The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วิชาวิทยาศาสตร์ ประถม

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Jah Mari, 2022-05-26 07:55:51

วิชาวิทยาศาสตร์ ประถม

วิชาวิทยาศาสตร์ ประถม

182

1. การสังเกตพฤตกิ รรมการมรี ายบุคคล/รายกลุ่ม
2. การตรวจแบบบันทึกการเรียนรู้ กศน.
3. ประเมินการนำเสนอผลงาน/ชิน้ งาน
4. การตรวจใบงาน
5. การตรวจแบบทดสอบ
6. การประเมนิ คุณธรรม

กจิ กรรมการเรยี นรูด้ ว้ ยตนเอง (จำนวน 10 ชว่ั โมง)
ใบงาน กรต. คร้ังท่ี 6

สาระความรู้พน้ื ฐาน รายวชิ าวทิ ยาศาสตร์ รหสั พว 11001
ระดบั ประถมศกึ ษา

183

คำสง่ั ให้นักศึกษาแบง่ กลุม่ กลุม่ ละ 3 คน และไปทำกจิ กรรมการเรยี นรู้ต่อเน่อื ง (กรต) โดยการไปศึกษาค้นคว้า อ่าน
หนงั สอื จดบันทกึ จากหนังสือแบบเรยี น ตำรา หนังสือ และส่ืออื่นๆ ในหอ้ งสมดุ ประชาชนจังหวัด ห้องสมุดประชาชน
อำเภอ โรงเรียนประถมศึกษา โรงเรยี นมัธยมศึกษา ในพ้นื ที่อำเภอเมืองนราธิวาสหรืออำเภออน่ื ๆ สือ่ ออนไลน์ หรือไป
สอบถามขอความรูจ้ ากบุคคล ในหวั ข้อตอ่ ไปนี้

1. การเกดิ กลางวนั กลางคืน
2.การเกดิ ข้างข้ึน ข้างแรม
3.การเกดิ สรุ ิยุปราคา และจันทรปุ ราคา
4.การเกิดฤดูกาล
5.การเกิดลมบก ลมทะเลขน้ั ตอนของการไปเรียนรูต้ ่อเนื่อง (กรต.) ของนกั ศึกษา มดี ังน้ี
1. แผนการเรยี นรู้ตอ่ เน่อื ง (กรต.) ในแตล่ ะแต่ละสปั ดาห์ แต่ละครงั้ ที่ครู กศน.ตำบล/ครู ศรช. หรอื ครปู ระจำกลุ่ม
กลุม่ มอบหมาย
2. ใหบ้ รหิ ารเวลาและใชเ้ วลาในการศึกษาเรยี นรดู้ ้วยตนเองและทำกิจกรรมการเรยี นรู้ต่อเนือ่ ง (กรต.) สปั ดาห์ละ
15 ชัง่ โมงเปน็ อย่างนอ้ ย
3. อ่านหนังสือ สอบถามผู้รู้ และจดบนั ทึกทุกครงั้ ทีมีการทำกิจกรรม กรต. และเกบ็ หลกั ฐานไว้ทกุ ครัง้ เพื่อสง่
ครกู ศน.ตำบล/ครูศรช. หรือครูประจำกลมุ่ ตรวจให้คะแนนการทำ กรต.
4. จดั ทำรายงานเปน็ เลม่ ตามแบบรายงานท่ีศนู ย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยกำหนดและให้
ส่งในวนั ทีม่ ีการนำเสนอผลการทำกรต. ในเรื่องน้ันๆ
5. สมาชิกในกล่มุ ร่วมกันนำเสนอ/นำด้วยตนเอง(ในกรณที ำคนเดยี ว) โดยให้นำเสนอผลงานตามข้อ4 กลมุ่ ละ/คน
ละไมเ่ กนิ 10 นาที ในวันพบกลุ่มคร้งั ต่อไป

แบบสังเกตพฤตกิ รรมการปฏิบตั ิกจิ กรรมของนักเรียนรายบคุ คล

184

เลข ่ทีช่อื – สกลุ ผลการประเมนิ
มีความ ้ัตงใจในการทำงาน
มีความรับผิดชอบ
ตรง ่ตอเวลา
ความสะอาดเรียบร้อย
ผลสำเร็จของงาน
รวมคะแนน

๓ ๓ ๓ ๓ ๓ ๑๕ ผ่าน ไม่ผา่ น

เกณฑ์การประเมนิ ระดบั คณุ ภาพ เกณฑท์ ผี่ ่าน

๓ ปฏบิ ัติหรือแสดงพฤติกรรมสม่ำเสมอ ดี ๑๑ – ๑๕ คะแนน ดี ตั้งแต่ ๑๐ คะแนน

๒ ปฏบิ ัตหิ รอื แสดงพฤติกรรมบอ่ ยครง้ั ปานกลาง ๖ – ๑๐ คะแนน พอใช้ ขนึ้ ไป

๑ ปฏิบัตหิ รือแสดงพฤติกรรมบางครงั้ หรือน้อยคร้ัง ปรับปรุง ๑ – ๕ คะแนน ปรบั ปรงุ

แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการปฏบิ ตั กิ จิ กรรมกลมุ่
กลมุ่ ท่.ี .............

185

เลข ่ทีชอ่ื – สกลุ รวม ผลการประเมนิ
ีมส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น
ีมความกระตือรือร้นในการทำงาน
รับผิดชอบในงาน ่ีทไ ้ดรับมอบหมาย
ีม ั้ขนตอนในการทำงานอย่างเ ็ปนระบบ
ใช้เวลาในการทำงานอ ่ยางเหมาะสม

๓ ๓ ๓ ๓ ๓ ๑๕ ผา่ น ไมผ่ า่ น

เกณฑก์ ารประเมนิ ระดบั คณุ ภาพ เกณฑท์ ผี่ า่ น
๓ ปฏิบตั หิ รอื แสดงพฤติกรรมสมำ่ เสมอ ดี
๒ ปฏิบัติหรือแสดงพฤตกิ รรมบอ่ ยคร้ัง ปานกลาง ๑๑ – ๑๕ คะแนน ดี ตง้ั แต่ ๑๐ คะแนน
๑ ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางคร้ังหรือน้อยคร้ัง ปรับปรุง
๖ – ๑๐ คะแนน พอใช้ ขึ้นไป

๑ – ๕ คะแนน ปรับปรุง

ใบความรทู้ ่ี 1

ปรากฏการณธ์ รรมชาติของแสง

แสงเป็นพลังงานรปู หนึ่งเดินทางในรปู เคลอ่ื นทม่ี ีอัตราเรว็ สงู ส่งิ มีชีวติ สว่ นใหญ่บนโลกไมส่ ามารถดำรงอยูไ่ ด้โดยไม่มี
แสงแหลง่ กำเนดิ แสงทส่ี ำคัญที่สดุ ของเราคือดวงอาทติ ย์อย่างไรกต็ าม เราสามารถผลติ แสงไดเ้ องเช่นกนั โดยใช้ไฟฟา้

