82
ชนดิ การเจรญิ เติบโตของแมลง ลักษณะการเจรญิ เติบโต
วฏั จักรชวี ติ ของแมลงสาป
2. การเจรญิ เตบิ โตของสตั วท์ ม่ี โี ครงรา่ งแขง็ อยภู่ ายในรา่ งกาย มกี ารเจรญิ เตบิ โตเชน่ เดยี วกับคน โดยมเี ส้นกราฟ
ของการเจริญเตบิ โตเปน็ รปู ตวั เอส (Growth Curve) เชน่ เดียวกนั แต่ในสตั วค์ รึ่งบกครึ่งน้ำ เชน่ กบ คางคก ในระหว่างการ
เจรญิ เตบิ โตจะมกี ารเปล่ยี นแปลงรปู รา่ ง นั้นก็คือสัตวพ์ วกนจี้ ะมเี มตามอร์โฟซีส ซึง่ จะแบ่งได้เป็น 2 ชว่ งชดั เจน คอื ชว่ งที่
ดำรงชีวิตอยใู่ นนำ้ และช่วงที่ดำรงชีวิตอยู่บนบกซึ่งมลี ำดบั ข้ันการเจริญเติบโต คือ
ไข่ →ลกู ออ๊ ด →ตวั เตม็ วยั
7.3 ความสมั พันธข์ องระบบตา่ ง ๆ ในร่างกายสตั ว์
ระบบตา่ ง ๆ ในร่างกายของสัตวม์ ีความสมั พันธ์กันทง้ั ทางตรงและทางอ้อม ความสัมพนั ธ์ของระบบเหลา่ นีท้ ำให้
สตั วส์ ามารถดำรงชวี ิตอยไู่ ด้ แมว้ า่ จะอยู่ในสภาพแวดลอ้ มท่ีแตกต่างกนั
ตัวอยา่ งความสมั พนั ธ์ของระบบตา่ ง ๆ ในรางกายสตั ว์ ได้แก่
1. การเคลอ่ื นที่ของสัตว์ เป็นสมบตั ทิ สี่ ำคญั ท่ที ำให้สัตว์แตกต่างจากพืช โดยปรกตสิ ัตวจ์ ะเคลื่อนท่ีเขา้ หาสิ่งทม่ี ี
ประโยชน์หรือสงิ่ ท่ตี ้องการในการดำรงชวี ิต เชน่ อาหาร ท่ีอยูอ่ าศัยที่เหมาะสม การผสมพนั ธ์ หรอื การเลีย้ งดตู วั ออ่ น แตจ่ ะ
เคล่อื นหนจี ากสิง่ ทไี่ ม่ตอ้ งการหรือเปน็ อันตราย เช่น ศตั รูหรือผลู้ า่ การเคล่อื นท่ีของสตั วไ์ มว่ ่าวัตถปุ ระสงค์ใดกต็ าม ถ้าเป็น
83
สตั ว์ท่ีไม่มีกระดูกสนั หลังจะเคลือ่ นที่ได้ต้องอาศัยการทำงานร่วมกนั ของกล้ามเน้ือและระบบประสาท ส่วนสตั ว์ทม่ี ีกระดูก
สนั หลงั จะเกิดจากการทำงานรว่ มกนั ของระบบกลา้ มเน้ือ ระบบโครงกระดูก และระบบประสาท
2. การเจรญิ เตบิ โตของสตั วต์ ้ังแต่ตวั อ่อนจนเปน็ ตวั เต็มวยั จะต้องอาศยั ทกุ ระบบในรา่ งกาย และระบบต่าง ๆ
เหล่าน้ีจะต้องทำงานประสานสมั พันธก์ นั จึงจะทำให้การเจริญเตบิ โตของสตั วเ์ ป็นไปตามปรกติ เช่น
- ระบบย่อยอาหาร จะเปน็ ระบบทน่ี ำสารอาหารต่าง ๆ เขา้ สรู่ า่ งกาย เพ่ือเป็นวัตถดุ ิบสำคัญในการเจริญเตบิ โต
- ระบบหายใจ นำก๊าซทีเ่ ซลล์ตอ้ งการเข้าสรู่ า่ งกายและกำจัดกา๊ ซที่เซลลไ์ ม่ต้องการออกนอกรา่ งกาย นอกจากนี้ยัง
ทำหนา้ ทีส่ รา้ งพลังงานให้แกเ่ ซลล์ ทำให้เซลล์สามารถนำไปใชใ้ หเ้ กิดประโยชน์
- ระบบหมุนเวยี นเลือด นำสารต่าง ๆ ท่ีมีประโยชน์ไปยังเซลล์ทว่ั รา่ งกาย และนำสารทเ่ี ซลล์ไมต่ อ้ งการไปยัง
อวัยวะขบั ถ่ายเพ่ือกำจัดออกนอกร่างกาย
- ระบบขับถา่ ย กำจดั ของเสียทเี่ ซลลไ์ มต่ ้องการออกนอกร่างกาย
- ระบบโครงกระดกู ถ้าเปน็ โครงร่างแข็งทอี่ ยู่ภายนอกร่างกาย จะช่วยปอ้ งกันอันตรายภายในไม่ให้ได้รับอนั ตราย
แต่ถา้ เป็นโครงร่างแขง็ ทอี่ ยภู่ ายใน จะช่วยในการเคลื่อนไหวหรือเคลื่อนท่ี
ระบบประสาท ทำหนา้ ท่ีควบคมุ กลไกลการทำงานของทกุ ระบบในรา่ งกาย
เมอ่ื สัตวเ์ จริญเตบิ โตเป็นตวั เต็มวัยกพ็ ร้อมทส่ี ะสืบพันธุเ์ พ่ือทจ่ี ะเพ่ิมลกู หลาน ทำใหส้ ตั ว์แตล่ ะชนดิ สามารถดำรง
เผ่าพันธ์ไุ วไ้ ด้
ใบความรทู้ ่ี 3
ปจั จยั จำเปน็ ตอ่ การเจรญิ เติบโตของสตั วม์ ดี งั นี้
1.อาหาร
84
สัตว์ตอ้ งกินอาหารเพื่อจะได้มีพลังงานในการทำกิจกรรมต่าง ๆสัตว์แตล่ ะชนดิ กินอาหารที่แตกต่างกนั ไปบางชนดิ กินพืชเปน็
อาหารบางชนิดกินสัตวเ์ ป็นอาหารและบางชนดิ กินท้ังพชื และสตั ว์เปน็ อาหาร
อาหาร (Food) หมายถึงของกนิ หรอื เครื่องหล่อเลีย้ งชวี ติ ในทางอาหารสตั ว์จะใชค้ ำวา่ Feed ซงึ่ จะหมายถงึ สารหรือสิ่งของ
ท่ภี ายหลังสตั วก์ นิ เขา้ ไปแลว้ สามารถถูกย่อย (Digested) ถูกดูดซมึ (Absorbed) แล้วจะถกู นำไปใช้ประโยชน์ (Utilized)
ตอ่ ร่างกายของสตั วไ์ ดโ้ ดยส่วนของอาหารที่ถกู ย่อยได้และถกู นำไปใชป้ ระโยชนไ์ ด้จะเรียกว่าโภชนะหรอื สารอาหาร
(Nutrients) (http://km.kasettrang.ac.th/Nut-l1.doc)
2.น้ำ
สัตว์ต้องกนิ นำ้ เพอื่ ใหร้ า่ งกายสดช่ืนชว่ ยดบั กระหายสัตวบ์ างชนดิ ใช้น้ำทำความสะอาดร่างกายหรอื สัตวบ์ างชนดิ อาศยั ในน้ำ
โดยสรุปสำหรับสัตว์แล้วนำ้ มปี ระโยชนด์ ังตอ่ ไปน้ี
- เซลลใ์ นร่างกาย ต้องการน้ำไปเพื่อไปทำให้โครงสรา้ งของเซลลค์ งรปู อยู่ไดแ้ ละสามารถทำงานได้อยา่ งปกติ
- น้ำเปน็ ตวั นำอาหารไปเลี้ยงกล้ามเนอื้ ตา่ ง ๆ และในเวลาเดียวกันนำ้ ก็เปน็ ตัวนำของเสยี ออกมาจากกล้ามเน้อื นั้น ๆ ด้วย
และขบั ถ่ายออกมาจากรา่ งกายในรปู ของเหงอ่ื และปัสสาวะ เป็นตน้
- นำ้ ช่วยในการเสรมิ สร้างและซอ่ มแซมส่วนท่สี กึ หรอของกลา้ มเนื้อ ชว่ ยหล่อไขข้อต่าง ๆ ของร่างกาย ช่วยยอ่ ยอาหาร ชว่ ย
ให้โลหิตไหลวนเวียนท่วั ร่างกาย
- ช่วยรกั ษาและควบคุมอุณหภมู ขิ องร่างกายให้อยูใ่ นระดับปกตหิ ากร้อนเกนิ ไปกจ็ ะระบายความร้อนออกมาในรูปของเหงือ่
เป็นตน้
3.อากาศ
อากาศเปน็ สง่ิ ที่จำเปน็ ท่ีสุดสำหรับส่งิ มีชีวติ ทกุ ชนดิ เน่ืองจากสัตวท์ ุกชนิดตอ้ งใช้ก๊าซออกซเิ จนในกระบวนการหายใจและ
เพอ่ื เผาไหมส้ ารอาหารใหเ้ ปน็ พลงั งาน
4.ท่อี ยูอ่ าศยั
สตั วแ์ ต่ละชนดิ จะมแี หลง่ ทอี่ ยู่ไวน้ อนหากนิ หลบภัยและดำรงชวี ิตดา้ นต่าง ๆท่ีแตกตา่ งกนั ไปสัตวบ์ างชนิดอาศยั บนบกบาง
ชนดิ อาศยั บนต้นไม้บางชนิดอาศยั ในนำ้
ใบความรทู้ ่ี 4
การผสมเทยี ม
การผสมเทยี ม (Artificial insemination) หมายถงึ การทำให้เกดิ การปฏสิ นธริ ะหว่างไข่กับอสจุ ิ ทีม่ นุษยเ์ ป็นผู้ทำใหเ้ กิดการ
ปฏิสนธโิ ดยนำน้ำเชือ้ อสจุ จิ ากสัตวต์ ัวผทู้ ีเ่ ปน็ พอ่ พนั ธุไ์ ปผสมกับไข่ของสัตวต์ ัวเมียท่เี ป็นแม่พนั ธ์โุ ดยท่ีสัตว์ไม่ต้องมีการผสม
85
พันธุก์ นั เองตามธรรมชาติการผสมเทียมสามารถทำไดก้ บั สัตว์ทัง้ ท่ีมีการปฏิสนธิภายนอกร่างกายของสัตว์ เช่นการผสมเทยี ม
ปลา และการปฏสิ นธิภายในร่างกายของสัตว์ เชน่ โค กระบือ สกุ ร แพะ แกะ
หลักการผสมเทยี ม
1.การรดี เกบ็ นำ้ เชอ้ื ทำได้โดยใชเ้ คร่ืองมือชว่ ยกระตนุ้ ใหต้ วั ผู้หล่ังน้ำเชอื้ ออกมาโดยต้องพิจารณาถึง อายุ ความสมบูรณ์ของ
ตัวผู้ ระยะเวลาทเี่ หมาะสมและวิธีการซึ่งขึ้นอย่กู บั ชนดิ ของสัตว์ เชน่ ไก่ สุกร โคและตอ้ งฝกึ ใหพ้ ่อพันธุเ์ ชอื่ งตอ่ การรดี
นำ้ เชือ้ ดว้ ยเชน่ กนั
2.การตรวจคณุ ภาพนำ้ เชอ้ื เพอ่ื ตรวจหาปริมาณของตวั อสุจิและการเคลอื่ นไหวของตัวอสุจดิ ว้ ยกล้องจลุ ทรรศน์ เพือ่ ดูความ
แขง็ แรงอตั ราตวั เป็นและตัวตาย
3.การละลายนำ้ เชอื้ เปน็ การเติมน้ำยาเลี้ยงเช้ือลงในน้ำเชอื้ เพอื่ เพ่ิมปริมาณน้ำเช้ือใหเ้ พียงพอ ในการแบ่งฉดี ให้กับตัวเมีย
หลาย ๆ ตัวนำ้ ยาเลยี งเชือ้ ท่ีเติม เชน่ ไข่แดง Sodium citrate ยาปฏชิ วี นะ
4.การเก็บรกั ษาน้ำเชอื้ มี 2 แบบคือ น้ำเชือ้ สดหมายถงึ น้ำเช้ือท่ลี ะลายแล้ว และเกบ็ ไวท้ ่ีอณุ หภมู ิ 4-5 องศาเซลเซียสจะอยู่
ไดน้ านเปน็ เดือน แตถ่ ้าเก็บที่ อณุ หภมู ิ 15-20 องศาเซลเซียสจะเก็บได้นานประมาณ 4 วัน อีกชนดิ คอื ส่วนน้ำเชอื้ แช่แข็ง
หมายถึงนำ้ เชื้อที่นำไปทำให้เย็นจนแขง็ แล้วนำไปเกบ็ ไว้ในไนโตรเจนเหลวที่อุณหภมู ิ -196 องศาเซลเซียส สามารถ เกบ็ ได้
นานเป็นปี
5.การฉดี น้ำเชอื้ สตั ว์ตัวเมยี ท่ีได้รบั การคดั เลือกใหเ้ ป็นแม่พนั ธุ์ ทจี่ ะไดร้ บั การฉดี น้ำเช้อื จะต้องอยูใ่ นวัยท่ผี สมพันธุ์ได้ การฉดี
นำ้ เชอ้ื ตอ้ งฉีดในระยะที่ตัวเมียเป็นสัดซึง่ เป็นระยะไข่สุก สงั เกตไดโ้ ดย สัตวจ์ ะเบ่ืออาหาร กระวนกระวาย ร้องบ่อยมนี ำ้
เมอื กไหลท่ีอวัยวะสบื พันธ์ุ และไลข่ ีต่ วั อ่ืน หรอื ยอมให้ตวั อ่ืนขึ้นทับ
ในปัจจุบนั ประชากรโลกได้เพิ่มข้นึ เป็นจำนวนมากดงั น้ันความต้องการสตั ว์เป็นอาหารและเป็นสินคา้ ของมนษุ ยม์ ีเพิม่ มากข้นึ
มนุษยจ์ งึ คิดค้นหาวธิ ีการต่างๆ ทจี่ ะช่วยในการขยายพนั ธุส์ ัตวใ์ ห้มปี รมิ าณมากเพยี งพอรวมทงั้ มีคุณภาพตามความต้องการ
ปจั จบุ ันนกั วทิ ยาศาสตร์ไดน้ ำวิธกี ารทางเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใชใ้ นการขยายพันธุเ์ พ่ือให้ได้ปรมิ าณของสตั ว์เพม่ิ มากขนึ้
แทนทจี่ ะใหส้ ตั วผ์ สมพันธก์ุ นั เองตามธรรมชาติ
โดยเทคโนโลยี สมยั ใหมท่ ่ใี ห้ความสะดวกและไดผ้ ลดรี วมทง้ั เป็นทีน่ ยิ มใชก้ ันอยา่ งแพร่หลายในขณะน้ไี ด้แก่การผสมเทยี ม
และการถ่ายฝากตัวอ่อน ส่วน การทำโคลนนง่ิ เปน็ เทคนคิ ขยายพันธุ์แบบใหม่ที่เพิ่งคิดคน้ ได้สำเรจ็
สตั วท์ ี่มกี ารปฏิสนธใิ นรา่ งกายของสตั ว์ ที่นยิ มการผสมเทียม ได้แก่ โคกระบือ สกุ ร แพะ แกะ มีขั้นตอนปฏบิ ตั ดิ ังนี้
1. การรดี น้ำเช้ือ เป็นการรีดนำ้ เช้อื อสุจจิ ากสัตว์พอ่ พันธุท์ ี่ดมี คี วามแข็งแรงสมบูรณ์ และมีอายพุ อเหมาะ โดยใชเ้ คร่อื งมือ
สำหรับรดี นำ้ เชอื้ โดยเฉพาะ
2. การตรวจคุณภาพน้ำเชอื้ เป็นการตรวจสอบความสมบูรณข์ องน้ำเช้ือท่รี ีดไดว้ า่ มปี ริมาณของตัวอสจุ ิมากพอแก่การผสม
เทียมและมคี วามแขง็ แรงเพียงพอแก่การนำมาใช้หรอื ไม่
86
3. การเก็บรักษาน้ำเช้ือ เปน็ การเกบ็ รักษานำ้ เช้ือก่อนท่ีจะนำไปใชโ้ ดยจะมีการเตมิ อาหารลงในนำ้ เช้ือเพ่ือให้ตัวอสจุ ไิ ด้ใช้
เปน็ อาหารตลอดช่วงทเ่ี ก็บรักษาและเป็นการชว่ ยให้ปรมิ าณน้ำเชือ้ มีมากขึน้ จะไดน้ ำไปฉีดให้ตัวเมียไดห้ ลาย ๆ ตัวหลังจาก
นน้ั จะนำนำ้ เชื้อท่ีเติมอาหารแล้วไปเก็บไวใ้ นอณุ หภูมติ ำ่ ซึ่งแบง่ ออกเป็น 2 แบบ คือ
• 1) การเกบ็ น้ำเช้ือสด เป็นการเก็บนำ้ เชอ้ื ในสภาพของเหลวในทอ่ี ุณหภมู ิ 4 - 5 องศาเซลเซียส จะช่วยให้นำ้ นำ้ เชื้อ
มีอายุอย่ไู ด้ประมาณหนึ่งเดือนแต่หากเก็บรักษาไวท้ ่ี อุณหภูมิ 15- 20 องศาเซยี ส จะเก็บรักษาได้ประมาณ 4 - 5
วนั เท่านั้น
• 2.) การเก็บรักษานำ้ เช้ือแบบแช่แข็งเป็นการเก็บน้ำเช้ือโดยแช่ไวใ้ นไนโตรเจนเหลวทอี่ ณุ หภูมิ ตำ่ - 196 องศา
เซยี สจะทำให้น้ำเชื้ออยู่ในสภาพของแขง็ วธิ ีการเกบ็ แบบนีจ้ ะชว่ ยให้สามารถเก็บไว้นานเป็นปี
4. การฉีดเชอื้ ให้แม่พันธ์ุ เมอ่ื จะผสมเทยี มจะนำเชอ้ื สดหรือนำ้ เชือ้ แชแ่ ขง็ ออกมาปรับสภาพให้อยใู่ นสภาพปกติแลว้ ใช้
กระบอกฉีดยาดูดนำ้ เชือ้ ทเี่ ตรียมไว้ฉีดเข้าไปในมดลูกของแม่พันธุ์เพ่ือใหเ้ กิดการปฏิสนธิ และต้ังท้อง
การถ่ายฝากตัวอ่อน เป็นวิธีการขยายพันธแ์ุ บบใหมว่ ธิ หี น่ึงโดยมีหลักการสำคัญ คือการนำตัวออ่ นที่เกิดจากการปฏสิ นธิ
ระหวา่ งพ่อพนั ธุแ์ ละแม่พนั ธุอ์ อกมาจากมดลกู ของแม่พันธุ์แลว้ นำไปฝากใส่ใว้ในมดลูกของตัวเมยี ตัวอ่ืนทเ่ี ตรียมไวเ้ พือ่ ใหต้ ัง้
ท้องแทนแม่พันธุซ์ งึ่ ทำใหส้ ามารถใช้ประโยชนจ์ ากแม่พนั ธ์ไุ ด้อยา่ งคุ้มต่าเพราะแม่พนั ธ์มุ ีหน้าท่ีเพยี งผลิตตัวอ่อน โดยไม่ต้อง
ตงั้ ท้องซ่งึ วธิ ีการถา่ ยฝากตวั อ่อนนีจ้ ะทำได้แตเ่ ฉพาะสตั ว์เลี้ยงลกู ด้วยนำ้ นมท่ีออกลกู เปน็ ตวั และออกลูกครง้ั ละ 1 ตวั และ
ใชเ้ วลาตัง้ ทอ้ งนาน
การถ่ายฝากตวั อ่อน จะข่วยทำให้ได้ตัวอ่อนจำนวนมากขน้ึ ในการผสมพันธุแ์ ตล่ ะครงั้ ซง่ึ มีวธิ ีการและข้นั ตอนสำคัญดังน้ี
1. เลอื กแม่พันธ์ทุ ี่ดี แล้ว กระตนุ้ ใหส้ รา้ งไข่และตกไข่ครงั้ ละหลายๆฟองดว้ ยการฉดี ฮอร์โมน
2. เตรยี มตัวเมยี ท่จี ะรบั ฝากตัวออ่ นโดยใช้ฮอร์โมนฉีดกระตุ้นให้มคี วามพรอ้ มทจี่ ะต้ังท้อง
3. ทำการผสมเทยี มโดยฉดี นำ้ เชอื้ ของตวั ผูท้ เ่ี ป็นพ่อพนั ธ์เุ ข้าไปในมดลูกของแม่พันธ์ใุ นช่วงไขต่ กในข้อ 1 หรอื ปล่อยใหต้ ัวผู้
หรือพ่อพันธุ์ ผสมพันธ์เุ องตามธรรมชาติทำใหไ้ ขห่ ลายฟองได้รับการปฏสิ นธิแล้วเจริญกลายเปน็ เป็นตวั อ่อนอยใู่ นมดลูก
หลายตัวพรอ้ มกัน
87
4. ใช้เครื่องมือดูดเอาตวั ออ่ นออกจากมดลกู ของแมพ่ ันธมุ์ าตรวจสอบและคดั เลือกเอาเฉพาะตวั ออ่ นที่สมบูรณด์ ีเทา่ นั้นโดย
ต้องใช้ตัวเมยี เท่ากบั จำนวนของตวั อ่อนทจ่ี ะถ่ายฝาก
5. นำตัวอ่อนทีผ่ า่ นการตรวจสอบ และคดั เลอื กแล้วนำไปใส่ฝากไวใ้ นมดลกู ของตัวเมยี ทเี่ ปน็ ตัวรบั ฝากตวั อ่อนท่ไี ด้เตรียมไว้
โดยตอ้ งใชต้ วั เมยี เท่ากบั จำนวนของตัวออ่ นท่ีจะถา่ ยฝาก
หลงั จากการถ่ายฝากตัวอ่อนเรียบร้อยแล้วตัวอ่อนจะเจริญเติบโตอยู่ในมดลูกจนสมบูรณ์ดี จงึ คลอดออกมาพรอ้ ม ๆ กันการ
ถ่ายฝากตัวอ่อน มีข้อดี ดงั นี้
1. ทำใหไ้ ด้ลกู จากพ่อพนั ธแุ์ ละแม่พนั ธ์ุคูเ่ ดียวจำนวนมากในการผสมพันธกุ์ ันเพียงคร้งั เดียว
2. ช่วยประหยัดเวลาและคา่ ใช้จา่ ยในการผลติ สัตวไ์ ดเ้ ป็นอยา่ งดี
3. สามารถเก็บรักษาตวั อ่อนไวไ้ ด้นานโดยการแชแ่ ข็งซงึ่ สามารถที่จะนำมาใชถ้ ่ายฝากให้กับตัวเมียอ่ืนๆ ได้ทุกเวลาตามที่
ต้องการ
4. ทำใหไ้ ด้สตั วท์ ี่มลี กั ษณะดีตามความต้องการในปรมิ าณมาก
โคตวั เมยี ทแ่ี สดงอาการเปน็ สัดดังกลา่ วควรจะไดร้ บั การผสมเทียมในระยะเวลาชว่ งกลางของการเปน็ สัดหรอื ใกล้ระยะที่จะ
หมดการเป็นสดั (อาจจะหมดการเป็นสดั ไปแลว้ ประมาณ 6 ชั่วโมงกไ็ ดห้ รือเม่ือโคเพศเมยี ตวั นั้นยืนนิ่งใหต้ ัวอืน่ ขนึ้ ขี่ ซ่ึงใช้
เปน็ หลกั ในการผสมพันธุ์)โดยทวั่ ๆ ไปโคเพศเมียจะมีระยะเปน็ สดั ประมาณ 18 ช.ม. แลว้ ต่อมาอีก 14 ช.ม.จงึ จะมไี ข่ตก
เพ่ือรอรับการผสมพันธุก์ ับน้ำเชอื้ พอ่ โคจึงเห็นสมควรที่ต้องเลอื กเวลาทเี่ หมาะสมในการดำเนินการเรอื่ งของรบั บริการผสม
เทยี มดงั มีหลักการทจ่ี ะใชใ้ นการปฏิบตั ิงานผสมเทียมคือ
1. เมอ่ื โคเพศเมยี ตัวใดแสดงอาการเปน็ สดั ในตอนรุ่งเชา้ ของวันใดวนั หนง่ึ ควรทีจ่ ะไดร้ บั การผสมเทียมในวันเวลาเดยี วกัน
(กอ่ น 16.30 น.)ฉะนนั้ พอรุ่งเชา้ ของแตล่ ะวนั เจ้าของสตั ว์ควรท่ีจะได้ไปแจ้งและบอกเวลา (ประมาณ)ที่ท่านได้เห็นสัตว์ของ
ท่านแสดงอาการเป็นสดั
2. ถา้ โคเพศเมียตัวใดแสดงอาการเปน็ สัดในตอนบา่ ยของวันใดวันหน่งึ ควรท่จี ะได้รบั การผสมเทยี มตอนเช้าหรือก่อนเท่ียง
ของวนั รุง่ ขึ้นฉะนัน้ เจา้ ของสตั วเ์ มือ่ พบวา่ สตั วแ์ สดงอาการเปน็ สัดในตอนบ่ายหรือตอนเย็นทา่ นควรจะไปแจ้งและบอกเวลา
ของการเป็นสดั (ประมาณ) ในร่งุ เช้าของวันต่อไปกไ็ ด้
ถ้าทา่ นไดศ้ ึกษาและร้จู กั สังเกตการแสดงอาการเปน็ สดั วา่ อาการเปน็ อย่างไรและหาระยะเวลาทีจ่ ะผสมเทียมให้พอเหมาะ
แล้วจะเปน็ การช่วยแก้ปญั หาเร่ืองการผสมเทยี มติดยากหรอื ผสมไม่ค่อยติดในโคเพศเมยี ของท่านไดท้ างหน่ึงและจะทำให้
เปน็ ประโยชน์ในดา้ นการเพ่มิ จำนวนและปริมาณนำ้ นมในกิจการโคนมของท่านยง่ิ ขน้ึ จึงเห็นสมควรทจ่ี ะเรยี กช่วงเวลาอัน
สำคัญนวี้ า่ "นาทที องในโคนมตัวเมีย"
เมอ่ื โคนาง ได้รบั การผสมไปแล้วประมาณ 21 วันหากโคไม่กลับมาแสดงอาการเปน็ สัดอีกก็อาจคาดได้ว่าผสมติดหรือโคตัว
นัน้ เริ่มตั้งท้องแลว้ เพื่อให้รู้แนช่ ัดย่ิงขนึ้ ภายหลงั จากการผสมโคนางแล้ว 50 วนั ขึน้ ไปอาจติดต่อสัตวแพทยห์ รือบุคคลผมู้ ี
ความ ชำนาญในการตรวจท้องแมโ่ ค (โดยวธิ ีล้วงเขา้ ไปคลำลูกโคทางทวารของแมโ่ ค)มาทำการตรวจทอ้ งแม่โคก็จะทราบได้
แนช่ ัดย่ิงขึ้น
