The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

การพัฒนาการจัดการเรียนรู้โดยรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบซินเนกติกส์ วิชาภาษาไทย เรื่องก

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by , 2023-07-06 01:20:59

การพัฒนาการจัดการเรียนรู้โดยรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบซินเนกติกส์ วิชาภาษาไทย เรื่องก

การพัฒนาการจัดการเรียนรู้โดยรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบซินเนกติกส์ วิชาภาษาไทย เรื่องก

การพัฒนาการจัดการเรียนรู้โดยรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบซินเนกติกส์ วิชาภาษาไทย เรื่องการเขียนเชิงสร้างสรรค์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เกศราภรณ์ ป่าโพธิ์ชัน วิจัยในชั้นเรียนนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร ครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาภาษาไทย มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ปีการศึกษา 2565


2


3 การพัฒนาการจัดการเรียนรู้โดยรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบซินเนกติกส์ วิชาภาษาไทย เรื่องการเขียนเชิงสร้างสรรค์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 นางสาวเกศราภรณ์ ป่าโพธิ์ชัน รหัสนักศึกษา 61100101224 วิจัยในชั้นเรียนนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร ครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาภาษาไทย มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ปีการศึกษา 2565


4 หัวข้อวิจัยในชั้นเรียน การพัฒนาการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการเรียนรู้แบบซินเนกติกส์ วิชา ภาษาไทย เรื่องการเขียนเชิงสร้างสรรค์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ผู้วิจัย นางสาวเกศราภรณ์ ป่าโพธิ์ชัน สาขาวิชา ภาษาไทย อาจารย์ที่ปรึกษา ผู้ช่วยศาสตราจารย์ โศรยา วิมลสถิตพงษ์ ครูพี่เลี้ยง นางสาวพรพิมล นามพรมมา อาจารย์ประจำหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาภาษาไทย คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัย ราชภัฏอุดรธานีอนุมัติให้นับวิจัยในชั้นเรียนฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตรครุศาสตร บัณฑิต สาขาวิชาภาษาไทย .................................................................. หัวหน้าสาขาวิชา (.................................................................) วันที่.......…เดือน…….…………พ.ศ…………… คณะกรรมการผู้ประเมินรายงานวิจัยในชั้นเรียน .................................................................................. ประธานคณะกรรมการ ( ) .................................................................................. กรรมการ ( ) .................................................................................. กรรมการ ( ) .................................................................................. กรรมการ ( )


ก ชื่อเรื่อง การพัฒนาการจัดการเรียนรู้โดยรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบซินเนกติกส์ วิชาภาษาไทย เรื่องการเขียนเชิงสร้างสรรค์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 3 ผู้วิจัย นางสาวเกศราภรณ์ ป๋าโพธิ์ชัน อาจารย์ที่ปรึกษา ผู้ช่วยศาสตราจารย์โศรยา วิมลสถิตพงษ์ ปริญญา ครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาภาษาไทย ปีการศึกษา 2565 บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาภาษาไทย เรื่องการ เขียนเชิงสร้างสรรค์ โดยพัฒนาการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบซินเนกติกส์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ให้มีคุณภาพตามเกณฑ์การประเมินร้อยละ 75/75 2. เพื่อ เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาภาษาไทย เรื่อง การเขียนเชิงสร้างสรรค์ โดยพัฒนาการ จัดการเรียนรู้โดยรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบซินเนกติกส์ ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ก่อน และหลังเรียน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่กำลังศึกษาใน ภาค เรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนสามพร้าววิทยา จำนวน 1 ห้อง คือห้อง ม.3/1 จำนวน 25 คน โดยมาจากการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้ใช้ รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบซินเนกติกส์ เรื่อง การเขียนเชิงสร้างสรรค์ จำนวน 5 แผน 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาไทย เรื่อง การเขียนเชิงสร้างสรรค์ 4) แบบประเมินความสามารถในการเขียนเชิงสร้างสรรค์ สถิติที่ใช้ในการ วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละค่าเฉลี่ย ค่าส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบทีแบบไม่อิสระ (ttest for Dependent Sample) การทดสอบแบบ One Sample t-test และการหาประสิทธิภาพ ของนวัตกรรม E1/E2


ข ผลการวิจัยพบว่า 1. การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่องการเขียนสร้างสรรค์ โดยใช้ รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบซินเนกติกส์ มีคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียน เท่ากับ 10.57คะแนน และ คะแนนเฉลี่ยหลังเรียน เท่ากับ 16.37 คะแนน เมื่อเปรียบเทียบระหว่างคะแนนก่อนเรียนและหลัง เรียน พบว่า คะแนน หลังเรียนของนักเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2. ประสิทธิภาพของการจัดการเรียนรู้แบบซินเนกติกส์ มีประสิทธิภาพคะแนนระหว่างเรียน และคะแนนหลังเรียนเท่ากับ 82.39/81.83 แสดงว่ากิจกรรมการจัดการเรียนรู้แบบซินเนกติกส์ ที่ พัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพสูงกว่า เกณฑ์ 75/75 ที่กำหนดไว้ 3. การเปรียบเทียบทักษะกระบวนการทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่องการเขียนสร้างสรรค์ โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบซินเนกติกส์ หลังเรียนเปรียบเทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 75 ผลการ วิเคราะห์ พบว่า คะแนนสอบหลังเรียนของนักเรียนสูงกว่าเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05


ค Thesis Title The development of learning management by the Synectice learning management model, Thai language in creative writing. For Mathayomsuksa 3 student Author Miss Ketsaraphon Paphochan Thesis Advisor Assistant Professsor Dr. soraya WimonSatitpong Degree Bachelor of Education in Thai language Academic Year 2565 ABSTRACT The purpose of this research was to study The development of learning management by the Synectice learning management model, Thai language in creative writing. For Mathayomsuksa 3 student. To have quality according to the assessment criteria 75/75 percent. To compare the achievement of Thai language learning, creative writing By developing management, learned by the Synectice learning management style of grade 3 students before and after school. The sample used in the research is the 3rd grade students currently studying in the 2nd semester, academic year 2022, at Samprawwittaya, 1 room is 25 m3/1 room, which comes from group randomization the tools used in the research include 1 ) Learning Management Plan, using the Synectice Learning Management Model, Creative Writing, 5 Plans, 2 ) Learning Achievement Quiz 3) Test. Measuring Thai language learning about writing Creative 4) Creative Writing Capabilities Assessment Statistics used in data analysis include percentage, average, standard deviation, non-independent tee test (t-test for Dependent Sample) One Sample t-test test and Finding the and the effectiveness of the E1 / E2 innovation. The results of this research were as follows:


ง 1. Comparison of Thai academic achievement Creative writing By using the Synectice Learning Management model With an average score before class equal to 10.57 points and an average score after class was 16.37 points. When comparing between pre-school and post-school scores, it was found that after-school scores of students significantly higher than before studying at level .05 2. The efficiency of the Synectice Learning Management Effective grades between classes and post-graduate scores equal to 82.39/81.83, indicating that the Sinnetics Learning Management Activities Developed more efficiently than the specified 75/75 criteria 3. Comparison of skills, learning process, Thai language Subject: Creative writing by using the Synectice Learning Management model After studying with the 75 percent criteria, the analysis results found that the student's post-graduate scores were significantly higher than the .05 level


จ กิตติกรรมประกาศ การทำวิจัยในครั้งนี้ ผู้วิจัยขอขอบพระคุณผู้ช่วยศาสตราจารย์ โศรยา วิมลสถิตพงษ์ อาจารย์ ที่ปรึกษาวิจัยที่กรุณาให้คำปรึกษา แนะนํา และช่วยเหลือ ที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งทำให้ งานวิจัยนี้มี ความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ส่งผลให้การทำวิจัยครั้งนี้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี ขอขอบคุณผู้เชี่ยวชาญทุกท่าน ที่ให้ความกรุณาในการตรวจคุณภาพเครื่องมือในการทดสอบ และให้ข้อเสนอแนะในการปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่องต่าง ๆ ส่งผลให้งานวิจัยฉบับนี้ถูกต้องและ สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ขอขอบพระคุณผู้อํานวยการสถานศึกษา คณะครูและนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียน สามพร้าววิทยา อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานีที่ให้ความร่วมมือและช่วยเหลือในการหาประสิทธิภาพ ของเครื่องมือและเก็บรวบรวมข้อมูลการวิจัยเป็นอย่างดี สุดท้ายนี้ผู้วิจัยขอขอบพระคุณบิดามารดารวมทั้งญาติพี่น้องทุกท่านซึ่งเปิดโอกาสให้ได้รับ การศึกษาเล่าเรียน ตลอดคอยให้ความช่วยเหลือและสนับสนุน คอยเป็นกําลังใจ รวมถึงชี้แนะ การ เรียนและการใช้ชีวิตให้แก่ผู้วิจัย ขอกราบขอบพระคุณคุณครูและอาจารย์ที่ได้อบรมสั่งสอนศิษย์ วางรากฐานความรู้ให้แก่ศิษย์ เกศราภรณ์ ป่าโพธิ์ชัน


ฉ สารบัญ เรื่อง หน้า บทคัดย่อ............................................................................................................................. ... ก ABSTRACT..................................................................................................................... ....... ค กิตติกรรมประกาศ................................................................................................................. จ สารบัญ............................................................................................................. ...................... ฉ สารบัญตาราง......................................................................................................................... ซ บทที่ 1 บทนำ.................................................................................................................... 1 1. ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา..................................................................1 2. วัตถุประสงค์ของการวิจัย........................................................................................ 3 3. สมมุติฐานของการวิจัย............................................................................................ 3 4. ขอบเขตของการวิจัย............................................................................................... 4 5. นิยามศัพท์เฉพาะ.................................................................................................... 5 6. ประโยชน์ที่จะได้รับ................................................................................................. 5 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง................................................................................ 6 1. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3............................................. 6 2. การเขียนเชิงสร้างสรรค์........................................................................................ 12 3. ความรู้เกี่ยวกับการเขียนคำขวัญ....................................................................................... 32 4. ความรู้เกี่ยวกับการเขียนโฆษณา....................................................................................... 33 5. ความรู้เกี่ยวกับการเขียนเรียงความ................................................................................... 34 6. ความรู้เกี่ยวกับการเขียนบันเทิงคดี................................................................................. 37 7. ความรู้เกี่ยวกับการเขียนสารคดี........................................................................................ 40 8. การจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบซินเนกติกส์.............................. 41 9. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน.................................................................................................... 50 10. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง....................................................................................................... 57 11. กรอบแนวคิดในการวิจัย............................................................................................... 61


ช บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย.................................................................................................. 62 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง...............................................................................................62 2. แบบแผนการวิจัย................................................................................................................62 3. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย...................................................................................................63 4. การสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือ...................................................................................63 5. การเก็บรวบรวมข้อมูล........................................................................................................65 6. การวิเคราะห์ข้อมูล.............................................................................................................65 7. สถิติที่ใช้ในการวิจัย..........................................................................................................66 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล............................................................................................. 69 1. สัญลักษณ์ที่ใช้ในการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล..................................................69 2. ลำดับขั้นตอนในการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล...................................................70 3. ผลการวิเคราะห์ข้อมูล........................................................................................................70 บทที่ 5 สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ.................................................................... 77 1. สรุปผล..................................................................................................................................78 2. การอภิปรายผล...................................................................................................................78 3. ข้อเสนอแนะ........................................................................................................................82 บรรณานุกรม................................................................................................................ ....... 83 ภาคผนวก............................................................................................................................ 88 ภาคผนวก ก รายนามผู้เชี่ยวชาญในการตรวจเครื่องมือวิจัย......................................89 ภาคผนวก ข หนังสือแต่งตั้งผู้เชี่ยวชาญ..................................................................... 91 ภาคผนวก ค ข้อมูลแสดงความสอดคล้องของเครื่องมือ............................................ 93 ภาคผนวก ง แผนการจัดการเรียนรู้................................................................................ 102 ภาคผนวก จ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน............................................ 152 ภาคผนวก ฉ ภาพการจัดกิจกรรมการเรียนรู้......................................................... 159 ภาคผนวก ช ผลงานนักเรียน ................................................................................ 163 ภาคผนวก ซ ประวัติผู้วิจัย..................................................................................... 166


ซ สารบัญตาราง ตารางที่ หน้า ตารางที่ 1 ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง 2551 สาระที่ 2 การเขียน............................ 11 ตารางที่ 2 แบบแผนการวิจัยจำแนกตามตัวแปร........................................................................ 62 ตารางที่ 3 การแสดงประสิทธิภาพกระบวนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้แผนการ จัดการเรียนรู้วิชาภาษาไทย เรื่องการเขียนสร้างสรรค์ โดยใช้โดยใช้รูปแบบ การจัดการเรียนรู้ แบบซินเนกติกส์ จำนวน 30 คน.................................... ........ 70 ตารางที่ 4 การแสดงประสิทธิภาพของผลการจัดการเรียนรู้ เรื่องการเขียนสร้างสรรค์ โดยใช้โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบซินเนกติกส์ จำนวน 30...........................72 ตารางที่ 5 ผลการวิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่องการเขียน สร้างสรรค์ โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบซินเนกติกส์ ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 30 คน ............................................................................ 73 ตารางที่ 6 การแสดงค่าดัชนีประสิทธิผลการวิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องการ เขียนสร้างสรรค์ โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบซินเนกติกส์ ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 30 คน.................................................. ..........75 ตารางที่ 7 แสดงคะแนนเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบทีแบบไม่อิสระ และระดับนัยสำคัญทางสถิติของการทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การเขียนสร้างสรรค์ โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบซินเนกติกส์ ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ก่อนเรียนกับหลังเรียน...................................... ..........75


บทที่ 1 บทนำ ความเป็นมาและความสำคัญ ภาษาไทยเป็นสมบัติทางวัฒนธรรมที่แสดงเอกลักษณ์ของชาติ ภาษาไทยเป็นเครื่องมือ ในการติดต่อสื่อสาร สื่อความรู้สึกนึกคิด สร้างความเข้าใจ สร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ทำให้สามารถ ดำเนินชีวิตร่วมกันในสังคมได้อย่างสันติสุข อีกทั้งยังเป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้ประสบการณ์ จากแหล่งข้อมูล สารสนเทศต่าง ๆ เพื่อพัฒนาความรู้กระบวนการคิดวิเคราะห์ วิจารณ์และสร้างสรรค์ ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี ตลอดจนนำไปใช้ ในการพัฒนาอาชีพให้มีความมั่นคงทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ภาษายังแสดงให้เห็นถึงความรู้ ความสามารถในการใช้ภาษาไทยได้อย่าถูกต้อง ปัจจุบันการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีการสื่อสารมีการพัฒนาและขยายตัวมากขึ้น ภาษา ถือได้ว่ามีบทบาทสำคัญในการสื่อสาร การเรียนรู้ภาษาไทยไม่ใช่เพียงการอ่านออก ท่องจำ หรือเขียน ไปตามที่ครูบอกเท่านั้น แต่ผู้เรียนจะต้องสามารถคิด สื่อสารความคิด ความต้องการของตนออกมาให้ ผู้อื่นรับรู้และเข้าใจในสิ่งที่ต้องการจะสื่อ ฉะนั้นการจัดการศึกษาจึงจัดให้มีความสอดคล้องกับสภาพ สังคมในปัจจุบัน หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 ได้กำหนดสมรรถนะ สำคัญที่เกี่ยวข้องกับการสื่อสารว่า ความสามารถในการสื่อสารซึ่งเป็นความสามารถในการรับและ ส่งสาร มีวัฒนธรรมในการใช้ภาษาถ่ายทอดความรู้ความเข้าใจ ความรู้สึกนึกคิดและทัศนะของตนเอง เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร แลกเปลี่ยนประสบการณ์อันเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเองและ สังคม การเขียนเป็นทักษะทางการสื่อสารอย่างหนึ่งที่มีความสำคัญ โดยจะต้องฝึกฝนให้เกิดทักษะ ในการเขียนผู้เขียนจะต้องอาศัยทั้งความรู้ ทั้งประสบการณ์ที่ผ่านการฝึกฝน ประกอบกับเทคนิค วิธีการเขียน จากนั้นถ่ายทอดออกมาเป็นความคิดผ่านตัวอักษร โดยมีการลำดับเรื่องราว มีการเลือกใช้ ภาษาที่เหมาะสม สามารถสื่อความหมายให้ผู้รับสารเข้าใจได้ ดังนั้นการเขียนจึงมีความสำคัญมากและ ควรได้รับการฝึกฝนและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ดังที่กระทรวงศึกษาธิการ (2542) ได้กล่าวว่า ทักษะ ทางภาษาไทยได้แก่ การฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน ทักษะที่มีความสลับซับซ้อนและยากที่สุด โดยจะต้องอาศัยทักษะอื่นเป็นพื้นฐานคือทักษะการเขียน เพราะในการสื่อสารโดยใช้การเขียนนั้น ผู้เรียนต้องมีความรอบรู้ มีความคิดและประสบการณ์ต่าง ๆ กลั่นกรองความรู้ที่ได้นั้นออกมาเป็น ลายลักษณ์อักษร เพื่อให้สามารถสื่อความหมายได้อย่างถูกต้องและชัดเจน


