ก
คำนำ
วิชาเขตทางทะเลเขตทางทะเลของประเทศไทย ทรัพยากรทางทะเลและชายฝ่ังและผลประโยชน์ของชาติ
ทางทะเล จัดทาขึ้นเพ่ือให้ เยาวชน มีความรคู้ วามเข้าใจเรอื่ งเขตทางทะเลของประเทศไทย ทรัพยากรทางทะเลและ
ชายฝ่ัง และผลประโยชน์ของชาติทางทะเล เห็นคุณค่าและมีส่วนร่วมในการรกั ษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลและ
ตระหนักในหน้าท่ีของคนไทยในการปกป้องทะเลไทยและผลประโยชน์ของชาติทางทะเล มีความสมดุลระหว่าง
การอนรุ ักษแ์ ละการใช้ประโยชนจ์ ากทะเลไทย
คณะทางาน
ข
สำรบัญ
คำนำ หนำ้
สำรบญั
จุดเนน้ และขอบขา่ ย วิชาเขตทางทะเลของประเทศไทย ทรัพยากรทางทะเลและชายฝงั่ และ 1
ผลประโยชน์ของชาตทิ างทะเล............................................................................................................
การจดั การเรยี นรู้ วชิ าเขตทางทะเลของประเทศไทย ทรพั ยากรทางทะเลและชายฝง่ั และ 2
ผลประโยชน์ของชาติทางทะเล............................................................................................................
การเรียนการสอน วชิ าเขตทางทะเลของประเทศไทย ทรัพยากรทางทะเลและชายฝงั่ และ 3
ผลประโยชน์ของชาติทางทะเล............................................................................................................
คาอธบิ าย วชิ าเขตทางทะเลของประเทศไทย ทรัพยากรทางทะเลและชายฝัง่ และผลประโยชน์ของ 5
ชาตทิ างทะเล.................................................................................................................. ..................... 6
ผลการเรยี นร.ู้ ......................................................................................................................................
โครงสร้างเนอ้ื หา วชิ าเขตทางทะเลของประเทศไทย ทรพั ยากรทางทะเลและชายฝัง่ และ 8
ผลประโยชน์ของชาติทางทะเล..................................................................................................... .......
โครงสรา้ งรายวิชา วิชาเขตทางทะเลของประเทศไทย ทรัพยากรทางทะเลและชายฝงั่ และ 9
ผลประโยชน์ของชาติทางทะเล............................................................................................................ 13
หนว่ ยที่ 1 ลักษณะภูมศิ ำสตรท์ ำงทะเลและควำมสำคัญของทะเล............................................... 14
เรอื่ งที่ 1 ลกั ษณะของภมู ิศาสตรท์ างทะเลในภูมภิ าคและประเทศไทย............................................... 16
เร่อื งท่ี 2 ภูมิศาสตร์ทางทะเลในภมู ิภาคและประเทศไทย.................................................................. 18
เรอ่ื งท่ี 3 ลกั ษณะภมู ิศาสตร์ทางทะเลในภูมิภาคและประเทศไทย.................................................... 21
เรือ่ งที่ 4 ความสาคัญของทะเลในภมู ภิ าคและประเทศไทย............................................................. 22
หนว่ ยท่ี 2 เขตทำงทะเล.................................................................................................................. 22
เรอ่ื งท่ี 1 ขอบเขตของทะเลในภมู ิภาคและประเทศไทย.................................................................... 26
เรอื่ งท่ี 2 ลกั ษณะเขตทางทะเลในภูมภิ าคและประเทศไทย.............................................................. 50
หนว่ ยที่ 3 เขตกำรปกครองของจังหวัดทำงทะเล........................................................................... 51
เร่ืองที่ 1 ความเปน็ มาของเขตการปกครองของจังหวัดทางทะเลในท้องถิ่นตนเอง........................... 52
เรื่องท่ี 2 แนวทางในการกาหนดเขตจงั หวดั ทางทะเลในภูมิภาคและประเทศไทย............................ 56
เร่อื งที่ 3 ลักษณะทางกายภาพทางทะเลที่ปรากฏในแผนผัง แผนท่ที างทะเลในท้องถ่ินตนเอง.......
ค
สำรบญั (ต่อ)
หนำ้
เรอ่ื งที่ 4 การอ่านและเขียนแผนท่ี แผนผงั เขตการปกครองของจังหวดั ทางทะเล............................. 73
เร่ืองท่ี 5 การระบุตาแหน่งและลักษณะทางกายภาพ พกิ ัดตาแหน่งทางทะเลในแผนที่และลูกโลก.. 76
หน่วยที่ 4 ประโยชน์ของทะเล........................................................................................................ 77
เรื่องที่ 1 ทรพั ยากรทางทะเลและชายฝ่ังในภมู ิภาคและประเทศไทย................................................ 78
เรือ่ งท่ี 2 การใช้ประโยชน์ของทรัพยากรทางทะเลและชายฝ่ังภาคและประเทศไทยอยา่ งเหมาะสม
และมคี วามรับผดิ ชอบ.......................................................................................................................... 165
เรื่องท่ี 3 การมสี ว่ นรว่ ม ในการอนรุ ักษ์ฟ้นื ฟู พัฒนา รักษาทรพั ยากรธรรมชาตทิ างทะเลและ
ชายฝงั่ ในภมู ภิ าคและประเทศไทย....................................................................................................... 167
เรอ่ื งท่ี 4 ผลกระทบท่ีเกิดข้ึนจากการใช้ประโยชนจ์ ากทรัพยากรทางทะเลและชายฝ่ังในท้องถิน่
ตนเอง.................................................................................................................................................. 169
เรื่องท่ี 5 วธิ ใี นการป้องกันและอนุรักษ์ ฟื้นฟู พฒั นา รักษาทรัพยากรธรรมชาติทางทะเลและ
ชายฝง่ั ภาคและประเทศไทย................................................................................................................ 173
หน่วยที่ 5 กฎหมำยและหน่วยงำนทำงทะเล.................................................................................. 175
เร่อื งท่ี 1 กฎหมายไทยทเ่ี ก่ียวขอ้ งกับทะเลในภูมิภาคและประเทศไทย............................................. 176
เรื่องที่ 2 องค์กรและหนว่ ยงานรบั ผดิ ชอบในการรักผลประโยชน์ของชาติทางทะเลในภมู ภิ าคและ
ประเทศไทย.................................................................................................................. ....................... 178
เรอ่ื งท่ี 3 การปฏิบตั ิตามกฏ กติกา กฎหมายไทยทเี่ ก่ียวขอ้ งกับทะเลในภูมิภาคและประเทศไทย.. 180
หน่วยท่ี 6 หนำ้ ทขี่ องคนไทยในกำรปกปอ้ งทะเลไทยและผลประโยชนข์ องชำติทำงทะเล........... 183
เรื่องที่ 1 รูปแบบและวิธกี ารในการปกป้องดูแลและการใช้ประโยชน์จากทะเลในภาคและ
ประเทศไทย......................................................................................................................................... 184
เร่อื งที่ 2 หน้าที่ในการร่วมกันรบั ผิดชอบ ดแู ล ทะเลในท้องถิน่ ตนเอง........................................... 185
เรื่องที่ 3 บทบาทและหน้าที่ในการรับผดิ ชอบดูแลทะเลในในภาคและประเทศไทยกับครอบครัว 187
ชมุ ชน และทอ้ งถน่ิ ผา่ นรปู แบบต่าง ๆ..................................................................................................
บรรณำนกุ รม 188
คณะทำงำน 190
ง
ความเปน็ มา