ข้อสังเกต ในกรณีโคสาว จะสงั เกตไดจ้ ากการเจริญเตบิ โตท่ีเรว็ ข้นึ กนิ จุขึน้ ความจุของลำตวั โดยเฉพาะสว่ นท้องซี่โครงจะ
กางออกกวา้ ง ข้นึ ขนเปน็ มนั และไม่เปน็ สัดอีก
88
โดยทั่วไปแมโ่ คจะตั้งท้องประมาณ 283 วนั หรอื ประมาณ 9 เดอื นเศษในช่วงนี้แม่โคจะไดก้ ารเอาใจใส่ดูแลเร่อื งความ
เปน็ อย่แู ละอาหารเปน็ พเิ ศษเพราะลูกในท้องเจริญข้นึ เรอ่ื ย ๆ และเป็นไปอยา่ งรวดเร็ว ในระยะกอ่ นคลอดประมาณ 45 -
80 วัน ควรเพ่มิ อาหารผสมใหแ้ กแ่ มโ่ คทอ้ งเพ่ือแม่โคจะได้นำไปเสรมิ สร้างร่างกายส่วนท่ีสกึ หรอ และนำไปเลย้ี งลกู หรือ
นำไปสรา้ งความเจริญเติบโตสำหรับอวยั วะบางอยา่ งทย่ี ังเจริญเติบโตไมเ่ ต็มท่เี พอื่ ใหเ้ กิดความสมบรู ณม์ ากทสี่ ดุ และเพ่ือ
ไม่ให้แมโ่ คซบู ผอมสำหรับแม่โคที่กำลงั ใหน้ ม เม่ือตง้ั ท้องลกู ตวั ต่อไปควรจะหยุดรดี นมกอ่ นคลอดประมาณ 45 - 60 วนั
สำหรบั แม่โคท้องแรกหรือท้องสาวหรือแมโ่ คที่ยังเจริญเตบิ โตไม่เต็มที่ (อายุไม่ถึง 5 ปี) แม้จะให้ลูกมาแลว้ 1 หรอื 2 ตัวก็
ตามก่อนคลอดลกู ตวั ตอ่ ไปควรจะหยุดพักการรีดนมเร็วกวา่ แม่โคที่โตเตม็ ทแ่ี ลว้ อยา่ งน้อยกอ่ นคลอดประมาณ 45 - 60 วนั
เพ่อื ใหแ้ ม่โคไดม้ ีเวลาเตรียมตัวไดพ้ ักผ่อนร่างกายและอวัยวะต่าง ๆ บา้ งมิฉะน้ันแม่โคอาจจะไดร้ ับผลกระทบกระเทอื น นั่น
หมายถงึ ผลเสียหายท่ีจะตามมาภายหลังไดเ้ ช่น รา่ งกายจะชะงักการเติบโตเพราะอาหารไมพ่ อ ร่างกายไมส่ มบรู ณเ์ ม่ือคลอด
ลูกออกมาลูกโคอ่อนแอ มชี ว่ งระยะการให้นมในปีต่อไปสนั้ ลง ผสมตดิ ยากทิ้งชว่ งการเปน็ สัดนาน และอ่ืน ๆ เปน็ ต้น
เราอาจจะสงั เกตอาการตา่ งๆไดด้ งั น้ี
1. เต้านมขยายใหญข่ ึน้
2. อวยั วะเพศขยายตัวขน้ึ ย่งิ ใกลว้ นั คลอดเข้ามาสงั เกตเหน็ มนี ำ้ เมอื กไหลออกมาจากชอ่ งคลอด
3. กระดูกเชงิ กรานขยายตัวออกกวา้ งขน้ึ โคนหางตรงกระดูกกน้ กบจะบ๋มุ ลึกลงทงั้ สองข้าง
4. ช่องท้องตรงสวาปจะลึกหยอ่ นลง
5. ยกหางขนึ้ -ลงเลก็ นอ้ ยเป็นครง้ั คราว
6. ถ้าเปน็ โคทปี่ ลอ่ ยรวมฝูงจะพยายามแยกตวั ออกจากฝูง
7. แม่โคท่ีถูกขังจะไม่สนใจในการกินหญ้า อาหาร ยืนกระสับกระส่ายขกขาหลงั แตะอย่เู ร่ือย ๆ มกี ารเบ่งคลอดตลอดเวลา
ลักษณะการคลอดลูกในท่าปกติของแม่โค คือลกู โคจะเหยียดขาหน้าตรงออกมาพรอ้ มกนั ทง้ั สอง (ส่วนหวั แนบชิดกับเข่า) จะ
เหน็ เปน็ 3 จุด คือ 2 กบี ขา้ งหนา้ และจมูก ถ้าหากมีลกั ษณะอื่น ๆผิดไปจากนใ้ี ห้ถือเป็นการคลอดทีผ่ ดิ ปกติ อาทิเช่น หวั
พบั หรอื เอาดา้ นหลังออกมาก่อนส่วนอ่ืน หรือกรณที ี่ลกู โคมีขนาดใหญจ่ นไม่สามารถผ่านชอ่ งคลอดออกมาได้หรือกรณีอนื่ ๆ
เชน่ นค้ี วรรบี ตดิ ต่อสัตวแพทย์มาช่วยทำการคลอดและหากลูกโคคลอดออกมาแลว้ รกยังไมอ่ อกตามมาถ้าเกนิ 12 ชว่ั โมง
ควรรีบตามสตั วแพทย์มาชว่ ยแก้ไข เพราะถือวา่ มีความผิดปกติบางอยา่ งเกดิ ข้นึ กับแมโ่ คซง่ึ ต้องรีบทำการรักษาหลงั จากลูก
โคคลอดออกมาแล้วควรรีบเช็ดทำความสะอาดตัวลกู โคให้แห้งโดยเรว็ โดยเฉพาะเมือกบรเิ วณจมูกปากและลำตวั พรอ้ มกับ
ทำการตัดสายสะดอื ให้ห่างจากตัวโคประมาณ 1 น้วิ แลว้ ทาดว้ ยทิงเจอร์ไอโอดนี
1. ทำใหป้ ระหยดั พ่อพันธ์ุเมอื่ รีดเกบ็ นำ้ เชื้อจากสัตว์พ่อพนั ธ์ุไดแ้ ตล่ ะครั้งสามารถนำมาละลายนำ้ เชือ้ แล้วแบ่งใชผ้ สมกับสตั ว์
ตัวเมียได้จำนวนมาก
2. สามารถผสมพนั ธุส์ ัตวท์ ่มี ีขนาดใหญห่ รือเลก็ ต่างกนั ไดโ้ ดยไม่มีอนั ตรายจากการขึ้นทบั ของพ่อพันธุ์
3. ไมท่ ำใหส้ นิ้ เปลืองค่าใชจ้ ่ายในการเลี้ยงพ่อพันธ์ุ
4. ตดั ปัญหาในเร่ืองขนสง่ โคไปผสมเพราะสามารถนำน้ำเชื้อไปผสมไดไ้ กล ๆ
89
การเลอื กพอ่ สกุ รมารดี เชอ้ื
1. ตอ้ งตรงตามสายพนั ธ์ทุ ี่ตอ้ งการ
2. พอ่ พันธุ์ต้องมีอายุมากกว่า 9 เดือน หรือมีนำ้ หนักมากกว่า 110 กิโลกรมั
3. ความถ่ใี นการรีดเช้อื ของพ่อสุกร แตกต่างกัน - อายุ 8 – 10 เดือน รดี ได้ทุก 15 วนั
- อายุ 10 – 12 เดือน รดี ไดท้ กุ 10 วัน
- อายุ 1ปขี ้ึนไป รดี ไดท้ กุ 7 วัน
4. งดรดี เชอื้ พอ่ พันธุ์ที่มีอาการขาเจบ็ ให้ทำการรักษาก่อน
1. แมพ่ นั ธุ์ตอ้ งเปน็ สัดแล้วเต็มท่ี มีอาการยืนนง่ิ เมอื่ กดหลงั
2. ทำความสะอาดแม่พันธุ์
3. ใชส้ ำลเี ช็ดทำความสะอาดอวัยวะเพศ
4. ใชน้ ำ้ เกลือลา้ งอวยั วะเพศอกี คร้ัง
5. ลา้ ง catheter ดว้ ยนำ้ เกลอื ทง้ั ภายนอกและภายใน
6. คอ่ ยๆสอด catheter เข้าไปในอวยั วะเพศเมียโดยค่อยๆหมุนทวนเขม็ นาฬิกาจนปลาย catheter ลอ็ คตดิ กับปากมดลกู
(cervix) ทดลองดงึ เบาๆจะไม่หลดุ ออก
7. หยบิ ขวดน้ำเชอื้ มา ตดั ปลายหลอด แลว้ ใสป่ ลายหลอดน้ำเชือ้ ในรู catheter
8. ค่อยๆบบี นำ้ เชอื้ เข้าไปในมดลูกจนหมดหลอด (ประมาณ 5 นาท)ี รอสกั ครู่คอ่ ยๆดงึ catheter ออกโดยหมุนตามเข็ม
นาฬิกา
9. อปุ กรณท์ ใี่ ช้แล้วนำไปล้างและนึ่งฆ่าเชื้อก่อนนำมาใชใ้ หม่
1. สามารถแพร่เลือดของพ่อพนั ธ์ทุ ี่ดีเย่ยี มไปได้มากและกว้างขวางท่ีสุด
2. การผสมเทียมเปน็ วธิ ีปอ้ งกันการแพร่กระจายเชอ้ื โรคต่างๆอนั อาจเกิดได้ง่ายจากการผสมพนั ธุ์โดยธรรมชาติ เช่น แทง้
ตดิ ต่อ วณั โรค
3. การผสมเทยี มช่วยประหยัดคา่ ใช้จา่ ยได้มากโดยไม่ต้องเสยี เงนิ ซอื้ พ่อพนั ธ์ุสกุ รซง่ึ มรี าคาแพงมากมาไว้ในฟาร์ม
4. สามารถเก็บเชื้อพอ่ พนั ธ์ดุ ไี วใ้ ช้ไดน้ านปี
5. ชว่ ยขจัดปญั หาแตกต่างระหวา่ งขนาดของพ่อพนั ธแ์ุ ละแมพ่ นั ธุซ์ ่งึ อาจทำใหเ้ กิดอนั ตรายได้
6. สตั ว์ตวั เมยี ทม่ี ีอวัยวะสบื พันธผุ์ ดิ ปกติไม่อาจผสมพนั ธ์ุได้ตามธรรมชาติ กอ็ าจใชว้ ิธกี ารผสมเทียมตดิ ได้
7. เป็นประโยชนท์ างด้านการศกึ ษาค้นควา้ ทางวชิ าพนั ธุศาสตร์
การผสมเทยี ม ไดเ้ รมิ่ กำเนิดข้ึนในโลก ประมาณปี พ.ศ.1865 โดยนกั วิทยาศาสตร์ชาวอาหรับ ไดท้ ำการผสมเทยี มม้าเปน็
ผลสำเร็จโดยใช้นำ้ เช้อื ม้าทตี่ ิดท่ีหนังหุ้มลงึ ค์ นำมาผสมใหก้ ับแมม่ ้าที่กำลังเป็นสัดทำให้แม่ม้าต้ังท้องและคลอด
90
ปี พ.ศ. 2220 ลเี วนฮุค(Leeuwenhoek) และแฮมม(์ Hamm) ไดค้ น้ พบส่งิ มชี ีวิตเล็ก ๆ เคล่ือนไหวอยู่ในนำ้ เชื้อของสัตว์ตัว
ผู้จึงไดต้ ั้งช่อื วา่ เอนมิ ลั คู(Animalcule) ซ่ึงหมายถงึ ส่งิ มชี วี ิตเล็ก ๆ ในขณะนั้นยงั ไม่ทราบว่าสง่ิ มีชวี ติ เลก็ ๆ ทเ่ี คลอ่ื นไหวอยู่
ในน้ำเช้ือของสัตวต์ ัวผคู้ อื อะไร
ปี พ.ศ. 2323 ได้มนี กั วิทยาศาสตรช์ าวอติ าลี ชื่อลาซาโล (Lazarro Spallanzani) ไดเ้ ขียนผลงานวิจัยเกย่ี วกับผลสำเร็จ
ของการผสมเทยี มโดยไดท้ ำการผสมเทียมสนุ ัข ได้ลูกสนุ ขั ที่เกดิ จากการผสมเทยี ม 3 ตวั และไดท้ ดลองแยกน้ำเชือ้ โดยการ
กรอง พบว่าสว่ นของนำ้ เชื้อที่ผ่านเครอื่ งกรองออกมานั้น ถ้านำไปฉีดในแมส่ ัตว์ท่ีกำลังเป็นสดั ปรากฎว่าผสมไมต่ ดิ แต่ถ้าเอา
ส่วนบนที่ตดิ กบั เครื่องกรองไปผสม ปรากฎว่าผสมตดิ ดีขนึ้ และยังพบว่า ถา้ ทำให้น้ำเช้ือเย็นลงระดับหน่ึงจะสามารถเกบ็
รกั ษานำ้ เชอ้ื ได้นานมากขน้ึ
ปี พ.ศ. 2457 ศาสตราจารย์ อะเมนเทีย(Prof.Amantea) ได้ทำการประดิษฐ์อวัยวะเพศเมยี เทยี มของสนุ ัข (Artificial
vagina) เพ่อื ใชใ้ นการรดี เก็บนำ้ เช้ือจากพ่อสนุ ัขจนเป็นจดุ เรม่ิ ตน้ ของการประดิษฐ์อวัยวะเพศเมยี เทียมของสัตวช์ นิดอื่น ๆ
ปี พ.ศ. 2479 นกั วทิ ยาศาสตรข์ องประเทศเดนมาร์คเร่มิ พัฒนาการผสมเทยี มโคนม โดยใชว้ ธิ ีล้วงเข้าทางทวารหนัก
(Rectovaginal insemination) โดยใชม้ อื ล้วงเข้าทางทวารหนักจบั คอมดลกู (Cervix) แล้วใชป้ ืนฉดี น้ำเชือ้ สอดผา่ นชอ่ ง
คลอด ผา่ นคอมดลกู (Cervix) จนไปถึงตัวมดลูก(Body of Uterus) และฉีดน้ำเชอ้ื ในมดลกู ทำให้อัตราการผสมติดดขี ึ้น
หลงั จากนนั้ งานผสมเทยี มได้มกี ารขยายมากขน้ึ และกระจายไปสู่สตั วต์ า่ ง ๆมกี ารผสมเทียมสุนัข ม้า โค แพะ แกะ จน
สามารถใหก้ ำเนดิ ลกู สตั วไ์ ด้นับแสนตัว
ปี พ.ศ. 2483 ได้มกี ารพฒั นาน้ำเชือ้ โดยฟลิ ลปิ (Philips) และลาดี้(Lardy) ได้ทดลองนำไข่แดงผสมเปน็ สารเจอื จางน้ำเชอื้
พบว่าสามารถป้องกันอนั ตรายของตวั อสุจิในการลดอุณหภูมิของนำ้ เชอ้ื และทำให้สามารถเกบ็ น้ำเชอ้ื ได้นาน 2-3 วนั
ปี พ.ศ. 2484 ซาลสิ เบอร่ี(Salisbury) และคณะ ทดลองใช้โซเดยี มซิเตรท(Sodium citrate) และ ไข่แดง เป็นบฟั เฟอร์
(buffer) ในสารเจือจางนำ้ เชื้อสามารถเพิ่มปริมาตรนำ้ เชอ้ื และแบ่งน้ำเช้ือไปผสมเทยี มให้กบั สัตวไ์ ด้มากตัว
ปี พ.ศ. 2489 อรัมคริส(Alamquist) และคณะไดท้ ดลองเตมิ ยาปฏิชีวนะลงไปในสารเจือจางน้ำเชอ้ื พบว่าสามารถป้องกัน
การเจรญิ เตบิ โตของเชือ้ โรคในนำ้ เชื้อได้ดี
ปี พ.ศ. 2492 ซี โพล(C.Polge) และคณะ ชาวอังกฤษได้ทำการแชแ่ ข็งนำ้ เช้อื ไดส้ ำเรจ็ โดยเก็บน้ำเช้ือในน้ำแข็งแห้ง
อณุ หภมู ิ -79 องศาเซลเซียส
ปี พ.ศ. 2495 พอล(Polge) และโรสัน(Rowson) ได้พบวา่ การเตมิ กลเี ซอรอลลงในสารเจือจางนำ้ เชื้อ จะชว่ ยให้อสจุ ริ อด
ชีวิตจากการเกบ็ ท่ีอุณหภูมิ -196 องศาเซลเซียส ซึ่งเปน็ จุดเร่มิ ในการผลติ นำ้ เชื้อแชแ่ ขง็
การผสมเทียมในประเทศไทยเร่มิ ข้นึ โดย ในปี พ.ศ.2496 ศาสตราจารยน์ ีลลล์ าเกอร์ลอฟ ชาวสวเี ดน ซึง่ เป็นผูเ้ ชี่ยวชาญ
จากเอฟ.เอ.โอ.ได้เดนิ ทางมาสำรวจการเลย้ี งปศสุ ตั วใ์ นประเทศไทย โดยทุนของ เอฟ.เอ.โอ.จากน้ันได้เข้าเฝ้าพระบาทสมเดจ็
พระเจ้าอยู่หัวรชั กาลปัจจบุ นั เพอ่ื ทูลเกลา้ ฯถวายโครงการผลติ โคนมลูกผสมดว้ ยวธิ ีการผสมเทยี มในประเทศไทย ซ่ึง
วตั ถุประสงค์ของโครงการฯ คือ เพื่อใหป้ ระเทศไทย สามารถผลิตนำ้ นมได้เองภายในประเทศทดแทนการนำเข้านมและ
ผลิตภัณฑน์ มจากต่างประเทศ (มลู คา่ นำเข้าขณะนน้ั ประมาณ 1,000 ล้านบาทเศษ)
หลงั จากน้ัน ในปี พ.ศ. 2497 กรมปศสุ ัตว์ไดส้ ง่ ขา้ ราชการ 2 นายคอื นายสัตวแพทย์ทศพร สุทธิคำ และนายสตั วแพทย์
อทุ ัย สาลิคุปต์ โดยทนุ เอฟ.เอ.โอ.ไปศกึ ษาอบรมนานาชาติ ณ ราชวทิ ยาลยั สตั วแพทย์ กรุงสต๊อกโฮล์ม ประเทศสวเี ดนซึ่ง
องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติรว่ มกบั รัฐบาลสวีเดนไดเ้ ปิดหลกั สูตรฝึกอบรมวิชาการสบื พนั ธุ์ รวมทง้ั การผสม
เทียมขึน้ เป็นรุน่ แรก
หลงั จากนายสตั วแพทย์ทศพร สุทธิคำ ศึกษาวชิ าการสบื พนั ธุ์และผสมเทยี ม ณประเทศสวเี ดนสำเร็จ และเดินทางกลับ
ประเทศไทยท่านได้เริม่ ตน้ ดว้ ยการพยายามก่อต้ังสถานีผสมเทียมเพอื่ ให้บริการผสมเทยี มแก่ปศสุ ตั ว์ของเกษตรกรรวมถงึ
พยายามถ่ายทอดความรู้ด้านการผสมเทียมแกน่ ักวชิ าการของกรมปศุสัตวซ์ ง่ึ ในขณะน้ันยังไม่มีงบประมาณสนับสนนุ การ
ดำเนนิ งานดังกลา่ วแต่ดว้ ยความมุ่งมัน่ และตั้งใจจรงิ จนในปี พ.ศ. 2499 กรมปศสุ ัตวจ์ ึงไดเ้ ปิดสถานีผสมเทยี มแห่งแรก ท่ี
จงั หวดั เชียงใหม่ และไดม้ อบหมายให้นายสตั วแพทย์ทศพรสทุ ธคิ ำ ปฏบิ ัติหน้าท่ีเปน็ หวั หน้าสถานผี สมเทียมดังกล่าว
91
จากที่การปฏิบัติงานผสมเทยี มในระยะตน้ ๆ ยงั ไม่มงี บประมาณสนบั สนนุ นายสัตวแพทย์ทศพร ใชค้ วามพยายามอย่าง
ยง่ิ ยวด ทจ่ี ะประยุกต์ดัดแปลงเครอื่ งมือต่าง ๆท่มี ีอยู่ สำหรับปฏิบตั งิ านผสมเทยี มโดยไม่ตอ้ งซื้อหาจากต่างประเทศจน
สามารถประยุกต์อปุ กรณ์ท่มี ี นำมาปฏบิ ัตงิ านผสมเทยี มได้ และในวันท่ี 9 กนั ยายนพ.ศ. 2499 นายสัตวแพทย์ทศพร ได้
ผสมเทียมใหแ้ มโ่ คตัวแรก ที่อำเภอเมืองจงั หวัดเชียงใหม่ ซ่ึงเป็นแมโ่ คของนายนคร ผดุงกิจ เป็นผลสำเรจ็ แม่โคดงั กล่าวไดต้ ้งั
ทอ้ งและต่อมาคลอดลกู เป็นลูกโคเพศเมยี ดงั นั้น ในวันท่ี 9 กันยายน ของทุก ๆ ปี จงึ ถือเป็นวันกำเนิดงานผสมเทยี มของ
ประเทศไทย
ในปี พ.ศ. 2501 สถานีผสมเทียมแหง่ ท่สี องได้ตั้งข้ึนทห่ี น่วยผสมเทียมกลางในกรมปศุสัตวโ์ ดยมีนายสตั วแพทยป์ ระเสิรฐ
ศงสะเสน เปน็ หัวหนา้ สถานผี สมเทียมกรงุ เทพมหานครซ่ึงนายสตั วแพทย์ประเสรฐิ ไดพ้ ัฒนาและปรับปรุงพ้ืนฐานการเลี้ยง
โคนมและการผสมเทียมในกรุงเทพมหานครตามรอยของนายสัตวแพทยท์ ศพรทีส่ ร้างไว้ จนประสบความสำเรจ็ อยา่ งดียิ่ง
จากความมุ่งมนั่ ทีจ่ ะพัฒนางานรวมท้ังการวางรากฐานท่ดี ขี องนายสตั วแพทย์ทศพรทำให้ปจั จบุ ันงานผสมเทียมของประเทศ
ไทยได้เจริญกา้ วหน้าทัดเทียมนานาอารยะประเทศดังน้ัน นายสัตวแพทย์ทศพร สทุ ธคิ ำ จึงได้รบั ขนานนามวา่ “ บิดาแห่ง
การผสมเทยี มของประเทศไทย “
การทำโคลนนิง เปน็ เทคนิคการขยายพนั ธ์ทุ ่ีทำใหเ้ ซลล์ไขซ่ ึ่งผา่ นกรรมวิธบี างอย่างสามารถเจรญิ เป็นตวั อ่อนได้โดยท่ีไม่ต้อง
มีการปฏิสนธิตามธรรมชาตโิ ดยเซลลไ์ ขด่ งั กลา่ ว จะถกู นำนิวเคลียสเกา่ ออก แล้วใสน่ วิ เคลียสใหม่ซง่ึ เป็นของเซลล์ตน้ แบบ
จากสัตว์ตวั ทมี่ ีลักษณะตามต้องการเขา้ ไปแทนจากนนั้ ก็กระตุ้นใหเ้ ซลล์ไขท่ ่ีมีนิวเคลียสใหมแ่ บ่งเซลลไ์ ดเ้ ป็นตวั อ่อนแล้วจงึ
นำตัวอ่อนท่ีได้ไปฝากไว้ในมดลกู ของแม่ฝากใหต้ ง้ั ท้อง และคลอดลกู แทนแม่ซ่ึงเปน็ เจ้าของเซลล์ตน้ แบบ
สัตว์ทเ่ี กิดจากเทคนคิ การทำโคลนนิงซึ่งมชี อ่ื เสียงโด่งดงั ไปท่ัวโลกกค็ ือ " แกะดอลลี " ซึ่งถือกำเนดิ ขึ้นเม่ือเดือน กุมภาพนั ธุ์
พ.ศ. 2540 ( ปัจจบุ นั เสยี ชีวติ ไปแล้ว )โดยเซลลต์ ้นแบบของแกะดอลลีได้มาจากเซลลเ์ ต้านมของแกะหน้าขาวขัน้ ตอนการ
ทำโคลนนงิ แกะดอลลเี ป็นดังแผนภาพ
92
ใบความรทู้ ่ี 5
หลกั การและวธิ กี ารอนรุ กั ษท์ รพั ยากรธรรมชาตแิ ละ สงิ่ แวดลอ้ ม
การอนุรักษส์ ง่ิ แวดลอ้ ม (Environmental Conservation) หมายถึงการใช้สิง่ แวดลอ้ ม อยา่ งมีเหตผุ ล เพือ่ อำนวยให้มี
คุณภาพชีวิตท่ดี ตี ลอดไปแก่มนษุ ย์
โดยมแี นวความคดิ ท่จี ะอนุรกั ษ์ส่ิงแวดลอ้ มใหเ้ กดิ ผลอยู่ 6 ประการคือ
1) ตอ้ งมีความร้ใู นการท่จี ะรักษาทรัพยากรธรรมชาติท่ีจะให้ผลแกม่ นษุ ยท์ ั้งท่ี เปน็ ประโยชน์และโทษ และคำนึงถึงเร่อื ง
ความสญู เปลา่ ในการจะนำทรัพยากรธรรมชาตไิ ปใช้
2) รักษาทรัพยากรธรรมชาติทจี่ ำเปน็ และหายากด้วยความระมดั ระวงั ตระหนักเสมอ วา่ การใชท้ รัพยากรมากเกนิ ไปจะเป็น
การไม่ปลอดภยั ต่อสภาพแวดลอ้ ม
ฉะนัน้ ต้องทำให้อยู่ในสภาพเพิม่ พูนทง้ั ดา้ นกายภาพและเศรษฐกิจ
3) รกั ษาทรัพยากรทที่ ดแทนได้ให้มีสภาพเพิ่มพูนเทา่ กบั อัตราที่ต้องการใช้เป็น อย่าง น้อย
4) ประมาณอัตราการเปลย่ี นแปลงของประชากรได้ พจิ ารณาความต้องการใชท้ รพั ยากรธรรมชาติเป็นสำคัญ
5) ปรบั ปรุงวธิ กี ารใหม่ ๆ ในการผลติ และใชท้ รัพยากรอย่างมปี ระสิทธภิ าพและพยายามคน้ ควา้ ส่ิงใหม่ ๆ ทดแทนการใช้
ทรพั ยากรจากแหล่งธรรมชาติใหเ้ พยี งพอต่อความต้องการใชข้ องประชากร
6) ใหก้ ารศึกษาแกป่ ระชาชนเพือ่ เข้าใจถึงความสำคญั ในการรักษาสมดุลธรรมชาติ ซึง่ มผี ลต่อการทำให้สง่ิ แวดลอ้ มอยใู่ น
สภาพทด่ี ี โดยปรบั ความรทู้ ี่จะเผยแพร่ใหเ้ หมาะแก่วยั คุณวฒุ ิ บคุ คล
สถานทีห่ รอื ท้องถน่ิ ทั้งในและนอกระบบโรงเรียน เพอ่ื ให้ประชาชนเข้าใจในหลักการอนุรักษส์ ิ่งแวดลอ้ ม อันจะเป็นหนทาง
นำไปสู่อนาคตท่ีคาดหวงั ว่ามนยุ ์จะได้อาศัยในส่ิงแวดล้อมที่ดไี ด้