2 การเขียนมีหลากหลายประเภทขึ้นอยู่กับจุดมุ่งหมายของผู้เขียน โดยการเขียนทุกประเภท จะต้องผ่านความรู้สึกนึกคิดของผู้เขียนเอง การเขียนนอกจากจะเป็นการสื่อสารอย่างหนึ่งแล้วยังเป็น การพัฒนาผู้เรียนทางด้านความรู้สึกนึกคิดอีกด้วย งานเขียนที่พบปัญหาในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 คือ การเขียนเชิงสร้างสรรค์ซึ่งนักเรียนส่วนใหญ่เขียนไม่ได้ เพราะขาดพื้นฐานความรู้ ขาดความคิด สร้างสรรค์ และขาดความสามารถในการลำดับความคิด ความต่อเนื่อง เป็นเหตุเป็นผลต่อกัน การเขียนเชิงสร้างสรรค์ หมายถึง การเขียนที่ผู้เขียนถ่ายทอดเนื้อหาสาระ ความคิด จินตนาการ อารมณ์ ตลอดจนประสบการณ์ ผ่านงานเขียนที่มีความแปลกใหม่ทั้งทางด้านรูปแบบ และเนื้อหาโดย อาศัยศิลปะทางภาษา การใช้สำนวนโวหาร ตลอดจนเทคนิควิธีการนำเสนอในรูปแบบต่างๆ ที่ไม่ ลอกเลียนแบบผู้ใด สร้างงานเขียนที่มีคุณค่า ให้ความเพลิดเพลิน จรรโลงใจ ตลอดจนให้สารประโยชน์ แก่ผู้อ่าน (สุทธิวรรณ อินทะกนก, 2559 : 25) การเขียนเชิงสร้างสรรค์จึงเป็นสิ่งที่จะต้องปลูกฝังให้ เกิดขึ้นกับเด็ก เพราะการเขียนเชิงสร้างสรรค์เป็นเครื่องมือที่สามารถพัฒนาเด็ก ให้มีจินตนาการ แสดงออกถึงความรู้สึกนึกคิดในการสร้างสรรค์ภาษา ซึ่งมีอยู่ในตัวเด็กทำให้ เกิดความสนุกสนาน เพลิดเพลินและซาบซึ้งในการใช้ภาษาเพื่อแสดงออกในด้านต่าง ๆ นอกจากนี้ยังช่วยในการปรับตัว ด้านอารมณ์และสังคมได้เป็นอย่างดี (นิจ จันทร์มล อ้างถึงใน มณฑนกร เจริญรักษา, 2552 : 2) ซึ่งสอดคล้องกับ บังอร ชมสะอาด และคณะ (2537 : 9) ที่ได้กล่าวไว้ว่า การสอนเขียนเชิงสร้างสรรค์ แก่นักเรียน นอกจากจะเป็นการฝึกทักษะการเขียนเพื่อพัฒนาสมรรถภาพการเขียนของนักเรียน ซึ่งก่อให้เกิดประสิทธิภาพในการถ่ายทอดความคิดและสื่อความหมาย ให้เกิดประโยชน์ที่ต้องการสูงสุด แล้ว ยังเป็นการฝึกทักษะการคิดเพื่อพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ ของนักเรียนให้กว้างขวางยิ่งขึ้น อันจะ ส่งผลต่อเนื่องไปถึงการพัฒนาคุณภาพของทรัพยากรบุคคล อีกทางหนึ่งด้วย จึงนับได้ว่า การฝึกฝน เขียนเชิงสร้างสรรค์เป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งที่ควรปลูกฝังและพัฒนาให้กับเด็ก ผู้วิจัยได้ศึกษาค้นคว้าเอกสารที่เกี่ยวข้องกับรูปแบบการจัดการเรียนการสอนที่ส่งเสริม การเขียนเชิงสร้างสรรค์ ได้แก่การจัดการเรียนการสอนตามรูปแบบซินเนกติกส์ (synectics) ไว้ว่า synectics instructional model เป็นรูปแบบที่จอยส์และวีล (Joyce and Weil) พัฒนาขึ้นจาก แนวคิดของกอร์ดอน (Gordon) ซึ่งวิธีการนี้มีประโยชน์มากสำหรับการเรียนรู้เกี่ยวกับ การเขียนเชิงสร้างสรรค์ โดยการจัดการเรียนการสอนรูปแบบซินเนกติกส์ จะมุ่งส่งเสริมให้ผู้เรียนมี ความคิดสร้างสรรค์ ด้วยการเปรียบเทียบแบบอุปมาอุปไมย 3 แบบ คือ การเปรียบเทียบแบบตรง (direct analogy) การเปรียบเทียบบุคคลกับสิ่งของ (personalanalogy) และการเปรียบเทียบคำคู่ ขัดแย้ง (compressed confic) อันเป็นรูปแบบการจัดการเรียนการสอนที่ส่งเสริมความคิด


3 สร้างสรรค์ได้ดี เพราะเป็นรูปแบบที่เปิดกว้างทางความคิดและจุดประกายทัศนะมุมมองใหม่ (ทิศนา แขมมณี,2548:46-47) นอกจากนี้วัชรา เล่าเรียนดี (2552: 48) ได้อธิบายเกี่ยวกับการจัดการเรียน การสอนตามรูปแบบชินเนกติกส์ไว้ว่า การจัดการเรียนการสอนแบบซินเนกติกส์ไม่อิงข้อเท็จจริง หลักการและเหตุผล เป็นกระบวนการที่ผู้เรียนต้องใช้ความรู้สึกของตัวเอง และนำตนเองให้เข้าไป เกี่ยวข้องกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งแล้ว จินตนาการให้กว้างขวางหลากหลาย ซึ่งรูปแบบชินเนกติกส์จะช่วย ให้ผู้เรียนเกิดความคิดสร้างสรรค์แปลกใหม่ จากความสำคัญของการเขียนเชิงสร้างสรรค์และปัญหาด้านการเขียนเชิงสร้างสรรค์จึงจำเป็น ที่จะต้องเร่งพัฒนาและส่งเสริมการเขียนเรียงความให้เกิดกับผู้เรียน เพื่อใช้ในการถ่ายทอดและสื่อสาร ได้อย่างถูกต้อง ผู้วิจัยจึงมีความสนใจที่จะพัฒนาความสามารถในการเขียนเขียนเชิงสร้างสรรค์ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบซินเนกติกส์ซึ่งเป็นวิธีที่จะช่วย พัฒนาให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาความคิด สร้างภาพจินตนาการโดยวิธีการเปรียบเทียบอุปมาอุปมัย เชื่อมโยงความคิดของผู้เรียนให้เกิดแนวทางความคิดที่แปลกใหม่ เนื่องจากการเขียนเชิงสร้างสรรค์นั้น ต้องอาศัยการคิดเป็นพื้นฐานสำคัญ ประกอบกับความรู้สึกนึกคิดและจินตนาการของตัวนักเรียน ฉะนั้นการนำรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบซินเนกติกส์จะช่วยพัฒนาความคิดเชื่อมโยงไปสู่ประเด็น ต่าง ๆ ได้อย่างง่ายขึ้น วัตถุประสงค์การวิจัย 1. เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาภาษาไทย เรื่องการเขียนเชิงสร้างสรรค์ โดยพัฒนาการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบซินเนกติกส์ของนักเรียน ขั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ให้มีคุณภาพตามเกณฑ์การประเมินร้อยละ 75/75 2. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาภาษาไทย เรื่อง การเขียนเชิงสร้างสรรค์ โดยพัฒนาการจัดการเรียนรู้โดยรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบซินเนกติกส์ ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ก่อนและหลังเรียน สมมุติฐานการวิจัย 1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาภาษาไทย เรื่อง การเขียนเชิงสร้างสรรค์ โดยพัฒนา การจัดการเรียนรู้โดยรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบซินเนกติกส์ ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มี คุณภาพตามเกณฑ์การประเมินร้อยละ 75/75


4 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาภาษาไทย เรื่อง การเขียนเชิงสร้างสรรค์ โดยพัฒนา การจัดการเรียนรู้โดยรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบซินเนกติกส์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน ขอบเขตของการวิจัย 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 1.1 ประชากรที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่กำลังศึกษาใน ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนสามพร้าววิทยา จำนวน 2 ห้อง ห้องละ 30 คน ประกอบด้วย ชั้น ม. 3/1, ม.3/2 รวม 60 คน 1.2 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่กำลังศึกษาใน ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนสามพร้าววิทยา จำนวน 1 ห้อง คือห้อง ม.3/1 จำนวน 30 คน โดยมาจากการสุ่มแบบกลุ่ม 2. ตัวแปรที่ใช้ในการวิจัย 2.1 ตัวแปรต้น คือ การจัดการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบซินเนกติกส์ 2.2 ตัวแปรตาม ได้แก่ 2.2.1 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิซาภาษาไทย เรื่อง การเขียนเชิงสร้างสรรค์ 3. เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัย ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 เรื่องการเขียนเชิงสร้างสรรค์ประกอบด้วย 3.1 เรื่องการเขียนคำขวัญ 3.2 เรื่องการเขียนโฆษณา 3.3 เรื่องการเขียนเรียงความ 3.4 เรื่องการเขียนบันเทิงคดี 3.5 เรื่องการเขียนสารคดี


5 นิยามศัพท์เฉพาะ 1. การจัดการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบซินเนกติกส์ หมายถึง แนวทางการจัด การเรียนการสอนที่มุ่งเน้นในการพัฒนาทักษะความคิดสร้างสรรค์ โดยใช้วิธีการเปรียบเทียบ อุปมาอุปไมย เชื่อมโยงความคิดของผู้เรียน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ทางความคิดที่แปลกใหม่ออกไปจากเดิม ซึ่งมี6 ขั้นตอนดังนี้1) ขั้นนำ 2) ขั้นการสร้างอุปมาแบบตรงหรือเปรียบเทียบทางตรง 3) ขั้นการสร้าง อุปมาบุคคลหรือเปรียบเทียบบคคลกับสิ่งของ 4) ขั้นการสร้างอุปมาคำคู่ขัดแย้ง 5) ขั้นการอธิบาย ความหมายของคำคู่ขัดแย้ง 6) ขั้นการนำความคิดใหม่มาสร้างสรรค์งาน 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง การวัดพฤติกรรม และความสามารถของผู้เรียน โดยเน้น การวัดความรู้ ความสามารถจากการเรียนรู้ทั้งในอดีตและปัจจุบันในการเรียนวิชา ภาษาไทย เรื่อง การเขียนเรียงความ คือ การจัดการเรียนรู้โดยการจัดการเรียนรู้แบบซินเนกติกส์ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3 ประโยชน์ที่จะได้รับ 1. การจัดการเรียนรู้คือ การจัดการเรียนรู้โดยการจัดการเรียนรู้แบบซินเนกติกส์ พัฒนา ทักษะการเขียน วิชาภาษาไทย เรื่องการเขียนเชิงสร้างสรรค์สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีประสิทธิภาพและสามารถนำไปใช้จัดกิจกรรมการเรียนการสอนได้ 2. เพื่อใช้เป็นแนวทางในการปรับปรุงวิธีการจัดการเรียนการสอน ในรายวิชาภาษาไทยต่อไป 3. เพื่อใช้เป็นแนวทางให้นักเรียนได้ฝึกฝนทักษะการเขียน สามารถนำความรู้ที่ได้ไปใช้ และ พัฒนาทักษะงานเขียนของตนอย่างถูกต้อง


บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การวิจัย เรื่อง การพัฒนาการจัดการเรียนรู้โดยรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบซินเนกติกส์ วิชาภาษาไทย เรื่องการเขียนเชิงสร้างสรรค์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ผู้วิจัยได้ศึกษา เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ 1. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 2. การเขียนเชิงสร้างสรรค์ 3. ความรู้เกี่ยวกับการเขียนคำขวัญ 4. ความรู้เกี่ยวกับการเขียนโฆษณา 5. ความรู้เกี่ยวกับการเขียนเรียงความ 6. ความรู้เกี่ยวกับการเขียนบันเทิงคดี 7. ความรู้เกี่ยวกับการเขียนสารคดี 8. การจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบซินเนกติกส์ 9. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 10. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 11. กรอบแนวคิดในการวิจัย หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3 หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย ได้ก้าหนดเป็นกรอบและทิศทางการพัฒนาหลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ของสถานศึกษา เพื่อให้เป็นแนวทางการจัดการเรียนการสอนให้เป็นแนวเดียวกันทั้งประเทศ ตามมาตรฐานการเรียนรู้ซึ่งผู้วิจัยได้ศึกษาในหัวข้อต่าง ๆ ดังนี้ 1. หลักการของหลักสูตร ภาษาไทยเป็นเอกลักษณ์ของชาติเป็นสมบัติทางวัฒนธรรมอันก่อให้เกิดความเป็น เอกภาพและเสริมสร้างบุคลิกภาพของคนในชาติให้มีความเป็นไทย เป็นเครื่องมือในการติดต่อสื่อสาร เพื่อสร้างความเข้าใจและความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ทําให้สามารถประกอบกิจธุระ การงาน และดํารงชีวิตร่วมกันในสังคมประชาธิปไตยได้อย่างสันติสุข และเป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้ ประสบการณ์จากแหล่งข้อมูลสารสนเทศต่าง ๆ เพื่อพัฒนาความรู้ พัฒนากระบวนการคิดวิเคราะห์ วิจารณ์ และสร้างสรรค์ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคม และความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์


7 เทคโนโลยี ตลอดจนนําไปใช้ในการพัฒนาอาชีพให้มีความมั่นคงทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ยังเป็นสื่อ แสดงภูมิปัญญาของบรรพบุรุษด้านวัฒนธรรม ประเพณี และสุนทรียภาพ เป็นสมบัติลค่าควรแก่การเรียนรู้ อนุรักษ์ และสืบสานให้คงอยู่คู่ชาติไทยตลอดไป (กระทรวงศึกษาธิการ, 2551 : 34) ภาษาไทยเป็นทักษะที่ต้องฝึกฝนจนเกิดความชํานาญในการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสาร การเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ และเพื่อนําไปใช้ในชีวิตจริง 1.1 การอ่าน การอ่านออกเสียงคํา ประโยค การอ่านบทร้อยแก้ว คําประพันธ์ ชนิดด่าง ๆ การอ่านในใจเพื่อสร้างความเข้าใจ และการคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ความรู้จากสิ่งที่อ่าน เพื่อนําไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน 1.2 การเขียน การเขียนสะกดตามอักขรวิธี การเขียนสื่อสาร โดยใช้ถ้อยคําและ รูปแบบต่าง ๆ ของการเขียน ซึ่งรวมถึงการเขียนเรียงความ ย่อความ รายงานชนิดต่าง ๆ การเขียน ตามจินตนาการวิเคราะห์วิจารณ์ และเขียนเชิงสร้างสรรค์ 1.3 การฟัง การดู และการพูด การฟังและดูอย่างมีวิจารณญาณ การพูด แสดงความคิดเห็นความรู้สึก พูดลำดับเรื่องราวต่าง ๆ อย่างเป็นเหตุเป็นผล การพูดในโอกาสต่าง ๆ ทั้งเป็น ทางการและไม่เป็นทางการ และการพูดเพื่อโน้มน้าวใจ 1.4 หลักการใช้ภาษาไทย ธรรมชาติและกฎเกณฑ์ของภาษาไทย การใช้ภาษาให้ ถูกต้องเหมาะสมกับโอกาสและบุคคล การแต่งบทประพันธ์ประเภทต่าง ๆ และอิทธิพลของภาษา ต่างประเทศในภาษาไทย 1.5 วรรณคดีและวรรณกรรม วิเคราะห์วรรณคดีและวรรณกรรมเพื่อศึกษาข้อมูล แนวความคิดคุณค่าของงานประพันธ์ และความเพลิดเพลิน การเรียนรู้และทําความเข้าใจบทเห่ บทร้องเล่นของเด็กเพลงพื้นบ้านที่เป็นภูมิปัญญาที่มีคุณค่าของไทย ซึ่งได้ถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิด ค่านิยม ขนบธรรมเนียมประเพณี เรื่องราวของสังคมในอดีต และความงดงามของภาษา เพื่อให้ เกิดความซาบซึ้งและภูมิใจในบรรพบุรุษที่ได้สั่งสมสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน 2. คุณภาพของผู้เรียน คุณภาพของผู้เรียนเมื่อจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ผู้เรียนต้องมีความรู้ความสามารถดังนี้ 2.1 อ่านออกเสียงบทร้อยแก้วและบทร้อยกรองเป็นทํานองเสนาะได้ถูกต้อง เข้าใจความหมายโดยตรงและความหมายโดยนัย จับใจความสำคัญและรายละเอียดของสิ่งที่อ่าน แสดงความคิดเห็นและข้อโต้แย้งเกี่ยวกับเรื่องที่อ่าน และเขียนกรอบแนวคิด ผังความคิด ย่อความ เขียนรายงานจากสิ่งที่อ่านได้ วิเคราะห์ วิจารณ์ อย่างมีเหตุผล ลำดับความอย่างมีขั้นตอน และความเป็นไปได้ของเรื่องที่อ่าน รวมทั้งประเมินความถูกต้องของข้อมูลที่ใช้สนับสนุนจากเรื่อง ที่อ่าน


8 2.2 เขียนสื่อสารด้วยลายมือที่อ่านง่ายชัดเจน ใช้ถ้อยคําได้ถูกต้องเหมาะสมตามระดับ ภาษาเขียนคําขวัญ คําคม คําอวยพรในโอกาสต่าง ๆ โฆษณา คติพจน์ สุนทรพจน์ ชีวประวัติ อัตชีวประวัติและประสบการณ์ต่าง ๆ เขียนย่อความ จดหมายกิจธุระ แบบกรอกสมัครงาน เขียนวิเคราะห์ วิจารณ์ และแสดงความรู้ความคิดหรือโต้แย้งอย่างมีเหตุผล ตลอดจนเขียนรายงาน การศึกษาค้นคว้าและเขียนโครงงาน 2.3 พูดแสดงความคิดเห็น วิเคราะห์ วิจารณ์ ประเมินสิ่งที่ได้จากการฟังและดู นําข้อคิดไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน พูดรายงานเรื่องหรือประเด็นที่ได้จากการศึกษาค้นคว้า อย่างเป็นระบบมีศิลปะในการพูด พูดในโอกาสต่าง ๆ ได้ตรงตามวัตถุประสงค์ และพูดโน้มน้าว อย่างมีเหตุผลน่าเชื่อถือรวมทั้งมีมารยาทในการฟัง ดู และพูด 2.4 เข้าใจและใช้คําราชาศัพท์ คําบาลีสันสกฤต คําภาษาต่างประเทศอื่น ๆ คําทับ ศัพท์ และศัพท์บัญญัติในภาษาไทย วิเคราะห์ความแตกต่างในภาษาพูด ภาษาเขียน โครงสร้าง ของประโยครวมประโยคซ้อน ลักษณะภาษาที่เป็นทางการ กึ่งทางการและไม่เป็นทางการ และแต่งบทร้อยกรองประเภทกลอนสุภาพ กาพย์ และโคลงสี่สุภาพ 2.5 สรุปเนื้อหาวรรณคดีและวรรณกรรมที่อ่าน วิเคราะห์ตัวละครสำคัญ วิถีชีวิตไทย และคุณค่าที่ได้รับจากวรรณคดีวรรณกรรมและบทอาขยาน พร้อมทั้งสรุปความรู้ข้อคิดเพื่อนําไป ประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง 3. สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ประกอบด้วย 5 สาระ ดังนี้ สาระที่ 1 การอ่าน มาตรฐาน ท 1.1 ใช้กระบวนการอ่านสร้างความรู้และความคิด เพื่อนําไปใช้ ตัดสินใจ แก้ปัญหาในการดําเนินชีวิตและมีนิสัยรักการอ่าน 1. อ่านออกเสียงบทร้อยแก้วและบทร้อยกรองได้ถูกต้องเหมาะสมกับเรื่องที่อ่าน 2. ระบุความแตกต่างของคำที่มีความหมายโดยตรงและความหมายโดยนัย 3. ระบุใจความสำคัญและรายละเอียดของข้อมูลที่สนับสนุนจากเรื่องที่อ่าน 4. อ่านเรื่องต่างๆ แล้วเขียนกรอบแนวคิด ผังความคิด บันทึก ย่อความและ รายงาน 5. วิเคราะห์ วิจารณ์ และประเมินเรื่องที่อ่านโดยใช้กลวิธีการเปรียบเทียบเพื่อให้ ผู้อ่านเข้าใจได้ดีขึ้น 6. ประเมินความถูกต้องของข้อมูลที่ใช้สนับสนุนในเรื่องที่อ่าน 7. วิจารณ์ความสมเหตุสมผล การลำดับความ และความเป็นไปได้ของเรื่อง