186

ถ้าลำแสงผ่านควนั หรือฝุ่นละอองจะเหน็ ลำแสงนีเ้ ป็นเส้นตรงดว้ ยอัตราเรว็ 300,000 กโิ ลเมตรต่อวนิ าทแี สง
สามารถผ่านวตั ถุบางชนดิ ได้แต่แสงไมส่ ามารถผา่ นวตั ถทุ บึ แสงไดเ้ ช่น แผ่นเหลก็ ผนังคอนกรีตกระดาษหนาๆเป็นตน้
วัตถทุ บึ แสงจะสะท้อนแสงบางส่วนและดดู กลืนแสงไวบ้ างส่วนและเกิดเงาได้เมื่อใช้วตั ถแุ สงก้ันลำแสงไว้
วตั ถโุ ปรง่ ใสหมายถงึ วัตถทุ ี่ยอมให้แสงเคล่ือนทเี่ ปน็ ตรงเส้นผ่านไปไดเ้ ช่น อากาศน้ำ เป็นต้นเราสามารถมองผา่ นวตั ถุ
โปร่งใสเห็นสงิ่ ต่างๆได้ (ภาพที่ 12.1)
แสงสามารถผ่านวัตถโุ ปรง่ ใสไดเ้ ชน่ กระจกฝา้ กระดาษฝา้ พลาสตกิ ฝา้ วตั ถเุ หล่านี้ จะกระจายแสงออกไปโดยรอบทำให้
แสงเคลอ่ื นที่ไม่เป็นเส้นตรงเมื่อเคล่ือนทีผ่ ่านวตั ถุโปร่งแสง

ภาพท่ี 12.1 แสดงวตั ถโุ ปรง่ ใส (วชั ราทบั อตั ตานนท์ : 2543, 15)

แสงจากดวงอาทิตยเ์ ป็นแสงขาวซ่งึ ประกอบด้วยแสง 7 สีผสมอย่ดู ้วยกนั เราสามารถใชป้ ริซึมแยกลำแสงขาวออกเปน็
แสงทง้ั 7 สีไดโ้ ดยจะเห็นเป็นแถบของแสงสีท้ังหมดเรียงติดกัน เราเรยี กวา่ สเปกตรมั (Spectrum) ในธรรมชาติสง่ิ ที่
มีสมบตั ิเป็นปริซึมไดแ้ ก่หยดน้ำฝนละอองไอนำ้ โดยภายหลงั จากฝนตกเมื่อแสงแดดสอ่ งกระทบหยดน้ำฝนหรือละออง
ไอน้ำเราจะมองเห็นแสงแดดเป็นแถบสีทั้ง 7 สปี รากฏขึน้ บนท้องฟา้ ท่เี รยี กว่าร้งุ กนิ นำ้ (ภาพท่ี 12.2)
สำหรบั ในอากาศหรอื สูญอากาศแสงทงั้ 7 สจี ะเคลอื่ นที่ดว้ ยอัตราเรว็ 3 x 108เมตรต่อวนิ าทีเทา่ กันทุกสีแตห่ าก
เคล่อื นท่ผี า่ นตวั กลางเช่นแกว้ กระดาษพลาสติกแสงแต่ละสีจะมอี ัตราเรว็ ในการเคลอ่ื นที่ไม่เท่ากันโดยจะมีอตั ราเรว็
นอ้ ยกวา่ การเคลื่อนท่ีในสุญญากาศ(สญุ ญากาศคือบรเิ วณที่ว่างเปลา่ ปราศจากอากาศ)
เมื่อแสงเคลอ่ื นที่จากอากาศไปยังตวั กลางหรือจากตวั กลางไปยังอากาศหรอื เคลื่อนทผี่ ่านตัวกลาง 2 ชนดิ จะทำให้
อตั ราเรว็ ของแสงและทศิ การเคลอ่ื นท่ีของแสงเปลีย่ นไปเราเรยี นวา่ แสงเกดิ การหกั เหในตัวกลางที่หนาแนน่ นัน้ แสงสี
แดงจะเคลอ่ื นท่ีได้เรว็ กวา่ สีมว่ งทำใหแ้ สงสแี ดงเปล่ยี นทิศทางการเคลื่อนที่น้อยกวา่ แสงสมี ่วงซึง่ เป็นสาเหตุใหเ้ กิดการ
กระจายแสงสีขาวออกเปน็ 7 สีนั้นเอง

187

ภาพที่ 12.2 การแสดงการกระจายของแสงขาว
(บญุ ถงึ แน่นหนา : 2544, 60)

เราอาจใช้แสงเพยี ง 3 สีรวมกันเปน็ แสงขาวได้เรียกว่าสีปฐมภมู (ิ primarycolours)ไดแ้ ก่แสงสีน้ำเงนิ แสงสเี ขียวและ
แสงสแี ดงเมื่อมีปฐมภูมิทัง้ 3 นรี้ วมกนั จะได้แสงขาว (ภาพท่ี 12.3) ถ้านำแสงสีปฐมภมู ิ 2 สมี ารวมกนั จะได้สีทตุ ิย
ภูมิ(secondary colours) ซ่งึ แสงของสีทจี่ ะไดจ้ ากการผสมสีทตุ ิยภูมิจะมีความแตกตา่ งกันในระดบั ความเขม้ สีและ
ความสว่างของแสง

ภาพที่ 12.3 แสดงแสงขางประกอบดว้ ยแมส่ ที ง้ั สามตามสดั สว่ นทเี่ หมาะสม (บญุ ถงึ แนน่ หนา : 2544, 62)
เรามองเห็นวัตถโุ ปรง่ แสงดว้ ยตังเองไม่ไดเ้ พราะมีแสงส่องมากระทบและสะท้อนจากวัตถุนัน้ เขา้ สู่นัยน์ตาของเราและ
สีของวัตถุกข็ ้ึนอย่กู บั คณุ ภาพของแสงทส่ี ะท้อนนั้นด้วยโดยวตั ถสุ ีน้ำเงินจะสะทอ้ นออกไปมากทสี่ ุดสะท้อนแสงสีคา้ ง
เคยี งออกไปบา้ งเล็กน้อย และดดู กลนื แสงสีอืน่ ๆ ไวห้ มดส่วนวัตถุสแี ดงจะสะท้อนแสงสแี ดงออกไปมากที่สดุ มีสี
ขา้ งเคียงสะท้อนออกไปเล็กน้อยและดูดกลืนแสงสีอื่น ๆ ไว้หมดสำหรบั สดี ำจะดดู กลนื ทุกแสงสีและสะท้อนกลับได้
เพยี งเล็กน้อยเท่าน้ัน

188

ภาพที่แสดงการมองเหน็ สแี ดง (มานจี นั ทามล, 2545 : 103)
แสงที่ออกมาจากแหลง่ กำเนดิ แสงเมอื่ เดนิ ทางผ่านตัวกลางท่มี คี วามหนาแน่ต่างกนั จะเกิดการหกั เหแตจ่ ะผา่ นเปน็
เสน้ ตรงเมือ่ เดนิ ผา่ นตวั กลางที่มคี วามหนาแนน่ เทา่ กันหรือเปน็ ตวั กลางชนดิ เดียวกัน
เลนส์และปรซิ มึ เป็นอปุ กรณท์ ี่ทำให้เกดิ การเบีย่ งเบนของลำแสงท่ีสอ่ งผา่ นตา่ งกันตรงทป่ี ริซึมสามารถแยกลำแสงท่ี
สอ่ งผา่ นออกเปน็ แสงสตี ่างๆตามองค์ประกอบของแสงนั้น ๆ หรือทีเ่ รียกวา่ สเปกตรมั (spectrum)