วธิ กี ารรอนรุ กั ษท์ รพั ยากรธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดลอ้ ม
วิธกี ารอนุรกั ษ์ มีขั้นตอนดงั น้ี
1) กำจดั การใช้ที่ไม่จำเป็นหรือมีแนวโนม้ ท่ีจะสญู เปลา่
2) ดูแลรักษาทรัพยากรทหี่ ายากหรอื มนี ้อย ให้อยู่ในสภาวะท่ีมากพอเสยี ก่อนจึงจะให้ใช้ทรัพยากรน้ัน ๆ ได้
3) ผใู้ ชท้ รพั ยากรท้ังหลายควรตระหนกั อยูเ่ สมอว่า ทรัพยากรแต่ละอย่างจะมคี วามสัมพันธ์ต่อกนั ยากที่จะแยกจากกันได้
4) การเพ่ิมผลผลติ ของพน้ื ทีแ่ ตล่ ะแห่งควรจะต้องทำ
5) ต้องพยายามอำนวยใหส้ ภาวะต่าง ๆ ดีข้นึ
ทงั้ 5 ประการน้ีเป็นสิง่ ท่ีควรจะได้กระทำ เพื่อให้การอนรุ ักษ์ไดผ้ ลตามเจตนารมย์ โดยไม่ลืมวา่ วตั ถุประสงค์สุดยอดของการ
อนรุ กั ษ์คือ ต้องทำให้โลกนีด้ ี (Rich) ใหผ้ ลผลิตเหมอื นเมือ่ พบครงั้ แรก (Productive) พยายามอยา่ ให้โลกทรุดโทรมหรือขาด
แคลนทรัพยากร ตามคำกล่าวสนบั สนุนทวี่ ่า
“ ชาติที่จะเจริญรุง่ เรืองน้ันต้องรู้วา่ จะผลิตและสรา้ งทรพั ยากรอย่างไรโดย ปราศจากการทำลาย การอนรุ ักษจ์ งึ เปน็ หัวใจ
ของการพฒั นา ”
93
การที่จะใช้ประโยชนจ์ ากทรัพยากรธรรมชาติให้ถูกตอ้ งตาม หลกั การอนุรักษน์ ัน้ จำเป็นอย่างย่งิ ท่ีจะมคี วามเข้าใจสิ่งตา่ ง ๆ
ทีอ่ ยรู่ อบตวั เรา อกี ทัง้ ต้องมีความสนใจต่อการดำเนนิ การต่าง ๆ ทงั้ ในด้านการปฏิบตั ิและการจัดการทรัพยากร รวมทั้งการ
ขวนขวายหาความรู้ใหมเ่ พิ่มเตมิ เพ่ือการคงไว้ซงึ่ ทรพั ยากร ทงั้ น้ีการมีความรู้เร่อื งการอนุรกั ษ์จะชว่ ยใหร้ ู้จักการใช้
ทรพั ยากร ธรรมชาติ โดยหลกี เล่ยี งการสูญเปล่า (Waste) และการทำลาย การสญู เปลา่ ตามหลักอนุรักษวทิ ยานั้น เกิดขึน้ ได้
2 กรณี คือ ขั้นผลติ กรรม (Production) และข้นั บริโภค (Consumption) แยกไดเ้ ปน็
1) การสญู เปล่าแบบสมบรู ณ์ (Absolute Waste) ไดแ้ กก่ ารสญู เปลา่ ท่เี กดิ ขนึ้ แลว้ ไมส่ ามารถกลับคนื เช่น การพงั ทลายของ
ดนิ จากทงั้ ลมและน้ำ
2) การสญู เปลา่ แบบเพิม่ พนู (Waste Plus) เปน็ ขบวนการสูญเปลา่ ทีร่ ุนแรงคือนอกจากสูญเสยี ทรพั ยากรต่าง ๆ แบบ
สมบูรณ์แลว้ ยังมผี ลทำใหส้ ิง่ หรอื ขบวนการอืน่ ๆ
สญู เปล่าไปด้วย เชน่ การเกดิ ไฟฟา้ ทำลายต้นไมใ้ นป่าและยงั สญู เสียปรมิ าณสตั วป์ ่า สูญเสียดินและอน่ื ๆ
3) การสญู เปล่าแบบสัมพนั ธ์ (Relative Waste) ได้แก่ การสูญเสียท่เี กิดจาก การแสวงหาส่งิ หนงึ่ แตท่ ำให้เกิดผลเสียอีก
อย่างหนึ่ง เชน่ การทำเหมืองแร่ อาจทำใหเ้ กดิ การทำลายพืชพรรณธรรมชาติ
ทำให้นำ้ ในลำธารขนุ่ การเก็บของป่าอาจต้องทำลายหรือตัดฟันต้นไม้เพ่ือให้ได้ มาซ่ึงผลผลติ จากป่า อาทิ นำ้ ผง้ึ ยาสมุนไพร
เป็นต้น
4) การสูญเปลา่ แบบตัง้ ใจ (Organized Waste) ได้แก่การทำใหเ้ กิดการสญู เปล่าโดยตั้งใจจะจดั การกับบางอย่าง เพ่ือรักษา
ราคาหรอื ค่าทางเศรษฐกจิ ของทรพั ยากรธรรมชาติ หรอื อตุ สาหกรรมไว้ให้ดีท่สี ุด
เชน่ การท่ปี ระเทศบราซิลยอมทิง้ กาแฟลงในทะเลเพราะผลติ มากเกนิ ไป จำเป็นต้องรกั ษาราคากาแฟให้เปน็ ไปตามต้องการ
การเผาใบยาสบู ทงิ้ เพราะผลติ มากเกนิ ไป การนำแอ๊ปเปล้ิ เทบนถนนให้รถบรรทุก
บดเพือ่ ทำลาย เนื่องจากมผี ลผลติ ลน้ ตลาด
หลกั การอนรุ กั ษท์ รพั ยากรธรรมชาติ
ในการอนรุ ักษแ์ ละจดั การทรัพยากรธรรมชาตใิ ห้เหมาะสมและได้รบั ประโยชนส์ ูงสุดควรคำนึงถึงหลักตอ่ ไปน้ี
1. การอนรุ กั ษ์และการจดั การทรพั ยากรธรรมชาติต้องคำนึงถงึ ทรัพยากรธรรมชาติอน่ื ควบคู่กนั ไปเพราะ
ทรัพยากรธรรมชาตติ ่างก็มีความเกี่ยวข้องสัมพนั ธ์และส่งผลต่อกนั อย่างแยกไม่ได้
2. การวางแผนการจดั การทรัพยากรธรรมชาติอย่างชาญฉลาด ต้องเชอื่ มโยงกบั การพัฒนา สงั คมเศรษฐกิจ การเมือง และ
คุณภาพชีวติ อย่างกลมกลืนตลอดจนรกั ษาไวซ้ ึ่งความสมดุลของระบบนิเวศควบคู่กันไป
3. การอนรุ ักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ตอ้ งร่วมมือกันทกุ ฝ่าย ทง้ั ประชาชนในเมือง ในชนบทและผูบ้ ริหาร ทกุ คนควรตระหนกั
ถึงความสำคัญของทรัพยากรและส่งิ แวดลอ้ มตลอดเวลาโดนเรม่ิ ต้นท่ตี นเองและท้องถิน่ ของตนร่วมมือกันทั้งภายในประเทศ
และทัง้ โลก
4. ความสำเร็จของการพฒั นาประเทศขนึ้ อยู่กับความอุดมสมบูรณ์และความปลอดภยั ของทรัพยากรธรรมชาติดงั น้ันการ
ทำลายทรพั ยากรธรรมชาติจงึ เปน็ การทำลายมรดกและอนาคตของชาตดิ ้วย
5. ประเทศมหาอำนาจที่เจริญทางด้านอุตสาหกรรมมคี วามต้องการทรัพยากรธรรมชาติเป็นจำนวนมากเพ่อื ใชป้ ้อนโรงงาน
อุตสาหกรรมในประเทศของตนดงั น้ันประเทศท่ีกำลงั พัฒนาทัง้ หลายจงึ ตอ้ งชว่ ยกนั ป้องกันการแสวงหาผลประโยชนข์ อง
ประเทศมหาอำนาจ
6. มนุษยส์ ามารถนำเทคโนโลยีต่าง ๆ มาช่วยในการจัดการทรพั ยากรธรรมชาติได้แต่การจดั การน้นั ไม่ควรมุ่งเพียงเพอื่ การ
อยู่ดกี ินดเี ทา่ นั้นต้องคำนึงถึงผลดที างดา้ นจติ ใจดว้ ย
7. การใช้ทรพั ยากรธรรมชาติในส่งิ แวดลอ้ มแต่ละแหง่ นัน้ จำเปน็ ต้องมีความร้ใู นการรกั ษาทรัพยากรธรรมชาตทิ ่จี ะให้
ประโยชนแ์ กม่ นุษย์ทกุ แง่ทุกมุมทง้ั ข้อดแี ละข้อเสียโดยคำนงึ ถงึ การสญู เปลา่ อันเกิดจากการใชท้ รัพยากรธรรมชาติด้วย
8. รักษาทรัพยากรธรรมชาตทิ ่ีจำเปน็ และหายากด้วยความระมัดระวงั พร้อมทั้งประโยชน์และการทำให้อยูใ่ นสภาพท่ีเพ่ิมท้งั
ทางดา้ นกายภาพและเศรษฐกิจเทา่ ท่ที ำไดร้ วมทง้ั จะต้องตระหนักเสมอวา่ การใช้ทรัพยากรธรรมชาตทิ ีม่ ากเกินไปจะไม่เป็น
การปลอดภยั ต่อสิ่งแวดลอ้ ม
94
9. ต้องรักษาทรัพยากรท่ที ดแทนไดโ้ ดยใหม้ ีอัตราการผลติ เทา่ กับอตั ราการใชห้ รืออัตราการเกดิ เท่ากบั อัตราการตายเป้นอ
ยา่ งนอ้ ย
10. หาทาวปรบั ปรงุ วธิ ีการใหม่ ๆ ในการผลติ และการใช้ทรพั ยากรธรรมชาติอยา่ งมปี ระสิทธภิ าพอีกท้ังพยายามค้นควา้ สง่ิ
ใหม่มาใชท้ ดแทน
11. ให้การศกึ าาเพื่อให้ประชาชนเขา้ ใจถึงความสำคญั ในการรักษาทรัพยากรธรรมชาติ
สำหรับวธิ ีการในการอนรุ ักษท์ รพั ยากรธรรมชาตนิ ้ันศริ ิพรต ผลสทิ ธุ์ (2531 : 196-197) ไดเ้ สนอวิธีการไว้ดงั นี้
1. การถนอมเปน็ การรกั ษาทรพั ยากรธรรมชาตทิ ้ังปริมาณและคณุ ภาพให้มีอยู่นานท่ีสุดโดยพยายามใช้ทรพั ยากรธรรมชาติ
ให้มปี ระสทิ ธภิ าพเชน่ การเลอื กจบั ปลาที่มีขนาดโตมาใช้ในการบริโภค ไมจ่ ับปลาท่ีมขี นาดเลก็ เกินไปเพื่อใหป้ ลาเหลา่ นั้นได้
มีโอกาสโตขึน้ มาแทนปลาทีถ่ ูกจบั ไปบริโภคแล้ว
2. การบรู ณะซอ่ มแซมเปน็ การบุรณะซ่อมแวมทรัพยากรธรรมชาตทิ เ่ี กิดความเสยี หายให้มสี ภาพเหมือนเดิมหรือเกือบเท่า
เดมิ บางครง้ั อาจเรยี กว่าพัฒนาก้ได้ เชน่ ป่าไมถ้ ูกทำลายหมดไปควรมีการปลกู ป่าข้นึ มาทดแทนจะทำให้มีพ้นื ท่บี ริเวณนนั้
กลับคืนเป็นปา่ ไม้อกี ครั้งหนง่ึ
3. การปรบั ปรงุ และการใชอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพเชน่ การนำแรโ่ ลหะประเภทต่าง ๆ มาถลงุ แลว้ นำไปสร้างเคร่ืองจักรกล
เครอื่ งยนต์หรืออุปกรณต์ ่าง ๆ ซ่งึ จะใหป้ ระโยชนแ์ กม่ นยุ ษเ์ รามากย่ิงขึ้น
4. การนำมาใชใ้ หม่ เปน็ การนำทรพั ยากรธรรมชาตทิ ใ่ี ช้แลว้ มาใชใ้ หม่เช่น เศษเหล็ก สามารถนำกลบั มาหลอมแล้วแปร
สภาพสำหรับการใชป้ ระโยชนใ์ หมไ่ ด้
5. การใชส้ ง่ิ อนื่ ทดแทนเป็นการนำเอาทรัพยากรอย่างอน่ื ท่ีมีมากกวา่ หรอื หาง่ายกว่า มาใช้ทดแทนทรัพยากรธรรมชาติท่ีหา
ยากหรือกำลงั ขาดแคลน เช่นนำพลาสตกิ มาใชแ้ ทนโลหะในบางสว่ นของเครื่องจักรหรือยานพาหนะ
6.การสำรวจหาแหล่งทรพั ยากรธรรมชาติเพิ่มเตมิ เพอ่ื เตรียมไว้ใชป้ ระโยชน์ในอนาคต เช่น การสำรวจแหล่งนำ้ มนั ในอ่าว
ไทยทำใหค้ น้ พบแหลง่ กา๊ ซธรรมชาตเิ ปน็ จำนวนมากสามารถนำมาใชป้ ระโยชนท์ ัง้ ในระยะส้นั และในระยะยาวอกี ทัง้ ชว่ ยลด
ปรมิ าณการนำเขา้ ก๊าซธรรมชาตจิ ากต่าง
7.การประดษิ ฐข์ องเทียมขนึ้ มาใชเ้ พ่ือหลกี เลยี่ งหรือลดปริมาณในการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ ชนดิ อ่ืน ๆ ทีน่ ิยมใช้กันของ
เทยี มทีผ่ ลติ ขนึ้ มา เชน่ ยางเทียม ผ้าเทียม และผา้ ไหมเทยี มเปน็ ตน้
8. การเผยแพรค่ วามรเู้ ปน็ การเผยแพรค่ วามรคู้ วามเขา้ ใจในเรอ่ื งทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดลอ้ มเพื่อที่จะได้รับความ
รว่ มมืออย่างเตม็ ที่และรัฐควรมีบทบาทในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมโดยการวางแผนจัด
ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างรดั กุม
9.การจดั ตงั้ สมาคมเปน็ การจัดตัง้ สมาคมหรือชมรมในการอนรุ ักษ์ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสิง่ แวดล้อม
95
ใบความรทู้ ่ี 6
การอนรุ กั ษ์ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดลอ้ ม
วธิ กี ารอนรุ กั ษท์ รัพยากรธรรมชาติและสงิ่ แวดลอ้ ม
๑. ดนิ
๑) ปลูกพชื คลมุ ดิน เพือ่ ป้องกันไม่ให้แร่ธาตใุ นดนิ ถูกนำ้ ชะล้างไป
๒) ปลกู พืชหมุนเวยี น เช่น ปลูกถว่ั สลับกบั พืชชนิดอืน่ ๆ เพอ่ื ป้องกนั ดนิ จดื
๓) ไมใ่ ช้สารเคมีในการเพาะปลูก เพราะทำใหเ้ กิดสารพิษตกค้างในดนิ
๔) ไมเ่ ผาทำลายซากพชื ในพืน้ ทีเ่ พาะปลูก เพราะเปน็ การทำลายหนา้ ดิน
๒. นำ้
๑) ใช้น้ำอย่างประหยดั และให้เกิดประโยชนส์ ูงสุด
๒) ไม่ทิ้งขยะหรือสิ่งปฏิกูลลงในแหลง่ นำ้
๓) นำน้ำที่ใชแ้ ล้วกลบั มาใช้ใหม่ เชน่ นำนำ้ ท้ิงจากการซกั ล้างมาใช้รดนำ้ ต้นไม้
๔) รักษาปา่ ให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ เพราะปา่ ไม้เป็นแหล่งกำเนดิ ตน้ น้ำธาร
๓. ปา่ ไม้
๑) ทุกคนมีสว่ นรว่ มดแู ลรักษาป่าไม้ และปลูกป่าทดแทนพ้ืนท่ที ่ถี ูกบกุ รุกหรือในพ้ืนทีป่ า่ เสื่อมโทรม
๒) ปลกู จติ สำนึกใหป้ ระชาชนเห็นคุณค่าของตน้ ไม้
๓) ดูแลปอ้ งกันป่าสงวนไม่ให้มีการรกุ ล้ำเขา้ ไป
๔) ใช้ไมอ้ ย่างประหยัด คือ ใช้ไมท้ ุกสว่ นให้คุม้ ค่า
๔. แรธ่ าตุ
๑) ใช้แรอ่ ยา่ งประหยัดและคุ้มคา่
๒) ใชว้ สั ดอุ ่ืนแทนส่ิงท่ที ำจากแร่
๓) นำแรท่ ใี่ ชแ้ ล้วกลบั มาใช้อีก
๔) ออกกฎหมายควบคมุ การทำเหมอื งแร่
๕. สตั วป์ า่
๑) บำรุงรกั ษาสภาพป่า เพ่ือใหส้ ตั ว์ป่าที่มอี ยู่
๒) ไม่ลา่ สตั วป์ า่
๓) ขยายเพาะพนั ธุ์สตั ว์ป่าเพิ่ม
๔) กำหนดบทลงโทษอย่างรุนแรงแก่ผูท้ ี่ล่าและค้าสตั วป์ ่า
ปัญหาเรื่องสงิ่ แวดล้อมเปน็ ปัญหาทีม่ ีความสำคัญท่ีมกั จะเกิดควบค่กู บั การพัฒนาเศรษฐกิจและความ
เจรญิ กา้ วหน้าซงึ่ เปน็ ปัญหาร่วมกันของทกุ ประเทศกล่าวคือการพัฒนาย่ิงรุดหน้าปัญหาคณุ ภาพสิ่งแวดล้อมและ
ภาวะมลพิษก็ยงิ่ ก่อตวั และทวีความรุนแรงมากยง่ิ ขนึ้ ประเทศไทยกเ็ ปน็ ประเทศหนึ่งท่กี ำลังประสบกบั ปญั หา
ดังกล่าวอยูใ่ นขณะน้ีทั้งนเ้ี พราะการพฒั นาเศรษฐกิจในช่วงท่ีผา่ นมาได้ให้ความสำคัญกับความเจรญิ เติบโตทาง
เศรษฐกจิ โดยการนำเอาทรพั ยากรธรรมชาติมาใชป้ ระโยชน์แต่ไม่ได้มีการวางแผนการจัดการทเี่ หมาะสมรองรับ
ปญั หาที่จะเกิดขน้ึ ทำให้ทรัพยากรธรรมชาตทิ ีเ่ หลอื อยมู่ ีสภาพเสือ่ มโทรมลงและปัญหาต่างๆ ดา้ นสงิ่ แวดล้อมก็
เพม่ิ ข้ึนปัญหาเหล่าน้ีสง่ ผลกระทบต่อความเป็นอย่ขู องประชาชนและระบบนเิ วศจึงทรงให้มกี ารดำเนินโครงการ
อันเนอ่ื งมาจากพระราชดำริซ่ึงสว่ นใหญ่จะเป็นวธิ กี ารทจ่ี ะทำนุบำรุงและปรับปรงุ สภาพทรพั ยากรธรรมชาติและ
ส่ิงแวดล้อมใหด้ ีขน้ึ ในดา้ นต่าง ๆโดยในด้านการแกไ้ ขปัญหาส่งิ แวดลอ้ มน้นั ทรงเนน้ งานการอนรุ กั ษ์และฟื้นฟู
สภาพสงิ่ แวดลอ้ มโดยเฉพาะอย่างย่งิ ในเรื่องของปญั หานำ้ เน่าเสีย
96
พระราชดำริ พระราชกรณยี กิจและโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริด้านส่ิงแวดลอ้ มท่สี ำคญั ได้แก่หลักการ
"นำ้ ดไี ล่นำ้ เสยี " หลักการบัดน้ำเสยี ด้วยผักตบชวาทฤษฎกี ารบำบดั น้ำเสยี ด้วยการผสมผสานระหวา่ งพืชน้ำกับ
ระบบการเติมอากาศทฤษฎกี ารบำบดั นำ้ เสียด้วยระบบบ่อบำบัดและวัชพืชบำบดั และ "กงั หนั น้ำชยั พัฒนา" ซ่งึ มี
สาระโดยสรปุ ดังนค้ี ือ
๑) ทฤษฎี "นำ้ ดไี ลน่ ำ้ เสีย"ไดท้ รงนำหลักการบำบัดนำ้ เสยี โดยการทำให้เจือจางตามแนวทฤษฎีการพัฒนาอัน
เนื่องมาจากพระราชดำริ "น้ำดไี ลน่ ำ้ เสีย" โดยใช้หลักการตามธรรมชาตแิ หง่ แรงโนม้ ถ่วงของโลกเป็นการใช้นำ้
คุณภาพดีมาช่วยบรรเทานำ้ เนา่ เสยี ดงั พระราชดำรัสเก่ยี วกับการใช้พนื้ ท่ีในอำเภอธญั บุรเี ม่ือวันที่ ๒๖ กรกฎาคม
พ.ศ. ๒๕๓๒
"…แต่ ๓,๐๐๐ ไร่น่นั มนั อยสู่ ูงจะนำนำ้ โสโครกจากท่นี ีไ่ ปที่โน้นต้องสูบไปไม่ไหวแตว่ า่ จะทำเปน็ บึงใหญท่ จี่ ะเก็บ
น้ำไดส้ ำหรับเวลาหนา้ น้ำมีนำ้ เก็บเอาไว้หน้าแล้งก็ปลอ่ ยลงมาส่วนหนึง่ อาจปล่อยลงมาสำหรับล้างกรุงเทพได้เจอื
จางนำ้ โสโครกในคลองต่างๆ…" (สำนกั งานคณะกรรมการสง่ิ แวดล้อม, ๒๕๓๔:๓๑-๒)
อกี ท้ังได้พระราชทานแนวพระราชดำริโดยรบั น้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยาส่งเขา้ ไปตามคลองต่างๆ เชน่ คลอง
บางเขนคลองบางซ่ือ คลองแสนแสบ คลองเทเวศร์และคลองบางลำภู เป็นต้นโดยกระแสน้ำจะไหลแผ่กระจาย
ขยายไปตามคลองซอยท่ีเชื่อมกบั แม่นำ้ เจา้ พระยาอีกดา้ นหนงึ่ ดังนน้ั เมื่อทำการปลอ่ ยนำ้ ใหไ้ หลเวียนจากปาก
คลองไปปลายคลองได้อยา่ งเหมาะสมก็ยอ่ มจะชว่ ยเจอื จางนำ้ เน่าเสยี ไดม้ ากโดยเฉพาะในช่วงฤดแู ล้ง (สำนกั งาน
กปร., ๒๕๔๐: ๑๐๑)
๒)การบำบดั น้ำเสยี ดว้ ยผกั ตบชวาพระบาทสมเด็จพระเจา้ อยู่หัวทรงสนพระราชหฤทยั ในการปรับปรุงคุณภาพ
ของแหล่งน้ำท่ีมีอยู่แลว้ เชน่ บงึ และหนองต่างๆเพื่อทำเป็นแหลง่ บำบัดนำ้ เสียโดยหนึ่งในจำนวนนนั้ ได้แก่
โครงการบงึ มักกะสันอันเน่ืองมาจากพระราชดำริมหี ลักการบำบดั นำ้ เสียตามแนวทฤษฎกี ารพัฒนาโดยการกรอง
น้ำเสยี ดว้ ยผกั ตบชวา
๓)การบำบดั นำ้ เสยี ดว้ ยการผสมผสานระหวา่ งพชื นำ้ กบั ระบบเตมิ อากาศด้วยทรงห่วงใยในปัญหาน้ำเนา่ เสียที่
เกิดข้นึ ในหนองหนองหานจังหวดั สกลนครซึง่ เป็นแหลง่ รบั น้ำเสียจากครวั เรอื นในเขตเทศบาลเมอื งสกลนครที่มี
สภาพเกินขดี ความสามารถในการรองรบั ของเสยี พระบาสมเดจ็ พระเจา้ อยูห่ ัวจึงทรงพระราชทานแนว
พระราชดำริทฤษฎกี ารบำบัดนำ้ เสียดว้ ยการผสมผสานระหวา่ งพชื น้ำกับระบบการเติมอากาศณ บรเิ วณหนอง
สนม-หนองหาน จังหวัดสกลนครซงึ่ เปน็ การผสมผสานระหวา่ งวิธีธรรมชาติกับเทคโนโลยีแบบประหยัดโดยมีกรม
ประมงรว่ มกบั กรมชลประทานดำเนินการศึกษาและก่อสรา้ งระบบบำบัดนำ้ เสยี ในบรเิ วณดังกล่าวโดยมีระบบ
บำบดั ด้วยพืชน้ำซ่งึ เปน็ วิธีการบำบดั น้ำเสียด้วยวธิ ธี รรมชาตใิ นพื้นท๘่ี ๔.๕ ไร่และได้มีการก่อสร้างแล้วเสรจ็ เม่ือปี
พ.ศ. ๒๕๓๗ (สำนกั งานคณะกรรมการทรพั ยากรนำ้ แห่งชาติ, ๒๕๓๙: ๒๒๒)
๔)การบำบดั น้ำเสยี ดว้ ยระบบบอ่ บำบดั และวชั พชื บำบดั โครงการวิจัยและพฒั นาสิง่ แวดล้อมแหลมผักเบีย้ อนั
97
เนอ่ื งมาจากพระราชดำริตำบลแหลมผักเบีย้ อำเภอบ้านแหลมจงั หวัดเพชรบรุ ีพระบาทสมเด็จพระเจา้ อยู่หวั ทรง
