39 1.3 ตัวละคร (Characters) คือ ผู้มีบทบาท แสดงการกระทำต่าง ๆ มีมิติทั้งความคิด ความรู้สึก และจะปรากฏในเรื่อง โดยตัวละครสามารถเป็นได้ทั้งคน สัตว์ สิ่งของ ทั้งที่เป็นรูปธรรม หรือนามธรรมก็ได้ทั้งนี้ หากเป็นเรื่องบันเทิงคดีที่มีขนาดสั้น เช่น เรื่องสั้น นิทาน ตัวละครจะมีจำนวน น้อย เพื่อความกระชับของเรื่อง ต่างจากเรื่องที่มีขนาดยาว เช่น นวนิยายก็จะมีตัวละครหลากหลาย เพื่อความเหมาะสมของเนื้อเรื่อง 1.4 ฉาก (Setting) คือ สถานที่หรือสิ่งแวดล้อมที่ปรากฏในเรื่อง เช่น ฉากถนน ทะเล ท้องไร่ท้องนา วัดวาอาราม หมู่บ้าน เป็นต้น ทั้งนี้ การบรรยายฉากนั้นจะละเอียดลออหรือชัดเจน เพียงใด ขึ้นอยู่กับความสามารถในการถ่ายทอดของผู้ประพันธ์ 1.5 ทรรศนะ (Point of View) หรือเรียกว่า มุมมอง คือ กลวิธีการเล่าเรื่องโดยผ่าน ผู้เล่าเรื่อง ซึ่งผู้อ่านสามารถรับรู้และสังเกตจากการใช้สรรพนามของผู้เขียนในการเล่าเรื่อง เช่น การใช้สรรพนามบุรุษที่ 1 หรือบุรุษที่ 3 ให้เป็นผู้คลี่คลายขยายเรื่องออกไปให้ผู้อ่านทราบมุมมองผ่าน ผู้เล่าเรื่องนั้น 1.6 การเปิดเรื่อง (Opening) คือ การเริ่มต้นในฉากแรกของเรื่องที่เขียน เพื่อ เร้าความสนใจของผู้อ่านให้ติดตามเรื่อง 1.7 การดำเนินเรื่อง (Action) คือ การกำหนดให้ตัวละครแสดงบทบาทไปตามที่ ผู้เขียนกำหนดไว้ในโครงเรื่อง เพื่อบ่งบอกเรื่องราวแก่ผู้อ่าน 1.8 การปิดเรื่อง (Ending) คือ การจบเรื่องซึ่งจะคลี่คลายปมปัญหาทั้งหมด 1.9 ท่วงทำนองการเขียน (Style) คือ ลีลาการประพันธ์ของผู้เขียน ซึ่งเป็น การแสดงออก ถึงความรู้สึกนึกคิด เจตคติของผู้เขียน โดยท่วงทำนองการเขียนจะมีความแตกต่างกัน ออกไปตามผู้เขียนแต่ละคน เช่น เรียบง่าย เคร่งขรึม แข็งกร้าว อ่อนหวาน เสียดสี ลึกซึ้ง ซึ่งท่วงทำนองนี้ถือเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของผู้เขียน ที่ไม่สามารถลอกเลียนกันได้ 1.10 เทคนิค (Techniques) คือ กลวิธีในการแต่งเรื่อง ซึ่งเป็นสิ่งที่ขึ้นอยู่กับ ความสามารถ และประสบการณ์ของผู้เขียน เป็นต้นว่าผู้เขียนจะใช้วิธีหรือขยายความในการรวบรัด ตอนใดของเรื่อง การเปิดเรื่อง-ปิดเรื่องอย่างไรให้น่าสนใจหรือประทับใจ ตลอดจนการสร้างตัวละคร ให้มีมิติสมจริง เป็นต้น
40 ความรู้เกี่ยวกับสารคดี 1. ความหมายของการเขียนสารคดี การเขียนประเภทสารคดี เป็นการเขียนที่ผู้เขียนมีจุดมุ่งหมายเสนอสาระความรู้ ความคิด แก่ผู้อ่านเป็นหลัก แต่ก็มีการเขียนสารคดีที่ให้เป็นความบันเทิง ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นความบันเทิง ด้านภูมิปัญญาปนอยู่ด้วยกัน โดยลักษณะสำคัญของการเขียนประเภทดังกล่าวนั้นมีจุดมุ่งหมายให้ ความรู้แก่ผู้อ่าน โดยต้องให้ทั้งความคิดและความจริงที่เชื่อถือได้ และมีเหตุผล ตลอดจนให้คุณค่า ทางปัญญาแก่ผู้อ่านอีกด้วย โดยมีผู้ได้ให้ความหมายไว้ดังนี้ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน (2554, น. 1182) ให้ความหมายไว้ว่า “สารคดี (สาระ) น. เรื่องที่เรียบเรียงขึ้นจากความจริง ไม่ใช่จากจินตนการ เช่น สารคดีท่องเที่ยว สารคดี ชีวประวัติ” ม.ล. บุญเหลือ เทพยสุวรรณ (2517 น. 6-7) ให้ความหมายของไว้ว่า “สารคดี คืองานเขียนที่ไม่มีตัวละครสมมุติถึงแม้ว่าสารคดีจะเป็นงานเขียนที่ผู้เขียนเจตนาจะให้ความรู้ แก่ผู้อ่าน แต่ก็เพ่งเล็งจะให้ความพึงพอใจ อันเกิดมาจากการประกอบรูป ประกอบแบบ เพ่งเล็ง เลือกเฟ้นการใช้ถ้อยคำในภาษา ทำให้เกิดอารมณ์ตามสมควร งานเขียนที่เพ่งเล็งเชิงความรู้เพ่งเล็งจะ สอนโดยไม่คำนึงถึงอารมณ์จะไม่เป็นสารคดีถือเป็นหนังสือความรู้หรือวิชาการ” รื่นฤทัย สัจจพันธุ์ (2522, น. 1-3) กล่าวว่า “สารคดีหมายถึง เรื่องไม่สมมุติสารคดีจึง ต่างจากบันเทิงคดีแต่แต่งเป็นเรื่องจริง แสดงความถูกต้อง ให้ความรู้อาหารสมองแก่คนอ่านเป็น สำคัญ” สายทิพย์นุกูลกิจ (2543, น. 241) กล่าวว่า “สารคดี (non-fiction) คือวรรณกรรม ร้อยแก้วที่มุ่งให้ผู้อ่านได้สาระข้อเท็จจริง ความรู้และความคิดเห็นเป็นสำคัญ ขณะเดียวกันก็มุ่งให้ ผู้อ่านได้รับความเพลิดเพลินจากศิลปะการเขียนของผู้แต่งไปพร้อมกันด้วย” จากการนิยามความหมายที่กล่าวมาข้างต้น เห็นได้ว่า คุณลักษณะที่สำคัญบางประการ ของงานเขียนสารคดีตามความหมายนี้เป็นงานเขียนที่เกี่ยวกับเรื่องจริง หรือเรื่องไม่สมมุติ (non-fiction) มีจุดมุ่งหมายของการเขียนมุ่งให้สาระความรู้แก่ผู้อ่านเป็นประเด็นหลัก และให้ ความเพลิดเพลินเป็นประเด็นรอง และนำเสนออย่างมีศิลปะ 2. ประเภทของสารคดี ตามทัศนะของ กุหลาบ มัลลิกะมาส (2521, 171-177) ได้แบ่งสารคดีดังนี้ 1) บทความในหนังสือพิมพ์เช่น บทบรรณาธิการ หรือบทความที่ให้ความรู้ความคิด 2) วิชาการเป็นประเภทตำราตามสาขาวิชาต่าง ๆ 3) ท่องเที่ยวกล่าวถึงการไปต่างแดน ให้ความรู้และข้อคิดเกี่ยวกับถิ่นฐานเหล่านั้น
41 4) ชีวประวัติมีทั้งชีวประวัติ(ประวัติชีวิตบุคคล)และอัตชีวประวัติ(ประวัติชีวิตที่ เจ้าของเขียนหรือเล่าด้วยตนเอง) 5) ความทรงจำ จดหมายเหตุ บันทึก 6) อนุทิน (สมุดบันทึกประจำวัน) 7) จดหมาย จดหมายโต้ตอบเชิงวิชาการให้ความรู้เรื่องต่าง ๆ 8) คติธรรม หนังสือแนวสอนจรรยา 9) บทวิจารณ์ต่างๆ ที่มีหลักเกณฑ์ทางวิชาการ 3. ขั้นตอนการเขียนสารคดี 1) การเลือกเรื่อง เป็นสิ่งสำคัญลำดับแรกสำหรับการเริ่มเขียน โดยผู้เขียนควรเลือกเรื่องที่ อยู่ในความสนใจของตนเองและมีความรู้ในเรื่องที่จะเขียน ทั้งนี้เนื้อหาของเรื่องที่จะเขียนควรเป็นเรื่อง ที่น่าสนใจต่อผู้อ่านและต่อสังคม เนื้อหาควรทันสมัยและมีความยาวไม่มากจนเกินไป 2) การตั้งชื่อเรื่อง ผู้เขียนควรจะตั้งชื่อเรื่องให้สั้น กระชับ ชัดเจน ตรงตามเนื้อหาของ เรื่อง ควรใช้ชื่อที่ดึงดูดความสนใจและสื่อความหมายได้อย่างรวดเร็ว 3) การรวบรวมข้อมูล คือ เก็บรวบรวมข้อมูลที่นำมาจากข้อมูลปฐมภูมิ ซึ่งเป็นข้อมูล เบื้องต้นของผู้เขียน เช่น การสอบถาม การสัมภาษณ์ การสังเกต มารวมกับข้อมูลทุติยภูมิ ซึ่งเป็น ข้อมูลชั้นที่สองที่เกิดจากการนำแหล่งข้อมูลอื่น ๆ มาอ้างอิง เช่น หนังสือ ตารา บทความ หนังสือพิมพ์ วารสาร เป็นต้น 4) การเขียนเรื่อง คือ การนำข้อมูลจากการรวบรวมข้อมูลมาเรียบเรียงและออกมาเป็น การเขียนสารคดี 5) ส่วนสรุป ถือเป็นส่วนสุดท้ายของเรื่องที่มีความสำคัญในการสร้างความประทับใจ ให้แก่ผู้อ่าน ทั้งนี้ผู้เขียนสามารถใช้วิธีในการสนับสนุนนั้นได้อย่างหลากหลาย อาทิ การสรุปหรือ การลงท้ายด้วยการย้ำใจความสำคัญของเรื่องให้แก่ผู้อ่าน การลงท้ายด้วยการตั้งคำถามให้ผู้อ่านได้คิด การลงท้ายด้วยคำคม สุภาษิต หรือบทกวี เป็นต้น การจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบซินเนกติกส์ การจัดการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบซินเนกติกส์ เป็นแนวทางการจัดการเรียน การสอนที่มุ่งเน้นในการพัฒนาทักษะความคิดสร้างสรรค์ โดยใช้วิธีการเปรียบเทียบอุปมาอุปไมย เชื่อมโยงความคิดของผู้เรียน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ทางความคิดที่แปลกใหม่ออกไปจากเดิม 1. ความหมายของการจัดการเรียนรู้แบบซินเนกติกส์ การจัดการเรียนรู้แบบซินเนกติกส์ ได้มีผู้ให้ความหมายไว้ดังนี้
42 สุวิทย์ มูลคำ (2545) กล่าวว่าการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีการเรียนรู้แบบซินเนกติกส์ (Synectice) เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่มุ่งพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ของผู้เรียน และการคิดร่วมกัน เป็นกลุ่มจัดกระบวนการเรียนรู้ตามลำดับขั้นที่กำหนดไว้โดยอาศัยกระบวนการเปรียบเทียบ ทิศนา แขมมณี (2556: 252) กล่าวว่า Synectics InStructional Model หรือเรียก ในชื่อภาษาไทยว่า รูปแบบการเรียนการสอนกระบวนการคิดสร้างสรรค์ เป็นรูปแบบที่จอยส์ และวีล (Joyce and Weil) พัฒนาขึ้นจากแนวคิดของกอร์ดอน (Gordon) ที่กล่าวถึงบุคคลทั่วไปที่มักยึดติด วิธีการคิดแก้ปัญหาแบบเดิม โดยไม่คำนึงถึงความคิดของคนอื่น สิ่งนี้ทำให้ความคิดนั้นแคบ และ ไม่สร้างสรรค์ การได้ลองคิดแก้ปัญหาด้วยวิธีการที่ไม่เคยคิดมาก่อน หรือคิดโดยสมมติตัวเองเป็น คนอื่น รวมทั้งให้บุคคลจากหลายกลุ่มประสบการณ์มาช่วยแก้ปัญหาก็จะยิ่งได้วิธีการที่หลากหลายขึ้น และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น กอร์ดอนจึงได้เสนอแนวความคิดใหม่ใน 3 แบบ คือ การเปรียบเทียบ แบบตรง (direct analogy) การเปรียบเทียบบุคคลกับสิ่งของ ( personal analogy) และ การเปรียบเทียบคําคู่ขัดแย้ง (compressed Conflict) ซึ่งวิธีการนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับการเรียนรู้ ในเชิงสร้างสรรค์ทั้งด้านการเขียน การพูด และงานศิลปะ ชุลีรัตน์ ประกิ่ง (2558: 19) กล่าวว่า กระบวนการซินเนคติกส์ หมายถึง กระบวนการ จัดการเรียนรู้ที่มุ่งพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ของผู้เรียน ด้วยวิธีการเชื่อมโยงที่แตกต่างกันหรือ ไม่เกี่ยวข้องเข้าด้วยกัน โดยใช้กระบวนการเปรียบเทียบ เพื่อช่วยในการสร้างผลงานที่สร้างสรรค์ แปลกใหม่ไม่ซ้ำเดิม ฆนัท ธาตุทอง (2559: 117) กล่าวว่า รูปแบบการเรียนการสอนกระบวนการคิด สร้างสรรค์ (Synectics Instruction Model) รูปแบบนี้Joyce, Weil & Calhoun ได้พัฒนาขึ้นจาก แนวคิดของกอร์ดอน ที่กล่าวว่า บุคคลทั่วไปมักยึดติดกับวิธีคิดแก้ปัญหาแบบเดิม ๆ ของตน โดยไม่ ค่อยคำนึงถึงความคิดของคนอื่น ทำให้ความคิดของตนคับแคบและไม่สร้างสรรค์ ทั้งนี้หากมีโอกาสได้ ลองคิดแก้ปัญหาด้วยวิธีการที่ไม่เคยคิดมาก่อนหรือคิดโดยสมมติตนเองเป็นคนอื่น จะทำให้เกิด ความคิดสร้างสรรค์แตกต่างไปจากเดิมได้ ดังนั้น กอร์ดอนจึงได้เสนอให้ผู้เรียนมีโอกาสคิดแก้ปัญหา ด้วยความคิดใหม่ ๆ ที่ไม่เหมือนเดิม ไม่อยู่ในสภาพที่เป็นตัวเอง ให้ลองใช้ความคิดในฐานะที่เป็นคน อื่นหรือเป็นสิ่งอื่น สภาพการณ์เช่นนี้จะกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความคิดใหม่ ๆ ขึ้นได้ กอร์ดอนได้เสนอ วิธีการคิดเปรียบเทียบแบบอุปมาอุปไมยเพื่อใช้ในการกระตุ้นความคิดใหม่ ๆ ไว้ 3 แบบ คือ การเปรียบเทียบแบบตรง (direct analogy) การเปรียบเทียบบุคคลกับสิ่งของ (personal analogy) และการเปรียบเทียบคําคู่ขัดแย้ง (compressed conflict) วิธีการนี ้มีประโยชน์มากเป็นพิเศษสำหรับ การเรียนรู้ การเขียนและการพูดอย่างสร้างสรรค์ รวมทั้งการสร้างสรรค์งานทางด้านศิลปะ พรรณภัทร เกษประสิทธิ์(2563: 51) กล่าวว่า ซินเนกติกส์ เป็นการพัฒนาความคิด สร้างสรรค์ด้วยวิธีการเชื่อมโยงสิ่งที่แตกต่างหรือไม่เกี่ยวข้องเข้าด้วยกัน โดยใช้เทคนิคอุปมาอุปไมย 3
43 รูปแบบ คือ การเปรียบเทียบโดยตรง การเปรียบเทียบโดยสมมติตนเป็นสิ่งอื่น และการสร้างคู่คำ ขัดแย้ง เปรียบเทียบสิ่งที่ต้องการเรียนรู้เพื่อให้นักเรียนเกิดความคิดใหม่ ๆ สามารถนำความคิดใหม่ ๆ นั้น สร้างสรรค์ผลงานที่แปลกใหม่ น่าสนใจมากขึ้น ดังนั้นจึงสามารถสรุปได้ว่า การจัดการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบซินเนกติกส์ เป็นแนวทางการจัดการเรียนการสอนที่มุ่งเน้นในการพัฒนาทักษะความคิดสร้างสรรค์ มีจุดเด่นคือ การใช้กลวิธีการเปรียบเทียบมาใช้เพื่อให้เกิดความคิดในมุมมองที่กว้างขวาง แปลกใหม่ และเกิดอิสระ จากกฎเกณฑ์เดิม 2. หลักการสอนตามแบบซินเนกติกส์ การจัดการเรียนรู้แบบซินเนกติกส์ ได้มีผู้ให้หลักการไว้ดังนี้ สมพงษ์ สิงหะพล (2533: 8-9) กล่าวว่า เป้าหมายหลักของรูปแบบการสอน ซินเนกติกส์คือ การฝึกฝนให้ผู้เรียนเกิดความคิดสร้างสรรค์ในบทเรียน ในการแก้ปัญหาหรือการคิดค้น สิ่งใหม่ขึ้นมา โดยใช้การเปรียบเทียบมาเป็นเครื่องมือในการคิดสร้างสรรค์ รูปแบบการสอนนี้มี ความเชื่อเบื้องหลังอยู่ 4 ประการ คือ 1) เชื่อว่าความคิดสร้างสรรค์เกิดขึ้นอยู่เสมอ ในการดำรงชีวิตของมนุษย์และ การคิดสร้างสรรค์นี้มีความสำคัญต่อชีวิตประจำวันของทุกคน 2) เชื่อว่ากระบวนการของการคิดสร้างสรรค์ไม่ใช่สิ่งลึกลับ ซับซ้อนแต่อย่างใด เราสามารถอธิบายการเกิดความคิดสร้างสรรค์และฝึกฝนคนให้มีระดับการคิดสร้างสรรค์เพิ่มขึ้นได้ 3) เชื่อว่าการคิดสร้างสรรค์ที่เกิดในศาสตร์วิชาการสาขาต่าง ๆ มีลักษณะ คล้ายคลึงกัน ไม่ว่าจะเป็นศิลปะ วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ สังคมศึกษา ประวัติศาสตร์หรือ วิศวกรรมศาสตร์ก็ตาม ศาสตร์เหล่านี้จำเป็นต้องใช้กระบวนการทางสติปัญญาเข้ามาเกี่ยวข้อง ในการคิดสร้างสรรค์ทั้งนั้น 4) เชื่อว่าการคิดสร้างสรรค์ของคนคนเดียวหรือการคิดสร้างสรรค์โดยกลุ่มคน มีลักษณะใกล้เคียงกันมาก กิจกรรมการเรียนการสอนที่เรามักปฏิบัติอยู่ในปัจจุบันนั้น เมื่อเรามอบหมายงานให้ ผู้เรียนไปคิดแก้ปัญหา หรือกระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดออกมาตามจุดมุ่งหมายของบทเรียน มักปรากฏว่า การทำกิจกรรมจะยึดการวิเคราะห์ตามความรู้ที่เราเรียนรู้มา หรือไม่ก็วิเคราะห์องค์ประกอบของ สิ่งนั้น ๆ แล้วคิดสร้างสรรค์ออกมา นั่นคือเอาสิ่งที่รู้แล้วมาเป็นแนวทางในการทำงาน ซึ่งประเด็นนี้เป็น สิ่งที่ดี แต่มีจุดด้อยคือขาดการมองงานในมิติใหม่ ๆ ที่ไม่มีการมองมาก่อน กิจกรรมของซินเนกติกส์ จะใช้การเปรียบเทียบระหว่างบทเรียนกับสิ่งอื่น ๆ เข้ามาเป็นองค์ประกอบสำคัญในการช่วยให้ นักเรียนมองเห็นบทเรียนแตกต่างออกไปจากจุดเดิมอย่างเกือบสิ้นเชิง สามารถสร้างสรรค์บทเรียน หรืองานออกมาในมิติที่เราคาดไม่ถึง โดยการเปรียบเทียบตามรู้แบบการสอนซินเนกติกส์มี 3 ชนิด คือ