รัฐบาลไดใ้ หค้ วามสาคัญถึงการรกั ษาผลประโยชนข์ องชาติทางทะเลในทุกมติ จิ ึงกาหนดให้มี
แผนความมั่นคงแหง่ ชาตทิ างทะเล (พ.ศ. 2558 - 2564) เป็นกรอบแนวทางการดาเนินงานในทุกภาคส่วนที่เก่ยี วข้อง
เพ่ือร่วมป้องกัน และรกั ษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล ซ่ึงมุ่งเน้นการสรา้ งเสถียรภาพ ความปลอดภัย เสรภี าพ และ
สภาวะแวดล้อม ท่ีเอื้อต่อการดาเนินกิจกรรมทางทะเลของทุกภาคส่วนอย่างยั่งยืน พระราชบัญญัติ เร่ือง การรักษา
ผลประโยชน์ของชาติทางทะเล พ.ศ. 2562 มีพระราชบัญญัติเพ่ือการรักษาผลประ โยชน์ของชาติทางทะเล
เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันท่ี 12 มีนาคม 2562
ประกอบด้วย 5 หมวด 45 มาตรา โดย มาตรา 5 กาหนดให้มีคณะกรรมการนโยบายการรกั ษาผลประโยชน์ของชาตทิ าง
ทะเล เรียกโดยย่อว่า “นปท.” ประกอบด้วยรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีซึ่งนายกรัฐมนตรีมอบหมายเป็น
ประธานกรรมการ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมเป็นคณะกรรมการโดยตาแหน่ง ทาหน้าที่กาหนด
นโยบาย ยุทธศาสตร์แผนความม่ันคงทางทะเล และมาตรการในการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลให้สอดคล้อง
กบั นโยบายของรัฐบาล แผนระดับชาตวิ ่าด้วยความม่ันคง แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสงั คมแหง่ ชาติ และยทุ ธศาสตรช์ าติ
ตลอดจนติดตามและประเมินผลการดาเนินงาน และเสนอผลการดาเนินงานต่อสภาความม่ันคงแห่งชาติ และ
คณะรัฐมนตรีเพ่ือทราบ หนังสือ เร่ือง ทะเลและมหาสมุทร และผลประโยชน์ของชาติทางทะเล จัดทาขึ้นภายใต้
โครงการเสริมสร้างองค์ความรู้ทางทะเล รองรับแผนความมั่นคงของชาติทางทะเล (พ.ศ. 2558 – 2564)
วัตถุประสงค์ของการจัดทาเพ่ือให้คนไทยเข้าใจ และตระหนักถึงความสาคัญของทะเล พร้อมเข้ามาร่วมปกป้อง
อนุรักษ์ และใช้ประโยชน์อย่างเห็นคุณค่าของทะเลไทย นอกจากนี้คณะอนุกรรมการเร่ืองทรัพยากรทางทะเลและ
ชายฝ่ัง ในคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้กาหนดแผนการปฏิรูปประเทศใน
ห้วงระยะเวลา 3 ปี (พ.ศ. 2563 – 2565) ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกาหนดให้
กระทรวงศึกษาธิการนาเรื่องเขตทางทะเลและชายฝ่ังบรรจุลงไปในหลักสูตรการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ และ
คณะรัฐมนตรีได้มีมติเม่ือวันอังคารที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๖๓ มติเห็นชอบ (ร่าง) แผนการปฏิรูปประเทศ (ฉบับปรับปรุง)
พ.ศ. ๒๕๖๔ - ๒๕๖๕ ตามที่คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติเสนอ ได้กาหนดกิจกรรมปฏิรูปที่จะส่งผลให้เกิดการ
เปลี่ยนแปลงต่อประชาชนอย่างมีนัยสาคัญ (Big Rock) ท่ีเกี่ยวข้องกับการปฏิรูปประเทศเร่ืองทรัพยากรทางทะเลและ
ชายฝงั่ โดยกาหนดให้กระทรวงศึกษาธิการ พิจารณาจัดทาสาระสาคัญและเน้ือหาท่ีจะบรรจุเร่ืองเขตทางทะเล และเขต
ทรัพยากรทางทะเลและชายฝง่ั ในหลักสตู รการศกึ ษาทกุ ระดับชนั้ ประชาสัมพันธส์ รา้ งการรับรู้ของภาคประชาชน
ตามพระราชบัญญตั ิการศกึ ษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ได้กาหนดใหก้ ระทรวงศึกษาธิการ ดาเนินการ
จัดกระบวนการเรียนรู้ความเจริญงอกงามของบุคคลและสังคม โดยการถ่ายทอดความรู้การฝึกอบรมการสืบ สาน
วัฒนธรรม การสร้างสรรค์จรรโลงความก้าวหน้าทางวิชาการ การสร้างองค์ความรู้อันเกิดจากสภาพแวดล้อม สังคมการ
เรียนรู้ และปัจจัยเก้ือหนุนให้บุคคลเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต และจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาคนไทยให้เป็นมนุษย์
ทีส่ มบูรณ์ กระทรวงศึกษาธิการได้เห็นความสาคัญของการรกั ษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล เขตทางทะเล และเขต
ทรพั ยากรทางทะเลและชายฝั่ง จึงมีนโยบายให้นาหนังสือเร่ือง ทะเลและมหาสมุทร และผลประโยชน์ของชาติทางทะเล
ทัง้ นี้ เพื่อให้การขับเคล่ือนองค์ความรู้ทางทะเลและมหาสมุทร และผลประโยชน์ของชาติทางทะเล เป็นไปอย่างต่อเนื่อง
และบูรณาการเร่ืองเขตทางทะเลและชายฝ่ังเข้าด้วยกัน รวมทั้งเขตทางทะเล และเขตทรัพยากรทางทะเลและชายฝ่ัง
จึงดาเนินการโครงการสร้างขบั เคลอ่ื นการสร้างองคค์ วามรู้ทางทะเล และมหาสมทุ ร และผลประโยชนข์ องชาตทิ างทะเล
จ
รวมทั้งเขตทางทะเล และเขตทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งไปสู่การเรียนการสอนในสถานศึกษาในพ้ืนที่นาร่อง
ของกระทรวงศึกษาธิการ เพ่ือให้ผู้เรียนได้มีความรู้เร่ืองทะเล และมหาสมุทร และผลประโยชน์ของชาติทางทะเล
รวมท้ังเรื่องเขตทางทะเล และเขตทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และสร้างให้ผู้เรียนเกิดความตระหนักถึงคุณค่า และ
เกิดความรกั และหวงแหนทรพั ยากรธรรมชาติทางทะเล และผลประโยชน์ของชาติทางทะเล รวมถงึ เห็นคุณคา่ ของทะเลไทย
อย่างแทจ้ ริง
1
วชิ ำ เขตทำงทะเลของประเทศไทย ทรพั ยำกรทำงทะเลและชำยฝ่งั
และผลประโยชนข์ องชำติทำงทะเล
จดุ เน้นและขอบข่ำย
วชิ ำ เขตทำงทะเลของประเทศไทย ทรพั ยำกรทำงทะเลและชำยฝง่ั และผลประโยชนข์ องชำติ
ทำงทะเล
จุดเนน้ ท่ี 1 ควำมรู้ควำมเขำ้ ใจเร่ืองเขตทำงทะเลของประเทศไทย
1. ความรคู้ วามเข้าใจเรื่องเขตทางทะเลของประเทศไทย
2. ความรูค้ วามเข้าใจเรือ่ งลกั ษณะภูมิศาสตร์ของเขตทางทะเล
3. ความรคู้ วามเข้าใจเร่ืองเขตการปกครองของจงั หวดั ทางทะเล
4. ความรคู้ วามเข้าใจเรื่องอานาจอธปิ ไตยและเขตอานาจในเขตทางทะเลต่าง ๆ ชายฝง่ั
ทะเลและพนื้ ที่ทางทะเลที่ประเทศไทยมีอานาจอธิปไตย หรือสิทธอิ ธปิ ไตย หรือมสี ทิ ธิหรือเสรภี าพในการใชห้ รือ
จะใช้
5. ความรู้ความเข้าใจในหนา้ ทรี่ บั ผดิ ชอบตามกฎหมายท่ีเกีย่ วข้องกับทะเล ทงั้ ในประเทศ
ระหวา่ งประเทศหรือตามสนธิสญั ญาหรอื ด้วยประการใด ๆ
จดุ เน้นที่ 2 ควำมรู้ควำมเขำ้ ใจเรอื่ ง ทรัพยำกรทำงทะเลและชำยฝงั่ และผลประโยชน์ของชำติ
ทำงทะเล
1. ความรู้ความเขา้ ใจเรื่องทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง
2. ความรู้ความเขา้ ใจเรื่องผลประโยชน์ของชาตทิ างทะเล
3. การรกั ษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล
4. การปกป้องดแู ลและการใช้ประโยชน์จากทะเล
จุดเน้นท่ี 3 หน้ำท่ขี องคนไทยในกำรปกปอ้ งทะเลไทยและผลประโยชนข์ องชำตทิ ำงทะเล
1. ความตระหนักในหนา้ ท่ขี องคนไทยในการปกป้องทะเลไทยและผลประโยชน์ของชาติ
ทางทะเล
2. การอนุรกั ษฟ์ นื้ ฟู พัฒนา รักษาทรัพยากรธรรมชาติทางทะเลและชายฝ่ังในทอ้ งถิน่ ตนเอง
3. ประโยชน์ของทะเล
4. การสรา้ งความสมดลุ ระหว่างการอนรุ ักษ์และการใช้ประโยชนจ์ ากทะเลไทย
2
กำรจดั กำรเรียนรู้
วิชำ เขตทำงทะเลของประเทศไทย ทรัพยำกรทำงทะเลและชำยฝ่งั
และผลประโยชนข์ องชำตทิ ำงทะเล
ลักษณะสำคัญของกำรจัดกำรเรียนรู้
การจดั การเรียน วิชา เขตทางทะเลของประเทศไทย ทรัพยากรทางทะเลและชายฝ่ังและ
ผลประโยชน์ของชาติทางทะเล ตามจุดเน้นทั้ง 3 นั้น มีเป้าหมายสาคญั เพอื่ ให้ เยาวชน มีความรู้ความเข้าใจเรอื่ งเขต
ทางทะเลของประเทศไทย ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และผลประโยชน์ของชาติทางทะเล เห็นคุณค่าและ
มีส่วนร่วม ในการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลและตระหนักในหน้าที่ของคนไทยในการปกป้องทะเลไทยและ