ตระหนักถึงปัญหาภาวะมลพิษทมี่ ีผลต่อการดำรงชีพของประชาชนอนั เนือ่ งมาจากชุมชนเมืองตา่ งๆยังขาดระบบ
บำบดั นำ้ เสียและการกำจดั ขยะมลู ฝอยท่ีดแี ละมปี ระสิทธภิ าพจึงทรงให้มกี ารดำเนนิ การตามโครงการดังกลา่ วขน้ึ
ในพื้นท๑ี่ ,๑๓๕ ไรโ่ ดยเปน็ โครงการศึกษาวิจัยวธิ ีการบำบัดนำ้ เสยี กำจัดขยะมลู ฝอยและการรักษาสภาพปา่ ชาย
เลนด้วยวธิ ีธรรมชาติ
๕)กงั หันนำ้ ชยั พฒั นาในปจั จบุ นั สภาพมลภาวะทางน้ำมคี วามรนุ แรงมากย่ิงข้ึนจงึ จำเป็นต้องใช้เคร่ืองกลเติม
อากาศเพิ่มออกซิเจนเพื่อการบำบัดน้ำเสียพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ทรงสนพระราชหฤทยั เก่ยี วกบั อุปกรณ์
การเติมอากาศและทรงคน้ คิดทฤษฎีบำบัดน้ำเสียด้วยวธิ ีการเติมอากาศโดยใชว้ ธิ ีทำให้อากาศสามารถละลายลง
ไปในน้ำเพื่อเรง่ การเจรญิ เติบโตและการเพาะตัวอย่างรวดเร็วของแบคทเี รยี จนมีจำนวนมากพอทีจ่ ะทำลายสงิ่
สกปรกในน้ำใหห้ มดส้นิ ไปโดยเร็วตามแนวทฤษฎีการพฒั นาอันเน่อื งมาจากพระราชดำริ"กงั หนั นำ้ ชยั พฒั นา"ซง่ึ
เป็นรปู แบบสง่ิ ประดิษฐท์ เี่ รียบง่ายประหยดั เพือ่ ใชใ้ นการบำบัดน้ำเสียท่ีเกิดจากแหลง่ ชุมชนและแหล่ง
อตุ สาหกรรมและไดม้ ีการนำไปใชง้ านทวั่ ประเทศ (สำนักงานคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ, ๒๕๓๙:
๒๑๘-๙)
๖)การกำจัดนำ้ เสยี โดยวธิ ธี รรมชาติทรงมีพระราชดำริใหท้ ำการศึกษาทดลองวจิ ยั ดูว่าจะใช้ปลาบางชนิดกำจัดนำ้
เสยี ได้หรอื ไม่ปลาเหล่าน้ีน่าจะเขา้ ไปกินสารอินทรีย์ในบริเวณแหลง่ น้ำเสียซง่ึ ปรากฎว่าปลาบางสกุลมอี วัยวะ
พเิ ศษในการหายใจเชน่ ปลากระด่ี ปลาสลดิ เหมาะแก่การเลยี้ งในน้ำเสยี และชอบกินสารอินทรียจ์ ึงช่วยลด
มลภาวะในแหลง่ น้ำวิธกี ารน้สี ามารถนำมาใช้ประโยชนใ์ นการกำจัดนำ้ เสียได้ซง่ึ จะมตี น้ ทุนต่ำและสามารถเพิ่ม
ผลผลติ สัตว์น้ำไดอ้ ีกทางหนึ่ง (สำนักงาน กปร., ๒๕๓๑: ๕๒)
ดว้ ยพระอจั ฉริยภาพและพระปรชี าสามารถในการจดั การทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดลอ้ มองคก์ ารอาหาร
98
และเกษตรแหง่ สหประชาชาติ (The Food and Agriculture Organization : FAO) ไดท้ ูลเกลา้ ฯถวายเหรียญ
สดดุ พี ระเกยี รติคุณในด้านการพฒั นาการเกษตร (Agricola Medal) แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอย่หู ัวเม่อื วันท่ี๖
ธนั วาคม พ.ศ. ๒๕๓๘ในฐานะที่ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจอุทิศพระองค์เพอื่ ประโยชน์สุขของปวงชนชาวไทย
โดยเฉพาะผูซ้ ่ึงประกอบอาชีพเพาะปลูกบำรงุ รักษาน้ำ และบำรุงรักษาป่าซงึ่ ทรงยึดหลัก "สนับสนนุ การพัฒนา
แบบยัง่ ยนื เพ่ือความมนั่ คงในอนาคต" เป็นหลักปฏบิ ัตเิ พ่ือใหป้ ระจกั ษช์ ัดเจนจากความสำเรจ็ ในด้านการพัฒนา
โดยองค์การฯ สดดุ ีพระองคว์ ่าทรงพระปรชี าสามารถเกีย่ วกบั ความยตุ ธิ รรมของสังคมซงึ่ ได้ปรากฏเห็นเป็น
ตัวอยา่ งจากนโยบายเร่ืองการแบง่ ทด่ี ินทำกินเพ่ือเกษตรกรและผทู้ ำนุบำรงุ รักษาป่าทรงวิริยะอุตสาหะในเร่ือง
การกกั เกบ็ น้ำใหเ้ พียงพอเพื่อประกนั ผลผลิตอาหารการอนุรักษส์ นั ปนั นำ้ และป้องกันการกัดเซาะผิวดนิ ทรง
สนับสนุนเผยแพร่การเกษตรสมบูรณ์ซึง่ รวบรวมแหล่งน้ำเพ่อื การเพาะปลกู และขยายพันธ์ุสัตว์ใหเ้ จรญิ เตบิ โตข้ึน
ตลอดจนการบำรุงผิวดินทรงมพี ระอุตสาหะอนั สูงสง่ ในการสงวนรกั ษาพันธุ์พชื ซึง่ เปน็ สง่ิ จำเปน็ อยา่ งยิ่งต่อ
มนุษยชาตใิ นการค้นคว้าเร่ืองอาหารท้ังนี้เนื่องจากทรงมสี ายพระเนตรอันกว้างไกลในการทจ่ี ะทำใหโ้ ลก
ปราศจากความหิวโหยและประชาชนมีอาหารเพยี งพอต่อการดำรงชวี ิต
แบบทดสอบกอ่ นเรียน (Pre-test)
รายวิชา พว 11001 วทิ ยาศาสตร์
ระดับประถมศึกษา
เนอ้ื หาการเรยี นรู้ เรอ่ื ง ส่งิ มชี ีวติ และส่งิ แวดล้อม
ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั อำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส
คำช้ีแจง : จงเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงข้อเดียว
ให้นักเรียนเขียน x บนตวั อักษรหน้าคาตอบทถี่ กู ต้อง ในกระดาษคาตอบ
99
1. ต๊กั แตน A
ขา้ วโพด
แผนภาพ ห่วงโซอ่ าหาร
A หมายถึงข้อใด
จากแผนภาพห่วงโซอ่ าหารขา้ งตน้
ก. กวาง ข. นก
ค. กระต่าย ง. ชา้ ง
2. ข้อใดคือระบบนิเวศบนบก
ก. ทงุ่ หญา้ ทะเลทราย ข. ทะเลสาบ มหาสมุทร
ค. บอ่ บงึ ง. คลอง ห้วย
3. ขอ้ ใดเปน็ วิธีการแกไ้ ขปัญหาการใช้ทรัพยากรธรรมชาติทเี่ หมาะสมทสี่ ดุ
ก. รวมกลมุ่ กนั ตดิ ตามขา่ วเก่ียวกับไฟปา่ ข. แยกขยะมูลฝอยกอ่ นท้ิงลงสู่คลอง
ค. สรา้ งจติ สำนึกให้กบั ประชาชนทกุ คน ง. ตัดไม้เฉพาะในเขตอทุ ยาน
4. ตาราง สภาพอากาศและจำนวนหอยทากทีส่ ำรวจได้เปน็ เวลา 5 วัน
วัน สภาพอากาศจานวนหอยทาก(ตวั ) 80
วนั จนั ทร์ มีแดดแรง 155
วนั องั คาร มเี มฆมาก
วนั พธุ มฝี นตก 170
วนั พฤหสั บดี มีแดดแรง
วนั ศกุ ร์ มแี ดดแรง 60
50
จากตารางขา้ งตน้ สภาพอากาศมีผลต่อจำนวนหอยทากทีส่ ำรวจพบอยา่ งไร
ก. อากาศช้ืน จะสำรวจพบหอยทากจำนวนมาก
ข. อากาศแหง้ จะสำรวจพบหอยทากจำนวนมาก
ค. อากาศร้อน จะสำรวจพบหอยทากจำนวนมาก
ง. สภาพอากาศไมม่ ีผลตอ่ การสำรวจพบหอยทาก
5. สายใยอาหารมคี วามหมายตรงกับขอ้ ใด
ก. สตั ว์บางชนิดเป็นทง้ั ผลู้ า่ และเหย่อื ข. พืชสามารถสรา้ งอาหารเองได้
100
ค. ความสัมพันธข์ องสิ่งมชี ีวติ ที่กินตอ่ กันเป็นทอดๆ ง. โซ่อาหารหลายๆ โซ่อาหารท่มี ีความสัมพันธ์กนั
6. ขอ้ ใดไมใ่ ช่ประโยชน์ที่ไดจ้ ากทรพั ยากรธรรมชาติ
ก. ใช้น้ำเปน็ เสน้ ทางคมนาคมขนส่งสนิ คา้ ข. ใชแ้ ร่เป็นเชื้อเพลงิ ในยานพาหนะเพอื่ ขนส่ง
ค. ใชป้ า่ ไม้เปน็ ทตี่ งั้ ของโรงงานอุตสาหกรรม ง. ใชด้ นิ เป็นพ้นื ท่ใี นการเพาะปลกู พชื ผัก
7. ขอ้ ใดจดั วา่ เป็นการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติท่ีดีทส่ี ุด
ก. การนำเศษกระดาษมาฉีกเป็นชนิ้ เลก็ ๆ ข. การนำกระดาษที่ไมใ่ ชแ้ ล้วไปขาย
ค. การนำเศษกระดาษมาทำเปน็ แผ่นกระดาษใหม่ ง. การนำเศษกระดาษมาเผาไฟ
8. ระบบนเิ วศในข้อใดท่สี ่ิงมชี วี ติ ในภาพสามารถดำรงชีวติ และเจริญเตบิ โตต่อไปได้
ก. ข.
นา้ ในดิน อย่ใู นที่ทึบแสง
พืชนา้ นา้ ในดิน
พืชนา้
ค. ง.
ปิดทบั ดว้ ยนา้ มนั
นา้ ในดนิ
นา้ ตม้
9. แมลงหวี่ แมงมมุ
ผงึ้ นก
กลว้ ย หนอน
101
แผนภาพ สายใยอาหาร
จากแผนภาพ สายใยอาหารขา้ งตน้ มจี ำนวนหว่ งโซ่อาหารทสี่ ้ินสดุ ทน่ี กจำนวนเทา่ ใด
ก. 3 ข. 4
ค. 5 ง. 6
10. ใครเป็นสาเหตุที่สำคัญที่สุดของการเกิดปัญหาทรพั ยากรธรรมชาติ
ก. สัตว์ ข. พืช
ค. ธรรมชาติ ง.มนษุ ย์
เฉลยแบบทดสอบก่อนเรียน (Pre -Test) 3. ค 4. ก 5. ง
1. ข 2. ก 8. ก 9. ข 10.ง
6. ค 7. ค
ใบงานที่ 3.1
เรอื่ ง สงิ่ มชี วี ติ
๑. สตั วม์ กี ปี่ ระเภท อะไรบา้ ง
............................................................................................................................. .................................................
........................................................................................................................................................ ......................
..............................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. .................................................
........................................................................................................................................... ...................................
..............................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. .................................................
๒. ปจั จยั อะไรบา้ งทมี่ ผี ลตอ่ การเจรญิ เตบิ โตของสิง่ มชี วี ติ
102
............................................................................................................................. .................................................
...................................................................................................................................................... ........................
..............................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. .................................................
......................................................................................................................................... .....................................
..............................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. .................................................
๓. สตั วม์ กี ระดกู สันหลงั แบง่ ได้กกี่ ลุ่ม ประกอบดว้ ยกลุ่มอะไรบา้ ง
............................................................................................................................. .................................................
............................................................................................................................................. .................................
..............................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. .................................................
................................................................................................................................ ..............................................
..............................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. .................................................
๕. จงยกตวั อยา่ งกลมุ่ สัตวท์ ี่ไมม่ กี ระดกู สนั หลังมา ๕ กลมุ่
............................................................................................................................. .................................................
........................................................................................................................................... ...................................
..............................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. .................................................
.............................................................................................................................. ................................................
..............................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. .................................................
แผนการจดั การเรยี นรู้ ครง้ั ท่ี4
กลมุ่ สาระการเรยี นรู้สาระความรพู้ น้ื ฐาน รายวชิ า วทิ ยาศาสตร์ ( พว 11001) จำนวน 3 หนว่ ยกติ
เวลาเรยี น 29 ชว่ั โมง (พบกลมุ่ 6 ชว่ั โมง การเรยี นรดู้ ว้ ยตนเอง 23 ชวั่ โมง)
เนอื้ หาการเรยี นรู้ เรอื่ ง สารและสมบตั ขิ องสาร
วนั ท.่ี .................เดอื น.........................................พ.ศ..............
มาตรฐานการเรยี นรทู้ ี่2.2มคี วามรู้ ความเขา้ ใจ ทักษะ และเห็นคุณคา่ เก่ยี วกับกระบวนการทาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี
สิง่ มีชีวติ ระบบนิเวศ ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละส่งิ แวดลอ้ มในทอ้ งถ่ินและประเทศ สาร แรง พลังงานกระบวนการ
เปล่ยี นแปลงของโลก และดาราศาสตร์ มีจิตวิทยาศาสตร์และนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ในการดำเนนิ ชีวิต
มาตรฐานการเรยี นรรู้ ะดบั ความหมายความสำคัญของสารในชวี ตปิ ระจำวนั การนำ ไปใช้ประโยชนก์ ารเข้าสู่รา่ งกายของ
สาร ประเภทของสาร และผลิตภณั ฑใ์ นชวี ติ ประจำวนั การใช้สารในชวี ิตประจำวันและผลกระทบจากการใช้สารการเลอื กใช้
สารและผลติ ภัณฑ์อย่างถูกตอ้ งเหมาะสม
103
ตวั ชวี้ ดั
อธบิ ายเกย่ี วกับสมบัติของสาร การแยกสารใน ชีวติ ประจำวันและการเลือกใชส้ ารไดอ้ ยา่ ง ถกู ตอ้ งเหมาะสมและ
ปลอดภัย
เนอ้ื หา
1.สมบตั ทิ ่วั ไปของสาร
2. การแยกสาร
3. การแยกสารท่ีใชใ้ นชีวติ ประจำวนั
4. การเขา้ สู่รา่ งกายของสาร
5. ผลกระทบท่เี กดิ จากการใช้สารต่อชีวิตและสง่ิ แวดล้อม
6. การเลอื กซื้อและการเลอื กใชส้ าร
วธิ ีการเรยี น : แบบพบกล่มุ (ON-Site)
กระบวนการจดั การเรียนรู้
การกำหนดสภาพ ปัญหา ความต้องการในการเรยี นรู้ (O : Orientation)
1.ขน้ั นำเข้าสบู่ ทเรยี น (เวลา 30 นาท)ี
1.1 ครูทักทายนกั ศกึ ษา และนำเข้าส่บู ทเรยี นโดยใหน้ ักศึกษาแสดงความคิดเห็นในเรือ่ งสารและสมบัตขิ องสาร
ตามความเข้าใจของนักศึกษา ครใู หน้ ักศกึ ษาทำแบบทดสอบกอ่ นเรียนเร่ืองสารและสมบัตขิ องสาร
1.2 ครชู แี้ จง สาระสำคญั จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ เน้ือหา เร่ืองสารและสมบตั ิของสาร
การแสวงหาขอ้ มลู และการจดั การเรยี นรู้ (N : New ways of learning)
2.กระบวนการจดั การเรยี นรู้(N:newway of lerling)(เวลา 4 ชวั่ โมง)
2.1ครอู ธบิ ายเน้อื หาตามหนังสือเรียนรายวิชา วิทยาศาสตรเ์ รอ่ื งสิ่งมีชีวิตและสงิ่ แวดล้อม
2.2.ครใู หผ้ ู้เรยี นแบ่งกลมุ่ กลุ่มละไม่เกนิ 5 คน พดู คยุ ทบทวนเรอื่ ง สงิ่ มีชวี ิตและสิ่งแวดล้อมให้สรุปรว่ มกันแล้ว
เลือกตวั แทน 1 คนพูดหนา้ ชั้นสรุปใหเ้ พื่อนฟงั ในหัวข้อต่อไปนี้
1.สมบตั ทิ ั่วไปของสาร
2. การแยกสาร
3. การแยกสารทใี่ ชใ้ นชวี ติ ประจำวัน
104
4. การเขา้ สรู่ ่างกายของสาร
5. ผลกระทบทีเ่ กดิ จากการใชส้ ารต่อชีวติ และสิ่งแวดลอ้ ม
6. การเลอื กซื้อและการเลือกใช้สาร
2.๓.ครูและผู้เรยี นร่วมกนั ระดมสมอง เร่ืองสารและสมบัติของสาร
2.4.ครูสอนและสอดแทรกคุณธรรม 12 ประการ ในเร่ือง ความสะอาด ความสภุ าพ ความขยนั ความประหยดั
ความซอ่ื สตั ย์สุจริต ความสามัคคี ความมีน้ำใจ ความมวี นิ ยั ศาสน์ กษัตรยิ ์ รกั ความเป็นไทย และยึดม่ันในวถิ ีชวี ิตและการ
ปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอนั มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
2.5.ครูใหผ้ ู้เรยี นทำแบบฝกึ หัด /ใบงานที่ 4.๑
การปฏบิ ัติและนำไปประยกุ ต์ (I : Implementation)
3. ขนั้ การปฏบิ ัตแิ ละนำไปประยกุ ตใ์ ช้ ( 30 นาที )
3.1 ครสู ุ่มตัวแทนกลมุ่ นำเสนอ เพื่อแลกเปล่ยี นความคดิ เห็นซึง่ กนั และกัน สรุปสงิ่ ที่ไดเ้ รียนรู้รว่ มกนั และให้
นกั ศกึ ษาบันทึกความรู้ทไ่ี ด้ ลงในแบบบนั ทึกการเรียนรู้ กศน.