44 1. การเปรียบเทียบแบบตรง (Direct Analogy) เป็นการเปรียบเทียบแบบง่าย ๆ ระหว่าง สิ่งของสองสิ่ง ความคิดสองความคิด สิ่งที่นํามาเปรียบเทียบกันจะเป็นอะไรก็ได้ที่เราต้องการ เปรียบเทียบ เช่น คน พืช สัตว์ สิ่งของ สถานที่ ความคิด หรืออื่น ๆ การเปรียบเทียบชนิดนี้ช่วยให้ นักเรียนมองเห็นบทเรียนในแนวทางและความคิดใหม่ เช่น เปรียบเทียบการเขียนจดหมายกับหนอน การเขียนจดหมายกับรถไฟ การเขียนจดหมายกับก้อนเมฆ เป็นต้น 2. การเปรียบเทียบแบบบุคคล (Personal Analogy) เป็นการเปรียบเทียบโดยเอา ตัวผู้เรียนไปเป็นบางสิ่งอย่างที่ครูยกขึ้น การเปรียบเทียบเช่นนี้ช่วยให้นักเรียนมีส่วนร่วมในบทเรียน มองเห็นบทเรียนเป็นสิ่งที่ไม่ไกลจากตัว มองเห็นแนวทางในการคิดสร้างสรรค์จากฐานความคิดของ ตัวเองและฐานความคิดจากสิ่งที่ให้เปรียบเทียบ ตัวอย่างเช่น สมมติให้นักเรียนเป็นรถไฟ เป็นหนอน หรือเป็นเมฆ แล้วรู้สึกอย่างไร 3. การเปรียบเทียบแบบคู่ขัดแย้ง (Compressed Analogy) เป็นการเปรียบเทียบอีกชนิด หนึ่งที่นําเอาคําที่ขัดแย้งกันสองคํามาสร้างเป็นคําใหม่ เช่นคําว่า ถนอมรักด้วยความรุนแรง (จากภาพยนตร์เรื่องป่าคอนกรีต) ไฟเย็น ความทุกข์ที่หวานชื่น หน้าชื่นอกตรม เป็นต้น สมศักดิ์ภู่วิภาดาวรรธน์ (2537: 106-108) ได้กล่าวถึงวิธีการซินเนกติกส์ว่าอาศัยกิจกรรม การเปรียบเทียบอุปมาอุปไมยเป็นหลัก กิจกรรมดังกล่าว มี 3 วิธีด้วยกัน คือ 1) การเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับสิ่งอื่น (Personal Analogy) การเปรียบเทียบแบบ นี้นักเรียนต้องทำตนเสมือนเป็นสิ่งที่ต้องการเปรียบเทียบ และบรรยายความรู้สึกที่เกิดขึ้นเมื่อตนเป็น สิ่งนั้น สิ่งที่จะเปรียบเทียบอาจเป็นคน พืช สัตว์ หรือสิ่งของ เช่น ให้นักเรียนสมมติตัวเองว่าเป็น เครื่องยนต์ในรถยนต์แล้วบอกว่า นักเรียนรู้สึกอย่างไรเมื่อรถติดเครื่องในตอนเช้า เมื่อไฟแบตเตอรี่ หมด หรือเมื่อรถจอดติดไฟแดง การที่นักเรียนต้องสมมติตัวเองเป็นสิ่งหนึ่งทำให้ลืมความเป็นตัวเอง ชั่วครู่ และการต้องเปรียบเทียบจะทำให้นักเรียนเกิดความแปลกใหม่ และความคิดสร้างสรรค์ขึ้นได้ บุคคลอาจเอาความรู้ สกของตนเองไปใส่ในสิ่งที่สมมติและบรรยายความรู้สึกออกมาได้หลายขั้น 2) การเปรียบเทียบทางตรง (Direct Analogy) เป็นการเปรียบเทียบทางตรงระหว่าง ของ 2 สิ่งหรือมากกว่า สิ่งที่นํามาเปรียบเทียบอาจเป็นคน สัตว์ พืช หรือสิ่งของ โดยของที่นํามา เปรียบเทียบไม่จำเป็นต้องเหมือนกันทุกประการ จุดประสงค์ก็คือ เพื่อให้มองเห็นปัญหาในอีก แนวหนึ่ง หรือเพื่อให้เกิดความคิดใหม่ซึ่งอาจนำมาใช้แก้ปัญหาที่ต้องการได้ เช่น วิศวกรท่านหนึ่งเฝ้า สังเกตดูหนอนเจาะท่อนไม้เป็นรูคล้ายอุโมงค์ ทำให้วิศวกรผู้นี้เกิดความคิดสร้างท่ออุโมงค์ทำงานใต้น้ำ ขึ้นมา 3) การเปรียบเทียบโดยใช้คําคู่ที่มีความหมายขัดแย้งกัน (Compressed Conflict) เป็นการใช้คําเปรียบเทียบ 2 คํา ที่มีความหมายขัดแย้งกันหรือตรงกันข้ามมาอธิบายลักษณะของคน สัตว์ พืช หรือสิ่งของที่ต้องการ ยกตัวอย่างคําในภาษาอังกฤษ เช่น ก้าวร้าวอย่างเหนื่อยหน่าย
45 (Tiredly Aggressive) ศัตรูฉันมิตร (Friendly Foe) หรือเครื่องทำลายที่ช่วยชีวิต (Life-saving Destroyer) เป็นต้น ในภาษาไทยอาจเป็นคํา เช่น ฉลาดในเรื่องโง่ หรือสวยโทรม ๆ เป็นต้น การสอนแบบซินเนกติกส์ อาศัยกิจกรรมการเปรียบเทียบทั้ง 3 อย่างนี้ ตัวอย่างคําถามที่ กระตุ้นให้นักเรียนคิดเปรียบเทียบ มีดังต่อไปนี้ 1) ตัวอย่างคําถามที่กระตุ้นการเปรียบเทียบทางตรง ได้แก่ ผลส้มเหมือนกับสิ่งมีชีวิต ชนิดไหน โรงเรียนเหมือนสลัดผักหรือผลไม้ในแง่ไหน อะไรเบากว่ากันระหว่างเสียงกระซิบหรือขนแมว 2) ตัวอย่างคําถามที่กระตุ้นการใช้ตัวเองเปรียบเทียบกับสิ่งอื่น ได้แก่ ถ้าท่านเป็น ก้อนเมฆ ขณะนี้ท่านอยู่ที่ไหนและกําลังทำอะไรอยู่ ท่านจะรู้สึกอย่างไรเมื่อถูกแสงอาทิตย์เผาจน แห้งผาก สมมติว่าท่านเป็นหนังสือเล่มที่ท่านชอบที่สุดจงบรรยายตัวเอง 3) ตัวอย่างคําถามที่กระตุ้นการเปรียบเทียบด้วยคําคู่ที่มีความหมายขัดแย้งกันหรือ ตรงกันข้าม ได้แก่ บอกได้ไหมว่าคอมพิวเตอร์มีลักษณะขี้อายแต่ก็ไม่ย่อหัวสู้และก้าวต่อไปข้างหน้า อย่างไร เครื่องมือหรือเครื่องไฟฟ้าชนิดไหนที่ชอบยิ้มและทำบึ้งขณะเดียวกัน ทิศนา แขมมณี(2562: 252-253) อธิบายรูปแบบซินเนกติกส์ไว้ว่า เป็นการเปิดโอกาสให้ ผู้เรียนได้ลองคิดแก้ปัญหาด้วยวิธีการที่่ไม่เคยคิดมาก่อน คิดโดยสมมติตัวเองเป็นคนอื่นหรือสิ่งอื่น และถ้ายิ่งเปิดโอกาสให้บุคคลหลายกลุ่มประสบการณ์มาช่วยกันแก้ปัญหา ก็จะยิ่งส่งเสริมให้เกิด วิธีการที่หลากหลายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยรูปแบบซินเนกติกส์ ประกอบไปด้วยวิธีการคิด เปรียบเทียบแบบอุปมาอุปไมย 3 แบบ คือ การเปรียบเทียบแบบตรง (Direct Analogy) การเปรียบเทียบกับตนเอง (Personal Analogy) และการเปรียบเทียบความขัดแย้ง (Compressed Conflict) วัตถุประสงค์ของรูปแบบนี้มุ่งพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ของผู้เรียน ช่วยให้ผู้เรียนเกิด แนวคิดที่ใหม่แตกต่างไปจากเดิม และสามารถนำความคิดใหม่นั้นไปใช้ให้เป็นประโยชน์ ได้ผลที่ผู้เรียน จะได้รับจากการเรียนตามรูปแบบ ผู้เรียนจะเกิดความคิดใหม่ ๆ และสามารถนำความคิดใหม่ ๆ นั้นไป ใช้ในงานของตน ทำให้งานของตนมีความแปลกใหม่ น่าสนใจมากขึ้นนอกจากนั้นผู้เรียนอาจเกิด ความตระหนักในคุณค่าของการคิด และความคิดของผู้อื่นอีกด้วย ดังนั้นจึงสามารถสรุปได้ว่า รูปแบบซินเนกติกส์มีแนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับการเปรียบเทียบ เพื่อให้เกิดความคิดในมิติใหม่ที่สร้างสรรค์ ประกอบด้วย การเปรียบเทียบแบบตรง การเปรียบเทียบ แบบบุคคล และการเปรียบเทียบแบบคู่ขัดแย้ง ซึ่งกระบวนการดังกล่าวสามารถนำมาใช้เป็นแนวทาง พัฒนาทักษะกระบวนการให้ผู้เรียนสามารถคิดเนื้อความในการแต่งร้อยกรองเชิงสร้างสรรค์ได้ 3. ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้แบบซินเนกติกส์ การจัดการเรียนรู้แบบซินเนกติกส์ ได้มีผู้อธิบายขั้นตอนต่าง ๆ ไว้ดังนี้ กุสุมา เสนานาค (2552: 28) กล่าวว่า รูปแบบการจัดการเรียนรู้ซินเนกติกส์ ยุทธศาสตร์ การจัดการเรียนรู้มี 2 ประเภท คือ
46 ยุทธศาสตร์ที่ 1 การสร้างสิ่งคุ้นเคยให้แปลกใหม่ (Creating Something New, Stratege One) ถูกออกแบบมาทำสิ่งที่รู้จักคุ้นเคยให้มีความแปลกใหม่ออกไปจากเดิม ยุทธศาสตร์ที่ 2 ทำสิ่งแปลกใหม่ให้คุ้นเคย (Making the Strange Familiar, Stratege Two) ถูกออกแบบให้นักเรียนมีความคุ้นเคยกับสิ่งที่แปลกใหม่หรือหัวข้อใหม่ที่จะเรียนรู้ และเกิดการเรียนรู้อย่างมีความหมาย สุวิทย์ มูลคำ และ อรทัย มูลคำ (2550: 113) กล่าวว่า กระบวนการจัดการเรียนรู้ตาม รูปแบบการจัดการเรียนรู้ซินเนกติกส์มีขั้นตอน ดังนี้ 1. ขั้นบรรยายสถานการณ์ปัจจุบัน ในขั้นนี้ผู้สอนบรรยายหรือสถานการณ์ถึงหัวข้อที่ น่าสนใจ หรือที่นักเรียนกำลังสนใจ หรือข่าวเหตุการณ์ต่าง ๆ เช่น ในขณะนี้มีข่าวโจรปล้นร้านทอง ผู้สอนอาจจะทั้งบรรยายและคำถามนำว่า ผู้สอน: “นักเรียนคงทราบเวลานี้มีโจรปล้นร้านทอง เราลองมาตั้งชื่อโจรคนนี้และ ลักษณะพิเศษที่ไม่เหมือนใคร” นักเรียน: โจรคนนี้น่าจะชื่อ ดำ ผมยาวสีม่วง ปล้นร้านเกม นักเรียน: โจรคนนี้น่าจะชื่อ บักจ่อย ผมสีทอง ขาเป๋ ปล้นร้านรถบังคับ นักเรียน: โจรคนนี้น่าจะชื่อ โป้งเหน่ง ผมสีแดง ใส่ฟันเหล็ก มีกล้ามใหญ่ ปล้นร้าน ตุ๊กตา หลังจากนั้นผู้สอนให้นักเรียนทบทวนลักษณะของโจรอีกครั้งว่ามีลักษณะแปลกใหม่ หรือ มีลักษณะที่แตกต่างจากโจรโดยทั่วไปอย่างไร นักเรียนเห็นความแปลกใหม่หรือไม่ อย่างไร ในขั้นนี้ ผู้สอนต้องคอยกระตุ้นโดยถามให้นักเรียนเห็นความแปลกใหม่จริง ๆ นักเรียนส่วนใหญ่มักจะตอบว่า ไม่มีความแปลกใหม่ เพราะเป็นลักษณะกว้าง ๆ ของโจรธรรมดาที่มีอยู่ 2. ขั้นการเปรียบเทียบทางตรง ขั้นนี้เป็นการเปรียบเทียบระหว่างสองสิ่งหรือมากกว่า สิ่งที่นำมาเปรียบเทียบ อาจจะเป็นคน พืช สัตว์ สิ่งของ เพื่อให้นักเรียนได้มองเห็นปัญหาอีกแนวหนึ่ง เพื่อให้เกิดแนวคิดใหม่ ๆ ดังตัวอย่าง ผู้สอน: ลักษณะของโจรยังเป็นลักษณะธรรมดา ๆ ถ้าสมมติว่า ครูจะให้นักเรียน เปรียบเทียบระหว่างโจรที่ชื่อดำกับเครื่องมือที่ใช้ในบ้านนักเรียนคิดว่ามีเครื่องมืออะไรที่มีส่วนคล้าย กับลักษณะของดำ นักเรียน: เครื่องซักผ้า นักเรียน: ทีวี นักเรียน: ไม้กวาด นักเรียน: ชิงช้า
47 หลังจากนั้นผู้สอนให้นักเรียนทั้งห้องร่วมกันพิจารณาว่า การเปรียบเทียบระหว่างสิ่งของ ข้างต้นไม้กับโจรชื่อดำ อันไหนเปรียบเทียบได้แหวกแนวที่สุดพร้อมทั้งให้นักเรียนอธิบายการทำงาน ของสิ่งของนั้น เช่น ถ้านักเรียนเลือกไม้กวาด ผู้สอนต้องซักถามนักเรียนเกี่ยวกับลักษณะการทำงาน การประดิษฐ์ไม้กวาด ในขั้นตอนนี้ยังไม่เปรียบเทียบไม้กวาดกับโจร 3. ขั้นการเปรียบเทียบกับตนเอง เป็นขั้นตอนในการนำตนเองไปเปรียบเทียบกับสิ่งอื่น ซึ่ง ทำให้นักเรียนต้องทำตนเหมือนสิ่งที่ต้องการเปรียบเทียบ และบรรยายความรู้สึกที่เกิดขึ้นเมื่อตนเป็น สิ่งนั้น เพื่อให้นักเรียนเกิดความคิดแปลกใหม่ดังตัวอย่าง หลังจากที่นักเรียนเลือกสิ่งของที่คิดว่าแปลก แหวกแนวที่สุด คือ ไม้กวาด ผู้สอนก็ให้นักเรียนเปรียบเทียบตนเองกับไม้กวาด โดยตั้งคำถามว่า ผู้สอน: ถ้าสมมติว่านักเรียนเป็นไม้กวาด จงบอกความรู้สึกว่าเป็นอย่างไร ในขณะที่ เป็นไม้กวาด นักเรียน: ผมต้องคอยเก็บกวาดสิ่งสกปรกอยู่ทุกวัน ผมไม่อยากให้มีสิ่งสกปรก เช่น ฝุ่น กระดาษ ถุงพลาสติก เป็นต้น เพราะสิ่งต่าง ๆ ทำให้ผมเหม็นและจามอยู่บ่อย ๆ ผมท้อแท้เพราะ ไม่เคยเห็นหน้าใครนอกจากเพื่อนผมที่ชื่อว่าฝุ่น นักเรียน: ผมชอบเศษขยะมากเพราะทำให้ผมนึกถึงความหอมในตัวมากกว่า เครื่องใช้อื่น ๆ ดังนั้นเศษขยะจึงเป็นเหมือนน้ำหอมประจำตัวผม ผมภูมิใจที่ได้ทำหน้าที่ผู้พิทักษ์ ความสะอาด 4. ขั้นการเปรียบเทียบโดยใช้คำคู่ที่มีความหมายที่ขัดแย้งกัน โดยนำคำมาจากการที่ นักเรียนเอาตนเองไปเปรียบเทียบกับสิ่งของในขั้นตอนที่ 3 โดยให้นักเรียนเลือก เช่น เหม็นกับหอม ท้อแท้กับภูมิใจ สกปรกกับสะอาด เมื่อนักเรียนได้เลือกคำที่มีความหมายขัดแย้งกันแล้ว ผู้สอนให้ นักเรียนเลือกคำที่มีความหมายขัดแย้งหรือตรงกันข้ามมากที่สุด 5. ขั้นการเปรียบเทียบทางตรง ครั้งที่ 2 ผู้สอนย้อนกลับมาใช้วิธีการเปรียบเทียบ ทางตรงอีกครั้งโดยใช้คำที่มีความหมายขัดแย้งกันที่นักเรียนได้เลือกไว้ในข้อ 4 มาเป็นหลัก สมมติว่า นักเรียนเลือกเหม็นกับหอม ผู้สอนอาจใช้คนหรือสัตว์ สิ่งของเปรียบเทียบกับเหม็นกับหอม เช่น นักเรียน: ลองนึกถึงของใช้ที่มีลักษณะของเหม็นและหอม นักเรียน: ลูกเหม็นในห้องน้ำ นักเรียน: น้ำหอม เมื่อนักเรียนหาคำมาได้ทั้งหมด ผู้สอนจะยุติการหาคำ เปรียบเทียบพร้อมทั้งถามนำว่า ผู้สอน: สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดข้างต้น อะไรที่จะใช้บรรยายลักษณะโจรดำได้ดีและน่า ตื่นเต้นที่สุด นักเรียน: ยาทาเล็บ ผู้สอน: ยาทาเล็บมาบรรยายลักษณะโจรดำได้อย่างไร
48 หลังจากที่ถามนักเรียนเงียบ ผู้สอนให้นักเรียนอภิปรายลักษณะของยาทาเล็บข้อดี ข้อเสีย สีต่าง ๆ ของยาทาเล็บ ฯลฯ พร้อมทั้งจดลงกระดานดำ แล้วให้นักเรียนเขียนถึงโจรดำโดยใช้ข้อความ ทั้งหมดเกี่ยวกับยาทาเล็บบรรยาย 6. ขั้นสำรวจงานที่ต้องทำอีกครั้ง ให้นักเรียนเปรียบเทียบแล้วนำไปสู่ปัญหาเริ่มแรก หลังจากที่นักเรียนเลือกยาทาเล็บแล้วผู้สอนนำไปสู่ปัญหาเริ่มแรก คือ การบรรยายเปรียบเทียบโจรดำ กับยาทาเล็บโดยตั้ง คำถามว่า ผู้สอน: ลองกลับมาคิดถึงโจรดำอีกครั้ง เราจะใช้ยาทาเล็บมาบรรยายลักษณะ โจรดำได้อย่างไร ขั้นตอนนี้ นักเรียนส่วนใหญ่จะเงียบ ผู้สอนอาจจะต้องใช้คำอธิบายหรือตั้งคำถามนำว่า ยาทาเล็บนั้นเป็นอย่างไร มีข้อดีและข้อเสียอย่างไร สีสันต่าง ๆ เป็นอย่างไร โดยให้นักเรียนอธิบาย พร้อมทั้งให้นักเรียนเขียนถึงโจรดำ โดยใช้ข้อความทั้งหมดเกี่ยวกับยาทาเล็บข้างต้นบรรยายลักษณะ โจรดำ( ขั้นตอนการจัดการเรียนการสอนเป็นกระบวนการเรียนการสอนที่ช่วยให้ผู้เรียนสำเร็จ ตามวัตถุประสงค์ของรูปแบบการสอนที่กำหนดไว้ ซึ่งในการทำวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยใช้ขั้นตอน การจัดการเรียนรู้แบบซินเนกติกส์ตามแนวคิดของทิศนา แขมมณี (2562: 253) มีขั้นตอน ดังนี้ ขั้นที่ 1 ขั้นนำ ผู้สอนให้ผู้เรียนทำงานต่าง ๆ ที่ต้องการให้ผู้เรียนทำ เช่น ให้เขียน บรรยายเล่า ทำ แสดง วาดภาพ สร้าง ปั้น เป็นต้น ผู้เรียนทำงานนั้น ๆ ตามปกติที่เคยทำเสร็จแล้วให้ เก็บผลงานไว้ก่อน ขั้นที่ 2 ขั้นการสร้างอุปมาแบบตรงหรือเปรียบเทียบแบบตรง ผู้สอนเสนอคำคู่ให้ ผู้เรียนเปรียบเทียบความเหมือนและความแตกต่าง เช่น ลูกบอลกับมะนาว เหมือนหรือต่างกันอย่างไร คำคู่ที่ผู้สอนเลือกมาควรให้มีลักษณะที่สัมพันธ์กับเนื้อหาหรืองานที่ให้ผู้เรียนทำในขั้นที่ 1 ผู้สอนเสนอ คำคู่ให้ผู้เรียนเปรียบเทียบหลาย ๆ คู่ และจดคำตอบของผู้เรียนไว้บนกระดาน ขั้นที่ 3 ขั้นการสร้างอุปมาบุคคลหรือเปรียบเทียบบุคคลกับสิ่งของ ผู้สอนให้ผู้เรียน สมมติตัวเองเป็นสิ่งใดสิ่งหนึ่ง และแสดงความรู้สึกออกมาเช่น ถ้าเปรียบเทียบผู้เรียนเป็นเครื่องซักผ้า จะรู้สึกอย่างไร ผู้สอนจดคำตอบของผู้เรียนไว้บนกระดาน ขั้นที่ 4 ขั้นการสร้างอุปมาคำคู่ขัดแย้ง ผู้สอนให้ผู้เรียนนำคำหรือวลีที่ได้ จากการเปรียบเทียบในขั้นที่ 2 และ 3 มาประกอบกันเป็นคำใหม่ที่มีความหมายขัดแย้งกันในตัวเอง เช่น ไฟเย็น น้ำผึ้งขม มัจจุราชสีน้ำผึ้ง เชือดนิ่ม ๆ เป็นต้น ขั้นที่ 5 ขั้นการอธิบายความหมายของคำคู่ขัดแย้ง ผู้สอนให้ผู้เรียนช่วยกันอธิบาย ความหมายของคำคู่ขัดแย้งที่ได้
49 ขั้นที่ 6 ขั้นการนำความคิดใหม่มาสร้างสรรค์งาน ผู้สอนให้ผู้เรียนนำงานที่ทำไว้เดิม ในขั้นที่ 1 ออกมาทบทวนใหม่ และลองเลือกนำความคิดที่ได้มาใหม่จากกิจกรรมขั้นที่ 5 มาใช้ในงาน ของตนทำให้งานของตนมีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น 4. การนำรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบซินเนกติกส์ไปใช้ สมพงษ์ สิงหะพล (2533: 11-12) กล่าวถึงบทบาทของครูและนักเรียนว่า ตามรูปแบบ การสอนนี้ครูจะมีบทบาทเป็นเพียงผู้ริเริ่ม คอยดำเนินการเรียนการสอนตามบทเรียนและขั้นตอนที่ จัดเตรียมไว้ มีบทบาทคอยกระตุ้นความคิดของผู้เรียนอยู่ตลอดเวลา ครูไม่มีบทบาทจะไปคอยชี้นํา ความคิดของผู้เรียนให้เป็นไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง แต่จะกระตุ้นให้ผู้เรียนได้แสดงความคิดของ ตัวเองออกมาให้มากที่สุด ผู้เรียนจึงเป็นผู้ที่มีบทบาทอย่างสำคัญในกระบวนการเรียนการสอน คือมี อิสระในการคิด แสดงความคิดอภิปราย ถกเถียงกับตามกับบทเรียน ยิ่งผู้เรียนแสดงความคิด มากเท่าไร การมองเห็นสิ่งใหม่ ๆ ก็จะมีมากขึ้นเท่านั้น รูปแบบการสอนแบบซินเนกติกส์ใช้ได้ดีกับบทเรียนที่ต้องการให้ผู้เรียนคิด พัฒนา สร้าง หรือมองบทเรียนไปในแนวทางใหม่ เนื่องจากนําเอาการเปรียบเทียบที่แตกต่างกัน มาให้ผู้เรียน ได้คิด พิจารณาและวิเคราะห์อย่างเป็นระบบ ลักษณะการเรียนก็เป็นไปอย่างสนุกสนาน ไม่เบื่อหน่าย บรรยากาศการเรียนเต็มไปด้วยความพึงพอใจของทั้งผู้สอนและผู้เรียน นอกจากจะช่วยฝึกฝนการคิด สร้างสรรค์ของผู้เรียนได้ดีแล้ว สิ่งที่จะได้ติดตามมาอีกก็คือความสัมพันธ์ในกลุ่มซึ่งเป็นจุดที่การศึกษา ไทยปัจจุบันค่อนข้างให้ความสำคัญมาก เนื้อหาวิชาที่สามารถนําเอารูปแบบการสอนแบบซินเนกติกส์ไปใช้ได้ค่อนข้างสะดวก เหมาะสม และประสบผลสำเร็จได้ดี ก็คือ เนื้อหา วิชา หัวข้อ หรือบทเรียนใด ๆ ก็ได้ที่ต้องการให้ ผู้เรียนคิดสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ออกมาที่แตกต่างไปจากสภาพที่เป็นอยู่ ตัวอย่างเนื้อหาดังกล่าวเช่น การแก้ปัญหาการศึกษา ปัญหาสังคม การคิดออกแบบสิ่งของ การเปิดทรรศนะต่อแนวคิดบางอย่าง เป็นต้น สุคนธ์ สินธพานนท์ และคณะ (2545: 157) กล่าวว่า การสอนแบบซินเนกติกส์ สามารถนําไปใช้สอนในบทเรียนที่ต้องการให้ผู้เรียนได้คิด พัฒนา หรือมองบทเรียนไปในแนวทางใหม่ รู้จักการคิดเปรียบเทียบ สามารถนําไปใช้ได้ในทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ ข้อดีของการสอนแบบ ซินเนกติกส์ คือ เป็นกิจกรรมที่มีจุดเด่นในด้านการเปรียบเทียบระหว่างบทเรียนกับสิ่งอื่น ๆ ช่วยให้ ผู้เรียนมองเห็นบทเรียนในแง่มุมที่แตกต่างไปจากเดิม ทำให้เกิดการสร้างสรรค์ในมิติใหม่ที่น่าสนใจมี การฝึกฝนให้ผู้เรียนรู้จักคิดหลากหลายรูปแบบ เกิดความคิดสร้างสรรค์ บรรยากาศการเรียน สนุกสนานไม่น่าเบื่อ เกิดความพึงพอใจทั้งผู้สอนและผู้เรียน อีกทั้งสร้างความสัมพันธ์ในกลุ่มให้เกิดขึ้น ผู้เรียนได้ช่วยเหลือกัน ร่วมมือกันระดมความคิดเพื่อให้เกิดแนวคิดแปลกใหม่อยู่ตลอดเวลาส่วน ข้อจํากัดของการสอนแบบซินเนกติกส์ คือ เนื้อหาวิชาที่นําเอารูปแบบดังกล่าวไปใช้ได้ดีคือเนื้อหาวิชา