ผลประโยชน์ของชาตทิ างทะเล เกดิ ความสมดลุ ระหว่างการอนุรักษ์และการใชป้ ระโยชน์จากทะเลไทย
1. วชิ า เขตทางทะเลของประเทศไทย ทรัพยากรทางทะเลและชายฝ่งั และผลประโยชน์ของชาติ
ทางทะเล มีผลการเรียนร้ทู ีม่ เี ป้าหมายเนน้ ใหผ้ ู้เรียนตระหนกั และเหน็ คณุ คา่ ในเร่อื งที่เรียนรแู้ ละนาไปปฏบิ ตั ไิ ดจ้ รงิ
2. การจัดการเรยี นรวู้ ชิ า เขตทางทะเลของประเทศไทย ทรพั ยากรทางทะเลและชายฝ่งั และ
ผลประโยชนข์ องชาตทิ างทะเล สามารถจัดทาได้ 2 ลกั ษณะ คอื
2.1 การจัดการเรียนรู้ตามจุดเน้นแตล่ ะจดุ เน้น สามารถบูรณาการจุดเน้นที่เกย่ี วขอ้ ง
ดว้ ยกนั ได้
2.2 การจัดการเรยี นรแู้ บบบูรณาการทง้ั 3 จดุ เน้น โดยตอ้ งวิเคราะห์ผลการเรียนรู้ในแต่ละ
จุดเนน้ วา่ เกี่ยวข้องหรือเชอื่ มโยงหรือมีประเดน็ รว่ มกันในเนอ้ื หาต่าง ๆ และตง้ั เป็น Theme (หวั เร่ือง)
3. การจัดการเรยี นรู้ในแต่ละหน่วยการเรียนรู้อาจจดั ให้สอดคลอ้ งกับบริบทของแตล่ ะพน้ื ท่ี
โดย เกีย่ วขอ้ งกับจุดเน้น ทงั้ 3 จุดเน้น
3
กำรเรียนกำรสอน วิชำ เขตทำงทะเลของประเทศไทย ทรัพยำกรทำงทะเลและชำยฝั่ง และ
ผลประโยชนข์ องชำติทำงทะเล : แนวปฏิบตั ิสำคญั
การเรียนการสอน วชิ าเขตทางทะเลของประเทศไทย ทรพั ยากรทางทะเลและชายฝัง่ และ
ผลประโยชนข์ องชาตทิ างทะเล มีจุดเนน้ สาคัญ คอื ต้องการให้เยาวชนไทยมีความรู้ความเข้าใจเร่อื งเขตทางทะเลของ
ประเทศไทย ทรัพยากรทางทะเลและชายฝ่ัง และผลประโยชน์ของชาติทางทะเล เห็นคุณค่าและมีส่วนร่วมในการ
รักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลและตระหนักในหน้าท่ีของคนไทยในการปกป้องทะเลไทยและผลประโยชน์ของ
ชาตทิ างทะเล เกิดความสมดุลระหว่างการอนุรกั ษ์และการใช้ประโยชน์จากทะเลไทย และแสดงออกถงึ ความรักชาติ
ยึดม่ันในศาสนา และเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ ดังนั้น การเรียนการสอนวิชานี้ จึงเน้นที่การปฏิบัติ ลงมือทา
(Action) ผู้สอนจะตอ้ งทาให้การเรียนการสอนมคี วามหมายและมีคุณค่าแก่ผเู้ รยี น
แนวปฏบิ ัติสาคัญทจี่ ะทาให้การเรยี นการสอนเรือ่ ง เขตทางทะเลของประเทศไทย ทรัพยากรทาง
ทะเลและชายฝั่ง และผลประโยชนข์ องชาติทางทะเล บรรลวุ ัตถุประสงค์ มีดงั นี้
1. ผ้สู อนตอ้ งเขา้ ใจมโนทศั น์ (Concept) สาคญั ของรายวิชาน้ี น่นั คอื การเข้าใจในจดุ เนน้ ทีเ่ ป็น
พื้นฐานสาคัญ ซึ่งวตั ถุประสงค์ของรายวิชาน้ตี ้องการ ให้ผูเ้ รียนมคี วามรู้ความเข้าใจเร่ืองเขตทางทะเลของประเทศไทย
ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และผลประโยชน์ของชาติทางทะเล เห็นคุณค่าและมีส่วนร่วมในการรักษา
ผลประโยชน์ของชาติทางทะเลและตระหนักในหน้าทขี่ องคนไทยในการปกป้องทะเลไทยและผลประโยชนข์ องชาตทิ าง
ทะเล เกดิ ความสมดลุ ระหวา่ งการอนรุ กั ษแ์ ละการใชป้ ระโยชนจ์ ากทะเลไทย ซงึ่ สะท้อนดว้ ย การปฏบิ ตั ิ (Action)
2. การวางแผนการสอนจะตอ้ งเน้นการพัฒนาที่ต่อเน่ือง (Continuous Development) ของ
กระบวนการคิด กระบวนการสืบค้น กระบวนการแก้ปัญหา รวมท้ังกระบวนการพัฒนาค่านิยม เพื่อให้ผู้เรียน เกิด
การเรียนรู้และนาไปสู่การเปล่ียนแปลงท่ีพึงประสงค์ ดังนั้น การวางแผนการสอนควรเปิดโอกาสให้ ผู้เรียนได้ทา
กจิ กรรม ดังน้ี
1) ตง้ั คาถามดว้ ยตนเองเพ่ือการสืบคน้
2) มสี ว่ นรว่ มในกจิ กรรมท่ีหลากหลาย
3) ฝึกการวเิ คราะหโ์ ดยใชข้ อ้ มลู จรงิ (Real Data) ในสภาพจริง
4) ผู้เรียนทางานเป็นกลมุ่ รว่ มกันกบั เพื่อน รวมท้ังบคุ คลอน่ื ในชมุ ชน
5) นาเสนองาน หรือผลงานดว้ ยวิธีการที่หลากหลาย เช่น จัดอภิปราย ทาปา้ ยนิเทศ
จดั นิทรรศการ แสดงบทบาทสมมุติ จัดทา Video Clip เปน็ ต้น
3. การสอนเร่อื ง เขตทางทะเลของประเทศไทย ทรพั ยากรทางทะเลและชายฝ่ัง และผลประโยชน์
ของชาติทางทะเลต้องเน้นความเชื่อมโยง หรือความเก่ียวข้อง (Relevant) การลงมือทา หรือปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง
(Engaging) และเรยี นรู้อย่างกระตอื รือรน้ (Active Learning)
4
3.1 ความเช่อื มโยง หรือความเกยี่ วขอ้ ง (Relevant) คือ การใชป้ ระเด็นจริง (Real Issue)
ทเี่ ป็นปจั จบุ ันท่ีเก่ียวข้องกับสถานการณจ์ ริง เพื่อการเรียนรู้ของผเู้ รียนจะเช่ือมโยงกับประสบการณ์จริง แต่ในกรณีใช้
ประเด็นจริง ผู้สอนควรใช้วิจารณญาณ เพราะบางประเด็นอาจมีความอ่อนไหว (Sensitive) รวมทั้งควรคานึงถึงวัย
และวุฒิภาวะของ ผเู้ รียนดว้ ย
3.2 การลงมอื ทาหรือปฏบิ ัตอิ ยา่ งตอ่ เนื่อง (Engaging) การเรียนจากประสบการณ์จริง
ถือว่าเป็นหลักการสาคัญและเป็นที่ยอมรับของนักการศึกษาทั่วโลก ดังนั้น การลงมือ ทา (ปฏิบัติ) อย่างต่อเน่ืองกับ
ประเด็นจริง (Real Issue) หรือเหตุการณ์จริง ทั้งในระดับครอบครัว ห้องเรียน โรงเรียนหรือชุมชน จึงเป็นสิ่งสาคัญ
ตัวอย่างต่อไปนี้ เปน็ ขอ้ เสนอแนะในประเด็นจรงิ หรอื เหตกุ ารณจ์ ริง ท่อี าจนามาใช้กับผลการเรียนร้ขู องรายวิชา
เขตทางทะเลของประเทศไทย ทรัพยากรทางทะเลและชายฝ่ัง และผลประโยชน์ของชาติทางทะเลได้ เช่น จัด
กจิ กรรมการอนุรักษท์ ะเลไทย การสบื คน้ ขอ้ มูลทีเ่ กย่ี วข้องกบั ทะเลไทย
3.3 เรยี นอย่างกระตือรอื ร้น (Active) การเรยี นอย่างกระตือรือร้น ก็คอื การเรียนที่
ผูเ้ รยี นตอ้ ง “ทา” หรือ “do”
3.4 การเรยี น (Learning) การเรียนรเู้ รื่อง เขตทางทะเลของประเทศไทย ทรพั ยากรทาง
ทะเลและชายฝ่ัง และผลประโยชน์ของชาติทางทะเล จะมีประสิทธิภาพ ต่อเมื่อผู้เรียนเกิดความรู้สึกว่าตนเองเป็น
เจ้าของทะเลไทย มีหน้าที่ในการปกป้องดูแลทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ตระหนักในหน้าท่ีของคนไทยในการ
ปกป้องทะเลไทยและผลประโยชนข์ องชาติทางทะเล
3.5 ครคู วรคานงึ ถงึ การเรยี นรู้หลาย ๆ รูปแบบ (Learning Style) ของผ้เู รียน การจัด
กิจกรรมจึงควรมีหลากหลาย เช่น การสาธิต การตอบคาถาม การอภิปราย การค้นคว้าวิจัย การทาโครงการ การ
สารวจ การแก้ปัญหา การใช้เกม การแสดงบทบาทสมมติ การใช้สถานการณ์จาลอง การใช้กรณศี ึกษา (Case Study)
โดยมกี ารทางานกลุ่มเล็กและรายบุคคล
5
คำอธิบำย
วิชำ เขตทำงทะเลของประเทศไทย ทรัพยำกรทำงทะเลและชำยฝ่ัง และผลประโยชนข์ องชำติทำงทะเล
ชน้ั ป.4-6 เวลำ 20/40 ชั่วโมง
เปน็ ผู้มคี วามรู้ความเข้าใจในลกั ษณะของภมู ิศาสตรท์ างทะเลในภูมภิ าคของตนเองและประเทศไทย
บอกความสาคัญของภูมิศาสตร์ทางทะเลในภาคและประเทศไทย การนาความรู้เร่ืองลักษณะภูมิศาสตร์ทางทะเลใน
ภาคและประเทศไทยตนเองไปประยกุ ตใ์ ช้ในชวี ติ ประจาวันได้ การจาแนกลกั ษณะของภูมิศาสตรท์ างทะเลในภาคและประเทศ
ไทยสืบค้น และนาเสนอข้อมูลลักษณะทางทะเลของภาค/จังหวัด จากแหล่งข้อมูลที่ถูกต้องและเชื่อถือได้ มีความรู้
และเขา้ ใจลักษณะของเขตทางทะเลในภาคและประเทศไทย บอกความสาคัญของเขตทางทะเลในภาคและประเทศไทยโดยการ
มีส่วนร่วมในการสืบค้น การเผยแพร่ ประชาสัมพันธ์เรื่องเขตทางทะเลในภาคและประเทศไทยอย่างถูกต้อง มีการนาความรู้เร่ือง
เขตทางทะเลในภาคและประเทศไทยไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจาวันได้ สามารถจาแนกลักษณะของเขตทางทะเลใน
ภูมิภาคภาคและประเทศไทย บอกความเป็นมาของการกาหนดเขตจงั หวัดทางทะเลในภูมิภาคและประเทศไทย มีความ
เข้าใจในแนวทางในการกาหนดเขตจังหวัดทางทะเลในภาคและประเทศไทย ระบุตาแหน่งและลักษณะกายภาพทาง