9 8. วิเคราะห์เพื่อแสดงความคิดเห็นโต้แย้งเกี่ยวกับเรื่องที่อ่าน 9. ตีความและประเมินคุณค่าและแนวคิดที่ได้จากงานเขียนอย่างหลากหลายเพื่อ นำไปใช้แก้ปัญหาในชีวิต 10. มีมารยาทในการอ่าน สาระที่ 2 การเขียน มาตรฐาน ท 2.1 ใช้กระบวนการเขียน เขียนสื่อสาร เขียนเรียงความ ย่อความ และเขียนเรื่องราวในรูปแบบต่าง ๆ เขียนรายงานข้อมูลสารสนเทศ และรายงานการศึกษาค้นคว้า อย่างมีประสิทธิภาพ 1. คัดลายมือตัวบรรจงครึ่งบรรทัด 2. เขียนข้อความโดยใช้ถ้อยคำได้ถูกต้องตามระดับภาษา 3. เขียนชีวประวัติหรืออัตชีวประวัติโดยเล่าเหตุการณ์ ข้อคิดเห็น และทัศนคติใน เรื่องต่างๆ 4. เขียนย่อความ 5. เขียนจดหมายกิจธุระ 6. เขียนอธิบาย ชี้แจง แสดงความคิดเห็นและโต้แย้งอย่างมีเหตุผล 7. เขียนวิเคราะห์ วิจารณ์ และแสดงความรู้ ความคิดเห็น หรือโต้แย้งในเรื่องต่างๆ 8. กรอกแบบสมัครงานพร้อมเขียนบรรยายเกี่ยวกับความรู้และทักษะของตนเองที่ เหมาะสมกับงาน 9. เขียนรายงานการศึกษาค้นคว้า และโครงงาน 10. มารยาทในการเขียน สาระที่ 3 การฟัง การดู และการพูด มาตรฐาน ท 3.1 สามารถเลือกฟังและดูอย่างมีวิจารณญาณ และพูดแสดงความรู้ ความคิด และความรู้สึกในโอกาสต่าง ๆ อย่างมีวิจารณญาณและสร้างสรรค์ 1. สดงความคิดเห็นและประเมินเรื่องจากการฟังและการดู 2. วิเคราะห์และวิจารณ์เรื่องที่ฟังและดูเพื่อนำข้อคิดมาประยุกต์ใช้ในการดำเนิน ชีวิต 3. พูดรายงานเรื่องหรือประเด็นที่ศึกษาค้นคว้าจากการฟัง การดู และการสนทนา 4. พูดในโอกาสต่าง ๆ ได้ตรงตามวัตถุประสงค์ 5. พูดโน้มน้าวโดยนำเสนอหลักฐานตามลำดับเนื้อหาอย่างมีเหตุผลและน่าเชื่อถือ 6. มีมารยาทในการฟัง การดู และการพูด


10 สาระที่ 4 หลักการใช้ภาษาไทย มาตรฐาน ท 4.1 เข้าใจธรรมชาติของภาษาและหลักภาษาไทย การเปลี่ยนแปลง ของภาษา และพลังของภาษา ภูมิปัญญาทางภาษา และรักษาภาษาไทยไว้เป็นสมบัติของชาติ 1. จำแนกและใช้คำภาษาต่างประเทศที่ใช้ในภาษาไทย 2. วิเคราะห์โครงสร้างประโยคซับซ้อน 3. วิเคราะห์ระดับภาษา 4. ใช้คำทับศัพท์และศัพท์บัญญัติ 5. อธิบายความหมายคำศัพท์ทางวิชาการและวิชาชีพ 6. แต่งบทร้อยกรอง สาระที่ 5 วรรณคดีและวรรณกรรม มาตรฐาน ท 5.1 เข้าใจและแสดงความคิดเห็น วิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรม ไทยอย่างเห็นคุณค่า และนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง 1. สรุปเนื้อหาวรรณคดี วรรณกรรมและวรรณกรรมท้องถิ่นในระดับที่ยากยิ่งขึ้น 2. วิเคราะห์วิถีไทยและคุณค่าจากวรรณคดีและวรรณกรรมที่อ่าน 3. สรุปความรู้และข้อคิดจากการอ่าน เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง 5. ท่องจำและบอกคุณค่าบทอาขยานตามที่กำหนด และบทร้อยกรองที่มีคุณค่า ตามความสนใจและนำไปใช้อ้างอิง 4. สาระการเรียนรู้การเขียน สาระที่ 2 การเขียน มาตรฐาน ท 2.1 ใช้กระบวนการเขียน เขียนสื่อสาร เขียนเรียงความ ย่อความ และเขียนเรื่องราวในรูปแบบต่าง ๆ เขียนรายงานข้อมูลสารสนเทศ และรายงานการศึกษาค้นคว้า อย่างมีประสิทธิภาพ หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ได้ก้าหนดตัวชี้วัดและสาระ การเรียนรู้แกนกลางกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 สาระที่ 2 การเขียน (กระทรวงศึกษาธิการ, 2551 : 41) ดังนี้


11 ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง 1. คัดลายมือตัวบรรจงครึ่งบรรทัด 2. เขียนข้อความโดยใช้ถ้อยคำได้ถูกต้องตาม ระดับภาษา 3. เขียนชีวประวัติหรืออัตชีวประวัติโดยเล่า เหตุการณ์ ข้อคิดเห็น และทัศนคติในเรื่องต่างๆ 4. เขียนย่อความ 5. เขียนจดหมายกิจธุระ 6. เขียนอธิบาย ชี้แจง แสดงความคิดเห็นและ โต้แย้งอย่างมีเหตุผล 7. เขียนวิเคราะห์ วิจารณ์ และแสดงความรู้ ความคิดเห็น หรือโต้แย้งในเรื่องต่างๆ 8. กรอกแบบสมัครงานพร้อมเขียนบรรยาย เกี่ยวกับความรู้และทักษะของตนเองที่ เหมาะสมกับงาน 9. เขียนรายงานการศึกษาค้นคว้า และโครงงาน 10. มารยาทในการเขียน • การคัดลายมือตัวบรรจงครึ่งบรรทัดตามรูปแบบ การเขียนตัวอักษรไทย • การเขียนข้อความตามสถานการณ์และโอกาส ต่างๆ เช่น - คำอวยพรในโอกาสต่างๆ - โฆษณา - คำขวัญ - คติพจน์ - คำคม - สุนทรพจน์ • การเขียนอัตชีวประวัติหรือชีวประวัติ • การเขียนย่อความจากสื่อต่างๆ เช่น นิทาน ประวัติตำนาน สารคดีทางวิชาการ พระราชดำรัส พระบรมราโชวาท จดหมายราชการ • การเขียนจดหมายกิจธุระ - จดหมายเชิญวิทยากร - จดหมายขอความอนุเคราะห์ - จดหมายแสดงความขอบคุณ • การเขียนอธิบาย ชี้แจง แสดงความคิดเห็น และ โต้แย้งในเรื่องต่าง ๆ • การเขียนวิเคราะห์ วิจารณ์ และแสดงความรู้ ความคิดเห็น หรือโต้แย้งจากสื่อต่างๆ เช่น - บทโฆษณา - บทความทางวิชาการ • การกรอกแบบสมัครงาน • การเขียนรายงาน ได้แก่ - การเขียนรายงานจากการศึกษาค้นคว้า - การเขียนรายงานโครงงาน • มารยาทในการเขียน ตารางที่ 1 ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง 2551 สาระที่ 2 การเขียน


12 การศึกษาเรื่องหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ทำให้ได้รับความรู้เกี่ยวกับรายละเอียด ของรูปแบบหลักสูตร ทั้งในด้านความหลักการของหลักสูตร คุณภาพผู้เรียน มาตรฐานการเรียนรู้ และตัวชี้วัด ซึ่งเป็นความรู้ที่เป็นประโยชน์ในด้านการจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้และแบบทดสอบ ให้สอดคล้องกับสาระการเรียนรู้ที่กำหนดอย่างมีประสิทธิภาพ การเขียนเชิงสร้างสรรค์ การเขียนนับเป็นทักษะการสื่อสารที่มีความสำคัญต่อชีวิตประจำวันของมนุษย์ เป็นการถ่ายทอดความคิด ความรู้ จินตนาการ อารมณ์ความรู้สึกและประสบการณ์ออกมาเป็น เรื่องราว โดยอาศัยตัวอักษรหรือสัญลักษณ์ต่าง ๆ ในการสื่อความหมายจากผู้เขียนไปยังผู้อ่าน เพื่อให้ เกิดความรู้ ความเข้าใจ ตลอดจนได้รับอรรถรสในเรื่องราวเหล่านั้น ถ้าผู้เขียนมีความสามารถ ในการเขียนผู้อ่านย่อมเข้าใจความหมายได้ดี ตรงกันข้ามหากผู้เขียนไม่มีความสามารถในการเขียน ย่อมไม่สามารถถ่ายทอดความรู้ ความคิด ความรู้สึก อารมณ์ ฯลฯ สู่ผู้อ่านได้ตามต้องการ จากข้างต้นจะเห็นได้ว่า การเขียนนั้นนับเป็นทักษะการสื่อสารที่มีความสำคัญต่อผู้เขียน และมีความสัมพันธ์กับผู้อ่านอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะผู้เขียนนั้นจะต้องมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับ ทักษะการเขียนและวิธีเขียน เพื่อการสร้างสรรค์งานเขียนที่ทรงคุณค่า เป็นความรู้และความเข้าใจ พื้นฐานที่จะสามารถนำไปใช้ในการเขียนเชิงสร้างสรรค์ต่อไป 1. ความหมายของการเขียน พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 (2556 : 212) ได้นิยามคำว่า เขียน ไว้ว่า ก. ขีดให้เป็นตัวหนังสือหรือตัวเลข, ขีดให้เป็นเส้นหรือรูปต่าง ๆ, วาด, แต่งหนังสือ สุจริต เพียรชอบ และสายใจ อินทรัมพรรย์ (2533 : 134-135) กล่าวว่า การเขียน คือ การเรียบเรียงความรู้ ความคิดและประสบการณ์ต่างๆ ตลอดจนความรู้สึกนึกคิดและจินตนาการ ออกมาเป็นลายลักษณ์อักษร เปลื้อง ณ นคร (2540 : 1) กล่าวว่า การเขียนคือการแสดงความคิด ความรู้สึก และความรู้ ซึ่งอยู่ในใจออกให้ผู้อื่นรู้ สิริวรรณ นันทจันทูล (2543 : 11) กล่าวว่า การเขียน คือ การถ่ายทอดความรู้ ความคิด ความต้องการ อารมณ์ ความรู้สึก และประสบการณ์ของผู้เขียนไปยังผู้อ่าน ให้เข้าใจ ตรงตามจุดประสงค์ของผู้เขียน โดยใช้ตัวอักษรในภาษาเป็นเครื่องมือ


13 จิรวัฒน์ เพชรรัตน์ และอัมพร ทองใบ (2555 : 287) กล่าวว่า การเขียน คือ การสื่อความหมายโดยการนำความรู้ ความคิด ความรู้สึก ประสบการณ์ และจินตนาการของผู้เขียน ออกมาเรียบเรียงเป็นลายลักษณ์อักษร เพื่อจุดมุ่งหมายในการสื่อสารระหว่างผู้เขียนกับผู้อ่าน วรวรรธน์ ศรียาภัย (2557 : 24) กล่าวว่า การเขียน หมายถึง การแต่งหนังสือ โดยใช้ตัวอักษรและสัญลักษณ์ถ่ายทอดความรู้ ความคิด ความรู้สึก จินตนาการ และข่าวสาร จากผู้เขียนไปยังผู้อ่าน จากข้างต้น สามารถสรุปได้ว่า การเขียน คือ การถ่ายทอดความคิด ความรู้จินตนาการ อารมณ์ความรู้สึกและประสบการณ์ออกมาเป็นเรื่องราว โดยอาศัยตัวอักษรหรือสัญลักษณ์ต่าง ๆ ในการสื่อความหมายจากผู้เขียนไปยังผู้อ่าน เพื่อให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ ตลอดจนได้รับอรรถรส ในเรื่องราวเหล่านั้น 2. ความหมายของการเขียนเชิงสร้างสรรค์ การเขียนเชิงสร้างสรรค์เป็นการเขียนที่ประกอบไปด้วยศาสตร์และศิลป์ กล่าวคือ ในแง่ของการเป็น “ศาสตร์” นั้น การเขียนเชิงสร้างสรรค์เป็นการถ่ายทอดความรู้ ทรรศนะ อารมณ์ ตลอดจนประสบการณ์ผ่านภาษา ซึ่งถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการติดต่อสื่อสารของคนในสังคม ผู้เขียนจึงจำเป็นต้องอาศัยทั้งความรู้ทางภาษา หลักการและทฤษฎี ความลุ่มลึกของสาขาวิชา แขนงต่าง ๆ ที่ต้องการถ่ายทอด ตลอดจนอาศัยประสบการณ์การเขียนเพื่อถ่ายทอดเนื้อหาอันมีคุณค่า สารประโยชน์ตลอดจนความแปลกใหม่ผ่านงานเขียนของตน ส่วนในแง่ของการเป็น “ศิลป์” นั้น กล่าวคือ การที่ผู้เขียนจะเขียนได้อย่างสร้างสรรค์นั้น ผู้เขียนจะต้องมีความรู้และความชำนาญ ในการใช้เทคนิคกลวิธีการเขียน การใช้ท่วงทำนองการเขียน รวมทั้งการใช้ศิลปะทางด้านภาษา สำนวนโวหาร เพื่อผลิตงานเขียนได้อย่างสวยงาม สร้างสรรค์และทรงคุณค่า จากที่กล่าวมาข้างต้นนี้ เราจึงมิอาจปฏิเสธได้ว่าการเขียนเชิงสร้างสรรค์นั้น เป็นการเขียนที่มีความพิเศษโดดเด่นและมีลักษณะเฉพาะในการถ่ายทอดเรื่องราวต่าง ๆ จากผู้เขียน ไปยังผู้อ่าน ซึ่งหากผู้เขียนนั้นเรียนรู้วิธีการเพื่อนำไปพัฒนาการเขียนเชิงสร้างสรรค์แล้ว ผลงานเขียน เหล่านั้นก็จะกลายเป็นสมบัติอันล้ำค่าของสังคมในการที่จะช่วยจรรโลงผู้คนและสังคมให้มีความเจริญ งอกงามในภายภาคหน้าต่อไป การเขียนเชิงสร้างสรรค์นั้น ได้มีนักวิชาการนิยามไว้อย่างหลากหลาย สามารถนำมา ประมวลไว้ได้ ดังนี้ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 (2556 : 1178) นิยามคำว่า “สร้างสรรค์” ไว้ว่า ก. สร้างให้มีขึ้นเป็นขึ้น, ว. มีลักษณะริเริ่มในทางดี เช่น ความคิดสร้างสรรค์ ศิลปะสร้างสรรค์


14 เจือ สตะเวทิน (2517 : 18) ได้กล่าวถึงการเขียนเชิงสร้างสรรค์ (Creative Writing) ไว้ว่าเป็นการเขียนที่ใช้ความคิดของผู้เขียนเอง เพื่อแสดงให้เห็นว่าจะทำการอย่างหนึ่งที่แสดง สติปัญญาของตนเอง ไม่เขียนตามแบบใคร ไม่คัดลอกใคร โดยข้อเขียนที่นับว่าเป็นการเขียน สร้างสรรค์จะเป็นเรื่องสมมติก็ได้ เช่น นวนิยาย เรื่องสั้น บทความ บทละคร บทวิทยุ บทภาพยนตร์ คอลัมน์ต่าง ๆ เป็นต้น ฐะปะนีย์ นาครทรรพ (2521 : 2) ได้นิยามการเขียนสร้างสรรค์ไว้ว่า การเขียน สร้างสรรค์มีความหมายตรงกันข้ามกับการเขียนที่มุ่งประโยชน์ทางธุรกิจหรือวิชาการต่าง ๆ ในความเรียงเชิงสร้างสรรค์ ผู้เขียนจะต้องสามารถใช้จินตนาการหรือความคิดคำนึงของผู้เขียนสาร ออกมาด้วยถ้อยคำที่สละสลวย ประทับใจผู้อ่าน ผู้ฟัง และให้ความรู้สึกในทางเพลิดเพลินเจริญใจ และประดับสติปัญญาไปด้วยในตัว สมพร มันตะสูตร (2525 : 7) นิยามว่า การเขียนสร้างสรรค์ หมายถึง การเขียน ที่เกิดจากความคิดริเริ่ม ไม่ลอกเลียนแบบ มีความแปลกใหม่ มีจินตนาการ ซึ่งสอดประสาน กับความงามทางภาษา สร้างสรรค์สติปัญญา ประเทืองอารมณ์ ผสมผสานกับการเสนอความคิด และถ้อยคำ สำนวนอันประกอบด้วยศิลปะ มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ทั้งรูปแบบ เนื้อหาสาระ กลวิธี ตลอดจนการใช้ถ้อยคำสำนวนต่าง ๆ ประภาศรี สีหอำไพ (2531 : 1) ได้นิยามการเขียนเชิงสร้างสรรค์ไว้ว่า การเขียน แบบสร้างสรรค์ หมายถึง การเขียนที่ผู้เขียนสร้างคำและความจากจินตนาการของตนเองโดยมิได้ ลอกเลียนแบบอย่างของผู้อื่น มีอิสระที่จะเลือกรูปแบบการเขียนโดยไม่อยู่ในกรอบของลักษณะ ของคำประพันธ์นัก ผลงานเช่นนี้จึงมีความประณีตมีคุณค่าทางความคิดริเริ่มอย่างเด่นชัด โกชัย สาริกบุตร (2542 : 99) อธิบายการเขียนเชิงสร้างสรรค์ไว้ว่า เป็นการเขียน ที่มีลักษณะเด่นเฉพาะตัว แสดงความเป็นตัวของตัวเอง มีความแปลกใหม่ ไม่ซ้ำใคร ไม่ลอกเลียนผู้อื่น โดยไม่ดัดแปลง ปรับปรุงอะไรเลย ปราณี สุรสิทธิ์ (2549 : 40) นิยามการเขียนเชิงสร้างสรรค์ หมายถึง การเขียนที่ผู้เขียน สร้างคำ แนวคิด จากจินตนาการของตนเองโดยไม่ได้ลอกเลียนแบบอย่างของผู้อื่น อีกทั้งยังมีอิสระ ที่จะคิดรูปแบบใหม่ๆ ที่แหวกจากของเดิมที่มีอยู่ เป็นผลงานที่มีคุณค่าทางความคิดริเริ่มอย่างเด่นชัด ถวัลย์ มาศจรัส (2550 : 4) ได้นิยามการเขียนเชิงสร้างสรรค์ไว้ว่า การเขียน เชิงสร้างสรรค์ หมายถึง งานเขียนที่แสดงให้เห็นถึงความคิดสร้างสรรค์ของผู้เขียนที่เขียนด้วยสำนวน ภาษาที่มีลักษณะเฉพาะของตนเอง หรือมีรูปแบบการเขียนที่มีความแปลกใหม่ มีคุณค่า และเป็นที่ ยอมรับของสาธารณชน บุณย์เสนอ ตรีวิเศษ (2554 : 4) นิยาม การเขียนเชิงสร้างสรรค์ไว้ว่า เป็นการเขียน ทั้งร้อยแก้วร้อยกรอง สารคดี และบันเทิงคดีที่ผู้เขียนมุ่งแสดงความคำนึงและจินตนาการของตน