50 หัวข้อ หรือบทเรียนที่ต้องการให้ผู้เรียนเกิดความคิดสร้างสรรค์ที่แตกต่างออกไปจากสภาพเดิมที่ เป็นอยู่ และผู้สอนต้องเตรียมการสอนล่วงหน้าเป็นอย่างดี อีกทั้งสามารถให้ตัวอย่างแนะนําผู้เรียนได้ กรณีที่ผู้เรียนไม่สามารถระดมความคิดออกมาได้ ซึ่งบางครั้งจะทำให้บรรยากาศในการเรียนหยุดชะงัก ทิศนา แขมมณี (2556: 252-253) กล่าวว่า รูปแบบการสอนแบบซินเนกติกส์ได้มุ่ง พัฒนาความคิดสร้างสรรค์ของผู้เรียน ช่วยให้ผู้เรียนเกิดแนวคิดใหม่ที่แตกต่างจากเดิม รวมทั้งสามารถ นําความคิดใหม่นั้นไปใช้ให้เป็นประโยชน์ได้ ซึ่งรูปแบบซินเนกติกส์ จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดความคิดใหม่ ๆ และสามารถนําความคิดใหม่ ๆ นั้นไปใช้ในงานของตน ทำให้งานมีความแปลกใหม่ น่าสนใจ นอกจากนั้นผู้เรียนอาจเกิดความตระหนักในคุณค่าของการคิด และความคิดของผู้อื่นอีกด้วย ดังนั้นสามารถสรุปได้ว่า รูปแบบการสอนซินเนกติกส์สามารถนําไปใช้ได้กับบทเรียน ที่ต้องการมุ่งให้ผู้เรียนเกิดกระบวนการคิด พัฒนา หรือสร้างสรรค์สิ่งใดสิ่งหนึ่ง มีประโยชน์ในแง่ ของ การทำให้ผู้เรียนเกิดความคิดแปลกใหม่และน่าสนใจ อีกทั้งยังได้ความรู้ในบทเรียนและ สร้างสัมพันธภาพภายในกลุ่มผู้เรียน ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยนี้ที่มุ่งพัฒนาความสามารถใน การเขียนเชิงสร้างสรรค์ของผู้เรียน ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็นผลที่เกิดจากการสอนโดยใช้รูปแบบ วิธีการ อย่างใดอย่างหนึ่ง ผู้วิจัยจึงได้ศึกษารายละเอียดของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนประกอบด้วย ความหมายของผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน องค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน การวัดพฤติกรรมทางการศึกษา ด้านพุทธิพิสัย หรือสติปัญญา เครื่องมือวัดผลสัมฤทธิ์การเรียนภาษาไทยและวัตถุประสงค์ของการใช้ เครื่องมือวัดผลสัมฤทธิ์การเรียนภาษาไทย โดยมีรายละเอียดดังนี้ 1. ความหมายผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (Learning Achievement) เป็นสมรรถภาพของสมอง ในด้านต่าง ๆ ที่นักเรียนได้รับจากประสบการณ์ทั้งทางตรงและทางอ้อมจากครู นักการศึกษาได้ให้ ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ดังนี้ สมหวัง พิธิยานุวัฒน์ (2549 : 71) ให้ความหมายผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ผลที่เกิดจากการสอนหรือกระบวนการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมซึ่งแสดงออกมา 3 ด้าน ได้แก่ ด้านพุทธพิสัย ด้านจิตพิสัย และด้านทักษะพิสัย สุมิตร สำแดงสาร (2546 : 34) ให้ความหมายผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความสามารถในการเรียนวิชาใดวิชาหนึ่ง ซึ่งวัดและตรวจสอบได้จากความสามารถในการท ำ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์วิชานั้น ๆ ในด้านต่าง ๆ เช่น ความรู้ความจ า ความเข้าใจ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ การนำไปใช้ การประเมินค่า ด้านทักษะกระบวนการและเจตคติของผู้เรียนว่าบรรลุ
51 จุดมุ่งหมายของหลักสูตรมากน้อยเพียงใด เป็นข้อมูลย้อนกลับให้ผู้สอนได้วิเคราะห์ เพื่อปรับปรุง การเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น จากความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจึงสามารถสรุปได้ว่า ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน หมายถึง คุณลักษณะ และความสามารถของบุคคลที่พัฒนาขึ้น ซึ่งได้รับจากการเรียน การสอน การค้นคว้า การอบรม การสั่งสอน หรือประสบการณ์ต่าง ๆ กระบวนการเปลี่ยนแปลง พฤติกรรมซึ่งแสดงออกมา 3 ด้าน ได้แก่ ด้านพุทธพิสัย ด้านจิตพิสัย และด้านทักษะพิสัย 2. องค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน บลูม (Bloom, 1976 : 52 อ้างถึงใน สมชาย วรกิจเกษมสกุล, 2553 : 20 - 22) ได้กล่าวถึงตัวแปรที่มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในโรงเรียนดังต่อไปนี้ 1. พฤติกรรมด้านความรู้ ความคิด หมายถึง ความสามารถทั้งหลายของนักเรียน ซึ่งประกอบด้วย ความถนัดและพื้นฐานของนักเรียน 2. คุณลักษณะด้านจิตพิสัย หมายถึง สภาพการณ์หรือแรงจูงใจที่จะทำให้นักเรียน เกิดการเรียนรู้ใหม่ ได้แก่ ความสนใจ เจตคติที่มีต่อเนื้อหาที่เรียนในโรงเรียน ระบบการเรียน ความคิดเห็นเกี่ยวกับตนเอง และลักษณะบุคลิกภาพ 3. คุณภาพการสอน ได้แก่ การรับคำแนะนำ การมีส่วนร่วมในการเรียนการสอน การเสริมแรงจากครู การแก้ไขข้อผิดพลาด และรู้ผลว่าตนเองกระทำได้ถูกต้องหรือไม่ 4. คุณลักษณะของนักเรียน ได้แก่ ความพร้อมทางสมอง และทางสติปัญญา ความพร้อมทางด้านร่างกาย และความสามารถทางด้านทักษะของร่างกาย คุณลักษณะทางจิตใจ ซึ่งได้แก่ ความสนใจ แรงจูงใจ เจตคติและค่านิยม สุขภาพ ความเข้าใจเกี่ยวกับตนเอง ความเข้าใจ ในสถานการณ์ อายุ เพศ 5. คุณลักษณะของผู้สอน ได้แก่ สติปัญญา ความรู้ในวิชาที่สอน การพัฒนาความรู้ ทักษะทางร่างกาย คุณลักษณะทางจิตใจ สุขภาพ ความเข้าใจเกี่ยวกับตนเอง ความเข้าใจ ในสถานการณ์ อายุ เพศ 6. พฤติกรรมระหว่างผู้สอนและนักเรียน ได้แก่ ปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้สอน กับนักเรียนจะต้องมีพฤติกรรมที่เป็นมิตรต่อกัน เข้าใจกันมีความสัมพันธ์ที่ดี และมีความรู้สึกที่ดีต่อกัน 7. คุณลักษณะของกลุ่มนักเรียน ได้แก่ โครงการของกลุ่มตลอดจนความสัมพันธ์ ของกลุ่ม เจตคติ ความสามัคคี และภาวะผู้นำผู้ตามที่ดีของกลุ่ม 8. คุณลักษณะของพฤติกรรมเฉพาะตัว ได้แก่ การตอบสนองต่อการเรียน การมีเครื่องมือและอุปกรณ์พร้อมในการเรียน ความสนใจต่อบทเรียน
52 9. แรงผลักดัน ได้แก่ ครอบครัวมีความสัมพันธ์ในครอบครัวดี สิ่งแวดล้อมดี และคุณธรรมพื้นฐานดี เช่น ขยันหมั่นเพียร ความประพฤติดี 3. การวัดพฤติกรรมทางการศึกษาด้านพุทธิพิสัย หรือสติปัญญา การวัดพฤติกรรมด้านพุทธิพิสัยหรือสติปัญญา ตามแบบของบลูม และคณะ (Bloom etal, 1976 อ้างถึงใน สมชาย วรกิจเกษมสกุล, 2553 : 28 - 31) ที่ใช้เป็นแนวทางในการวัด และประเมินผลด้านพุทธิพิสัยหรือสติปัญญา ของผู้เรียน โดยได้จำแนกสติปัญญาของมนุษย์ ตามลำดับของความซับซ้อนของกระบวนการเป็น 6 ระดับ ดังนี้ 3.1 ความรู้ (Knowledge) เป็นความสามารถของผู้เรียนในการจดจำ ระลึกได้ของ เนื้อหาสาระที่ได้เรียนรู้ผ่านมาแล้วถ่ายทอดสู่ผู้อ่านได้อย่างถูกต้อง แม่นยำและชัดเจน จำแนกได้ดังนี้ 3.1.1 ความรู้ด้านเนื้อหา (Knowledge of Specifics) เป็นความสามารถ ในการจดจำเนื้อหา สาระที่ได้เรียนรู้ จำแนกได้ดังนี้ 1) ความรู้เกี่ยวกับศัพท์และนิยาม (Knowledge of Terminology) เป็นความสามารถในการจดจำสัญลักษณ์ ศัพท์ หรือนิยาม ที่กำหนดไว้ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง อาทิ การวัดผล แปลว่าอะไร เป็นต้น 2) ความรู้เกี่ยวกับข้อเท็จจริง (Knowledge of Specifics Facts) เป็นความสามารถ ในการจดจำสิ่งที่เป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นและเรียนรู้มาแล้ว อาทิ วัน เดือน ปี สถานที่ บุคคล หรือเหตุการณ์ ฯลฯ อาทิ ก๊าซที่มนุษย์หายใจออก คือ ก๊าซอะไร เป็นต้น 3.1.2 ความรู้เกี่ยวกับวิธีดำเนินการในเนื้อหา (Knowledge of Ways and Means of Dealing with Specifics) เป็นความสามารถในการจดจำวิธีการ ลำดับขั้นตอน เกณฑ์ หรือการจำแนกประเภท จำแนกเป็นดังนี้ 1) ความรู้เกี่ยวกับระเบียบประเพณี (Knowledge of Conventions) เป็น ความสามารถในการจดจำประเพณี วัฒนธรรม ธรรมเนียมหรือสิ่งที่กระทำกันในสังคมเรื่องใดเรื่องหนึ่ง หรือในเนื้อหาวิชา อาทิ แสตมป์ของไปรษณีย์จะติดที่ส่วนใดของซองจดหมาย เป็นต้น 2) ความรู้เกี่ยวกับแนวโน้มและลำดับขั้น (Knowledge of Trend and Sequences) เป็นความสามารถในการจดจำในส่วนที่เกี่ยวข้องกับแนวโน้ม หรือลำดับขั้นตอน เรื่องใดเรื่องหนึ่ง อาทิ บุคคลที่สูบบุหรี่ส่วนมากจะเป็นโรคอะไร เป็นต้น 3) ความรู้เกี่ยวกับการจำแนกประเภท (Knowledge of Classifications and Categories) เป็นความสามารถในการจดจำประเภท หรือการจัดกลุ่มของเนื้อหาที่ได้เรียนรู้มาแล้ว อาทิ พืชประเภทใดไม่มีรากแก้ว เป็นต้น
53 4) ความรู้เกี่ยวกับเกณฑ์ (Knowledge of Criteria) เป็นความสามารถ ในการจดจำกฎเกณฑ์ในการเกิดหลักการ ความคิดรวบยอด ความคิดเห็นและอื่น ๆ อาทิ เพราะเหตุใด จึงทราบว่าน้ำจากก้นมดแดงมีฤทธิ์เป็นกรด เป็นต้น 5) ความรู้เกี่ยวกับวิธีการ (Knowledge of Methodology) เป็นความสามารถ ในการจดจำวิธีการแสวงหาความรู้ เทคนิควิธีการ และกระบวนการต่าง ๆ ที่เรียนรู้มาแล้ว อาทิ วิธีการทางวิทยาศาสตร์คืออะไร เป็นต้น 3.1.3 ความรู้เกี่ยวกับความคิดรวบยอด (Knowledge of Universals and Abstraction in a Field) เป็นความสามารถในการจดจำขั้นสูง จำแนกได้ดังนี้ 1) ความรู้เกี่ยวกับหลักวิชาและการสรุปอ้างอิงทั่วไป (Knowledge of Principles and Generalizations) เป็นความสามารถในการจดจำหลักวิชาและการสรุปอ้างอิงทั่วไป ในหลักวิชานั้น ๆ อาทิ สมการทางเคมีที่มีปฏิกิริยาให้เกิดน้ำคือสมการใด เป็นต้น 2) ความรู้เกี่ยวกับทฤษฎีและโครงสร้าง (Knowledge of Theories and Structure) เป็นความสามารถในการจดจ าทฤษฎีและโครงสร้างของสิ่งที่เรียนรู้มาแล้ว อาทิ ในการเดินขบวน ของชาวบ้าน เพื่อประท้วงรัฐบาลสามารถอธิบายปรากฏการณ์ดังกล่าวด้วย ทฤษฎีใด 3.2 ความเข้าใจ (Comprehension) เป็นความสามารถในการสรุปความตีความ และขยายความจากสื่อ ความหมายที่ได้พบเห็นได้อย่างสมเหตุสมผล จำแนกได้ดังนี้ 1) การแปลความ (Translation) เป็นความสามารถในการถ่ายโยงความหมาย จากภาษาที่เข้าใจยากในเรื่องประเด็นนั้น ๆ ให้เป็นภาษาที่สามารถเข้าใจได้ง่ายขึ้น อาทิ จุดไต้ตำตอบ หมายความว่าอย่างไร เป็นต้น 2) การตีความ (Interpretation) เป็นความสามารถในการสรุปความ หรือพิจารณาในภาพรวมให้เป็นประโยคใจความสั้น ๆ ที่มีความหมาย อาทิ พันท้ายนรสิงห์ เป็นบุคคล ลักษณะใด เป็นต้น 3) การขยายความ (Extrapolation) เป็นความสามารถในการคาดคะเน ข้อเท็จจริงล่วงหน้าโดยใช้แนวโน้มของสถานการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว อาทิ ถ้าในประเทศไทยมีบ่อน้ำมัน อย่างเพียงพอแล้วเศรษฐกิจของประเทศจะเป็นอย่างไร เป็นต้น 3.3 การนำไปใช้ (Application) เป็นความสามารถในการนำความรู้หลักวิชา หรือทฤษฎีไปใช้แก้ปัญหาในสถานการณ์ใหม่ที่ไม่เคยเรียนหรือไม่คุ้นเคย โดยจำแนกลักษณะ ข้อคำถามที่ใช้ 5 ลักษณะดังนี้ 1) ถามความสอดคล้องระหว่างหลักวิชาและการปฏิบัตินั้น ๆ อาทิ พ่อค้า ขายทรายใช้หลักการเดียวกับการขายอะไร
54 2) ถามขอบเขตการใช้หลักวิชาและการปฏิบัติ อาทิ เครื่องมือประเภทนี้ เหมาะสมกับงานชนิดใด 3) ถามให้อธิบายหลักวิชาว่าเหตุการณ์นั้นเกิดจากอะไร เพราะเหตุใด อาทิ จงอธิบายเหตุผลที่ทำให้ปลาในบริเวณอ่าวไทยลดลง เป็นต้น 4) ถามให้แก้ปัญหา เป็นการแก้ปัญหาใหม่โดยใช้หลักการเดียวกับปัญหาเดิม ที่เคยได้แก้แล้ว อาทิ ถ้าท่านไม่มีอาหารประเภทเนื้อสัตว์รับประทาน ท่านจะรับประทานอาหารอะไร ทดแทน เพื่อให้ได้รับคุณค่าของอาหารเหมือนเดิม เป็นต้น 5) ถามเหตุผลของการปฏิบัติ เป็นการตรวจสอบเหตุผลที่แท้จริงว่าจะปฏิบัติ อย่างไร และเพราะเหตุใด อาทิ ชาวสวนนิยมขยายพันธุ์ต้นมะม่วง ด้วยวิธีการใด เพราะเหตุใด เป็นต้น 3.4 การวิเคราะห์ (Analysis) เป็นความสามารถในการแยกแยะ เพื่อหา ส่วนประกอบย่อย ๆ ของเหตุการณ์ ว่ามีประเด็นที่สำคัญคืออะไร แต่ละประเด็นมีความสัมพันธ์กัน อย่างไร ใช้หลักการอะไร จำแนกได้ดังนี้ 1) การวิเคราะห์ความสำคัญ (Analysis of Elements) เป็นความสามารถใน การจำแนกความสำคัญของประเด็นในเหตุการณ์ เหตุและผล อาทิ ในศีลห้าข้อ ข้อใดเป็นข้อที่สำคัญ ที่สุด เป็นต้น 2) การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ (Analysis of Relationships) เป็นความสามารถ ในการจำแนกความสัมพันธ์หรือความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ย่อย ๆ เพื่อนำมาอุปมาอุปไมย อาทิ เพราะเหตุใดแสงจึงมีความเร็วมากกว่าเสียง เป็นต้น 3) การวิเคราะห์หลักการ (Analysis of Elements) เป็นความสามารถในการระบุ เหตุการณ์ที่ใช้เชื่อมโยงเหตุการณ์ย่อย ๆ ให้อยู่กันอย่างเป็นระบบ อาทิ หลักการที่ใช้ทำให้รถยนต์ วิ่งได้คือหลักการใด เป็นต้น 3.5 การสังเคราะห์ (Synthesis) เป็นความสามารถในการผสมผสานส่วนย่อย เพื่อให้เกิดองค์ประกอบใหม่ที่มีโครงสร้างใหม่จำแนกได้ดังนี้ 1) การสังเคราะห์ข้อความ (Production of Unique Communication) เป็นความสามารถในการสังเคราะห์ข้อความเพื่อหาข้อสรุปร่วมกันโดยการพูด การเขียน หรือวิพากษ์วิจารณ์ อาทิ ให้ผู้เรียนเขียนเรียงความเรื่อง “คุณลักษณะของนักเรียนไทยในอนาคต” เป็นต้น 2) การสังเคราะห์แผนงาน (Production of Plan and Propose Set of Operations) เป็นความสามารถในการก าหนดแนวทางและขั้นตอนในการปฏิบัติงานใหม่ หรือการสังเคราะห์แผนงานเดิมเพื่อจัดทำแผนงานใหม่ที่ช่วยให้การดำเนินงานสอดคล้องกับเกณฑ์ และมาตรฐาน ได้ดีกว่าเดิม อาทิ ผู้เรียนจะวางแผนอย่างไรจึงจะทำให้เรียนเก่ง เป็นต้น
55 3) การสังเคราะห์ทางด้านความสัมพันธ์ (Derivation of a Set of Abstract Relations) เป็นความสามารถในการนำแนวคิดย่อย ๆ มาสัมพันธ์กันอย่างสมเหตุสมผล จนเป็นสมมติฐาน กฎ หรือทฤษฎี อาทิ ให้ผู้เรียนได้กำหนดสมมติฐานในปัญหาการวิจัยที่จะ ดำเนินการ หรือให้สรุปผลที่ได้ตามจุดประสงค์ที่กำหนดไว้ เป็นต้น 3.6 การประเมินค่า (Evaluation) เป็นความสามารถในการพิจารณาตัดสินคุณค่า อาทิ ดี-เลว เหมาะ-ไม่เหมาะ ฯลฯ โดยการนำมาเปรียบเทียบกับเกณฑ์มาตรฐาน จำแนกได้ดังนี้ 1) การประเมินค่าโดยใช้เกณฑ์ภายใน (Judgment in Terms of Internal Evidence) เป็นความสามารถในการพิจารณาความถูกต้อง ความสมเหตุสมผล หรือความสอดคล้อง โดยใช้เกณฑ์ภายในของประเด็นนั้น ๆ เป็นสำคัญ อาทิ การปฏิบัติได้ผลตรงตามเป้าหมายมากหรือ น้อยเพียงใดหรือการเลือกใช้วิธีการที่เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นต้น 2) การประเมินค่าโดยใช้เกณฑ์ภายนอก (Judgment in Terms of External Evidence) เป็นความสามารถในการพิจารณาความถูกต้อง ความสมเหตุสมผล หรือ ความสอดคล้อง โดยใช้เกณฑ์ภายนอกที่สังคม หรือระเบียบประเพณีที่กำหนดไว้ อาทิ สิ่งที่ดำเนินการให้ประโยชน์ต่อ สังคมในด้านใดบ้าง หรือผลที่ได้รับมีความสอดคล้องกับหลักการที่กำหนดให้หรือไม่ อย่างไร เป็นต้น จากการวัดพฤติกรรมทางการศึกษาด้านพุทธิพิสัย หรือสติปัญญา ที่กล่าวมาข้างต้น สามารถสรุปได้ว่า การวัดและประเมินผลของผู้เรียนด้านพุทธิพิสัย แบ่งเป็น 6 ระดับ ได้แก่ ความรู้ ความเข้าใจการนำไปใช้ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ และการประเมินค่า ซึ่งในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้วัดพฤติกรรมทางการศึกษาด้านพุทธิพิสัย 2 ระดับ คือ ความรู้ และความเข้าใจ 4. เครื่องมือวัดผลสัมฤทธิ์การเรียนภาษาไทย ผลสัมฤทธิ์การเรียนภาษาไทยเป็นผลสำเร็จของการเรียนภาษาไทยของผู้เรียน และการสอนของครูผู้สอน เช่น ผลสัมฤทธิ์การอ่านจับใจความ ผู้เรียนแต่ละคนจะประสบความสำเร็จ ในการอ่านจับใจความไม่เท่ากันแม้จะเรียนอยู่ในระดับชั้นเดียวกันและมีสภาพแวดล้อมในการเรียน ที่คล้ายกัน ผลสัมฤทธิ์การอ่านจับใจความของผู้เรียนขึ้นอยู่กับความสามารถทางสมอง ความสนใจ และประสบการณ์ทางภาษาของผู้เรียน การรู้ผลสัมฤทธิ์ การเรียนแต่ละทักษะของผู้เรียนจะช่วยให้ ผู้สอนและผู้เรียนนำผลไปใช้พัฒนาการสอน และการเรียนให้ดียิ่งขึ้น อย่างไรก็ตามการวัดผลสัมฤทธิ์ จำเป็นต้องใช้เครื่องมือที่มีมาตรฐานเพื่อผลที่วัดออกมา จะได้มีความเชื่อถือกระบวนการวัดผลจึงต้อง มีระบบซึ่งเป็นข้อตกลงร่วมกันเกี่ยวกับ การบริหารการใช้เครื่องมือวัดผล (สุนันทา มั่นเศรษฐวิทย์, 2551 : 55)