ทะเลท่ีปรากฏในแผนผัง แผนที่ทางทะเลในภูมิภาคและประเทศไทย อ่าน และเขียนแผนที่แผนผังเขตปกครองทาง
ทะเลของจังหวัดในพ้ืนท่ีตนเองได้ ระบุตาแหน่ง และลักษณะทางกายภาพ พิกัด ตาแหน่งทางทะเลในแผนที่และ
ลกู โลก
เปน็ ผู้มคี วามรคู้ วามเข้าใจเร่อื ง กฎ กตกิ า กฎหมายไทยที่เก่ียวขอ้ งกบั ทะเลในท้องถ่นิ ตนเอง
ปฏิบัติตามกฎ กติกา กฎหมายไทยท่ีเกี่ยวข้องกับทะเลในท้องถ่ินตนเอง รู้จักองค์กรและหน่วยงานที่รับผิดชอบ
ในการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลในท้องถ่ินตนเอง เผยแพร่แนวปฏิบตั ิ และกฎหมายทางทะเล ด้วยวธิ ีการ
และรปู แบบที่หลากหลาย
เป็นผมู้ คี วามรู้ความเขา้ ใจเรื่องผลประโยชน์ของชาตทิ างทะเล ผลประโยชน์ทป่ี ระเทศไทย (คนไทย
ทุกคน) พึงได้รับจากทะเลหรือเกี่ยวเน่ืองกับทะเลท้ังภายในน่านน้าไทย เห็นคุณค่าและมีส่วนร่วมในการรักษา
ผลประโยชน์ของชาติทางทะเล มีความตระหนักในหน้าที่ของคนไทยในการปกป้องทะเลไทยและผลประโยชน์ของ
ชาตทิ างทะเล เข้าใจความสมดุลระหว่างการอนุรักษแ์ ละการใช้ประโยชน์จากทะเลไทย มีสว่ นร่วมในการปกปอ้ งดแู ล
และการใช้ประโยชน์จากทะเลในภูมิภาคและประเทศไทย ประชาสัมพันธ์บทบาทและหน้าท่ีในการรับผิดชอบ การ
ดูแลทะเลในภมู ภิ าคและประเทศไทยกับครอบครวั ชมุ ชน และท้องถิ่นผา่ นรูปแบบต่างๆ
6
ผลกำรเรียนรู้
1. บอกลกั ษณะของภูมิศาสตรท์ างทะเลในรายจังหวัด รายกลุ่มจังหวัดและประเทศไทย
2. อธบิ ายความสาคัญของภูมิศาสตร์ทางทะเลในรายจังหวดั รายกลุม่ จงั หวัด และประเทศไทย
3. จาแนกลักษณะของภมู ิศาสตร์ทางทะเลในภาคและประเทศไทยได้
4. สบื ค้น และนาเสนอข้อมลู ลักษณะทางทะเลของภาค/จังหวดั จากแหลง่ ข้อมลู ท่ีถูกต้องและเชือ่ ถอื ได้
5. บอกลกั ษณะของอาณาเขตทางทะเลในภาคและประเทศไทย
6. อธิบายความสาคัญของอาณาเขตทางทะเลในภาคและประเทศไทย โดยการมีส่วนร่วมในการสืบค้น
การเผยแพร่ ประชาสมั พันธ์เขตทางทะเลในภาคและประเทศไทยอย่างถกู ต้อง ฯลฯ
7. จาแนกลักษณะอาณาเขตทางทะเลในภาคและประเทศไทยได้
8. นาความรเู้ รอื่ งอาณาเขตทางทะเลในภาคและประเทศไทยไปประยกุ ตใ์ ชใ้ นชวี ิตประจาวันได้
8.บอกความเป็นมาของการกาหนดเขตจังหวัดทางทะเลในรายจังหวดั รายกลมุ่ จังหวัด และประเทศ
9.บอกแนวทางในการกาหนดเขตจงั หวัดทางทะเลในรายจงั หวดั รายกลุม่ จังหวัด
10.ระบุตาแหน่งและลักษณะกายภาพทางทะเลที่ปรากฏในแผนผัง แผนที่ทางทะเลในรายจังหวัด รายกลุ่ม
จงั หวัด
11. อ่าน และเขียนแผนทีแ่ ผนผังเขตปกครองทางทะเลรายจังหวัด
12. ระบุตาแหน่ง และลกั ษณะทางภมู ศิ าสตร์ของตาแหน่งทางทะเลในแผนท่ี
13. ใช้ทรัพยากรทางทะเลและชายฝ่ังภาคและประเทศไทยตนเองอย่างเหมาะสม และรับผิดชอบ อย่างมี
คณุ ค่า และย่งั ยนื
14. มสี ่วนร่วม ในการอนรุ กั ษ์ ฟื้นฟู พัฒนา รักษาทรพั ยากรธรรมชาติทางทะเลและชายฝั่งภาคและ
ประเทศไทย
15. อภปิ ราย ผลกระทบทเี่ กดิ ข้นึ จากการใชป้ ระโยชน์จากทรพั ยากรทางทะเลและชายฝง่ั ในทอ้ งถิ่นตนเอง
16.เสนอวิธีในการป้องกันและอนุรักษ์ ฟื้นฟู พัฒนา รักษาทรัพยากรธรรมชาติทางทะเลและชายฝั่งภาคและ
ประเทศไทยประยกุ ตใ์ ชใ้ นชีวติ ประจาวนั ได้
17. บอกองคก์ รและหนว่ ยงานรับผดิ ชอบในการรักษาผลประโยชนข์ องชาตทิ างทะเลในภาคและประเทศไทย
18. ปฏบิ ตั ติ ามกฎ กติกากฎหมายไทยท่ีเกย่ี วข้องกบั ทะเลในภาคและประเทศไทย
19. เผยแพร่แนวปฏบิ ตั ิ และกฎหมายทางทะเลผา่ นรูปแบบต่างๆ
20. บอกวธิ กี ารปกปอ้ งดูแลและการใช้ประโยชน์จากทะเลรายจังหวดั รายกลุ่มจงั หวัด และประเทศ
อยา่ งรับผดิ ชอบในรปู แบบต่าง ๆ เช่นบทบาทสมมุติ การรณรงค์ เปน็ ต้น
7
21. มีสว่ นรว่ มในการปกป้องดแู ลและการใชป้ ระโยชนจ์ ากทะเลรายจังหวัด รายกลุ่มจังหวัด และประเทศ
22. ประชาสัมพนั ธ์บทบาทและหน้าทใ่ี นการรับผิดชอบ ดูแลทะเลในภาคและประเทศไทยกับครอบครัว
ชมุ ชน และทอ้ งถ่ินผ่านรูปแบบตา่ งๆ
รวมท้ังหมด 22 ผลกำรเรยี นรู้
8
โครงสร้ำงเนือ้ หำ
วิชำ เขตทำงทะเลของประเทศไทย ทรพั ยำกรทำงทะเลและชำยฝงั่
และผลประโยชน์ของชำติทำงทะเล
ชั้น ป.4-6 เวลำ 20/40 ช่ัวโมง
หน่วยกำรเรยี นร/ู้ เวลำเรียน 20/40 ชั่วโมง
หนว่ ยที่ ช่อื หน่วยกำรเรียนรู้ ชั่วโมง นำ้ หนัก
20 40 คะแนน
1 ลกั ษณะภมู ิศาสตร์ทางทะเล และความสาคัญของทะเล 24
2 เขตทางทะเล 48
3 เขตการปกครองของจงั หวดั ทางทะเล 48
4 ประโยชน์ของทะเล 48
5 กฏหมาย และหน่วยงานทางทะเล 24
6 หน้าท่ีของคนไทยในการปกป้องทะเลไทยและผลประโยชน์ของชาติ 48
ทางทะเล 20 40 100
รวมตลอดภำคเรียน
หนว่ ยท่ี ชอื่ หน่วย ชว่ั โมง ผลกำรเรยี น
20 40 ผ่ำน ไม่ผำ่ น
24
1 ลักษณะภูมศิ าสตรท์ างทะเล และความสาคัญของทะเล 48
2 เขตทางทะเล 48
3 เขตการปกครองของจงั หวัดทางทะเล 48
4 ประโยชนข์ องทะเล 24
5 กฏหมาย และหนว่ ยงานทางทะเล 48
6 หนา้ ทข่ี องคนไทยในการปกป้องทะเลไทยและผลประโยชน์ของชาติ
20 40 ผ่ำน ไมผ่ ่ำน
ทางทะเล
รวมตลอดภำคเรียน
หมำยเหตุ กศน.ระดบั ประถมศกึ ษำใช้เน้ือหำเดียวกับระดับประถมศึกษำ
9
โครงสรำ้ งรำยวชิ ำ
วิชำ เขตทำงทะเลของประเทศไทย ทรัพยำกรทำงทะเลและชำยฝงั่
และผลประโยชนข์ องชำตทิ ำงทะเล
ลำดบั ช่ือหน่วยกำรเรียนรู้ ผลกำรเรยี นรู้ สำระกำรเรยี นรู้ เวลำ นำ้ หนัก
ที่ (ช่ัวโมง) คะแนน
1 ลักษณะภมู ศิ ำสตร์ 1. บอกลักษณะของภูมิศาสตร์ 1.ลักษณะของภมู ศิ าสตร์ทาง
ทำงทะเล และ ทางทะเลในรายจังหวัด รายกลุ่ม ทะเลในรายจงั หวดั รายกลุ่ม
ควำมสำคัญของ จังหวดั และประเทศไทย จงั หวดั และประเทศไทย
ทะเล 2. อธิบายความสาคัญของ 2.ความสาคัญของภูมิศาสตร์
ภมู ิศาสตร์ทางทะเลในรายจงั หวัด ทางทะเลในรายจังหวดั ราย
รายกล่มุ จังหวดั และประเทศไทย กลุม่ จงั หวัดและประเทศไทย
3. จาแนกลกั ษณะของภมู ศิ าสตร์ทาง 3.ลกั ษณะภมู ศิ าสตรท์ าง
ทะเลในภาคและประเทศไทยได้ ทะเลในรายจังหวดั รายกลุ่ม
4. สบื ค้น และนาเสนอข้อมลู จังหวัดและประเทศไทย
ลักษณะทางทะเลของภาค/จงั หวดั จาก 4. ลักษณะทางทะเลในราย
แหลง่ ขอ้ มูลท่ีถกู ต้องและเชื่อถอื ได้ จังหวัด รายกลุ่มจงั หวัดและ
ประเทศไทย
2 เขตทำงทะเล 1. บอกลักษณะของอาณาเขตทาง 1.ลักษณะอาณาเขตทาง
ทะเลในภาคและประเทศไทย ทะเลในภาคและประเทศ
2. อธบิ ายความสาคัญของอาณาเขต ไทย
ทางทะเลในภาคและประเทศไทยโดย 2. ความสาคญั ของอาณาเขต
การมสี ว่ นรว่ มในการสืบค้นการ ทางทะเลในภาคและประเทศไทย
เผยแพร่ ประชาสมั พันธ์เขตทางทะเลใน 3. การนาความร้เู รื่องอาณา
ภาคและประเทศไทยอย่างถูกตอ้ งฯลฯ เขตทางทะเลในภาคและ
3. จาแนกลกั ษณะอาณาเขตทางทะเล ประเทศไทยไปประยกุ ต์ใช้ใน
ในภาคและประเทศไทยได้ ชีวิตประจาวัน
4. นาความรเู้ รอื่ งอาณาเขตทาง
ทะเลในภาคและประเทศไทยไป
ประยุกต์ใช้ในชวี ิตประจาวนั ได้
10
ลำดับ ชอ่ื หน่วยกำรเรียนรู้ ผลกำรเรยี นรู้ สำระกำรเรยี นรู้ เวลำ น้ำหนัก
ท่ี (ชัว่ โมง) คะแนน
3 เขตปกครองทำง 1.บอกความเป็นมาของการ 1.ความเปน็ มาของการ
ทะเลรำยจงั หวัด กาหนดเขตจงั หวดั ทางทะเลใน กาหนดเขตจังหวัดทางทะเล
รายจังหวดั รายกลุ่มจังหวดั และ ในรายจังหวดั รายกล่มุ
ประเทศ จังหวัด และประเทศ
2.บอกแนวทางในการกาหนดเขต 2.แนวทางในการกาหนดเขต
จังหวดั ทางทะเลในรายจงั หวดั จังหวัดทางทะเลในราย
รายกล่มุ จงั หวดั จังหวัด รายกลมุ่ จงั หวัด และ
3.ระบุตาแหนง่ และลักษณะ ประเทศ
กายภาพทางทะเลท่ปี รากฏใน 3.ตาแหนง่ และลักษณะ