ภาพทแี่ สดงปริซมึ แยกลำแสงเรยี กวา่ สเปกตรมั
(บญุ ถงึ แน่นหนา : 2544,62)

189

แสงเม่อื เดินทางจากตัวกลางหน่ึงไปยงั ตวั กลางอกี ชนดิ หน่ึงที่เป็นตัวกลางโปรง่ ใสและมีความหนาแนน่ ไม่เทา่ กัน
ความเร็วในการเดินทางของแสงจะเปล่ียนไป
เมื่อแสงเดนิ ทางจากตัวกลางทม่ี ีความหนาแนน่ มากไปสตู่ วั กลางท่ีมีความหนาแนน่ น้อย แสงจะหกั เหออกจากเสน้
ปกติ
ถา้ แสงเดินทางจากตวั กลางที่มคี วามหนาแน่นมากไปหาตัวกลางทมี่ ีความหนาแน่นน้อยแสงจะหักเหออกจาเส้นปกติ
ดงั นน้ั แสงเมื่อเดนิ ทางในตวั กลางทม่ี ีความหนาแนน่ มากความเร็วของแสงจะลดลงจึงทำให้ลำแสงเบนไปจากแนวเดิม
เรยี กว่าแสงเกดิ การหกั เห(ภาพท่ี 12.6)

190

ภาพแสดงการหกั เหแสงในตวั กลางต่างกนั
(ยพุ าวรยศ, 2547 : 127)

ภาพแสกงการหักเหของแสง
(บญุ ถงึ แนน่ หนา, 2544 : 56)
แสงเมอื่ เดนิ ทางตกกระทบผวิ หน้าของวตั ถุอนั หนง่ึ เชน่ แสงเดนิ ทางจากอากาศมากระทบแกว้ โปร่งใสแสงสว่ นหนงึ่ จะ
สะท้อนกลับอีกส่วนหนงึ่ จะเดินทางผา่ นเข้าไปในแก้วและแสงจะหักเหเข้าหาเสน้ ปกตเิ มื่อแสงเดนิ ทางออกจากแกว้
มาส่อู ากาศแสงจะหักเหออกจากเส้นปกติลำแสงก่อนตกกระทบแกว้ และลำแสงท่ีออกจากแกว้ จงึ มลี ักษณะขนานกัน
เม่อื จุม่ หลอดดดู ลงไปในนำ้ ที่บรรจุอยใู่ นถว้ ยแกว้ จึงมองดเู หมือนกบั วา่ หลอดดูดสว่ นท่จี มอยูใ่ นนำ้ โค้งงอมขี นาดใหญ่
กวา่ ส่วนท่อี ย่เู หนือน้ำและปลายล่างสดุ ของหลอดดดู สูงขึน้ มากนั แก้วท่เี ปน็ เชน่ น้เี พราะแสงจากหลอดดูดเกดิ การหัก
เหขณะเดนิ ทางผ่านนำ้ ผ่านแกว้ และผ่านอากาศมาเข้าตาของเรา (ภาพที่ 12.7 ก)
การหกั เหของแสงทำใหเ้ รามองเหน็ ภาพของวัตถุอันหนงึ่ ทจ่ี มอยกู่ น้ สระนำ้ อยู่ต้นื กวา่ ความเปน็ จริง (ภาพที่ 12.7 ข)
ทีเ่ ป็นเชน่ น้ีกเ็ พราะแสงจากก้นสระว่ายนำ้ จะหักเหเม่อื เดนิ ทางจากน้ำสู่อากาศทงั้ นี้เพราะความเรว็ ของแสงท่เี ดินทาง

191

ในอากาศเร็วกวา่ เดนิ ทางในน้ำจึงทำให้แสงชว่ งท่ีออกจากน้ำสู่อากาศหกั เหออกจากเส้นปกตจิ งึ ทำให้เห็นภาพของ
วัตถุอยตู่ ้ืนกวา่ ความเป็นจรงิ (ภาพที่ 12.8)

ภาพทแี่ สดงการหักเหของแสงทำใหเ้ ราเหน็ วตั ถใุ ตน้ ำ้ ผดิ
ไปจากคา่ ความจรงิ (บญุ ถงึ แนน่ หนา : 2544, 56)

แสงทเี่ ดินทางจากตัวกลางทโี่ ปรง่ แสงไปสูต่ ัวกลางท่ีโปร่งใสเช่นจากแก้วไปสู่อากาศ ถ้ามุมตกกระทบน้อยกวา่ 42
องศาแสงบางส่วนจะสะทอ้ นกลบั และบางส่วนจะทะลุออกอากาศ แต่ถา้ ทม่ี ุมแกว้ ตกกระทบแก้วกับ 42 องศาแสง
จะสะท้อนกลบั คืนสแู่ ก้วหมดไมม่ ีแสงออกจากอากาศเลยลกั ษณะเช่นนเ้ี รียกวา่ การสะทอ้ นกลบั หมดนน้ั คือรอยต่อ
แก้วกบั อากาศทำหนา้ ทีเ่ สมือนการตกกระทบท่ีจะทำให้แสงสะท้อนกลบั หมดซงึ่ จะมคี ่าแตกต่างกนั ไปข้นึ อยู่กับชนิด
ของตัวกลาง (ภาพที่ 12.9)

ภาพแสดงการสะทอ้ นกลบั หมด
(บญุ ถงึ แน่นหนา, 2544 : 56)
เม่ือแสงตกกระทบวัตถแุ สงบ่างสว่ นจะสะท้อนจากวตั ถุถา้ แสงสะทอ้ นจากวตั ถเุ ข้าสู่นยั น์ตาจะเกดิ การมองเห็นและ
รับรเู้ ก่ยี วกับวตั ถุน้ันได้

192

ภาพแสดงการสะทอ้ นของแสง (มานจี นั ทวิมล, 2545 : 103)
จากรูปเมื่อแสงตกกระทบวัตถุทบึ แสงผงิ เรยี บสามารถใชเ้ สน้ ตรงและหัวลูกศรแสดงทศิ ทางของรงั สตี กกระทบและ
รังสีสะท้อนเม่อื ลากเสน้ ทางเดนิ ของแสงเม่ือตกกระทบวัตถจุ ะเกิดมุม 2 มมุ โดยเรยี กมมุ อยู่ระหว่างรงั สตี กกระทบกับ
เส้นปกติกวา่ ”มุมตกกระทบ” และเรยี กมุมท่ีอยูร่ ะหวา่ งรงั สีสะท้อนกบั เส้นปกติวา่ ”มุมสะท้อน” (ภาพที่12.10) ซง่ึ
การสะท้อนแสงบนผวิ วตั ถุอธิบายได้ด้วย
กฎการสะทอ้ นดังน้ี
1. รังสตี กกระทบเส้นปกติและรังสสี ะท้อนอยู่ในระนาบเดียวกนั
2. มมุ ตกกระทบเท่ากบั มุมสะทอ้ น
เม่ือแสงตกกระทบวัตถผุ ิวเรยี บเกดิ การสะท้อนของแสงอยา่ งเปน็ ระเบียบแต่ถ้าแสงตกกระทบพ้ืนผิวขรขุ ระแสง
สะทอ้ นจะสะท้อนอยา่ งกระจัดกระจายดัง