56 4.1 วัตถุประสงค์ของการใช้เครื่องมือวัดผลสัมฤทธิ์การเรียนภาษาไทย สุนันทา มั่นเศรษฐวิทย์ (2551: 55) กล่าวถึงการใช้เครื่องมือวัดผลสัมฤทธิ์ การเรียนมีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เป็นการวัดพื้นฐานการเรียนภาษาไทยของผู้เรียนก่อนที่กิจกรรมการเรียน จะเริ่มขึ้น ผู้สอนอาจทำการวัดพื้นฐานการเรียนในชั่วโมงแรกของการเปิดภาคเรียนเพื่อนำผล มาวินิจฉัยว่าผู้เรียนมีพื้นฐานความรู้ในเรื่องที่จะเรียนภาษาไทยมากหรือน้อย ผู้สอนจะได้นำผลมาใช้ เป็นแนวทางในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนต่อไป 2) เป็นการวัดผลภายหลังที่ผู้เรียนได้เรียนเนื้อหาครบถ้วนตามวัตถุประสงค์ ที่กำหนดไว้ เช่น ในภาคเรียนหนึ่งกำหนดให้ผู้เรียนเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมทางภาษาไทย โดยสามารถ จำ เข้าใจ นำไปใช้ วิเคราะห์ สังเคราะห์ และประเมินค่าได้ อย่างน้อยร้อยละ 60 มีเนื้อหาสาระ จากแบบเรียนและหนังสืออ่านประกอบซึ่งเป็นสื่อใช้ฝึกความรู้ทางภาษาไทยให้นักเรียนเปลี่ยน พฤติกรรมตามวัตถุประสงค์ การวัดผลโดยใช้เครื่องมือวัดผลฤทธิ์จะช่วยให้ผู้สอนรู้ว่าผู้เรียน ประสบความสำเร็จตามเกณฑ์อย่างน้อย ร้อยละ 60 หรือไม่ถ้าคำตอบออกมาว่าไม่ ก็จำเป็นต้อง หาทางปรับปรุงแก้ไขต่อไป 3) เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างคะแนนของผู้เรียนแต่ละคนกับคะแนน เฉลี่ยของกลุ่มผู้เรียนเพื่อพิจารณาว่าสูงหรือต่ำจากค่าเฉลี่ย เพื่อใช้เป็นแนวทางในการปรับปรุง กิจกรรมการเรียนการสอนในการพัฒนาให้ผู้เรียนแต่ละคนให้มีผลสัมฤทธิ์ในการเรียนสูงขึ้นกว่าเดิม 4) เปรียบเทียบความก้าวหน้าในการเรียนระหว่างคะแนนก่อนเรียนกับคะแนน หลังเรียน การทดสอบก่อนเรียนจะใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ก่อนจึงดำเนินการสอน ตามวัตถุประสงค์เมื่อครบตามเวลาที่กำหนดการสอน แล้วจึงทดสอบหลังเรียนด้วยข้อทดสอบชุด เดียวกับการวัดผลก่อนเรียน จากนั้นจึงนำคะแนนทั้งสองครั้งมาเปรียบเทียบกัน เพื่อพิจารณา ความแตกต่างว่าคะแนนหลังเรียนสูงขึ้นหรือต่ำกว่าเดิม ผลที่ปรากฏจะใช้เป็นแนวทางในการปรับปรุง แผนการสอนภาษาไทย เพื่อจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์สูงขึ้น 5) เปรียบเทียบเวลาที่ใช้ในการทำข้อสอบกับเวลาเฉลี่ยที่เป็นมาตรฐาน ผู้เรียนบางคนอาจใช้เวลามากหรือน้อยจากเวลาที่เป็นมาตรฐานของการทำข้อสอบ การใช้เวลา ที่แตกต่างกันอาจชี้ให้เห็นทั้งข้อดีและข้อบกพร่อง ข้อดีคือผู้เรียนทำข้อสอบได้จึงใช้เวลาน้อยกว่า ที่กำหนด ข้อบกพร่องคือเมื่อทำข้อสอบไม่ได้จะใช้วิธีการเดา ทำให้เสร็จเร็วกว่าเวลาที่กำหนด นอกจากนั้นบางคนอาจทำข้อสอบไม่ทันตามเวลา ข้อสังเกตตามที่กล่าวมานี้จะช่วยให้ผู้สอนนำมา ปรับการบริหารเครื่องมือให้ผู้เรียนใช้เวลาในการทำข้อสอบได้ตามที่กำหนดต่อไป 6) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ในการเรียนภาษาไทยระหว่างทักษะต่าง ๆ ได้แก่ ฟัง พูด อ่าน และเขียน โดยนำคะแนนที่ได้มาปรับเป็นคะแนนมาตรฐาน แล้วจึงนำมาเปรียบเทียบกัน
57 ทำให้เห็นความแตกต่างของคะแนนผลสัมฤทธิ์การเรียนของแต่ละทักษะ ซึ่งจะชี้ให้เห็นว่าควรปรับปรุง ทักษะใดให้มีผลสัมฤทธิ์อยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับทักษะอื่น ๆ 7) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์การเรียนภาษาไทยกับผลการเรียนวิชาอื่น ๆ โดยปรับให้เป็นคะแนนมาตรฐาน แล้วจึงนำไปเปรียบเทียบกันจะทำให้เห็นคะแนนผลสัมฤทธิ์วิชา ภาษาไทยใกล้เคียงกับวิชาอื่น ๆ หรือไม่ เพื่อผู้สอนและผู้เรียนจะได้ปรับปรุงผลการเรียนของแต่ละ วิชาให้ดีขึ้น จากวัตถุประสงค์ของการใช้เครื่องมือวัดผลสัมฤทธิ์การเรียนภาษาไทย ที่กล่าวมา ข้างต้น สามารถสรุปได้ว่า การใช้เครื่องมือวัดผลสัมฤทธิ์การเรียนมีวัตถุประสงค์ เพื่อวัดความรู้พื้นฐาน ก่อนเรียน วัดผลหลังเรียน เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างคะแนนของผู้เรียนแต่ละคนกับคะแนน เฉลี่ยของกลุ่ม และเปรียบเทียบความก้าวหน้าในการเรียนระหว่างคะแนนก่อนเรียนกับคะแนนหลัง เรียน ผู้วิจัยนำความรู้นี้ไปใช้ในงานวิจัยโดยการสร้างเครื่องมือวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ให้มีประสิทธิภาพ เพื่อใช้ในการพัฒนาและเพิ่มผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทยเรื่องการเขียน สร้างสรรค์ โดยใช้และให้คะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนตามวัตถุประสงค์ที่ได้กำหนดไว้ งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง งานวิจัยที่เกี่ยวข้องงานวิจัยนี้ เป็นงานวิจัยในประเทศ ซึ่งผู้วิจัยได้ทำการศึกษางานวิจัย ดังนี้ 1. งานวิจัยในประเทศ ณัฐณิชา จิตตะคาม (2561) ศึกษาการจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบการสอนแบบชินเนกติกส์ เพื่อพัฒนาทักษะการเขียนเชิงสร้างสรรค์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 การวิจัยครั้งนี้มี วัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบทักษะการเขียนเชิงสร้างสรรค์ รายวิชาภาษาไทย ระหว่างก่อนเรียน และหลังเรียนของนักเรียนกลุ่มทดลองโดยการจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบการสอนแบบชินเนกติกส์ 2) เปรียบทียบทักษะการเขียนเชิงสร้างสรรค์ รายวิชาภาษาไทย ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียนของ นักเรียนกลุ่มควบคุมโดยใช้รูปแบบการสอนแบบปกติ 3) เปรียบเทียบทักษะการเขียนเชิงสร้างสรรค์ รายวิชาภาษาไทย หลังเรียนระหว่างกลุ่มทดลองที่ไห้รับการจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบการสอนแบบ ชินเนกติกส์กับกลุ่มควบคุมที่เรียนโดยรูปแบบการสอนแบบปกติ การวิจัยนี้เป็นการวิจัยรูปแบบ กึ่งทดลอง (Quai-Experinenal Rescirch) เปรียบเทียบระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนชุมชนบึงบา เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบการสอนแบบชินเนกติกส์ เพื่อส่งเสริมการเขียน เชิงสร้างสรรค์ แบบประเมินทักษะการเขียนเชิงสร้างสรรค์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ
58 ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเปรียบเทียบความแตกต่าง ผลการวิจัยพบว่า 1) ทักษะ การเขียนเชิงสร้างสรรค์ รายวิชาภาษาไทย ของนักเรียนกลุ่มทดลองที่เรียนโดยใช้การจัดการเรียนรู้ รูปแบบการสอนแบบซินเนกติกส์ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน 2) ทักษะการเขียนเชิงสร้างสรรค์ รายวิชาภาษาไทย ของนักเรียนกลุ่มควบคุมที่เรียนโดยใช้รูปแบบการสอนแบบปกติ หลังเรียนสูงกว่า ก่อนเรียน 3) ทักษะการเขียนเชิงสร้างสรรค์ รายวิชาภาษาไทย ของกลุ่มทดลองที่เรียนโดยการจัด การเรียนรู้ตามรูปแบบการสอนแบบซินเนกติกส์ สูงกว่ากลุ่มควบคุมที่เรียนโดยใช้รูปแบบการสอน แบบปกติ พล พิมพ์โพธิ์ (2561) ศึกษาผลการจัดการเรียนรู้โดยใช้แนวคิดอรรถฐานร่วมกับรูปแบบ การสอนซินเนกติกส์ที่มีต่อความสามารถในการเขียนร้อยกรองเชิงสร้างสรรค์และเจตคติต่อการเขียน ร้อยกรองเชิงสร้างสรรค์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการเขียนร้อยกรองเชิงสร้างสรรค์ของนักเรียนระหว่างก่อนเรียน และหลังเรียน 2) เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการเขียนร้อยกรองเชิงสร้างสรรค์ของนักเรียนกับ เกณฑ์ร้อยละ 80 3) เพื่อวิเคราะห์ผลงานการเขียนร้อยกรองเชิงสร้างสรรค์ของนักเรียนที่ได้รับ การจัดการเรียนรู้ โดยใช้แนวคิดอรรถฐานร่วมกับรูปแบบการสอนซินเนกติกส์ 4) เพื่อศึกษาเจตคติต่อ การเขียนร้อยกรองเชิงสร้างสรรค์ของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ โดยใช้แนวคิดอรรถฐาน ร่วมกับรูปแบบการสอนซินเนกติกส์ กลุ่มตัวอย่างได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียน วัดอินทาราม จำนวน 30 คน ที่ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง ดำเนินการทดลองแบบ One Group Pretest – Posttest Design ใช้เวลาทดลองจำนวน 12 คาบ คาบละ 50 นาทีรวมการทดสอบก่อน และหลังการทดลอง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ แบบทดสอบ วัดความสามารถ และแบบวัดเจตคติสถิติที่ใช้ประกอบด้วยคะแนนเฉลี่ย ค่าความแปรปรวนของ คะแนนและค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐานของกลุ่มทดลอง ผลการวิจัยพบว่า 1) ความสามารถใน การเขียนร้อยกรองเชิงสร้างสรรค์ของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้แนวคิดอรรถฐานร่วมกับ รูปแบบการสอนซินเนกติกส์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) ความสามารถในเขียนร้อยกรองเชิงสร้างสรรค์เป็นไปตามเกณฑ์โดยมีค่าร้อยละ 80.20 3) งานเขียนร้อยกรองเชิงสร้างสรรค์ของนักเรียนเป็นไปตามเกณฑ์ที่กกหนด 4) เจตคติต่อการเขียน ร้อยกรองเชิงสร้างสรรค์ของนักเรียนอยู่ในระดับมาก พิริยะพงศ์ พิมพระลับ (2565) ศึกษาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบซินเนกติกส์เพื่อ ส่งเสริมความสามารถในการเขียนเชิงสร้างสรรค์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 การวิจัยในครั้งนี้มี ความมุ่งหมาย คือ 1) เพื่อพัฒนาแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบซินเนกติกส์ เพื่อส่งเสริม ความสามารถในการเขียนเชิงสร้างสรรค์ ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เพื่อเปรียบเทียบ ความสามารถในการเขียนเชิงสร้างสรรค์ระหว่างก่อนและหลังการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบซินเนก
59 ติกส์ 3) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องการเขียนเชิงสร้างสรรค์ระหว่างก่อนและ หลังการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบซินเนกติกส์และ 4) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 5 ที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบซินเนกติกส์ เพื่อส่งเสริมความสามารถใน การเขียนเชิงสร้างสรรค์กลุ่มตัวอย่างได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ห้อง ป.5/1 โรงเรียน เทศบาลบูรพาพิทยาคาร จังหวัดมหาสารคาม ที่กำลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 จำนวนนักเรียน 41 คน ซึ่งได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster RandomSampling) เครื่องมือที่ใช้ใน การวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบซินเนกติกส์จำนวน 5 แผน รวมจำนวน 10 ชั่วโมง 2) แบบทดสอบวัดความสามารถในการเขียนเชิงสร้างสรรค์จำนวน 5 ข้อ 3) แบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องการเขียนเชิงสร้างสรรค์จำนวน 30 ข้อและ 4) แบบประเมิน ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบซินเนกติกส์สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบสมมติฐานด้วย t-test (Dependent Samples) ผลการวิจัยพบว่า 1) แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบซินเนกติกส์ เพื่อส่งเสริม ความสามารถในการเขียนเชิงสร้างสรรค์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 มีประสิทธิภาพ (E1/E2) เท่ากับ 84.83/82.23 2) นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่เรียนด้วยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ ซินเนกติกส์มีความสามารถในการเขียนเชิงสร้างสรรค์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทาง สถิติที่ระดับ .05 3) นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่เรียนด้วยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ ซินเนกติกส์ มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง การเขียนเชิงสร้างสรรค์ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมี นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 4) นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่เรียนด้วยการจัดกิจกรรม การเรียนรู้แบบซินเนกติกส์มีความพึงพอใจโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด มลฤดี ศรีบุญเรือง (2562) ศึกษาการพัฒนารูปแบบการสอนภาษาไทย โดยใช้ กระบวนการฝึก 7 ขั้น ตามแนวซินเนกติกส์ ร่วมกับแผนผังความคิด เพื่อส่งเสริมการเขียน เชิงสร้างสรรค์ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนารูปแบบ สอนภาษาไทย โดยใช้กระบวนการฝึก 7 ขั้น ตามแนวซินเนกติกส์ร่วมกับแผนผังความคิด เพื่อส่งเสริม การเขียนเชิงสร้างสรรค์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 2) ศึกษาผลการใช้ภาษาไทย โดยใช้ กระบวนการฝึก 7 ขั้น ตามแนวซินเนคติกส์ร่วมกับแผนผังความคิดเพื่อส่งเสริมการเขียนเชิง สร้างสรรค์ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 2 งานวิจัยเป็นการวิจัยและพัฒนา (Research and Development) กลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/1 โรงเรียนเทศบาลบ้านสามเหลี่ยม สำนักการศึกษา เทศบาลนครขอนแก่นในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2562 จำนวน 35 คน เครื่องมือ ที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการฝึก 7 ขั้น ตามแนว ซินเนกติกส์ร่วมกับแผนผังความคิด เพื่อส่งเสริมการเขียนเชิงสร้างสรรค์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 2 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 3) แบบวัดการเขียนเชิงสร้างสรรค์ และ