3.2 นักศึกษานำความรู้ที่ได้จากการเรียนรมู้ าเป็นแนวทางในการแก้ปัญหาและการดำเนินชีวิตในประจำวันต่อไป
ข้ันประเมนิ ผล (E : Evaluation)
4. ขน้ั สรุปและประเมนิ ผล (1ชวั่ โมง)
4.1.ครูสรุปเนื้อหาทเี่ รยี นเพมิ่ เติมและข้อเสนอแนะใหก้ บั ผเู้ รยี น
4.๒ ครูให้นักศึกษาทำแบบทดสอบหลังเรียน เร่ืองสารและสมบัติของสารจำนวน 10 ข้อ พร้อมเฉลยและ
ประเมนิ ผลให้นกั ศึกษาบนั ทกึ คะแนนลงในแบบบันทึกการเรยี นรู้ กศน.
4.3 ครูให้นักศึกษาสรุปการทำความดีและคุณธรรมท่ีได้ปฏิบัติ พร้อมบันทึกลงในสมุดบันทึกความดี เพ่ือการ
ประเมนิ คณุ ธรรม
4.3ครตู ิดตามงานท่ีไดม้ อบหมายนกั ศกึ ษา เพอ่ื ตดิ ตามความคบื หน้าทางแอปพลิเคชนั Line ดังนี้
4.4 ตดิ ตามงานที่ไดร้ ับมอบหมายสปั ดาห์ทผ่ี า่ นมา
4.5 ติดตามการทำกิจกรรมพัฒนาคุณภาพชวี ิต (กพช.)
4.6 ติดตามสอบถามสุขภาพของนักศึกษา (การตรวจสุขภาพ/ความสะอาด/การแตง่ กาย)
4.7 ตดิ ตามสอบถามการทำความดีในแต่ละวนั สัปดาหท์ ี่ผ่านมาและติดตามการบนั ทกึ
กจิ กรรมท่ีทำความดลี งในสมุดบนั ทึกบันทึกความดีเพื่อการประเมนิ คุณธรรม
4.8ติดตามสอบถามเกีย่ วกบั งานอดเิ รก สุนทรยี ภาพ การเล่นกฬี า การใชเ้ วลาว่างให้เป็นประโยชน์ ฯลฯ
4.9ติดตามความกา้ วหน้าการทำรายงาน
ส่อื และแหล่งการเรียนรู้
1. แอปพลิเคชัน LINE
2. หนงั สือเรยี นวชิ ารายวชิ าวทิ ยาศาสตร์ จากล้ิงhttp://loei.nfe.go.th/media/uploads/2014-07-
01/20140701-1404202215.pdf
3. แบบทดสอบก่อนเรยี น เรื่องสารและสมบตั ิของสารแบบปรนยั จำนวน 10 ข้อ (ชดุ แบบทดสอบ หรือ Google
Form)
4. แบบทดสอบหลงั เรียน เร่อื งสารและสมบตั ิของสารแบบปรนัย จำนวน 10 ข้อ (ชุดแบบทดสอบ หรอื Google
Form)
5. ใบงานที่ 4.1
6.แบบบันทึกการเรยี นรู้ กศน.
ขั้นมอบหมายงาน
105
1.ครูมอบหมายให้นักศึกษาไปอ่านทบทวนเนื้อหาเพ่ิมเติมจากหนังสือเรียนรายวิชาวิทยาศาสตร์(พว 11001) จากลิ้ง
http://loei.nfe.go.th/media/uploads/2014-07-01/20140701-1404202215.pdf (แบบเรียนออนไลน์) โดย
ศึกษาในเรื่อง สารและสมบัติของสารและการนำผลที่ไดจ้ ากการวางแผนไปประยุกตใ์ ช้ในชวี ติ ประจำวนั และสรุปลงในแบบ
บนั ทกึ การเรียนรู้ กศน.
2.ครูมอบหมายให้นักศึกษาไปศึกษาค้นคว้าเน้ือหาจากหนังสือเรียนออนไลน์รายวิชาวิทยาศาสตร์(พว11001) จากล้ิง
http://loei.nfe.go.th/media/uploads/2014-07-01/20140701-1404202215.pdfและศึกษาเน้ือหาจากใบ
ความรู้ และทำใบงานท่ี 1 เรื่อง สารและสมบัตขิ องสารให้นักศกึ ษาส่งงาน ตามวันเวลาทค่ี รูกำหนด
( สง่ งานในการพบกลุ่มครัง้ ต่อไป หรือ ทาง LINE ตามวันเวลาทคี่ รูกำหนด )
การวัดและประเมนิ ผล (E:evaluation)
1. การสงั เกตพฤติกรรมการมรี ายบุคคล/รายกลุม่
2. การตรวจแบบบนั ทึกการเรียนรู้ กศน.
3. ประเมินการนำเสนอผลงาน/ช้นิ งาน
4. การตรวจใบงาน
5. การตรวจแบบทดสอบ
6. การประเมินคุณธรรม
วธิ กี ารเรยี น : แบบออนไลน์ (ON-Line)
กระบวนการจัดการเรยี นรู้
การกำหนดสภาพ ปัญหา ความตอ้ งการในการเรยี นรู้ (O : Orientation)
1.ขนั้ นำเขา้ สบู่ ทเรยี น (เวลา 30 นาที )
1.1 ครใู หน้ ักศกึ ษาทำแบบทดสอบก่อนเรยี น เร่อื งสารและสมบตั ิของสารผ่านทาง LINE กลุ่ม พร้อมอธบิ ายถงึ เหตุผลความ
จำเป็นท่ีตอ้ งจัดกิจกรรมการเรยี นรูปแบบออนไลน์
1.2 ครูนำเข้าสู่บทเรยี นโดยครูเปดิ วดี ที ัศน์ จากลิ้งคh์ ttps://www.youtube.com/watch?v=paB_G9k4hxwนักศึกษา
ร่วมกนั วเิ คราะห์และแลกเปลี่ยนเรยี นร้แู สดงความคิดเห็นผ่านทาง แอปพลเิ คชัน LINE เพอ่ื เช่ือมโยงเข้าส่บู ทเรยี นตอ่ ไป
1.3 ครูและนักศึกษาสรุปสิ่งท่ีอภปิ รายร่วมกัน แลกเปลี่ยนเรียนรู้ และบนั ทึกลงในแบบบันทึกการเรยี นรู้ กศน.ผ่านทาง
แอปพลิเคชนั LINE
การแสวงหาขอ้ มลู และการจดั การเรยี นรู้ (N : New ways of learning)
2.กระบวนการจดั การเรยี นรู้(N:newway of lerling)(เวลา 4 ชวั่ โมง)
2.1.ครอู ธิบายวธิ ีการจัดเกบ็ วเิ คราะหข์ ้อมลู อย่างง่ายและเผยแพร่ข้อมลู
2.2.ครูอธบิ ายสารและสมบัตขิ องสาร
2.3.ครูใหผ้ ูเ้ รียนแบง่ กลุ่มกลุ่มละไม่เกิน 5 คน พูดคยุ ทบทวนเรอ่ื งสารและสมบตั ิของสารใหส้ รุปร่วมกันแลว้
เลอื กตวั แทน 1 คนสรุปใหเ้ พ่ือนฟังผา่ นแอปพลเิ คชัน LINEในหวั ข้อต่อไปนี้
1.สมบัตทิ ว่ั ไปของสาร
2. การแยกสาร
3. การแยกสารทีใ่ ช้ในชวี ิตประจำวนั
106
4. การเข้าส่รู ่างกายของสาร
5. ผลกระทบทเ่ี กดิ จากการใช้สารตอ่ ชวี ติ และสิ่งแวดล้อม
6. การเลือกซื้อและการเลอื กใช้สาร
2.4.ครแู ละผูเ้ รยี นร่วมกันสรุปเน้อื หาผ่านแอปพลิเคชนั LINE เรื่องการใช้ประโยชนจ์ ากสารและสมบตั ขิ องสาร
2.5.ครสู อนและสอดแทรกคุณธรรม 12 ประการ ในเรือ่ ง ความสะอาด ความสภุ าพ ความขยัน ความประหยดั
ความซอ่ื สตั ยส์ ุจริต ความสามัคคี ความมนี ้ำใจ ความมวี ินยั ศาสน์ กษตั ริย์ รกั ความเป็นไทย และยดึ มัน่ ในวถิ ีชีวติ และการ
ปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมพี ระมหากษตั ริย์ทรงเปน็ ประมุข
2.6.ครใู หผ้ เู้ รียนทำแบบฝกึ หดั /ใบงานที่ 4.๑
การปฏิบตั แิ ละนำไปประยุกต์ (I : Implementation)
3. ขนั้ การปฏบิ ตั แิ ละนำไปประยกุ ตใ์ ช้ ( 30 นาที )
3.1 ครูสุ่มตวั แทนนำเสนอ เพือ่ แลกเปลีย่ นความคิดเหน็ ซึ่งกนั และกัน สรุปสิง่ ท่ีได้เรยี นรูร้ ว่ มกนั และให้นักศึกษา
บันทึกความรู้ท่ไี ด้ ลงในแบบบนั ทึกการเรียนรู้ กศน.
3.2 นักศึกษานำความรทู้ ่ีได้จากการเรียนรู้มาเปน็ แนวทางในการแกป้ ัญหาและการดำเนินชวี ิตในประจำวนั ตอ่ ไป
ขน้ั ประเมนิ ผล (E :Evaluation)
4. ขนั้ สรปุ และประเมนิ ผล(เวลา 1 ชว่ั โมง)
4.1.ครสู รุปเน้อื หาท่ีเรยี นเพ่มิ เติมและขอ้ เสนอแนะใหก้ บั ผเู้ รยี น
4.2 ครูให้นักศึกษาทำแบบทดสอบหลังเรียน รายวิชาวิทยาศาสตร์(พว 11001)สารและสมบัติของสารแบบปรนัย
จำนวน 10 ข้อ พร้อมเฉลยและประเมนิ ผลใหน้ ักศกึ ษาบันทึกคะแนนลงในแบบบันทึกการเรยี นรู้ กศน.
4.3 ครูให้นักศึกษาสรุปการทำความดีและคุณธรรมท่ีได้ปฏิบัติ พร้อมบันทึกลงในสมุดบันทึกความดี เพื่อการประเมิน
คุณธรรม
ส่ือและแหล่งการเรยี นรู้
1.www.etvthai.tv
2.ทีวดี จิ ิตอลช่อง 52 (กศน.)
3. แอปพลิเคชนั LINE
4. หนงั สอื เรียนออนไลนร์ ายวชิ าวทิ ยาศาสตร์( พว 11001) จากลิ้ง
http://loei.nfe.go.th/media/uploads/2014-07-01/20140701-1404202215.pdf
5.https://www.youtube.com/watch?v=paB_G9k4hxw
6. แบบทดสอบกอ่ นเรียน เรอื่ ง สารและสมบัตขิ องสารแบบปรนยั จำนวน 10 ข้อ (Google Form)
7. แบบทดสอบหลังเรียน สารและสมบัตขิ องสารแบบปรนัย จำนวน 10 ข้อ (Google Form)
8. ใบงานที่ 4.1
9.แบบบันทึกการเรียนรู้ กศน.
ขั้นมอบหมายงาน
1.ครูมอบหมายให้นักศึกษาไปอ่านทบทวนเน้ือหาเพิ่ มเติมจากหนังสือเรียนรายวิชา วิทยาศาสตร์(พว11001)จากลิ้ ง
http://loei.nfe.go.th/media/uploads/2014-07-01/20140701-1404202215.pdf(แบบเรียนออนไลน์) โดย
ศกึ ษาในเรื่อง สารและสมบัติของสารและการนำผลที่ไดจ้ ากการวางแผนไปประยกุ ต์ใช้ในชีวิตประจำวนั และสรุปลงในแบบ
บนั ทกึ การเรยี นรู้ กศน.
107
2. ครูมอบหมายให้นักศึกษาไปศึกษาค้นคว้าเนื้อหาจากหนังสือเรียนออนไลน์รายวิชาวิทยาศาสตร์(พว 11001) จากลิ้ง
http://loei.nfe.go.th/media/uploads/2014-07-01/20140701-1404202215.pdfและศึกษาเนื้อหาจากใบ
ความรู้ และทำใบงานท่ี 1 เรอ่ื ง สารและสมบตั ิของสารให้นกั ศกึ ษาส่งงาน ตามวนั เวลาท่ีครูกำหนด ( สง่ งานในการพบกลุ่ม
คร้ังตอ่ ไป หรือ ทาง LINE ตามวันเวลาทคี่ รูกำหนด )
การวดั และประเมนิ ผล (E:evaluation)
1. การสังเกตพฤติกรรมการมรี ายบุคคล/รายกล่มุ
2. การตรวจแบบบนั ทึกการเรยี นรู้ กศน.
3. ประเมินการนำเสนอผลงาน/ชิน้ งาน
4. การตรวจใบงาน
5. การตรวจแบบทดสอบ
6. การประเมินคุณธรรม
วธิ กี ารเรยี น : แบบหนงั สอื เรยี น มอบหมายงาน (ON - Hand)
กระบวนการจดั การเรยี นรู้
การกำหนดสภาพ ปัญหา ความตอ้ งการในการเรยี นรู้ (O : Orientation)
1.ขน้ั นำเขา้ สบู่ ทเรยี น (เวลา 30 นาที )
1.1 ครูสำรวจความพรอ้ มของนักศึกษาในการเรียนรู้ สำหรับนักศึกษาไม่มีอินเตอร์เน็ต และเครื่องมือสื่อสาร โดย
นำหนังสือเรียน ใบความรู้ และใบงาน ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ท่ีบ้านในรายวิชาวิทยาศาสตร์(พว11001)จากหนังสือที่ครูได้
นำไปให้ พร้อมให้นักศึกษา ศึกษาใบความรู้ จัดทำใบงานพร้อมทัง้ ทำแบบทดสอบก่อนเรียน
1.2 ครใู หน้ ักศกึ ษา ศึกษาเรียนรทู้ ่บี ้าน เพ่ือเช่ือมโยงเขา้ สบู่ ทเรียนและมอบหมายงานต่อไป
1.3 นักศกึ ษาสรปุ สง่ิ ทไี่ ด้เรียนรู้ บนั ทึกลงในแบบบันทึกการเรยี นรู้ กศน. และนำสง่ ตามวนั เวลาที่ครู กำหนด
การแสวงหาขอ้ มลู และการจดั การเรยี นรู้ (N : New ways of learning)
2.กระบวนการจดั การเรยี นรู้(N:newway of lerling)(เวลา 4 ชว่ั โมง)
2.1 ครูมอบหมายให้นักศึกษาไปศึกษาหาความรู้ จากหนังสือ รายวิชาวิทยาศาสตร์ (พว 11001)ในหัวข้อสาร
และสมบตั ขิ องสาร
2.2ครูมอบหมายงานให้นักศึกษาไปศึกษาค้นคว้าจากหนังสือรายวิชาวิทยาศาสตร์(พว 11001) จากใบความรู้
หรือจากแหลง่ การเรียนรตู้ ่างๆ และให้นักศึกษาจัดทำสรปุ ความรู้เป็นแผนผงั ความคิด ลงในแบบบันทกึ การเรียนรู้ กศน. ใน
หวั ข้อสารและสมบตั ขิ องสารและใหน้ กั ศกึ ษาสง่ งานนำสง่ ตามวันเวลาท่ีครู กำหนด
2.3 ครูมอบหมายครมู อบหมายใหน้ ักศกึ ษาไปศึกษาค้นควา้ เนื้อหาจากหนังสอื เรยี นรายวชิ าวทิ ยาศาสตร์
( พว 11001)และทำใบงาน ดังน้ี
- ใบงานท่ี 1 เร่ือง การแยกสารทีใ่ ชใ้ นชีวติ ประจำวนั
- ใบงานที่ 2 เร่อื ง สมบตั ิของสารท่ใี ช้ในชวี ิตประจำวนั
2.4 ครูมอบหมายให้นักศึกษา บนั ทึกสมุดบันทึกความดี เพ่ือประเมินคุณธรรม 12 ประการ ในเร่ือง ความสะอาด
ความสุภาพ ความกตญั ญู กตเวทีความขยัน ความประหยัด ความซ่ือสตั ย์ ความมีน้ำใจ ความมีวนิ ยั ศาสน์ กษัตริย์ รักความ
เปน็ ไทย และยึดม่นั ในวถิ ีชวี ิตและการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษตั ริย์ทรงเป็นประมุข
การปฏบิ ัตแิ ละนำไปประยกุ ต์ (I : Implementation)
3. ขน้ั การปฏบิ ัตแิ ละนำไปประยกุ ตใ์ ช้ ( 30 นาที )
108
3.1 ครูมอบหมายให้ผูเ้ รยี น สรุปส่ิงทไี่ ดเ้ รียนรรู้ ่วมกนั และใหน้ ักศึกษาบันทึกความร้ทู ีไ่ ด้ ลงในแบบบนั ทึกการ
เรียนรู้ กศน.
3.2 นกั ศกึ ษานำความรูท้ ี่ได้จากการเรียนรมู้ าเป็นแนวทางในการแก้ปัญหาและการดำเนินชีวิตในประจำวันต่อไป
ขนั้ ประเมนิ ผล (E :Evaluation)
4. ขน้ั สรุปและประเมนิ ผล(เวลา 1ชม.)
4.1 ครูให้นักศึกษาทำแบบทดสอบก่อนเรียน รายวิชาวิทยาศาสตร์ (พว 11001) แบบปรนัย จำนวน 10 ข้อ
จากชุด แบบทดสอบ พรอ้ มเฉลยและประเมนิ ผล ใหน้ ักศึกษาบันทึกคะแนนลงในแบบบันทึกการเรยี นรู้ กศน.
4.2 ครูให้นักศึกษาสรุปการทำความดีและคุณธรรมที่ได้ปฏิบัติ พร้อมบันทึกลงในสมุดบันทึกความดี เพื่อการ
ประเมนิ คณุ ธรรม
4.3 ครตู ิดตามงานท่ไี ดม้ อบหมายนกั ศกึ ษา เพื่อติดตามความคืบหนา้
4.4 ติดตามงานท่ีได้รบั มอบหมายสปั ดาหท์ ผ่ี ่านมา
4.5 ติดตามการทำกิจกรรมพัฒนาคุณภาพชวี ิต (กพช.)
4.6 ติดตามสอบถามสขุ ภาพของนักศึกษา (การตรวจสขุ ภาพ/ความสะอาด/การแตง่ กาย)
4.7 ติดตามสอบถามการทำความดีในแต่ละวัน สัปดาห์ที่ผ่านมาและตดิ ตามการบันทึก กิจกรรมท่ที ำความดีลงใน
สมดุ บนั ทึกบันทึกความดเี พ่ือการประเมินคุณธรรม
4.8 ติดตามสอบถามเกี่ยวกบั งานอดิเรก สุนทรยี ภาพ การเลน่ กฬี า การใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ฯลฯ
4.9 ติดตามความก้าวหนา้ การทำรายงาน
สอื่ และแหลง่ การเรยี นรู้
1. หนังสือเรียนวชิ ารายวชิ าวทิ ยาศาสตร์(พว 11001)
2. แบบทดสอบกอ่ นเรยี น เร่ือง สารและสมบัติของสาร แบบปรนัย จำนวน 10 ข้อ
3.แบบทดสอบหลังเรยี น เรื่อง สารและสมบตั ิของสาร แบบปรนัย จำนวน 10 ขอ้
๔.ใบงานที่ 1 เร่ือง การแยกสารท่ีใช้ในชวี ติ ประจำวนั
๕. ใบงานที่ 2 เร่ือง สมบตั ขิ องสารท่ใี ชใ้ นชีวติ ประจำวนั
6.แบบบนั ทึกการเรียนรู้ กศน.
ขน้ั มอบหมายงาน
4.1ครูมอบหมายใหน้ ักศึกษาศึกษาเรยี นรู้จากหนังสอื เรยี นรายวิชาวิทยาศาสตร์( พว 11001) โดยศึกษาในการมี
สว่ นรว่ ม การบอกความหมายความสำคญั ประโยชน์ของข้อมูลดา้ นต่างๆ และสรุปลงในแบบบันทึกการเรยี นรู้ กศน.
4.2 ครูมอบมายงานให้นักศึกษาได้ศึกษาเพ่ิมเติมและบันทึก เร่ืองสารและสมบัติของสาร พร้อมจัดทำรูปเล่ม
นำเสนอรายงาน ตามวันเวลาท่คี รูกำหนด กอ่ นสอบปลายภาคเรยี น
การวัดและประเมินผล(E:evaluation)
1. การสงั เกตพฤติกรรมการมีรายบุคคล/รายกล่มุ
2. การตรวจแบบบนั ทกึ การเรียนรู้ กศน.
3. ประเมินการนำเสนอผลงาน/ชน้ิ งาน
4. การตรวจใบงาน
109
5. การตรวจแบบทดสอบ
6. การประเมนิ คุณธรรม
วธิ กี ารเรยี น : แบบผา่ นชอ่ งทาง ETV (ON-Air)
กระบวนการจดั การเรียนรู้
การกำหนดสภาพ ปัญหา ความตอ้ งการในการเรยี นรู้ (O : Orientation)
1.ขน้ั นำเขา้ สบู่ ทเรยี น (เวลา 30 นาท)ี
1.1 ครูทักทายนักศึกษา และนำเข้าสู่บทเรียนโดยให้นักศึกษาแสดงความคิดเห็นในเร่ือง สารและสมบัติของสาร
บอกความหมายความสำคัญประโยชน์ของข้อมูลด้านต่างๆตามความเข้าใจของนักศึกษา โดยครูแลกเปล่ียนเรียนรู้ ร่วมกัน
วิเคราะห์ และแสดงความคิดเห็นร่วมกันในกลุ่ม LINE พร้อมทั้งทำแบบทดสอบก่อนเรียน(ชุดแบบทดสอบ หรือ Google
Form) ผ่านทางGoogle Classroom หรือ LINE กลุ่ม พร้อมอธิบายถึงเหตุผลความจำเป็นที่ต้องจัดกิจกรรมการเรียน
รปู แบบ( ON-Air )
1.2 ครูนำเข้าสู่บทเรียนโดย ให้นักศึกษาสมัครเป็นสมาชิก ETV ตามลิ้งต่อไปนี้https://youtu.be/FBaOD2W-
gVU เพ่ือให้นักศึกษามีรหัสผ่านเพ่ือเข้าไปศึกษาหาความรู้ตาม ตารางออนแอร์ ในแต่ละวันของสถานีวิทยุโทรทัศน์เพื่อ
การศึกษากระทรวงศึกษาธกิ ารตามลง้ิ รายการโทรทัศนส์ ่งเสรมิ การศกึ ษานอกระบบโรงเรยี น
การแสวงหาขอ้ มลู และการจดั การเรยี นรู้ (N : New ways of learning)
2.กระบวนการจัดการเรยี นรู้(N:newway of lerling)(เวลา 4 ชม.)