ภาพท่ีแสดงการสะทอ้ นของแสง (บญุ ถงึ แนน่ หนา : 2544, 53)
มมุ วกิ ฤต (criticsl angle) เปน็ มมุ ตกกระทบคา่ หนง่ึ ทำให้เกดิ มุมหักเหมีค่าเป็น 90 องศามุมวกิ ฤตจะเกดิ ขนึ้ ไดเ้ มื่อ
รังสตี กกระทบผ่านตวั กลางท่ีมคี วามหนาแน่นมากไปยงั ตวั กลางที่มีความหนาแนน่ น้อยกวา่ เช่นเมอ่ื แสงผา่ นแกว้ สู่
อากาศดว้ ยมมุ วิกฤตจะทำให้แนวรังสหี ักเหทบั อยู่บนรอยต่อของตัวกลางทง้ั สอง
การสะทอ้ นกลบั หมด (total reflection) เกดิ จากการเดนิ ทางของแสงจากตวั กลางที่มคี วามหนาแน่นมากกวา่ ไปยัง
ตวั กลางที่มคี วามหนาแนน่ น้อยกวา่ เมื่อแสงเคลอื่ นท่ถี ึงรอยต่อระหว่างตัวกลางจะเกดิ การสะท้อนกลับสู่ตรงกลางเดิม
การสะท้อนกลับหมดจะเกดิ ขึ้นเมอื่ มุมตกกระทบมคี ่ามากกว่ามมุ วิกฤตทำใหล้ ำแสงไม่หักเหเขา้ ไปในตัวกลางที่มี
ความหนาแน่นน้อยกวา่ แต่เกิดการสะท้อนกลับหมดแทนเช่นการสะท้อนกลบั หมดของแสงในเสน้ ใยนำแสงในการ

193

แสดงดนตรบี นเวที (ภาพที่ 12.12)

ภาพท่ีแสดงการสะทอ้ นกลบั มาของแสง
(บญุ ถงึ แนน่ หนา, 2544 : 53)

มริ าจ (mirage)หรอื ภาพลวงตาเปน็ ปรากฏการณซ์ ึ่งเกิดจากการหักเหของแสงเน่ืองจากชน้ั ของอากาศที่แสงเดิม
ทางผา่ นมีอุณหภูมติ ่างกันแลว้ เกิดการสะท้อนกลบั หมดเช่น
- การมองเหน็ ต้นไม้กลบั หวั
- การมองเหน็ เหมือนมีน้ำหรือนำ้ มันนองพ้ืนถนนในวนั ที่มีอากาศรอ้ นจัด (ภาพท่ี 12.13)
- การมองเห็นภาพบดิ เบีย้ วเนื่องจากไอของความร้อนขยายตวั ลอยสูงขน้ึ จากผวิ ถนน

ปรากฏการณ์แสงเหนอื -แสงใต้

ไม่บ่อยนักที่เราจะเห็นความสวยงามทเี่ กิดขน้ึ จากหว้ งอวกาศ แสงสกุ สกาวสว่างไสว หลากสสี นั จะปรากฏเกิดข้ึน ณ สุดขอบ
ฟ้าอันไกลโพน้ คล้ายม่านสวรรค์ ดจุ ดง่ั แพรพรรณหลากสี แสงเหนอื - แสงใตเ้ ปน็ ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ทเ่ี กิดจากลม
สุรยิ ะที่ถูกพดั พามาจากดวงอาทติ ย์มากระทบกบั โลกของเรา ปรากฏการณเ์ ช่นวา่ น้มี ักมีปรากฏใหเ้ ห็นในบริเวณแถบขวั้ โลก

194

จงึ มีโอกาสท่เี ปน็ ไปไดน้ อ้ ยมากสำหรับ ประชากรที่อยู่บรเิ วณเส้นศนู ย์สตู รอย่างเราๆ จะได้มีโอกาสไดช้ มความงามอนั
มหัศจรรยเ์ ช่นนน้ั

ปรากฎการณ์ แสงเหนือ- แสงใต้ หรือปรากฏการณ์ แสงขัว้ โลก มีชื่อตามภาษาอังกฤษว่า “"Aurora Polaris"” มกั จะ
เกิดขนึ้ ในแถบขว้ั โลกเหนือและใต้ โดยมีชื่อเรยี กทีแ่ ตกต่างกันใน ข้วั โลกเหนือจะถูกขนานนามว่า "Aurora Borealis" หรอื
"แสงเหนือ" สว่ นในขัว้ โลกใตจ้ ะถูกเรียกว่า "Aurora Australis" หรือแสงใต้ และถูกเรียกรวมๆกนั วา่ แสงออโรร่า

ความมหศั จรรยข์ องแสงออโรรา่
ในอดีตที่ความรทู้ างวทิ ยาศาสตร์ยงั ไม่กา้ วหน้าเทา่ ทีควร ปรากฏการณด์ ังกล่าวถูกตคี วาม ไปเป็นเร่ืองของพลังอำนาจจาก
พระผู้เปน็ เจา้ เร่ืองราวเกยี่ วกับปาฏหิ ารยิ ์หรอื เป็นเร่ืองของจิตวญิ ญาณซง่ึ จะแตกตา่ งกนั ไปตามถนิ่ ฐานที่ได้เห็นแสงออโรร่า

ในทวีปอเมริกาผูค้ นต่างเชื่อกันวา่ แสงออโรร่า เปน็ แสงท่ีเกิดจากดวงวิญญาณท่พี วกเขาพยายามจะตดิ ตอ่ ด้วย ในขณะทีช่ าว
นอรเ์ วย์และชาวไวก้งิ เชื่อกันว่า แสงออโรรา่ คือวญิ ญาณของสาวพรหมจารีทมี่ าร่ายรำ่ ทา่ มกลางรัตติกาล แต่ในความเชื่อของ
ชาวเอสกโิ มและชนพื้นถ่ินทางตอนเหนอื ของแคนนาดากลับเชอื่ กนั วา่ เปน็ วิญญาณของผู้ตายท่พี ยายามติดต่อกับบรรดา
ญาตมิ ิตรที่ยงั มชี ีวติ อยู่บนพืน้ โลก ไม่ว่าจะเคยเช่อื กนั มาอย่างไรก็ตามสดุ ทา้ ยวทิ ยาศาสตร์ได้ชช้ี ัดวา่ ปรากฏการณเ์ ช่นน้ี
เกดิ ขึ้น เพราะพายุสุริยะที่ถูกปลอ่ ยออกมาจากดวงอาทิตยเ์ ป็นปัจจยั หลกั และยังรวมไปถงึ สนามแม่เหลก็ และช้ัน
บรรยากาศโลก
ดวงอาทติ ย์