60 3) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียน การวิเคราะห์ข้อมูล ใช้ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐานการทดสอบค่าที (t-test) แบบ Dependent และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) รูปแบบสอนภาษาไทย โดยใช้กระบวนการฝึก 7 ขั้น ตามแนวซินเนกติกส์ร่วมกับแผนผังความคิดเพื่อ ส่งเสริมการเขียนเชิงสร้างสรรค์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 มีองค์ประกอบคือ หลักการ วัตถุประสงค์ กระบวนการเรียนการสอน สาระความรู้ ทักษะกระบวนการ สิ่งที่ส่งเสริมการเรียนรู้ ระบบสังคม สิ่งสนับสนุนและหลักการตอบสนอง ซึ่งกระบวนการเรียนการสอนมี 7 ขั้นตอนคือ 1) ขั้นสร้างแผนภาพความคิดและงานเขียน 2) ขั้นเปรียบเทียบแบบตรง 3) ขั้นเปรียบเทียบกับตนเอง 4) ขั้นเปรียบเทียบขัดแย้ง 5) ขั้นเลือกคำสำคัญเพื่อเขียนเรื่อง 6) ขั้นปรับปรุงเรื่องที่เขียน และ 7) ขั้นแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และรูปแบบการสอนที่พัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพ เท่ากับ 14/81.49 เมื่อเทียบ กับเกณฑ์ 80/80 สูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 หลังเรียนโดยใช้กระบวนการฝึก 7 ขั้นตามแนวซินเนกติกส์ร่วมกับแผนผังความคิดเพื่อส่งเสริม การเขียนเชิงสร้างสรรค์ สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) การเขียน เชิงสร้างสรรค์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 มีจำนวนนักเรียนผ่านเกณฑ์คิดเป็นร้อยละ 89.47 ซึ่ง สูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ 4) ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่มีต่อรูปแบบการสอน ภาษาไทย โดยใช้กระบวนการฝึก 7 ขั้น ตามแนวซินเนกติกส์ร่วมกับแผนผังความคิดเพื่อส่งเสริม การเขียนเชิงสร้างสรรค์อยู่ในระดับมาก = 4.41, S.D.= 0.61 การศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้องทั้งหมดนี้ นับตั้งแต่หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 การเขียนเชิงสร้างสรรค์ การจัดการเรียนรู้แบบซินเนกติกส์ รวมถึงผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ตลอดจนงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ช่วย ให้ผู้วิจัยนำความรู้ที่ได้ศึกษาช่วยวางแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ออกแบบการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้ให้สอดคล้องกับหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อตอบสนองจุดประสงค์การเรียนรู้ ที่ตั้งไว้ นอกจากนี้ ยังใช้ในการออกแบบสื่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ และแบบฝึกทักษะที่สอดคล้อง กับสถานการณ์ปัจจุบันได้เป็นอย่างดี ตลอดจนการวัดผลสัมฤทธิ์ที่ถูกต้อง แม่นยำ ช่วยให้ผู้เรียนได้รับ ประโยชน์จากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องการเขียนสร้างสรรค์ สามารถนำไปปรับใช้ใน ชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
61 กรอบแนวคิดในการวิจัย จากการศึกษาแนวคิดทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนา ผู้เรียนด้านการเขียนสร้างสรรค์ ผู้วิจัยพบว่าในการจัดการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาด้านการเขียน สร้างสรรค์นั้นมีวิธีการที่หลากหลายและแตกต่างกันออกไป ผู้วิจัยได้ทำความเข้าเกี่ยวเอกสาร ทฤษฎีที่เกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้แบบซินเนกติกส์และได้ศึกษาเรื่องการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง การเขียนสร้างสรรค์โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบซินเนกติกส์ โดยกำหนดกรอบแนวคิดในการวิจัย ดังต่อไปนี้ ภาพที่ 1 กรอบแนวคิดการวิจัย การพัฒนาการจัดการเรียนรู้โดยรูปแบบการ จัดการเรียนรู้แบบซินเนกติกส์ วิชาภาษาไทย เรื่องการเขียนเชิงสร้างสรรค์ สำหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3 มีขั้นตอนดังนี้ ขั้นที่ 1 ขั้นนำ ขั้นที่ 2 ขั้นการสร้างอุปมาแบบตรงหรือ เปรียบเทียบแบบตรง ขั้นที่ 3 ขั้นการสร้างอุปมาบุคคลหรือเปรียบเทียบ บุคคลกับสิ่งของ ขั้นที่ 4 ขั้นการสร้างอุปมาคำคู่ขัดแย้ง ขั้นที่ 5 ขั้นการอธิบายความหมายของคำคู่ขัดแย้ง ขั้นที่ 6 ขั้นการนำความคิดใหม่มาสร้างสรรค์งาน 1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา ภาษาไทยเรื่องการเขียนสร้างสรรค์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย การวิจัยครั้งนี้เป็นการพัฒนาการจัดการเรียนรู้โดยรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบซินเนกติกส์ วิชาภาษาไทย เรื่องการเขียนเชิงสร้างสรรค์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ผู้วิจัยดำเนินการ วิจัยตามขั้นตอนดังนี้ 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 2. แบบแผนการวิจัย 3. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 4. การสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือ 5. การเก็บรวบรวมข้อมูล 6. การวิเคราะห์ข้อมูล 7. สถิติที่ใช้ในการวิจัย ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 1. ประชากรที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ของโรงเรียนสามพร้าววิทยา ที่กำลังศึกษาในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวนนักเรียน 60 คน 2. กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ของโรงเรียนสามพร้าววิทยา ที่กำลังศึกษาในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวนนักเรียน 60 คน ห้องเรียนละ 30 คน ได้นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/1 เป็นกลุ่มทดลอง โดยการจัดการเรียนรู้ แบบซินเนกติกส์ แบบแผนการวิจัย ตารางที่ 2 แบบแผนการวิจัยจำแนกตามตัวแปรตาม ตัวแปรตาม แบบแผนการวิจัย 1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (K) One Group Pretest – Posttest Design 2. ความสามารถในการเขียนสร้างสรรค์(P) One Group Posttest – Only Design
63 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1. เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้โดยพัฒนาการจัดการเรียนรู้โดยรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ ซินเนกติกส์ วิชาภาษาไทย เรื่องการเขียนเชิงสร้างสรรค์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 5 แผนการจัดการเรียนรู้ แผนการจัดการเรียนรู้ละ 1 ชั่วโมง รวม 5 ชั่วโมง 2. เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ 2.1 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาไทย เรื่อง การเขียนเชิงสร้างสรรค์ ทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน เป็นแบบทดสอบปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก มี 1 ฉบับ จำนวน 20 ข้อ 2.2 แบบประเมินความสามารถในการเขียนเชิงสร้างสรรค์ ทั้งสิ้น 5 ฉบับ จำนวน 5 ด้าน ทั้งหมด 5 ข้อ การสร้างและหาคุณภาพของเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย การสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยของเครื่องมือที่ใช้ในการทดลองและ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ประกอบด้วย 1. แผนการจัดการเรียนรู้พัฒนาการจัดการเรียนรู้โดยรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ ซินเนกติกส์ วิชาภาษาไทย เรื่องการเขียนเชิงสร้างสรรค์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 5 แผนการจัดการเรียนรู้ แผนการจัดการเรียนรู้ละ 1 ชั่วโมง รวม 5 ชั่วโมง ผู้วิจัยได้ดำเนินการสร้าง ตามขั้นตอน ดังนี้ 1.1 ศึกษารูปแบบการสอนโดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ ซินเนกติกส์ เรื่องการเขียนเชิงสร้างสรรค์ ทั้งด้านแนวคิด ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง และขั้นตอนการสอน 1.2 ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่ม สาระการเรียนรู้ภาษาไทย คู่มือครู หนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐานภาษาไทยวรรณคดีลำนำ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษา ขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 1.3 ศึกษาหลักสูตรสถานศึกษาของโรงเรียนสามพร้าววิทยา กลุ่มสาระการ เรียนรู้ภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
64 1.4 คัดเลือกเนื้อหาเพื่อใช้ในการเรียนโดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ ซินเนกติกส์ วิชาภาษาไทย เรื่องการเขียนเชิงสร้างสรรค์ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ของนักเรียน มัธยมศึกษาปีที่ 3 1.5 สร้างแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ ซินเนกติกส์วิชาภาษาไทย เรื่องการเขียนเชิงสร้างสรรค์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ตาม เนื้อหา ขั้นตอนการเรียนโดยผู้วิจัยได้แบ่งเนื้อหาและเวลา ดังนี้ - การเขียนคำขวัญ เวลา 1 ชั่วโมง - การเขียนโฆษณา เวลา 1 ชั่วโมง - การเขียนเรียงความ เวลา 1 ชั่วโมง - การเขียนบันเทิงคดี เวลา 1 ชั่วโมง - การเขียนสารคดี เวลา 1 ชั่วโมง 1.6 นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่สร้างขึ้นเสนอต่ออาจารย์ที่ปรึกษาวิจัยเพื่อ พิจารณาความถูกต้องของแผนการจัดการเรียนรู้ แล้วนำมาปรับปรุงแก้ไขตามข้อเสนอแนะ 1.7 นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่ปรับปรุงแก้ไขตามข้อเสนอแนะของอาจารย์ ที่ปรึกษาวิจัย ไปใช้กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนสามพร้าววิทยา ที่เป็นกลุ่มตัวอย่างต่อไป 2. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาไทย เรื่อง การเขียนเชิงสร้างสรรค์ เป็นแบบทดสอบปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 1 ฉบับ จำนวน 20 ข้อ ผู้วิจัยได้ดำเนินการ สร้างตามขั้นตอน ดังนี้ 2.1 ศึกษาทฤษฎี วิธีสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย คู่มือการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยเนื้อหาประกอบด้วยการเขียน เรียงความ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 2.2 สร้างตารางวิเคราะห์มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วัดและเนื้อหา 2.3 สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่องการเขียน เชิงสร้างสรรค์ 2.4 นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่สร้างขึ้นเสนอต่ออาจารย์ ที่ปรึกษาวิจัยเพื่อพิจารณาความถูกต้อง แล้วนำมาปรับปรุงแก้ไขตามข้อเสนอแนะ
65 2.5 นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ปรับปรุงแก้ไขตามข้อเสนอแนะ ของอาจารย์ที่ปรึกษาวิจัย ไปวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนสามพร้าววิทยา ที่เป็นกลุ่มตัวอย่างต่อไป การเก็บรวบรวมข้อมูล ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ดำเนินการทดลองกับกลุ่มตัวอย่างตามลำดับ ดังนี้ 1. ก่อนการทดลอง ให้ผู้เรียนทำแบบทดสอบ เรื่องการเขียนเชิงสร้างสรรค์ เพื่อทดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่องการเขียนเชิงสร้างสรรค์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 2. ผู้วิจัยดำเนินการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนกลุ่มตัวอย่าง ด้วยแผนการจัด การเรียนรู้ที่สร้างขึ้น จำนวน 5 แผน แผนละ 1 ชั่วโมง รวม 5 ชั่วโมง โดยให้ผู้เรียนเรียนและปฏิบัติ กิจกรรมต่าง ๆ ตามขั้นตอนการจัดการเรียนรู้แบบซินเนกติกส์ 3. เมื่อสิ้นสุดการทดลองแล้ว ให้ผู้เรียนทำแบบทดสอบเดิมอีกครั้งจากนั้นนำผลที่ได้ไป วิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติต่อไป การวิเคราะห์ข้อมูล ในการวิเคราะห์ข้อมูลการจัดการเรียนรู้ เพื่อพัฒนาความสามารถในการเขียนเชิงสร้างสรรค์ โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบซินเนกติกส์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ผู้วิจัยดำเนินการโดยใช้ โปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติสำหรับข้อมูลทางสังคมศาสตร์ (Statistical Package for Social Science: SPSS for Window) ดังต่อไปนี้ 1. นำผลการทดสอบความสามารถในการเขียนเชิงสร้างสรรค์ก่อนเรียนและ หลังเรียนมาหาค่าเฉลี่ย (̅) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และร้อยละ (Percentage) แล้ว เปรียบเทียบความสามารถในการเขียนเชิงสร้างสรรค์ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน ด้วยการทดสอบ ที่แบบไม่อิสระ (t-test for Dependent Sample) 2. นำผลการทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย หลังเรียนมาหา ค่าเฉลี่ย (̅) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และร้อยละ (Percentage) แล้วเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนวิชาภาษาไทย กับเกณฑ์ที่กำหนดไว้ร้อยละ 75 และเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทาง การเรียน ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน ด้วยการทดสอบทีแบบไม่อิสระ (t-test for one Sample)
66 สถิติที่ใช้ในการวิจัย ในการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยเลือกใช้สถิติ ดังนี้ 1. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์คุณภาพเครื่องมือ 1.1 หาความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาของแบบวัดความสามารถในการเขียน เรียงความและแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย โดยใช้ดัชนีความสอดคล้อง (IOC) IOC = ∑ เมื่อ R แทน คะแนนของผู้เชี่ยวชาญ ∑ แทน ผลรวมของคะแนนผู้เชี่ยวชาญ N แทน จำนวนของผู้เชี่ยวชาญ 1.2 หาค่าความยากง่าย (p) ค่าอำนาจจำแนก (r) และค่าความเชื่อมั่นของ แบบทดสอบ (Reliability) โดยใช้วิธีของ คูเดอร์ – ริชาร์ดสัน โดยใช้สูตร K-R20 คำนวณโดยใช้ โปรแกรมวิเคราะห์ข้อสอบ (Test Analysis Program) 1.3 หาค่าความเชื่อมั่น ของแบบทดสอบวัดความสามารถในการอ่านจับ ใจความสำคัญ โดยใช้สูตรหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน โดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติ สำหรับวิเคราะห์ข้อมูลทางสังคมศาสตร์ (SPSS for Windows) 1.4 การหาประสิทธิภาพของการจัดการเรียนรู้แบบ PWIM (Picture Word Inductive Mode) เรียงความ โดยใช้เกณฑ์ E1/E2 เกณฑ์ที่ใช้คือ E1/E2 อาจเท่ากับ 75/75 การหา ค่า E1 และ E2 มีวิธีการคำนวณหาค่าร้อยละโดยใช้สูตรต่อไปนี้ E1 = (∑ /)×100 โดย E1 คือ ประสิทธิภาพของกระบวนการที่จัดไว้ในการจัดการเรียนรู้โดยใช้ เทคนิค PWIM (Picture Word Inductive Mode) คิดเป็นร้อยละจากการทำแบบฝึกหัดและหรือ ประกอบด้วยกิจกรรมการเรียนระหว่างเรียน ∑ คือ คะแนนจากการประกอบกิจกรรมการเรียน ระหว่างเรียน A คือ คะแนนเต็มของกิจกรรมการเรียน