15 ด้วยสำนวนภาษาสละสลวย กลวิธีการเขียนไม่มีขอบเขตจำกัด การแสดงออกในทุกองค์ประกอบเป็น เอกลักษณ์เฉพาะตัวของผู้เขียนและงานเขียนนั้นต้องมีคุณค่าทางอารมณ์และสติปัญญา จากที่กล่าวมาทั้งหมด สามารถสรุปได้ว่า การเขียนเชิงสร้างสรรค์ หมายถึง การเขียน ที่ผู้เขียนถ่ายทอดเนื้อหาสาระ ความคิด จินตนาการ อารมณ์ ตลอดจนประสบการณ์ ผ่านงานเขียน ที่มีความแปลกใหม่ทั้งทางด้านรูปแบบและเนื้อหา โดยอาศัยศิลปะทางภาษา การใช้สำนวนโวหาร ตลอดจนเทคนิควิธีการนำเสนอในรูปแบบต่าง ๆ ที่ไม่ลอกเลียนแบบผู้ใด สร้างงานเขียนที่มีคุณค่า ให้ความเพลิดเพลิน จรรโลงใจ ตลอดจนให้สารประโยชน์แก่ผู้อ่าน 3. ความสำคัญของการเขียนเชิงสร้างสรรค์ การเขียนเชิงสร้างสรรค์มีความจำเป็นที่จะต้องใช้ในชีวิตประจำวัน ดังนั้นจึง มี ความจำเป็นที่ควรจะฝึกให้แก่เด็กจึงจะมีผลทำให้ประสิทธิภาพในการเขียนสูงขึ้นและเปิดโอกาส ให้เด็กมีอิสระในการคิดได้อย่างเสรีมากยิ่งขึ้นดังมีนักวิชาการและนักการศึกษาความสำคัญ ของการเขียนเชิงสร้างสรรค์ไว้ดังนี้ บันลือ พฤกษะวัน (2533 : 2) กล่าวว่าการเขียนเชิงสร้างสรรค์นอกจากจะเป็นการฝึก ทักษะการเขียนเพื่อพัฒนาสมรรถภาพทางการเขียนของนักเรียนซึ่งจะก่อให้เกิดประสิทธิภาพ ในการถ่ายทอดความคิดและสื่อความหมายให้เกิดประโยชน์ที่ต้องการสูงสุดแล้วยังเป็นการฝึก เพื่อพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ของนักเรียนให้กว้างขวางยิ่งขึ้นอันจะส่งผลต่อเนื่องไปถึงการพัฒนา คุณภาพของทรัพยากรบุคคลอีกทางหนึ่งด้วยและยังเป็นวิธีการที่จะช่วยให้ผู้สอนเข้าใจ ถึงความแตกต่างของผู้เรียนช่วยให้เกิดความคุ้นเคยและเข้าใจในตัวผู้เรียนเป็นรายบุคคล เพราะจากงานเขียนจะแสดงให้เห็นถึงความคิดความรู้สึกประสบการณ์ของผู้เขียน นิจ จันทร์มล (2535 : 1) ได้สรุปความสำคัญและประโยชน์ของการเขียน เชิงสร้างสรรค์ไว้ว่าปัจจุบันการเขียนเชิงสร้างสรรค์นับว่าเป็นทักษะที่จำเป็นในการพัฒนาการศึกษา มาก เพราะการเขียนเชิงสร้างสรรค์เป็นทักษะพื้นฐานที่ช่วยให้เด็กได้กล้าแสดงออกในการถ่ายทอด อารมณ์ความรู้สึกนึกคิดจินตนาการและประสบการณ์โดยเชื่อมโยงลำดับความคิดเป็นถ้อยคำ ที่สละสลวยสามารถเขียนได้หลายมุมแปลกและไม่ซ้ำแบบใครเพื่อสื่อความหมายให้ผู้อื่นได้เข้าใจ ตรงกับที่ผู้เขียนต้องการและยังช่วยในการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมของสังคมที่มี การเปลี่ยนแปลงและปัญหาแปลกใหม่ซึ่งเกิดขึ้นตลอดเวลานอกจากนี้ยังช่วยให้ผู้อ่านได้รับ ความเพลิดเพลินและนำความคิดไปสานต่อเพื่อพัฒนาสังคมให้มีความทันสมัยและดีกว่าที่เป็นอยู่ต่อไป อีกด้วย


16 วิภาฤดี วิภาวิน (2543 : 2) ได้กล่าวว่าการเขียนเชิงสร้างสรรค์เป็นเครื่องมือที่สามารถ พัฒนาเด็กให้มีจินตนาการแสดงออกถึงความรู้สึกนึกคิดในการสร้างสรรค์ทางภาษาเป็นการระบาย อารมณ์ตามธรรมชาติที่มีอยู่ในตัวเด็กทำให้เด็กเกิดความสนุกสนานเพลิดเพลินและเกิดความชื่นชม ในศิลปะซาบซึ้งในการใช้ภาษาเพื่อแสดงออกในด้านต่าง ๆ ณภัทร สระประเทศ (2544 : 26) กล่าวว่าการเขียนเชิงสร้างสรรค์มีประโยชน์มาก ทั้งต่อตัวผู้เรียนและครูผู้สอนการเขียนเชิงสร้างสรรค์ทำให้ผู้เรียนได้เรียนรู้เกี่ยวกับความรู้สึกนึกคิด ต่อสิ่งต่าง ๆ รอบตัวเองจึงควรเปิดโอกาสให้นักเรียนได้แสดงความนึกคิดออกมาเป็นสำนวนภาษา ที่ไพเราะสละสลวยซึ่งจะเป็นประโยชน์สำหรับครูผู้สอนอีกด้วยเพราะจะทำให้เข้าใจเด็กเป็นรายบุคคล ได้โดยดูจากงานเขียนที่นักเรียนเขียนขึ้นมา ถวัลย์ มาศจรัส (2546 : 5-6) ได้กล่าวถึงความสำคัญของการเขียนเชิงสร้างสรรค์ไว้ ดังนี้ 1. ความสำคัญต่อชีวิต 1.1 เกิดภูมิปัญญาด้านสำนวนภาษาใหม่ ๆ สำหรับติดต่อสื่อสารให้ทันโลก ทันเหตุการณ์ 1.2 เกิดอาชีพใหม่ ๆ จากการใช้ภาษาเชิงสร้างสรรค์เช่นนักโฆษณานักเขียน นักเขียนบทวิทยุโทรทัศน์โฆษกพิธีกรนักโต้วาทีการแสดงเดี่ยว (ทอล์คโชว์) นักแปล 1.3 เกิดการสืบสานรากเหง้าทางวัฒนธรรม ได้แก่ การฟังการพูดการอ่านการเขียน การแสดงซึ่งเป็นทั้งสาระและความบันเทิงของชีวิต ฯลฯ 2. ความสำคัญต่อบุคคล 2.1 พัฒนาสมองซีกขวาในเรื่องของความคิดสร้างสรรค์ใหม่ ๆ 2.2 ทำให้เกิดภูมิปัญญา (Wisdom) ด้านต่าง ๆ ด้วยตนเองอาทิด้านภาษา ด้านเหตุผลด้านการศึกษาศาสนาศิลปะวัฒนธรรม 3. ความสำคัญต่อสังคม 3.1 เกิดรูปแบบใหม่ในการติดต่อสื่อสารของคนในสังคมและระหว่างสังคมต่อสังคม 3.2 เกิดวัฒนธรรมและอารยธรรมใหม่ของการติดต่อสื่อสาร 3.3 เป็นการจุดประกายความคิดความฝันและจินตนาการผ่านการนำเสนอ ในรูปแบบของการเขียนเชิงสร้างสรรค์ การเขียนเชิงสร้างสรรค์เป็นพลังสำคัญที่ทำให้เกิดสาระทางวิชาการซึ่งเป็นส่วนของ ความมีเหตุมีผล (การใช้สมองซีกซ้าย) และส่วนของความสุนทรีของชีวิตเป็นส่วนของความคิด สร้างสรรค์การใช้สมองซีกขวา) อย่างสมดุล


17 จากแนวคิดที่กล่าวข้างต้นการเขียนเชิงสร้างสรรค์เป็นการเขียนที่ให้เด็กได้แสดงออก ทางความคิดได้ระบายอารมณ์และความรู้สึกเกิดความสนใจในการเรียนสนุกสนานเพลิดเพลินสามารถ สนองความต้องการตามธรรมชาติของเด็กและเป็นการพัฒนาทั้งทักษะการคิดและทักษะการเขียน นอกจากนี้การเขียนเชิงสร้างสรรค์ยังช่วยให้ครูรู้จักนักเรียนรายบุคคลได้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย 4. จุดมุ่งหมายของการเขียนเชิงสร้างสรรค์ ในการเรียนการสอนภาษาไทย การเขียนเชิงสร้างสรรค์มีความจ้าเป็นและสำคัญ ที่ทำให้ผู้เรียนได้มีโอกาสสร้างสรรค์ผลงานทางภาษา จึงเป็นหน้าที่ของครูผู้สอนที่ต้องกระตุ้น แนะแนวทาง วิธีการใหม่ ๆ ให้กับผู้เรียนบรรลุจุดประสงค์ที่วางไว้ โดยต้องมีจุดมุ่งหมายของการเขียน เชิงสร้างสรรค์อย่างชัดเจน กรรณิการ์ พวงเกษม (2545 : 34) ได้กล่าวถึงจุดมุ่งหมายในการเขียนเชิงสร้างสรรค์ไว้ ดังนี้ คือ 1. เพื่อให้รู้จักระบายความรู้สึกนึกคิดของงานออกมาในทางสร้างสรรค์และเข้าใจ แนวคิดของผู้อื่น 2. เพื่อให้เข้าใจ เห็นคุณค่า และชื่นชมศิลปะ วรรณคดี ดนตรี 3. เพื่อให้มีความสามารถในการปรับตัวทางอารมณ์และสังคม 4. ผู้เรียนจะได้รับประสบการณ์ต่าง ๆ จากสิ่งที่ครูให้บนกระดานดำ 5. ประสบการณ์ที่ได้จากการอภิปรายร่วมกัน จะช่วยพัฒนาทักษะในการเขียนได้ มากกว่าให้เขียนเพียงอย่างเดียว ส่วน Makkie (อ้างถึงใน กรรณิการ์ พวงเกษม, 2531 : 33) ได้กล่าวถึงจุดมุ่งหมาย ของการเขียนเชิงสร้างสรรค์ไว้ 4 ประการ คือ 1. เพื่อพัฒนาบุคลิกภาพส่วนบุคคลของเด็กให้แสดงความรู้สึกและแนวความคิด 2. เพื่อให้เด็กมีอิสระ และมีความเชื่อมั่นในตนเองในการแสดงออกทางภาษา เพื่อความเพลิดเพลินในยามว่าง 3. เพื่อให้เด็กได้แสดงความสามารถตามธรรมชาติที่มีอยู่ในเด็กบางคน 4. เพื่อช่วยให้เด็กสนุกสนาน และเกิดความซาบซึ้งในวรรณคดี โดยใช้ความ พยายามด้วยตนเอง จากจุดมุ่งหมายการเขียนเชิงสร้างสรรค์ สรุปได้ว่า เพื่อส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ แสดงความคิดด้านภาษาและฝึกการใช้จินตนาการอย่างสร้างสรรค์ เห็นคุณค่าของศิลปะและความ งดงามทางภาษา รวมถึงการวางรากฐานความพอใจในวรรณคดีขึ้นในเด็ก


18 5. ลักษณะของการเขียนเชิงสร้างสรรค์ งานเขียนเชิงสร้างสรรค์เป็นงานเขียนที่อาศัยความประณีตบรรจง และมีจุดมุ่งหมาย ที่สูงกว่างานเขียนทั่วไป ฉะนั้นการเขียนงานเชิงสร้างสรรค์จึงมีรูปแบบลักษณะเฉพาะตายตัว ดังที่มี ผู้กล่าวถึงลักษณะการเขียนเชิงสร้างสรรค์ไว้ดังนี้ กระทรวงศึกษาธิการ (2534 : 7) กล่าวถึงลักษณะสำคัญของการเขียนเชิงสร้างสรรค์ ว่าควรประกอบไปด้วย 1. ให้ความแปลกใหม่ 2. ใช้ภาษาคมคาย กะทัดรัด 3. มีคุณค่าทางด้านจิตใจและสติปัญญา 4. เป็นประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อม คือให้ข้อคิดที่เป็นคติในการดำรงชีวิต และก่อให้เกิดจินตนาการที่ดีงาม หรือให้ความเพลิดเพลินแก่จิตใจ เป็นต้น จากที่กล่าวมาสรุปได้ว่าลักษณะของการเขียนเชิงสร้างสรรค์นั้น เป็นงานเขียนที่ ประณีตบรรจงผู้เขียนถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ของตนในลักษณะที่แปลกใหม่ มีรูปแบบ เฉพาะตัว ให้ข้อคิดจินตนาการ และเกิดคุณค่าทางด้านจิตใจ 6. องค์ประกอบของการเขียนเชิงสร้างสรรค์ อุทัยวรรณ ปิ่นประชาสรร (2538 : 15) ได้กล่าวว่า การเขียนทั้งหลายนั้นเป็น การสร้างสรรค์ ถ้าหากว่าเราจะรู้จักเขียนสิ่งหนึ่งสิ่งใดขึ้นมา ถึงแม้ว่าสิ่งนั้นจะเป็นสิ่งเก่า ความคิดเก่า แต่ถ้านํามาแสดงออกในรูปแบบใหม่ เสริมความคิดใหม่เข้าไป มีการแสดงออกใหม่ ๆ ทางจินตนาการ ผลงานนั้นจะเป็นงานเขียนที่สมบูรณ์ขอแต่เพียงให้ผลงานนั้นมาจากตัวของเราเอง ด้วยความชาญ ฉลาด มิได้เป็นการลกเลียนแบบใคร และมิใช่เพื่อการสื่อสารกันโดยทั่วไปเท่านั้น โดยมีองค์ประกอบ ของการเขียนสร้างสรรค์อยู่ 4 อย่าง คือ 1. ความจริงใจ เป็นสิ่งสําคัญอันดับแรก ผู้เขียนต้องค้นหาและเขียนในสิ่งที่คนคิด และสนใจจริง ๆ เพราะงานเขียนใด ๆ ถ้าขาดความจริงใจแล้วจะทําให้ค่าของงานเขียนนั้นด้อยลงไป มาก 2. อารมณ์ ผู้เขียนต้องเน้นการเสนอจินตนาการ ทัศนคติ และอารมณ์ความรู้สึก มากกว่าการบรรยายข้อเท็จจริง 3. ความคิดริเริ่ม การเขียนเชิงสร้างสรรค์ต้องพยายามค้นพบความคิดแปลกใหม่ เพื่อสร้างผลงานใหม่ๆ ออกมา โดยไม่ลอกเลียนแบบผู้อื่น 4. การสร้างประสบการณ์ การเขียนสร้างสรรค์ต้องการประสบการณ์มากที่สุด เท่าที่จะมากได้ เพือนํามาเป็นวัตถุดิบในการเขียน แล้วถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดไปสู่ผู้อ่านเพื่อให้


19 ผู้อ่านเกิดภาพขึ้นในความนึกคิด ต้องให้เขารู้สึกว่าเขาได้รับสาระไปสร้างประสบการณ์ใหม่ได้ ไม่ควร ใช้วิธีการจําเจอยู่แต่ในแบบเดิม ใช้ความคิดเดิม แม้จะเป็นประสบการณ์ของผู้เขียนก็ตามเพราะสิ่งนั้น ไม่ใช่การเขียนเชิงสร้างสรรค์ กรมวิชาการ (2546 : 8-10) และอารีพันธ์มณี (2542 : 34-39) ให้ความหมายของ องค์ประกอบความคิดสร้างสรรค์สอดคล้องกันดังนี้ความคิดสร้างสรรค์เป็นความสามารถทางสมองที่ สามารถใช้ในการแก้ปัญหาหรือประยุกต์ใช้กับงานได้หลายชนิดโดยการคิดที่กว้างไกลหลายทิศทาง หรือที่เรียกว่าการคิดแบบอเนกนัยประกอบด้วย 1. ความคิดริเริ่ม (originality) หมายถึงความคิดที่มีลักษณะที่แปลกใหม่ต่างไป จากความคิดธรรมดาเป็นลักษณะที่เกิดขึ้นครั้งแรกเป็นความคิดริเริ่มอาจเกิดจากการนําความรู้เดิม มาดัดแปลงและประยุกต์ใช้ให้เกิดเป็นสิ่งใหม่เช่นการประดิษฐ์เครื่องบินได้สําเร็จก็ได้แนวคิดมาจาก การทําเครื่องร่อน เป็นต้น ความคิดริเริ่มจึงเป็นลักษณะความคิดที่เกิดขึ่นเป็นครั้งแรก เป็นความคิดที่ แปลกใหม่แตกต่างจากความคิดเดิมและอาจไม่เคยมีใครนึกหรือคิดมาก่อนความคิดริเริ่มจําเป็นต้อง อาศัยลักษณะการกล้าคิดกล้าลองเพื่อทดสอบความคิดของตนต้องอาศัยความคิดจินตนาการ หรือการประยุกต์จินตนาการและหาทางทําให้เกิดผลงาน 2. ความคล่องแคล่วในการคิด (fluency) หมายถึงความสมารถของบุคคลใน การคิดหาคําตอบที่ไม่ซ้ำกันในเรื่องเดียวกันได้ปริมาณมากในเวลาที่จํากัดความคิดคล่องแคล่ว ด้านถ้อยคํา (word fluency) เป็นความสามารถในการใช้ถ้อยคําอย่างคล่องแคล่วความคิดคล่องแคล่ว ในด้านการโยงสัมพันธ์(associational fluency) เป็นความสมารถคิดหาคําตอบที่เหมือนกันหรือ คล้ายกันให้มากที่สุดคิดคล่องแคล่วด้านการแสดงออก (expressional fluency) เป็นความสามารถใน การเรียงร้อยถ้อยคําออกมาเป็นประโยคที่ต้องการให้ได้มากที่สุดความคิดคล่องแคล่วด้านการคิด (ideational fluency) เป็นความสามารถที่คิดสิ่งที่ต้องการภายในเวลาที่กําหนดเช่นให้คิด หาประโยชน์ของก้อนอิฐมาให้ได้มากที่สุดภายในเวลาที่กําหนดอาจจะเป็น 5 หรือ 10 นาทีเป็นต้น 3. ความคิดยืดหยุ่นในการคิด (flexibility) หมายถึง ความสามารถของบุคคล ในการคิดหาคําตอบได้หลายประเภทหลายทิศทางแบ่งออกเป็นความคิดยืดหยุ่นที่เกิดขึ้นทันที (spontaneous flexibility) เป็นความสามารถที่จะคิดหลายอย่างอย่างอิสระคนที่มีความคิดยืดหยุ่น ในด้านนี้จะคิดได้ว่าประโยชน์ของก้อนหินมีหลายอย่างในขณะที่คนที่ไม่มีความคิดสร้างสรรค์จะคิด เพียงอย่างเดียวหรือสองอย่างเท่านั้นความคล่องแคล่วในการคิดมีความสําคัญต่อการแก้ปัญหา เพราะในการแก้ปัญหาใช้ความคิดยืดหยุ่นทางด้านความคิดดัดแปลง (adaptive flexibility) เป็น ความสามารถคิดดัดแปลงจากสิ่งหนึ่งเป็นหลายสิ่งซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการแก้ปัญหาคนที่มีความคิด ยืดหยุ่นจะคิดไม่ซ้ำกัน ตัวอย่างเช่น ในเวลา 5 นาทีท่านลองคิดสิว่าท่านสามารถใช้ใบล็อตเตอรี่ ทําอะไรได้บ้าง คําตอบคือกระบุง กระจาด ตะกร้า กล่องดินสอ เปล เตียงนอน กรอบรูป เป็นต้น