2.1 ครูมอบหมายให้นักศึกษาเข้าไปศึกษาหาความรู้ ของสถานีวิทยุโทรทัศน์เพื่อการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ
ตามเว็บไซต์ www.etvthai.tv โดยเข้าสู่ระบบด้วยรหัสผ่านท่ีนักศึกษาสมัครไว้แล้ว โดยสามารถดูตาราง ออนแอร์ได้ ตาม
ล้ิ งhttp://www.etvthai.tv/Front_ETV/FETV_Schedule.aspx แ ล ะ ส าม ารถ ดู ราย ก ารย้ อ น ห ลั งได้ ต าม ล้ิ ง
http://www.etvthai.tv/home/home_External.aspx
อีกช่องทางการศึกษาหาความรู้โดยผ่าน ทีวีดิจิตอลช่อง 52 (กศน.) สามารถติดตามข่าวสารและตารางออนแอร์ได้ใน
เฟสบคุ๊ :ETV สอ่ื ดิจทิ ัลเพื่อการศกึ ษา สำนักงาน กศน. ตามลิง้ น้ี https://www.facebook.com/etv.digital/
2.2 ครูมอบหมายใหน้ ักศึกษาเรียนรู้แบบ (ON-Air)ในเร่ืองการเรียนร้ใู นหวั ข้อตอ่ ไปนี้
1. ความสัมพันธร์ ะหวา่ งสารและสมบัตขิ องสาร
2. การใชป้ ระโยชนจ์ ากสารและสมบตั ขิ องสาร
3. การนำผลที่ได้จากการวางแผนไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันและให้นักศึกษาสรุปลงในแบบบันทึก
การเรียนรู้ กศน. นำส่งผ่านทาง Google Classroom หรือแอปพลเิ คชนั LINE
2.3 ครูมอบหมายให้นักศึกษาเลอื กหัวข้อทนี่ ักศึกษาสนใจ จำนวน 1 เรือ่ ง ให้ไปศึกษาค้นคว้าจากหนังสอื เรียน
ออนไลน์รายวชิ า จากลิงคh์ ttp://loei.nfe.go.th/media/uploads/2014-07-01/20140701-1404202215.pdf
และจากการศึกษาในรูปแบบ(ON-Air)ท้ังในเวบ็ ไซต์ www.etvthai.tv และทีวดี จิ ิตอลช่อง 52 (กศน.)หรือจากแหล่งการ
เรยี นร้ตู า่ งๆ และใหน้ ักศึกษาจัดทำสรปุ ความรู้เปน็ แผนผงั ความคดิ ลงในแบบบันทกึ การเรียนรู้ กศน. ในหัวข้อ ดังน้ี
1ความหมายและความสำคัญของสาร
๒ การแยกสาร
๓ สมบัตขิ องสารที่ใช้ในชวี ิตประจำวนั และส่งงานผา่ นทาง แอปพลิเคชนั LINE
2.4 ครสู อนและสอดแทรกคณุ ธรรม 11 ประการ ในเรื่อง ความสะอาด ความสภุ าพ ความกตัญญู
110
กตเวทีความขยนั ความประหยดั ความซือ่ สัตย์ ความมีน้ำใจ ความมีวินัย ศาสน์ กษตั ริย์ รักความเป็นไทย และยึดม่นั ในวิถี
ชวี ติ และการปกครองตามระบอบประชาธปิ ไตยอันมพี ระมหากษัตริย์ทรงเปน็ ประมุข ผ่านทาง LINE กลมุ่
การปฏิบตั ิและนำไปประยกุ ต์ (I : Implementation)
3. ขนั้ การปฏบิ ัตแิ ละนำไปประยกุ ตใ์ ช้ ( 30 นาที )
3.1 ครูสุ่มตัวแทนนำเสนอ เพื่อแลกเปล่ียนความคิดเห็นซ่ึงกันและกัน สรุปสิ่งที่ได้เรียนรู้ร่วมกันและให้นักศึกษา
บนั ทึกความรูท้ ่ไี ด้ ลงในแบบบันทึกการเรียนรู้ กศน.
3.2 นกั ศึกษานำความรูท้ ไ่ี ดจ้ ากการเรยี นรู้มาเปน็ แนวทางในการแกป้ ัญหาและการดำเนินชีวิตในประจำวันต่อไป
ขั้นประเมนิ ผล (E :Evaluation)
4. ขนั้ สรปุ และประเมนิ ผล (1ชว่ั โมง)
4.1 ครูตดิ ตามงานท่ไี ด้มอบหมายนักศึกษา เพ่อื ตดิ ตามความคบื หนา้ ทางแอปพลเิ คชัน Line ดังนี้
4.1.1 ตดิ ตามงานทไ่ี ดร้ บั มอบหมายสปั ดาหท์ ี่ผา่ นมา
4.1.2 ติดตามการทำกจิ กรรมพัฒนาคณุ ภาพชีวิต (กพช.)
4.1.3 ตดิ ตามสอบถามสุขภาพของนกั ศกึ ษา (การตรวจสุขภาพ/ความสะอาด/การแต่งกาย)
4.1.4 ติดตามสอบถามการทำความดีในแต่ละวัน สัปดาห์ที่ผ่านมาและติดตามการบันทึก กิจกรรมท่ีทำ
ความดีลงในสมดุ บนั ทกึ บนั ทึกความดเี พือ่ การประเมินคุณธรรม
4.1.5 ติดตามสอบถามเกี่ยวกับงานอดิเรก สุนทรียภาพ การเล่นกีฬา การใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์
ฯลฯ
4.1.6 ติดตามความก้าวหน้าการทำรายงาน
ส่อื และแหล่งการเรียนรู้
1.www.etvthai.tv
2.ทวี ีดจิ ติ อลชอ่ ง 52 (กศน.)
3.หนงั สือเรยี นวิชารายวิชาวทิ ยาศาสตร์(พว 11001)
4. แบบทดสอบก่อนเรียน เร่ือง สารและสมบัตสิ ารแบบปรนยั จำนวน 10 ข้อ
5. แบบทดสอบหลงั เรยี น เรือ่ ง สารและสมบตั ิสารแบบปรนัย จำนวน 10 ขอ้
๖. ใบงานที่ 1 เรอ่ื ง การแยกสารท่ีใช้ในชวี ติ ประจำวนั
๗. ใบงานที่ 2 เรอ่ื ง สมบตั ขิ องสารที่ใชใ้ นชีวิตประจำวัน
8.แบบบนั ทึกการเรยี นรู้ กศน.
ข้นั มอบหมายงาน
4.1ครูมอบหมายให้นักศึกษาไปอ่านทบทวนเนื้อหาเพ่ิมเติมจากหนังสือเรียนออนไลน์รายวิชาวิทยาศาสตร์(พว
11001) จากลงิ้ http://loei.nfe.go.th/media/uploads/2014-07-01/20140701-1404202215.pdf
โดยศึกษาในเรื่อง สารและสมบัตสิ ารและสรุปลงในแบบบนั ทึกการเรียนรู้ กศน.
4.2 ครูมอบหมายให้นักศึกษาไปศึกษาค้นคว้าเน้ือหาจากหนังสือเรียนออนไลน์รายวิชาวิทยาศาสตร์( พว
11001) จากล้ิง http://loei.nfe.go.th/media/uploads/2014-07-01/20140701-1404202215.pdf และ
ศกึ ษาเนื้อหาจากใบความรู้ และทำใบงานที่ 1 เรอ่ื ง การแยกสารที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ใบงานท่ี 2 เร่อื ง สมบตั ิของสารที่ใช้
ในชีวติ ประจำวนั และใหน้ ักศึกษาสง่ งานทาง LINE
4.3 ครูมอบมายงานให้แต่ละคน/หรือรายกลุ่มดำเนินการวางแผนการดำเนินงานจัดทำรายงานกลุ่มละ 1 เรื่อง
พรอ้ มจัดทำรปู เลม่ รายงาน นำเสนอช้ินงาน และส่งชิ้นงาน ตามวันเวลาทีค่ รกู ำหนด ก่อนสอบปลายภาคเรียน
การวดั และประเมินผล (E:evaluation)
1. การสังเกตพฤตกิ รรมการมีรายบุคคล/รายกลุ่ม
111
2. การตรวจแบบบันทกึ การเรียนรู้ กศน.
3. ประเมินการนำเสนอผลงาน/ชิ้นงาน
4. การตรวจใบงาน
5. การตรวจแบบทดสอบ
6. การประเมนิ คุณธรรม
วธิ กี ารเรยี น : ผา่ น แอปพลเิ คชนั (ON-Demand)
กระบวนการจัดการเรียนรู้
การกำหนดสภาพ ปัญหา ความตอ้ งการในการเรยี นรู้ (O : Orientation)
1.ขน้ั นำเขา้ สบู่ ทเรยี น (เวลา 30 นาท)ี
1.1 ครูทักทายนักศึกษา และนำเข้าสู่บทเรียนโดยให้นักศึกษาแสดงความคิดเห็นในเรื่องสารและสมบัติของสาร
ตามความเขา้ ใจของนักศึกษา พรอ้ มทง้ั แลกเปลี่ยนเรยี นรู้ ร่วมกนั วเิ คราะห์ และแสดงความคิดเหน็ ร่วมกนั ในชน้ั เรยี น พรอ้ ม
112
ทั้งทำแบบทดสอบก่อนเรียน(Google Form) ผ่านทางแอปพลิเคชันLINE กลุ่ม พร้อมอธิบายถึงเหตุผลความจำเป็นที่ต้อง
จดั กิจกรรมการเรยี นรูปแบบ (ON-Demand)
1.2 ค รู น ำ เ ข้ า สู่ บ ท เ รี ย น โ ด ย ค รู เ ปิ ด วี ดี ทั ศ น์ เ รื่ อ ง ส า ร แ ล ะ ส ม บั ติ ข อ ง ส า ร จ า ก
ลิงค์https://www.youtube.com/watch?v=paB_G9k4hxw ให้นักศึกษารับชมเพ่ือให้นักศึกษามีความรู้ความเข้าใจใน
เร่ืองสารและสมบัติของสาร นักศึกษาร่วมกันวิเคราะห์และแลกเปล่ียนเรียนรู้แสดงความคิดเห็นผ่านทาง แอปพลิเคชัน
LINE เพอ่ื เชือ่ มโยงเขา้ สู่บทเรียนตอ่ ไป
1.3 ครูและนักศึกษาสรุปสงิ่ ท่ีอภิปรายรว่ มกัน แลกเปลี่ยนเรียนรู้ และบันทึกลงในแบบบันทกึ การเรยี นรู้ กศน.ผา่ น
ทาง แอปพลิเคชนั LINE
การแสวงหาขอ้ มลู และการจดั การเรยี นรู้ (N : New ways of learning)
2.กระบวนการจดั การเรยี นรู้(N:newway of lerling)(เวลา 3 ชม.)
2.1 ครมู อบหมายให้นักศกึ ษาไปศึกษาหาความรู้ เรอ่ื ง สารและสมบตั ิของสาร และการนำผลทไ่ี ดจ้ ากการวางแผน
ไปประยุกต์ใช้ในชีวติ ประจำวัน จากล้ิงhttp://loei.nfe.go.th/media/uploads/2014-07-01/20140701-
1404202215.pdf ศึกษาหาความรู้ ผ่านเวบ็ ไซต์ www.etvthai.tvและช่อง Youtubeหรือจากสอื่ และแหล่งเรยี นรู้
ตา่ งๆ และใหส้ รุปลงในแบบบันทึกการเรียนรู้ กศน. ในหวั ข้อต่อไปน้ี
1. สารและสมบัตขิ องสาร
2. การใชป้ ระโยชนจ์ ากสารและสมบัตขิ องสาร
ครูมอบหมายให้นักศึกษาเลือกทำรายงานท่ีนักศึกษาสนใจ 1 เร่ือง ให้ไปศึกษาค้นคว้าจากหนังสือ เรียนออนไลน์รายวิชา
วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ ( พ ว 1 1 0 0 1 ) จ า ก ล้ิ ง http://loei.nfe.go.th/media/uploads/2014-07-01/20140701-
1404202215.pdfหรือจากแหล่งการเรียนรู้ต่างๆ และให้นักศึกษาจัดทำสรุปความรู้เป็นแผนผังความคิด ลงในแบบ
บันทึกการเรียนรู้ กศน. ในหวั ขอ้ ดังน้ี
1 ความหมายและความสำคัญของสาร
๒ การแยกสาร
๓ สมบตั ิของสารท่ีใชใ้ นชีวิตประจำวัน
2.3 ครสู อนและสอดแทรกคุณธรรม 12 ประการ ในเรื่อง ความสะอาด ความสภุ าพ ความกตญั ญู
กตเวทีความขยนั ความประหยัด ความซ่อื สัตย์ ความมีน้ำใจ ความมีวนิ ัย ศาสน์ กษตั ริย์ รักความเป็นไทย และยึดมน่ั ในวิถี
ชวี ติ และการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมพี ระมหากษัตรยิ ์ทรงเปน็ ประมุข ผ่านทาง LINE กลุ่ม
การปฏบิ ตั แิ ละนำไปประยกุ ต์ (I : Implementation)
3. ขน้ั การปฏบิ ัตแิ ละนำไปประยกุ ตใ์ ช้ ( 30 นาที )
3.1 ครสู มุ่ ตวั แทนกลุ่มนำเสนอ เพื่อแลกเปลี่ยนความคดิ เห็นซ่ึงกนั และกัน สรุปส่งิ ที่ได้เรียนรูร้ ่วมกันและให้
นักศึกษาบันทึกความรู้ที่ได้ ลงในแบบบันทึกการเรยี นรู้ กศน.
3.2 นกั ศกึ ษานำความรทู้ ่ีไดจ้ ากการเรยี นร้มู าเป็นแนวทางในการแก้ปัญหาและการดำเนินชวี ติ ในประจำวันต่อไป
ขนั้ ประเมนิ ผล (E : Evaluation)
4. ขน้ั สรปุ และประเมนิ ผล (1ชว่ั โมง)
4.1 ครตู ดิ ตามงานทไี่ ดม้ อบหมายนักศกึ ษา เพอ่ื ตดิ ตามความคืบหนา้ ทางแอปพลิเคชันLine ดงั น้ี
4.2 ตดิ ตามงานทไี่ ด้รับมอบหมายสัปดาหท์ ผ่ี า่ นมา
113
4.3 ตดิ ตามการทำกิจกรรมพัฒนาคุณภาพชวี ิต (กพช.)
4.4 ติดตามสอบถามสขุ ภาพของนกั ศึกษา (การตรวจสุขภาพ/ความสะอาด/การแตง่ กาย)
4.5 ติดตามสอบถามการทำความดีในแต่ละวัน สัปดาห์ท่ีผ่านมาและตดิ ตามการบันทึก กิจกรรมท่ที ำความดีลงใน
สมดุ บันทึกบันทึกความดเี พือ่ การประเมนิ คุณธรรม
4.6 ติดตามสอบถามเก่ยี วกับงานอดิเรก สุนทรียภาพ การเล่นกฬี า การใชเ้ วลาวา่ งใหเ้ ป็นประโยชน์ ฯลฯ
4.7 ติดตามความก้าวหนา้ การทำรายงาน
สือ่ และแหลง่ การเรยี นรู้
1.www.etvthai.tv
2.ทีวดี จิ ติ อลช่อง 52 (กศน.)
3. หนงั สอื เรยี นวชิ ารายวชิ าวทิ ยาศาสตร(์ พว 11001)
4. แบบทดสอบกอ่ นเรียน เรื่อง สารและคณุ สมบตั สิ ารแบบปรนัย จำนวน 10 ขอ้
5. แบบทดสอบหลังเรียน เร่ือง สารและคุณสมบตั ิสารแบบปรนยั จำนวน 10 ข้อ
6. ใบงานที่ 1 เรอื่ ง การแยกสารทีใ่ ชใ้ นชีวิตประจำวนั
๗. ใบงานที่ 2 เร่อื ง สมบัติของสารทีใ่ ช้ในชวี ติ ประจำวัน
8.แบบบนั ทึกการเรียนรู้ กศน.
ขั้นมอบหมายงาน
1ครูมอบหมายให้นักศึกษาไปอ่านทบทวนเนือ้ หาเพม่ิ เติมจากหนงั สือเรียนรายวชิ าวทิ ยาศาสตร์( พว 11001) จา
กล้ิง http://loei.nfe.go.th/media/uploads/2014-07-01/20140701-1404202215.pdf โดยศึกษาในเรื่อง
สารและคุณสมบตั ิ และสรปุ ลงในแบบบันทกึ การเรียนรู้ กศน.
2. ครูมอบหมายให้นักศึกษาไปศึกษาค้นคว้าเนื้อหาจากหนังสือเรียนออนไลน์รายวิชาวิทยาศาสตร์( พว 11001)
จากลิ้ง http://loei.nfe.go.th/media/uploads/2014-07-01/20140701-1404202215.pdf และศึกษาเน้ือหา
จากใบความรู้ และทำใบงานที่ 1 เร่ือง การแยกสารท่ีใช้ในชีวิตประจำวันใบงานที่ 2 เร่ือง สมบัติของสารที่ใช้ใน
ชวี ิตประจำวันใหน้ ักศึกษาสง่ งานทาง LINE
3. ครูมอบมายงานให้แต่ละคน/หรือรายกลุ่มดำเนินการวางแผนการดำเนินงานจัดทำรายงานกลุ่มละ 1 เรื่อง
พรอ้ มจัดทำรปู เลม่ รายงาน นำเสนอชน้ิ งาน และสง่ ชิน้ งาน ตามวันเวลาที่ครูกำหนด กอ่ นสอบปลายภาคเรียน
การวัดและประเมินผล (E:evaluation)
1. การสงั เกตพฤติกรรมการมรี ายบคุ คล/รายกลมุ่
2. การตรวจแบบบันทึกการเรียนรู้ กศน.
3. ประเมินการนำเสนอผลงาน/ชิน้ งาน
4. การตรวจใบงาน
5. การตรวจแบบทดสอบ
6. การประเมนิ คุณธรรม
114
กจิ กรรมการเรยี นรูด้ ว้ ยตนเอง (จำนวน 23 ชวั่ โมง)
ใบงาน กรต. ครง้ั ที่ 4
สาระความรพู้ นื้ ฐาน รายวชิ าวทิ ยาศาสตร์ รหสั พว 11001
ระดบั ประถมศกึ ษา
คำสงั่ ใหน้ กั ศกึ ษาแบง่ กลุ่ม กลมุ่ ละ 3 คน และไปทำกจิ กรรมการเรยี นร้ตู ่อเนอื่ ง (กรต) โดยการไปศึกษาคน้ คว้า อา่ น
หนงั สอื จดบนั ทึก จากหนงั สือแบบเรียน ตำรา หนังสือ และส่ืออืน่ ๆ ในห้องสมดุ ประชาชนจังหวัด ห้องสมดุ ประชาชน
อำเภอ โรงเรียนประถมศึกษา โรงเรียนมัธยมศึกษา ในพืน้ ท่ีอำเภอเมืองนราธวิ าสหรอื อำเภออ่ืนๆ สอ่ื ออนไลน์ หรือไป
สอบถามขอความร้จู ากบุคคล ในหัวขอ้ ตอ่ ไปน้ี
1.สมบัติทวั่ ไปของสาร
2. การแยกสาร
3. การแยกสารทใี่ ช้ในชวี ติ ประจำวนั
4. การเขา้ ส่รู ่างกายของสาร
5. ผลกระทบที่เกดิ จากการใช้สารตอ่ ชวี ติ และส่ิงแวดล้อม
115
6. การเลือกซ้ือและการเลอื กใช้สาร
ขนั้ ตอนของการไปเรยี นรตู้ อ่ เนอื่ ง (กรต.) ของนักศกึ ษา มดี งั นี้
1. แผนการเรยี นรู้ต่อเน่ือง (กรต.) ในแต่ละแตล่ ะสัปดาห์ แต่ละครง้ั ที่ครู กศน.ตำบล/ครู ศรช. หรือครปู ระจำกลุ่ม
กลมุ่ มอบหมาย
2. ให้บริหารเวลาและใช้เวลาในการศึกษาเรียนรูด้ ้วยตนเองและทำกิจกรรมการเรยี นรตู้ อ่ เน่อื ง (กรต.) สัปดาห์ละ
15 ชงั่ โมงเป็นอยา่ งนอ้ ย
3. อ่านหนังสอื สอบถามผู้รู้ และจดบนั ทึกทุกคร้งั ทีมีการทำกิจกรรม กรต. และเกบ็ หลกั ฐานไวท้ ุกครั้งเพ่ือสง่
ครูกศน.ตำบล/ครูศรช. หรอื ครูประจำกลมุ่ ตรวจใหค้ ะแนนการทำ กรต.
4. จัดทำรายงานเป็นเล่ม ตามแบบรายงานท่ศี ูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศัยกำหนดและให้
สง่ ในวันทมี่ กี ารนำเสนอผลการทำกรต. ในเรือ่ งนั้นๆ
5. สมาชกิ ในกลุ่มร่วมกนั นำเสนอ/นำดว้ ยตนเอง(ในกรณีทำคนเดียว) โดยให้นำเสนอผลงานตามข้อ4 กลมุ่ ละ/คน
ละไมเ่ กนิ 10 นาที ในวนั พบกลุ่มครัง้ ต่อไป
แบบสงั เกตพฤติกรรมการปฏบิ ัตกิ ิจกรรมของนกั เรยี นรายบุคคล
เลขท่ีชอื่ – สกุล ผลการประเมิน
มีความ ้ัตงใจในการทำงาน
มีความ ัรบ ิผดชอบ
ตรง ่ตอเวลา
ความสะอาดเ ีรยบร้อย
ผลสำเ ็รจของงาน
รวมคะแนน
๓ ๓ ๓ ๓ ๓ ๑๕ ผา่ น ไมผ่ า่ น
116
เกณฑก์ ารประเมนิ ระดบั คณุ ภาพ เกณฑท์ ผี่ ่าน
๓ ปฏิบตั ิหรือแสดงพฤติกรรมสม่ำเสมอ ดี ๑๑ – ๑๕ คะแนน ดี ตง้ั แต่ ๑๐ คะแนน
๒ ปฏิบตั หิ รอื แสดงพฤตกิ รรมบอ่ ยครั้ง ปานกลาง ๖ – ๑๐ คะแนน พอใช้ ขึ้นไป
๑ ปฏบิ ตั หิ รือแสดงพฤติกรรมบางครัง้ หรือน้อยครั้ง ปรับปรุง ๑ – ๕ คะแนน ปรับปรุง
แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการปฏบิ ตั กิ จิ กรรมกลมุ่
กลุ่มท่ี..............