67 N คือ จำนวนผู้เรียน E2 = (∑ /)×100 E2 คือ ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ (พฤติกรรมที่เปลี่ยนในตัวผู้เรียนหลังการ เรียนด้วยการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิค PWIM (Picture Word Inductive Mode) ) คิดเป็นอัตราส่วน จากการทำแบบทดสอบหลังเรียนและหรือประกอบกิจกรรมหลังเรียน ∑ คือ คะแนนรวมของผู้เรียนจากการทำแบบทดสอบหลังเรียนและหรือ การประกอบกิจกรรมหลังเรียน B คือ คะแนนเต็มของการสอบหลังเรียนและหรือกิจกรรมหลังเรียน N คือ จำนวนผู้เรียน 2. สถิติพื้นฐาน 2.1 ร้อยละ (Percentage) 2.2 ค่าเฉลี่ย (Mean) 2.3 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) ในการคำนวณหาร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) และส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน (Standard Deviation) โดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติสำหรับวิเคราะห์ข้อมูลทาง สังคมศาสตร์ (SPSS for Windows) 3. สถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐาน สถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐาน โดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติสำหรับวิเคราะห์ ข้อมูลทางสังคมศาสตร์ (SPSS for Windows) ทดสอบความแตกต่างของความสามารถในการเขียนเรียงความ และผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนวิชาภาษาไทย ระหว่างก่อนเรียนกับหลังเรียน โดยใช้การทดสอบทีแบบไม่อิสระ (t-test for Dependent Sample) และ (t-test for one Sample) จากวิธีการดำเนินการวิจัย ผู้วิจัยใช้ประชากร คือ นักเรียนโรงเรียนสามพร้าววิทยา ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 50 คน กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้น ม.3/1 จำนวน 25 คน รูปแบบ การทดลองใช้แบบกลุ่มตัวอย่างเดียว ทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน เครื่องมือที่ใช้ คือ แผนการสอน
68 และแบบทดสอบหลังเรียน เรื่องการเขียนเชิงสร้างสรรค์ เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบทดสอบ เขียนเชิงสร้างสรรค์วิเคราะห์ข้อมูลและใช้สูตรคำนวณทางสถิติ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ค่าความเชื่อมั่นของ แบบทดสอบ ด้วยโปรแกรม SPSS ดังนั้นผู้วิจัยจึงสนใจที่จะพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่องการเขียน เชิงสร้างสรรค์โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบซินเนกติกส์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียน สามพร้าววิทยา เพื่อต้องการทราบว่ารูปแบบการสอนดังกล่าว จะช่วยเพิ่มผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา ภาษาไทยเรื่องการเชิงสร้างสรรค์ได้อย่างไรบ้าง ผู้วิจัยจึงได้ศึกษาค้นคว้าและวางแผนการวิจัยเพื่อ พัฒนาผู้เรียนและพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องการเขียนสร้างสรรค์ให้เกิดประสิทธิภาพต่อไป
บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล การวิจัยเรื่อง การพัฒนาการจัดการเรียนรู้โดยรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบซินเนกติกส์ วิชาภาษาไทย เรื่องการเขียนเชิงสร้างสรรค์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนสามพร้าว วิทยา ผู้วิจัยนำเสนอผลการวิเคราะห์ตามวัตถุประสงค์ของการวิจัยต่อไปนี้ 1. เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาภาษาไทย เรื่องการเขียนเชิงสร้างสรรค์ โดยพัฒนาการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบซินเนกติกส์ ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ให้มีคุณภาพตามเกณฑ์การประเมินร้อยละ 75/75 2. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาภาษาไทย เรื่อง การเขียนเชิงสร้างสรรค์ โดยพัฒนาการจัดการเรียนรู้โดยรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบซินเนกติกส์ ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ก่อนและหลังเรียน การวิจัยเรื่อง การพัฒนาการจัดการเรียนรู้โดยรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบซินเนกติกส์ วิชาภาษาไทย เรื่องการเขียนเชิงสร้างสรรค์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนสามพร้าว วิทยา ผู้วิจัยนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล ตามลำดับดังนี้ 4.1 สัญลักษณ์ที่ใช้ในการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล 4.2 ลำดับขั้นตอนการนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล 4.3 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล สัญลักษณ์ที่ใช้ในการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยได้กำหนดความหมายของสัญลักษณ์ในการวิเคราะห์ข้อมูล ดังนี้ N แทน จำนวนนักเรียนในกลุ่มตัวอย่าง X แทน คะแนนเฉลี่ย S.D. แทน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน E1 แทน ประสิทธิภาพของใบงาน E2 แทน ประสิทธิภาพของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน
70 T แทน ค่าสถิติที่ใช้เปรียบเทียบค่าวิกฤติในการแจกแจงแบบ t (t-distribution) เพื่อทราบความมีนัยสำคัญทางสถิติ D แทน ผลต่างของคะแนน * แทน มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 % แทน ร้อยละ ลำดับขั้นตอนการนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยได้ดำเนินการตามลำดับ ดังนี้ ตอนที่ 1 ผลการวิเคราะห์หาประสิทธิภาพ เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชา ภาษาไทย เรื่องการเขียนเชิงสร้างสรรค์ โดยพัฒนาการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ แบบซินเนกติกส์ ของนักเรียนขั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ให้มีคุณภาพตามเกณฑ์การประเมินร้อยละ 75/75 ตอนที่ 2 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน วิชาภาษาไทย เรื่องการเขียนสร้างสรรค์ โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบซินเนกติกส์ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนสามพร้าววิทยา ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ตอนที่ 1 ผลการวิเคราะห์หาประสิทธิภาพ เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชา ภาษาไทย เรื่องการเขียนเชิงสร้างสรรค์ โดยพัฒนาการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ แบบซินเนกติกส์ ของนักเรียนขั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ให้มีคุณภาพตามเกณฑ์การประเมินร้อยละ 75/75 ตารางที่ 3 การแสดงประสิทธิภาพกระบวนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้ แผนการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาไทย เรื่องการเขียนสร้างสรรค์ โดยใช้โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ แบบซินเนกติกส์จำนวน 30 คน ดังนี้ คนที่ ก่อน เรียน (20) คะแนนระหว่างเรียน รวม ระหว่าง เรียน (60) หลัง เรียน (20) แผนที่ 1 (12) แผนที่ 2 (12) แผนที่ 3 (12) แผนที่ 4 (12) แผนที่ 5 (12) 1 6 11 10 10 10 10 51 12 2 8 10 9 10 9 9 47 13 3 13 12 10 12 11 9 54 19 4 11 10 9 11 11 10 51 16
71 คนที่ ก่อน เรียน (20) คะแนนระหว่างเรียน รวม ระหว่าง เรียน (60) หลัง เรียน (20) แผนที่ 1 (12) แผนที่ 2 (12) แผนที่ 3 (12) แผนที่ 4 (12) แผนที่ 5 (12) 5 9 10 9 10 9 9 47 14 6 12 10 10 10 9 9 48 17 7 10 10 9 11 9 11 50 15 8 12 9 12 10 11 10 52 17 9 12 12 10 10 9 9 50 18 10 11 11 9 11 9 9 49 15 11 5 10 10 9 9 9 47 12 12 14 12 10 11 9 9 51 19 13 11 11 9 10 11 10 51 18 14 10 10 10 10 9 10 49 15 15 10 9 11 9 10 10 49 16 16 14 12 10 11 11 10 54 20 17 13 10 11 12 9 9 51 17 18 14 12 10 11 9 10 52 18 19 15 11 11 11 9 10 52 19 20 9 9 10 10 10 10 49 16 21 12 9 10 10 9 9 47 17 22 5 10 9 10 9 9 47 14 23 11 11 10 9 9 9 48 18 24 4 10 9 9 7 9 44 13 25 14 12 12 9 9 9 51 19 26 14 12 10 10 9 10 51 20 27 7 9 11 9 9 9 47 16 28 8 9 9 9 9 9 45 15 29 13 11 12 10 9 9 51 17 30 10 10 9 10 9 10 48 16
72 คนที่ ก่อน เรียน (20) คะแนนระหว่างเรียน รวม ระหว่าง เรียน (60) หลัง เรียน (20) แผนที่ 1 (12) แผนที่ 2 (12) แผนที่ 3 (12) แผนที่ 4 (12) แผนที่ 5 (12) รวม 317 314 300 304 281 284 1483 491 X 10.57 10.47 10 10.13 9.37 9.47 49.43 16.37 S.D. 3.01 1.1 1 0.86 0.89 0.57 2.44 2.25 ร้อยละ 52.83 87.22 83.33 84.44 78.06 78.89 82.39 81.83 ประสิทธิภาพกระบวนการ (E1 ) = 82.39 ประสิทธิภาพกระบวนการ (E2 ) = 81.83 จากตารางที่ 3 ผลการวิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่องการเขียน สร้างสรรค์ โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบซินเนกติกส์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 พบว่า ผู้เรียนได้คะแนนเฉลี่ยก่อนเรียนจากการทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเท่ากับ 10.57 คิด เป็นร้อยละ 52.83 โดยมีส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 3.01 ส่วนคะแนนเฉลี่ยระหว่างเรียน จากการทำใบกิจกรรมเท่ากับ 49.43 คิดเป็นร้อยละ 82.39 โดยมีส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 2.44 และได้คะแนนเฉลี่ยหลังเรียนจากการทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเท่ากับ 16.37 คิด เป็นร้อยละ 81.83 โดยมีส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 2.25 ตารางที่ 4 แสดงประสิทธิภาพของผลการจัดการเรียนรู้ เรื่องการเขียนสร้างสรรค์ โดยใช้โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบซินเนกติกส์จำนวน 30 คน จำนวน นักเรียน (N) คะแนนใบกิจกรรม (E1 ) คะแนนสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลังเรียน (E2 ) คะแนน เต็ม คะแนน เฉลี่ย ร้อยละ คะแนน เต็ม คะแนน เฉลี่ย ร้อยละ 30 60 49.43 82.39 20 16.37 81.83 จากตารางที่ 4 แสดงให้เห็นว่าผลการจัดการเรียนรู้ เรื่องการเขียนสร้างสรรค์ โดยใช้ รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบซินเนกติกส์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 82.39/81.83 แสดงว่าการจัดการเรียนรู้ เรื่องการเขียนสร้างสรรค์ โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้
73 แบบซินเนกติกส์ ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมีประสิทธิภาพผ่านเกณฑ์มาตรฐานที่ตั้งไว้E1/ E2 = 75/75 และสูง กว่าเกณฑ์มาตรฐาน ตอนที่ 2 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน เรื่องการเขียนสร้างสรรค์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนสามพร้าววิทยา โดยใช้รูปแบบ การจัดการเรียนรู้แบบซินเนกติกส์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 30 คน โดยได้คะแนนจากการทำแบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน สำหรับการเก็บรวบรวม ข้อมูลครั้งนี้ ผู้วิจัยให้นักเรียนกลุ่มตัวอย่างทำแบบทดสอบก่อนนำเข้าสู่บทเรียน เพื่อตรวจสอบความรู้ พื้นฐานเกี่ยวกับการเขียนสร้างสรรค์ และทำแบบทดสอบหลังเรียนหลังเรียน หลังจากที่ใช้ แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่องการเขียนสร้างสรรค์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนสามพร้าววิทยา โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบซินเนกติกส์ ซึ่งใช้แบบทดสอบฉบับ เดียวกันทั้งก่อนเรียนและหลังเรียน จากนั้นนำคะแนนมาวิเคราะห์เป็นรายบุคคลและภาพรวม ดังการแสดงผลการวิเคราะห์ในตารางที่ 4 ตารางที่ 5 ผลการวิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่องการเขียน สร้างสรรค์ โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบซินเนกติกส์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 30 คน ดังนี้ คนที่ คะแนนก่อนเรียน (20) คะแนนหลังเรียน (20) ผลต่างคะแนน (D) 1 6 12 6 2 8 13 5 3 13 19 6 4 11 16 5 5 9 14 5 6 12 17 5 7 10 15 5 8 12 17 5 9 12 18 6 10 11 15 4 11 5 12 7 12 14 19 5 13 11 18 7
74 คนที่ คะแนนก่อนเรียน (20) คะแนนหลังเรียน (20) ผลต่างคะแนน (D) 14 10 15 5 15 10 16 6 16 14 20 6 17 13 17 4 18 14 18 4 19 15 19 4 20 9 16 7 21 12 17 5 22 5 14 9 23 11 18 7 24 4 13 9 25 14 19 5 26 14 20 6 27 7 16 9 28 8 15 7 29 13 17 4 30 10 16 6 รวม 317 491 174 X 10.57 16.37 5.8 S.D. 3.01 2.25 1.44 ร้อยละ 52.83 81.83 58 จากตารางที่ 5 พบว่าผลการจัดการเรียนรู้ เรื่องการเขียนสร้างสรรค์ โดยใช้รูปแบบ การจัดการเรียนรู้แบบซินเนกติกส์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ได้คะแนนแบบทดสอบก่อน เรียนเฉลี่ยเท่ากับ 10.57 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 52.83 โดยมีส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 3.01 และได้คะแนนแบบทดสอบหลังเรียนเฉลี่ยเท่ากับ 16.37 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 81.83 โดยมีส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 2.25 แสดงให้เห็นว่านักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน สูงกว่าก่อนเรียน และคะแนนหลังเรียนไม่น้อยกว่าร้อยละ 75 ตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้ จากนั้นผู้วิจัย
75 นำคะแนนของการทดสอบก่อนเรียนและการทดสอบหลังเรียนไปวิเคราะห์หาดัชนีประสิทธิผล ปรากฏผลดังตารางต่อไปนี้ ตารางที่ 6 แสดงค่าดัชนีประสิทธิผลการวิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องการเขียน สร้างสรรค์ โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบซินเนกติกส์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 30 คน ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน N คะแนนเต็ม ผลรวมคะแนน E.I. ผล ก่อนเรียน หลังเรียน 30 20 317 491 0.677 ผ่านเกณฑ์ จากตารางที่ 6 แสดงให้เห็นว่าผลการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาไทย เรื่องการเขียนสร้างสรรค์ โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบซินเนกติกส์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีค่าดัชนี ประสิทธิผลในการเรียนรู้เท่ากับ 0.677 แสดงให้เห็นว่าผู้เรียนมีการพัฒนาทางการเรียนเพิ่มขึ้น หลัง การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ตารางที่ 7 แสดงคะแนนเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบทีแบบไม่อิสระ และระดับนัยสำคัญทางสถิติของการทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องการเขียนสร้างสรรค์ โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบซินเนกติกส์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ก่อนเรียนกับหลัง เรียน ผลการทดลอง X S.D. d t-test Sig. ก่อนเรียน 10.57 3.01 5.80 21.94 * 0.05 หลังเรียน 16.37 2.25 **มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 จากตารางที่ 7 ผลการวิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่องการเขียน สร้างสรรค์ก่อนเรียนกับหลังเรียน พบว่าผู้เรียนได้คะแนนเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียน เท่ากับ 10.57 คิดเป็นร้อยละ 52.83 และผลสมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนเท่ากับ 16.37 คะแนน คิด เป็นร้อยละ 81.83 เมื่อเปรียบเทียบกันด้วยการทดสอบทีแบบไม่อิสระ ผลปรากฏว่า ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่องการเขียนสร้างสรรค์ก่อนเรียนกับหลังเรียนแตกต่างกันอย่างมี นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
