ ฟซสี แบบไม่สมบูรณ์ - มกี ารเปล่ียนแปลงรปู ร่างเพียง 3 ขัน้ คอื
(Incomplete Metamorphosis) ไข่ (egg) →ตวั ออ่ นในนำ้ (naiad) →ตวั เตม็ วยั
ตวั อยา่ งแมลง เชน่ แมลงปอ ชปี ะขาว จ้งิ โจ้นำ้
(adult)
2.3 เมตามอรโ์ ฟซสี แบบคอ่ ยเปน็ ค่อยไป วัฏจกั รชีวติ ของแมลงปอ
(Gradual Metamorphosis) - มีการเปล่ยี นแปลงรูปร่างทีละน้อย โดยมีการ
ตวั อยา่ งแมลง เช่น แมลงสาป จิ้งหรีด จกั จั่น เรอื ด
เปลยี่ นแปลงรูปร่างเพยี ง 3 ข้ัน คือ
มวนต่าง ๆ
ไข่ (egg) →ตวั ออ่ นบนบก (nymph) →ตวั เตม็ วยั
(adult)