20 4) ความคิดละเอียดลออ (elaboration) หมายถึง ความสามารถในการขยาย ความคิดหลักให้ได้ความหมายสมบูรณ์ยิ่งขึ้น เป็นคุณลักษณะที่จําเป็นในการสร้างผลงานที่มี ความแปลกใหม่พัฒนาการความคิดละเอียดลออนั้น ขึ้นอยู่กับอายุถ้าเด็กที่อายุมากจะมีความสามารถ ทางด้านการคิดมากกว่าเด็กอายุน้อย ส่วนเพศก็มีส่วนเกี่ยวข้องเพราะเพศหญิงจะมีความสามารถใน การคิดละเอียดลออมากกว่าเพศชายและความช่างสังเกตเพราะเด็กที่มีความสามารถในการสังเกตสูง จะมีความสามารถทางการคิดละเอียดลออสูงด้วย นอกจากนี้สุรศักดิ์หลาบมาลา (2545 : 38-39) ได้กล่าวถึงองค์ประกอบของความคิดสร้างสรรค์ว่าความคิดสร้างสรรค์อันเกิดจากความสามารถ 3 ประการได้แก่ความสามารถในการสังเคราะห์ (synthetic ability) คือความสามารถ (analytical ability) คือความสามารถในการคิดแยกแยะออกเป็นส่วน ๆ และสุดท้ายคือความสามารถ ในการปฏิบัติซึ่งนําไปสู่การเปลี่ยนความคิดเชิงนามธรรมให้เป็นรูปธรรมนั่นเอง ชนะ เวชกุล (2524 : 35) ได้กล่าวถึงองค์ประกอบของการเขียนเชิงสร้างสรรค์ไว้ดังนี้ 1. มีจินตนาการหรือความคิดคํานึง คือผู้เขียนจะต้องสร้างจินตนาการโดย การคัดเลือกความคิดต่าง ๆ เหล่านั้นให้เกิดเป็นภาพในใจของผู้อ่านให้ได้ จะช่วยให้ผู้อ่านได้รสและมี ความรู้สึกคล้อยตามเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับผู้เขียน 2. สํานวนภาษาดี คือผู้เขียนจะต้องเลือกเฟ้นพลิกแพลงถ้อยคําและรูปประโยคให้ สละสลวยน่าฟัง น่าอ่าน มีท่วงทำนองในการเขียนดี ไม่มีลักษณะกระทบกระเทียบเสียดสีผู้หนึ่งผู้ใด 3. ให้คุณค่าทางจิตใจและสติปัญญา คือ นอกจากจะให้ความเพลิดเพลินแล้ว ควรให้ผู้อ่านเกิดคุณธรรมขึ้นในตน มีความรู้สึกนึกคิดเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี ก่อให้เกิดความเรือง ปัญญาและเป็นประโยชน์ต่อสังคมส่วนรวม สรุปความคิดสร้างสรรค์ผู้เขียนต้องคํานึงถึงองค์ประกอบของความคิดสร้างสรรค์ ครบถ้วนแล้วก็จะสามารถทําให้งานเขียนน่าสนใจเพราะมีการใช้ภาษาที่เหมาะสมหลากหลายแปลก ใหม่ทําให้งานเขียนมีคุณภาพและมีคุณค่ามากขึ้นที่จะคิดอะไรได้มากกว่าสิ่งที่เห็นอยู่เป็นปกติคิดอะไร ใหม่ๆ ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ 7. ประเภทของการเขียนเชิงสร้างสรรค์ การเขียน คือวิธีการสื่อความหมายที่เป็นผลผลิตทางความคิดจากความรู้ของผู้ส่งสาร แสดงออกมาทางลายลักษณ์อักษรภาษาไทย ซึ่ง ประภาศรี สีหอําไพ และคณะ (อ้างถึงใน สุทธิวรรณ อินทกนก, 2559 : 134-135) ได้กล่าวถึงรูปแบบของการเขียนเชิงสร้างสรรค์ว่ามี 2 ประเภท คือ 1. ร้อยแก้ว คือ การเรียงคําสื่อความหมายโดยไม่ต้องยึดบัญญัติฉันทลักษณ์ ความหมายทั่วไป หมายถึง การเขียนสารคดี และบันเทิงคดี เช่น นิทาน บทละครพูด เรื่องสั้น นวนิยาย เป็นต้น ความหมายในเชิงวรรณศิลป์ หรือศิลปะในการแต่งหนังสือ หมายถึง การเลือกสรร


21 ถ้อยคําสํานวนโวหารมาเรียงร้อยให้เกิดภาพพจน์ ทําให้ผู้อ่านได้รับมโนมติ หรือจินตนาการเด่นชัด ใช้สํานวนภาษาและการดําเนินเรื่อง สร้างความเพลิดเพลินจรรโลงใจ มีความงามของถ้อยคําที่ร้อย เรียงวิจิตรบรรจงเสมอด้วยแก้วอันงามมาร้อยเรียงไว้ ร้อยแก้วเชิงวรรณศิลป์ จึงเป็นศิลปะที่สะท้อน ความสะเทือนอารมณ์ โดยใช้ภาษาที่ไพเราะสละสลวย ในลีลาการแต่งและสํานวนภาษามีความงาม ในรูป (form) งามในเรื่อง (material) และงามในท่วงทํานองเขียน (style) 2. ร้อยกรอง คือ คําประพันธ์ชนิดต่างๆ ได้แก่ โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน ร่าย ลิลิต ใช้เรียกวรรณกรรมประเภทที่มีลักษณะบังคับในการแต่ง หรือมีการกําหนดคณะ โบราณเรียกว่า “คํากานท์” หรือกวีนิพนธ์ที่กวีใช้จินตนาการสร้างสรรค์ขึ้นมาตามลักษณะคําประพันธ์ที่บัญญัติไว้ใน คําประพันธ์แต่ละชนิด ผู้อ่านร้องกรองซึ่งเป็นผลงานของจินตกวีจะมีความเพลิดเพลินสบายใจ ในท่วงทํานองคําประพันธ์ ได้รับรสของโวหาร ตลอดจนได้ทราบความคิดและอารมณ์สะเทือนใจ ต่าง ๆ ที่ผู้ประพันธ์เรียงร้อยกลั่นกรองออกมาอย่างประณีตวิจิตรบรรจงและไพเราะ ด้วยการส่งสัมผัส ตามจังหวะวรรคตอนที่กําหนดบังคับในลักษณะคําประพันธ์นั้น ดังนั้นในการเขียนเชิงสร้างสรรค์ ผู้เขียนจึงมีอิสรเสรีที่จะเลือกรูปแบบในการเขียนของตนเองได้ตามความมุ่งหมายในการเขียน แต่ละครั้ง ว่าต้องการจะนําเสนอแก่ผู้อ่านในรูปแบบของร้อยแก้วหรือร้อยกรอง ซึ่งขึ้นอยู่กับ ความต้องการความมุ่งหมายและความเหมาะสมในด้านต่าง ๆ ของผู้เขียนเอง นอกจากนี้ ถวัล มาศจรัส (2550 : 10-11) ได้จำแนกเกณฑ์การเขียนเชิงสร้างสรรค์ ตาม หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2555 ไว้ 3 ประเภทหลัก ๆ ได้แก่ 1. ประเภทความเรียง ได้แก่ ความเรียง บทความ เร่ืองเล่า จดหมาย บันทึก 2. ประเภทบันเทิงคดี ได้แก่ นิทาน หนังสือเด็ก เร่ืองสั้น วรรณกรรมเยาวชน นวนิยาย 3. ประเภทสารคดี ได้แก่ สารคดีบุคคล สารคดีโอกาสพิเศษ สารคดีประวัติศาสตร์ สารคดี ท่องเที่ยว สารคดีแนะนำวิธีทำ สารคดีเด็ก สารคดีสตรี สารคดีเกี่ยวกับสัตว์ สารคดีความจำ สารคดี จดหมายเหตุ 8. หลักการเขียนเชิงสร้างสรรค์ ในการสร้างงานเขียนในรูปแบบต่าง ๆ นั้น จำเป็นต้องมีหลักการหรือวิธีการสำหรับ การเขียนแต่ละรูปแบบ เพื่อเป็นการกำหนดกรอบในการเขียนให้มีลำดับขัดตอนอย่างชัดเจน ซึ่ง พนิตพิชา เตชะสุทธิรัฐ (2564 : 22-23) การเขียนเชิงสร้างสรรค์มีหลักการเขียน ดังนี้ 1. การกำหนดหัวข้อเรื่อง มี 2 ลักษณะ คือ กำหนดหัวข้อเรื่องไว้เรียบร้อยแล้วและ มอบหมายให้ผู้เขียนกำหนดหัวข้อเรื่องเอง หรือเลือกตามความพอใจ กรณีนี้ควรเลือกหัวข้อเรื่องที่ตน สนใจ พอใจมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องนั้นมากที่สุด มีความถนัดหรือความชำนาญเรื่องนั้นมากที่สุด


22 มีความถนัดหรือความชำนาญเรื่องนั้นเป็นพิเศษ ตั้งชื่อเรื่องตามความพอใจและควรคำนึงถึง ความเหมาะสม ครอบคลุม ชัดเจนที่สุด 2. การกำหนดขอบเขตของหัวเรื่อง ควรจะต้องมีหัวข้อที่ชัดเจน มีรายละเอียดแต่ ละหัวข้ออย่างมีขอบเขต มีตัวอย่างที่เจาะประเด็นลงไป มีการอธิบายและขยายความอย่างแจ่มแจ้ง 3. การรวบรวมข้อมูลใช้วางโครงเรื่อง นำหัวข้อของข้อมูลวางเรียงต่อเนื่องตาม โครงเรื่อง จัดลำดับข้อมูลอย่างมีเหตุผล “การวางโครงเรื่องอย่างคร่าว ๆ” ถ้าพิจารณาแล้ว ไม่มี ข้อบกพร่อง ก็ถือว่าโครงเรื่องนั้นเป็น “โครงเรื่องถาวร” ลงมือเขียนเป็นเรียงความเชิงสร้างสรรค์ได้ เลย 4. การจัดกลุ่มความคิดในการวางโครงเรื่อง นำความคิดต่าง ๆ มาเขียนสรุปเป็น ประเด็นหัวข้อใหญ่ หัวข้อประกอบและจัดเป็นลำดับความคิดให้ต่อเนื่องสอดคล้องกัน 5. การวางโครงเรื่องด้วยวิธีต่าง ๆ เช่น การวางโครงเรื่องด้วยการใช้หัวข้อต่าง ๆ การวางโครงเรื่องด้วยแผนภาพโครงเรื่อง 6. ขั้นตอนการเขียนเนื้อเรื่อง แบ่งเป็น 3 ขั้นตอน ดังนี้ 1) การเขียนเปิดเรื่อง หรือ การเขียนคำนำเรียงความเชิงสร้างสรรค์เป็นตอน เริ่มต้นของเรื่องที่จะเขียน จำเป็นต้องเขียนก่อนส่วนอื่น เราจะเขียนอย่างไรที่จะทำให้ผู้อ่านหันมา สนใจอ่านเรียงความเชิงสร้างสรรค์เรื่องนั้นจนจบเรื่อง การเขียนเปิดเรื่องไม่ควรเขียนออกนอกไกล เกินไป หรือเขียนอ้อมค้อม ไม่ควรนำเรื่องประวัติศาสตร์ที่คนรู้จักอยู่แล้วมาเท้าความในการเปิดเรื่อง เพราะจะทำให้ผู้อ่านเบื่อ ไม่ชวนให้อ่าน ควรเขียนเปิดเรื่องด้วยวิธี เช่น การใช้คำประพันธ์ สุภาษิต คำพังเพย ข่าว การตั้งคำถาม การตั้งข้อสังเกต และการสรุปประเด็นสำคัญ ๆ เป็นต้น 2) การเขียนส่วนเนื้อเรื่อง หรือการดำเนินเรื่องของเรียงความเชิงสร้างสรรค์ จัดว่าเป็นส่วนที่ยาวที่สุดในการเขียน และถือว่าเป็นส่วนหลัก เป็นส่วนนำเสนอเนื้อหา ทั้งด้านความรู้ ความคิด จินตนาการ และความรู้สึกต่าง ๆ จากผู้เขียนสู่ผู้อ่าน การนำเสนอความคิดสร้างสรรค์ และสาระของเรื่องอย่างมีระบบ ย่อมช่วยให้ผู้อ่านอ่านได้เข้าใจเรื่องเพลิดเพลิน ได้สาระ ใช้ภาษา ทำให้เกิดจินตภาพคล้อยตาม ไม่เบื่อหน่าย ต้องเรียบเรียงให้ชัดเจน การเขียนเนื้อเรื่องมักจะมีอยู่ หลายตอน หลายย่อหน้า แต่ละย่อหน้าจะมีความสัมพันธ์สอดคล้อง 3) การเขียนปิดเรื่อง เป็นการเขียนขั้นตอนสุดท้ายของเรียงความเชิงสร้างสรรค์ และมักถือว่าการปิดเรื่องมีความสำคัญไม่แพ้การเปิดเรื่อง การเขียนปิดเรื่องของเรียงความ เชิงสร้างสรรค์มีข้อน่าคิดอยู่ตรงที่ว่า “ทำอย่างไร จึงจะทำให้ผู้อ่านเกิดความคิดหรือจินตนาการ ผ่อนคลายความตึงเครียดของอารมณ์ หรือเกิดความศรัทธา ยกย่อง ประทับใจต่อข้อเขียน อ่านแล้ว ไม่เบื่อ อยากอ่านแล้วอ่านอีก” การปิดเรื่องด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น การเสนอแนวทางแก้ปัญหา


23 การสรุปความ การเชิญชวนให้ร่วมมือหรือการใช้หลักธรรมะ สำนวน สุภาษิตและบทกวีมาสรุป เปรียบเทียบ หรือการใช้การสดุดีการย้ำความ แสดงความคิดเห็นและข้อเสนอแนะปิดเรื่อง 9. การวัดและประเมินผลการเขียนเชิงสร้างสรรค์ การเขียนเชิงสร้างสรรค์เป็นทักษะที่ซับซ้อน ยุ่งยาก การให้คะแนนงานเขียน จึงเป็น สิ่งที่สำคัญ เพราะมีผลต่อความเที่ยงของการตรวจงานเขียน ดังนั้น การให้คะแนนงานเขียนจึงต้องมี เกณฑ์เพื่อให้การให้คะแนนเป็นไปอย่างมีระบบ ซึ่งจะช่วยให้คะแนนตรวจงานเขียนเป็นปรนัยมากขึ้น ดังที่ อารี พันธ์มณี (2537 : 100) ได้กล่าวว่า วิธีที่ดีควรเป็นเป็นการวัดพัฒนาการของแต่ละบุคคล ดูความก้าวหน้าของผลงาน ไม่ควรใช้เกณฑ์ของผู้สอนเปรียบเทียบผลงานกับคนอื่น ณัฏฐพงษ์ เจริญพิทย์(2539 : 61-67) กล่าวว่า การวัดความคิดสร้างสรรค์ในปัจจุบัน มี 3 วิธี คือ 1. การสังเกตพฤติกรรม กระทำได้ทั้งลักษณะเป็นทางการ และไม่เป็นทางการ การวัดเป็นทางการอาจใช้แบบสอบถามหรือแบบสัมภาษณ์ การสังเกตพฤติกรรมของนักเรียน ทั้งสอง ลักษณะนั้น สังเกตได้จากความกระตือรือร้นในการร่วมกิจกรรมและพฤติกรรมที่ปรากฏ 2. การวัดโดยใช้แบบทดสอบ การวัดวิธีนี้จะต้องสร้างแบบทดสอบขึ้น ซึ่งโดยทั่วไป จะกำหนดสถานการณ์ที่แปลกประหลาดหรือไม่ใช่สถานการณ์ปกติ แล้วให้นักเรียนใช้ความคิดอิสระ “ตอบ” จากสถานการณ์นั้น คำตอบของนักเรียนไม่อาจนำไปพิจารณาได้ว่าถูกหรือผิด เนื่องจากเป็น คำตอบที่ตอบขึ้นในสถานการณ์แบบใหม่ การพิจารณาคะแนนคำตอบให้เป็น 3 คือ ความคิดคล่อง ความคิดยืดหยุ่น ความคิดริเริ่ม บางครั้งอาจให้คะแนนความคิดละเอียดลออ 3. การตรวจคุณภาพของผลงาน การวัดด้วยวิธีนี้เป็นวิธีการวัดในระดับลึกกว่า การวัด โดยใช้แบบทดสอบในการวัดจะกระทำโดยผู้รู้ (ปกติมีจำนวน 3 คน แต่ถ้ามีความจำเป็นอาจใช้ ครูผู้สอนเพียงคนเดียวก็ได้) เป็นผู้ตรวจคุณภาพของงาน ซึ่งต้องกำหนดเกณฑ์การให้คะแนนให้ชัดเจน ระดับคะแนนตามเกณฑ์ที่กำหนดในแต่ละข้อ นิยมกำหนดเป็น 3 ช่วง (ดี เท่ากับ 3, พอใช้ เท่ากับ 2, ต้องปรับปรุง เท่ากับ 1) หรือ 5 ช่วง (ดีมาก เท่ากับ 5, ดี เท่ากับ 4, ปานกลาง เท่ากับ 3, พอใช้ เท่ากับ 2, ต้องปรับปรุง เท่ากับ 1) อย่างไรก็ตาม การวัดความคิดสร้างสรรค์ของบุคคลโดยยึด แบบทดสอบเพียงแบบใดแบบหนึ่งเพียงอย่างเดียว สิ่งที่ควรระวัง เพราะอาจวัดความคิดสร้างสรรค์ได้ ไม่ครบทุกด้าน จึงควรใช้แบบทดสอบวัดความคิดสร้างสรรค์อื่น ๆ ประกอบ หรือใช้การสังเกต พฤติกรรมหรือผลงานของบุคคลควบคู่ไปด้วย (สมศักดิ์ ภู่วิภาดาวรรธน์, 2537 : 41) เกณฑ์การตรวจให้คะแนนให้ยึดหลักการให้คะแนนความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งดัดแปลงมา จากเกณฑ์ของ Torrance โดยการตรวจให้คะแนน 3 ด้าน คือ ความคิดคล่องในการคิด ความคิด ยืดหยุ่น และความคิดสร้างสรรค์ (กระทรวงศึกษาธิการ, 2535 : 51) ดังนี้