76 ดังนั้นผลการวิจัย เรื่องการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องการเขียนสร้างสรรค์ โดยใช้ โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบซินเนกติกส์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนสามพร้าว วิทยา มีประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 75 ซึ่งทำให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน สูงกว่าก่อนเรียน เนื่องจากการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบซินเนกติกส์ เป็น วิธีการสอนที่สร้างความเข้าใจความหมายและรูปคำศัพท์แล้ว ก่อนไปสู่การสร้างข้อความ ประโยคและ ย่อหน้า โดยอ่านสะกดคำและเขียนเรียบเรียงเนื้อหา นำไปสู่ทักษะการเขียนที่มีประสิทธิภาพ สามารถ ประยุกต์ใช้ความรู้ในชีวิตประจำวันได้อย่างหลากหลายและมีความคิดสร้างสรรค์มากยิ่งขึ้น
บทที่ 5 สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ ในการวิจัยครั้งนี้ การพัฒนาการจัดการเรียนรู้โดยรูปแบบการจัดการเรียนรู้ แบบซินเนกติกส์วิชาภาษาไทย เรื่องการเขียนเชิงสร้างสรรค์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 สรุปขั้นตอนและผลการศึกษา ดังนี้ 5.1 วัตถุประสงค์ของการศึกษา 5.2 สมมติฐานของการศึกษา 5.3 สรุปผล 5.4 อภิปรายผล 5.5 ข้อเสนอแนะ วัตถุประสงค์การวิจัย 1. เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาภาษาไทย เรื่องการเขียนเชิงสร้างสรรค์ โดยพัฒนาการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบซินเนกติกส์ ของนักเรียน ขั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ให้มีคุณภาพตามเกณฑ์การประเมินร้อยละ 75/75 2. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาภาษาไทย เรื่อง การเขียนเชิงสร้างสรรค์ โดยพัฒนาการจัดการเรียนรู้โดยรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบซินเนกติกส์ ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ก่อนและหลังเรียน สมมุติฐานของการวิจัย 1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาภาษาไทย เรื่อง การเขียนเชิงสร้างสรรค์ โดยพัฒนา การจัดการเรียนรู้โดยรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบซินเนกติกส์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีคุณภาพตามเกณฑ์การประเมินร้อยละ 75/75 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาภาษาไทย เรื่อง การเขียนเชิงสร้างสรรค์ โดยพัฒนา การจัดการเรียนรู้โดยรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบซินเนกติกส์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน
78 สรุปผล จากการวิเคราะห์ข้อมูลปรากฏผล ดังนี้ 1. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องการเขียนสร้างสรรค์ โดยรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ ซินเนกติกส์ มีผลคะแนนแบบทดสอบก่อนเรียนเฉลี่ยเท่ากับ 10.57 คิดเป็นร้อยละ 52.83 โดยมีส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 3.01 และได้คะแนนแบบทดสอบหลังเรียนเฉลี่ยเท่ากับ 16.37 คิดเป็น ร้อยละ 81.83 โดยมีส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 2.25 แสดงให้เห็นว่านักเรียน มีผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน และคะแนนหลังเรียนไม่น้อยกว่าร้อยละ 75 ตามเกณฑ์ที่ตั้ง ไว้ เป็นไปตามสมมติฐานข้อที่ 1 2. นักเรียนที่เรียนโดยใช้แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้วิชาภาษาไทย เรื่องการเขียน สร้างสรรค์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนสามพร้าววิทยา โดยรูปแบบการจัดการเรียนรู้ แบบซินเนกติกส์มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน เป็นไปตามสมมติฐานข้อที่ 2 ดังนั้น จึงสรุปได้ว่า การพัฒนาผลสัมฤทธิ์รายวิชาภาษาไทย เรื่องการเขียนสร้างสรรค์ โดยรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบซินเนกติกส์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนสามพร้าว วิทยา อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นสามารถพัฒนาทักษะการเขียนสร้างสรรค์นักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนสามพร้าววิทยา อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อภิปรายผล วิจัยเรื่อง การพัฒนาการจัดการเรียนรู้โดยรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบซินเนกติกส์ วิชาภาษาไทย เรื่องการเขียนเชิงสร้างสรรค์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนสามพร้าว วิทยา สามารถสรุปอภิปรายผลได้ดังนี้ 1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 75/75 เรื่องการเขียนสร้างสรรค์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่เรียนโดยใช้เทคนิคการสอนการคิดสร้างสรรค์โดยรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบซินเนกติกส์ มีประสิทธิภาพเท่ากับ 82.39/81.83 แสดงว่าประสิทธิภาพของ นักเรียนที่เรียนเรื่องการเขียน สร้างสรรค์ด้วยรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบซินเนกติกส์ ได้รับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่มีคุณภาพสูง กว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ ปัจจัยที่ทำให้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แผนการจัดการเรียนรู้เรื่องการเขียน สร้างสรรค์ โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบซินเนกติกส์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนสามพร้าววิทยา ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 75 เนื่องมาจากเหตุผล ดังต่อไปนี้ 1.1 แผนการจัดการเรียนรู้เรื่องการเขียนสร้างสรรค์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3โดย ใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบซินเนกติกส์ผู้วิจัยได้จัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิด
79 ของกระทรวงศึกษาธิการ (2545: 93) ที่ว่า แผนการจัดการเรียนรู้ ก็คือแผนการสอน แต่เป็นแผน ที่เน้นให้นักเรียนได้พัฒนาการเรียนของตนเองด้วยกิจกรรมที่หลากหลาย มีครูคอยแนะน ำ หรือจัดแนวทางการเรียนรู้แก่นักเรียน แผนการจัดการเรียนรู้ควรจัดกิจกรรมให้นักเรียน รู้จักคิด รู้จัก ศึกษาค้นคว้า วิเคราะห์ วิจารณ์ข้อมูล และสังเคราะห์เป็นความรู้ของตนเอง นักเรียนจะอ่าน หนังสือ จดบันทึก และควรจะได้เรียนรู้จากแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลาย เรียนรู้จากครู วิทยากรท้องถิ่น จากสถานที่จริง ในชุมชน จากสื่อ อิเล็กทรอนิกส์ ซีดีรอม วิดีทัศน์ ซึ่งเป็นแผนการจัดการเรียนรู้ที่เน้น ผู้เรียนเป็นสำคัญ เป็นต้น ทั้งนี้ยังเป็นแผนที่กำหนดส่วนประกอบของการจัดการเรียนรู้ไว้อย่างครบถ้วน ตามที่กรมวิชาการ (2545: 158) กำหนด คือ 1) มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด 2) สาระสำคัญ 3) จุดประสงค์การเรียนรู้ 4) สาระการเรียนรู้ (เนื้อหา) 5) กิจกรรม/กระบวนการจัดการเรียนรู้ 6) สื่อการสอน/แหล่งการเรียนรู้ 7) การวัดและประเมินผลการเรียนรู้นอกจากนี้แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่องการเขียนสร้างสรรค์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ ซินเนกติกส์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นเป็นแผนการจัดการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้น ตามหลักการและขั้นตอนการสร้างอย่างมีระบบและวิธีการที่เหมาะสม กล่าวคือ ผู้วิจัยศึกษาหลักสูตร การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 คู่มือครูและเนื้อหา ตลอดจนศึกษาเทคนิคการสอนแบบ ซินเนกติกส์ อีกทั้งยังผ่านการตรวจสอบคุณภาพ จากผู้เชี่ยวชาญก่อนที่จะนำไปทดลองใช้ 1.2 รูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบซินเนกติกส์ เป็น แนวทางการจัดการเรียนการสอนที่มุ่งเน้นในการพัฒนาทักษะความคิดสร้างสรรค์ โดยใช้วิธีการ เปรียบเทียบอุปมาอุปไมย เชื่อมโยงความคิดของผู้เรียน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ทางความคิดที่แปลกใหม่ ออกไปจากเดิมโดย ทิศนา แขมมณี(2562: 252-253) กล่าวไว้ว่า เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ลอง คิดแก้ปัญหาด้วยวิธีการที่่ไม่เคยคิดมาก่อน คิดโดยสมมติตัวเองเป็นคนอื่นหรือสิ่งอื่น และถ้ายิ่งเปิด โอกาสให้บุคคลหลายกลุ่มประสบการณ์มาช่วยกันแก้ปัญหา ก็จะยิ่งส่งเสริมให้เกิดวิธีการที่หลากหลาย และมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยรูปแบบซินเนกติกส์ ประกอบไปด้วยวิธีการคิดเปรียบเทียบแบบ อุปมาอุปไมย 3 แบบ คือ การเปรียบเทียบแบบตรง (Direct Analogy) การเปรียบเทียบกับตนเอง (Personal Analogy) และการเปรียบเทียบความขัดแย้ง (Compressed Conflict) วัตถุประสงค์ของ รูปแบบนี้มุ่งพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ของผู้เรียน ช่วยให้ผู้เรียนเกิดแนวคิดที่ใหม่แตกต่างไปจากเดิม และสามารถนำความคิดใหม่นั้นไปใช้ให้เป็นประโยชน์ ได้ผลที่ผู้เรียนจะได้รับจากการเรียน ตามรูปแบบ ผู้เรียนจะเกิดความคิดใหม่ ๆ และสามารถนำความคิดใหม่ ๆ นั้นไปใช้ในงานของตน ทำให้งานของตนมีความแปลกใหม่ น่าสนใจมากขึ้น นอกจากนั้นผู้เรียนอาจเกิดความตระหนักใน คุณค่าของการคิด และความคิดของผู้อื่นอีกด้วย
80 เมื่อนำกระบวนการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบซินเนกติกส์ มา ใช้ในการจัดกระบวนการเรียนรู้เรื่อง การเขียนสร้างสรรค์ พบว่ากระบวนการจัดการเรียนรู้โดยใช้ รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบซินเนกติกส์ มีความเหมาะสมกับกับเนื้อหา เรื่องการเขียนสร้างสรรค์ เนื่องจากผู้เรียนอยู่ในช่วงวัยที่มีความคิดสร้างสรรค์ การยกตัวอย่างคำแล้วให้ สร้างความเข้าใจ ความหมายและรูปคำศัพท์ ให้นักเรียนได้คิดต่อยอดจากคำนำไปสู่การสร้างข้อความ ประโยค และย่อหน้า นอกจากนี้ยังช่วยให้ผู้เรียนสามารถสร้างความเข้าใจโครงสร้างทางภาษาด้านการอ่านและ เขียน อันเป็นพื้นฐานในการเรียนรู้ภาษาในระดับสูงขึ้นไป โดยมีการฝึกซ้ำ ๆ เป็นปริมาณมาก ๆ เกิดกระบวนการคิด พัฒนา หรือสร้างสรรค์สิ่งใดสิ่งหนึ่ง ทำให้ผู้เรียนเกิดความคิดแปลกใหม่และ น่าสนใจ นำไปสู่การเขียนที่เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผล จึงส่งผลให้การจัดการเรียนรู้โดยใช้ รูปแบบ การจัดการเรียนรู้แบบซินเนกติกส์นั้น มีส่วนที่ส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การเขียน สร้างสรรค์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเฉลี่ยเท่ากับ ร้อยละ 82.39 ซึ่ง สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 75 อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05 1.3 การเขียนเชิงสร้างสรรค์นับว่าเป็นทักษะหนึ่งที่สำคัญทางภาษาไทยที่ กระทรวงศึกษาธิการจะมีการบรรจุไว้ในหลักสูตรให้ผู้เรียนได้ศึกษา เนื่องจากจะเป็นการฝึกทักษะ การเขียนเพื่อพัฒนาสมรรถภาพการเขียนของนักเรียน ผู้วิจัยจึงศึกษาตามแนวคิดของ สุทธิวรรณ อินทกนก (2559 : 23-49) อธิบายเกี่ยวกับการเขียนสร้างสรรค์ไว้ว่า การเขียนที่ผู้เขียนถ่ายทอดเนื้อหาสาระ ความคิด จินตนาการ อารมณ์ ตลอดจนประสบการณ์ผ่านงานเขียนที่มีความแปลกใหม่ ทั้งทางด้าน รูปแบบและเนื้อหา สร้างงานเขียนที่มีคุณค่า ซึ่งการเขียนสร้างสรรค์มี 2 ประเภท ดังนี้ 1) ประเภท ร้อยแก้ว 2) ประเภทร้อยกรอง โดยผู้วิจัยได้นำเนื้อหาดังกล่าวมาใช้ในกิจกรรมการเรียน เช่น การเขียนสร้างสรรค์ประเภทร้อยแก้ว เป็นการเรียงคำ สื่อความหมายโดยไม่ต้องยึดฉันทลักษณ์ ซึ่งเป็นทักษะการเขียนที่เหมาะสมกับช่วงวัยของผู้เรียนให้ได้ฝึกทักษะการเขียนจากระดับพื้นฐาน ไปสู่ระดับที่ยากมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ผู้วิจัยยังศึกษาหลักการเขียนเชิงสร้างสรรค์ตามหลักการเขียน ของ พนิตพิชา เตชะสุทธิรัฐ (2564 : 22-23) กล่าวถึงหลักการเขียนสร้างสรรค์ ดังนี้ 1) การกำหนด หัวข้อเรื่อง 2) การกำหนดขอบเขตของหัวเรื่อง 3) การรวบรวมข้อมูลใช้วางโครงเรื่อง 4) การจัดกลุ่ม ความคิดในการวางโครงเรื่อง 5) การวางโครงเรื่องด้วยวิธีต่าง ๆ 6) ขั้นตอนการเขียนเนื้อเรื่อง เมื่อผู้เรียนมีแนวทางหรือหลักการในการเขียนสร้างสรรค์จะช่วยให้ผู้เรียนมีขอบเขตในการเขียน รู้จักวางแผนก่อนตัดสิน ใช้เหตุและผลในการคิดก่อนจะเขียนงานต่าง ๆ ซึ่งเป็นทักษะทางภาษาไทย ควบคู่กับทักษะทางสังคมด้วย 2. นักเรียนที่เรียนวิชาภาษาไทย เรื่องการเขียนสร้างสรรค์โดยใช้รูปแบบการจัดการ เรียนรู้แบบซินเนกติกส์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีคะแนนทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ก่อนเรียน เฉลี่ย 10.57 คิดเป็นร้อยละ 52.83 ระดับคะแนนอยู่ในเกณฑ์พอใช้และมีคะแนนสอบวัดผลสัมฤทธิ์