แผนผัง แผนท่ที างทะเลในราย กายภาพทางทะเลท่ีปรากฏ
จังหวดั รายกลุม่ จังหวดั ในแผนผัง แผนทที่ างทะเลใน
4. อา่ น และเขียนแผนที่แผนผงั รายจงั หวัด รายกลมุ่ จงั หวัด
เขตปกครองทางทะเลรายจังหวัด
5. ระบตุ าแหนง่ และลักษณะทาง
ภูมิศาสตร์ของตาแหนง่ ทางทะเล
ในแผนท่ี
ลำดับ ช่อื หน่วยกำร ผลกำรเรียนรู้ สำระกำรเรียนรู้ 11
ที่ เรยี นรู้
เวลำ น้ำหนกั
(ชว่ั โมง) คะแนน
4 ประโยชน์ของ 1. ใชท้ รพั ยากรทางทะเลและ 1.ทรัพยากรทางทะเลและชายฝ่งั ใน
ทะเล ชายฝ่ังภาคและประเทศไทย ภาคและประเทศไทย
ตนเองอย่างเหมาะสม และ
2.การมีส่วนรว่ มในการอนุรกั ษ์ ฟนื้ ฟู
รบั ผดิ ชอบ อย่างมีคณุ ค่า และ
ยงั่ ยืน พฒั นารักษาทรพั ยากรธรรมชาติทางทะเล
2. มสี ่วนรว่ มในการอนุรกั ษ์ และชายฝัง่ ภาคและประเทศไทย
3.ผลกระทบทเ่ี กดิ ขนึ้ จากทะเลภาค
ฟ้นื ฟู พฒั นารกั ษา
ทรัพยากรธรรมชาตทิ างทะเลและ และประเทศไทย
ชายฝง่ั ภาคและประเทศไทย 4. การปอ้ งกันและอนุรกั ษ์ ฟื้นฟู
3. อภปิ รายผลกระทบทเ่ี กิดขน้ึ พัฒนา รกั ษาทรพั ยากรธรรมชาติทาง
จากการใชป้ ระโยชนจ์ ากทรพั ยากร ทะเลและชายฝงั่ ภาคและประเทศ
ทางทะเลและชายฝัง่ ในทอ้ งถนิ่ ไทยประยุกตใ์ ช้ในชวี ติ ประจาวัน
ตนเอง
4.เสนอวิธใี นการปอ้ งกนั และ
อนุรักษ์ ฟื้นฟู พฒั นา รกั ษา
ทรัพยากรธรรมชาติทางทะเล
และชายฝง่ั ภาคและประเทศ
ไทยประยุกต์ใชใ้ นชวี ิต
ประจาวนั ได้
5 กฎหมำย และ 1. บอกองค์กรและหนว่ ยงาน 1.องค์กรและหนว่ ยงานรบั ผิดชอบใน
หน่วยงำนทำง รับผิดชอบในการรกั ษา การรักษาผลประโยชนข์ องชาติทาง
ทะเล ผลประโยชน์ของชาตทิ างทะเลใน ทะเลในภาคและประเทศไทย
ภาคและประเทศไทย
2. ปฏบิ ตั ิตามกฎ กติกากฎหมาย 2.กฎ กติกากฎหมายไทยท่เี กี่ยวขอ้ ง
ไทยทีเ่ ก่ยี วข้องกับทะเลในภาค กบั ทะเลในภาคและประเทศไทย
และประเทศไทย 3.แนวปฏิบตั ิ และกฎหมายทางทะเล
3. เผยแพร่แนวปฏบิ ัติ และ
กฎหมายทางทะเลผา่ นรปู แบบ
ตา่ งๆ
12
ลำดบั ช่ือหน่วยกำรเรียนรู้ ผลกำรเรยี นรู้ สำระกำรเรยี นรู้ เวลำ นำ้ หนัก
ท่ี (ชั่วโมง) คะแนน
6 หนำ้ ที่ของคนไทย 1. บอกวิธีการปกป้องดูแลและการ 1.การปกป้องดูแลและการใช้
ในกำรปกปอ้ งทะเล ใช้ประโยชนจ์ ากทะเลรายจงั หวัด ประโยชนจ์ ากทะเลในภาค
ไทยและ รายกลุ่มจงั หวดั และประเทศ อย่าง และประเทศไทยอย่าง
ผลประโยชน์ของ รบั ผิดชอบในรูปแบบต่างๆ เช่น รับผดิ ชอบ
ชำติทำงทะเล บทบาทสมมุติ การรณรงค์ เป็นตน้ 2.การมีส่วนรว่ มในการ
2. มีส่วนร่วมในการปกป้องดูแล ปกป้องดแู ลและการใช้
และการใชป้ ระโยชนจ์ ากทะเลราย ประโยชนจ์ ากทะเลราย
จังหวดั รายกล่มุ จังหวัด และ จงั หวดั รายกลมุ่ จังหวดั และ
ประเทศ ประเทศ
3. ประชาสัมพันธบ์ ทบาทและ 3.บทบาทและหน้าทใ่ี นการ
หนา้ ทใ่ี นการรบั ผิดชอบ ดแู ลทะเล รบั ผิดชอบ ดูแลทะเลในภาค
ในภาคและประเทศไทยกบั และประเทศไทยกับ
ครอบครวั ชุมชน และท้องถิ่นผา่ น ครอบครัว ชุมชน และ
รปู แบบต่างๆ ท้องถิ่น
13
หน่วยท่ี 1
ลกั ษณะภูมศิ ำสตร์ทำงทะเล และควำมสำคญั ของทะเล
ผลกำรเรยี นรู้
1. บอกลักษณะของภูมิศาสตรท์ างทะเลในรายจงั หวัด รายกลุม่ จังหวดั และประเทศไทย
2. อธิบายความสาคัญของภูมิศาสตร์ทางทะเลในรายจังหวัด รายกลุ่มจังหวดั และประเทศไทย
3. จาแนกลักษณะของภูมศิ าสตรท์ างทะเลในภาคและประเทศไทยได้
4. สบื คน้ และนาเสนอข้อมลู ลกั ษณะทางทะเลของภาค/จงั หวดั จากแหล่งข้อมูลทถ่ี ูกต้องและเช่ือถือได้
สำระกำรเรยี นรู้
1.ลักษณะของภมู ศิ าสตร์ทางทะเลในรายจังหวดั รายกลุ่มจังหวดั และประเทศไทย
2.ความสาคญั ของภมู ิศาสตร์ทางทะเลในรายจงั หวดั รายกลุ่มจงั หวดั และประเทศไทย
3.ลกั ษณะภมู ิศาสตรท์ างทะเลในรายจังหวดั รายกลุ่มจังหวัดและประเทศไทย
4. ลักษณะทางทะเลในรายจงั หวดั รายกลุ่มจังหวัดและประเทศไทย
14
เน้อื หา
หน่วยท่ี 1
ลกั ษณะภมู ศิ าสตร์ทางทะเล และความสาคัญของทะเล
(ผ้สู อนสามารถเพ่ิมเตมิ /ปรับเน้ือหาให้เหมาะสมแกผ่ ้เู รยี น)
เรอื่ งที่ 1 ลักษณะของภมู ิศำสตรท์ ำงทะเลในภมู ภิ ำคและประเทศไทย
โลกที่เราอาศัยอยู่น้ี มีขนาดกว้างใหญ่ ประกอบด้วยแผ่นดินหรือที่เรียกว่า “ทวีป” และแผ่นน้า
หรือที่เรียกว่า ทะเลหรือมหาสมุทร หากย้อนอดีตไปกว่า 4 พันล้านปีที่ผ่านมา โลกเป็นเพียงก้อนหินหลอมเหลว
ร้อนและใหญ่ มีการปะทุของภูเขาไฟจ้านวนมาก และ การระเบิดของดาวหางและอุกกาบาต การระเบิดดังกล่าว
น้าไปสู่การผสมธาตุต่าง ๆ ในโลกและจากอวกาศ ก๊าซเหล่านี้ ได้แก่ ออกซิเจน และไฮโดรเจน ซ่ึงท้าให้น้าบนโลก
เพ่ิมข้ึน ในช่วงแรกผิวโลกอยู่ในรูปของก๊าซ จนพ้ืนผิวของโลกเย็นตัวลงท่ีอุณหภูมิต่้ากว่า 100 องศาเซลเซียส
ในเวลานั้นเป็นเวลา 3.8 พันล้านปีที่ผ่านมา น้าได้ควบแน่นเป็นฝนและตกลงบนพื้นดิน น้าที่สะสมในบริเวณที่มี
ทีร่ าบล่มุ ค่อย ๆ กลายเป็นมหาสมุทร ซ่ึงเรยี กวา่ มหาสมุทร ดังเดิม และเป็นเวลาอกี นับพันล้านปี นา้ สะสมแล้วเอ่อ
ล้นมากข้ึน จนก่อตัวข้ึนเป็นมหาสมุทรท่ีขยายพ้ืนท่ีออกไปอย่างกว้างขวาง เกือบ 3 ใน 4 ของพ้ืนผิวโลก พื้นผิวที่
เป็นน้า หรือเรียกว่า ทะเล และมหาสมุทรน้ัน นับเป็นส่วนของเปลือกโลก ท่ีมีลักษณะคล้ายกับแอ่งและมีน้า
ปกคลุมอยู่ มีเนื้อท่ีประมาณ ร้อยละ 71 ของเปลือกโลก ท้ังหมด ท้ังนี้ แผ่นพ้ืนน้าที่เป็นมหาสมุทรนี้ เป็นพ้ืนท่ี
ท่ีเชื่อมต่อกันของน่านน้าต่าง ๆ ของโลก ประกอบด้วยผิวน้าขนาดใหญ่ ซึ่งครอบคลุมพื้นท่ีผิวโลกประมาณ
361,132,000 ตารางกิโลเมตร (139,434,000 ตารางไมล์) นับเป็นปริมาตรน้า รวมประมาณ 1,332,000,000
ลกู บาศกก์ โิ ลเมตร (320,000,000 ลกู บาศก์ไมล)์
ลกั ษณะพนื้ ที่ทางทะเลและมหาสมุทร จะอยูร่ ะหว่างทวีปตา่ ง ๆ ทเ่ี ป็นแผน่ ดิน ซึง่ มนษุ ย์เราอยู่
อาศัยกัน ในขณะเดียวกนั ก็หมายความว่า โลกเรามีมหาสมทุ รลอ้ มรอบทวปี ต่าง ๆ ไวด้ ้วย เช่นกัน ท้ังน้ี ในส่วนที่อยู่
ขอบ ๆ ของมหาสมุทรเรียกวา่ ทะเล บางสว่ นเรยี กว่าอ่าว (บางทเี ราใช้คา้ ว่าทะเล แตห่ มายถึงมหาสมุทรก็ม)ี
ผิวหน้าของทะเลและมหาสมุทร จะเป็นระดับน้าทะเลซ่ึงไม่ได้แบนราบเหมือนแผ่นกระดาษ แต่จะ
โค้งนูนออกมา เหมอื นเป็นส่วนหนึ่งของเปลือกโลก ระดับน้าทะเลและมหาสมุทรจะไม่คงที่ แต่จะมีการเปล่ียนแปลง
ไปได้ เพราะน้าเป็นของเหลวสามารถเปลี่ยนรูปทรงได้ง่าย โดยที่การเปล่ียนแปลงของระดับน้าทะเล จะเป็นการ
เปล่ียนเพียงช่ัวครั้งช่ัวคราว ซ่ึงอาจจะเกิดขึ้นเพราะมีน้าข้ึนน้าลง หรือมีฝนตกมากผิดปกติ หรือมีลมพัดมาเหนือน้า
ทะเล และจะท้ิงร่องรอยของการเปล่ียนแปลงให้สังเกตได้ตามขอบชายฝ่ัง ทั้งน้ี ความลึกโดยเฉล่ียของมหาสมุทร
ประมาณ 3.7 กิโลเมตร (12,450 ฟุต หรือ 2.36 ไมล์) โดยด้านตะวันตกของ มหาสมุทรแปซิฟิก ถือกันว่า เป็น
ตอนท่ีลึกท่ีสุดของทะเลและมหาสมุทรท้ังหมด ท่ีมีช่ือเรียกว่า ร่องลึกบาดาลมาเรียน่า (Mariana Trench) มี
ความลึกถึง 10.692 กิโลเมตร (35,640 ฟุต หรือ 6.75 ไมล)์
15
ผนื น้าของโลกเป็นพืน้ แผน่ ต่อเนอ่ื งกนั โดยมีการเคลอ่ื นท่ขี องนา้ ไปรอบ ๆ โลก ทง้ั นี้ ผนื นา้ ของ
โลกแบ่งออกเป็น 5 มหาสมุทร ดังนี้
1. มหาสมุทรแปซิฟกิ (Pacific Ocean)
เป็นมหาสมุทรท่ีใหญ่ที่สุด คลุมพ้ืนท่ีจากมหาสมุทรใต้ สู่มหาสมุทรอาร์คติก มหาสมุทรแปซิฟิกเป็น
พื้นที่เช่ือมต่อ ระหว่างออสเตรเลีย เอเชีย และอเมริกา โดยมหาสมุทร แปซิฟิก มาบรรจบมหาสมุทรแอตแลนติก
ณ บริเวณตอนใต้ ของทวีปอเมรกิ าใตท้ ี่แหลมฮอร์น (Cape Horn)