24 1. การให้คะแนนความคิดคล่องในการคิด พิจารณาจากคำตอบที่เป็นไปตาม เงื่อนไขของคำถามโดยให้คะแนนคำตอบละ 1 คะแนน ตามปริมาณของคำตอบที่ไม่ซ้ำกัน 2. การให้คะแนนความคิดยืดหยุ่นในการคิด พิจารณาจากความถี่ของคำตอบของ นักเรียนแต่ละคน ตามวิธีการคิดที่แตกต่างกันต่อสิ่งเร้าหรือเงื่อนไขที่กำหนดให้ โดยให้คะแนนคำตอบ เป็นกลุ่มหรือประเภทละ 1 คะแนน 3. การให้คะแนนความคิดริเริ่ม พิจารณาจากความถี่ของคำตอบของนักเรียน ทั้งหมด ที่เป็นความคิดที่แปลกแตกต่างไปจากธรรมดาในการตอบ โดยกำหนดให้คำตอบที่มีความถี่ จากกลุ่มตั้งแต่ 2-4.99 เปอร์เซ็นต์ จะได้ 1 คะแนน ถ้าเป็นคำตอบที่ไม่ซ้ำกับกลุ่มเลยจะได้ 2 คะแนน ถ้าความถี่เกินกว่า 5 เปอร์เซ็นต์ จะถือเป็นความคิดริเริ่มหรือให้คะแนนตามสัดส่วนของความถี่ ของคำตอบตามวิธีการของ Cropley คำตอบใดที่กลุ่มตัวอย่างตอบซ้ำกันมาก ๆ ให้คะแนนน้อย หรือไม่ได้คะแนนเลย ถ้าคำตอบยิ่งซ้ำกันน้อยหรือ ไม่ซ้ำกับคนอื่นเลยจะได้คะแนนมากขึ้น เกณฑ์การให้คะแนนยึดหลัก ดังนี้ คำตอบซ้ำ 12 % ขึ้นไป ให้ 0 คะแนน คำตอบซ้ำ 6-11 % ขึ้นไป ให้ 1 คะแนน คำตอบซ้ำ 3-5 % ขึ้นไป ให้ 2 คะแนน คำตอบซ้ำ 2 % ขึ้นไป ให้ 3 คะแนน คำตอบซ้ำกันไม่เกิน 1 % ขึ้นไป ให้ 4 คะแนน คะแนนความคิดสร้างสรรค์หาได้จากผลบวกของคะแนนความคิดคล่อง ความคิด ยืดหยุ่น และความคิดริเริ่มในแต่ละกิจกรรม นำมารวมกันเป็นผลบวกของคะแนนความคิดสร้างสรรค์ ของนักเรียนแต่ละคน 4. คะแนนความคิดละเอียดลออ ให้พิจารณาจากความสามารถในการนำคำมา เขียนเป็นเรื่องราวแปลกใหม่ น่าสนใจ และมีความยาวพอที่จะให้เรื่องได้ใจความสมบูรณ์ เยาวดี วิบูลย์ศรี (2549 : 246) ได้เสนอหลักการตรวจความเรียง ดังนี้ 1) ควรตรวจแยกเป็นรายข้อ ควรจะได้ตรวจ 2 ครั้ง จากผู้ตรวจคนเดียวกัน หรือผู้ตรวจ 2 คนคนละครั้ง 2) ในการตรวจแต่ละครั้งควรเป็นอิสระต่อกัน 3)ผู้ตรวจไม่ควรดูชื่อผู้สอบ และไม่ควรดูผลการตรวจที่ผ่านมาว่าแต่ละข้อหรือแต่ละ คน มีการให้คะแนนอย่างไร 4) การตรวจให้คะแนนควรใช้ระบบการให้คะแนนเกณฑ์ย่อย ๆ กรรณิการ์ พวงเกษม (2533 : 148-158) ได้กล่าวถึงวิธีการประเมินผลการเขียน เชิงสร้างสรรค์ และตรงที่สุดไว้ดังนี้


25 1. ประเมินตามจุดมุ่งหมาย เพื่อดูว่าผู้เขียนมีลำดับการเขียนเนื้อเรื่องได้ดีหรือไม่ เป็นไปตามจุดมุ่งหมายที่วางไว้หรือไม่ โดยใช้ข้อสอบอัตนัย และตรวจให้คะแนนด้วยวิธีจัดอันดับ คุณภาพ เช่น การวัดและประเมินผลการเขียนเรื่องจากภาพ กำหนดหัวข้อการให้คะแนนไว้ ดังนี้ 1) ความถูกต้อง เหมาะสมของเนื้อหา และสอดคล้องกับภาพ 2) การเรียบเรียงลำดับความคิด 3) ความถูกต้องเหมาะสมในการใช้ภาษา จากนั้นนำมากำหนดคะแนนตามคุณภาพ ให้คะแนน 5 ระดับ คือ 5 เท่ากับดีมาก 4 เท่ากับดี 3 เท่ากับปานกลาง 2 เท่ากับค่อนข้างอ่อน 1 เท่ากับอ่อนมาก 2. ประเมินด้วยข้อสอบปรนัยแบบเลือกตอบตามแนวของ E.T.S. (educational testing service) วิธีการดังกล่าวต้องการวัดความสามารถในการเขียนความสามารถในการแสดงความคิดเห็น ได้อย่างถูกต้อง มีประสิทธิภาพ การรวบรวมและจัดระเบียบความคิด การใช้ถ้อยคำสำนวนให้ เหมาะสมกับความหมาย การวัดด้วยข้อสอบปรนัยมีการวัดในหลายด้าน - วัดความสามารถในการแสดงความคิดเห็น ประกอบด้วยแบบทดสอบ 4 แบบ คือ ก. ให้หาสิ่งบกพร่อง โดยยกข้อความมาอ่านก่อน 1 ประโยค พร้อมกับขีดเส้นใต้คำ บางคำไว้ 3 หรือ 4 แห่ง จาก ก-ค หรือ ก-ง แล้วให้ผู้เรียนพิจารณาว่าคำที่ขีดเส้นใต้คำใด ไม่เหมาะสม กับข้อความนั้นก็ไปขีดคำตอบในกระดาษคำตอบ แต่ถ้าคำตอบหรือข้อความที่ขีดเส้นใต้นั้นถูกต้องดี ทั้งหมดแล้ว ก็ไปขีดคำตอบที่ช่อง ง หรือ จ ในกระดาษคำตอบ ข. ให้ปรับปรุงข้อความ โดยให้ผู้เรียนพิจารณาคำตอบโดยยึดหลักเกณฑ์ที่ถูกต้อง ด้านภาษาในเรื่องการใช้คำ การเรียงคำเข้าประโยค การใช้เครื่องหมายวรรคตอน และการเรียบเรียง ประโยคตามมาตรฐานของการเขียนที่ดี ซึ่งเป็นที่ยอมรับตามหลักวิชา ค. ให้พิจารณาความบกพร่อง คำถามชนิดนี้ต้องการให้ผู้เรียนพิจารณาว่าประโยค หรือข้อความที่กำหนดให้นั้นบกพร่องหรือไม่ ถ้าบกพร่องก็ให้สามารถบอกได้ว่าเป็นความบกพร่อง ชนิดใดผู้ออกข้อสอบจะกำหนดความบกพร่องให้มีลักษณะอย่างใดก็ตามจะเห็นสมควร ง. ให้เปลี่ยนสำนวนโวหาร คำถามชนิดนี้คือ วิธีวัดที่พยายามเลียนแบบให้คล้ายกับ สถานการณ์จริง ทำนองเดียวกันกับเมื่อร่างหนังสือเสร็จแล้ว นำต้นฉบับมาปรับปรุงถ้อยคำสำนวน ภาษาให้ดีขึ้น โดยวิธีการสับเปลี่ยน ย้าย แก้ไขคำ หรือข้อความบางตอนในข้อความเหล่านั้น ภายใต้หัวข้อที่กำหนดวางไว้


26 - วัดการรวบรวมและจัดระเบียบความคิด ใช้วิธีให้เรียงประโยคง่าย ๆ ซึ่งสลับที่ ปนเปกันอยู่ ให้เป็นเรื่องเดียวกัน ติดต่อกัน และได้ความสมบูรณ์ - วัดการใช้ภาษาไทยให้เหมาะกับความ คำถามนี้มุ่งวัดความสามารถในการวินิจฉัย คุณภาพของการใช้ภาษาในข้อความต่าง ๆ ว่าถ้อยคำสำนวนที่ใช้ในประโยคเหมาะสมหรือขัดแย้ง กับความหมายของเนื้อหาในข้อความนั้นหรือไม่ อย่างไร หรือมีข้อบกพร่องอย่างไรบ้าง ให้ผู้ตอบ สามารถบอกข้อบกพร่องนั้น ๆ ได้ 3. ประเมินผลตามแบบฟอร์ม เหมาะสำหรับใช้ในการประเมินผลการเขียนจดหมาย ซึ่งถือเป็นการเขียนเชิงสร้างสรรค์อีกวิธีหนึ่ง การสอบมักกระทำโดยให้ปฏิบัติจริง เช่น ออกข้อสอบ เป็นความเรียงหรือแบบอัตนัย ให้เขียนจดหมายถึงบุคคลใดบุคคลหนึ่ง แล้วตรวจให้คะแนนเนื้อเรื่อง การวางรูปเรื่อง ถ้อยคำภาษาที่ใช้ โดยวิธีจัดอันดับคุณภาพ อาจให้นักเรียนวิจารณ์หรือตรวจ การวัด วิธีนี้ต้องวัดว่าผู้เรียนรู้หลักเกณฑ์ต่าง ๆ เกี่ยวกับวิชานี้เพื่อให้สามารถนำไปใช้ในชีวิตจริงได้เพียงใด การวัดจึงเน้นพฤติกรรมทั้งในด้านความรู้ ความจำ การนำไปใช้ เป็นส่วนใหญ่ 4. ประเมินผลโดยการเติมคำหรือข้อความ อาจเป็นข้อความสั้นหรือยาวแล้วแต่ ระดับชั้นของเด็กถ้าในชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 อาจจะเป็นคำ ๆ ในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 เป็นต้น ไป ให้เป็นข้อความในชั้นที่สูงขึ้นไป ข้อความควรจะยาวกว่าในชั้นต้น ๆ เช่น 1) ให้เรื่อง ให้ข้อความตอนต้น และตอนท้าย แล้วให้เติมข้อความตรงกลาง 2) ให้เรื่อง ให้ข้อความตอนต้น แล้วเติมต่อให้จบเรื่อง 3) ให้เรื่อง ให้ข้อความตอนท้าย แล้วเติมตอนต้นให้ต่อกับตอนท้าย การให้คะแนน ให้ยึดหลักคำที่เขียนนั้นสะกดถูกต้อง และมีความหมายสอดคล้องกับ ข้อความที่กำหนดมา แต่ละคำที่กำหนดคะแนนตามความเหมาะสม ซึ่งขึ้นอยู่กับครูผู้สอน อาจจะเป็น คำละ 1 คะแนน หรืออาจมากกว่า เติมข้อความ ให้ยึดหลักโดยดูความหมายของข้อความแต่ละประโยค หรือแต่ละกลุ่ม ว่ามีความหมายถูกต้อง และสัมพันธ์กับข้อความที่กำหนดให้หรือไม่ ถ้าความหมายถูกต้องและสัมพันธ์ กัน ให้คะแนนตามความเหมาะสม ซึ่งครูผู้สอนจะเป็นผู้กำหนดเองโดยไม่เข้มงวดเรื่องการสะกดมาก นัก 5. ประเมินดูว่าผู้เขียนจะมีความสำเร็จเพียงใด สามารถวางหัวข้อที่จะเขียนได้หรือไม่ การจัดลำดับการเขียนและการสร้างความต้องการต่อผู้อ่านเพียงใด จะใช้การออกข้อสอบแบบ ที่กำหนดหรือข้อความมาให้ แล้วให้ตั้งชื่อเรื่อง และเขียนเรื่องตามชื่อโดยการนำคำหรือข้อความ ที่กำหนดให้มาใช้ ความมากน้อยของเนื้อเรื่องนั้นกำหนดมาให้เหมาะสมกับระดับชั้นเรียน โดยชั้นสูง จะกำหนดความหมายของเรื่องมากกว่าชั้นต้น


27 6. มาตรฐานของเรื่องที่เขียน เพื่อดูว่าเรื่องที่เขียนเป็นเรื่องน่าคิด เรื่องตื่นเต้น เรื่องขบขันเรื่องที่เขียนให้ความรื่นรมย์ใด ผู้เขียนเองมีความรู้ความสามารถเชื่อถือได้หรือไม่ ตัวละคร ครบถ้วนหรือไม่เรื่องบอกสถานที่เริ่มต้นและจบลงอย่างมีระเบียบหรือไม่ เรื่องสับสนเพียงใด การประเมินในข้อนี้จะต้องใช้กับเด็กในชั้นสูง ชั้นที่ควรจะใช้น่าจะเป็นชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ปลายภาคเรียนที่ 2 และชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ในการประเมินผลวิธีนี้จะต้องให้ผู้เขียนกำหนดเรื่อง โดยครูกำหนดความยาวของเรื่องและเวลาที่จำกัดให้ การให้คะแนนให้แบบจัดอันดับคุณภาพ แต่กำหนดแจกแจงข้อข้อต่างกัน หัวข้อ ที่กำหนด คือ ลักษณะของเรื่อง ความถูกต้องของเนื้อหา การรวบรวมความคิดความถูกต้องเหมาะสม ของตัวละคร ความถูกต้องในการใช้ภาษา ความต่อเนื่องของเนื้อเรื่อง สำหรับเกณฑ์การให้คะแนนความคิดสร้างสรรค์ในการเขียนเชิงสร้างสรรค์ ซึ่งจะให้ ในแบบทดสอบความสามารถในการเขียนเชิงสร้างสรรค์ โดยให้ผู้ตรวจอ่านการเขียนข้อความ และการเขียนเชิงเรียงให้คะแนนตามอัตราส่วน (ชัศวารี จารุสวัสดิ์, 2545 : 27-30) ดังนี้ 1. คะแนนความคิดริเริ่ม (การแสดงออก) 5 ส่วน 2. คะแนนความละเอียดลออ แบ่งออกเป็นส่วนย่อย ดังนี้ (1) การเชื่อมโยงความคิด 1 ส่วน (2) การเสนอเนื้อเรื่อง 1 ส่วน (3) การใช้ภาษา 1 ส่วน (4) เนื้อหาสาระ 1 ส่วน รายละเอียดของการให้คะแนนตามความคิดละเอียดลออ 1. ความคิดริเริ่ม (การแสดงออก) หมายถึง การเสนอแนวคิดเห็นใหม่ ๆ หรือความคิดสร้างสรรค์ซึ่งเป็นแนวของตนเอง แสดงความรู้สึกนึกคิด ความเข้าใจอย่างเสรี 2. การเชื่อมโยงความคิด หมายถึง การจัดระเบียบความคิดให้เชื่อมโยงต่อเนื่องกัน อย่างได้ใจความ และเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน 3. การเสนอเนื้อเรื่อง หมายถึง การจัดลำดับขั้นตอน การเสนอเนื้อเรื่อง อย่างน่าสนใจและกำหนดเนื้อเรื่องที่สอดคล้องกันกับการเสนอเนื้อเรื่อง 4. การใช้ภาษา หมายถึง การใช้สำนวนภาษาที่ให้ความชัดเจนแจ่มแจ้งถูกต้อง ตามกาลเทศะ เหตุการณ์ในเนื้อเรื่องได้ตรงใจความ ตรงกับความหมายที่ต้องการจะพูด สำนวนโวหาร สุภาพ 5. เนื้อหาสาระ หมายถึง การเสนอข้อเท็จจริง ความรู้ทั่ว ๆ ไป ที่เป็นไป ตามเนื้อความจริง และมีเหตุผลสมกับภาพ ได้ใจความ มีความยาวของเนื้อเรื่องพอสมควรกับเกณฑ์ ที่กำหนดรายละเอียดพอสมควรแก่ความเข้าใจ


28 การกำหนดเกณฑ์เพื่อเป็นแบบในการให้คะแนน ดังนี้ - ความคิดริเริ่ม (5) ดีมาก มีค่าเท่ากับ 5 ดี มีค่าเท่ากับ 4 พอใช้ มีค่าเท่ากับ 3 เกือบใช้ได้ มีค่าเท่ากับ 2 ต้องแก้ไข มีค่าเท่ากับ 1 - การเชื่อมโยงความคิด (1) การเสนอเนื้อเรื่อง (1) การใช้ภาษา (1) ดีมาก มีค่าเท่ากับ 1 ดี มีค่าเท่ากับ 0.8 พอใช้ มีค่าเท่ากับ 0.6 เกือบใช้ได้ มีค่าเท่ากับ 0.4 ต้องแก้ไข มีค่าเท่ากับ 0.2 - เนื้อหาสาระ (2) ดีมาก มีค่าเท่ากับ 2 ดี มีค่าเท่ากับ 1.6 พอใช้ มีค่าเท่ากับ 1.2 เกือบใช้ได้ มีค่าเท่ากับ 0.8 ต้องแก้ไข มีค่าเท่ากับ 0.4 10. การให้คะแนน ในการให้คะแนนที่จะนำมากรอกในช่องนั้น จะต้องนำค่าที่ได้ในแต่ละส่วนมาบวกกัน แล้วคูณด้วยจำนวนส่วน คือ 10 จึงจะเป็นคะแนนจริงของส่วนนั้น ๆ หลังจากนั้นนำคะแนน ของนักเรียนแต่ละคนที่ได้จากผู้ตรวจแต่ละคนมารวมกันทั้งหมด แล้วนำมาหาค่าเฉลี่ยจึงจะเป็น คะแนนนักเรียนคนนั้น ๆ (ชัศวารี จารุสวัสดิ์, 2545 : 27--30) จากที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่าเกณฑ์การให้คะแนนงานเขียนประเภทสร้างสรรค์ ได้ให้ความสำคัญของการแสดงออกทางความคิด ซึ่งตรงกับจุดมุ่งหมายของการเสนองานเขียน เชิงสร้างสรรค์ ที่มุ่งส่งเสริมให้ผู้เรียนใช้ทักษะการเขียนในการแสดงออกทางความคิด ความรู้ ประสบการณ์ สำหรับการประเมินความคิดสร้างสรรค์นั้น ผู้วิจัยได้สร้างแบบประเมินความคิด สร้างสรรค์ โดยได้ปรับมาจากเกณฑ์การตรวจให้คะแนนความคิดสร้างสรรค์ของกรมวิชาการ (2535 :