ดวงอาทิตย์เป็นดาวฤกษข์ นาดใหญท่ ปี่ ลดปล่อยพลงั งานออกมาอย่างมหาศาล เป็นแหล่งพลังงานทสี่ ะท้อนส่องไปทัว่ ทง้ั
ระบบสุริยะจกั รวาล ความสำคัญของดวงอาทิตยท์ ่ีมผี ลต่อการเกิดของแสงเหนือ-แสงใต้นี้ เกดิ ขนึ้ จากเหตปุ ัจจยั หลาย
ประการ แต่อย่างหนงึ่ ทส่ี ำคญั ย่ิงซึง่ ถือวา่ เป็นหลกั ในการเกดิ ปรากฏการณ์ดังกล่าวคือลมสุรยิ ะในสภาวะปรกติ ดวงอาทิตย์
จะมีการปลดปล่อยพลังงานออกมาอยา่ งตอ่ เน่ือง ดวงอาทิตย์มชี ัน้ บรรยากาศ และสนามแมเ่ หล็กไฟฟา้ ปกคลุมอยู่อย่างโลก
ของเรา ในชน้ั บรรยากาศของดวงอาทติ ยจ์ ะเต็มไปดว้ ยไฮโดรเจนที่ปลดปล่อย โปรตอนและอิเล็กตรอนออกมาตลอดเวลา
ซงึ่ ในทางวทิ ยาศาสตรเ์ รยี กกันวา่ ลมสุริยะ แม้จะมกี ารการปลดปลอ่ ยลมสุริยะออกมาอย่างต่อเนื่องแต่ในบางคร้ังผ้คู นในโลก
ตา่ งไม่ได้รบั รู้ถึงความเป็นไปอันน้ี เพราะระยะทางที่ไกลห่างกันเกินไป และลมสุริยะในสภาวะปกติกม็ ีความเบาบางเกินกวา่
ทีจ่ ะฝา่ ผ่านสนามแมเ่ หล็กโลกเขา้ มาได้ หรือ ไม่กโ็ ดนช้ันบรรยากาศโลกดดู ซับไปจนหมดสิน้
ดวงอาทติ ย์คลา้ ยลูกไฟขนาดมหมึ าทม่ี ีกองเพลิงเตน้ เร่าอยู่ตลอดเวลาบา้ งคร้งั โหมกระหนำ่ รนุ แรงแต่บางครง้ั กลับสงบน่ิง
สอ่ งแสงอยู่ในความมืดของหว้ งสรุ ิยะจักรวาล ความเปลีย่ นแปลงทีเ่ กิดขน้ึ บนดวงอาทติ ย์มีอยตู่ ลอดนอกจากลมสุริยะแล้ว
การเปลี่ยนแปลงของดวงอาทิตยท์ ม่ี ีผลตอ่ การปรากฏเปน็ แสงออโรร่านนั้ มีเหตปุ ัจจัยอย่างอนื่ ร่วมด้วยคือ

195

- Sunspot หรอื บรเิ วณจุดดำบนดวงอาทิตยจ์ ดุ ดำเหลา่ นมี้ ีปรากฏอยู่ในบรเิ วณพนื้ ผิวของดวงอาทิตย์ บรเิ วณนจี้ ะมีความ
เขม้ ขน้ ของสนามแม่เหล็กไฟฟ้าที่สูงกวา่ บริเวณอื่นๆ เหตทุ ่มี องเห็นเป็นจุดดำอยูท่ ่ามกลางเปลวเพลิงของดวงอาทติ ย์นัน้
เพราะเพระยะทางท่ีอยไู่ กลห่างจากโลก และบรเิ วณดงั กลา่ วเป็นบรเิ วณทม่ี ีอุณหภมู ิทตี่ ำ่ กว่าส่วนอืน่ ๆของดวงอาทิตย์แต่
กระนน้ั ก็ยังมีอณุ หภมู สิ งู กว่า1,000 องศาเซสเซียสเลยทีเดียว ในบรเิ วณน้เี องเม่ือเกิดการประทุของดวงอาทติ ย์จะทำให้
เกิดลมสุรยิ ะทีร่ ุนแร ง นักวิทยาศาสตร์พบวา่ ปรากฏการณ์แสงออโรรา่ ทเ่ี กิดข้ึนบนพน้ื โลกจะมีมากน้อยเพยี งใดมักจะ
สมั พนั ธ์กบั จดุ ดำ Sunspot บนดวงอาทิตยเ์ สมอ

สนามแมเ่ หลก็ ไฟฟา้ ที่เกดิ ขนึ้ บรเิ วณจดุ ดำ(Sunspot)
- ปรากฏการณ์ โซลาร์ แฟลร์ (Solar Flare) เปน็ การปะทุของดวงอาทติ ย์ซ่งึ เมื่อเกิดการประทจุ ะส่งพลังงานจำนวน
มหาศาลออกมา มักจะเกิดการปะทุในบริเวณ Sunspot ว่ากนั ว่าพลงั งานทถ่ี ูกปลดปลอ่ ยออกมานมี้ ีค่าเทยี บเทา่ กับการ
ระเบดิ ของระเบดิ ไฮโดรเจนขนาด 100 เมกกะตนั จำนวน 1 ลา้ นลกู รวมกัน ทำให้เกดิ พลงั งานจำนวนมหาศาลถูก
ปลดปลอ่ ยออกมา เกิดประจุไฟฟา้ เลด็ ลอดออกมามากมายกลายเป็นลมสรุ ิยะที่มีความรุนแรงจนถงึ ข้ันกลายเปน็ พายุสรุ ิยะ
และสามารถเดินทางมาถงึ โลกเราได้ภายในระยะเวลาเพยี งไม่ก่สี บิ นาที
- Coronal Mass Ejection (CME) เปน็ ปรากฏการณ์ทีด่ วงอาทิตยป์ ลดปล่อยมวลออกมา อนุภาคไฟฟ้าพลงั งานงานสงู จะ
ถูกปลดปลอ่ ยออกมาด้วยความเรว็ ที่สงู นับพันกโิ ลเมตรตอ่ วินาที ปรากฎกาณ์ นี้มักจะเกดิ ร่วมกบั การเกดิ ปรากฏการณ์ โซ
ลาร์ แฟลร์
เหลา่ น้เี ปน็ เหตุปจั จัยทีส่ ำคญั ที่จะกำหนดถึงความรนุ แรงของ พายุสรุ ิยะวา่ จะมีมากน้อยเพยี งใดซ่ึงน้ันหมายถงึ การเกิดผล
กระทบกบั โลกเราโดยตรง ในแง่ของการสงั เกตเห็นก็คอื การเกดิ แสงออโรร่านั้นเอง
อย่างไรก็ดี นักวทิ ยาศาสตร์พบวา่ Sunspot หรอื ปรมิ าณจดุ ดำบางชว่ งเวลาอาจจะมีเป็นจำนวนมากแต่บางช่วงเวลา กลบั
แทบจะไมม่ ปี รากฏขนึ้ เลยความผนั แปรเหลา่ น้จี ะผนั แปรกันไปตามวัฏจักรซ่งึ มคี า่ เฉลี่ยประมาณ 11.1 ปี ใน 1 คาบ ของ
การเปลี่ยนแปลงดงั น้ันจึงมีความเปน็ ไปไดส้ ูงวา่ ในรอบ 11 ปี จะมลี มพายุสรุ ิยะท่ีมีความรนุ แรงเกดิ ข้นึ คร้งั หน่ึง ซงึ่ น้นั จะ
ส่งผลมายงั โลกของเรา และคาดกันว่าใน ชว่ งปี 2554-2555 เราอาจจะได้พบพายสุ ุรยิ ะทมี่ ีความรนุ แรงอีกครง้ั หนึง่ แต่ก็
ยังมชี ว่ งเวลาทซี่ ้อนทบั กบั คาบ 11.1 ปีนี้ โดยนักดาราสาสตรพ์ บว่า จุดดำจะไมเ่ กดิ ขนึ้ อยอู่ ย่างสม่ำเสมอจะมีบางช่วงเวลา
ทจี่ ุดดำบนดวงอาทติ ยจ์ ะไม่ปรากฏ หรือท่ีเรียกกันวา่ ชว่ งต่ำสดุ มอนเดอร์ ช่วงเวลาดงั กล่าว (แตม่ ีช่วงตำ่ สดุ มอนเดอร์ หน้า
26)
โลก
สว่ นโลกของเรานน้ั นอกจากจะขน้ึ ช่อื ลือชาในความสวยงามเปน็ แหล่งพำนักของสิ่งมชี ีวิตในระบบสุริยะจกั รวาลแล้ว โลกเรา
มีแกนโลกท่ีเปน็ เหมือนแม่เหล็กขนาดใหญ่ ท่ีปลอ่ ยพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าออกมาคลุมเปลือกโลกทำให้ อนุภาคที่มปี ระจุ
มากมาย ทงั้ อิเล็กตรอน และโปรตอน ทว่ี ิง่ วนอยรู่ อบๆสนามแม่เหลก็ โลก