2. มหาสมทุ รแปซฟิ ิก (Pacific Ocean) มหาสมุทรแอตแลนติก (Atlantic Ocean)
เป็นมหาสมทุ รท่ใี หญเ่ ป็นอันดับสอง เป็นมหาสมุทรท่ีมพี ้ืนที่ตอ่ จาก มหาสมทุ รใต้ โดยต้ังอยู่ระหวา่ ง
ทวีปอเมริกา แอฟริกา และยุโรป ด้านเหนือติดกับมหาสมุทรอาร์กติก มหาสมุทรแอตแลนติก ประชิดกับมหาสมุทร
อนิ เดยี บริเวณตอนใต้ของทวปี แอฟรกิ าทแี่ หลมอะกะลัส (Cape Agulhas)
3. มหาสมุทรแปซิฟิก (Pacific Ocean) มหาสมุทรแอตแลนติก (Atlantic Ocean) มหาสมุทร
อินเดีย (Indian Ocean)
เป็นมหาสมุทรที่ใหญ่เป็นอันดับสาม ต้ังอยู่ทางเหนือมหาสมุทรใต้ และขยายพื้นท่ีข้ึนไปจนถึง
ประเทศอินเดีย คาบสมุทรอาหรับ และเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้ โดยประกบท้ังสองด้านด้วยแอฟริกาตะวันตก และ
ออสเตรเลียทางตะวันออก มหาสมุทรอินเดียบรรจบกับมหาสมุทรแปซิฟิก ทางทิศตะวันออกบริเวณใกล้กับ
ออสเตรเลยี
4. มหาสมุทรใต้ (Southern Ocean)
เป็นมหาสมุทรท่ีใหญ่เป็น อันดับส่ี ตั้งอยู่รอบแอนตาร์กติกา ซ่ึงอยู่ใต้ละติจูดท่ี 60 องศา มหาสมุทร
ใต้ บางส่วนจะปกคลุมดว้ ยนา้ แขง็ ซ่งึ มขี นาดขอบเขตของพืน้ น้าแข็งแตกตา่ งกนั ไปตามฤดูกาล
5. มหาสมุทรอารก์ ตกิ (Arctic Ocean)
เป็นมหาสมุทรท่ีเล็กที่สุดใน 5 มหาสมุทร เช่ือมต่อกับมหาสมุทรแอตแลนติก ใกล้เกาะ กรีนแลนด์
และไอซ์แลนด์ และเช่ือมต่อกับ มหาสมุทรแปซิฟิกที่ช่องแคบแบร่ิง มหาสมุทร อาร์กติกครอบคลุมท้ังข้ัวโลกเหนือ
และดา้ นตะวนั ตกประชิดกับทวีปอเมริกาเหนือ ในซีกตะวันออกประชิดสแกนดิเนเวยี และ ไซบีเรีย มหาสมุทรอาร์กติก
บางสว่ นจะปกคลมุ ดว้ ยนา้ แข็งทะเล ซงึ่ มีขนาดขอบเขตของพน้ื น้าแข็งแตกต่างกนั ไปตามฤดูกาล
16
เร่อื งที่ 2 ภมู ิศำสตรท์ ำงทะเลในภูมภิ ำคและประเทศไทย
ลักษณะภูมศิ าสตร์ทางทะเลของไทย
ประเทศไทย
ประเทศไทยตั้งอยู่ในภูมิภาคเอเชีย – แปซิฟิก และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ระหว่างลองติจูด
97 องศาตะวันออก กับ 106 องศาตะวันออก และละติจูด 5 องศาเหนือ กับ 21 องศาเหนือ นับเป็นรัฐชายฝั่ง
(Coastal State) และรัฐช่องแคบ (Strait State) ที่ต้ังอยู่ในคาบสมุทรอินโดจีน โดยมีชายฝั่งทะเล แยกเป็น 2 ด้าน
คือ ด้านตะวันออก ได้แก่ อ่าวไทย ส่วนด้านตะวันตก ประกอบด้วยทะเลอันดามันและช่องแคบมะละกา ท้าให้
ประเทศไทย มเี สน้ ทางออกสู่ 2 มหาสมุทร คอื มหาสมุทรแปซิฟกิ และมหาสมุทรอินเดีย
ในส่วนพืน้ ท่ีทางทะเล ซึ่งอ้านาจ อธิปไตยและสทิ ธอิ ธปิ ไตยขยายต่อออกไป จากอาณาเขตพน้ื ดินน้ัน
ฝั่งทะเลด้านอ่าวไทยมีพ้ืนที่ท่ีไทยอ้างสิทธิตามกฎหมายระหว่างประเทศ ประมาณ 202,676.204 ตารางกิโลเมตร
ยาวประมาณ 2,128.84 กิโลเมตร หรือ 1,149.48 ไมล์ทะเล ส่วนฝั่งตะวันตกหรือท่ีเรียกกันว่าฝ่ังอันดามัน มีพื้นที่
ท่ีไทยอ้างสิทธิตามกฎหมายระหว่างประเทศ ประมาณ 120,812.120 ตารางกิโลเมตร ยาวประมาณ 1,064.6
กโิ ลเมตร หรือ 574.84 ไมลท์ ะเล
รวมประเทศไทยมีพื้นที่ทางทะเล ท่ีไทยอ้างสิทธิตามกฎหมายระหว่างประเทศ ประมาณ
323,488.324 ตารางกิโลเมตร มีชายฝั่งยาว รวมท้ังส้ิน 3,193.44 กิโลเมตร หรือ 1,724.32 ไมล์ทะเล ลักษณะ
พ้ืนท้องทะเลอ่าวไทย เป็นโคลนปนทราย มีความลึกเฉลี่ย ประมาณ 40 เมตร และ มีความลึก สูงสุดประมาณ
80 เมตร ส่วนทะเลดา้ นตะวนั ตกมีลกั ษณะโดยทัว่ ไป เปน็ ทรายและทรายปนโคลน ความลึกนา้ เฉลยี่ ประมาณ 1,000
เมตร และมี ความลึกสูงสุดประมาณ 3,000 เมตร ท้ังนี้ พื้นที่ทางทะเลที่ไทยและประเทศเพื่อนบ้านต่างมีสิทธิตาม
กฎหมายระหวา่ งประเทศและอา้ งสิทธทิ ับซ้อนกัน จะต้องมกี ารเจรจาตกลงแบ่งเขตทางทะเลกันต่อไป
จากต้าแหน่งที่ต้ังทางภูมิศาสตร์ ถือว่าประเทศไทย ต้ังอยู่ในพื้นท่ีที่เป็นทะเลปิดหรือก่ึงปิด
(Enclosed or Semi - Enclosed Sea) กล่าวคือ ด้านอ่าวไทยถ้าวัดจากชายฝั่งตะวันตกของอ่าวไทยที่โกตาบารู
ถึงปลายแหลมญวนหรือแหลมกาเมา มคี วามกวา้ ง ประมาณ 381 กโิ ลเมตร หรอื 206 ไมลท์ ะเล
มีประเทศที่มีอาณาเขตติดกับ อ่าวไทยด้านนอก 3 ประเทศ คือ กัมพูชา เวียดนาม และมาเลเซีย
ท้าให้ เกิดพืน้ ทเี่ หล่อื มทบั ไทย – กัมพชู า 34,034.065 ตารางกิโลเมตร
ด้านทะเลอันดามันมีความกว้างประมาณ 611 กิโลเมตร หรือ 330 ไมล์ทะเล วัดจาก ชายฝ่ังด้าน
ทะเลอันดามันถึงหมู่เกาะนิโคบาร์ของอินเดีย ประเทศที่มีอาณาเขตติดต่อ กับทะเลด้านตะวันตกของประเทศไทย
4 ประเทศ คือเมยี นมา อนิ เดีย อนิ โดนเี ซยี และ มาเลเซีย
พ้ืนท่ีทางทะเลของประเทศไทย มีส่วนท่ีอยู่ในช่องแคบมะละกา ด้านที่ติดกับมหาสมุทรอินเดีย
โดยขอบช่องแคบที่ประชิดขอบฝั่งของ ประเทศไทยนับจากแหลมพรหมเทพ จังหวัดภูเก็ต ไปจนถึงจังหวัดสตูล มี
ความยาวขอบฝั่งช่องแคบนับได้ประมาณ 294 กิโลเมตร หรือ 158.9 ไมล์ทะเล รวมเป็นพ้ืนท่ีประมาณ 32,000
ตารางกิโลเมตร จากพื้นท่ี ทางทะเลดา้ นตะวันตกท้งั หมด 120,812.12 ตารางกิโลเมตร
17
ดังนั้น ไทยจึงมีสถานะเป็นหน่ึงในรัฐเจ้าของช่องแคบมะละกา หรือรัฐชายฝั่งช่องแคบมะละกา
(The littoral states/coastal states of the Strait of Malacca) ด้วย แต่พื้นท่ีของช่องแคบมะละกาในบริเวณนี้
มคี วามกว้างมากกว่า 370 กิโลเมตร หรือ 200 ไมล์ทะเล ท้าให้เส้นทางเดินเรือในช่องแคบมะละกาอยู่ในพ้ืนท่ีริมนอก
ของเขตเศรษฐกิจจ้าเพาะของไทย และการเดินเรือไม่จ้าเป็นต้องเข้ามาในพ้ืนที่ทะเลอาณาเขต และเขตต่อเน่ือง
ท่ีเป็นพ้ืนท่ีอธิปไตยของไทย ซึ่งท้าให้ไทยไม่มีอ้านาจทางกฎหมายในการควบคุมการเดินเรือผ่านเข้าออกในช่องทาง
เดนิ เรือของช่องแคบมะละกา ในส่วนนี้ ยกเวน้ การสา้ รวจ แสวงประโยชน์ และการอนรุ ักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ทั้งท่ีมี
ชีวิตและไม่มีชีวิตบนและใต้ท้องทะเล ตามเขตอ้านาจรัฐชายฝ่ัง เหนือเขตเศรษฐกิจจ้าเพาะ ส่วนกิจกรรมอ่ืน
นอกจากนี้ จะไม่ตกอยู่ภายใตส้ ิทธิอธปิ ไตยของรฐั ชายฝง่ั อาทิ การเดนิ เรือผ่าน หรอื การบนิ ผ่าน
18
เร่อื งท่ี 3 ลักษณะภมู ิศำสตร์ทำงทะเลในภมู ิภำคและประเทศไทย
จงั หวดั ชายทะเล มี 23 จังหวัด ดงั น้ี
ภาคตะวันออก (อา่ วไทยฝ่ังตะวนั ออก)
1. ตราด
2. จันทบุรี
3. ระยอง
4. ชลบรุ ี
5. ฉะเชิงเทรา*
จังหวดั ฉะเชงิ เทรา : อย่ใู นเขตอา่ วไทยตอนใน/ตอนบน
ภาคกลาง (อา่ วไทยตอนใน/อ่าวไทยตอนบน)
1. สมทุ รปราการ
2. กรงุ เทพมหานคร
3. สมทุ รสาคร
4. สมุทรสงคราม
5. เพชรบุรี
6. ประจวบคีรีขนั ธ์*
จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ : อยู่ในเขตอ่าวไทยตอนล่าง/ฝั่งตะวนั ตก
ภาคใต้ (อา่ วไทยตอนลา่ ง/ฝง่ั ตะวนั ตก)
1. ชุมพร
2. สุราษฎร์ธานี
3. นครศรธี รรมราช
4. สงขลา
5. ปัตตานี
6. นราธวิ าส
ภาคใต้ (ทะเลอนั ดามัน)
1. ระนอง
2. พงั งา
3. ภูเก็ต
4. กระบ่ี
5. ตรงั
6. สตลู
19
ลักษณะภมู ศิ าสตรท์ างทะเลรายจงั หวัด (ใหผ้ ู้สอนใสเ่ น้ือหาตามบริบทของพื้นทใี่ นจังหวัดของตนเอง)
ภาคตะวันออก (อ่าวไทยฝ่ังตะวันออก)
ที่ จงั หวดั พื้นท่ีตาบลในเขตชายฝั่ง(ไร)่ พ้นื ท่ีในทะเล (ไร)่ รวม (ไร)่
5,038,101
1 ตราด 1,150,992 3,887,110 1,974,418
2,211,331
2 จันทบรุ ี 615,878 1,358,541 3,887,655
374,450
3 ระยอง 643,999 1,567,332
4 ชลบรุ ี 484,430 3,403,225
5 ฉะเชิงเทรา* 255,716 118,734
จังหวดั ฉะเชงิ เทรา : อยใู่ นเขตอ่าวไทยตอนใน/ตอนบน
ภาคกลาง (อ่าวไทยตอนใน/อา่ วไทยตอนบน)