29 51) เกณฑ์การตรวจให้คะแนนของเวียร์ และเกณฑ์การตรวจให้คะแนนการประเมินงานเขียนของ ฮีตัน ในการประเมินนั้นประกอบด้วยเกณฑ์ดังนี้ 1. เนื้อหา มีรายละเอียดการให้คะแนน ดังนี้ 1) แนวคิดแปลกใหม่ ไม่ซ้ำแบบใคร เขียนได้ใจความ มีความสมเหตุสมผล เนื้อเรื่องมีความเชื่อมโยงกันมาก กำหนดชื่อเรื่องได้น่าสนใจ ให้ 4 คะแนน 2) แนวคิดแปลกใหม่ เขียนได้ใจความ มีความสมเหตุสมผล เนื้อเรื่องมีความเชื่อมโยง กัน กำหนดชื่อเรื่องได้น่าสนใจ ให้ 3 คะแนน 3) แนวคิดแปลก เนื้อเรื่องมีความเชื่อมโยงกัน กำหนดชื่อเรื่องได้น่าสนใจ ให้ 2 คะแนน 4) แนวคิดแปลกใหม่ แต่ไม่น่าสนใจ เนื้อเรื่องมีความเชื่อมโยงกันเพียงเล็กน้อย กำหนดชื่อเรื่องไม่น่าสนใจ ให้ 1 คะแนน 2. การเสนอเรื่อง 1) ลำดับเรื่องราวได้อย่างสอดคล้องต่อเนื่อง มีการเปิดเรื่องและดำเนินเรื่อง น่าสนใจมาก เนื้อเรื่องมีความยาวตามที่กำหนด ให้ความรู้ ข้อคิด และความเพลิดเพลินแก่จิตใจ ให้ 4 คะแนน 2) ลำดับเรื่องราวได้อย่างสอดคล้อง มีการเปิดเรื่องและดำเนินเรื่องน่าสนใจ เนื้อเรื่อง มีความยาวตามที่กำหนด ให้ความรู้ ข้อคิด และความเพลิดเพลินแก่จิตใจ ให้ 3 คะแนน 3) ลำดับเรื่องราวได้อย่างต่อเนื่อง มีการเปิดเรื่องและดำเนินเรื่องน่าสนใจ เนื้อเรื่องมีความยาวตามที่กำหนด ให้ความรู้ ความเพลิดเพลินแก่จิตใจ ให้ 2 คะแนน 4) ลำดับเรื่องราวไม่สอดคล้อง ไม่ต่อเนื่อง มีการเปิดเรื่องและดำเนินเรื่องไม่ น่าสนใจ เนื้อเรื่องมีความยาวตามที่กำหนด ให้ความเพลิดเพลินแก่จิตใจ ให้ 1 คะแนน 3. การใช้ภาษา 1) ใช้คำศัพท์ สำนวน ถ้อยคำเหมาะสม ตรงตามความหมาย สอดคล้องกับเรื่องราว การเชื่อมคำที่ถูกต้อง การสะกดคำถูกต้องทั้งหมด ให้ 4 คะแนน 2) ใช้คำศัพท์ สำนวน ถ้อยคำเหมาะสม ตรงตามความหมาย สอดคล้องกับเรื่องราว การเชื่อมคำที่ถูกต้อง การสะกดผิดพลาด 1-3 จุดให้ 3 คะแนน 3) ใช้คำศัพท์ สำนวน ถ้อยคำเหมาะสม ตรงตามความหมาย สอดคล้องกับเรื่องราว การเชื่อมคำที่ถูกต้อง การสะกดผิดพลาด 4-6 จุดให้ 2 คะแนน 4) ใช้คำศัพท์ สำนวน ถ้อยคำเหมาะสม ตรงตามความหมาย สอดคล้องกับเรื่องราว การเชื่อมคำที่ถูกต้อง การสะกดผิดพลาด 7 จุดขึ้นไปให้ 1 คะแนน 4. รูปแบบ


30 1) เขียนได้ถูกต้องเหมาะสมครบถ้วนตามรูปแบบแต่ละองค์ประกอบของการเขียน ให้ 4 คะแนน 2) เขียนได้ถูกต้องครบถ้วนตามรูปแบบของการเขียน ให้ 3 คะแนน 3) เขียนได้ถูกต้องครบถ้วนตามรูปแบบของการเขียน มีข้อผิดพลาดหนึ่งส่วน ให้ 2 คะแนน 4) เขียนไม่ถูกต้อง ไม่ครบถ้วนตามรูปแบบของการเขียน มีข้อผิดพลาดมากกว่า หนึ่งส่วนให้ 1 คะแนน 5) การปฏิบัติตามคำสั่ง 6) การนำภาพหรือคำศัพท์มาเขียนเป็นเรื่องราวได้ถูกต้องครบถ้วน มีความเหมาะสม ตามที่กำหนดและมีความสอดคล้องกัน ปฏิบัติตามคำสั่งทุกอย่าง ให้ 4 คะแนน 7) การนำภาพหรือคำศัพท์มาเขียนเป็นเรื่องราวได้ถูกต้องเพียงบางส่วน มีความเหมาะสมตามที่กำหนด ปฏิบัติตามคำสั่งบางส่วน ให้ 3 คะแนน 8) การนำภาพหรือคำศัพท์มาเขียนเป็นเรื่องราวได้ แต่ไม่ครบถ้วน ไม่มี ความเหมาะสม ปฏิบัติตามคำสั่งบางส่วน ให้ 2 คะแนน 9) การนำภาพหรือคำศัพท์มาเขียนเป็นเรื่องราวได้ แต่ไม่ครบถ้วน ไม่มี ความเหมาะสม ปฏิบัติตามคำสั่ง ให้ 1 คะแนน 11. ประโยชน์ของการเขียนเชิงสร้างสรรค์ การเขียนเชิงสร้างสรรค์มีประโยชน์หลายประการทั้งต่อผู้สอนและผู้เรียน ดังแนวความคิดและคำกล่าวของนักการศึกษาดังนี้ Burn and Others (1971 อ้างถึงใน ผลทาน ศรีณรงค์, 2528 : 27) ได้แสดงความคิดเห็น ไว้ว่าการเขียนเชิงสร้างสรรค์มีประโยชน์ทั้งต่อตัวครูและตัวนักเรียนประโยชน์ที่มีต่อนักเรียน คือกล้าคิดคิดอย่างรวดเร็วสามารถแสดงความคิดความเข้าใจแสดงปฏิกิริยาต่อสิ่งที่พบเห็นรู้จัก แสดงความรู้สึกสะเทือนอารมณ์และมีสุนทรียภาพนอกจากนั้นยังมีโอกาสได้ทดลองความสามารถ ในการเขียนส่วนประโยชน์ที่มีต่อตัวครูคือทำให้ทราบความติดประสบการณ์ของเด็กและเข้าใจ ความแตกต่างของเด็กแต่ละคน ในการสอนเขียนเชิงสร้างสรรค์นั้นผู้สอนจะประสบความสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อสามารถ สอนให้นักเรียนนำทักษะไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ทักษะการเขียนมีประโยชน์ถ้าผู้เขียนรู้จักนำไปใช้ ไม่เพียง แต่นักเรียนเท่านั้นครูผู้สอนก็จะได้ประโยชน์ต่อการสอนเขียนเชิงสร้างสรรค์เช่นกัน ดังคำกล่าวของ ประชุมพร สุวรรณตรา (2523 อ้างถึงใน ดรุณีสาลิการิน, 2535 : 20) ซึ่งกล่าวถึง ประโยชน์ของการสอนเขียนเชิงสร้างสรรค์สรุปได้ดังนี้


31 1) ฝึกทักษะและการพัฒนาการใช้ภาษาในการถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดที่มีต่อ สิ่งแวดล้อมนอกจากนั้นยังฝึกการสังเกตธรรมชาติสิ่งแวดล้อมอารมณ์และความรู้สึกที่มาต่อสิ่งต่าง ๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก่อให้เกิดปัญญาความรู้สึกอันดีงามความเห็นอกเห็นใจและความรักเพื่อนมนุษย์สัตว์และ ธรรมชาติ 2) ช่วยให้รู้จักวงศัพท์มากขึ้นสามารถเลือกใช้ถ้อยคำสำนวนวลีที่ก่อให้เกิด ความสนุกสนานมีชีวิตชีวาแก่ผู้อ่านและก่อให้เกิดความสุขความเพลิดเพลินในการเขียนทำให้เด็ก รักการเขียน 3) รู้จักใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์และยังเป็นการพัฒนาบุคลิกภาพของผู้เขียน ให้ยอมรับและนับถือตนเองภูมิใจในตนเองและรู้จักยอมรับผู้อื่น 4) ช่วยให้มีความรู้ความซาบซึ้งในวรรณคดีที่มีคุณค่าต่าง ๆ ซึ่งจะเป็น ประสบการณ์สะสมที่นำไปใช้ในโอกาสต่อไป 5) เป็นงานที่สร้างความสุขสนุกสนานท้าทายสำหรับครูเพราะมีการวางแผนหา กลวิธีในการสอน ซึ่งเป็นการใช้ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ของผู้สอนก่อให้เกิดความภาคภูมิใจใน การสร้างความเชื่อมั่นและคุณค่าให้กับผู้สอนเช่นเดียวกับผู้เรียน และยังทำให้ครูรู้จักและเข้าใจเด็กแต่ ละคนมากขึ้น ดังนั้นจะเห็นว่า การสอนเขียนเชิงสร้างสรรค์มีประโยชน์ทั้งตัวผู้เรียนและผู้สอน เป็นอย่างยิ่ง จึงควรได้รับการส่งเสริมและคิดค้นวิธีการสอนที่แปลกใหม่น่าสนใจมากระตุ้นให้นักเรียน สามารถเขียนเชิงสร้างสรรค์ได้ การศึกษาเรื่องการเขียนเชิงสร้างสรรค์ ทำให้ได้รับความรู้เกี่ยวกับการเขียน ความหมาย ของการเขียนเชิงสร้างสรรค์ ความสำคัญ จุดมุ่งหมาย ลักษณะของการเขียนเชิงสร้างสรรค์ รวมถึง องค์ประกอบต่าง ๆ ประเภทของการเขียนเชิงสร้างสรรค์ ตลอดจนหลักการหรือวิธีการ วิธีการ จัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมทักษะการเขียนเชิงสร้างสรรค์ การวัดและการประเมินผล และประโยชน์ ของการเขียนเชิงสร้างสรรค์ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เพื่อทำให้นักเรียน เขียนสร้างสรรค์ได้อย่างถูกต้อง ช่วยให้ผู้เรียนได้ฝึกพัฒนาการแสดงออกถึงความรู้ความสามารถ ด้านภูมิปัญญาและความสามารถในการใช้ทักษะทางการเขียนเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ เป็นการส่งเสริมใน การรักการเขียน การใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ ตลอดจนเพื่อสามารถนำไปปรับใช้แก้ปัญหา และทำกิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันได้


32 ความรู้เกี่ยวกับคำขวัญ ชอุ่ม โชติทอง (2556) ได้กล่าวว่าคำขวัญคือ ข้อความที่เรียบเรียงขึ้นด้วยถ้อยคำที่ กระทัดรัดสละสลวยเพื่อเรียกร้องความสนใจ โน้มน้าวใจ หรือเพื่อสิริมงคลแก่ผู้ปฏิบัติ มักเรียบเรียง ขึ้นเป็นครั้งคราวในโอกาสสำคัญต่าง ๆ เช่นวันเด็ก วันครู วันแม่ วันแรงงานแห่งชาติ ฯลฯ เป็นต้น คำขวัญโดยทั่วไปมีจุดมุ่งหมายกว้าง ๆ 5 ประการ คือ 1. เพื่อเตือนใจหรือให้ข้อคิดในเรื่องใดเรื่องหนึ่งแก่ผู้อ่านหรือผู้เกี่ยวช้อง ประพฤติ ปฏิบัติในสิ่งที่ถูกต้องดีงาม 2. เพื่อโน้มน้าวใจให้ผู้อ่านสนใจ ตระหนักในคุณค่า และปฏิบัติตามในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ซึ่งผู้เขียนเล็งเห็นว่าเป็นประโยชน์ต่อสังคม 3. เพื่อยึดถือเป็นแนวปฏิบัติทั้งของบุคคลและสถาบัน เช่น คำขวัญประจำจังหวัด คำ ขวัญประจำโรงเรียน และคำขวัญนี้ใช้เป็นปรัชญาในการดำเนินชีวิตของแต่ละคน เป็นต้น 4. เพื่อปลุกใจให้รักชาติ และบำเพ็ญตนเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ 5. เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ผู้ปฏิบัติ เช่น การเชิญชวนให้ปฏิบัติธรรมหรือร่วมบำเพ็ญ กุศลในวาระสำคัญต่าง ๆ เพื่อความเป็นสิริมงคลทั้งแก่ตนเองและบ้านเมือง โดยคำขวัญที่ดีจะต้องมีเนื้อหาสอดคล้องกับจุดมุ่งหมายเฉพาะซึ่งอาจจะตรงกับ จุดมุ่งหมายข้อใดข้อหนึ่งที่กล่าวมา แด่จะมีสาระรายละเอียดตามที่กรรมการกำหนดให้ ถ้าจะจำแนก ลักษณะของคำขวัญที่ดีโดยสรุปจากลักษณะของคำขวัญทั่วไป พอจะกล่าวโดยสรุปได้ดังนี้ 1. มีคติหรือข้อคิดชวนให้ผู้อ่านเห็นคล้อยตามโดยใช้เหตุผลและเร้าอารมณ์ให้ผู้อ่าน เห็นดีเห็นงามและปฏิบัติตามในที่สุด 2. ใช้คำกะทัดรัด สละสลวย มีเสียงสัมผัสคล้องจองกัน อันมีส่วนช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจ ง่าย และจำได้โดยไม่ตั้งใจ 3. เรียบเรียงขึ้นเป็นครั้งคราวในโอกาสสำคัญ ให้มีสาระสอดคล้องกับโอกาสนั้น ๆ 4. แสดงข้อคิดหรือปรัชญาในการปฏิบัติงานหรือการดำเนินชีวิต เพื่อใช้เป็นแนวทาง ในการปฏิบัติภารกิจให้บรรลุผลตามเป้าหมาย หรือเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตให้ราบรื่น 5. มีความประณีตพิถีพิถันในการเลือกสรรถ้อยคำ นำให้สื่อความหมายชัดเจนให้ อารมณ์และความรู้สึกซาบซึ้งประทับใจแก่ผู้อ่าน ด้วยการใช้ถ้อยคำที่ลึกซึ้งกินใจและมีน้ำหนัก


33 ความรู้เกี่ยวกับโฆษณา ดวงใจ ไทยอุบุญ (2552) กล่าวสรุปถึงหลักการเขียน ในหนังสือทักษะการเขียนภาษาไทย ซึ่งสามารถนำมาใช้เป็นแนวทางในการเขียนบทโฆษณาได้ ดังนี้ 1. มีความชัดเจน ผู้เขียนจะต้องใช้คำที่มีความหมายชัดเจน ไม่ใช้ประโยคที่คลุมเครือ หรือกำกวมผู้เขียนจะต้องคำนึงเสมอว่าการเขียนที่จะทำให้ผู้อ่านเข้าใจเรื่องตรงกับผู้เขียนนั้น ขึ้นอยู่ กับที่ การใช้คำการใช้ประโยค และการใช้ถ้อยคำสำนวน 2. มีความถูกต้อง ผู้เขียนจะต้องคำนึงถึงระเบียบของการใช้ภาษาและเขียนให้ถูกต้อง เหมาะสมตามกาลเทศะ 3. มีความกระชับ ผู้เขียนต้องรู้จักเลือกสรรถ้อยคำมาใช้ รู้จักใช้สำนวนโวหาร ภาพพจน์ คำอุปมาอุปมัย สุภาษิต คำพังเพย รู้จักการรวมประโยคให้ได้ข้อความชัดเจนและมีน้ำหนัก เพื่อให้ประโยคมีความกระชับ 4. มีความเรียบง่ายในการใช้ภาษา ผู้เขียนต้องรู้จักใช้คำธรรมดาที่เข้าใจง่าย ไม่ใช้ คำฟุ่มเฟือย ไม่ใช้คำปฏิเสธซ้อนปฏิเสธเพราะสิ่งเหล่านี้จะทำให้ผู้อ่านเกิดความเบื่อหน่าย 5. มีความรับผิดชอบในความถูกต้องของเนื้อภาษา ผู้เขียนจะต้องแสดงความคิดเห็น อย่างมีเหตุผล พินิจพิจารณาปัญหาด้วยความละเอียดถี่ถ้วน ลึกซึ้ง มุ่งจะให้เกิดความรู้และทัศนคติที่ดี และเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่าน 6. มีความประทับใจการใช้ถ้อยคำสำนวนที่มีความหมายลึกซึ้งกินใจ ทำให้ผู้อ่านเกิด ความประทับใจ ซึ่งเป็นผลอันเกิดจาการใช้คำที่ไพเราะ การเรียงลำดับคำในประโยค การใช้คำที่ให้เกิด ภาพพจน์เกิดอารมณ์ความรู้สึกที่ประทับใจ และชวนให้ติดตามอ่าน 7. มีความไพเราะในการใช้ภาษา ผู้เขียนควรใช้ภาษาสุภาพ มีความประณีตในการใช้ ภาษา ตลอดจนมีความประณีตในการนำเสนอเนื้อหา อ่านแล้วไม่สะดุด นอกจากนี้ ดวงใจ ไทยอุบุญ (2552) ยังให้แนวคิดเกี่ยวกับการเขียนว่า การเขียนเป็น ทักษะที่ต้องเอาใจใส่ฝึกฝนอย่างจริงจัง เพื่อให้เกิดความรู้ความชำนาญ และไม่ให้เกิดความผิดพลาดใน การสื่อความหมาย รู้จักการเรียงร้อยถ้อยคำให้เกิดความแจ่มชัด สละสลวย ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมานั้น สามารถนำไปประยุกต์ใช้เป็นแนวทางในการเขียนบทโฆษณาได้เป็นอย่างดี เนื่องจากการเขียนบท โฆษณานั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องอาศัยทักษะเฉพาะด้านมากกว่าการเขียนด้านอื่น ๆ ด้วยข้อจำกัด ด้านพื้นที่ และวิธีการนำเสนอ ดังที่จะได้ศึกษาโดยละเอียดในการเขียนบทโฆษณาประเภทต่าง ๆ ต่อไป