196

สนามแมเ่ หลก็ โลก
ภาพจากhttp://anshsmagnetism.files.wordpress.com
ในขณะท่ชี ั้นบรรยากาศของโลกเรากเ็ ต็มไปดว้ ยก๊าซจำนวนมากไม่ว่าจะเปน็ ไนโตรเจน ออกซเิ จน ไฮโดรเจน ฮเี ลยี ม ไอนำ้
และธาตอุ ื่นๆอีกมากมาย
สง่ิ เหล่านเี้ ปน็ ปัจจัยสำคญั ทเ่ี ม่อื เกิดการแผ่ ของลมสุริยะจากดวงอาทิตย์เม่ือผา่ นกระบวนการตา่ งทีเ่ รียบเสมือนเกราะ
ป้องกนั โลกทำใหเ้ ราได้เห็นปรากฏการณ์ธรรมชาตทิ ส่ี วยงามอย่าง แสงออโรร่า ในบริเวณแถบขว้ั โลก
ในความเปน็ จริงแล้วโลกเราต้องประสบกับสงิ่ ตา่ งๆทแี่ ผ่ออกมาจากดวงอาทติ ย์ตลอดเวลาไม่วา่ จะเปน็ รงั สีคอสมิค
(Cosmic Rays) อนภุ าคจากแถบกัมมนั ตรงั สี (Radiation Belt) พลังงานสูง ซ่งึ เปน็ อนภุ าคทีม่ ีพลงั งานฟลกั ซ์มหาศาล
ระดับลา้ นอิเล็กตรอนโวลท์ ลมสุริยะก็เป็นหนึ่งในน้ัน และพลังงานอยูใ่ นชว่ ง 1 ถึง 10 พนั อิเล็กตรอนโวลต์ (keV) แต่
บางครงั้ อาจมีพลงั งานมากถึง 100 พนั อเิ ล็กตรอนโวลต์ (keV) พลงั งานของอนุภาคเหล่านยี้ ่งิ มากเท่าไหร่ก็จะสามารถทะลุ
ทะลวงผ่านชั้นบรรยากาศมาไดม้ ากเท่านน้ั ในกรณีของลมสุริยะจะสามารถฝา่ ชั้นบรรยากาศมาไดท้ รี่ ะดับ 100-300
กโิ ลเมตรจากพื้นโลก
เม่อื เกดิ การแผ่กระจายของพายุสรุ ิยะที่ถูกเปลง่ ออกมาจากดวงอาทิตยเ์ คลือ่ นที่ผ่าน บรรยากาศอันเว้ิงว้างของ ระบบสุริยะ
ในความท่ีเป็นสูญญากาศทำให้ พายุ สรุ ยิ ะสามารถเดนิ ทางไดอ้ ย่างสะดวกล่องลอยมาถงึ โลก แต่เม่อื เข้า ถงึ ช้ันบรรยากาศ
กต็ ้องเจอกับ สนามแมเ่ หล็กไฟฟา้ ที่ห่อหมุ้ ปกคลุมโลกเราอยู่ การจะแทรก ผา่ นเขา้ มาได้นัน้ เป็นเรือ่ งยากเมื่อลมสุริยะ
กระทบเข้ากับแม่เหล็กไฟฟ้า ทีแ่ ผป่ กคลมุ โลกเรากจ็ ะ ไม่สามารถทะลุผ่านเข้ามาได้แตก่ ารประทะกนั กลับทำให้ ลมสุริยะซ่งึ
มปี ระจุด้วยนั้น โคจรไปตามเส้นแรงแม่เหลก็ ไฟฟา้ โลกและสามารถทะลุผา่ นเข้าชั้นบรรยากาศโลกไดใ้ นบรเิ วณขวั้ โลกเหนือ
และใต้
เม่อื อนภุ าคจากลมสรุ ิยะวิ่งมากระทบกบั อนภุ าคของช้ันบรรยากาศโลกอนุภาคเหล่านไี้ ด้รับพลังงาน และกลายเป็นอนุภาคท่ี
ไมเ่ สถยี รและเพ่ือต้องการกลับมายงั สภาวะสมดุลมันจงึ จำเป็นทีจ่ ะปลดปล่อยพลงั งานออกมา ทำใหเ้ ราเห็นว่ามนั ปลดปลอ่ ย
แสงออกมาส่วนจะเป็นสีอะไรน้นั กข็ น้ึ อยู่กับชนิดของกา๊ ซท่ีถูกกระตนุ้ เชน่
โซเดียมให้แสงสีเหลือง
นอี อนให้แสงสสี ม้
ไฮโดรเจนให้แสงสีฟ้า
ฮีเลียมใหแ้ สงสมี ว่ ง
ออกซิเจนให้แสงสแี ดง ในชั้นบรรยากาศไอโอโนสเฟียร์(ionosphere)สว่ นออกซิเจนที่อยู่ตำ่ กว่าน้ันในระดับที่100-300
กม.จากพืน้ โลกจะใหแ้ สงสีเหลอื งเขยี ว