ที่ จังหวัด พื้นท่ีตาบลในเขตชายฝ่ัง(ไร่) พน้ื ท่ีในทะเล (ไร)่ รวม (ไร)่
750,761 954,543
1 สมทุ รปราการ 203,782 46,707 136,030
604,390 933,602
2 กรุงเทพมหานคร 89,324 141,646 297,955
3 สมทุ รสาคร 329,212 1,907,326 2,239,144
3,704,659 5,014,140
4 สมทุ รสงคราม 156,309
5 เพชรบรุ ี 331,818
6 ประจวบครี ีขันธ์* 1,309,481
จังหวดั ประจวบครี ขี นั ธ์ : อยใู่ นเขตอ่าวไทยตอนลา่ ง/ฝงั่ ตะวนั ตก
ภาคใต้ (อา่ วไทยตอนลา่ ง/ฝ่ังตะวันตก)
ที่ จงั หวดั พื้นทต่ี าบลในเขตชายฝั่ง(ไร่) พ้ืนท่ใี นทะเล (ไร่) รวม (ไร่)
4,810,569 5,937,097
1 ชุมพร 1,126,528 5,626,815 6,596,962
7,864,986 8,793,211
2 สุราษฎรธ์ านี 970,146 6,046,829 7,061,444
8,061,272 8,341,115
3 นครศรีธรรมราช 928,225 1,466,602 1,706,359
4 สงขลา 1,014,615
5 ปตั ตานี 279,842
6 นราธิวาส 239,757
20
ภาคใต้ (ทะเลอันดามนั ) พืน้ ที่ตาบลในเขตชายฝ่ัง(ไร่) พน้ื ทใ่ี นทะเล (ไร่) รวม (ไร่)
ที่ จังหวัด
1 ระนอง 1,408,869 1,531,450 2,940,319
2 พงั งา
3 ภเู ก็ต 1,610,663 7,227,097 8,837,760
4 กระบ่ี
5 ตรงั 341,943 2,247,543 2,589,486
6 สตูล
1,467,990 3,097,917 4,565,907
1,108,672 1,862,299 2,970,972
1,028,800 3,440,499 4,469,299
ที่มำ : กรมทรพั ยำกรทำงทะเลและชำยฝ่ัง กระทรวงทรัพยำกรธรรมชำติและสิ่งแวดลอ้ ม
21
เรื่องท่ี 4 ควำมสำคัญของทะเล ในภมู ภิ ำคและประเทศไทย
ความสาคญั ของทะเล
พน้ื ผิวของโลกเรามเี นือ้ ทปี่ ระมาณ ๕๑๐,๐๖๗,๔๒๐ ตารางกิโลเมตร และประมาณ ๗๑ เปอรเ์ ซน็ ต์
ของผิวโลกถูกปกคลุมด้วยน้า ซ่ึงน้าถือเป็นส่ิงท่ีจ้าเป็นต่อการด้ารงชีวิต น้าในมหาสมุทรมีความสามารถในการเก็บ
ความร้อนช่วยรักษาอุณหภูมิของโลกให้คงท่ี น้าระเหยตัวขึ้นกลายเป็นเมฆและกลั่นตัวกลับเป็นฝนตกลงมาสู่พื้นทวีป
ในอดีตมนุษย์ไม่ค่อยจะเห็นความส้าคัญของทะเลมากนักอาจจะเป็นเพราะมนุษย์น้ันเป็นสัตว์บกหายใจในน้าไม่ได้
มนุษย์จึงใช้พื้นที่ทางบกท้ังหลับนอน ท้ามาหากิน เดินทางติดต่อส่ือสารกันเป็นหลัก อย่างไรก็ตามทะเลก็เริ่มมี
ความส้าคัญข้ึนเร่อื ยๆ มนุษยเ์ รมิ่ ใช้ทะเลใหเ้ ป็นประโยชนม์ ากขึ้น ความสา้ คญั ของทะเล มีดงั น้ี
1. ทะเลเปน็ แหล่งอาหารทส่ี า้ คญั เพราะในทะเลมสี ัตวน์ ้าที่มากมาย
2. ทะเลเป็นแหลง่ พลงั งานคลื่นและลมทะเล ซง่ึ สามารถนา้ มาผลิตกระแสไฟฟ้า ตลอดจนได้
พลังงานจากก๊าซธรรมชาติและนา้ มนั ในทะเลกม็ ีมากมาย
3. เปน็ เส้นทางคมนาคมทางทะเล ปจั จบุ นั การคมนาคมทางทะเลมีการขนสง่ สูงถึงร้อยละ ๙๐ และ
มแี นวโน้มแสดงใหเ้ ห็นวา่ การคมนาคมทางทะเลในอนาคตจะยิง่ มีความส้าคัญเพ่ิมมากย่ิงข้นึ ตามลา้ ดบั
4. ทะเลเป็นแหล่งท่องเท่ยี วท่ีส้าคัญ ทงั้ การด้านา้ การพักผอ่ นชายทะเล การตกปลา ทะเลจงึ
เปน็ แหลง่ ทอ่ งเที่ยวท่ีส้าคญั และสามารถน้ารายได้ มาสู่ประเทศต่างๆ ได้อย่างมากมาย
5.ทะเลเปน็ เขตแดนทางทะเล ในอดีตรัฐตา่ งๆไม่ค่อยสนใจเขตแดนทางทะเลมากนัก การกา้ หนด
เขตแดนก็ไม่มี แตเ่ ม่ือมีการแสวงประโยชนจ์ ากทะเลมากขึน้ ก็มีการกา้ หนดอาณาเขตทางทะเลขึน้ ตามอนุสญั ญา
สหประชาชาตวิ า่ ด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ.๑๙๕๘ อย่างไรก็ตามความต้องการของแตล่ ะรัฐทีจ่ ะแสวงหาผลประโยชน์
น้นั มมี ากขึ้นอีก จึงได้มีการปรับปรงุ กฎหมายเก่ียวกับอาณาเขตทางทะเลจนถึงปัจจุบนั โดยได้แบง่ อาณาเขตทางทะเล
ตามอนุสญั ญาสหประชาชาติว่าดว้ ยกฎหมายทะเล ค.ศ.๑๙๘๒ (United Nations Convention on Law of the
Sea : UNCLOS ๑๙๘๒)
6. เปน็ แหลง่ ทอ่ี ยู่อาศัย
22
หนว่ ยท่ี 2
เขตทำงทะเล
ผลการเรยี นรู้
1. บอกลกั ษณะของอาณาเขตทางทะเลในภาคและประเทศไทย
2. อธบิ ายความสาคญั ของอาณาเขตทางทะเลในภาคและประเทศไทย โดยการมสี ่วนรว่ มในการสืบคน้
การเผยแพร่ ประชาสมั พนั ธเ์ ขตทางทะเลในภาคและประเทศไทยอยา่ งถูกตอ้ ง ฯลฯ
3. จาแนกลักษณะอาณาเขตทางทะเลในภาคและประเทศไทยได้
4. นาความรเู้ ร่อื งอาณาเขตทางทะเลในภาคและประเทศไทยไปประยกุ ตใ์ ช้ในชีวติ ประจาวันได้
สาระการเรยี นรู้
1.ลักษณะอาณาเขตทางทะเลในภาคและประเทศไทย
2. ความสาคัญของอาณาเขตทางทะเลในภาคและประเทศไทย
3. การนาความรูเ้ รอ่ื งอาณาเขตทางทะเลในภาคและประเทศไทยไปประยุกต์ใชใ้ นชวี ติ ประจาวัน
23
เร่อื งที่ 1 ขอบเขตของทะเลในภูมภิ ำคและประเทศไทย
อาณาเขตทางทะเล (Maritime Zone)
ประเทศไทยมอี าณาเขตทางทะเล (Maritime Zone) ตามอนสุ ญั ญาสหประชาชาตวิ ่าดว้ ยกฎหมายทะเล
ค.ศ.1982 เท่ากับ 323,488.32 ตารางกิโลเมตร ซ่ึงคิดเป็นประมาณร้อยละ 60 ของอาณาเขตทางบกท่ีมีเน้ือที่อยู่
ประมาณ 513,115 ตารางกิโลเมตรโดยมีความยาวชายฝ่ังทะเล ท้ังฝ่ังอ่าวไทย และฝ่ังอันดามัน รวมถึงช่องแคบ
มะละกาตอนเหนอื รวมความยาวชายฝัง่ ทะเลในประเทศไทยทั้งสน้ิ 3,148.23 กิโลเมตร ครอบคลุม 23 จงั หวดั
24
ลักษณะเขตทางทะเล
อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982 (1982 United Nations Convention on the
Law of the Sea: 1982 UNCLOS) นับเป็นอนุสัญญาท่ีประมวลกฎหมาย จารีตประเพณีทางทะเลเป็นลายลักษณ์
อักษร พร้อมทั้งกา้ หนดหลกั เกณฑ์ให้ครอบคลุมกิจกรรมทางทะเล ในทกุ ด้าน อาทิ การใชป้ ระโยชนจ์ ากทรัพยากรทาง
ทะเล การอนุรักษ์ และการจัดการทรัพยากรในทะเล การคุ้มครองสิ่งแวดล้อมทางทะเล การวิจัยและวิทยาศาสตร์
ทางทะเล การระงบั ข้อพิพาท
รปู แสดงภาพตดั ขวางแสดงเขตทางทะเลตามอนสุ ญั ญาสหประชาชาตวิ ่าดว้ ยกฎหมายทะเล ค.ศ.1982
(ดัดแปลงมาจาก http://pubs.rsc.org/en/Content/ArticleHtml/2014/NP/c3np70123a)
อนสุ ัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982 (1982 United Nations Convention on the Law
of the Sea: 1982 UNCLOS) ไดก้ าหนดเขตทางทะเล ท่กี าหนดอานาจ สทิ ธแิ ละหนา้ ทขี่ องรัฐภาคี ไวด้ ังนี้
น่านน้าภายใน (Internal Waters)
คือ น่านน้าทางด้านแผ่นดนิ หลัง เส้นฐาน (Baselines) ซึ่งรัฐชายฝั่งมีอา้ นาจอธิปไตย (Sovereignty) เสมือน
อ้านาจอธิปไตยเหนอื ดนิ แดน (Territory)
ทะเลอาณาเขต (Territorial Sea)
มีพ้ืนท่ีไม่เกิน 12 ไมล์ทะเล หรือประมาณ 22 กิโลเมตร โดยวัดจากเส้นฐาน (Baselines) โดยรัฐชายฝ่ังมี
อ้านาจอธิปไตยเหนอื ทะเลอาณาเขต
เขตต่อเนือ่ ง (Contiguous Zone)
มพี ืน้ ที่ไม่เกนิ 24 ไมลท์ ะเล หรอื ประมาณ 44 กโิ ลเมตร โดยวัดจากเสน้ ฐาน (Baselines)
25
เขตเศรษฐกิจจาเพาะ (Exclusive Economic Zone)
คือ บริเวณท่อี ยเู่ ลยไปจากและประชิดกบั ทะเลอาณาเขต โดยเขตเศรษฐกจิ จ้าเพาะจะต้องไมข่ ยายออกไป
เกิน 200 ไมล์ทะเล หรือประมาณ 370 กิโลเมตร จากเส้นฐาน
ไหล่ทวีป (Continental Shelf)
หมายถึง พื้นดินท้องทะเล (Seabed) และดินใต้ผิวดิน (Subsoil) ของบริเวณใต้ทะเล ซ่ึงขยายเลยทะเล
อาณาเขตของรัฐตลอดส่วนต่อออกไปตามธรรมชาติ (Natural Prolongation) ของดินแดนทางบกจนถึงริมนอกของ
ขอบทวปี (Continental Margin) หรือจนถึงระยะ 200 ไมลท์ ะเลจากเสน้ ฐาน
ทะเลหลวงหรือนา่ นน้าสากล (High Seas)
คือ ทุกส่วนของทะเลซ่ึงไม่ได้รวมอยู่ ในเขตเศรษฐกิจจ้าเพาะ (Exclusive economic zone) ในทะเล
อาณาเขต (Territorial sea) หรือในน่านน้าภายใน (Internal waters) ของรัฐหรือในน่านน้าหมู่เกาะ (Archipelagic