81 หลังเรียนเฉลี่ย 16.37 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 81.83 ระดับคะแนนอยู่ในเกณฑ์ดีมาก มีประสิทธิภาพ เท่ากับ 52.83/81.83 แสดงให้เห็นว่า หลังจากที่ผู้วิจัยได้จัดกิจกรรมการเรียนการสอน โดยใช้ รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบซินเนกติกส์กับกลุ่มตัวอย่างที่เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/1 จำนวน 30 คน ทำให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทาง สถิติที่ระดับ .05 ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานที่กำหนดไว้ สอดคล้องกับงานวิจัยของ ณัฐณิชา จิตตะคาม (2561) ศึกษาการจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบการสอนแบบชินเนกติกส์ เพื่อพัฒนาทักษะการเขียนเชิง สร้างสรรค์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบทักษะ การเขียนเชิงสร้างสรรค์ รายวิชาภาษาไทย ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนกลุ่มทดลอง โดยการจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบการสอนแบบชินเนก ผลการวิจัยพบว่า 1) ทักษะการเขียนเชิง สร้างสรรค์ รายวิชาภาษาไทย ของนักเรียนกลุ่มทดลองที่เรียนโดยใช้การจัดการเรียนรู้รูปแบบ การสอนแบบซินเนกติกส์ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 นอกจากนี้ในด้านของผู้เรียน พบว่า ผู้เรียนมีความพอใจและให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ในการปฏิบัติกิจกรรมทุกขั้นตอน เนื่องจากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยเทคนิคการสอน แบบชินเนกติกส์ เป็นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นให้นักเรียนได้ฝึกทักษะการคิดเชื่อมโยงกับ ประสบการณ์ที่เคยได้รับเกี่ยวกับการยกตัวอย่างคำแล้วสร้างความเข้าใจ ความหมายและรูปคำศัพท์ ให้นักเรียนได้คิดต่อยอดจากคำนำไปสู่การสร้างข้อความ ประโยค และย่อหน้า ช่วยสร้างความเข้าใจ โครงสร้างทางภาษาด้านการอ่านและเขียน อันเป็นพื้นฐานในการเรียนรู้ภาษาในระดับสูงขึ้นไป นอกจากนี้ยังส่งเสริมความสามารถของผู้เรียนให้เกิดการคิดที่แปลกใหม่ และมีความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งทำให้ผู้เรียนสามารถสะท้อนความรู้สึกนึกคิดของผู้เรียนออกมาอย่างชัดเจน อีกทั้งเปิดโอกาสให้ ผู้เรียนได้มีการแสดงออกทางความคิด มีอิสระในการแสดงออกด้านจินตนาการของแต่ละบุคคล มีความกล้าคิดกล้าแสดงออกและสามารถพัฒนาด้านการเขียนได้อย่างสร้างสรรค์มากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ผู้เรียนยังเกิดความตระหนักในคุณค่าของความคิด และความคิดของผู้อื่นอีกด้วย ซึ่งผลการวิจัย ดังกล่าว สอดคล้องกับงานวิจัยของ พิริยะพงศ์ พิมพระลับ (2565) ศึกษาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ แบบซินเนกติกส์เพื่อส่งเสริมความสามารถในการเขียนเชิงสร้างสรรค์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 พบว่านักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่เรียนด้วยการจัดกิจกรรม การเรียนรู้แบบซินเนกติกส์ มีความพึงพอใจโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด และงานวิจัยของสุพิชญา วัลลิยะเมธี (2560 : 82-88) ได้วิจัยเรื่อง รูปแบบกิจกรรมการเรียนรู้แบบซินเนคติกส์เพื่อพัฒนาการเขียนเชิงสร้างสรรค์ สำหรับ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4-6 โรงเรียนบ้านหาดสองแคว อำเภอตรอน จังหวัด อุตรดิตถ์ ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนมีระดับความพึงพอใจต่อรูปแบบกิจกรรมการเรียนรู้แบบซินเนคติกส์ เพื่อ พัฒนาการเขียนเชิงสร้างสรรค์สำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4-6 อยู่ในระดับมาก
82 สรุปว่า นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่เรียนวิชาภาษาไทย เรื่องการเขียนสร้างสรรค์ โดยใช้เทคนิคการสอนรูปแบบการสอนแบบชินเนกติกส์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียน สามพร้าววิทยา เป็นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับหลักสูตรและความต้องการของนักเรียน เป็นการให้นักเรียนสร้างความเข้าใจความหมายและรูปคำศัพท์แล้ว ก่อนไปสู่การสร้างข้อความ ประโยค และย่อหน้า โดยอ่านสะกดคำและเขียนเรียบเรียงเนื้อหา นำไปสู่ทักษะการเขียนที่มี ประสิทธิภาพ สามารถประยุกต์ใช้ความรู้ในชีวิตประจำวันได้อย่างหลากหลายและมีความคิด สร้างสรรค์ลักษณะการจัดกิจกรรมดังกล่าวทำให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ตลอดชีวิต ข้อเสนอแนะ 1. ข้อเสนอแนะการนำไปใช้ 1.1 การจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องการเขียนสร้างสรรค์ การพัฒนาการจัดการเรียนรู้ โดยรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบซินเนกติกส์ วิชาภาษาไทย เรื่องการเขียนเชิงสร้างสรรค์ สำหรับ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนสามพร้าววิทยา ค่อนข้างใช้เวลานาน ควรจัดกิจกรรมให้ เหมาะสมกับเวลา 1.2 การจัดการเรียนรู้โดยรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบซินเนกติกส์นั้นควรคำนึงถึง ความสำคัญในเรื่องบรรยากาศในชั้นเรียน ควรทำให้นักเรียนรู้สึกเป็นอิสระ ได้แสดงออกทางความคิด โดยใช้คำถามกระตุ้น รวมถึงกิจกรรมที่หลากหลายน่าสนใจ ซึ่งจะส่งผลต่อความคิด 1.3 การแสดงความคิดในเชิงเปรียบเทียบช่วงแรก ๆ นักเรียนไม่กล้าแสดงความคิดเห็น ครูควรช่วยกระตุ้นให้กำลังใจหรือช่วยอธิบายขยายความเพิ่มเติม เพื่อให้นักเรียนกล้าที่จะแสดง ความคิดออกมา และเกิดการสร้างองค์ความรู้ที่แปลกใหม่ 2. ข้อเสนอแนะในการวิจัยครั้งต่อไป 2.1 ควรนำกิจกรรมการเรียนรู้แบบซินเนกติกส์ไปพัฒนาต่อยอดโดยการประยุกต์สื่อ การเรียนรู้ เทคโนโลยีทางการศึกษา มาใช้ร่วมกับกระบวนการเปรียบเทียบขั้นต่าง ๆ เพื่อให้เกิด ประโยชน์แก่ครูและผู้เรียน 2.2 ควรนำกิจกรรมการเรียนรู้แบบซินเนกติกส์ไปใช้ในการสอนทักษะอื่น ๆ เช่น ทักษะ การพูด การคิด การออกแบบผลงาน การออกแบบผลิตภัณฑ์ หรือกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น ๆ เช่น วิทยาศาสตร์ศิลปะ การงานอาชีพและเทคโนโลยี 2.3 ควรมีการศึกษาเปรียบเทียบความสามารถในการเขียนความเรียงเชิงสร้างสรรค์ที่ จัดรูปแบบการเรียนการสอนแบบซินเนกติกส์กับการจัดการเรียนการสอนแบบอื่นที่เน้นการพัฒนา ความคิดสร้างสรรค์
บรรณานุกรม
84 บรรณานุกรม กรรณิการ์ พวงเกษม. (2545). การสอนเขียนเรื่องโดยใช้จินตนาการทางสร้างสรรค์ในระดับ ประถมศึกษา. พิมพ์ครั้งที่ 4. กรุงเทพฯ: ไทยวัฒนาพานิช. กระทรวงศึกษาธิการ. (2535). ความคิดสร้างสรรค์ หลักการ ทฤษฎีการเรียนการสอน การวัดผล ประเมินผล. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ครุสภา. กระทรวงศึกษาธิการ. (2551). หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. กรุงเทพฯ : ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย. กองเทพ เคลือบพาณิชกุล. (2542). การใช้ภาษาไทย. กรุงเทพฯ: โอเดียนสโตร์. กุสุมา เสนานาค. (2552). การเขียนเชิงสร้างสรรค์และการเรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนฟ้าแดดสูงยางวิทยาคาร ที่ใช้รูปแบบการสอนซินเนกติกส์. วิทยานิพนธ์ปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยขอนแก่น. กุหลาบ มัลลิกะมาส. (2517). วรรณกรรมไทย. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยรามคำแหง. โกชัย สาริกบุตร. (2542). ศิลปะการสื่อความหมาย. กรุงเทพฯ: บริษัท คอมแพคท์ พริ้นท์ จำกัด. ฆนัท ธาตุทอง. (2559). สอนคิด : การจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาการคิด. กรุงเทพฯ : เพชรเกษมการพิมพ์. จิรวัฒน์ เพชรรัตน์ และอัมพร ทองใบ. (2555). ภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร. กรุงเทพฯ: โอเดียนสโตร์. เจือ สตะเวทิน. (2517). ตำรับร้อยแก้ว. กรุงเทพฯ: สุทธิสารการพิมพ์. ชอุ่ม โชติทอง. (2556). การเขียนคำขวัญ. วิทยานิพนธ์ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัย ราชภัฏนครศรีธรรมราช. ชัศวารี จารุสวัสดิ์. (2545). การวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียนเพื่อสงเสริมการเขียนเชิงสร้างสรรค์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5. วิทยานิพนธ์ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. ชุลีรัตน์ ประกิ่ง. (2558). การพัฒนาบทเรียนบนเว็บตามกระบวนการสอนแบบซินเนกติกส์ร่วมกับเทคนิค การเรียนรู้แบบเพื่อนคู่คิดที่ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ วิชาการสร้างงานแอนิเมชันชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 2. วิทยานิพนธ์ปริญญาครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาคอมพิวเตอร์ศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏ มหาสารคาม. ฐะปะนีย์ นาครทรรพ. (2521). การประพันธ์. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ: อักษรเจริญทัศน์. ณภัทร สระประเทศ. (2544). การสร้างชุดการสอนทักษะการเขียนเชิงสร้างสรรค์วิชาภาษาไทย สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนเทศบาลสามเหลี่ยม เทศบาลนครขอนแก่น. การศึกษาค้นคว้าอิสระ ดุริยางคศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยมหาสารคาม.
85 บรรณานุกรม(ต่อ) ณัฏฐพงษ์ เจริญพิทย์. (2539). ทางเลือกในการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ทางวิทยาศาสตร์ : แนวคิดและแนวปฏิบัติ. กรุงเทพฯ: ดวงกมล จำกัด. ดรุณี สาลิการิน. (2535). การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเขียนเชิงสร้างสรรค ของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่เขียนโดยใช้ภาพการ์ตูนที่มีฉากประกอบและภาพการ์ตูนที่ไม่มี ฉากประกอบโรงเรียนชุมชนบ้านด่านซ้าย จังหวัดเลย. วิทยานิพนธ์ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต บัณฑิต วิทยาลัย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. ดวงใจ ไทยอุบุญ. (2552). ทักษะการเขียนภาษาไทย. พิมพ์ครั้งที่ 4. กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ถวัลย์ มาศจรัส. (2546). การเขียนเชิงสร้างสรรค์เพื่อการศึกษาและอาชีพ. พิมพ์ครั้งที่ 9. กรุงเทพฯ: บริษัท เซ็นจูรี่ จำกัด. ถวัลย์ มาศจรัส. (2550). นวัตกรรมการศึกษา ชุดแบบฝกหัด-แบบฝึกเสริมทักษะ. กรุงเทพฯ: เซ็นจูรี่. ทิศนา แขมณี. (2548). ศาสตร์การสอน.องค์ความรู้เพื่อการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ. พิมพ์ ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ทิศนา แขมณี. (2551). รูปแบบการเรียนการสอน ทางเลือกที่หลากหลาย. กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย. ทิศนา แขมมณี. (2556). ศาสตร์การสอน: องค์ความรู้เพื่อการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ. พิมพ์ครั้งที่ 17. กรุงเทพมหานคร: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ทิศนา แขมมณี. (2562). ศาสตร์การสอน : องค์ความรู้เพื่อการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ. พิมพ์ครั้งที่ 21. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. นิจ จันทร์มล. (2535). การใช้แบบฝึกทักษะการเขียนเชิงสร้างสรรค์ในชั้นประถมปีที่ 4. วิทยานิพนธ์ ปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. บันลือ พฤกษะวัน. (2533). พัฒนาทักษะการเขียนเชิงสร้างสรรค์. กรุงเทพฯ: ไทยวัฒนาพานิช. บุญเหลือ เทพยสุวรรณ,ม.ล. (2517). แว่นวรรณกรรม. กรุงเทพฯ : อ่านไทย. บุณย์เสนอ ตรีวิเศษ. (2554). การเขียนสร้างสรรค์. คณะมนุษยศาสตร์ และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏ บุรีรัมย์. ประภาศรี สีหอำไพ. (2531). การเขียนแบบสร้างสรรค์. กรุงเทพฯ: โอ. เอส. พริ้นติ้ง เฮาส์. ปราณี สุรสิทธิ์. (2549). การเขียนสร้างสรรค์เชิงวารสารศาสตร์. กรุงเทพฯ: แสงดาว. เปลื้อง ณ นคร. (2540). ศิลปะแห่งการประพันธ์. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: บริษัท เยลโล่การพิมพ์ (1988) จำกัด. ผลทาน ศรีณรงค์. (2528). การเปรียบเทียบสัมฤทธิ์ผลการเขียนเชิงสร้างสรรค์ของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ในโรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดยใช้ดนตรี เป็นสื่อกับวิธีสอนแบบธรรมดา. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.
86 บรรณานุกรม(ต่อ) พนิตพิชา เตชะสุทธิรัฐ. (2564). แบบฝึกทักษะการเขียนเชิงสร้างสรรค์. โรงเรียนเทศบาลวัดศรีประชาสรรค์ จังหวัดนครสวรรค์. พันธุ์ทิพา หลาบเลิศบุญ และคณะ. (2542). ภาษาไทย 3. กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. รัตนา สถิตานนท์. (2541). คู่มือแบบฝึกทักษะหลักและการใช้ภาษาไทยชั้นประถมศึกษาปีที่ 6. กรุงเทพฯ: อักษราพิพัฒน์. รื่นฤทัย สัจจพันธุ์. (2522). วรรณคดีเปรียบเทียบ. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยรามคำแหง. วรรณี โสมประยูร. (2542). การสอนภาษาไทยระดับประถมศึกษา. กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพานิช. วรวรรธน์ ศรียาภัย. (2557). การเขียนเพื่อการสื่อสาร. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: บริษัท วี.พริ้นท์ (1991) จำกัด. วิภาฤดี วิภาวิน. (2543). การสอนเขียนเชิงสร้างสรรค์สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้สื่อ ประสม. วิทยานิพนธ์ปริญญาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาการศึกษาและการสอน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. สมพงษ์ สิงหะพล (2533. (กันยายน 2533). รูปแบบการสอนแบบซินเนกติกส์. สารพัฒนาหลักสูตร. 9(102): 4-8. สมพร มันตะสูตร. (2525). การเขียนสร้างสรรค์. กรุงเทพฯ: บารมีการพิมพ์. สมศักดิ์ ภู่วิภาดาวรรธน์. (2537). เทคนิคการส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ: ไทยวัฒนาพานิช. สมหวัง พิธิยานุวัฒน์. (2549). วิธีวิทยาการประเมิน: ศาสตร์แห่งคุณค่า. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. สายทิพย์ นุกูลกิจ (2543). วรรณกรรมไทย. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. สิริวรรณ นันทจันทูล. (2543). การเขียนเพื่อการสื่อสาร 2. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. สุคนธ์ สินธพานนท์และคณะ. (2545). การจัดกระบวนการเรียนรู้: เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญตามหลักสูตร การศึกษาขั้นพื้นฐาน. กรุงเทพฯ: อักษรเจริญทัศน์. สุจริต เพียรชอบ และสายใจ อินทรัมพรรย์. (2523). วิธีสอนภาษาไทย ระดับมัธยมศึกษา. กรุงเทพฯ: ไทยวัฒนาพานิช. สุนันทา มั่นเศรษฐวิทย์. (2551). การวัดและประเมินผล. กรุงเทพฯ: ไทยวัฒนาพานิช. สุมิตร สำแดงสาร. (2546). การพัฒนาชุดการเรียนด้วยตนเอง เรื่อง การทำโครงงานวิทยาศาสตร์ สำหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนสิชลคุณาธารวิทยา จังหวัดนครศรีธรรมราช. วิทยานิพนธ์ศึกษาศาสตร มหาบัณฑิต บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. สุวิทย์ มูลคำและอรทัย มูลคำ.(2545). 21 วิธีจัดการเรียนรู้:เพื่อพัฒนากระบวนการคิด. กรุงเทพฯ: ภาพพิมพ์.
87 บรรณานุกรม(ต่อ) อารี พันธ์มณี. (2537). ความคิดสร้างสรรค์ทางวิทยาศาสตร์. [ออนไลน์]. สืบค้นเมื่อ 10 กันยายน พ.ศ. 2564 จาก http://lib.edu.chula.ac.th/FILEROOM/CU_FORMJOURNAL. อุทัยวรรณ ปิ่นประชาสรร. (2538). การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ในการเขียนภาษาไทยและความคิด สร้างสรรค์ทางภาษาระหว่างนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ที่เรียนโดยใช้แบบฝึก การเขียนอย่างสร้างสรรค์ทางภาษากับแบบฝึกตามคู๋มือครูของกระทรวงศึกษาธิการ โรงเรียนสาธิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร. ปริญญานิพนธ์ศึกษามหาบัณฑิต บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.
ภาคผนวก