34 ความรู้เกี่ยวกับการเขียนเรียงความ 1. ความหมายของการเขียนเรียงความ การเขียนเรียงความเป็นงานเขียนประเภทหนึ่งที่มีความสำคัญและควรเร่งพัฒนา และส่งเสริมให้เกิดกับผู้เรียน ผู้ที่มีความสามารถในการเขียนเรียงความได้ดีย่อมเป็นผู้ที่มีทักษะทาง ด้านการสื่อสารอย่างอื่นดีตามไปด้วย นักการศึกษาหลายท่านได้ให้ความหมายของความสามารถใน การเขียนเรียงความไว้ดังนี้ เจือ สตะเวทิน (2516 อ้างถึงใน กระทรวงศึกษาธิการ, 2551:25) กล่าวถึง ความสามารถในการเขียนเรียงความว่า การเขียนเรียงความต้องแสดงปัญญา ทั้งปัญญาตนและปัญญา ท่าน กล่าวคือปัญญาตน 80% ถ้าใช้ปัญญาตน 100% ผู้อ่านจะรู้สึกว่าเรียงความเรื่องนั้น หลักฐาน อ่อน เป็นความคิดคนเดียว แต่ถ้าใช้ปัญญาท่านอ้างอิงด้วย จะช่วยให้เรียงความมีน้ำหนักน่าเชื่อถือ เพราะได้ค้นคว้า ไม่ไช่เขียนเองอย่างเลื่อนลอย ถือว่าขาดศิลปะ รัตนา สถิตานนท์ (2541: 65) กล่าวถึง ความสามารถทางการเขียนเรียงความที่ดี ต้องเขียนถูกต้องตามลักษณะของเรียงความ คือ มีคำนำ เนื้อเรื่องมีสาระแจมชัดลำดับความคิดดี ไม่วกวน ใช้ภาษาได้ถูกต้องตามหลักภาษา สำนวนภาษาสละสลวย ให้ข้อคิดหรือความคิดเห็น ที่แปลกใหม่ น่าสนใจ กองเทพ เคลือบพณิซกุล (2542: 146) และประพนธ์ เรืองณรงค์ ( 2545: 135) กล่าวว่าความสามารถในการเขียนเรียงความที่ในทำนองเดียวกันว่า ความสามารถในการเขียน เรียงความที่ดีต้องเขียนให้มีลักษณะเด่น 3 ประการ คือ 1) มีเอกภาพ หมายถึง ใจความหรือเรื่องราวที่กล่าวถึงเรื่องใดเรื่องหนึ่งเพียงเรื่อง เดียวและมีเหตุผลสอดคล้องกัน ไม่กล่าวพาดพิงถึงเรื่องอื่น ๆ มากกว่าเรื่องที่แท้จริง 2) มีสัมพันธภาพ หมายถึงข้อความที่เที่ยวโยงกันเป็นลำดับมีความต่อเนื่องกันแต่ ละย่อหน้าต้องมีความสัมพันธ์กันไม่ขาดตอน ในการเขียนเรียงความจะต้องลำดับเรื่องให้ติดต่อกันไป ข้อความในแต่ละย่อหน้าต้องมีความหมายสอดคล้องรับกันอย่างดี รวมทั้งส่วนของประโยคต่าง ๆ ต้อง มีความกลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกัน 3) มีสารัตถภาพ หมายถึง เนื้อหาสาระที่จะต้องเน้นใจความสำคัญจะต้องมีข้อมูล ความจริง และมีเนื้อหาสาระ สามารถสื่อความหมายได้ชัดเจนมีความสมบูรณ์ จากความหมายของความสามารถในการเขียนเรียงความสรุปได้ว่า ความสามารถในการเขียน เรียงความคือพฤติกรรมการเขียนเรียงความของนักเรียนที่มีการสื่อสารเรื่องราว โดยมีการเลือกสรร


35 ถ้อยคำที่สละสลวยมาเรียบเรียงผ่านความรู้สึก นึกคิดและจินตนาการให้ผู้อ่านเข้าใจตรงตามที่ผู้เขียน ต้องการสื่อสาร โดยเขียนถูกต้องตามรูปแบบและหลักเกณฑ์ที่กำหนด 2. หลักการเขียนเรียงความ การเขียนเรียงความ ผู้สอนต้องมีความรู้ ความเข้าใจในหลักการสอนเพื่อให้ผู้เรียนเกิด เจตคติ และมีความพร้อมที่จะฝึกเขียนให้เกิดความชำนาญเพิ่มมากขึ้น ซึ่งผู้รู้ด้านภาษาได้เสนอ หลักการและวิธีการสอนเขียนเรียงความ ดังนี้ วรรณี โสมประยูร (2542 : 44) ได้กล่าวถึงหลักการเรียงความ ไว้ดังนี้ 1) การสอนเขียนเรียงความ ควรสอนเขียนแบบสร้างสรรค์ และเขียนความเรียงทั่ว ๆ ไปก่อน 2) การสอนเขียนเรื่องราว และความเรียงควรมีสิ่งเร้ามาให้ และช่วยฝึกทุกสิ่งที่จะ เขียนได้ง่ายขึ้น สิ่งเร้าจะช่วยในการเขียนเรื่อง เช่นภาพ ของจริง และเหตุการณ์ต่าง ๆ 3) สิ่งที่จะให้นักเรียนเขียนควรตรงกับความสนใจ ความต้องการ ความพร้อมของ อารมณ์ ปัญญาและเหมาะสมกับระดับวุฒิภาวะของผู้เรียน 4) ในระดับประถมศึกษาตอนต้น ควรปูพื้นฐานในการเขียนเรียงความ โดยให้ผู้เรียน ผู้เล่าเรื่องราวต่าง ๆ ที่จะเขียนก่อนแล้วจึงฝึกเขียน 5) การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ควรให้สอดคล้องกับประสบการณ์ และ สภาพแวดล้อมความเป็นอยู่ของนักเรียนด้วย 6) สร้างศรัทธาในงานเขียน โดยให้ผู้เรียนเข้าใจจุดมุ่งหมาย มองเห็นประโยชน์ของ งานเขียน และเกิดความเข้าใจในผลงานการเขียนของตน 7) สร้างบรรยากาศให้อยากเขียน เปิดโอกาสให้ผู้เรียนแสดงความคิดเห็น และ จินตนาการอย่างเสรี 8) การตรวจ และการแก้ไขงานเขียนของผู้เรียน ผู้สอนควรทำด้วยความระมัดระวัง ควรใช้การชมมากกว่ากันการติ และควรคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างคนที่มีความสามารถต่างกัน 9) การเขียนแต่ละครั้ง ควรมีความมุ่งหมายเพื่อฝึกทักษะเพียงอย่างเดียว เช่น ฝึกการเขียน ฝึกการใช้สำนวน เป็นต้น 10) ครูควรอธิบายให้นักเรียนเข้าใจองค์ประกอบของเรียงความในเรื่องต่อไปนี้ 10.1) เนื้อเรื่อง มีความถูกต้องชัดเจน มีเอกภาพ มีความสอดคล้องกับชื่อเรื่อง และแสดงให้เห็นจุดสำคัญเน้นไว้อย่างชัดเจน


36 10.2) การใช้ภาษา ควรใช้ถ้อยคำสำนวนให้ถูกต้องเหมาะสมกับบุคคลและ สถานที่ 10.3) รูปแบบ มีองค์ประกอบครบคือมีคำนำ เนื้อเรื่อง และสรุป 10.4) กลไกประกอบการเขียนได้แก่ลายมือ วรรคตอน สะกดการันต์ และมี ความสะอาดเรียบร้อย 11) ครูควรเน้นให้นักเรียนเข้าใจลักษณะสำคัญของเรียงความที่ดี ว่าต้องมีการเน้น ใจความสำคัญอย่างเด่นชัด มีลำดับความต่อเนื่องสัมพันธ์ และมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน พันธุ์ทิพา หลาบเลิศบุญ (2536: 68) ได้เสนอขั้นตอนการสอนเขียนเรียงความไว้ ดังต่อไปนี้ 1) อธิบายความหมายของเรียงความ 2) อธิบายองค์ประกอบของเรียงความ 3) อธิบายโวหารที่ควรเลือกใช้ในการเขียนเรียงความ 4) อธิบายขั้นตอนในการเขียนเรียงความดังนี้ คือ การเลือกชื่อเรื่อง การเลือกแนวคิด หลักกำหนดโครงเรื่อง เลือกกลวิธีในการเขียน การตรวจทานเรื่องที่เขียน จากวิธีการสอนเขียนเรียงความ ที่ได้กล่าวมาแล้ว สรุปได้ว่า วิธีสอนเขียนเรียงความ มี หลากหลายวิธี ซึ่งแต่ละวิธีต้องทำให้นักเรียนเกิดความสนุก ไม่เบื่อหน่าย ซึ่งแต่ละวิธีเป็นการฝึกจาก ง่ายไปหายาก ส่งผลให้ผู้เรียนประสบความสำเร็จในการเขียนเรียงความมากขึ้น ผู้สอนควรพิจารณาว่า กิจกรรมการเรียนการสอนสอดคล้องกับประสบการณ์หรือ สภาพความเป็นอยู่ของผู้เรียน โรงเรียน และสิ่งแวดล้อมมากน้อยเพียงใด อีกทั้งเรื่องที่สอนควรเป็นสิ่งที่ตรงกับความสนใจ โดยเปิดโอกาสให้ ผู้เรียนแสดงความคิดเห็น และจินตนาการอย่างเสรี 3. องค์ประกอบของการเขียนเรียงความ ลัดดาวัลย์ สิงห์อุ้ม (2543) ได้แสดงความเห็นองค์ประกอบของเรียงความว่ามี 3 ส่วน ใหญ่ ๆ คือ คำนำ เป็นส่วนแรกของเรียงความ ทำหน้าที่เปิดประเด็น ดึงดูดความสนใจพิถีพิถัน คำนึงถึงเรื่องที่ตนจะเขียน เน้นศิลปะในการใช้ภาษา ส่วนต่อมาคือเนื้อเรื่อง เป็นส่วนสำคัญและยาว ที่สุดของเรียงความ ประกอบด้วย ความรู้ ความคิด และข้อมูลที่ผู้เขียนค้นคว้า และเรียบเรียงอย่าง เป็นระบบ ระเบียบ การเขียนเนื้อเรื่องเป็นการขยายความในประเด็นต่าง และสรุป เป็นส่วนสุดท้าย หรือย่อหน้าสุดท้ายในเรียงความแต่ละเรื่อง ผู้เขียนจะทิ้งท้ายให้ผู้อ่านเกิด ความประทับใจ สอดคล้อง กับเรื่องที่เขียน กระชับรัดกุม ซึ่งการเขียนสรุปมีหลายวิธี เช่น ฝากข้อคิด และ ความประทับใจให้


37 ผู้อ่านย้ำความคิดสำคัญของเรื่อง ชักชวนให้ปฏิบัติตาม ให้กำลังใจแก่ผู้อ่าน ตั้งคำถามที่ชวนให้ผู้อ่าน คิดหาคำตอบ กระทรวงศึกษาธิการ (2552: 25) ได้กล่าวถึงองค์ประกอบของเรียงความว่าเรียงความ ประกอบด้วยส่วนต่าง ๆ 3 ส่วนคือ คำนำ เนื้อเรื่อง และสรุป 1) คำนำ เป็นเนื้อความส่วนที่เป็นคำนำ เป็นการเปิดเรื่อง อาจเป็นการอธิบาย ความหมายของเรื่อง กล่าวถึงความสำคัญและขอบเขตของเรื่องที่จะเขียนหรือข้อความที่ก่อให้เกิด ความสนใจ ต้องการอ่านเนื้อเรื่องให้มากที่สุด 2) ส่วนเนื้อเรื่องจะเป็นส่วนที่ขยายความให้ร้ายละเอียดตรงตามจุดประสงค์หรือ ประเด็นหลักของเรื่อง ส่วนเนื้อเรื่องจะเป็นส่วนที่มีเนื้อหามากที่สุด ส่วนเนื้อเรื่องประกอบด้วยหลาย ย่อหน้า แต่ละย่อหน้าจะขยายความของเรื่องตามแนวที่คิดตั้งไว้ มีทั้งเนื้อหาของเรื่องที่คิดให้ความรู้ การแสดงความคิดเห็น ความรู้สึกของผู้เขียน พร้อมตัวอย่างประกอบข้อความให้เด่นขัดยิ่งขึ้น มีการใช้ สำนวนโวหาร และถ้อยคำที่ไพเราะ เลือกสรรแล้วนำมาใช้ในการเขียน ต้องเขียนตามโครงเรื่องที่ตั้งไว้ ให้มีเนื้อหาต่อเนื่องสอดคล้องกัน 3) ส่วนที่เป็นสรุป ส่วนที่เป็นการสรุปเรื่อง เป็นส่วนที่สรุปเนื้อหาสำคัญของเรื่อง ควรมีเพียงย่อหน้าเดียว เป็นการกล่าวย้ำประเด็นสำคัญ ย้ำจุดประสงค์หรือความคิดหลักของเรื่อง อาจมีการทิ้งท้ายฝากข้อคิดข้อย้ำเตือน หรือคติสอนใจ ตลอดจนความประทับใจให้แก่ผู้อ่าน จากองค์ประกอบของเรียงความที่กล่าวมา สรุปใด้ว่าการเขียนเรียงความจะต้องมี 3 ส่วนคือ คำนำ เนื้อเรื่องและสรุป ซึ่งการเขียนแต่ละส่วนนั้นจะมีวิธีการเขียนที่แตกต่างกัน โดยผู้เขียนจะต้อง เริ่มจากการฝึกแต่งประโยคก่อนแล้วจึงฝึกเขียนคำนำ เนื้อเรื่องและสรุป จากนั้นจึงเขียนเป็นเรื่องราว ต่อไป ความรู้เกี่ยวกับบันเทิงคดี บันเทิงคดี (Fiction) หมายถึง เรื่องที่เขียนหรือแต่งจากการสมมุติ หรืออาศัยประสบการณ์ จริงผสมผสานกับจินตนาการที่สร้างขึ้นมา เพื่อสร้างความเพลิดเพลินบันเทิงใจให้แก่ผู้อ่าน ซึ่งผู้เขียน อาจจะสอดแทรกข้อคิดต่าง ๆ มีเรื่องไว้ด้วย งานเขียนประเภทบันเทิงคดี ได้แก่ นวนิยาย เรื่องสั้น บทละคร นิทาน หรือหัสคดีอื่น ๆ


38 1. องค์ประกอบของการเขียนประเภทบันเทิงคดี การเขียนประเภทบันเทิงคดีมีองค์ประกอบหลัก ซึ่งผู้เขียนจะต้องอาศัยองค์ประกอบ เหล่านี้ ในการสร้างงานที่ดึงดูดใจของผู้อ่าน ดังที่ กุหลาบ มัลลิกะมาส (2517 : 7) ได้กล่าวไว้ สามารถ สรุปได้ดังนี้ 1.1 โครงเรื่อง (Plot) หมายถึง การกำหนดเหตุการณ์เรื่องใดเรื่องหนึ่งไว้เป็นเอกภาพ ก่อให้เกิดผลอย่างหนึ่งตามมา ซึ่งในโครงเรื่องจะมีการเปิดเรื่อง การดำเนินเรื่อง และการปิดเรื่อง โดย โครงเรื่องที่ดีในการเขียนเชิงสร้างสรรค์นั้น ควรมีการวางแผนให้โครงเรื่องน่าสนใจ ในการกำหนด กลวิธีการวางโครงเรื่อง ดังนี้ 1) บทเปิดเรื่อง (Exposition) ควรชี้นำอย่างรวดเร็ว เพื่อให้ผู้อ่านทราบข้อมูล เกี่ยวกับตัวละคร ฉาก หรือเหตุการณ์ที่กำลังจะดำเนินว่ามีความเป็นมาเป็นไปอย่างไร เพื่อให้ผู้อ่าน อยากรู้อยากเห็น 2) การผูกปม (Complication) และการขมวดปม (Rising Action) เป็นบท สืบเนื่องจากบทเปิดเรื่อง จะทำให้ผู้อ่านเห็นปมปัญหาและระทึกใจ ซึ่งผู้เขียนจะต้องขมวดปมเพื่อ ดึงดูดความสนใจผู้อ่าน 3) จุดวิกฤตของเรื่อง (Crisis/Peripety) เป็นจุดสูงสุดของเหตุการณ์ในการเขียน เรื่องบันเทิงคดีทุกประเภท ซึ่งเป็นจุดที่ต่อยอดไปจากการผูกปม และการขมวดปมให้ตัวละคร ต้องตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่ง 4) การแก้ไขหรือภาวการณ์คลี่คลายของเรื่อง (Falling Action) เป็นการแก้ปม หรือแก้ไขประเด็นความขัดแย้งของเรื่อง 5) การคลี่คลายเรื่อง (Resolution)คือการคลี่ปมปัญหาต่าง ๆ ในเรื่องได้ คลี่คลาย ลงไป หรือการจบเรื่องนั้นเอง ซึ่งมีการจบเรื่องมีลักษณะที่แตกต่างกันออกไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ ความต้องการ และกลวิธีของผู้เขียน ได้แก่ การจบแบบให้ผู้อ่านคิดหรือหาเอง การจบแบบหักมุม หรือ พลิกความคาดหมาย การจบแบบโศกนาฏกรรม และการจบแบบสุขนาฏกรรม 1.2 แนวคิด/แก่นเรื่อง (Theme) คือ สารัตถะสำคัญของเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่เขียนขึ้น เป็นความคิด หรือสาระสำคัญที่ผู้เขียนต้องการนำเสนอไปยังผู้อ่าน โดยผู้อ่านจะเข้าใจได้จากการสรุป ข้อความในเรื่อง ซึ่งเป็นประโยคใจความสำคัญ สรุปเหตุการณ์การกระทำของตัวละคร หรือคำพูดของ ตัวละคร เช่น เมื่อเราอ่านนิทานเรื่องกระต่ายกับเต่าจบลง เราก็สามารถสรุปแก่นเรื่อง ได้ว่า ความพยายามอย่างสม่ำเสมอจะทำให้ประสบความสำเร็จในท้ายที่สุด


Click to View FlipBook Version