waters) ของรัฐหมู่เกาะ เสรภี าพแหง่ ทะเลหลวง ใช้ไดภ้ ายใต้เงอ่ื นไขท่ีกา้ หนดไว้โดยอนุสัญญาฯ และหลกั เกณฑ์อื่น ๆ
ของกฎหมายระหว่างประเทศ
บรเิ วณพ้ืนที่ (The Area)
หมายถึง พื้นดินท้องทะเลและพ้ืน มหาสมทุ รและดนิ ใต้ผวิ ดนิ ท่ีอย่พู น้ เขตอา้ นาจของรัฐ
26
เรอ่ื งที่ 2 ลกั ษณะเขตทำงทะเลในภมู ิภำคและประเทศไทย
ขอบเขตทางทะเลของไทย
ลักษณะพ้ืนท่ที างทะเลของประเทศไทย ถูกลอ้ มด้วยพื้นที่ทางทะเล ของประเทศเพื่อนบา้ นทั้งสองดา้ นและ
ประชดิ กบั เขตเศรษฐกิจจา้ เพาะของประเทศเพื่อนบ้าน ดงั นนั้ ตามหลักกฎหมายระหวา่ งประเทศในการแบง่ เขตแดน
ทางทะเลระหว่างประเทศ ประเทศต่าง ๆ รอบอ่าวไทย และทะเลฝง่ั ตะวนั ตก จงึ ไมส่ ามารถขยายเขตเศรษฐกิจ
จ้าเพาะออกไปได้เตม็ ที่ถงึ 200 ไมลท์ ะเล หรอื ประมาณ 370 กโิ ลเมตร แต่มีสว่ นท่ีอ้างสิทธิทบั ซ้อนกนั อยู่ ซึ่งจะต้อง
เจรจาตกลงกัน
ประเทศไทยถกู ล้อมดว้ ยเขตเศรษฐกิจจาเพาะของประเทศเพ่ือนบา้ น
ท่มี า : หนังสอื ทะเลและมหาสมทุ รและผลประโยชน์ของชาตทิ างทะเล โดย คณะอนุกรรมการจดั การความรู้
เพ่อื ผลประโยชน์แหง่ ชาตทิ างทะเล (อจชล.) ส้านกั งานสภาความม่ันคงแห่งชาติ (สนช.) ส้านกั นายกรัฐมนตรี
27
เปน็ จังหวัดชายฝง่ั ทะเลทางภาคตะวนั ออกของประเทศไทย มีเน้อื ท่ี 2,819 ตารางกโิ ลเมตร
มเี ขตติดต่อกับจังหวดั จนั ทบรุ ีและประเทศกัมพชู า
28
เป็นจังหวัดทางชายฝ่ังทะเลภาคตะวันออกของประเทศไทย มีเนอ้ื ท่ี 6,388 ตารางกโิ ลเมตร
ทิศเหนอื ติดต่อกับจังหวัดฉะเชงิ เทราและจังหวัดสระแกว้
ทิศตะวันออกตดิ กับจงั หวัดตราดและประเทศกัมพูชา ทศิ ใต้ติดกบั อ่าวไทย
และทศิ ตะวนั ตกตดิ กบั จังหวัดระยองและชลบรุ ี
29
ระยอง เป็นจงั หวดั หนง่ึ ในภาคตะวันออกของประเทศไทย ทิศเหนอื และทิศตะวนั ตกติดต่อ
กบั จงั หวัดชลบุรี ทิศตะวนั ออก ติดต่อกบั จังหวดั จนั ทบุรี
ทศิ ใต้ ตดิ ต่อกบั อ่าวไทย โดยมชี ายฝั่งยาวมากกว่า 100 กโิ ลเมตร
30
เป็นจังหวัดหนง่ึ ในภาคตะวนั ออกของประเทศไทย มีอาณาเขตติดต่อ (ตามเขม็ นาฬิกาเร่มิ
จากทศิ เหนือ) ไดแ้ ก่ จงั หวดั ฉะเชงิ เทรา จังหวัดจนั ทบรุ ี จงั หวดั ระยอง
และติดต่อกับอ่าวไทยทางทิศตะวนั ตก
31
เป็นจงั หวดั หนงึ่ ในภาคตะวนั ออกของประเทศไทย มีอาณาเขตตดิ ต่อกบั
กรุงเทพมหานคร จังหวดั ปทุมธานี จงั หวดั นครนายก จังหวัดปราจีนบรุ ี
จงั หวดั สระแกว้ จังหวัดจันทบุรี จังหวัดชลบรุ ี และจงั หวัดสมุทรปราการ
รวมถึงมอี าณาเขตตดิ กับอา่ วไทยเปน็ ระยะส้ันประมาณ 12 กโิ ลเมตร
ภาคกลาง (อ่าวไทยตอนใน/อ่าวไทยตอนบน)
32
จงั หวดั สมุทรปราการเปน็ เขตปริมณฑล จงั หวดั สมทุ รปราการมเี นื้อท่ี 1,004 ตารางกิโลเมตร
อาณาเขตทิศเหนอื ติดต่อกบั กรงุ เทพมหานคร และจังหวัดฉะเชงิ เทรา ทิศตะวนั ออกตดิ ต่อกบั
จังหวัดฉะเชิงเทรา ทิศใต้จรดอา่ วไทย และทิศตะวนั ตกติดตอ่ กบั กรงุ เทพมหานคร
33
กรงุ เทพมหานครมีอาณาเขตทางบกตดิ ต่อกับจงั หวดั สมทุ รสาคร จังหวัดนครปฐม
จงั หวดั นนทบรุ ี จงั หวัดปทุมธานี จังหวดั ฉะเชิงเทรา และจงั หวดั สมุทรปราการ
ส่วนอาณาเขตทางทะเลอ่าวไทยตอนใน ติดต่อจงั หวดั เพชรบรุ ี จังหวดั สมุทรสาคร
จังหวดั สมุทรปราการ และจังหวดั ชลบรุ ี
34
จังหวดั สมทุ รสาครเป็นจงั หวดั ชายทะเลอา่ วไทย มีแม่น้าทา่ จนี ไหลผา่ กลางจังหวดั
เปน็ จงั หวัดปรมิ ณฑล มีพ้ืนที่ติดกับเขตหนองแขม เขตบางบอน และเขตบางขนุ เทยี น
ของกรุงเทพมหานคร มีพ้ืนที่ 872.347 ตารางกิโลเมตร
ทิศเหนือ ติดกับอา้ เภอสามพราน (จังหวัดนครปฐม)
ทิศตะวนั ออก ติดกบั เขตหนองแขม เขตบางบอน และเขตบางขนุ เทียน (กรุงเทพมหานคร)
ทิศใต้ ติดกบั อ่าวไทย
ทิศตะวนั ตก ติดกบั อาเภอบางแพ อาเภอดาเนินสะดวก (จงั หวดั ราชบุรี) และอาเภอเมืองสมทุ รสงคราม (จงั หวดั
สมุทรสงคราม)
35
ทิศเหนือติดต่อกบั จังหวัดราชบรุ ี (อา้ เภอด้าเนนิ สะดวก) และจังหวดั สมุทรสาคร
(อา้ เภอบ้านแพว้ และอ้าเภอเมืองสมุทรสาคร) ทิศตะวันออกติดต่อกับอา่ วไทยชัน้ ใน
(พื้นที่เขตจังหวดั สมุทรสงครามทางทะเลติดต่อจงั หวดั สมทุ รสาคร และจงั หวดั เพชรบุรี
ทิศใต้ จรดจงั หวดั เพชรบุรี (อ้าเภอเขาย้อย และอา้ เภอบา้ นแหลม)
ทิศตะวันตก จรดจงั หวดั ราชบุรี (อ้าเภอปากท่อ อ้าเภอวัดเพลง และอา้ เภอเมอื งราชบรุ ี)
36
ดา้ นเหนอื ติดกบั อ้าเภอบา้ นคา อา้ เภอปากท่อ จังหวัดราชบรุ ี กับอ้าเภออัมพวาและ
อ้าเภอเมืองสมุทรสงคราม จงั หวดั สมุทรสงคราม ดา้ นตะวันออก ติดชายฝ่งั อ่าว
ไทย (น่านน้าติดตอ่ ตรงขา้ มกับนา่ นน้าจังหวดั ชลบรุ ี ดา้ นทศิ ใตจ้ ังหวดั ประจวบครี ีขนั ธ์
ดา้ นทิศเหนือ น่านนา้ จงั หวัดสมทุ รสงคราม นา่ นนา้ จังหวดั สมุทรสาคร นา่ นน้า
กรุงเทพมหานคร และนา่ นนา้ จงั หวัดสมทุ รปราการ) ดา้ นใต้ ตดิ กับอา้ เภอหวั หิน
จังหวดั ประจวบครี ีขันธ์ ด้านตะวนั ตก ติดกบั เขตตะนาวศรีของประเทศพมา่
37
มอี าณาเขตติดตอ่ ดังนี้ ทิศเหนือ ตดิ ต่อกบั จังหวัดเพชรบุรี
ทิศใต้ ตดิ ต่อกบั จังหวดั ชุมพร ทศิ ตะวันออก ติดตอ่ กับอ่าวไทย
ทิศตะวันตก ตดิ ต่อกับประเทศพมา่ ความยาวจากทิศเหนือจรดทศิ ใต้
ประมาณ 212 กิโลเมตร และชายฝ่งั ทะเลยาวประมาณ 224.8 กโิ ลเมตร
มสี ่วนท่ีแคบที่สุดอยู่ในต้าบลคลองวาฬ อา้ เภอเมืองประจวบครี ขี ันธ์
ภาคใต้ (อ่าวไทยตอนลา่ ง/ฝ่งั ตะวนั ตก)
38
จงั หวัดชุมพรนับเป็นประตูสู่ภาคใต้ (เม่ือลงจากภาคกลาง) มพี ื้นท่ีทางเหนือตดิ ต่อกบั
อา้ เภอบางสะพานนอ้ ย จงั หวัดประจวบคีรีขนั ธ์ ทางตะวันออกติดชายฝั่งอา่ วไทย
ดา้ นใตต้ ดิ กับอา้ เภอทา่ ชนะ จังหวดั สรุ าษฎร์ธานี และทางตะวนั ตกติดต่อกับ
อ้าเภอกระบุรี อา้ เภอละอุ่น อ้าเภอเมืองระนอง อ้าเภอกะเปอร์ จังหวัดระนอง
และส่วนหน่ึงติดกับประเทศพมา่
39
มีพน้ื ท่ีใหญเ่ ป็นอันดบั 6 ของประเทศ และอันดบั 1 ของภาคใต้ โดยมีจังหวดั
ที่มอี าณาเขตติดกัน ดังนี้ดา้ นเหนอื ตดิ กับจงั หวัดระนอง จังหวัดชมุ พร และอ่าวไทย
ดา้ นใต้ ติดกับจังหวดั กระบ่ีและจงั หวัดนครศรีธรรมราช
ดา้ นตะวนั ออก ตดิ กบั จงั หวัดนครศรธี รรมราชและอา่ วไทย
ดา้ นตะวนั ตก ตดิ กับจงั หวดั พังงา
ภาคใต้ (อ่าวไทยตอนลา่ ง/ฝ่งั ตะวนั ตก)
40
มอี าณาเขตตดิ ตอ่ กบั จังหวัดใกล้เคยี ง ดังนี้ ทศิ เหนือ ตดิ ต่อกบั จังหวดั เพชรบรุ ี
ทศิ ใต้ ตดิ ต่อกับจังหวัดชุมพร ทศิ ตะวนั ออก ติดตอ่ กบั อ่าวไทย
ทศิ ตะวนั ตก ติดต่อกบั ประเทศพมา่
41
ตัง้ อยู่ฝั่งตะวันออกของภาคใต้ โดยมจี ังหวัดที่มอี าณาเขตติดกนั ดังน้ี
ดา้ นเหนือ ตดิ กับจังหวดั นครศรธี รรมราช และจังหวดั พทั ลุง
ด้านใต้ ติดกับจงั หวัดยะลา จงั หวดั ปัตตานี รัฐเคดาห์ และรัฐปะลิสของประเทศมาเลเซีย
ด้านตะวนั ออก ติดกับอา่ วไทย ด้านตะวันตก ติดกับจังหวดั พทั ลงุ และจงั หวดั สตลู
42
ติดตอ่ กบั จงั หวัดนราธิวาส จงั หวัดยะลา และจังหวัดสงขลา
43
ทิศเหนือติดต่อกับจังหวัดปัตตานีในเขตอา้ เภอกะพอ้ อ้าเภอสายบรุ ี อ้าเภอไมแ้ กน่
และอ่าวไทย ทิศตะวนั ออกติดตอ่ กับอ่าวไทยและรฐั กลนั ตัน ประเทศมาเลเซยี
ทศิ ใตต้ ดิ ต่อกับรัฐกลนั ตัน ประเทศมาเลเซยี ทิศตะวันตกติดตอ่ กับจังหวัดยะลาใน
เขตอา้ เภอเบตง อา้ เภอธารโต อ้าเภอบันนงั สตา และอ้าเภอรามัน
ภาคใต้ (อา่ วไทยตอนลา่ ง/ฝงั่ ตะวนั ตก)
44
มีพ้นื ที่ติดต่อทางตะวันออกติดต่อกับจังหวัดชุมพร
ทางใต้ติดกบั จังหวัดสรุ าษฎรธ์ านีและจังหวัดพังงา
ทางตะวันตกตดิ กับประเทศพมา่ และทะเลอันดามนั