ชอื่ – สกลุเลขท่ี รวม ผลการประเมิน
ีมส่วนร่วมในการแสดงความ ิคดเ ็หน
มีความกระ ืตอรือร้นในการทำงาน
รับผิดชอบในงานที่ไ ้ด ัรบมอบหมาย
ีม ั้ขนตอนในการทำงานอย่างเป็นระบบ
ใช้เวลาในการทำงานอย่างเหมาะสม
๓ ๓ ๓ ๓ ๓ ๑๕ ผา่ น ไมผ่ า่ น
117
เกณฑก์ ารประเมนิ ระดบั คณุ ภาพ เกณฑท์ ผ่ี า่ น
๓ ปฏิบัติหรือแสดงพฤตกิ รรมสมำ่ เสมอ ดี
๒ ปฏบิ ัตหิ รอื แสดงพฤตกิ รรมบอ่ ยครงั้ ปานกลาง ๑๑ – ๑๕ คะแนน ดี ตั้งแต่ ๑๐ คะแนน
๑ ปฏบิ ัตหิ รือแสดงพฤติกรรมบางครั้งหรือน้อยครั้ง ปรับปรุง
๖ – ๑๐ คะแนน พอใช้ ข้นึ ไป
๑ – ๕ คะแนน ปรับปรุง
ใบความรทู้ ี่ 1
สารและคณุ สมบตั ิของสาร
สารหมายถึง เนื้อของสสาร สารมีสมบัติแตกต่างกันไปแล้วแต่สมบัติของสารน้ัน ๆ สารท่ีอยู่รอบ ๆ ตัวเราสามารถจำแนก
ออกเป็นหมวดหมูโ่ ดยอาศยั เกณฑ์ที่กำหนดขน้ึ มา ดังน้ี
1. ใชส้ ถานะเปน็ เกณฑ์ สามารถแบง่ ไดด้ งั น้ี
1.1 ของแข็ง มีรูปร่างและปริมาตรทค่ี งท่แี นน่ อน
1.2 ของเหลว มปี รมิ าตรคงท่ี แตร่ ูปรา่ งเปลยี่ นไปตามภาชนะท่ีบรรจุ
1.3 กา๊ ซ มีปรมิ าตรและรูปรา่ งไมค่ งที่จะเปลี่ยนไปและฟงุ้ กระจายตามภาชนะท่ีบรรจุ
2. ใช้เนอื้ สารเปน็ เกณฑ์ สามารถแบง่ ออกได้ 2 ชนิด ไดแ้ ก่
2.1 สารเน้ือเดียวเป็นสารที่มองเห็นเปน็ เน้ือเดียวกันตลอดทกุ ส่วนอาจประกอบดว้ ยสารเพียงอยา่ งเดยี วหรือหลาย
อย่างก็ได้ และมีสมบัติเหมือนกัน มีได้ทั้ง 3 สถานะถ้านำส่วนใดส่วนหน่ึงของสาร น้ีไปทดสอบสมบัติ จะแสดงสมบัติ
เหมอื นกันทุกประการเช่น สารละลายและสารบริสุทธ์ิ เปน็ ตน้
สารละลาย (Solution) เป็นสารเน้ือเดียวท่ีเกิดจากสารต้ังแต่ 2 ชนิดข้ึนไปรวมตัวกันโดยไม่เกิด ปฏิกิริยาเคมีแต่เกิดการ
ละลายและองค์ประกอบของสารยังแสดงสมบัติเดิมอยู่สารละลายประกอบด้วยสารที่ทำหน้ าท่ีเป็นตัวถูกละลายและตัวทำ
ละลาย สารละลายมหี ลายชนดิ และมี 3 สถานะ
สารบริสุทธิ์ (Pure Substance) เป็นสารเนื้อเดียวที่มีองค์ประกอบเพียงชนิดเดียวกันตลอด ไม่มีสารอ่ืนเจือปนจึงมีสมบัติ
เฉพาะตัวและคงท่ี ซึ่งประกอบไปดว้ ยธาตุและสารประกอบเชน่ เงิน ทองคำ ปรอทไอโอดีน เหลก็ กำมะถัน เปน็ ตน้
2.2 สารเนื้อผสม เป็นสารท่ีมองเห็นไม่เป็นเนื้อเดียวสารเน้ือผสมจะมีเน้ือสารมากกว่าหนึ่งอย่าง ปนกันอยู่และ
สมบัติของสารจะไม่เหมือนกันตลอด แบง่ เปน็ 2 ประเภทใหญ่ ๆ ไดแ้ ก่
118
1) สารคอลลอยด์ (Colloid) เป็นสารท่ีประกอบด้วยอนุภาคที่กระจายในตัวกลางโดยมีขนาด เส้นผ่าศูนย์กลาง
ระหว่าง 10 - 10 เซนติเมตร ซ่ึงมีขนาดอนุภาคใหญ่กว่าสารละลายจึงมีลักษณะขุ่นในขณะที่สารละลายมีลักษณะใส
อนุภาคในคอลลอยด์ เปรียบเสมือนตัวถูกละลายและตัวกลาง ในคอลลอยด์เปรียบเสมือนตัวทำละลายในสารละลาย
ลักษณะของคอลลอยด์จะมีลักษณะข่นุ คล้ายกาว เช่น นำ้ นม ฝนุ่ ละอองในอากาศ เปน็ ต้น
2) สารแขวนลอย (Suspension) เป็นสารท่ีประกอบด้วยอนุภาคเล็ก ๆของของแข็งมีขนาด เสน้ ผ่าศูนย์กลางใหญ่
กว่าสารคอลลอยด์สารแขวนลอยจะมีเส้นผ่าศูนย์กลางใหญ่กว่า 10 เซนติเมตรอนุภาคของของแข็งลอยกระจายอยู่ใน
ของเหลวซ่ึงสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนเมื่อตัง้ ทิ้งไว้นิ่ง ๆ จะเกิดการตกตะกอน เช่น น้ำโคลน นำ้ คลอง นำ้ อบไทย เป็น
ตน้
การจัดจำแนกสารโดยใชเ้ นอ้ื สารเป็นเกณฑ์
3. ใชส้ ภาวะการนำไฟฟ้าเปน็ เกณฑ์
3.1 สารทนี่ ำไฟฟ้า เช่น น้ำ เหล็กและอะลูมเิ นยี ม เป็นตน้
3.2 สารที่ไม่นำไฟฟ้า เช่น ผา้ พลาสติกและไม้แห้ง เป็นต้น
4.ใช้สภาวะการละลายเปน็ เกณฑ์
4.1 สารท่ีละลายนำ้ ได้ เช่น น้ำตาลและเกลอื เป็นต้น
4.2 สารทลี่ ะลายนำ้ ไม่ได้ เช่น กอ้ นหนิ ทรายและไม้ เป็นต้น
5. ใชค้ วามเป็นโลหะเปน็ เกณฑ์ แบ่งสารออกได้เปน็ 3 กลุม่ คือ
- โลหะ (metal) เช่น ทองคำ ทองแดง เงิน เหล็ก ปรอท สงั กะสี ดบี กุ ตะกั่วโซเดยี ม แมกนีเซียม เป็นตน้
- อโลหะ (non - metal) เช่น คาร์บอน ฟอสฟอรสั กำมะถนั ออกซิเจน ไฮโดรเจนฮเี ลยี ม คลอรนี เปน็ ต้น
- กง่ึ โลหะ (metaloid) เชน่ ซลิ ิคอน ซีลเิ นยี ม เจอร์เมเนียม อาร์เซนกิ เป็นต้น
6. ใช้การละลายนำ้ เป็นเกณฑ์ แบง่ สารได้เป็น 2 กลุ่ม คือ
- สารท่ลี ะลายนำ้ เช่นเกลือแกง นำ้ ตาลทราย น้ำตาลกลโู คส จนุ สีดา่ งทับทิม เอทานอล กรดแอซิติก แก๊ส
คาร์บอนไดออกไซด์ แก๊สแอมโมเนียเปน็ ต้น
- สารท่ีไม่ละลายน้ำ เช่นแป้ง หนิ ปนู ไขมัน น้ำมันพชื พลาสติก เหลก็ ไม้กำมะถัน คารบ์ อน น้ำมนั เชือ้ เพลิง เป็น
ตน้
สารบรสิ ทุ ธ์ิ (Pure substance)
สารบรสิ ุทธ์ิ หมายถึงสารเน้ือเดยี วท่ปี ระกอบไปดว้ ยสารเพยี งชนิดเดยี วไมม่ ีสารอน่ื เจือปน เชน่
- โลหะทองแดง (Cu) ประกอบด้วยอะตอมของทองแดง เพียงอย่างเดยี ว
- เพชรและแกรไฟต์ (C ) ประกอบด้วยอะตอมของคาร์บอน เพยี งอย่างเดียว
- น้ำกลนั่ ( H2O ) ประกอบด้วยโมเลกลุ ของนำ้ เพยี งอย่างเดยี ว
- น้ำตาลกลโู คส ( C6H12O6) ประกอบด้วยโมเลกลุ ของกลูโคส เพียงอยา่ งเดยี ว
- แก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์ (CO2) ประกอบดว้ ยโมเลกลุ ของคาร์บอนไดออกไซด์เพียงอยา่ งเดยี ว
119
จะพบว่าสารบริสุทธ์ิแต่ละชนิดมีองค์ประกอบต่างกันบางชนิดประกอบด้วยอะตอมเพียง ชนิดเดียวเรียกว่า ธาตุแต่สาร
บริสุทธบิ์ างชนดิ ประกอบด้วยอะตอมตา่ งชนดิ กนั เรียกวา่ สารประกอบ
1. ธาตุ (element) เป็นสารบริสุทธิ์ท่ีประกอบด้วยอะตอมเพียงชนิดเดียวธาตุจึงเป็นสารท่ี ไม่สามารถแบ่งย่อยลงไปได้อีก
เนื่องจากอะตอมทั้งหมดในสารน้ันเป็นสารชนิดเดียวกันอะตอมเป็นหน่วยย่อยท่ีเล็กท่ีสุด ท่ีแสดงสมบัติของธาตุนั้น ๆได้
อะตอมของธาตุบางชนิดอยู่รวมกันเป็นผลึก เช่น ธาตุเหล็ก (Fe) ธาตุทองคำ (Au) ธาตุเงิน (Ag) ธาตุสังกะสี (Zn) เป็นต้น
ซ่ึงธาตุที่เป็นของแข็งธาตุบางชนิดมีอะตอมอยู่รวมกันเป็นโมเลกุล เช่น ธาตุออกซิเจน (O2) ธาตุไนโตรเจน (N2) ธาตุ
คลอรีน (Cl2) ธาตุฟอสฟอรัส (P4) ธาตุกำมะถัน (S8) เป็นต้นและธาตุบางชนิดอะตอมจะอยู่อย่างอิสระเพียงลำพัง เช่น
ธาตฮุ เี ลยี ม (He) ธาตนุ อี อน (Ne) ธาตอุ ารก์ อน (Ar) เป็นต้น ซง่ึ จัดเปน็ ธาตุเฉื่อย
ฮเี ลียมและนีออนเป็นอะตอมของแกส๊ ท่ีอยู่ได้ตามลำพงั เรียกว่าโมเลกุลอะตอมเดย่ี ว
2. สารประกอบ (compound) เปน็ สารบรสิ ทุ ธิ์ท่ปี ระกอบด้วยอะตอมของธาตตุ ้ังแต่ 2 ชนิดข้ึนไปมารวมกนั ด้วยแรง ยึด
เหนีย่ วทางเคมี เกิดเป็นสารชนิดใหม่ เรยี กว่าสารประกอบดงั นน้ั หน่วยยอ่ ยของสารประกอบคือ โมเลกุลซึง่ อาจแยกสลายได้
เมอ่ื ได้รับความร้อนหรือพลังงานไฟฟา้ สารประกอบท่ีพบในชีวิตประจำวัน เชน่ นำ้ (H2O) เกลือแกง (NaCl) นำ้ ตาลทราย
(C12H22O11) น้ำตาลกลโู คส (C6H12O6) เอทานอล (C2H5OH) คารบ์ อนไดออกไซด์ (CO2) หินปูน (Ca2CO3)
จนุ สี (CuSO4) เป็นต้น
แอมโมเนยี เป็นสารประกอบที่เกิดจากธาตุไนโตรเจน 1 อะตอม และธาตุไฮโดรเจน 3 อะตอมรวมกนั เปน็ โมเลกลุ NH3 ซงึ่ มี
4 อะตอมใน 1 โมเลกุล
สารละลาย (solution) หมายถึง สารเน้ือเดียวที่ไม่บริสุทธิ์ เกิดจากสารหลาย ชนิดมารวมกันโดยไม่เกิดปฏิกิริยาเคมี เช่น
น้ำเกลือเกิดจากเกลือแกงละลายในน้ำน้ำเกลือจะแสดงสมบัติของสารท่ีผสมกันท้ัง 2 ชนิด คือมีรสเค็มของเกลือแกงและ
เป็นของเหลวใสเหมือนน้ำถ้าให้ความร้อนแก่น้ำเกลือจนน้ำระเหยไปหมด จะได้เกลือแกงแยกออกจากน้ำโดยไม่
เปล่ียนแปลงเปน็ สารใหม่ เนอ่ื งจากไมเ่ กิดปฏิกริ ยิ าเคมสี ารละลายแบ่งสว่ นประกอบได้ 2 สว่ น คือ
1. ตัวทำละลาย (solvent) หมายถึงสารที่มีสถานะเดียวกับสารละลายหรือสารที่มีปริมาณ มากกว่าตัวทำละลาย
ในสารละลายแต่ละชนดิ มีเพยี งสารเดียว
2. ตัวละลาย (solute) หมายถึงสารท่ีมีสถานะต่างจากสารละลายหรือสารที่มีปริมาณน้อยกว่าตัวทำละลายใน
สารละลายแต่ละชนิดมีไดห้ ลายสาร
การละลาย หมายถงึ การทอ่ี นภุ าคของสารสอดแทรกรวมเป็นเนือ้ เดียวกันโดยไมเ่ กิดปฏกิ ริ ิยาเคมี
สารละลายมีได้ 3 สถานะ คือ
- สารละลายทเ่ี ป็นของแขง็ เช่น นาก ฟิวส์ ทองเหลือง ทองสมั ฤทธ์ลิ วดนิโครม
120
- สารละลายทีเ่ ปน็ ของเหลว เชน่ นำ้ เกลอื นำ้ เชอ่ื ม นำ้ อัดลม น้ำประปาน้ำฝน
- สารละลายทเ่ี ป็นก๊าซ เชน่ อากาศ แก๊สหงุ ตม้ แกส๊ ธรรมชาติแก๊สในถังนักดำน้ำ
สาร (SUBSTANCE)
ส่ิงต่างๆที่อยู่รอบตัวเราจัดเป็น สสาร (Matter) ซึ่งหมายถึงส่ิงท่ีมีมวลสัมผัสได้โดยใช้ประสาทสัมผัส เช่น น้ำ ดิน
อากาศ หิน ไม้ ทราย แป้งเป็นต้น ส่วน สาร หมายถึง เนื้อของสสารที่นำมาศึกษาหรือสิ่งที่นำมาศึกษาดังน้ันจึงใชค้ ำว่าสาร
แทนสสาร
สมบตั ขิ องสาร หมายถึงลักษณะเฉพาะตัวของสารแต่ละชนิดท่ีสามารถบง่ บอกวา่ สารชนิดนนั้ คืออะไรซ่งึ สารแตล่ ะ
ชนิดจะมีสมบตั ิของสารที่สังเกตเหน็ ได้หลายประการ เช่น สี กลิน่ รสสถานะ เน้อื สาร แตส่ มบตั ิบางประการของสารต้องใช้
เครอ่ื งมอื ในการสงั เกตจึงจะทราบเช่น ความสามารถในการนำไฟฟ้า ความสามารถในการละลาย ความเป็นกรด - เบส จุด
หลอมเหลวจุดเดือด ความหนาแนน่ เปน็ ตน้ เมื่อสรแต่ละชนดิ มีสมบัตหิ ลายประการดังนั้นสมบตั บิ างประการของสารชนดิ
หนึง่ อาจเหมือนกบั สารอีกชนิดอน่ื ก็ไดแ้ ตจ่ ะมีสมบัตบิ างประการท่ีเปน็ สมบัติเฉพาะตัวแตกต่างจากสารอ่ืน เชน่ นำ้ เปน็
ของเหลวใส ไม่มสี ี ไม่มีกลิน่ จดุ เดอื ด 100 องศาเซลเซียสเอทานอลเป็นของเหลวใส ไม่มสี ี มกี ล่ินฉนุ มีจุดเดือด 78.5
องศาเซลเซยี สดังนน้ั สมบตั ิเฉพาะตัวของเอทานอลที่แตกต่างจากน้ำ คือ มีกล่ินฉุนและมีจุดเดือดท่ีแตกตา่ งกัน
สมบตั ิของสารจำแนกได้เปน็ 2 ประเภท ดงั น้ี
1.สมบัติทางกายภาพ (Physical Properties) สมบัติทางกายภาพเป็นสมบัติท่ีสังเกตได้จากลักษณะภายนอกหรือใช้
เครื่องมอื ง่ายๆในการสังเกต ซึ่งเป็นสมบัติที่ไม่เก่ียวข้องกับปฏิกิริยาเคมี เช่น สี กลิ่น รสสถานะ ลักษณะของรูปผลึก ความ
หนาแนน่ การนำไฟฟา้ การละลาย จุดหลอมเหลว จุดเดือด
2.สมบัติทางเคมี (Chemical Properties) สมบัติทางเคมีเป็นสมบัติที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างภายในของสารเป็นสมบัติท่ี
สังเกตได้เม่ือมีปฏิกิริยาเคมีเกิดข้ึน เช่น ความเป็นกรด - เบสการเกิดสนิม ความเป็นโลหะ ความเป็นอโลหะ เป็นต้นสาร
รอบตัวเรามีจำนวนมากมาย จึงต้องมีการจัดเป็นหมวดหมู่เพื่อความสะดวกในการศึกษา เราจัดหมวดหมู่ของสารโดยใช้
เกณฑด์ งั น้ี คอื
1. ใช้สถานะของสารเปน็ เกณฑ์
การใช้สถานะของสารเป็นเกณฑ์ สามารถจัดจำแนกไดเ้ ปน็ 3 สถานะ ดงั นี้
1.ของแข็ง รูปร่างไม่เปลยี่ นแปลง อนุภาคของของแขง็ ไม่มีการเคล่ือนท่ีและอดั ใหเ้ ล็กลงอีกไมไ่ ด้
2. ของเหลว รูปรา่ งเปล่ียนตามภาชนะท่บี รรจุ โดยมีปริมาตรคงท่ี ไหลไดอ้ ัดใหเ้ ลก็ ลงไดย้ าก
3. แกส๊ รูปรา่ งและปริมาตรเปล่ยี นแปลงไปตามภาชนะที่บรรจุ ฟุง้ กระจายได้อัดใหเ้ ล็กลงได้ง่าย
2. ใช้เนือ้ สารเปน็ เกณฑ์ การแยกสารวิธนี ีพ้ ิจารณาจากลักษณะของเนอ้ื สารซึ่งสามารถจำแนกไดด้ งั นี้
1. สารเนื้อเดยี ว ประกอบด้วย
- สารบรสิ ทุ ธ์ิ ไดแ้ ก่ ธาตุ และ สารประกอบ
- สารไม่บริสุทธ์ิ ได้แก่ สารละลาย และ คอลลอยด์
2. สารเน้ือผสม ประกอบด้วย สารแขวนลอย
121
ใบความรทู้ ี่ 2
ปจั จยั ทม่ี ผี ลตอ่ การเปลย่ี นแปลงสถานะของสาร
การระเหย (Evaporation)
หมายถงึ การท่ีของเหลวเปล่ียนสถานะไปเป็นไอ
สารในสถานะของเหลวมีการจัดเรยี งอนภุ าคไม่เป็นระเบยี บ และมีช่องว่างอย่ทู ว่ั ไป โมเลกลุ ของของเหลวจึงเคลื่อนท่ีได้
เลก็ นอ้ ย ทำให้เกิดการชนกนั เองหรอื ชนกบั ผนังภาชนะ แลว้ มกี ารถ่ายโอนพลงั งานใหแ้ ก่กนั ทำให้บางโมเลกุลของของเหลว
มีพลงั งานจลนเ์ พิม่ ขึน้ และบางโมเลกุลมีพลงั งานจลนล์ ดลง ถ้าโมเลกุลท่มี ีพลังงานจลนเ์ พิ่มขึน้ อยู่บริเวณผิวหน้าของ
ของเหลว หรอื สามารถเคล่ือนที่มาอยผู่ ิวหนา้ ของของเหลวได้ และมีพลังงานสงู มากกว่าแรงยึดเหนย่ี วระหวา่ งโมเลกุล
โมเลกลุ เหลา่ นนั้ จะหลุดออกจากผิวหนา้ ของของเหลวกลายเปน็ ไอไปเร่ือย ๆ การที่ของเหลวเปลยี่ นสถานะไปเป็นไอเรียกว่า
การระเหย ขณะที่ของเหลวเกิดการระเหยจะดึงพลงั งานส่วนหนึง่ ไปใชใ้ นการเปล่ียนสถานะ ทำให้อณุ หภมู ิของของเหลว
ลดลง ของเหลวจึงดดู พลังงานจากสิง่ แวดล้อมเขา้ มาแทนท่ีพลังงานส่วนทีเ่ สียไป
122
ปจั จยั ทม่ี ผี ลตอ่ การระเหย
1. อุณหภมู ิ เมอ่ื อุณหภมู ิสูงการระเหยจะเกิดได้เรว็ ข้ึน เชน่ ตากผ้าไวใ้ นท่ีมแี ดดจัดผา้ จะแห้งไดเ้ ร็วกว่าผ้าทต่ี ากไว้ในรม่
เนอื่ งจากความร้อนหรอื อณุ หภูมทิ ่เี พ่ิมขน้ึ มผี ลให้พลังงานจลนเ์ ฉลีย่ ของโมเลกลุ ของน้ำเพิ่มข้นึ ทำใหโ้ มเลกุลของนำ้ ทม่ี ี
พลังงานจลน์สงู พอทจ่ี ะเอาชนะแรงยดึ เหนยี่ วระหว่างโมเลกลุ มีมากขึน้ การระเหยของน้ำจึงเกิดไดเ้ ร็วขึน้
2. พนื้ ทผ่ี วิ การเพิม่ พน้ื ทผี่ วิ หน้าของของเหลวทำใหเ้ กดิ การระเหยไดเ้ รว็ ขึน้ เพราะว่าเป็นการเพิ่มจำนวนโมเลกลุ ของ
ของเหลวที่มโี อกาสหลุดออกจากผวิ หนา้ ของของเหลวได้มากขึ้น เช่น ถ้าใส่ของเหลวลงในภาชนะปากกวา้ งจะระเหยได้เรว็
กว่าในภาชนะปากแคบ
เม่ือพื้นทผี่ วิ ของของเหลวตา่ งกนั อัตราการระเหยจะต่างกัน
123
3. การถา่ ยเทอากาศ การที่อยใู่ นทที่ ่มี ีการถา่ ยเทอากาศได้ดหี รือมีลมพัดผา่ นจะช่วยใหเ้ กิดการระเหยไดด้ ี เช่น เหงื่อบน
รา่ งกาย เพราะการเคลื่อนทขี่ องอากาศทำใหโ้ มเลกลุ ของไอบรเิ วณเหนอื ของเหลวเกดิ การเคลื่อนที่ และลดจำนวนโมเลกลุ
ของไอบริเวณผิวหนา้ ของของเหลว เป็นผลให้โมเลกุลของของเหลวบรเิ วณผวิ หน้ากลายเป็นไอไดม้ ากข้นึ หรือระเหยไดเ้ ร็ว
ขนึ้ ขณะทีเ่ หง่ือระเหยจะดงึ ความร้อนจากผวิ หนังจงึ ทำให้รู้สึกเยน็
วฏั จกั รของน้ำต้องใช้กระบวนการระเหย
การระเหดิ (องั กฤษ: sublimation หรือ primary drying) คอื ปรากฏการณ์ท่ีสสารเปลยี่ นสถานะจากของแขง็ กลายเปน็ ไอ
หรือก๊าซทอ่ี ุณหภูมติ ำ่ กว่าจุดหลอมเหลว โดยไม่ผา่ นสถานะของเหลว] การเกดิ
เม่ือลดความดนั ลงจนถงึ จุดสมดุลระหว่างสถานะของแข็งและก๊าซ จะเกิดการระเหดิ ของอนภุ าคของสารนนั้ การระเหิด
เกิดขน้ึ ไดเ้ พราะอนุภาคในของแข็งมีการส่นั และชนกบั อนุภาคขา้ งเคยี งตลอดเวลา ทำให้มีการถ่ายเทพลังงานจลน์ระหวา่ ง
อนภุ าคเช่นเดยี วกับในของเหลวและกา๊ ซ
ปจั จยั ทีม่ ีผลตอ่ การระเหิด
1. อุณหภูมิ อตั ราการระเหิดเป็นสดั ส่วนโดยตรงกบั อุณหภูมิ
2. ชนดิ ของของแข็ง ของแขง็ ท่ีมีแรงยดึ เหน่ยี วระหว่างอนภุ าคน้อยจะระเหดิ ได้งา่ ย
3. ความดนั ของบรรยากาศ ถ้าความดนั ของบรรยากาศสูงของแขง็ จะระเหดิ ได้ยาก