ความมหศั จรรย์

197

แสงออโรรา่
ภาพจากhttp://farm3.static.flickr.com
ปรากฏการณแ์ สงออโรร่า จะเกิดขึ้นเหนือพื้นโลกประมาณ100-300 กิโลเมตรปรากฎการณเ์ หล่าน้ีจะสามารถสงั เกตเหน็
ได้ในประเทศท่ีอยู่แถบขั้วโลกเหนอื ใต้ซ่ึงขนึ้ อยู่กบั บรเิ วณที่ตง้ั วา่ จะพบเจอมันไดม้ ากหรือนอ้ ยเพียงใด อยา่ งเชน่ ในเมือง
เมือง Andenes ประเทศนอรเวย์ จะสงั เกตเหน็ ได้ในแทบทุกคืนที่ฟ้าโลง่ เมอื ง Fairbanks รฐั อลาสกา จะสงั เกตเหน็ ได้
ประมาณ 5-10 ครง้ั ต่อเดือน ในแถบประเทศ เม็กซิโกและเมดิเตอเรเนยี น จะเหน็ ได้ 1– 2 ครัง้ ใน 10 ปี แต่ในขณะที่
บริเวณประเทศเส้นศูนยส์ ูตรก็อาจจะเหน็ ปรากฏการณ์เช่นวา่ นี้ได้หากพายสุ รุ ยิ ะ มคี วามแรงมากพอทีจ่ ะผ่า สนามแม่เหล็ก
โลกและชั้นบรรยากาศโลกมาได้ โดยคาดการณ์กันวา่ ประเทศในบรเิ วณ เส้นศนู ยส์ ตู รอาจจะพบกับปรากฏการณ์ดังกลา่ วได้
1 ครั้งในรอบ 2,000 ปี
พายุสรุ ิยะหาใชเ่ ปน็ ปรากฏการณ์ทที่ ำให้เกดิ ความสวยงามอยา่ งเดียวแตผ่ ลกระทบของมันสามารถทำให้การสือ่ สาร-ระบบ
ไฟฟา้ ของโลกเราแปรปรวนได้ดงั่ เชน่ เหตุการณ์ไฟฟา้ ดบั ที่เกิดขน้ึ นานรว่ ม 9 ชว่ั โมงในเมอื ง Quebec ประเทศแคนาดาเมือ่
เดอื นมิถุนายน พ.ศ. 2532
สัญญาณวิทยบุ นโลกอาศัยบรรยากาศระดบั ไอโอโนสเฟียร์ เมอ่ื ชน้ั บรรยากาศนี้ถูกรบกวนกจ็ ะทำใหเ้ กิดความแปรปรวนใน
ช้ันบรรยากาศขน้ึ ไดแ้ ละอาจจะถงึ ข้ันทำให้ดาวเทยี มหรอื ยานอวกาศหลดุ จากวงโคจรไดเ้ หมอื นกัน
ลมสุริยะที่ ถกู ปลดปล่อยออกมาจากดวงอาทติ ยน์ ้นั มอี ยู่ทกุ เมื่อเชอื่ วันรุนแรงบ้างไม่รุนแรงบ้างเปน็ ไปตามสถานะธรรมชาติ
ของดวงอาทิตย์แสงออโรรา่ เป็นหนง่ึ ปรากฏการณ์ ทางวิทยาศาสตร์ในหว้ งสรุ ยิ ะจกั รวาลท่ียังมีหลายปรากฏการณ์ในห้วง
จักรวาลทมี่ นุษย์เรายงั ไมส่ ามารถทำความเข้าใจได้ ยงั มีเร่ืองราวและส่ิงเรน้ ลับในหว้ งอวกาศอีกมากมายท่ีรอการไขคำตอบ
จากวิทยาศาสตร์
รุง้ ( Rainbow)

รงุ้ กินนำ้ เปน็ ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติทเ่ี กิดข้ึนหลังจากฝนตกโดยเกิดขนึ้ จากแสงแดดส่องผา่ นละอองนำ้ ในอากาศ

198

ทำใหแ้ สงสีตา่ ง ๆ เกดิ การหักเหข้นึ จึงเห็นเปน็ แถบสีต่าง ๆ ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า
รงุ้ ประกอบด้วยสีมว่ ง คราม นำ้ เงินเขียว เหลอื ง แสด

รงุ้ ปฐมภมู ิเกิดจากแสงแดดตกกระทบเข้าทางดา้ นบนของหยดน้ำซ่ึงมขี น้ั ตอนการ
เกิดรุง้ ดังน้ี
เมอื่ แสงแดดตกกระทบหยดน้ำจะเกดิ การหกั เหหรือกระจายแสงเป็น 7สใี นหยด
นำ้
แสงแตล่ ะสจี ะเกิดการสะท้อนกลับหมดทผ่ี ิวด้านในของหยดนำ้
แสงแต่ละสจี ะเกดิ การหักเหออกจากหยดนำ้
รงุ้ ปฐมภมู ิจะเกดิ การหักเห2 ครั้งสะท้อน1ครง้ั แถบแดงจะอย่บู นสุดและแถบ
มว่ งจะอยู่ลา่ งสดุ หยดน้ำแต่ละหยดจะให้แสงออกมา 7 สแี ต่จะมีเพียงสเี ดยี ว
เทา่ น้ันของหยดน้ำแต่ละหยดทเี่ ดินทางเขา้ สตู่ าเราคือถ้าแสงสแี ดงผา่ นเขา้ ตา
แสงสอี ืน่ จะผา่ นเหนือตา และถา้ แสงสีม่วงผ่านเข้าตาแสงสีอืน่ จะผ่านใต้ตา

รงุ้ ทตุ ยิ ภมู เิ กดิ จากแสงแดดตกกระทบเขา้ ทางดา้ นล่างของหยดนำ้
ซง่ึ มลี ำดบั ขน้ั ตองการเกดิ รงุ้ ดงั น้ี
เม่ือแสงแดดตกกระทบหยดน้ำจะเกิดการหกั เหหรือการกระจายแสงเปน็ 7 สีในหยดนำ้
แสงแตล่ ะสจี ะเกิดการสะท้อนกลับหมดครั้งที่1 ท่ีผิวด้านใน

199

แสงแต่ละสีจะเกิดการสะท้อนกลบั หมดครงั้ ที่2 ท่ีผิวดา้ นใน
แสงแต่ละสจี ะเกิดการหกั เหออกจากหยดน้ำ
รุ้งทุติยภูมิเกิดการหกั เห 2คร้ังสะท้อน 2คร้ัง แถบสแี ดงจะอยูล่ า่ งสดุ แถบสมี ่วงจะอยู่
บนสุดหยดจะให้แสงออกมา 7 สแี ต่จะมเี พียงสเี ดียวเท่าน้ัน ของหยดน้ำแตล่ ะหยดที่เดิน
ทางเขา้ สู่ตาเราคือถา้ แสงสีแดงผา่ นเขา้ ตา แสงสีอ่นื จะผ่านใตต้ า และถ้าแสงสีม่วงผา่ น
เขา้ ตาแสงสีอืน่ จะผ่านเหนือตา