4. พื้นทีผ่ วิ ของของแข็ง ถ้ามีพนื้ ทม่ี ากจะระเหิดไดง้ ่าย
5. อากาศเหนอื ของแขง็ อากาศเหนือของแข็งจะต้องมีการถ่ายเทเสมอเพ่ือปอ้ งกันการอิ่มตวั ของไอ
การควบแนน่ คือ การเพม่ิ ความดันหรือ ลดอุณหภูมิใหไ้ อระเหยกลายเป็นของเหลวเพื่อลดการแพร่กระจายของกลิ่นการ
ควบแนน่ จะมีประสทิ ธิภาพและได้ผลค้มุ ค่าในการนำสารที่ควบแน่นไดม้ าใชใ้ หม่ก็ต่อเมือ่ มีความเข้มข้นของสารนนั้ สูง
เพยี งพอเชน่ อากาศทดี่ ูดจากหม้อผสมสี เปน็ ตน้ โดยท่วั ไปการควบแน่นจะใชเ้ ครื่องทำความเย็นและคา่ ใช้จา่ ยส่วนใหญ่จะ
เป็นค่าไฟฟ้า
1. หลกั การ
ระบบควบแน่น (Condensation Process) ใชห้ ลักการบำบดั กลิน่ โดยอากาศเสยี ที่มสี ารก่อให้เกิดกลน่ิ ถูกทำใหเ้ ยน็ ลงจน
ควบแนน่ เปน็ ของเหลวซ่งึ อุณหภมู ทิ ี่ตอ้ งการจะขน้ึ กับคณุ สมบตั ิของสารนัน้ ๆ
ขอ้ ดี
• ใชไ้ ดก้ บั กลน่ิ ของตัวทำละลายท่ปี กติเปน็ ของเหลว เชน่ ทินเนอร์ ไซลีน โทลูอีน
• ระบบนีใ้ ช้ไดด้ ีกบั สารท่ีกอ่ ใหเ้ กดิ กล่นิ ท่ีมคี วามเข้มข้นสงู ๆเชน่ อากาศในถงั ผสมสีนำ้ มัน
• วธิ นี ค้ี ่อนขา้ งง่ายและในขณะเดยี วกันอาจได้ตวั ทำละลายคืนในระดบั ท่ีคมุ้ ค่า
ขอ้ เสีย
• คา่ ไฟฟ้าในการทำความเย็นสูง
• ไมส่ ามารถกำจัดสารกอ่ ให้เกิดกลิน่ จำพวกอนินทรีย์ที่ไม่ควบแน่นหรอื สารทีค่ วบแน่นท่อี ุณหภมู ิตำ่ เกนิ ไป
124
• อากาศท่ีระบายออกมีความเย็นและกล่นิ ทยี่ ังเหลอื อาจไม่ลอยตวั ทำให้อาจรบกวนผทู้ ี่อยู่อาศัยขา้ งเคียง
• อาจต้องมรี ะบบเสรมิ เช่น ดูดซบั กลนิ่ ทยี่ งั เหลือด้วยถ่านกัมมันต์
• การละลายหมายถึงการทอ่ี นุภาคของสารต้ังตนั สองชนิดข้นไปแทรกรวมเปน็ เนื้อเดียวกันเม่อื ของแขง็ ละลายน้ำจะ
แตกตัวออกเป็นอนภุ าคเล็กๆในการแตกตวั ออกจากกนั ระบบจะต้องใชพ้ ลงั งานจำนวนหนึ่งซง่ึ ระบบต้องดูดพลงั งานเพ่ือทำ
ใหอ้ นภุ าคของของแขง็ ทรี่ วมตัวกันอยแู่ ยกออกจากกันและเมื่ออนุภาคของของแขง็ กระจายแทรกอย่รู ะหว่างโมเลกลุ ของน้ำ
จะยดึ เหนย่ี วกบั โมเลกลุ ของน้ำไดร้ ะบบจะต้องคายพลังงานออกมาจำนวนหน่ึงดังนัน้ การละลายของสารชนดิ หนง่ึ อาจเปน็
การเปล่ยี นแปลงประเภทดูดความร้อนหรอื คายความร้อนข้ึนอยูก่ บั ผลต่างของพลงั งานทีใ่ ชแ้ ยกอนุภาคของของแข็งกบั
พลังงานท่ีคายออกมาเพื่อใหอ้ นภุ าคของของแข็งยดึ เหนย่ี วกับนำ้
• สารละลาย (solution)เปน็ สารเน้อื เดยี วทีป่ ระกอบด้วยสารตั้งแต่ 2 ชนดิ ขึ้นไปสารท่ีมปี ริมาณมากกวา่ จดั เปน็ ตัว
ทำละลาย (solvent)สว่ นสารที่มีปรมิ าณนอ้ ยกวา่ จดั เปน็ ตัวถูกละลาย (solute)
• การละลายของสารในตวั ทำละลายชนิดตา่ งๆ
• ในชีวติ ประจำวันจะพบวา่ น้ำเปน็ ตวั ทำละลายทีด่ จี งึ นำไปใช้ในกิจกรรมต่างๆ มากมาย แต่กม็ สี ารบางชนดิ ที่ไม่
สามารถละลายในน้ำได้ เชน่ หมึกแห้ง หรอื ไขมันท่เี ปื้อนมากับเสือ้ ผา้ จงึ ได้นำของเหลวบางชนดิ ที่ใชล้ ะลายสารทไ่ี ม่สามารถ
ละลายในนำ้ ได้มาเป็นตวั ทำละลายแทนเช่น แอลกอฮอล์ เฮกเซน นำ้ มันก๊าด น้ำมันเบนซิน เปน็ ต้น จึงสรปุ ไดว้ า่ สารบาง
ชนิดละลายได้ดีในตวั ทำละลายชนิดหนึ่ง แต่อาจไม่ละลายในตัวทำละลายชนดิ อนื่ ดงั น้ันการเลอื กตวั ทำละลายทเี่ หมาะสม
จะสามารถนำไปใช้ประโยชนใ์ นชวี ติ ประจำวันได้การเปล่ียนแปลงสถานะ
การเปลย่ี นแปลงสถานะ คือการท่สี สารใดๆ เกิดการเปล่ยี นแปลงทางกายภาพ เช่นจากของแขง็ เป็นของเหลว เป็นตน้ การ
เปล่ียนแปลงสถานะในแต่ละรูปแบบ มชี ่ือเรยี กต่างกันตามลักษณะการเปล่ยี นแปลง ดงั น้ี
การระเหย
คือกระบวนการการเปลี่ยนแปลงสถานะของสสาร จากของเหลว กลายเป็นกา๊ ซ โดยมกั เกิดเม่ือของเหลวนั้นๆไดร้ บั
พลงั งานหรือความรอ้ น ไดแ้ ก่ นำ้ เปลยี่ นสถานะเป็น ไอนำ้
การระเหดิ
คอื กระบวนการการเปลย่ี นแปลงสถานะของสสาร จากของแข็ง กลายเปน็ กา๊ ซ โดยไมผ่ ่านสถานะการเป็นของเหลว
ได้แก่ นำ้ แขง็ แหง้ เปลี่ยนสถานะเป็น ก๊าซคารบ์ อนไดออกไซด์
การควบแนน่
คอื กระบวนการการเปลีย่ นแปลงสถานะของสสาร จากก๊าซ กลายเปน็ ของเหลว โดยมกั เกิดเมื่อกา๊ ซนนั้ ๆ สูญเสยี
ความร้อนหรือพลงั งาน ได้แก่ ไอน้ำ เปลยี่ นแปลงสถานะเป็น น้ำ
การแขง็ ตวั
คือกระบวนการการเปลย่ี นแปลงสถานะของสสาร จากของเหลว กลายเป็นของแข็ง โดยมกั เกดิ เมอ่ื ของเหลวนน้ั ๆ
สูญเสียความรอ้ นหรอื พลงั งาน ได้แก่ น้ำ เปล่ยี นแปลงสถานะเป็น นำ้ แข็ง โดยของแข็งนั้น สามารถเปลย่ี นสถานะกลบั เป็น
ของเหลวได้ โดยการได้รบั พลังงานหรอื ความรอ้ น
การตกผลกึ
คือกระบวนการการเปลี่ยนแปลงสถานะของสสาร จากของเหลว กลายเปน็ ของแข็ง โดยมกั เกิดเมื่อของเหลวนัน้ ๆ
สญู เสยี ความรอ้ นหรอื พลงั งาน ได้แก่ นำ้ เปลย่ี นแปลงสถานะเป็น นำ้ แข็ง แตโ่ ดยท่วั ไปแลว้ ตกผลึกนนั้ นิยมใช้ กับการ
เปลย่ี นแปลงรูปรา่ งทางทางเคมี เสยี มากกว่า เพราะโดยทว่ั ไปใช้กับสารประกอบหรือวัตถุ ที่ไม่สามารถหลอมเหลว หรือ
ละลาย กลบั เป็นของเหลวได้อีก
การหลอมเหลว หรอื การละลาย
คือกระบวนการการเปลี่ยนแปลงสถานะของสสาร จากของแข็ง กลายเป็นของเหลว โดยมักเกิดเมอื่ ของแข็งนน้ั ๆ
ได้รบั ความร้อนหรอื พลังงาน ได้แก่ น้ำแข็ง เปลยี่ นแปลงสถานะเปน็ น้ำ
125
แบบทดสอบก่อนเรยี น (Pre-test)
รายวชิ า พว 11001 วทิ ยาศาสตร์
ระดบั ประถมศึกษา
เนอื้ หาการเรยี นรเู้ รื่อง สารและคุณสมบตั สิ าร
126
คำชี้แจง : จงเลือกคำตอบท่ีถูกต้องที่สุดเพียงข้อเดียว
1. สมบัติของสารในข้อใดสังเกตได้จากการทดลอง
ก. สีของสาร ข. สถานะของสาร
ค. ลักษณะของเนื้อสาร ง. การละลายน้ำของสาร
2. เราควรใชว้ ิธีการใดในการวิเคราะห์ลักษณะของเน้ือสาร
ก. ใช้มือสัมผัส
ข. ใช้วิธีฟังเสียง
ค. ใช้วิธีชิมรส
ง. ใชว้ ิธีดูดว้ ยตา
3. ข้อใดกล่าวถึงสมบัติทางกายภาพของสารได้ถูกต้อง
ก. เอทานอลเป็นสารท่ีติดไฟได้
ข. เม่ือหยดกรดเกลือใส่ลงไปในหินปูนจะมีฟองก๊าซเกิดข้ึน
ค. ท่ีอุณหภูมิต่างกัน โซเดียมคลอไรด์จะละลายน้าได้ต่างกัน
ง. เม่ือทิ้งตะปูเหล็กไว้แล้วมีสนิมเกิดขึ้น
4. ข้อใดเป็นการเปลย่ี นแปลงทางกายภาพ
ก. การเกิดสนิม
ข. การเน่าเปื่อยของส่ิงมีชีวิต
ค. การลอยได้ของฟองน้ำ
ง. การลุกติดไฟของกระดาษ
5. ข้อใดเป็นการเปลยี่ นแปลงทางเคมี
ก. น้ำแข็งลอยได้ในน้ำ
ข. เงินนำไฟฟ้าได้ดีท่ีสุด
ค. เกลือละลายได้ดีในน้ำร้อน
ง. การสุกของมะละกอ
6. การนำไฟฟ้าเป็นสมบัติของวัตถุด้านใด
ก. ทางเคมี
ข. ทางชีวภาพ
ค. ทางกายภาพ
ง. ทางกายภาพ และชวี ภาพ
7. สารในข้อใดมีสถานะเดียวกันทั้งหมด
ก. ตะก่ัว ฟิวส์ไฟฟ้า ปรอท
ข. ทองเหลือง นิกเกิล ปรอท
ค. ทิงเจอร์ไอโอดีน ปรอท น้ำ
ง. เงินอะมัลกัม อากาศ นาก
8. จงพิจารณาข้อความต่อไปนี้
1. การเปลี่ยนแปลงสถานะของน้ำจากของแข็งเป็นของเหลวและไอน้ำ เป็นการเปล่ียนแปลงสมบัติทางเคมี
2. การเผาไหม้ของเช้ือเพลิงเป็นการเปล่ียนแปลงสมบัติทางเคมี
3. โบรมีนเม่ือละลายน้ำแล้วมีฤทธ์ิเป็นกรดเป็นการเปลี่ยนแปลงทางเคมี
ข้อใดกล่าวถูกต้อง
ก. ข้อ 1 2
127
ข. ข้อ 2 3
ค. ข้อ 1 3
ง. ข้อ 1 2 3
9. สมศักดิ์นำกระดาษลิตมัสจุ่มลงในสารละลายชนิดหน่ึง พบว่าสารละลายดังกล่าวเปลี่ยนสีกระดาษลิตมัสจากสีแดงเป็น
สีน้ำเงิน อยากทราบว่า สมศกั ดิ์กำลังทำการทดสอบสมบัติข้อใดของสาร
ก. สมบัติทางเคมี
ข. สมบัติทางกายภาพ
ค. สมบัติทางฟิสิกส์
ง. ถูกทุกข้อ
10.ข้อใดเรียงลำดับความหนาแน่นของอนุภาคได้ถูกต้อง
ก. แก็ส>ของเหลว >ของแข็ง
ข. ของเหลว >ของแข็ง >แก๊ส
ค. ของแข็ง >ของเหลว >แก๊ส
ง. ของแข็ง >แก๊ส >ของเหลว
ใบงานบทที่ 4.1
ทำใบงานที่ 1 เร่ือง การแยกสารท่ใี ชใ้ นชวี ิตประจำวัน
คำชแี้ จง ใหน้ กั เรียนนำคำทกี่ ำหนดใหไ้ ปเติมในช่องวา่ งให้ถูกตอ้ ง ( 10 คะแนน)
สมบัติของสาร สสาร สมบัตทิ างเคมี สมบัตทิ างกายภาพจุดเดือด สาร
การตดิ ไฟ การเกดิ สนมิ เหล็ก กลนิ่ สี
128
……………………หมายถงึ ส่งิ ทม่ี นี ำ้ หนัก ต้องการทีอ่ ยู่ สมั ผสั ได้ ถ้าเราศกึ ษาเฉพาะเจาะจงถงึ องคป์ ระกอบ เราจะใช้คำเรยี ก
ใหม่วา่ ........................ซึง่ แสดงถึงลักษณะเฉพาะตัวของสาร เรียกวา่ ..................................จำแนกไดเ้ ปน็ 2 ลักษณะคือ
.....................................สามารถสังเกตได้จากภายนอกโดยใชป้ ระสาทสัมผัส เช่น..............................................และ
.......................................เป็นการเปลย่ี นแปลงองค์ประกอบภายในของสารหรือการเกิดปฏิกริ ยิ าเคมขี องสาร เช่น
...............................................................เป็นตน้
เฉลย
……สสาร……หมายถึง ส่ิงที่มนี ้ำหนัก ต้องการท่ีอยู่ สัมผัสได้ ถ้าเราศึกษาเฉพาะเจาะจงถึง
องค์ประกอบ เราจะใช้คำเรียกใหม่ว่า......สาร.............ซ่ึงแสดงถึงลักษณะเฉพาะตัวของสาร เรียกว่า....
สมบัติของสารจำแนกได้เป็น 2 ลักษณะคือ ....สมบัติทางกายภาพ.........สามารถสังเกตได้จาก
ภายนอกโดยใช้ประสาทสัมผัส เช่น......ส.ี ....กล่นิ .....จุดเดือด.............และ....สมบัติทางเคมี......เป็นการ
129
เปล่ียนแปลงองค์ประกอบภายในของสารหรือการเกิดปฏิกิริยาเคมีของสาร เช่น ....การตดิ ไฟการเกดิ สนมิ เป็นต้น
แบบทดสอบเรอ่ื งสารรอบตวั
คำช้ีแจง ให้ผู้ทำแบบทดสอบเลือกวงกลมล้อมข้อที่คิดว่าถูกต้องที่สุดเพียงข้อเดียว
ตอนที่ 1สมบัติของสารและแบบจำลองอนุภาคของสาร
1. เราสามารถใช้สมบัติของสารเป็นเกณฑ์จำแนกชนิดของสารได้ก่ีลักษณะ
ก. 2 ลักษณะ ข. 3 ลักษณะ ค. 4 ลักษณะ ง. 5 ลักษณะ
2. ข้อใดไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงลักษณะสมบัติทางกายภาพ
ก. น้ำแข็งละลายกลายเป็นน้ำ ข. เกลือละลายน้ำ
ค. การทอดไข่เจียว ง. ถูกต้องทุกข้อ
3. ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสมบัติทางเคมี
130
ก. น้ำส้มสายชู เม่ือทำปฏิกิริยากับหินปูนทำให้หินปูนมีประสิทธิภาพมากข้ึน
ข. เหล็ก เมื่อทำปฏิกิริยากับน้ำและแก๊สออกซิเจนจะได้สนิมเหล็กสีเหลืองอ่อน
ค. น้ำตาลทราย เมื่อนำไปเผาไฟจะเปลี่ยนเป็นตะกอนสีขาว
ง. น้ำข้ีเถ้า เม่ือทำปฏิกิริยากับเศษอะลูมิเนียมจะเกิดฟองแก๊สและทำให้อะลูมิเนียมผุ
4. การจัดเรียงตวั อนุภาคของของแข็ง ของเหลว และแก๊ส ข้อใดเรียงลำดับได้ถูกต้อง
5. จงเรียงลำดับสารต่อไปน้ีตามสถานะที่เป็นของเหลว ของแข็ง และแก๊ส
ก. ลูกบอล น้ำส้ม H ข. น้ำเกลือ สำลี O2
ค. น้ำหวาน Co2 ง. O2 ปิ่นโต น้ำอัดลม
ตอนที่ 2 การจำแนกสาร
1. การจำแนกสารจากลักษณะเนื้อสารเป็นเกณฑ์สามารถแบ่งสารออกเป็น 2 ประเภทคือ
ก. สารเนื้อเดียว และ สารบริสุทธ์ิ ข. สารบรสิ ุทธ์ิ และ สารเน้ือผสม
ค. สารเน้ือผสม และ สารละลาย ง. สารเน้ือเดียว และ สารเนื้อผสม
2. ข้อใดคือสารเน้ือเดียว
ก. สังกะสี และ เกลือแกง ข. น้ำหวาน และ ส้มตำ
ค. พริกเกลือ และ ทองคำ ง. น้ำทะเล และ แกงส้ม
3. ข้อใดคือสารแขวนลอย
ก. Solution ข. Colloid ค. Suspension ง. Suspense
4. น้ำเกลือมีส่วนประกอบคือ น้ำกับเกลือ ข้อใดคือตัวทำละลาย
ก. เกลือ ข. น้ำ ค. น้ำเกลือ ง. ถูกต้องทุกข้อ
5. น้ำกลัดจัดอยู่ในสารใด
ก. สารแขวนลอย ข. สารละลาย ค. สารคอลลอยด์ ง. ไม่มีข้อถูก
ตอนที่ 3 การเปลย่ี นแปลงของสาร
1. การเปล่ียนแปลงสถานะของของแข็ง หากของแข็งจะหลอมละลายกลายเป็นของเหลว อุณหภูมิท่ีทำให้ของแข็งหลอม
ละลายเรียกว่าอะไร
ก. จุดเดือด ข. จุดควบแน่น ค. จุดหลอมเหลว ง. จุดเยือกแข็ง
2. ของเหลวท่ีได้รับความร้อน อนุภาคของของเหลวจะเป็นอย่างไร
ก. อนุภาคสูญเสียพลังงาน ข. อนุภาคเคล่ือนที่อย่างรวดเร็ว
ค. อนุภาคไม่เกิดการเคลื่อนที่ ง. ถูกต้องทุกข้อ
3. อุณหภูมิท่ีทำให้แก๊สรวมตัวกันก่อรูปเป็นของเหลวนี้ เรียกว่าอะไร
ก. Freezing point ข. Melting point
ค. Condensation pointง. Boiling point
4. น้ำแข็งที่เปลี่ยนสถานะกลายเป็นน้ำ และเปล่ียนสถานะจากน้ำกลายเป็นไอ (ของแข็ง ของเหลว แก๊ส) ในทาง
กลับกัน เมื่อดึงความร้อนออกจากแก๊ส
แก๊สจะเปลี่ยนสถานะเป็นของเหลว และของเหลวก็เปลี่ยนสถานะเป็นของแข็ง ตรงกับหลักการในข้อใด
ก. ให้ความเย็น ข. ให้ความร้อน ค. ให้ความเย็น ง. ให้ความร้อน
ดูดความร้อน ดูดความร้อน ดูดความร้อน ดูดความร้อน
5. ข้อใดไม่ใช่ปัจจัยท่ีมีผลต่อการละลายของสาร
ก. ความดัน ข. อุณหภูมิ ค. ชนิดของสาร ง. แสงสว่าง
ตอนที่ 4 สมบตั ิของสารละลายกรดเบส
131
1. หากใช้อินดิเคเตอร์หรือกระดาษลิตมัส วัดค่าคุณสมบตั ิของสารว่าเป็นกรด เบส หรือกลาง ข้อใดต่อไปนี้กล่าวถูกต้อง
ที่สุด
ก. สีแดงเปล่ียนเป็นสีน้ำเงิน = กรด ข. สีน้ำเงินเปล่ียนเป็นแดง = เบส
ค. ไม่มีการเปลี่ยนแปลง = เบส ง. ไม่มีการเปลี่ยนแปลง = กลาง
2. กำหนดให้ สารละลายที่มีค่า pH = 7 มีสมบัติเป็น.....
สารละลายท่ีมีค่า pH >7 มสี มบัติเป็น.....
สารละลายที่มีค่า ph<7 มีสมบัติเป็น.....
จากข้อความที่กำหนดให้ จงเรียงค่าความเป็นกรด เบส และกลางให้ถูกต้องตามลำดับ
ก. เบส กลาง กรด ข. กลาง กรด เบส ค. กลาง เบส กรด ง. เบส กรด กลาง
3. จากคำตอบในข้อ 2 ข้อใดเรียงลำดับการเปล่ียนสีของสารละลายยูนเิ วอร์ซัลอินดิเคเตอร์ ได้ถูกต้อง
ก. เขียวอ่อน ม่วง ส้ม ข. น้ำเงิน เขียวอ่อน แดง
ค. แดง เขียวแก่ ม่วง ง. เขียวอ่อน แดง นำ้ เงิน
4. สมบัติของ.....สามารถทำปฏิกิริยากับโลหะบางชนิด และทำปฏิกิริยากับหินปูนได้ สมบัติของสารชนิดน้ี ยกตัวอยา่ ง
เช่น.....
จากข้อความท่ีกำหนดให้ จงเติมคำให้ครบถ้วนสมบูรณ์และถูกต้อง
ก. เบส น้ำส้มสายชู ข. กรด ผงซักฟอก ค. เบส น้ำสบู่ ง. กรด น้ำยาล้างห้องน้ำ
5. ข้อใดจัดว่าเป็นกลุ่มพวกเดียวกัน
ก. ยาสีฟัน น้ำสบู่ น้ำฝน ข. แชมพู ผงซักฟอก โซดาไฟ
ค. น้ำมะนาว โซดาไฟ นำ้ ฝน ค. น้ำปูนใส น้ำข้ีเถ้า โซดา
เฉลย
แบบทดสอบเรอ่ื งสารรอบตัว
คำชี้แจง ใหผ้ ู้ทำแบบทดสอบเลือกวงกลมล้อมข้อท่ีคิดว่าถูกต้องที่สุดเพียงข้อเดียว
ตอนที่ 1 สมบัติของสารและแบบจำลองอนุภาคของสาร
1. เราสามารถใช้สมบัติของสารเป็นเกณฑ์จำแนกชนิดของสารได้กี่ลักษณะ
ก. 2 ลกั ษณะ ข. 3 ลักษณะ ค. 4 ลักษณะ ง. 5 ลักษณะ
2. ข้อใดไม่ใช่การเปล่ียนแปลงลักษณะสมบัติทางกายภาพ
ก. น้ำแข็งละลายกลายเป็นน้ำ ข. เกลือละลายน้ำ
ค. การทอดไข่เจียว ง. ถูกต้องทุกข้อ
3. ข้อใดกล่าวถกู ตอ้ งเกี่ยวกบั การเปล่ียนแปลงสมบัติทางเคมี
ก. น้ำส้มสายชู เม่ือทำปฏิกิริยากับหินปูนทำให้หินปูนมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ข. เหล็ก เม่ือทำปฏิกิริยากับน้ำและแก๊สออกซิเจนจะได้สนิมเหล็กสีเหลืองอ่อน
ค. น้ำตาลทราย เม่ือนำไปเผาไฟจะเปล่ียนเป็นตะกอนสีขาว