การมองเหน็ รงุ้ ปฐมภมู ิและรงุ้ ทตุ ยิ ภมู ิ

เราสามารถมองเหน็ รงุ้ ไดท้ ัง้ ในเวลากอ่ นและหลงั ฝนตกโดยการหันหลงั ให้กบั ดวงอาทติ ยโ์ ดยรงุ้ ปฐมภมู ิจะอยขู่ า้ งลา่ ง
และะรุ้งทตุ ยิ ภูมจิ ะอยุ่ข้างบนโดยแถบสแี ดงของรุ้งทง้ั สองจะอยูใ่ กล้กัน
- รุ้งปฐมภมู จิ ะทำมุมกับระดบั สายตาประมาณ40-42 องศาคือเมอ่ื มองเป็นมมุ 40องศากบั ระดับสายตาจะเหน็ แถบสีมว่ ง
ของรุ้งปฐมภมู ิ เม่อื มองเป็นมุม42 องศากบั ระดับสายตาจะเห็นแถบสแี ดงของรุ้งปฐมภูมิ ดงั น้ันรุ้งปฐมภูมมิ ีความหนา
ประมาณ 2องศา
- รงุ้ ทตุ ยิ ภมู ิจะทำมุมกบั ระดบั สายตาประมาณ51-54 องศาคอื เมื่อมองเปน็ มุม51องศากับระดับสายตาจะเห็นแถบสีแดง
ของรงุ้ ทุตยิ ภมู ิ เมื่อมองเป็นมุม54 องศากับระดับสายตาจะเห็นแถบสีม่วงของร้งุ ทตุ ิยภูมิ ดงั นน้ั ร้งุ ทุตยิ ภมู มิ ีความหนา
ประมาณ 2องศา
- เราจะมองเหน็ รุ้งเปน็ ส่วนโคง้ วงกลมเสมอเพราะเน่ืองจากดวงอาทิตยเ์ คลอ่ื นท่ีขนานกับผิวโลกทำใหล้ ะอองน้ำ
แต่ละที่อยูบ่ นผวิ โค้งเดียวกัน หกั เหแสงสีเดยี วกนั เขา้ สู่ตาของผสู้ งั เกตแนวทางเดนิ ของแสงท่มี าจากหยดน้ำแตล่ ะหยด
เม่ือมองดูโดยสว่ นรวมจะมลี ักษณะเป็นรูปกรวยกลมโดยมตี าเราเป็นยอดกรวยและมวี งรุ้งเปน็ ฐานกรวยขณะท่ีดวงอาทิตย์
อยูท่ ข่ี อบฟ้า เราจะมองเห็นรุ้งเปน็ รูปครง่ึ วงกลมพอดีถา้ ดวงอาทติ ย์มตี ำแหนง่ ทีส่ งู ขน้ึ เร่ือยๆรุง้ ทเี่ รามองเหน็ จะมีสว่ นโคง้
เล็กลงเร่ือยๆ รุง้ ท่ีแตล่ ะคนมองเหน็ อาจจะไม่ใช่รงุ้ ตัวเดยี วกันก็ได้และถา้ ผู้สงั เกตซึ่งอยู่ท่ีสูงมากๆเช่นบนยอดเขา
หรือบนเคร่ืองบินมโี อกาสทจ่ี ะมองเห็นร้งุ เป็นรูปวงกลมเต็มได(้ คลา้ ยกบั พระอาทิตย์ทรงกลด)

5.4 มิราจ (Mirage)

ทีม่ า http://thapring.com

รูปตัวอยา่ งปรากฏการณ์มิราจท่เี กิดขึน้ บนพืน้ ถนน

200

มิราจเปน็ ปรากฏการณ์ทีเ่ กดิ จากแสงจากท้องฟ้า
หกั เหและสะท้อนกลบั หมดจากช้ันของอากาศร้อนบนพื้นดิน
ทเ่ี ป็นเชน่ นี้เพราะในขณะท่ีแสงแดดร้อนจดั อากาศที่ใกลผ้ วิ ถนน
จะมีอุณหภมู สิ งู กว่า อากาศท่ีอย่สู ูงจากผิวถนนขึน้ ไป
อากาศที่อยู่ใกลผ้ วิ ถนนจึงมคี วามหนาแน่นน้อยกว่าอากาศ
ที่อยสู่ ูงจากผวิ ถนนข้ึนไปความหนาแนน่ ของอากาศท่แี ตกต่าง
กันจงึ เปรยี บเสมือนตวั กลางที่แตกตา่ งกันดังน้ันเมือ่ แสง
จากท้องฟา้ เดินทางผ่านความหนาแนน่ ของอากาศทแ่ี ตกตา่ งกนั
แสงจึงเกิดการหกั เหได้ และเมอ่ื มุมตกกระทบโตกวา่ มมุ วกิ ฤต
จึงเกิดการสะท้อนกลบั หมดนอกจากน้ีจากหลกั การสะทอ้ นกลบั หมด
ของแสงได้ถกู นำไปใชอ้ ยา่ งกว้างขวางในเสน้ ใยนำแสงอีกด้วย

แบบทดสอบกอ่ นเรียน (Pre-test)
รายวชิ า พว 11001 วทิ ยาศาสตร์

ระดบั ประถมศึกษา
เนื้อหาการเรียนรูเ้ รือ่ ง ดาราศาสตรเ์ พอื่ ชีวิตความสมั พนั ธ์ระหวา่ งดวงอาทิตย์ โลก และดวงจนั ทร์
คำช้ีแจง : จงเลือกคำตอบท่ีถูกต้องที่สุดเพียงข้อเดียว
1. การหมุนรอบตวั เองของโลกทำให้เกดิ อะไร
ก. กลางวนั -กลางคนื
ข. การขึ้นการตกของดวงอาทิตย์
ค. การข้นึ การตกของดวงจันทร์และดวงดาว
ง. ถูกทกุ ข้อ
2. โลกหมุนรอบตัวเองจากทิศใดไปทิศใด
ก. ทศิ ตะวนั ตกไปทศิ ตะวนั ออก
ข. ทศิ ตะวันออกไปทศิ ตะวันตก
ค. ทศิ เหนือไปทิศใต้
ง. ทศิ ใต้ไปทิศเหนือ
3. การทด่ี วงจนั ทรโ์ คจรรอบโลก ทำใหเ้ กิดปรากฎการณ์ใด
ก. ฤดกู าล
ข. ข้างขึ้นข้างแรม
ค. กลางวันกลางคืน
ง. การขึ้นและตกของดวงจนั ทร์
4. สาเหตุทโี่ ลกเกดิ ฤดูกาลทีแ่ ตกตา่ งกนั
ก. โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์
ข. โลกหมุนรอบตัวเอง
ค. แกนโลกเอียงทำมุม 23.5 องศา
ง. ก และ ค

201

5. การเกิดข้างขึ้นขา้ งแรมใน 1 รอบ ใชร้ ะยะเวลาประมาณเทา่ ใด
ก. 1 วนั
ข. 1 สัปดาห์
ค. 1 เดือน
ง. 1 ปี

จากรูปตอ่ ไปนี้ จงตอบคำถามขอ้ 6-7

6. รปู ใดแสดงการเกดิ สรุ ยิ ปุ ราคา
ก. A
ข. B
ค. C
ง. D

7.รูปใดแสดงการเกิดจนั ทรุปราคา
ก. A
ข. B
ค. C
ง. D

8. พระบิดาแห่งวิทยาศาสตรไ์ ทย คือ
ก. พระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัว

202

ข. พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
ค. พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ง. พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
9.บริเวณใดท่ีได้รับความร้อนของดวงอาทิตย์มากท่ีสุด
ก. บริเวณเส้นศูนย์สูตร
ข. บริเวณซีกโลกเหนือ
ค. บริเวณซีกโลกใต้
ง. ถูกทุกข้อ
10.ช่วงฤดูฝน ประเทศไทยได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมใด
ก. ลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ
ข. ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้
ค. ลมมรสุมตะวันออกเฉียงใต้
ง. ลมมรสุมตะวันตกเฉียงเหนอื

เฉลย
แบบทดสอบก่อนเรยี น (Pre-test)
รายวชิ า พว 11001 วทิ ยาศาสตร์

ระดับประถมศึกษา

เน้อื หาการเรยี นรู้เรื่อง ดาราศาสตร์เพอื่ ชวี ิตความสัมพันธร์ ะหว่างดวงอาทิตย์ โลก และดวงจันทร์

1ง 6ง
2ค 7ค
3ข 8ง
4ข 9ก
5ค 10 ข

ใบงานที่ 6.1
การใช้ประโยชน์จากความสมั พันธ์ระหวา่ งดวงอาทติ ย์ โลก และดวงจนั ทร์


Click to View FlipBook Version